[ฟิครับสมัคร] White Knight : Gywnfor Guardian *Update 28/11/10*

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย derick, 4 พฤษภาคม 2010.

  1. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ฟารันต์ก็ยังคงความน่ารักไม่เปลี่ยนนะครับเนี้ย

    โดยเฉพาะตอนตกลงมา หุหุ *-----* รร.นี้

    มีเรื่องน่าประหลาดใจเยอะแท้ๆ เนอะครับ ว่าแต่โรคตาแดงระบาดจริงๆด้วย

    55555 รออ่านต่อไปครับ
  2. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    อ๊ากกก กุฟานน่าสงสารจริงๆT-T เป็ยจริงๆมันคงไล่กระโดดถีบไอ้คนที่ล้อมันเป็นแน่แท้

    อย่าให้น็อตหลุด!!!!!

    รู้สึกว่าโรงเรียนดูวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว

    กุฟานไปอยู๋ห้องไหนเนี่ย อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก

    ภาษาอ่านแล้วเพลินตามเคยนะพี่

    รออ่านตอนต่อไปครับผมมม
  3. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...ร็อคนี่แบบว่า...ถอดแบบนิวมาเลยแน่ๆ ใช่เลยแน่ๆ ตรงกับตัวจริงเด้ะๆขิงๆ ;w;
  4. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอนแรกก็สงสัยว่ามันคืออะไร พอได้อ่านก็เข้าใจ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ โอ้เย่!!!
  5. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ไม่จริงงงง

    ตัวจริงผมสุภาพ เงียบขรึม ขี้อาย และไม่กวนตรีนแบบแร็กน่า
  6. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    ป่านนี้กุฟานมันตื่นหรือยัง =___,="
  7. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    บทเรียนที่ 7 : ว่าด้วยเรื่องของการต้อนรับ 2







    ประกายแสงสว่างเจิดจ้าเสียจนมองเห็นได้แต่ไกลสะท้อนเข้าลูกนัยตาของผู้ที่กลับจากการสะสางภารกิจ เจ้าของเส้นผมสีน้ำเงินประบ่ายกมือขึ้นป้อง ตั้งใจเพ่งพินิจมองแสร้งทำอากัปกริยาคล้ายคนปกติทั่วไป จนคนที่มาด้วยข้าง ๆ อดแขวะเสียไม่ได้

    “ได้ข่าวว่าสายตานายดีขนาดมองเห็นตัวเชื้อโรคได้เลยนะซิว” ร่างสูงชะลูดเอ่ยพร้อมกับร่อนกายผ่านหน้าอีกฝ่ายไป มุ่งตรงยังจุดกำเนิดแสงที่ยิ่งพอได้เข้าใกล้ก็ยิ่งเดาได้ว่าคืออะไร

    เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบโต้ หากแต่ลดระดับการลอยตัวของตนให้ต่ำลง เท้าทั้งสองแตะลงบนพื้นอย่างราบเรียบ “ท่าทางงานนี้จะมีคนตายไม่ใช่น้อย” ใบหน้ายังคงนิ่งงันเมื่อมองทางเบื้องหน้า

    “งานเข้าแล้วไงล่ะพวก” ดวงตาสีดำมองแหวกผ่านความมืดในยามค่ำ น้ำเสียงกับท่าทางที่แสดงออกดูไม่ได้จะไปในทิศทางเดียวกันเลยสักนิด

    ร่างเล็กกว่าภายใต้ผ้าคลุมสีขาวเดินก้าวตรงไปยังกลุ่มคนร่วมห้าสิบคนซึ่งยืนโอบล้อมตัวหอพักรับรองขนาดกลาง ใบหน้าแต่ละคนแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความสนุกสนาน มือสองข้างของพวกเขาเปล่งแสงเรืองรองเป็นสัญลักษณ์ตามสีธาตุต่าง ๆ คละเคล้าราวดอกไม้นานาพันธุ์ที่เบ่งบานอยู่ในท้องทุ่งผืนเดียวกัน

    “พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่?”

    น้ำเสียงจากผู้มาเยือนใหม่เรียกให้คนทั้งหลายหันมอง “อ้าว! พวกนายไปไหนมาเนี่ย!! พวกเราก็ตามหาเสียแย่ ทนรอไม่ไหวเลยลงมือกันก่อน”

    “ฉันถามว่าพวกนายกำลังทำอะไรอยู่?” ซิเวอร์ย้ำคำเสียงเรียบ

    ทำเอาคนได้ยินถึงกับเป็นงง “ทำไร? ถามแปลกน่าซิเวอร์ นายก็เห็นอยู่ ”

    โซลที่ยืนฟังอยู่อดไม่ได้จึงแทรกขึ้น “พวกนายไม่รู้รึไงว่านิลไม่ให้มีการรับน้องน่ะ??”

    ราวกับฟ้าผ่าดังเปรี้ยง! คนร่วมห้าสิบคนหันมองคนพูดเป็นตาเดียว “นายว่ายังไงนะ???!!”

    “รุ่นพี่อานี่ไม่อนุญาตให้มีการรับน้องจนกว่าจะมีคำสั่งออกมา” ซิเวอร์กอดอกพลางหรี่ตามอง “นี่พวกนายไม่รู้เรื่องกันเลยรึไง?”

    ทั้งหมดมองหน้ากันแล้วพร้อมใจกันส่ายหน้าไปมา “ทำไมพวกเราไม่เห็นรู้เรื่องล่ะ??”

    “ทำยังไงดี ขืนรุ่นพี่อานีลรู้ว่าเราขัดคำสั่งล่ะก็....”

    “ตายแน่ ๆ” เจ้าของผมสีน้ำเงินขัดขึ้นทันควัน

    “จะทำยังไงดีเนี่ย!!!”

    โซลพยักหน้าขึ้นลงหงึก ๆ “ตายหยังเขียดแน่นอน”

    จนหนึ่งในเพื่อนผู้กำลังจะจบชีวิตแบบศพไม่สวยร้องประท้วงขึ้นมาทั้งน้ำตาคลอเบ้า จากใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงของเด็กได้ของเล่นใหม่เมื่อครู่ กลายเป็นใบหน้าบอกบุญไม่รับของเด็กที่กำลังจะถูกพ่อแม่ตียังไงยังงั้น

    “ช่วยคิดหน่อยสิ ๆ”

    พอได้ยินเสียงอ้อนวอนขอร้องมากเข้าคนแสร้งทำนิ่งจึงเอ่ยปากบอกวิธีทางแก้อันง่ายแสนง่าย “จะไปยากอะไร พวกนายก็ถอนเวทย์คืนก็จบ”

    “เออเนอะ!!” พอนึกออกได้ดังนั้นทั้งหมดก็พร้อมใจกับถอนคาถา หากแต่ผลกลับไม่ออกมาอย่างที่มันควรจะเป็น....

    “ไม่ได้.....”

    “หืม?” ซิเวอร์ซึ่งยืนก่อนอกมองเปล่งเสียงในลำคอร้องถาม

    “มันถอนคาถาไม่ได้อ่ะ!!!!”

    ดวงตาสีน้ำเงินสบมองกับดวงตาสีดำของคนข้างกาย แล้วพร้อมใจกันยักไหล่ส่ายหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ‘ช่วยไม่ได้’

    หากในความช่วยไม่ได้นั้นซิเวอร์และโซลกลับนึกสงสัย เหตุใดเวทย์ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์ มีบทร่ายแจ่มชัดไร้การประยุกต์ดัดแปลงกลับไม่สามารถถอนคาถาได้ จากที่เขารู้มาเวทย์บิดเบือนมิติไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาก่อน...

    และจากที่ทราบมารุ่นต่อรุ่นที่ใช้ไม่เคยมีการผิดพลาดถึงขนาดถอนคาถาคืนไม่ได้....

    “กรณีนี้มีสองทางออก” ซิเวอร์ว่า “ทางออกแรกคือฆ่าพวกนายให้หมด”

    ใบหน้าเฉยเมยที่มาพร้อมกับน้ำเสียงอันไม่ได้แตกต่างไปนักบอกกล่าว ถึงแม้เพื่อนพ้องต่างรับรู้ถึงนิสัยเสียข้อนี้ดีแล้วก็ตาม แต่พอได้ฟังในสถานการณ์แบบนี้ทีไรมันก็อดเสียวสันหลังวาบไม่ได้ทุกที

    “สองคือทำลายมิติทิ้ง” โซลเอ่ยต่อ “และมี 2 คนในที่นี้ เวลานี้ที่สามารถทำได้....”

    “แน่นอนคนแรกพวกนายต้องไม่อยากเจอแน่นอน ส่วนอีกคนฉันว่าจะบอกหรือไม่บอกยังไงคนแรกที่พวกนายไม่อยากเจอก็ต้องรู้อยู่ดี”

    เป็นอันทราบกันดี....มันไม่ใช่ความลับหรือปริศนาหาบุคคลอะไรยุ่งยากมากมายนักหรอก เพราะทุกคนรู้โดยนัยดีอยู่แล้วว่า คนที่มีพลังมากพอสามารถทำลายมิติของนักเรียนเวทย์ระดับนี้ถึงห้าสิบคนได้นั้นในโรงเรียนมีเพียงสองคนเท่านั้น

    คนแรก...คนที่ไม่อยากเจอก็คือ อานีล
    คนที่สอง...คนที่ไม่ว่าจะบอกหรือไม่บอกอย่างไรอานีลก็ต้องรู้เรื่องอยู่ดีนั่นคือ ผู้อำนวยการโรงเรียน

    ดวงตาสีน้ำเงินของซิเวอร์ไล่มองใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนร่วมชั้นปี “เอางี้แล้วกัน เปลี่ยนทางเลือกเป็น ‘ตายช้า’ หรือ ‘ตายเร็ว’ น่าจะดีกว่า”

    ไม่ว่าข้อเสนอไหนก็ตายอยู่ดี ทำเอาคนฟังรู้สึกอยากจะเข้าไปอยู่ในห้องมิติเสียเอง “อะไรก็เอาเถอะ....เพราะถ้าขืนนานกว่านี้ พวกฉันได้หมดไอเวทย์ตายตรงนี้แน่.....”

