Legendary - บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี [ 28 ตอนจบ ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 กรกฎาคม 2011.

  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Prologue

    ข้ามผ่านห้วงเวลากลับไปในอดีตนานนับหมื่นปี

    จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งมวล

    ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์สร้างทฤษฎีเกียวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของมนุษย์ไว้หลายอย่าง

    ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากที่สุดทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์สายพันธุ์เดียวกับไพรเมตและวิวัฒนาการแยกสายออกมาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน

    ทว่า ทฤษฎีก็คือข้อสมมติฐานที่รอการพิสูจน์ให้กระจ่างชัด
    มิใช่คำตอบที่เที่ยงแท้แต่อย่างใด

    เรื่องราวทั้งหมดจึงยังอยู่ในความมืดมิด

    ใช่แล้ว
    ความมืดที่เป็นเหตุให้ทุกอย่างย้อนคืนสู่จุดเริ่มต้น

    อีกครั้งหนึ่ง

    - คุยกันสักนิดกับ Azemag -
    จริงๆเรื่องนี้ถือเป็นนิยายแนวแฟนตาซีเรื่องแรกที่เขียนอย่างจริงๆจังๆ ถือโอกาสฝึกฝีมือก่อนที่จะลงมือเขียนโปรเจคต์ใหญ่อย่าง Final Fantasy X อย่างที่ตั้งใจไว้ด้วย

    จริงๆ แล้วตั้งใจจะทำเป็นฟิครับสมัคร แต่ด้วยความที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญนักก็เลยขอเป็นออริจินัลแล้วอัญเชิญ เพื่อนๆ คนรู้จักมามีส่วนร่วมในฟิคเอานะครับ ขออนุญาตมาไว้ ณ ตรงนี้ด้วย

    อย่างไรก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้พิจารณา ติชม แนะนำ ได้เต็มที่ครับ
    Azemag A.C. McDowell

    ปล. ตอนเก่าทั้งหมดหายไปพร้อมบอร์ดเก่า
    ประ้เดิมบอร์ดใหม่ ลงให้อ่านสิบตอนรวด!!
  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 1


    ณ หมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่งเวลาบ่ายแก่ๆ แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรง สายลมเย็นพัดโชยเข้าปะทะกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ริมหน้าต่างของหลายๆบ้านให้ส่ง เสียงกรุ๊งกริ๊งจนกลายเป็นท่วงทำนองไม่มีแบบแผนที่ไพเราะไปอีกแบบ ผู้คนต่างหยุดพักกับงานช่วงบ่ายแล้วเริ่มจับกลุ่มพูดคุยหยอกล้อกันตามหน้า บ้าน


    “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว”


    ชายคนหนึ่งเริ่มต้นเล่าเรื่องให้กับกลุ่มเด็กชายหญิงที่นั่งล้อมเขาไว้ แววตาของเด็กๆเป็นประกายอย่างมีความหวังที่จะได้ฟังเรื่องราวอันเป็นประวัติ ศาสตร์ที่เด็กน้อยอย่างพวกเขาไม่เคยได้ยิน


    "ศตวรรษที่ 21 ค.ศ.2038 พัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าจนถึงขีดสุด มนุษย์ได้รับความสะดวกสบายจากผลิตผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก แต่ในทางกลับกันมนุษย์ก็ได้ทำลายธรรมชาติบนดาวเคราะห์น้อยสีฟ้าดวงนี้จนอยู่ ในสภาพที่เรียกว่า ‘ย่ำแย่’ เช่นกัน”


    “เมื่อมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งได้รับประโยชน์และความสุขสบาย ย่อมมีมนุษย์อีกกลุ่มที่ได้รับความลำบากเช่นกัน”
    “ความเท่าเทียมเป็นเพียงคำพูดสวยหรูบนแผ่นกระดาษเท่านั้น”

    ชายหนุ่มหยุดเว้นจังหวะดูปฏิกิริยาจากเด็กๆซึ่งนั่งเงียบรอฟังตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ


    “เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของศตวรรษที่ 21 คงเป็นการค้นพบมหานครโบราณที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร แอตแลนติคในเขตซีกโลกใต้ หลังจากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในคืนจันทรคราสเต็มดวง จนสร้างความหวั่นวิตกว่าโลกจะถึงกาลดับสูญตามคำทำนายของหมอดูชื่อดังและหมอ เดามากมายที่กล่าวอ้างไว้เมื่อตอนต้นศตวรรษ”


    “หลังจากทุกอย่างสงบ นักธรณีวิทยาได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกด้วยระบบดาวเทียมเพื่อดูผล การเปลี่ยนแปลง พวกเขากลับพบกับซากเมืองโบราณที่ปรากฎขึ้นเพราะแผ่นดินบริเวณนั้นยกตัวขึ้น ความกว้างใหญ่ไพศาลของมันทำให้นึกได้เพียงอย่างเดียวนี่คือ ‘แอตแลนติส’ นครโบราณที่สาปสูญไป”

    “แอตแลนติส มหานครที่เป็นถูกกล่าวขานว่ามีวิทยาการล้ำสมัย มีกำแพงเมืองเป็นทองคำ มีวิหารที่สร้างจากเงิน กองทหารของนครแห่งนี้เต็มไปด้วยรถศึกและกองเรือที่เกรียงไกร แผ่นดินเต็มเปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์ ประชากรมีแต่ความมั่งคั่งและเปี่ยมด้วยคุณธรรม จนเวลาล่วงเลยพวกเขากลับเปลี่ยนไป”


    “ตำนานกล่าวไว้เพียงว่านครแห่งนี้ถูกเทพเจ้าลงโทษเพราะพวกเขาทะเยอทะยาน มักใหญ่ในอำนาจ และละทิ้งเส้นทางแห่งคุณธรรม”


    “พูดง่ายๆว่าเพราะจิตใจของพวกเขาตกต่ำลงนั่นเอง”
    เด็กๆครางฮือใหญ่เมื่อได้ยินว่านครที่ยิ่งใหญ่นั้นถูกเทพเจ้าลงโทษจนต้องกลายเป็นนครที่สาบสูญ


    “หลังข่าวการค้นพบนครโบราณใต้มหาสมุทรที่อาจจะเป็นนครแอตแลนติส ประเทศต่างๆขอมีส่วมร่วมในการสำรวจมหานครแห่งนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้ว่ามันไม่ใช่แอตแลนติสดังที่ตำนานกล่าวอ้างก็ตาม แต่การได้สำรวจนครโบราณที่อายุประมาณการคร่าวๆก็คงไม่ต่ำกว่าหมื่นปีแบบนี้ ย่อมมีคุณค่าในหลายๆด้าน รวมถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาในอนาคตเช่นกัน”


    “ด้วยวิทยาการและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของพวกเขาทำให้การสำรวจในช่วงแรกผ่าน ไปอย่างง่ายดายจนประดาทีมงานรู้สึกว่าราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ และคาดการณ์ว่าคงจะได้เข้าไปสำรวจภายในเมืองได้ในเร็ววันหลังจากที่แผนการ สำรวจชั้นนอกและรอบๆเขตเมืองเสร็จเร็วไวกว่ากำหนด”

    “การสำรวจในส่วนที่สองยังคงดำเนินไปอย่างไร้ปัญหา พวกเขาสำรวจลักษณะผังเมือง เขตชุมชมและบริเวณที่น่าจะเป็นเขตศาสนสถาน พวกเขานำสิ่งของต่างๆมากมายกลับขึ้นไปค้นคว้าวิจัยต่อที่ห้องแลปด้านบน แต่น่าแปลกที่พวกเขายังไม่ค้นพบส่วนที่สำคัญที่สุดในทางโบราณคดีที่พวกเขา ต้องการ”


    “คิดว่ามันคืออะไรละ? เด็กๆ”

    เขาหยุดเล่าชั่วคราว หันมาถามเด็กๆที่กำลังฟังอยู่ เด็กๆส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้และขอให้เขาเล่าต่อไวๆ


    “ร่างหลับไหลของมนุษย์โบราณที่คาดว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ชาติ” เขาเว้นจังหวะนิดหน่อย “จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะนอกจากจะไม่พบร่างของมนุษย์โบราณที่เป็นผู้อยูอาศัยของเมืองนี้เลยแม้ แต่ร่างเดียว ร่างของสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็ไม่พบเช่นกัน ทั้งๆที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆที่บ่งบอกว่าเมื่อนานมาแล้วมหานครแห่งนี้มีผู้อยู่อาศัยอย่าง แน่นอน”



    “แล้วพวกเขาหายไปไหนกัน?”

    เด็กๆส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาเล่ามาถึงตรงนี้


    “หลังจากที่พวกเขาสำรวจเขตเมืองไปจนใกล้จะเสร็จสิ้นก็มีเรื่องราวแปลกประหลาดเกิด ขึ้น บรรดานักประดาน้ำและทีมสำรวจใต้ท้องทะเลหลายต่อหลายคนต่างฝันเรื่องเดียวกัน คือมีหญิงสาวในชุดคล้ายๆกับชาวกรีกโบราณมาเตือนพวกเขาให้หยุดสำรวจนครแห่ง นี้ หากยังดื้อดึงจะสำรวจมากไปกว่านี้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น”


    “หัวหน้าทีมคณะสำรวจร่วมนานาชาติประชุมร่วมกันแล้ว พวกเขาตัดสินใจที่จะปิดข่าวนี้ไว้ไม่ให้แพร่งพรายออกไปเพราะอาจจะนำไปสู่ ข่าวลือไม่พึงประสงค์ต่างๆนานาได้ พร้อมกับกำชับลูกทีมทุกคนให้เดินหน้าทำงานสำรวจต่อไปเพื่อประโยชน์ของมวล มนุษยชาติที่จะได้จากการสำรวจนี้ โดยไม่ให้ความสำคัญกับความฝันแปลกประหลาด”

    “พวกเขาเร่งมือสำรวจตามกำหนดการที่วางไว้ จนสิบเอ็ดเดือนผ่านไปทีมสำรวจก็ได้ทำบรรลุเป้าหมายในการสำรวจรอบนอกของเมือง จนเสร็จสิ้น เหลือแต่เพียงบริเวณที่คาดว่าจะเป็นราชวังของผู้ปกครองเมืองที่พวกเขาตัดสิน ใจสำรวจเป็นสถานที่สุดท้าย”


    เขาถอยหายใจเบาๆ เหม่อมองขึ้นไปท้องฟ้าที่ยามนี้ถูกย้อมด้วยแสงสีแดงอ่อนๆของดวงอาทิตย์จากฟากฟ้าฝั่งทิศตะวันตก



    “เมื่อพวกเขาเริ่มลงมือทำงานเพื่อจะสำรจพื้นที่สุดท้าย อุปกรณ์ต่างๆรวมถึงหุ่นยนต์สำรวจจำนวนมากต่างติดขัดประสบปัญหาไม่สามารถทำ งานต่อได้เมื่อเข้าใกล้บริเวณราชวัง แต่พอพ้นจากเขตนั้นหุ่นยนต์สำรวจทุกตัวกลับสามารถทำงานได้เป็นปกรติ เป็นครั้งเดียวอาจจะไม่เท่าไร แต่เป็นติดๆกันจนกำหนดการทำงานต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ทำให้สมาชิกในทีมเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวน่าประหลาดที่เกิดขึ้นและ นำไปโยงกับความฝันประหลาดก่อนหน้านี้”


    “มันไม่มีอะไรหรอกน่า เป็นคำพูดที่หัวหน้าพูดให้ลูกน้องฟังอยู่เสมอ พวกเขาเชื่อมั่นว่าที่พวกหุ่นยนต์สำรวจเกิดขัดข้องจะต้องมีสาเหตุ หากพวกเขาตั้งใจทำงานให้เต็มที่จะต้องค้นพบต้นเหตุของปัญหาและแก้ไขได้แน่ๆ”

    “พวกเขาก็ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ คำตอบของปัญหาที่ทำให้หุ่นยนต์ขัดข้องก็คือหินผลึกที่อยู่ที่ยอดปราสาทของ ราชวัง มันเป็นหินผลึกประหลาดที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประหลาดๆออกมาจนไปรบกวนการทำ งานของเครื่องจักร จึงเป็นหน้าที่ของทีมดำน้ำลึกที่จะต้องลงไปเอาหินผลึกนั้นออกจากตรงนั้นเสีย ก่อนเพื่อที่จะได้ส่งหุ่นยนต์สำรวจลงไปทีหลัง”


    “พอจะเดาได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มหันมาถามเด็กๆอีกครั้ง พวกเด็กๆไม่ตอบและเอามือปิดหน้าปิดหูไม่อยากจะฟังเรื่องร้ายๆ



    “ใช่แล้ว” เขาเริ่มเล่าต่อ น้ำเสียงจริงจังหนักแน่น


    “หลังจากที่ทีมนักดำน้ำนำหินผลึกขึ้นมาบนเรือได้ พลันบังเกิดสุริยคราสขึ้น เป็นสุริยคราสที่อยู่นอกเหนือการคำนวณใดๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลันในเวลาไม่นานนักท้องฟ้าในเวลากลางวันกลับมืด มิดดุจเวลากลางคืน และก็มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว เสียงนั้นได้ยินไปทั่วโลก แม้แต่คนต่างชาติต่างภาษาก็สามารถเข้าใจได้”


    เด็กๆหลับตาปี๋ ร่างกายของบางคนเริ่มสั่นเทาด้วยความกลัว เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้า เด็กๆหลายคนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก


    ‘นาม ของข้าคือราชารัชติกาล เจ้าพวกมนุษย์โง่เขลาเอ๋ย ก่อนอื่นคงต้องขอขอบใจพวกเจ้าจริงๆที่อุตส่าห์ปลดผนึกของเหล่าเทพที่เหนือ ปราสาทของข้า ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเจ้า รางวัลที่ชื่อว่า ‘นรก’ ยังไงละ!’



    เด็กผู้หญิงส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดจนผู้ใหญ่หลายคนต้องหันมามอง ชายหนุ่มผู้เล่าเรื่องหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง



    “หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่รู้ๆกัน อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายลงในปี 2038 ด้วยภัยพิบัติรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ ภูเขาไฟระเบิด หลังจากที่ทุกอย่างสิ้นสุดลง ทวีปทั้งหกก็กลับมารวมเป็นผืนแผ่นดินใหญ่หนึ่งเดียวอีกครั้ง ประชากรโลกเกือบๆหกพันล้านคนเหลือเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น”



    เขาลดโทนเสียงให้ต่ำและนุ่มลงเพื่อให้เด็กๆผ่อนคลายความกลัวลง เด็กๆกระชับวงล้อมเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเพื่อฟังบทสรุปแห่งเรื่องราว


    “คลื่นร้ายถาโถมเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด ปราสาทของราชารัตติกาลผุดขึ้นเหนือท้องฟ้ากลายเป็นเกาะลอยฟ้าและเตรียมที่จะ เข้าปกครองเหล่ามนุษย์ แต่ก่อนที่ความสิ้นหวังจะเข้าครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง หินผลึกแห่งทวยเทพกลับพุ่งขึ้นจากผืนดินเข้าปะทะกับปราสาทแห่งความมืด เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น”


    ‘มนุษย์เอ๋ย เป็นเพราะพวกเจ้าไม่สนใจคำเตือนของเราพวกเจ้าถึงต้องรับผลจากการกระทำครั้ง นี้ แม้ว่าพลังของข้าจะเหลือไม่มากก็ตาม แต่ข้าจะผนึกราชาแห่งรัตติกาลให้พวกเจ้าอีกครั้ง หลังจากนี้อีกร้อยปีพวกเจ้าจงฝึกฝนตนเองและค้นหาอัญมณีทั้งห้าที่จะมาผนึก ราชารัตติกาลให้ได้’



    ‘อนาคตของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องสร้างมันขึ้นมาเอง มนุษย์เอ๋ย’



    “พลันสิ้นเสียงของนาง ผลึกหินก็แตกกระจายไปทั่วแผ่นดินพร้อมกับผลักปราสาทแห่งความมืดไปอยู่อีกสุด ขอบโลกให้ห่างไกลจากผืนแผ่นดินและมนุษย์ให้มากที่สุด”



    “หลังจากนั้นมนุษย์ที่เหลืออยู่ก็เริ่มใช้ชีวิตในโลกที่โหดร้าย พวกเขาตามหาเศษหินผลึกและสร้างเมืองขึ้น ด้วยพลังแห่งหินผลึก พวกเขาได้รับการปกป้องจากบรรดาปีศาจและสัตว์ร้ายที่เกิดจากพลังแห่งความมืด บ้างก็ได้รับพลังเวทมนต์จากหินผลึกและเป็นนักเวทอย่างที่พวกเจ้ารู้กัน บ้างก็ได้รับพลังมหาศาลเป็นยอดนักรบที่พากองทัพผู้กล้าเข้าทำสงครามปก ป้องอนาคตของมนุษย์ชาติตลอดหนึ่งพันสองร้อยปีที่ผ่านมา”



    “แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถโค่นราชาแห่งรัตติกาลลงได้ แต่หน้าที่ในการตามหาอัญมณีทั้งห้าเพื่อมาผนึกราชาแห่งรัตติกาลทุกๆร้อยปีก็ ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้”


    “ดังนั้นพวกเจ้าต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วก็หมั่นฝึกฝนตัวเองเพื่อ เป็นพลังให้กับโลกต่อไปในอนาคต เข้าใจไหม?” เขาทิ้งท้ายเพื่อกระตุ้นความกล้าหาญให้กับเด็กๆ

    “เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ” เด็กๆขานรับคำเขาอย่างหนักแน่น พร้อมเพรียง

    “เอาละ แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้วนะ ไปได้”
    “ขอบคุณมากครับ/ค่ะ”



    หลังจากเด็กๆแยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็ยังอยู่เล่นกันแถวนั้นรอพ่อแม่กลับมาจากไปทำไร่ทำสวนนอกเมือง ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนเข้ามาคุยกับเขารวมถึงหัวหน้าทีมป้องกันหมู่บ้าน ’อเซแมก แมคโดเวล’ เช่นกัน


    “เป็นเรื่องที่ยอดมากเลยนะครับ ท่านผู้นำสาร”
    อเซแมก ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้มยาวปรกหน้าและดวงตาสีน้ำแดงดูน่าเกรงขามแต่ก็แฝงแววแห่งความ ลึกลับ มีดาบเหน็บข้างเอวเล่มหนึ่ง เข้ามาทักทายเขา ชายหนุ่มที่เล่าเรื่องให้เด็กๆฟังเป็นผู้นำสารแห่งราชอาณาจักรชิลโซลิธี อันเป็นเมืองที่สร้างขึ้นในเขตหินผลึกที่กลายเป็นบุษราคัมส่องแสงประกายสี เหลืองทอง หนึ่งในสองมหานครยิ่งใหญ่แห่งยุคนี้


    “เด็กๆคืออนาคตของพวกเรา... ไม่สิ เป็นอนาคตสำหรับทุกคน”

    “แล้วภารกิจของท่านเสร็จไปถึงไหนแล้วละครับ”

    “ข้านำพระราชสารแห่งจักรพรรดิชิลโซลิธี ออกมาแจ้งข่าวให้กับหมู่บ้านต่างๆ เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะครบหนึ่งร้อยปีจากมหาสงครามครั้งที่แล้ว เราต้องการผู้ที่พร้อมจะเป็นนักรบไปฝึกฝนให้พร้อมรบ หมู่บ้านของท่านเป็นแห่งสุดท้ายแล้วละ พรุ่งนี้เช้าข้าก็จะเดินทางกลับแล้ว น่าเสียดายที่หมู่บ้านของท่านมีชายฉกรรจ์น้อยนัก ข้าก็คงไม่อาจเกณฑ์พวกเขาไปเป็นนักรบได้ทั้งหมดเพราะจะไม่เหลือใครปกป้อง หมู่บ้านอีก”


    ข้าได้ยินมาว่านอกจากงานเกณฑ์กำลังพลเป็นนักรบแล้ว ท่านจักรพรรดิยังมีภารกิจสำคัญอื่นให้ทำอีกมิใช่หรือครับ”
    “สมแล้วที่เป็นหัวหน้าทีม ข่าวสารกว้างไกลจริงๆ”
    “ก็ไอ้ลูกศิษย์ตัวแสบของข้าน่ะสิ มันไปได้ยินข่าวมาจากหมู่บ้านอื่นแล้วก็วิ่งแจ้นมาขอให้ข้าพาไปนครชิลโซลิ ธี” อเซแมกพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นเชิญให้คู่สนทนาร่วมดื่ม
    “ลำบากคนเป็นอาจารย์สินะ” เขายกแก้วน้ำที่ทำจากสังกะสีบูดๆเบี้ยวๆดื่มอย่างไม่ถือตัว
    “ข้าให้มันไปทำภารกิจคุ้มครองลุงเจ้าของร้านค้าประจำหมู่บ้านไปส่งของที่อีกหมู่บ้าน นี่ถ้ามันยังอยู่ท่านคงต้องตอบคำถามร้อยแปดพันเก้าของมันแน่ๆ”
    “ข้าต้องขอบคุณท่านสินะเนี่ย” เขาหัวเราะขึ้นเสียงดังชวนให้อเซแมกหัวเราะด้วยเช่นกัน
    “ถ้างั้นข้าต้องขอตัวละ พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด”
    “ข้าจะเตรียมม้าและสิ่งของจำเป็นให้ท่านเอง”
    “ข้าขอขอบคุณท่านมากที่ช่วยเป็นธุระให้” เขาค้อมหัวให้ อเซแมกก็ค้อมหัวรับเช่นกัน เขายืนส่งจน


    อาคันตุกะจากมหานครชิลโซลิธีหายลับเข้าไปในที่พักหลังจากนั้นเขาก็ออกไปทำหน้าที่ของ เขาในการลาดตระเวนรอบหมู่บ้านพร้อมๆกับอาสาสมัครคนอื่นๆเฉกเช่นทุกวัน




    โลกในยุคนี้เปลี่ยนไปจากยุคไร้พรมแดนและศิวิไลซ์อย่างในศตวรรษที่ 21 ชนิดที่เรียกได้ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ มนุษย์ต้องย้อนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนกับยุคหินที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก สบายใดๆ หนำซ้ำยังมีปีศาจที่หลุดรอดจากปราสาทแห่งความมืดมารังควานบ่อยๆ อีกทั้งสัตว์ร้ายก็กลายพันธุ์จากพลังแห่งความมืดเข้าจู่โจมมนุษย์อยู่บ่อยๆ


    เพราะสูญเสียสัญชาตญาณในการใช้ชีวิตในธรรมชาติไปกับเทคโนโลยี มนุษย์ที่เหลือรอดในยุคแรกจึงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่พวกเขาก็ยังเอาตัวรอดและสามารถดำรงเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เริ่มสร้างบ้านสร้างเมืองและสร้างความเจริญขึ้นมา อีกครั้ง แม้ว่าทุกๆร้อยปีพลังของหินผลึกที่สะกดพลังแห่งความมืดจะอ่อนแอลง พวกเขาก็ออกตามหาอัญมณีทั้งห้าที่เกิดจากการสะสมพลังธรรมชาติเพื่อมาใช้ผนึก ราชาแห่งรัตติกาลอีกครั้ง

    ปัจจุบันมีมหานครที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องเศษหินผลึกอยู่สองแห่ง หนึ่งคือมหานครชิลโซลิธีและอีกหนึ่งคือมหานครพราซีนุส นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรมายาและนครมนตราเมืองของชาวเวทมนต์ที่ไม่มีผู้ใดเคย ไปถึง ทุกเมืองต่างใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสาร จะมีก็แต่ชาวอาณาจักรมายาที่ยังใช้ภาษาดั้งเดิมของตนภายในเขตอาณาจักรของตัวเอง



    เวลาเช้าของหมู่บ้านชายป่าเย็นสบายและมีสายลมโชยเอื่อยอยู่ตลอด เหล่าบุรุษที่อาสามาลาดตระเวนดูแลความเรียบร้อยรอบๆหมู่บ้านทำหน้าที่อย่าง แข็งขัน แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆเริ่มจับขอบฟ้าทิศตะวันออกแต่ก็ยังพอจะเห็นกลุ่มดาวบน ท้องฟ้าอยู่บ้าง



    หลังจากส่งผู้นำสารกลับสู่มหานครชิลโซลิธีแล้ว อเซแมกก็กำลังวุ่นอยู่กับการซ่อมแซมดาบและอาวุธอื่นๆให้กับลูกทีม เขาเป็นหลานชายของหัวหน้ากองรบเร็ว ‘เหยี่ยว สายฟ้า’ ที่สร้างชื่อลือลั่นในมหาสงครามครั้งที่ ปู่ของเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่หลังจากออกจากกองทัพ ในวัยเด็กเขาจึงได้ฝึกปรือวิชาดาบและศาสตราวุธอื่นๆจากปู่ของเขาจนช่ำชอง และได้เป็นหัวหน้าทีมดูแลความปลอดภัยของหมู่บ้านในที่สุด



    พอดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ผู้คนก็เริ่มออกไปทำไร่ทำสวน ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านอื่นๆละแวกนี้ล้วนทำเกษตรกรรมเลี้ยงชีวิต ตัวเองและครอบครัวเป็นหลัก



    “อาจารย์! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงของ ‘เทรน แมคโดเวล’ ลูกศิษย์ของอเซแมกดังลั่นมาไกลลิบๆขนาดที่อเซแมกนั่งอยู่ในป้อมหน้าหมู่บ้านยังได้ยิน


    “กลับมาแล้วเรอะ ยัยตัวแสบ”
    เขาลุกเดินขึ้นไปบนยอดหอสังเกตการณ์มองเห็นรถม้ามาตามถนน คุณลุงออลสันคุมม้าอยู่ด้านหน้า ส่วนลูกศิษย์สาวของเขานั่งอยู่หลังคารถม้า

    รถม้าค่อยๆหยุดเมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้าน อาสาสมัครเข้าไปคุยทักทายคุณลุงออลสันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

    “เทรน แมคโดเวล รายงานตัวค่ะ”
    เธอ กระโดดลงมาจากหลังคารถม้า ยืนตัวตรงนิ่งต่อหน้าอาจารย์ของเธอ ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนกว่าผู้เป็นอาจารย์ดูยุ่งเหยิงเพราะการเดินทางไกล ดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวกับเม็ดไพลินชั้นยอดบ่งบอกถึงความยินดีที่ได้กลับมาพบ อาจารย์


    “เป็นไงบ้างคุณลุง ยัยนี่สร้างปัญหาอะไรให้รึเปล่า” อเซแมกหันไปถามคุณออลสันที่กำลังคุ้ยหาของในย่าม

    “ฮะๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เอ้านี่! ข้าหาเหล็กลับดาบมาฝากเจ้า” คุณออลสันโยนแท่งเหล็กที่ว่าให้เขา
    “โห รอบนี้ได้ของดีเลยนะเนี่ย ขอบคุณมากครับ ถือซะว่าเป็นค่าจ้างยัยตัวแสบนี่ก็แล้วกันนะครับ”
    “ข้าให้ค่าขนมนางไปแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้นางอดอยากหรอก”
    “งั้นข้าเอาของเข้าร้านก่อนละนะ” คุณออลสันหยิบแส้เฆี่ยนก้นม้าเบาๆให้มันออกวิ่ง

    “เป็นไง รอบนี้เจออะไรมั่งไหม” อาจารย์หนุ่มหันไปถามลูกศิษย์สาว
    “ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่พบสัตว์ร้ายระหว่างทางและไม่มีโจรป่าดักปล้นค่ะ” เทรน รายงานภารกิจ
    “ก็ดี งั้นไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อน แล้วตอนเย็นมากินข้าวที่ป้อม ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ไปได้”
    “ค่ะ!” เทรนรับคำหนักแน่นก่อนจะปลดอาวุธให้กับคนในทีมเอาไปเก็บจากนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในหมู่บ้าน



    ‘สิบเจ็ดปีแล้วสินะ’


    อเซแมกครุ่นคิดระหว่างที่มองไล่หลังลูกศิษย์สาวที่กำลังวิ่งหน้าตั้งกลับบ้านไป ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในหัวของเขา เปลวเพลิงที่ลุกโชน ศพผู้คนเกลื่อนพื้นและเลือดที่กระเซ็นสาดไปทั่วบริเวณ และเสียงร้องไห้ของเด็กทารก

    เย็นวันนั้น อเซแมกเรียกอาสาสมัครทุกคนมาทานข้าวร่วมกันเพื่อบอกเรื่องสำคัญให้ทราบ หลังจากทุกคนกินอิ่มหนำสำราญเฮฮากันเต็มที่แล้ว อเซแมกกระแอมไอเสียงดังสองสามทีเป็นสัญญาณให้ทุกคนสนใจสิ่งที่เขากำลังจะพูด


    “อีกสามวันข้าตัดสินใจจะเดินทางไปมหานครชิลโซลิธี”


    เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้องอาหารแต่ก็สงบลงได้โดยไวเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าหัวหน้าของพวกเขายังกล่าวไม่จบเรื่อง

    “ข้าได้ยินมาว่าปีนี้นอกจากจะมีการเตรียมความพร้อมของมหาสงครามแล้ว จักรพรรดิยังจัดให้มีการคัดเลือกอาสาสมัครที่จะดำเนินภารกิจสำคัญอีกด้วย”

    “ข้า! อเซแมก แมคโดเวล หลานชายของหัวหน้ากองรบเหยี่ยวสายฟ้าผู้ลือชื่อในมหาสงครามครั้งก่อน ปู่ของข้าได้รับใช้ราชสำนักมาตลอดชั่วชีวิตจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ ข้าไปครั้งนี้มิได้หมายจะเป็นอัศวินในกองทัพของจักรพรรดิ แต่ข้าจะไปผจญภัยในโลกกว้างอีกครั้ง เหมือนที่ข้าเคยออกเดินทางฝึกฝนตนเมื่อครั้งก่อน”

    “ภารกิจครั้งนี้คงน่าสนใจมากสินะครับ หัวหน้า” หนึ่งในอาสาสมัครใต้สังกัดของเขาถามขึ้น
    “ข้าได้ยินมาอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ชัดเจนในข้อมูลเท่าใดนัก” หัวหน้าหนุ่มตอบไป “ครั้งนี้ ข้าจะพายัยเทรนไปด้วย”

    ประโยคคราวนี้เรียกเสียงฮือฮาได้มากกว่าตอนต้นมากนัก


    “ตอนแรกข้าก็คิดจะให้เทรนดูแลหมู่บ้านในช่วงที่ข้าเดินทาง แต่ยัยนี่เองก็โตพอที่จะออกเผชิญโลกกว้างแล้ว ลูกนกที่โตแล้วก็ควรจะหัดบินบ้าง เจ้าจะว่าอย่างไร เทรน” อาจารย์หันไปถามลูกศิษย์ที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด


    “ข้าพร้อม ได้โปรดให้ข้าร่วมเดินทางไปกับอาจารย์ด้วยค่ะ” เทรนตอบกลับอย่างหนักแน่น แววตามุ่งมั่นไม่ลังเล
    “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอฝากหมู่บ้านที่ข้าเกิด ข้าเติบโตไว้กับพวกเจ้าด้วย ด้วยฝีมือของพวกเจ้าหากไม่เจอกับฝูงกองทัพออคละก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก ข้าไว้ใจพวกเจ้าได้ใช่ไหม?”

    “ครับ!” เสียงตอบดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงและกึกก้อง

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ข้าขอมอบอำนาจการสั่งการไว้ให้กับอัลเบิร์ตก็แล้วกัน”
    อเซ แมกหันไปสั่งกับลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจได้ “การใดควรทำจงทำ การใดไม่ควรทำจงอย่าทำ ถ้าหากมีปัญหาใดหนักหนาเกินแก้ไขจงมองที่ตนเองก่อนผู้อื่น เข้าใจไหม”

    “รับทราบครับ หัวหน้า” อัลเบิร์ต ชายหนุ่มผมสีทองอ่อน อาวุโสที่สุดในบรรดาอาสาสมัครทั้งหมดรับคำ

    “งั้นก็ดี อีกสามวันข้าจะเดินทางก็คงจะยุ่งพอควร ข้าขอให้อาหารมื้อนี้เป็นการเลี้ยงส่งให้ข้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มผู้นำยกแก้วไวน์ขึ้นให้กับทุกคน


    “ดื่มให้หัวหน้า” เสียงของทุกคนดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง




    ณ หอคอยสังเกตการณ์ที่ประตูหมู่บ้าน จันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าห้อมล้อมด้วยดวงดาวสุกสกาวนับไม่ถ้วน สายลมจากป่าทิศเหนือของหมู่บ้านหอบเอาลมเย็นเข้ามาคงจะพอทำให้ทุกคนหลับสบาย เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันดังเป็นระยะ อาจารย์หนุ่มและลูกศิษย์สาวกำลังคุยกันถึงการเดินทางในอีกสามวันข้างหน้า


    “เทรน เจ้ากลัวรึเปล่า”
    “ข้าไม่กลัวอันตรายใดๆ ข้าเป็นห่วงก็เพียงคุณป้ากับทุกคนในหมู่บ้านเท่านั้น”
    “งั้นข้าจะให้เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ดีไหม?”
    “ข้า....” เสียงจากลำคอของหญิงสาวขาดหายไปกลางคัน
    “ข้าจะไป ข้าตั้งใจไว้แล้ว”
    “ข้า ก็แค่หยอกเจ้านิดหน่อยเท่านั้นแหละ ข้าอยากให้เจ้าออกไปดูโลกภายนอกตั้งแต่แรกแล้ว ประสบการณ์ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญ ข้าเองก็ออกเดินทางฝึกฝนตอนอายุสิบห้า เจ้ายังจำได้รึเปล่า”
    “ข้ายังจำได้”
    “อย่างนั้นรึ? อย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง เจ้าไปนอนได้แล้วละ พักผ่อนให้เยอะๆ เตรียมตัวให้พร้อมไว้”
    “งั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ อาจารย์” เทรนก้าวถอยหลังและก้มหัวคำนับลาอาจารย์

    ‘การเดินทางครั้งนี้มันจะต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ลางสังหรณ์ของข้ามันบอกอย่างนั้น แต่ถึงกระนั้นก็มีแต่ต้องไปเท่านั้น คำตอบของความรู้สึกนี้จะต้องมีอยู่ในการเดินทางอย่างแน่นอน’

    เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไร้จุดหมาย สายตามุ่งมั่นที่จะเดินหน้าไปในเส้นทางที่เขาเลือกแล้ว

    To be continue…
  3. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 2


    ณ อาณาจักรมายา

    ยามนี้ดอกไม้สีชมพูกำลังร่วงโรยจากกิ่งแห้ง บ่งบอกถึงช่วงเวลาแห่งการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ต้นไม้หลายต่อหลายต้นเหลือเพียงกิ่งก้านที่รอใบใหม่ที่กำลังจะผลิในไม่ช้า เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ

    “เจ้าจะไปจริงๆหรือ ทากะ?”
    “ขอรับ” ชายหนุ่มผมสีดำยุ่งเหยิงในชุดผ้าคลุมพร้อมออกเดินทางตอบคำถามของคู่สนทนา
    “องค์หญิงยังประชวรอยู่จึงมิอาจเสด็จมาส่งเจ้าได้ ถึงอย่างไรก็ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะคะ”
    “มิเป็นไรขอรับ ให้พระองค์ได้พักเถิด”

    หลังจากกล่าวล่ำลากับผู้คนมากมายที่มาส่งแล้ว ‘ซารุวาตาริ ทากะ’ นักดาบแห่งอาณาจักรมายาอันเลื่องชื่อลือชาว่าเป็นเมืองโดดเดี่ยว แยกตัวจากสังคมใหญ่ ใช้ชีวิตเพียงลำพังและไม่ค่อยจะสุงสิงกับผู้คนนอกอาณาจักรเท่าใดนักออกก้าวเท้าไปตามถนนที่ถูกกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนร่วงหล่นกลบทับจนไม่อาจมองเห็นพื้นถนนราวกับว่าถนนเส้นนี้กว้างจนไร้ขอบเขตและไกลจนมิอาจหาปลายทางเจอ

    แต่อย่างไร เขาก็มีแต่ต้องก้าวเดินไปต่อไปเท่านั้น



    อีกด้านหนึ่งของป่าทึบใจกลางทวีปก่อนจะถึงนครชิลโซลิธีทางทิศตะวันออก

    “นี่ วิ่งให้มันกระฉับกระเฉงหน่อยสิยะ เป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ”
    “เธอวิ่งไวเกินไปต่างหากละ”

    ‘อากิรอส คีฟ’ และ ‘เบลลานี่ ฟลามมีอาส’ กำลังวิ่งผ่านป่าทึบด้วยความเร็วเต็มห้อหนีบางอย่างที่กำลังไล่หลังมาไม่ไกลนัก

    “วิ่งให้เร็วขึ้นสิ เดี๋ยวมันก็มาลากไปแทะซี่โครงหรอก”
    “ก็เพราะเธอซุ่มซ่ามยิงเวทไปโดนรังขอมันไม่ใช่เหรอถึงต้องมาลำบากกันแบบนี้เนี่ย”
    “นายว่าใครซุ่มซ่ามยะ!?”
    “อย่ามัวแต่โกรธน่า รีบวิ่งไปเหอะ เดี๋ยวก็โดนมันไล่มาทันหรอก” อากิรอสเตือนเพื่อนสาวคู่หูให้รีบวิ่งไปทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนพูดให้เธอโกรธ

    ไม่ทันขาดคำของเขา ลูกบอลไฟยักษ์ก็ถูกกระหน่ำยิงลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนนับไม่ถ้วน เงาดำขนาดมหึมาของมังกรโฉบเข้าปกคลุมแสงอาทิตย์จนทำให้รอบๆบริเวณพวกเขาสองคนมืดลงทันใด แต่ด้วยความไวของพวกเขาทั้งสองจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบออกนอกเขตระเบิดของลูกบอลเพลิง

    “เอาไงดีละเนี่ย ขืนไม่ทำอะไรสักอย่างละก็โดนมันย่างสดแน่ๆ” อากิรอสเอ่ยปากถาม
    “งั้นก็มีแต่ต้องสู้เท่านั้นแหละ เอาแค่ให้มันสลบก็พอ”
    “งั้นก็ใช้ฟอร์เมชั่นเอก็แล้วกัน”

    หลังจากตกลงแผนกันเรียบร้อยแล้ว อากิรอสหยุดวิ่งกะทันหันแล้วหมุนตัวกลับหลังวิ่งเข้าหาเจ้ามังกรแดงสามเขาที่ไล่หลังมา

    “จงมา ศาสตราวุธแห่งข้า”

    สิ้นคำประกาศ ขวานด้ามยาวเล่มใหญ่พลันปรากฏขึ้นตรงหน้า มือขวาของเขาฉวยด้ามจับสะบัดมันออกไปด้านข้างอย่างง่ายดายแล้วดีดตัวขึ้นเงื้อขวานเล่มใหญ่ ผมสีดำเข้มพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย แววตาเปล่งประกายอาจหาญเต็มที่ มือซ้ายขวาประสานกันเหนือหัวพร้อมขวานคู่ใจสับลงปะทะกับเจ้ามังกรคู่อริเต็มแรง

    ส่วนที่ด้านหลังของเขา เบลลานี่กำลังผนึกพลังเวทไว้ที่มือทั้งสองข้างที่ประสานกัน นิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวาทาบประกบกับนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือซ้าย ลูกไฟเก้าดวงปรากฏขึ้นรอบๆตัวเธอ อากาศในบริเวณนั้นถูกความร้อนระอุเผาไหม้จนบิดเบี้ยว

    “อาเดนเตม โรตัม! จงเผาผลาญศัตรูแห่งข้าให้สิ้นซาก กงล้ออัคคี”

    สิ้นสุดบทร่ายมนตรา ลูกไฟทั้งเก้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นกงล้ออัคคีขนาดใหญ่หมุนตัวพุ่งไปยังอากิรอสและมังกรแดงที่กำลังพันตูในศึกระยะประชิด แต่ด้วยการที่เป็นคู่หูร่วมต่อสู้กันมานาน อากิรอสฉวยจังหวะพลิกตัวหลบกงล้อเพลิงที่พุ่งมาจากด้านหลังราวกับมองเห็น เก้ากงล้อเพลิงเข้าปะทะกับมังกรแดงเต็มๆจนเกิดการระเบิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วป่า เหล่านกน้อยใหญ่บินขึ้นจากกิ่งไม้ด้วยอารามตกใจ มังกรแดงแสนซวยที่ต้องมาเจอกับสองนักเวทร่วงหล่นจากอากาศสู่ผืนดินเสียงดังสนั่นจนฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ มันนอนสิ้นเรี่ยวแรงหายใจรวยรินอยู่เบื้องล่าง ควันไฟจางๆโชยขึ้นจากทั่วทั้งตัว

    “ขอโทษทีนะ เจ้ามังกร” เบลลานีเดินเข้ามาใกล้ๆมัน “ข้าขอโทษที่ไปล่วงล้ำอาณาเขตของเจ้าในตอนแรก แต่เจ้าก็ไม่ยอมหยุดไล่ทำให้พวกเราต้องสู้”

    อากิรอสกระโดดลงมาใกล้ๆกับเบลลานี่ ขวานยักษ์ที่พาดบ่าอยู่เปล่งแสงเล็กน้อยแล้วหายไป เขาเดินเข้ามานั่งใกล้ๆกับมังกรแดงแล้วร่ายมนต์ขึ้นบทหนึ่ง

    “เวนตุส เดลิกาตุส ข้าแต่สายลมเย็นอันแผ่วเบา จงช่วยบำบัดความเจ็บปวดให้แก่ผองมิตรของข้า”
    กล่าวจบ สายลมวูบหนึ่งพัดหมุนรอบตัวเขาและมังกรแดงที่นอนควันโขมง บาดแผลไฟไหม้ของมันทุเลาลงจนเกือบหมด มังกรแดงส่งเสียงร้องอย่างอ่อนโยนเบาๆก่อนที่จะผงกหัวขึ้นมองพวกเขา

    “อย่าว่างั้นงี้เลยนะ พวกข้ากำลังรีบ แผลของเจ้าอีกไม่นานก็คงหายหมด เจ้ากลับไปดูแลลูกๆของเจ้าเถอะ ขอโทษอีกทีที่มารบกวนก็แล้วกัน” อากิรอสกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินมาหาเบลลานีแล้วทั้งคู่ก็ออกวิ่งไปด้วยกันอีกครั้ง

    “ทำได้ดีสมกับเป็นนักเรียนดีเด่นอันดับสองของโรงเรียนเวทมนต์แห่งอาณาจักรเวเนฟิคุสเลยนะ” เบลลานี่กระเซ้าคู่หูหนุ่มของตน
    “เธอเองก็ทำได้ดีสมกับเป็นนักเรียนดีเด่นอันดับหนึ่งเหมือนกันนั่นแหละ”
    “ฮ่าๆๆ แน่นอนอยู่แล้วละ คิดว่าฉันเป็นแค่จอมเวทธรรมดาๆอย่างนั้นเหรอ”
    “จ๊ะ แม่คนเก่ง” อากิรอสส่ายหน้าให้กับความมั่นอกมั่นใจเกินร้อยของเพื่อนสาวก่อนทั้งคู่จะสาวท้าววิ่งให้เร็วขึ้นโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่มหานครชิลโซลิธี


    เส้นด้ายแห่งชะตากรรมกำลังชักพาพวกเขาให้มาพบกัน โดยมิอาจรู้ว่าเป็นชะตากรรมจากพระผู้เป็นเจ้ากำหนดหรือเพราะพวกเขามีบางสิ่งเชื่อมโยงกันและกันมาก่อน



    รุ่งอรุณที่หมู่บ้านของอเซแมก เขาและลูกศิษย์สาวเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว

    อเซแมกอยู่ในชุดเสื้อกางเกงดำมีเข็มขัดหนังสีน้ำตาลพร้อมดาบสะพายข้าง มือทั้งสองสวมเกราะสีเงินไม่ขัดเงา ผ้าคลุมของเขาผูกอยู่ที่เอว ส่วนเทรนสวมเสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีดำสวมกระโปรงผ้าเนื้อหนาสีน้ำตาลแก่อีกชั้น เข็มขัดหนังสีดำพร้อมดาบสะพายข้างเช่นเดียวกับผู้เป็นอาจารย์ ห้อมล้อมด้วยชาวหมู่บ้านที่มารอส่ง


    “งั้นข้าไปก่อนนะ ท่านป้า” เทรนกล่าวคำอำลากับป้าของเธอ น้ำตาใสๆเริ่มเอ่อออกมาให้เห็นแต่เธอก็แข็งใจปาดมันออกไปทันที
    “ท่านแมคโดเวล ข้าฝากท่านดูแลมันหน่อยนะคะ”

    “ท่านป้าแคลร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงเวลาคับขันน่ะ ยัยนี่วิ่งเร็วกว่าข้าอีกนะ” ประโยคนี้ของเขาช่วยเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คน ช่วยลดความเศร้าของบรรยากาศจากลาได้เยอะ
    “ข้าฝากหมู่บ้านไว้กับเจ้านะ อัลเบิร์ต แล้วข้าจะกลับมา” อเซแมกหันไปกำชับอัลเบิร์ตอีกครั้งก่อนจะขึ้นขี่ม้าสีดำคู่ใจของเขา
    “เทรน ไปกันได้แล้ว”
    “รับทราบค่ะ ท่านอาจารย์” เธอกระโดดขึ้นหลังม้าสีน้ำตาลอย่างคล่องแคล่ว มือกุมบังเหียนพร้อม
    “งั้นพวกข้าไปก่อนละนะ ขอให้สหายของข้าทุกคนโชคดี”
    “ขอให้หัวหน้าโชคดี” เหล่าอาสาสมัครหมู่บ้านขานรับคำอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว


    “เทรน ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่างหนึ่ง”
    “อะไรเหรอ อาจารย์”
    “ในโลกนี้มีคนหลากหลายประเภท คนบางพวกชอบดูหมิ่นผู้อื่น โดยเฉพาะพวกอิสตรีที่จับดาบฝึกอาวุธอย่างเจ้าย่อมเป็นเป้าหมายที่พวกมันจะยั่วยุ ฉะนั้น จงอดกลั้นไว้ หากข้าไม่อนุญาตห้ามต่อสู้เด็ดขาด”
    “เจ้าคนพวกนั้นล่ะที่ข้าเกลียดที่สุดเลย”
    “ต่อให้ฆ่าพวกมันไปก็เท่านั้นแหละ มีแต่จะทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ”
    “งั้นข้าไม่รับปากนะ ข้าจะทนเท่าที่ทนได้ ถ้าล้ำเส้นข้ามากๆข้าก็จะถีบพวกมันออกไปเอง” ลูกศิษย์สาวยิ้มกว้างร่าเริง

    “เจ้านี่มันจริงๆเลย เอาเถอะ อย่าทำให้มันเลยเถิดก็แล้วกัน รีบไปกันเถอะ” อเซแมกส่ายหน้าแบบขำๆกับคำตอบของลูกศิษย์สาว เพราะความห้าวเกินตัวและวีรกรรมก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาคาดเดาคำตอบได้

    ทั้งสองเร่งม้าให้ควบฝีเท้าให้ไวขึ้น จุดมุ่งหมายที่นครชิลโซลิธีแม้จะไกลแต่ด้วยม้าฝีเท้าดีแบบนี้อาจจะไปถึงก่อนค่ำได้แบบเฉียดฉิว หากมืดลงก่อนจะไปถึงเมืองแล้วละก็อาจจะต้องสู้กับฝูงสัตว์ร้ายที่ออกหากินให้เหนื่อยเปล่าๆ


    เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที่ ทั้งคนและม้าก็เดินทางมาถึงมหานครชิลโซลิธีทางประตูทิศใต้อย่างเหนื่อยอ่อน

    “ถึงสักที” เทรนล้มนอนราบไปกับหลังม้า
    “ถ้าแค่นี้ทำให้เจ้าหมดแรงแล้วละก็ สงสัยข้าต้องฝึกเจ้าให้หนักกว่านี้สักสามเท่าแล้ว”
    “ข้ายังไหวหรอกน่า”
    “ไปหาอะไรเซ่นกระเพาะกันดีกว่า” เขาควบม้านำหน้าลูกศิษย์เข้าประตูเมือง


