[ฟิครับสมัคร] Mirrored Lives – Chapter 4 “To dip your toe into the cold water – ทดลองสิ่งแปลกใหม่”

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย tokichan, 17 สิงหาคม 2011.

  1. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    ตีสองกว่าๆ ฟิคเสร็จพอดี
    *คลานเข้ามาตอบเม้นท์*
    แก้แล้วนะคะ ขอบคุณมาก :D
    ดีใจมากๆที่แบมๆชอบขนาดนี้น้าาา *กอดดดดด* งั้นคราวนี้ก็สลับที่กับอีวานนี่น่ะสิ?? (ฮา) ขอบคุณมากๆเลยที่เม้นท์ซะละเอียด แบมๆยังคงเป็นเม้นท์หนึ่งที่ทำให้ยิ้มเหมือนคนบ้าทุกๆครั้งที่ได้อ่าน ขอบคุณมากๆจริงๆจ๊ะ *ซับน้ำตา*
    (พี่ก็ชอบมุขนั้นโดยส่วนตัวเหใมือนกันนะ กร๊ากกกกกกกกก)
    อย่างที่ได้บอกกันไปแล้ว ขอบคุณมากๆ สำหรับคอมเม้นท์ของพี่อาเซนะฮะ ถ้าไม่มีพี่สักคน ใครจะมาจ้ำจี้จ้ำใช้ชี้จุดบกพร้องข้อผิดพลาดให้แน็กล่ะเนี่ย?? (ฮา)
    ขอบคุณที่ยังคงติดตามนะค้าาา ; w ;/
    ขอบคุณคุณวินเซนต์มากที่ชมนะคะ การที่คนเขียนได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนไปมันสามารถทำให้คนอ่านมีความตื่นเต้นสนใจอยากอ่านต่อนี่..ถือว่าเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งเลยน้า~ :D
    (ไม่ได้ดู CSI มานานมากแล้ววววว NCIS ก็ไม่ได้ดูวววว อาาาาาา)
    ขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำนะคะพี่ซาล! ฟิคของพี่ก็สู้ๆล่ะเออ รออ่านอยู่นะคะ XDD
    (คนเขียนก็แอบอยากเขียนต่อนะ ฮา)
    ไม่ทิ้งกันหรอกค่ะ!! *หัวเราะ*
    ย่อหน้า..ฮืมมมม ปกติไม่ใช้เลยนะคะ แต่จะรับไว้พิจารณาน่อ ปกติจะใช้การเว้นบรรทัดเพื่อให้อ่านง่ายน่ะนะคะ อย่างที่เห็นกัน
    ยังไงๆก็ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ติดตาม!
    รักพี่ต้อมมากนะเนี่ยที่ให้ราสมากับทางนี้ กร๊ากกกกกกกกกกกก
    เป็นแฟนคลับหมอคนนี้เลยนะรู้ไหม!!? (เอาเข้าจริงๆคนแต่งโคตรหลายใจเลยล่ะ ฮาาา)
    จะพยายามแก้คำบรรยายต่อไปค่ะ อย่าเพิ่งหมดหวังน้า :D
    ท่านคีฟ...จะบอกไว้ก่อนว่าเม้นท์ท่านน่ะ นอกจากจะ boost อีโก้ของข้าพเจ้าให้ทะลุเพดานแล้ว มันยังแอบๆกดดันมากอีกด้วย! เพราะอะไรรู้ไหม คนเขียนเกรงใจ๊!!! เม้นท์จะยาวกว่าฟิคแล้วเนี่ยยย ฮวาาาาา
    แอบๆกดดันนิดๆ กับอีกเรื่องที่ว่า ชมข้าพเจ้าไว้ซะเยอะ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าไปเขียนอะไรอีท่าไหนให้ถูกใจท่านได้ปานนั้น ถ้าบทต่อๆไปมันไม่โดนใจท่านล่ะ ล่ะ ล่ะ *เอคโค่ว*
    (ก็ทำใจซะนะท่านคีฟ เพราะคนเขียนเขียนตามใจตัวเองโคตรๆเลย ฮาาาา)
    บทสองลงล่ะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า (อีกซักห้าหกชั่วโมง? ฮาา) จะเอาลง google docs ให้ทั้งสามตอน แล้วร่อนไปซะ ว่างเมื่อไหร่ค่อย proof นะ ทางนี้ไม่อยากรบกวนมาก ; w ;/

    เอาล่ะ มาตอบเรื่องสำนวนบ้าง
    คิดว่าพี่อากิคาดออกมาได้ถูกแล้วนะ เพราะตริงๆทางนี้ไม่เคยคิดว่าสำนวนตัวเองแปลกแตกต่างถึงขั้น linguistic structure เพราะไม่เคยเรียนมาทางนี้ และไม่เคยเอางานเขียนของตัวเองไปนั่ง analyse เปรียบเทียบกับคนอื่นจริงจัง (ฮา) จริงๆคำถามที่ว่า "แน็กรู้สึกว่าฟิคนี้ใช้การเขียนแบบภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษใช่รึเปล่า?" ...บอกตรงๆคือ ทั้งถูก และไม่ถูก เพราะจริงๆแล้วทุกวันนี้มีความกระอักกระอ่วนใจอยู่ข้อหนึ่งว่า เพราะตัวเอง fluent ทั้งสองภาษา แค่การจะเลือกใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งในการสื่ออารมณ์ของตัวเองในชีวิตประจำวันมันออกจะยากเพราะ target group บางทีก็ไม่เข้าใจภาษาที่แน็กเลือกใช้ เช่นในการ update status ตัวเองบน fb บางทียังคิดไม่ตกเลยว่าจะโวยวายแบบลูกทุ่งๆยังไงในภาษาปะกิด (กร๊ากก) ไม่รู้สิ เพราะทั้งอิ้งค์ทั้งไทยเนี่ย บอกตรงๆว่าฟีลภาษามันต่างกันมากถึงมากที่สุด ฟิคนี้อาจจะมีกลิ่นอายสำนวนที่มาจากภาษาอังกฤษอยู่บ้าง (เพราะคุ้นชินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนความคิดไปแล้ว) แต่จะให้แปลเป็นอังกฤษจริงๆ อรรถรสที่ผู้อ่านจะเสพได้เฉพาะในภาษาไทยก็จะหายไปเช่นกัน และจะมีฟีลใหม่ๆที่ได้จากภาษาอังกฤษเข้ามาแทนที่ :D

    ยังไงๆก็ต้องขอขอบคุณมากๆถึงมากที่สุดอีกครั้งสำหรับคำแนะนำ ข้อติชม และ point ต่างๆที่เอามาคุยกันได้ไม่รู้จบ (ฮา) เม้นท์หน้ามีอะไรอยากเม้าท์ก็เอาลงมาอีกละกันนะท่าน :p
    ขอบคุณพี่จ้อยคร้าบบบบบบบบบบบ (หมดแรงจากการตอบเม้นท์อากิรอสฟร่ะ กร๊ากก)
    เรื่องการสื่อบุคลิกกำลังปรับปรุงแก้ไข และบทสนทนานั้น...ทางนี้ดูเหมือนว่าจะยังตีไม่ค่อยแตกเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องรบกวนพี่จ้อยกระทุ้งกันต่อไปนะคะ XDD!!!
    ...รักอีวานนี่นะ *กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด*
    (คอมเม้นท์ยาวๆนี่มัน bittersweet จริงๆ ให้ตายสิ!!)
    จริงๆทางนี้อยากจะขอโทษมากกว่าที่เอาท่านชายไอแวนมาเล่นแบบตามใจฉันแบบนี้ ฮาาาา แต่ก็นั่นแหละ ไอฟ์น่ะ จริงๆแล้วออกจะเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีปมน่าเล่นเยอะแยะ เพราะงั้น...หุหุหุ
    จะเดินหน้ายำท่านไอฟ์ต่อไปค่ะ *w*/!!!
    (ช่าย เฟรย์น็อคไปแล้ว ถ้ามีโอมาเกะคงได้มีบทไอฟ์ลากถูลู่ถูกังกลับไปส่งถึงบ้าน และเฟรเทียร์ที่รู้สึกตัวตื่นมาแล้วโวยวายจะดื่มต่อ กร๊าซซซ)
    (สงสารไอฟ์จริงๆ)
    ขอบคุณสำหรับคำชมที่หอบใส่กระบุงมาฝากนะท่านนน รักมากๆเลย เป็นึอมเม้นท์ที่อ่านแล้วชื่นใจโพดๆ *////* จะพยายามทำให้ดีขึ้นกว่านี้ต่อไป!! *โอ๊สสสส*

    สะดุดต่อไปนะคะ หุหุ
    ฝุ่นนนนนนนนนนนนนจังงงงงงงงงงงงง~~~ *กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด*
    โอ๊ยยย ดีใจจจจจ ดีใจมากที่เปิดมาเจอเม้นท์ฝุ่นจังยาวเป็นพรืดขนาดนี้!! รู้สึก mission accomplished แปลกๆ!! โดยเฉพาะประโยคนี้ 'ตอนนี้เป็นตอนที่ยังไงก็ต้องขอเม้นท์ให้ได้ค่ะ เพราะอยากจะบอกว่าเป็นตอนที่อ่านแล้วเผลอพึมพำเลยว่า "สุดยอด"' << ชื่นใจมากถึงมากที่สุดดด!! *ลงไปดิ้น*
    จากนี้ก็จะจะพยายามเขียนให้ดีขึ้นกว่านี้นะคะ!! ขอบคุณฝุ่นจังมากๆอีกครั้งที่เป็นหนึ่งในผู้ที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดน่ออออ :D