    ‘ไอเวทย์’ คือพลังงานที่สถิตย์อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ โดยร่างกายของแต่ละคนจะมีไอเวทย์มากน้อยไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามการฝึกฝนหรือความเข้มข้นของสายเลือด

    “ฉันว่าตายเพราะไอเวทย์หมดตัวอาจดีกว่าโดนอานี่ลงโทษนะ” ซิเวอร์เอ่ยอย่างไม่ทุกร้อนอะไร

    ท้ายที่สุดเหล่าปีสองผู้นึกสนุกจนได้เรื่องทั้งหลายก็พร้อมใจกันลงความเห็นว่า บอก ๆ กับอานิลไปเถอะเพราะอย่างไรเสียเจ้าตัวต้องรู้อยู่ดี ที่สำคัญรู้เร็วหน่อยอาจจะผ่อนคลายความโหดของเจ้าตัวลงมาเล็กน้อยถึงปานกลาง และนั่นหมายถึงชีวิตของพวกเขาร่วมห้าสิบคนจะสามารถอยู่รอดไปได้อีกวัน

    หลังจากตกลงกันเสร็จสรรพปัญหาอีกประการกลับบังเกิด....

    “นายคิดว่าป่านนี้รุ่นพี่อานีลจะหลับรึยัง?”

    คำถามที่ราวกับใครเอาระเบิดมาโยนไว้กลางกลุ่มกวินฟอร์มุง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบ มีเพียงสายตาที่สบมองกันไปมาและจังหวะของหัวใจซึ่งเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอกเท่านั้นที่ปรากฏ

    แล้วความเงียบเพียงไม่กี่นาทีแต่นานเสมือนข้ามคืนก็ถูกทำลายลง....

    “ไม่หรอกมั้ง นี่มันเพิ่งหัวค่ำเองนะ....” คนหนึ่งว่า คนที่เหลือพร้อมใจกันมองไปยังผู้น่าจะรู้ดีที่สุดสองคนซึ่งเอาแต่ยืนนิ่ง

    “ไม่แน่นะ เห็นวันนี้งานเยอะ อาจเหนื่อยมากจนนอนเร็วกว่าทุกครั้งก็ได้” ซิเวอร์เอ่ยด้วยท่าทีวางเฉย หลังจากเดินไปหาที่นั่งพิงพนักสบายอารมณ์

    “แต่ฉันไม่เคยเห็นรุ่นพี่นอนก่อนเที่ยงคืนสักครั้งนะ!” เสียงแทรกทำเอาใจซึ่งหล่นวาบอยู่ตาตุ่มเลื่อนกลับมาวางยังหน้าอกตามเดิมได้

    ดวงตาสีดำของไวท์กาเดี้ยนอีกคนจ้องมอง “อยากรู้ก็ไปหาสิ”

    ซิเวอร์เลิกคิ้วทำหน้ายินดี “โอ้!ใช่เลยโซล นี่แหละที่เราต้องการ นายจะไปเชิญอานี่มาที่นี่สินะ” เด็กหนุ่มร่างเล็กลุกพรวดขึ้นยืน เดินตรงไปตบบ่าของคนที่สูงกว่าตนร่วมศอกเต็มแรง

    “ไม่!” คำตอบเสียงแข็งนั่นทำเอาสีหน้าเปี่ยมด้วยความหวังของเหล่าปีสองต้องหม่นหมองลงอีกครั้งหนึ่ง “นายก็รู้ว่านีลเวลา.....มันเป็นยังไง.....” น้ำเสียงทุ้มเริ่มแผ่วเบาลงจนกลายเป็นแค่เสียงกระซิบ

    “งั้นให้ไซโคไปเรียกสิ ถ้าเป็นหมอนั่นรับรองไม่มีปัญหาแน่!!” ตัวต้นเรื่องคนหนึ่งเสนอ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ในโรงเรียนนี้นอกจากผู้อำนวยการและไซโคแล้ว ไม่มีใครกล้าแหยมเข้าสู่อาณาเขตแห่งนิทราของอานีลเลยสักคน ทุกคนรู้ดีว่าหากล่วงละเมิดเข้าไปแล้วจะเป็นเช่นไร

    “งั้นพวกนายก็ไปหาไซโค(มัน)เองสิ!!” รู้สึกว่าพอพูดถึงชื่อนี้จะทำเอาไอ้คนกวนหน้าตายทั้งสองยอมจะมีความเห็นตรงกันอย่างไม่คัดค้านขึ้นมาสักคน แถมยังในเวลาเดียวกันเสียด้วย...

    ไอ้พวกยืนให้ไอเวทย์ถูกซึมซับไปเรื่อย ๆ เพราะไม่อาจถอนคาถาคืนได้เริ่มหมดความอดทน “พวกนายเป็นไวท์กาเดี้ยนนะเว้ย!!! แล้วไซโคก็เป็นไวท์กาเดี้ยนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกนายสองคนไปน่ะสะดวกสุด ๆ แล้ว!! ที่สำคัญ.....”

    ดวงตาของผู้พูดมองยังมือของตน “พวกฉันละออกไปจากตรงนี้ไม่ได้สักคน....”

    เป็นจริงอย่างที่ว่า....เนื่องจากติดพันกับการใช้เวทย์ทำให้พวกปีสองทั้งหลายไม่สามารถขยับตัวได้ ในที่นี้ที่อยู่ในเหตุการณ์และว่างมากพอก็เห็นจะมีแค่ซิเวอร์กับโซลเท่านั้น แถมนี่ไม่ใช่เวลาของนักเรียนปกติที่จะสามารถเข้านอกออกในแห่งใดก็ได้ตามสะดวกด้วย

    กฎระเบียบของโรงเรียนมีบอกไว้อย่างชัดเจนว่า หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน หากนักเรียนปกติไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากประธานสายหรือเหล่าคณาจารย์ จะไม่สามารถเดินเตร็ดเตร่ไปไหนมาไหนในบริเวณต้องห้ามทั้งหลายนี้อันได้แก่ เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ สวนวงกต ปราการสีขาว และหอพักต้องห้ามซึ่งเป็นที่พักของเหล่าไวท์กาเดี้ยน

    “ฉะนั้นพวกนายต้องไป!!!”

    เมื่อถูกเหล่าเพื่อนฝูงกดดันจนแทบติดพื้นแบบนี้มีหรือผู้มีกำลังน้อยจะปฏิเสธได้ ซิเวอร์กับโซลมองหน้ากันเล็กน้อย ต่างคนต่างต้องพยายามอาศัยไหวพริบในการเอาตัวรอดเสียแล้ว

    ฉับพลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเจ้าของผมสีน้ำเงินร่างเล็กกว่า “ตัดสินกันตามวิธีของพวกเราแล้วกัน”

    เพียงเท่านั้นบรรยากาศกดดันก็บังเกิดขึ้น ใช่.....บังเกิดเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากคำพูดสิ้นสุดลงได้แค่เสี้ยววินาที พวกปีสองทั้งหลายก็ต่างส่ายหน้าไปมาด้วยความระอา

    วิธีของไวท์กาเดี้ยน....เหมือนจะฟังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม หากแต่จริง ๆ แล้วมันก็แค่.....


    “เป่า...”


    “ยิ้ง...”


    “ฉุบ!!”


    ได้ยินไม่ผิดหรอก....มันก็แค่การละเล่นของเด็ก ๆ เท่านั้น การละเล่นที่ไวท์กาเดี้ยน เหล่านักเรียนผู้แสนองอาจแห่งโรงเรียนอันดับหนึ่งกวินฟอร์กาเดี้ยนทำ....

    โซลมองหมัดของตนเองที่กำแน่น สลับกับมือแบออกของซิเวอร์ด้วยความแค้นใจ “ไม่ยุติธรรมนี่หว่า! นายมันดวงดีเรื่องนี้จะตาย ฉันเห็นเป่ายิ้งฉุบทีไรนายไม่เคยแพ้สักครั้ง!!” คนตัวสูงชี้นิ้วพลางแหกปากโวยวายราวกับตนจะต้องไปสู่นรกขุมสุดท้ายก็ไม่ปาน

    ซิเวอร์ยกนิ้วทาบบนปากส่งเสียงจุ๊ ๆ ในลำคอ แล้วเดินไปนั่งไขว่ห้างสบายใจอยู่บนเก้าอี้นั่งเล่นริมสวนตัวเดิม “คนแพ้ไม่มีสิทธิพูด” เขาผายมือเชิญเป็นการบอกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องทำ

    โดนไปดังนั้นมีหรือจะเถียงต่อ ได้แต่พาร่างของตนบินขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าตรงกลับยังหอพักของตนด้วยความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอก.... “ผู้แพ้ไม่มีสิทธิพูด...เออดิ! ตั้งแต่ตัดสินแบบนี้มาฉันเคยชนะแกสักครั้งไหมวะ??!!”

