Legendary - บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี [ 28 ตอนจบ ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 กรกฎาคม 2011.

  1. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ช่วงนี้มัวแต่ยุ่งกะฟิคตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็มีตอนใหม่มาให้อ่านแล้วแฮะ >_<
  2. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    เบรคทางพวกอาเซแม๊ก กลับมาติดตามความเป็นไปอีกด้านหนึ่งสินะอูอาา
  3. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    รู้สึกว่าตอนนี้จบเร็วจัง ;w;

    บทของเฟธเท่ห์มาก! กุห์ฟานโหด ลูกน้องกลัวกันสั่น

    บทบรรยายตอนนี้ลื่นไหลดีค่ะ อาเซซังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเลย

    แอบสงสารทหารคนนั้นจัง ฮะๆ รออ่านตอนต่อไปค่ะ!
  4. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ทำไมอ่านๆไป รู้ตัวอีกทีมันก็ตัดจบซะอย่างงั้น!!

    จะว่าลึกลับชวนตื่นเต้นก็ใช่ จะว่าสั้นไปก็ถูกอีก (สั้นไปจริงๆนะ.... ไม่ได้ล้อเล่น)

    มีความรู้สึกเหมือนในอนาคต พวกของกุห์ฟานกับพวกของอาเซแม็กจะต้องกลั้นใจมาร่วมทัพกันยังไงไม่ทราบ --- เหมือนกับว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เพื่อทำภารกิจเดียวให้บรรลุเป้าหมาย คิดไปเองน่ะนะ
    ไบรท์ดูต่างไปจากตอนที่ผ่านๆมา ดูจิตน้อยลง แถมมีมุมแปลกๆด้วย
    นึกว่าอิเซเรียจะเป็นหัวหน้ากลุ่มซะอีก กุห์ฟานเป็นหรอกรึ

    บทแม่ทัพเฟธบู๊ แลดูแปลกๆ คือภาษาน่ะสวยดี แต่รู้สึกท่วงท่าช้าๆยังไงอธิบายไม่ถูกครับ
    นัยหนึ่งคิดว่าจะได้เห็นเรฟิคัลโชว์ฝีมือแต่ก็ไม่เห็น เสียดายจังเลย (เป็นแฟนคลับแม่ทัพหญิงคนนี้ไปแล้ว :cool:)

    ปล. มองลงไปดูข้างล่าง

    Users found this page by searching for:
    ดอกไม้เจ็ดสีดอกอะไร << WTF!!!! กร๊ากก
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อยากอ่านของซาลบ้างครับ ลงไวๆเน้อ

    เปลี่ยนบรรยากาศ อยู่แต่ในป่าในเขามันจะเฉาเอาง่ายๆ

    จบไวเพราะคนเขียน เขียนสั้นครับ (ฮา)

    คนเขียนก็ WTF เหมือนกันแหละ มาหาสีดอกไม้เจ็ดสีในฟิคตรูจะมีมั๊ย ??
    เนื้อเรื่องเราไม่สปอยล์ครับ ตามอ่านกันเอง XD
    ท่วงท้าของเฟธช้างั้นเรอะ!!? เราว่าเราพยายามเขียนให้มันไวๆแล้วนะ OTL
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 13


    กลางดึกสงัดมีเพียงสายลมส่งเสียงหวีดหวิววูบวาบเป็นบางครั้ง ร่างหนึ่งตัดผ่านแสงไฟสลัวไปอย่างระแวดระวัง ปลายผ้าคลุมสีหม่นสะบัดปลิวตามจังหวะก้าวเท้าที่ว่องไวแต่เงียบเชียบ เขาหยุดหลบที่มุมถนนรอจนขบวนของทหารผ่านไปจนเสียงฝีเท้าเงียบหายแล้วรีบรุดมุ่งหน้าไปต่อ ณ ปลายทางถนนอันที่เป็นที่ตั้งของราชวังแห่งชิลโซลิธี

    กำแพงสูงตระหง่านแบ่งเขตเมืองชั้นนอกและชั้นกลางเอาไว้เป็นสองส่วนแต่ก็มิอาจหยุดยั้งการรุกคืบได้ ลังไม้ใบใหญ่กองพะเนินระเกะระกะอยู่ในซอยเล็กๆกลายเป็นฐานสำหรับปีนขึ้นบนหลังคา เขาโผนโจนข้ามบ้านหลังโน้นหลังนี้จนเข้ามุมอับของหอคอยสังเกตการณ์ ล้วงเอาไซสองเล่มที่เหน็บหลังไว้ขนาดพอประมาณมาใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการไต่กำแพง

    เมื่อสองเท้าลงแตะพื้นก็ดีดตัวไปยังอีกฟากฝั่งอย่างรวดเร็ว เชือกที่เตรียมมาถูกผูกปมเกี่ยวไว้กับเสาอย่างคล่องแคล่วแล้วใช้มันโรยตัวลงไปด้านล่าง กระตุกเชือกสองสามทีให้ปมกลที่ผูกไว้คลายตัวออก เขารวบเชือกอย่างลวกๆแล้วโยนไว้ในพุ่มไม้ก่อนจะรีบออกจากบริเวณนี้

    ในขณะที่เขากำลังจะวิ่งข้ามสี่แยกเพื่อไปต่อ ปลายหอกแหลมโผล่จากอีกมุมหนึ่งมาขวางทางไว้ บุรุษปริศนารีบดีดตัวถอยหลังรู้ดีว่าการบุกรุกของตัวเองถูกจับได้แล้ว เขาหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่พบใครอีกนอกจากเจ้าของหอกที่บัดนี้ก้าวเดินออกมายืนอยู่เบื้องหน้าเพียงลำพัง


    “ข้าคงอนุญาตให้เจ้าไปไกลกว่านี้ไม่ได้หรอกนะ” เฟธ ฟาน เลวานทีน รองแม่ทัพใหญ่พูดเสียงดังฟังชัด
    “ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งคือยอมตามข้าไปดีๆหรือสองจะให้ข้าลากตัวเจ้าไปเอง”

    เฟธสะบัดหอกวูบจากมือซ้ายเป็นมือขวาแล้วกระแทกลงกับพื้นให้เกิดเสียงเบาๆ

    “สามคือเจ้านอนอยู่แทบเท้าข้า” อีกฝั่งตอกกลับทันทีโดยไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
    “หึ! ปากกล้าไม่เบานะ” เขายังใจเย็นไม่หลงกลคำยั่วยุ “ขอถามให้แน่ใจสักข้อ เจ้าใช่ไหมที่ใช้มนต์ดำกับทหารของข้า”

    อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่โต้ตอบใดๆ


    “ไม่ตอบ... เพราะเป็นเรื่องจริงหรือไม่อยากเผยไต๋ตัวเองกันแน่”
    “ใครจะพูดมากอย่างเจ้ากันละ”

    คำตอบที่ได้รับยังคงยียวนกวนประสาท

    “ก็คิดไว้แต่แรกแล้วว่าคงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่” เฟธบิดข้อมือกระแทกด้ามหอกจนพื้นหินแตกแล้วดีดหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของศัตรู ชายปริศนาเบี่ยงตัวหลบก้อนหินได้อย่างง่ายๆแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปลายหอกของเฟธกำลังหมุนควงตรงดิ่งเข้าหา


    เคร้ง!
    เสียงของโลหะกระทบกัน เขาใช้ไซปัดปลายหอกออกไปได้ทันก่อนที่มันจะแทงคอหอย แม่ทัพเฟธยังตามติดไม่ลดละแทงหอกเข้าใส่อย่างต่อเนื่องแต่คู่ต่อสู้ของเขาก็ไวพอที่จะหลบพลางปัดการโจมตีและสุดท้ายก็ดีดตัวถอยหลังพ้นจากระยะหอกไปในที่สุด

    “ใจคอจะไม่แนะนำตัวหน่อยหรือท่านแม่ทัพ”
    “กับคนเช่นเจ้าไม่มีความจำเป็นใดต้องเอ่ยนามของข้า”
    “ถ้าอย่างนั้นก็จงจำชื่อ ‘เจมส์ วิลเลียม ก็อดดาร์ด’ ไว้ตอบยมฑูตก็แล้วกัน!”

    ม่านหมอกสีดำแผ่ขยายสู่รอบด้านอย่างรวดเร็วโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง สองมือควงอาวุธคู่ใจฉวัดเฉวียนล่อหลอกพลางค่อยๆขยับก้าวเดินไปทางซ้าย รอยยิ้มปนเปื้อนความอำมหิตผุดพรายบนใบหน้า ความกระหายเลือดแฝงไว้ในดวงตาทั้งสอง


    ทั้งสองสืบเท้าเข้าหาแทบจะพร้อมกัน เฟธฟาดหอกเข้าใส่จากด้านบนแต่อีกฝ่ายขยับหลบได้ง่ายๆ เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะบิดข้อมือเปลี่ยนทิศทางโจมตีตามติดคู่ต่อสู้เป็นไปตามที่ตั้งใจออมมือไว้แต่แรก

    วูบ!
    ปลายหอกฟาดโดนเพียงอากาศธาตุเท่านั้น ร่างของก็อดดาร์ดหายไปเหลือเพียงไอสีดำที่กระจายตัวออก กว่าเฟธจะรู้ตัวว่าหลงกลคู่ต่อสู้ไหล่ซ้ายของเขาก็เจ็บแปลบพร้อมเลือดกระฉูดออกจากปากแผล เขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวดหมุนตัวแทงหอกไล่ตามทิศทางการโจมตีของคู่ต่อสู้ แต่ปลายทางที่รออยู่มีเพียงความว่างเปล่าและกลุ่มเมฆดำสนิท

    เขาตกอยู่กลางวงล้อมของหมอกควันสีดำจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก


    “ชิ! ดูท่าจะประมาทไอ้หมอนี่ไปแล้วแฮะ”
    เฟธคิดในใจอย่างคนเสียรู้แต่ก็รีบรวมสมาธิรับรู้สภาวะรอบด้านรับมือกับการจู่โจมของศัตรู


    เงาร่างหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลัง เขาใช้ปลายหอกกระทุ้งสวนไปทันที เสียงของโลหะที่กระทบกันและสัมผัสที่ปลายอาวุธทำให้เขามั่นใจว่าก็อดดาร์ดอยู่ที่นั่น เขารีบพลิกตัวหันหลังกลับเพื่อจู่โจมต่อ

    แต่แล้วไหล่ขวาของเขาก็ร้อนผ่าวด้วยความเจ็บ เลือดอุ่นๆรินไหลตามลำแขนก่อนจะไปหยดลงพื้นที่ปลายข้อศอก


    “หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ”
    เสียงหัวเราะของคู่ต่อสู้ดังก้องแต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามาจากทิศทางใด หมอกดำยิ่งหนาทึบมากขึ้น มากขึ้นและบีบวงเข้าใกล้ทีละน้อย

    “นึกว่าจะแน่ที่แท้ก็เต่าหดหัว” เฟธควงหอกเหนือศีรษะอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วฟาดลงพื้นจนเกิดสายลมรุนแรงพัดไปรอบทิศทางพร้อมกับหมอกสีดำที่กระจายตัวออก เมื่อทุกอย่างสงบเขาก็พบว่าก็อดดาร์ดยืนอยู่ด้านหลัง

    ก็อดดาร์ดปรบมือเน้นๆสองสามที

    “ก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ ยังมีของดีอะไรรีบใช้ออกมาก่อนจะไม่ทันได้ใช้ก็แล้วกัน” เฟธยังวางท่าคุยข่ม
    “งั้นเตรียมรับชุดใหญ่ได้เลย” ก็อดดาร์ดโยนลูกหินกลมมนสีขาวหม่นลงตรงหน้าสี่ลูก ประสานมือร่ายท่วงทำนองเวทเร็วจี๋ พื้นดินยกตัวขึ้นมาแล้วหลอมรวมกับลูกหินที่แผ่หมอกสีดำออกมากลายเป็นร่างมนุษย์สี่ตนในชุดเกราะทหารของชิลโซลิธีพร้อมดาบและโล่ เฟธตกตะลึงกับใบหน้าของทหารที่เด่นชัดราวกับมีชีวิต

    “จำลูกน้องตัวเองได้สินะ แล้วก็จงตายด้วยมือของลูกน้องตัวเองนี่แหละ” ก็อดดาร์ดดีดนิ้วดังเป๊าะ ทหารหุ่นเชิดพุ่งออกไปทันที

    เฟธรับมือการโจมตีจากหุ่นเชิดทั้งสี่อย่างทันท่วงที การรุกรับฉับไวในเสี้ยววินาที เมื่อได้โอกาสเฟธแทงหอกเฉือนเข้าที่คอจนแหว่งไป แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงก้อนดินที่ถูกมนต์ดำบงการจึงไม่มีความรู้สึกใดๆนอกจากทำตามคำสั่งเท่านั้น

    “อย่าคิดว่าตุ๊กตาของข้ามีฝีมือเท่ากับร่างต้นเท่านั้นละ”
    ก็อดดาร์ดที่ยืนดูอยู่ดีดนิ้วอีกครั้ง ทั้งพลังและความเร็วของทหารหุ่นเชิดเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว


    ดาบสี่เล่มฟาดปะทะกดด้ามหอกที่ใช้ตั้งรับจนแขนเฟธสั่นระริก เขาหย่อนแขนลงเล็กน้อยแล้วออกแรงดันกลับไป แววตาแกร่งกร้าวขึ้นทันที หอกในมือพุ่งทะลวงหัว คอ อกและท้องของตุ๊กตาดินสองตัวในพริบตา เสียงตะโกนปลุกใจดังลั่นพร้อมกับเสียงหอกฟาดบดขยี้ตุ๊กตาตัวที่สามแตกกระจายกลายเป็นเศษดิน สุดท้ายแล้วใบหอกคมกริบพุ่งเข้าปะทะกลางอกหุ่นเชิดจนระเบิดกระจายเหลือเพียงครึ่งท่อนล่างเท่านั้น

    ก็อดดาร์ดจ้องไปยังเฟธที่บัดนี้แววตาลุกโชนด้วยความโกรธเต็มกำลัง
    “นึกไม่ถึงว่ารองแม่ทัพเฟธจะทำได้ถึงขนาดนี้”

    “รู้ว่าเป็นข้าแล้วยังแกล้งถามแต่แรกอีกนะ”
    “ตอนแรกข้าก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นเพลงหอกอันยอดเยี่ยมแล้วก็นึกออกว่ารองแม่ทัพใหญ่แห่งชิลโซลิธีผู้มีสมญานามระบือเลื่องว่า’หอกเทพ’ ชื่อว่า เฟธ ฟาน เลวานทีน”