    สุดท้ายนี้....
    (เหนื่อยแต่ยังคงแฮปปี้ ฮา)
    ฮวาาาาา รักคนอ่านค่ะ!! รักมากๆ เม้นท์ทุกๆอันเลยยย!! ทำให้ดีใจมากๆที่เราโชคดีมีกลุ่มคนอ่านที่น่ารักมากขนาดนี้!! เม้นท์พวกนี้...คิดซะว่าเป็นการให้อาหารโทรลล์ที่ปั่นฟิคแลกข้าวก็แล้วกันนะคะ (กร๊าซซซ)

    (ลงฟิคได้แล้ววววว)
  2. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    Mirrored Lives – Chapter 2 “Barter for your life – ต่อรองราคาชีวิตของท่าน”


    'คุณชายคีฟ' ยืนอยู่ในรองเท้าหนังสีอ่อน เรือนผมสีเปลือกไม้ถูกหวีไปด้านหลังและจัดทรงจนเรียบแปล้ อาภรณ์ที่สวมใส่ประเมินมูลค่าแล้วเทียบเท่ากับเงินเดือนที่กรรมกรคนหนึ่งจะได้รับ หากทำงานโดยไม่มีวันหยุดเลยเป็นเวลาสามปี

    ถึงแม้อยู่ในนครหลวงแห่งอัลฟาแรม เครื่องแต่งกายหรูหราเช่นนี้ใช่ว่าพบเห็นได้ง่าย
    แต่เมื่ออยู่ภายในห้องรับแขกอันโอ่โถงของตระกูลกาเซฟ เครื่องแต่งกายอันเลิศหรูนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกควรแล้ว


    ชายหนุ่มหวนนึกไปถึงตอนที่ราเวนน่าลากคอเสื้อเขามาจัดระเบียบริบบิ้นไหมสีครีมอ่อนรอบคอ ราสพ่นควันไปป์ที่กำลังสูบอยู่ใส่หน้าเขาเป็นการโต้ตอบอะไรสักอย่างที่เขาเอ่ยออกไป หลังจากนั้นหันไปหยิบขวดโคโลญจน์มาฉีดใส่หน้า โดยที่ภายหลังนายแพทย์ใหญให้เหตุผลเรียบๆว่า 'เป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่คุณชายตระกูลร่ำรวยจะเข้าพบเศรษฐินีคนสำคัญโดยที่เนื้อตัวมีแต่กลิ่นหญ้าเมาที่ไหม้ไฟ'


    อากิรอสหัวเราะกับตัวเองเบาๆ นิ้วมือเรียวไล้ไปตามชายแขนเสื้อผ้าลินินลื่นมือ ในขณะที่นัยน์ตาสีรัตติกาลนั้นไล่เก็บรายละเอียดห้องรับรองแห่งนี้ไปด้วย


    ดิ้นเงินดิ้นทองปักลวดลายฉลุบนผ้าม่านหนาหนัก สากผิวเมื่อสัมผัส
    โต๊ะไม้หินอ่อนเนื้อเนียนละเอียดเย็นเยียบ ดูดซึมความอบอุ่นผ่านปลายนิ้ว
    โซฟาสีโลหิตตัวใหญ่ที่ถูกอัดจนเต็มปรี่ด้วยขนเป็ดชั้นเลิศ
    เครื่องเงิน ทอง แก้ว... อากิรอสหมดความสนใจที่จะเพ่งมองอะไรอีก


    ทุกสิ่งทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อแสดงถึงความร่ำรวย แสดงถึงเงินตราที่ได้มาจากของบรรณาการที่เหล่าข้าเอามาถวายแทบเท้า แสดงถึงอำนาจในกำมือ แสดงถึงความหยิ่งยะโส


    และในบางครั้ง เขาคิดว่ามันแสดงถึงความโดดเดี่ยว


    ช่างเป็น 'ห้องรับรอง' ที่น่าขำ


    รอยยิ้มหล่อเหลาขยับแต่งแต้มริมฝีปากเมื่อนายหญิงแห่งตระกูลกาเซฟเยื้องย่างเข้ามาในห้อง
    ร่างสูงสง่าถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์เลิศหรูตามสมัยตามฐานะอันสูงส่ง หากสีสันนั้นกลับกลายเป็นสีดำสนิทในช่วงไว้ทุกข์ ผ้าไหมบางเบาที่ปกปิดใบหน้าถูกปลดออก เผยให้เห็นใบหน้าสวยสง่าของหญิงวัยกลางคนที่กุมอำนาจกึ่งหนึ่งของตระกูลกาเซฟเอาไว้ในมือ


    คีฟค้อมตัว ปลายนิ้วมือเชยแหวนทับทิมขนาดใหญ่ขึ้นมาจุมพิตเบาๆ รู้สึกดีถึงนัยน์ตาสีเทาสนิทที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ทุกช่วงลมหายใจ


    อากิรอสชินชาเสียแล้ว


    การ์เวน เอลานอร์ริส กาเซฟ จัดชายกระโปรงสีดำสนิทให้เข้าที่เมื่อเธอทรุดตัวลงนั่งอย่างสง่างามบนบัลลังก์สีโลหิต ชายหนุ่มยืนชื่นชมภาพตรงหน้าราวกับจิตรกรกำลังชื่นชมภาพวาดของผู้อื่นอยู่พักหนึ่ง รอยยิ้มทางการค้ายังไม่หลุดไปจากใบหน้าเมื่อเขาค้อมตัวลงอีกครั้ง


    “ได้ยินว่านายหญิงต้องการพบ”


    สาวรับใช้เดินเข้ามารินน้ำชาสีอำพัน สตรีสูงศักดิ์ประคองถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้นมาในความเงียบงัน ดวงตาทั้งคู่ยังไม่ละไปจากชายหนุ่ม


    อากิรอสไม่ได้ถูกเชิญให้นั่งลง


    “เก็บพิธีรีตองไปเสีย คุณชายคีฟ ข้าต้องการความคืบหน้า”


    “อดีตคุณหนูเสียชีวิตด้วยคมมีดที่ตัวเองเป็นผู้เสือกแทงลง เป็นดั่งผลชันสูตรของนายแพทย์โรซิสซ่าที่ส่งเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ไม่มีอะไรอื่นอีก” อากิรอสกล่าวด้วยรอยยิ้มดั่งเดิม ดวงตาสีนิลสนิทสบเข้ากับสายตาเข้มงวดของอีกฝ่ายอย่างไร้ความเกรงกลัว หากน้ำเสียงนุ่มละมุนที่ใช้ไม่สามารถทำให้ผู้ฟังปักใจเชื่อได้


    แววตาคมกริบของสตรีสูงศักดิ์ดูราวกับจะแทงให้ทะลุชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ขวัญกล้าพอที่จะกล้ายืนล้อเล่นกับเธอ


    “ข้าไม่มีข้อติติงผลชันสูตรของนายแพทย์โรซิสซ่า คุณชายคีฟ”
    แก้วชาสั่งทำพิเศษถูกวางกลับลงบนจานรองเข้าคู่ ชายหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อยกับประโยคเย็นๆนั้น ถือวิสาสะเดินเข้าไปรินน้ำชาให้กับตนเอง ปากกล่าวลอยๆ


    “ฉะนั้นแล้ว ท่านหญิงคงมีงานให้พวกเราอีก?”


    การ์เวนดูพึงพอใจกับความคิดอ่านอันฉับไวของอากิรอส “ว่าราคาของเจ้ามา”


    “หากคิดจะใช้เงินสรรซื้ออากิรอส คีฟ... ท่านหญิงประเมินค่าเสียหายไว้เท่าไหร่ล่ะขอรับ?” เขายั่วแหย่อย่างไม่เกรงกลัว มือหนึ่งประคองแก้วชากลิ่นหอมอ่อนขึ้นดื่ม


    สตรีสูงวัยหยุดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ ปิ่นเงินประดับมวยผมสีดำแซมเทาตามวัยที่ล่วงเลยกระทบกันเบาๆเป็นเสียงไพเราะ
    กลับกันกับที่คาดไว้ นางขยับรอยยิ้มบางเบาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเก่านัก


    “ข้าประเมินว่าสิ่งที่เจ้าต้องการอย่างแท้จริง...แม้แต่ตัวเจ้าเองยังไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ คุณชายคีฟ”


    อากิรอสละริมฝีปากจากขอบแก้วชาอุ่นๆ ...ไม่มีคำตอบใดบังเกิดขึ้นในใจ


    “รวมทั้งสหายของเจ้าด้วย” การ์เวนเอ่ยเสริม บนใบหน้าสง่างามอันเจือปนไปด้วยริ้วรอยตามกาลเวลามีวี่แววของความเห็นใจอยู่บ้าง “วันเวลาของโรซิสซ่าผ่านเลยมาไกลแล้ว...”


