[ฟิครับสมัคร] Mirrored Lives – Chapter 4 “To dip your toe into the cold water – ทดลองสิ่งแปลกใหม่”

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย tokichan, 17 สิงหาคม 2011.

  1. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    Mirrored Lives - Chapter 0.5 "Prelude to the Storm"


    เรื่องราวบางอย่างไม่สามารถบอกเล่าเพียงปากเปล่า
    ความรู้สึกบางอย่างไม่สามารถถูกกลั่นกรองออกมาได้ทั้งหมดด้วยลำนำเพลงที่ขับขานจากบรรพชนสู่ลูกหลาน...
    ตัวหนังสือที่นำมาเรียงร้อย ข้าพยายามบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง
    เหล่าผองเพื่อน มิตรสหาย และกลุ่มคนที่ต้องประจันหน้าด้วยความคิดเห็นที่ขัดแย้ง


    เพียงหวังว่าใครสักคน....จะพบเจอ และเก็บเศษส่วนแห่งวิญญาณของผู้คนแห่งข้าไป
    จากบทลำนำที่สะท้อนเงาแห่งชีวิตของข้านี้


    ชีวิต...เปรียบได้ดั่งเปลวเพลิงที่วูบไหว


    นี่เป็นเพียงเงาสะท้อนของเรื่องราวอันผ่านเลย...
    หนึ่งมิติของบทละครแห่งชีวิตที่พวกข้าได้โลดแล่น


    วันเวลาแทรกผ่านร่องนิ้วของข้ารวดเร็วยิ่งกว่าเม็ดทรายเนื้อละเอียด


    ช่างเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกิน....


    ======================


    สายลมหวีดเสียงร้องเมื่อโลดแล่นผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งใบโบราณ แสงจันทร์ซีดเซียวสัมผัสลงอย่างอ่อนล้าบนพื้นป่าเขียวชอุ่ม ลำแสงเงินยวงวูบไหวตามกระแสลม สรรพสิ่งยามวิกาลนั้นห่างไกลจากความเงียบงันนัก


    ร่างสูงโปร่งซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีหมอก กลืนร่างตัวเองให้เข้ากับเงารัตติกาล
    มือขาวผ่องเหยียดแบออก หยดน้ำหยดแรกจากผืนกำมะหยี่สีทมิฬถูกรองรับ


    ร่างนั้นแย้มยิ้ม


    เสียงผิวปากต่ำๆเรียกให้ดวงตาสีเหลืองอ่อนทั้งเจ็ดลืมขึ้นพร้อมกัน ร่างปราดเปรียวเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบออกมาจากสถาณที่หลับนอน สุนัขป่าทั้งหมดเหยียดกายออกบิดกล้ามเนื้อ ปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้น เสียงครางงี๊ดเบาๆดังขึ้นอย่างรักใคร่เมื่อผู้เป็นนายลูบไล้ไปตามขนสีเทาดำอย่างเอ็นดู


    “ว่าไง เด็กๆ...” มือเรียวขยับเป็นจังหวะนุ่มนวล หยอกล้อกับ'เด็กๆ'ที่ต่างพากันเบียดแทรกเข้ามาเรียกร้องความสนใจ
    “ใช่แล้วล่ะ...พายุกำลังก่อตัว” ปลายนิ้วอ่อนโยนแตะลงเบาๆบนจมูกเปียกชื้น ริมฝีปากเรียวงามเหยียดยิ้มบางเบา


    “ครั้งนี้..ไม่เหมือนครั้งก่อนๆแน่” เจ้าของเงาร่างยืดตัวขึ้นเต็มความสูง “พวกเจ้าเองก็ต้องอดทน เข้าใจไหม?”


    ชายผ้าคลุมสะบัดไหวราวกับเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของความฝัน ร่างเพรียวเหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังเปลือยเปล่าของอาชาพ่วงพี มือลูบลำคอสีเทาหม่นเบาๆก่อนกระตุ้นให้ออกเดิน


    “ได้เวลาแล้วสินะ”


    ======================


    นาฬิกาแขวนสีเงินบนผนังไม้ส่งเสียงดังเป็นจังหวะเบาๆเมื่อเข็มเรียวขยับเดิน ชายหนุ่มเจ้าของผมหางม้าสีน้ำตาลทองยาวเลยบ่าในเชิร์ตขาวหลังเคาน์เตอร์ไม้สีทึมยืนจัดเรียงขวดเครื่องดื่มอย่างไม่เร่งร้อน นัยน์ตาสีฟ้าครามเหลือบมองลูกตุ้มเงินที่เหวี่ยงเอื่อยๆไปมาสะท้อนแสงแดดอ่อนยามเช้าตรู่


    เจ้าของร้านเหล้าวางขวดวิสกี้กลับคืนไปบนชั้น มือหนึ่งเอื้อมไปเปิดแง้มบานหน้าต่างเล็กๆที่หน้าร้าน ผ้าเช็ดโต๊ะสีอ่อนถูกหยิบขึ้นมาเช็ดถูไปตามคราบน้ำค้างที่เกาะอยู่บนบานแก้วใส


    นาฬิกาแขวนตีเป็นจังหวะ บ่งบอกเวลาหกโมงเช้า
    ชายหนุ่มเริ่มนับถอยหลังในใจ


    ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง


    ปรากฏเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นตามคาด เสียงควบขี่ที่ลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้นั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดลงเมื่อมีเสียงผิวปากเป็นจังหวะคำสั่ง


    ไอแวนหัวเราะหึๆกับตัวเอง มือควานหยิบขวดแก้วบรรจุใบชาและผลไม้อบแห้งจากใต้เคาน์เตอร์ขึ้นมาอย่างช่ำชอง ปากก็เอ่ยทักทายแขกคนแรกที่เปิดประตูเข้ามาในร้านพร้อมๆกับกลิ่นอายเปียกชื้นของม่านหมอกยามเช้า


    "ว่าไง...ท่านนักล่า"


    "เป็นบาร์เหล้าแต่เปิดร้านตั้งแต่ไก่โห่...ข้าล่ะเหลือเชื่อท่านจริงๆ" หญิงสาวผู้มาใหม่ยกมือขึ้นทักทายด้วยท่าทางอิดโรย หมวกปีกกว้างและเสื้อโค้ทสีดำสนิทถูกถอดแขวนไว้ข้างประตูร้าน ร่างเพรียวในชุดสีรัตติกาลรัดกุมหยุดยืนอยู่ที่หน้าเตาผิงอิฐแดงลุกโชติช่วง มือขาวซีดทั้งคู่ยื่นออกไปอังเอาความอุ่นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าเคาน์เตอร์พร้อมๆกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่


    ไอแวนยิ้ม ดวงตาสีน้ำเงินยังคงจดจ้องอยู่ที่กาน้ำร้อนที่เริ่มเดือด


    "ทำความสะอาดเคาน์เตอร์รึยัง?" ผู้มาใหม่ถามทื่อๆพร้อมชี้นิ้วประกอบ


    "ยัง"


    "ดี จะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ" ไม่ทันสิ้นประโยค เฟรเทียร์ เอเดลไรย์ก็ฟุบหน้าลงกับพื้นผิวไม้เย็นๆอย่างหมดสภาพ


    "เหนื่อยชะมัด....."


    "ตระเวนเดี่ยวออกล่าสัตว์สามคืนสี่วัน ไม่เหนื่อยก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว" ชายหนุ่มกลอกตากับคำโอดครวญ พร้อมๆกับโขกแก้วชาแอปเปิ้ลที่ชงเสร็จแล้วเข้ากับศีรษะคนหมดแรงอย่างหมั่นไส้


    "คราวหน้าคราวหลังก็หัดเจียมสังขารซะบ้าง คุณหนูเอเดลไรย์”


    “ท่านนี่! ข้ามีทางเลือกซะที่ไหนเล่า!” 'คุณหนูเอเดลไรย์' เงยหน้าขึ้นขวับ คิ้วทั้งคู่ขมวดเข้าหากันราวกับคิดจะต่อล้อต่อเถียง แต่ถึงกับหยุดชะงักเมื่อเห็นแก้วกระเบื้องเคลือบบรรจุชาส่งกลิ่นหอมกรุ่นลอยอยู่เหนือหัว เฟรเทียร์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่ายแทบจะในทันที มือทั้งสองถลาเข้าไปรับแก้วชาไว้ราวกับของมีค่า


    "รักท่านที่สุดเลย..." หญิงสาวเจ้าของหางม้าสูงสีดำยาวมองหน้าเขาราวกับพ่อพระมาโปรด ไอแวนหัวเราะในลำคอกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของคู่สนทนา


    "เพราะให้กินฟรี?"


    “ท่านเคยให้ข้ากินฟรีด้วย?”


    “เฟรย์... อะไรอยู่ในมือเจ้า?”


    เธอยักไหล่ "ข้ายอมนั่งนิ่งๆให้ท่านด่าว่าสั่งสอนโดยที่ไม่เถียงกลับซักคำ เพราะฉะนั้นข้าถือว่าหนี้ทั้งหมดถูกหักล้างแล้ว”


    “ช่างเป็นกฏหมายที่ไร้สาระ” ผู้สงเคราะห์เครื่องดื่มฟรีเปรยด้วยน้ำเสียงยั่วแหย่ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง "ปีนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?"


    "งั้นๆ" เฟรเทียร์ตอบส่งๆ สมาธิจดจ่ออยู่กับการเป่าของเหลวร้อนๆในมือ
    "ข้าเองก็ไม่รู้ว่าฝูงกวางที่ข้าเลือกสะกดรอยมันกำลังถือศีลอดอาหาร หรือเป็นข้าที่โง่ไปเลือกเอาฝูงอดอยากเองกันแน่..."


    “ขนาดนั้นเลย?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว สีหน้าครุ่นคิดขณะลงมือชงโกโก้ร้อนอีกหนึ่งแก้วให้กับตัวเอง “ข้าเห็นเจ้าวางแผนไว้อย่างดี นึกไม่ถึงเจ้าจะกลับมากับความสำเร็จแบบครึ่งๆกลางๆ”


    หญิงสาววางแก้วในมือลง ปล่อยให้รสหวานเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆแผ่ซ่านที่ปลายลิ้น รู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิมมากนัก
    “ข้ารู้ว่าการล่าสัตว์มันเอาแน่เอานอนไม่ได้... แต่บอกตรงๆนะ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าข้าคาดคะเนอะไรผิดไป รู้แต่ว่าปีนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด...”


    ลูกสาวคนกลางของตระกูลเอเดลไรย์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะยักไหล่ ยกแก้วเซรามิคในมือขึ้นจิบอีกครั้ง


    “แต่อย่างน้อยข้าก็ได้เนื้อสดมาอย่างน้อยๆสี่สิบกิโลกรัม” เธอนับนิ้ว
    “ข้าสั่งท่านลุงที่โรงรมควันไว้ให้แบ่งให้บ้านท่านกึ่งหนึ่งแล้ว เย็นนี้ก็อย่าลืมส่งเด็กไปเอาล่ะ”


    “ยี่สิบกิโลเชียว? เฟรย์ เจ้าแน่ใจนะ?”


    “ข้าทำให้ท่านป้า ท่านไม่มีสิทธิขัด” คนโดนขัดคอโบกมือตัดบท มือขวายกขึ้นนวดต้นคอในขณะที่เธอกวาดสายตามองไปรอบๆร้านที่ยังคงร้างผู้คน


    "ว่าแต่ท่านแม่ได้แวะมาแแถวนี้บ้างไหม?"


    "มาสิ ไม่อย่างนั้นวันๆป้าจะคุยกับใคร หืมม์?"


    "ท่านป้า!"


    ไอแวนสาบานกับพระเจ้าได้ว่า – แม้จะเพียงแค่แวบเดียวก็เถอะ – เขาเห็นหางฟูๆที่กำลังกระดิกไปมาอย่างบ้าคลั่งและหูตั้งๆที่งอกขึ้นมาในทันทีที่น้องสาวข้างบ้านได้กลิ่นขนมปังอบฝีมือแม่ของเขา เฟรเทียร์กระโดดระริกระรี้เข้าหาหญิงสาววัยกลางคนในผ้ากันเปื้อนลายตารางสีหวานเข้าคู่กันกับของลูกชายราวกับลูกหมาที่ได้ยินเสียงเจ้าของบอกว่าจะพาไปเดินเล่น...


    “ท่านป้าสบายดีไหม? ข้าคิดถึงท่านแทบแย่ ก่อนข้าเข้าป่าท่านก็ไปต่างเมือง ไม่เจอกันตั้งนาน...” เฟรย์ออดอ้อนเป็นชุด จมูกสูดเอากลิ่นหอมหวานของนมเนยจนเต็มปอด


    "ข้าอาจจะกำลังหลอนประสาท แต่ข้าว่าข้าได้กลิ่นขนมปังอบที่อร่อยที่สุดในโลก!"