    “ชักอยากได้มาเป็นตุ๊กตาในคอลเลคชั่นแล้วสิ”
    พลังเวทที่แฝงด้วยความชั่วร้ายลุกโชนออกจากร่างดุดดั่งเปลวเพลิง แววตาเต้นระริกดีใจแต่มีความอำมหิตสุดขั้วแสดงออกมา ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง


    “หึ! คิดจะให้ข้าเป็นหุ่นเชิดของเจ้าอย่างนั้นรึ โอหังเกิน...”
    ยังไม่ทันพูดจบประโยค เข็มยาวใหญ่สามเล่มพุ่งเข้าปักเหนืออกขวา ข้อมือซ้ายและเหนือเข่าซ้าย ความเจ็บปวดมีมากแต่ก็ไม่เท่าอาการตกใจที่เขาจับท่วงท่าของคู่ต่อสู้ไม่ได้เลย


    “อาววววววว~ละ จะจัดการยังไงดีน๊า ตัดเป็นท่อนๆแล้วประกอบใหม่ก็ไม่เลวเลย”
    ยิ่งนานไป ก็อดดาร์ดยิ่งแสดงให้เห็นถึงความวิปริตมากขึ้นเท่านั้น เข็มอีกสามเล่มพุ่งแหวกอากาศออกไปปักบนร่างของผู้ได้สมญานาม ‘หอกเทพ’ อย่างแม่นยำ

    เฟธฝืนความเจ็บปวดบุกเข้าหาก่อนที่จะถูกศัตรูเล่นงานอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเข็มเล่มหนึ่งพุ่งปักกลางหลังเท้าซ้ายพลันทั้งขาอ่อนแรงจนเกือบจะเสียหลัก ก็อดดาร์ดคีบเข็มอีกสามเล่มไว้ที่หว่างนิ้วแล้วแลบลิ้นเลียอย่างสะใจ รองแม่ทัพใหญ่พยายามดึงเข็มที่ปักเท้าอยู่ออกแต่ก็ทำไม่สำเร็จ


    “ไม่ใช่เข็มธรรมดาหรอกนะ อย่าเสียแรงเปล่าเลย”
    ฉึบ! เข็มอีกสามเล่มในมือพุ่งปักกลางหลังเท้าขวาพร้อมๆกัน เฟธกัดฟันข่มเสียงร้องให้อยู่ในลำคอ ใบหน้าของเขาบ่งบอกได้ว่ากำลังทรมานอย่างมาก

    “หึหึหึ ไม่นึกเลยว่าคืนนี้ข้าจะได้ของเล่นชิ้นใหญ่กลับไป” ก็อดดาร์ดค่อยๆย่างเข้าหาพร้อมเข็มในมือ ใบหน้าแสดงความสุขที่ได้เห็นร่างอาบเลือดของอีกฝ่าย


    เขาดีดนิ้วอีกครั้งหนึ่ง พื้นดินค่อยๆก่อตัวเป็นหุ่นทหารอีกมากมาย ไม่เฉพาะในบริเวณที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน แต่มีทั่วทั้งเมือง

    “คิดว่าข้าจะบุกมาโดยไม่ได้เตรียมการอะไรเลยเหรอ ท่าน-แม่-ทัพ” เขาหัวเราะอย่างสบายอารมณ์
    “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ช่วยแสดงความยอดเยี่ยมของท่านให้ชมหน่อยเถอะว่าสภาพแบบนี้จะยังปกป้องใครได้อีก”


    เสียงหวีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งเมือง ทหารหุ่นเชิดที่ก่อกำเนิดจากมนต์ดำเข้าเข่นฆ่าชาวเมือง ทหารรักษาการณ์แม้จะถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยมก็มิอาจต้านทานหุ่นเชิดจำนวนมากมายในเวลาเดียวกันได้


    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ก็อดดาร์ดหัวเราะอย่างสะใจ


    เฟธรวบรวมกำลังพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายที่เปิดช่องว่าง แต่ว่าอาการบาดเจ็บทำให้เขาช้าลงจนก็อดดาร์ดปาเข็มสวนใส่เต็มๆท้องถึงหกเล่ม

    “ยังขยับได้อีกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นคราวนี้จะทำให้ขยับไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลาหั่นแยกส่วนก็แล้วกันนะ”

    แต่ก่อนที่ก็อดดาร์ดจะขยับตัวเข้าหาเฟธ ใครคนหนึ่งพุ่งลงจากหลังคาอาคารที่อยู่ใกล้ๆเข้าโจมตีแต่เขารู้ตัวก่อนและหลบไปด้านหลังได้ทัน


    กำปั้นพันด้วยผ้าแถบยาวไปถึงข้อศอกกระแทกกับพื้นหินจนแตกร้าว ก่อนที่เจ้าของกำปั้นนั้นจะลุกขึ้นจากท่าคุกเข่า ชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวยาวพร้อมแว่นยาวรีกรอบบาง ดวงตาสีดำสนิทคมปลาบเปล่งประกาย ผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวลู่ลม

    เขาขยับแว่นให้เข้าที่ก่อนจะมองลอดผ่านเลนส์ไปยังผู้บุกรุกเข้ามาที่ป่วนความสงบของเมืองก่อนจะหันไปมองเฟธที่บัดนี้ทรุดลงนั่งเลือดอาบบนเข่าข้างหนึ่ง

    “สภาพดูไม่ได้เลยนะ”
    “กลับมาก็ปากดีเลยนะ พี่ซีวิล”

    ‘เพอริดอท ซีวิล’ หนึ่งในสิบสองแม่ทัพแห่งชิลโซลิธี เชี่ยวชาญการต่อสู้มือเปล่าทุกชนิด ลือกันว่าเขาเพียงคนเดียวก็สามารถกำราบอสูรร้ายทั่วทั้งหุบเขาด้วยมือเปล่าเท่านั้น


    “นอนเล่นตรงนั้นไปก่อนแหละ อีกเดี๋ยวก็จบแล้ว”
    พูดจบประโยคปุปก็หายตัวไปเข้าประชิดด้านข้างก็อดดาร์ดพร้อมท่าเตรียมปล่อยหมัดขวาตรง


    เปรี้ยง! ทหารหุ่นตัวหนึ่งเข้ามาป้องกันผู้เป็นนายไว้ ก็อดดาร์ดมองผ่านหลังหุ่นสบตาเข้ากับซีวิลที่จ้องมองมาเช่นกัน แต่ขาซ้ายของซีวิลก็สะบัดตรงถีบทั้งหุ่นทั้งคนบงการกระเด็นถอยกรูดไปพร้อมๆกัน ก็อดดาร์ดเห็นว่าตนกำลังเสียเปรียบจึงดีดนิ้วเรียกทหารหุ่นเข้ามาเรียงหน้าป้องกันไว้


    ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
    หุ่นดินนับสิบกลายเป็นหุ่นหัวขาดในพริบตา

    “ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็มาแลกหมัดกันหน่อยสิเฟ้ย” ซีวิลพุ่งเข้าเหวี่ยงฮุคซ้ายฮุคขวากดดันศัตรูไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสจู่โจมก่อน

    “ฮึ! คึกเชียวนะ” เฟธพยายามยันตัวให้ลุกยืนแต่ก็ทรุดลงซ้ำเพราะเข็มเล่มใหญ่ก็ยังปักคาหลังเท้าอยู่
    “บ้าเอ๊ย!” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย

    “อย่าฝืนไปเลยน่า”
    เสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนของสตรีดังมาจากด้านหลัง เฟธหันไปตามที่มาของเสียง



    “พี่คีน!”
    ยังไม่ทันจะพูดได้มากกว่านี้ ลำแสงอันอบอุ่นก็เข้าโอบล้อมตัวของเขา เธอก้มลงไปดึงเข็มที่ปักอยู่ที่เท้าของเฟธอย่างง่ายดาย

    “เข็มต้องสาปงั้นรึ” เข็มเล่มใหญ่ค่อยๆสลายกลายเป็นฝุ่นผงสีดำ
    “ทนเจ็บหน่อยนะ” เธอค่อยๆดึงเข็มที่ปักอยู่ตามร่างของน้องชายสุดที่รักออกจนหมดแล้วห้ามเลือดด้วยพลังเวทอันอบอุ่นจากฝ่ามือ


    ‘แซฟไพร์ คีน อเลกซิส’ หนึ่งในสิบสองแม่ทัพ รับหน้าที่คุมหน่วยรบศักดิ์สิทธิ์ ‘ครูเซเดอร์’ หน่วยรบหญิงล้วนเพียงหนึ่งเดียวของสิบสองหน่วยรบ ผมสีน้ำเงินเข้มยาวสยายถึงกลางหลัง คทาเงินยาวประดับด้วยไพลินสีน้ำเงินเม็ดใหญ่เปล่งประกายอยู่ตรงกลางปีกทั้งหก


    “ที่เหลือก็พวกตุ๊กตาเดนตายสินะ” แม่ทัพหญิงควงคทาอย่างช้าๆในมือพร้อมเริ่มสวดภาวนา

    “ด้วยอำนาจแห่งพระผู้สร้างผู้รังสรรค์โลก ผู้เป็นแสงสว่างให้กับสรรพชีวิต ได้โปรดประทานพลังของพระองค์เพื่อกำจัดเหล่ามารร้ายที่กัดกินโลกใบนี้ให้มัวหมองด้วยเถิด”


    “ก็อดบลูไลท์นิง”
    สายฟ้าสีน้ำเงินเข้มพุ่งออกจากปลายคทาเข้าทำลายเหล่าตุ๊กตามนต์ดำของศัตรูในพริบตา เธอควงคทาสามรอบแล้วส่งพลังสายฟ้าขึ้นสู่หมู่เมฆเบื้องบน สายฟ้าสีน้ำเงินแตกกระจายแล้วพุ่งย้อนลงมาทำลายหุ่นเชิดมนต์ดำที่เหลืออยู่ภายในเมืองจนหมดสิ้น



    เมื่อเห็นว่าตุ๊กตาของตนถูกทำลายลงมิหนำซ้ำยังมีคู่ต่อสู้ระดับแม่ทัพมาสมทบเพิ่มอีกเขาจึงตัดสินใจที่จะถอย แต่ดูเหมือนแม่ทัพซีวิลจะไม่ยอมง่ายๆคอยควงหมัดไล่ต้อน ก็อดดาร์ดจึงใช้เข็มปาเข้าใส่หมายจะหยุดการเคลื่อนไหวเหมือนที่ทำกับเฟธ

    เข็มสามเล่มพุ่งเข้าหาแม่ทัพซีวิลทันทีที่เขาสะบัดมือ ซีวิลเกร็งกำลังแขนขึ้นป้องกันไว้ เข็มพุ่งเข้าปะทะแล้วร่วงหล่นลงพื้นโดยมิอาจทำอันตรายเขาได้

    “นี่มันอะไรกัน? เข็มเย็บผ้ารึไง?” ซีวิลเย้ยหยัน


    ก็อดดาร์ดตกตะลึงเมื่อเข็มบินที่เขาภูมิใจถูกป้องกันไว้ด้วยกำลังแขนล้วนๆ และในห้วงวินาทีที่เขาประมาทนั้นซีวิลก็ฉวยโอกาสพุ่งเข้าประชิดแล้วปล่อยฮุคซ้ายทันที ก็อดดาร์ดยกแขนป้องกันไว้แต่ก็ต้องกลิ้งกระเด็นตามแรงชก เมื่อตั้งหลักได้เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อแขนขวาที่ยกขึ้นป้องกันนั้นกระดูกแหลกละเอียดไปแล้ว

    “เสร็จข้าละ!” ซีวิลหักนิ้วดังลั่นพร้อมพุ่งเข้าใส่จะปิดบัญชี

    หมอกควันสีดำแผ่ออกมาจากตัวของก็อดดาร์ดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซีวิลต้องชะงักฝีเท้าแล้วดีดตัวถอยหลังกลับ เมื่อมองไปอีกครั้งก็พบว่าที่ตรงนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่าไปแล้ว

    “ชิ หนีไปแล้วรึยังไม่สะใจเลย” ซีวิลบ่นๆ




    ณ ถนนทางด้านประตูตะวันออก ก็อดดาร์ดกำลังรักษาตัวด้วยพลังเวทอยู่ในซอยเล็กๆท่ามกลางความวุ่นวายของถนนสายหลักที่มีทหารมากมายแถมยังมีทหารม้าควบไปมาเป็นระยะ

    “ที่แท้ก็แกล้งทำเป็นหย่อนยาน เจ็บใจนักเชียว!”


    เมื่อรักษาแขนจนอาการบรรเทาแล้วเขาตัดสินใจที่จะซ่อนตัวอยู่ในเมืองเพื่อตบตาการตามล่าแล้วค่อยออกจากเมืองภายหลัง ในขณะที่เขากำลังเดินไปตามซอยอย่างระแวดระวังจู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่า เมื่อก้มลงมองก็พบว่ามีลูกศรเสียบทะลุอยู่


    “ตั้งแต่เมื่อไรกัน!?”

    คราวนี้ลูกธนูอีกหนึ่งดอกพุ่งปักทะลุเข่าอีกข้างหนึ่งทันที ความเจ็บปวดวิ่งแล่นจากปากแผลสองแห่งสู่สมองทันใด เขากัดฟันกลั้นเสียงร้องของตัวเองและหันไปมองด้านหลังก็ไม่พบคนที่โจมตีเขา เมื่อแหงนมองขึ้นบนท้องฟ้าที่มีพระจันทร์เสี้ยวเป็นฉากหลัง แสงรัศมีสีเหลืองนวลของหินผลึกฉายให้เห็นคนๆหนึ่งพร้อมคันธนูในมือยืนตระหง่านอยู่บนยอดหอคอยที่ห่างออกไปไกลนัก

    “บ้าน่า! เป็นไปไม่ได้” เขาพยายามคลานไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถูกพบตัว
    ฉึก! ลูกธนูอีกลูกพุ่งมาปักขวางหน้าไว้เป็นสัญญาณบอกว่าไม่มีประโยชน์



    เงาร่างนั้นกระโดดลงจากหอคอยวิ่งมาตามหลังคาอย่างรวดเร็วราวกับลมพายุ และในที่สุดก็มายืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ๆกับก็อดดาร์ด เรย์ เรฟิคัลพร้อมคันธนูสีเขียวมรกตกระโดดลงจากหลังคาแล้วค่อยๆก้าวเดินเข้าหา สักพักหนึ่งทหารก็เข้ามาลากตัวเขาออกไป


    ที่กลางถนน ซีวิล คีนและเฟธยืนรออยู่แล้ว

    “ข้าหวังจะได้คุยกับเจ้าอีกเยอะๆนะ”
    “หึหึหึหึหึหึ” อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอเท่านั้น

    เฟธให้สัญญาณทหารพาตัวเขาไป



    “สุดท้ายก็ถูกเจ้าแย่งบทเด่นสินะ” เฟธเดินเข้ามาประจันหน้ากับเรย์ฟิคัล
    “เฮ่อ! เจ้านี่มันไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ” เธอส่ายหน้า
    “หมายความว่ายังไง” เฟธถาม

    “เจ้าโง่!” เรฟิคัลตวาดด่าตรงๆอย่างเหลืออด
    “เพราะเจ้ามัวแต่คิดว่าคนอื่นจะเด่นกว่าเหนือกว่าถึงได้ประมาทยังไงละ”

    “นี่เจ้า!” เฟธชักฉุนที่ถูกด่าแต่กำปั้นของซีวิลก็ทุบลงกลางหัวของเขาก่อน
    “เวลาผู้หญิงพูดน่ะหัดฟังซะมั่ง”


    “ข้าเห็นการต่อสู้ของเจ้าตั้งแต่ต้น หากเจ้าไม่ประมาทเพราะมั่นใจในฝีมือตัวเองมีหรือจะปล่อยให้มันทำร้ายชาวเมืองได้ หากเจ้าไม่โกรธจนไม่มองหน้ามองหลังมีหรือจะบาดเจ็บแบบนี้!!”