    คีฟยังคงไม่ตอบ ความเงียบงันที่โรยตัวลงนั้นไม่ได้นำพาความอึดอัดมาด้วย เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มให้นาง


    “ตัวท่านหญิงเองล่ะขอรับ?”


    นัยน์ตาสีเทาปราดเปรื่องชายมองผู้ตั้งคำถามนั้น ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีชาดแย้มขึ้นน้อยๆราวกับเห็นคำถามนั้นเป็นเรื่องขำขัน


    “เป็นคำถามที่น่าสนใจ คุณชายคีฟ ..หรือเจ้าจะไม่รู้ใจสตรีแก่เฒ่าอย่างข้า?”


    “หามิได้” อากิรอสยิ้ม นายหญิงแห่งกาเซฟยกกระดิ่งใบเล็กขึ้นสั่นเรียกบ่าว ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง มองตามสาวใช้คนเดิมเดินเข้ามาเก็บถาดน้ำชาออกไปทางด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มอ่อนวัยในเครื่องแต่งกายที่หรูหรากว่าตามเข้ามาพร้อมถาดสีเงินบรรจุม้วนกระดาษสีอ่อน วางถาดลงบนโต๊ะหินอ่อนที่คั่นกลางระหว่างทั้งคู่ ค้อมตัวลง แล้วเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ


    “รายละเอียดงานอยู่ภายในม้วนกระดาษนั้น” การ์เวนอธิบาย ปลายนิ้วดันถาดน้ำหนักเบาไปทางแขกราวกับจะเชื้อเชิญให้หยิบขึ้นมาพิจารณา อากิรอสทำตาม


    “ม้วนที่ผูกด้วยไหมสีแดงให้เจ้าอ่านเอง ม้วนที่ผูกด้วยไหมสีน้ำเงินให้ส่งต่อให้คนผู้หนึ่ง”


    ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ เขาหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่จะล้วงเข้าไปในปกเสื้อนอกปักลวดลายด้วยเส้นไหมสีทองอ่อน


    “มีสิ่งหนึ่งที่นายแพทย์โรซิสซ่าต้องการให้ท่านได้รับไว้ขอรับ...” ซองจดหมายซองเล็กไร้ตราประทับถูกส่งต่อให้ถึงมืออีกฝ่าย การ์เวน เอลานอร์ริสเลิกคิ้วขึ้น


    “ให้ท่านเปิดออกในยามที่ท่านอยู่คนเดียวจะดีที่สุด”
    อากิรอสยิ้มให้นางอีกครั้งก่อนที่จะวาดเท้าขวาและไพล่มือหนึ่งไปทางด้านหลัง ศีรษะค้อมลงเป็นการทำความเคารพ


    ผู้กุมอำนาจกึ่งหนึ่งของกาเซฟพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ นางแตะสองนิ้วภายใต้ถุงมือสีดำเข้ากับริมฝีปากของตัวเอง ก่อนประทับมันลงเบาๆบนหน้าผากของอากิรอส


    “ให้เจ้าเดินทางไปพร้อมๆกับสายลมแห่งเทวีรานเซส คุณชายคีฟ” เธอหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่ง
    “...และรับคำขอโทษจากข้าไว้ด้วย”


    “...หามิได้ขอรับ....ท่านป้า” หลานบุญธรรม ทายาทตระกูลคีฟตอบกลับเบาๆ
    “อากิรอส คีฟผู้นี้ เต็มใจทุกประการที่จะรับใช้ท่านหญิงกาเซฟ”


    ไร้คำตอบรับจากอีกฝ่าย.. อากิรอสตัดสินใจกล่าวลาอย่างเป็นทางการ
    “ขอให้ท่านรับรู้ถึงความอบอุ่นแห่งทวยเทพจนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับ”


    นางเพียงพยักหน้ารับคำอวยพรจากชายหนุ่มหนึ่งครั้ง หากดวงตาสีหมอกทั้งคู่ยังคงเฝ้ามองร่างที่ล่าถอยไปจนลับสายตา


    บานประตูหนาหนักถูกปิดตามหลังอากิรอส เขาหยุดมองลวดลายอ่อนช้อยที่แกะสลักลงบนเนื้อหินอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป ทิ้งเสียงกระซิบไว้กับบรรยากาศนิ่งสนิทของคฤหาสน์เลิศหรู



    “ขอให้ท่านมีความสุขขอรับ...”


    นั่นเป็นครั้งแรก – นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเหยียบย่างเข้ามาภายในคฤหาสน์หลังนี้ – ที่อากิรอส คีฟ หมายความตามทุกๆคำที่เขาได้พูดไปอย่างแท้จริง


    ======================


    การ์เวนถอดถุงมือสีนิลออกอย่างช้าๆ ใช้มือเปลือยเปล่าทั้งสองข้างตรวจพลิกซองจดหมายสีงาช้างนั้นอย่างเบามือราวกับกำลังตรวจสอบเพชรเลอค่า


    ตราขี้ผึ้งสีเลือดหมูถูกแกะเปิดออกอย่างระมัดระวัง


    ประกายสีทองภายในซองจดหมายนั้นแทบขโมยลมหายใจของนางไป


    ...ภายในห้องนอนส่วนตัวอันโอ่โถง รายล้อมไปด้วยเครื่องประดับเลอค่านับพัน การ์เวน เอลานอร์ริส ยาเซฟประคองปอยผมสีทองปอยเล็กๆปอยหนึ่งไว้ในมือ


    หยดน้ำหยดหนึ่งร่วงหล่นลงบนอาภรณ์สีดำสนิท...พร้อมๆกับเสียงกระซิบเรียกชื่อบุตรสาวคนเดียวที่นางรักยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง


    ภายนอกคฤหาสน์โอ่โถง ราเวนน่า โรซิสซ่ารู้เป็นอย่างดีว่านายหญิงแห่งกาเซฟรู้สึกอย่างไร


    สิ่งที่เรียกขานกันว่า'ความสุข'
    บัดนี้ได้ตายจากไปจากโลกสีเทาของนางเสียแล้ว...


    ======================


    “มาทำอะไรที่นี่?”


    เนตรสีน้ำทะเลกระพริบเปิดขึ้นเพียงนิด ปลดมือข้างหนึ่งที่เคยรองอยู่ใต้ศีรษะออกมาจรดปลายนิ้วลงบนสันปกหนังสือ เปิดแง้มมันออก


    ...ดวงตาสีเขียวสดกำลังจ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเทียบได้กับเด็กสามขวบที่เพิ่งเคยเห็นลูกอ๊อดในบ่อน้ำหลังบ้าน


    ไอแวนเลิกคิ้ว


    เฟรเทียร์จุ๊ปากอย่างขัดใจ “ข้าถามว่าท่านมาทำอะไรที่นี่?”


    “...คิดอะไรอยู่นิดหน่อย” เลห์ เชลลีย์เอ่ยแก้ตัวไปแกนๆ ในขณะที่อีกฝ่ายแย่งหนังสือประวัติศาสตร์การสกัดแร่เงินออกไปจากมือ


    “โกหก” หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนข้างๆเขา นิ้วเรียวเปิดพลิกหนังสือเก่าๆในมือไปเรื่อย ไอแวนมองเส้นผมสีดำสนิทที่สยายเป็นวงกว้่างตัดกับสีเขียวชอุ่มของผืนหญ้านุ่ม ในใจนึกหงุึดหงิดขึ้นนิดๆกับคำพูดห้วนๆนั้น


    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” เป็นทีที่เอเดลไรย์เลิกคิ้วใส่เขาบ้าง หนังสือในมือถูกปิดลงดังฉับ ไอแวนแทบสะอึกเมื่ออีกฝ่ายฟาดมันลงมาบนหน้าท้องของเขาอย่างแรง พร้อมด้วยเหตุผลสั้นๆ


    “ข้าเป็นห่วง”


    ทั้งๆที่มือยังลูบหน้าท้องของตัวเองอยู่ป้อยๆ ชายหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ห่วงข้าเรื่องอะไร?”


    เฟรย์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดความในใจออกมาช้าๆ


    “......เมื่อวาน...อย่าคิดว่าข้าไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านกับท่านอาดิว”


    ไอฟ์ยิ้มนิดๆ นิ้วมือยาวไล่เด็ดดอกหญ้าขึ้นมาหมุนเล่นในมือ “ข้าหลงคิดว่าเจ้าน็อคไปแล้วเสียอีก”


    “อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ” หญิงสาวมุ่นหัวคิ้วอย่างขัดใจ หยุดไปสักครู่เมื่อไอแวนไม่ตอบโต้ด้วยประโยคจิกกัดอย่างเคย เธออึกอัก


    “ไอฟ์ ข้าไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่เรื่อง...ท่านพ่อของท่าน...”


    “อย่าพูดเลย” เฟรเทียร์เงียบเสียงลงทันทีที่เขาเอ่ยตัดบท ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะยิ้มให้เธอ แล้วส่ายหัวเบาๆ


    “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี... แต่ถึงแม้ว่าข้าจะอดหวนคืดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ การที่ข้าจะจมปลักกับเรื่องในอดีต..มันก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นหรอก”


    ไอแวนเอื้อมมือไปลูบหัวน้องสาวต่างสายเลือดเบาๆ “ไม่ว่าทัศนคติของเราจะเป็นอย่างไร ความจริงก็ยังเป็นความจริง ใช่ไหม?”