    เอเลน่าหัวเราะพลางกอดเธอเอาไว้แน่นด้วยมือข้างเดียว "ว่าไง เจ้าลูกหมา" ถาดขนมปังสดหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะไม้ข้างกาย เธอหยิกแก้มหญิงสาวที่เธอเฝ้าดูมาตั้งแต่เด็กอย่างรักใคร่


    "เด็กคนนี้นี่ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ ไม่ต้องมาประจบสอพลอ”


    ถึงปากจะเอ่ยดุ แต่นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่สวยที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถอดแบบมาไม่มีผิดสะท้อนประกายยินดีในคำชมนั้นอย่างชัดเจน เฟรเทียร์ยิ้มเผล่


    “เดี๋ยวป้าจะห่อให้เจ้าเอง ฝากกลับบ้านไปให้แม่เจ้าด้วยนะ"


    "รักท่านป้าที่สุดเลย..." เฟรเทียร์ครางหงุงหงิง ...ดูเหมือนวิญญาณลูกหมาขี้อ้อนยังไม่ยอมออกไปจากตัว ไอแวนนั่งมองน้องสาวต่างสายเลือดที่ยังคงกอดนัวเนียแม่ตัวเองอยู่อย่างขำๆ


    "ข้าขอท่านไปเป็นแม่คนที่สองได้ไหม? ท่านว่าไอแวนจะโกรธข้าไหม?"


    “เอาไปสิ” ผู้ถูกพาดพิงที่ย้ายมานั่งเคี้ยวขนมปังอยู่บนโต๊ะตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ขนมปังเปลือกบางกรุบกรอบถูกบิก่อนที่จะจุ่มลงในแก้วโกโก้ที่ยังคงอุ่น


    “ข้าขอแค่สัมปทานขนมปังประจำวันของข้าก็พอ”


    ผู้เป็นแม่หัวเราะหึกับประโยคนั้นก่อนที่จะหันมาสนใจกับสภาพของ 'ลูกสาว'
    "แล้วนี่เจ้าเพิ่งกลับมาสินะ? ดูซิ เนื้อตัวมอมแมมยิ่งกว่าลูกแมวในกองขี้เถ้า ทำไมไม่กลับบ้านไปนอน?"


    "ร้านท่านใกล้กว่านี่...." คนถูกดุยิ้มแก้เก้อ
    "อีกอย่าง วันนี้ข้าจองเวลาไว้ที่หอประมูลน่ะ เจ็ดโมงเช้า ฝูงม้าของข้าพร้อมประมูลแล้ว"


    ไอแวนดูเหมือนเพิ่งจะหลุดออกมาจากภวังค์ขนมปัง "ม้าป่าหรือม้าพันธุ์ล่ะ?"


    "ปีนี้ข้าไม่มีเวลาไปไล่คล้องเอาแม่ม้าป่ามาขายอย่างปีก่อนๆหรอก" เฟรเทียร์ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม ถอดถุงมือของตัวเองออกก่อนจะเช็ดมืออย่างลวกๆกับขากางเกง แล้วหยิบขนมปังขึ้นมาเคี้ยวอย่างพิจารณา


    "มิหนำซ้ำหน้าหนาวยังมาเร็ว ป่านนี้อพยพข้ามเทือกเขาไปทางตอนกลางแล้ว..."


    ไอแวนพยักหน้ารับ นักล่าดวงตกถอนหายใจพรืดก่อนที่จะจัดการกับชาและขนมปังของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย


    "ว่าไง หุ้นส่วน จะไปด้วยกันไหม?"


    "ข้าน่ะไปแน่ แต่เจ้าต้องไปล้างหน้าล้างตาก่อน"


    “หา?”


    "ถ้าขืนข้าให้เจ้าเดินเข้าหอประมูลทั้งสภาพแบบนี้ ม้าคงจะขายได้ราคาดีหรอก"


    “เสียมารยาท! ท่านนี่เป็นสุภาพบุรุษตรงไหนกัน!?”


    เอเลน่า เลห์ เชลลีย์มองภาพตรงหน้า แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข


    ======================


    ประตูไม้มะฮอกกานีหนาหนักถูกผลักให้เปิดออกส่งเสียงดังครืน ชายชรารูปร่างผอมบางที่กำลังนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่แท่นประธานตรงสุดปลายของหอประชุมสะดุ้งสุดตัว มือสั่นๆถอดหมวกของตนออกก่อนที่จะเสยเรือนผมสีดอกเลาให้เรียบร้อยเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร


    “...ตรงเวลาเผงทีเดียว แม่สาวน้อย”


    ทั้งไอแวนและเฟรเทียร์ยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกซ้ายพร้อมค้อมหัวเป็นการทักทาย


    “ไม่ได้เจอกันนานนะคะ ท่านเวเนส”


    เจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลที่ตอนนี้ถูกหวีและมัดรวบขึ้นใหม่อย่างเรียบร้อยเอ่ยทักทายเมื่อยืดตัวขึ้นอีกครั้ง เสื้อผ้าสีเข้มขมุกขมอมถูกเปลี่ยนแทนที่ด้วยชุดลำลองเสื้อเชิร์ตสีเทาทับด้วยกั๊กสีครีมอ่อนและกางเกงหนังลูกวัว ส่วนไอแวนเพียงถอดผ้ากันเปือนลายน่ารักออกเท่านั้น


    “สวัสดีๆ มากันทั้งคู่เลยนี่ ทั้งเอเดลไรย์ ทั้งเลห์ เชลลีย์” โรเดริค เวเนส เจ้าเมืองกรีนชิลด์รุ่นที่ 47 กระแอมไอก่อนโบกมือน้อยๆ


    “เอาล่ะ ไม่ต้องมากพิธี ไปตรวจดูสินค้าของพวกเจ้าก่อนเถอะ อีกยี่สิบนาทีการประมูลถึงจะเริ่มต้น”


    ไอแวนขยับผ้าพันคอสีนิลให้เข้าที่อีกครั้งเมื่อทั้งคู่เดินห่างออกมาแล้ว “เจ้าเอามาหมดทั้งคอกเลยหรือ เฟรย์?”


    “ไม่หรอก ข้าเก็บตัวที่ฝีเท้าดีๆไว้เก็งราคาอีกที....ทำไมหรือ?”


    “เมื่อคืนข้าได้ยินแขกที่ร้านคุยกันว่างานประมูลคราวนี้...” นัยน์ตาสีครามกวาดมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนจะลดเสียงลง
    “ว่ากันว่าจะมีคนจากเมืองหลวงมาร่วมด้วย”


    “...ไอฟ์......ที่นี่กรีนชิลด์นะ?”


    ไอแวนหรี่ตาลง “อย่าทำเสียงเหมือนข้าอายุสมองสักห้าขวบได้ไหม?”


    “เหล้าเถื่อนไหลขึ้นไปกัดสมองท่านแน่ๆ....”


    “เฟรย์....”


    “ขอโทษๆ... ข้ารู้แล้วน่า” เฟรเทียร์ผลักประตูคอกม้าด้านหลังหอประชุมเปิดออก เธอผิวปากหวีด เพียงครู่เดียวก็ได้รับความสนใจจากม้าฝึกพันธุ์ดีทั้งหมดในคอกนั้น


    “แต่มันก็ไม่น่าเชื่ออยู่ไม่ใช่รึไง ถึงจะเป็นท่านพูดก็เถอะ เมืองหลวงห่างจากที่นี่แค่ไหน ระยะบินหากเอาอินทรีสีทองมาวัดก็ตั้งสามอาทิตย์ ห้อม้าชั้นดีไปตัวเปล่าอย่างน้อยสุดใช้เวลาสองสามเดือน ใครที่ไหนจะใช้คนมาประมูลม้าถึงที่นี่....”


    ไอแวนยักไหล่ “เจ้าก็ดูไปก็แล้วกัน...”


    เฟรเทียร์พยักหน้าเนิบๆ “ไอแวน ท่านช่วยนับจำนวนม้าให้ข้าแล้วไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบที ข้าจะขอตรวจเช็คสภาพจิตใจของเจ้าพวกนี้ก่อนที่แขกจะเข้ามาดู...”


    ======================


    อีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ไอแวนพบเฟรเทียร์กำลังนั่งสัปหงกอยู่หลังหอประชุมที่ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ผ้าพันคอผืนนุ่มที่หล่อนขโมยไปจากเขาถูกพันเอาไว้รอบๆครึ่งล่างของใบหน้า ชายหนุ่มหัวเราะหึๆเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจฟี้ๆ ดังขึ้นเบาๆเป็นจังหวะใต้ผืนผ้าสีเข้ม
    เขาทรุดตัวนั่งลงข้างๆเธอ สายตากวาดมองรอบหอประชุมโอ่โถงอย่างช้าๆ ราวกับจะเก็บรายละเอียดของนักประมูลทุกคน ในขณะเดียวกันก็ก้มลงกระซิบเรียกอีกฝ่ายให้ตื่น


    “เฟรย์...เฟรย์.....ตื่นได้แล้วนะ เฮ้ ฝูงม้าของเจ้ากำลังจะถูกขายออกไปด้วยราคาห้าร้อยห้าสิบเหรียญแล้วนะ...”


    “อือ....ขอโทษที..” แพขนตาหนาปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะกระพริบถี่สองสามครั้ง ทำความเคยชินกับแสงแดดที่ลอดผ่านกระจกสีลงเงาของห้องประชุม


    ห้าร้อยหกสิบเหรียญ ปัง! ห้าร้อยแปดสิบเหรียญ ปัง!


    “สถาณการณ์ตอนนี้?”


    “ดูเหมือนว่าจะเหลือแค่สองคนที่กำลังประมูลแข่งกันอยู่...” ไอแวนพยักเพยิดไปทางด้านหน้าห้องโถง เฟรเทียร์หรี่ตาลงเพ่งมอง เห็นชายหนุ่มในวัยสามสิบกลางๆ แต่งตัวโอ่อ่าด้วยผ้าไหมหนาหนักกำลังยกมือขึ้นเสนอราคา สองแถวถัดไปมีหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆคนหนึ่งแสดงทีท่าว่ากำลังครุ่นคิดหนักอยู่ ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นเสนอราคาที่สูงกว่าอีกครั้ง


    สหายร่วมหุ้นผิวปากเบาๆ “ม้ายี่สิบห้าตัวได้ราคาขนาดนี้...”


    เฟรเทียร์ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันน้อยๆอย่างใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


    “ไอฟ์ ยกมือเสนอราคา ข้าให้เจ็ดร้อยห้าสิบ”


    ชายหนุ่มคู่หูหันมามองเธออย่างไม่เชื่อสายตา แต่ก็ยังคงยกมือให้ราคาไปตามนั้น เขาพยายามทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนเมื่อนักประมูลทั้งคู่หันขวับมามอง ชายมีฐานะจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหญิงสาวคนนั้นดูราวกับกำลังสั่นกลัวอะไรบางอย่าง


    เฟรเทียร์ยักไหล่ก่อนจะซบศรีษะลงกับไหล่ไอแวนอย่างไม่ยี่หระ ดวงตาสีเขียวสดถูกซ่อนหลังเปลือกตาบางอีกคราเมื่อเจ้าของร่างตั้งท่าจะหลับอีกรอบ


    “เวลาแบบนี้ ถ้าได้น้อยกว่าตัวละสามสิบเหรียญ ข้าไม่ขาย”


    ไอแวน เลห์ เชลลีย์ ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของตัวเองเป็นครั้งที่สองของวัน


    ======================


    เวลาล่วงเลยจนเกือบหัววันแล้วกว่าจะดำเนินเรื่องขนย้ายสินค้าให้กับชายผู้ชนะการประมูลได้แล้วเสร็จ เจ้าของร้านเหล้ายกมือขึ้นป้องแสงอาทิตย์ที่สาดจ้าจนแสบตาเมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากหอประชุม


    “แปดร้อยห้าสิบเหรียญ....เชื่อเจ้าเลย เฟรย์” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองมัดรวบตบถุงเงินที่แขวนไว้ที่เข็มขัดหนังข้างกระบอกปืนคู่ใจของตนเองเบาๆ น้ำเสียงเจือพิศวงอยู่บ้าง


    “แต่พูดกับเจ้าตรงๆนะ เรื่องครั้งนี้มันแปลกๆยังไงอยู่...”