    “คิดซะบ้างสิว่าตำแหน่งแม่ทัพมีไว้เพื่ออะไร? เพื่อตัวเองหรือเพื่อปกป้องชาวเมือง!”


    ราวกับน้ำเย็นที่สาดโครมเข้าเต็มหน้า เขาหวนคิดถึงการต่อสู้เมื่อครู่แล้วหันมองดูสภาพเมือง ทั่วถนนมีแต่หลุมบ่อ ซากดินกองตรงโน้นตรงนี้เต็มไปหมด ชาวเมืองบาดเจ็บจนต้องให้หน่วยแพทย์รักษา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของแม่

    “ข้า....”



    ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่นด้านหลังของพวกเขาพร้อมเสียงร้องโหยหวนดังตามมา เรย์ฟิคัลออกวิ่งไปทันทีเมื่อถึงจุดเกิดเหตุก็พบรถม้าที่ใช้ควบคุมนักโทษซึ่งก็คือก็อดดาร์ดกำลังไฟไหม้ ตัวของก็อดดาร์ดเองนั่งอยู่ภายในกรงขังถูกไฟคลอกตายไปแล้ว


    “ฆ่าตัวตายงั้นรึ หรือว่า...”
    เรย์ฟิคัลเหลือบมองไปรอบๆทั้งบนถนนและบนหลังคาแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ



    เช้าวันถัดมาหลังจากความวุ่นวายสงบลง ชาวบ้านและทหารเร่งฟื้นฟูความเสียหายภายในเมือง ทุกหัวมุมถนนมีผู้คนจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ บ้างก็วิเคราะห์ไปต่างๆนานาแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความจริงทั้งหมด



    ภายในห้องประชุมกองทัพ การ์เน็ตกำลังฟังรายงานจากหัวหน้าหน่วย

    “ความเสียหายครั้งนี้ มีผู้บาดเจ็บราวๆสามร้อยคน มีผู้เสียชีวิตสามสิบเจ็ดคน เป็นชาวเมืองสิบคนนอกนั้นเป็นนักเดินทางที่เข้าช่วยต่อสู้ครับ”
    “ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างเต็มที่” เขาสั่งการ หัวหน้าหน่วยโค้งตัวรับคำสั่งแล้วออกไปดำเนินการทันที


    เมื่อภายในห้องว่างเปล่าไม่มีผู้ใดอื่นอีก การ์เน็ตถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆแล้วลุกขึ้นไปยืนริมหน้าต่างมองดูมหานครแห่งนี้แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

    “เวลาเหลือไม่มากแล้ว”


    เค้าลางแห่งความวุ่นวายค่อยๆคืบคลานเข้าหาเหมือนดั่งเมฆฝนที่เริ่มจะก่อตัวเป็นพายุร้าย


    To be continue…


    - คุยกันท้ายตอน –

    ตอนนี้กว่าจะออกก็เล่นเอาเหนื่อย ช่วงนี้งานยุ่งสุดๆ แต่สุดท้ายก็ออกมาให้อ่านกันจนได้
    ตอนหน้าจะกลับไปที่การเดินทางของกลุ่มหลักแล้วนะ ติดตามอ่านกันได้ครับ

    ปล. ตอนนี้คนเขียนอยากได้คอมเมนต์เกี่ยวกับฉากต่อสู้ การบรรยาย การดำเนินเรื่อง และอื่นๆที่คิดว่าต้องแก้ไข เพื่อนำไปปรับปรุงการเขียนครับ

    ขอบพระคุณล่วงหน้า

    Azemag A.C. McDowell

  7. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ถ้าให้คอมเมนท์ ผมคิดว่าพวกเสียงเอฟเฟคไม่น่าเอามาใส่รวมกับท่อนบรรยายเท่าไหร่แฮะ บางช่วงฉากที่น่าจะดูตื่นตาตื่นใจกว่านี้ก็บรรยายคร่าวๆไปหน่อย (คือมองภาพออกแต่ไม่ได้อรรถรสเท่าไหร่นักน่ะฮะ) แล้วก็บางจุดถ้าแบ่งวรรคแบ่งประโยคไม่ให้ออกมาติดๆกันมากไปน่าจะช่วยให้คนอ่านรู้สึกว่าฉากไม่ได้มาไวไปไวเท่าไหร่ันัก
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  8. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18

    ตอนนี้ถือว่าสนุกดีนะคะ ได้เห็นการต่อสู้และคิดว่าจะเกิดเรื่องจริงๆ

    ส่วนคอมเมนท์ในรายละเอียดนะคะ ฉากต่อสู้ก็ถือว่าอ่านลื่นไหล แต่บางฉากกลับยังดูไม่เข้าถึงอารมณ์เช่นช่วงที่เฟธเริ่มเข้าตาจน ความรู้สึกคือ อ้าว เลือดอาบแล้วรึ? บางทียังไม่รู้สึกจนมุมมากนัก ฉากที่ดูอลังการก็ดูจะบรรยายสั้นไปเล็กน้อย...คร่าวๆไปหน่อยละมั้ง
    ส่วนฉากที่ด่าให้เฟธสำนึกนี่ชอบที่เขาว่านะคะ ออกจะตรง แต่ยังไม่ให้อารมณ์เท่าที่ควร
    การดำเนินเรื่องถือว่าก็ลื่นไหลดีค่ะ มีการตัดฉากที่โอเค
    บางช่วงถ้าเว้นวรรคให้เหมาะสมกว่านี้จะได้อารมณ์มากขึ้น
    แล้วก็ข้อความคำพูดบางอันเป็นคนพูดเดียวกันแต่ติดๆ บางทีอาจทำให้สับสนได้เล็กน้อยค่ะ

    คราวนี้เม้นท์ละเอียดเพราะดูจากปล.คงอยากได้เม้นท์เยอะๆค่ะ ฮา
    โดยรวมเราว่าตอนนี้ก็ยังถือว่าอ่านสนุกนะคะ

    รออ่านตอนต่อไปค่ะ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  9. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    เอาล่ะ บทก็โอเคแต่เพราะผมยังหาเวลาอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกไม่ได้ก็จะคอมเม้นได้แค่ตอนนี้ ถ้าพูดถึงในแง่ภาษามันก็โอเคนะพี่ แต่บางทีบทพูดผมให้ผมมึนๆว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้กันแน่(อาจเป็นเพราะกำลังมึนๆด้วย) โดยรวมก็โอเคครับ แต่ต้องรออ่านตั้งแต่ตอนแรกมาก่อนจะได้รู้ว่ามันต่อเนื่องกันไหม

    โดยรวมโอเคครับพี่

    ป.ล.ตัวละครเยอะมวก
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  10. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    อูยยย เฟธเท่มาก!! ถึงการบรรยายจะติดๆขัดๆบางส่วน ซึ่งเดี๋ยวจะเม้นท์ต่อจากนี้ แต่ยอมรับว่าสื่อความ "ตั้งใจจนเกินตัว" ของแม่ทัพเฟธได้ดีจริงๆ!

    พี่ซีวิลเปิดตัวเท่!! เท่โคตร! จะบอกว่าการบรรยายในส่วนของการโจมตีของซีวิลดูเร็วกว่าเฟธซะอีก ส่วนอีกคนที่ลืมไม่ได้คือพี่คีน ซึ่งปรากฏตัวได้สวย อลังการ มากๆ XD ภาพในหัวนี่คือเทพอัศวินหญิงศักดิ์สิทธิ์เลยนะเนี่ย!! ชักอยากเห็นพี่คีนนำทัพออกปราบฝ่ายร้ายแล้ว
    เรฟิคัลเท่ไม่เปลี่ยน! แต่ยังมองสไตล์การใช้ธนูต่อสู้ของเรฟิคัลไม่ออก แต่ก็ไม่ใช่ข้อบกพร่องอะไร
    อีกอย่างตอนที่ยืนตำหนิเฟธนั้น ยอมรับว่าแม่ทัพหญิงคนนี้มีบุคลิกที่ได้ใจจริงๆ เป็นคนรอบคอบ มองสถานการณ์ออก และห่วงใยประชาชนมาก อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของผม แต่ผมชอบตัวละครหญิงแบบนี้!
    ก็อดดาร์ดนี่จิตได้ใจมาก.. ชอบที่สุดตอนเรียกอดีตลูกน้องเฟธออกมาสู้ ภาพในหัวนี่คือ แม่ทัพเฟธโกรธมาก ทั้งโกรธทั้งแค้นซะด้วย

    ส่วนการที่ก็อดดาร์ดถูกไฟคลอกตายนั้น อ่านแล้วอึ้งๆ คือนึกว่ามันจะหนีไปมากกว่า แต่แบบนี้แปลว่าจะซ่อนปมอะไรอีกแล้ว อย่าซ่อนลึกมากแง้มๆมันออกมาบ้างก็ได้ คนอ่านที่ไม่รู้อะไรเลยมันไม่ค่อยดึงดูดใจเท่าไรนา

    จะบอกว่าในตอนนี้นะครับ มีจุดน่าสนใจเยอะมาก! และต้องชมการวางองค์ประกอบสร้างความดึงดูดตื่นเต้นได้ไม่น้อย แต่ถ้าเพิ่มเติมบางอย่างเข้ามา จะทำให้สิ่งที่ขาดๆหายๆสมบูรณ์ขึ้น
    เช่นแม่ทัพเฟธน่าจะส่งเสียงร้องบ้าง จะช่วยเพิ่มดีกรีความโหดเหี้ยมให้ก็อดดาร์ด , หรือฉากที่มีการต่อสู้แรงๆ มี effect ตึง! โครม! บ้างก็ได้ เห็นตอนอ่านท้ายๆว่าเมืองพังไปเยอะ แต่ช่วงที่สู้กันยังไม่รู้สึกว่าการโจมตีทำลายเป็นวงกว้างจนเกิดความเสียหายขนาดนั้น

    เหล่าัั้นั้นยังไม่เท่าไร สิ่งที่ผมรบกวนอยากให้แก้ไขอีกนิดคือ เรื่องของบทพูดรับส่ง ที่ทำเอาคนอ่านงง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดกันแน่ ตัวอย่างเช่น

    บทนี้พูดตามตรง อ่านเผินๆครั้งแรกนึกว่า "สาม...." เป็นแม่ทัพเฟธพูด
    ส่วน "เขายังใจเย็นไม่หลงกลคำยั่วยุ" ปกติ "เขา" จะใช้ต่อกับบทบรรยายที่มีตัวละครพูดเกริ่นนำอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่การขึ้นต้นประโยคตัดไปยังอีกตัวละครหนึ่ง เขาในที่นี้จึงเหมือนจะหมายถึงก็อดดาร์ดมากกว่าเฟธขอรับ

    อันที่บอกว่า เวลาผู้หญิงพูดน่ะหัดฟังซะมั่ง มัน...ฟังๆเหมือนคำพูดจากปากผู้หญิงแฮะ... OTL ผมรู้สึกยังงั้นนะ

    เห็นบอกอยากได้เม้นท์ยาวๆเลยจัดหนัก แลดูเหมือนเอาแต่ติมากกว่า แต่ยังไงตรูก็ตามอ่านต่อไปอยู่ดี ~(- -

    ปล. ป่านนี้ไอแซ็คพาพวกนั้นหลงป่าไปแล้วมั้ง......
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    น้อมรับทุกความคิดเห็น ข้อติติง ข้อเสนอแนะและคำชมครับ

    หวังว่าตอน 14 ที่ลงให้อ่านนี้พอจะให้ทุกท่านได้เห็นถึงพัฒนาการไม่มากก็น้อยครับ
    หากมีตรงไหนไม่สนุก ขัดใจ หรือมีข้อเสนอแนะ

    รบกวนคอมเมนต์อีกสักทีครับ
    ขอบพระคุณอย่างสูง



    ปล. ในตอนที่ 13 ที่ลงไปนั้นตกหล่นส่วนอธิบายตอนก็อดดาร์ดใช้มนต์ดำเรียกลูกน้องของเฟธออกมาเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิด
    จริงๆแล้วไอ้ลูกหินนั่นทำมาจากเนื้อคนตาย ผงกระดูกและส่วนประกอบอื่นๆในทางมนต์ดำ (เช่น พืชมีพิช สัตว์มีพิษ เป็นต้น)

    ขอเสริมส่วนอธิบายไว้ตรงนี้ก็แล้วกับครับ
  12. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 14



    ความพลุกพล่านจอแจของผู้คนที่สัญจรไปมาภายในชิลโซลิธียังเป็นเช่นเดิม เรื่องร้ายเมื่อหลายคืนก่อนกลับสู่สภาวะปกติในเวลาไม่นานนัก ทหารที่ลาดตระเวนภายในเมืองเข้มงวดกวดขันมากขึ้น ที่ด่านประตูเมืองก็มีการเพิ่มจำนวนทหารให้มากขึ้นอีก ในเวลากลางคืนก็จุดคบเพลิงเรียงรายบนเชิงเทินกำแพงเมืองสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา



    ทว่า บุรุษผู้หนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความคิดของตัวเองเพียงลำพัง

    “ข้าเป็นคนไร้ความสามารถ!?”
    “ที่ได้เป็นแม่ทัพก็เพราะเกิดในตระกูลขุนนางชั้นสูง!!?”
    “เป็นเพราะความสะเพร่าของข้าถึงทำให้ชาวเมืองต้องเดือดร้อน”



    ความคิดซ้ำซากบั่นทอนจิตใจของเขาให้วุ่นวายและสับสนอยู่ตลอดเวลา หลายคืนที่เขามิอาจข่มตาให้หลับและข่มใจให้สงบ




    ก๊อก ๆ ๆ!!
    เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดึงสติของเขาให้กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง

    “มีอะไร?” เฟธถามถึงธุระจากผู้ที่อยู่หลังประตูไม้บานใหญ่
    “ท่านแม่ทัพการ์เน็ตให้ข้ามาเชิญท่านไปพบที่ห้องประชุมครับ” พลทหารตอบเสียงดังฟังชัด

    เขานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบกลับ
    “แจ้งท่านการ์เน็ตว่าอีกสิบนาทีข้าจะไปพบ”
    “ครับ”
    พลทหารรับคำแล้วเดินกลับไป เสียงฝีเท้าค่อยๆไกลออกไปจนกระทั่งเงียบสนิท เขานั่งนิ่งคิดบางอย่างอยู่สักพักก่อนจะลุกจากเตียงไปหยิบผ้าคลุมประจำตัวแม่ทัพมาสวมแล้วออกจากห้องไป





    ที่ห้องประชุม ซีวิล คีน และเรฟิคัลได้มานั่งรอตามคำสั่งของการ์เน็ตอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเฟธมาถึงและนั่งลงเรียบร้อยแล้ว การ์เน็ตที่ยืนอยู่อีกฟากของห้องหันหลังกลับมานั่งยังตำแหน่งหัวโต๊ะก่อนจะเหลือบมองแม่ทัพทั้งสี่คน

    “ก่อนอื่น ข้าขอขอบใจพวกเจ้าที่ช่วยกันต่อสู้ปกป้องประชาชนและนครของพวกเราไว้ได้ แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้มีชาวเมืองต้องเสียชีวิตไปด้วยก็ตาม ทว่าสิ่งนั้นก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่พวกเราพยายามป้องกันให้เกิดความเสียหายได้น้อยที่สุดแล้ว”

    “ฉะนั้นจงอย่าได้กล่าวโทษตนเองอีกเลย” ประโยคสุดท้ายการ์เน็ตหันหน้าไปบอกกับเฟธ
    “แผนของเจ้านับว่าดีเยี่ยมแล้วมิฉะนั้นฝ่ายเราก็คงเสียหายมากกว่านี้ จงคิดไว้ว่าเป็นเพราะแผนของเจ้าถึงได้ช่วยปกป้องชาวเมืองคนอื่นไว้ได้”

    การ์เน็ตหยุดเว้นจังหวะก่อนจะพูดอย่างเป็นการเป็นงาน

    “ทว่ากับเหตุการณ์นี้ทำให้ข้าเห็นว่าทหารของเรายังฝึกมาไม่เพียงพอ นี่แค่เพียงผู้ใช้มนต์ดำเพียงคนเดียวยังสร้างความเสียหายให้กับกองทัพได้ขนาดนี้ ถ้าหากต้องทำศึกมหาสงครามในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องพบกับศึกหนักอย่างแน่นอน”

    “เรื่องนั้นเป็นเพราะทหารใหม่ที่เพิ่งเกณฑ์มาจากเมืองและหมู่บ้านอื่นยังไม่คุ้นชินกับการศึกก็เป็นได้”
    ซีวิลออกความเห็นแย้งการ์เน็ต

    “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่นั่นหมายถึงการฝึกหทารในช่วงที่ผ่านมายังไม่ดีพอ ข้าจึงสั่งให้หัวหน้าหน่วยทั้งหมดเข้มงวดกับการฝึกให้มากขึ้น และข้าก็อยากหารือกับพวกเจ้าถึงได้เรียกประชุมในวันนี้” การ์เน็ตอธิบาย

    “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่องเลยเถอะ” เรฟิคัลที่นิ่งฟังมาตลอดเอ่ยปากเอาจริงเอาจัง


    “ช่วงนี้เป็นเวลาที่พวกปีศาจและสัตว์อสูรทั้งหลายออกอาละวาดสร้างความเสียหายตามหมู่บ้านห่างไกล ข้าจึงคิดที่จะตั้งหน่วยรบที่จะออกไปคุ้มครองหมู่บ้านรอบนอกอีกทั้งยังให้ทหารใหม่ได้ฝึกประสบการณ์การต่อสู้กับพวกปีศาจจริงๆด้วย”

    “นอกจากนั้น ทหารที่เพิ่งจากมาย่อมต้องคิดถึงครอบครัวที่รออยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงสามารถกลับไปเยี่ยมครอบครัวและปกป้องพวกเขาด้วยตนเองเสริมสร้างความฮึกเหิมและความมั่นใจให้กับพวกเขาอีกด้วย” คีน อเลกซิสกล่าวเสริม

    การ์เน็ตทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกถึงผลประโยชน์ข้อนี้ได้หลังจากได้ยินคีนบอก
    “คิดถึงจุดที่ข้าไม่ได้คิด ยังเฉียบคมเช่นเคยนะ คีน” แม่ทัพสาวค้อมหัวให้เล็กน้อยเมื่อได้รับคำชม


    “ข้าจะไปดำเนินการเรื่องการจัดหน่วยรบกับพวกหัวหน้าหน่วยเอง ส่วนพวกเจ้าก็จงทำหน้าที่อย่างแข็งขัน หมั่นฝึกซ้อมตนเองและทหารใต้บังคับบัญชาอย่าให้ขาด เตรียมตัวให้พร้อมรับการศึกอยู่ทุกเวลา!”

    ทุกคนลุกขึ้นยืนตรงทำความเคารพการ์เน็ตโดยพร้อมเพรียง เมื่อหมดสิ้นธุระแล้วเขาก็ลุกเดินออกไปจากห้องประชุม




    “เพิ่งกลับมาก็งานเข้าเลย ยังไม่หายเหนื่อยแท้ๆ” ซีวิลยกเท้าขึ้นพาดโต๊ะ เอนหลังดันเก้าอี้ให้อยู่ในสภาพยืนสองขาโยกไปมา
    “รายงานของพวกหัวหน้าหน่วยยังกองสุมเต็มโต๊ะรอให้จัดการอยู่อีกนะ” คีนไถลตัวลงนอนราบกับโต๊ะ
    “แล้วแบบนี้จะมีเวลาที่ไหนผลิตคีนน้อยกับซีวิลน้อยให้ข้าอุ้มละเนี่ย พี่คีน! พีซีวิล! แต่งงานกันมาสี่ปีแล้วนะ ป่านนี้ข้ายังไม่ได้อุ้มหลานเลย” เรฟิคัลเท้าคางพูดแหย่ทั้งคู่
    “เจ้าเอางานพวกข้าไปทำสิ ข้าจะได้ว่างไปผลิตซีวิลน้อยให้เจ้าอุ้ม” ซีวิลตอบกลับ
    “ข้าขอผ่านละ ของข้าที่มีก็เยอะแยะจนไม่อยากจะทำแล้วละ” เรย์ตอบอย่างหน่ายๆเหมือนกัน


    ซีวิลสังเกตถึงอาการของเฟธที่วันนี้ไม่พูดไม่จาใดๆทั้งที่ปกติแล้วเขาจะต้องเขาจะไม่พลาดการร่วมวงสนทนาของเขาและคีนเลยสักครั้งเดียว

    “เป็นอะไรไป!? ท่านการ์เน็ตก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องโทษตัวเอง หรือว่าแพ้แค่ครั้งเดียวจะทำให้เจ้าฝ่อจนไม่อยากจะต่อสู้อีกแล้ว?” ซีวิลกระทุ้งหนักๆเรียกความสนใจจากเขา
    “ข้ากำลังคิดว่าข้าได้เป็นแม่ทัพอเมธิสต์เพราะฝีมือตัวเองหรือเพราะข้าเกิดในตระกูลเลวานทีนเท่านั้นกันแน่”

    ความนิ่งเงียบเริ่มต้นขึ้นหลังสิ้นสุดประโยค ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาบัดนี้เริ่มจะพังทลายผ่านทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด


    มือของคีนตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ เฟธหันไปมองหน้าลูกพี่ลูกน้องของตนก่อนจะได้รับรอยยิ้มอ่อนละมุน

    “คิดมากไปแล้ว ลองคิดถึงเรื่องที่เจ้าได้กระทำทั้งหมดดูสิ นั่นละคือคำตอบในความพยายามและความสามารถของเจ้าเอง”
    “ป้อแป้กว่าที่คิดนะ สมัยก่อนข้าน่ะแพ้แทบจะทุกวันเลยเถอะ” ซีวิลพยายามพูดให้กำลังใจ
    “ที่ผ่านมาข้าก็มั่นใจในตัวเอง ไม่มีใครเอาชนะข้าได้แม้แต่แม่ทัพด้วยกันพี่ซีวิลเองก็แพ้ข้า แต่จากการต่อสู้คราวก่อน ข้ารู้สึกเหมือนข้าขาดอะไรบางอย่างที่ทำให้เอาชนะไม่ได้”

    ซีวิลนิ่งเงียบอึดใจหนึ่งก่อนที่จะปล่อยเก้าอี้กลับมาตั้งสี่ขาแล้วลุกขึ้นยืน
    “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เจ้ามาประลองกับข้าอีกครั้งหนึ่ง ข้าจะแสดงให้ดูว่าสิ่งใดที่เจ้ายังขาดอยู่”




    ที่ลานฝึกซ้อม บัดนี้ซีวิลและเฟธกำลังยืนประจันหน้าอยู่คนละฟากฝั่งเตรียมพร้อมจะประลอง

    “เอาละ บุกเข้ามาเต็มที่เลยไม่ต้องเกรงใจ”
    ซีวิลกกระแทกกำปั้นเข้าหากันท่าทางสบายๆ ส่วนเฟธนั้นเห็นถึงความเครียดได้ชัดเจน


    การจู่โจมเริ่มต้นในพริบตา เฟธแทงหอกเข้าหาซีวิลอย่างรวดเร็วแต่ซีวิลที่ยืนหลับตากลับหลบได้อย่างสบายๆ เฟธเห็นท่าทีแบบนั้นก็ยิ่งขัดใจเร่งจังหวะการโจมตีให้เร็วขึ้นแต่ก็ไม่สามารถโจมตีให้ถูกอีกฝ่ายได้เลย


    “แทงหลอกทางซ้ายให้หลบทางขวาแล้วตวัดกลับฟาดเข้าใส่ หลบไม่ได้แน่นอน”
    เฟธวางแผนการโจมตีในหัวเสร็จแล้วก็ทำตามใจคิดทันที


    ผัวะ!
    กำปั้นซ้ายของซีวิลกระแทกเข้าที่หน้าของเฟธอย่างจังจนสะบัด เรียกเลือดให้ไหลจากปากหยดลงสู่พื้น เฟธนิ่งไปชั่วขณะแต่ซีวิลก็ไม่ตามโจมตีซ้ำ

    “ข้อหนึ่ง! คิดมากเกินไประหว่างต่อสู้ทำให้เกิดช่องว่างในกระบวนท่า”




    เฟธถอยไปตั้งหลักแล้วเช็ดเลือดออกจากมุมปาก ซีวิลเริ่มเป็นฝ่ายบุกบ้าง เขาหลบหอกที่แทงเข้ามาแล้วค่อยๆก้าวเท้าเข้าหาละนิด เฟธเห็นว่าตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อถูกเข้าประชิดจึงก้าวถอยหลังเพื่อสร้างระยะ แต่ทันทีที่เขาหยุดโจมตีเพื่อจะถอยหลังซีวิลก็พุ่งเข้าประชิดในพริบตา หมัดขวาต่อยเข้าชายโครงเต็มๆจนเฟธตัวงอ

    “ข้อสอง! อย่ารีบร้อนถอยเกินไปเพราะถูกกดดัน”




    เฟธถอยหลังไปตั้งหลักใหม่อีกครั้ง เขาเริ่มสัมผัสถึงบางอย่างที่น่ากลัวจากตัวของซีวิล เขาแตกต่างไปจากซีวิลคนเดิมที่เคยประลองกันก่อนหน้านี้เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ความลังเลสงสัยทำให้เขาทำได้เพียงตั้งท่าดูท่าทีเท่านั้น

    ซีวิลปล่อยจิตสังหารรุนแรงออกมากดดันเฟธ เขาเดินเข้าหาอย่างช้าๆทีละก้าวจนเข้าถึงระยะหอก



    วินาทีที่เฟธขยับตัวเป็นฝ่ายบุก ลำคอของเขาก็ถูกมือหยาบกร้านแข็งแกร่งของซีวิลขย้ำไว้ ร่างของเขาถูกกดกระแทกลงกับพื้นพร้อมๆกับหมัดขวาที่ถูกเหวี่ยงลงมาในทันที



    เปรี้ยง!
    เสียงของกำปั้นกระแทกเข้ากับพื้นลานประลองจนแตกยับดังสะท้านอยู่ในหัวของเฟธ

    “ข้อสุดท้าย! เจ้าไม่เคยต่อสู้แลกเป็นแลกตายจึงทำให้การจู่โจมหยาบกระด้าง”



    เพียงเวลาไม่นานเฟธก็ถูกสยบลงได้อย่างราบคาบ ซีวิลปล่อยมือจากคอของเขาแล้วขยุ้มคอเสื้อดึงให้เขาลุกขึ้น

    “ข้าว่าคงถึงเวลาที่เจ้าต้องออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนอกกรงบ้างแล้วนะเจ้าเด็กน้อย” ซีวิลปล่อยมือแล้วหันหลังเดินออกมา เฟธยืนนิ่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ซีวิลพูดผ่านการต่อสู้เมื่อครู่

    สายลมพัดเอาเศษหินที่แตกออกจากพ้นให้เคลื่อนไหว เศษผงปลิวล่องลอยขึ้นสู่เบื้องบนตามแรงลม





    ใครกันจะรู้ว่าภายในปราสาทของการ์เน็ต พีอุส หัวหน้าแม่ทัพแห่งชิลโซลิธีจะประดับตกแต่งด้วยของพื้นๆราคาถูก ไม่ได้มีสินทรัพย์หรูหรามากมาย แม้แต่แจกันดอกไม้ในห้องรับรองก็เป็นเพียงของที่หาซื้อได้ตามแผงขายของริมถนน ที่พอจะดูเหมาะสมกับเจ้าของปราสาทก็คงเป็นบรรดาอาวุธหลากชนิดที่แขวนไว้กับผนังห้องเท่านั้น รวมถึงบรรดาดาบมากมายที่ถูกแขวนจากเพดานแทนพวกระย้า

    “ท่านว่ายังไงนะ!? ที่ผ่านมาพ่อของข้าเป็นคนคอยทัดทานเรื่องการทำภารกิจอย่างนั้นเหรอ”
    เฟธลุกพรวดจนเก้าอี้ที่เขาเคยใช้นั่งล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง

    “ข้าก็ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นหรอก แต่ตระกูลของเจ้าเป็นพระญาติกับจักรพรรดิ พ่อของเจ้าก็มีเส้นสายในบรรดาพวกขุนนาง ข้าถึงถูกกดดันมาตลอดยังไงละ” การ์เน็ตอธิบาย สีหน้าของเฟธยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม สองมือกำแน่นสั่นสะท้าน