    ชายหนุ่มระบายลมหายใจ จ้องมองขึ้นไปเบื้องบน ผ่านยอดใบไม้เขียว ผ่านกลุ่มปุยเมฆอ้วนที่กำลังชักแถวพากันพัดพาไปยังทิศเหนือ...


    ...จ้องมองภาพของแผ่นฟ้าครามที่กินอาณาเขตจนสุดปลายขอบฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลราวกับจะไม่มีไม่มีวันสิ้นสุด


    ตอนเด็กๆ เขาเคยนึกอยากที่จะขึ้นไปบนนั้น ขึ้นขี่หลังนกกระสาอพยพถิ่นเพื่อตามหาท่านพ่อที่จากไปไกลแสนไกล...


    “เรื่องบางเรื่อง ไม่รู้เสียอาจจะยังดีกว่า...” ไอแวนเริ่มช้าๆ


    “แต่นั่นก็เท่ากับว่าข้ากำลังเป็นเหมือนไอ้ขี้ขลาดคนหนึ่ง..ที่วิ่งหนี หันหลังให้กับความเป็นจริงเพียงเพราะว่ามันจะนำความเจ็บปวดมาให้...เพียงเพราะความเชื่อที่ยึดถือมาตลอดอาจจะกลายเป็นเรื่องโกหกที่ถูกปั้นแต่งขึ้น....”


    บางทีตอนนี้...เขาสมควรที่จะทำตามหัวใจกระมัง?

    บางที...อาจจะถึงเวลาที่เขาต้องหาคำตอบให้กับตัวเองเสียที


    “ไอฟ์...” นัยน์ตาสีเข้มละจากเวิ้งฟ้าตรงหน้า เขาหันไปตามเสียงเรียก


    “ว่าไง?”


    เฟรเทียร์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ เอนหลังเข้าพิงกับลำต้นของไม้ใหญ่


    “ข้า..จะไปเมืองหลวง”


    “พูดอย่างนี้แสดงว่าตัดสินใจแล้ว” ไอแวนพูดเรื่อยๆ “เตรียมการไปถึงไหนแล้วล่ะ?”


    เฟรย์กลอกตา เอื้อมมือไปเด็ดใบหญ้ามาแหย่ปลายจมูกของอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้นิดๆ “ท่านไม่ถามสักคำว่าข้าจะไปทำไม”


    ไอแวนใช้ปลายดอกหญ้าปัดใบหญ้านั้นออกไป หัวเราะหึๆ
    “คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือไง ข้าแก่กว่าเจ้าตั้งกี่ปี เฟรเทียร์ เอเดลไรย์”


    เธอยิ้มออกมานิดๆ และยอมรามือแต่โดยดี


    “เจ้า...คิดดีแล้วสินะ?”


    “ไม่รู้สิ” ผู้ถูกตั้งคำถามถอนหายใจเฮือก มือเอื้อมไปคว้ามือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมาเล่นอย่างเหม่อลอย


    “ข้า...คิดจะไปหลายครั้ง ไอฟ์ ออกเดินทางตามหาพ่อข้า ตามหาความจริงที่ข้าไม่เคยรู้... ทำไมครอบครัวข้าถึงถูกพรากจากกัน? ทำไมบ้านเก่าของข้าถึงต้องถูกเผาทิ้ง? ทำไมกิจการเหมืองแร่ของปู่ข้าถึงถูกปิดตัว...


    “มีเรื่องราวหลายอย่างที่ข้านึกสงสัยมาตั้งแต่เด็ก แต่...ข้าก็ไม่เคยออกไปเสียที ไม่เคยกล้าตัดสินใจเอง ข้าปล่อยให้ตัวเองชินชากับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนคนอื่นๆ... ข้าได้แต่นั่งรอแรงบันดาลใจไปวันๆ ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด ถ้าหากข้ากล้าพอที่จะเอ่ยถามคำถามนั้นกับตัวเอง และออกตามหาคำตอบ”


    นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองแมลงปอสีแดงเลื่อมบินมาเกาะบนสันปกหนังสือ เธอพูดต่อช้าๆ ในใจรับรู้ดีว่าไอแวนกำลังตั้งใจฟัง


    “เมื่อคืน...ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านอาดิวพูด นึกถึงจิตใจท่านที่เสียท่านพ่อไปกับสงคราม แล้วอดหันกลับมามองตัวเองไม่ได้”


    เฟรเทียร์ส่ายหัวให้กับตัวเอง แล้วเอ่ยลงท้ายด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
    “ถ้าสงครามจะเกิดขึ้นจริงๆ ข้าก็อยากจะทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”


    “...ถ้าหากเกิดสงครามขึ้นจริงๆ เจ้าอาจจะกำลังนำพาตัวเองให้เข้าใกล้หายนะมากขึ้นนะ เฟรย์” พี่ชายต่างสายเลือดเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ หญิงสาวพยักหน้ารับ


    “ข้ารู้....แต่อย่างน้อย... ข้าก็อยากตามหาความจริงในแบบของข้า”


    “ความจริงมีหลายอย่าง” ไอแวนเอ่ยเรียบๆ น้ำเสียงไม่ขัดแย้ง... แต่ไม่ได้หมายความว่าส่งเสริม


    “ไอฟ์ ท่านต้องเข้าใจข้า” น้ำเสียงของเฟรเทียร์เริ่มร้อนรนอย่างหาเหตุผลไม่ได้


    “ที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตไปวันๆ เหมือนมีมือข้างหนึ่งมาปิดตาอยู่ตลอด ข้ารู้สึกผิดต่อท่านพ่อที่ไม่ทำอะไรก่อนหน้านี้ รู้สึกผิดที่หลงคิดไปว่าชาตินี้ข้าคงไม่ได้เจอท่านอีก หลอกให้ตัวเองพึงพอใจอยู่กับความทรงจำที่นับวันก็ยิ่งเลือนหาย”


    เธอกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ ในอกเหมือนมีฝ่ามือล่องหนชำแรกผ่านเนื้อหนังเข้ามาบีบแรงๆที่หัวใจ เฟรย์ก้มหน้าลง พยายามบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นเครือ


    “ข้า...ข้าไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ไอฟ์...”


    ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นนั่งข้างๆคู่สนทนา ขายาวๆทั้งคู่เหยียดออกรับแสงตะวันยามบ่าย ไอแวนผินหน้ามาพิจารณาเฟรเทียร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้น


    “ความหวังเป็นสิ่งที่น่ากลัว เฟรย์ แต่ถ้าหากไม่มีมัน มนุษย์ก็คงจะอยู่ไม่ได้”


    เขายิ้มให้เธอ โขกสันหนังสือเข้ากับหน้าผากโหนกเบาๆหนึ่งที


    “ข้าจะไปติดต่อกับท่านวอซัมให้เจ้าเอง”


    ======================


    เฟรเทียร์ เอเดลไรย์ลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ครึ่งชั่วโมงก่อนเวลาตื่นนอนปรกติของเธอ


    ผืนฟ้ายังคงมืดมัว...


    คบเพลิงในคอกม้าถูกจุดขึ้น เฟรเทียร์ยิ้มให้กับม้าหนุ่มคะนองตัวโปรดของเธอและผิวปากเป็นจังหวะ 'อารอส'ส่งเสียงร้องตอบกลับพร้อมๆกับเคาะกีบเข้ากับพื้นหิน


    เฟรเทียร์รู้ว่าไอแวนเข้ามาเตรียมม้าของเขาก่อนแล้ว


    เธอจูบท่านแม่เบาๆบนแก้มทั้งสอง สวมกอดพี่สาว ฝังจมูกเข้ากับเส้นผมสีทองอ่อนนุ่มของน้องชายสุดที่รักพร้อมๆกับเสียงกระซิบบอกลา และคำมั่นสัญญาว่าเธอจะกลับมาสอนเขาล่ากวางให้ทันฤดูล่าครั้งหน้า


    เธอหวนย้อนกลับมากอดแม่อีกหนึ่งครั้ง พยายามจดจำความอบอุ่น เนื้อตัวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ และกลิ่นของอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ และกลิ่นของแสงแดดยามบ่าย...