    มหานครชิลโซลิธีในเวลาก่อนค่ำช่างสวยงามยิ่งนัก กำแพงรอบเมืองเป็นรูปแปดเปลี่ยนมีประตูเข้าออกสี่ทิศเหนือใต้ออกตก มีหอคอยอยู่แปดจุด ตัวเมืองแบ่งออกเป็นสามชั้นลดหลั่นตามความสูง ตัวเมืองชั้นนอกเป็นเขตการค้าและบ้านของชาวเมืองเป็นส่วนใหญ่ ตามถนนหนทางเริ่มมีกองทหารออกมาจุดไฟตามเสาตลอดสองข้างทางเพื่อให้แสงสว่าง แม้จะเริ่มมืดค่ำผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่มากมาย

    เขตเมืองชั้นที่สองเป็นเขตกองทัพ แบ่งเป็นลานฝึกซ้อม คอกม้า ที่พักทหาร คลังอาวุธและคลังเสบียง ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงเป็นปราการ มีหอคอยสังเกตการณ์อยู่ทั้งสี่ทิศอีกชั้นหนึ่ง มีกองทหารลาดตระเวนอยู่บนทางเดินกำแพงเป็นระยะ

    เขตเมืองที่ลึกที่สุดเป็นเขตราชวังที่ประทับของจักรพรรดิแห่งชิลโซลิธี ใจกลางพระราชวังเป็นหอคอยใหญ่สูงตระหง่าน ยอดหอคอยเปล่งแสงรัศมีสีเหลืองนวลตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แสงที่ว่าเป็นแสงมาจากเศษหินผลึกที่ถูกเก็บรักษาไว้ภายในพระราชวัง แสงของมันเปล่งประกายจากเบื้องล่างสู่ยอดหอคอยแล้วกระจายออกดูราวกับเป็นแสงชี้นำทางให้แก่ประชาราษฎร์ทั้งหลาย


    ศิษย์อาจารย์สองคนนำม้าไปฝากไว้ที่คอกของทางการแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่คึกคักที่สุดในเขตตลาดตะวันตก

    “โอ้โห ไม่เปลี่ยนไปเลยแฮะ” อเซแมกพูดทันทีเมื่อเปิดประตู้ก้าวเท้าเข้าภายในร้านก่อนจะเดินนำหน้าเทรนเข้าไปที่บาร์
    “มาสเตอร์ ยังขายดีเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทักของเขาทำให้ชายวัยกลางคน ผมบนศีรษะเริ่มเบาบางและหงอกขาวหันกลับมาจากชั้นเก็บไวน์
    “เฮ้! ลมอะไรหอบเจ้าหนูมาถึงที่นี่ได้นะ ไม่เจอกันตั้งนานโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเชียว ฮ่าๆๆๆ”
    “นี่ลูกศิษย์ข้า เทรน แมคโดเวล” อเซแมกแนะนำลูกศิษย์สาวของเขา เทรนก้มหัวคำนับให้มาสเตอร์
    “ฮ่าๆๆ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียวนะ มาๆ วันนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเอง จะกินอะไรสั่งได้เต็มที่เลยนะ”
    “ขอเป็นน้ำชากับสปาเกตตี้เหมือนเดิมดีกว่า”
    “เจ้านี่ไม่เปลี่ยนไปเลย ได้! เดี๋ยวข้าจะให้อีแก่มันผัดให้เจ้าพิเศษเลย” มาสเตอร์เดินไปตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าประตูห้องครัว “เฮ้ย! ยัยเฒ่า วันนี้มีแขกพิเศษมา ผัดสปาเกตตี้สูตรพิเศษมาสองจานด่วนเลย”

    “แขกพิเศษที่ไหนกันวะ” หญิงวัยกลางคนในชุดทำครัวโผล่หน้าออกมามอง “ฮ้า! เจ้าหนูอเซนี่เองเรอะ ต๊าย! ไม่เจอกันนานเชียว คอยแปปนึงนะเดี๋ยวข้าจะทำให้เดี๋ยวนี้หละ” พูดจบนางก็ผลุบหายเข้าไปในห้องครัวทันทีไม่ทันมองอเซแมกที่ยกมือขึ้นทักทาย

    บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกวายจากบรรดาลูกค้าที่เริ่มตกอยู่ในอำนาจของแก้วไวน์ในมือ บางโต๊ะก็จับกลุ่มนั่งเล่นไพ่กันหน้าดำคร่ำเครียดเพราะเงินเดิมพันที่กลางโต๊ะดูเหมือนจะมากกว่าสามสิบเหรียญทองได้ อีกมุมหนึ่งก็มีนักดนตรีหยิบกีตาร์และไวโอลินบรรเลงเพลงดังแว่วมาพร้อมเสียงเฮฮาของคนละแวกนั้น

    หลังจากกินอาหารลงกระเพาะแล้ว มาสเตอร์กับภรรยาก็เดินเข้ามาคุยกับเขา

    “กี่ปีกันแล้วนะ เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ” ภรรยามาสเตอร์ถามด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
    “ราวๆแปดปีเห็นจะได้ ที่นี่ก็ยังคึกคักไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
    “แล้วแม่หนูนี่ใครกันละ อย่าบอกว่าไปหิ้วมากลางทางนะ”
    “ข้า! เทรน แมคโดเวล ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์อเซแมกค่ะ” เทรนตอบกลับแบบอายๆ
    “ฮ่าๆๆ ข้าคงไม่หิ้วม้าดีดกะโหลกแบบนี้มาจากข้างทางหรอกท่านป้า” เขาหัวเราะลั่น
    “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่ชิลโซลิธีนี่ละ” มาสเตอร์ถาม
    “ข้ามาลองคัดเลือกเข้าร่วมภารกิจที่ท่านจักรพรรดิกำลังหาคนอยู่น่ะ” พูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอึกหนึ่ง “ท่าทางน่าสนุกดี”
    “เจ้าก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ แสวงหาความท้าทายอยู่เรื่อย เอาเถอะ คืนนี้เจ้าได้ที่นอนรึยังละ ถ้ายังไงห้องพักคนงานของข้าก็ยังมีเหลือนะ”

    “ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้าไว้ตั้งแต่ครั้งโน้นจนถึงเดี๋ยวนี้” อเซแมกลุกขึ้นคำนับมาสเตอร์
    “จะมาเกรงใจอะไรกันตอนนี้ คนกันเองแท้ๆ” คุณป้ากล่าวขึ้น “ไปพักผ่อนที่ตึกข้างหลังเถอะนะ พาอาจารย์เจ้าไปเลยยัยหนู ขืนปล่อยไว้ตรงนี้เดี๋ยวได้ไปร่วมวงไพ่กับเขาแน่ๆ”
    “ข้าไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่าอาจารย์จะชอบเล่นไพ่ขนาดนั้น” เทรนลุกขึ้นถอดผ้าคลุมม้วนเก็บเดินตามคุณป้าไป
    “ตัวแสบเลยละ กินเงินเค้าทั้งร้านเลย” เธอหัวเราะดีใจเมื่อนึกถึงอดีตเมื่อวันวาน เทรนได้แต่อมยิ้มเดินตามหลังไปโดยมีอาจารย์หนุ่มตามหลังมา

    เข้าห้องจัดแจงที่นอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อเซแมกยกเตียงนอนให้เทรนไปส่วนตัวเขาปูผ้านอนที่พื้น แม้ว่ายัยลูกศิษย์หัวดื้อจะไม่ยอมในตอนแรกแต่ก็ขัดคำสั่งอาจารย์ไม่ได้จึงต้องยอมนอนเตียงไปแต่โดยดี

    ชายหนุ่มมองดูลูกศิษย์สาวนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม นอกจากจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวแล้วเธอยังเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆของเขาอีกด้วย



    สิบเจ็ดปีที่แล้ว

    ค่ำคืนนั้นไร้แสงจากดวงจันทร์แม้กระทั่งแสงดาวก็น้อยเต็มที เป็นคืนเดือนมืดที่มืดมิดสมชื่อ ขบวนผู้อพยพจากหมู่บ้านหนึ่งกำลังหนีการไล่ล่าจากปีศาจมายังหมู่บ้านของเขา พ่อของอเซแมกได้รับข้อความข้อความช่วยเหลือจึงควบม้านำหน้าอาสาสมัครออกไปช่วยพวกเขากลางทาง

    แต่ก็สายเกินไป บรรดาปีศาจมากมายไล่มาทันและไล่ฆ่ามนุษย์ เพลิงไฟลุกลามไปทั่ว ขบวนรถม้าล้มคว่ำกระจัดกระจาย ศพเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด เสียงร้องไห้ปะปนกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

    พ่อของเขานำอาสาสมัครเข้ารบพุ่งฆ่าฟันพวกปีศาจจนหมด เสียงร้องของเด็กทารกในรถม้าดึงความสนใจของเขา เขาพบร่างของเด็กทารกเพศหญิงในอ้อมกอดของมารดาที่สิ้นลมหายใจไปแล้วกำลังร้องไห้ตื่นตระหนกกับเสียงที่ดังก้องไปทั่ว เขาค่อยๆบรรจงแกะมือของผู้เป็นแม่แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ยังกอดปกป้องลูกสาวไว้ออกอุ้มเด็กน้อยขึ้นมากอดปลอบให้หยุดร้องไห้


    ‘ฉึบ!’
    เสียงของโลหะที่แข็ง เย็นเฉียบ คมปลาบเสียบผ่านร่างเนื้อที่อุ่นไปด้วยไอแห่งชีวิต ความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั้งทางกาย

    “เป็นมนุษย์แต่ก็ทำได้ไม่เลวนี่นา เล่นเอาลูกน้องของข้าตายหมดเลยนะ” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความน่าขนลุกดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เจ้าของดาบในมือขวาที่แทงหลังของเขาทะลุออกหน้าท้อง เลือดอุ่นสีแดงไหลรินตามปากแผลซึมเปื้อนเสื้อผ้าฝ้ายกระจายออกเป็นวงกว้าง

    ความตกตะลึงบังเกิดแต่พรรคพวกและสหายร่วมรบ พวกเขากรูเข้าไปหมายจะฆ่าล้างแค้นปีศาจที่ลอบกัดหัวหน้า มันดึงดาบออกอย่างไร้ปราณีทิ้งร่างของยอดบุรุษลงกับผืนดินแล้วเริ่มเข่นฆ่าบรรดานักรบที่พุ่งกายเข้ามาหาล้มลงทีละคนๆ

    “หนีไป! หนีไปให้ไวที่สุด”
    เขากลั้นใจตะโกนออกไปสุดเสียงแม้จะขยับกายไม่ได้ เลือดสดๆกระอักออกจากปากทันทีที่เสียงขาดหายไป

    “เจ้านี่น่าทึ่งจริงๆ ถ้าเป็นคนทั่วไปโดนดาบของข้าคงจะตายไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้วนะ”
    เจ้าปีศาจหันกลับมามองร่างของเขา

    “อ๊ากกกกก” เสียงของบรรดานักรบที่กู่ร้องกรูเข้าไปพร้อมอาวุธในมือดังขึ้นพร้อมๆกับ ฝีมือของพวกเขาต่างระดับกับศัตรูเบื้องหน้าอยู่มาก

    “เอาละ มาจบเรื่องนี้กันเถิดยอดนักรบ หากเจ้าเจ็บปวดทรมานข้าก็จะช่วยให้เจ้าพ้นจากความเจ็บปวดทรมานนั้นเอง”

    แต่ก่อนที่ดาบจะถูกวาดลงบั่นคอร่างที่หายใจรวยริน คมดาบหนึ่งตัดผ่านอากาศเข้าปะทะกับดาบของปีศาจนิรนามก่อนที่จะถึงตัวเขากลางทาง


    “เหยี่ยวสายฟ้างั้นรึ”

    ร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้น แม้ว่าเขาจะแก่ชราใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับย่น คิ้วและหนวดขาวโพลนแล้วก็ตามแต่แววตายังเปล่งประกายของยอดนักรบอยู่

    “เป็นความผิดของข้าที่ไม่ได้กำจัดเศษเดนปีศาจอย่างเจ้าให้หมดไปจากแผ่นดินนี้” ออร่าแห่งการต่อสู้ผุดขึ้นทั่วร่าง สายลมพัดโหมกระหน่ำไปทั่ว

    “อย่างนี้นี่เอง เจ้านี่เป็นลูกชายของเจ้า มิน่าละถึงได้แข็งแกร่งนัก”
    “วันนี้ข้าสนุกพอแล้ว ค่อยเจอกันอีกทีในวันที่นายของข้าตื่นจากนิทราเถิด” ไอความมืดผุดขึ้นรอบตัวของมันก่อนที่จะหายวับไป

    เหยี่ยวสายฟ้าผู้เป็นพ่อรุดเข้าไปดูอาการของลูกชาย น่าเสียดายที่เขาสิ้นลมหายใจไปแล้วโดยมิทันได้ดูหน้าบิดาที่มาช่วย

    หลังจากนั้น ยอดนักรบจากมหาสงครามครั้งก่อนจึงนำเด็กหญิงที่รอดตายเพียงคนเดียวจากค่ำคืนแห่งโศกนาฏกรรมกลับมาเลี้ยงดูคู่กับหลานชายวัยเจ็ดปีของเขาที่บัดนี้เป็นกำพร้าบิดาเพราะตายในสนามรบและกำพร้ามารดาเพราะโรคภัยคร่าชีวิตไปก่อนหน้า

    เมื่ออเซแมกอายุได้สิบห้าปี ปู่ของเขาก็จากโลกนี้ไปด้วยความชรา เขาตัดสินใจออกเดินทางฝึกฝนตนโดยไม่ฟังคำทักท้วงของผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน เขาฝากน้องสาวบุญธรรม ‘เทรน’ ไว้ให้ป้าแคลร์ดูแล

    อีกห้าปีถัดมา เขาย้อนกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้งพร้อมด้วยฝีมือรบที่เก่งกาจ เขาฝึกเด็กหนุ่มในหมู่บ้านให้ใช้อาวุธและก่อตั้งกองกำลังอาสาสมัครปกป้องหมู่บ้านขึ้นอีกครั้ง


    “ท่านช่วยฝึกให้ข้าด้วยได้ไหม” เทรนลากดาบยาวเล่มหนึ่งมากับพื้นมาขอให้เขาสอนวิชาดาบ
    “เจ้าจะฝึกไปเพื่ออะไร”
    “ข้าอยากแข็งแกร่ง ข้าจะปกป้องตัวเอง ข้าจะปกป้องคนที่ข้ารัก”

    แววตาของเด็กสาวฉายแววเด่นไม่มีความลังเลใดๆ แม้ว่าจะเป็นสตรีเพศแต่จิตใจเข้มแข็งไม่แพ้บุรุษ เขาจึงยอมสอนวิชาให้และให้เธอเรียกเขาว่าอาจารย์แทนพี่ชาย



    รุ่งอรุณเป็นสัญญาณแห่งวันใหม่ เหล่านกบินโฉบไปตามลมเพื่อออกหาอาหาร ชาวเมืองเริ่มออกเดินทางไปทำงาน ร้านค้าเปิดประตูกว้างต้อนรับลูกค้า อเซแมกและเทรนจัดแจงชุดและอาวุธพร้อมสรรพแล้วกำลังนั่งทานข้าวเช้าอยู่ในร้านของมาสเตอร์ ลูกค้าเริ่มทยอยมาได้สักครึ่งร้านแล้ว บรรดาลูกค้าล้วนเป็นนักสู้ที่เดินทางมาที่ชิลโซลิธีเพราะวันนี้เป็นวันกำหนดการคัดเลือกผู้กล้าที่จะทำภารกิจให้จักรพรรดิ


    “ปึง” เสียงเปิดประตูร้านดังลั่นเรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง

    “ข้ามาตามหาผู้ชายผมน้ำตาลกับผู้หญิงคนหนึ่ง”
    ผู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาเป็นแม่ทัพของชิลโซลิธี แต่งกายมาในชุดเกราะเต็มยศ ผมสั้นสีน้ำเงินเข้มบ่งบอกว่าเขาเกิดในตระกูลนักรบชั้นสูงของมหานครแห่งนี้ คำถามของเขาทำให้สายตาในร้านหันไปมองอเซแมกกับเทรนที่นั่งอยู่หน้าบาร์ เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแล้วถามกลับไปทั้งๆที่ยังหันหลัง


    “ท่านคงจะหมายถึงข้ากระมัง ท่านแม่ทัพ”
    “หันหลังอยู่ยังรู้ว่าข้าเป็นใครงั้นรึ?”
    “เสียงรองเท้าเหล็กหนักกระทบพื้น เสียงสวบสาบของเกราะอ่อนเสียดสีกับเกราะเหล็กหนาที่ทับอยู่ด้านนอก จิตคุกคามที่มาพร้อมเสียงเปิดประตู สุ้มเสียงหนักแน่นมีอำนาจแต่ทุ้มต่ำบ่งบอกว่ามิใช่ชายฉกรรจ์ นอกจากนักรบชั้นสูงในระดับแม่ทัพแล้วยังจะมีใครได้อีก” เขายังคงนั่งหันหลังหยิบเหยือกน้ำมารินเติมแก้วของตัวเอง

    “ยอดเยี่ยม” แม่ทัพแห่งชิลโซลิธีก้าวเท้าเดินตรงไปยังเขา
    “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว” อเซแมกหันมาเผชิญหน้ากับเขา “ท่านมาเพื่อธุระอันใด ท่านแม่ทัพ”

    “ทหารยามหน้าประตูแจ้งข้าว่า เวลาเย็นเมื่อวานเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางเข้าเมือง ชายผู้นั้นสวมสร้อยคออัศวินรูปเหยี่ยวสายฟ้า”

    “สร้อยเส้นนี้สินะครับ” เขาล้วงหยิบสร้อยออกมาให้แม่ทัพดูชัดๆ
    “เจ้าเป็นอะไรกับ เหยี่ยวสายฟ้า! ฟอร์ติ แมคโดเวล”
    “ข้าคืออเซแมก แมคโดเวล หลานชายของเขา” คำตอบของเขาเรียกเสียงดังอื้ออึงขึ้นในร้าน

    “ขอไวน์ที่ดีที่สุดในร้านให้ข้าสองแก้วด้วย มาสเตอร์” แม่ทัพสั่ง เมื่อได้แก้วไวน์แล้วเขาจึงยื่นส่งให้อเซแมก

    “ข้าขอดื่มให้กับหลานชายของเขา ปู่ของข้าเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับปู่ของเจ้ามาก่อน ตำนานที่เข้าสร้างไว้นั้นยอดเยี่ยมเกินที่จะกล่าวได้หมด ดื่ม”
    “ขอบคุณท่านแม่ทัพ” เขารับแก้วไวน์มาแล้วดื่มจนหมด

    “ที่เจ้ามาที่ชิลโซลิธีก็เพราะข่าวเรื่องภารกิจของท่านจักรพรรดิสินะ”
    “ใช่แล้วครับ”
    “งั้นก็ดี ข้าจะรอชมฝีมือของเจ้า เจอกันที่ลานประลองนะ” แม่ทัพหันหลังเดินกลับออกไปนอกร้าน กองทหารที่ยืนรออยู่ด้านนอกทำความเคารพแล้วเดินสวนสนามตามหลังเขาไป



    “เอาละ เราก็ไปกันบ้างเถอะ” อเซแมกลุกขึ้นจากเก้าอี้ จัดแจงหยิบเสื้อคลุมมาสวม เทรนกระชับดาบที่เอวเตรียมพร้อม

    “ข้าขอบคุณมากๆ มาสเตอร์ ท่านป้า หากมีโอกาสข้าจะแวะมาอีก”
    “ไม่ต้องเกรงใจมากเรื่องหรอก เสร็จภารกิจแล้วละก็กลับมาอีกก็พอ ข้าจะผัดสปาเกตตี้อร่อยๆให้เจ้ากินเอง” เธอเข้ามาสวมกอดเขาราวกับเป็นลูกคนหนึ่ง
    “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับมาครับ” เขากอดเธอกลับ


    “งั้นข้าไปละนะ” เขาก้าวเดินออกจากประตูร้านที่เทรนเปิดรอไว้อยู่ แสงอาทิตย์เจิดจ้าและการต่อสู้กำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า


    To be continue…
  4. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 3

    บรรยากาศภายในนครชิลโซลิธีเช้านี้คึกคักเป็นอย่างมาก เพราะนักสู้จากทั่วสารทิศเดินทางมาคัดเลือกเป็นผู้กล้าอาสาเสี่ยงตายทำภารกิจให้กับจักรพรรดิ ชาวเมืองออกตั้งร้านรวงขายสินค้าเต็มสองข้างทางของถนนหลักที่มุ่งหน้าสู่ประตูเมืองชั้นที่สองทั้งสี่สาย ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปล่งดูสบายตา ริ้วรายธงที่ปักอยู่บนกำแพงเมืองลู่ลมโบกปลิวไสวพรึบพรับ กองทหารในชุดเกราะเต็มยศดูเด่นสง่ายืนรักษาการณ์อย่างแข็งขัน

    หนึ่งอาจารย์หนุ่มกับหนึ่งศิษย์สาวเดินก้าวเท้ามุ่งหน้าสู่สถานที่นัดหมายตามที่ได้สอบถามกับทหารในเมือง เทรนอุทานเมื่อได้เห็นความใหญ่โตโอ่อ่าของ ‘สเตเดียม’ ที่สร้างจำลองจากสนามกีฬาในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ขนาดของมันแม้ไม่ใหญ่โตเท่าในอดีต แต่ก็จัดว่าสูงใหญ่มากสำหรับสิ่งก่อสร้างในยุคนี้

    “ว้าว เจ๋งจริงๆ”
    “สถานที่ประชุมกองทัพก่อนออกศึก และยังใช้เป็นที่ประชุมชาวเมืองในเวลาปกติด้วย” ผู้เป็นอาจารย์อธิบาย
    “แล้วเขาจะให้เรามาทำอะไรที่นี่กันละ”
    “เรื่องนั้นไม่เห็นจะต้องถาม เข้าไปดูก็รู้เองนั่นแหละ”

    เทรนยิ้มกว้างดีใจออกวิ่งนำไปที่ประตู “ดีละ งั้นข้าจะลุยให้เต็มที่เลย” ทิ้งให้อาจารย์อย่างเขาส่ายหน้ากับความบ้าพลังเกินตัวของลูกศิษย์ไว้ข้างหลัง

    เข้ามาด้านในเป็นลานหินกว้าง ล้อมรอบด้วยที่นั่งซึ่งถูกยกสูงเป็นชั้นขึ้นไปตามแบบฉบับดั้งเดิม ทางทิศเหนือเป็นที่นั่งพิเศษสำหรับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ชาวเมืองเข้ามานั่งรอชมการคัดเลือกอยู่หนาตาทั้งเด็กเล็กหนุ่มสาวไปยันคนเฒ่าชรา ทหารยามยืนถือหอกประจำอยู่ที่ประตูอุโมงค์เข้าสู่ด้านในและบนที่นั่งอยู่เป็นจุดๆ ตรงกลางลานถูกยกพื้นเป็นเวทีต่อสู้ที่ตอนนี้มีบุรุษสองคนกำลังสู้กัน นักสู้คนอื่นจับกลุ่มดูอยู่รอบๆ มองคร่าวๆแล้วคงจะมีนักสู้อยู่ในลานนี้ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยคน

    ศิษย์อาจารย์เดินไปหาจุดยืนดูการต่อสู้บนเวทีชัดๆ พลันสายตาของอเซแมกไปสะดุดเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งพิงกำแพงไม่สนใจการต่อสู้บนเวที ดาบที่พาดบ่าดูแปลกตาเกินกว่าจะเป็นนักสู้แถบนี้ ท่าทีเหม่อลอยของเขาดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    “นายมาจากอาณาจักรมายางั้นเหรอ?” อเซแมกเดินเข้าไปถาม ค่อยนั่งลงข้างๆเขา เทรนเดินตามมานั่งข้างอาจารย์ ชายผู้นั้นยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม

    “ฮานาชิ ตะคุไน เดสึกะ” (ไม่อยากคุยงั้นเหรอ)
    ได้ผล ชายหน้ามึนผมดำหันกลับมามอง “รู้จักภาษาของเราด้วยหรือขอรับ”

    “ก็นิดหน่อยละนะ ข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มามาก เห็นดาบของเจ้าแล้วทำให้นึกถึงอดีต”

    “ข้า ‘ซารุวาตาริ ทากะ’ ขอรับ” ชายผมดำแนะนำตัวพร้อมค้อมหัวให้เล็กน้อย
    “ข้าช่างเสียมารยาทจริงๆที่ลืมแนะนำตัว ‘อเซแมก แมคโดเวล’ และนี่ ‘เทรน แมคโดเวล’ ลูกศิษย์ข้าเอง”
    “ฮาจิเมะ มาชิเตะ โยโรชิคุ โอเนไกชิมัส”

    เทรนทำหน้างงๆ ผงกศีรษะตอบเขา

    “เขาบอกว่า ยินดีที่ได้รู้จักน่ะ” อเซแมกบอก
    “อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ท่านทากะ” เทรนยิ้มแย้มตอบไป

    ทั้งสามนั่งเงียบชมการต่อสู้บนเวทีไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่ใช่การคัดเลือกจริงเพียงแต่เหล่านักสู้มากมายจากทั่วสารทิศโคจรมาพบกันย่อมอยากจะลองวิชาและยืดเส้นยืดสายก่อนจะถึงเวลาคัดเลือก ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีบททดสอบแบบใดรอพวกเขาอยู่

    “อาจารย์ ข้าอยากไปดูใกล้ๆอะ” ลูกศิษย์สาวผู้เอาแต่ใจกระซิบบอก
    “เฮ้อ ข้าว่าแล้ว”
    “น่า แค่ไปดูใกล้ๆเอง” เทรนยกมือขึ้นกำแล้วสะบัดขึ้นลงเหมือนเด็กงอแงจะเอาของเล่นก็ไม่ผิด
    “เอ้า! อยากไปก็ไป” อาจารย์หนุ่มส่ายหน้าหัวเราะแบบยิ้มๆ

    “เป็นเด็กที่กระตือรือร้นดีนะขอรับ”
    “นิสัยแบบนี้จะว่าดีมันก็ดี จะว่าแย่มันก็แย่ละนะ” อเซแมกถอนหายใจ

    นักรบสาวที่ออกมาสู่โลกกว้างตื่นเต้นที่ได้เห็นการประลองยุทธ์แบบใกล้ชิดติดขอบสนาม เธอตื่นตาตื่นใจไปกับยุทธศิลป์และกระบวนท่าที่นักสู้ทั้งหลายงัดออกมาใช้ต้านรับกัน เธอเอาใจช่วยเป็นพิเศษกับนักสู้หญิงน้อยคนที่ได้ขึ้นประลองบนเวที

    “อ๊า อยากลองสู้ด้วยจังเลยน๊า” น้ำเสียงบ่งบอกความอยากเต็มที่ ขาซ้ายขวาย่ำพื้นร่ำๆอยากจะกระโจนขึ้นเวทีให้รู้แล้วรู้รอด
    “เฮฮะ! พวกผู้หญิงจับดาบจับโล่จะทำอะไรได้ อยู่บ้านไปไม่ดีกว่าเรอะ”

    เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังทำลายอารมณ์สนุกของเธอ เงาร่างของชายร่างยักษ์เดินเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆจนประชิดด้านหลัง

    “นี่! แม่หนู กลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาดีกว่ามั้ง”
    “จะเจ็บตัวเอาเปล่าๆนะเนี่ย”

    ประโยคทำลายอารมณ์ดังมาจากรอบๆตัวเธอ

    “เฮ้อ” เทรนถอนหายใจ
    “ข้าละเบื่อจริงๆ พวกที่ตัดสินคนจากแค่ตามอง” พูดเสียงดังให้นักสู้แถวนั้นได้ยินชัดๆ
    “พูดอย่างงี้ รอบหน้าเจ้าขึ้นเวทีไปลองของจริงกับข้าดีกว่า ข้าก็เหม็นเบื่อพวกผู้หญิงปากดีเนี่ย” เขาท้าทาย
    เทรนหันศีรษะกลับไปมองด้วยสายตาแข็งกร้าว หมุนตัวเข้ายืนประจันหน้าอย่างไม่หวาดเกรง

    “ก็เอาสิ” เสียงของอเซแมกดังขึ้นจากด้านหลังชายคนนั้นอีกที “ข้าอนุญาตให้เจ้าสู้ได้”
    “เฮอะ มีอาจารย์มาตามดูด้วย เป็นพวกไข่ในหินรึไงกันวะ”

    อเซแมกไม่ตอบโต้คำพูดเชิงยั่วยุของเขา ก่อนจะเดินไปยังทางขึ้นเวทีแจ้งความจำนงของขึ้นสู้ให้กับลูกศิษย์สาวกับทหารยาม เทรนเดินตามมายืดเส้นยืดสายบิดคอหักนิ้วกร๊อบๆอยากฆ่าคนเต็มแก่

    “ข้าจะไม่แนะนำอะไรทั้งนั้น เจ้าจงสู้ด้วยความสามารถของตัวเองให้เต็มที่”
    “ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียชื่อ” เทรนตอบระหว่างตรวจเช็กอาวุธและเครื่องแต่งกายให้กระชับ สีหน้าของเธอจริงจัง แววตาเป็นประกายฉายแววน่ากลัว
    “อย่าฆ่ามันตายก็พอ” อาจารย์หนุ่มกำชับ

    หลังจากคู่ประลองบนเวทีสู้เสร็จแล้ว เทรนก้าวเดินขึ้นไปรอที่กลางเวที อีกฝ่ายเดินขึ้นมาพร้อมหอกเล่มใหญ่ ทหารประจำเวทีเรียกทั้งสองคนมาแจ้งให้ทราบว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงการประลองยุทธ์ก่อนการคัดเลือก แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่คิดแบบนั้น กรรมการสั่งให้ทั้งคู่ถอยไปคนละสิบก้าวแล้วรอสัญญาณ คู่ต่อสู้สะบัดหอกมาตั้งท่าในขณะที่เธอยังไม่ตั้งท่าใดๆ

    “เริ่มได้!”

    “อย่าหาว่ารังแกผู้หญิงเลยนะ แม่หนู”
    เขาพุ่งตัววิ่งเข้าหา พอเข้าระยะฟาดฟัน หอกในมือถูกยกขึ้นเหนือหัวแล้วสะบัดลงที่กลางหัวของเธอ

    เปรี้ยง! เสียงหอกกระทบพื้นอย่างแรงจนพื้นหินแตกกระเด็น แต่ร่างของเทรนหายไปจากจุดนั้นแล้ว

    “ทำได้แค่นี้เองเหรอ คุณลุง” ร่างของเธออ้อมมายืนด้านหลังคู่ต่อสู้ในพริบตา เสียงฮือดังขึ้นรอบเวที

    “เร็วอะไรขนาดนี้ เจ้ามองทันรึเปล่า”
    “หลบไปตอนไหน ตรงไหนข้ายังมองไม่ออกเลย” คำถามมากมายดังขึ้นไปทั่ว

    “ฝึกมาดีนะขอรับ” ทากะเดินมายืนข้างๆอเซแมกที่ข้างเวที
    “ถ้าระดับแค่นี้ยังหลบไม่ได้ ข้าคงเลิกรับลูกศิษย์ไปชั่วชีวิตละนะ”

    บนเวทีต่อสู้ นักสู้ผู้ใช้หอกรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขาหันหลังกลับพร้อมสะบัดอาวุธโจมตีหมายจะกู้หน้าคืน เทรนแค่ยกดาบขึ้นต้านรับโดยใช้แค่เพียงด้ามจับและกั่นดาบหยุดไว้ ชายร่างยักษ์โมโหมากขึ้น กระหน่ำฟาดหอกใส่เธอจากซ้ายขวาแต่ก็ถูกป้องกันไว้ได้ทุกครั้ง

    “นี่มันอะไรกันโว้ย” เขาร้องตะโกนเสียงดัง หงุดหงิดที่ถูกเด็กสาวรุ่นลูกหักหน้าท่ามกลางฝูงชน
    “ลุงนี่น่าเบื่อจริงๆ หมดแค่นี้สินะ งั้นต่อไปตาข้าบ้างละ”

    พูดจบเทรนก็เข้าประชิดถึงตัวเขาอยู่ด้านข้างหอก ดาบถูกชักออกจากฝักในมือซ้ายอย่างไวสะบัดลงตัดด้ามหอกขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย

    “จบแล้วละ” เทรนเก็บดาบกลับเข้าฝัก หันหลังเดินจากมาทิ้งให้คู่ต่อสู้ยืนโกรธตัวสั่นอยู่ด้านหลัง

    สติของเขาขาดผึงราวกับด้ายที่ถูกขึงจนตึงถูกดึงอย่างแรงพุ่งเข้าโจมตีเธอจากด้านหลัง หมายจะแทงเธอด้วยด้ามหอกที่เหลืออยู่ในมือ

    ร่างของเธอพุ่งสวนข้ามไหล่ของเขาในพริบตาที่จะถูกแทง ทันทีที่ขาทั้งสองแตะพื้น เลือดสดๆก็ทะลักออกจากบาดแผลที่อกขวาพาดยาวถึงบ่าของศัตรู ขาทั้งสองข้างทรุดลงจนเข่ากระแทกพื้น มือเกาะกุมเข้าที่แผล ปากแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

    “ข้าบอกว่ามันจบแล้ว ไม่ได้ยินรึไง” เทรนพูดขณะที่เดินผ่านร่างของเขา สวนกับทหารที่วิ่งขึ้นมาปฐมพยาบาลคู่ต่อสู้ที่บัดนี้ลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย เลือดสดๆเปรอะไปทั่วพื้นเวที

    “ข้าบอกว่าอย่าฆ่ามันไม่ใช่รึ”
    “ก็ออมมือให้แล้ว แผลไม่ได้ลึกมากหรอก” เทรนก้มหน้าตอบอุบอิบ

    “งั้นต่อไป ข้าน้อยขอแสดงฝีมือให้ดูบ้างนะขอรับ” ทากะขยับเดินไปขึ้นเวที
    “ไฟติดแล้วสินะ” อเซแมกเอ่ยถาม
    “ขอรับ ลูกศิษย์ของท่านสู้ได้อย่างยอดเยี่ยมจนข้ารู้สึกอยากจะประลองบ้างแล้ว”

    เมื่อเขาขึ้นไปยืนพร้อมบนเวที อีกด้านหนึ่งคู่ประลองของเขาก็เดินขึ้นมา หลังจากกรรมการสั่งให้ถอยไปตั้งหลักและให้สัญญาณเริ่มต่อสู้แล้ว

    “เจ้ามาจากอาณาจักรมายาอย่างนั้นรึ” คู่ประลองเอ่ยถามพลางชักดาบออกจากฝัก
    “ขอรับ” ทากะตอบไป

    “ข้าคิดว่าชาวอาณาจักรมายาจะมุดหัวอยู่แต่ในบ้านของตัวเองเท่านั้นซะอีก ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่ได้ละ?”
    ทากะนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของเขา
    “เป็นใบ้ไปแล้วงั้นรึ งั้นก็ดี เริ่มเลยก็แล้วกัน”

    “เฮ้อ ปากพล่อยจริงๆเลย” อเซแมกที่ยืนอยู่ข้างเวทีบ่นพึมพำ “จับตาดูให้ดีละ เทรน เจ้านั่นน่ะชะตาขาดแน่ๆ”

    ทั้งคู่นิ่งดูเชิงกันเป็นเวลานาน และก็เป็นนักดาบปากพล่อยที่ชิงบุกเข้าหาก่อน ทากะย่อตัวลงขาซ้ายเหยียดตั้งหลักไปด้านหลัง มือขวาจับด้ามดาบรอรับมือ คู่ต่อสู้บุกเข้ามาซึ่งๆหน้าฟาดดาบใส่หมายจะให้เขาชักดาบออกปะทะด้วย

    วินาทีที่คมดาบจะสับลงที่หัวของทากะ ดาบของคู่ต่อสู้ถูกกระแทกกลับไปด้านหลังอย่างแรง แขนทั้งสองสะบัดกลับไปอยู่เหนือหัว ปลายดาบถูกตัดขาดกระเด็นไปตกด้านหลังทั้งๆที่ทากะยังอยู่ในท่าเดิม คู่ต่อสู้กระโดดถอยหลังไปตั้งท่าอีกครั้ง สีหน้าแววตาสับสน

    “มองทันไหม เทรน”
    “ไม่ทันเลย เห็นอีกทีดาบเจ้านั่นก็ขาดกระเด็นแล้ว”
    “วิชาดาบของดินแดนมายา... วิชาดาบแต่โบราณ ‘อิไอ’ เป็นการชักดาบด้วยความเร็วสูงสุดสะบัดฟันเป้าหมาย พลังและความเร็วนั้นหาวิชาดาบอื่นเทียบไม่ได้เลย”
    “แถมเจ้านั่นยังปากพล่อยไปดูถูกชาวมายาอีก ซวยแย่เลยนะเนี่ย” เทรนถอนหายใจ
    “ชาวมายานั้นถือศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่ง ยอมตายได้แต่ไม่ยอมถูกดูหมิ่นเด็ดขาด” อเซแมกได้ทีสอนให้เทรนรู้ เทรนพยักหน้ารับคำ

    หลังจากถูกตัดปลายดาบไป ทากะยังอยู่ในท่าเดิม คู่ต่อสู้ก็ยืนดูเชิงอยู่ไม่กล้าเข้าปะทะซึ่งๆหน้าอีกแล้ว

    “ข้าน้อยเป็นเพียงนักเดินทางพเนจรเท่านั้น” ทากะเอ่ยขึ้น
    แคร้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ดาบของเจ้านั่นถูกตัดกระเด็นไปท่อนหนึ่ง

    “พวกข้าหาใช่ขลาดกลัวสิ่งใด เพียงแต่ต้องการอยู่อย่างสงบเท่านั้น”
    แคร้ง!! แคร้ง!! ดาบถูกตัดขาดกระเด็นไปอีกสองท่อน ดาบยาวเมตรกว่าบัดนี้เหลือเพียงครึ่งเท่านั้น

    “พวกท่านเข้าใจที่ข้าน้อยพูดหรือไม่ขอรับ” ทากะเงยหน้าขึ้นมอง แววตาลุกโชนด้วยเพลิงพิโรธ
    แคร้ง! แคร้ง!! แคร้ง!!! บัดนี้ดาบในมือของคู่ต่อสู้เหลือเพียงความยาวไม่กี่นิ้วเท่านั้นกลายเป็นท่อนเหล็กที่ใช้การไม่ได้

    ทั่วทั้งสเตเดียมเงียบกริบ

    นักดาบปลากพล่อยตัวสั่นเทา เหงื่อกาฬไหลย้อยเต็มใบหน้าราวกับกบน้อยที่ถูกจ้องมองด้วยอสรพิษร้าย เมื่อสิ้นกำลังใจที่จะสู่ต่อ มือก็ปล่อยดาบลงพื้นทรุดลงนั่งตัวสั่นงันงก

    เทรนกลืนน้ำลาย ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น “ร้ายกาจมาก”
    “อย่าไปมีเรื่องกับชาวมายาเป็นดีที่สุด และโลกนี้กว้างใหญ่มีสิ่งให้เจ้าต้องรู้อีกมากนัก” อเซแมกปิดท้าย

    “เป็นวิชาดาบที่ยอดเยี่ยมนัก” อเซแมกเอ่ยชมทากะเมื่อเขากลับมาถึง
    “ขอบคุณขอรับ แต่ข้ายังต้องฝึกฝนตนเองอีกเยอะ”
    “วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ได้เรียนรู้เยอะแยะเลย” เทรนก้มหัวคำนับให้ทากะ เขาก้มหัวคำนับตอบ

    “แปะๆๆ” เสียงปรบมือดังขึ้นด้านหลังพวกเขาสามคน
    “ขอพวกข้าร่วมวงสนทนาด้วยได้ไหม” อากิรอสและเบลลานีปรากฎตัวขึ้น
    “เป็นวิชาดาบที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่เสียแรงที่ตั้งใจดูเลย”
    “ข้า ‘อากิรอส คีฟ’ และนี่ ‘เบลลานี่ ฟลามมีอาส’ คู่หูของข้า” อากิรอสแนะนำตัวและเพื่อนสาวของเขา
    “ข้า...”
    “ไม่ต้องแนะนำตัวหรอกค่ะ ท่านอเซแมก ท่านทากะ แล้วก็หนูเทรน” เบลลานี่พูดแทรกขึ้นมาก่อน
    “ธรรมชาติบอกให้ข้ารู้ทุกอย่าง” เธอยิ้มกว้างบอกพวกเขา
    “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้ใช้มนตราสินะ หายากจริงๆ” อเซแมกยกมือขึ้นเกาหัว
    “ได้เจอชาวมายาแล้วยังได้เจอชาวมนตราอีก วันนี้ข้าดวงดีจริงๆ”
    “พวกข้าออกเดินทางเที่ยวเล่นมาเรื่อยๆ ได้ยินเรื่องภารกิจของจักรพรรดิชิลโซลิธี เลยมาลองสมัครกับเขาเผื่อจะได้เจออะไรสนุกๆบ้าง” อากิรอสบอก

    “แต่ตอนนี้ข้าเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่าแล้วสิ”
    พูดจบก็เดินเข้าไปหาเทรน ฉวยมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมา

    “บ่ายนี้เจ้าว่างไปดื่มชากับข้าไหม สาวน้อย”
    ทั้งสามนิ่งเงียบไปกับคำพูดของเขา สายลมวูบหนึ่งพัดฝุ่นคลุ้งขึ้น

    โป๊ก! เบลลานี่เขกหัวอากิรอสโครมใหญ่ทำเอาเพื่อนชายทรุดลงไปนั่งยองๆแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือเทรน
    “จะจับมือน้องเค้าไปอีกนานแค่ไหนยะ” กำปั้นของเธอกระแทกลงที่กลางหัวเพื่อนจอมเจ้าชู้อีกครั้ง

    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ น่าสนใจจริงๆ พวกเจ้าน่าสนใจจริง” อเซแมกหัวเราะลั่น
    “นั่นสิขอรับ” ทากะสนับสนุน

    “เอาอย่างนี้ดีกว่า” อากิรอสดีดตัวขึ้นมา “เดี๋ยวข้าจะขึ้นประลอง ถ้าข้าชนะเจ้าต้องไปดื่มชากับข้านะ แต่ถ้าข้าแพ้ข้าจะไปดื่มชากับเจ้า” เขาเสนอ
    “เลือกแบบไหนข้าก็ต้องไปน่ะสิ เจ้าบ้า!” เทรนแผดเสียงใส่เขา
    “งั้นข้าเลือกให้ท่านตายคาเวทีไปเลยดีกว่า ข้าจะได้ไม่ต้องไป”
    “อย่างนั้นก็แย่น่ะสิ เอาเป็นตามนั้นก็แล้วกันนะ สาวน้อย” อากิรอสเดินยิ้มแย้มมุ่งหน้าไปขึ้นเวที

    “เพื่อนของท่านเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ ท่านเบลลานี่”
    “เรียกสั้นๆว่าเบลก็ได้” เธอยิ้ม “เจ้าอากิมันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนเวทมนต์แล้วละ”
    “โรงเรียนเวทมนต์?” เทรนทวนคำอย่างสงสัย

    “ในอาณาจักรมนตรามีโรงเรียนสอนเวทมนต์เพื่อใช้ต่อสู้อยู่ด้วย” อเซแมกอธิบาย “แต่เดิมชาวอาณาจักรมนตราก็ใช้เวทมนต์ทำเรื่องต่างๆได้อยู่แล้ว แต่แค่นั้นไม่เพียงพอที่จะสู้กับพวกปีศาจได้จึงมีการสอนวิชาต่อสู้ด้วย ก็เหมือนกับการฝึกนักรบนั่นแหละ”

    “ท่านนี่ความรู้กว้างขวางดีนะคะ” เบลพูดอย่างทึ่งๆ
    “รู้แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละน่า”

    อากิรอสขึ้นไปรอบนเวทีแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักหมัดมวย หลังจากเตรียมพร้อมและกรรมการให้สัญญาณเริ่มสู้แล้ว เขาดันหันมาโบกไม้โบกมือและยิ้มให้กับเทรน

    “อันตราย!” เทรนตะโกนเตือนเมื่อคู่ต่อสู้พุ่งเข้าประชิดและง้างหมัดใส่เขา

    “เวนตุส มูโร่” (กำแพงสายลม)
    หมัดของคู่ต่อสู้ชกเข้ามาแต่ไม่ถึงใบหน้าของเขาราวกับมีโล่โปร่งใสกั้นอยู่ อากิรอสหันหน้ากลับไปมองคู่ต่อสู้แต่รอยยิ้มยังไม่จางหายไป อีกฝ่ายหมุนตัวเตะทดสอบอีกครั้งก็ยังคงเข้าไม่ถึงตัวอากิรอส

    “เป็นความสามารถที่ขี้โกงจริงๆนะ”

    “ดิมิเต้” (คลาย)
    อากิรอสยังคงยิ้มหน้าตาย “เอาละ ข้าปลดกำแพงสายลมออกแล้วนะ”

    “หึ! คิดจะดูถูกข้าอย่างงั้นเรอะ” คู่ประลองวิ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง หมัดขวาตรงถูกส่งออกมาหมายจะต่อยหน้านักเวทขี้หลีให้เลือดกบปาก

    ผัวะ! อากิรอสยกมือขึ้นรับหมัดของคู่ต่อสู้หน้าตาเฉย

    “ทำไมทุกคนชอบคิดว่านักเวทเป็นพวกอ่อนแอปวกเปียกนะ” อากิรอสพูดทั้งๆที่ยิ้ม พลันเข่าขวาของเขากระแทกเข้าไปที่ท้องของคู่ต่อสู้เต็มแรง แต่อีกฝ่ายแข็งใจต่อยหมัดซ้ายเข้าที่หน้าอีกครั้ง

    “กระเด็น!”
    ร่างของคู่ต่อสู้ลอยละลิ่วถอยหลังไปไหลจนเกือบจะตกเวทีเรียกเสียงฮือใหญ่จากคนดู

    “นี่ รู้รึเปล่าว่าอาวุธอะไรร้ายกาจที่สุด” เบลถามเทรน
    “คำพูดไงละ คำพูดของมนุษย์นี่แหละเป็นได้ทั้งอาวุธสำหรับเข่นฆ่าและเป็นได้ทั้งยาวิเศษที่ช่วยเหลือชีวิตได้”
    “ดูให้ดีๆละ” เบลก้มหน้าหลับตายิ้มน้อยๆ

    คู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาโยกตัวหลบมือเท้าของคู่ต่อสู้ที่กระหน่ำเข้าหาได้อย่างง่ายดาย

    “หยุด!” จู่ๆคู่ต่อสู้ของเขาก็หยุดนิ่งในท่าเตะกลับหลัง อีกฝ่ายพยายามฝืนตัวให้ขยับแต่ก็ไม่อาจขยับได้
    “เป็นไงบ้างละ?” อากิรอสลงนั่งยองๆยิ้มให้
    “นอน!” คู่ต่อสู้ของเขาทรุดลงนอนราบกับพื้นอย่างง่ายๆ

    “เจ้าชอบกินเนื้อย่างรึเปล่า?” อีกฝ่ายไม่อาจขยับเขยื้อนทั้งยังไม่อาจพูดได้ ส่งเสียงอือๆออกจากลากลำคอเท่านั้น

    “เพลิงไฟ จงมา”
    ลูกไฟขนาดใหญ่ยักษ์เท่าเวทีพลันปรากฏขึ้นลอยอยู่เหนือสเตเดียม แม้แต่ชาวเมืองที่อยู่ด้านนอกยังเห็นได้ชัด เสียงกรีดร้องตกใจของผู้คนดังขึ้นทั่ว

    “เฮ้! ทำเกินไปแล้วนะยะ อากิ” เบลร้องตะโกนจากข้างเวที
    “โทษทีๆ หนักมือไปหน่อย” อากิรอสดีดนิ้วเป๊าะแล้วลูกเพลิงหายวับไป เหลือเพียงสะเก็ดไฟเล็กร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทั่วบริเวณ

    เสียงดีดนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง คู่ต่อสู้ของเขาดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เป้ากางเกงของเขาเปียกชุ่มเพราะความกลัวไปเรียบร้อยแล้ว

    อากิรอสเดินยิ้มกริ่มลงมาจากเวที
    “ตามสัญญานะ สาวน้อย”

    โป๊ก! เบลลานี่เขกกะโหลกจอมเวทคู่หูอีกที “คิดจะเผาเมืองรึไงกันยะ เจ้าบ้า!”
    “ทำเกินไปนิดนะขอรับ ถ้าชาวเมืองคนอื่นได้รับอันตรายละก็คงจะแย่มิใช่น้อย” ทากะพูดเตือน