    “ข้าไม่ใช่เด็กอมมือที่จะต้องให้พ่อปกป้องตลอดไปหรอกนะ ข้าถึงเลือกที่จะเป็นทหารในกองทัพมากกว่าเป็นพวกขุนนางที่ดีแต่พูดในวังเท่านั้น” เขาคำรามด้วยความโกรธ

    การ์เน็ตมองเขาพลางคิดบางสิ่งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบม้วนเอกสารบนโต๊ะแล้วกลับมานั่งที่เดิม
    “หากเจ้าต้องการ ข้ามีภารกิจชิ้นหนึ่งให้เจ้าดำเนินการ แน่นอนว่าค่อนข้างอันตราย”
    เฟธมองตาของการ์เน็ตอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่แทนคำตอบ

    “เนื้อหาภารกิจนั้นง่ายมากแค่นำเอกสารสองฉบับนี้และของบางสิ่งไปส่งให้ถึงมือผู้รับก็พอ”
    “แต่การเดินทางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสินะ” เฟธพูดอย่างเข้าใจในสิ่งที่การ์เน็ตต้องการจะสื่อ
    “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว หากเทียบกับภารกิจตามหาดอกไม้รุ้งสวรรค์ ถึงไม่อันตรายเท่าแต่ก็ไม่ด้อยกว่ากันเท่าไรนัก”

    ภารกิจของดอกไม้รุ้งสวรรค์ทำให้เฟธนึกถึงอเซแมกที่อาสาทำภารกิจสุดแสนอันตราย พลันบางอย่างก็แวบเข้าสู่ห้วงความคิดของเขา

    “เหตุผลที่ต้องคัดเลือกผู้กล้าไปตามหาดอกไม้ ทั้งที่ชิลโซลิธีมีแม่ทัพที่เก่งกล้าสามารถอยู่ก็ไม่น้อย” เฟธพูดพร้อมส่ายหน้าและยิ้มอย่างเศร้าๆในสิ่งที่เขาเข้าใจ
    “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิดหรอก ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำเรื่องนี้ให้มันเอิกเกริกวุ่นวายหากไม่เพราะ...” เขาหยุดเว้นสิ่งที่จะพูดไว้ในลำคอเท่านั้นเพราะคิดว่าแค่นี้เฟธก็คงเข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมดแล้ว

    “ได้โปรดให้ข้าทำภารกิจนี้เถิดท่านการ์เน็ต”
    “ติดสินใจแล้วสินะ” การ์เน็ตถามเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งเฟธยังคงพยักหน้ายืนยันความตั้งใจของตน


    สามวันให้หลัง

    เฟธเตรียมตัวเดินทางพร้อมแล้ว นอกจากเขายังมีผู้ติดตามจากหน่วยรบของเขาอีกห้าคนขอติดตามไปพร้อมกับเขาซึ่งเฟธก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจของลูกน้อง

    “ระวังให้มากอย่าได้ประมาทรอบข้างแม้แต่น้อย” คีน อเลกซิสมาส่งเขาที่ตึกบัญชาการกองทัพ
    “ขอบคุณท่านพี่ ข้าจะจำคำของท่านไว้” เฟธรับคำเตือนของลูกพี่ลูกน้องที่เขานับถือเป็นดั่งพี่สาวจริงๆ

    เมื่อได้เวลาตามที่กำหนดแล้วทั้งหกควบม้ามุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทิศตะวันออก การ์เน็ตมองลอดผ่านกระจกจากด้านในอาคารตามหลังพวกเขาไปพร้อมกับภาวนาให้พวกเขาปลอดภัยกลับมา






    ภายในหุบเขามรณะ ตอนนี้ทุกคนกำลังพักผ่อนอยู่ริมชายป่าอย่างเหน็ดเหนื่อยหลังจากเดินทางต่อเนื่องมาหลายวันหลายคืน ไหนจะต้องเจอกับพวกสัตว์อสูรระหว่างทางตั้งหลายครั้งหลายครา แม้ว่าไม่ใช่เรื่องยากที่คนมีฝีมือระดับพวกเขาที่จะต้องต่อสู้ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการเสียเวลาและเรี่ยวแรงไปกับการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น



    “นำทางมาถูกรึเปล่าเนี่ย ทำไมยิ่งเดินยิ่งเจอพวกอสูรมากกว่าเดิมล่ะ”
    “อย่าพูดมากนักเจ้าคนปากดี เก่งจริงก็มานำทางเองสิ”
    “เถียงอย่าอื่นมั่งไม่ได้รึไง เถียงไอ้ประโยคนี้มาสามวันแล้วนะเว้ย!!”



    เสียงโหวกเหวกโวยวายของอากิรอสและไอแซคกลายเป็นกิจวัตรประจำวันในการเดินทางครั้งนี้ไปเสียแล้ว หยุดพักเมื่อไรเป็นต้องมีเรื่องให้ทะเลาะกันตลอดทุกที

    “เฮ้อ! เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักยอมแพ้กันบ้างหรือไงนะ ทะเลาะกันสามเวลาก่อนอาหารอย่างนี้ทำเอาข้าไม่อยากจะกินอะไรเลย” เบลนั่งมองคู่หู่ที่ทำตัวเป็นเด็กหัวแข็งไม่รู้จักแพ้ยืนเถียงกับไอแซค
    “พวกผู้ชายนี่ไม่รู้จักโตเลยทำตัวเป็นเด็กๆไปได้กะอีเรื่องแค่.... โอ๊ย!” เทรนยังไม่ทันพูดจบก็ต้องร้องพร้อมกับสะดุ้งหันหลังเพราะอาจารย์เอากิ่งไม้ฟาดหัว

    อเซแมกก้มลงวางกิ่งไม้ที่ถูกริดเอาก้านและใบออกจนหมดเพื่อใช้เป็นฟืนสำหรับค่ำคืนนี้
    “อาจารย์ก็ทำอะไรบ้างสิ ปล่อยให้สองคนนั่นทะเลาะกันแบบนั้นมันก็ไม่ดีไม่ใช่เหรอ”
    “ข้าก็เห็นว่าพวกเขาสองคนสนิทกันออก”
    “สนิท!!?” เทรนมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก

    “ปล่อยไปเหอะ เหนื่อยเมื่อไรก็หยุดเองนั่นแหละ” มาเรียหยิบปืนออกมาเช็ดทำความสะอาด
    “นั่นสิ ถ้าคราวนี้เตรียมอาหารเสร็จแล้วยังไม่ยอมหยุดข้าจะให้อดกินทั้งสองคนเลย” เบลบอกกับทุกคนซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะได้


    กองไฟถูกจุดขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบอาหารและให้ความอบอุ่น พวกเขาเดินทางขึ้นมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่งที่นับว่าสูงมาก อากาศในเวลากลางคืนจึงหนาวจับจิตจับใจ

    “อีกไกลไหม” อเซแมกถามเรื่องการเดินทางจากไอแซค
    “ไม่ไกลเท่าไรแล้ว อีกไม่เกินสามสี่วันก็คงถึง ‘ด่าน’ สุดท้าย”
    “ด่าน?” มาเรียทวนคำเพราะไม่เข้าใจ
    “ปลายทางแห่งนี้มีถ้ำที่จะเชื่อมต่อไปยังหุบเขาที่มีดอกไม้เจ็ดสีที่พวกเจ้าต้องการ ซึ่งถ้ำนั้นถูกซ่อนอยู่ในซากโบราณสถาน” ไอแซคเว้นจังหวะ “อาจจะเรียกว่าเป็นเมืองเล็กๆเลยก็ได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครมาสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อไร และข้างในนั้นก็มีกับดักรอตอนรับผู้บุกรุกอย่างพวกเจ้าแน่นอน”

    “แล้วท่านรู้ทางที่ถูกต้องหรือเปล่า” อเซแมกถาม
    “เสียใจด้วย ข้าเองก็ยังไม่เคยเข้าไปด้านในเช่นกัน ข้าเพียงแค่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกในเวลาที่มีคนเดินทางเข้ามาตามหาดอกไม้เจ็ดสีเท่านั้น”

    คำตอบที่ได้รับทำให้อเซแมกครุ่นคิดบางอย่างภายในใจ

    “แล้ว... พวกของกุห์ฟานละ ดีไม่ดีอาจจะโดนกับดักตายอยู่ในนั้นก็ได้”
    “ข้าก็อยากให้เป็นอย่างปากเจ้าพูดล่ะนะ แต่คงจะยากกับเจ้าพวกนั้น” อากิที่นั่งพิงหลังกับเบลตอบกลับมา
    “กุห์ฟาน!? ใครกัน!?” ไอแซคสงสัยเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคย

    อเซแมกจึงเล่าทุกอย่างให้เขาฟังตั้งแต่การถูกโจมตีครั้งแรกและการต่อสู้ในทุ่งหญ้าและเรื่องที่เผ่าออคถูกฆ่าตายหน้าปากทางเข้าหุบเขามรณะ

    “คนรู้จักของเจ้าอย่างนั้นรึ อากิรอส” ไอแซคถามหลังจากฟังเรื่องทั้งหมด
    “เป็นทั้งรุ่นน้องและเป็นทั้งศัตรูของข้า” อากิรอสตอบกลับ น้ำเสียงที่ทุกคนได้ยินพอจะจับอารมณ์ได้ว่าเขากำลังโกรธ
    “แล้วพวกเจ้าผิดใจกันเรื่องใด??”

    เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้แต่ไม่กล้าถามอากิ แต่ไอแซคกลับจี้ถามตรงๆ เทรนเริ่มหวั่นๆว่าอีกประเดี๋ยวคงได้ทะเลาะกันแน่ๆ

    “เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ทำทุกอย่างให้ชัดเจน เป็นเพราะข้า” ผิดคาดที่อากิยอมตอบกลับ คราวนี้น้ำเสียงเปลี่ยนจากโกรธเป็นเศร้า



    ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อากิกำลังจะเล่าต่อจนไม่ทันระวังรอบข้างว่ามีเสือดำตัวใหญ่ยักษ์ซุ่มมองอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลนัก เมื่อสบจังหวะมันก็โผนลงจากกิ่งแล้วกระโจนเข้ากลางวง



    ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัวติด มาเรียถูกมันกัดแล้วลากเข้าป่าไปอีกทาง ทากะและไอแซคลุกพรวดวิ่งตามติดไปทันที คนที่เหลือเมื่อตั้งสติได้ก็รีบไล่ตามทั้งคู่

    ไอแซคยกมือซ้ายที่มีแหวนวงเล็กๆสีเขียวอ่อนขึ้นมาแล้วร่ายมนต์บทหนึ่งพลันธนูคันใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาคว้าจับแล้วล้วงหยิบลูกธนูจากซองด้านหลังมาพาดสายเหนี่ยวยิงออกไปทันที ลูกธนูพุ่งเข้าปักที่ขาหลังของเสือตัวนั้นอย่างแม่นยำ มันร้องคำรามเสียงดังแต่ยังไม่ยอมหยุดวิ่งแต่กลับหักเลี้ยวเข้าป่าด้านที่หนาทึบกว่าเดิม


    “บ้าเอ๊ย”
    ไอแซคสบถอย่างไม่สบอารมณ์แล้วรีบเปลี่ยนทิศทางไปอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหากคลาดสายตาไปแม้แต่นิดเดียวนั่นอาจจะหมายถึงความตายของมาเรีย แม้ว่าเสือดำจะวิ่งไวกว่ามากนักแต่เป็นเพราะมันต้องลากมาเรียไปอีกทั้งคนและขาก็บาดเจ็บจึงทำให้ทั้งสองคนพอที่จะไล่กวดไปได้ห่างๆ


    ไอแซคเร่งฝีเท้าจนเข้าใกล้เสือดำตัวนั้นมากขึ้น มือขาวเหนี่ยวรั้งลูกธนูเล็งไปที่หัวของมัน


    แต่ดูเหมือนโชคร้ายจะคอยหลอกหลอนพวกเขาเหมือนเงาตามตัว เจ้าเสือตัวนั้นวิ่งพรวดพ้นแนบป่าไปก็เป็นหน้าผาสูงชันที่มีเบื้องล่างเป็นเหวลึก ด้วยความไวของฝีเท้าที่วิ่งมาเต็มกำลังทำให้มันหยุดไม่ทันและร่วงลงด้านล่างพร้อมกับมาเรีย

    ไอแซคตกตะลึงเมื่อเห็นมาเรียและเสือร่วงหล่นลงเหว แต่ทากะวิ่งกระโจนลงหน้าผาตามไปโดยไม่มีการหยุดแม้แต่น้อยนิด



    “เฮ้ย!! ทากะ!!!”

    ไอแซคตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นร่างของนักดาบผมดำร่วงลงเบื้องล่างจนกระทั่งหายลับไปในความมืดมิด



    To be continue…



    - คุยกันท้ายตอน –
    กลับมาสู่การเดินทางของกลุ่มหลักอีกครั้งครับ มาถึงก็งานเข้าทันทีเลย
    ติดตามเรื่องราวที่เหลือได้ในตอนต่อไปครับ


    Azemag A.C. McDowell


  13. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    โฮ่ เข้า event แยกทีมแล้วสินะ แบบนี้ก็มีเนื้อเรื่องสามฟากเลยสิเนี่ย
  14. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    เขียนก็ถือว่ายังลื่นไหลดีค่ะ ชอบตอนที่ซีวิลดวลกับเฟธค่ะ ฮ่าๆ

    บางจุดยังแปลกๆ ส่วนตัวคิดว่าตรงที่เฟธคิดสำนึกเรื่องราวโน่นนี่นั้นไม่ต้องมีพวกเครื่องหมายตกใจดีกว่า แล้วก็เว้นวรรคให้ได้อารมณ์อีกซักเล็กน้อย
    แล้วก็ตอนที่เสือดำบุกแล้วงับมาเรียไปเหตุการณ์เกิดเร็วไปหน่อยจนแปลกๆ แทบไม่คิดว่ามาเรียจะเป็นอย่างนั้น ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นสถานการณ์ชวนวิกฤติเท่าไหร่

    อืม ตอนต่อไปก็คงจะมีแยกๆกันบ้างแล้วสินะคะ รออ่านอยู่ค่ะ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  15. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    สั้นๆเลยนะสหาย มองกว้างๆภาพรวมดูโอเค แต่หากมองย่อยๆยังมีจุดที่ขาดเกินๆอยู่ การตัดฉากมันเร็วเป็นจนบางทีคลุมเคลือ อย่างที่ฝุ่นบอกฉากที่เสือคารบไปนั้นมันง่ายจนเกินไปชนิดที่คนที่เอาตัวรอดมาจนถึงจุดจุดนี้โดยลากไปง่ายๆอย่างนั้นเชียวหรือ?
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  16. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    เรื่องเสือคาบพูดไปก็เยอะ คนอื่นพูดไปก็มากแล้ว ขอข้ามไปเลยละกัน

    ตอนนี้มีช่วงเฟธนั่นนึกคิดตำหนิตัวเองที่ โอ้.. แค่ประโยคสามประโยคกับบรรยากาศตอนนั้น กลับทำให้ผมสะเทือนใจแทนเฟธไม่ได้
    เรียกว่าอินไปเฟธไปเลย รู้สึกได้ทันทีว่าเฟธรู้สึกยังไง รู้สึกเสียใจแค่ไหน
    มันเหมือนกับบอกว่า เฟธที่มั่นใจในตัวเองมาก (และแทบจะเหมือนไม่แคร์ชาวเมือง) แท้จริงเป็นคนมีความคิด มีจิตสำนึก มีความรู้สึกที่ลึกล้ำ เพียงแต่ที่ผ่านมาผิดพลาดไปเท่านั้น
    มันทำให้ตัวละครมีมิติ ผมขอใช้คำนี้ ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราอ่านแล้วผ่านเลย แต่นี่เป็นส่วนประกอบของวรรณกรรมที่ดีมาตลอด

    แต่บทสนทนารัวๆนั้น รอบนี้ขออนุญาตติงจุดเดิมคือ คำพูดไม่ค่อยสื่อคาแรคเตอร์ตัวละครเลยครับ
    พี่คีนที่ว่าเป็นอัศวินหญิงอ่อนโยน คำพูดแทบไม่ต่างจากเรฟิคัลหรือการ์เน็ต มีดูออกหน่อยก็พี่ซีวิลที่ภาษากวนๆ
    ว่าแต่... ทั้งสองคนจะมีคีนน้อยเหรอเนี่ย ฮะฮ่าๆๆๆ XD

    อากิรอสกับไอแซ็คม่างงง ชวนจิ้นจริงๆให้ตายเหอะ!
    เบลเอ๋ยเบล เจ้าพลาดอะไรไปแล้วสินะ... /me โดนถีบ
    ฟิคเรื่องนี้นอกจากทากะกับมาเรียแล้ว คู่ที่เหลือเป็นคู่จิ้นหมด! ทั้งเทรนกับอาจารย์ ทั้งอากิรอสกับไอแซ็ค .... เดี๋ยวสิ ไอ้คู่หลังนี่มัน วาย ไม่ใช่เรอะ OTL

    จบได้แบบ... ร้องเฮ้ย ตามไอแซ็ค ทากะ!!!!! เอ็งนี่โผล่มาเงียบๆ แต่บทจะทำอะไรม่างกระชากใจคนดูจริงๆ!
    แฟนคลับทากะกรี๊ดแน่งานนี้
    Aki และ Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  17. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้ตัดแบ่งฉากชัดเจน ทำให้เห็นความแตกต่างชัดขึ้นมาด้วย เลยขอคอมเมนต์ตรงตอนนี้ครับ
    จากที่แต่ละบทเหมือนเร่งๆเร็วๆในบางจุด ทำให้คิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างขาดไป ซึ่่งตอนนี้ทำให้ผมนึกออกว่าน่าจะเป็น"รีแอคชั่น"ของตัวละครครับ รู้สึกจะบรรยายถึงการตอบสนองของตัวละครกับสิ่งกระทบ(คำพูดจากตัวละครอื่น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น) เหมือนว่าตัวละครไม่ค่อยสะดุ้งสะเทือนสักเท่าไหร่(ทั้งๆที่จริงๆสู้กันเอาตาย) ถึงบางครั้งจะใส่คำตรงๆแรงๆให้รู้สึกว่าเป็นจุดพีค แต่จุดพีคนั้นก็หดลงมาเร็วจนพออ่านจบรู้สึกว่าไม่ค่อยเหลืออะไรติดอยู่ในหัวเท่าไหร่

    เหตุผลที่ทำไมถึงได้บอกว่าตอนนี้เห็นได้ชัดก็เป็นเพราะว่าตรงส่วนของเฟธทำได้ดีมาก(สิ่งที่ตกค้างในใจเพราะเหตุการณ์ในตอนที่แล้ว การตอบโต้กับซีวิลฯลฯ) แต่พอมาถึงตรงกลุ่มหลักก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว(ในบทบรรยายที่มาเรียโดนซิวไป มาเรียแทบจะเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว จะบอกว่าเพราะบรรยายตามที่มองเห็น+เหตการณ์ไวมากไม่ทันดูก็ไม่ใช่เพราะวรรคที่แล้วบอกชัดเจนว่าเป็นพี่เสือ ^^'')

    ...ว่าแต่ว่าอเซแม็กเงาจางแฮะ
    (ลำดับการมีตัวตนในฟิค(ver.โจโกะ)
    กุห์ฟานแอนเดอะแก็งค์(โผล่มาพร้อมกับความตึงเครียด)>เฟธและกองทัพ(โผล่มาพร้อมกับความตึงเครียดในอีกแบบ)>มาเรีย=ทากะ=อากิรอส>เทรน=เบล=ไอแซค>อเซแมก>...ตัวละครที่ลืมไปแล้ว)

    ปล. ก็อดดาร์ดน่าเสียดายแฮะ...
    ปล2. วันๆอยู่กับเอกสารเทคนิควิศวกรรม เขียนไม่ค่อยเป็นภาษาคนก็อย่าถือสาเลยนะครับ orz
    Aki และ Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  18. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเมนต์ครับผม โดยเฉพาะโจโกะที่อุตส่าห์มาคอมเมนต์เป็นครั้งแรก (ฮา)

    หลักๆตอนนี้จะอยู่ที่กลุ่มของอเซแมกตลอดแล้วครับ ส่วนเฟธนั้นไปทำอะไรที่ไหนจะเฉลยท้ายเรื่องครับ

    ขอบคุณจ้าที่ช่วยคอมเมนต์ จะรับไปปรับปรุงแก้ไขครับ

    อันนี้ผิดพลาดจริงๆ ขออภัยอย่างแรง

    อากิ x ไอแซค ถ้าอยากได้เดี๋ยวจัดให้ครับ (ฮา)

    ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเมนต์อันมีค่าของโบะๆ
    แต่ทำไมอเซแมกในสายตาโบะๆมันจืดจางอย่างนั้นละ (ฮา)
  19. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 15



    เศษไม้กระจัดกระจายเต็มพื้น บางท่อนมีรอยไหม้ที่ปลายควันไฟยังลอยออกมาจางๆ ดวงดาวยังสุกสกาวอยู่เต็มท้องฟ้าแต่ใบหน้าของห้าคนที่เหลืออยู่กลับหม่นหมอง ท่ามกลางความนิ่งเงียบยาวนานสายลมก็พัดหอบเอาความหนาวเย็นยะเยือกเข้าหาทุกคน


    “เฮ้ สองคนนั้นยังไม่ได้ตายสักหน่อย เจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน” อากิรอสพูดขึ้นเมื่อเห็นเทรนยกมือขึ้นปาดน้ำตา
    “ปะ เปล่านะ! ฝุ่นมันเข้าตาต่างหากละ” นักดาบสาวตอบกลับ
    “สองคนนั้นไม่เป็นอะไรหรอก” เบลลานี่บอกกับเทรน
    “ข้าก็รู้ แต่ว่า...” เทรนขัดขึ้น
    “หากตามลงไปตอนนี้จะยิ่งอันตรายกันหมดทุกคน ป่าข้างล่างนั่นมีพวกอสูรอยู่เต็มไปหมด” ไอแซคอธิบาย
    “งั้นก็ยิ่งต้องไปช่วยไม่ใช่เหรอ?” เทรนยิ่งร้อนใจมากขึ้น


    อเซแมกยกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของลูกศิษย์แล้วตบที่บ่าเบาๆ
    “เชื่อใจในสองคนนั้นหน่อยสิ”


    “นี่ถ้าไม่มาพักตรงนี้ก็คงจะดีกว่านี้หรอก” อากิรอสที่นั่งหลับตาพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลนัก
    “เจ้าจะบอกว่าเป็นความผิดของข้าที่นำทางมาที่นี่อย่างนั้นสิ” ไอแซคหันไปถาม น้ำเสียงดุดันขึ้นเล็กน้อย
    “ข้าไม่ได้เอ่ยชื่อของเจ้าเลยนะ อย่าร้อนตัวสิ” อากิลืมตาขึ้นมองไอแซคอย่างแข็งกร้าว ไอแซคจ้องกลับเช่นกัน


    บรรยากาศเริ่มตึงเครียดเพราะคนทั้งสอง เทรนเริ่มหวาดๆว่าอีกประเดี๋ยวสองคนนี้ต้องทะเลาะกันแน่ๆ แล้วครั้งนี้ก็คงจะรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านๆมา


    “อากิรอส”

    อเซแมกเอ่ยเรียกชื่อของจอมเวทหนุ่มขัดขึ้นก่อน

    “ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังหงุดหงิดแต่นี่ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น หากจะต้องมีคนรับผิดชอบก็ต้องเป็นพวกเราทุกคนที่ประมาทเลินเล่อกันเอง”


    ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกเพราะต่างรู้อยู่แก่ใจตน



    “ท่านไอแซค พรุ่งนี้ข้ารบกวนท่านช่วยนำทางลงไปข้างล่างหน้าผานั่นให้ด้วย พวกข้ามาพร้อมกันก็ต้องกลับพร้อมกันเท่านั้น” อเซแมกหันไปบอกกับไอแซค ทั้งสองนิ่งมองกันอยู่สักพัก
    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นละนะ เจ้าเป็นคนตัดสินใจนี่นา” ไอแซคตอบตกลง

    “เจ้าไปพักได้แล้ว คืนนี้ข้าจะเฝ้ายามให้เอง” อเซแมกหันไปบอกลูกศิษย์
    “งั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน คืนนี้ข้าคงนอนไม่หลับหรอก” อากิรอสขยับตัวลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเขา




    ที่ชายป่าอีกฟากหนึ่ง อเซแมกและอากิรอสกำลังคุยกันแต่ทั้งคู่ก็ไม่ลืมที่จะระแวดระวังรอบด้านและจับตาดูคนอื่นๆในกลุ่มที่นอนพักกันอยู่ เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ได้บั่นทอนกำลังใจและความเชื่อมั่นของทุกคนลงให้พังทลายลงไปเรียบร้อยแล้ว


    “เรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อครู่ เจ้ายังอยากจะเล่าต่อไหม?” อเซแมกถาม
    อากิหลับตานิ่งถอนหายใจเบาๆ “รอให้กลับมาครบทุกคนก่อนแล้วข้าจะเล่าให้ฟังทีเดียว ขี้เกียจเล่าซ้ำ”
    “ก็ตามใจเจ้า” อเซแมกยักไหล่
    “เจ้าคงไม่หมดเรื่องจะคุยแค่นี้ใช่ไหม?” คราวอากิรอสเป็นฝ่ายถามกลับ


    อเซแมกนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
    “ข้ารู้ว่าเจ้ากับกุห์ฟานมีเรื่องที่ต้องสะสางกันและข้าก็คงจะเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ แต่ข้าก็พูดชัดแล้วเหมือนกันว่าทุกคนมาพร้อมกันและกลับพร้อมกัน เจ้าจะรับปากข้าได้ไหม?”


    อากิรอสนิ่งเงียบไม่ตอบคำใด อเซแมกก็นิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใดอีก



    อากิรอสยื่นกำปั้นขวาขึ้นมาหาอเซแมก “ก็ได้ ข้ารับปากเจ้าว่าข้าจะไม่ตายจนกว่าจะกลับไปพร้อมกับเจ้า”
    “ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะไปตายที่ไหนข้าก็คงห้ามไม่ได้แล้วละ” อเซแมกยกกำปั้นซ้ายขึ้นชนกับกำปั้นของเขาแทนการจับมือ

    “ป่านนี้เจ้านั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ” อากิรอสพึมพำเบาๆ






    คงเป็นโชคดีของมาเรียและทากะที่เบื้องล่างหุบเหวลึกเป็นป่าทึบ กิ่งก้านที่ใหญ่โตและแข็งแรงรองรับร่างของพวกเขาไว้ก่อนที่จะตกกระแทกพื้น ทากะเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของมาเรีย รอยแผลฉกรรจ์จากเขี้ยวของเสือดำปรากฏเหนือราวนมและแผ่นหลังเลือดไหลอาบทั้งร่างให้แดงฉาน


    เสียงคำรามของอสูรดังก้องไปทั่งป่า ครู่เดียวก็มีเสียงคำรามขานรับดังตามมาอีกทั่วทั้งป่า


    ทากะรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเขาจึงเร่งมือปฐมพยาบาลเธอให้เร็วที่สุด เขาถอดผ้าคลุมที่ชุ่มไปด้วยเลือดออกจากตัวเธอ เอื้อมมือไปปลดตะขอเสื้อที่ด้านหลังออกแล้วล้วงหยิบยาห้ามเลือดสูตรพิเศษที่เขาพกติดตัวตั้งแต่ออกจากอาณาจักรโรยใส่ปากแผลจากนั้นใช้มือบดขยี้ยาให้ซึมลึกลงไปถึงเนื้อใน ร่างของมาเรียกระตุกไหวตามแรงกดของนิ้วมือ เสียงครางดังออกลำคอเบาๆ

    เหมือนกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ที่ดึงดูดเหล่าแมลงให้เข้ามาดอมดม เลือดสดๆของมาเรียก็เชื้อชวนเหล่าอสูรทั้งหลายให้เข้าหาเช่นกัน




    เสียงคำรามดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแถมมาจากรอบทิศทาง กิ่งไม้ไหวเอนมุ่งหน้ามาที่เขา ทากะเร่งใส่ยาตรงแผลที่แผ่นหลังแล้วฉีกปลายผ้าคลุมของตัวเองเป็นชิ้นๆวางทับบนปากแผล จากนั้นฉีกผ้าคลุมที่เหลือเป็นริ้วยาวใช้แทนผ้าพันแผล เขาพยายามทำอย่างรวดเร็วแต่เบามือที่สุด

    เมื่อปิดปากแผลเรียบร้อยแล้วทากะบรรจงประคองขึ้นขี่หลังแล้วมัดด้วยผืนผ้าคลุมของมาเรียไม่ให้เธอลื่นไถลพลางหันมองหาสถานที่ที่จะใช้ซ่อนตัวหรือตั้งหลักรับมือพวกอสูรจำนวนมากที่กำลังรุดหน้ามา โชคดีที่บนหน้าผามีชะง่อนหินอยู่ไม่สูงมากนักเขาจึงกระโดดลงจากต้นไม้แล้วออกวิ่งไปยังทิศทางนั้น