    หอพักของนักเรียนโรงเรียนกวินฟอร์จะถูกแบ่งแยกออกเป็นหกส่วนในอาณาเขตชั้นใน หากนับจากทางด้านหน้าประตูโรงเรียนมันจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เยื้องจากลานประลองกลางขึ้นไปทางด้านบน พื้นที่ในส่วนนี้ถูกแบ่งแยกออกอย่างเห็นได้ชัด ต้องอาศัยการเดินทางอีกเล็กน้อยจากตัวโรงเรียนเพื่อกลับสู่หอพัก

    เส้นทางจะถูกบีบให้เหลือเพียงเส้นทางเดียว สองข้างจะเป็นทะเลสาบกว้างให้อารมณ์เหมือนอยู่ท่ามกลางป่าธรรมชาติ ขอบริมรั้วถนนเรียงรายด้วยต้นสนขนาดมหึมา มันสูงใหญ่จนสามารถบดบังแสงแดดทั้งในยามเช้าและคล้อยบ่ายได้เป็นอย่างดี

    ในช่วงเวลากลางคืนทางเส้นนี้จะมืดมิดกว่าบริเวณอื่น เป็นสัญญาณให้รับรู้ถึงเวลาอันสมควรแก่การอยู่แต่ในเขตแดนตน แต่หากจำเป็นต้องใช้เส้นทางจริง ๆ เหล่าภูติต้นไม้ที่ประจำอยู่จะช่วยให้แสงสว่างเพื่อส่งผ่านความปลอดภัยอย่างรู้หน้าที่

    หอพักแบ่งออกเป็นสี่หอพักใหญ่รูปร่างคล้ายปราสาทของพวกขุนนางขั้นสูง ถูกวางในลักษณะเส้นขนานหันหน้าเข้าหากัน ถูกขวางด้วยสนามหญ้าและสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ตรงใจกลางของหอทั้งสี่จะเป็นที่ตั้งของโดมขนาดกลาง เพื่อใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงหรือทำกิจกรรมภายใน

    ถัดจากพื้นที่ของหอทั้งสี่นี้จะเป็นพื้นที่ในส่วนพิเศษ ถูกแยกออกจากช่วงแรกด้วยรั้วต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ในยามกลางคืนดอกไม้สีขาวสวยจะบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอม บ่งบอกให้ผู้เดินผ่านไปมารับรู้ถึงความสำคัญของสถานที่ที่กำลังย่างก้าวเข้ามา

    ตัวปราสาททรงสูงตั้งเด่นเป็นสง่า สีของมันดูให้อารมณ์มนต์ขลังของความน่าหวาดหวั่นมากกว่าจะเป็นที่พักอาศัย ถัดไปด้านหลังจะเป็นคฤหาสน์พิเศษซึ่งมีเพียงสองชั้น การตกแต่งก็เรียบร้อยไม่ได้เลิศหรูอลังการหากเทียบกับตัวหอพักอื่น ๆ

    แต่คฤหาสน์หลังนั้นกลับกลายเป็นที่พักของประธานสายทั้งสองซึ่งถูกขีดแบ่งพื้นที่ด้วยบันไดสีแดงสด

    เท้าของโซลแตะลงบนพื้นหินอ่อนเบื้องหน้าประตูปราสาท เขาหายใจทิ้งหนึ่งครั้ง ก่อนย่างก้าวเข้าสู่ด้านใน “อยู่ชายคาเดียวกันทุกวันยังไม่อยากจะเจอหน้า....” เสียงทุ้มยังคงบ่นพึมพำ

    “บ่นอะไรพึมพำคนเดียวน่ะครับ?” ร่างของผู้ที่ไม่อยากเจอมากที่สุดแต่จำต้องเจอปรากฏอยู่ตรงหน้า ไซโคซึ่งกำลังเดินลงมาด้านล่างหยุดเอ่ยทักผู้กลับมาถึงใหม่ด้วยรอยยิ้ม

    พอเห็นโซลอ้าปากค้างเหมือนอยากพูดอะไรเขาก็ยิ้มต่อ “ว่าไงครับ?”

    เมื่อได้สติโซลก็ส่งเสียงกระแอมไอเบา ๆ ท่าทีนิ่งเฉยตามปกติกลับคืนสู่มนุษย์ผู้หงุดหงิดเมื่อครู่อีกครั้ง “มีเรื่องอยากจะพูดกับนายพอดี”

    “กับผม?” ไซโคเลิกคิ้วสูงแสร้งทำแปลกใจ “น่าแปลกนะครับที่คนพยายามจะหนีหน้าผมอย่างคุณมีเรื่องอยากจะพูดกับผมได้เนี่ย”

    เด็กหนุ่มร่างสูงกว่าสูดหายใจลึก “อยากให้นายไปหารุ่นพี่อานีลแล้วพาไปที่หอพักรับรองชั้นนอกหน่อย”

    “ขอร้องรึครับ?”

    “ไม่”

    “หืม....” ไซโคจงใจเปล่งเสียงสูง “งั้นคงแย่หน่อยนะครับ พอดีผมไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนเสียด้วยสิตอนนี้”

    คนพูดหันหลังทำท่าจะเดินจากไปจริง ๆ ตอนนี้โซลได้แต่ยืนชั่งใจระหว่างความน่ากลัวตรงหน้ากับศักดิ์ศรีเบื้องหลังตน และคิดทีไรก็อดแปลกใจในความบ้าบอนี้ไม่ได้ เขากลัวไซโคทำไม?....ไม่สิ....ทำไมเขาถึงรู้สึกขยาดคน ๆ นี้นัก....

    “ตกลง ๆ ฉันขอร้องนาย ช่วยตามรุ่นพี่อานีลไปที่หอพักรับรองชั้นนอกที” เขาตัดสินใจเอ่ย กล่าวจบก็เดินผ่านอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว เสมือนว่ากำลังหนีผลที่จะติดตามมา

    ไซโคหัวเราะเบา “ครับผม”

    คนรับปากไม่ได้เร่งรัดในการตามตัวอานีลเท่าไหร่นัก เขาจงใจเดินเรื่อยไปตามทางออกด้านหลังซึ่งเชื่อมกับคฤหาสน์เล็ก ๆ เงาของปราสาทไวท์กาเดี้ยนทาบทับมันเสียจนแสงของดวงจันทร์ส่องลงได้แค่เพียงช่วงปลายของคฤหาสน์เท่านั้น

    เสียงกระดิ่งของประตูไม้เรียบหากงดงามดังเบาพอให้ผู้อยู่ภายในได้ยิน ชายชราในชุดสูทภูมิฐานราวพ่อบ้านเดินตรงมาต้อนรับแขกซึ่งมาเยือนในยามวิกาล ไซโคค้อมศีรษะรับการทักทายอย่างให้เกียรตินั่นเล็กน้อย

    “ผมมาพบรุ่นพี่อานีลครับ ไม่ทราบว่ารุ่นพี่หลับรึยัง?”

    ริมฝีปากใต้หนวดเคราสีขาวขยับแย้ม “ยังครับ ท่านอานีลยังอยู่ที่ห้องทำงาน ให้ผมขึ้นไปเรียนเชิญลงมาไหมครับ?”

    ไซโคนิ่งไปชั่วครู่ “ถ้ายังไงขอผมขึ้นไปพบเองจะได้ไหมครับ?”

    “ได้สิครับ สำหรับพวกแสงขาวแล้วไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้ครับ” พ่อบ้านผู้มาต้อนรับค้อมคำนับ แล้วเดินก้าวหลบออกจากทางเส้นหลัก ภายมือเชิญแขกพิเศษให้ขึ้นสู่ด้านบนได้ตามอัธยาศัย

    ดวงตาคมจ้องมองบานประตูเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วเคาะประตูเบา ๆ สองสามครั้งพอให้รับรู้ได้ถึงการมาเยือนของตน รอไม่นานเสียงตอบรับอันคุ้นหูก็ดังลอดออก ไซโคเปิดประตูเข้าไป มองภาพที่ตนมักจะได้เห็นเสมอเวลามาหาอีกฝ่าย

    อานีลกำลังนั่งมองรายงานเล่มใหญ่บนโต๊ะ มือข้างหนึ่งยกปลายปากกาขึ้นเคาะเบา ๆ ตามจังหวะความคิด อีกฝ่ายค้ำยันศีรษะให้ตั้งเอนในลักษณะที่สอดคล้องกับระดับสายตา

    “เสียดายนะครับ ผมนึกว่ารุ่นพี่จะหลับอยู่เสียอีก” คนมาเยือนทักทายกลั้วหัวเราะ

    “นายก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลานอนของฉัน” เจ้าของห้องตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจแขกนัก “ว่าแต่นายมาทำไม? หรือว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น?”

    “สงสัยต้องยอมรับกับคำพูดที่ว่า ‘เก่งสารพัด’ เสียแล้วสิครับเนี่ย” ไซโคยังคงหยอกล้อ

    อานีลละสายตา จ้องมองอีกฝ่ายจริงจัง “นายก็รู้ว่าฉันไม่มีเวลามากนัก”

    เมื่อโดนจ้องแบบนั้นไซโคก็หัวเราะแล้วยกมือขึ้นบริเวณหน้าอกเป็นเชิงยอมแพ้ “เกิดปัญหานิดหน่อยที่หอพักรับรองชั้นนอกครับ โซลขอให้ผมมาตามรุ่นพี่ไปดูหน่อย”

    “หอพักด้านนอก?” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่มอง “หรือว่า??”