    เทรนมองหน้าอาจารย์ของเธอ เขายักไหล่เป็นเชิงแล้วแต่เธอจะตัดสินใจ
    “เอ้า! ไปก็ไป แต่เจ้าออกเงินนะ” เทรนถอนหายใจ ตกลงด้วยอย่างเสียไม่ได้

    สายตาของนักสู้ในลานประลองจับจ้องมายังกลุ่มของพวกเขา เสียงพึมพำดังไปทั่ว แต่แล้วเสียงระฆังประจำสเตเดียมดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแห่งการทดสอบที่พวกเขาทั้งหมดรอคอยแล้ว

    แม่ทัพแห่งชิลโซลิธี ‘ลอร์ดการ์เน็ต พีอุส’ ที่เคยไปหาอเซแมกที่ร้านเดินออกมาจากอุโมงค์ทางออกด้านทิศเหนือพร้อมด้วยกองทหารเกียรติยศ ชาวเมืองลุกขึ้นยืนโดยพร้อมกัน

    “สวัสดีสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีแห่งนครชิลโซลิธี และนักสู้ทั้งหลายที่มาร่วมกันในที่นี้ ข้าขอขอบคุณทุกท่านจากใจจริงที่เสียสละตนอาสารับใช้จักรพรรดิและอาณาจักรชิลโซลิธี”

    “วันนี้ท่านจะได้แสดงผลของการฝึกฝนให้เป็นที่ประจักษ์ ความกล้าหาญของท่านจะถูกเล่าขาน”

    “ข้า การ์เน็ต พีอุส ในนามแม่ทัพแห่งชิลโซลิธีจะเป็นพยานให้กับความกล้าหาญของทุกท่าน”

    เสียงโห่ร้องและปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

    การทดสอบกำลังจะเริ่มต้น โดยที่พวกเขามิล่วงรู้ถึงชะตากรรมเลวร้ายที่รออยู่ล่วงหน้าได้เลย

    To be continue…
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 4


    ชาวนครชิลโซลิธีไชโยโห่ร้องก้องไปทั่วทั้งสเตเดียม เสียงปรบมือเป่าปากดังเซ็งแซ่ เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาแห่งการทดสอบ ทหารโบกมือให้พวกนักรบถอยไปรวมกันอยู่ด้านทิศใต้ของเวทีแล้วตั้งแถวเป็นแนวกั้นทางทิศเหนือไว้ การ์เน็ต พีอุส เดินขึ้นบันไดไปยังที่นั่งชมสำหรับแม่ทัพที่จัดเตรียมไว้


    ‘สิบสองแม่ทัพแห่งชิลโซลิธี’ นักรบชั้นยอด ฝีมือการรบเก่งกาจสามารถ มีหน้าที่บัญชาการหน่วยรบทั้งสิบสองหน่วยแห่งชิลโซลิธี โดยมีการ์เน็ต พีอุส เป็นแม่ทัพใหญ่


    “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อเช้านี้ท่านไปพบกับหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้ามาอย่างนั้นหรือ ท่านแม่ทัพใหญ่”

    “การข่าวยังยอดเยี่ยมเช่นเดิมนะ ‘ท่านอเมธิส เฟท’”
    การ์เน็ตหันไปตอบคำถามบุรุษผมสีเงินพลิ้วผู้เป็นแม่ทัพเช่นเดียวกับเขา ดวงตาขวาเปล่งประกายสีทองแต่ดวงตาซ้ายกลับเปล่งประกายสีม่วงเข้ม มีแผลเป็นพาดจากหน้าผากลงมาถึงแก้มขวาดูน่าเกรงขาม เขาเป็นแม่ทัพลำดับสองแต่ฝีมือของเขาถูกกล่าวขานว่าเหนือกว่าแม่ทัพใหญ่อย่างการ์เน็ตเสียอีก

    “บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าจะเก่งเหมือนผู้เป็นปู่หรือไม่” เขาถามด้วยแววตาสนใจใคร่รู้
    “ดูท่าทางก็เก่งดีทีเดียว แต่ถ้าเอาไปเทียบกับตำนานอย่าง ‘เหยี่ยวสายฟ้า’ แล้วละก็ คงจะต้องดูกันยาวๆละนะ”
    แม่ทัพใหญ่ตอบพร้อมยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณให้เริ่มกระบวนการคัดเลือก


    เสียงม้าศึกดังออกมาจากด้านในอุโมงค์ทิศเหนือ รถม้าจำนวนสิบสองคันลากกรงขัง ‘บางอย่าง’ ที่ถูกปิดด้วยผ้าสีดำสนิทไว้ด้านหลังออกมาจอดเรียงอยู่ตรงข้ามกับบรรดานักสู้


    ‘โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก’
    เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้น สร้างความตื่นตะลึงให้กับนักสู้ที่อยู่ในสเตเดียม


    “นี่เขาคิดจะให้เราสู้กับตัวประหลาดอะไรกันละเนี่ย” เทรนถามขึ้นอย่างสงสัย
    “หากเป็นแค่สัตว์ร้ายธรรมดาก็คงง่ายไปหน่อยนะขอรับ แต่กลิ่นอายแบบนี้คงมิใช่สัตว์ร้ายธรรมดาแน่ๆ”
    “เหตุผลน่ะวางเอาไว้ก่อนเถอะ เขาจะให้เราสู้กับช้างม้าวัวควายหรือตัวประหลาดสามตาหกหัวก็เป็นเรื่องที่เขาคิดไว้แล้ว หน้าที่ของพวกเรามีแค่สู้หรือไม่สู้เท่านั้นแหละ” อากิรอสบอก ทุกคนสบตากันเข้าใจในสิ่งเขาต้องการจะสื่อ

    ผ้าคลุมสีดำถูกดึงออก เสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่วอีกครั้ง


    “เจ้าพวกนี้คือปีศาจร้าย สมุนของราชาแห่งรัตติกาลที่สร้างความพินาศให้กับโลกของเรา บัดนี้มันถูกพวกเราจองจำด้วยมนต์สะกด หน้าที่ของพวกเจ้าทั้งหลายคือการสู้และปลิดชีวิตมันให้ได้” หัวหน้ากองทหารประกาศเสียงดังชัด

    “การต่อสู้กับปีศาจเป็นอันตรายอย่างมาก หากไม่มั่นใจสามารถขอถอนตัวได้โดยไม่มีข้อแม้”
    “ผู้ที่พร้อม ขอให้แจ้งความจำนงที่นายทหารด้านหน้า”


    “ข้าขออาสาเป็นคนแรก”
    อเซแมกพูดขึ้นท่ามกลางบรรดานักสู้ทันทีที่สิ้นสุดคำประกาศ

    ‘หลานของเหยี่ยวสายฟ้านี่นา’
    ‘ใช่ๆ ข้าก็ได้ยินข่าวว่าเขามาคัดเลือกด้วยเช่นกัน’
    ‘จะเก่งจริงหรือเปล่านะ?’
    เสียงซุบซิบพึมพัมดังขึ้นจากกลุ่มนักสู้รอบๆ



    “ออกโรงคนแรกเลยอย่างนั้นรึ? สมแล้ว” การ์เน็ตกล่าวอย่างชื่นชม
    “บุรุษผู้นี้น่ะรึ หลานของเหยี่ยวสายฟ้า?” เฟทถาม
    “ใช่”
    “ท่าทางองอาจทะมัดทะแมง ความมั่นใจก็เปี่ยมล้น แถมยังออกหน้าเป็นคนแรกทำให้พวกที่ลังเลว่าจะสู้หรือถอยหยุดคิดแล้วรอดูผลลัพธ์ของการต่อสู้ ไม่เลวเลย” เฟทวิเคราะห์อย่างสนอกสนใจ


    อเซแมกถอดผ้าคลุมแล้วก้าวขึ้นไปยืนบนเวที ทหารเวทสี่คนยืนประจำมุมเวทีร่ายมนต์กั้นกำแพงเวทป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายหนีออกมาได้ในกรณีที่นักสู้พ่ายแพ้

    “ปล่อยมาสามตัวเลย” อเซแมกชี้ไปยังกรงของกริฟฟิน ชาวเมืองโห่ร้อง ลุกขึ้นปรบมือให้กับการตัดสินใจของเขา


    “อาจารย์ของเจ้านี่ก็ไม่เบาเลยนะ” เบลบอกกับเทรน
    “ปกติท่านก็ไม่ค่อยจะทำอะไรนะ วันนี้ไหงคึกได้ขนาดนี้ละเนี่ย” เทรนบอกอย่างไม่เข้าใจเหมือนกัน ทากะและอากิรอสเหลือบสบตากันแล้วยิ้มอย่างรู้นัยว่าทำไมเขาถึงเลือกแบบนี้

    กรงขังทั้งสามถูกนำมาจอดเทียบกับเวที ทันทีที่ประตูกรงถูกเปิดออก ปีศาจร้ายพุ่งกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วราวกับลมสลาตัน


    ‘กริฟฟิน’ สัตว์ร้ายที่มีร่างเป็นราชสีห์แต่มีหัวเป็นอินทรีย์ซ้ำยังมีหางเป็นอสรพิษ จงอยปากคมกริบและใหญ่พอจะที่กัดกระชากร่างของมนุษย์ให้ขาดเป็นสองท่อนได้โดยง่ายพุ่งเข้าหาเขาพร้อมกันหวังจะฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร


    อเซแมกกระโดดหลบการพุ่งกัดของกริฟฟินตัวแรกได้ ก่อนจะใช้หลังของมันเป็นฐานหยั่งเท้ากระโดดไปเล่นงานอีกตัวที่บินตามมาด้านหลัง ดาบคมกริบในฝักถูกกระชากออกมาและสะบัดเข้าที่คอจากด้านล่างตัดฉับออกด้านบนอย่างแม่นยำ เลือดสีม่วงสดๆสาดกระเซ็น เขาก้มต่ำหลบปีกของกริฟฟินตัวที่สามสามโฉบเข้ามาทางขวา ขาทั้งสองเกร็งแข็งดีดตัวกระโดดเกาะปีกสัตว์ร้ายแล้วปีนขึ้นหลังได้อย่างไม่ยาก มันพยายามพลิกสะบัดตัวให้เขาหล่น แต่อเซแมกไวกว่าปักดาบจากกลางหลังลงไปเสียบหัวใจแล้วบิดดาบอย่างแรง เสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายดังขึ้นก่อนจะค่อยๆเงียบหายไป

    กริฟฟินตัวที่สองถูกฆ่าตายตามตัวแรกไปในชั่วเสี้ยวเวลา เขาดึงดาบออกจากร่างที่สิ้นลมหายใจแล้วมองไปยังสัตว์ร้ายที่เหลืออีกตัว มันกู่ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งที่เห็นเพื่อนอสูรล้มตาย กระพือปีกใหญ่ยักษ์เร็วและแรงขึ้นก่อนจะลู่ปีกไปด้านหน้า ขนปีกพุ่งออกมาดั่งห่าลูกศรตรงไปที่เขา

    อเซแมกยกดาบขึ้นมาปัดป้องขนของมันจนทั้งหมดร่วงลงอยู่แทบเท้าเขา เจ้าสัตว์ร้ายคำรามขึ้นอีกครั้งแล้วสะบัดปีกพุ่งเข้าหา เขายืนตั้งท่ารอรับมืออย่างเยือกเย็น จนเมื่อมันบินเข้าใกล้พร้อมอ้าปากแผดเสียงร้องจะขย้ำเขา ดาบในมือถูกตวัดขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟันจากบนลงร่างสุดแรง หัวของกริฟฟินถูกผ่าเป็นสองซีกลึกไปถึงคอตายในดาบเดียว

    เขาสะบัดเลือดที่ติดอยู่กับดาบออกแล้วเก็บเข้าฝักแล้วลงจากเวที ทั้งสเตเดียมเงียบลงในชั่วอึดใจก่อนจะโห่ร้องยินดีที่ได้เห็นเขาปราบปีศาจร้ายที่แข็งแกร่งอย่างกริฟฟินถึงสามตัวลงได้อย่างง่ายดายในเวลาไม่ถึงนาที นักสู้ทุกคนเงียบกริบ ทำได้เพียงแหวกทางให้และมองตามหลังเขาเท่านั้น


    “ยอด! ยอดเยี่ยมจริงๆ” อเมธิส เฟท แม่ทัพลำดับที่สองลุกขึ้นจากเก้าอี้ อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “ให้ตายสิ ชักอยากจะประลองด้วยจริงๆเลย” การ์เน็ตอมยิ้มกับอาการเหมือนเด็กเจอของเล่นที่อยากได้ของแม่ทัพหนุ่ม


    “เหนื่อยไหม อาจารย์” เทรนเข้าไปยิ้มหน้าแป้น
    “สอนยัยตัวยุ่งอย่างเจ้ายังเหนื่อยกว่านี้เลย” อเซแมกขยี้หัวลูกศิษย์ก่อนจะลงไปนั่งข้างๆทากะ

    “ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อแสดงให้คนอื่นๆเห็นว่า หากฝีมือไม่ถึงขั้นจะต่อสู้กับปีศาจจริงๆจะเป็นอันตรายขนาดไหน แถมยังฆ่าตัวร้ายอย่างกริฟฟินไปได้ถึงสามตัวช่วยลดจำนวนปีศาจที่แข็งแกร่ง คนที่เตรียมใจมาไม่พร้อมและคนที่ฝีมือครึ่งกลางๆจะได้ถอยกลับรักษาชีวิตได้ทันสินะ” อากิรอสเอ่ยถาม
    “เจ้าพวกนี้น่ะ แค่เห็นพวกปีศาจบางคนยังขาสั่นเลย” อเซแมกหยิบขวดน้ำออกมาดื่ม
    “งั้นแสดงว่าภารกิจครั้งนี้คงจะอันตรายน่าดู” เบลวิเคราะห์
    “ก็เป็นไปได้ แต่ความรู้สึกแย่ๆของข้ามันยังไม่หายไปเลย หวังว่าวันนี้คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ” อเซแมกบอก ทุกคนนิ่งเงียบรู้ดีว่ายอดนักรบอย่างเขาย่อมมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแน่นอน


    หลังจากที่เห็นหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้าแสดงฝีมือปราบกริฟฟินไปแล้ว นักสู้คนอื่นๆที่ยังไม่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตขอถอนตัวไปเกือบกึ่งหนึ่ง คนที่เหลือขึ้นเวทีไปสู้กับปีศาจ คนที่มีฝีมือพอจะชนะได้ก็มีอยู่แต่ส่วนใหญ่ก็พ่ายแพ้และบาดเจ็บหนักไปตามๆกัน

    ด้วยฝีมือของทากะ เทรน เบลลานี่และอากิรอส พวกเขาผ่านการทดสอบได้อย่างสบายๆ


    เวลาเที่ยง แสงจากดวงอาทิตย์แผดเผาผืนแผ่นดินให้ร้อนระอุ จำนวนนักสู้ที่รอการทดสอบเหลืออยู่อีกไม่ถึงยี่สิบคน นักสู้คนหนึ่งกำลังสู้กับหมาป่าปีศาจตัวเขื่องขนาดลูกวัวอยู่บนเวที อเซแมกและพรรคพวกนั่งสงบนิ่งรอให้การคัดเลือกสิ้นสุดลงอยู่ที่กำแพงด้านหนึ่ง


    “โบร๋ววววววววววววววววว!!!!!”
    หมาป่ายักษ์บนเวทีหอนโหยหวน

    ปีศาจที่ถูกขังอยู่ในกรงเริ่มคลั่ง ส่งเสียงร้องดังไปทั่วและพยายามจะแหวกกรงออกมา แสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือหัวลดต่ำลงฉับพลัน ลมพัดกรรโชกรุนแรงหอบเอาเมฆดำหนาเข้าปกคลุมทั่วนครชิลโซลิธีอย่างรวดเร็ว แผ่นดินเริ่มสั่นไหวโยกคลอน



    ‘สุริยคราส’


    บนอัฒจันทร์เกิดโกลาหนอลม่าน ชาวเมืองรีบวิ่งกรูไปยังทางออก เสียงกรีดร้องของผู้หญิงและเสียงเด็กเล็กร้องไห้ดังขึ้นไปทั่ว พวกปีศาจยิ่งดุร้ายและบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ


    ‘อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก’
    เสียงร้องโหยหวนของทหารดังลอดออกมาจากอุโมงค์บ่งบอกได้ว่าด้านในเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ปีศาจจำนวนมากกรูออกมาจากอุโมงค์


    “เอาจนได้สิ” อเซแมกบ่นออกมา ชักดาบออกเตรียมพร้อม คนอื่นๆก็เช่นกัน
    “ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าตัวเองโชคดีอยู่เลยนี่คะ” เบลลานี่แหย่เข้าให้
    “หึ! ลืมๆที่ข้าพูดไปเถอะนะ” อเซแมกพูดจบก็ออกวิ่งเข้าไปสู้กับฝูงปีศาจที่ตอนนี้กำลังไล่เข่นฆ่าทหารของกองทัพล้มตายเป็นว่าเล่น ทุกคนต่างแยกย้ายกระโดดขึ้นบนอัฒจันทร์ไปปกป้องชาวเมืองที่ยังหนีไม่ทัน



    “นี่มัน! เป็นไปได้ยังไงกัน!?” การ์เน็ตร้องขึ้น “ทหาร! รีบคุ้มครองและอพยพชาวเมืองโดยเร็วที่สุด”
    “ท่านรีบสั่งการอพยพเถอะ ข้าจะลงไปสู้เอง”

    เฟทพูดจบก็กระโดดลิ่วลงไปยังลานหินเบื้องล่างทันที ขาขวาเตะหอกเล่มหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นลอยขึ้นตรงหน้าแล้วคว้าจับหมุนซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว วิ่งตรงดิ่งเข้าแทงกลางอกปีศาจที่อยู่ใกล้ที่สุด กดหอกผ่าตัวกลางลงพื้นแล้วสะบัดหอกแทงสวนไปด้านหลังปักทะลุหัวนกปีศาจที่บินเข้ามาโจมตีจากด้านหลังราวกับมีดวงตามองเห็น


    หมาป่าที่อยู่กลางเวทีหอนโหยหวนเสียงดัง ก่อนที่ไอดำจากซากศพของปีศาจที่ล้มตายจะไหลไปรวมที่มัน พลันจากหมาป่าที่ตัวโตอยู่แล้วกลับโตขึ้นอีก ในพริบตากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าตัวใหญ่ยักษ์สูงร่วมๆสี่เมตรคำรามดังก้องไปทั่ว


    ทหารที่อยู่ใกล้ๆรีบวิ่งเข้าไปจะฆ่ามัน
    “อย่า! ถอยออกมา” เฟทตะโกนเตือนแต่ช้าไปแล้ว หัวของพวกเขาหลุดกระเด็นร่วงลงพื้น

    เงาร่างสายหนึ่งลอยเข้าประชิดด้านหลังต้นคอของมัน เทรนนั่นเอง นักรบสาวปักดาบเข้าหลังคอของมันอย่างแม่นยำ


    ผัวะ! หลังมือซ้ายของมนุษย์หมาป่าสะบัดใส่เธอ ลอยละลิ่วไปกระแทกกับอัฒจันทร์เต็มๆ มันคำรามก้อง ดึงดาบที่ปักอยู่โยนทิ้งไป


    “เทรนนนนน!!”
    อาจารย์หนุ่มตะโกนเสียงดัง แต่อากิรอสพุ่งเข้าถึงตัวเธอก่อนพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงให้รู้ว่าเขาจะดูแลเธอเอง


    ทากะกระโดดลงมาใกล้ๆอเซแมก “คงต้องจัดการกับเจ้าตัวนี้ก่อนสินะขอรับ” เขาพยักหน้ารับ

    ทั้งคู่พุ่งเข้าสู้กับมนุษย์หมาป่า มันฟาดกรงเล็บใส่อเซแมกแต่เขาใช้ดาบต้านรับไว้ได้ ทากะที่ตามหลังมากระโดดวูบลอยตัวตวัดดาบด้วยวิชาอิไอ คมดาบเข้าปะทะเต็มๆที่คอ แต่ผิดคาดที่หัวของมันไม่หลุดกระเด็นออกมีเพียงแค่แผลเท่านั้น แววตามนุษย์หมาป่าเป็นประกายกู่ร้องคำราม มืออีกข้างสะบัดเข้าหาทากะ ขาถีบเข้ากลางลำตัวอเซแมกกระเด็นไปทั้งคู่


    “ชักจะแย่นะเนี่ย” อเซแมกเงยหน้ามองดูท้องฟ้า บัดนี้สุริยคราสโคจรมาถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
    “พลังปีศาจของมนุษย์หมาป่าเพิ่มขึ้นตามพลังอำนาจของพระจันทร์ ถ้าไม่รีบจัดการมันละก็ยุ่งยากแน่ๆ” เขาหันไปบอกทากะ เขาพยักหน้ารับ ปาดเลือดออกจากปาก
    “ลองดูกันอีกทีขอรับ”

    ว่าแล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหาศัตรูอีกครั้ง มันคำรามแล้วย่อตัวกลับยืนสี่ขาแล้วพุ่งเข้าหา พวกเขาไหวตัวทันเปลี่ยนทิศการวิ่งหลบออกด้านข้าง อเซแมกตั้งหลักแล้วพุ่งหลบกรงเล็บของมันเข้าประชิดตัวรัวดาบซ้ายขวาเข้าใส่ไม่ยั้งแล้วกระโดดหมุนตัวถีบให้มันกระเด็นออก ทากะตามซ้ำชักดาบออกฟันเข้าที่ข้อมือสองข้างด้วยความรวดเร็วก่อนจะตวัดฟันขวางลำตัวแล้วฉากออกให้อเซแมกที่พุ่งตามมากระโดดฟาดดาบใส่ตรงๆเต็มแรง

    “ลุยเลย!” อเซแมกตะโกนบอก ทั้งคู่วิ่งจากซ้ายขวาใช้กระบวนท่าสะบัดดาบจากล่างขึ้นบนตัดกันเป็นรูปกากบาทเข้าที่กลางอก เลือดสดๆทะลักออกจากปากแผล



    ‘ฉึก!’ หอกเล่มหนึ่งแทงทะลุซ้ำลงไปในแผลเสียบหัวใจของมัน แม่ทัพลำดับสองแห่งชิลโซลิธีตามหลังทั้งคู่มา อเซแมกและทากะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยกระหน่ำฟันสัตว์ร้ายหน้าขนยับเยิน ก่อนทั้งคู่จะเสียบดาบจากชายโครงคนละฝั่งพร้อมกัน เสียงหอนโหยหวนดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมๆกับเสียงล้มตึงของมนุษย์หมาป่า

    สถานการณ์ตอนนี้สงบลงแล้ว สุริยคราสหายไปแล้ว กลุ่มเมฆแม้จะยังหลงเหลืออยู่แต่ก็บางตาลง ทหารจำนวนมากเข้ามาต่อสู้กับปีศาจที่อ่อนแรงลงและฆ่าพวกมันได้หมด เสียงร้องเจ็บปวดของผู้คนระงม กองเลือดและซากศพเกลื่อนเต็มไปหมด


    อากิรอสเดินประคองเทรนเข้ามาหาพวกเข้า “ข้ารักษาอาการบาดเจ็บให้แล้วแต่คงต้องพักฟื้นบ้าง”

    “ก็ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก” อเซแมกถอนหายใจโล่งอกที่ลูกศิษย์จอมห้าวไม่เป็นอะไรมาก
    “จำไว้ ห้ามตายไปก่อนข้าเด็ดขาด เข้าใจไหม!?” เทรนยิ้มแหยๆ ผงกหัวรับคำอาจารย์อย่างอ่อนแรง


    เสียงเพลงดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง เบลลานี่ยืนบนขอบอัฒจันทร์บรรเลงเพลงด้วยขลุ่ยยาวสีเงินในมือ ท่วงทำนองสงบและผ่อนคลาย ที่แผลของผู้ที่บาดเจ็บมีประกายแสงจางๆ เลือดค่อยๆหยุดไหล บางคนเริ่มได้สติรู้ตัว เธอกำลังรักษาพวกเขาด้วยบทเพลงเวทมนต์



    “เป็นวันที่สนุกจริงๆ” เสียงของชายผมแดงในชุดผ้าคลุมสีดำดังขึ้น เขายืนอยู่บนสเตเดียมด้านหลังพวกทากะ น่าแปลกที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ความมืดแผ่ออกจากเท้า ร่างของเขาค่อยๆจมหายไป



    สามวันหลังสุริยคราสผ่านพ้นไป อเซแมก เทรน ทากะ อากิรอสและเบลลานี่ได้รับเชิญให้พักอยู่ในกองทัพเพราะพวกเขามีความดีความชอบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตอนนี้พวกเขากำลังประชุมกับแม่ทัพการ์เน็ตและแม่ทัพเฟทถึงเป้าหมายภารกิจของจักรพรรดิ


    “ดังที่ได้รู้กันว่า มหาสงครามกับกองทัพของราชาแห่งรัตติกาลใกล้เข้ามาแล้ว นอกจากการตามหาอัญมณีทั้งห้าเพื่อนำมาผนึกราชาแห่งรัตติกาลทุกๆร้อยปี มหานครชิลโซลิธีของเรายังมีของวิเศษอีกหนึ่งอย่าง” แม่ทัพใหญ่อธิบาย

    “เพื่อให้การทำศึกใหญ่สามารถลุล่วง ซ้ำยังรักษาชีวิตทหารจำนวนมาก นครของเราได้รักษา ‘ดอกไม้เจ็ดสี’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’ อยู่ภายในพระราชวัง สรรพคุณของมันวิเศษยิ่งนัก กลีบดอกเพียงหนึ่งสามารถทำยาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บรักษาชีวิตนายทหารนับพันนับหมื่นได้” แม่ทัพเฟทกล่าวเพิ่ม

    “ทว่า! ดอกไม้วิเศษก็ยังมีอายุขัย ตอนนี้มันเริ่มที่จะเหี่ยวเฉาลง คาดว่าอีกไม่เกิน 6 เดือนก็คงจะเหี่ยวแห้งและตายไป” การ์เน็ตพูดพลางถอนหายใจ “หน้าที่ของพวกท่านคือการออกตาหาดอกไม้รุ้งสวรรค์เพื่อนำมาไว้ที่ชิลโซลิธีอีกครั้ง”

    “อีกครั้ง!? งั้นแต่แรก ดอกไม้นี่ก็ไม่ใช่สมบัติประจำอาณาจักรสินะ” อากิรอสเอ่ยถาม
    “ถูกต้อง! ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ตอนก่อตั้งเมือง จักรพรรดิชิลโซลิธีองค์ก่อนทรงพระกรุณาช่วยเหลือชาวเอลฟ์กลุ่มหนึ่งที่ประสบภัยคุกคามจากปีศาจ ชาวเอลฟ์ได้ตอบแทนด้วยการนำทางไปถึงยังสุดขอบโลกที่ซึ่งดอกไม้วิเศษบานอยู่ท่ามกลางสรรพสัตว์และพฤกษา” การ์เน็ตตอบ

    “ครั้งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางไปกันเองโดยไม่เอลฟ์นำทางให้งั้นสินะ?” เบลลานี่สรุป
    “ใช่แล้ว ปัจจุบันชาวเอลฟ์เหลือน้อยและอาศัยอยู่ในป่าลึก พวกเราออกค้นหาติดตามเท่าไรก็ไม่เจอ เมื่อเวลากระชั้นเข้ามา เราจึงจำเป็นต้องคัดเลือกผู้กล้าออกตามหาดอกไม้โดยลำพัง” เฟทตอบเบล

    “กำหนดการคืออีก 7 วันข้างหน้า ข้าขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม หากต้องการสิ่งใดให้แจ้งไว้ข้าจักจัดหาให้โดยเร็ว ชะตากรรมของทหารทั้งกองทัพและชาวเมืองอยู่กับพวกท่านแล้ว” แม่ทัพใหญ่พูดสรุปแข็งขัน

    “รักษาตัวด้วย”
    แม่ทัพทั้งสองออกจากห้องไป อากิรอสกำลังทำหน้าคุ่นคิด


    “งั้นก็คงเป็นพวกเราห้าคนที่จะต้องทำหน้าที่นี้ละนะ” อากิรอสเอ่ยถาม
    “ก็คงอย่างนั้นละนะ” อเซแมกตอบ
    “ไม่มีใครปฏิเสธใช่ไหมละ?” อากิรอสถามซ้ำ ไม่มีคำพูดใดๆจากปากของทุกคน มีเพียงรอยยิ้มยินดีเท่านั้น

    “ก่อนอื่นก็คงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเดินทาง ข้าขอให้ท่านอเซแมกติดต่อกับท่านแม่ทัพ ข้ากับอากิจะหาข้อมูลจากบันทึกของที่นี่เพิ่มเติม ส่วนเทรนก็ต้องพักฟื้นให้หายบาดเจ็บ ท่านทากะก็... เอ่อ...” เบลชะงักเมื่อเห็นทากะนั่งเหม่อไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลย “เอ่อ... ท่านทากะคะ”

    “ขอรับ?” ทากะหันมาตามเสียงเรียก
    “ท่านช่วยท่านอเซแมกก็แล้วกันนะคะ” เบลบอก
    “ได้ขอรับ” ทากะรับคำ นั่งเหม่อเหมือนเดิม




    <วันที่ 1>
    ทุ่งหญ้าหน้าเมือง ฝั่งประตูตะวันออก


    “ฮ่าๆ ข้าจะต้องจับพวกเจ้าได้แน่ๆ”
    เสียงของอากิรอสดังลั่นทุ่งตามมาด้วยเสียงหัวเราะของสาวๆอีกนับไม่ถ้วน เขาโผกอดหญิงสาวคนหนึ่งล้มลงกับพื้นหญ้าทั้งๆที่ผูกผ้าปิดตาอยู่ “ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกนะ ฮ่าๆๆ”

    สาวสวยมากมายห้อมล้อมเขาอยู่ เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังอยู่ไม่ขาดสาย

    “อีกไม่นานข้าก็ต้องออกเดินทางไปไกลแสนไกลคงไม่ได้พบหน้าพวกเจ้าอีกแล้วละ”
    “วันนี้ขอให้ข้าเติมเต็มความสุขกับพวกเจ้าเถอะนะ” ว่าแล้วอากิก็ซบลงตักนางคนหนึ่งแล้วกอดเอวซ้ำหลับตาพริ้มมีความสุข


    “มีความสุขมากไหมยะ!?”
    “ไม่เอาสิ เป็นสาวเป็นนางต้องพูดจาให้สุภาพ ไม่งั้นจะไม่น่ารักนะ” อากิรอสยังคงหลับตาพูด ถูไถกับหน้าขานุ่มๆ
    “ขอโทษที่เผอิญเกิดมาเป็นคนไม่น่ารักนะ อากิ” เขาสะดุดกับเสียงและสำเนียงการพูด ลืมตาหันขึ้นมองก็พบเบลลานี่กำลังตีสีหน้ายิ้มเยือกเย็นอยู่ด้านหลัง

    “เอ่อ... แหะๆ หวัดดีตอนบ่ายจ๊ะ เบล”
    โป๊ก! เสียงกำปั่นลุ่นๆกระแทกเข้ากลางหัวอากิรอส จากนั้นเบลลานี่ก็ลากเขากลับเข้าเมืองทั้งๆอย่างนั้น



    <วันที่ 2>
    ลานฝึกซ้อมย่อยของกองทัพ


    “หกร้อยเก้าสิบห้า!” “หกร้อยเก้าสิบหก!” “หกร้อยเก้าสิบเจ็ด อุ๊บ!”
    “นี่! ข้าว่าเจ้าอย่าฝืนเลยนะ” เบลเตือนเทรน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอลุกขึ้นมาฝึกฟาดดาบตั้งแต่เช้าแล้ว

    “เพราะข้ายังฝึกไม่พอถึงได้ทำให้อาจารย์เป็นห่วง”
    “ข้าจะต้องเก่งขึ้น ข้าจะต้องเก่งมากกว่านี้” เธอยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วฝึกฟาดดาบต่อไป



    <วันที่ 3>
    ห้องประชุม


    “ดูจากแผนที่นี้แล้ว เราจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตกตัดผ่านทุ่งหญ้าตรงนี้แล้วก็ผ่านเข้าป่าทึบ จากนั้นก็ต้องปีนข้ามเทือกเขาออคุสตรงนี้ขึ้นเหนือยาวไปจนสุดอีกฟาก ถึงจะไปยังจุดที่บันทึกบอกว่าพบดอกไม้สายรุ้งครั้งแรก” อเซแมกอธิบายแผนการเดินทางให้แม่ทัพการ์เน็ตและเฟทฟัง

    “ท่านเคยไปยังแถบนั้นหรือไม่” การ์เน็ตถาม
    “ข้าไม่เคยไปถึง แถบนั้นล้วนเป็นแดนเถื่อนอีกทั้งปีศาจร้ายชุกชุม”
    “ถ้าล่องแม่น้ำริเรียไปออกที่ปากอ่าวทะเลสาบดำแล้วเลาะริมทะเลสาบฝั่งนี้ไปละ” เฟทถาม
    “เทือกเขาฝั่งนั้นเป็นหน้าผาสูงชันผ่านไม่ได้หรอก” เขาตอบไป
    “ไม่ว่าเส้นทางไหนก็อันตรายพอกัน ข้าจะเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดและอันตรายน้อยที่สุด” เขาบอก แม่ทัพทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย




    <วันที่ 4>
    คลังศาสตรา ห้องตีดาบ


    “เสร็จสักที” อเซแมกยกดาบขึ้นดู ตัวดาบสีเงิน คมดาบแวววาว
    “ท่านนี่เหนือความคาดหมายของข้ายิ่งนัก” เบลชมเขา “นอกจากจะเป็นนักรบชั้นยอดแล้ว ท่านยังเป็นนักสร้างอาวุธชั้นยอดอีกเช่นกัน”
    “ท่านปู่ของข้าสอนวิชาตีดาบให้ข้าด้วย เมื่อตอนข้าออกจากหมู่บ้านเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ก็เคยไปอยู่ที่หมู่บ้านช่างตีดาบทางเหนือระยะหนึ่งด้วย”
    “อย่างนี้นี่เอง” เธอพยักหน้า

    “หากไม่ได้เจ้าช่วย ข้าคงทำงานนี้ไม่เสร็จแน่ๆ ขอบใจเจ้ามากเลย เบล” อเซแมกลุกขึ้นยืนยิ้มดีใจ มองของที่เขาสร้างขึ้นสำหรับการเดินทางครั้งนี้




    <วันที่ 5>
    หอสมุดประจำพระราชวัง


    “เฮ้ มนต์บทนี้น่าสนุกแฮะ มาดูสิเบล ตำราเวทที่นี่เจ๋งจริงๆ” อากิรอสตื่นเต้นกับเวทมนต์บทใหม่ๆที่เขาเจอในตำราเวทเล่มหนาปึ๊ก
    “หือ? ไหนๆ น่าสนใจจริงๆด้วยแฮะ”

    “ทางเจ้าเจอข้อมูลอะไรเพิ่มหรือยังละ?” เขาถาม
    “ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย นอกจากบันทึกการสร้างเมืองฉบับแรกสุดแล้ว ก็ไม่มีฉบับไหนพูดถึงเผ่าเอลฟ์หรือดอกไม้เจ็ดสีอีกเลย”

    “ก็คงต้องคุ้ยพวกบันทึกอื่นๆดูบ้าง อาจจะมีเขียนถึงก็ได้” อากิแนะ
    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นละนะ” เบลถอนหายใจ



    <วันที่ 6>
    คืนสุดท้ายก่อนออกเดินทาง กลางดึก ตลาดฝั่งตะวันออก

    “นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ชายสี่คนกำลังวิ่งไล่หญิงสาวคนหนึ่งอยู่แต่ความเร็วต่างกันมากนัก
    “ฮึฮึ ช้าแบบนี้ไม่มีทางทันข้าหรอกย่ะ” หญิงสาวในชุดกางเกงยีนขาสั้น เสื้อเกาะอกสีแดงทับด้วยเสื้อฮู้ดสีเทา ผมดำยาวมัดรวบสูงเป็นทรงหางม้าหัวเราะร่วน


    โครม! เธอชนเข้ากับทากะจนล้มลงแต่เขากลับไม่เป็นไร
    “ชะ ช่วยด้วยค่ะ ข้าถูกพวกบ้ากามไล่ตามมา ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ” เธอปราดเข้าไปกอดขาของเขา น้ำตาไหลริน เสียงสั่นเครือ ทากะมองเธอแบบงงๆ ชายทั้งสี่ตามมาทันพร้อมกับตรงเข้าฉุดข้อมือเธอ

    “ข้าน้อยว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะนะขอรับ” ทากะปรามพวกเขา ยกมือเข้าขวาง

    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ามายุ่ง”
    “ระวังจะเจ็บตัวนะไอ้หนู”

    บึ๊ก! บึ๊ก! ดาบของทากะฟาดเข้าต้นคอของพวกเขาอย่างแม่นยำในพริบตาเดียว ทั้งสี่สลบล้มฟุบลงกับพื้น


    “ว๊า อยู่บ้านเศรษฐีเสียเปล่า พกเงินมาแค่เนี๊ย?” เธอตรงดิ่งเข้าไปปลดถุงเงินที่ห้อยเอวของชายคนหนึ่งเปิดออกดูแล้วก็ต้องบ่นด้วยความผิดหวัง “เอาน่า ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”

    “นี่... แม่นาง” ทากะเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกหลอก
    “อ้อ! ใช่ ขอบใจเจ้ามากนะ จริงๆข้าก็ว่าจะจัดการพวกมันเองอยู่หรอกแต่ก็ขี้เกียจอะ” เธอบอกทั้งๆที่มือก็ควานหาทรัพย์สินมีค่าจากพวกเขา

    “เฮ้ มีเรื่องอะไรกันน่ะ” เสียงอากิรอสดังมาจากด้านหลัง คนอื่นๆเดินตามเขามา
    “เรื่องเข้าใจผิดกันค่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก” เธอเปลี่ยนสีหน้าทันที ยิ้มแย้มให้กับอากิรอส

    “อ้าว! นี่พวกเจ้าเป็นบุคคลสำคัญของเมืองนี้เลยนะเนี่ย” เธอตบมือ ชี้นิ้วไล่เรียงทีละคน
    “รู้จักพวกข้าด้วยรึ?” เทรนถาม
    “พวกเจ้าออกจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากวันสุริยคราส มีรึคนในเมืองนี้จะไม่รู้”
    “อย่างนั้นรึ?” อเซแมกบอก “ถ้าไม่มีอะไรก็กลับกันเถอะ ทากะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้ามืด”
    “อ้าว! จะออกเดินทางกันแล้วงั้นเหรอ พวกเจ้าจะไปไหนกันละ” เธอถาม ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะโบ้ยให้อเซแมกตอบ

    “พวกข้าจะข้ามฟากแม่น้ำริเรียไปอีกฝั่ง เดินทางไปยังแถบตะวันตก”
    “แถบนั้นมีแต่พวกร้ายๆทั้งนั้นเลยนี่นา แต่เอาเถอะ ฝีมืออย่างพวกเจ้าก็คงสบายๆละนะ งั้นข้าขอตัวก่อนละ” เธอหันหลังโบกมือลา


    เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอหันหลังกลับมาตะโกนเรียกพวกเขา “พวกเจ้ามีคนนำทางแล้วรึยังละ?”

    อเซแมกชะงักฝีเท้า หันหลังเดินกลับมาหานาง “เจ้าเคยไปยังแถบตะวันตกอย่างงั้นรึ”
    “แถบนั้นน่ะ สวนหลังบ้านของข้าเลยละ ข้าตั้งใจว่าเสร็จธุระจากที่นี่ข้าก็จะไปแถบนั้นพอดี”

    อเซแมกหันไปมองทุกคนเป็นเชิงถาม อากิรอสพยักหน้าตกลง

    “เจ้าจะรังเกียจไหม หากข้าจะขอให้เจ้านำทางข้าไปจนถึงชายป่าก่อนถึงเทือกเขาออคุส” อเซแมกถาม
    “ข้าคงไม่ได้ทำงานฟรีๆใช่ไหมละ ท่านนักรบ” เธอแสยะยิ้ม “ข้าเกลียดการทำงานฟรีๆนะ”

    อเซแมกเกาหัวแกรกๆส่ายหน้า “หากเจ้าพาพวกข้าไปถึงที่นั่นได้จริง รับรองว่าข้าไม่เอาเปรียบผู้หญิงแน่”
    “งั้นก็ตกลงตามนั้น”


    “ข้า มาเรีย ซินนาส จะรอพวกเจ้าอยู่ที่ประตูตะวันตกตอนเช้ามืด อย่ามาสายละ” มาเรียหันหลังวิ่งจากไปพร้อมกับตะโกนบอกพวกเขา ทากะมองตามหลังจนเลี้ยวหายไปที่ทางแยก

    “จะไว้ใจได้หรือขอรับ” ทากะเอ่ยถาม
    “ทางเลือกมีไม่มาก หากมีคนที่สามารถพาไปได้จริงๆละก็นะ” อเซแมกตอบ


    กลับมาแล้ว ทากะออกมายืนที่ระเบียงเพียงลำพัง เหม่อมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวสว่างมากมาย

    “เฮ้อ” เขาถอนหายใจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่


    เส้นด้ายบางๆหลายเส้นเริ่มบิดพันเป็นเกลียวใหญ่ สายใยเพิ่งจะถูกก่อตัวแม้จะยังไม่เหนียวแน่น แต่ก็ไม่ขาดง่ายๆเหมือนด้ายโดดเดี่ยวเส้นเดียวเหมือนที่ผ่านมา



    To be continue…



    Special Thanks
    ภาพประกอบมาเรีย ซินนาส by บาทหลวงโอนิคุโร่

    [​IMG]
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 5


    เช้ามืด เวลาที่ชาวเมืองแห่งนครชิลโซลิธีส่วนใหญ่ยังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ท้องฟ้ายังถูกความมืดปกคลุม ดวงดาวยังเปล่งแสงสุกใส แต่ใจกลางแห่งมหานครบุษราคัม ณ ตึกบัญชาการกองทัพหน่วยที่หนึ่ง ผู้กล้าทั้งห้าประกอบไปด้วยสามบุรุษและสองสตรีกำลังเตรียมพร้อมออกเดินทางตามหาดอกไม้วิเศษ ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’


    “เอ้า! ดาบใหม่ของเจ้า” อาจารย์หนุ่มยื่นดาบเล่มหนึ่งให้กับลูกศิษย์สาวพร้อมกับเกราะมืออีกสองข้าง

    เทรนรับดาบจากอาจารย์ ดาบยาวถูกกระชากออกจากฝักโลหะสีดำเงามัน ใบดาบหนาคมกริบเปล่งประกายสะท้อนแสง กั่นดาบยาวสีเทาเข้มตัดกับสีเงินของดาบดูราวกับไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ด้ามจับพันแน่นด้วยหนังสีดำสนิท เกราะมือโค้งมนทำจากแร่เงินโค้งมนรับกับแขนเรียวของเธอ มีอักขระเวทจารบางๆให้เห็นอยู่ทั่วเกราะ ซองมือและเชือกรัดสีน้ำตาลกระชับพอดีแขน

    “อาจารย์ตีมันให้ข้าเหรอ?” เทรนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ลองตวัดฟันดาบสองสามครั้ง

    “การเดินทางครั้งนี้จะต้องสู้กับพวกปิศาจที่แข็งแกร่ง ลำพังดาบธรรมดาคงจะต่อสู้ได้ลำบาก ท่านอเซแมกเลยตีดาบที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ที่สามารถกำราบปีศาจได้เช่นเดียวกับดาบของเขา แถมยังให้ข้าประจุพลังเวทลงไปในดาบพร้อมๆกับศิลามนตราอีกด้วย” เบลตบบ่าเทรนจากด้านหลัง ยิ้มให้เธอ “ใช้มันฟาดฟันศัตรูเพื่ออาจารย์ของเจ้านะ”

    เทรนยิ้มดีใจ เก็บดาบลงฝักแล้วก้มหัวค้อมตัวคำนับผู้เป็นอาจารย์อย่างนอบน้อม อากิรอสเดินไปเปิดประตูบานใหญ่รอทุกคน ทั้งหมดก้าวเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องประชุม สีหน้าหนักแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น


    ที่ด้านหน้าตึกบัญชาการ แม่ทัพการ์เน็ตและแม่ทัพเฟทพร้อมด้วยกองทหารยืนรอส่งพวกเขาพร้อมด้วยม้าฝีเท้าดีห้าตัวเพื่อใช้สำหรับเดินทาง สัมภาระเตรียมพร้อมอยู่ในถุงย่ามห้อยพาดอยู่บนหลังม้า


    “ข้าหวังจะได้ประลองฝีมือเมื่อท่านเดินทางกลับมานะ” เฟท ฟาน เลวานธีน หรือ อเมธิส เฟท แม่ทัพลำดับที่สองเข้ามายืนประจันหน้ากับอเซแมก ยื่นบังเหียนคุมม้าให้เขา
    “ถ้าอย่างนั้น อีกหกเดือนเราพบกันที่นี่” อเซแมกชักดาบออกจากฝัก เฟทเข้าใจความหมาย ชักดาบของตัวเองออกมาเทียบแตะกับดาบของเขาเปรียบดั่งการจับมือสัญญาของลูกผู้ชาย

    “ขอให้ทุกท่านโชคดี ข้าหวังจะได้รับข่าวดีเมื่อเวลามาถึง” การ์เน็ตอวยพรให้พวกเขา ทหารอัญเชิญสร้อยตราอัศวินมาในถาดทองคำปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสด พวกเขาหยิบรับสวมคอแล้วขึ้นม้าควบออกจากตึกบัญชาการมุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทิศตะวันตก สถานที่ซึ่งมาเรีย ซินนาส สาวสวยปริศนาที่เพิ่งจะพบกันเมื่อคืนนัดหมายไว้



    “ตรงเวลาดีนะ” มาเรียหยิบนาฬิกาเรือนกลมเล็กจากเข็มขัดมาดูเมื่อพวกเขาชะลอม้าเข้ามาใกล้ เธอยิ้มแย้มกระโดดขึ้นหลังม้าที่ทากะขี่อยู่ “เอ้า! ไปกันเถอะ ข้ายิ่งรีบๆอยู่ด้วย” พูดจบก็เตะท้องม้าให้มันออกวิ่ง ทุกคนควบม้าตามหลังเธอผ่านประตูเมือง ทหารยามยืนตรงประทับอาวุธทำความเคารพพวกเขา


    เหนือหอคอยสังเกตการณ์ ชายปริศนาที่เคยปรากฏตัวในวันสุริยคราสจับตามองพวกเขาทั้งหกควบม้าไปตามทางมุ่งหน้าไปยังท่าเรือริมแม่น้ำริเรีย รอยยิ้มเยือกเย็นผุดขึ้นบนใบหน้า ดวงตาเผยแววปริศนาไม่สามารถอ่านออก เขาหายตัวไปพร้อมสายลมวูบหนึ่ง


    “ท่านจะให้ข้าไปส่งที่ไหน ท่านนักรบ” มาเรียถามเมื่ออเซแมกควบม้าขึ้นมาตีคู่ด้วย
    “เรียกข้าว่าอเซแมกเถอะ คนที่ควบม้าให้เจ้าคือทากะ ที่ตามหลังมาคือเทรนลูกศิษย์ข้า ส่วนอีกสองคนด้านหลังคืออากิรอสและเบลลานี่” เขาแนะนำชื่อของทุกคนให้รู้จัก มาเรียหันไปยิ้มให้ทุกคน

    “ก่อนอื่นข้ามแม่น้ำริเรีย ทางกองทัพได้จัดเรือรอไว้แล้ว จากนั้นมุ่งหน้าไปทิศตะวันตกพักค้างคืนที่หมู่บ้านแถบนั้น ข้ามทุ่งหญ้าลาทิทูโดไปจนถึงแนวป่าเนมุส”

    “ไกลน่าดูแฮะ อย่างน้อยๆก็ร่วมเดือนก่อนจะถึงป่าเนมุสละนะ” มาเรียบอก “ว่าแต่พวกท่านจะไปไหนกันต่อละ อย่าบอกข้าว่าจะเข้าหุบเขามรณะ!?” อเซแมกพยักหน้าตอบ