    หมาป่าตัวใหญ่พอๆกับลูกวัวกระโจนเข้าใส่ระหว่างที่เขากำลังวิ่ง แต่ดาบญี่ปุ่นคมกริบก็สะบัดออกไปตัดหัวของมันขาดออกจากร่างอย่างทันท่วงที แต่หมาป่าอีกสามตัวก็วิ่งสวนมาจากด้านหน้า


    “เฮ่อ ไปกินอะไรมาถึงได้ตัวหนักขนาดนี้เนี่ย วิ่งไม่ถนัดเลย”


    พูดจบคำร่างของหมาป่าสามตัวก็เหวอะไปด้วยแผลจากคมดาบตายคาที่ เขารีบวิ่งให้เร็วขึ้นเพราะรู้ดีว่าหมาป่าฝูงหนึ่งอย่างน้อยๆก็ต้องมีถึงยี่สิบสามสิบตัว ทางเดียวที่จะพ้นจากปัญหายุ่งยากที่จะตามมาก็คือหนีให้ไวที่สุด

    ทากะมาถึงหน้าผาก็ไม่รอช้าที่จะปีนขึ้นไปทันที เขาตรวจสอบแผลของมาเรียอีกครั้งก็พบว่าที่เริ่มมีเลือดซึมออกมาเปื้อนผ้าพันแผลให้เห็น

    “กัมบาเระ กัมบาเระ” (อดทนไว้นะ พยายามเข้า)



    แม้จะอยู่บนชะง่อนหินแต่มันก็ไม่ได้สูงมากนัก ฝูงปีศาจวานรเริ่มปีนป่ายขึ้นมาเรื่อยๆ พวกมันมีขนาดสูงใหญ่กว่าแปดฟุตแต่คล่องแคล่วเกินขนาดตัว สติปัญญาก็ไม่ด้อยไปกว่าบรรพบุรุษเพราะพวกมันหยิบเอาก้อนหินและหักกิ่งไม้เป็นอาวุธเขวี้ยงเข้าใส่

    ทากะคอยหลบก้อนหินที่พุ่งขึ้นมาเป็นระยะพร้อมกับกระชับดาบในมือเตรียมพร้อม เมื่อปีศาจวานรตัวไหนโผนกระโจนเข้าหา ดาบจะถูกกระชากออกอย่างรวดเร็วด้วยวิชา ‘อิไอ’ ที่เขาฝึกปรือจนช่ำชอง ปลิดชีวิตของมันในพริบตา

    เขาเหลือบมองลองไปด้านล่าง แววตาของสัตว์ป่าที่เปล่งประกายในความมืดมีมากจนนับไม่ได้






    รุ่งเช้าหวนกลับมาอีกครั้งพร้อมแสงอาทิตย์สาดส่องจากขอบฟ้าบูรพาทิศ ไอแซคนำทางทุกคนลงมายังเบื้องล่างของหุบเขาเพื่อตามหามาเรียที่ร่วงลงมาพร้อมเสือดำและทากะที่กระโดดตามลงมาช่วย



    “คิดไว้แล้วว่าผ่านไปง่ายๆไม่ได้แน่ๆ” เบลลานี่ประเมินสถานการณ์จากพวกอสูรที่เริ่มกรูกันเข้ามาหา พวกเขาต่างก็รับมืออย่างใจเย็นและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


    “วันนี้ข้าขอลุยเต็มที่แต่เช้าก็แล้วกัน”

    เทรนพุ่งออกไปก่อนใคร ดาบเล่มใหม่ที่ได้รับมาจากอาจารย์ถูกดึงออกจากฝักมาใช้งาน คมดาบแวววาวสะบัดไปทิศใดก็สามารถปลิดชีวิตเหล่าอสูรลงได้ในพริบตา ท่าร่างอ่อนช้อยแต่มั่นคงดุจภูผา แววตาเปล่งประกายอาจหาญและความเยือกเย็นในเวลาเดียวกัน


    “อาจารย์อย่าช้าสิ มาเรียกับท่านทากะกำลังรออยู่นะ” เทรนตะโกนบอกกลับมาทั้งๆที่ตะลุยขึ้นหน้าไปเรื่อยๆ

    “เห นี่ทำได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” อเซแมกตะลึงไปกับการเปลี่ยนแปลงของลูกศิษย์สาว
    “นี่แหละนะคนเป็นอาจารย์ มัวแต่ห่วงนั่นห่วงนี่จนมองไม่เห็นการเติบใหญ่ของลูกศิษย์” อากิรอสตบบ่าเขา “ระวังลูกศิษย์จะแซงหน้าไปนะ”

    “หึหึ” อเซแมกหัวเราะเบาๆ “แค่นี้ยังเด็กๆน่า”





    ร่างของมาเรียเริ่มขยับเล็กน้อยเมื่อแสงร้อนแรงจากดวงอาทิตย์กระทบเปลือกตา แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลก็แล่นเข้าสู่สมองทันทีเมื่อเธอได้สติสัมปชัญญะ

    “โอ๊ย!” เธอยกมือขึ้นแตะแผลที่ไหล่
    “อย่าเพิ่งขยับตัวนะขอรับ เดี๋ยวปากแผลจะเปิด”


    สำเนียงเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น มาเรียค่อยๆเผยอเปลือกตามองเห็นแค่เพียงแผ่นหลังและผ้าคลุมที่พลิ้วไหว ประกายแสงลอดผ่านข้างใบหน้าของเขาจนแสบตา เธอยกมือขึ้นป้องแสงไว้เพื่อจะมองชัดๆ

    “เจ้าเองเหรอ? แล้ว... ที่นี่มันที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับข้า” มาเรียพยายามขยับตัวนั่งพิงกับหน้าผาให้ถนัด ท่าทางยังงัวเงียมึนงง

    “เมื่อคืนนี้ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ มีเสือตัวหนึ่งบุกเข้ามาโจมตีแล้วก็กัดแม่นางเข้า มันลากแม่นางหนีมาจนตกจากหน้าผา”

    “เจ้ามาคนเดียว? แล้วคนอื่นละ?” มาเรียถามพยายามคิดปะติดปะต่อเรื่องราว
    “ทุกคนกำลังเดินทางมาสมทบขอรับ” ทากะตอบ

    สายตาของมาเรียเริ่มคุ้นชินกับแสงสว่าง เธอลืมตามองให้ถนัดๆก็เห็นแต่ป่ากว้างใหญ่เขียวขจี อีกฟากหนึ่งเป็นทิวเขาสูงใหญ่ตระหง่าน

    “ดื่มน้ำสักหน่อยนะขอรับ” ทากะหยิบถุงใส่น้ำที่วางอยู่ข้างๆมาบรรจงประคองให้เธอดื่ม
    “ช้าๆขอรับ เดี๋ยวจะสำลัก”

    สีหน้าของมาเรียเริ่มดีขึ้นหลังจากดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่แต่ก็ยังดูซีดเซียวอยู่ดี


    เสียงการต่อสู้ดังแว่วมาไม่ไกลนัก มาเรียและทากะหันตามต้นทางของเสียง



    “มาเรียยยยยยยยยยยย!!” เสียงของเทรนดังนำหน้ามาก่อน ตามด้วยเสียงระเบิดหนึ่งครั้งพร้อมกับเปลวไฟลุกโชติช่วงกลางป่า
    “จังหวะนี้แหละ อากิ!” เบลลานี่ตะโกนบอกคู่หู

    ทุกคนช่วยกันเปิดทางให้อากิรอสไปรักษาอาการบาดเจ็บของมาเรีย


    “อาควูโลนิ” (สายลมแห่งแดนเหนือ)
    ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นสู่อากาศโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ชะง่อนหินที่ทากะและมาเรียอยู่ เหนี่ยวยักษ์ตัวหนึ่งทะยานขึ้นจากป่าตามหลังอากิรอสไปติดๆหมายจะขยุ้มขย้ำเขาเป็นเหยื่อ ทากะที่อยู่ด้านบนเตรียมใช้วิชาดาบอิไอจัดการกับมัน



    ฉึก! ฉึก!
    ลูกธนูสองดอกพุ่งขึ้นมาปักเข้าที่ลำคอและกลางอกของอย่างแม่นยำ มันบินเซไปเซมาก่อนจะร่วงหล่นลงพื้น อากิเหลือบมองลงไปเห็นไอแซคกับธนูคู่ใจ แม้จะไม่ชัดนักแต่เขาก็เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเอลฟ์ผู้หยิ่งทะนง


    เมื่อถึงที่หมาย อากิรีบเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของมาเรียทันที

    “มาช้านะขอรับ” ทากะกล่าว
    “ใครจะใจร้อนกระโดดลงหน้าผาตามมาอย่างเจ้ากันละ” อากิประคองร่างของมาเรียให้ลุกนั่งตรงๆแล้วแกะผ้าพันแผลออก
    “ข้าน้อยนึกว่าท่านเป็นแบบนั้นเสียอีก”
    “ข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้เหมือนกันแหละนะ” จอมเวทหนุ่มตอบกลับ “วันนี้เจ้าพูดมากผิดปกตินะ ทากะ”


    ทั้งสองยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย อากิรวบรวมสมาธิถ่ายทอดพลังเวทจากฝ่ามือรักษาอาการบาดเจ็บของมาเรีย เบลลานี่ตามขึ้นมาสมทบ

    “เป็นไงบ้างอากิ” เบลถามขึ้น นั่งลงข้างๆเขา
    “บาดแผลสาหัสพอสมควร” อากิรอสตอบ
    “งั้นข้าช่วยอีกแรง” เบลประสานมือเข้ากับมือของอากิ ถ่ายทอดพลังเวทรักษามาเรียพร้อมกัน

    “ไม่คิดเงินใช่ไหม?” มาเรียถามพร้อมยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง
    “ใครว่าละ ข้าคิดแพงมากต่างหาก” เบลยิ้มตอบเธอ


    ทากะค่อยๆไถลตัวลงมาเบื้องล่าง

    “ท่านทากะคะ มาเรียเป็นยังไงบ้าง?” เทรนถามทันทีที่เขาเดินเข้ามาหา
    “ยังไม่ตายขอรับ สองคนนั้นกำลังรักษาอยู่”

    เทรนถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้รับคำตอบ สีหน้ากลับมายิ้มแย้มเช่นเคย “ค่อยยังชั่วหน่อย”

    “มาเรียคงดีใจนะขอรับที่มีคนเป็นห่วงนางมากขนาดนี้” ทากะบอกกับเทรน
    “คงไม่ดีใจเท่ากับมีใครกระโดดลงหน้าผาลงมาปกป้องหรอกค่ะ” เทรนตอบกลับเขา
    “หือ? หมายความว่ายังไงขอรับ”

    เทรนไม่ตอบได้แต่ยิ้มให้เขาอย่างเดียว


    “ถ้าตามลงมาแล้วยังช่วยมาเรียไม่ได้ ข้าจะอัดเจ้าให้จำทางกลับอาณาจักรมายาไม่ถูกเลย”
    อเซแมกตบไหล่เขา ทากะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

    “แล้วจะเอายังไงต่อละ อยู่ตรงนี้นานๆไม่ได้หรอกนะ” ไอแซคถาม “สัมผัสของข้าบอกว่าพวกอสูรทั่วทั้งป่ากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
    “หากยังรักษามาเรียไม่เสร็จ พวกเราก็ต้องปักหลักอยู่ตรงนี้เท่านั้น”


    เบลลานี่กระโดดลงมาหา อากิรอสอุ้มมาเรียดิ่งตามลงมาช้าๆ

    “อาการของมาเรียพ้นขีดอันตรายแล้ว เรารีบกลับไปด้านบนกันก่อนเถอะค่ะ” เบลบอกกับทุกคน
    “งั้นก็ดี ไปกันได้เลย” อเซแมกบอกกับไอแซค เขาพยักหน้าแล้วเดินนำหน้าไป

    “เอ้า! หน้าที่เจ้ายังไม่จบนะ” อากิอุ้มมาเรียมาส่งให้ทากะ
    “ไม่ละขอรับ หนักแบบนี้ข้าคงอุ้มไม่ไหว”
    “เจ้าว่าใครหนักกันยะ!” มาเรียลืมเจ็บแผดเสียงใส่เขา
    “ท่าทางแข็งแรงแบบนี้ให้เดินเองจะดีกว่าไหมขอรับ”
    “อย่ามาซึนเดเระน่าทากะ เอ้า! ไปกันได้แล้ว” สุดท้ายอากิก็ยกมาเรียขึ้นขี่หลังทากะจนได้



    ไอแซค เทรน และอเซแมกคอยต่อสู้เปิดทาง ส่วนอากิรอสและเบลลานี่คอยระวังหลังให้ จนบ่ายคล้อยพวกเขาก็กลับมาด้านบนยอดเขาได้

    “วันนี้พักกันเร็วหน่อยละกัน” อเซแมกบอกไอแซค
    “ข้าเห็นด้วย” ไอแซครับคำ


    “เทรน! ไปลองหาสมุนไพรแถวๆนี้ แล้วก็รบกวนเบลช่วยทำข่ายมนตรารอบๆแถวนี้ให้ด้วย”
    “อากิรอสรักษามาเรียต่อ ส่วนทากะเจ้าไปตัดฟืนมาเยอะๆหน่อยแล้วกัน”

    อเซแมกตัดสินใจแบ่งหน้าที่อย่างรวดเร็ว ทุกคนพร้อมใจทำตามโดยไม่มีการอิดออดแต่อย่างใด และในขณะที่อากิรอสเดินผ่านไอแซคนั้น


    “ขอบใจ” อากิพูดเบาๆให้เพียงไอแซคได้ยิน
    “อะไรกันนี่? ข้านึกว่าเจ้าจะพูดคำนี้ไม่เป็นเสียอีก” ไอแซคตอบกลับฟังดูเหมือนจะประชด แต่ท่าทางของเขาไม่เป็นเช่นนั้น
    “ครั้งหน้าข้าจะให้เจ้าเป็นฝ่ายพูดบ้างก็แล้วกัน”
    “ถ้าเจ้าทำได้นะ”

    ทั้งคู่จ้องตากัน แต่คราวนี้ไม่ใช่สายตาดุดันหาเรื่องหากแต่เป็นแววตาที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในกันและกัน



    อากิรอสเดินแยกตัวไปรักษามาเรีย ไอแซคเข้าไปคุยกับอเซแมก

    “ดูเหมือนจะต้องชะลอการเดินทางไว้ก่อนสินะ”
    “ไม่มีปัญหา ความปลอดภัยของทุกคนเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง” หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าตอบ
    “ท่านไม่กลัวว่าดอกไม้จะถูกกุห์ฟานชิงไปก่อนอย่างนั้นหรือ” ไอแซคถามคำถามสำคัญ
    “ถึงเวลานั้นก็แค่ต่อสู้แย่งชิงมาก็พอแล้ว”
    “หืม? การใช้กำลังแย่งชิงแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกโจรเลยสิ” ราชองค์รักษ์แห่งอาณาจักรซีเรยังคงข้องใจ