    “หากชายคนนั้นอุตส่าห์ดั้นด้นมาจากเมืองหลวงอย่างที่ท่านว่าจริง พ่อค้าวิสัยทัศน์ไกลจะต้องมองผ่านเงินแค่ร้อยสองร้อยเหรียญไปถึงกำไรก้อนใหญ่ในอนาคตแน่...” เฟรเทียร์สาวเท้าเดินอย่างเนิบๆ ก้านดอกหญ้าในปากไหวไปมาตามลม มือทั้งสองประสานกันอยู่ที่ท้ายทอย


    ไอแวนขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่เมืองหลวง”


    ทายาทสกุลเอเดลไรย์พยักหน้าให้กับคู่สนทนา แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรต่ออีก ก็มีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาแทรกเสียก่อน


    “ขออภัยที่มาขัดจังหวะ สหาย”


    ...เรือนผมสีน้ำเงินเข้มยุ่งเหยิงดูผิดที่ผิดทาง
    รอยยิ้มสบายๆบ่งบอกนิสัยบนใบหน้ากร้านแดด
    เครื่องแต่งกายบนร่างอยู่ดูขมุกขมอมราวกับไม่ได้ซักล้างมาเป็นเวลานาน แต่ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพที่ดี



    “ไม่ทราบว่าในกรีนชิลด์จะมีร้านเหล้าดีๆให้นักเดินทางเข้าไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจบ้างหรือไม่?”


    ======================


    สนทนาเล็กน้อย

    Prelude มาแล้ว...แต่ยังไม่ได้เข้าเนื้อเรื่องจริงจังเลยน้า? (ฮา)
    ผู้เขียนไม่มีอะไรจะพูดมาก แต่ก็ขอฝากฟิคน้อยๆฟิคนี้ไว้ในอ้อมใจของทุกๆท่านด้วยนะคะ! *โค้งงง*
    (ยังไม่ปิดรับสมัครนะคะ แต่ตัวละครที่ fix แล้วก็จะเอาลงมาใช้เลย)

    ที่อยากรีเควสเป็นพิเศษคือ คอมเม้นท์การใช้ภาษาและคำผิด รบกวนด้วยนะคะ เพราะ..ขอสารภาพจริงๆว่า ตอนที่กำลังนั่งเทียนเขียนบทนี้อยู่....นึกออกแต่อิ้งค์จริงๆ = =!! (ภาษาไทยก็ไม่ได้เขียนนานแล้วด้วย...)

    (เชร็ทททท)

    อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยจะสู้ดี รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
    บุญรักษาทุกท่านค่ะ


    List ตัวละครที่ออก

    - ตัวละครลึกลับ (ออริจินอล)
    - เฟรเทียร์ เอเดลไรย์ (tokichan)
    - ไอแวน เลห์ เชลลีย์ (swanton)
    - เอเลน่า เลห์ เชลลีย์ (ออริจินอล)
    - ชายหนุ่มลึกลับ!! (ให้ทายซิใคร? ฮาาา)
  2. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    แค่ trailer ก็ทำเอากระวนกระวายอยากอ่านต่อแล้ว ภาษาดีครับดูเหมาะกับบรรยากาศแบบแฟนตาซียุคกลางดี ยังไงก็ขอคอยเชียร์คอยตามตอนต่อไปเลยนะ ปักเต้นท์ล่ะ!!

    ปล.ชายหนุ่มลึกลับนี้คาดว่าน่าจะเดาถูกนะ
  3. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    เหมือนจะมีพิมพ์ผิดหน่อยๆเหมือนพลาดพิมพ์ไปแบบไม่ตั้งใจมากกว่าแหะ

    รออ่านต่อคร้าบบบบ(+รอไอริสโผล่ด้วย)
  4. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    - ชายหนุ่มเจ้าของหางม้าสีน้ำตาลทองยาวเลยบ่า < < น่าจะตกคำว่า 'ผม' ไป
    ชายหนุ่มเจ้าของผมหางม้าสีน้ำตาลทองยาวเลยบ่า


    - 'คุณหนูเอเดลไรย์' เงยหน้าขึ้นควับ < < ขึ้นขวับ
    ทั้งๆที่ประโยคอื่นก็ใช้ ขวับ => ไม่รู้ร้อนเมื่อนักประมูลทั้งคู่หันขวับมามอง


    - เจ้าของเรือนผลสีรัตติกาลที่ตอนนี้ถูกหวี < < เจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลที่ตอนนี้ถูกหวี


    - เธอผิวหากหวีด < < เธอผิวปากหวีด


    - ข้าจะขอตรวจเช็คสภาพจิตของเจ้าพวกนี้ < < สภาพจิตใจ


    ส่วนสำนวนภาษาอ่านง่าย สบายๆ บรรยายเห็นภาพได้โดยไม่ต้องคิดรายละเอียดให้หนัก
    แต่บางช่วงยังขัดๆอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสไปมากมาย
  5. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    /me นั่งอ่านเรียบร้อย

    บทนำมาไวดีจริงๆแฮะ แต่พออ่านๆไปกลับรู้สึกว่าเนื้อหายาวน่าดูเหมือนกัน อ่านซะเต็มอิ่มเลย >_<
  6. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    มาลงชื่อว่าอ่านแล้วเหมือนกัน อะไรที่อยากคอมเม้นคนอื่นก็เม้นไปหมดแล้ว มาช้าก็สบายงี้แหละ เอาเป็นว่าคอยติดตามและให้กำลังใจอยู่อีกคนนะเอ้อ ฮา

    ปล.ฟิคตัวเองยังอยู่ในภาวะกำลังเขียนไปหลับไป ไม่รู้เมื่อไรเสร็จอูอาา
  7. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    มาเล่นจับผิดคำเพิ่มเติมช่วยอาเซแม็ก :3

    "ตะเวนเดี่ยวออกล่าสัตว์สามคืนสี่วัน << ตระเวน
    มือขาวผ่องเหยียดแบออก หยุดน้ำหยดแรกจากผืนกำมะหยี่สีทมิฬถูกรองรับ << หยดน้ำ
    โขกแก้วชาแอปเปิ้ลที่ชงเสร็จแล้วเข้ากับศรีษะคนหมดแรง << ศีรษะ

    ส่วนเนื้อเรื่องนั้น เฟรเทียร์น่ารักมากกกกกกกกกกกกกก!!!
    เด็กอะไรเหมาะกับคำว่า "ลูกหมา" จริงๆเลย! เป็นอานิสงค์ของบทบรรยายที่ดี ทำให้เห็นชัดว่า เฟรเทียร์เป็นลูกหมาคลุกฝุ่นจริงๆ! บทจะห้าวก็ห้าว บทจะแสบก็แสบ บทจะอ้อนก็อ้อนซ้า~ ทำเอาไอแวนเป็นลูกขุนพลอยพยักที่ต้องเดินตามต้อยๆไปเลย (5555)
    บรรยากาศในเรื่องติดกลิ่นอายคาวบอยหรือบ้านไร่นิดๆ แต่ผมก็ชอบ ชอบมากๆด้วย! เป็นฟิคที่แหวกกระแสฟิคทั้งปวงในบอร์ดตอนนี้มากที่สุด มันคงจะเป็นแนว realistic แบบ original มากกว่าแฟนตาซีถ้าจะว่ากันไปแล้ว

    เรื่องการบรรยาย ผมว่าแน็กไม่ต้องกังวลเลย เพราะ ทำออกมาได้ดีมากๆ! ที่กังวลว่าตัวเองติดสำนวนภาษาอังกฤษนั้น แง่หนึ่งมันกลับทำให้เรื่องนี้ออกมาเป็นสำนวนวรรณกรรมแปล ซึ่งใครอ่านบ่อยๆก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องปกติ หนำซ้ำ ผมชื่นชมการใช้ภาพพจน์การกระทำตัวละครบรรยาย แทนการบรรยายตรงๆ มีคำประเภท imagery หลายคำ เช่น ลูกแมวในกองขี้เถ้า (น่ารักจริงๆให้ตาย!)
    หรือบทๆนี้

    คือไม่ต้องบอกตรงๆว่าสาวน้อยคนนี้เจ้าเล่ห์แค่ไหน แต่มันก็บอกได้ทั้งหมดผ่านการกระทำตัวละคร กับคำพูดที่สื่อออกมาทุกอย่าง บอกตามตรงครับ มันทำให้ฟิคเรื่องนี้มีเสน่ห์มาก.. (ผมชอบการเรียกไอแวนว่า ไอฟ์ ด้วย ดูสนิทสนมดี) แต่เรื่อง plot นี่ต้องรอดูตอนต่อไปนะถึงจะบอกได้

    ตัวละครลึกลับนั่นผมเดาไว้ในใจแล้ว มาดูกันว่าจะทายถูกไหม :3
    >>นักเดินทางแบบนี้ เฮียจ้อยแหง<<
  8. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    บทนำบทนี้แอบยาวกว่าที่คิด แต่อ่านแล้วทำให้ได้รู้นิสัยตัวละครและจุดเริ่มต้นของเรื่องราวหลายๆอย่าง น่าสนุกจริงๆค่ะ

    การบรรยายดีค่ะ สื่อลักษณะตัวละครชัดเจนด้วย

    จะรอติดตามอ่านนะคะ
  9. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    เหมือนอ่านนิยายแนวย้อนยุค แบบคาวบอย อย่างที่มีว่ากันไปแล้ว

    อ่านจากบทเริ่มต้น พอจะจับอะไรบางอย่างได้อย่างที่บทตัวละครสนทนากัน เริ่มมองเห็นสีของเมฆที่ลอยมาแต่ไกล

    บทนำเป็นแบบนี้ ตัวบทแรกจะขนาดไหนกัน รอบทเริ่มอย่างใจจดใจจ่อ
  10. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    ก่อนจะเริ่ม ต้องขอประทานอภัยที่มาคอมเมนต์ช้านะคะ >.< อยากจะบอกว่า ความจริงอ่านมาตั้งแต่วันแรกที่ลงแล้วล่ะค่ะ (ฮา) ซึ่งจากตรงนั้นถึงตอนนี้ คงอ่านประมาณสิบกว่ารอบแล้วกระมัง 555+

    ชอบแนวเรื่องและภาษาบรรยายเอามากๆ มันเข้าคู่กัน บรรยากาศย้อนยุคกับภาษาที่...ยังไงดี...อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าภาษาที่พี่แน็กใช้ สามารถเขียนเรื่องราวที่เป็นธีมแนวยุคเก่าๆได้สวย เหมือนฟิคเรื่องที่แล้วที่เป็นยุคเซ็นโกคุของญี่ปุ่น อันนั้นก็เป็นอะไรที่อ่านแล้ว มันร้องในใจว่า สุดยอด เรื่อง Mirrored Lives ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ได้ว่าว่าภาษาโบราณนะคะ แต่มันเป็นการเลือกโครงเรื่องที่เขียน กับภาษาที่ตัวเองใช้ให้เข้ากันได้อย่างดี ถือเป็นเสน่ห์ที่รู้สึกได้

    แล้วก็การเปิดบทมาด้วยคำพูดที่ลึกลับ เกริ่นแนวทางเรื่องไว้ให้หน้าตื่นเต้นนิดๆ ก่อนจะกลับมาเป็นบทเนิบๆ แต่กลับมีความดึงดูดใจในความเรียบง่ายนั้นให้อ่านต่อ ถ้าให้พูดให้ใกล้เคียงที่สุด คงบอกได้ว่า พี่แน็กเลือกจังหวะในการดำเนินเรื่องได้ยอดเยี่ยม รู้ว่าตรงไหนควรเร่งหรือผ่อน

    ส่วนตัวละคร เฟร์เทียกับไอแวนเป็นเพื่อนที่น่ารักมากจริงๆ เฟร์เทียสมเป็นคุณหนู แต่ก็ไม่ใช่คุณหนูที่ได้แต่เอาแต่ใจแบบในนิยายไทยทั่วไป คือแบบ ดูจากท่าทางส่วนมากการกระทำเธอจะประมาณนั้นก็จริง แต่เธอดูฉลาด และมีความสามารถ เหมือนที่พี่อีวานพูดเกี่ยวกับตัวละครนี้นี่แหละ

    ส่วนที่เหลือ ก็จะขอติดตามดูกันต่อไปค่ะ
    swanton ถูกใจสิ่งนี้
  11. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    (แก้คำผิดแล้วนะฮะ *-*/)
    ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับคำชม :D หวังว่าตอนนี้จะไม่ทำให้ผิดหวังน้า~
    เดาถูกไหมเอ่ย?? ฮาาา จริงๆดูแค่สีผมก็กระจ่างแล้วมั้ง :p
    พิมพ์พลาด...มีบ่อยค่ะ อีกอย่างพวกนี้ถ้าพิมพ์ไปแล้วจะวกกลับมาหาอีกก็ยาก เพราะเป็นคนอ่านอะไรๆก็เร็ว กร๊าก
    จะพยายามต่อไปนะคะ! *นั่งเพ่งต่อไป*
    กราบขอบพระคุณท่านอาเซที่อุตส่าห์สละเวลามานั่งจับคำผิดให้ขอรับ *โค้ง*
    จะพยายามเกลาสำนวนไปเรื่อยๆเน้อ *-*/~
    ขอบคุณพี่ซาลที่อุตส่าห์มาตามอ่านฮะ :D
    ความยาวขนาดนี้โอเคเนอะ?? ทางนี้พยายามหาความยาวที่พอเหมาะสำหรับแต่ละตอนอยู่ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ' w '/!
    ฮ่าๆ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์อีกหนึ่งท่านค่ะ! ท่านจ้อยไม่ค่อยจะลงแรงเลยน้าา (ล้อเล่นนน!)
    อาดิวออกมาแล้วก็เมาเลย....
    รู้สึกเขียนไปแล้ว OOC (out of character) ยังไงชอบกล...อา......
    ขอโทษนะคะ
    *กราบแทบเท้า*
    อีวานนี่~~~!!!! *กระโดดกอดดดดดดดดดดดดดดดดดด*
    ขอบคุณสำหรับเม้นท์ที่ยาววววมาก! ฮวาาาาา ดีใจจจจ อ่านแล้วมีกำลังใจโฮกกกกกกกกกกก TwT/!!
    ดีใจมากๆ ที่ชอบเฟรย์ แต่..อย่างที่คุยกันไปแล้ว......
    ขอโทษนะที่เขียนไอฟ์ออกมาแล้วจืดจาง (กร๊าซซซซซซซ)
    อยากให้ไอฟ์หล่อกว่านี้!! ฮือออออออออออออออออ *ดิ้น*
    (ไม่รู้ว่าบทนี้จะ improve ขึ้นมามากแค่ไหนนะ ไอฟ์โดนแย่งบทเยอะมาก....แต่หน้าที่คือตะล่อมหาข้อมูลนี่นะ...)