    “ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเจ้าจะไปแค่ชายป่าซะอีก คิดจะเข้าไปที่นั่น มีเก้าชีวิตยังไม่พอเล๊ย” มาเรียเกาหัว ส่ายหน้า “พวกเจ้าจะไปทำอะไรที่นั่นกันแน่”

    “พวกข้าจะไปตามหาดอกไม้วิเศษ ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’”
    “ดอกไม้เจ็ดสีในตำนานนั่นน่ะรึ? จะมีอยู่จริงรึเปล่านี่สิ” มาเรียร้องทัก
    “อย่างน้อยๆก็มีหนึ่งดอกที่ชิลโซลิธีละนะ นี่เจ้ารู้ตำนานดอกไม้ด้วยเหรอ?” เบลถาม

    “ดินแดนตะวันตกมีตำนานดอกไม้เจ็ดสีที่ทอแสงสายรุ้งตลอดเวลา สายน้ำที่ไหลผ่านดอกไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะรักษาโรคได้ร้อยแปดชุบชีวิตคนที่บาดเจ็บเจียนตายให้หายสนิทได้ แต่ผู้คนมากมายออกตามหาเท่าไรก็ไม่เจอตลอดหกร้อยปีที่ผ่านมา มันถึงได้เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น” มาเรียเล่า ยักไหล่เป็นที

    “ก็มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้นหละ มากันถึงขั้นนี้แล้ว” อากิรอสบอก ทุกคนยิ้มรับกับคำพูดนี้เพราะนี่คือหนทางที่พวกเขาเลือกและเป็นหนทางเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้เท่านั้น


    เสียงโลหะจากเกือกม้าย่ำพื้นดินเป็นจังหวะชวนให้หัวใจคึกคะนอง สายลมเย็นที่เข้าปะทะหน้าให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แสงสีส้มเริ่มทอแสงที่ขอบฟ้าด้านหลังไล่ขึ้นมา ดวงดาวจางหายไปจากท้องฟ้า ม้าทั้งห้าและคนทั้งหกเดินทางมาถึงท่าเรือในที่สุด

    ริเรียเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เกิดจากธารน้ำหลายสายจากเทือกเขาแอลเบียนไหลมารวมกัน คะเนความกว้างจากสายตาไม่ต่ำกว่าสี่ห้าร้อยเมตร กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลแรงตลอดเวลา เรือไม้ลำใหญ่จอดเทียบท่ารอผู้กล้าที่จะข้ามสายน้ำกว้างสู่ดินแดนตะวันตกที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นแดนเถื่อนเพราะอยู่นอกอำนาจของนครชิลโซลิธี

    พวกเขาต้องล่องเรือไปตามแม่น้ำสายนี้อีกสักพักเพื่อไปขึ้นที่ท่าเรือฟากตะวันตกอันเป็นเขตติดต่อเดียวกับหมู่บ้านฝั่งตะวันตก พวกเขาทั้งหกคนจึงขึ้นมาพักผ่อนบริเวณดาดฟ้าเรือซึ่งจัดที่นั่งและอาหารเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว

    “ว้าว! พวกเจ้ากินหรูกันแบบนี้ตลอดเลยเหรอเนี่ย” มาเรียตื่นเต้นเมื่อได้เห็นอาหารเลิศรสมากมายบนโต๊ะที่ชาวบ้านร้านรวงธรรมดาไม่มีโอกาสได้ทานตลอดชีวิตเลย
    “จริงๆแล้วพวกข้ากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ทางกองทัพก็จัดแบบนี้มาให้ตลอดเลย” เทรนบอกก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้ที่หัวโต๊ะให้กับผู้เป็นอาจารย์นั่ง
    “พวกเขาอุตส่าห์เตรียมมาให้ เราก็ต้องสนองน้ำใจพวกเขากินให้เต็มที่ งั้นข้าไม่เกรงใจละนะ” มาเรียบอกพลางหยิบอาหารจานโน้นจานนี้กินอย่างสบายใจ


    “ว่าแต่เจ้าไปทำอะไรมาละ พวกนั้นถึงได้ตามล่าเจ้าเมื่อคืนนี้” เทรนถามมาเรีย
    “ข้าปีนเข้าบ้านเศรษฐีคนหนึ่งน่ะ เห็นว่าได้เพชรน้ำดีเม็ดเบ้อเร่อมาก็เลยจะกะเข้าไปขโมย แต่เผอิญมัวแต่แอบดูยัยแนนนี่ลูกสาวของเจ้านั่นกำลังนัวเนียกับนักรบหนุ่มตั้งสิบกว่าคนก็เลยเผลอไปโดนด้ายสัญญาณเข้าน่ะ”

    “งั้นเจ้าก็เป็นหัวขโมยน่ะสิ” เทรนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    “ข้าเป็นขโมยแล้วยังไงละ สาวน้อย? เจ้าจะจับข้าไปส่งทางการงั้นรึ” มาเรียหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

    “ต่างคนก็ต่างเลือกหนทางการใช้ชีวิตต่างกัน มันเป็นวิถีนะ” อากิรอสบอกเทรน เธอหันหน้าไปมองผู้เป็นอาจารย์ เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับอากิรอส เธอจึงต้องนั่งลงเหมือนเดิม

    “ข้าจะเป็นหัวขโมยหรือเป็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก ข้าทำสิ่งที่ข้าอยากจะทำ ไปในหนแห่งที่ข้าอยากจะไปเท่านั้น” มาเรียบอก “โลกนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” เทรนได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบรับฟัง กำหมัดแน่น คนอื่นๆเข้าใจในสิ่งที่มาเรียพูดดีจึงมิได้โต้แย้งอะไร


    พอเริ่มสาย พระอาทิตย์ผงกหัวขึ้นทำมุมทแยงกับผืนแผ่นดิน นาวีลำใหญ่พาพวกเขามาส่งถึงท่าเรือฝั่งตะวันตก ทั้งหมดขึ้นม้าออกควบไปตามทางผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีและแนวป่ามุ่งหน้าสู่ทิศประจิม จนเวลาผ่านพ้นล่วงเลยจนบ่ายแก่ๆพวกเขาทั้งหมดจึงเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง



    “น่าแปลกปกติหมู่บ้านนี้จะคึกคักตลอดเวลา วันนี้ทำไมไม่มีคนเลยสักคน” มาเรียบอก ทั้งหมู่บ้านเงียบสนิท ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสัตว์อื่นราวกับทุกคนหายตัวไป ทั้งหกควบม้าผ่านประตูหมู่บ้านเข้ามาได้พอสมควรก็ยังไม่เห็นใครสักคน

    “ชักจะไม่ชอบมาพากลนะขอรับ” ทากะเอ่ยบอก ทุกคนตื่นตัวขึ้นเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ บรรยากาศเงียบจนชวนให้อึดอัดทุกขณะ


    “ช่วย... ช่วยด้วย” เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาจากด้านหลังบ้านหลังหนึ่ง ชายชรารูปร่างผอมแห้ง บาดแผลทั่วตัวเดินตัวสั่นออกมา ชาวบ้านคนอื่นปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆทุกคนอยู่ในสภาพเดียวกัน


    “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย?” มาเรียตกใจกับสภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะพวกเขาทุกคนล้วนถูกทำร้ายอาการสาหัส บางคนเนื้อที่แขนหลุดหายไปจนเห็นกระดูกขาวกับเนื้อแดงเหวอะ บางคนมีแผลขนาดใหญ่ที่คอ คราบเลือดแห้งกรังติดตามเนื้อตัวไปทั่ว


    เรื่องราวเกิดขึ้นไวจนเหลือเชื่อ ชาวบ้านในสภาพปางตายพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาด้วยความไวที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งหมดกระโดดพรวดออกจากหลังม้าไปด้านหลัง ชาวบ้านทั้งหมดรุมแทะทึ้งเนื้อม้ากินสดๆอย่างตระกุมตะกราม เสียงม้าร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเงียบหายไปเหลือแต่เสียงฟันและเขี้ยวฉีกกระชากเนื้อ

    “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมทุกคนถึงเป็นแบบนี้”
    “เจ้าถอยไปอยู่ข้างหลังดีกว่า” เทรนเดินขึ้นมาบังหน้าเธอ ชาวบ้านที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากผีดิบกระหายเลือดพุ่งตรงมายังพวกเขา

    “เจ้าคิดว่าข้าต่อสู้ไม่ได้หรือไงกัน?” แส้เส้นหนึ่งพุ่งผ่านหน้าเธอจากด้านหลังอย่างแรงทำเอาปลายผมสะบัด แส้เส้นนั้นฟาดเข้าเต็มๆหน้าของผีดิบที่พุ่งเข้ามาใกล้ที่สุดจนกระเด็นกลับไป เทรนหันไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา

    “อย่าคิดว่าข้าอ่อนแอจนต้องให้เจ้ามาปกป้องละ” มาเรียสะบัดแส้กลับมาอยู่ในมือ บิดคออยู่สองสามทีแล้วพุ่งออกหน้าไปก่อนใครเพื่อน


    “ตะกี๊พวกเจ้าขอให้ข้าช่วยใช่ไหม? ได้เลย ข้าจะให้พวกเจ้าพ้นทุกข์เอง โฮะๆๆๆ” เสียงหัวเราะของเธอดังลั่นพร้อมๆกับเสียงแส้ที่สะบัดฟาดใส่ร่างชาวบ้านคนแล้วคนเล่า เศษเนื้อและเลือดหลุดปลิวลอยไปทั่ว

    “นี่เจ้า! คิดจะฆ่าพวกเขารึยัง...” เทรนพูดยังไม่ทันจบ ชาวบ้านคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอ้าปากจะกัดขย้ำที่คอ แต่เธอไวพอที่จะหลบแล้วใช้ดาบฟาดใส่ต้นคอจนล้มลง “แค่ทำให้พวกเขาสลบก็พอแล้ว” พูดจบเทรนก็ต้องชะงักอีกครั้ง เพราะร่างที่น่าจะสลบไปแล้วกลับยันตัวขึ้นแล้วพุ่งเข้าหาเธออีกครั้ง

    ฉับ! เสียงดาบที่ถูกวาดด้วยความไวจนมองไม่ทันตัดเข้าที่คอของมันจนหลุดกระเด็นตกไปไกล อาจารย์หนุ่มของเธอเข้ามายืนอยู่ด้านหลังโดยที่เธอไม่รู้ตัว


    “ข้าสอนให้เจ้าประมาทอย่างนั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเป็นปกติ แต่แววตาที่มองลงมาก็บอกได้ว่าเขากำลังตำหนิเธออยู่ “ถ้าไม่ฆ่าก็ต้องถูกฆ่า นั่นคือกฎของสนามรบ ข้าไม่เคยบอกงั้นรึ!?” เทรนได้สติ ชักดาบออกช้าๆ ก้าวเท้ามายืนเคียงข้างชายผู้ประสิทธิ์ประศาสน์วิชาดาบให้

    “ข้าขอโทษ! ข้าเข้าใจแล้ว” เทรนกำดาบแน่น ร่างของชาวบ้านที่พุ่งเข้ามาหาเขาและเธอแต่ละคนล้วนต้องทรุดกายนอนราบลงกับพื้นดิน ศีรษะหลุดกระเด็นไปทั่ว



    “เฮ้อ เล่นลุยไม่ยั้งแบบนี้ พวกข้าก็ไม่มีบทน่ะสิ” อากิรอสบ่นอุบ
    “นึกว่าท่านจะเป็นคนขี้เกียจซะอีกนะขอรับ” ทากะถามเข้าให้ ทำเอาเบลถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังแต่ก็ยังดังน้อยกว่าเสียงหัวเราะสะใจของมาเรียที่ตอนนี้ยังเพลิดเพลินไปกับการฉีกกระชากเนื้อด้วยแส้



    ร่างสุดท้ายของชาวหมู่บ้านนี้ที่กลายเป็นตัวประหลาดฟุบลงกับพื้นพร้อมกับส้นเท้าของมาเรียที่เหยียบเข้าที่กลางหลัง “โฮะ โฮะ โฮะ! สะใจจริงๆ ไม่ได้สะใจแบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย”



    “ข้าบอกแล้วนะว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิด” มาเรียเดินเข้ามาประจันหน้ากับเทรน ม้วนสายแส้เข้าที่เอวเหมือนเดิม เทรนกำหมัดแน่น
    “ถ้าเป็นพวกคนเลวละก็ มันตายไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว” เทรนพูดในขณะที่มาเรียเดินสวนไปด้านหลัง
    “แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนดีคนเลว หรือใครเป็นมิตรหรือศัตรูละ” มาเรียถามกลับ เทรนตอบเธอไม่ได้


    “ว่าแต่ทำไมชาวบ้านถึงได้กลายเป็นผีดิบไปหมดนะ” เบลถามขึ้นลอยๆขณะที่นั่งลงตรวจสอบซากศพ
    “ข้าสัมผัสถึงพลังเวทบางๆนะ” อากิรอสยืนหลับตารวมสมาธิเพื่อสัมผัสในสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยสายตา เบลลานี่ได้ยินดังนั้นจึงหลับตาสัมผัสถึงพลังเวทเช่นกัน




    ท้องฟ้ามืดมิดลงอย่างฉับพลันราวกับมีมือยักษ์คั่นกลางระหว่างพวกเขาและดวงอาทิตย์ เงาของวัตถุขนาดใหญ่จากท้องฟ้าหล่นมายังพวกเขาด้วยความเร็วสูง อเซแมกคว้าเอวเทรนขึ้นหนีบข้างตัวแล้วพุ่งออกไปสุดฝีเท้า ในขณะที่มาเรียก็โดนทากะหิ้วขึ้นบ่าพุ่งหนีไปอีกทาง เหลือแต่อากิและเบลที่ยังไม่ขยับไปไหน


    ตูม! หินก้อนมหึมาที่ใหญ่กว่าหมู่บ้านปะทะกับพื้นดินเต็มแรงจนฝุ่นควันฟุ้งไปทั่ว ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่นล้มระเนระนาด

    ณ จุดที่อากิและเบลยืนอยู่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆเพราะทั้งคู่ใช้กำแพงเวทป้องกันไว้ได้



    “ต้อนรับกันแรงไปหน่อยไหมเนี่ย” อากิรอสบ่นอุบอิบ เกาหัวแกรกๆ
    “เจ้าไม่คิดจะตอบคำถามข้าหน่อยเหรอ กุห์ฟาน” อากิรอสเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้ามองชายคนหนึ่งที่ลอยตัวอยู่ แววตาแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยโทสะ บรรยากาศจากตัวเขาเปลี่ยนไปในทันที

    “ข้าก็ไม่คิดว่าของแค่นี้จะทำให้ท่านสองคนต้องเป็นรอยแผลสะกิดนะ” ชายที่ชื่อกุห์ฟานตอบกลับ ผมสีแดงเพลิงปลิวตามจังหวะของสายลม ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้าในคืนที่ไร้แสงเดือนแสงดาว เขาคือคนที่ปรากฏตัวขึ้นในสเตเดียมในวันเหตุการณ์ ‘สุริยคราส’

    “ของขวัญที่ข้าเตรียมให้เป็นยังไงละ? สนุกไหม” เขาถามแล้วหัวเราะออกมาเบาๆเพราะทั้งอากิรอสและเบลลานี่กำลังโกรธจัด พลังเวทแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง



    พริบตาเดียวอากิรอสโผล่พรวดมาอยู่ตรงหน้ากุห์ฟานในท่าเงื้อขวานสุดกำลังแขนหมายจะฟาดฟันชายตรงหน้าให้ดับดิ้นตายไป ส่วนเบลลานี่โผล่มาด้านหลังพร้อมด้วยขลุ่ยเงินในมือที่บัดนี้ถูกชี้เป้าหมายมายังกุห์ฟานพร้อมด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงพุ่งออกมาราวกับมังกรพ่นไฟ ทว่าการโจมตีของทั้งคู่ถูกสกัดไว้ได้อย่างง่ายดาย รอบตัวของกุห์ฟานมีม่านพลังล้อมรอบอยู่ ขวานของอากิถูกหยุดอยู่เบื้องหน้าห่างไปไม่เท่าไร ส่วนเพลิงไฟของเบลลานี่กระจายออกเข้าไม่ถึงตัว

    “พวกท่านสองคนยังใจร้อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
    “ใครจะเปลี่ยนไปเหมือนเจ้าละ!!” อากิรอสแผดเสียงคำรามพร้อมเกร็งพลังมากขึ้น พลังเวทสองสายเสียดสีเป็นประกายแปลบปลาบแต่ก็ยังทำอันตรายกุห์ฟานไม่ได้

    เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลอากิรอสจึงถอนตัวถอยห่างออกมา เบลลานี่ถอยไปยืนกระหนาบอยู่ด้านหลังเช่นกัน กุห์ฟานเหลือบกลับไปมองเบลลานี่ก่อนจะหันกลับมามองอากิที่จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


    “นักมนตรางั้นรึ?” อเซแมกที่ดูสถานการณ์อยู่ด้านล่างเอ่ยขึ้น “แข็งแกร่งมากด้วยสิ”
    “งั้นก็ต้องไปช่วยพวกเขาแล้วละ” เทรนร้องบอก

    แต่ยังไม่ได้ทันจะทำอะไร ราวกับมีบางอย่างกดทับร่างของพวกเขาลงกับพื้นดินอย่างแรง เทรนฟุบลงนอนคว่ำหน้ากระแทกกับพื้นที่เริ่มจะแตกตัวเพราะแรงกดดัน ส่วนอเซแมกยังเกร็งกำลังขาปักดาบลงพื้นต้านไว้ ด้านทากะก็ไม่ได้สบายไปกว่ากันเพราะถูกพลังประหลาดกดไว้เช่นกัน

    “เฮ้! พวกเจ้าเป็นอะไรไปกันน่ะ” มาเรียตะโกนถาม พยายามจะดึงทากะให้ลุกยืนขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้


    “ข้าอุตส่าห์ไม่ใช้เวทกับเจ้าเพราะอยากจะเชือดคอขาวๆนั่นด้วยมือตัวเองเชียวนะ ขอบคุณข้าซะละ”
    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังมาเรีย เธอหันขวับไปมองหาเจ้าของเสียงก็พบว่าเป็นผู้หญิงในชุดกระโปรงบานสีดำสนิท ผมเรียบยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตากลมโตแต่ฉาบแววแห่งความรุนแรงออกมา


    “เจ้าเป็นใครกันยะ?” มาเรียถามยียวน
    “ก่อนจะถามชื่อคนอื่นน่ะ หัดบอกชื่อตัวเองก่อนสิ”
    “ต๊าย เป็นผู้ดีเกินคาดนะเนี่ย” มาเรียแขวะกลับตรงๆ อีกฝ่ายชะงักไปกับฝีปากของมาเรีย

    “ดูท่าจะปากดีกว่าที่คิดนะ” ร่างของเธอพุ่งพรวดเข้าหามาเรีย มือสองข้างกระชากมีดสั้นคมกริบออกมาจากฝักที่ห้อยอยู่ด้านหลัง มาเรียกระโดดถอยไปด้านหลังพร้อมกับสะบัดแส้จากเอวเข้าใส่หน้าอีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายโยกคอหลบได้ง่ายๆ


    “ใช้ของเด็กเล่นแบบนี้คิดว่าจะโดนข้างั้นเหรอ”
    “ก็ไม่แน่หรอกย่ะ” มาเรียสะบัดดึงแส้กลับทันที ปลายแส้ที่เป็นปุ่มเล็กๆรั้งกลับมาอย่างไวโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ต้นคอของศัตรู บังคับให้อีกฝ่ายต้องหยุดการรุกคืบและโยกหลบอีกครั้ง

    “เป็นไงละ รสชาติของของเล่นน่ะ” มาเรียสะบัดแส้ให้เกิดเสียงดัง อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบแก้มดูก็พบว่ามีเลือดแดงสดติดปลายนิ้ว

    “บังอาจนักนะยะ นังสารเลวววววววววววววววววววววว!!!” เธอแผดเสียงร้องตะโกน หายใจแรงสองสามทีแล้วก็เปลี่ยนมายิ้มหวานให้กับมาเรีย

    “ก็ได้ ข้าจะบอกชื่อของข้าให้รู้ก็ได้ จำไว้ให้ดีละ ‘ไบท์ ไวท์แฟงค์’ คนที่ฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆยังไงละ!” ไบท์พุ่งเข้าหาอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไวกว่าเดิมมากนัก มาเรียรู้ทันสะบัดแส้ให้ไวกว่าเดิมเช่นกันแต่ไบท์พุ่งพลางหลบจนเข้าประชิดตัวได้ในที่สุด

    “จบสักทีนะนังตัวดี” อีกฝ่ายคำรามออกมา เงื้อมีดเตรียมกะซวกหน้าท้องขาวๆของมาเรีย
    “เจ้าต่างหากละที่จบ” มือขวาของมาเรียไม่อาจทำอะไรได้เพราะสะบัดแส้ออกไปสุดแขนแล้ว แต่มือซ้ายของเธออยู่ในระดับเอวพร้อมกับปืนในมือหนึ่งกระบอก ไบท์เบิกตาโพลงเมื่อเห็นปากประบอกปืนอยู่ไม่ห่างจากหน้าผากเท่าไรนัก


    เปรี้ยง! เสียงดินปืนในปลอกเหล็กถูกจุดชนวนจากเข็มแหลมที่พุ่งเข้ากระแทกตามจังหวะเหนี่ยวไก เผาไหม้ผลักดันกระสุนทองแดงให้พุ่งออกจากปากประบอกปืนด้วยความเร็วสูงสุด ไบท์ถอยกรูดไปด้านหลังยกมือขึ้นปิดแก้มอีกข้าง เลือดไหลลอดออกมาตามหว่างนิ้ว แววตาโกรธบึ้งเต็มที่

    “ของเล่นเยอะนักนะ” น้ำเสียงขุ่นข้อง กัดฟันกรอด
    “ก็แค่นิดหน่อยๆเองนะ” มาเรียยิ้มให้ ยกปืนขึ้นเป่าควันจากปากกระบอก “มาเล่นกันต่อนะคะ” เธอแสยะยิ้มเต็มที่ มือขวาหยิบปืนอีกกระบอกออกมาเตรียมพร้อม



    กุห์ฟานที่ยังดูเชิงกับอากิรอสและเบลลานี่อยู่เหลือบมองดูการต่อสู้ระหว่างสองสาวด้านล่าง อากิได้โอกาสหายตัววูบเข้าประชิดพร้อมแทงขวานเข้าใส่

    เคร้ง!! เสียงของโลหะกระทบกันก่อนที่ปลายแหลมของหอกจะถึงตัวกุห์ฟาน ชายคนหนึ่งเข้ามาขวางทั้งคู่ไว้ ผมสีเทาซีด มีพันใบหน้าครึ่งล่างไว้ ดาบสีดำสองเล่มในมือทแยงรับขวานอยู่

    “ข้าจะแนะนำคู่หูของข้าให้นะ ‘อิซาเรีย ควิน’ แห่งทารัส” กุห์ฟานยิ้มยั่ว อิซาเรียเกร็งขาดันอากิกลับไปข้างหลังพร้อมรุกจู่โจมซ้ายขวาด้วยเพลงดาบสองมืออย่างว่องไว อากิทำได้แค่ปัดป้องเท่านั้น

    “แค่นี้เองเหรอ!? นักเรียนดีเด่นแห่งโรงเรียนเวทมนต์” เขาซัดอากิร่วงจากท้องฟ้าลงกระแทกกับพื้นดินเสียงดังสนั่น

    กุห์ฟานหายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่เข้าประชิดด้านหลังเบลลานี่ ล็อกคอและจับข้อมือของเธอได้อย่างง่ายดาย
    “นี่เราไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” เขากระซิบที่ข้างหูแล้วไซร้หอมซอกคอของเธอ

    “ก็นานพอที่ข้าจะลืมหน้าเจ้าไปแล้วละนะ” เบลลานี่ขยะแขยงแต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้
    “เจ้าจะลืมข้าได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?” อีกฝ่ายสวนกลับทันควัน



    อเซแมกที่ตอนนี้ถูกเวทตรึงไว้ ฝืนตัวขยับเข้าใกล้เทรนทีละนิดจนถึงตัวลูกศิษย์สาวในที่สุด เขากระชากดาบเล่มใหม่ที่เพิ่งตีขึ้น ยัดมันเข้ามือของเธอกุมมือประสานปักดาบลงกับพื้น

    “เทรน! ตั้งสติไว้ จำมนต์บทที่ข้าจะสอนเจ้าให้ดีๆละ” เธอพยายามผงกหน้ารับคำเขา

    “ด้วยจิตวิญญาณพิสุทธิ์ที่สถิต ณ ศาสตราแห่งข้า จงสำแดงพลังของเจ้าออกมาเพื่อฟาดฟันศัตรูแห่งข้า”

    “เวนโต้ แซงติ!” (สายลมศักดิ์สิทธิ์)


    ดาบเงินเปล่งประกายเจิดจ้า สายลมวูบหนึ่งพัดมาล้อมรอบพวกเขาทั้งสองรวมถึงทากะด้วย ทั้งสามหลุดจากเวทพันธนาการของศัตรูทันที อเซแมกกระชากดาบออกจากฝักพุ่งขึ้นไปยังกุห์ฟาน ทากะรุดไปช่วยมาเรีย ส่วนเทรนละล้าละลังก่อนจะวิ่งไปหาอากิที่กำลังโดนกระหน่ำซัดถอยร่น




    คมดาบหนึ่งแหวกตัดอากาศและพื้นดินเป็นทางเข้าขวางมาเรียและไบท์
    “มีอะไรให้ข้าช่วยไหมขอรับ แม่นาง” ทากะก้าวเดินมาจากด้านข้าง มือจับที่ด้ามดาบที่บัดนี้กลับไปอยู่ในฝักแล้ว
    “คงต้องตอบแทนสำหรับเวทผูกมัดหน่อยแล้วละขอรับ” เขาพูดหน้าตาย แต่น้ำเสียงน่ากลัวนัก



    เทรนพุ่งเข้าไปรับดาบของอิเซเรียที่กำลังโหมรุกอากิ ทั้งคู่ปะทะดาบกันแล้วถอยไปตั้งหลัก
    “ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เองนะคะ คุณชายปริศนา” เธอยิ้มก่อนจะพุ่งเข้าหาศัตรู ฟาดดาบใส่อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง



    อเซแมกฟาดดาบเข้าใส่กุห์ฟานที่ยังล็อกคอเบลลานี่จากด้านหน้าตรงๆปะทะเข้ากับกำแพงเวทเต็มๆ
    “ฟาดฟันอย่างไม่ลังเล ไม่กลัวตัวประกันจะเป็นอันตรายเลย ยอดจริงๆ” กุห์ฟานเอ่ยชม แต่แท้จริงแล้วหวังจะป่วนประสาทเขา

    “ถ้าตัวประกันตายพร้อมกับคนชั่วอย่างเจ้า ข้าก็ยินดีนะ” อเซแมกกดดาบเข้าใส่อีกครั้ง อาศัยแรงปะทะดีดตัวกลับไปลอยกลางอากาศดุจนักเวทอย่างที่เบล อากิและกุห์ฟานทำได้

    “โฮ่! ไม่เสียชื่อหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้า แม้กระทั่งวิชาเวทก็ยังใช้ได้”
    “ขอบใจ แต่ข้าหวังจะได้หัวของเจ้าแทนคำชมจอมปลอมนั่นนะ”


    อเซแมกตั้งท่าดาบเตรียมพร้อมเข้าปะทะ กุห์ฟานชิงหอมแก้มเบลลานี่แล้วปล่อยมือเธอ เบลหันหลังขวับสะบัดมือใส่หมายจะตบหน้าแต่กุห์ฟานก็หลบออกไปไกลแล้ว

    “วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ข้าสนุกพอแล้วละ” เขาดีดนิ้วหนึ่งที ใต้เท้าของอิเซเรียและไบท์พลันเกิดวงเวทเล็กสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกำแพงเวทป้องกันพวกเขาที่กำลังถูกรุมอยู่


    “รอยแผลนี้ ข้าจะกลับมาทวงเจ้าคืนแน่ นังตัวดี!” ไบท์กัดฟันกรอด
    “มาเรีย ซินนาส ชื่อของข้า อย่าลืมซะละคนที่ฝากรอยแผนบนหน้าเจ้า” มาเรียสวนกลับไปแต่ร่างของเธอก็หายไป ทางฝั่งเทรนและอากิก็เช่นกัน อิซาเรียหายไปพร้อมวงเวทแล้ว

    “เจอกันคราวหน้า ข้าหวังว่าจะสนุกกว่าวันนี้นะ ‘ศิษย์พี่’อากิรอส” กุห์ฟานดีดนิ้วอีกครั้งแล้วหายตัวไป


    “โธ่เว้ยยยยยยยยยยยย!” อากิตะโกนลั่น สับขวานลงพื้นเสียงดังสนั่น ทรุดเข่าลงนั่งนิ่งเงียบ เบลลานี่ยืนหลับตาเงยหน้าขึ้นฟ้าอยู่ด้านหลังเขา



    เส้นด้ายที่เคยผูกรั้งและขาดสะบั้นจากกันในอดีต ถูกสายลมแห่งชะตากรรมพัดหวนกลับมาผูกมัดเขาและเธอไว้อีกครั้ง



    To be continue…
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 6


    บรรยากาศยามสนธยาผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบ เหล่านกน้อยใหญ่โผบินรวมฝูงมุ่งหน้ากลับสู่รังรวงของตัวเอง ท้องฟ้าฟากตะวันตกถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ฝั่งตรงกันข้ามกลับมืดมิดลงเป็นสีเทาดำ

    เปลวเพลิงลุกโชนจากกิ่งไม้แห้งที่กองสุมรวมกันเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทั้งยังให้แสงสว่างต่อสู้กับความมืดแห่งค่ำคืนที่กำลังคืบคลานมาช้าๆ เนื้อกระต่ายป่าถูกเสียบไว้ด้วยไม้เหลาแหลมปักอยู่รอบๆ อาศัยพลังความร้อนจากอัคคีธาตุทำให้สุก


    อเซแมก เทรน ทากะ มาเรีย อากิรอสและเบลลานี่ ต่างนิ่งเงียบมองดูเพลิงไฟเผาลามเลียไม้ฟืน ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไม่มีใครเอ่ยวาจาใดๆออกมาเป็นเวลานานแล้ว



    “โอ๊ย! จะเงียบกันไปถึงไหนเนี่ย พวกเจ้าเป็นใบ้ไปหมดแล้วรึไงกัน!”

    มาเรียทนไม่ได้กับสภาพที่ชวนอึดอัด ระเบิดเสียงดังลั่นพร้อมลุกขึ้นยืนมองทุกคนที่ยังไม่เปลี่ยนอิริยาบถใดๆ ยิ่งเห็นอากิรอสทำหน้าซังกะตายราวกับไม่มีชีวิตยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นไปอีก ยกขาขวาขึ้นสูงเหยียบต้นคอจากด้านหลัง อากิรอสหน้าคะมำทิ่มพื้นตามแรงถีบ

    “จะมัวซึมไปไหนกัน หา! ปกติเจ้าเป็นคนพูดมากไม่ใช่เหรอ!? ข้ายังมีเรื่องต้องถามเจ้าเกี่ยวกับเจ้าพวกนั้นอีกเยอะ ถ้าไม่คิดจะอ้าปากละก็ ข้าจะทำให้เจ้าอ้าปากเอง”

    “เฮ้!”
    เทรนร้องขัดขึ้นที่เห็นมาเรียทำแบบนั้น ทากะที่นั่งอยู่ใกล้ๆจับบ่าของเธอเป็นเชิงห้ามพร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่ควรเข้าไปขัดตอนนี้ อากิรอสยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆแม้ใบหน้าจะยังแนบสนิทกับพื้นดินด้วยแรงขาของมาเรียก็ตาม


    “โอ๊ย! น่าเบื่อเสียจริง หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายแทนที่จะมัวทำตัวแห้งเหี่ยวแบบนี้ละก็ สู้ตายไปตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายยังจะดีกว่าซะอีก” เธอเลิกตอแยกับอากิรอส ดึงไม้เสียบเนื้อกระต่ายย่างกลับไปนั่งพิงต้นไม้กินอย่างหงุดหงิด

    “อย่าโทษอากิเลย” เบลเอ่ยพูดเสียงเบาๆ “ข้าจะเล่าให้ฟังเอง”



    “คนที่ปรากฏตัววันนี้เป็นรุ่นน้องของพวกข้าที่โรงเรียนเวทมนต์ ชื่อ ‘กุห์ฟาน รีส รียาส’ เขาถูกกล่าวขานว่าเป็นนักเวทอัจฉริยะในรอบหลายร้อยปีของอาณาจักร” เบลหยุดและถอนหายใจเมื่อเล่าถึงตรงนี้

    “พวกข้าสามคนเคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน แม้จะถูกคนอื่นยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะแต่เขากลับนับถืออากิเป็นดั่งอาจารย์ของเขา ข้ากับเขาเคยคบหากันในฐานะคนรักอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่ง...” เสียงเธอเงียบหายไปในลำคอ


    “เจ้านั่นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน” เสียงของอากิดังขึ้น เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง ปัดดินออกจากผมและใบหน้าแต่ดวงตายังถูกซ่อนอยู่หลังเปลือกตา ไม่อาจรู้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นใด

    “ห้าปีก่อน... กุห์ฟานอาละวาดอย่างบ้าคลั่งเข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย สุดท้ายแล้วเขาก็หนีออกจากอาณาจักร ทิ้งไว้เพียงโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจลืมเลือนได้” อากิรอสกำสองหมัดแน่นจนสั่น

    “สาเหตุหนึ่งที่พวกเราออกเดินทางก็เพื่อจะสืบข่าวคราวของเขา” เบลบอกกับทุกคน น้ำเสียงเกือบจะกลับมาเป็นปกติ

    “ตอนนี้เราก็คงทำอะไรกับพวกเขาไม่ได้ จุดมุ่งหมายของเรามีเพียงรีบไปหาดอกไม้รุ้งสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น” อเซแมกกล่าว
    “แต่ถ้าเป้าหมายของพวกนั้นคือการแย่งชิงดอกไม้วิเศษละ อาจารย์?” เทรนถามขึ้นมา


    “ข้าจะหยุดเจ้านั่นเอง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
    “ข้าไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้กุห์ฟานเปลี่ยนไป แต่ถ้าหากคิดจะขัดขวางข้าละก็ ข้าจะทำให้มันสำนึกเสียใจเอง” อากิรอสลืมตาขึ้น แววตาแฝงด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแม้จะเจือปนด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็ตาม

    “สู้เขายังไม่ได้แล้วเจ้าจะเอาอะไรไปหยุดมันละ” มาเรียถาม โยนไม้เสียบลงในกองไฟ

    “ก็คงจะใช่ที่ตอนนี้ข้ายังสู้กุห์ฟานไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง” อากิรอสบอกแล้วเอื้อมมือดึงไม้เสียบเนื้อกระต่ายตรงหน้าขึ้นกินเงียบๆ คงมีเพียงเบลลานี่ที่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด มาเรียไม่เอ่ยถามใดๆอีกนั่งหลับตาพิงต้นไม้อยู่เงียบๆ



    ลมหนาวกลางดึกพัดเข้าปะทะจนเปลวไฟโยกไหว อากิ เบลและมาเรียอาศัยผ้าคลุมกำบังกายไล่ความหนาวเหน็บนอนหลับอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ เทรนกำลังลิดกิ่งไม้ทำฟืนเพิ่มเติม ส่วนอาจารย์ของเขาและนักดาบดินแดนมายาอยู่เฝ้าเวรด้านนอก


    “เรื่องราวดูจะซับซ้อนนะขอรับ” ทากะชวนคุย
    “ข้าก็ไม่ได้คิดว่าการเดินทางจะราบลื่นนักหรอกนะ เพียงแต่ว่า...” เขาหยุดประโยคไว้แค่นั้น แต่สายตาของทากะที่กำลังจ้องมาทำให้เขาต้องพูดต่อ “ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่า พวกเขามุ่งเป้ามาที่พวกเราแน่นอน”
    “ข้าน้อยไม่อยากจะเชื่อลางสังหรณ์ของท่านเท่าไรหรอกขอรับ คงจะดีหากครั้งนี้ท่านสังหรณ์ผิดไปเอง”
    “ข้าก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ” อเซแมกเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวบนท้องฟ้าอย่างไร้ความหมาย “พวกเรายังห่างไกลจากเป้าหมายมากนัก วันข้างหน้าจะเจออะไรอีกบ้างก็ไม่รู้ ข้าหวังเพียงแต่ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จโดยเร็วเท่านั้น”
    “หากเป็นเช่นนั้น ท่านคงต้องเหนื่อยหน่อยละนะ” เสียงของเบลลานี่ดังขึ้นจากด้านหลัง “ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มั่นใจในตัวเองอย่างท่านจะรู้สึกกังวลเช่นนี้ได้”
    “มีใครบ้างละที่ไม่กังวลต่ออนาคตที่ไม่อาจรู้ได้ ข้าไม่ใช่เทพยากรณ์ที่ล่วงรู้ทุกอย่างหรอกนะ”

    “ข้าหลงนึกว่าคนรอบรู้เช่นท่านจะรู้วิชาทำนายทายทักกับเขาบ้าง” เธอเดินมายืนข้างๆเขา ทั้งสามเรียงยืนหน้ากระดานมองลึกไปยังแนวป่าที่มืดมิด เสียงแมลงใหญ่น้อยประสานเสียงบรรเลงบทเพลงแห่งพงไพรขับกล่อมให้ผู้คนที่ได้ฟังหลับใหล
    “ถ้าข้าล่วงรู้ทุกอย่างก็คงจะดีไม่น้อย น่าเสียดายที่ทำให้เจ้าผิดหวัง” อเซแมกตอบเธอ
    “แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อละขอรับ” ทากะถามขึ้น
    “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก มุ่งหน้าสู่ตะวันตกแล้วก็ปีนเขาขึ้นเหนือไปจนสุด เก็บดอกไม้วิเศษแล้วกลับก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเจอตัวประหลาด ปีศาจ หรือว่าใครขวางทาง ข้าก็จะพิชิตมันลงด้วยดาบของข้านี่แหละ” ทากะผู้ถามพยักหน้ากับคำตอบของเขา เบลลานี่ยิ้มขึ้นเล็กๆก่อนจะหันหลังกลับไปพักผ่อนข้างกายคู่หูที่บัดนี้นอนหลับไม่รับรู้เรื่องราวใดๆรอบตัว



    รุ่งเช้าหวนคืนพร้อมกับค่ำคืนที่หายไป วัฏจักรของธรรมชาติหมุนวนเฉกเช่นนี้เป็นเวลานับตั้งแต่ทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้นและจะดำรงอยู่ต่อไปตราบจนวันสุดท้ายแห่งสรรพสิ่งทั้งมวล ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยกฎแห่งธรรมชาติคือความสมดุล


    ผู้กล้าทั้งห้าและคนนำทางอีกหนึ่งที่รับอาสาจักรพรรดิชิลโซลิธีออกตามหาดอกไม้วิเศษในตำนานกำลังวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวไปสู่ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่าแดนเถื่อน แม้ว่าพวกเขาจะต้องอาศัยเท้าเปล่าสองข้างเป็นพาหนะเดินทางก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยใดๆ


    “ถ้าพวกเจ้าเร่งฝีเท้าอีกนิด อีกไม่ไกลนักมีหมู่บ้านเล็กๆให้แวะพักคืนนี้ได้นะ” มาเรียที่วิ่งนำหน้าทุกคนหันมาบอก
    “ไม่ละ ต่อไปนี้พวกเราจะไม่แวะพักที่หมู่บ้านไหนอีก ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านต้องรับเคราะห์หากกุห์ฟานคิดจะโจมตีพวกเราอีก” อเซแมกบอก
    “นอนกลางดินกินกลางป่ากันเหมือนเดิมสินะ” มาเรียถามพลางถอนหายใจ “ข้าอยากอาบน้ำอุ่นๆ นอนเตียงนุ่มๆบ้างนะ”
    “ช่วยไม่ได้นี่นา ข้าเองก็ไม่อยากให้คนบริสุทธิ์มาพัวพันกับการต่อสู้เท่าไรหรอก” เทรนตอบ
    “ไม่ถึงกับตัดขาดหรอก เพราะยังไงเราก็ต้องแวะหาข่าวสารและซื้อของที่จำเป็นบ้าง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็หลีกเลี่ยงจะดีกว่า” อเซแมกสรุป
    “เข้าใจละ” มาเรียถอนหายใจหนักๆอีกครั้ง “งั้นก็ไม่ต้องรีบแล้วละ ยังไงๆคืนนี้ก็เหมือนเดิมนี่นะ”

    ทั้งหมดวิ่งรุดหน้าไปยังดวงอาทิตย์ที่บัดนี้โคจรลอยต่ำใกล้จะแตะขอบฟ้าเต็มที



    วันและคืนเปลี่ยนผ่านตามการหมุนของโลก พระอาทิตย์ผลัดมือกับพระจันทร์ทำงานคนละครึ่งเวลา จนล่วงผ่านไปสิบวันจากวันแรกที่กลุ่มของผู้กล้าถูกกุห์ฟานเข้าโจมตี พวกเขารุดมาจนถึงเขตแดนสุดท้ายที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอาศัยอยู่ หากเลยจากหมู่บ้านนี้ไปแล้วก็จะถึงเขตทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนได้ชื่อว่า ‘ลาทิทูโด’ อันแปลความได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล


    “เย็นนี้ข้าขอแวะที่หมู่บ้านข้างหน้าได้ไหม? ข้ามีของที่จำเป็นต้องซื้อ” มาเรียถามทุกคนเมื่อเดินทางมาจนมองเห็นหอคอยกลางหมู่บ้านได้ไกลๆ
    “หากเจ้าต้องการซื้อของก็แวะเถอะ ข้าเองก็อยากหาข่าวสารเหมือนกัน” อเซแมกตอบ


    อากิรอสและเบลลานี่ขออาสาไปสำรวจดูภายในหมู่บ้านดูก่อน หากว่าชาวบ้านถูกควบคุมไว้พวกเขาจะได้รับมือและแจ้งให้ทุกคนรู้ได้ทัน ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงทั้งสองจึงออกมาแจ้งว่าหมู่บ้านปลอดภัย พวกเขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังเวทใดๆในหมู่บ้าน ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดประจำหมู่บ้าน

    “นี่ เจ้าไปกับข้าได้ไหม ทากะ” มาเรียเอ่ยถาม แต่ทากะไม่ได้สนใจฟัง
    “ข้าถามว่าเจ้าจะไปกับข้าได้ไหม” มาเรียตบผัวะลงที่บ่าของเขาแล้วยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มสยดสยองมากกว่า
    “มีอะไรขอรับ” ทากะหันมาตอบแบบงงๆชวนให้มาเรียหงุดหงิดยิ่งนัก สุดท้ายเธอก็ลากเขาไปโดยไม่รอคำตอบ

    ส่วนสมาชิกอีกสี่คนที่เหลือเดินดูรอบๆตลาดพลางซื้อของไว้ใช้สำหรับการเดินทางข้างหน้า อเซแมกเดินเข้าร้านขายอุปกรณ์และไอเทมเวทมนต์เพื่อหาดูของที่จำเป็น เทรน อากิและเบลเดินตามเข้าไปด้วย


    “อ้าว! ไม่ได้เห็นนักเดินทางจากฝั่งตะวันออกนานเท่าไรแล้วนะ” เจ้าของร้านวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านทักทายทุกคน “เชิญตามสบายเลย อยากได้อันไหนหยิบๆเอาเลยนะ”

    อเซแมกเลือกดูหินเวทมนต์สีต่างๆบนชั้นวาง ส่วนอากิและเบลสนใจเกราะต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นจากโลหะเวทมนต์ ทางด้านมาเรียและทากะตอนนี้อยู่ที่ร้านขายอาวุธ เธอกำลังเลือกซื้อกระสุนปืนอยู่ ทากะยืนพิงประตูเหม่อลอยไม่สนใจสิ่งใดจนมาเรียมาสะกิดเขา

    “เอาเงินมาหน่อยซิ ข้าจะไปจ่ายค่ากระสุน” มาเรียแบมือกว้าง
    “เงิน? เงินของข้าน้อยหรือขอรับ” ทากะถามแบบงงๆ
    “ยังจะมีใครอีกกันละ เจ้านี่มันชวนโมโหจริงๆเลย” มาเรียยื่นมือเข้าไปใกล้เขาอีก

    ทากะส่งถุงเงินให้เธออย่างว่าง่าย มาเรียเดินไปจ่ายเงินเสร็จก็หย่อนถุงเงินคืนให้เขาแล้วเดินผิวปากออกจากร้านอย่างสบายใจ ทากะเดินตามเธอออกไปโดยไม่เอะใจเลยว่าเงินในถุงได้หายไปหมดแล้วมีเพียงกระสุนปืนใส่ไว้เต็มเท่านั้น


    หลังจากที่ทุกคนกลับมารวมตัวกัน ณ จุดนัดหมายแล้ว ทั้งหมดมุ่งหน้าออกเดินทางต่อทันที

    “อาจารย์ ทำไมท่านไม่ซื้อม้าจากหมู่บ้านนี้ละ ข้าได้ยินว่าเขามีขายที่ด้านท้ายหมู่บ้านนะ” เทรนถาม
    “นี่! ยัยหนู ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะไม่รู้ว่าคนแถบนี้เขาไม่ใช้ม้าเดินทางข้ามลาทิทูโด เพราะสภาพที่นั่นเป็นดินชุ่มน้ำซ้ำบางจุดเป็นแอ่งลึก ม้าผ่านไปไม่ได้หรอก” มาเรียอธิบาย เทรนพยักหน้าเข้าใจ

    “งั้นคืนนี้พวกเราแวะค้างที่ชายป่าก่อนเข้าทุ่งหญ้าก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะได้เดินทางแต่เช้าตรู่เลย” เบลลานี่แนะนำ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย



    ทากะส่งสัญญาณว่ามีกลุ่มคนติดตามพวกเขาอยู่ซึ่งทุกคนก็รับรู้ได้อยู่แต่แรกแล้วแต่ทำเฉยไว้ เมื่อผ่านแนวชายป่าออกสู่ลานกว้างก่อนจะถึงแนวป่าถัดไป ทั้งหกคนหยุดวิ่งทันทีและล้อมวงประชิดหันหลังชนกันเตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมจากผู้ที่ติดตามมา


    ลูกธนูจำนวนมากถูกดีดจากเชือกที่รั้งอยู่กับคันศรพุ่งแหวกอากาศมายังพวกเขา แต่ทั้งหมดนั้นถูกเผาไหม้กลางอากาศกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีที่เบลสะบัดมือเข้าหา อากิรอสยกมือขึ้นแนบอกพร้อมร่ายเวทอย่างแผ่วเบาแต่มีจังหวะ พื้นดินลอยตัวขึ้นและรวมกันเป็นศรดินพุ่งย้อนคืนกลับไปยังทิศทางที่ผู้มุ่งร้ายจู่โจมมา เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร่างคนหล่นกระแทกพื้น

    เมื่อเห็นว่าการจู่โจมระยะไกลไม่เป็นผลกลุ่มคนลึกลับจึงแสดงตัวออกมา พวกเขาแต่งกายด้วยชุดดำทั้งตัว ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากยักษ์สีดำสนิท อาวุธนานาประเภทอยู่ในมือพร้อมสรรพทั้งดาบสั้นยาวขวานเล็กใหญ่หอกแหลนมากมายเข้าล้อมกลุ่มของอเซแมกไว้ราวๆร้อยคน


    “วางอาวุธและสิ่งของมีค่าไว้แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า มิฉะนั้น!” ชายที่เป็นหัวหน้าสั่งการจากด้านหลัง บรรดาลูกน้องกระชับอาวุธตั้งท่าเตรียมพร้อมทันที ดูจากท่าทางแล้วพวกเขาคงเป็นกองโจรที่คอยดักปล้นนักเดินทางที่ผ่านมายังละแวกนี้

    “ใช้มุกอื่นไม่เป็นเหรอเนี่ย” เทรนถอนหายใจส่ายหน้า
    “อย่าประมาทนะ” อเซแมกเตือนเธอ เทรนพยักหน้าตอบ


    เมื่อคำขู่ไม่ได้ผลการต่อสู้จึงบังเกิด กลุ่มโจรแบ่งกันโจมตีพวกเขาจากรอบทิศ พวกที่ถือดาบและขวานเข้าปะทะประชิดตามด้วยการโจมตีของหอกจากด้านหลังเป็นระลอกที่สอง การโจมตีประสานของพวกเขาทำให้ทุกคนต้องรับมืออย่างต่อเนื่องจนไม่มีโอกาสได้โจมตีกลับ เมื่อเห็นว่าฝั่งตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ หัวหน้ากองโจรยกมือเป็นสัญญาณให้กลุ่มที่สองตามเข้าโจมตีซ้ำ


    ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว บรรดาโจรที่รุกเข้าไปโจมตีกระเด็นลอยละลิ่วราวกับถูกจับเหวี่ยง
    “ปล่อยให้บุกเข้ามาไม่ได้หมายความว่าจะสู้พวกเจ้าไม่ได้หรอกนะ!” เทรนตะโกนเสียงกร้าวกลับไป


    อากิรอสและเบลลานี่ยืนหลังประชิดแก่กันต่างยกมือขึ้นประสานและร่ายเวทอย่างต่อเนื่อง พลันพื้นดินที่พวกโจรเหยียบอยู่ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆด้วยอำนาจแห่งมนตรา อเซแมกฉวยโอกาสรุกหน้าเข้าฟาดฟันโจรที่เสียหลักและตื่นตระหนกทางขวา ทากะพุ่งไปจัดการกลุ่มด้านซ้าย ส่วนมาเรียสะบัดแส้ฟาดใส่พวกโจรที่อยู่ใกล้อย่างเมามันตามเคย

    กองกำลังกว่าร้อยสูญสลายไปในพริบตาดุจดั่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมกวาดเอาทุกสิ่งอย่างราบเป็นหน้ากลอง


    “นี่ นี่มันอะไรกัน” หัวหน้าโจรร้องเสียงตื่นตระหนก ไม่อยากเชื่อภาพที่ลูกน้องของตัวเองถูกกำราบลงอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของคนเพียงหกเท่านั้น

    มาเรียสะบัดแส้ไปพันคอของเขาแล้วกระชากเข้าหา ร่างนั้นไถลกระแทกกับพื้นมานอนราบแทบเท้าของเธอ

    “วอนหาที่ตายซะแล้วไหมละ!?” มาเรียพูดขู่แต่ยิ้มหน้าตายให้ ชักปืนสองกระบอกออกมาควงเล่น
    “เจ้า! รึว่า ‘ปืนคู่พิฆาตแห่งเวสเปรา มาเรีย ซินนาส’!!”
    “อ้าว! นี่รู้จักข้าด้วยเหรอ น่ายินดีจังนะ” มาเรียยิ้มแย้มจ่อปืนเข้าที่กลางหน้าผาก ขึ้นนกสับพร้อมรอแค่เหนี่ยวไกเท่านั้น อีกฝั่งที่ถูกปืนไฟมรณะจ่อแสกหน้าตัวสั่นเป็นลูกนก แววตาเลิกลักลนลานส่ายไหว เหงื่อพรายผุดขึ้นเต็มหน้า สิ้นคราบโจรร้ายในทันที

    “จะฆ่าเจ้ามันก็ไม่คุ้มค่าลูกปืนหรอกนะ วันนี้ข้าอารมณ์ดีจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่ถ้าบังอาจเสนอหน้าเหม็นๆของเจ้ามาให้ข้าเห็นอีกครั้งละก็ อย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ” พูดจบก็ควงปืนกลับเข้าซองเดินตัวปลิวไปค้นหาของมีค่าตามร่างที่นอนเกลื่อนกลาด

    อากิรอสร่ายเวทขึ้นบทหนึ่ง พื้นดินรอบๆตัวพวกโจรยุบตัวลงไปเป็นโพรงแล้วบีบกลับเหลือเพียงร่างครึ่งท่อนบนโผล่พ้นพื้นดินเหมือนกับถูกจับปักไว้


    “เฮ้! ข้ายังหาของไม่เสร็จเลยนะ” มาเรียโวยวาย
    “ขืนรอเจ้ากวาดเงินพวกมันหมดก็คงเช้าพอดีนั่นแหละ” อากิสวนไป เทรนหัวเราะออกมาเสียงดัง


    หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งหกชีวิตเดินทางมุ่งหน้าผ่านป่าโปร่งออกมาจนถึงแนวทุ่งหญ้า กลิ่นดินโชยมาปะทะจมูกเป็นระยะ ดอกหญ้าสีเหลืองบ้างขาวบ้างปลิวลอยตามลม เบื้องหน้าเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีทอดยาวไกลสุดสายตา


    “เอ้า คืนนี้เราจะนอนกันตรงนี้แหละนะ” อากิบอก
    “คืนนี้ข้าน้อยกับอากิเป็นเวรเฝ้าสินะขอรับ” ทากะหันมาถาม ทุกคนพยักหน้า
    “ฝากด้วยละกันนะ คืนนี้ข้าขอนอนให้เต็มอิ่มหน่อยละ” มาเรียยืดมือขึ้นบิดตัวไปมาแก้เมื่อย


    ทั้งหกยืนมองห้วงสุดท้ายของวันที่กำลังจะหายไปพร้อมกับพระอาทิตย์


    To be continue…
  8. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 7


    แม้ในเวลาค่ำคืนผืนแผ่นดินจะถูกความมืดเข้าปกคลุม แต่แสงสีเหลืองนวลที่เปล่งประกายเหนือยอดหอคอยใจกลางนครชิลโซลิธีนั้นส่องสว่างดุจดั่งแสงสวรรค์ที่โอบกอดชาวเมืองแห่งนี้ให้อุ่นใจนอนหลับได้โดยปราศจากความหวาดกลัว เหล่าทหารในชุดเกราะเหล็กยืนรักษาความปลอดภัย ณ ประตูเมืองอย่างแข็งขัน อีกส่วนอาศัยดวงไฟจากคบเพลิงเป็นแสงสว่างนำทางเดินลาดตระเวนวนรอบเมือง


    ทว่าในเวลาค่ำคืนที่ผู้คนต่างนอนหลับพักผ่อนเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน บุรุษผู้หนึ่งยังคงฝึกซ้อมเพลงยุทธ์โดยไม่สนใจต่อความเหนื่อยล้า

    เฟท ฟาน เลวานธีน แม่ทัพลำดับที่สองของกองทัพชิลโซลิธีอันเกริกเกียรติเกรียงไกรสะบัดพลองเหล็กยาวเข้าปะทะกับหุ่นจำลองศัตรูนับร้อยที่ตั้งเรียงรายตรงหน้าอย่างแข็งขัน ดุดัน ต่อเนื่องและรวดเร็ว เสื้อเปียกชุ่มโชกด้วยหยาดเหงื่อ กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งตึง แต่แววตาเปล่งประกายอาจหาญสมกับเป็นยอดนักรบ


    “ข้าไม่ได้เห็นท่านจับพลองฝึกซ้อมนานเท่าใดแล้วนะ”
    เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากเงามืดด้านหลัง แต่ก็มิอาจทำให้เขาหยุดมือยั้งกระบวนท่าได้


    “ท่านกำลังกังวลอยู่รึ!?”