    พอเห็นไซโคหยักพน้าตอบราวกับรู้ดีว่าถามว่าอะไร อานีลก็ลุกพรวดขึ้น มือตบลงโต๊ะทำงานเบื้องหน้าดังปึง “ฉันว่าส่งคนไปบอกแล้วไม่ใช่รึว่าไม่ให้มีการรับน้อง?” เขาคว้าเอาเสื้อคลุมสีเข้มขึ้นสวม แล้วก้าวเท้ายาวนำหน้าคนส่งข่าว

    “ผมคิดว่าคงมีการผิดพลาดครับ” ไซโควินิจฉัยตามเหตุผล

    “ไปบอกให้เร็กซ์ตามไปพบฉันที่นั่น”

    “ครับ” ผู้เดินตามรับปาก ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปคนละทาง

    อานีลมาถึงยังที่เกิดเหตุแล้ว และภาพที่เห็นก็ไม่ได้ทำให้ผู้อยู่ตำแหน่งประธานสายนักรบอย่างเขารู้สึกภิรมย์ยินดีนัก สายตาเย็นชากวาดมองโดยรอบ ซิเวอร์ซึ่งสัมผัสได้ลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามอง ทำให้ปีสองที่เหลือต่างแหงนคอมองตาม

    ท่ามกลางแสงของดวงจันทร์อันนวลผ่อง พวกเขาเห็นร่างของมัจจุราจกำลังลอยเด่นตระหง่าน และเคลื่อนตัวเข้าหาอย่างเชื่องช้าจนน่าขนลุก....

    “ระ....รุ่นพี่อานีล......”

    “มันเกิดอะไรขึ้น?” ปลายเท้ายังไม่ทันแตะพื้นดี คำถามด้วยน้ำเสียงเรียบก็ดังกังวานขึ้น

    ไม่มีคำตอบรับใด เหล่าผู้ฟังต่างหวาดกลัวกันจนลิ้นแข็งไปหมด “ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น?!!”

    คำตวาดก้องแม้ไม่ดังเท่าเสียงอื่น หากแต่อิทธิพลและความน่าเกรงขามของมันกลับทำให้เหล่าผู้มีพลังต้องสะดุ้งสุดตัว “พอ.....พอดีว่า......”

    “พวกนั้นไม่ได้รับข่าวที่แจ้งไม่ให้มีการรับน้องน่ะนีล” โซลที่จู่ ๆ ปรากฏกายขึ้นตอบคำถามแทน

    “ไม่ได้รับ?” เขาเหลียวมองคนพูด “หมายความว่ายังไง? ใครเป็นคนแจ้งข่าว??”

    ดวงตาสีน้ำตาลของอานีลกวาดมองไปยังเหล่ารุ่นพี่ปีสองนั่นอีกครั้ง แต่แล้วมันกับหยุดชะงักเหมือนสะดุดอะไรบางอย่างภายในอาณาเขตของมิติที่ถูกสร้างขึ้นนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้ แล้วยื่นมือแตะไอเวทย์สีดำอย่างไม่เกรงกลัวถึงผลกระทบของมัน

    แล้วสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าก็ปรากฏ รอยยิ้มเย็นแสยะแต้มบนใบหน้าของประธานสาย “พวกนายถอนเวทย์ไม่ได้สินะ?”

    “ครับ!!” ทั้งหมดพร้อมใจกันตอบรับ

    อานีลยื่นมือเข้าไปจนมันถูกกลืนหายด้วยไอเวทย์คละสีสันตรงหน้า เขาหลับตาลงช้า ๆ แล้วลืมตาขึ้น ผู้ที่จับจ้องอาการของเขาตาไม่กระพริบต่างสะดุ้งตกใจ

    “ฟังฉันให้ดีพวกเด็กใหม่ พวกนายถูกขังอยู่ในมิติพิเศษซึ่งรุ่นพี่ปี 2 ของพวกนายเป็นคนสร้างขึ้น มันมีทั้งหมด 50 ห้อง แต่ละห้องจะแบ่งแยกกันไปตามความคิดและสังกัดธาตุหลักของรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของ พวกนายจะมีเวลา 1 ชั่วโมงในการตามหารอยแยกที่ฉันสร้างเพื่อกลับออกมาโลกปัจจุบัน หากพวกนายทำไม่สำเร็จใน 1 ชั่วโมง พวกนายก็จะต้องติดอยู่ในนั้นไปจนกว่าฉันจะฆ่ารุ่นพี่เจ้าของห้องได้”

    คำพูดร่ายยาวแบบม้วนเดียวจบทำเอาคนฟังโดยรอบต่างมองหน้ากันอย่างเหรอหรา โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น เล่นเอารุ่นพี่ปีสองร่วมห้าสิบคนแทบอยากจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้

    อานีลลอยตัวขึ้นยืนเหนือห้วงมิติทั้งห้าสิบห้องที่ถูกสร้างขึ้น เขามองหาอะไรบางอย่างแล้วขยับตัวไปยังบริเวณนั้น “อิกก์นิส...”

    กระแสพลังสีดำสนิทไหลบ่าออกมาจากทั่วร่างกาย ปกคลุมจนเหมือนกับร่างของชายหนุ่มถูกห่อด้วยเปลวเพลิงสีดำ ก่อนมันจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยน ก่อเกิดรูปร่างคล้ายดาบด้ามยาวตรงมือขวา

    เขายกมือข้างที่เต็มด้วยไอเวทย์ขึ้นสูงท่วมหัว แล้วสะบัดมันลงคล้ายจงใจเหวี่ยงก้อนพลังงานสีดำนั่นลงไปเบื้องล่าง

    เสียงดังเปรี้ยะคล้ายกับแก้วร้าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งสั้น ๆ ดวงตาสีน้ำตาลของอานีลเบิกดูผลงานเบื้องล่างอย่างตั้งใจ แรงจากการฟาดฟันนั่นทำให้ห้องผืนห้องที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียงต่อกันเป็นผืนผ้าหลากสีเกิดรอยร้าว แยกปริออกจากจุดดาบกึ่งกลาง เรื่อยเป็นทางยาวเฉกเช่นเดียวกับรอยร้าวของผืนดิน

    ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะหยุดนิ่งลง เสียงแตกหักจากอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน

    “แตก 3 ห้องรึ....” อานีลพึมพำขณะมองเห็นสภาพห้องที่แตกออกพร้อมร่างของน้องปีหนึ่งบางคนที่ปรากฏขึ้น

    พลังที่อานีลส่งไปยั้นมันมากเกินกว่าจะทำให้ห้องมิติทั้งหมดนั้นเกิดเพียงแค่รอยแยก จึงทำให้ห้องสามห้องซึ่งคาดว่าเจ้าของนั้นอ่อนพลังมากเกินไปแตกหักออก

    “อ้าว.....เอ๊ะ??” กุฟานที่ท่าทางเบลอ ๆ ยกมือเกาศีรษะอย่างงง ๆ

    เขาจำไม่ผิดเหมือนกับตนเองตกลงมาอยู่ในห้องที่ทั้งห้องมีเพียงกำแพงสีขาว ไม่มีทางออก ไม่มีแม้แต่รูเล็ก ๆ ให้มดเดินผ่าน พอใช้เวลากว่าค่อนชั่วโมงลองค้นหา ก็พบว่าสิ่งที่ทำมามันไร้ประโยชน์ และด้วยความเหนื่อยอ่อนจึงตัดสินใจนอนมันซะตรงนั้น

    แล้วทำไมถึงมาโผล่ตรงนี้อีกล่ะเนี่ย? “พวกรุ่นพี่เรอะ??” เขากวาดสายตามองโดยรอบ แล้วแหงนหน้ามองร่างที่ลอยคว้างอยู่ด้านบน

    หากยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร คนที่ตนมองก็ขัดขึ้นเสียก่อน “พวกนายพารุ่นน้องที่ออกมาได้แล้วไปพัก แล้วกลับมายืนรอตรงนี้”

    ไม่ต้องให้ย้ำซ้ำหลายคำ พวกรุ่นพี่ที่คลายเวทย์ได้ต่างก็ลนลานรีบคว้าตัวรุ่นน้องที่มองหน้ากันอย่างงงงวยกลับเข้าหอพักรับรองซึ่งอยู่ด้านหลังทันที ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก พวกรุ่นพี่ทั้งหลายใช้วิชามายาแสร้งสร้างมิติขึ้นใหม่ ก่อนจะใช้คาถาบิดเบือนทำให้เหมือนกับว่าพวกเขาตกลงสู่อะไรบางอย่างเท่านั้น

    “เดี๋ยว ๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย??” กุฟานไม่ยอมตามไปแต่โดยดี กลับสะบัดตัวออกแล้วเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัว

    “นายกลับเข้าไปพักซะ” อานีลตอบ

    “แล้วเพื่อนของฉันล่ะ??”

    ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมอง “อีกไม่นานคงตามไป ถ้าเขามีความสามารถพอล่ะก็นะ....” ถ้อยคำช่วงท้ายแม้จะเบาหากทุกคนกลับได้ยินเต็มสองรูหู

    และนั่นก็เรียกความความแปลกใจที่ปะปนกับการกระทำของอานีลในตอนแรกให้กลับคืนมาอีกครั้ง...ว่าเหตุใดหนอผู้ที่มีพลังมากมายขนาดทำลายมิติอันบิดเบือนได้อย่างสบาย กลับจงใจทำให้มันเกิดเพียงรอยปริแยกเท่านั้น...

    “ในโรงเรียนนี้ใครว่ารุ่นพี่อานี่ไม่โหดฉันเถียงขาดใจดิ้นเลย....” ซิเวอร์ที่มองดูเหตุการณ์พึมพำออกมาเบา ๆ....