    เฟรเทียร์จูงอาชาสีดำปลอดของเธอออกมาสมทบกับคณะเดินทางที่ลานหน้าบ้าน


    เสบียงอาหารและเครื่องใช้ถูกลำเลียงขึ้นหลังม้าทั้งสามตัว เธอพยักหน้าทักทายพรานหนุ่มอาดิวที่ตกลงนำทางให้พวกเขา
    ไอแวนยื่นขนมปังให้เธอหนึ่งก้อนด้วยรอยยิ้มเล็กๆ


    ขนมปังของเลห์ เชลลีย์ยังคงอุ่น


    หญิงสาวเหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังอาชาพ่วงพีของเธอ กระชับปกคอเสื้อคลุมสีมืดให้เข้าที่ เหลือบมองบ้านหลังที่สองของเธอเป็นครั้งสุดท้าย


    ก่อนที่อารอสจะพาเธอห้อแข่งกับสายลมเหนือไปยังสุดปลายขอบฟ้า


    ======================


    สนทนาเล็กน้อย

    (เล็กน้อยจริงๆ เพราะตีสามครึ่งแล้ว ฮา)
    ไม่มีอะไรมากค่ะ... แต่ในที่สุดก็งัดเฟรย์กับไอฟ์ออกจากกรีนชิลด์ได้ซักทีน้าาา
    แล้วก็จะสารภาพว่า...ชอบนายหญิงกาเซฟเป็นการส่วนตัวมากๆ (ฮาาา)

    ขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเวียนกันเข้ามาอ่านนะคะ! หวังว่าบทนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง*w*/
    (ทุกวันนี้ยังคงเขียนตามใจตัวเองอยู่ ฮาาา)

    บุญรักษาทุกท่านค่ะ


    List ตัวละครที่ออก

    - การ์เวน เอลานอร์ริส กาเซฟ (ออริจินอล)
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  3. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    ดึกแล้วก็ยังอยู่เลยนั่งอ่านไปบ้างละครับ

    เศฐษธินี เป็น เศรษฐินี

    อ่านไปเจอตั้งแต่ทีแรกเลยโพสไว้ซะเลย ก่อนความง่วงจะกลืนกิน :E

    "ในอกเหมือนมีฝ่ามือล่องหนชำแรกผ่านเนื้อหนังเข้ามาบีบแรงๆที่หัวใจ"

    ชอบอันนี้แฮะ อ่านไปก็เหมือนหัวใจจะถูกบีบจริงๆ

    /me กลิ้งๆรอไอริสออกมาต่อไป
  4. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    มุมตรวจจับคำผิด

    วิสาละ < วิสาสะ
    ประเมิณ < ประเมิน

    หนังสือในมือถูกปิดลงดังฉับ < ดังฉับน่าจะเป็นเสียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งถูกตัดขาด ถ้าเป็นเสียงหนังสือที่ถูกปิดน่าจะเป็น "ปัป" มากกว่า

    มุมสำนวน

    เห็นภาพชัดเจนมากถึงการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักว่าใครคนหนึ่งจะโศกเศร้าได้ขนาดไหน

    ถ้าคนอ่านรู้มาไม่ผิด ประโยคนี้เป็นการใช้ contrast ที่ดีเลยทีเดียว
    not agree , but not disagree

    ทำให้เห็นความคิดของตัวละครว่าไม่ได้ตามใจจนเกินไปและไม่ได้ดึงดันห้ามปรามโดยไร้เหตุผล
    ตัวละครมีความคิดเป็นผู้ใหญ่และใจกว้าง รับการตัดสินใจของอีกฝ่ายได้

    จิกกัดสภาพสังคมของชนชั้นสูงได้ดีทีเดียว แต่ถ้าให้แนะนำ
    เปลี่ยนจาก เงินเดือน เป็น ค่าอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะทำให้เห็นสภาพอันน่ารันทดของชนชั้นกรรมาชีพได้ดียิ่งขึ้น
    เพราะคำว่าเงินเดือนยังให้ภาพที่เป็นชนชั้นกลาง มีงานประจำ ฐานะปานกลางขึ้นมาจากกรรมกรที่ใช้แรงงานและได้รับเงินเป็นรายวัน รายงาน

    มุมเนื้อเรื่อง

    อากิรอสมาพร้อมชาติตระกูล... และก็ยอมโกหกด้วยนี่สิ สำคัญนักว่าความลับนั้นมีค่าขนาดไหน

    เฟรเทียร์ออกเดินทางละ ไม่มีไอแวนคอยอยู่เคียงข้างเตือนสติอาจจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นเกิดปัญหาได้ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเนื้อเรื่องก็ไม่เดินสินะ (ฮา)

    มุมความเห็นส่วนตัว

    ยังไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ สำหรับสำนวนภาษายังคงเอกลักษณ์ของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี ด้านการดำเนินบทสทนาก็ทำได้ดีขึ้นจากตอนที่แล้ว

    อีกไม่นานทุกอย่างคงลงตัวมากขึ้นและทำให้ฟิคเรื่องนี้สนุก เข้มข้น น่าติดตามมากขึ้นแน่นอน

    Azemag A.C. McDowell
  5. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ไอแวนมันเป็นตัวละครที่ทำให้เนื้อเรื่องหนักอึ้งโคตรๆ
    ส่วนเฟรเทียร์เป็นตัวหลักของเรื่องสมบูรณ์แบบ ไม่มีเฟรเทียร์ เรื่องไปไหนไม่ได้เลย

    มันเป็นบทที่....... พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
    ให้อารมณ์สองแบบในฟิคตอนเดียวกัน

    บทช่วงอากิรอส ให้อารมณ์เหมือนคนเมือง มาพร้อมกับปมลับ ซับซ้อน และบรรยากาศของคฤหาสน์หรูหรา นิ่งๆ เงียบๆ
    เป็นหนุ่มมาดดี แต่ติดอยู่ในความคิดตัวเองมากๆ คิดซ้ำไปซ้ำมา แถมค่อนข้างจะเหยียดคนอยู่นิดๆ
    แต่ที่ชอบใจมากกว่าคือ การ์เวน! ผู้หญิงสูงศักดิ์คนนี้แสดงภาพออกมาได้สุดยอดมากครับบบบ =[]=b ชอบบบบบ
    เดานิสัยไม่ถูก บอกออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้ แต่รู้สึกได้ในความลึก เงียบ นิ่ง... ดูไม่อันตราย แต่ก็ไม่ใช่จะให้ใครมาเล่นเอาได้ง่ายๆ ไม่ใช่คนหาเรื่องใคร แต่ก็ไม่ยอมคน (ปฏิกริยาผ่านอากิรอส)
    ไม่รู้ว่าทำไม แต่ภาพในหัวของผม ผู้หญิงคนนี้จะใส่ชุดเดรสยาวสีดำ ตัดด้วยกำมะหยี่ มวยผมสีดอกเลา แล้วชอบยืนประสานมือ

    ...แต่ part บรรยายสั้นๆช่วงต้น ที่ราสจัดโบว์ให้อากิรอส อย่าหาว่าผมงั้นงี้เลยครับ
    ...มันวายมากขอบอก!! *facepalm*
    คุณหมอราสออกมาแค่สองสามครั้ง แต่ผมชอบมาก เป็นแฟนคลับได้ไหมเนี่ย ฮาๆ

    หมดบทของอากิรอส
    ไม่คาดคิดฝั่งไอแวนหนักกว่าครับ!!!!!!
    มันเป็นอะไรที่... หนักอึ้งยิ่งกว่า!!!!! เงียบ หมุนวน เก็บความรู้สึก!! เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนในตัวมากๆ Shit สุดๆ!!!!! TTATT
    ผมว่าฟิคเรื่องนี้มันหม่นก็เพราะมันนี่แหละ!! (ตัวละครใครฟระ?!)
    ส่วนเฟรเทียร์ ไม่น้อยหน้า ถึงภายนอกจะแสดงออกว่าเป็นคนขี้เล่นนิดๆ แต่ในใจกัลบแบกรับอะไรมากมายมหาศาล
    ในความมุ่งมั่น มีความคิดอ่าน และตระหนักในโลก เฟรเทียร์ก็ยังมีความเป็นเด็กสาวคนนึง รู้ว่าเข้มแข็งและเผชิญหน้าได้ แต่อ่านแล้ววิตกเลยว่า ถ้าไม่มีไอแวนอยู่ด้วยจะเป็นยังไง เพราะทุึกครั้งที่เริ่มจะหลงในความคิดของตัวเอง ไอฟ์จะคอยเป็นคนเตือนและดูแลให้เสมอ แบบเงียบๆ --- และเป็นคนๆเดียวที่เข้าใจเฟรย์แบบถ่องแท้
    สองคนนี้ถ้าไม่เพราะถูก convince แต่ต้นว่าเป็นพี่ชายน้องสาว ป่านนี้นะ ... หึ หึ หึ *แสยะ*

    เรื่องของสำนวนภาษา รอบนี้สังเกตเห็นความเป็นประโยคสำนวน Eng เยอะกว่าเดิมมาก
    แต่ในแง่การบรรยาย ผมถือว่าดึงอารมณ์ได้ดีหลายตอนมากๆ
    เช่นตอนที่การ์เวนเปิดเจอเส้นผมสีทอง บีบหัวใจมากๆ
    ตอนที่เฟรย์เอาหนังสือทุบท้องไอฟ์ (น่ารักกก ♥ แต่ก็แสดงความหัวดื้อใช่เล่น!)
    ตอนที่เฟรย์เข้าไปกอดแม่เงียบๆ และร่ำลาน้องๆสองคน คำสัญญากับน้องชายในใจนั่น บีบอารมณ์ผมมาก!