    ทันทีที่คำถามนี้สิ้นสุดลง เขาหยุดกึกราวกับถูกรั้งไว้ด้วยโซ่ตรวน ก่อนจะหมุนตัวกลับฟาดศาสตราในมือใส่หุ่นนับสิบตัวสุดแรงจนพวกมันล้มกระเด็นไปในพริบตาเดียว เมื่อพลองเหล็กปะทะกับหุ่นตัวสุดท้ายจนกระเด็นหายไปจากสายตา เขาดีดตัวกระโดดตีลังกาฟาดท่อนเหล็กแข็งยาวใส่ร่างของสตรีผู้เอ่ยคำสบประมาท พลองเหล็กหยุดอยู่ตรงหน้าชี้เข้าหาหน้าผากของเธอในระยะไม่กี่เซนติเมตร เส้นผมที่ปรกหน้าผากกระเพื่อมตามแรงลม


    “เป็นเกียรตินักที่ได้เห็นกระบวนท่าพิฆาตชัดเจนเช่นนี้” เธอใช้หลังมือปัดพลองให้ออกห่าง เดินพ้นจากเงาของอาคาร ผมพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเท้า ผิวขาวเนียนละเอียดเห็นได้เด่นชัดเมื่อต้องแสงจันทร์ ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว สร้อยคออัศวินประดับด้วยมรกตเม็ดงามบ่งบอกฐานันดรว่าเธอเป็นหนึ่งในแม่ทัพทั้งสิบสอง


    “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ‘เอเมอรัล เรย์’” เฟทถามเสียงด้วยแข็งกร้าว แต่เธอกลับเผยยิ้มที่มุมปากเพราะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไร
    “ข้าก็แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น บังเอิญได้ยินเสียงพลองของคนนอนไม่หลับเหมือนกันดึงดูดให้มาที่นี่” เธอตอบพลางเดินผ่านเขาไปยังหุ่นไม้พันเชือกเกลียวใหญ่จำลองรูปคนที่ถูกฟาดล้มระเนระนาด


    “ฟาดเข้าจุดตายที่คออย่างแม่นยำ ซ้ำยังรุนแรงจนพลังทำลายกระแทกเนื้อไม้ให้แตกได้ด้วย สมแล้วถูกเรียกขานว่า ‘หอกเทพ’” เธอเอ่ยชมเมื่อได้เห็นร่องรอยจากหุ่นเบื้องหน้า เชือกชุบน้ำมันเหนียวแข็งขาดกระจุยเผยให้เห็นเนื้อไม้บิ่นแตกด้านใน

    “ยังไงเสียก็สู้เพลงธนูที่เป็นหนึ่งในท้องนภาของเจ้าไม่ได้หรอก ‘เรย์ เรฟิคูล’ แม่ทัพมรกตแห่งหน่วยศาตราคันศร”


    “อย่ากลบเกลื่อนไปหน่อยเลย” เธอตอบกลับ
    “หากไม่เพราะท่านได้รับข่าวว่า’พวกเขา’ถูกโจมตีตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทาง ไหนเลยจะหยิบพลองออกมาซ้อมทั้งคืนเช่นนี้” พวกเขาที่เธอเอ่ยถึงย่อมหมายถึงกลุ่มของอเซแมกที่ออกเดินทางตามหาดอกไม้วิเศษและถูกโจมตีจากจอมเวทปริศนา ‘กุห์ฟาน’

    เฟทมองไปยังแม่ทัพหญิงผู้ล่วงรู้ความในใจของเขา


    “ข้าชักอยากจะพบชายที่ทำให้ท่านต้องเป็นกังวลเช่นนี้แล้วสิ แถมยังเป็นหลานชายของยอดบุรุษอย่างเหยี่ยวสายฟ้าอีกด้วย” เธอยิ้มอ่อนหวาน แต่ดวงตาเปล่งประกายต่อสู้เต็มที่

    “เจ้าจะสมหวังในเวลาที่พวกเขากลับมา”
    เฟทเดินไปหยิบผ้าคลุมจากม้านั่งขึ้นพาดบ่าแล้วเดินไปที่ประตูจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก เรย์หันหลังมองตามเขาจนหายลับไปกับความมืดของประตู รอยยิ้มปรากฏขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะเบาๆในที่สุด




    ณ ชายป่าริมแนวทุ่งหญ้าลาทิทูโด กลุ่มผู้กล้าหยุดพักเอาแรงเพื่อเตรีมพร้อมออกเดินทางข้ามผืนดินเขียวขจีในวันรุ่งขึ้น พวกเขาล้อมวงรอบกองไฟกินเนื้อกวางหวานชุ่มนุ่มลิ้น ปรุงรสโรยเกลือเหยาะพริกไทยจากมือของจอมเวทสาวสวยอย่างเบลลานี่


    “ไม่นึกว่านอกจากท่านจะเป็นนักเวทระดับแนวหน้าแล้ว ยังเป็นแม่ครัวชั้นยอดด้วยเหมือนกันนะ” เทรนเอ่ยชมเมื่อเธอกัดเนื้อกวางร้อนๆหอมฉุยเข้าปาก เบลยิ้มกว้างแทนคำขอบคุณ

    จะด้วยความหิว ความอร่อย ความรีบร้อนหรือทั้งหมดรวมกัน เนื้อกวางชิ้นใหญ่จึงติดคอของนักดาบสาวจนหน้าดำหน้าเขียว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ร้อนถึงผู้เป็นอาจารย์ต้องใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ากลางหลังผัวะใหญ่


    “รอดตายจากพวกโจรกระจอกได้แต่ต้องมาตายเพราะเนื้อกวางติดคอเนี่ย ข้าว่ามันทุเรศไปหน่อยนะ” มาเรียเอ่ยปากแซวตามประสาคนอย่างเธอ ทุกคนหัวเราะเสียงดังแม้แต่ทากะยังอมยิ้มให้เห็นอย่างชัดเจน

    “เจ้านี่ทำให้ข้าต้องขายหน้าจริงๆ ยัยตัวแสบ” อเซแมกพูดกึ่งแซวลูกศิษย์สาวจอมห้าวพลางหยิบกระบอกน้ำส่งให้ เธอรับไปดื่มอึกใหญ่

    “ก็มันอร่อยนี่นา” เธอตอบเสียงอ่อยๆอย่างอายๆ เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนได้อีกครั้ง



    หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆหลายครั้งร่วมกันมา พวกเขาจึงกล้าพูดคุยและซักถามถึงการเดินทางของแต่ละคนก่อนจะมาพบกัน เรื่องราวมากมายถูกเล่าขานออกจากปาก บางช่วงก็จริงจัง บางครั้งก็เฮฮา ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอย่างออกอรรถรส อากิรอสล้วงมือไปหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าที่วางอยู่ด้านหลังแล้วโยนให้ทากะ


    “นี่อะไรหรือขอรับ” ทากะหยิบขวดเซรามิคสีดำทึบปิดด้วยจุกก๊อกไม้ขึ้นมาถาม อากิรอสยิ้มกริ่มแล้วโยนอีกขวดให้เทรน ส่วนอีกขวดให้มาเรีย
    “เหล้าไงละ สหาย” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “สร้างความครึกครื้นกันหน่อย คิดซะว่าฉลองการเดินทางที่ผ่านมาก็แล้วกัน”
    “มิน่าละ ที่หายไปท้ายตลาดมาก็เพราะไปเดินหาเหล้ามานี่เอง” เบลส่ายหน้า
    “เจ้าขี้เมาเอ๊ย!” กำปั้นแข็งๆของเธอเขกลงกลางหัวของเขาอีกแล้ว แต่ดูเหมือนความอยากสุราจะทำให้อากิรอสลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ ยังไม่ทันจะได้คุยกันต่อเทรนดึงฝาจุกออกอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังป๊อก พอทุกคนหันไปมองก็พบว่าเธอกำลังกระดกเหล้าเข้าปากพรวดๆ


    “เจ้าพลาดแล้วนะ อากิรอส” อาจารย์หนุ่มยกมือแตะหน้าผากส่ายหน้าไหวๆ “ยัยนี่มันคอทอแดงประจำหมู่บ้านเชียวนะ!!” อากิตบเข่าฉาด ขำก๊ากเมื่อได้ยินแบบนี้
    “เฮ้! นี่มันเหล้าชั้นดีนี่นา” เทรนยกขวดสีดำหม่นขึ้นเพ่งพินิจแล้วกระดกซ้ำอีกที จนผู้เป็นอาจารย์ต้องปรามด้วยการใช้กำลังดึงขวดออกจากปาก

    “ข้าไม่เคยดื่มเหล้า” มาเรียบอกมาพร้อมๆยื่นขวดคืนให้อากิ
    “ลองดูสักหน่อย ไม่ใช่ยาพิษ ดื่มแล้วไม่ตายหรอกน่า” เขาคะยั้นคะยอมาเรียให้ลอง เธอดึงจุกไม้ออกแล้วลองดมกลิ่น ก่อนจะจิบของเหลวรสฝาดในนั้นอึกหนึ่ง กลั้นใจกลืนลงคอ หลับตาปี๋
    “เป็นไง? รสชาติไม่เลวใช่ไหมละ หึหึ” อากิรอสถาม มาเรียกพยักหน้าตอบเล็กน้อย


    เมื่อมีเครื่องดื่มเจือแอลกอฮอล์เข้าร่วมในวงสนทนา การพูดคุยก็ยิ่งออกรสชาติ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะปรากฎกับทุกคน แม้อเซแมกและทากะจะไม่ใช่พวกชอบดื่มเท่าไรนักแต่ในบรรยากาศเช่นนี้พวกเขาสองคนจึงต้องร่วมดื่มไปด้วย จนกระทั่ง...



    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ” เสียงหัวเราะของมาเรียดังขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง
    “ฮิฮิฮิฮิ” เธอยังคงหัวเราะเช่นเดิม


    จู่ๆเธอก็เอื้อมมือไปกระชากผมอากิรอสแล้วจิกลากมาแทบเท้าอย่างแรงท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เขาพยายามแกะมือเธอออกแต่ก็ทำไม่สำเร็จ

    “เมื่อวานเจ้าบอกข้าว่ายังไงนะ เจ้าจะจัดการกับกุห์ฟานยังงั้นรึ? น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะนะ!! อีกสิบชาติก็เทียบเขาไม่ได้หรอก” มาเรียพูดกรอกหูแล้วพ่นลมหายใจที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าใส่หน้าเขา แววตาเลื่อนลอยไร้สติแต่ดูน่ากลัวกว่าเวลาต่อสู้ร่วมร้อยเท่า


    “เฮ้! เจ้าเมาแล้วนะ ไปล้างหน้าล้า...” เทรนยังไม่ทันจะพูดจบประโยค มาเรียก็โผล่พรวดมานั่งยองๆข้างตัว มือซ้ายยังจิกหัวอากิรอสอยู่

    “เข้าเนี่ยนะเมา? เจ้าต่างหากละที่เมา” จบประโยคปุ๊ปมาเรียยื่นหน้าเข้าไปกัดหูของเทรนเบาๆ เธอสะดุ้งเฮือกดันตัวถอยหลังหนีทันที แต่มาเรียไวกว่าใช้มือขวากดหน้าอกของเธอลงนอนราบแล้วขึ้นคร่อมอย่างไว

    “เจ้าลองพูดอีกทีซิ๊ว่าข้าเมา” มือขวาก็บดขยี้หน้าอกน้อยๆของเทรน หน้าโน้มต่ำอยู่แถวๆซอกคอ มือซ้ายก็จิกหัวอากิรอสสะบัดไปมา


    อเซแมก ทากะและเบลลานี่ลุกพรวดขึ้นพร้อมกันโดยทันที

    “อากิ คืนนี้ข้าจะเฝ้าเวรแทนเจ้าเอง ไม่ต้องห่วงนะ!!” อเซแมกว่าแล้วก็กระโจนพรวดหนีหายไปทางทุ่งหญ้า ทากะเดินจ้ำตามไปอย่างรวดเร็ว

    “ข้า... ข้าขอตัวไปปลดทุกข์ก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา” เบลยิ้มแหยๆแล้วเดินตามสองคนไปทันที ทิ้งอากิรอสและเทรนที่กำลังตกเป็นเหยื่อของมาเรียโวยวายให้ช่วยอยู่อย่างนั้น



    “เอาจนได้สินะ ฮะๆๆๆ” อเซแมกหัวเราะเบาๆเมื่อทั้งสองคนตามมาถึง
    “ให้คนไม่เคยดื่มเหล้าได้ดื่มขนาดนั้น ข้าว่าก็สมควรแล้วละนะ”
    “แล้วจะเอายังไงดีละขอรับ” ทากะถามหน้าตายเหมือนเดิม
    “ปล่อยไว้สักพักแล้วค่อยไปแยกทีหลังก็แล้วกัน ขืนไปยุ่งตอนนี้มีหวังโดนจิกหัวไปอีกคนแน่ๆ” เขาตอบแบบขำๆไม่จริงจังและไม่เป็นห่วงอะไรเลยด้วย


    “อาจารย์!!!!!!!!! ช่วยข้าด้วย อาจารรรรรรรรรรรรรรรย์!!!!” เทรนตะโกนเสียงดังลั่น
    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ ใครจะช่วยเจ้าได้กัน” มาเรียแลบลิ้นเลียเบาๆที่แก้มของเทรน อากิพยายามฝืนตัวลุกขึ้นแต่ก็โดนมาเรียกดหัวกระแทกพื้นรัวๆ


    “ใจคอจะปล่อยให้ลูกศิษย์โดนขืนใจเหรอคะ” เบลถามแบบขำๆ
    “ฮ่าๆๆๆๆ” อเซแมกหัวเราะอารมณ์ดี “ให้โดนแบบนี้ซะบ้างก็ดีจะได้เลิกห้าว เป็นมาเรียคงไม่เท่าไร ถ้าเป็นอากิข้าก็คงยอมไม่ได้หรอกนะ หึหึหึ”



    ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง มาเรียก็ยังไม่สงบ ทั้งเทรนและอากิรอสไม่สามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเธอได้เลย อากิตัดใจที่หนียอมโดนจิกผมอยู่อย่างนั้นดีกว่าโดนจับโขกพื้น ส่วนเทรนพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด โดนมาเรียหอมแก้มซ้ายทีขวาทีพร้อมหัวเราะคิกคักอย่างสบายอารมณ์


    “พอได้แล้วละขอรับ” ทากะเข้ามาห้ามมาเรีย แต่เธอไม่สนใจ
    “พรุ่งนี้ต้องเดินทางกันแต่เช้านะขอรับ พอเถอะ” ทากะห้ามซ้ำอีกครั้ง เสียงดังขึ้นกว่าครั้งแรกเล็กน้อย แต่มาเรียก็ยังไม่หยุด

    ทากะตัดสินใจเข้าไปอุ้มรวบเธอขึ้นมาจากด้านหลัง ออกแรงดึงให้หลุดจากเทรนและอากิ เธอร้องกรี๊ดเสียงดังโวยวาย

    “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วยละ! ปกติเจ้าเป็นใบ้ เป็นท่อนไม้ไม่ใช่เรอะ! ปล่อย! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
    เขาปล่อยมือจากตัวเธอตามสั่งอย่างว่าง่าย มาเรียร่วงก้นกระแทกพื้นค่อนข้างแรง เธอลุกพรวดขึ้นมาทันทีแล้วจิกผมทากะกระชากอย่างแรง

    “ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะขอรับ” ทากะบอกสั้นๆแค่นั้น มาเรียปล่อยมืออย่างง่ายดายแล้วยืนก้มหน้าสงบนิ่งเหมือนเด็กที่แพ้ผู้ใหญ่ เธอยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งพิงต้นไม้ กอดเข่าก้มหน้าซึม


    “เป็นไงละ คราวหน้าซื้อเหล้ามาดื่มอีกนะ” เบลพูดแล้วขำนิดหน่อย ยืนมองอากิที่นั่งมึนตาปรือส่วนอเซแมกลงนั่งยิ้มตรงหน้าเทรนที่กำลังงอนแก้มป่องเพราะเขาปล่อยให้เธอโดนลวนลามอยู่นาน ทากะถอดผ้าคลุมเก่าๆขาดๆของตัวเองห่มให้มาเรียแล้วนั่งเว้นระยะให้เธอนิดหน่อย

    อเซแมกเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นดึงข้อมือลูกศิษย์สาวออกไปเฝ้าเวรแทนอากิและทากะในคืนนี้ ปล่อยให้พวกเขาสี่คนสองคู่อยู่ด้วยกันน่าจะดีกว่า


    เมื่อเข้าสู่ช่วงดึกสงัดทุกอย่างสงบแล้ว กองไฟลดแสงลงเพราะไม่มีเชื้อฟืนใหม่แต่ก็ยังให้ความอบอุ่นแก่ผู้ที่อยู่รอบๆ เทรนแวะมาเติมฟืนให้พวกเขาก็พบว่ามาเรียนอนพิงอิงไหล่ทากะหลับราวกับเด็กน้อย เธอถอนหายใจเบาๆแต่เป็นการถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าแล้วออกไปยืนเฝ้ายามกับอาจารย์ด้านนอก



    เช้าตรู่รุ่งอรุณหวนคืนกลับมาอีกครั้งพร้อม เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเตรียมพร้อมออกบินปลุกพงไพรให้ตื่นจากหลับใหล พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นจากขอบฟ้าเปล่งแสงนำทางดุจดั่งเข็มทิศของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง

    มาเรียค่อยๆลืมตาตื่นและพบว่าเธอกำลังพิงไหล่ทากะอยู่ เธอชูแขนสองข้าเหยียดฟ้าพลางยืดตัวสลัดอาการปวดเมื่อยให้หลุดหาย พยายามนึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ก็นึกไม่ออก

    “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ” เบลเดินกลับมาหลังจากไปล้างหน้าล้างตาที่ด้านนอก หยิบขวดน้ำส่งให้มาเรีย เธอรับไปดื่มแล้วส่งคืนให้ ทากะค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งหน้ามึนเหมือนเคย

    “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าจำอะไรไม่ได้เลย แถมยังปวดหัวอีกด้วย” เธอยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ
    “เทรน! ยกน้ำชามาให้มาเรียหน่อยสิ” เบลตะโกนไปทางทุ่งหญ้า สักพักเทรนเดินถือแก้วดินเผาใส่น้ำชาร้อนหอมกรุ่นสองใบส่งให้ทากะและมาเรีย “ดื่มซะสิ มันช่วยให้สร่างเมาได้ดี”

    “เจ้าเมาจนหลับไป ท่านทากะก็เลยคอยดูแลน่ะ” เทรนบอกยิ้มๆแล้วขยิบตาเป็นสัญญาณให้เบล ทั้งคู่เดินออกไปปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน


    “เจ้าคงไม่ได้ฉวยโอกาสลวนลามข้าใช่ไหม?” มาเรียจ้องหน้าเขา
    “ข้าน้อยมิกล้าทำแบบนั้นหรอกขอรับ” ทากะตอบตามตรงแล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ เธอไม่ได้ถามอะไรต่อ ทั้งสองนั่งจิบชาอยู่เงียบๆอยู่โคนใต้ต้นไม้ใหญ่ มีเพียงหมู่นกที่เกาะเรียงอยู่บนกิ่งไม้ส่งเสียงจิ๊บๆเท่านั้น



    เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้ามาเต็มดวง ท้องฟ้าสดใสสว่างจ้าไร้เมฆหมอก ทุกคนเตรียมพร้อมออกเดินทางไกลเพื่อข้ามผืนหญ้ากว้างใหญ่และตัดป่าไพรเนมุสที่ได้ชื่อว่าเป็นเขตป่าทึบที่สุดแสนอันตรายแห่งหนึ่ง ก่อนจะลัดเลาะหุบเขาของแนวเทือกเขาตะวันตก ‘หุบเขามรณะ’ ไปยังสถานที่ซึ่งดอกไม้วิเศษบานสะพรั่ง

    ลาทิทูโดเป็นที่ราบลุ่มต่อจากแนวเทือกเขาตะวันตกที่ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ กั้นผืนผืนดินและแผ่นน้ำมหาสมุทรไว้คนละฟากฝั่ง กาลเวลาที่ล่วงผ่านอย่างยาวนานได้ก่อกำเนิดผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เพราะน้ำฝนจากฟากฟ้าได้กวาดล้างดินโคลนจากเทือกเขาสูงใหญ่ลงมาทับถมที่ราบว่างเปล่า จากนั้นพันธุ์หญ้าต่างๆได้เข้าเติมเต็มไปทั่วบริเวณจนกลายทุ่งหญ้าเขียวสดงดงามดั่งเช่นทุกวันนี้


    พวกเขาทั้งหกต้องมุ่งหน้าไปตามทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปเรื่อยๆ มาเรียบอกว่าคงใช้เวลาเดินทางประมาณห้าหรือหกวันกว่าถึงริมป่าเนมุสสิ้นสุดภารกิจนำทางของเธอ การเดินทาง ณ จุดนี้ไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น กลุ่มของกุห์ฟานหลังจากโจมตีเมื่อวันแรกแล้วก็เงียบหายไปไม่ปรากฎตัวขึ้นอีก แถมยังไม่เจอปีศาจตัวไหนมากวนใจระหว่างทางอีกด้วย



    หกทิวาและห้าราตรีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว จะว่าสั้นก็สั้น จะว่านานก็นาน
    แต่ไม่ว่าอย่างไรวันแห่งการจากลาก็ต้องมาถึงอยู่ดี


    “ข้าขอขอบใจที่เจ้านำทางข้ามาถึงที่ นี่ค่าตอบแทนตามสัญญา” อเซแมกยื่นถุงผ้าฝ้ายใส่เหรียญทองให้มาเรีย เธอรับมาเปิดดูแล้วผูกไว้กับเข็มขัดข้างตัว

    “งั้นก็ขอให้พวกเจ้าโชคดีก็แล้วกันนะ ข้าไปละ” มาเรียกล่าวคำลาสั้นๆ โบกมือลาทุกคนแล้วเดินหันหลังกลับทางเดิมที่ทุกคนร่วมเดินทางกันมาเพียงลำพัง เพียงคนเดียว

    ทุกคนยืนมองส่งจนนางเดินหายลับไป



    “น่าเสียดายนะ ข้าอยากให้นางร่วมเดินทางไปกับเรามากกว่า” เบลลานี่บอกเสียงเศร้าๆ
    “นางมิได้ตั้งใจจะทำงานให้กับทางอาณาจักรตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่นา” อากิรอสตอบ “นิสัยอย่างนาง เหมาะที่จะเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่าอยู่เป็นกลุ่มอย่างพวกเรานะ”

    เบลถอนหายใจหนึ่งครั้งยาวๆเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากของคู่หู

    “ไม่มีนางแล้วก็เหงาเหมือนกันนะคะ” เทรนยิ้มจางๆเจือสีหน้าเศร้าๆ ถามไปยังหนุ่มหน้ามึนอย่างทากะ
    “อยากให้นางอยู่หอมแก้มทุกคืนหรือขอรับ” เขาสวนกลับหน้าตาย เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ช่วยให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นเล็กน้อย

    “ข้าไม่นึกเลยว่าจะเจ้าชอบแบบนี้ นี่ข้าสอนวิชาต่อสู้ให้เจ้าจนเพี้ยนไปแล้วหรือเนี่ย” อาจารย์หนุ่มที่เดินตามหลังซ้ำเติมอีกดาบ เทรนงอนขวับเดินจ้ำอ้าวหนีเสียงหัวเราะไล่หลังทันที




    สี่ชั่วโมงผ่านไป...

    “เฮ้! ข้าว่าพวกเรากำลังหลงทางนะเนี่ย ท่านอเซแมก!” อากิรอสตะโกนบอกเขาที่เดินนำทางพร้อมกับเบลานี่
    “ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆอยู่ ป่าหนาทึบจนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง หนำซ้ำยิ่งเดินลึกป่าก็ยิ่งทึบมากขึ้น ไม่มีจุดไหนให้มองเห็นท้องฟ้าได้เลย” เขาตอบกลับ ถึงแม้น้ำเสียงจะยังมั่นคงหนักแน่น แต่ก็มิอาจปกปิดความกังวลในแววตาได้

    “อาจารย์! ดูนี่สิ” เทรนร้องเรียกขึ้นจากด้านหลัง ทุกคนหยุดเดินแล้วไปรวมกันที่เธอ


    นักรบสาวยื่นฝ่ามือที่มีเข็มทิศเรือนใหญ่ให้ทุกคนดูพร้อมๆกัน เข็มแม่เหล็กที่ใช่บ่งบอกทิศเหนือใต้ตามพลังอำนาจสนามแม่เหล็กของโลกหมุนแกว่งสะบัดไปมาไม่หยุดนิ่ง ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณบอกว่าป่าแห่งนี้มีพลังอำนาจบางอย่างที่รุนแรงมากจนปั่นป่วนการทำงานของเข็มทิศให้ทำงานผิดปกติ

    “อากิรอส เจ้าสัมผัสถึงพลังอย่างอื่นได้หรือไม่” อเซแมกถาม เขาหลับตานิ่งตั้งสมาธิเพื่อรับรู้คลื่นพลังที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสทั้งห้า


    “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมไปทั่วบริเวณนี้ มิใช่พลังเวทเหมือนที่ข้าครอบครอง หากแต่เป็นพลังบริสุทธิ์ของธรรมชาติจากหลายแหล่งที่ทับซ้อนกันจนกลายเป็นเขตแดนเวทมนต์” จบการอธิบาย อากิรอสดีดนิ้วขึ้นหนึ่งที ดวงไฟขนาดเล็กเท่ามือคนกำหมัดปรากฎขึ้นตรงหน้า

    “หากเป็นสถานที่อื่น ดวงไฟนี้คงจะใหญ่กว่าที่เห็นสักห้าเท่า” อากิรอสดีดนิ้วอีกครั้ง ลูกไฟหายวับไปทันที
    “สมแล้วที่ได้ชื่อว่า ‘เนมุส ป่าพิศวง’” นักเวทสาวยิ้มอย่างหวาดๆ
    “จะเอายังไงต่อดีละ” เธอถามคำถามที่ตอบได้ยากในสถานการณ์เช่นนี้ ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดหาทางออกหรือว่าไม่มีคำตอบกันแน่
    “ข้าจะลองดูสภาพรอบๆจากบนฟ้าเอง” อากิรอสบอกทุกคน


    “อาควูโลนิ” (สายลมแห่งแดนเหนือ)

    ร่างของเขาลอยขึ้นอย่างช้าๆจากพื้นดินราวกับมีเชือกเหนี่ยวรั้งเขาสู่นภากว้าง ทันทีที่หลุดพ้นจากกิ่งก้านหนาทึบของต้นไม้น้อยใหญ่ เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆเพื่อหาเส้นทางที่จะไปต่อหรืออย่างน้อยบริเวณที่ต้นไม้เบาบางเพื่อใช้พักแรมเพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะลาลับไปแล้ว



    “ทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย ระยะสองกิโลเมตรกับอีกนิดหน่อย”

    อากิรอสคำนวณทิศทางได้แล้วจึงคลายเวทกลับสู่เบื้องล่างแล้วบอกจุดหมายปลายให้ทุกคนรู้ ทั้งหมดจึงออกวิ่งไปยังทางที่นักเวทหนุ่มแนะนำ เสียงฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าหนังหยาบหนาย่ำลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยรากไม้น้อยใหญ่และซากใบไม้สีน้ำตาลแก่ที่ทับถมกันดังสวบสาบตามจังหวะหยั่งเหยียบ


    ทั้งห้าโผล่พรวดออกมายังลานหญ้าเล็กๆที่ถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ยักษ์เป็นวงกลม อเซแมกตัดสินใจพักค้างคืนที่นี่ เพราะไม่รู้ว่าหากฝืนเดินทางต่อจะมีพื้นที่ใดให้พวกเขาหยุดพักได้อีก


    ทั้งๆที่ยังไม่ถึงกลางคืนแต่บรรยากาศในป่าแห่งนี้กลับเงียบงันราวกับไร้สิ่งมีชีวิต แม้แต่เสียงนกหรือแมลงเล็กๆยังไม่มีให้ได้ยิน ท้องฟ้าฟากหนึ่งแปรเป็นสีส้มสุกสว่างกำลังถูกความมืดจากอีกฝั่งรุกไล่ให้หายไป กองไฟเล็กๆถูกจุดขึ้นต้มน้ำเพื่อใช้ชงชา ทั้งห้านั่งล้อมรอบอยู่นิ่งเงียบด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของแต่ละคนรับรู้ได้ว่า คืนนี้พวกเขาคงยุ่งจนไม่ได้นอนแน่ๆ




    เฟี้ยว! เสียงวัตถุมวลหนักลอยละลิ่วมาอย่างไว ทั้งหมดลุกหนีจากจุดที่นั่งอยู่ทันท่วงที อากิรอสไม่ลืมหยิบหม้อที่ใช้ต้มชาติดมือออกไปได้ทัน ท่อนซุงขนาดใหญ่หล่นกระแทกเต็มๆกองไฟที่บัดนี้ไม่มีใครอยู่จนเสียงดังสนั่น ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว เสียงฝีเท้าหนักๆเดินย่ำมาทางพวกเขาจากทุกทิศทาง ทุกคนหันหลังล้อมวงกระชับเข้าจนไหล่เบียดติดไหล่

    “โฮกกกกกกกกกก!!” เสียงคำรามกึกก้องไปทั่วเสียงแล้วเสียงเล่าแถมยังดังเข้าใกล้เรื่อยๆ อเซแมกและเทรนกระชับดาบในมือแน่น เบลลานี่และอากิรอสต่างกำลังรวมสมาธิร่ายเวท ทากะสะบัดผ้าคลุมออกพร้อมจับดาบด้ามดาบในท่าเตรียมพร้อมฟาดฟันทุกสิ่งที่เข้าหาในระยะ


    ท่อนไม้ใหญ่แหลมถูกขว้างเข้าหาเปิดฉากการต่อสู้ เทรนสะบัดฟันปัดป้องได้พร้อมๆกับการบุกเข้าโจมตีของเผ่าออคจำนวนมาก เสียงดาบปะทะดาบดั่งลั่นพร้อมกับเลือดสีม่วงดำที่สาดกระเซ็นออกจากร่างของพวกกึ่งมนุษย์


    “บ้าน่า นี่ยังไม่ถึงเขตแดนของพวกมันแท้ๆ ทำไมพวกมันถึงมาโจมตีพวกเราที่นี่ละ” เทรนตะโกนถามขึ้นในขณะที่แทงดาบทะลุอกออคที่พุ่งสวนเข้ามาแล้วก้มหลบขวานที่เหวี่ยงเข้าหาจากทางขวา

    “เจ้าก็ลองถามมันดูสิ” อาจารย์หนุ่มตอบกลับมา สถานการณ์ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรเพราะต้องรับมือศัตรูร่วมห้าหกตัว


    เปลวเพลิงและแท่งน้ำแข็งมากมายปรากฏขึ้นพร้อมการสะบัดมือของสองคู่หู่จอมเวท เสียงร้องโหยหวนของออคดังโหยหวนไม่ขาดสาย ด้านทากะกำลังถอยพลางสะบัดดาบความเร็วสูงเชือดคอพวกที่อยู่รอบๆ


    แต่กระนั้นจำนวนศัตรูก็มิได้ลดน้อยลง แม้ว่าร่างที่ไร้ชีวิตจะทับถมพื้นจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืน

    ถึงพวกเขาจะมีฝีมือไร้เทียมทานเพียงใด แต่หากมิได้หยุดพักแถมยังขยับตัวหลีกหนีไปไหนไม่ได้ก็ต้องพลาดถูกคมดาบขวานหอกเข้าสักครา

    และนั่นอาจจะหมายถึงจุดจบก็เป็นได้!!



    “ต้องการคนช่วยไหม!!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของทุกคนรวมถึงออครอบๆด้วย


    มาเรียกระโดดพรวดลงจากกิ่งไม้มายืนข้างๆพวกเขา สองมือดึงปืนออกจากซองข้างเอว สะบัดชี้ออกไปซ้ายขวาแล้วเหนี่ยวไก ลูกตะกั่วถูกขับออกจากรังเพลิงอย่างรวดเร็ววิ่งเข้าแสกหน้าออคตัวที่อยู่หน้าสุดทะลวงออกฆ่าตัวที่อยู่ด้านหลัง กระสุนเพียงสองนัดฆ่าออคในวิถีไปร่วมหกเจ็ดตัว


    “มาเรียยยยยย!” เบลและเทรนร้องเรียกชื่อเธอเสียงดัง เธอหันมายิ้มกว้างให้ทุกคน



    To be continue…
  9. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 8


    เวลาเย็นย่ำค่ำมืดที่ทุกสรรพสิ่งต่างเดินทางกลับสู่รั้วเรือนรังนอนของตัว แต่กลางป่าเนมุสกลับปรากฏการต่อสู้ระหว่างคนกลุ่มหนึ่งกับฝูงออคนับไม่ถ้วน ร่างไร้วิญญาณนอนเกลื่อนกลาดดาษดื่นเต็มพื้น โลหิตสีเข้มเหนียวข้นเจิ่งนองเป็นสาย เสียงอาวุธกวัดแกว่งเข้าประหัตประหารดังลั่นไม่ขาดห้วง สำเนียงเรียงร้อยประกาศขานเวทมนต์ดังกังวาน พร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวนของศัตรูที่ต้องศาสตราและมนตราในเวลาเดียวกัน


    “มาเรียยยยยย!”

    เทรนตะโกนเรียกชื่อผู้หวนคืนอย่างดีใจ เธอมีแรงใจที่จะต่อสู้มากขึ้นหลังจากถูกศัตรูกดดันมาตั้งแต่เริ่มศึก นักดาบสาวตะโกนปลุกใจเสียงดังลั่นพร้อมข่มขวัญฝูงอมนุษย์ตรงหน้า พลันกระโจนเข้าโรมรันฟันฟาดดาบยาวในมือ ร่างไร้หัวที่สิ้นชีพทรุดลงนอนแทบเท้าเธอในทุกจังหวะที่ย่างก้าว

    ออคสามตนเข้าจู่โจมเธอจากด้านหลัง เทรนเอี้ยวคอหลบหอกเฉียดข้างหูไปไม่มาก พุ่งตัวถอยหลังพร้อมแทงดาบผ่านรักแร้ตัวเองสวนคืนเข้ากลางอก ดึงดาบกลับคืนป้องกันดาบของออคอีกตัวทางขวามือ ขาซ้ายถีบไปด้านหลังสุดแรงกระแทกศัตรูอีกตัวที่จะเข้าประชิดให้ถอยกลับ สองมือกระชับดาบมั่น ขาขวาตั้งหลักแน่น เกร็งกำลังทั้งร่าง พุ่งเข้าประชิดพร้อมวาดดาบจากซ้ายไปขวา ดาบเหล็กของศัตรูที่ยกขึ้นป้องกันขาดสะบั้นพร้อมกับหัวที่หลุดกระเด็นจากร่าง

    ออคตัวที่ถูกถีบกระเด็นตั้งหลักแล้วพุ่งเข้าหาอีกครั้งแทงหอกสุดกำลังเข้าใส่ แต่อเซแมกโผล่พรวดเข้าแทรกกลางคัน สองมือประคองดาบที่กลางตัว ปลายดาบชี้เฉียงลงพื้น เมื่อปลายหอกเกือบจะแทงยอดอก เขาบิดข้อมือพลิกดาบให้ตวัดตั้งขึ้นกระแทกหอกเบี่ยงเบนวิถีให้ออกห่างแล้วสืบเท้าก้าวไปข้างหน้า สองมือผลักดันดาบขึ้นตรงๆสุดแขน คมดาบแทงทะลุคอหอยอีกฝ่ายตายคาที่

    “อย่าปล่อยด้านหลังว่าง” อเซแมกเตือนลูกศิษย์สาวที่กำลังคึกให้ต่อสู้อย่างเยือกเย็น พลางดึงดาบกลับมาตั้งท่าประสานสองมือ


    ทางด้านมาเรียกำลังโยกตัวหลบการโจมตีและถอยหลังล่อให้คู่ต่อสู้กรูเข้ามาหา ผมยาวที่มัดเป็นทรงหางม้าแกว่งไกวตามการเคลื่อนไหว เมื่อได้จังหวะที่ต้องการ เธอยกปืนในมือขึ้นสูงระดับสายตาแล้วกระดิกนิ้วเหนี่ยวไก กระสุนเหล็กร้อนวิ่งฉิวจากปากลำกล้องเข้าแสกหน้าผากทะลุออกด้านหลังสังหารออคตัวแล้วตัวเล่าในวิถีให้ล้มตายในชั่วเสี้ยววินาที


    “คึกกันจริงเลยนะ” อากิยิ้มกว้าง สองมือสะบัดไปมาพลางชี้นิ้วไปยังเป้าหมายราวกับวาทยกรกำลังควบคุมท่วงทำนองของบทเพลง หอกน้ำแข็งพุ่งเสียบกลางอกศัตรูตัวแล้วตัวเล่าดัง ฉึก! ฉึก! พร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวน ฟังแล้วเป็นเพลงแห่งชีวิตที่แปร่งหูพอสมควร



    แต่กระนั้นศัตรูก็ยังถาโถมเข้าหาไม่ขาดสายดุจดั่งคลื่นจากท้องทะเลที่วิ่งม้วนตัวเข้าหาชายหาด แถมค่ำคืนก็คืบคลานเข้ามาทักทายอย่างช้าๆ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ต่อให้พวกเขามีเก้าชีวิตก็คงไม่พอ


    “อเซแมก ขอศิลามนตราก้อนนึง ด่วน!” อากิรอสตะโกนบอก อเซแมกล้วงมือควานหาสิ่งที่ถูกร้องขอจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะโยนโด่งย้อยไปเหนือหัวจอมเวทผมดำ


    นักมนตราจอมเจ้าชู้ยิ้มกว้างเต็มที่ ขาขวาเตะงัดหม้อต้มชาที่วางอยู่ตรงหน้าให้ลอยขึ้นมา ฉวยจับแล้วใช้มันต่างมือตัวเองรับศิลามนตราก้อนน้อยที่ร่วงลงมา


    “เรกาลิส ดราโก” (จงมา! ราชันย์มังกร)

    สิ้นคำพูดที่เปี่ยมด้วยพลังเวทแข็งแกร่ง เสียงคำรามของมังกรดังสนั่นหวั่นไหว หม้อเหล็กผสมดีบุกในมือเขาสั่นไหวเบาๆแล้วแรงขึ้น แรงขึ้นเป็นจังหวะ มวลน้ำมหาศาลพุ่งขึ้นมาแล้วแปรเปลี่ยนเป็นร่างมังกรใหญ่โต สองปีกสยายโบกสะบัดสร้างลมแรงซัดซากศพที่นอนเกลื่อนให้กลิ้งได้ราวกับไม่มีน้ำหนัก หางอันแข็งแกร่งกวาดโค่นต้นไม้ใหญ่ถอนรากถอนโคนเป็นวงกว้าง

    ทั้งคนทั้งออคต่างหยุดนิ่ง ยืนมองราวกับถูกสะกด


    “จงไปซะ! ก่อนที่ข้าจะละทิ้งความเมตตาที่มีอยู่ไปพร้อมๆกับชีวิตไร้ค่าของพวกเจ้า”
    สิ้นคำของนักเวทนามอากิรอส ราชันย์มังกรแยกเขี้ยวกว้างขู่คำรามตอบรับ เหล่าออคหวาดกลัวตัวสั่นสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้กับสุดยอดมังกรที่อยู่เหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง ต่างทิ้งอาวุธวิ่งหนีหายไปในป่าลึก เหลือแต่เพียงความพินาศของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์มากมายที่ล้มตายจากศึกนี้

    อากิดีดนิ้ว พลันมังกรวารีค่อยๆสูญสลายหายไปในอากาศ ทุกคนยืนนิ่งมองดูซากศพเหล่าออคที่ตายเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ


    “ข้าเสียใจด้วย วันนี้คงไม่ได้ดื่มชากันแล้วละ” เขายกหม้อต้มน้ำให้ดู เหลือเพียงเศษน้ำติดก้นหม้อพร้อมศิลามนตรากลมมนกลิ้งไปมา

    “ยังจะมีกะใจดื่มชาได้อีกเหรอ เจ้าบ้า!” มาเรียตวาดเข้าใส่


    อเซแมกล้วงมือไปหยิบศิลามนตราขึ้นมามองแล้วยื่นให้อากิรอส
    “เจ้าเก็บไว้เถอะ” นักเวทหนุ่มพยักหน้า รับมาแล้วเหน็บเก็บไว้ที่ผ้าคลุม


    “เอาละๆ” มาเรียปรบมือเรียกความสนใจของทุกคน “ยังไงก็นอนกลางซากศพไม่ได้อยู่แล้ว ข้าแนะนำให้รีบหาที่พักตรงอื่นเสียแต่เนิ่นๆก่อนที่จะเจอตัวประหลาดอีกนะ”

    “เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเราควรจะไปพักที่ไหนดี” เทรนถามความเห็นเธอ มาเรียล้วงหยิบเข็มทิศขึ้นมาเปิดดู

    “มันใช้ไม่ได้หรอก ข้าลองเมื่อกลางวันแล้ว มันหมุนสะเปะสะปะเลย” เทรนบอก
    “ที่นี่น่ะใช้เข็มทิศธรรมดาไม่ได้อยู่แล้ว ต้องใช้เข็มทิศพิเศษเท่านั้น” เธอเว้นจังหวะ “คนแดนตะวันตกที่จะเข้ามาหาของป่าในที่แถบนี้จะมีเข็มทิศพิเศษนี้กันทั้งนั้นแหละ” มาเรียอธิบาย