    =====================================​







    "ใครว่ารุ่นพี่โรงเรียนนี้ไม่ปัญญาอ่อน ตูเถียงขาดใจ!!!"​




    555555555 :medance.:
  8. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    อ่านไปอ่านมาเหมือนพวกปี2โดนลงโทษไปในตัวกลายๆ ซีดกันเป็นแถวๆแน่นอนอีหรอบนี้ :hwinyarn:
    กุฟานนี่มันช่าง.................โชคดีเนอะ...นอนแล้วยังได้ห้องที่อานีลเผลอทำมิติแตกซะอีก
    ที่เหลือก็รอลุ้นเอาสินะ

    ว่าแต่ไซโค....เอ็งเป็นที่ขยาดขนาดนั้นเชียวรึ = =+
  9. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ไม่ได้มาเมนต์นาน ทีแรก ตอนสมัครกับตอนอ่านแรกๆ นึกว่าฟิคจะมาโทนเครียดๆ แต่คิดไปคิดมา มันก็รั่วมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา OTL
    เป็นฟิคที่อ่านแล้วชื่นใจดีนะครับ รุ่นพี่ถูกลงโทษ เพราะคิดรับน้องแบบแผลงๆ คนเกลียดการรับน้องแบบเอามันส์เข้าว่าอย่างผมนี่ล่ะถูกใจสุดๆ 555+
    (ว่าแต่จะมีการฆ่าแกงกันจริงๆ เรอะ...)
    .
    .
    (ขออภัยเจ้าของตัวละครที่อยู่ปี 2 ด้วยครับ ขออภัยด้วย *โขกหัวขอขมา*)


    รออ่านตอนต่อไปครับ =)
  10. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    กุฟานมันนอน(อยู่)จริงๆด้วย.....
  11. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    งานนี้บรรดาปี 2 ทั้งหลายรับเละ ไม่รู้จบเรื่องแล้วจะโดนลงโทษอะไรต่ออีกมั้ยนั่น

    ปล. เจอประโยคนอกรอบนี่เล่นเอาอึ้งทีเดียว >_<"
  12. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    กรรมตามสนอง!!! รุ่นพี่ปีสองอยากแกล้งน้องปีหนึ่งดีนัก เจออานีลเข้าไปเป็นงาย 555555 (สะใจ)
    อานีลม่างสุดยอด!! แผ่รังสีความอำมหิตได้แม้ยังไม่ปรากฏตัวทีเดียว 5555+
    ชอบตอนปรากฏตัวเหนือปีสอง 50 คน คิดภาพตามแล้วเห็นผ้าคลุมสะบัดกลางท้องฟ้ายามราตรี และทุกคนต้องแหงนหน้ามอง ด้วยความหวาดกลัว เท่ฟร่ะ!
    นอกจากอานีลแล้ว เรายังพบว่าไซโคเองก็เกรียนโหดใช่เล่น เจ้าซิเวอร์ที่ปรากฏตัวตอนต้นดูเด็กๆไปเลย

    รุ่นพี่นี่มีแต่คนน่ากลัว! ไม่เห็นเหมือนพวกปี 1 เลย ต่างกันยังกะฟ้ากับเหว!
    ว่าแต่ผมแอบคิด ถ้าอานีลน่ากลัว ทำไมไม่ปลุก ผอ. ร.ร. กร๊ากกก อาจจะปลอดภัยกว่าปลุกอานีลก็ได้นะ XD

    เรื่องการบรรยาย ตอนนี้สับสนช่วงซิเวอร์ปรากฏตัวครับ จนถึงตอนนี้ผมก็ยัง defy ไม่ได้ว่าซิเวอร์หน้าตาเป็นยังไง โซลหน้าตายังไง แถมชื่อก็คล้ายๆกัน มีแต่ผู้ชายอีกตะหาก! แยกกันยากมากๆ เว้นอานีล เพราะมันเหนือเมฆมาแล้ว /ถูกอานีลสับ
    และแปลกใจว่าเหตุใดเวทย์มิติถึงถอนไม่ได้ ตามที่บรรยายเหตุการณ์นี้ไม่เกิดบ่อยนัก และท่าทางปี 2 ที่ถอนไม่ได้ก็ไม่ค่อยจะตะลึงเท่าไร
    แต่เรื่องความฮา มันฮาได้ใจมากๆ โดยเฉพาะตอนที่รู้ความจริงว่าอานีลไม่ให้รับน้อง เห็นฟ้าผ่าเปรี้ยงแล้วหน้าแต่ละคนจะซีดๆ 5555

    สุดท้าย เจ้ากุฟานมันรอดมาได้ยังไง! โมโหหมอนี่ฟร่ะ =A=***
  13. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    ทำไมรู้สึกกุฟานมันรอดแล้วไม่ค่อยรู้สึกโล่งใจ หรือเป็นเพราะสังหรณ์ใจว่ามันจะโดนอะไรที่โหดกว่าไม่รู้T-T

    รุ่นพี่เกรียนใช่เล่นเลยนะเนี่ย ยิ่งอานีลนี่ก็ช่วยดีๆไม่ได้ด้วย ต้องตื่นเต้นกันนิดนึง

    แอบเห็นใจพวกที่เหลือเหมือนกันแฮะ โชคดีนะจ๊ะเพื่อนๆ-0-*/
  14. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เรื่องนี่มีตัวละครสติดี จิตปกติซักคนมั้ยเนี่ย = ="
  15. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    เป็นรร. ที่น่าสนุกจริงๆนะเอ้อ แต่แลดูคนที่คอยดูแล + แก้ใขปัญหาอย่าง อานีล และดูจะมีเรื่องปวดหัวทุกวันนะฮี่ๆ
  16. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    น่าสงสารเหล่าพี่ปีสองตาดำๆจังนะครับ อิอิ น้องๆออกมาไม่ได้พวกพี่ก็แค่ตายเองน้าอย่าคิดมาก 555+
    ชอบคาร์ของท่านอานีลจริงๆเลยครับ ให้ความรู้สึกทั้งน่าเคารพ แต่ก็น่ายำเกรงแถมแอบมีบทสนุกโหดอีกต่างหาก =P
    การบรรยายบรรยากาศ รร.ยังคงขลังและเห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่เหมือนได้ไปเห็นเองกับตาเหมือนเดิมครับ ชอบจริงๆ

    สุดท้ายนี้ก็....รออ่านตอนต่อไปนะครับเป็นกำลังใจให้ครับผม!!! =]
  17. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    มาตามอ่าน หลังจากที่ไม่ได้่อ่านมานานมากๆ

    ตอนนี้ตัวละครโผล่มาเยอะพอสมควร อ่านแล้วมึนจริงๆ ว่าใครเป็นใคร รุ่นพี่งานงอกกันแล้วสิ คดว่าหลังจากนี้ไปคงโดนซ่อมหนัก

    รู้สึกว่ายิ่งอ่าน อานีลมันก็ดูจะยิ่งใหญ่และมีอำนาจขึ้นไปทุกทีๆ มันน่ากลัวที่สุดในโรงเรียนรึไงเนี้ย.

    รออ่านต่อไปครับ กุฟาน เอ็งโชคดี !!
  18. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    บทเรียนที่ 8 : ว่าด้วยเรื่องของการต้อนรับ 3







    “เมื่อกี้....”

    “รุ่นพี่อานีล....”

    “ไม่ใช่เรอะ??”

    ดวงตาทั้งสามคู่ของสองหนุ่มหนึ่งหญิงกำลังจ้องมองกันภายในความมืด มีเพียงดวงไฟเวทย์บนมือของร็อคเท่านั้นที่ยังคงส่องประกายสว่าง รัศมีเวทย์กว้างแค่เพียงรอบบริเวณพวกเขาทั้งสาม หากเท่านั้นก็ทำให้เห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจคละเคล้ากับความตกใจได้อย่างชัดเจน
    ประโยคคำพูดมาแบบรวดเดียวจบเมื่อครู่ยังคงดังก้องในสมอง สาวน้อยเพียงผู้เดียวกลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก “มะ....หมายความว่า....” เธอกลืนน้ำลายอีกครั้ง “เราติดอยู่ในนี้อย่างงั้นเหรอค้า!!!”

    แล้วเสียงแปดหลอดนั่นก็ดังเสียดแก้วหู เด็กหนุ่มทั้งสองยกมือขึ้นปิดหูโดยทันทีแบบไม่ต้องรั้งรออะไร และนั่นเป็นเหตุให้มือที่คอยประคองพลังเวทย์ไฟของร็อคต้องถูกใช้งานอื่นแทนที่ ทำให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่มีต้องดับวูบลง

    “กรี้ด!!!!!!!!!!” ฟารันต์เปล่งเสียงร้องลั่น คราวนี้ดังมากกว่าเมื่อครู่เสียอีก ดังจนรีเวลล์คิดว่ามันคงทะลุออกจากมิติไปให้พวกรุ่นพี่ได้ยินไม่มากก็น้อยแน่ ๆ

    “ช่วยเงียบหน่อยจะได้ไหม?!” เขาหันหน้าไปยังต้นเสียง ไม่ต้องมีแสงสว่างก็รู้ได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน “จะเป็นพระคุณมากหากนายจะช่วยจุดไฟอีกครั้งก่อนแก้วหูฉันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ” รีเวลล์เอ่ยด้วยน้ำเสียเหนื่อยใจพร้อมเบนสายตามองคนข้างกายที่นิ่งเงียบอยู่

    เสียงหัวเราะขันดัง “อ่ะโทษที ๆ พอดีฉันเองก็ห่วงแก้วหูฉันไม่แพ้นายนั่นแหละ”

    ฉับพลันดวงไฟดวงเล็กขนาดประมาณฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หากว่าบัดนี้ร็อคไม่ได้ใช้มันเพียงแค่ลูกเดียว กลับสร้างพร้อมกันแปดลูก แล้ววาดมือออกรอบกายคล้ายจงใจโยนสิ่งที่อยู่ภายในมือตนทิ้งอย่างนุ่มนวล

    ลูกไฟพลังเวทย์กระจายตัวออกโดยรอบ รัศมีของพวกมันแต่ละดวงถึงแม้นจะกว้างไม่มาก หากแต่พออยู่รวมกันในระยะเชื่อมถึงได้ก็ทำให้บริเวณแสงสว่างที่ควรจะกระจุกตัวกันอย่างตอนแรกกว้างขวางขึ้นถนัดตา

    “ทีนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีมือปิดหูแล้วล่ะ” ร็อคหันมายิ้ม

    มันใช่เหตุผลนั้นเสียที่ไหนเล่า!! รีเวลล์กุมขมับเครียด อยากเอามือขยี้เส้นผมบนหัวตัวเองเพื่อระบายความปวดหัวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี่จริง ๆ ให้ดิ้นตาย!!