    ผมว่ามันเป็นฟิคที่โคตรจะ real เลยครับ TATb

    ในเมื่อเฟรย์ออกเดินทางแล้ว (สรุปได้อาดิวกลับมามีบทต่อ กร๊าซซ) อะไรจะเกิดขึ้นก็อยากรู้ สองฝั่งนี้ อากิรอส-เฟรย์ จะโคจรมาเจอกันได้ยังไงนะ?!
    ปล. เรื่องนี้มันแปลกอยู่อย่าง ผู้หญิงชื่อการ์เวน (Garwain) ส่วนผู้ชายชื่อโรซิสซ่า โรเวนน่า อุเหม่!!! OTL
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  6. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    "หมั่นไส้" ใช้ไม้เอกถูกแล้วนะอาเซ ส่วน "หมันไส้" ไม่มีศัพท์นี้

    ตอนนี้สำนวนก็ยังชวนอ่านเช่นเคย แต่ตอนไอแวนกับเฟรเทียร์คุยกันนี่แอบงงอยู่เป็นพักๆว่าบทไหนใครพูด >_<"
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    โอเค พลาดเองครับ =____=

    พลาดเพราะจำจากเสียงในหัว คำนี้ก็เลยไม่ได้เปิดหาในพจนานุกรม
  8. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    และแล้วเรื่องก็เริ่มเดิน :3

    ยังคงสำนวนภาษาเหมือนเดิม แต่ยังไงก็ระวังเรื่องคำผิดหน่อยแล้วกันครับ เพราะยังไงมันก็เป็นเรื่องที่นักเขียนทุกคนต้องก้าวข้าม

    *แนะนำเล็กๆเวลาเขียนจบแล้ว ลองนั่งอ่านออกเสียงดูตั้งแต่ต้นดูครับ ช่วยได้เยอะในการตรวจดูข้อผิดพลาดครับ ^^
  9. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    หนัก เรื่องนี้หนักจริงๆ (ตอนปัจจุบันนี้ อ่านจากต้นจนจบ ให้อารมณ์มัวๆซัวๆ เหมือนสภาพอากาศในวันฟ้าปิดมีเมฆมาก)

    อ่านๆไปถ้านี้เป็นอนิเม ตอนนี้ทั้งตอนคงไม่มีดนตรีประกอบฉากเลยทั้งตอน (อาจจะมีเสียนาฬิกา เสียงลม เสียงหญ้า กับบทสนทนา)

    มืดมน มืดมน มืดมน ทุกคนลงรถไฟสายเดียวกัน ถึงเห็นปลายทางไกลๆ แต่ทุกคนก็ได้แต่นั่งรอให้รถถึงสถานนี
  10. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    แว่บเข้ามาอ่านจบแล้ว ขอบอกว่าบทราสกับอากิรอส มันก็แอบวายจริงๆน่ะแหละแต่อ่านดีๆก็เหมือนรุ่นพี่สอนรุ่นน้องธรรมดา ส่วนเรื่องบทชอบตอนที่อากิรอสเจอกับกาเซฟดี ชอบบทสนทนา แบบว่าอธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงชอบเหมือนกัน แต่มันดูแบบ เจ๋งดี

    ป.ล.หลังๆเริ่มงงตัวละคร ออกมาเยอะจำไม่ค่อยได้ ฮ่าๆๆๆ สู้ต่อไปเน้อ รออ่านบทต่อไป
  11. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    ในที่สุด ก็ได้มาคอมเมนต์บทนี้ซักที lol

    พี่แน็กไม่ได้บรรยายสภาพอากาศเอาไว้แน่ชัด... แต่จะผิดไหมหากบอกว่า สภาพอากาศในฉากคฤหาสน์ เป็นยามบ่ายที่มีแสงอาทิตย์สีทองส่องเข้ามาทางกระจก สะท้อนของทุกอย่างที่อากิรอสมองในห้องรับรอง

    พูดถึงอากิรอสแล้ว พี่แน็กยังดึงอารมณ์ความไม่สนใจโลกของเขาออกมาได้ดี มันชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเขาอยู่ในคฤหาสน์ และคุยกับคนชั้นสูงเช่นการ์เวน ซึ่งเป็นตัวละครที่แบบ พูดไม่ถูก-เหมือนที่คนอื่นๆเขาบอกกันน่ะแหละ

    ส่วนที่ทำให้บรรยากาศดูมืดมน อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่สภาพอากาศ แต่คือบทสนทนาของทั้งสองคน ป้ากับหลานบุญธรรม มันเรียบ แต่แฝงไปด้วยอะไรหลายๆอย่างในตัวของทั้งสอง มันไม่ชัดเจน แต่รู้สึกได้;เหมือนกับหมอก

    แน่นอน ส่วนลงท้ายของช่วงการคุยนี้ทำออกมาได้'เฉียบ' ในความคิดของเรา

    แล้วก็ส่วนในห้องนอนของท่านหญิง มันสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ เหมือนดังที่ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า 'มาดทั้งหมด ไม่ว่าจะสร้างไว้ให้ภาะลักษณ์ตนเองแข็งแกร่งแค่ไหน ...จะแตกสลาย ยามพบกับสิ่งที่กระทบกระเทือนใจมากที่สุด' ซึ่งน่าจะเป็นนิยามที่ลงตัวที่สุดแล้ว

    แต่แปลก แม้จะบอกว่า "โลกสีเทา" แต่สภาพอากาศภายนอกที่เราเห็นก็ยังมีแสงอยู่เรไร เหมือนเพียงโลกสีเทานั้น จะเป็นของนาง ที่นางต้องแบกรับไว้เพียงคนเดียว

    ...---------------------------------------------...

    มาถึงส่วนของไอฟ์และเฟรย์ อันนี้ท้องฟ้าสดใสชัดเจนมาก ประหนึ่งบ้านไร่แสนสุข (ซึ่งคาดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ) แต่ เช่นเคย บทสนทนาพาเครียดขึ้นอีกแล้ว แต่ไม่มืดมนเท่ากรณีบน คู่ไอฟ์กับเฟรย์ อ่านแล้วจะได้ปรัชญาดีๆกลับไปคิดหลายข้อ มันเรียบเฉย เหมือนเด็กที่ไม่รู้กำลังค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆมองเห็นโลก และยอมรับว่าโลกนี้มันโหดร้าย แต่จะไม่หันหลังกลับไปซ่อนอยู่ในกะลาอัน'ปลอดภัย'อีกแล้ว

    (เหมือนเรากับพี่อีวานเคยคุยประเด็นนี้ด้วยกันในเฟซ ให้พี่แน็กลองไปถามเจ้าตัวดู...ฮา)

    ฉากที่เฟรย์ออกเดินทางนั่นแหละ ที่เห็นท้องฟ้ามัวซัวของจริง ซึ่งส่วนนี้ก็สั้นแต่ถูกใจอีกแล้ว ตอนที่เฟรย์เทียบอกลาทุกคน โดยไม่ลืมจดจำทุกสิ่งอย่าง

    ส่วนที่ลืมไม่ได้อีกอย่างนึงคือฉากที่ไอแวนยื่นขนมปังมาให้

    มันเป็นท่าทีที่แสดงความห่วงใยแบบที่เราอธิบายไม่ได้ แต่มันเตะตา...

    ส่วนที่เหลือๆของคู่นี้ พี่อีวานได้คอมเมนต์ไปดานบนหมดแล้ว มันเป็นฟิคที่ Real จริงๆ ไม่แฟนตาซี ไม่ไซไฟ แต่สนุก และมีอารมณ์ร่วมถึงที่สุด!
  12. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    มาช้าสบายอีกแล้วครับพี่น้อง มัวแต่ปั่นฟิคตัวเอง นานๆที่จะได้อ่านฟิคอย่างนี้สนุกดีนะเอ้อ เนื่องจากมาช้าคอมเม้นตรงประเด็นเขาก็แถลงกันไปหมดแล้วสบายโก๋ *ชู2นิ้ว*

    ความรู้สึกส่วนตัวที่ได้อ่านมันอึมครึมๆน่าติดตาม หันไปมองฟิคตัวเองมันช่างเกรียนลงตับยิ่งนักฮ่าๆ ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆนะเอ้อ

    ปอปลา ลอลิง รอคอมเม้นอากิต้องรอมันหายเว้อก่อนล่ะนะฮาาา
  13. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    เมื่อผ่านบทนี้ไป จากความรู้สึกแล้ว... ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกแบบนั้น สำเนียงทางภาษามีเอกลักษณ์จริง ๆ (ไม่ได้ยอจนเกินงามนะ แต่พี่คิดว่าหลาย ๆ คนในนี้ก็เห็นด้วยกับคอมเม้นท์ของพี่ ฮาๆๆๆ)

    เรื่องที่แน็กกลัวเขียนไม่ถูกใจ พี่คิดว่ามันคงไม่มีปัญหา ตราบใดที่ยังเขียนสไตล์แน็กแบบนี้ พี่ก็คงไม่เลิกอ่านเหมือนกัน

    อย่างที่บอกครับ เอกลักษณ์ทางภาษากับทักษะในการเขียนเป็นคนละส่วนกัน (แต่ก็เกี่ยวข้องกับความชอบเฉพาะตัวของคนอ่าน) อย่างที่หลาย ๆ คนติงแน็กว่า การต่อบทรับส่งยังทำได้ไม่ดีในตอนแรก แต่เท่าที่อ่านบทนี้ พี่คิดว่าคงไม่มีใครเห็นอย่างนั้นแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีของคนเขียน

    ***อ้างอิงจากตัวเอง*** ฟิคที่พี่เขียนเองก็โดนติงทำนองนั้น แต่สไตล์ในการเขียนของพี่ทื่อไปแล้ว คือไม่สามารถเชื่อมโยงรูปแบบที่เหมาะสมตามที่คนอื่นแนะนำกับสำนวนในการแต่งของตัวเองได้คล่อง สังเกตได้ว่า เขียนไปสองสามตอน พึ่งจะกระเตื้อง และคนอ่านถึงจะเลิกบ่น ฮาๆๆๆๆ ต่างจากแน็กที่ปรับคอมเม้นท์ของคนอื่นได้เข้ากับสไตล์ตัวเองดี เหตุผลสองข้อที่เข้ามาอยู่ในหัวพี่ก็คือ

    1) พี่อ่านแล้วไม่ขัดระหว่างการต่อบทรับส่งที่อาจจะพึ่งปรับปรุง(ในตอนนี้)กับสำนวนการดำเนินเรื่องเดิม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะมันเป็นเรื่องยากถึงยากที่สุดที่จะผสานข้อผิดพลาด(ตามที่คนอื่นแนะนำมา)ซึ่งเป็นความไม่เคยชินกับวิธีการเขียนเดิม หลาย ๆ คน(รวมถึงพี่ด้วย)พอจะปรับตามคำแนะนำของคนอื่นก็จะทำให้สำนวนการเขียนของตนเองเพี้ยนไป (เนื่องจากกังวลกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น) และความไม่เคยชินนี้จะทำให้การใช้ภาษาแกว่ง สิ่งที่เคยทำได้ลื่นไหลก็จะกลายเป็นลำบาก หนทางเลยมีอยู่สองอย่าง คือ ปรับปรุงแต่สำนวนเพี้ยน หรือยึดแนวทางเดิมและเกิดปัญหาเดิม

    2) ไม่มีใครแนะนำเรื่องนั้นกับแน็กแล้วในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ? ทุกคนเห็นภาพชัดเจนอย่างที่แน็กต้องการสื่อ โดยไม่รู้สึกติดขัดระหว่างภาษาของตอนหนึ่งและตอนสอง

    *************************************************

    อย่างที่เคยบอกครับ เนื้อเรื่องและเงื่อนปมของเรื่อง เราคงไม่สามารถดูได้ในเร็ว ๆ นี้ เพราะการดำเนินเรื่องยังอยู่ในมุมมองที่แคบ (เพราะฉะนั้นพี่จะขอข้ามในส่วนนั้นไป จนกว่าจะเห็นภาพกว้างของเรื่องนี้มากขึ้น)
    - แต่มีข้อคิดเล็กน้อย... บางทีปมเชือกที่ผูกไว้อย่างไม่ตั้งใจและดูไม่โดดเด่นนั่นหล่ะที่จะกระชากให้เนื้อเรื่องคลี่คลายได้อรรถรสที่สุด การวางเงื่อนไขที่ซับซ้อนเกินไป จะทำให้การแก้เชือกไม่สมจริง จนต้องตัดทิ้ง แต่การทิ้งตะเข็บและตะกอนของความคิดที่ตัวละครมีทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้คนอ่านไม่ทันสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นมากกว่า
    - อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูไปอีกสักห้าถึงหกตอนกว่าจะคอมเม้นท์ในส่วนนี้ได้จ๊ะ

    *************************************************

    ส่วนที่อยากแสดงความเห็นจริง ๆ ในบทนี้คงเป็น 'ลักษณะของตัวละคร' กับ 'ฉาก' และ 'การบรรยาย' มากกว่า

    พี่เริ่มเห็นสไตล์ในการเขียนของแน็กชัดขึ้นจากบทนี้ ถือว่าเป็นความรู้สึกของพี่ มากกว่าเป็นคำชมหรือคำตินะ... เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เป็นฟิคที่พี่อ่านมาตั้งแต่ต้นแล้ว ยังไม่รู้สึกอยากติหรือขัดกับอะไรเลย แต่เต็มไปด้วยความประหลาดใจในประเด็นต่าง ๆ มากกว่า -- ความประหลาดใจนี่หล่ะที่น่าติดตาม ว่าจะชวนให้พี่รู้สึกแบบนี้ได้จนจบหรือไม่

    เพราะงั้นหลังจากนี้ ไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำนะจ๊ะ แต่เป็นสิ่งที่อยากเขียนให้ผู้เขียนอ่านเท่านั้น

    อย่างที่พี่เคยเขียนไว้ในรีพลายแรก เสน่ห์ของงานเขียนนี้อยู่ที่เอกลักษณ์ในการใช้ภาษา เพราะมันให้ความแปลกใหม่และแตกต่าง นอกจากนั้นแล้วการเขียนด้วยสไตล์แบบนี้จะเชื่อม 'ฉาก' กับ 'ความคิด' ของตัวละครได้อย่างกลมกลืน คือไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่ากำลังอ่านอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ งานเขียนส่วนใหญ่มักทำให้เห็น 'ฉาก' และ 'ความคิด' แยกจากกันอย่างชัดเจน เราสามารถบอกได้ว่าย่อหน้านี้กำลังสื่ออะไร กำลังบรรยายฉาก หรือกำลังบรรยายความรู้สึก แต่การเขียนในสไตล์ของแน็กนี้ทำให้แยกส่วนนั้นไม่ออก เพราะแม้จะเป็นฉากก็มีความรู้สึกของตัวละครแฝงอยู่ (ผ่านมุมมองของคนเขียน หรือตัวละครใดตัวละครหนึ่งในฉาก) มันจึงไม่แยกจากกันอย่างชัดเจนว่า เป็นการบรรยายเหตุการณ์ หรือเป็นการบรรยายความรู้สึก ยกตัวอย่างเช่น...

    (ขึ้นไปหยิบแบบสุ่ม ๆ มาเลย ไม่ได้เลือก ฮาๆๆๆๆ) ... แค่นี้คงจะเห็นภาพชัดกับสิ่งที่พี่อธิบายไปข้างต้น ใครจะแยกได้ระหว่างความคิดของอากิรอสกับฉากที่เกิดขึ้น

    นั่นคือความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งที่ชวนให้พี่อ่านและติดตามตัวละครต่อ...

    นั่นทำให้อารมณ์ของฉากเปลี่ยนไปตามตัวละคร

    สิ่งที่แยบคายที่สุดในกลวิธีการบรรยายแบบนี้คือการดึงอารมณ์ร่วมของผู้อ่าน เขาจะรู้สึกได้ว่าอากิรอสคิดยังไงและมองโลกยังไง ในขณะที่เขาก็รู้สึกได้ว่าเฟรเทียร์คิดยังไง และมองโลกยังไง ในการบรรยายที่ต่างกันแค่ฉากเดียว

    หวังว่าจะได้ตามอ่านอะไรที่เซอร์ไพรส์กว่านี้อีกนะ

    อาจจะโดยที่แน็กรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว... แต่พี่ว่า มันไม่ได้เกิดมาจากสไตล์และเอกลักษณ์ของคนเขียนเท่านั้น มันอยู่ที่การเรียบเรียงความคิดผ่านตัวอักษรด้วยความสุนทรีย์ทางภาษา อย่างคำที่ว่า ครูไม่ได้ทำให้เด็กฉลาดและเรียนรู้ได้ ตัวเด็กเองต่างหากที่ผลักดันตนเองตามคำแนะนำของครู

    คนที่เขียนภาพจิตรกรรมนี้คือแน็ก... จงอย่าปล่อยให้ 'ใคร' ทำลายมัน

    ทั้งความชอบ และ ไม่ชอบ

    มันมีคุณค่าในตัวเองแม้จะไม่มีใครรัก

    แต่คงจะไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพราะอย่างน้อยพี่ก็รักที่จะอ่านมัน แล้วเจอกันคอมเม้นท์หน้าเมื่อมีความรู้สึกประหลาดอื่น ๆ เพิ่มเติมจ๊ะ

    ปล. ถึงจะพูดนั่นพูดนี่เกี่ยวกับโครงสร้างทางภาษา หรือลักษณะของภาษา แต่พี่ก็ไม่เคยเรียนมาโดยตรง แต่เก็บเกี่ยวจากเพื่อนที่เรียกอักษรมาบ้าง และจากการติดตามอ่านงานที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษในมุมมองของพี่... หนังสือที่พี่หยิบ มักไม่ใช่หนังสือที่ขายได้เยอะ... แต่เป็นหนังสือที่พี่รักทุกเล่ม... เป็นหนังสือที่ทำให้พี่เติบโตในแบบพี่... และเรื่องนี้คงเป็นหนังสือเล่มนั้น

    ขอบคุณที่เขียนให้อ่านครับ
  14. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ขออนุญาตเกรียนใส่อากิ

    สุดยอดครับ พิมพ์ยาวมาก แต่ตรูอ่านไม่รู้เรื่องเลย /*โดนถีบ
  15. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    เป็นฟิคที่งดงามมากครับ ^w^ อ่านแล้วซึมซับบบรยากาศได้

    ชอบและเป็นกำลังใจในการแต่งต่อไปนะครับ

    รอชมตอนต่อไป อย่างใจจดจ่อนะครับ
  16. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48

    ดีใจที่ชอบนะคะ
    ไอริสช่วยรอหน่อยก็แล้วกันค่ะ ฟิครับสมัคร คนเขียนต้อง work hard ส่วนคนสมัครก็ต้องอดทนกันนิดนะคะ ตัวละครเยอะมาก เอาออกมาทีเดียวหมดไม่ได้ ต้องค่อยๆเก็บแต้มไปเรื่อยๆ ไม่งั้นจะงง XD