    “จากจุดนี้ มุ่งหน้าไปตะวันตกเฉียงเหนือก็น่าจะเจอชายป่าให้นอนพักกันได้นะ”
    “เจ้านำทางได้เลย” อเซแมกบอก มาเรียยิ้มกว้าง พับเข็มทิศเก็บแล้วออกวิ่งนำ ทุกคนออกวิ่งตามไปเหมือนเคย เฉกเช่นที่พวกเขาร่วมเดินทางมาด้วยกัน


    รอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้แต่พวกเขาก็คงไม่อาจทำความเข้าใจได้ด้วยว่า เหตุใดถึงยังยิ้มได้ในสถานการณ์เช่นนี้


    “ว่าแต่...มาเรีย เจ้าย้อนกลับมาทำไมกัน” อากิรอสถามขึ้น
    “เจ้าจะถามทำไมเนี่ย? เจ้าบ้าเอ๊ย” เบลเขกกะโหลกหนาๆของเพื่อนชาย หวังจะให้มันบางลงบ้าง
    “เธอกลับมาช่วยพวกเรายังไงละ” เทรนขยายความ

    “ใครมาช่วยพวกเจ้ากัน!! หา!!!” มาเรียนหันมาตวาดใส่เทรน หน้าแดงจนเห็นได้ชัด

    “แล้วเจ้ามาทำอะไรกันละ? อย่าบอกนะว่าลืมของไว้น่ะ” อากิได้ทีพูดแหย่

    “ใช่! ข้าลืมกระสุนปืนไว้กับเจ้าทากะหน้ามึนนั่นแหละ”
    “อยู่กับข้าน้อยหรือขอรับ” เขาถามขึ้นเมื่อถูกพาดพิง แล้วพลันนึกขึ้นได้หยิบถุงเงินออกมาดูพบว่ามีแต่กระสุนอยู่เต็มไปหมด แต่เหรียญเงินหายไปเกลี้ยงแล้ว มาเรียสะบัดแส้ฉกถุงจากมือเขาไป


    “อีกอย่าง ข้าบอกแล้วไม่ใช่เรอะ! ข้าอยากทำในสิ่งที่อยากทำ ไปในแห่งหนที่อยากจะไป ก็แค่มันเป็นทางเดียวกับพวกเจ้าเท่านั้นแหละ” มาเรียแก้ตัว

    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” อเซแมกที่วิ่งปิดท้ายคู่กับทากะหัวเราะขึ้นมา
    “ทากะ ในภาษาของชาวมายามีคำเรียกผู้หญิงนิสัยแบบนี้ว่ายังไง ข้าจำไม่ได้แล้ว”

    “ซึนเดเระขอรับ” ทากะตอบกลับ สีหน้าเรียบเฉย
    “อะไรเว้ย! พวกเจ้าพูดอะไรกันฟังไม่รู้เรื่องเลย” มาเรียหันมาโวยวายที่โดนสองหนุ่มนินทาอยู่ด้านหลัง

    “มันแปลว่าอะไรเหรอ ท่านทากะ” เทรนถาม
    “หมายถึงคนที่มีนิสัยปากร้ายแต่จริงๆแล้วใจดีขอรับ” ทากะอธิบาย

    “ว๊อย! หยุดพูดเลยนะ ไม่งั้นข้าเอาแส้ฟาดปากเจ้าแน่ๆ” ยิ่งพูดก็ยิ่งหน้าแดง ยิ่งโวยวายเก็บอาการไม่อยู่ เสียงหัวเราะของทุกคนยิ่งดังขึ้นตามการตอบสนองของเธอ มาเรียจึงเลือกที่จะเงียบแล้ววิ่งให้เร็วขึ้นจนทุกคนต้องหยุดแซวแล้วเร่งฝีเท้าตามเธอ


    “ว่าแต่เมื่อกี๊ทำไมท่านไม่เรียกมังกรออกมาตั้งแต่แรกละ พวกเราจะได้ไม่ต้องสู้ให้เหนื่อย” เทรนเปลี่ยนเรื่อง
    “นั่นนะเหรอ ไม้ตายก้นหีบเอาไว้สู้กับกุห์ฟานของเจ้าน่ะ” มาเรียหันมาถาม


    “ไม่ใช่หรอก” อากิรอสตอบ หลับตาลงนึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่
    “ก็แค่มนต์จำแลงที่เปลี่ยนน้ำให้เป็นรูปร่างของมังกรเท่านั้น ข้ายังใช้มนต์อัญเชิญมังกรจริงๆไม่ได้หรอก”

    “โธ่เอ๊ย! ที่แท้อากิรอสก็มีดีแค่ขนาดแต่ใช้การไม่ได้สินะ?” มาเรียยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก แม้แต่เทรนก็แอบขำเช่นกัน
    “เจ้าคิดอะไรของพวกเจ้ากันเนี่ย!” เขาตอบกลับเพราะรู้เท่าทันเธอ ขโมยสาวจอมแสบปล่อยหัวเราะเสียงดังดีใจที่ได้แหย่เขา

    “ไม้ตายก้นหีบน่ะ เขาใช้กันเมื่อถึงเวลาคับขันจริงๆเท่านั้น” อากิวิ่งเร่งตีคู่ขึ้นมาอยู่ข้างๆมาเรีย
    “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าไม่ได้มีแค่ขนาด”

    โป๊ก! กำปั้นของมาเรียและเบลเขกลงหัวเขาพร้อมๆกัน
    “ยังจะมีหน้าพูดเรื่องแบบนั้นอีกนะ” จอมเวทสาวคู่หูชักระอากับความทะลึ่งของเขา


    “เอ้า! เร่งเท้ากันหน่อย ใกล้จะถึงแล้วละ” มาเรียตะโกนบอก ทุกคนจึงหยุดคุยแล้วเร่งจังหวะวิ่งให้เร็ว



    สักพักหนึ่งพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เป็นแนวทุ่งหญ้าเล็กๆกั้นแนวป่าสองแนวไว้ มองดูป่าอีกฟากหนึ่งซึ่งพวกเขาจะต้องเดินทางผ่านในวันรุ่งขึ้นยิ่งหนาทึบ ต้นไม้ขึ้นแออัดจนแทบจะไม่มีช่องว่าง มองลึกเข้าไปเห็นเพียงแต่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด

    เมื่อกองไฟถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่นแล้ว เบลหักกิ่งไม้เป็นท่อนสูงประมาณเอวหกท่อน สองมือประคองระดับอกแล้วบริกรรมเวทอยู่ครูหนึ่ง ท่อนไม้ยาวสีน้ำตาลแก่เปล่งแสงขึ้นนิดหน่อยแล้วกลับเป็นอย่างเดิม เธอพุ่งไม้ออกไปรอบๆจนหมด


    “เจ้าทำอะไรน่ะ” มาเรียถามเมื่อเธอกลับมานั่งแล้ว
    “เขตแดนแบบง่ายๆน่ะ ถ้ามีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาข้าก็จะรับรู้ได้ทันที” จอมเวทสาวให้คำตอบ มาเรียพยักหน้าว่าเข้าใจ


    “มาเรีย” อเซแมกเรียก เธอหันมองที่เขา แววตาต่างคำถามว่าเขาต้องการอะไร
    “ข้าขอบใจเจ้ามากที่ย้อนกลับมาช่วยพวกเรา” เขาก้มหัวให้เธอเล็กน้อย

    “ช่างข้าเถอะน่า ข้าบอกแล้วว่าข้าทำอะไรที่ข้าอยากจะทำ ไอ้ครั้นจะปล่อยให้พวกเจ้าไปตาย ข้าก็ไม่ค่อยจะรู้สึกดีเท่าไรหรอก” อเซแมกยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบของเธอ มาเรียเหลือบไปมองทากะนิดหน่อย พบว่าเขากำลังมองเธอเช่นกัน

    “เจ้ามองอะไรของเจ้า หรือว่าคิดจะทวงเงินคืน”

    “แม่นางทำให้ข้าหวนนึกถึงคนที่....” เขาชะงัก “บ้านน่ะขอรับ”
    “โลกนี้ยังมีคนอื่นนิสัยเหมือนข้าอีกเรอะ”
    “ก็แค่คล้ายขอรับ” เขาตอบกลับเรียบๆ

    “งั้นข้ากับคนที่เจ้าบอก ใครนิสัยแย่กว่ากันละ หือ?”
    ทากะไม่ตอบคำถาม ยิ้มมุมปากเล็กน้อย หลับตานิ่งพิงหลังเข้ากับต้นไม้


    “เอาละ วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว ข้าจะบริการพวกท่านเป็นพิเศษหน่อยละกัน”
    เบลลานี่หยิบขลุ่ยออกมาแล้วเริ่มบรรเลงเพลง ท่วงทำนองสงบและเบาสบายให้ความรู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นละมุนละไมเข้าโอบกอด เสียงขลุ่ยเหล็กดังกังวานแต่แฝงไว้ด้วยความหวานที่สัมผัสได้กล่อมทุกคนให้หลับใหล



    เมื่อทุกคนหลับแล้ว เธอออกมายืนเหม่อมองดูท้องฟ้า ดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นวาดเส้นโค้งบนท้องฟ้าก่อนจะจางหายไป

    “เจ้ากำลังกังวลอย่างนั้นรึ” คราวนี้อเซแมกเป็นผู้ถามคืนบ้าง เธอหันกลับมายิ้มให้เขา
    “ข้าเองก็มีเรื่องให้คิดในบางเวลาเหมือนกันค่ะ”

    “เจ้ากำลังคิดว่าเรื่องเมื่อตอนเย็นเป็นฝีมือของกุห์ฟานสินะ” เขาถามคำถามแหลมๆแทงใจ
    “มีเรื่องไหนที่ข้าปิดบังท่านได้บ้างนะ” เบลถามขึ้นลอยๆ

    “จู่ๆก็ถูกฝูงออคบุกโจมตีแบบนั้น เป็นข้าก็ต้องคิดว่ามีเบื้องหลังแน่ๆ” อเซแมกเข้ามายืนข้างๆมองท้องฟ้าเป็นเพื่อนเธอ

    “ถึงจะเพียงเล็กน้อย แต่ข้ารู้สึกได้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน” อเซแมกเหลือบมอง เธอนี่กำหมัดโดยไม่รู้ตัว

    “เจ้าไปพักบ้างเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าต่อเอง” นักดาบหนุ่มบอก


    เธอหันมาสบตาเขา ทั้งคู่มองผ่านสายตาของกันและกันเนิ่นนาน ประกายเล็กๆในดวงตาสุกสว่างเหมือนดาวที่ส่องแสงบนท้องฟ้า ดาวอีกดวงหนึ่งร่วงหล่นตามอีกดวงไป

    “งั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ” เธอยิ้มบางๆ กระชับผ้าคลุมแล้วเดินกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคนที่กำลังพักผ่อนอยู่รอบกองไฟอบอุ่น



    รุ่งอรุณหวนคืนพร้อมแสงสว่างสดใสเติมเต็มโลกให้งดงาม นักรบหนุ่มสาวตื่นขึ้นพร้อมความสดชื่นที่กลับคืนเพราะได้พักผ่อนเต็มอิ่ม เทรนจัดแจงเข็มขัดและดาบให้เข้าที่ จอมเวทสาวผูกเชือกรองเท้าเสียใหม่ให้กระชับกว่าเดิม มาเรียหยิบเข็มทิศขึ้นมาเช็คทิศทางอีกครั้ง หันมาพยักหน้าเป็นคำถาม ทุกคนพยักหน้าตอบรับ จากนั้นการเดินทางข้ามผืนป่าดงดิบหนาทึบได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง


    มาเรียนำทางทุกคนมุ่งหน้าขึ้นเหนือค่อนไปทางตะวันตกนิดหน่อย สภาพป่าโดยรอบไม่เอื้ออำนวยให้วิ่งได้สะดวกนัก บางช่วงต้องเดินเรียงแถวไปตามอุโมงค์ต้นไม้แคบๆ แม้ว่าหนทางจะยากลำบากเพียงใดก็ไม่ทำให้ความตั้งใจของคนทุกคนสั่นคลอน เมื่อเหน็ดเหนื่อยก็หยุดพักเอาแรงแล้วออกเดินทางต่อ


    สิบหกวันผ่านไป ทั้งหมดเดินทางข้ามพ้นเขตสุดท้ายของป่าพิศวงนามว่าเนมุสด้วยการนำทางของมาเรีย ระหว่างทางแม้จะไม่มีการโจมตีจากพวกออคอีกแล้ว แต่พวกเขาต้องผจญกับสัตว์ประหลาดอีกหลายอย่าง อาทิเช่น หมูป่ายักษ์แสนจะดุร้าย งูยักษ์ตัวมหึมาที่โจมตีตอนกลางคืน ฝูงลิงปีศาจที่วิ่งไล่กวดทั้งวันทั้งคืน นกดึกดำบรรพ์คล้ายกับไดโนเสาร์ ฯลฯ

    แต่ทั้งหมดก็ผ่านพ้นปัญหามาได้ด้วยการร่วมมือร่วมใจของทุกคน



    “เอาละ วันนี้พักกันตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้เดินทางอีกครึ่งวันก็จะถึงปากทางหุบเขามรณะแล้ว” มาเรียแจ้งทุกคนเมื่อเดินทางมาถึงทุ่งหญ้ากว้าง มองเห็นภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านรออยู่ไกลๆ

    “ใกล้แล้วสินะ” เทรนยกมือขึ้นป้องเหนือคิ้วมองดู
    “อีกไกลต่างหากละ” มาเรียบอกพร้อมกับย่อตัวลงนั่งหยิบขวดน้ำออกมา ในขณะที่กำลังจะดื่ม เธอเห็นประกายแสงบางอย่างลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะ เมื่อตั้งใจเพ่งมองก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อประกายเหล่านั้นกลายเป็นดาบไฟจำนวนมากพุ่งลงมายังพวกเขา


    “คุสโทเดีย อาควัม!” (โล่วารี)

    มวลน้ำมากมายหมุนวนเป็นเกราะป้องกันการโจมตีจากฟากฟ้า ดาบอัคคีปะทะเข้ากับโล่วารีสูญสลายไปจนหมดเหลือเพียงไอร้อนระอุ

    มาเรียหันไปมองก็พบว่าอากิรอสใช้น้ำในขวดของตัวเองผสานกับพลังเวทป้องกันทุกคนไว้ได้ เทรนกระชากดาบออกมาเตรียมพร้อม เบลยื่นมือให้เธอจับรั้งตัวขึ้นมายืน


    “โผล่หัวออกมาได้แล้วพวกหมาลอบกัด” อากิรอสก้าวออกไปยืนเบื้องหน้า ตะโกนเสียงดัง บรรยากาศด้านหน้าห่างไปไม่ไกลเกิดการบิดเบี้ยว ชายหนึ่งและหญิงหนึ่งก้าวออกมาจากม่านมิติ


    “ข้าบอกแล้วว่ามันไม่ได้ผลเจ้าก็ไม่เชื่อข้า”
    “แหม ข้าก็แค่อยากลองเท่านั้นแหละน่า”

    ไบท์ ไวท์แฟงค์และอเซเรีย ควินน์ ยืนตระหง่านตรงหน้าอากิรอสและพวกพ้อง นักเวทหนุ่มจ้องมองพวกเขาไม่วางตาก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป

    “กุห์ฟานอยู่ที่ไหน”

    “อยากรู้จริงๆรึว่าท่านกุห์ฟานอยู่ที่ไหน” ไบท์ตอบกลับ “แต่ถึงเจ้ารู้ไปก็ไม่ประโยชน์หรอก เพราะยังไงพวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่ ตรงนี้แล้ว”

    “นังตัวแสบ วันนี้ข้ามาคิดบัญชีกับเจ้าโดยเฉพาะเลย” ไบท์ชี้มีดไปยังมาเรีย
    “คราวก่อนไม่เข็ดรึไงกันนะ หรือว่าเป็นพวกดีแต่ใช้กำลังเลยไม่มีสมอง” เธอย้อนกลับแบบเจ็บแสบๆ หยิบแส้ออกมาสะบัดเตรียมพร้อม แต่อากิยกมือขึ้นขวางก่อน

    “พวกเจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลยนะว่ากุห์ฟานอยู่ที่ไหน”
    “ฟังไม่รู้เรื่องรึไงกัน เจ้าโง่...” ไบท์จะด่ากลับแต่ถูกอิเซเรียยกมือห้ามเช่นกัน

    “หากเจ้ามีปัญญาทำให้ข้าตอบคำถามได้ ข้าก็จะตอบให้”
    อิเซเรียท้าทาย “คราวก่อนยังไม่รู้ผลการต่อสู้เลย เอ๊ะ! หรือว่ารู้ผลกันตั้งแต่แรกแล้วนะ” เขาชักดาบทั้งสองออกมา ตัวดาบเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วเพลิงไฟก็ผุดขึ้นปกคลุมใบดาบทั้งสองเล่ม


    “ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้นละก็ ข้าก็จะทำให้เจ้าเปิดปากเอง” อากิรอสกางมือออก พลังเวทรวมเข้าที่ฝ่ามือแล้วแปรรูปกลายเป็นดาบวารีสองเล่มเช่นกัน

    “ทุกคนไม่ต้องยุ่งนะ ข้าจะจัดการเจ้านั่นเอง” อากิบอกแล้วพุ่งตัวออกไป อิเซเรียก็พุ่งตัวเข้ามาเช่นกัน ดาบไฟและน้ำโคจรปะทะกันเสียงสนั่น แรงกระแทกกระจายไปทั่ว


    “งั้นก็ถึงเวลาตายของเจ้าแล้วนะ” ไบท์พูดจบแล้ววิ่งเข้าหามาเรีย เธอสะบัดแส้เตรียมรับมือแต่เงาร่างหนึ่งพุ่งจากด้านหลังเข้าปะทะไบท์ก่อนเธอ

    “ให้ข้าจัดการเอง” เทรนหันมาบอกแล้วจับดาบสองมือฟาดใส่เต็มแรง อีกฝ่ายประกบมีดต้านรับไว้ได้
    “เฮ้ อย่าเพิ่งฆ่ายัยนั่นตายละ เหลือไว้ให้ข้ากรีดหน้าให้เสียโฉมก่อนนะ” มาเรียตะโกนบอกไล่หลังไป



    ด้านอากิและอิเซเรีย เพลงดาบสองมือปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน การรุกรับผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา ทั้งสองเข้าประดาบกันตรงๆก่อนจะถอยหลังแยกจากกัน รอเวลาและโอกาสในการบุกต่อไป

    “คราวนี้หันมาใช้ดาบคู่แทนขวานแล้วงั้นรึ” นักดาบแห่งทารัสถามขึ้น
    “ข้าจะทำให้เจ้าพ่ายแพ้ด้วยวิชาของเจ้า จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่เก่งกว่ากัน” นักเวทหนุ่มตอบแล้วพุ่งเข้าหา มือซ้ายวาดดาบขนานกับพื้นจากขวาไปซ้ายส่วนมือขวาฟาดดาบตามซ้ำจากบนลงล่าง แต่คู่ต่อสู้ต้านรับไว้แล้วจู่โจมกลับด้วยการสับฟันสองมืออย่างรวดเร็ว


    “จะทำให้ข้าพ่ายแพ้ในเชิงดาบอย่างนั้นรึ? โอหังเกินไปแล้ว”

    อิเซเรียหมุนตัวฟาดดาบทั้งสองเข้าใส่สุดแรง อากิต้านรับไว้ได้แต่ก็ต้องถอยกรูด อีกฝั่งตามซ้ำไม่ให้เขาหยุดพักโถมเข้าฟาดดาบมือขวาใส่ตรงๆ จอมเวทผมปัดการโจมตีทิ้ง แต่ทว่าอิเซเรียแทงดาบในมือซ้ายเข้าหาอีกครั้งบังคับให้อากิต้องหลบพลางถอยหลัง กลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเต็มตัว



    อีกด้านการต่อสู้ระหว่างเสือสาวสองตัวก็ดุเดือดไม่แพ้กัน ไบท์พยายามบุกเข้าประชิดตัวแต่เทรนก็ไม่ยอมง่ายๆ รัวดาบเข้าใส่ไม่ให้อีกฝ่ายคุมจังหวะได้

    เนิ่นนานไปดูเหมือนนักดาบสาวจะได้เปรียบมากขึ้น ออกกระบวนท่ากดดันอีกฝ่ายได้มากกว่า


    “เป็นไงละ! ข้าชินกับจังหวะของเจ้าแล้วนะ” เทรนบิดข้อมือพลิกดาบฟันเข้าใส่จากซ้ายขวาสลับกับการแทง ไบท์ทำได้เพียงปัดป้องและหลบหลีกเท่านั้น

    “อาจารย์เจ้าไม่ได้สอนรึว่าหากยังไม่จบการต่อสู้อย่าเพิ่งลำพองใจ”

    ไบท์ใช้ปลายมีดกระแทกเข้ากลางใบดาบที่แทงเข้ามาจนเบี่ยงออก พุ่งตัวเข้าหาใช้อีกมือหนึ่งจ้วงแทงเข้าใส่เหมือนต่อยฮุค เทรนเอี้ยวคอหลบไปได้เฉียดฉิว นักฆ่าฉายาเขี้ยวสีขาวไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยแทงคมมีดเข้าที่เอวอีกที นักดาบสาวกระโดดถอยหลังออกห่างแต่เสื้อก็ถูกเฉือนเป็นทางยาว



    “คราวก่อนข้าประมาทถึงได้เจ็บตัว แต่คราวนี้ข้าเอาจริงแล้ว”

    เธอพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม แยกเขี้ยวเข้าหา ดวงตาเปี่ยมด้วยความอาฆาตล้นทะลัก สองมือควงมีดแทงซ้ายทีขวาที นักดาบสาวจอมห้าวกลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับพัลวัน เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่มีจังหวะโจมตีแล้วเทรนจึงฉากหลบออกห่างมั่นใจว่าหนีพ้น แต่ไบท์กลับก้าวเท้าตามประกบไม่ให้หนีง่ายๆ


    “อย่าเพิ่งหนีสิจ๊ะ”

    ไบท์ยิ้มหวานก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุดัน แทงมีดเข้าใส่ไม่ยั้ง เทรนไม่สามารถรับการโจมตีได้หมด ถูกแทงเฉือนเข้าที่ไหล่ซ้ายหนึ่งแผลและต้นแขนขวาอีกหนึ่งที่ เธอกลั้นใจฝืนความเจ็บเหวี่ยงดาบเข้าปะทะสุดแรง ผลักดันให้ศัตรูต้องถอยร่นกลับไป


    “เป็นไปไม่ได้! ยัยนี่เร็วกว่าเรางั้นรึ?”
    เทรนตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง แม้แผลทั้งสองแห่งจะไม่ลึกเท่าไร แต่บาดแผลทางจิตใจกลับสาหัสกว่า เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลจากปลายคิ้วลงสู่คางแล้วหยาดหยดสู่พื้น




    เลือดสดๆสายหนึ่งสาดกระเซ็นย้อมลงเปื้อนยอดหญ้าสีเขียวสด อากิรอสในเวลานี้มีแผลจากคมดาบของศัตรูเต็มไปหมด คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แก้มซ้ายมีแผลกรีดบางๆให้เลือดผุดออกจากปากแผลไหลเป็นทาง ลมหายใจหอบรวนป่วนปั่น


    คู่ต่อสู้นามอิเซเรียก้าวเท้าเข้าหาเขาช้าๆ สองมือเหยียดดาบลงลากปลายหญ้า จิตสังหารรุนแรงเปี่ยมล้น แววตาเหยียดหยันมองลงเบื้องล่างดุจดั่งผู้ปกครองมองดูทาสต่ำต้อย




    To be continue…
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 9


    สายลมตะวันออกพัดไอเย็นเข้าปกคลุมไปทั่วแต่มิอาจดับความเร่าร้อนของการต่อสู้ลงได้ เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นโดยมีพระอาทิตย์กลมโตที่จะลาลับขอบฟ้าเป็นฉากหลัง

    อากิรอสตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบศัตรู ทั่วกายเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดอุ่นๆผสมกับเม็ดเหงื่อไหลชโลมทั่วร่าง ลมหายใจเริ่มจะหอบหนักขาดห้วงเพราะความเหน็ดเหนื่อยและอาการบาดเจ็บ แต่แววตายังแข็งกร้าวคุกรุ่นด้วยเพลิงแห่งความพิโรธ


    “จงมา! ดาบวารี”
    อากิเรียกขานศาตราของตน ละอองน้ำเล็กๆรวมเข้าที่ฝ่ามือทั้งสองแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบยาวเรียวเล็กที่เรียกว่าเรเปียแล้วปราดเข้าหาศัตรู อิเซเรียป้องกันการจู่โจมของเขาอย่างง่ายดายและในพริบตาเดียวก็กลับเป็นฝ่ายบุกอีกครั้ง ดาบอัคคีตัดผ่านดาบวารีขาดเป็นสองส่วนแล้วเฉือนเข้าที่บ่าซ้ำอีกแผล

    พริบตาที่อากิชะงักเพราะความเจ็บปวด ปลายดาบแหลมก็พุ่งเข้าหาโดยมีเป้าหมายอยู่ที่หัวใจ


    อากิรอสตัดสินใจใช้มือซ้ายเปลือยเปล่าจับดาบที่พุ่งเข้ามา แม้ว่าจะหยุดการโจมตีครั้งนี้ได้แต่มือของเขาก็อาบไปด้วยเลือดสดๆหยดหยาดลงสู่พื้นอย่างต่อเนื่อง นักดาบแห่งทารัสมองอย่างใจเย็นแล้วออกแรงมากขึ้น ปลายดาบค่อยๆเลื่อนเข้าหากลางอก ใบหน้าของจอมเวทหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด กัดฟันแน่นกรอด

    ผัวะ! ขาขวาของอีกฝั่งตวัดเข้าเต็มชายโครง อากิฝืนความเจ็บปวดยันตัวเองไม่ให้ล้มแต่ก็ขาซ้ายถีบเข้าท้องกระเด็นถอยหลังไปไกล


    “ฝีมือแค่นี้น่ะรึที่ท่านกุห์ฟานนับถือเป็นอาจารย์” อิเซเรียเย้ยหยันซ้ำเติม “ช่างน่าผิดหวังนัก”


    สีหน้าของเบลเต็มเปี่ยมด้วยเค้าลางแห่งความกังวลเมื่อเห็นคู่หู่กำลังตกอยู่ในอันตราย ส่วนอเซแมกชำเลืองมองศิษย์ของตนต่อสู้อย่างไม่วางตาเช่นกัน

    “เจ้านั่นมัวทำอะไรอยู่” มาเรียเริ่มหงุดหงิด ขยับตัวจะเดินเข้าหา มือซ้ายปลดกระดุมซองปืนเตรียมหยิบอาวุธคู่ใจ แต่จอมเวทสาวฉวยรั้งข้อมือของเธอไว้ก่อน

    “ปล่อยให้อากิจัดการเถอะ เจ้านั่นไม่จบแค่นี้หรอก” แม้ว่าคำพูดจะบอกว่าเชื่อมั่น แต่มาเรียก็รู้สึกถึงอาการสั่นไหวจากมือของเธอ สุดท้ายก็ต้องยอมกลัดกระดุมซองปืนกลับอย่างเดิม



    “เจ้าพร้อมยอมรับความตายหรือยัง? นักเวทผู้อับโชค” อิเซเรียถาม เปลวเพลิงที่ดาบเจิดจรัสมากยิ่งขึ้น

    “ความตาย?”
    อากิทวนคำ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้ากลับ ความตายคือสิ่งใดกัน”

    “เจ้าจะได้รู้ในวินาทีที่หัวของเจ้ากลิ้งอยู่แทบเท้าข้า!”
    อิเซเรียเข้าประชิดถึงตัวทันที สองมือไขว้เหนือบ่าเตรียมทำตามที่ลั่นวาจา อากิยืนนิ่งไม่ไหวติงร่างกายแม้แต่น้อย


    เปรี้ยง!
    ดาบสองเล่มกระแทกเข้ากับกำแพงเวทเต็มแรง สายลมวูบหนึ่งพัดออกจากร่างของอากิพร้อมกับไอพลังเวทเย็นยะเยือก นักดาบแห่งเมืองทารัสต้องถอยไปตั้งหลักประเมินท่าทีคู่ต่อสู้ใหม่


    “ข้ายอมรับว่าทักษะดาบข้าอ่อนด้อยกว่าเจ้า” อากิรอส คีฟ ยกมือขึ้นปาดเลือดออกจากใบหน้า
    “แต่แค่นั้นอย่าหวังจะให้ข้าพบกับความตายได้เลย” แววตาของเขาแฝงด้วยความเย็นชา พลังเวทแผ่ซ่านออกมาอย่างต่อเนื่อง เลือดเริ่มหยุดไหล ปากแผลเริ่มปิดกลับคืน สองมือขยับกำคลายเป็นจังหวะพร้อมเสียงกระดูกลั่น

    “เอาจริงแล้วอย่างนั้นรึ” อิเซเรียยิ้มดีใจ ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือ


    แต่แล้ว...

    ร่างของอากิเข้าประชิดในพริบตาพร้อมหมัดขวาที่เหวี่ยงมาเต็มแรง คอของอิเซเรียสะบัดไปด้านหลัง ร่างถอยกรูดไปไกล เลือดไหลย้อยจากปากและจมูก สายตาสำแดงความงุนงงสงสัยเมื่อคู่ต่อสู้สภาพปางตายตรงหน้ากลับกลายเป็นคนละคน เขาใช้หลังมือปาดเลือดออกจากปากแล้วบุกเข้าหา ปลายดาบหนึ่งเล็งเข้าที่คอหอย อีกหนึ่งมุ่งเป้าที่หัวใจ


    “หยุด!”
    ดาบนั้นชะงักงันดั่งที่เขาพูด

    ระหว่างที่ศัตรูกำลังตะลึง เขาค่อยๆเลื่อนมือขึ้นจับปลายดาบทั้งสอง เปลวเพลิงร้อนดับวูบในทันทีราวกับเทียนที่ถูกลมพายุพัดโหมเข้าใส่ อิเซเรียจำต้องถอนดาบกลับคืน พยายามเร่งเร้าพลังเวทของตนเรียกเพลิงไฟขึ้นมาใหม่

    “มัวมองไปทางไหนกัน?”
    เสียงของอากิดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมๆกับขาขวาที่สะบัดวูบเข้าเต็มกกหูอีกฝ่าย ร่างนั้นกลิ้งไปกับพื้นหญ้า สองดาบหลุดกระเด็น อิเซเรียพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นแต่ก็พบว่าบัดนี้คู่ต่อสู้มายืนอยู่ข้างๆ

    บึ้ก!! อากิกระทืบเท้าลงกลางท้องอีกฝ่ายเต็มๆ แรงจนน้ำย่อยในกระเพาะอาหารถูกบีบขับไหลย้อนออกจากปาก ร่างสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด


    บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!! บึ้ก!!
    อากิกระทืบซ้ำอย่างไม่ปราณี สีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชาไม่สนใจเสียงร้องเจ็บปวดของอีกฝั่งที่ได้ยิน เลือดขุ่นข้นกระอักไอออกจากปากตามจังหวะย่ำเท้าหนักๆ รัวๆ แรงๆ


    “หือ? ตะกี๊เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าความตายคือสิ่งใดกัน”
    เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ง้างขาเตะเข้าใส่เต็มๆสีข้าง ร่างของอิเซเรียพลิกกระเด็นตามแรงตวัด


    “เจ้านั่น!!” อเซแมกตกใจที่เห็นอากิเปลี่ยนเป็นคนละคน
    “นี่สินะตัวตนแท้จริงที่ปกปิดไว้” มาเรียยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากลากผ่านคาง แววตาเต้นระริกด้วยความสนใจ กลับกันแววตาของเบลกลับดูเศร้าสร้อย ก้มหน้าไม่อยากมองภาพที่เห็นตรงหน้า


    ก่อนที่อีกฝั่งจะตายคาเท้าของอากิ พลันพื้นดินสั่นไหวสายลมกรรโชกไปทั่ว กิ่งไม้โยกไหวคลอนเอน ใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อน แม้แต่เทรนและไบท์ที่กำลังสู้กันยังต้องหยุดมือ


    “ข้ารอเจ้าตั้งนานนะ กุห์ฟาน”

    อากิเงยหน้าขึ้นไปมองรุ่นน้องจอมเวทที่ปรากฏตัวขึ้นบนฟากฟ้า ผู้ติดตามอีกสองคนยืนอยู่ด้านหลัง ผ้าคลุมและฮู้ดสีดำสนิทปกปิดใบหน้าเอาไว้ อเซแมกและทากะที่ยืนอยู่เบื้องล่างต่างกระชับดาบเตรียมพร้อมรับการต่อสู้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


    “สภาพดูไม่ได้เลยนะ ควินน์” หนึ่งในสองคนพูดขึ้นมา
    “ขัดคำสั่งท่านกุห์ฟานออกมาหาเรื่องใส่ตัวก็แบบนี้แหละน่า” อีกคนหนึ่งตอบพร้อมยักไหล่ขึ้น

    “ต้องขออภัยจริงๆที่คู่หูของข้ามาสร้างปัญหาให้พวกเจ้า”
    กุห์ฟานดีดนิ้วหนึ่งที วงเวทปรากฏใต้ตัวของอิเซเรียและไบท์ก่อนทั้งคู่จะค่อยๆเลือนหายไปเหมือนเช่นการต่อสู้ครั้งก่อน


    “คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปอย่างนั้นรึ” เทรนตะโกนด่า ชี้ดาบท้าทาย

    กุห์ฟานฉีกยิ้มขึ้นก่อนจะดีดนิ้วอีกครั้ง ประกายแสงเล็กๆวูบวาบขึ้นรอบตัวแล้วเปลี่ยนเป็นดาบแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมา ร่างของอากิโผล่มายืนขวางหน้าเทรนพร้อมยกมือขวาสร้างข่ายมนต์พลังป้องกัน พลังเวทสองสายปะทะกันเสียงสนั่น

    อากิรอสแหงนมองขึ้นไปหากุห์ฟานอีกครั้ง แต่พวกเขาได้หายไปแล้ว




    ณ ทางเข้าหุบเขามรณะ

    กุห์ฟานและผู้ติดตามสี่คนกำลังย่างย่ำไปบนทางที่เลือดขุ่นข้นเจิ่งนอง ร่างของเผ่าออคนอนตายสุมทับกันเป็นกองภูเขา จำนวนมากกว่าที่บุกโจมตีกลุ่มของอากิอย่างเทียบไม่ได้

    “มองกี่ครั้งข้าก็มิอาจมองเห็นความสมบูรณ์แบบในชีวิตเหล่านี้ได้เลย” กุห์ฟานหยุดเดิน ยืนนิ่งท่ามกลางร่างไร้ชีวิต

    “เจ้าพวกนี้ก็โง่เสียจริง บังอาจหันดาบใส่พวกเรา ตายๆไปซะได้ก็ดี” เสียงหนึ่งดังลอดผ่านฮู้ดออกมา ขาก็เตะหัวที่ไร้ร่างของออคตัวหนึ่งกลิ้งไปไกล

    “ว่าแต่อาการเป็นยังไงบ้างละ”
    กุห์ฟานถามขึ้น หันหลังปรายตามองไปยังนักดาบผู้ขัดคำสั่ง แม้คำพูดจะสวยหรูแต่แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองทำให้ฝ่ายที่ถูกเพ่งมองต้องคุกเข่าลงกับพื้น อีกสามคนรับรู้ถึงแรงกดดัน ก้มหน้านิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดซึมจากใต้ผิวหนัง

    “อย่าทำให้ข้าต้องโกรธเรื่องเดิมซ้ำสองนะ” เขาเตือนก่อนจะออกเดินไปเพียงลำพัง

    ทั้งสี่คนถอนหายใจโล่งอกก่อนจะช่วยกันประคองนักดาบผู้โชคร้ายให้ลุกขึ้นยืนแล้วหิ้วปีกเดินตามหลังผู้เป็นนายต่อไป




    “โอ๊ยๆๆๆ! เบาหน่อยๆ อาจารย์!!!” เทรนส่งเสียงดังลั่นทุ่งเพราะโดนอาจารย์เอาน้ำราดใส่แผล

    “จริงๆให้ข้ารักษาก็ได้นะท่านอเซแมก” เบลบอกในขณะที่นั่งอมยิ้มขำเทรนที่กำลังงอน
    “ถ้าเจ็บแล้วหายง่ายๆ ต่อไปก็ไม่รู้จักระวังสิ” เขาประคองแขนเรียวขาวขึ้นมาเช็ด โรยยาผงแล้วใช้ผ้าพันแผลพันปิดอย่างประณีต

    “เอ้า! เสร็จแล้ว” ผู้เป็นอาจารย์ขยี้หัวลูกศิษย์สาวแล้วลุกไปนั่งข้างๆอากิที่กำลังกินอย่างไม่สนใจใคร เขาหันมองเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไป


    “ไม่นึกว่าเจ้าจะกินได้เยอะขนาดนี้นะ” อเซแมกเอื้อมมือหยิบไม้เสียบเนื้อย่างขึ้นมากัดเข้าปาก อากิกลืนเนื้อลงคอแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

    “ทุกครั้งที่ข้าเอาจริง ข้าก็จะกินเต็มที่แบบนี้แหละ”
    “ใช้แรงเยอะก็ต้องกินเยอะสินะ” อเซแมกพุ่งไม้เปล่าๆเข้ากองไฟ
    “เอาจริงที่เจ้าว่าน่ะ มั่นใจว่าชนะเจ้ากุห์ฟานได้ไหมละ” มาเรียถามขึ้น ทำเอาอากิชะงัก
    “เจ้าคอยดูก็แล้วกัน” จอมเวทผมดำล้มตัวลงนอน สองมือสอดหนุนต่างหมอนแล้วหลับตาไม่รับรู้สิ่งใดอีก


    ค่ำคืนนี้เงียบเหงากว่าทุกคืนที่ผ่านมา ไม่มีบทสนทนาใดๆจากพวกเขา อเซแมกและทากะอาสาเฝ้าเวรในคืนนี้ให้ทุกคนได้พักผ่อน


    “กำลังคิดเรื่องใดหรือขอรับ”
    “กุห์ฟานและพรรคพวกล้วนแข็งแกร่ง แม้ว่าวันนี้อากิจะชนะได้ก็ตามที” อเซแมกเว้นคำพูด
    “หากต้องต่อสู้กันจริงๆคงจะมีใครสักคนต้องตายจาก ข้ากลัวช่วงเวลานั้นที่สุด”

    “ท่านกำลังกังวลว่าอากิรอสจะสู้แลกชีวิตกับกุห์ฟานสินะขอรับ” ทากะเอ่ยถามแทงใจ
    “ข้าไม่ก้าวก่ายวิถีชีวิตของใคร แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาความตายของสหายหรอกนะ”

    “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็ควรแสดงฝีมือที่แท้จริง ปกป้องผู้ที่ท่านให้ความสำคัญสิขอรับ”

    “ปิดเจ้าไม่ได้จริงๆด้วยสินะ” อเซแมกยกมือขึ้นเกาศีรษะเบาๆ
    “แต่ว่าเจ้าเองก็ยังไม่ได้เอาจริงเหมือนกันไม่ใช่รึไง”

    นักดาบอาณาจักรมายายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้ากลับเป็นปกติ
    “ข้าไม่ปรารถนาที่จะปลดปล่อยตัวเองเหมือนเช่นอากิรอสขอรับ”

    “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องถามเจ้าละนะว่าเจ้าต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งใดกัน”
    ทากะไม่ตอบคำถาม แหงนหน้ามองดูหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามราตรี ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองคนให้หยุดนิ่ง หยุดทุกคำพูดให้เลือนหาย

    หลังจากนั้นค่ำคืนก็ผันผ่านสู่วันใหม่อีกครั้ง


    “แค่กๆๆๆ”
    เสียงไอหนักๆของใครคนหนึ่งปลุกเบลให้รู้สึกตัว เธอดันตัวขึ้นนั่ง ยืดแขนไล่ความตึงเค้นของร่างกายก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง เทรนยกมือขึ้นเป็นเชิงขอโทษที่รบกวนเธอก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มดับกระหาย

    ฟ้าสางแล้ว แม้ว่าดวงอาทิตย์เพิ่งจะดันตัวเองให้พ้นขอบฟ้าได้นิดหน่อยแต่ก็มากพอที่จะทำให้โลกสุกสว่าง

    “แค่กๆๆๆ” เทรนยกมือขึ้นปิดปาก ไออีกแล้ว
    “เจ้าไม่สบายรึเปล่าน่ะ?” เบลถามด้วยความเป็นห่วง
    “แค่เจ็บคอนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายค่ะ” เทรนยกน้ำขึ้นจิบอีกทีหนึ่ง

    คนอื่นๆตื่นขึ้นตามเสียงสนทนา เป็นจังหวะเดียวกับที่ทากะและอเซแมกแบกลูกกวางตัวน้อยตัวหนึ่งกลับมาพอดี จัดการเปลี่ยนมันให้เป็นเนื้อย่างนุ่มๆกินคู่กับน้ำชาหอมกรุ่น นับว่าเป็นอาหารเช้าที่เลิศรสไม่เบาในป่าลึกกันดารแบบนี้


    ทั้งหกมุ่งหน้าออกเดินทางอีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ด้วยรู้ว่ากลุ่มของกุห์ฟานนั้นอาจจะมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเขา ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’ ที่แย้มบานทอประกายอยู่ ณ สุดขอบโลก


    “อีกนิดเดียว เร็วเข้า” มาเรียตะโกนบอกทุกคนให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อเป้าหมายอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

    ก่อนที่พวกเขาจะบรรลุถึงปลายทาง กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงโชยมาแตะจมูก ทั้งหมดมองหน้ากันในทันที เมื่อเท้าก้าวพ้นแนวป่าออกสู่ลานโล่งกว้าง ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาไม่ต่างอะไรกับ ‘ทุ่งสังหาร’ แม้แต่น้อย

    ซากศพออคนับไม่ถ้วนนอนตายทับถมเป็นหย่อมๆเต็มทั่วพื้นที่ ร่างดำคล้ำเน่าส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว แมลงตัวเล็กๆนับล้านบินตอมซากศพ เลือดสีดำแห้งกรังทาทับย้อมแผ่นดิน


    “นี่มัน....” มาเรียตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ยกสองมือขึ้นปิดปาก แววตาตื่นตระหนกตกใจ

    อากิเดินไปที่กองซากศพ ค่อยๆช้อนคางของร่างไร้ลมหายใจหนึ่งขึ้นพิจารณา แม้ว่าร่างนั้นจะเริ่มเน่าแล้วแต่ก็พอจะมองออกว่าเป็นเพศใด “ไม่ใช่แค่พวกนักรบ แม้กระทั่งผู้หญิงและเด็กๆเผ่าออคก็ถูกฆ่าเรียบ”

    “ฝีมือของพวกนั้นงั้นรึ” เทรนเอ่ยถาม ย่อมหมายถึงกุห์ฟานและอีกสี่ผู้ติดตาม


    เรื่องราวทั้งหมดผุดขึ้นในหัวปะติดปะต่อขึ้นมาเป็นรูปร่าง เหมือนดั่งชิ้นส่วนมากมายที่กระจัดกระจายกลับมารวมเป็นหนึ่ง

    “พวกเรารีบไปกันเถอะ” เบลบอกกับทุกคน


    เส้นทางใน ‘หุบเขามรณะ’ ล้วนว่างเปล่า ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้นแม้แต่ต้นเดียว เหมือนกับบอกว่าชีวิตมิอาจดำรงอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ มีเพียงหินผาชันแกร่งที่สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่รอบด้าน องศาของพื้นเริ่มยกตัวเอียงขึ้นทำให้แต่ละย่างก้าวยากลำบากมากยิ่งขึ้น

    เมื่อข้ามพ้นเนินแห่งแรกมาได้ก็พบกับลานกว้าง ทางเบื้องหน้าแตกแขนงออกเป็นหลายทางลัดเลาะคดเคี้ยวไปซ้ายขวาตามแต่ธรรมชาติรังสรรค์


    “ไปทางไหนต่อละ” อากิถามคนนำทางที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด ตีสีหน้าบอกอารมณ์ไม่ถูก
    “ถ้าให้ข้าพูดความจริง ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรกนี่แหละ” มาเรียตอบกลับ น้ำเสียงไม่สู้จะเป็นปกติที่เปี่ยมด้วยความมั่นอกมั่นใจเหมือนเดิม

    “จะทำยังไงดีละทีนี้” เทรนหันไปมองหน้าอาจารย์ที่ตอนนี้กอดอกยกมือข้างหนึ่งลูบแถวๆคางท่าทางกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

    “พอจะมีข้อมูลจากตำนานหรือเรื่องเล่าของดินแดนตะวันตกที่พอจะช่วยได้บ้างไหม”
    เขาเอ่ยถาม มาเรียถอนหายใจแล้วตอบว่าขอเวลานึกสักครู่หนึ่ง


    เนิ่นนานผ่านไปจากดวงตะวันที่ลอยอยู่เหนือหัวเริ่มคล้อยต่ำลง มาเรียก็ยังนึกไม่ออกว่าควรจะไปทางไหน

    “ข้าว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ” เบลลุกขึ้นสะบัดผ้าคลุมไล่ผงหินที่ติดอยู่ออก มือขวาหยิบขลุ่ยออกมาแล้วปล่อยให้ลอยอยู่เหนือฝ่ามือ “หากไม่สามารถล่วงรู้เส้นทางที่ถูกต้องได้แล้วละก็ ให้โชคชะตานำทางเสียดีกว่า”

    แม้เวลาจะผ่านพ้นมากว่าหลายพันปี แต่เรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตไม่เคยหายไปจากความเชื่อของมนุษย์

    “แล้วแต่ชะตาจะนำทางขอรับ” ทากะใช้ฝักดาบดำมนกระแทกปลายขลุ่ยให้หมุนคว้าง เครื่องดนตรีที่เคยใช้สร้างเสียงเพลงขับกล่อมในยามนี้ต้องใช้เป็นเครื่องชี้นำทางให้กับทุกคนแทน

    ขลุ่ยเงินวาววับเริ่มหมุนช้าลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง ปลายหันชี้ไปยังเส้นทางที่สองจากซ้ายมือสุด


    “มากันขนาดนี้แล้วก็ลองดูสักตั้งละกัน”
    อากิตบสองมือลงบนบ่าเพื่อนสาวแล้วผลักให้ออกเดิน แม้ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะนำไปสู่สถานที่ใดหรือมีสิ่งใดรออยู่ พวกเขาก็มีเพียงต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น


    เดินมาได้สักพักจนตะวันเริ่มขนานกับพื้น ทั้งหมดก็พบกับสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ที่เติบโตอยู่ไม่หนาแน่นเท่าไรนัก ดอกไม้ป่านานาพันธุ์หลากสีสันบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่ว


    “ต้องขอบคุณท่านทากะนะเนี่ย คืนนี้ไม่ต้องนอนบนพื้นหินแข็งๆละ” เทรนพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี หลับตาสูดลมหายใจเต็มๆปอด แต่แล้วก็ต้องชะงักกับท่าทีของทุกคน

    “หุบเขามรณะเป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมโยงสู่สวนสวรรค์ที่ดอกไม้เจ็ดสีบานอยู่มันสั้นแค่นี้จริงๆหรือ?”
    อากิรอสพูดกึ่งถาม แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าใดนัก มาเรียหยิบเข็มทิศออกมาตรวจดูว่ามันยังทำงานปกติดีอยู่หรือไม่

    “หมายความว่า…. ผิดทางงั้นเหรอ?” เทรนถามถามพร้อมดูสีหน้าอาจารย์ที่ตึงเครียดขึ้นทุกขณะ

    “ผิดทางหรือไม่นั้นก็ตอบไม่ได้” ทากะที่เงียบมาตลอดทางเอ่ยขึ้น
    “รู้สึกถึง ‘บางอย่าง’ ได้หรือไม่ขอรับ” เทรนสะดุ้งตกใจกับคำพูดของเขาแล้วพลันตระหนักได้ถึงสัมผัสแห่งความตายที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในป่าลึก


    “จะถอยกลับก็คงไม่ได้แล้วสินะ” อเซแมกหลับตาซ้ายลง ตาขวาจับจ้องเข้าไปยังป่าเบื้องหน้า
    “งั้นคราวหน้าให้ท่านเป็นคนหมุนขลุ่ยนะขอรับ” มือของทากะตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ
    “ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าหรอก” เขาตอบกลับทันที


    ทุกคนต่างก้าวเดินอย่างระมัดระวังผ่านถนนที่ทอดยาวสู่เบื้องหน้าโดยมีต้นไม้เรียงรายสองฝั่งบังคับให้ไปตามทางนี้เท่านั้น ยิ่งเดินลึกเท่าไรแรงกดดันจากในป่าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ที่เข้ามาหันหลังกลับไปก่อนที่ไม่มีทางให้ถอย


    เมื่อพวกเขาเดินผ่านพ้นกองหินกองหนึ่งข้างทาง พริบตาเดียวมี ‘บางอย่าง’ พุ่งออกมาจากป่าพร้อมเสียงขู่คำราม

    สิ่งนั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ปากนั้นแหวกยาวเลยแก้มขึ้นไปเกือบจะถึงหู เขี้ยวแหลมคมเรียงเต็มจนมิอาจนับได้ ดวงตาสีเหลืองสดเหมือนของอสรพิษร้าย เกล็ดแข็งเงามันขึ้นปกคลุมทั่วทั้งร่าง เล็บคมกริบยาวยืดจากปลายนิ้ว ไม่มีใบหู ผมเผ้าหยิกสยายร่างกายสีเขียวซีดเปลือยเปล่า

    พวกมันคือลูกหลานของ ‘กอร์กอน’ อสูรกายในตำนาน


    เทรนฟาดดาบเข้าใส่ศัตรู เสียงดาบปะทะเข้ากับเกล็ดดังเหมือนเสียงโลหะกระแทกกัน มันไม่เป็นอะไรและกวัดแกว่งเล็บมือเข้าหาพร้อมแยกเขี้ยวขู่ เธอหลบการโจมตีได้แล้วบิดตัวแทงดาบสวนเข้าเต็มๆกลางอก มันคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่บาดแผลก็ไม่ลึกพอที่จะฆ่ามันได้

    “อาวุธทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย!!”
    “ไม่ต้องให้เจ้าบอกข้าก็รู้น่า” มาเรียตะโกนสวนกลับมา

    “เบลลานี่!”
    อเซแมกรียกชื่อจอมเวทสาว ทั้งสองสบตาแล้วรู้ทันทีว่าต้องทำอะไร เธอประสานมือแล้วเร่งขับขานทำนองมนตรา คนที่เหลือเข้าล้อมป้องกันไว้รอบด้าน ลูกบอลเพลิงมากมายพุ่งแหวกช่องว่างระหว่างแต่ละคนเข้าโจมตีศัตรูให้กระเด็นถอยกลับไป


    กี๊! กี๊! กี๊! กี๊!
    ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็ไม่ต่างจากสัตว์ป่า พวกมันหวาดกลัวและถอยห่างจากร่างของพวกเดียวกันที่ถูกไฟแผดเผาวิ่งพล่านไปมาก่อนจะล้มลงสิ้นใจ ทั้งหมดจึงฉวยโอกาสรีบวิ่งหนีหมายจะให้พ้นป่าแห่งนี้ การเสียเวลาฆ่าศัตรูทั้งหมดอาจจะเป็นการเพิ่มจำนวนศัตรูที่มากกว่าเดิมในอนาคต




    “อีกไกลแค่ไหนกันนะ”
    “หยุดถามแล้ววิ่งไปเถอะเจ้าบ้า” เบลหันไปบอกคู่หูให้เงียบ

    เทรนที่วิ่งอยู่ตรงกลางล้มวูบลงกะทันหัน อเซแมกกวาดมือจะคว้าไว้แต่ก็ไม่ทัน เทรนนอนฟุบไอหนักๆออกมาราวกับมีบางอย่างจุกอยู่ในอก สีหน้าอึดอัดทรมานอย่างมาก

    เบลรีบเข้าไปแตะหน้าผากเธอทันที “ตัวร้อนจี๋เลย นี่เจ้าไม่สบายจริงๆสินะ”
    “ยัยเด็กบ้าเอ๊ย” อเซแมกเข้าไปประคองลูกศิษย์ให้ลุกนั่งแล้วจับขึ้นขี่หลัง

    “ข้า..” เทรนพยายามขอโทษแต่ก็ฝืนอาการไอไว้ไม่ได้
    “ไม่ต้องพูดแล้ว”

    เขาเหลือบมองไปด้านหลัง เสียงร้องของพวกศัตรูดังไล่หลังมา บีบบังคับให้พวกเขาต้องออกวิ่งไปให้พ้นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พวกเขาวิ่งพ้นแนวป่าออกมาได้แต่ก็ต้องพบกันหน้าผาหินอีกครั้ง ซ้ำยังแยกย่อยซอยเป็นทางเล็กทางน้อยอีกมากมายราวกับเขาวงกตที่ปั่นป่วนหลอกลวงให้สับสนได้

    “เอาไงดี?” มาเรียถาม

    “ไม่มีเวลาแล้ว เลือกมาสักทางเลย” อเซแมกตอบ มาเรียตัดสินใจใช้สัญชาตญาณเลือกเส้นทางที่เธอเชื่อมั่นแล้วออกวิ่งทันที เสียงร้องของพวกกอร์กอนด้านหลังก็ยังคงดังไล่หลังมา

    ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ วิสัยทัศน์รอบข้างเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เสียงหอบหายใจเริ่มถี่ขึ้นทุกย่างก้าว หยาดเหงื่อไหลรินเปียกชุ่มไปทั้งร่าง



    โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!