    “ละ....แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ??” ดวงตาใสแป๋วหันมองเด็กหนุ่มทั้งสองสลับไปมาจนคนมองกลัวว่าคอเธอจะหักเอาเสียก่อน

    คนดูท่าไม่ใส่ใจอะไรนักเบนสายตามองรีเวลล์ต่ออีกทอด คนถูกมองถอนหายใจทิ้งหนัก “ตามที่รุ่นพี่อานีลบอก ผมคิดว่าห้องแต่ละห้องคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของธาตุ...”

    “ธาตุ?”

    ผู้อธิบายตอนแรกพยักหน้า “ใช่...ฉันคิดว่าสิ่งที่รุ่นพี่อานีลบอกน่าจะเป็นกุญแจในการนำพวกเราออกไปจากห้องมิตินี้ได้”

    ฟารันต์เอียงคอสงสัย “แล้วมันเกี่ยวกันยังไงล่ะคะ? ธาตุกับเวทย์....ปกติมันก็ต้องเกี่ยวกันอยู่แล้วนี่ อ้า! ยิ่งพูดยิ่งงง!!”
    ว่าแล้วเสียงโวยวายระรอกต่อมาก็ดังขึ้นอีกครั้ง รีเวลล์รู้สึกว่าถ้าตนเองมีเวทมนตร์สายความมืดคงดีมากแน่ เพราะหากมีจริงเขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้มนตร์นิทราใส่ฟารันต์ อย่างน้อยสมาธิซึ่งมีอยู่น้อยนิดในตอนนี้คงไม่ถูกทอนออกไปด้วยเสียงร้องโวยวายของเธอ

    ร็อคหัวเราะร่วนกับใบหน้าของคนทั้งสอง อีกคนทำหน้าเหมือนจะกินหัวใคร ส่วนอีกคนทำหน้าเหมือนไปเจอปริศนาที่แม้แต่นักปราชญ์ยังไขไม่ออก “เอาน่า ๆ ใจเย็นสิ ฉันว่ากวินฟอร์คงไม่ใจร้ายขนาดฆ่านักเรียนใหม่ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรียนสักวันเลยหรอกน่า”

    “มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาใจเย็นนะคะ!!”

    “เอาน่า ๆ...”

    “พอทั้งคู่นั่นแหละ!!” รีเวลล์ระเบิดออกมาในที่สุด “ช่วยอยู่เงียบ ๆ แล้วคิดหาทางออกกันดีกว่าไหม?!”

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไหวไหล่ “ก็ถ้าคิดได้อ่ะนะ...”

    สุดท้ายรีเวลล์จึงตัดสินใจหนีไปเดินสำรวจห้องทั้งห้องด้วยตนเอง ปล่อยให้หนึ่งสาวที่ใกล้สติแตกเต็มทนกับอีกหนึ่งหนุ่มที่ใกล้จะเป็นก้อนหินไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่มะรอมมะร่อนั่งฉะฝีปากกัน

    มันไม่มีทางออกจริง ๆ เหมือนมีแค่กำแพงรูปทรงสีเหลี่ยมตีกรอบล้อมเข้ามาเท่านั้น ให้อารมณ์ราวกับว่าตนกำลังถูกจับใส่กล่องสักใบแล้วปิดฝากล่องลง ไม่มีทางออก ไม่มีแม้แต่ช่องให้ลมเล็ดลอดผ่าน และถึงพื้นที่ของมันไม่ได้คับแคบอะไรนัก หากไม่ได้กว้างขวางขนาดทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้

    “ธาตุงั้นเหรอ......สังกัดธาตุ....” เสียงนุ่มพึมพำอย่างใช้ความคิด

    จะว่าไปห้องทั้งห้องที่เห็นก็มีเพียงสีเดียวคือสีดำสนิท ไม่สิ....ต้องบอกว่ามันมีแต่ความมืดมากกว่า ไม่มีสีสันใดปะปนหรือแต่งแต้มสักเพียงหยด.... “หรือว่า...!!” รีเวลล์หันขวับมองเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสองคน “มีใครใช้เวทย์ธาตุแสงได้บ้าง?!”

    “ฉันใช้ได้แต่ไฟ...”

    “ฉันก็ใช้ได้แค่น้ำค่ะ”

    ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน แต่ก็นั่นแหละ....มันไม่ใช่ความผิดของทั้งสองเสียหน่อย เด็กหนุ่มพยายามขบคิดหนัก หากไม่มีธาตุแสงคงทดลองอะไรไม่ได้... “คงต้องลองหาวิธีอื่นดู....”

    ร็อคเริ่มเดินสำรวจบ้าง “นายคิดวิธีอะไรได้รึไง?”

    “ฉันลองสังเกตดู ในห้องนี้มีแต่ความมืดทั้งนั้น แล้วรุ่นพี่อานีลก็บอกว่า ‘ห้องตามสังกัดธาตุ’ ฉันเลยคิดว่าน่าจะลองใช้เวทย์ธาตุตรงข้ามกันดู” รีเวลล์ว่าตามความคิด
    “แล้วถ้าเกิดมันไม่ใช่ล่ะคะ?” ฟารันต์เอ่ยถาม

    คนถูกถามแทบถลึงตาใส่ ทำไมไอ้เรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้จักคิดกันเสียบ้างนะ!! “ถ้าถึงเวลานั้น.....ไว้...”

    ปึง!!!

    เสียงคล้ายกับใครเอาวัตถุหนัก ๆ มาถล่มกำแพงหินหนาดังขึ้นหนึ่งครั้ง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ความดังและแรงสั่นสะเทือนของมันก็ทำให้ผู้อยู่ภายในห้องถึงกับต้องตั้งหลักยันไว้ ฟารันต์เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มแทบจะกรีดร้องอีกรอบ ร่างเล็กของเธอทรุดลงบนพื้นพลางยกมือปิดหูแน่น

    “หวาย!! คราวนี้อะไรกันอีกละคะเนี่ย??!!”

    สองหนุ่มจับจ้องยังทิศทางต้นเสียงไม่วางตา พวกเขาถอยหลังลงมาคนละก้าวเหมือนกับรับรู้ถึงสถานการณ์บางอย่างและเตรียมตัวพร้อมรับมือเสมอ นัยน์ตาสีแดงเหลือบมองผู้อยู่ข้างกายเล็กน้อย

    “ยังไงนายก็คอยดูแลฟารันต์ไว้ก่อน หากไม่จำเป็นก็อย่าอยู่ห่างจากเธอ...” รีเวลล์เอ่ยเบาราวกระซิบ เหมือนเขาจงใจให้ได้ยินกันเพียงแค่นี้

    แต่แทนที่จะเป็นเสียงร้องคำรามหรือลมหายใจที่สามารถสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้พวกเขาได้ กลับเป็นเพียงเสียงไอค่อก ๆ แค่ก ๆ คล้ายกับคนสำลักอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มพยายามหรี่ตาเพ่งมองภาพหลังม่านฝุ่นนั่น ไม่นานมันก็เบาบางจนเห็นได้ชัดเจน

    ร็อคควบคุมให้ลูกไฟตนเข้าใกล้กับเจ้าของร่างปริศนานั่น และทันทีที่แสงไฟส่องสัมผัส... “ว้าว...สาวน้อยน่ารักนี่นา...”

    รีเวลล์หันมองคนพูด แล้วเบนหน้าไปยังสาวน้อยน่ารักที่อีกฝ่ายพูดถึง “เด็กผู้หญิง.....?”

    ดวงตาสามคู่แม้แต่ฟารันต์จดจ้องไปยังร่างเล็กซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่มากนัก เส้นผมสีน้ำตาลทองหยักศกของเธอดูนุ่มสลวย รับกับใบหน้ารูปไข่ที่เต็มเปี่ยมด้วยผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ และดวงตาสีฟ้าซึ่งไม่ว่าดูกี่ครั้งก็กลับสว่างสดใสในห้องอันมืดมิดเช่นนี้

    ดูอย่างไรมุมไหนก็บอกได้คำเดียวว่า ‘น่ารักเสียเหลือเกิน...’

    ด้วยนิสัยพื้นฐานอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของร็อค เด็กหนุ่มจึงปรี่เข้าหาแบบไม่คิดชีวิต เอ่ยน้ำคำหวานหูที่ฟังดูแสนเลี่ยนในโสตสดับของผู้อื่น “ไม่ยักรู้ว่าในความมืดอันน่ากลัวเช่นนี้กลับมีแสงสว่างที่เจิดจรัสอยู่ด้วย”

    เด็กสาวผู้เริ่มรู้ตัวเหลือบมองคนกล่าวด้วยท่าทีระแวดระวัง ดวงตาสีฟ้าใสของเธอพยายามพินิจอะไรบางอย่าง “คุณ....”

    พออีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะรู้จัก ร็อคก็เลยใส่เกียร์เดินหน้าต่อทันที “ขอโทษที่ความหล่อของผมมันอาจทำให้ใจของคุณจดจำผมได้ เรื่องนี้ผมก็ลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน”

    “อ่า......”

    รีเวลล์พอเห็นเด็กสาวคนนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกก็เลยจำยอมต้องยุติความน้ำเน่านั่นด้วยน้ำเย็น ๆ จากฝ่ามือของตน เขาใช้คาถาน้ำบทง่าย ๆ จงใจบรรจงรดลงไปบนศีรษะของชายช่างเกี้ยวช้า ๆ พอร็อคโดนความเย็นอันไม่พึงประสงค์สำหรับคนธาตุไฟอย่างเขานั้นถึงกับต้องขนลุกซู่

    “จ้าก!!! นายทำอะไรของนายเนี่ย!!!!” เขาหันมาค้อนขวับให้

    “ก็แค่ทำให้ไฟรักในตัวนายมันลดลงเท่านั้น....” รีเวลล์ย้อนคำอย่างไม่ใยดี “ขอโทษทีที่เสียมารยาท ไม่ทราบว่าเธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไงเหรอ?” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม ยังไม่ลืมค้อมศีรษะลงน้อย ๆ เพื่อเป็นการขอโทษแทนเพื่อนตน

    เมื่อเห็นท่าทางอ่อนน้อมแบบนั้นเธอก็รู้สึกผ่อนคลายลง ใบหน้าน่ารักแย้มยิ้มบางอย่างเป็นมิตรขึ้น “พอดีห้องที่ฉันอยู่มันร้อนมากเลยค่ะ ฉันเลยพยายามใช้คาถาน้ำเพื่อให้อุณหภูมิลดลงบ้าง แต่ใช้ไปเท่าไหร่ก็ถูกกลืนหายหมด ฉันก็เลย......”

    “ก็เลย??” ฟารันต์เป็นฝ่ายทวนคำอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาซ่อนความซุกซนเฉลียวฉลาดของเธอเปล่งประกายระยับ

    “ก็เลยตัดสินใจปล่อยเวทย์สุดกำลังเสียเลยน่ะค่ะ.....แล้วผลก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น” คนเล่าเหลียวหลังมองผลงานของตนพลางหัวเราะแห้ง ๆ

    รีเวลล์ตบมือดังฉาดเป็นการขัดจังหวะสนทนาอันเยี่ยมยอด “ใช่จริง ๆ ด้วย” เขาร้องขึ้น เมื่อเห็นนัยย์ตาสามคู่ที่มองมาด้วยความสงสัยระคนตกใจจึงเอ่ยบอก “ตามที่ฉันบอกไง ที่ว่าห้องแต่ละห้องน่าจะแพ้ทางธาตุที่ตรงข้ามกัน เหมือนอย่างที่ได้ยินเมื่อกี้ ที่ว่าห้องของเธอมีอุณหภูมิสูงมาก นั่นแสดงว่าเจ้าของห้องต้องเป็นธาตุไฟอย่างแน่นอน”

    “เข้าใจล่ะ....เมื่อธาตุไฟโดนธาตุน้ำที่มีพลังรุนแรงเข้าไปก็เลยพังทลายลงสินะ” ร็อคอธิบายต่อตามที่ตนตีความได้ ศีรษะผงกขึ้นลงเป็นเชิงย้ำว่าเข้าใจชัดแจ้ง

    “ถูกต้อง นี่ถือว่าโชคดีมากที่คุณพังกำแพงมายังห้องทางฝั่งเราพอดี ไม่อย่างงั้นเราคงออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่” ว่าดังนั้นรีเวลล์ก็ค้อมศีรษะอีกครั้งแทนคำขอบคุณ

    เด็กสาวรีบค้อมรับอย่างเลิกลั่ก “ไม่....ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันเป็นความบังเอิญมากกว่า”

    “โฮ!!” ฟารันต์เปล่งเสียงร้องแล้ววิ่งเข้ากอดเด็กสาวแน่น “เธอช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้จริง ๆ ถ้าไม่ได้เธอฉันคงติดอยู่ในห้องมืด ๆ นี่ไปจนตายแน่ ๆ”

    รีเวลล์มองพลางคิดว่า.... ‘มันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง!’

    “อ๊ะ! จริงสิ ๆ ฉันชื่อ ฟารันต์ นาการัช!” เด็กสาวยิ้มแย้ม ดวงตาสีสวยเป็นประกาย “นั่นก็ รีเวลล์!....เอ่อ....รีเวลล์....”

    คนถูกแนะนำตัวส่ายศีรษะไปมา “รีเวลล์ เดอร์คัส ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    “ส่วนผมแร็กน่า ร็อค ครับคุณผู้หญิง” ร็อคค้อมศีรษะลงต่ำด้วยท่าทางของสุภาพบุรุษพลางแนะนำตัว

    เธอมองก่อนค้อมศีรษะกลับอย่างขวยเขิน จริง ๆ แล้วเธอรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจมากกว่า เพราะไม่นึกเลยว่าเรื่องเลวร้ายที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นจะทำให้เธอได้มาพบกับเพื่อนใหม่ถึงสามคนในคราเดียว

    ช่างเป็นความบังเอิญที่ยอดเยี่ยมเสียจริง “ฉันชื่อ เอเดเลีย ไวส์ลีย์ เรียก เอเดลเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”

    ฟารันต์มองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายอย่างยินดี ก่อนตรงรี่ไปกุมมือเล็กคู่นั้นไว้นั่น “ฉันเรียกว่าเดลได้รึเปล่า?? นะ ๆ ฉันจำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง จริงสิ!! เรามาเป็นเพื่อนกันนะ!!” น้ำเสียงออดอ้อนและดวงตานั่นยากนักที่ใครจะปฏิเสธ เอเดเลียจึงได้แต่ตอบรับเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้

    หลังจากพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก็พบว่าในกลุ่มพวกเขาทั้งหมดสี่คนมีคนที่ใช้เวทย์น้ำได้ถึงสาม รีเวลล์คิดทบทวนวิเคราะห์เหตุการณ์อีกครั้ง “เราคงต้องกลับไปในห้องที่เอเดลมา และต้องเลือกทำลายกำแพงในฝั่งที่เหลือ และถ้าเป็นไปได้ก็ทำลายมันเสียให้หมด บางทีเราอาจจะเจอคนที่มีเวทย์สายหลากหลายมากขึ้นก็ได้”

    เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อปริศนาที่น่าเชื่อถือมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องของเวทย์สายตรงข้ามกัน หากร็อคกลับไม่ได้คิดเพียงแค่นั้น “นายคิดว่ามันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียว?”

    คำถามที่จู่ ๆ ถูกเอ่ยขึ้นทำให้เด็กหนุ่มผมสีขาวต้องเหลียวมอง “นายหมายความว่ายังไง?”

    ร็อคยักไหล่ “นายคิดว่าที่กวินฟอร์ถูกยกย่องให้เป็นโรงเรียนอันดับ 1 มันเป็นแค่คำคุยโวรึไง?” เขาว่าไปตามภูมิของผู้ที่อยู่โลกภายนอกจนได้ยินอะไรต่อมิอะไรมามากมาย “ว่ากันว่าโดยปกติแล้วสายนักเวทย์และนักรบจะมีการแบ่งระดับชั้นไว้เพื่อความง่ายในการคัดสรร แล้วนายรู้ไหมว่าเด็กกวินฟอร์ปี 2 ส่วนใหญ่นั้นอยู่ระดับอะไรกัน?”

    ฟารันต์จ้องมองคนเล่าอย่างสงสัย “เอ....ระดับนี่มันมีกี่ระดับล่ะ?? แล้ววัดกันยังไง??”

    ไม่แปลกที่ฟารันต์จะไม่รู้ เพราะดินแดนของเธอนั้นแม้จะเชิดชูนักรบหากแต่กีดกันนักเวทย์กว่าดินแดนไหน พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้อนรับเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นการจัดอันดับของทั้งโลกกับของที่ดินแดนของเธอนั้นจึงค่อนข้างแตกต่างกันอยู่มาก

    เอเดเลียฟังแล้วก็พอเดาได้ถึงดินแดนซึ่งเด็กสาวจากมา เธอจึงตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “ปกติแล้วทั้งสองสายจะถูกแบ่งระดับออกเป็น 5 ระดับค่ะ มากกว่าระดับ 5 ขึ้นไปจะเรียกกันเป็นตำแหน่งเพื่อให้เกียรติ”
    “ตำแหน่งงั้นหรอ?”

    รีเวลล์ที่พอทราบบ้างพยักหน้า “อืม....เท่าที่ได้ยินมาพวกที่สูงกว่าระดับ 5 ส่วนใหญ่จะได้รับตำแหน่งจากทางการของดินแดนใดสักดินแดน และได้รับการยกย่องให้เกียรติเสมือนเป็นแขกคนสำคัญ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ว่าทุกคนต้องเคารพคนเหล่านี้....”

    เด็กหนุ่มผู้กล่าวนิ่งคิดอยู่พักก่อนตอบ “เห็นว่าในโลกเรามีคนที่สูงกว่าระดับ 5 อยู่แค่ 4 คนเท่านั้นและ 3 ใน 4 นั่นเป็นจอมปราชญ์มากกว่าจอมทัพ”

    “ง่าย ๆ ก็คือมีผู้ที่ชำนาญเวทย์สูงกว่าผู้ที่ชำนาญการรบค่ะ ซึ่งน่าแปลกมาก เพราะโดยส่วนใหญ่คนมักจะนิยมฝึกทางด้านการรบเพื่อเป็นทหารหรือราชองครักษ์มากกว่า” เอเดเลียเสริม

    ได้ยินแบบนี้ฟารันต์ก็พอจับใจความได้บ้าง แต่เธอไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมร็อคถึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาได้ “แล้วมันเกี่ยวยังไงกับไอ้เรื่องที่เราจะหาทางออกจากที่นี่ล่ะ?”