    จริงๆแน็กเองก็ไม่ได้ดูแนวฟิคหรืออะไรหรอก...แค่ชอบมาทางนี้ อยากเขียนแนวนี้ ...สรุปว่าตามใจตัวเองสุดๆ!! ฮา ดีใจมากที่ชอบการบรรยายกัน...เพราะจะให้เขียนไปอย่างอื่นก็ไม่รู้ว่าจะเขียนยังไงดี (ฮิ้ว)
    เลิฟยูววววววว ; w ;!!!
    (บทต่อๆไป..จะพยายามให้คุณชายเรห์ เชลลีย์หล่อกว่านี้!! สัญญา!!!)
    ขอบคุณมากๆนะจ๊ะสำหรับคอมเม้นท์ ฝุ่นจังงง>3<
    น่ารักมากๆเลย อุตส่าห์สละเวลามาคอมเนท์ด้วยนะ ดีใจๆ
    บทแรกมาแล้วนะคะ หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ :D
    แบมๆ!! *กระโดดกอดด้วยความรักยิ่งงง*
    โบราณท่านว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม แบมๆทำให้พี่รู้ซึ้งเลยว่ามันเป็นยังไงงงงง
    ซึ้งมาก ถ้ายอมรอสองสามวันแล้วได้เม้นท์แบบนี้ พี่ยอมรอแบมๆทุกตอนแหละ กร๊าซ
    ภ..ภาษาพี่ไม่ได้ดีเด่อะไรมากขนาดนั้นนะ ไม่ต้องยกยอก็ได้ เขิน ; w ; แบมๆชม Blinded ด้วยยยยย กร๊าซซซ ทั้งๆที่นั่นมันฟิควายเขียนชาบูโคมาสะแท้ๆ โฮรวววว
    พ..พี่พยามดูเรื่องการเดินเรื่องอยู่ บอกตรงๆว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมัน เพราะเขียนอย่างที่อยากเขียน ไม่ได้มี editor มานั่งจ้ำจี้จำไช ฮา
    สุดท้ายนี้ เลิฟยูวววว เป็นคอมเม้นท์อีกหนึ่งที่ทำให้ซึ้งมากเช่นกันนนน

    หวังว่าตอนนี้จะไม่ทำให้ผิดหวังนะ ; w ;/
    swanton ถูกใจสิ่งนี้
  12. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    Mirrored Lives – Chapter 1 “Bloodied Trace - ร่องรอยเปื้อนโลหิต”


    ชายหนุ่มเจ้าของร้านเหล้าเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ไม้ โคลงแก้วไวน์ในมือไปมา หางตาเหลือบมองเฟรเทียร์ที่ฟุบกับโต๊ะ หลับสนิทด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่ไหลลงคอมาตั้งแต่บ่าย ไอแวนหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มชวนสหายในวงสุราสนทนาด้วยน้ำเสียงสบายๆ


    “ถ้าข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นท่านในหอประชุมเมื่อเช้านี้นะ ท่านอาดิว?”


    “หืมม? อ้อ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละนะ?” อาดิว วอซัม ชายหนุ่มผู้ยึดถือการเป็นพรานนำทางและการผจญภัยสำรวจดินแดนแปลกใหม่เป็นอาชีพตอบกลับด้วยรอยยิ้มเรื่อยๆ แก้ววิสกี้สีอำพันในมือพร่องไปเกือบครึ่ง


    “ข้าก็เดินทางร่อนเร่ไปเรื่อย ได้งานที่ไหนก็รับทำที่นั่น เมื่อเช้าที่เข้าไปนั่งดูด้วยนั่นเพราะว่าข้านึกว่าจะประมูลม้ากันเป็นตัวๆ นึกไม่ถึงว่าจะขายทั้งฝูง”


    ขวดวิสกี้ถูกยกขึ้น น้ำเมาสีอำพันไหลกระทบน้ำแข็งก้อนใหญ่เป็นเสียงกริ๊ง อาดิวหัวเราะนิดๆก่อนที่จะพูดต่อ
    “ข้าไม่มีเงินทองมากมายที่จะจ่ายซื้อม้าพันธุ์ทั้งฝูงหรอก สหาย”


    ไอแวนหัวเราะกับคำพูดนั้น ละเลียดจิบไวน์สีแดงก่ำในมือแล้วถามต่อ


    “ท่านเดินทางมาจากเมืองหลวง?”


    “นั่นก็ไม่เชิง” มือใหญ่ถูกยกขึ้นขยี้เส้นผมสีน้ำเงินที่ยุ่งจนแทบจะไม่เป็นทรงอยู่แล้วให้แย่ขึ้นไปอีก
    “ข้าไม่ได้เดินทางจากเมืองหลวงโดยตรง นายจ้างของข้า เราเจอกันที่ออสเซมปรา เมืองเล็กๆทางทิศตะวันตกตอนบน ห่างจากที่นี่พอสมควรเหมือนกัน”


    “นายจ้างของท่าน...?”


    “มาจากเมืองหลวง” วอซัมยกแก้ววิสกี้ออนเดอะร็อคขึ้นซด เพียงอึดใจเดียวในแก้วก็เหลือเพียงน้ำแข็งอีกครั้ง ไอฟ์โคลงศีรษะแล้วเอ่ยเสริมเป็นเชิงถาม


    “ท่าทางจะร่ำรวยน่าดู”


    “ร่ำรวยเงินทองน่ะใช่...” อาดิวชะงักหลังจากเริ่มประโยคไปไม่กี่คำ เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ข้าคงเมากว่าที่ข้าคิด


    ไอแวนเลิกคิ้ว จรดขอบแก้วไวน์แดงค้างไว้ที่ริมฝีปาก รอคำตอบจากอีกฝ่าย


    พรานวอซัมหลับตาลง ยกนิ้วขึ้นนวบขมับช้าๆราวกับจะพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา ก่อนที่จะยิ้มแหยๆราวกับจะขอโทษ เอ่ยตอบชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าด้วยสีหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม


    “...ข้าไม่คิดว่าข้าสมควรที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้หรอกนะ หวังว่าท่านคงจะเข้าใจ”
    เขาโบกมือไปมาในอากาศราวกับพยายามจะขยายความหมายในประโยคที่เพิ่งพูดไป


    ชายหนุ่มเจ้าของร้านยิ้มพลางเอื้อมมือมาหยิบแก้วเหล้าเจียระไนออกไปจากอุ้งมือใหญ่ น้ำแข็งก้อนเก่าที่ละลายจนเสียรูปถูกนำไปเททิ้งก่อนที่ชายหนุ่มรินเหล้าเพิ่มให้กับอีกฝ่าย


    “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ...” เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินฉายแววครุ่นคิดรินไวน์เพิ่มให้กับตัวเองหลังจากขยับขวดวิสกี้เปล่าไปให้พ้นทางแล้ว ไอแวนเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ตัดสินใจถามคำถามที่ค้างคาในใจออกไปตรงๆ


    “ท่านรู้ไหมว่านายจ้างของท่านจะเอาม้ามากมายขนาดนั้นกลับเมืองหลวงไปเพื่ออะไร?”


    อีกฝ่ายไม่ตอบภายในทันที ชายหนุ่มผู้กรำฝ่าความเลวร้ายของธรรมชาติมาแทบทุกสถาณการณ์หลบสายตาคู่สนทนา
    เพียงชั่วเวลาหนึ่ง นัยน์ตาสีเข้มนั้นดูราวกับจะทอดมองผ่านสิ่งรอบตัวในขณะนี้ ผ่านเลยออกไปยังที่ๆไกลแสนไกล...


    ไอแวนรอ


    ในที่สุดชายหนุ่มผู้สูงวัยกว่าก็เปิดปาก...และหัวเราะออกมาเบาๆ
    ...ด้วยเสียงหัวเราะที่เจือไปด้วยความขมขื่น


    “....สงครามยังไงล่ะ”


    ชายหนุ่มเจ้าของคำถามไม่รู้ว่าเขากำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่ เขาได้แต่มองไปยังภาพตรงหน้า
    ภาพของชายหนุ่มนักเดินทางที่ปรกติมีรอยยิ้มเป็นมิตรคอยมอบให้ใครต่อใครเสมอ
    บัดนี้มีเพียงรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว และแววตาอันว่างเปล่า

    เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มของอาดิวอีกครั้ง


    “รู้ไหมว่ามันทำเงินได้แค่ไหน? ทั้งอุตสาหกรรมเหล็กกล้า เหมืองแร่ โรงตัดไม้ ปศุสัตว์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง มีใครสนใจคนนับหมื่นแสนที่เข้าประหัดประหารกันบ้าง? มีใครสนใจเหล่าทหารที่เข้าแลกชีวิตบ้าง?”


    “ผู้กล้าเหล่านั้นทำเพื่อชาติ” ไอแวนอดไม่ได้ที่จะเถียง วอซัมเหลือบสายตามามองชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า แล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ


    “เพื่อชาติ? ท่านคิดอย่างนั้นจริงๆหรือ? สงครามทุกครั้ง เกิดขึ้นด้วยอธิปไตยที่จะต้องปกป้องหรือ?”


    ไอแวนไม่มีคำตอบ พรานป่าถอนหายใจช้าๆ หนึ่งครั้ง แล้วเอ่ยต่อ


    “สองประเทศที่แบ่งแยกด้วยเอกราชของทั้งสองฝ่าย อาจจะไม่รักใคร่กลมเกลียวกันด้วยเหตุผลของความต่าง แต่ไม่สมควรมีเหตุผลทำศึก ...อาจจะเป็นความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์ การกระทบกระทั่งระหว่างเหล่าผู้มีอำนาจ อาจจะเป็นแผนยุแยงเพื่อการเปลี่ยนขั้วอำนาจ อาจเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอันบิดเบี้ยวของกลุ่มคนบรรดาสักดิ์สูงส่งที่ลืมไปแล้วว่าความหมายของชีวิตคืออะไร...”


    ผู้พูดไล้ปลายนิ้ววนไปรอบๆละอองน้ำที่เกาะรวมตัวกันอยู่บนพื้นผิวของแก้วเจียระไน น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นราบเรียบ แทบจะไร้ร่องรอยความรู้สึก


    “ท้ายที่สุด ก็มีแค่คนหยิบมือเดียวที่รวยล้นฟ้า”


    อาดิว วอซัมหยุดไปเพียงครู่ แล้วยิ้มอย่างขมขื่น


    “สงคราม สงคราม ข้าเห็นมันมามากเกินกว่าที่ข้าอยากจะยอมรับ ซากศพกองพะเนิน เปลวไฟ ดินปืน เสียงกรีดร้อง ทุกอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนกลายเป็นสัตว์ป่า...

    ไอแวน ท่านพูดว่าเขาเหล่านั้นทำเพื่อชาติ... มันเป็นความจริงหรือ? ประเทศชาติรุ่งโรจน์ได้บนความตายของจิตวิญญาณแห่งผู้คนกระนั้นหรือ?
    ชีวิตนับพันนับแสน ที่ข้าพูดไปมันก็แค่ตัวเลข... ท่านรู้สึกอะไรไหม? อาจจะเป็นความเห็นใจ สงสาร สมเพช เจ็บแค้น?”