    เสียงคำรามของสัตว์ร้ายอีกกลุ่มดังมาจากด้านหน้า ดูท่าพวกเขาจะหนีเสือปะจระเข้เข้าเสียแล้ว อาการของเทรนแย่ลงทุกขณะไอหนักๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ใบหน้าขาวผ่องเริ่มซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แววตาอ่อนแรงไม่เหลือท่าทีของสาวแกร่งแม้แต่น้อย

    เสียงฝีเท้าหนักๆตรงมายังพวกเขา อมนุษย์กึ่งคนกึ่งวัว ‘มิโนเทารุส’ ร่างสูงใหญ่กว่าสามเมตรกรูเข้าหา ค้อนยักษ์ในมือกวัดแกว่งกระแทกพื้นและหน้าผา เศษหินแตกกระเด็นเป็นอาวุธเข้าใส่

    เมื่อเห็นท่าไม่ดีทั้งหมดจึงหันหลังวิ่งหนีเพราะสถานที่ต่อสู้ไม่เอื้ออำนวยและศัตรูมีจำนวนมากเกินกว่าจะปักหลักสู้ได้ แต่พวกเขาก็ลืมไปว่าศัตรูจากป่าก็ไล่กวดมาจากด้านหลัง หมดหนทางให้ถอยอีกต่อไป


    “อาจารย์ ปล่อยข้าลงเถอะ!” เทรนพูดเสียงสั่น พยายามฝืนตัวลงยืน แต่ผู้เป็นอาจารย์กลับพาเธอไปนั่งพักที่ริมหน้าผา คนอื่นๆถอยหลังตั้งท่าป้องกันเต็มที่เพราะศัตรูบีบวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ กอร์กอนอยู่ทางซ้ายและมิโนเทารุสอยู่ด้านขวา

    “รออยู่ตรงนี้แหละ” ผู้เป็นอาจารย์บอกพร้อมกระชากดาบออกมาควงรอบข้อมือ
    “ฝากดูแลเทรนทีนะ” เขาบอกกับมาเรีย เธอถอยหลังลงไประวังหลัง กระชากปืนออกมาเตรียมพร้อม

    นักดาบหนุ่มกระโจนออกไปพริบตาเดียวก็ลอยอยู่ตรงหน้าศัตรู ดาบตวัดวูบหนึ่ง สองขาลงถึงพื้นพร้อมๆกับหัวของมิโนเทารุส เขาฉีกตัวหลบค้อนที่ฟาดเข้าใส่จนพื้นหินแตกกระจายแล้วพุ่งเข้าคลุกวงในก่อนจะดีดตัวให้ลอยสูง เมื่อดวงตาของเขาสบเข้ากับตาสีแดงก่ำของเดียรัจฉาน ดาบในมือก็ผ่ากลางร่างตั้งแต่หัวจรดก้นกบ

    ค้อนเหล็กอีกอันเหวี่ยงวูบมาจากด้านหลัง เขาเพียงขยับไปข้างหน้าครึ่งก้าวแล้วหมุนตัวหลบในทิศตรงกันข้ามดั่งเฟืองสองตัวบิดขบกัน ชั่วเสี้ยววินาทีดาบในมือก็ฟาดฟันฉีกเฉือนเลือดเนื้อของศัตรูจนมิอาจนับแผลได้ ร่างใหญ่ยักษ์หงายหลังล้มตึงเสียงสนั่น มิโนเทารุสอีกตัวเงื้ออาวุธในมือจะโจมตีแต่ก็ช้ากว่าอเซแมกที่พุ่งเข้าฟันตัดลำตัวของมันขาดครึ่งในดาบเดียว


    “เอาจริงสักทีนะขอรับ” ร่างของทากะหายไปในพริบตาก่อนจะไปหยุดยืนอยู่กลางวงล้อมของกอร์กอน ทันทีที่พวกมันขยับตัวเข้าหา เลือดก็สาดขึ้นท้องฟ้าพร้อมๆกับร่างที่ฟุบลงกับพื้น เสียงดาบที่เก็บลงฝักเป็นดั่งเสียงส่งวิญญาณให้กับอสูรร้าย


    เสียงไอของเทรนดังแว่วมาจากด้านหลังทำให้ผู้เป็นอาจารย์ร้อนใจมากยิ่งขึ้น

    “ข้ากำลังรีบนะ” เขาสะบัดดาบไล่เลือดที่ชโลมอยู่ออก แม้ว่าคำพูดไม่อาจทำให้พวกมันเข้าใจได้ แต่แววตาและจิตต่อสู้อันเกรี้ยวกราดที่เปล่งออกมาทำให้มิโนเทารุสต่างหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้

    “ข้าบอกว่าข้ากำลังรีบยังไงละ!!”
    เขาตะโกนเสียงดังราวฟ้าผ่า สีหน้าโกรธเกรี้ยวเต็มกำลัง วิ่งเข้าหาศัตรูอย่างลืมตัว

    ทันใดนั้น ห่าธนูพุ่งฝ่าความมืดลงมาจากฟากฟ้าปักเข้ากลางหัวและหลังคอของพวกปีศาจทุกตัวอย่างแม่นยำ ทุกคนแหงนหน้าขึ้นมองบนหน้าผา รัตติกาลทำให้เห็นเพียงแค่กลุ่มคนในชุดผ้าคลุมสีขาวมีฮู้ดคลุมศีรษะกำลังขึ้นคันธนูเล็งมายังพวกเขา




    To be continue…
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 10


    ในหุบเขาลึกที่ผู้คนทั่วแดนตะวันตกขนานนามว่า ‘หุบเขามรณะ’ ดินแดนแห่งความตายที่ชีวิตมากมายต้องดับสิ้นลง ในวันนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามายังที่นี่เพื่อไปให้ถึงยังดอกไม้รุ้งสวรรค์ที่บานอยู่สุดปลายเส้นทางอเวจี

    แต่ถนนเส้นนี้มิใช่เส้นทางแสนสบายโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย และในขณะนี้กลุ่มผู้กล้าที่รับอาสาทำภารกิจให้จักรพรรดิแห่งชิลโซลิธีกำลังเผชิญหน้าอยู่กับ ‘มิโนเทารุส’ สัตว์ปีศาจครึ่งคนครึ่งวัวแสนดุร้าย


    ในขณะที่การต่อสู้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ลูกธนูได้โปรยปรายลงจากฟากฟ้าเข้าปลิดชีวิตมิโนเทารุสและกอร์กอนปิดฉากการต่อสู้ลงในพริบตา ทว่าลูกธนูอีกชุดก็พุ่งลงมาปักอยู่รอบๆตัวของทากะ อเซแมกและคนอื่นๆเป็นการเตือนไม่ให้พวกเขาขยับตัว


    บุรุษร่างโปร่งบางสวมผ้าคลุมสีขาวปักลายเถาวัลย์ที่ไหล่เลื้อยยาวไปตามแขนเดินฝ่าความมืดออกมา เขายกมือเปิดฮู้ดที่คลุมหัวออกเผยให้เห็นถึงใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา ดวงตาสีน้ำเงินสดใสน่ามองฉายแววแห่งความมั่นใจในตัวเอง ผมสีทองอ่อนเรียบสนิทยาวถึงกลางหลัง จะสะดุดตาก็ตรงใบหูที่เรียวแหลมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ‘เผ่าเอลฟ์’


    “ข้าขอเตือนให้พวกท่านหวนกลับไปก่อนจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
    น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบและไม่มีเจตนาข่มขู่ แต่หน้าผาศิลาได้สะท้อนเสียงของเขาให้ดังกึกก้องฟังดูทรงพลังน่าเกรงขาม ราวกับธรรมชาติจะช่วยย้ำคำพูดของเขาให้หนักแน่นยิ่งขึ้น

    “หากไม่มีความจำเป็น พวกข้าคงไม่ดั้นด้นมาถึงที่นี่หรอก” อเซแมกเก็บดาบกลับเข้าฝัก ตั้งท่าจะเดินไปหาชายผู้นั้น แต่ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งลงมาปักพื้นดินในจุดที่เขาตั้งใจจะหยั่งเท้าลง

    “ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ต้อนรับเยี่ยงมิตร แต่ก็น่าจะให้พวกข้าได้พูดสักหน่อยนะ” อเซแมกเงยหน้าพูดกับคนที่อยู่บนหน้าผา


    “ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมคือให้พวกท่านกลับไปเท่านั้น”
    “ท่านรู้ประสงค์ที่พวกข้ามาที่นี่หรือไม่ ท่าน....” อเซแมกยังคงเย็นใจที่จะสนทนา
    “นามของข้าคือ ‘ไอแซค’ และข้าย่อมรู้ประสงค์ของท่าน หากมิใช่เพราะดอกไม้วิเศษพวกท่านจะเดินทางมายังที่นี่ทำไมกัน”
    “พวกข้ายินดีกลับไปหากพวกข้าไม่มีความสามารถพอที่จะไปให้ถึงจุดหมายได้”
    “ท่านคิดว่าท่านมีความสามารถเพียงพออย่างนั้นหรือ” เขาพูดกลับ เตือนให้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่าได้ทะนงตนเกินไปในหุบเขาแห่งนี้ แต่คำพูดนี้กลับเป็นเหมือนสะเก็ดไฟที่โยนลงในบ่อน้ำมันสำหรับอากิ

    “พวกข้ามีความสามารถพอหรือไม่ทำไมเจ้าไม่เข้ามาพิสูจน์เองละ” จอมเวทหนุ่มเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว องค์รักษ์บนหน้าผายิงธนูเข้าใส่ทันที

    “ซาจิคตา อิคนิ!”
    เบลลานี่ร่ายมนต์พร้อมยกมือไปทางคู่หู ศรเพลิงมากมายพุ่งเข้าปะทะศรไม้เผาไหม้เป็นจุณกลางอากาศ อีกฝ่ายขึ้นคันธนูเตรียมซ้ำอีกที


    “หยุด” ทั้งหมดลดคันธนูลงพร้อมกันเมื่อได้ยินคำสั่ง ไอแซคก้าวเดินออกมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

    “ข้ายอมรับในความกล้าหาญของพวกท่าน แต่ก็ควรจะฟังคำเตือนไว้บ้างนะ” เขาหยุดยืนตรงหน้าอากิ อกแทบประชิดติดกัน จ้องดวงตาสีเทาของอีกฝ่ายอย่างไม่กริ่งเกรง
    “คิดว่าชาวเอลฟ์เป็นพวกรักสันติเสียอีกนะนี่” อากิจ้องตากลับอย่างไม่หวาดหวั่นเช่นกัน


    เสียงไออย่างทรมานของนักดาบสาวแว่วมาทำให้อากิต้องหันกลับไปมอง

    “ข้าว่าท่านคงสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่านางกำลังป่วยหนัก” อเซแมกพูดขัดขึ้น
    “นางติดไข้ป่าจากในเนมุส ถ้าไม่รีบรักษาอีกไม่เกินสามวันนางก็ต้องตาย” ข้อความที่อีกฝ่ายตอบทำให้ทุกคนวิตกกังวลมากขึ้นโดยเฉพาะผู้เป็นอาจารย์

    “ท่านรักษานางได้หรือไม่”
    “หากไปยังอาณาจักรชาวเอลฟ์ย่อมมีทางที่จะรักษานางได้” เอลฟ์หนุ่มตอบโดยไม่ปิดบัง
    “ถ้าข้าขอให้ช่วย ท่านจะรับคำขอร้องของข้าหรือไม่” อเซแมกเดินตรงมายังเขา ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
    “หากข้าปฏิเสธละ”
    “ข้าก็คงต้องใช้กำลังบังคับให้ท่านพาข้าไปยังเมืองของท่านละนะ”
    “ท่านจะทำได้หรือ?” ไอแซคตอบอย่างไม่เกรงกลัว

    อเซแมกค่อยๆดึงดาบออกจากฝักเมื่อได้ยินเช่นนี้ สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกขณะ



    “ท่านไอแซค!”

    เสียงของสตรีร่างบางดวงตาสีฟ้าจางดังมาจากด้านหลังทำให้ผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อหันไปมองก่อนจะหันกลับมาถอนหายใจ

    “หากไม่ใช่เพราะท่านรูมิลสั่งให้ข้ามาช่วยพวกท่านละก็นะ” ไอแซคส่ายหน้าเบาๆ “นางจะนำทางให้เอง”
    เขาพูดจบแล้วก็หันหลังเดินกลับไป สตรีชาวเอลฟ์เดินไปยังเทรน เช็ดเหงื่อจากใบหน้าแล้วร่ายมนตราเป็นภาษาเอลฟ์บทหนึ่ง แหวนที่นิ้วชี้ของเธอเปล่งประกายแสงเล็กน้อย เทรนหลับไปทันที

    “ข้าทำให้นางหลับเสียก่อนจะได้ไม่ทรมานมากไปกว่านี้” เธออธิบาย

    “เชิญตามข้ามาทางนี้ค่ะ”
    สิ้นสุดคำของเธอ อเซแมกรีบวิ่งไปแบกเทรนขึ้นหลังแล้วตามเธอไปทันที



    ด้านหน้ามีสตรีชาวเอลฟ์อีกสามคนถือคบไฟรออยู่ ทั้งสี่เดินเรียงแถวนำทางในเส้นทางเคี้ยวคดวกวนอย่างไม่รีบร้อน พวกเธอเดินมาจนสุดทางยังหน้าผาสูงแห่งหนึ่ง ทุกคนที่เดินตามหลังกันมองหน้ากันว่าถูกหลอกมาผิดทางหรือเปล่า


    สตรีทั้งสี่ยกมือขึ้นระดับอกแล้วกล่าวบางอย่างออกมาพร้อมกัน ลำแสงเส้นหนึ่งลากผ่านกลางหน้าผาแล้วแหวกออกเป็นถนนเข้าสู่ด้านใน พวกเธอแยกออกยืนสองข้างให้พวกเขาเดินเข้าไปก่อนแล้วเดินปิดท้าย แสงสว่างค่อยๆแคบเข้าจนหายไปกลับเป็นหน้าผาหินดังเดิม


    ถนนสายนี้ปูด้วยหินอ่อนสีขาว รอบข้างมีต้นไม้เขียวชอุ่มอยู่เรียงราย แต่เมื่อมองลึกเข้าไปก็พบว่ารอบข้างมีความมืดกั้นเป็นกำแพงสองฝั่งแล้ววกโค้งเข้าหากันเป็นดั่งอุโมงค์




    “อาณาเขตมนตราสินะ” อากิรอสถามขึ้นด้วยความสนใจ

    “เพื่อปกป้องประชากรชาวเอลฟ์ พวกเราจึงเลือกอาศัยอยู่ในช่องว่างของมิติมากกว่าสร้างเมืองอยู่เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป” หนึ่งในสี่สตรีชาวเอลฟ์ตอบและอธิบาย
    “ว่าแต่พวกเจ้าชื่ออะไรกันละ หือ?” อากิชะลอจังหวะเดินลงไปแทรกกลางพวกนาง
    “เคเมน - อลู – ซูล – รุนยา” สี่สาวแนะนำตัวทีละคนตามลำดับ
    “เห ชื่อเพราะดีนี่นา แปลว่าอะไรบ้างละ” เขายกมือขึ้นโอบไหล่สองสาวซ้ายขวาพร้อมกัน


    พวกเธอไม่ตอบคำถามแต่ขัดขาเขาล้มลงคุกเข่าอย่างรวดเร็ว สองแขนที่โอบไหล่อยู่กลายเป็นถูกล็อกทันที ผืนดินได้ก่อตัวขึ้นมาโอบรัดพันธนาการจอมเวทหนุ่มขี้หลีอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแต่ส่วนหัวที่ยังไม่ถูกฝัง สายลมร้อนพัดวนอยู่รอบๆตัวเขาจนผมปลิวกระเจิง อีกสองสาวเรียกดาบอัคคีและหอกวารีออกมาพาดไขว้บนคอของเขา


    “ชื่อของพวกเราแปลว่า ‘ดิน น้ำ ลม ไฟ’ ค่ะ”
    “และพวกเราก็เป็นองค์รักษ์ประจำตัวท่านโรซ่า ราชินีแห่งอาณาจักรเอลฟ์ด้วยนะ”
    พวกนางยิ้มหวาน แต่อากิยิ้มแห้งๆหน้าเจี่อนลงทันใด ผืนดินคลายออกปล่อยให้เขาเป็นอิสระอีกครั้ง

    “แหะๆ ชื่อของพวกเจ้าเนี่ยมีความหมายเรียบๆดีนะ”
    อากิลุกขึ้นแล้วรีบเดินกลับไปรวมกลุ่ม แต่ก็ไม่พ้นโดนจอมเวทสาวคู่หูเขกกะโหลกไปได้ แถมยังโดนมาเรียล็อกคอตีเข่าเข้าใส่โทษฐานเจ้าชู้ไม่ดูเวล่ำเวลา



    แสงสว่างวาบอีกไม่ไกลเป็นทางออก เมื่อทุกคนก้าวผ่านประตูแสงออกมาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของอาณาจักรเอลฟ์


    อาคารต่างๆล้วนทำด้วยหินอ่อนสวยงามประดับประดาด้วยงานแกะสลักนูนต่ำนูนสูงอยู่ทั่ว ถนนหนทางปูด้วยแผ่นหินสีขาวแข็งแกร่งเรียบสนิท เสาหินแกะสลักเป็นลวดลายเถาวัลย์ผุดขึ้นเรียงรายสองฟากฝั่ง ปลายยอดเป็นคริสตัลส่องแสงแวววาวระยิบระยับ ลานกลางเมืองมีสวนดอกไม้และน้ำพุขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยคูน้ำที่แตกแขนงออกเป็นคลองสาขาต่างๆทั่วเมือง


    แต่สายตาเย็นชาของชาวเอลฟ์ตลอดทางที่มองมายังพวกเขานั้นราวกับพวกเขาเป็นสิ่งประหลาดที่ไม่เคยพบมาก่อน



    ที่ปลายถนนหลักเป็นปราสาทสีขาวหลังงามโอ่อ่าอลังการรับกับหน้าผาหินสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง เป็นที่ประทับของราชาแห่งอาณาจักรเอลฟ์ผู้ซึ่งเชื้อเชิญกลุ่มของผู้กล้าจากชิลโซลิธีให้เป็นราชอาคันตุกะ สี่สาวสี่ธาตุนำทางมายังห้องพักเพื่อรักษาอาการป่วยของเทรนก่อนจะพาทุกคนที่เหลือไปยังห้องรับรอง




    “กษัตริย์ของชาวเอลฟ์อย่างนั้นรึ” อากิพึมพัมกับตัวเอง แต่เบลและอเซแมกที่ยืนอยู่ใกล้ๆกลับได้ยินด้วย

    “เจ้ากำลังคิดอะไรงั้นรึ” เบลถามความคิดของคู่หู
    “ที่พวกเขารู้ว่าเราเข้ามายังหุบเขามรณะนั้นไม่แปลก แต่เหตุใดถึงต้องช่วยเหลือพวกเราและพวกเขาได้ประโยชน์ใดจากการนั้นกัน”
    “เจ้าก็ถามพวกเขาสิ” อเซแมกตบบ่าพลางพยักเพยิดหน้าไปยังประตูสีขาวบานใหญ่ที่เปิดออก


    บุรุษผมสีทองยาวสลวยก้าวเดินออกมาพร้อมชุดครุยสีขาวมีเลื่อมลายที่ปลายแขนและปกคอ เสื้อในเป็นผ้าเนื้อดีปักดิ้นทองเป็นลวดลายประดับ สร้อยคอสีทองพร้อมคริสตัลห้อยยาวลงมาถึงกลางอก บนศีรษะสวมมงกุฎทองรูปลักษณ์เหมือนเถาวัลย์วงหนึ่ง สตรีในชุดผ้าแพรยาวแตะปลายพื้นไขว้ปิดหน้าอกคลุมไหล่ด้วยผ้าลายลูกไม้และลูกปัดสีเหลือง สวมมงกุฎวงเล็กประดับด้วยอัญมณีน้อยเม็ดแต่สง่างามก้าวตามหลังมาไม่ห่าง ทั้งคู่มาประทับนั่งบนบัลลังก์ศิลาอย่างสงบ


    จากนั้นราชบริพารได้นำเก้าอี้มาจัดเรียงให้พวกเขานั่งอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ทั้งสอง ตามด้วยสี่สาวองค์รักษ์และไอแซคที่ติดตามมายืนอยู่ด้านข้างขวามือของกษัตริย์รูมิล



    “สวัสดีท่านทั้งหลาย! เราขอกล่าวต้อนรับพวกท่านสู่ ‘ซีเร’ อาณาจักรแห่งชาวเอลฟ์ นามของเราคือ ‘รูมิล’ และสตรีที่อยู่คู่กับข้าคือ ’โรซ่า’ ราชินีแห่งอาณาจักรเอลฟ์”


    “ใบหน้าของท่านบ่งบอกว่ามีเรื่องสงสัยที่อยากจะถามพวกเรา”
    โรซ่า ราชินีแห่งดินแดนเอลฟ์กล่าวถึงความในใจของอากิได้อย่างแม่นยำ

    “หากทรงประทานโอกาส กระหม่อมขอเอ่ยถามถึงข้อสงสัยบางประการ” อากิรอสตอบนาง
    “เชิญท่านถามได้ตามต้องการเถิด”
    “เหตุใดท่านทั้งสองถึงให้การช่วยเหลือพวกเรา” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา

    นางเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาก่อนจะหันหน้าไปทางท่านรูมิลให้เป็นผู้ตอบคำถามนี้แทน

    “จุดประสงค์ของพวกท่านคือการนำดอกไม้รุ้งสวรรค์กลับไปตามบัญชาของจักรพรรดิชิลโซลิธีใช่หรือไม่”
    กษัตริย์รูมิลไม่ตอบคำถามแต่ถามเขากลับด้วยอีกคำถามหนึ่งแทน

    “พระองค์กล่าวได้ถูกต้องแล้ว และกระหม่อมก็ทราบเช่นกันว่าในอดีตกาลไกลโพ้นชาวเอลฟ์ได้เป็นผู้นำทางให้กับจักรพรรดิชิลโซลิธีในการตามหาดอกไม้รุ้งสวรรค์ และยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมเป็นร่วมตายกับมนุษย์อีกเช่นกัน”

    “นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วเมื่อครั้งโลกเพิ่งก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงจากพลังแห่งความมืดของราชาแห่งรัตติกาลจนทำให้ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนได้รับความเดือดร้อน”

    พระพักตร์ของกษัตริย์รูมิลก็เศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ความทุกข์ยากของอดีตกาลในความทรงจำผุดขึ้นมาหลอกหลอนผู้ที่เคยสัมผัสให้จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความทุกข์โศก ไม่มีผู้ใดในโลกที่อยากจะประสบกับความโหดร้ายของกลียุคอีกครั้ง

    “อย่างที่พระองค์ทรงทราบอีกไม่นานมหาสงครามครั้งใหม่จะอุบัติขึ้น พวกกระหม่อมจึงได้รับบัญชาจากจักรพรรดิแห่งชิลโซลิธีให้ออกเดินทางค้นหาดอกไม้รุ้งสวรรค์เพื่อนำมันกลับไปสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่มวลมนุษย์ชาติ”

    “พวกเจ้าคิดจะครอบครองดอกไม้วิเศษเป็นสมบัติส่วนตนไม่ว่า” ไอแซคพูดขัดขึ้นเสียงดัง เขาหันไปคำนับขออภัยเจ้าแห่งชีวิตที่ขัดจังหวะ ก้าวเดินออกมาหยุดยืนตรงหน้าอากิรอสโดยเฉพาะ

    “เหตุใดท่านถึงกล่าวเช่นนั้นกัน ท่าน-ไอ-แซค” อากิรอสเน้นเสียงชัดเจนเมื่อเอ่ยชื่ออีกฝ่าย
    “ความละโมบนั้นฝังอยู่ในสันดานของมนุษย์ ไม่มีหลักประกันใดรับรองว่าพวกเจ้าจะหักหลังชิลโซลิธีและช่วงชิงของวิเศษเป็นของตน”
    “คำพูดของข้าย่อมเป็นหลักประกันเพียงพอ”
    “คำพูด? คำพูดของเจ้าก็ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่น เลื่อนลอยไร้แก่นสารและเปี่ยมไปด้วยคำลวง”
    “ท่าน-ไอ-แซคนี่ช่างโลกแคบเสียจริง” จอมเวทหนุ่มยังคงเน้นย้ำชื่อของคู่สนทนา
    “เจ้า!!” เอลฟ์หนุ่มกระชากเสียงแทบจะวินาทีเดียวกัน

    “ไอแซค! พอได้แล้ว อย่าเสียมารยาท” เมื่อผู้เป็นนายห้ามปรามพร้อมแววตาตำหนิ เขาจึงยอมถอยกลับไปยืนตำแหน่งเดิมแต่แววตายังคงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

    “นักมนตราอย่างเขาไม่โกหกหรอก” ราชินีโรซ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกับไอแซค “ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เขาพูดโกหกไม่ได้หรอก”

    แววตาของเอลฟ์หนุ่มฉงนสงสัยทำให้นางเผยยิ้มอ่อนโยนราวกับมารดาที่มองดูลูกน้อยที่ไร้เดียงสา
    “หากคำพูดของนักมนตราแปดเปื้อนด้วยคำลวงใดๆ ถ้อยคำของเขาจะไร้ซึ่งอำนาจ พลังแห่งธรรมชาติจะผละหนีและไม่ตอบรับเขา สุดท้ายแล้วมนตราก็จะเสื่อมถอยไร้ซึ่งพลังใดๆ”

    คำอธิบายของนางเป็นดั่งแสงไฟสว่างที่ทำให้ความมืดที่ชื่อว่าความสงสัยเลือนหายไป



    “เหตุที่เราช่วยพวกท่านนอกจากไมตรีที่มีต่อชิลโซลิธีมาเนิ่นนาน แม้ว่าในภายหลังสองอาณาจักรจะไม่ได้ติดต่อไปมาหาสู่กันเหมือนเช่นเคยก็ตามที”


    มหาราชแห่งอาณาจักรเอลฟ์เปลี่ยนทิศทางสายตามายังบุรุษที่นั่งอยู่ริมสุด – อเซแมก
    “ท่านคงเป็นหลานของฟอร์ติสินะ”

    อเซแมกลุกขึ้นคำนับศรีษะก่อนจะตอบคำถาม
    “กระหม่อมคือหลานของฟอร์ติ แมคโดเวล – อเซแมก แมคโดเวลพะยะค่ะ”
    “แตกต่างจากฟอร์ติอยู่บ้างแต่แววตานั้นช่างเหมือนกันเสียจริง สมแล้วที่มีสายเลือดเดียวกัน”



    ประมุขแห่งซีเรเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อมหาสงครามครั้งก่อนจะเริ่มขึ้น จักรพรรดิชิลโซลิธีได้ส่งราชสาส์นขอความช่วยเหลือในการสงคราม โดยในครั้งนั้นผู้ที่ทำหน้าที่เป็นทูตระหว่างสองอาณาจักรก็คือ ฟอร์ติ แมคโดเวล เหยี่ยวสายฟ้าแห่งชิลโซลิธี


    เขาเดินทางโดยลำพัง มีเพียงดาบหนึ่งเล่มติดตัวเป็นดั่งสหาย มุ่งหน้าจากชิลโซลิธีเข้าสู่หุบเขามรณะจนกระทั่งมาถึงอาณาจักรชาวเอลฟ์ ฝีมือดาบและความกล้าหาญของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่นักรบชาวเอลฟ์ทุกคน และด้วยนิสัยร่าเริงยิ้มแย้มของเขายังหลอมละลายหัวใจของทุกคนให้เป็นหนึ่ง ชาวเอลฟ์รักเขาราวกับเป็นพี่น้องร่วมชนเผ่าใช้สายเลือดเดียวกัน



    “น่าเสียดายที่ยอดนักรบเช่นเขาต้องสิ้นไปแล้ว เฮ้อ” เสียงถอนหายใจของท่านรูมิลทำให้ห้วงบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าหมองในบัดดล

    “แต่ก็ยังมีผู้สืบทอดความกล้าหาญของเขาไว้มิใช่หรือ” ราชินีโรซ่ากุมมือปลอบโยนบุรุษผู้เป็นที่รักพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า

    “กระหม่อมได้รับคำตอบแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาท” อากิรอสลุกขึ้นคำนับให้กับราชารูมิล


    “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังมีเรื่องค้างคาใจหากมีสิ่งใดก็พูดออกมาเถิด ไอแซค” ราชินีโรซ่ายังคงสังเกตถึงความขุ่นข้องภายในจิตใจของเขา

    “ถึงกระนั้นข้าก็ยังไม่ไว้วางใจพวกเขา” ไอแซคตอบตามความรู้สึกที่มี
    “ถ้าอย่างนั้น หากเจ้าร่วมเดินทางไปกับพวกเขาจะไม่ดีกว่าหรือ” กษัตริย์รูมิลเอ่ยขึ้น
    “แต่ว่า!”

    “จงไปดูด้วยตา สัมผัสด้วยหัวใจ แล้วเจ้าจะได้หมดสิ้นข้อสงสัยด้วยตัวของเจ้าเอง”
    เพียงประโยคนี้ก็ทำให้ไอแซคต้องยอมรับโดยดุษฎี องค์รักษ์หนุ่มทรุดกายลงคุกเข่าน้อมรับพระราชบัญชาจากเจ้าเหนือชีวิต

    “ถ้าอย่างนั้นเราขอเชิญให้ทุกท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน รักษาอาการป่วยของสหายให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกเดินทางเถิด”

    ผู้ครองบัลลังก์แห่งอาณาจักรซีเรกล่าวกับทุกคนด้วยสีหน้าปีติยินดี ทั้งหมดลุกขึ้นคำนับศีรษะถวายความเคารพอย่างนอบน้อมที่สุด

    สามวันหลังจากทุกคนมาถึงซีเร อาณาจักรแห่งชาวเอลฟ์ที่เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงามยากจะหาสถานที่อื่นใดในโลกมาเทียบเคียง



    อเซแมกคอยดูแลลูกศิษย์ตลอดเวลาจนอาการป่วยดีขึ้น เธอรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ยังต้องพักฟื้นอีกสักระยะ อีกด้านหนึ่งเบลลานี่และอากิรอสยังคงทำหน้าที่ฝ่ายบุ๋นให้กับทีมได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดอกไม้รุ้งสวรรค์และเรื่องราวอื่นๆที่พวกเขาต้องการได้อย่างเต็มที่ ส่วนทากะที่ไม่มีอะไรให้ทำก็เพียงแต่พักอยู่ในห้องของตัวเองเท่านั้นโดยมีมาเรียแวะมารบเร้าให้เขาออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอบ้างในบางที



    อีกห้าวันถัดมา นักดาบสาวจอมห้าวอย่างเทรนก็หายขาดและกลับมากระโดดโลดเต้นกระปรี้กระเปร่าร่าเริงเหมือนเช่นเคยประหนึ่งว่าอาการป่วยปางตายเป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืนเท่านั้นจนถูกอาจารย์สั่งให้นั่งคุกเข่าอยู่นิ่งๆเป็นการลงโทษ




    “นี่ถ้าไม่ได้ชาวเอลฟ์ช่วยไว้ข้าคงต้องหาลูกศิษย์คนใหม่แน่ๆเลย เจ้าคิดว่าอย่างนั้นไหม? อากิ”

    อเซแมกว่าพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่มแต่สายตาจับจ้องไปยังลูกศิษย์สาวที่นั่งทำหน้าเจื่อนๆถือกาน้ำชาอยู่บนพื้นข้างๆเก้าอี้ของเขา

    “ท่านก็พูดเกินไป คิดว่าม้าดีดกะโหลกอย่างนี้มีรึจะตายง่ายๆเพราะเป็นไข้น่ะ”
    “นั่นสินะ” เขาว่าแล้วก็ยื่นถ้วยชาเปล่าๆไปตรงหน้าเทรนเพื่อให้เธอรินน้ำชาให้ใหม่
    “ทำเป็นพูดเข้าเถอะ เจ้าเองก็พลอยเป็นห่วงเธอจนต้องเดินมาดูทุกสามชั่วโมงเลยไม่ใช่รึไง” เบลแหย่อากิจนเขาต้องรีบเปลี่ยนเรื่องพูด เทรนแอบหัวเราะคิกคักแต่ก็โดนด้ามดาบของอาจารย์เคาะลงกลางหัว

    “ใครให้เจ้าหัวเราะกัน? ยังไม่สำนึกอีกว่าทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดไหน”
    “ไม่เอาน่าท่านอเซแมก ไม่เห็นจะต้องเข้มงวดขนาดนั้นเลย”
    เบลลุกมานั่งตรงหน้าเทรน ยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งสองเบาๆ “เธอก็แค่ยังเด็กยังไร้เดียงสาเหมือนลูกนกอยู่บ้าง ปล่อยให้เธอโผบินไปกับฟ้ากว้างอีกหน่อยรับรองว่าเธอจะต้องพบความเข้มแข็งที่แท้จริงแน่นอน”
    “ใช่แล้วละ ข้าจะไม่ทำให้ท่านเบลผิดหวังแน่ๆ โอ๊ย!” ด้ามดาบเคาะลงกลางหัวเธออีกแล้ว
    “แต่ทำให้ข้าผิดหวังแทนใช่ไหมละ หือ?” อเซแมกวางถ้วยชาลงข้างๆแจกันที่ประดับด้วยดอกไม้สีสดใสบนโต๊ะไม้ขัดสวยงามก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นการเป็นงานมากขึ้น

    “ว่าแต่ได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆบ้างไหมละ” เขาหันไปถามอากิที่ดื่มชาเสร็จพอดี
    “ถามเบลจะดีกว่านะ” จอมเวทหนุ่มโบ้ยให้เป็นหน้าที่ของคู่หู่


    ความนิ่งเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องเมื่อทุกคนตั้งใจฟังสิ่งที่จอมเวทสาวเพียงหนึ่งในกลุ่มเล่าถึงสิ่งที่เธอได้ค้นพบจากบันทึกต่างๆของอาณาจักรแห่งนี้ และหลังจากสิ้นประโยคสุดท้ายจากปากของเธอ สีหน้าของทุกคนก็ตึงเครียดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม




    “เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้รึ” เทรนถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไร

    “ข้าก็ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เจ้าพูดเหมือนกันนะ” มาเรียเสริมขึ้นจากด้านหลัง
    “เรื่องแบบนี้ใครได้ฟังก็เชื่อได้ยากทั้งนั้นแหละ” เบลตอบ “มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะตอบข้อสงสัยของพวกเจ้าได้ นั่นก็คือกษัตริย์รูมิล เจ้าผู้ครองอาณาจักรแห่งนี้”
    “ว่าแล้วเชียว” มาเรียถอนหายใจยาว “แล้วจะเอายังไงกันละ”

    ทุกคนหันไปมองอเซแมกที่ตอนนี้กำลังครุ่นคิดอย่างหนักถึงความลับที่เขาเพิ่งจะรู้เมื่อครู่ คิ้วขมวดชิดชนกัน สีหน้าเปี่ยมด้วยความสงสัยปนความลังเลใจ



    คืนก่อนวันออกเดินทาง ราชาและราชินีได้ทรงจัดเลี้ยงกระยาหารพวกเขาในฐานะราชอาคันตุกะ ห้องเล็กๆถูกตกแต่งให้หรูหราแต่เรียบง่ายในคราวเดียวกัน ผ้าม่านสีขาวสะอาดประดับขอบหน้าต่างที่ทำจากกระจกหลากสีให้ดูตัดกันอย่างเด่นชัด แจกันใบใหญ่กับไม้ก้านยาวคละสีล้วนให้ความรู้สึกสบายตา โต๊ะยาวปูด้วยผ้าลูกไม้เรียบง่ายเป็นที่วางอาหารและเครื่องดื่มตั้งอยู่กลางห้องล้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงอย่างเป็นระบบระเบียบ


    “เราขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสำเร็จและคาดหวังว่าจะได้พบกับพวกท่านอีกครั้งหนึ่ง” กษัตริย์รูมิลเอ่ยอวยพรให้กับทุกคน
    “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ไอแซคเป็นต้นเสียงกล่าวก่อนที่ทุกคนจะกล่าวตามเขา

    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างสำรวม มีบทสนทนาบ้างไม่ให้เงียบเหงา เสียงหัวเราะในบางช่วงช่วยสร้างบรรยากาศในการทานอาหารเลิศรสให้ออกรสยิ่งขึ้น

    “ขอประทานอภัยฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูลถามบางประการ”
    อเซแมกเป็นผู้เอ่ยถามขึ้น สายตาของมาเรียและเทรนหยุดนิ่งที่เขา อากิรอสและเบลดูเหมือนพอจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะต้องถามจึงหลับตาเงียบรอฟังคำตอบจากพระโอษฐ์ของท่านรูมิลที่นั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะ

    “เชิญท่านถามสิ่งที่สงสัยมาเถิด” พระองค์ทรงตรัสตอบด้วยพระพักตร์เปี่ยมเมตตา

    บรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ทุกคนหยุดทุกการกระทำรอคำถามสำคัญที่ค้างคาใจพวกเขาผ่านจากปากของอเซแมก

    “สิ่งที่กระหม่อมสงสัยมิใช่คำถามใดๆ หากแต่เป็นเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น เรื่องราวของราชารัตติกาลเมื่อครั้งยังปกครองเหล่าสรรพชีวิตก่อนที่จะถูกผนึกอยู่ใต้มหาสมุทร”

    เขาเว้นจังหวะเพื่อผ่อนอารมณ์ตัวเองให้สงบนิ่งไม่ให้กระวนกระวายตามหัวใจที่เต้นถี่กระชั้น
    “มิทราบว่าพระองค์พอจะเล่านิทานระหว่างกระยาหารค่ำให้กระหม่อมและทุกคนฟังได้หรือไม่พะยะค่ะ”


    สีหน้าของมหาราชผู้ยิ่งใหญ่เปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมๆกับทุกสายตาที่จับจ้องไปยังพระองค์ ทุกคนเงียบกริบมีเพียงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาที่พอจะรับรู้ได้และเสียงหัวใจเต้นดังที่แทบจะล้นทะลักออกมา




    To be continue…

    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag –

    ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผ่อนจังหวะพักรบกันบ้างที่อาณาจักรของชาวเอลฟ์
    ส่วนปริศนาของเรื่องราวแต่หนหลัง ติดตามอ่านกันได้ในตอนหน้าครับ

    Azemag A.C. McDowell
  12. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อูอาา ตอนใหม่จัดกันเบาๆแต่คาดว่าตอนหน้าจะหนักกันเอาเรื่องเลยทีเดียว ยังปูเสื่อรอตอนใหม่อยู่เช่นเคย
  13. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    เยอะเกิ๊นนนน อ่านไม่หมดอ่ะพี่จ้อย :D ว่าแล้วก็คันไม้คันมืออยากกลับมาเขียนบ้างแหะ
  14. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    บอร์ดเพิ่งกลับเลยมารวดเดียวสิบตอนเลยทีเดียว >_<

    และแล้วปาร์ตี้นี้ก็ได้คลาสนักธนูเพิ่มมาอีกหนึ่ง ดูๆแล้วท่าทางจำนวนคู่ที่ต้องปะทะกันตอนชิงดอกไม้น่าจะครบคู่แล้วมั้งแฮะ
  15. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    เข้มข้นขึ้นทุกขณะ =v=b
    รอตอนใหม่ต่อไปครับ
  16. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    เนื้อหาตอนต่อไปเข้มข้นน่าดู =w=!!!