    ร็อคขยิบตา “ปิ๊งป่อง ๆ! นั่นก็เพราะส่วนใหญ่นักเรียนชั้นปี 2 ของกวินฟอร์นั้นจะมียศขั้นต่ำอยู่ที่ระดับ 3 แล้วอย่างไรล่ะ! ซึ่งนั่นก็หมายความว่า.........”

    “พวกเขาไม่น่าจะมีฝีมือกันเพียงแค่นี้?” รีเวลล์เสริมต่อทันที

    ห้องทั้งห้องพลันเงียบลงในบัดดล ดวงตาทั้งสี่คู่ก้มลงอย่างขบคิดถึงเรื่องราว พิจารณาหาเหตุและผลขึ้นมาประกอบ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ทำไม? เพราะอะไร? และเพื่ออะไร?

    ยอมรับว่าบางคนนั้นอาจมีพลังเวทย์ในตัวสูงส่งมาก อาจมากจนสัมผัสได้โดยแทบไม่ต้องใช้คลื่นพลังใดเข้าช่วยสำรวจตรวจสอบ ถึงอย่างนั้นนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ความเชี่ยวชาญและชำนาญในศาสตร์ด้านนั้น ๆ ต่างหาก

    “พูดง่าย ๆ ก็คือ ฉันคิดว่าไอ้กำแพงห้องที่ขังพวกเรานี่มันอ่อนแอเกินไปจนไม่สมกับเป็นฝีมือของพวกรุ่นพี่ที่โรงเรียนนี้ไงล่ะ” ร็อคตอบคำถามของปัญหาทั้งหมด

    ดวงตาสีแดงมองไปยังผนังห้องที่พังทลาย แล้วพยักหน้ารับ “ฉันเห็นด้วย แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น บางทีนี่อาจเป็นการทดสอบพื้นฐานที่รุ่นพี่ต้องการจะทดสอบพวกเราก็ได้....” เขาไม่คิดว่ารุ่นพี่จะโหดขนาดให้รุ่นน้องตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าเรียนหรอกนะ

    “ฉันคิดว่าที่รีลพูดมาก็ถูกนะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวั่น ความจริงต้องบอกว่าเธอภาวนาให้เป็นเช่นนั้นเสียมากกว่า....

    ตูม!!!

    ยังไม่ทันจะได้คิดทำอะไรต่อเสียงระเบิดก็กลับดังขึ้นจากด้านในห้องที่เอเดเลียตกลงมา ทั้งสี่พร้อมใจกันมองจ้องไปทางกลุ่มควันนั้นด้วยความระแวดระวัง เสียงหัวใจแต่ละคนเต้นระทึกจนกลบความเงียบงันที่มีได้ชะงัด มือและเท้าทำงานผสานตั้งท่าเตรียมความพร้อมทุกเมื่อ

    หากแต่เงาร่างคุ้นตากลับปรากฏให้เห็นจนรีเวลล์แทบร้องออกด้วยความดีใจ “นั่นมัน....โซลิเอล กับแอ็กเซลไม่ใช่หรอ??” เขาพยายามเปล่งเสียงดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน

    “เสียงนั้น....รีเวลล์นี่?!” คนที่เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป้นผู้หญิงร้องรับอย่างยินดี ดวงตาสดใสสีเดียวกับรีเวลล์ส่องประกาย

    หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อยก็ได้ความว่าห้องที่ทั้งคู่อยู่นั้นเป็นสังกัดธาตุน้ำ โซลิเอลที่คิดไม่ต่างจากรีเวลล์นักจึงตัดสินใจใช้พลังเวทย์ไฟลองยิงเข้ากำแพงดู หากพลังนั้นยังไม่สามารถทำอะไรกำแพงได้เลย จนแอ็กเซลเกิดโมโห ต่อยกำแพงเข้าอย่างแรง แล้วมันก็เกิดระเบิดอย่างที่เห็น....

    “ต่อย?? หมายความว่ามันไม่จำเป็นต้องใช้เวทย์ก็ได้งั้นหรอ?” รีเวลล์ที่ฟังแทบอ้าปากหวอ....

    ร็อคเพ่งมองแอ็กเซลอย่างพินิจ “ไม่ใช่หรอก.....ฉันว่าเพราะหมัดของหมอนี่มันมีพลังธาตุไฟปะปนอยู่ด้วย บวกกับเวทย์ของโซลลิเอลที่ใช้ไปก่อนหน้า เลยทำให้กำแพงพังลง.....ละมั้งนะ.....”

    มาถึงตอนนี้รีเวลล์จะปฏิเสธตัวเองไม่ให้นึกสงสัยร็อคไม่ได้เสียแล้ว เด็กหนุ่มดูจะรู้อะไรมากมายไปหมด ซ้ำยังสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ได้อย่างสมเหตุสมผล แถมใจเย็นเสียจนน่ากลัว ทั้งที่ภายนอกดูเป็นหนุ่มขี้หลีไร้สาระธรรมดา ๆ แท้ ๆ

    เมื่อได้ข้อสรุปว่ากว่าเก้าสิปเปอร์เซนต์มีโอกาสที่กำแพงนั้นจะถูกทำลายลงได้ด้วยธาตุตรงข้ามกัน พวกเขาทั้งหมดหกคนจึงตัดสินใจช่วยกันทำลายกำแพง โดยให้พวกธาตุน้ำอย่างเอเดเลีย ฟารันต์ และรีเวลล์ทำลายในห้องที่เอเดเลียอยู่ตอนแรก และให้ธาตุไฟอย่างร็อค โซลลิเอล และแอ็กเซล ทำลายห้องที่เด็กหนุ่มทั้งสองอยู่

    “เอาล่ะ....ลงมือกันเถอะ!” รีเวลล์บอกเป็นสัญญาณ ทั้งหมดพยักหน้ารับ แววตาเปี่ยมด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่นฉายชัดในแววตาของคนทั้งหก

    “เราจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้!!” ฟารันต์ตะโกนสุดเสียง ปลุกความฮึกเหิมตามสายเลือกนักรบขึ้น

    ร็อคหักข้อต่อนิ้วจนเกิดเสียงกรุบกรับ “ถ้าออกไปได้ขอฉันต่อยพวกรุ่นพี่สักคนสองคนจะถูกไล่ออกไหมเนี่ย”








    ===============================================​






    เสร็จงานก็มาต่อทันที.......ถ้าตอนนี้ความสนุกหรือเนื้อเรื่องดรอปลงต้องขออภัยอย่างรุนแรง เพราะไม่ได้แต่งงาน OTL

    ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ :hhero:
  19. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อัพแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลยแฮะ >_<

    ตอนนี้ยังไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่ (คงเพราะเพิ่งจะไขปริศนาห้องทั้งหลายได้) อะไรสนุกๆคงอยู่ตอนหน้าล่ะมั้ง ว่าจะจบเรื่องหรือเกิดเรื่อง >_<
  20. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอนใหม่มาแล้ว เหมือนจะเป็นการเกริ่นเรื่อง ถึงความเร้าใจในตอนหน้าเลยทีเดียว ปูเสื่อนอนรอ :hzzz:
  21. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ฟารันต์โวยวายเจี้ยๆ =A= สงสารรีเวลล์ที่สุดแล้วในหมู่ทุกคน รับมือฟารันต์ไม่พอ ยังต้องรับมือร็อคอีก

    เอเดเลียเป็นตัวหย่าศึกแปดหลอด ขอบคุณพระเจ้า (5555)

    อ่านแล้วผมก็คิดเหมือนกับร็อค ถ้าฝีมือรุ่นพี่มีมากกว่านี้แล้วจะเป็นยังไง ยังคิดไม่ออกถึงจุดเชื่อมโยงอ่ะครับ

    รออ่านต่อไป (ตอนนี้สั้นไปอ่ะ)
  22. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เจ้าร๊อคจะเสือซ่อนเล็บไปไหน อ่านๆไป จู่ๆก็เกิดคำถามหนึงในใจ.... "แล้วถ้าเจอห้องธาตุลมกับธาตุดินจะทำยังไง" (= ="a)

    รอชมต่อไปค้าบ >w<
  23. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    โอ้ ตอนใหม่มาแล้ว~
    ฟารันต์รู้สึกจะโวยวายมากขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนตอน (ฮา)
    ร็อคก็เด่นได้อีกตอนนี้!? (ฮา)

    รอตอนต่อไปค้าบ *-*
  24. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ตอนใหม่มาเงียบๆ ร็อครี่นอกจากจะขี้หลีแล้ว รู้สึกจะคมในฝักกว่าที่คิดนะเนี่ย

    ฟารันต์... ขี้โวยวายจริงๆด้วย

    ปล.ไหนว่ารอฟิคแม็กคลอดก่อนไง ลัดคิวนี่นา !!
  25. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    เย้~!!! ออกไปจากห้องกันเถอะก๊าบ (ฮึกเหิมมาจากฟารันต์ 555+)

    ไม่ได้เข้าบอร์ดนานพอควร ได้มาอ่านเพิ่มอีก 1 ตอนดีใจที่สุดเลยครับผม!

    เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะครับ ขอภาวนาให้ตอนต่อไปออกมาให้ได้อ่านกันไวๆ

    พยามเข้านะครับ

Share This Page