    ผู้ถูกตั้งคำถามอ้าปากขึ้นราวจะตอบ แต่กลับพบว่าตนเองนั้นไร้ซึ้งถ้อยคำที่จะเอื้อนเอ่ย
    พรานป่ายังคงพูดต่อไป ...ราวกับตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง


    “ท่านอาจจะทุกข์ทรมานหากท่านรู้จักรักใคร่กับผู้ที่ถูกสงครามคร่าชีวิตไป...
    แต่ท่านไม่ได้รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมด
    เสียงกรีดร้องของความตาย ความเลวร้าย ความทุกข์โศกของพ่อ ของแม่ ของพี่น้อง ของปู่ย่าตาทวด ของภรรยา ของสามี ของทุกๆคนที่เสียผู้อันเป็นที่รักไป...


    นัยน์ตาสีเข้มเหลือบขึ้นมองใบหน้าไร้สีเลือดของคู่สนทนา
    เขาเอ่ยข้อความช้าๆ ราวกับจะเน้นย้ำในความหมายของทุกๆพยางค์ที่เปล่งออกไป


    "ท่านรู้สึก...
    แต่ไม่ใช่ทั้งหมด...
    ไม่ใช่ทั้งหมด ของความทุกข์ทรมานที่สงครามนำมาให้”


    ละมือจากแก้วเจือสีอำพัน ผู้นำทางประสานมือทั้งสองไว้บนหน้าตัก


    “ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงความโศกเศร้าสาหัสของการเข่นฆ่าอันบ้าคลั่งนั้นทั้งหมดได้หรอก....
    ข้าเองก็ไม่....”


    เสียงที่เอื้อนเอ่ยบัดนี้แทบจะเป็นเสียงกระซิบ น้ำเสียงที่ใช้ยังคงเรียบนิ่ง
    ไอแวนทำได้แค่นิ่งฟังเหมือนคนใบ้


    “เราทุกคน เป็นเพียงหมาก หมากบนกระดาน
    ทุกคนที่ตาย ทุกชีวิตที่ถูกช่วงชิง
    ….เป็นเพียงเบี้ยที่โดนกวาดออก”


    นัยน์ตาสีครามกระพริบสองสามครั้งราวกับเพิ่งหลุดจากภวังค์เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็หยุดพูด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตามร่างสูงแกร่งที่ยืดตัวลุกขึ้น


    “ขออภัยที่ข้ามัวแต่พูดไร้สาระ”
    ในเสี้ยววินาที รอยยิ้มเป็นมิตรนั้นก็กลับมาบนใบหน้าของคนแปลกถื่นอีกครั้ง อาดิวดึงหมวกปีกกว้างสีดำสนิทขึ้นมาสวม


    “ขอบคุณท่านมากสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ข้าไม่อยากเสียมารยาท หากแต่คืนนี้..ข้าคงต้องขอตัวก่อน”


    ไอแวนเพียงพยักหน้าเบาๆ มือขาวเลื่อนไปหยิบแก้วไวน์ที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง
    มีเสียงประตูไม้ปิดตามหลังอาคันตุกะคนสุดท้ายของร้านดังปัง


    ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ในสมองมีเรื่องราวมากหลาย
    จรดขอบแก้วไวน์กับริมฝีปาก รอยยิ้มเล็กๆจุดขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสรับรู้รสชาติที่เปลี่ยนแปลงไปจนขมปร่าของเครื่องดื่มชั้นดี


    มืออีกข้างเลื่อนขึ้นไปคลายเส้นเชือกบางที่รัดผมออก เส้นผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลทองสยายลงประบ่า เขาสางมันช้าๆด้วยนิ้ว


    ไอแวนถอนหายใจหนึ่งครั้ง


    ชูแก้วไวน์ขึ้น


    และดื่มฉลองให้กับความเป็นจริงที่ขมขื่นเสียเหลือเกิน


    ======================


    อากิรอส คีฟ ย่างเท้าเดินไปตามถนนใหญ่สายที่สามสิบเจ็ด ย่านเปรซา นครรีฟา-คาร์นักซ์ เมืองหลวงแห่งอัลฟาแรม


    หากเดินจากจุดเริ่มต้นของถนน – จากบันไดขั้นแรกของมหาราชวัง คีฟรู้ว่าเขาจะต้องเดินกี่ก้าวกว่าจะถึงที่หมาย


    ยี่สิบก้าวขนานไปกับรถม้าน้อยใหญ่ที่วิ่งห้อไปสู่จุดหมายนอกเมือง เลี้ยวซ้าย มุ่งตรงไปในซอยที่สองถัดจากร้านขายสิ่งปักทอ – ห้าสิบหกก้าวบนพื้นดินที่ถูกทับถมด้วยก้อนหินนับร้อย ถลำลึกไปในความเย็นชื้นของตรอกที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เดินอ้อมผ่านบ่อน้ำลึกกลางชุมชนศาสนาขนาดย่อม


    หากมีเวลา เขาจะโยนเหรียญสกุลเบลล์ลงไปในนั้นหนึ่งเหรียญ ยืนนิ่งฟังเสียงสุดท้ายของโลหะที่กระทบกับผิวสัมผัสของผืนน้ำนิ่งสนิท และความเงียบของเหรียญที่ดำดิ่ง ถูกแรงโน้มถ่วงฉุดดึงลงให้ถึงก้นบึ้งโดยไม่เห็นแก่ค่าที่มนุษย์ตั้งให้กับมัน


    หากโชคดี เขาจะได้ยินเสียง กรี๊ก เบาๆหนึ่งครั้ง
    อากิรอสไม่เคยอธิฐาน

    นัยน์ตาสีนิลเรียวจ้องมองแรงสะท้อนของคลื่นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะเดินจากไปจากบ่อน้ำนั้น
    ทุกๆครั้ง ชายหนุ่มราวกับจะรู้สึกโหวงๆในอก


    แต่เขาไม่เคยใส่ใจมัน


    อีกสิบห้าก้าวจากทิศทางที่สามนาฬิกาของบ่อน้ำ คีฟรู้ว่าเขาจะเดินถึงแหล่งมั่วสุมขนาดใหญ่ ได้ยินเสียงอิสตรีหัวร่อต่อกระซิก ได้ยินเสียงชายฉกรรจ์พูดคุยอวดโอ่ ได้ยินเสียงตั๋วแลกเงินที่ปลิวว่อน สร้อยเพชรไข่มุกเลอค่าที่เปลี่ยนมือไปมา


    อากิรอสไม่มีความสนใจในสิ่งเหล่านี้ ไม่มีความสนใจว่าภายใต้เสียงหัวเราะนั้นจะมีน้ำตาและเสียงกระซิบของความสิ้นหวังหรือไม่ ไม่มีความสนใจว่าเบื้องหลังหน้ากากที่ผู้สวมใส่เลือกมาประจันกันจะแตกร้าวเผยให้เห็นถึงความอัปลักษณ์อะไร


    ...ก็แค่ก้อนเนื้อ และสารเคมี


    ชายหนุ่มจะผลักประตูไม้โอ่อ่าเข้าไปทุกครั้ง เดินลัดเลี้ยวผ่านผ้าม่านแพรต่วนหลากสีสันที่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นฉุนของดอกไม้ป่า แจกจ่ายรอยยิ้มที่บางครั้งเป็นมิตร บางครั้งยั่วยวนให้แก่อิสตรีที่รู้จักเขา เดินลัดเลาะฝ่านห้องครัวที่เต็มไปด้วยสาวใช้เดินเข้าออกลำเลียงอาหารเครื่องดื่ม และออกไปทางประตูหลัง


    อีกแค่สิบแปดก้าว
    ขวา ซ้าย ซ้ายอีกรอบ และตรงไป


    ในท้ายที่สุด อากิรอส คีฟ ก็จะถึงที่หมาย


    ======================


    “เจ้ามาก่อนเวลา...”


    อากิรอสไม่ตอบในทันที เพียงไล้มือจัดระเบียบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นให้เป็นทรงอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ


    “ข้าแค่อยากเห็นหน้าท่านก่อนกำหนด ไม่ได้รึ?”


    “...............”


    ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีนิลหัวเราะกับตัวเองเบาๆ พิงร่างเข้ากับกรอบประตูเมื่อคู่สนทนาของเขาไม่ได้คาดคั้นต่อ


    ราเวนน่า โรซิสซ่าหันกลับไปให้ความสนใจกับ 'ลูกค้า' ที่นอนอยู่บนโต๊ะขนาดกว้างเบื้องหน้าเขา ดวงตาสีเขียวแก่ไล่ไปตามผิวขาวซีดอมม่วงบนร่างกายที่เปลือยเปล่าของเด็กสาวแรกรุ่น เส้นผมสีทองอร่ามม้วนหยักเป็นลอนสวยบัดนี้แปดเปื้อนด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง


    อากิรอสยืนเงียบ ดวงตาจับไปที่รอยแผลฉกรรจ์บนหน้าอกของผู้เสียชีวิต


    “ผู้เสียชีวิตถูกแทง....” ราเวนน่าใช้เท้าสะกิดอะไรบางอย่างที่ใต้โต๊ะผ่าตัดในขณะที่เริ่ม มีเสียง 'คลิก' ดังขึ้นเบาๆ
    นายแพทย์รุ่นน้องมองขึ้นไปเหนือร่างของเด็กสาว เห็นวัตถุสีดำทรงกลมลอยอยู่ในอากาศ ส่วนบนถูกยึดไว้ด้วยลวดใสที่ห้อยลงมาจากเพดาน


    เครื่องอัดเสียง...?


    “...สามที่ รอยแผลภายนอกเรียงต่อกันเป็นแนวเฉียงบนช่วงอกทางด้านซ้าย บาดแผลยาวสามจุดห้าเซนติเมตร สามจุดเจ็ดเซนติเมตรและสี่จุดศูนย์เซนติเมตร บาดแผลแรกแทงทะลุกล้ามเนื้อระหว่างซี่โคร่งที่สี่และห้า ใกล้กับจุดเชื่อมต่อระหว่างซี่โครงทั้งสอง บาดแผลที่สองและสาม...”


    คลิก


    ราเวนน่าเว้นช่วงและหยุดเครื่องบันทึกไว้ชั่วคราว นิ้วมือยาวใต้ถุงมือสีขุ่นไล้ไปตามรอยบาดแผลที่คมมีดฝากทิ้งไว้ ที่ปากแผลไม่มีคราบเลือดเปื้อนหลงเหลืออยู่


    คลิก


    “สันนิฐานว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปอดซีกซ้ายมีรอยรั่ว คมมีดแทงผ่านกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงที่หกและเจ็ด บาดแผลบนช่วงอกซ้ายทั้งหมดเป็นแผลลึกฉกรรจ์ นอกจากนี้แล้วตรวจไม่พบบาดแผลภายนอกอย่างอื่นอีก”


    คลิก


    ไม้บรรทัดเหล็กกระทบกับกระเบื้องสีขาว อากิรอสหัวเราะเบาๆ


    “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านรับจ้างเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ราส?”


    ผู้ตรวจสอบทางการแพทย์ ...หากท่านต้องการจะเรียกให้ถูกต้อง คีฟ” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ มีดผ่าตัดขนาดใหญ่กว่าปกติถูกหยิบขึ้นมา ตัวมีดคมกริบสะท้อนแสงจากโคมไฟสีซีดที่ตั้งอยู่เหนือโต๊ะผ่าตัด


    “เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมีหน้าที่เดียว คือเตะซากในที่เกิดเหตุแรงๆสักครั้ง ถ้าศพไม่เตะเขากลับ ก็เซ็นชื่อรับรองลงไปใบมรณบัตรได้ เป็นอันว่าจบ”


    แรงกดจากข้อมือสร้างรอยแผลรูบตัววีบนหน้าอกของเด็กสาว


    “...แต่หน้าที่ของข้ามีมากกว่านั้น”


    รอยแผลใหม่วิ่งจากสองด้านของไหปลาร้ามาบรรจบกันที่ส่วนล่างของกระดูกหน้าอก ราสปรับองศาคมมีด หลังจากนั้นกรีดเป็นเส้นตรงต่อไปจนถึงช่วงสะโพก


    นายแพทย์รุ่นพี่หยิบเลื่อยขึ้นมา ในขณะที่อากิรอสเบือนหน้ามองไปรอบๆห้องชันสูตรเย็นเยียบ สารเคมีหลากชนิดถูกบรรจุใส่ขวดแก้ววางเรียงไว้บนชั้น ขวดบางขวดขมุกขมัว บางขวดหน้าตาดูราวกับบรรจุพิษร้าย ทุกๆขวด – ยกเว้นเพียงส่วนน้อย – มีฉลากที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ไม่เรียบร้อย ติดอยู่


    คีฟเรียนรู้ที่จะไม่แตะต้องขวดใดก็ตามที่ใสจนมองทะลุได้ และไม่มีฉลาก


    ผ่านไปพักหนึ่ง กระดูกหน้าอกก็ถูกนำมาวางไว้ข้างๆร่างนั้น พร้อมๆกับเลื่อยเปื้อนเลือดที่ถูกทิ้งลงบนกองเครื่องมือข้างกายแพทย์วัยสามสิบต้นๆ


    เด็กสาวถูก'เปิดออก'
    ...เหมือนตู้เสื้อผ้าที่ถูกคนแปลกหน้ารื้อค้น


    “...โชคดีที่ไม่ได้เลือกแทงถูกลำไส้” ราเวนน่าพึมพำ อากิรอสโคลงหัวเมื่อกลิ่นฉุนคาวของเนื้อสดลอยเข้ามาแตะจมูก เขาหัวเราะหึๆ


    “กลิ่นอะไรจะแย่เท่ากลิ่นของเสียที่ไหลเยิ้มออกมาจากลำไส้ล่ะ?”