    “ที่ท่านพูดก็ไม่ผิดหรอก” อเซแมกยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะตอบคำถามที่เหลือ
    “ข้ามิได้มุ่งหวังเพียงนำดอกไม้กลับไปให้เสร็จสิ้นภารกิจเท่านั้น หากแต่เป็นการสร้างความหวังและความเชื่อมั่นให้กับทหารที่ต้องต่อสู้ในสงคราม ครอบครัวของทหารเหล่านั้นที่รอคอยให้บุตรหลานหรือคนรักของพวกเขารอดชีวิตกลับไป รวมไปถึงทุกคนที่ปรารถนาในสันติสุขที่แท้จริง”

    “ดอกไม้เจ็ดสีเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตสำหรับทุกคน เพื่อการนั้นแล้วไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะทำ”

    อเซแมกเผยแววตาแห่งความมุ่งมั่น ไอแซคเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพียงยกมือขึ้นแนบอกก้มหัวให้เขาแล้วเดินจากไป


    สุริยาเริ่มอ่อนแรงแสงแดดเริ่มอุ่น ท้องฟ้าแปรเป็นสีส้มสุกสว่างทางตะวันตก ทิวทัศน์สวยงามเช่นนี้ช่างเป็นปริทรรศน์กับชื่อหุบเขามรณะอย่างไม่น่าเชื่อ


    ทากะกลับมาพร้อมกิ่งไม้แห้งเต็มบ่าแล้วก็จัดแจงเตรียมตั้งกองไฟ เทรนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมสมุนไพรเต็มหอบ

    “ต้นนี้ใช้บดแล้วทาช่วยสมานแผล ต้นนี้กับต้นต้มกับน้ำดื่มแล้วช่วยฟื้นกำลัง ส่วนเหง้านี้สับละเอียดแล้วละลายน้ำดื่มช่วยบำรุงเลือด” เทรนท่องสรรพคุณสมุนไพรที่หามาได้ให้อาจารย์ฟัง
    “ใช้ได้ ไปตั้งไฟต้มน้ำได้เลย”

    เทรนลุกพรวดไปจัดการทันทีที่อาจารย์สั่ง เบลลานี่กลับมาจากไปสร้างข่ายมนต์เรียบร้อยแล้วก็ไปช่วยเทรนจัดการกับสมุนไพร



    หัวค่ำวันนี้ ทากะอาสาไปเฝ้าระวังระหว่างที่ทุกคนกำลังกินอาหาร

    “ท่านทากะมานั่งเถอะค่ะ ข้ากางเขตแดนไว้สองชั้นแล้วรับรองว่าไม่พลาดเหมือนเมื่อคืนแน่ๆ” เบลตะโกนเรียกทากะ สักพักเขาก็ยอมมานั่งร่วมวงกับคนอื่น


    “ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ หลายคืนที่ผ่านมาไม่มีเรื่องทำให้เมื่อคืนข้าลืมกางเขตแดนไปสนิทใจเลย”
    เบลก้มหัวขอโทษทุกๆคน

    “ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก ข้าเองก็สะเพร่าเกินไปทั้งๆที่เสือตัวนั้นอยู่ใกล้ข้าที่สุด” อเซแมกบอกกับเบล

    “ระดับอาจารย์ยังพลาดได้หรือนี่” เทรนได้ทีแหย่อาจารย์คืนบ้าง
    “ใช่! ข้าก็พลาดเป็น โดยเฉพาะเรื่องที่พลาดรับเจ้ามาเป็นลูกศิษย์นี่แหละ”

    เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับคืนสู่ทุกคนเหมือนเรื่องร้ายที่ผ่านมาเป็นเพียงหมอกยามเช้าที่จางหายเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์เจิดจ้า


    “เอาละ ได้เวลาแล้วอากิรอส” อเซแมกเรียกชื่อของจอมเวทหนุ่ม
    “ให้ตายสิ ข้าละเบื่อพวกจำแม่นจริงๆเลย” ฝ่ายที่ถูกทวงถามสัญญาบ่นอุบอิบ
    “มีอะไรเหรออาจารย์” เทรนถามแทรก

    “เจ้านี่สัญญาไว้ว่าถ้ากลับมาพร้อมหน้ากันทุกคนเมื่อไรจะเล่าเรื่องที่ค้างไว้ให้ฟังต่อ”

    “เรื่องระหว่างเขาและกุห์ฟาน”
    อเซแมกบอกออกมาตรงๆ มองจ้องไปยังอากิที่อยู่อีกฟากของกองไฟ


    มหรสพโรงใหญ่ได้ฤกษ์เปลี่ยนฉากหลัง

    To be continue

    - คุยกันท้ายตอน –

    ขอขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ครับ จะพยายามปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาจุดอ่อนต่างๆที่ทุกท่านแนะนำเข้า
    ส่วนตอนนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากเนื้อหาต่อเนื่องจากตอนที่แล้วครับผม

    Azemag A.C. McDowell

    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  20. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    รู้สึกว่าตอนนี้จะเร่งเนื้อเรื่องมากกว่าตอนที่ผ่านมานะครับ โดยเฉพาะช่วงที่บุกฝ่าเข้าไปหาทากะกับมาเรียนี่ค่อนข้างจะข้ามช็อตกันห้วนๆมากทีเดียวล่ะ

    ปล. อุตส่าห์สร้างสถานการณ์ แต่ event ระหว่างทากะกับมาเรียแทบไม่มีเลยหนอ
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    นอกเรื่อง....

    WTF !!!!
    swanton ถูกใจสิ่งนี้
  22. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    มาแบบไม่ให้ตั้งตัว หลังจากอ่านรวดไปสามตอน (ก่อนหน้านี้ไม่ได้อ่านเลย... งานเข้าตลอดดดด ก็เลยมาทบต้นทบดอกที่รีพลายนี้ละกันนะ)

    เอาจริง ๆ พวกเนื้อเรื่อง คิดว่ามุมมองของคนอื่นชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งตรูไม่ขอไปวิพากษ์ส่วนนั้นละกัน (ไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไหร่)
    แต่ถูกใจความเห็นของโบะๆมาก ทำให้เคลียร์ว่าส่วนที่ขาดคืออะไร
    อย่างที่ว่าหล่ะ บทเน้นไปทางฉากและคำพูดมากกว่าความรู้สึกของตัวละคร คราวนี้พอมีฉากเฟทเฟล มันก็เลยโดดขึ้นมาให้เห็นมิติของเฟทขึ้น (อย่างที่พี่อีวานบอกไป)

    และก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าส่วนความรู้สึกนั่นหล่ะที่ข้าถนัด แต่ไม่ค่อยได้เห็นในเรื่องของท่านอาเซแม็ก ซึ่งถ้าถามความเห็นส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจนะ มันเป็นรูปแบบและสไตล์การเขียนของแต่ละคน เพราะจะให้อากิรอสผู้นี้มาเขียนหยอดมุขและดึงอารมณ์ระหว่างตัวละครด้วยลักษณะคำพูดที่ชัดเจนของแต่ละคนก็ทำไม่ได้เหมือนกันว่ะสหาย

    ขอบอกว่า ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้มาชอบการแหย่กันเล่น และ punch line (คำพูดหรือประโยคที่เหมือนหมัดอัดคนอ่าน ให้ประทับใจ) ของตัวละครมากที่สุดแล้ว คิดว่าอาเซแม็กเหมาะกับการจินตนาการการแสดงออกของตัวละครมากกว่าการจับจดอยู่กับความคิด (เหมือนตรูข้า) ถ้าเอามาเติมกันได้คงดีขึ้นเยอะ (แต่ก็นั่นหล่ะ เรื่องนี้ก็จะยาวเป็นล้านแปดแสนหน้า เนื่องจากว่าตัวละครเยอะดี ฮาๆๆๆๆ)

    อีกอย่างที่อยากชมจริง ๆ คือเรื่องการใช้คำกับสำนวนการเขียน ตั้งแต่อ่าน ๆ มา พบว่ามีพัฒนาการของการใช้สำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ (ถึงจะมีตะกุกตะกักบ้างในบางจุด) เช่นการใช้คำซ้อน(แต่ไม่ซ้ำ)เพื่อเน้นอารมณ์
    เช่น .........
    หมายจะขยุ้มขย้ำเขาเป็นเหยื่อ

    มันทำให้การอ่านลื่นไหลมาก (จนบางทีแอบเก็บไปใช้เป็นข้อมูลเอาไปใช้บ้าง) มีการใช้สัมผัสสระสัมผัสอักษรเพื่อลบการซ้ำคำและเพิ่มสุนทรีย์ทางภาษา ชอบนะ (บางช่วงที่อ่านไปยังรู้สึกว่า ยังกับอ่านฟิคตัวเองเลย เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ตามอ่านฟิคคนอื่น แล้วพบว่าคนแต่งมักไม่เล่นกับคำ ใช้การเน้นหนักที่เนื้อหาและการดำเนินเรื่อง ซึ่งก็เป็นอีกสไตล์ แต่มันไม่ทำให้ลื่นหูอ่ะ)

    พยายามเข้านาย คนเราก็มีสไตล์และวิธีการเขียนแตกต่างกัน เราหวังว่านายจะปรับปรุงงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สนุกขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเราจะตามเรื่อย ๆ

    เจอกันคราวหน้า เมื่ออ่านแล้วเกิดอารมณ์อยากเม้นท์นะจ๊ะ :)

    ปล. แอบมาชมพี่อีวานในนี้ละกัน ผมแอบไปอ่านฟิคของพี่อีวานไว้นิดนึง แต่มีประโยคนึงที่ติดหูมาก จนลืมไม่ลง
    "ดวงดาวบนฟากฟ้า... เจ้ากอดข้าแทนนางได้ไหม"
    (แอบอ่านถึงแค่ตรงนี้หล่ะ แต่ชอบมากกกกกก อินเลย)

    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟิคไอ้เกมเนี่ยยยยยย
    swanton และ Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  23. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อาเซแม๊กกกกกกกก!!!!!

    ขัดใจเว้ย!! จังหวะของฟิคมันเร็วไปม๊ายยย บอกแล้วอย่ามุ่งแต่ประเด็นหลักจนเกินไปฟิคมันจะห้วน ดำเนินเรื่องเร็วจะแจ้งมันก็โอเคอ่ะนะแค่มันขาดอรรถรสในการอ่านว่ะ โอยยิ่งอ่านยิ่งขัดใจ -*-
    swanton และ Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  24. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    บททิ้งช่วงเวลาเงียบๆ ใช้การเว้นบรรทัด จะช่วยได้เยอะ เป็นการทิ้งจังหวะไม่ให้มีแต่บทรับส่งกันตลอดด้วย
    ตัวอย่าง

    ทีนี้ลองปรับอีกที

    คนอื่นว่าเช่นไร แต่ผมว่าตามความรู้สึกนะ

    รอบนี้จ้อยกับอากิเม้นท์ไว้ได้ครอบคลุมมาก ในสิ่งที่ผมพูดไม่ถูก
    บททากะกับมาเรียเนี่ยยยยย แกก็รู้ว่ามันเป็นบทพัฒนาความสัมพันธ์ขั้นสุดยอด ทำไมไม่เล่นจังหวะช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ให้สองคนมีโอกาสได้พูดบ้างคุยบ้าง =A=**
    คนอ่านขัดใจฟร่ะ มองกันแป๊บๆไอ้พวกนั้นตามมาถึงแล้วไม่ต้องกลัวฟิคจะยืดหรอก ถ้าตอนนี้ไม่พอก็ขึ้นตอนหน้า บางครั้งเพื่อให้คนอ่านรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัว จำเป็นต้องยกตอนหนึ่งให้คนๆนหนึ่งเลยเสียด้วยซ้ำ
    เมื่อคนอ่านอินกับบทบาท ท่านจะเขียนอะไรก็จะง่ายขึ้น ดึงอารมณ์ง่ายขึ้นแล้วล่ะ อาเซแม็ก

    ถึงกระนั้น ทากะที่พูด "กัมบาเระ กัมบาเระ" ก็น่ารักเหลือกิน!
    ส่วนอากิรอสกับไอแซ็คก็นับวันนับมีมิตรภาพลูกผู้ชายมากขึ้น!

    ผมว่าอาเซไม่ได้บกพร่องเรื่องการบรรยายหรอก แต่อารมณ์ที่เขียนต้องใจเย็นๆลงบ้าง
    เพราะตรวจดูสำนวนอะไรก็ใช้ได้ เข้าที่แล้ว เป็นสไตล์ของตัวเอง ที่เหลือคือการดำเนินเรื่องมากกว่า
    บทต่อไป บทถ่ายทอดความหลังของอากิรอสและเบล รอติดตาม!

    ปล.

    ....อากิ!! ผมไม่ได้แจกลิงค์ให้อากิไม่ใช่เหรอ
    Shit!!!! *facepalm*
    บทแรกอ่านได้นะอากิ รับรองไม่อันตราย
    ชมตรงๆแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ :cool: ตอนแต่งไม่ได้ใส่ใจประโยคนี้เลยด้วยซ้ำ
    ปล. ถ้าไปอ่านบทสอง ตอนต้นจะกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง ลองไปอ่านดูสิ *แสยะ*
    Aki และ Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  25. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้ รู้สึกว่าเรื่องเดินเร็ว การบรรยายก็ยังพอดีขึ้นบ้าง

    แต่แอบหวังคู่ทากะกับมาเรียซักตอนหนึ่งปรากฏว่าออกมากันนิดเดียว เจอเร็วไปหน่อย รู้สึกแอบขัดใจเหมือนเม้นท์บนๆ แต่ก็ยังดีที่เห็นฉากน่ารักๆในความห่วงใยของทากะบ้าง
    ส่วนตอนที่อากิกับไอแซคกลายมาเชื่อใจกันนั้น ตรงนี้แอบคิดว่าฉากที่ไอแซคช่วยไว้มันเร็วไปหน่อย พอพูดถึงเรื่องนี้ทีหลังเลยแอบต้องขุดขึ้นมานิดนึง
    หรือจะพูดก็คือบางครั้งยังอยากให้อารมณ์โดขึ้นมามากกว่านี้ในบางฉากล่ะมั้งคะ

    ตอนนี้บรรยายลื่นไหลขึ้นมากแล้วค่ะ แต่มันไหลไปพร้อมกับความเร็วพล็อตเรื่องเลย ยังไงก็ลองชะลอและลองสื่อความรู้สึกแต่ละตัวออกมามากขึ้นดูละกันค่ะ

    รอติดตามเรื่องราวแห่งอากิซังอยู่ค่ะ ' w '
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้

Share This Page