    ส่วนตอนนี้การบรรยายลื่นไหลดีค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ
  17. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    555555+

    ก่อนอื่นขอขำได้ใจกับบทอากิรอสม่อสาวเอลฟ์สี่นางก่อนนะ
    ถูกใจฝีมือสาวเอลฟ์จริงๆ! สวย นิ่ง ยิ้มหวาน แต่เอาอากิรอสอยู่หมัด (สะใจอากิรอสถูกเบลอัดซ้ำด้วย)
    สี่สาวนี้มีภาพในหัวที่สวยมาก สวยจนนึกถึง Illust บางภาพใน deviantart

    ไอแซคอย่างหยิ่งเลย! แบบนี้จะเดินทางเข้ากับชาวบ้านเขาได้ไหมเนี่ย
    ฉากของอาณาจักรเอลฟ์กับเครื่องแต่งกายงดงามอลังการมาก =[]=b อ่านแล้วชวนให้คิดถึง LOTR
    ว่าไอแซคหล่อแล้วนะ แต่พอราชารูมิลเดินออกมานี่ ภาพไอแซคในหัวผมด้อยลงไปทันตาเห็นเลยครับ ฮาาา
    บทบรรยายตอนนี้หลายช่วงมากที่ภาษาสวยจนผมต้องตะลึงเช่น

    >> แต่หน้าผาศิลาได้สะท้อนเสียงของเขาให้ดังกึกก้องฟังดูทรงพลังน่าเกรงขาม ราวกับธรรมชาติจะช่วยย้ำคำพูดของเขาให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
    >> เขาเดินทางโดยลำพัง มีเพียงดาบหนึ่งเล่มติดตัวเป็นดั่งสหาย

    ฝีมืออาเซดีขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจมาก
    แต่บทนี้ดูเร่งๆเกินไปเหมือนกัน ทั้งๆที่บรรยากาศออกแนวเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน แต่ตัดฉากไปมารวดเร็วนัก ราวกับจะเร่งให้ไปสู่บทต่อสู้ในตอนต่อไป

    ตอนต่อไปก็คงเป็นเรื่องราวในหนหลัง รอติดตามชมครับ
  18. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    งั้นเตรียมอ่านได้เลย

    เขียนสิครับ อยากอ่านบ้างแล้ว (ฮา)

    มีสายโจมตีระยะไกลเพิ่มเข้ามาหนึ่งคนแต่จะสร้างปัญหาให้ทีมรึเปล่าอันนี้ก็ต้องติดตามต่อไปครับ
    ตอนนี้กลายเป็น 7 vs 5 แล้วละ แต่จำนวนอาจจะไม่มีความหมายก็ได้ หุหุ

    เนื้อเรื่องช่วงหลังจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆครับ

    ขอบคุณมากๆจ้าสำหรับการติดตามอ่าน

    อืมม จะว่าเร่งรึเปล่า? คนเขียนก็ยังไม่รู้เลยอะ ฮ่าๆๆ เขียนไปตามอารมณ์และสิ่งที่อยากให้เกิด
  19. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 11


    บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารเงียบเชียบเหมือนไม่มีใครเลยทั้งๆที่มีคนมากมายนั่งอยู่ ทุกสิ่งสงบนิ่งทุกคนเงียบงันรอคอยรูมิล – ราชาแห่งชาวเอลฟ์จะตรัสตอบอเซแมกที่ขอให้พระองค์เล่าเรื่องของราชารัตติกาล ผู้มาจากยุคสมัยไกลโพ้นเกินกว่าที่ประวัติศาสตร์จะไปถึง ผู้หวนกลับมาสร้างหายนะให้มวลมนุษยชาติในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดจนทำให้โลกเป็นเช่นทุกวันนี้



    “เอิ้ก!”
    เสียงเรอของใครคนหนึ่งดังขึ้นทำลายความตื่นเต้นของทุกคน

    “ขอโทษที แบบว่ามันเงียบจนเครียดน่ะ” อากิหัวเราะแห้งๆเมื่อทุกสายตาหันขวับมาทางเขา มาเรียทำหน้าหน่ายโลก ส่วนเบลลานี่อดไม่ได้ที่จะต้องเขกกะโหลกเพื่อนตัวดีด้วยกำปั้นเช่นเคย


    ความตึงเครียดที่เคยมีมาได้หายไปจากห้องเล็กๆแห่งนี้โดยสิ้นเชิง เสียงหัวเราะดังลั่นที่ระเบิดออกมาจากปากของเทรนอย่างไม่เกรงใจใครจนอเซแมกที่นั่งอยู่ข้างๆต้องเขกกะโหลกให้หยุดเช่นกัน แม้กระทั่งพระพักตร์ของราชารูมิลและราชินีโรซ่ายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มละไม มีเพียงราชองค์รักษ์ไอแซคที่ส่ายหน้ารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น


    “ช่างเป็นพวกที่ขาดมารยาทผู้ดีอะไรแบบนี้”
    เขาพูดเบาๆกับตัวเองด้วยกลัวว่าอาจจะก่อให้เกิดความบาดหมางได้ แต่เปล่าหรอก! เขามิได้กลัวอากิรอสหรือใครคนอื่น เพียงแต่กลัวกษัตริย์รูมิลผู้เป็นนายจะว่ากล่าวถึงต้องอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้


    “ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมที่ทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าพระพักตร์ด้วยเถิด” อากิรอสยกมือขวาทาบอกพร้อมค้อมหัวลงเล็กน้อย รอยยิ้มเป็นต่างคำตอบว่าทั้งสองไม่ถือสาแต่อย่างใด
    “นานแล้วนะที่ไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้” โรซ่าบอกชายผู้เป็นที่รัก แววตาที่เปี่ยมสุขเปล่งประกายมีชีวิตชีวาพลอยทำให้รูมิลมีความสุขไปด้วย

    “เอาละ!” เสียงของรูมิลดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมารวมที่ตน
    “กับสิ่งที่ทุกคนรอคอยที่จะฟังหากมีภาพประกอบอาจจะเข้าใจง่ายกว่าฟังเพียงอย่างเดียวนะ”




    โคมไฟคริสตัลประดับอยู่เหนือเพดานเปล่งประกายแสงวูบวาบ ทัศนียภาพรอบห้องเปลี่ยนไปในพริบตา! ผนังห้องหายไป กำแพงห้องหายไป พื้นที่ปูด้วยพรมสีแดงหายไป ทุกคนลอยอยู่เหนือท้องฟ้ากว้างใหญ่สดใส พื้นดินเขียวชอุ่มด้วยทุ่งหญ้า แสงของดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าจนตาพร่ามัว

    ราวกับพวกเขาเดินทางข้ามมิติและกาลเวลามายังอีกโลกหนึ่ง



    “ในอดีตนานแสนนาน ได้มีห้าอาณาจักรที่สร้างขึ้นบนยอดเขาห้าแห่งเพื่อบวงสรวงเหล่าเทพเจ้าผู้สร้างโลกและให้กำเนินสรรพชีวิตโดยสี่ชนเผ่า พวกเขาได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ที่บันดาลความเพียบพร้อมในทุกๆด้านของชีวิต” รูมิลเริ่มต้นอธิบาย

    “เผ่าเอลฟ์เป็นหนึ่งในสี่เผ่านั้นใช่ไหมเพคะ” เบลลานี่ถามขึ้นแทรกจังหวะ พระองค์พยักหน้าแทนคำตอบและเริ่มเล่าต่อ
    “อีกหนึ่งคือเผ่ามนุษย์ และอีกสองคือเผ่าคนยักษ์และคนแคระ”

    เมื่อตอบคำถามพระองค์เสร็จ ฉากเปลี่ยนไปยังอาณาจักรทั้งห้าที่ทุกคนต่างมีชีวิตด้วยรอยยิ้มและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทุกคนแบ่งปันเกื้อกูลและโอบอ้อมอารีต่อกัน ทุกๆวันผ่านไปด้วยความสงบสุข



    “ชาวเอลฟ์นั้นมีร่างกายที่งดงามและชีวิตที่ยืนยาว คนยักษ์นั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำ คนแคระนั้นมีสติปัญญาในด้านการสร้างสรรค์และการเล่นแร่แปรธาตุ ส่วนมนุษย์แม้ไม่งดงามเท่าเอลฟ์ ไม่แข็งแกร่งเท่าคนยักษ์ ไม่ปราดเปรื่องเท่าคนแคระ แต่พวกเขาก็ได้รับพรวิเศษหนึ่งประการนั่นก็คือการควบคุมธรรมชาติด้วยวาจาสัตย์ หรือที่พวกเจ้ารู้จักกันในนามของ ‘พลังมนตรา’”


    “แต่ ‘มนุษย์’ ที่ว่านั้นคงไม่ใช่ ‘มนุษย์’ เหมือนพวกเราในปัจจุบันสินะ...เพคะ” เทรนยกมือขึ้นถาม
    “ถึงจะดูคล้ายกันแต่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ต่างออกไป”

    พระองค์แย้มยิ้มขึ้นก่อนจะตอบคำถาม “ช่างสังเกตเสียจริง ถูกต้องแล้วละ”
    “พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ต่างไปจากพวกท่าน แม้มิใช่บรรพบุรุษของพวกท่านโดยตรงแต่ก็นับได้ว่าเป็นพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่วิวัฒนาการมาด้วยกันก็คงไม่ผิดนัก”


    “ทว่าถึงโลกนี้จะงดงามเพียงใดแต่ก็มิใช่ทุกสิ่งจะสมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง”
    ราชินีโรซ่าเป็นผู้อธิบายต่อ ภาพจากอาณาจักรบนยอดเขาทั้งห้าเปลี่ยนเป็นภาพในหุบเหวลึก มืดมิด คับแคบและไร้ซึ่งความสะดวกสบาย

    สำนวน ‘แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว’ คงเหมาะที่ใช้อธิบายภาพที่ปรากฏขึ้นก่อนและหลังได้เป็นอย่างดี




    อีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่ไม่ต่างจากเผ่าอื่นๆ มีสองแขนสองขา ดวงตาหนึ่งคู่ แต่ร่างกายนั้นอัปลักษณ์หาความงดงามมิได้เหมือนเช่นชาวเอลฟ์ สติปัญญาก็ต่ำต้อยขาดซึ่งความละเอียดลออ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัญชาติญาณแห่งความรุนแรงและการเข่นฆ่า อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความผิดพลาดในการสร้างชีวิตของเหล่าทวยเทพก็คงมิผิดนัก

    พวกเขาถูกเรียกว่า ‘เผ่ามาร’ ด้วยความหวาดกลัว’



    “เวลาเนิ่นนานที่ต้องอาศัยอยู่ในเงามืดทำให้เผ่ามารบ่มเพาะความเคียดแค้นไว้ในจิตใจ พวกเขาสาปแช่งต่อเทพเจ้าและสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งมวล นี่จึงเป็นจุดเริ่มของความขัดแย้งทั้งมวล” เสียงของรูมิลดังกึกก้อง ฉากการต่อสู้ระหว่างเผ่ามารฉายขึ้นเบื้องล่าง


    เกิดการต่อสู้เป็นเวลายาวนานหลายพันปีโดยที่เผ่ามารไม่เคยชนะได้สักครั้ง แต่สงครามก็ทำลายล้างทุกอย่างแม้แต่ผู้ชนะ ทั้งหมดจึงตกลงกันที่จะแบ่งปันพื้นที่เพื่ออยู่ร่วมกัน พวกเขาเลือกยอดเขาที่ห่างไกลจากห้าอาณาจักรให้เผ่ามารได้อยู่อาศัยเนื่องจากยังคงมีหวาดกลัวภายในจิตใจ

    ชาวเผ่ามารได้อยู่อาศัยบนพื้นพิภพได้ดังปรารถนาแต่ก็ไม่ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แม้ว่าพวกเขาจะสร้างวิหารขึ้นเพื่อบูชาบวงสรวงเทพเจ้าเหมือนกับอีกสี่เผ่าพันธุ์ก็ตาม เนิ่นนานผ่านไปเหล่าเทพก็มิเคยลงมาประทานพรและมอบความเมตตาให้แก่พวกเขา

    ความริษยาจึงฝังรากลึกอยู่ในใจตลอดมา จนวันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป




    เผ่ามารตนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในวันสุริยคราส เขาเปี่ยมล้นด้วยอำนาจแห่งพลังมนตราอันกล้าแกร่ง ร่างกายแข็งแรงมีพละกำลังมากกว่าคนยักษ์และงดงามดุจเดียวกับชาวเอลฟ์ อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดไม่ต่างจากมนุษย์และคนแคระ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องสุดแสนมหัศจรรย์ที่จะมีเผ่ามารตนใดถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีคุณลักษณะเช่นเขา แม้แต่ในเผ่าพันธุ์อื่นก็หาผู้ใดเสมอเหมือนได้


    เด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาถูกปลูกฝังให้เกลียดชังในโชคชะตาของเผ่ามารและเคียดแค้นต่อสรรพชีวิตอื่นทั้งมวล เขาจึงเติบโตมาท่ามกลางความหวังที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชนเผ่า

    การต่อสู้เพื่อท้าทายอำนาจของเทพเจ้าจึงอุบัติขึ้น




    เขาสถาปนาตนเองเป็น ‘ราชารัตติกาล’ ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าเทพทั้งปวงและโลกนี้จะไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากเผ่ามาร ทุกแห่งหนที่กองทัพรัตติกาลไปถึงจึงมีเพียงความพินาศและความตายเท่านั้น


    โลกถูกย้อมชโลมด้วยเลือดและปกคลุมด้วยความหวาดกลัว แม้แต่แสงอาทิตย์ยังมิอาจส่องผ่านม่านเมฆสีดำอันเกิดจากพลังแห่งความมืด มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่จะปกป้องชีวิตและดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองให้อยู่รอด

    มหาสงครามระหว่างกองทัพของราชาแห่งรัตติกาลและกองทัพร่วมทั้งสี่จึงเกิดขึ้น



    “ผลลัพธ์ของสงครามครั้งนั้นคือชัยชนะของกองทัพร่วมทั้งสี่ ทว่าไม่อาจสังหารราชารัตติกาลและทำได้เพียงผนึกเขาไว้ในปราสาทแห่งความมืดและกักขังไว้ใต้ผืนน้ำของมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่”

    “มิหนำซ้ำผลพวงจากสงครามทำให้เผ่าคนยักษ์และคนแคระต้องล่มสลายและสูญพันธุ์ไป มนุษย์เองก็หลงเหลือเพียงหยิบมือหนึ่งและสูญพันธุ์ไปในภายหลัง คงเหลือเพียงเผ่าเอลฟ์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่ได้เพราะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเผ่าพันธุ์อื่น”


    ราชารูมิลและราชินีโรซ่าอธิบายสรุปเหตุการณ์ทั้งหมด ทุกคนนิ่งรับฟังและดูภาพเหตุการณ์ที่ค่อยๆเลือนหายไปและกลับเป็นห้องเล็กๆเช่นเดิม




    “เป็นนิทานที่ทรงคุณค่าและสนุกสนานมากขอรับ ขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงเมตตาเล่าให้ฟัง”

    อากิรอสพูดขึ้นเป็นคนแรกในขณะที่คนอื่นๆยังนิ่งเงียบอยู่

    “เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อสินะ” เทรนพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่เล็กน้อย
    “แล้วจะสามารถเอาชนะและฆ่าราชารัตติกาลอะไรนั่นได้บ้างไหม” มาเรียถามขึ้น ซึ่งเป็นคำถามสำคัญที่ทำให้ทุกคนนิ่งอึ้งไป

    “นับตั้งแต่เขาหลุดพ้นจากการจองจำและถูกผนึกใหม่อีกครั้ง การต่อสู้ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำอันตรายต่อเขาได้ ทั้งหมดที่ทำได้คือผนึกเขาไว้ทุกๆร้อยปี นั่นคือสิ่งที่พวกเจ้ารู้กันอยู่แล้ว” รูมิลตอบคำถามของมาเรีย
    เบลลานี่ขมวดคิ้ววิเคราะห์เรื่องราวและข้อมูลทั้งหมด “นอกจากแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้วยังเป็นอมตะฆ่าไม่ตายด้วยอีกหรือ?”
    “ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ยั่งยืนตลอดไปหรอก จะต้องมีความลับอื่นของราชารัตติกาลที่เรายังไม่รู้” อเซแมกบอกกับทุกคน แววตาเปล่งประกาย “ตอนนี้ยังไม่รู้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ตลอดไป จะต้องมีหนทางเอาชนะอย่างแน่นอน”

    ราชารูมิลยิ้มพอใจเมื่อได้ยินเขาพูด
    ’หากยังมีชีวิตย่อมต้องมีความหวัง’ นั่นคือคำพูดที่ปู่ของท่านของพูดอยู่เป็นประจำ และเราเชื่อว่าสิ่งนั้นได้สืบทอดส่งต่อมายังท่านอย่างแน่นอน”

    “นิทานก็จบแล้วขอเชิญพวกท่านรับประทานอาหารต่อเถิด” คำพูดของราชินิโรซ่าที่บอกกับทุกคนเป็นประโยคสุดท้ายที่เกิดขึ้นในอาหารมื้อนี้





    “เรื่องนี้มันเหลือเชื่อจริงๆเลยนะ” เทรนพูดขึ้นเมื่อกลับถึงห้อง

    “ได้ฟังแบบนี้แล้วข้าเองก็คงต้องเชื่อเท่านั้นเหมือนกัน” อากินั่งลงปลดเชือกผูกรองเท้า ถอดมันออกแล้วโยนมันไว้ที่มุมห้อง
    “เป็นไปได้ไหมว่ากษัตริย์รูมิลจะโกหกหรือแต่งเรื่องขึ้นมา?” มาเรียเอ่ยถาม สีหน้าบอกว่ายังไม่เชื่อเท่าไรนัก
    “คงเป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างเรื่องที่พระองค์เล่าก็ตรงกับในบันทึกที่ข้าและอากิได้อ่านในห้องสมุด” เบลตอบ
    “และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องโกหกหรือปิดบังด้วยละนะ”


    มาเรียยักไหล่เมื่อได้ฟังคำตอบ เหลือบมองไปยังทากะที่ทำหน้าตายไม่ทุกข์ร้อนใดๆเช่นเคย ส่วนอเซแมกก็ยืนขบคิดอยู่ริมหน้าต่าง สุดท้ายเธอก็เลิกคิดล้มตัวลงนอนกับเตียงนุ่มหอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้จางๆตามเทรนจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้


    เสียงเคาะประตูปลุกให้มาเรียได้สติตื่นขึ้น เบลลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูดูว่าใครมาเยือนในยามดึกเช่นนี้ ประตูไม้สีน้ำตาลบานใหญ่ถูกปลดกลอนและแง้มออกและพบว่าผู้ที่มาคือไอแซค

    “พรุ่งนี้เราจะเดินทางกันเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เตรียมตัวให้พร้อมไว้”
    เขากล่าวพร้อมเหลือบมองมายังอากิรอส แววตานั้นไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดและจากไปอย่างรวดเร็ว



    “จะดีเหรอถ้าปล่อยให้เขายังมีอคติกับเราแบบนี้น่ะ” เทรนถามอากิ

    “เจ้านี่มันช่างถามโน่นถามนี่เสียจริง หัดอยู่เงียบๆบ้างได้ไหม” มาเรียบ่นพร้อมเอียงคอมองอย่างหน่ายๆ
    “เอ้า! ก็ในเมื่อไม่เข้าใจข้าก็ต้องถามสิ”
    “ยังจะเถียงอีกแน่ะ” มาเรียรวบกอดเทรนแล้วดึงให้ลงนอน ขึ้นคร่อมแล้วจี้เอว
    เทรนหัวเราะลั่นดิ้นขลุกขลักจะหนีให้พ้น “โอ๊ย! ฮ่าๆๆ พอแล้ว พอ! โอ๊ย”
    “ไม่ว่าเขาจะเข้าใจอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา ข้าเองก็ไม่มีหน้าที่ต้องไปพูดให้ใครเชื่อใจข้าด้วย”
    อากิรอสยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “ปัญหาของเขาย่อมเป็นปัญหาของเขา มิใช่ของข้า”

    “เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ถ้าไม่พูดแล้วจะมีใครเข้าใจเจ้าไหมละ?”
    เบลถอนหายใจ แววตาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “เมื่อไรกันที่เจ้ากลายเป็นคนปากหนักเช่นนี้?”


    คำถามจากปากของเพื่อนสาวทำให้อากิรอสต้องเบือนหน้าหลบสายตาที่จ้องมา บรรยากาศหนักอึ้งเงียบกริบในทันที มาเรียที่กำลังแกล้งเทรนต้องหยุดมือแล้วแอบชำเลืองมองทั้งคู่ สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดใดตอบกลับจากปากของอากิ เบลลุกขึ้นกลับห้องของตัวเองไปเงียบๆ สักพักอากิก็ขยับตัวเดินออกจากห้องไปเช่นกัน





    “เฮ้อ! ใกล้จะออกเดินทางเสี่ยงอันตรายร่วมกันกันอีกรอบ แล้วนี่มันอะไรกัน! บรรยากาศอึมครึมอย่างนี้มันอะไรกัน!!” เทรนตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก

    “ก็เพราะเจ้ายังเป็นเด็กน้อยยังไงละถึงยังไม่เข้าใจ” มาเรียขยี้ผมเทรนจนฟูฟ่อง
    “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!!” เทรนเถียง แต่มาเรียไม่สนใจเดินไปหาทากะ
    “เอ้า! ใจคอจะนอนตรงนี้รึไง กลับห้องของเจ้าได้แล้วเจ้าบ้าทากะ” มาเรียฉุดข้อมือทากะให้ลุกเดินตามออกไปเหลือเพียงศิษย์และอาจารย์ตามลำพัง


    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ อาจารย์?” เทรนยังไม่เลิกถาม
    อเซแมกนิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงตอบ “สักวันเจ้าก็จะเข้าใจเองนั่นแหละ ถ้ามีเวลาพอจะห่วงเรื่องคนอื่นละก็ ดูแลตัวเองให้อยู่รอดจนถึงวันที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

    พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทิ้งให้เทรนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก สุดท้ายสาวห้าวก็ต้องเลิกคิดแล้วหงายหลังลงนอนแล้วพึมพำกับตัวเอง

    “แล้วข้าจะเข้าใจไหมเนี่ย เฮ้อ!”





    รุ่งเช้ามาถึง


    กลุ่มของอเซแมกรวมถึงไอแซคและสี่สาวสี่ธาตุองครักษ์ประจำตัวของราชินีโรซาเดินบนถนนที่มุ่งหน้าจากพระราชวัง


    “น่าเสียดายที่ต้องจากเมืองสวยๆแบบนี้ไป ตอนเช้าของเมืองที่เปล่งประกายไปพร้อมๆกับแสงพระอาทิตย์จะหาดูได้จากที่ไหนกันนะ เฮ้อ” เทรนบ่นๆขณะเดินตามหลังทุกคน
    “เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะถอนหายใจบ่อยๆเหมือนคนแก่แล้วนะ”
    อาจารย์หนุ่มที่เดินตามหลังยกมือขึ้นขยี้หัวลูกศิษย์ “ป่วยซะจนเพี้ยนไปแล้วรึไงกัน?”
    “หากภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้วพวกท่านจะแวะมาเยือนอาณาจักรของเราอีกก็ได้นะคะ” รุนยาในชุดสีส้มสดใสหันมาบอกเทรนพร้อมยิ้มกว้าง
    “จริงเหรอ? ถ้างั้นข้าจะกลับมาที่นี่อีกแน่ๆค่ะ”
    “พวกเรายินดีต้อนรับเสมอ แต่ถ้าครั้งหน้ามาในสภาพแบบนี้อีกข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้วนะ” เคเมนที่เดินนำหน้าพูดหยอกเทรนเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากทุกคนได้


    สุดทางถนนที่พวกเขาเดินมาเป็นสวนแห่งหนึ่ง สี่สาวร่ายเวทขึ้นพร้อมกัน ลำแสงสีฟ้าลากผ่านกลางอากาศและแหวกออกเป็นประตูแห่งแสง เทรนกระชับดาบที่เอวให้เข้าที่เข้าทาง มาเรียมัดรวบผมเสียใหม่ อากิรอสบิดคอไปมาเหมือนจะไปต่อยกับใครมากกว่าจะลุยกับปีศาจที่ไหน

    แสงสว่างอันอบอุ่นเจิดจ้าแสบตาเข้าปกคลุมเมื่อก้าวเดินเข้าไป เมื่อเทรนลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าทุกคนยืนอยู่ห่างจากหน้าผาไม่มากนัก ทิวทัศน์รอบตัวที่คุ้นเคยตั้งแต่เข้าหุบเขามรณะมา ผืนดินแห้งแล้งเต็มไปด้วยกรวดหินใหญ่เล็ก หน้าผาสูงชันมองไม่เห็นปลายยอด



    “จากนี้ไปคงต้องรบกวนท่านไอแซคนำทางต่อด้วยนะคะ” เคเมนกล่าวพร้อมโน้มตัวลงคำนับเขาอย่างนอบน้อม
    “ฝากแจ้งท่านรูมิลด้วย เสร็จเรื่องแล้วข้าจะกลับไปรายงานท่านด้วยตัวเอง” เธอพยักหน้ารับคำ
    “ถ้าอย่างนั้นขอฝากข้อความจากข้าด้วยได้ไหม” อเซแมกหันมาถาม
    “เชิญค่ะ ท่านอเซแมก”
    “ข้าจะกลับมาตอบแทนไมตรีของพระองค์ที่ช่วยข้า ช่วยเหลือลูกศิษย์ของข้าและสหายของข้าอย่างแน่นอน”
    “รับทราบค่ะ”
    “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนหน่อยละนะ ท่านไอแซค” อเซแมกหันไปบอกกับราชองค์รักษ์ อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยแล้วออกเดินนำหน้าไป เทรนหันไปโบกมือลาสี่สาวแล้ววิ่งตามทุกคน




    “จากจุดนี้ไปอีกไกลไหม?” อเซแมกถามไปยังเอลฟ์หนุ่มผมทองที่เดินนำลิ่วอยู่ด้านหน้า
    “หากไม่พบปัญหาใดก็คงราวๆสองสัปดาห์”
    “ปัญหา?” มาเรียทวนคำ
    “ก็พวกสัตว์อสูรที่พวกเจ้าเจอก่อนหน้านี้นั่นละ ข้าจะเลือกเส้นทางที่หลีกเลี่ยงพวกมันแต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าพวกเจ้าจะสบายตัวไม่ต้องต่อสู้หรอกนะ”
    “แล้วแต่ท่านไอแซคเถอะ” อเซแมกที่เดินปิดท้ายบอกมา
    “หึ! ก่อนอื่นขอข้าทดสอบหน่อยเถอะว่าพวกเจ้ามีดีในระดับใดกัน” ไอแซคพุ่งตัวออกวิ่งไปทันทีที่พูดจบ



    ทุกคนออกวิ่งตามไปอย่างไม่หวั่นเกรง เพราะเส้นทางที่พวกเขาเลือกนั้นย่อมหนักหนาสาหัสมากกว่าการทดสอบเล็กน้อยนี้อย่างเทียบไม่ได้ กงล้อแห่งโชคชะตาที่หยุดนิ่งเริ่มขับเคลื่อนอีกครั้งหนึ่งแล้ว




    To be continue…




    - คุยกันท้ายตอน –


    เขียนสั้นๆสำหรับตอนนี้ครับ ปริศนาเปิดเผยมาบางส่วนแต่ก็ผมก็แน่ใจว่าหลายคนก็ยังมีคำถามค้างคาใจหลังจากอ่านจบแน่นอน เอาไว้ไปหาคำตอบในตอนต่อๆไปกันนะครับ (ฮา)

    Azemag A.C. McDowell
  20. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    มีแหงๆเลยล่ะ ทำไม 5 อาณาจักรแต่ 4 ชนเผ่าล่ะนั่น >_<?
  21. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ถึงจะให้มาเม้นท์ก็แต่ก็ไม่รู้จะเสนอแนะอะไรดี ในเมื่อสำนวนการเขียนก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่พี่อีวานบอก

    แถมเนื้อเรื่องก็เข้มข้นดี แต่ก็ยังติอะไรไม่ได้มากนัก เพราะงั้นรอต่อไปนะ สหาย ฮ่าๆๆๆๆ

    เมื่อเห็นจุดอยากติงแล้วเราคงเจอกัน กร๊ากกกก
  22. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    หลังๆการเขียนลื่นไหลดีขึ้นค่ะ : D

    ส่วนเรื่องเนื้อหา สารภาพว่าตอนที่10แอบไม่เบาอย่างที่คิด ส่วน11นั้นเบากว่าที่คิดซะอย่างนั้น

    เนื้อหายังมีข้อสงสัยอยู่ รออ่านตอนต่อไปนะคะ
  23. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...เพิ่งได้เข้าบอร์ด
    ...อ่านแล้วมีความรู้สึกว่า ทากะค่อยๆจืดจางขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
  24. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตั้งใจว่าจะไปอธิบายตอนหลัง แต่ถ้าถามตอนนี้ก็ตอบให้ได้ครับ
    อาณาจักรอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาจักรรวมที่ทุกชนเผ่าอาศัยร่วมกันโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของครับ

    อยากให้จัดแบบเต็มๆสักทีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าข้อบกพร่องที่ตัวเองมองข้ามไปอยู่ตรงไหน จัดมาเหอะ!!

    หน้าที่ของคนเขียนคือการหักหลังคนอ่านครับ :D
    *โดนน้องฝุ่นเอาหนังสือฟาด*

    มันก็จืดมาตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้เอ่ยถึงมันก็จืดอยู่ดี -3-
  25. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 12


    เสียงโหยหวนดังขึ้นทำลายความเงียบของหุบเขามรณะ เสียงแรกยังไม่ทันขาดหายเสียงต่อมาก็ดังขึ้นเรื่อยๆจนทั่วทั้งบริเวณมีแต่เสียงหวีดร้องเจ็บปวดและครวญคร่ำดังระงมไปทั่ว เนิ่นนานผ่านไปจนเสียงสุดท้ายหยุดลง ร่างของกอร์กอนตนหนึ่งฟุบลงกับพื้น มีบาดแผลเหวอะหวะเต็มตัว สิ่งสุดท้ายที่ดวงตาเหลืองอำพันได้เห็นคือชายที่มีผ้าพันปิดใบหน้าครึ่งล่างเดินเข้าหาพร้อมกับดาบสองเล่มในมือ


    “เสียเวลาไปพอสมควรนะ” ไบท ไวท์แฟงค์ นักฆ่าหญิงบ่นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร พลางเช็ดมีดที่เปื้อนเลือดกับขากางเกงของตน
    “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด” กุห์ฟานตอบกลับในอารมณ์สบายๆ เขานั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ยักษ์มองดูผู้ติดตามทั้งสี่กับซากศพกลาดเกลื่อน
    “ถ้ากลุ่มของอากิรอสตามมาทันละ?” อิเซเรีย ควินน์ ผู้ใช้วิชาดาบสองมือเงยหน้าถามขึ้นมา

    “ไม่ต้องกังวลไปหรอก” กุห์ฟานยังคงนิ่งเฉย มุมปากยกตัวขึ้นเล็กน้อย
    “ถึงตอนนั้นก็ค่อยคิดว่าจะ ‘ฆ่า’ อย่างไรก็พอ” รังสีสังหารแผ่ซ่านออกมาพร้อมๆกับคำพูดของเขา

    “เอาละ ไปกันต่อได้แล้ว”

    กุห์ฟานยันตัวลุกขึ้น ร่างของเขาดิ่งลงอย่างช้าๆ แต่เมื่อสองเท้าแตะถึงพื้น กอร์กอนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ด้านหลังลุกพรวดแยกเขี้ยวเข้าหาทันที ผู้ติดตามทั้งสี่เห็นเหตุการณ์แต่ยังไม่ทันจะขยับตัวเข้าปกป้องผู้เป็นนาย แสงสว่างวาบหนึ่งปรากฏขึ้นจนพวกเขาต้องเบือนหน้าหนีพร้อมๆกับจิตสังหารที่หนักอึ้ง เย็นเฉียบลึกไปถึงกระดูกราวกับน้ำเหนือที่ไหล่บ่าถาโถมท่วมท้นทั้งร่าง


    ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
    ร่างของอสูรตนนั้นถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆในพริบตา เศษชิ้นส่วนกระเด็นกระจัดกระจายไปเป็นวงกว้างเหลือเพียงส่วนหัวที่ตกลงพื้นกลิ้งอยู่ไม่ไกลจากเท้าของกุห์ฟาน

    “น่าตกใจจริงๆ! ถึงจะเป็นแค่สิ่งไม่สมประกอบแต่ก็พอจะมีความคิดจะแลกชีวิตกับศัตรูด้วย”
    กุห์ฟานเดินผ่านผู้ติดตามทั้งสี่ที่ยืนตัวแข็งนิ่งเป็นท่อนไม้ จนเมื่อเขาจากไปไกลแล้วทั้งสี่ทรุดฮวบลงนั่งพร้อมๆกัน เหงื่อกาฬแตกพลั่ก


    “น่ากลัว... น่ากลัวยิ่งกว่า... เมื่อก่อนเสียอีก” ไบท์ละล่ำละลักถาม น้ำเสียงสั่นแทบประติดประต่อคำพูดไม่ได้
    อิเซเรียกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ใครกันที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้”

    เงียบงันไม่มีคำตอบจากปากของใครแม้แต่คนเดียว มีเพียงเสียงหายใจที่ขาดห้วงราวกับจะขาดใจตายจากพวกเขาเท่านั้น




    ณ นครชิลโซลิธี มหานครแห่งยุคที่เป็นดั่งศูนย์กลางของทุกสิ่ง ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นนักเดินทาง นักผจญภัยแสวงโชค พ่อค้าแม่ขายล้วนมุ่งหน้ามายังที่นี่ ผู้คนพลุกพล่านมากมายเต็มท้องถนนโดยเฉพาะในย่านการค้าเสรีที่มักจะมีสินค้าหายากจากทั่วทุกสารทิศมาวางขาย เสียงของผู้คนที่จอแจเซ็งแซ่จนฟังไม่ได้ความว่าใครกำลังพูดคุยเจรจากับใคร ล้อเกวียนไม้หมุนไปตามแรงฉุดลากของม้าและลาโดยมีคนคุมบังเหียนบังคับไม่ให้ไปชนเข้ากับรถคันอื่น กองทหารลาดตระเวนเดินขบวนอย่างแข็งขันทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด

    ณ ถนนที่มุ่งสู่ประตูเมืองทิศใต้ ม้าตัวหนึ่งได้พาร่างของทหารในสภาพบาดเจ็บสาหัสวิ่งเหยาะๆมาตามทาง ผู้คนที่เห็นภาพนั้นล้วนตระหนกตกใจใครคนหนึ่งรีบวิ่งดิ่งตรงไปยังประตูเมืองเพื่อแจ้งข่าวแก่ทหารยาม สักพักหนึ่งก็มีทหารสี่นายควบม้ารีบรุดมาให้การช่วยเหลือ



    เขาถูกนำตัวมารักษาที่ค่ายพักภายในป้อมประตู นายกองประตูสั่งลูกน้องให้รีบไปแจ้งข่าวแก่ท่านแม่ทัพ ทหารแพทย์และพยาบาลเร่งมือรักษาอาการบาดเจ็บ บาดแผลสาหัสสากรรจ์ทั่วร่างคมดาบบาดลึกถึงกระดูก นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างมากที่เขายังไม่สิ้นลมหายใจไปก่อน

    ในขณะที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมการรักษา ร่างนั้นดีดตัวลุกพรวดขึ้นนั่งตรงนิ่ง พยาบาลสาวคนหนึ่งตกใจจนทำกะละมังใส่น้ำตกลงพื้นจนน้ำกระจายเจิ่งนองไปทั่วพื้น ทหารแพทย์คนหนึ่งเข้าไปจับไหล่เขาตั้งใจจะดันให้เขานอนลงเพื่อรักษา แต่มือแข็งกร้าวของเขาฉวยจับแขนนั้นแล้วบีบอย่างแรง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นพร้อมกับเสียงกระดูกแขนที่แหลกเป็นเสี่ยงๆ พริบตาเดียวร่างของทหารแพทย์ผู้โชคร้ายก็ลอยหวือกระเด็นออกไปกระแทกกับกำแพงเต็มแรงขาดใจตายทันที


    ความโกลาหลเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ร่างของผู้ที่บาดเจ็บจนเกือบจะเป็นซากศพเดินได้ลุกขึ้นอาละวาดฆ่าฟัน ทหารคนอื่นพยายามเข้าระงับเหตุการณ์แต่ก็ถูกสังหารในพริบตา


    “หยุดนะ!” ใครคนหนึ่งตวาดก้องดังขึ้น ทุกคนหันไปมองหาที่มาของเสียง
    เฟธ ฟาน เลวานทีนปรากฎตัวขึ้นพร้อมหอกยาวคู่ใจ เขาเดินอย่างช้าไปยังร่างกึ่งเป็นกึ่งตายที่ยืนโยกไปเยกมา


    “ท่านแม่ทัพ! ข้าไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ เมื่อครู่เขายังไม่ได้สติเลยด้วยซ้ำ” นายกองประจำประตูรีบเข้ามารายงาน
    “รีบสั่งการอพยพผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากเขตประตูเมืองนี้ให้หมดพร้อมทั้งปิดประตูเมืองลงด้วย”

    “รับทราบ พวกเราไปดำเนินการเดี๋ยวนี้”
    นายกองรับคำสั่งแล้วสั่งการต่ออีกทอดหนึ่ง เหล่าทหารที่ตื่นตระหนกกลับเข้าสู่ระเบียบวินัยในทันที พวกเขาตั้งแถวแนวเป็นกำแพงอยู่ด้านหลังรองแม่ทัพใหญ่ อีกส่วนรีบวิ่งไปที่ห้องบังคับกลไกประตูเมืองเพื่อปิดประตูตามคำสั่ง

    เฟธยังคงนิ่งมองร่างของทหารบาดเจ็บที่ลุกขึ้นอาละวาดอย่างพินิจพิเคราะห์ สักพักหนึ่งร่างนั้นเดินเข้าหาอย่างช้าๆแต่รองแม่ทัพก็ยังคงนิ่งเฉย ร่างนั้นก้าวเท้าไวขึ้นๆจนกลายเป็นวิ่งเข้าใส่แต่เขาก็ยังไม่ขยับ


    ผัวะ!
    เสียงปลายหอกสะบัดเข้าเสยปลายคางจนหน้าหงาย แต่ร่างนั้นยังคงพุ่งเข้าหาเหมือนไร้ซึ่งความเจ็บปวดพร้อมยกมือทั้งสองข้างหมายจะบีบคอผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า พริบตาปลายหอกฟาดซ้ำมาจากด้านข้างเข้าเต็มๆขมับขวา แม่ทัพเฟธควงหอกก่อนฟาดเข้าใส่กระพุ้งแก้มซ้ายจนฟันหักหลุดร่วงมาหลายซี่ก่อนจะกระทุ้งเข้ากลางอกส่งร่างเดนตายลอยกระเด็นไปไกลร่วมๆห้าเมตร

    หนึ่งกระบวนท่าสามจังหวะในเสี้ยววินาที


    ตัวเขาย่อมรู้ดีกว่าการโจมตีเมื่อครู่จัดอยู่ในระดับที่เป็นคนทั่วไปคงบาดเจ็บจนมิอาจลุกขึ้นได้อีก แต่กับซากศพมีชีวิตเช่นนี้ก็ไม่อาจประเมินได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงเริ่มขยับที่ปลายนิ้ว ก่อนที่ทั้งร่างจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง มือควานหาดาบที่ตกอยู่มาถือและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

    “ไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จักตายงั้นรึ?”


    ทหารผีดิบวิ่งเข้าหาพร้อมฟาดดาบเข้าใส่ทำให้เขาต้องตั้งหอกป้องกัน แต่พละกำลังที่มากเกินจะคาดคิดได้กระแทกเขาให้ถอยหลังไปไกลพอสมควร เมื่อตั้งหลักได้อีกครั้งเขาจึงใช้ระยะที่ได้เปรียบของหอกโจมตีคืนไป เขารุกอย่างดุดัน รวดเร็ว รุนแรง คมหอกเฉือนบาดขาแขนปลายแหลมเสียดแทงถึงกระดูก

    แต่ว่าร่างนั้นก็ยังหยัดยืนอยู่ได้เป็นเพราะเขาได้ตายไปแล้ว อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง


    “มนต์ดำงั้นรึ ข้าละเบื่อเรื่องพวกนี้เสียจริง” เฟธพาดพลองขึ้นบ่า มือขวาจับลึกปลายด้าม มือซ้ายเลื้อยพันกดให้ปลายชี้ลงพื้น ขาซ้ายยืดขนานตามอาวุธคู่ใจ เข่าขวาย่อลงตั้งหลักมั่นคง
    “จะฝีมือของใครก็ช่างเถอะ มาจบเรื่องนี้ให้ไวที่สุดเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากให้ทหารของตัวเองต้องอยู่สภาพนี้นานๆนักหรอกนะ”


    สองเท้าพุ่งก้าวจากจุดที่ยืนอยู่อย่างไวว่อง ปลายหอกบิดพุ่งหมุนควงเป็นสว่านเจาะทะลวงกลางอกของทหารที่กลายเป็น ‘หุ่นเชิด’ หัวใจที่ไร้จังหวะบีบเต้นหล่นตุ้บออกไปไกล

    รองแม่ทัพผู้ครองฉายา ‘หอกเทพ’ กระชากหอกออกจากรูกลวงโบ๋กลางอกแล้วหันหลังเดินกลับพร้อมๆกับร่างที่ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น

    “เก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อยด้วย” เฟธพูดพลางถอนหายใจยาวๆ


    “ท่านแม่ทัพ!!”
    เสียงตะโกนของทหารทำให้เขามีปฏิกิริยาฉับพลัน กางขาย่อความสูงและก้มหัวหลบอย่างรวดเร็ว คมดาบวาดผ่านตัดปลายผมที่หลังคอไป หากช้ากว่านี้สักวินาทีคงเป็นหัวของเขาที่หลุดกระเด็น เฟธดีดตัวไปด้านหน้าและหันหลังกลับมองก็พบว่าร่างที่ไร้หัวใจนั้นบัดนี้ที่รูโหว่กลางอกมีไอสีดำแผ่นออกมา

    “เฮ้อ ต้องให้ข้าเหนื่อยเพิ่มสินะ” เวลานี้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด แววตาเด่นชัดด้วยโทสะ
    “ก็ได้! ข้าจะฟาดฟันให้จำร่างเดิมไม่ได้เลย”


    รองแม่ทัพใหญ่แห่งชิลโซลิธีกระทืบเท้าหนักๆกระแทกพื้นเสียงดัง สองมือควงหอกอยู่เหนือหัวแล้วฟาดลงทางขวามือ บัดนี้เขาจะเลือดเย็นกับศัตรูเบื้องหน้าทิ้งความปราณีไว้เบื้องหลัง


    ร่างที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาวิ่งเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด เฟธฉีกยิ้มหนึ่งครั้งพร้อมเหวี่ยงหอกในมือซ้ายทีขวาที ซ้ายทีขวาทีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่ความเร็วเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้ปลายหอกอยู่ตรงไหนและจะไปยังเป้าหมายใดต่อ ก้อนเนื้อที่ไร้ซึ่งเลือดไหลเวียนถูกฉีกกระฉากขาดวิ่น แขนข้างหนึ่งขาดร่วงหล่นนิ่ง ขาซ้ายกระเด็นหวือไปหล่นอยู่บนกระโจม

    เมื่อร่างกายสูญเสียสมดุลเพราะขาข้างหนึ่งหายไป ร่างที่ไร้ชีวิตที่ยังขยับได้เพราะมนต์ดำจึงล้มลงนอนคว่ำหน้ากับพื้น แม่ทัพอเมธิสควงหอกด้วยมือขวายืนมองร่างกายที่เละเทะไปด้วยบาดแผลมากมาย

    “ลาขาดละนะ!”
    เขาใช้มือซ้ายจับด้ามหอกบังคับให้หยุดหมุนเมื่อปลายหอกตั้งขึ้นเสียดฟ้าแล้วฟาดใส่ บิดข้อมือฟาดใบหอกลงบดขยี้หัวกะโหลกเข้ากับพื้นหินสุดแรงจนบังเกิดเสียงดังสนั่น

    “เก็บกวาด!” เขาสั่งทหารที่ตั้งแถวอยู่แล้วเดินมุ่งหน้ากลับยังตึกบัญชาการ




    ณ ห้องประชุมใจกลางกองบัญชาการ แม่ทัพใหญ่การ์เน็ตเรียกประชุมเพื่อตรวจสอบและสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากแม่ทัพคนอื่นๆติดภารกิจจึงมีเพียงเขา เฟธ และเรย์ฟิคัลสามคนที่ยังประจำการอยู่ในเมือง นอกนั้นเป็นระดับหัวหน้าหน่วยนายกองทั้งหลาย


    “มีใครอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บ้างไหม” คำถามจากปากของการ์เน็ตสร้างความเงียบตามมาในทันที
    มืดแปดด้าน” เฟธตอบแบบกวนๆท่ามกลางความเคร่งเครียดของพวกนายกองหัวหน้าหน่วยทั้งหลาย
    “เรื่องมันฉุกละหุก พวกท่านมิต้องกล่าวโทษตัวเองหรอก” แม่ทัพมรกตช่วยพูดผ่อนคลายบรรยากาศเพราะความตึงเครียดทั้งหมดทั้งมวลปีนป่ายขึ้นไปเกาะอยู่บนหน้าบรรดาลูกน้องหมดแล้ว

    “ทหารนายนั้นนามว่าฟิลลิปโป้ เป็นหน่วยลาดตระเวนทางเหนือที่ออกไปปฏิบัติภารกิจเมื่อสามเดือนที่แล้วครับ” นายกองคนหนึ่งชี้แจงรายละเอียด
    “นอกนั้นเราก็ยังไม่ทราบข่าวของหน่วยนี้ว่าเป็นตายร้ายดีแต่อย่างไรครับ”


    สีหน้าของแม่ทัพใหญ่อย่างการ์เน็ตกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะสืบสาวหาความจริงได้อย่างไร จะส่งหน่วยใหม่ออกไปสืบข่าวก็เสี่ยงที่จะละลายหายไปเหมือนหน่วยก่อนหน้า อีกทั้งยังไม่รู้ตัวคนร้ายที่ใช้มนต์ดำบังคับทหารที่ตายแล้วให้มาก่อเรื่องภายในเมืองอีก หนำซ้ำแม่ทัพประจำหน่วยมนตราและหน่วยข่าวกรองก็ยังไม่กลับมาจากภารกิจ

    “นิ่งสงบสยบเคลื่อนไหว” เฟธพูดเพียงสั้นๆเรียกความสนใจจากทุกคน
    “เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”

    “หากผลีผลามขยับตัวก็ไม่ต่างจากเหยื่อตัวน้อยที่ถูกนายพรานดักซุ่มจับตามอง ดังนั้นแทนที่จะร้อนรนหาความจริงในความมืด ทำไมมิรอความจริงให้มาหาเล่า”

    ทุกคนนิ่งฟังคิดตามสิ่งที่เขาต้องการจะบอก


    “ปล่อยข่าวลวงว่าเกิดการจลาจลขึ้น ทำให้ภายในเมืองเสียหายอย่างหนักล่อให้ผู้ที่มุ่งร้ายต่อชิลโซลิธีปรากฏตัวออกมาเอง”
    “แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครกันที่เป็นคนร้าย” นายกองคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
    “แผนนี้คงต้องมีการสูญเสียบ้าง มิเช่นนั้นเราก็มิอาจล่วงรู้จุดประสงค์ของคนร้าย และคงไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงอย่างแน่นอน”

    “หนึ่ง! ปล่อยข่าวลวงให้กระจายไปในบรรดานักเดินทาง สอง!ถอนกำลังทหารออกจากเมืองให้เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยและแสร้งตรวจตราให้หละหลวม สาม! อพยพประชาชนบางส่วนออกจากเมือง สี่! หน่วยมนตราเตรียมความพร้อมในการรับมือกับคาถาของศัตรู ห้า! หน่วยราชองค์รักษ์ให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา”

    เฟธหันไปสบตากับการ์เน็ตหนึ่งครั้งก่อนที่แม่ทัพใหญ่จะพยักหน้าเห็นด้วย หัวหน้าหน่วยและนายกองลุกขึ้นยืนพร้อมกับโค้งคำนับทำความเคารพและรีบไปดำเนินการตามแผนทันที


    “แน่ใจกับแผนนี้แล้วนะ” เรย์ฟิคัลเอ่ยถามขึ้นเมื่อทุกคนออกไปจนหมดยกเว้นเธอ เฟธและการ์เน็ต
    “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาสิ”
    “ถ้าหากคนร้ายไม่เข้าเมืองแต่ส่งซากศพที่ถูกมนต์ดำเข้ามาก่อกวนอีกละ”
    “เข้าทางเลย คราวนี้ข้าจะปล่อยให้มันอาละวาดเหมือนกับเรารับมือไม่ได้”

    แม่ทัพหญิงพยักหน้าหงึกๆว่าเข้าใจ

    “นี่คงไม่ใช่การหยอกกันเล่นเหมือนหมาหยอกไก่แน่นอน มนต์ดำที่ใช้นับว่าแข็งแกร่งพอสมควร คนร้ายจะต้องหวังผลบางประการแน่นอน”
    “ก็หวังว่าเจ้าจะเดาถูกนะ”

    เรย์ฟิคัลยังไม่เลิกที่จะแหย่เฟธเพราะเธอรู้ว่าคนจริงจังอย่างเขาย่อมเกลียดความพ่ายแพ้และความผิดพลาดของตนเอง “ว่าแต่งานนี้ไม่มีอะไรให้หน่วยคันศรของข้าทำบ้างหรือไงกัน”
    “ถ้าเจ้ากลัวตายก็นอนอยู่บนเตียงอันอบอุ่นในห้องของเจ้าเถอะ” เฟธลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที

    “เจ้านี่ก็ชอบพูดแบบนี้ทุกทีเลยนะ เรย์ฟิคัล” ในฐานะแม่ทัพใหญ่เขาที่เห็นการโต้ตอบระหว่างเธอและเขามานานจำเป็นต้องพูดตักเตือนบ้าง
    “ก็มันสนุกนี่นาท่านลุง”

    ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของการ์เน็ตและเรย์ฟิคัลนั้นเกี่ยวดองเป็นญาติกันอยู่

    “ตอนนี้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเองก็อย่ามัวแต่แหย่คนโน้นแกล้งคนนี้จนเสียการเสียงานละ”
    “รับทราบค่ะ”




    ค่ำคืนคืบคลานมาอย่างเงียบเชียบความมืดโลมเลียทุกสิ่งให้นิ่งสงัด มีเพียงเสียงรองเท้าเกราะเหล็กเดินย่ำบนพื้นหินให้ได้ยินแว่วอยู่ไกลๆ บ้านช่องร้านรวงต่างๆปิดประตูหน้าต่างลงกลอนปิดสนิท แสงไฟสลัวจากโคมบนยอดเสาส่องสว่างเป็นระยะ ลมพัดเศษกระดาษปลิวไถลไปกับพื้นไปตกอยู่กลางสี่แยก รองเท้าหนังสีดำยาวถึงเข่าของใครคนหนึ่งเหยียบลงบนกระดาษแผ่นนั้น เหลียวมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง

    หนทางเบื้องหน้านั้นคือถนนที่มุงสู่ใจกลางของมหานคร พระราชวังแห่งชิลโซลิธี


    To be continue…


    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag –

    เปลี่ยนบรรยากาศมาติดตามเรื่องราวในฉากอื่นบ้างครับ ตอนนี้ก็นานหน่อยกว่าจะเขียนเสร็จเพราะงานช่วงนี้เยอะเหลือเกิน เป็นไปได้ว่าตอนที่สิบสามก็อาจจะนานกว่านี้อีกเช่นกัน อย่างไรก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์ครับผม

    Azemag A.C. McDowell

Share This Page