    ราเวนน่าไม่ตอบ คลิก


    นายแพทย์มัดส่วนปลายของลำไส้ด้วยลวด มือทั้งสองข้างรูดอวัยวะสีชมพูลื่นผ่านอุ้งมืออย่างช่ำชองจนครบความยาว หลังจากนั้นพูดกับเครื่องอัดเสียงว่า 'ปรกติ' และวางอวัยวะลงในถังไม้ข้างตัว


    เลือดที่คั่งอยู่ในช่วงอกถูกดูดออกด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ และบรรจุเก็บไว้ในขวดแก้วใบใหญ่
    หัวใจดวงน้อยถูกตัดตรงยอดโคน ราเวนน่าพลิกมันไปมาในมือ ใบหน้าขาวซีดดูครุ่นคิด

    เครื่องมือสีดำเหนือซากที่กำลังถูกชำแหละบันทึกน้ำเสียงนิ่งๆ อธิบายลักษณะของเยื่อหุ้มหัวใจที่ถูกตัดผ่าน และรอยแทงทะลุกล้ามเนื้อผนังเป็นเหตุให้เกิดรูรั่วที่หัวใจห้องที่สาม


    ปอดทั้งคู่ถูกนำออกมาตรวจสอบ ข้างขวา 'สมบูรณ์ปรกติ' ส่วนข้างซ้าย 'ถูกแทงและทำให้เกิดความเสียหายจนอยู่ในสภาพที่ไม่อาจทำงานต่อได้'


    ราเวนน่าชั่งน้ำหนักอวัยวะทุกชิ้นที่ถูกนำออกมาพิจารณา เขาประกาศว่ามันปรกติหรือไม่ ตัดและบรรจุชิ้นส่วนเล็กๆจากทุกๆอวัยวะลงในขวดแก้วใสที่เรียงกันเป็นแถว อากิรอสมองชิ้นเนื้อสีแดงก่ำที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจเด็กสาวแรกรุ่นลอยอยู่ในสารเคมีสีเขียวอ่อน


    เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ซากที่ถูกชำแหละรื้อค้นก็ถูกเปลี่ยนกลับให้กลายเป็นเด็กสาวอีกครา รอยแผลถูกเย็บกลับคืนด้วยด้ายเส้นหนา ราวตู้เสื้อผ้าที่ถูกรื้อค้นถูกเก็บกลับให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง


    ราเวนน่าวางเข็มในมือลง


    “ตรงเวลาเผงเลยนะท่าน” นายแพทย์นอกเครื่องแบบที่ยืนรออย่างเงียบๆเอ่ยขึ้น อากิรอสขยับตัวเปิดประตูให้กับรุ่นพี่ที่เดินออกจากห้องทั้งๆที่มือทั้งสองข้างยังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีน้ำตาล


    ร่างสูงเพรียวเดินนำหน้าอีกฝ่ายไปยังห้องตรงกันข้าม หยุดยืนที่หน้าเตาผิงใหญ่ เขามองเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงอยู่ภายในนั้นเพียงครู่ ก่อนที่จะถอดถุงมือทั้งสองข้างออก และโยนมันเข้าไปในกองไฟ


    สะเก็ดเพลิงแตกเปรี๊ยะ เปลวไฟลุกโหมขึ้นเท่าตัว ชายหนุ่มที่เดินตามเข้ามาทีหลังผิวปากวิ้วเมื่อเปลวสีส้มเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงอ่อนภายในเสี้ยววินาที


    “บาดแผลทั้งหมดนั่น ไม่ใช่สาเหตุการตายที่แท้จริงของ 'ลูกค้า' ของท่านสินะ...”


    “พิษในกระแสเลือด แสดงว่าออกฤทธิ์ภายในเวลาอันรวดเร็ว ตัวยาจำพวกนี้ระเหยในอากาศได้ง่าย ถ้าหากชันสูตรช้ากว่านี้ไปเพียงไม่นานก็จะตรวจไม่พบ” นายแพทย์โรซิสซ่าพูดเบาๆ


    “'ลูกค้า' ของเราคนนื้เป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลกาเซฟ อากิรอส แต่ข้าจะไม่นำความขึ้นกราบทูลท่านเสนาบดีโดยตรง”


    “ทำไมกัน?”


    “พิษนี้...เมื่อถูกเผาไหม้ในกองเพลิงเป็นสีม่วงสด เผาไหม้ในห้องอับอากาศเป็นสีฟ้าเข้ม ออกฤทธิ์กับเหยื่อด้วยการเข้าไปทำลายระบบประสาทจนเป็นเหตุให้คลุ้มคลั่ง เห็นภาพหลอนจากฝันร้ายในก้นบึ้งของจิตใจจนเป็นเหตุให้ฆ่าตัวตายด้วยวิธิการอำมหิตทารุณ...”


    อากิรอสเบิกตาโพลง “ท่านอย่าบอกนะ...”


    ราเวนน่าพยักหน้า มือหนึ่งปลดกระดุมเสื้อคลุมสีขาวของตัวเองอย่างช้าๆ ปากเอื้อนเอ่ยราวกับกำลังอ่านข้อความจากหน้าหนังสือ


    “พิษชั้นสูงที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญทั่วแผ่นดินยังไม่สามารถสกัดออกมาศึกษาได้อย่างประสบผลสำเร็จ หนึ่งเดียวที่กุมความลับนี้คือดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่พบได้ในยอดสูงลิบแห่งเทือกเขาลูชเพียงที่เดียวเท่านั้น นามของมันตั้งตามชื่อผู้ค้นพบ...”


    เสื้อคลุมเปื้อนเลือดถูกโยนเข้าไปในกองเพลิง เปลวไฟปะทุกลืนกินเนื้อผ้าอีกคราก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงระยับ


    “ดอกเอเดลไรย์”


    อากิรอสแค่นยิ้ม “นอเรนอาร์...”


    ราเวนน่าเบือนสายตาไปจากเปลวเพลิงที่ยังคงลุกโหมเผาผลาญด้วยสีม่วงสด


    “พวกเขาวางแผนเดิมพันสูงเกินไปแล้ว”


    ======================

    สนทนาเล็กน้อย

    บทแรก...เร็วววไปมั้ยย??? (ฮา)
    ช่วงนี้ดูเหมือนสมองจะแล่นพอสมควร...โบราณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก...เพราะงั้น....มาแล้วอีกตอน!

    ช่วงชันสูตรศพไม่รู้ว่าจะยืดเกินไปไหม...แต่ทางผู้เขียนต้องการเขียนมาก! ></!!
    จริงๆในหัวมีแต่ศัพท์ทางการลอยว่อน...แต่เว็บพจณานุกรมราชบัณฑิตยสถาณไม่เวิร์ค (เพราะเน็ตกากกกกก) และคิดว่าถ้าใส่เยอะไปคนอ่านที่ไม่สันทัดทางด้านนี้อาจจะไม่รู้เรื่อง...เลยละไว้แค่นี้

    (medial border...inferior portion....interspace...anteromedial...deltoid...ventricle...อาาาาา)

    ถ้าใครไม่เก็ทความแตกต่างระหว่าง 'ผู้ตรวจสอบทางการแพทย์' กับ 'เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ' ก็ให้ไปหาความแตกต่างระหว่าง prosectorและ coroner ซะนะคะ *ยิ้มมม*
    (จริงๆ prosector หาคำแปลสวยๆไม่ค่อยได้...เลยเอาผู้ตรวจสอบทางการแพทย์แทน ก็ส่วนหนึ่งของ medical examiner นี่นะ)

    ขอสารภาพว่าจริงๆชอบตัวละครหมอสองคนนี้มาก เล่นได้เยอะดี
    …ท่านประธาน พี่ต้อม ขอโทษน้า~ หุหุ

    น้อมรับคอมเม้นท์การใช้ภาษาและคำผิดเช่นเคยนะคะ ' w '/!!

    บุญรักษาทุกท่านค่ะ


    List ตัวละครที่ออก

    - อาดิว วอซัม (joi100 – เฉลยจากคราวที่แล้ว เฮฮ)
    - ราเวนน่า โรซิสซ่า (ryuto)
    - อากิรอส คีฟ (aki)
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  13. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    "หนึ่งเดีกุมความลับนี้คือดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์"

    นี่น่าจะเป็น "หนึ่งเดียวที่กุมความลับ..." รึเปล่าฮะ
  14. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    มาทำลายสถิติเก่า XD คราวนี้ขอชิงคอมเมนต์แรกๆของบทบ้าง

    อย่างแรกที่จะบอก...อัพเร็วดีมากค่ะ! เป็นการทำให้อารมณ์ไม่ขาดตอนมากเกินไป ซึ่งสำหรับเรา เราว่าเป็นช่วงเวลาที่กำลังพอเหมาะนะ

    ฟิคตอนนี้มีบทพูดเยอะ แต่บรรยายได้ดี ไม่รู้สึกว่ามากจนเกินไปหรือยังไงนัก มีพูดคุยในเชิงจิตวิทยาขึ้นมา นำแนวคิดของตัวละครมาหักล้างและต่อสู้ ด้วยคำพูดถึงอุดมการณ์ที่มีอยู่ของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมีแง่คิดของตน ที่ชอบเอาเสียมากๆคือการพูดของไอแวน ที่ไม่ได้บอกโต้งๆว่าอะไรไป แต่นัยยะที่แฝงอยู่ในคำพูดและการกระทำนั้น (เช่นการพูดสวนทันทีกลางบทสนทนา) กลับชัดเจนจนรู้สึกได้ ว่าคนที่ปกติแล้วไอแวนจะเป็นคนค่อนข้างเงียบทำแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในคำพูดของอีกฝ่าย

    แล้วก็ความรู้สึกของไอฟ์ตอนท้ายด้วย ที่มันเศร้าแบบเงียบๆ สื่อผ่านการกระทำ ที่ไม่ฟูมฟาย ไม่ร้องไห้ แต่รู้ว่าเจ็บ แล้วมันเศร้ากว่าด้วย...

    เป็นประโยคที่เตะตามากตั้งแต่อ่านครั้งแรกเลย เจ้า "ดื่มฉลองให้กับความเป็นจริงที่ขมขื่นเสียเหลือเกิน" เนี่ย คือแบบ อธิบายไม่ถูก แต่ชอบจริงๆ

    ส่วนด้านอัลฟาแรม ดูจะออกแนวแอนทีคแบบยุโรปสมัยหลังเรเนสซองค์มาหน่อยๆ ซึ่งส่วนตัว เราว่าพี่แน็กสื่อเมืองแนวยูโรเปี้ยนได้ดี ดูจะตัดกับอีกฝั่งที่เป็นแนวอเมริกัน

    บทการเดินทางของอากิรอสเป็นอะไรที่เจ๋งเสียยิ่งกว่าเจ๋ง จังหวะเรื่อยๆ แต่แฝงความมืดมนและไม่สนใจต่อโลกของตัวละคร ส่วนตอนตรวจศพที่แล่ออกมาเนี่ย มันไม่น่ากลัวจนเกินไปและมีความน่าติดตาม ซึ่งถือว่าเราชอบนะ ดีกว่านิยายในท้องตลาดส่วนมากที่พยายามทำฉากประเภทนี้ให้ดูสะอิดสะเอียนเข้าว่า โดยที่ไม่ได้เป็นนิยายสยองขวัญเลย

    และตรงนี้มีมุขนึงที่ชอบ

    มันตลกร้ายจริงๆนะ! lol
    tokichan ถูกใจสิ่งนี้
  15. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    มุมตรวจจับคำผิด

    - ทรมาณ < < ทรมาน
    - ฉกรรถ์ < < ฉกรรจ์


    มุมกลวิธีการเขียน

    สารภาพว่าอ่านบทสนทนาของ ไอแวน - อาดิว วอซัม ไม่รู้เรื่อง
    มึนมาก ไม่รู้ว่าใครพูดประโยคไหน

    คงเป็นเพราะการตัดประโยคที่ต้องการจะพูดเป็นบรรทัดๆ เลยทำให้มันไม่ปะติดปะต่อเท่าไร
    แต่อ่านแล้วยังพอจะจับใจความและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อยู่บ้างนะ


    ฉากผ่าศพทำได้ดีแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนว่าอ่านแล้วยังไม่เห็นว่าอวัยวะอะไรอยู่ตรงไหน หน้าตายังไง
    ( คนอื่นอาจจะอ่านแล้วแหวะ แต่ข้าพเจ้านั้นชอบเครื่องใน X D )

    ตอนเลื่อยตัดกระดูกหน้าอก ถ้ามีเสียง "คึ่กคึ่กคึ่กคึ่กคึ่ก" ของใบเลื่อยที่กระแทกกระทั้นลงไปอาจจะทำให้สมจริงมากขึ้นนะ (ฮา)



    มุมเนื้อเรื่อง

    เปิดประเด็นสงครามมาแต่หัววัน แถมยังปิดท้ายด้วยการชันสูตรศพแล้วทิ้งปมเรื่องพิษไว้อีกชั้น
    มันส์แหงๆ รออ่านต่อไปก็แล้วกัน


    มุมติชมส่วนตัว

    อากิรอสดูจะยังไม่มีบทมากเท่าไร กลายเป็นโรซิสซาที่ติดตาตรึงใจไปก่อนคนแรกกับการผ่าศพเลย
    tokichan ถูกใจสิ่งนี้
  16. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อ่านมาถึงล่างๆ นึกว่า "หือ? ฤาจะเป็นแนว CSI?"

    อ่านทั้งช่วงต้นกับช่วงปลาย กลับมีแรงดึงดูดให้อ่านต่อไปและความคิดว่า "อีกนิดน่า อีกนิด อย่างพึ่งจบตอนนะ" จริงๆ

    สงครามเป็นเรื่องน่ารังเกียจจริงๆ แต่ก็อย่างที่คนๆหนึ่งเคยพูดเอาไว้ "อำนาจการปกครองนั้น งอกเงยจากปลายกระบอกปืน"

    เค้าลางสงคราม ยาพิษ การตายของคนชั้นสูง ตอนต่อไปจะสื่อถึงอะไร คงต้องติดตามกันต่อไป
  17. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ฉากชันสูตรไม่ยาวไปนะกำลังดีเลยทีเดียว แต่เสียดายที่อยากอ่านต่ออีกซักหน่อย (เอาจริงๆตอนนึงประมาณนี้ก็กำลังดีแล้วล่ะฮะ)
  18. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    มาเร็ว เคลมเร็ว (ฮา)

    ที่อยากเสริมนิดเดียวคือน่าจะใช้การย่อหน้าเข้ามาช่วยหน่อยนะครับ จะได้รู้สึกอ่านสบายตาอ่านแล้วไม่งง แถมยังช่วยทำให้อยากอ่านต่อด้วยอีกนะ ยังไงก็รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปซะก่อนนะครับ!!!
  19. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    เริ่มเกริ่นถึงสงครามแล้วสินะเนี่ย พี่จ้อยก็เดินทางไปเรื่อยจริงๆ ส่วนตัวละครพี่อากิก็จัดว่าตรงกับคาร์ที่คิดไว้อยู่เหมือนกัน ส่วนโรซิสซ่านี่ ดูเป็นโปรมากกกก แล้วจะเอามันไปบู๊ด้วยอีกเหรอเนี่ย ฮ่าๆๆ ชอบตรงการบรรยายสภาพเพราะเห็นภาพชัดมาก (อย่างพวกชิ้นเนื้อ....ละเอียดซะจนเห็นภาพ) เรื่องคำผิดก็ยังมีประปราย การยายในบางจุดพี่ยัง งงๆนิดหน่อย

    แต่เขียนออกมาได้ดีทีเดียว สู้ๆเน้อ รออ่าน;)
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  20. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    อยากมาคอมเม้นท์ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ติดธุระหลาย ๆ อย่าง บวกเจอลมกระโชกแรงในแนวเขตภาคตะวันออกใกล้หมู่เกาะ กร๊ากกกก

    ทุกท่านอย่าว่ากันถ้าผมจะชอบฟิคเรื่องนี้เกินพิเศษ (อาจจะอย่างไม่มีเหตุผลมั้ง?)

    จากตอนนี้ไม่ขอแนะนำส่วนเนื้อเรื่อง ลักษณะตัวละคร สำนวนและภาษา และการบรรยายเป็นพิเศษเฉพาะเหมือนกับฟิคของคนอื่น ๆ นะครับ ด้วยเหตุผลที่
    1) เรื่องยังพึ่งเริ่ม การตีโจทย์ของตัวละครและเนื้อเรื่องยังคงไม่แตกมากจนจะวิจารณ์ได้ละเอียด (ถ้าเทียบกับฟิคของอาเซแม็กแล้วจะเห็นภาพกว่า เพราะรายนั้นปาไปสิบกว่าตอนแล้ว ทุกคนก็เริ่มมีประเด็นแนะนำ และมองเห็นความต่างและความเปลี่ยนแปลงจากเริ่มแรก)
    2) งานเขียนนี้มีความเป็นเอกลักษณ์มากถึงมากที่สุด (ซึ่งจะอธิบายต่อ ๆ ไปว่าทำไมผมรู้สึกแบบนั้น)

    ความรู้สึกแว่บแรกที่ได้อ่านฟิคเรื่องนี้ คือ ทึ่ง เพราะเป็นการใช้สำนวนในการเขียนที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น (ผมแทบไม่เคยเห็นการเขียนงานวรรณกรรมไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแนวนี้เท่าไหร่นัก)

    ประเด็นคือทุกคนมีสไตล์ในการเขียต่างกัน อันนี้แน่นอน (และหลาย ๆ คนก็คงเห็นด้วย)
    แต่เอกลักษณ์ในการเขียนนั้นต่างจากสไตล์ในการเขียนมากกกก

    ขออธิบายคร่าว ๆ ตามความรู้สึกส่วนตัว ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าเราทุกคนกำลังเล่าเรื่องผ่านภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ และการใช้ภาษาไทยแบบภาษาแม่นั่นหล่ะที่มักทำให้ไม่มีความแตกต่างในเอกลักษณ์ เพราะทุกคนมองและสื่อออกมาแบบที่คนไทยส่วนเข้าใจ (รวมทั้งตัวเองด้วย)

    ซึ่งมันไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นสำนวนเชิงวรรณกรรม หรือภาษากระด้างกระชับแบบพื้นบ้าน สิ่งที่จำแนกภาษาวรรณกรรมและภาษาทั่วไปออกจากกันคือ ความสละสลวยในการเขียนและความลื่นหูของสัมผัสแค่นั้น แต่โดยโครงสร้างทางภาษาแ้ล้วไม่ต่างกัน คือใช้การเรียงร้อยตัวอักษรและสื่อความแบบเดียวกัน
    เช่น

    ยามเมื่อย่างเท้าก้าวลงจากขั้นบันไดสุดท้ายของมหาราชวัง คีฟก็ตระหนักทันทีว่าต้องสับเท้ากี่ก้าวกว่าจะถึงที่หมาย

    กับ

    คีฟรู้ตัวว่าอีกกี่ก้าวกว่าเขาจะถึงที่หมาย เมื่อนับจากบันไดขั้นสุดท้ายของมหาราชวัง

    สำหรับผม สองประโยคนี้ให้ลักษณะทางภาษาต่างกัน อันนึงดูสละสลวย อีกอันดูสั้นง่ายและได้ใจความ แต่ทั้งสองประโยคนี้มีเอกลักษณ์ทางภาษาเหมือนกัน เช่น การเรียงรูปประโยค การให้น้ำหนักของหน้าที่คำต่าง ๆ

    แต่ไม่มากก็น้อย ผมพบว่า แน็กเลือกใช้ประโยคนี้แทน

    ผมไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนผมหรือไม่ แต่ความหมายทางโครงสร้างของภาษา (linguistic structure) ของประโยคที่แน็กใช้ ต่างจากตัวอย่างของผมทั้งสองประโยคจนสังเกตเห็นได้

    และเราจะพบการเล่นคำในรูปแบบแปลก ๆ นี้ตลอดเนื้อเรื่อง

    ผมคิดว่านี่เป็นความประจวบเหมาะที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล และยากที่จะเลียนแบบ

    ข้อสังเกตกับประเด็นที่ผมสนใจนี้คือคำถามที่อยากถามแน็กว่า

    "แน็กรู้สึกว่าฟิคนี้ใช้การเขียนแบบภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษใช่รึเปล่า?"

    สิ่งที่ผมสังเกตอย่างมากคือ เราจะพบการใช้คำแบบภาษาต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ รูปแบบของการเรียงประโยค และการขยายความ ผมเลยสรุปอนุมานอ้ัางเอาเองว่า เป็นเพราะความเคยชินในการใช้ภาษาเลยทำให้รูปแบบของภาษาที่แน็กใช้มีเอกลักษณ์เฉพาะ

    ที่ผมสังเกตเช่นนี้ เพราะได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของนักเขียนบางคนที่จบมาจากต่างประเทศ และติดสำนวนและโครงสร้างทางภาษามาใช้กับงานเขียนในไทย มันเลยทำให้ผมรู้สึกสะดุดตาทันทีที่อ่านงานเขียนของแน็ก โดยเฉพาะบทนี้

    ข้อดีของมันต่อเนื้อเรื่อง ก็คือ มันทำให้โยงความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศรอบข้างในฉากและความรู้สึกของตัวละครรับกันอย่างโดดเด่น คือคนอ่าน รับรู้ทั้งฉากและอารมณ์ของตัวละครไปพร้อม ๆ กัน ผมไม่ตะขิดตะขวงใจกับฉากที่เกิดขึ้นและอารมณ์ของตัวละครที่ผู้เขียนตั้งใจสื่อถึงตัวละครแต่ละตัว

    **ขออ้างอิงเล็กน้อย** นี่คือส่วนที่ผมพยายามอธิบายไว้ในฟิคของอาเซแม็ก แต่ผมเชื่อว่ามันไม่จำเป็นต้องใช้กลวิธีการเขียนเดียวกันถึงจะทำให้ลื่นไหล แค่อยากชี้ให้เห็นว่า การใช้โครงสร้างทางภาษาแบบนี้มันสอดรับระหว่างฉากและตัวละคร (เมื่อบรรยายด้วยมุมมองบุคคลที่สาม) ได้ง่ายกว่า

    แต่ข้อเสียมหันต์ของมันก็คือ... หากไม่เชื่อมบทรับและบทส่งระหว่างตัวละครให้ดี คนอ่านจะสับสนได้ง่ายเมื่อรับรู้แบบเผชิญ คือ แปลข้อมูลตามที่อ่านก่อนแล้วสังเคราะห์ในภายหลัง (อ่านยังไง จะรับรู้แบบนั้นไปก่อน แล้วมาเรียบเรียงเหตุการณ์พร้อมภาพในหัวภายหลังตามจินตนาการเมื่อจบแต่ละวรรคช่วง) ซึ่งหากเป็นบทรับส่งระหว่างตัวละครยาวระยะเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่มีฉากตัดให้คนอ่านจินตนาการและสังเคราะห์เมื่ออ่านแบบเผชิญนี้) บทพูดก็จะสับสน และหลายคนมักปะติดปะต่อคำพูดระหว่างตัวละครไม่ได้

    แต่ข้อจำกัดนี้จะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่เคยชินการเขียนด้วยภาษาโครงสร้างแบบนี้ เพราะเขาจะเชื่อมโยงความคิดจากการอ่านประโยคต่อประโยค โดยส่วนมากมักเป็นในคนอ่านที่เก็บรายละเอียด และอ่านช้าในครั้งเดียว เนื่องจากว่า เขาจะมองเห็นรูปของประโยค หน้าที่ของคำต่าง ๆ ในประโยค พร้อมประมวลผลก่อนที่จะอ่านบรรทัดถัด ๆ ไป และนั่นจะทำให้เขาเข้าใจบทรับส่งของตัวละคร

    ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้น (เนื่องจากชอบอ่านเก็บรายละเอียดทีละประโยค อ่านแต่ละประโยคช้ามาก เรียบเรียงและจดจำคำพูดของตัวละคร พร้อมสังเคราะห์ในเวลาเดียวกัน)

    สิ่งที่อยากเสริมในตอนท้ายนี้เกี่ยวกับข้อแนะนำที่พูดมาทั้งหมดก็คือ มันไม่มีข้อเสียหายหรือข้อโดดเด่น สำหรับการเขียนด้วยเอกลักษณ์ทางภาษาที่แตกต่างกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็จำเป็นต้องพัฒนาแนวทางและทักษะการเขียนของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น

    เพียงแค่อยากกระซิบเบา ๆ ให้คนเขียนฟังว่า การเขียนแบบนี้เป็นการเขียนที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ และรักที่จะอ่านตลอด

    ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
    tokichan ถูกใจสิ่งนี้
  21. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โว๊ะ!! มาช้าสบายอีกและ ;) หลักๆหลายๆคนเม้นไปหมดและ แต่ขอชื่นชมในฐาณะคนเขียนฟิคคนหนึ่งในด้ายการเลือกใช้ถ้อยคำเรียบเรียงรูปประโยคของแน๊กทำออกมาได้สวยงาม แต่ในขณะเดียวกันไม่สวยมากจนคนอ่านไม่เข้าใจ

    ส่วนข้อติติงคงเป็นจังหวะสนทนาของตัวละคร ต้องยอมรับกันตรงๆเลยว่าในจุดนี้แน๊กยังไม่สามารถสื่อบุคลิคของตัวละครออกมาแบบชัดๆจนชนิดที่ว่าคนอ่านจำได้และไม่สับสนว่าตัวละครตัวไหนกันแน่กำลังพูดประโยคนี้หากไม่มีประโยคอธิบายต่อท้ายกำกับ หรืออาจมันเป็นบทสนทนาที่เหมือนกับการรำพึงรำพันเสียมากกว่าเลยทำให้ดูสับสนในตัวของคนที่กำลังพูด

    แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีมากๆเป็นอีกคนที่ลงชื่อปูเสื่อคอยติดตามฟิคนะเอ้อ^^
  22. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ราสเท่!!!!!!!! อยากเล่นบทแบบราสมั่ง!!!!!!!
    ช่วงอากิรอสเดินเข้าสู่ย่านชุมชนว่าคาแรคเตอร์ซับซ้อนสุดยอดแล้ว มาเจอความ "คม" ในความคิดและฝีมือของราสเข้าไปนี่ตกขอบไปเลย!
    โดยเฉพาะ

    จะเท่ไปไหนครับ!!!!! คุณหมอ!!!!!

    บทนี้มีจุดที่ชอบเยอะมาก ชอบหลายอย่างจนบรรยายไม่ถูกทีเดียว

    ไอฟ์พลิกภาพจากหนุ่มหงิมเดินตามเฟรย์ต้อยๆ กลายเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าภาพลักษณ์ภายนอกได้แบบ... อึ้ง! บอกตรงๆ ขนาดเทียบกับอาดิวที่พูดถึงสงครามด้วยสายตาของผู้ที่ผ่านโลกมาเยอะแล้ว พอเจอบท ชูแก้วไวน์ขึ้น และดื่มฉลองให้กับความเป็นจริงที่ขมขื่นเสียเหลือเกิน ของไอฟ์เข้าไป อาดิวนี่เทียบไมไ่ด้เลย
    ไอฟ์เป็นคนเก็บอารมณ์ เก็บความรู้สึก และมีสายตาในแบบที่ผู้ใหญ่มากๆ! ถ้ามองในแบบคาแรคเตอร์ต้นฉบับ ผมต้องขอบคุณแน็กมากๆ เพราะผมชอบที่จะเห็นแบบนี้

    (ว่าแต่เฟรเทียร์น็อคไปแล้ว = ="")

    มาเรื่องของการบรรยาย ผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านว่า จุดผิดพลาดเล็กน้อยคือช่วงบทสนทนาของไอฟ์กับอาดิว และแยกไม่ไ่ด้จริงๆว่าใครพูดประโยคใด ในส่วนนี้เราต้องคอยแทรกเป็นระยะๆว่าผู้ใดพูดประโยคใด จะช่วยได้มากครับ (ภาษาอังกฤษจะมีคำว่า Ivan says แทรกตลอดสินะ)
    อีกจุดหนึ่งนั่นคือ ผมพอจะเข้าใจว่าอาดิวเมา แต่อาดิวมีจุดประสงค์อันใดจึงมาบอกต่อไอแวนซึ่งเป็นเพียงสหายร่วมโต๊ะชั่วคราวเท่านั้น ผมอยากให้มีอะไรบ่งบอกอีกสักนิด จะเพิ่มความหนักแน่นได้อีกมากครับ

    ในแง่การใช้คำ ผมรู้ได้ด้วยความรู้สึกในฐานะคนเรียนภาษาอังกฤษว่าื แน็กติด Technical terms จากภาษาอังกฤษ และใช้วิธี "แปลไทย" แบบคำต่อคำ แต่ช้าก่อน ผมไม่ไ่ด้บอกว่ามันไม่ดีนะ เพราะวิธีการเช่นนั้นกลับทำให้ตัวฟิคนี้มีอรรถรสในแบบของตัวเองสูงมาก! จะเรียกว่าเป็นสำนวนแนววรรณกรรมแปลก็ว่าได้
    ฉะนั้นในสิ่งที่แน็กชอบกังวลบ่อยๆว่าตนเองจะติดสำนวนแบบอังกฤษนั้น ขอบอกว่าอย่าได้กังวลเลยครับ มันไม่ใช่เรื่องผิดที่ในการบรรยายฟิคเราจะติดแนวสำนวนแบบใดแบบหนึ่ง บางคนก็อาจเป็นสำนวนแบบ Light Novel บางคนอาจจะติดสำนวนจีน แต่ตราบใดที่มันไม่ทำประโยควิบัติ หรือทำให้คนอ่านอ่านไม่รู้เรื่องเลย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล --- แน็กไม่รู้ผมเองก็ติดสำนวนคล้ายๆกัน เพียงแต่ด้วย nature ที่ใช้ชีวิตในประเทศไทย ประโยคที่ออกมาจะไม่ถึงกับเป็นสไตล์ English จนสังเกตเห็นได้ เท่านั้นเอง

    บรรยายเก่งหรือไม่ ผมก็ขอชมว่าบทผ่าศพของราสกับอากิรอสนั้น สุดยอด!!!! มันคลื่นเหียนได้ใจจริงๆ แน็กเป็นคน convey อารมณ์ผู้อ่านเก่งนะ ผมชมตรงๆเลย การใช้คำเฉพาะตัว เช่น เด็กสาวถูก'เปิดออก' ...เหมือนตู้เสื้อผ้าที่ถูกคนแปลกหน้ารื้อค้น เป็นสิ่งที่ น้อยครั้ง ผมจะได้พบจากงานเขียนของผู้คน และถึงจะเป็นความชอบส่วนตัวของผม แต่ผมก็ขออนุญาตเกรียนด้วยการบอกว่า จากประสบการณ์สายวรรณกรรม การจะสรรคำ เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็น sense ทางภาษาเฉพาะตัวเท่านั้น

    อ่านจนถึงตอนจบ สะดุดกับคำ "เอเดอลไรย์" เอาล่ะ ผมเดาต่อไม่ได้ แต่ผมชักอยากรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น :D
    tokichan ถูกใจสิ่งนี้
  23. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    นอเรนอาร์ ที่พูดถึงหลังจากชื่อ ดอกเอเดลไรย์ (ดอกไม้ถูกตั้งชื่อตามผู้ค้นพบซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของเอเดลไรย์ล่ะมั้ง) เป็นชื่อของประเทศนึงน่ะครับ (จากข้อมูลในกระทู้สมัคร) ซึ่งน่าจะเป็นคนละดินแดนกับที่เนื้อเรื่องดำเนินอยู่

    ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น "ส่วนผสมของยาพิษที่อยู่ในต่างแดน" กับ "คุณหนูตระกูลใหญ่" น่าจะเป็นอีกเค้าลางหนึ่งของสงครามล่ะ
  24. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    ในที่สุดก็ได้เม้นท์ซักทีหลังจากอ่านตั้งแต่วันที่เอามาลง ฮา

    จะขอบรรยายความรู้สึกส่วนตัวทั้งหมดเลยนะคะ

    ตอนนี้เป็นตอนที่ยังไงก็ต้องขอเม้นท์ให้ได้ค่ะ เพราะอยากจะบอกว่าเป็นตอนที่อ่านแล้วเผลอพึมพำเลยว่า "สุดยอด"
    ความรู้สึกของบรรยากาศแผ่ออกมาจากคำพูดและการกระทำ รวมถึงการบรรยายแต่ละจุดได้ดีทีเดียว การเขีรยนใช้ภาษาสละสลวย ซึ่งอ่านแล้วให้ควสามรู้สึกถึงสำนวนเขียนทางภาษาอังกฤษเช่นที่อากิซังพูดค่ะ

    ขอคอมเมนท์เป็นช่วงๆอีกทีนะคะ ช่วงไอแวนกับอาดิวนั้นเป็นบทที่คำพูดแสดงความรู้สึกอย่างมาก ทำให้ชอบเลยทีเดียว มีจุดติแค่ว่าบางวรรคต้องพิจารณาเล็กน้อยว่าใครเป็นคนพูด แต่จุดนี้ถูกดึงกลับมาได้ด้วยบางอย่างที่แฝงในประโยครวมถึงความรู้สึกแฝงซึ่งทำให้รู้และอ่านลื่นไหลไปได้ ชอบประโยคท้ายสุดเหมือนกับที่แบมจังยกตัวอย่างมาเช่นกัน
    ตอนที่อากิเดินไปนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าทำให้เห็นสำนวนทางอังกฤษบ่อยที่สุด ซึ่งภาษาเรียบเรียงได้แปลกและดีทีเดียว และชอบตรงที่เล่นเรื่องการโยนเหรียญลงบ่อน้ำและบอกว่า"เขาไม่เคยอธิษฐาน" ทำให้สื่อลักษณะในตัวอากิได้พอสมควรทีเดียว
    และช่วงท้ายคือตอนชันสูตร เป็นตอนที่บรรยายได้ไม่สยองเกินไป แต่อ่านแล้วแฝงความเย็นเยียบโดยเฉพาะที่เปรียบเด็กสาวเป็นตู้ซึ่งรื้อค้น

    ข้อติมีบ้างเล็กน้อยค่ะ บางจุดยังมีคำพูดสับสน หรือคือบางครั้งคำพูดยังสื่อลักษณะตัวละครบางตัวให้แยกออกจากกันได้ไม่ชัดเจนนัก
    แต่ต้องขอชมจริงๆในเรื่องของการแสดงถึงความรู้สึกในบรรยากาศ ซึ่งเอาจริงๆแล้วส่วนตัวชอบอ่านงานเขียนซึ่งแฝงนัยยะและเปี่ยมด้วยความรู้สึกอย่างมากเลยค่ะ และด้วยความชอบและความประทับใจเลยออกมาเป็นคอมเมนท์ที่ยาวกว่าปกติอย่างที่เห็นล่ะค่ะ(ฮา)

    จะติดตามอ่านต่อไปอย่างใจจดจ่อเลยค่ะ
    tokichan ถูกใจสิ่งนี้
  25. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    มารายงานว่าแก้ช่วงแรกของ Bloodied Trace เสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ (และต่อเติมเข้าไปอีกนิดๆหน่อยๆ) คาดว่าน่าจะอ่านง่ายขึ้นจากเดิมเนอะ?? ถ้ามีใครอยากจะคอมเม้นท์ก็เชิญตามสบายค่า :D
    (สารภาพว่าหลังจากอ่านทวนดีๆแล้วรู้สึกผิดมากที่ลงอะไรสุกๆดิบๆแบบนั้นไปได้ OTL... ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงขอรับ *คำนับ*)

    และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ขอบคุณคอมเม้นท์ทุกๆคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ!! ดีใจมาก นั่งยิ้มเหมือนคนบ้าจริงๆตอนที่ได้อ่าน ทั้งคอมเม้นท์ติเตียนและคอมเม้นท์ให้กำลังใจ อยากจะบอกจริงๆว่าขอบคุณทุกๆท่านมากๆ จากใจจริงเลย ที่อุตส่าห์มาคอมเม้นท์ให้ตั้งยาวเหยียดแบบนี้ ยังไงก็จะกลับมาตอบดีๆ แน่ๆค่ะ></!!

    บทที่สองแล้วสิ้นไปประมาณ 30% แล้ว~ ยังไงก็ช่วยอดใจรอซักแป๊ปนะคะ~!
    (แต่งไปบ่นไป อากิรอสขโมยซีนนนนนนน อาาาาาาา)
    (*โดนเตะ*)

    บุญรักษาทุกท่านค่ะ

Share This Page