    อากิรอสไม่ได้ยอมโกหกหรอก แค่พอใจที่จะโกหก (หึหึ)
    อ...ไอแวนก็มาด้วยนะ ; w ;
    กำลังพยายามอยู่ค่ะ หลังจากนี้ก็จะเปิดฉากเต็มที่ล่ะ

    ไอแวนไม่หนักหรอก...แค่มีหลายเร่องที่บังคับให้ต้อง project character ออกมาอย่างนั้น *แก้ตัวน้ำขุ่นๆ*
    บอกหลายรอบแล้วว่าเฟรย์เป็นตัวละครส. ที่ย่อมาจากเส้นใหญ่....... (หมั่นไส้เธอเป็นบางทีนะ ฮาา)

    อากิรอส...ก็เวิ่นเว้อกันต่อไป จะบอกว่าเหยียดคนก็อาจจะได้ล่ะมั้ง? แต่ทางนี้คิดว่า มันจะตรงตัวมากกว่าถ้าจะบอกว่าอากิรอส 'เหยียดความคิด และสภาพการของสังคมมากกว่า'
    ไม่ได้มีความเกลียดชังที่ตัวคนหรอกนะ *ยิ้มม*
    การ์เวนสุดยอดดดด เนอะ!! *โบกธงเชียร์*

    ทั้งไอแวนทั้งเฟรเทียร์ ภายนอกอาจจะดูไม่มีอะไร แต่เม้นท์ไว้ว่าข้างในมัน'หนัก'สินะ
    จริงๆแล้ว ก็อยากจะสื่อด้วยว่า ทุกๆคนที่เราเจอ ที่เรามองผิวเผินแค่ภายนอก อาจจะดูไม่มีอะไร ไม่มีความเครียด ไม่เห็นด้านมืดหรือจุดอ่อนของเขา
    แต่จริงๆ มันก็มีกันทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครไม่หนักหรอก

    สองคนนี้ถ้าไม่เพราะถูก convince แต่ต้นว่าเป็นพี่ชายน้องสาว ป่านนี้นะ ... หึ หึ หึ *แสยะ* <<< รอดูไปก็แล้วกัน หุหุ

    ขอบคุณที่ชมเรื่องการบรรยายนะคะ จะสู้ต่อไป!!
    ชื่อการ์เวน ตั้งใจไว้ว่าจะให้ออกแมนๆ นิดๆ แต่ราเวนน่า โรซิสซ่า....ไม่ใช่ความผิดเก๊าาาา

    จะพยายามเกลาตรงนี้ต่อไปนะคะ></!!

    ขอบคุณพี่เนียร์ที่แนะนำนะคะ ทางนี้จะพยายามก้าวข้ามความขี้เกียจน้อออ
    ไม่ได้ตั้งใจให้หนัก...มันก็หนักได้สินะ
    โทษเพลง too much, so much, very much ของป๋าเบิร์ดเลยนะ (ฮาาาา ฟังเพลงนี้ตลอดตอนแต่ง หลั่นล้ามาก)
    คงไม่ได้ทำแค่นั่งหรอกค่ะ :D

    ดีใจที่ชอบเนอะพี่ต้อม*-*/~
    ถ้าจะงงตอนนี้...ภายภาคหน้าจะเป็นยังไงล่ะนี่.........

    อาาาา ไม่รู้จะตอบเม้นท์แบมๆยังไงดี *นั่งบิดอยู่หน้าจอ* (พอๆกับท่านคีฟเลยนะ เม้นท์คุณน่ะ ดาแมจคนเขียนมาก แล้วทางนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไยังไงดี ฮวาาา)
    วิเคราะห์ฉากออกมาได้ละเอียดมากกกก จะบอกว่า ที่ได้ออกมาเป็นแบบนั้นก็สุดยอดแล้วล่ะนะ เพราะจะเห็นได้ชัดว่าทางนี้ไม่ได้บรรยายบรรยากาศด้วยความละเอียดทุกซอกทุกมุม เป็นฟิคที่ใช้สมองคนอ่านคิดเองพอสมควร (เลวเนอะ แต่ยังไงก็ชอบที่จะเขียนแบบนี้)
    หลายๆคนจะอ่านออกมาได้หลายๆรูปภาพ หลายๆแบบ แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่เวอร์ชั่นที่พี่มีในหัวซะทีเดียว แต่ก็ดีออกนะ บางทีพี่ชอบที่จะเขียนหนึ่งประโยค และนั่งคุยกับคนหลายๆคนว่าเค้าได้อะไรไป
    ซึ่งแน่นอนว่าพี่ก็มีความสุขมากที่ได้อ่านคอมเม้นท์ของผู้อ่านทุกๆคนที่เม้นท์ :D

    'การออกเดินทาง' คือการที่ตัวละครต้องโตเป็นผู้ใหญ่ แบกรับภาระ ผลลัพท์การตัดสินใจของตัวเอง
    ยังไงๆก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าทุกๆคนจะเลือกเดินทางไปบนถนนเส้นไหนนะ *ยิ้มมม*

    พี่จ้อยยังคงสบายต่อไป (กร๊ากกกก)
    ตอนนี้พี่รออากิรอสแต่งบทของตัวเองอยู่นิ ฮาาาา

    อากิรอส คีฟ
    อ่านเม้นท์ของคุณแล้วดีใจเหลือเกินค่ะ
    แล้วจะยืนยันต่อไปว่า กระอักระอ่วนใจจะตอบเม้นท์ เพราะยาวโพด
    แต่เอาวะ เรามาเวิ่นใส่กันต่อ

    ขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำเรื่องการฝูกเงื่อนนะฮะ โดยส่วนตัวคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่จะเขียนได้อย่างนั้นไหมก็อีกเรื่อง (กร๊าซ)
    ตอนนี้เริ่มรู้สึกถึง challenge ของเรื่องยาวแล้ว (ปกติไม่เคยเกิน Oneshot) แต่ก็จะสู้ต่อไป เพราะบางทีก็ต้องอดทน เขียนส่วนที่ต้องเขียนไปก่อน ค่อยๆแอบๆปูพื้นไว้เรื่อยๆ หลังจากนี้จะได้ปลดปล่อยเต็มที่ (ฮาา)

    ขอบคุณมากๆสำหรับคำติชมทุกๆอย่าง ทางนี้ก็จะยังคงเดินหน้าสู้ต่อไป ต่อไป ต่อไป...
    อาาาาา ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้แล้ว งานเขียนคงจะกะร่องกะรอยขึ้นเย้อ...
    หวังว่าจะได้อ่านเม้น์ที่เซอร์ไพรส์กว่านี้อีกเช่นกัน :p (จริงๆแล้ว อย่าเลย แค่นี้ก็เกรงใจจะตายอยู่แล้ว)

    คนที่เขียนภาพจิตรกรรมนี้คือแน็ก... จงอย่าปล่อยให้ 'ใคร' ทำลายมัน

    ทั้งความชอบ และ ไม่ชอบ

    มันมีคุณค่าในตัวเองแม้จะไม่มีใครรัก
    << แต่เราก็ต้องพัฒนากันต่อไปเรื่อยๆนะ
    จะย่ำต๊อกอยู่กับที่ไม่ได้หรอก เพราะไม่งั้นคนเขียนก็คงจะอึดอัดใจน่าดู :D

    ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านเช่นเดียวกันค่ะ

    ขอบคุณมากๆที่อุตส่าห์มาตามอ่านและคอมเม้นท์นะคะ :D จะพยายามต่อไป ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยค่า~
  17. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    Mirrored Lives – Chapter 3 “Brewed Calamity – พิบัติสรรสร้าง”


    แสงตะวันยามเช้าเริ่มสาดส่อง...
    ไอแวนละมือข้างหนึ่งจากสายบังเหียน ใช้มือป้องดวงตาทั้งคู่จากแสงอาทิตย์ที่สาดจ้าจนแสบตา สายลมเย็นชื้นที่พัดเข้าปะทะใบหน้าบัดนี้เริ่มอุ่นขึ้นเมื่อม่านหมอกและน้ำค้างระเหยหายไปเมื่อต้องความร้อน


    สิ่งที่ถูกเปิดเผยเมื่อสายหมอกล่าถอยคือทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา รายล้อมสองข้างทางที่ม้าควบผ่าน ชายหนุ่มมองทุ่งดอกมัสตาร์ดที่พุ่งผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็วตามฝีเท้าอาชา ชื่นชมประกายทองอร่ามเมื่อกลีบดอกไม้นับพันอาบแสงแดด


    ดั่งที่อาดิวได้อธิบายไว้คร่าวๆก่อนการเดินทาง เส้นทางที่ตัดผ่านตัวเมืองกรีนชิลด์นั้นมีเพียงสายเดียว เป็นถนนขนาดกลางเลาะเลียบที่ราบทำการเกษตรเสียครึ่ง หลังจากนั้นข้ามเขาขนาดย่อมไปเพียงอีกสองลูก ก็จะถึงที่หมายที่แรก


    เรนาสเป็นเมืองขนาดย่อม ใหญ่กว่ากรีนชิลด์เพียงเล็กน้อย การค้าที่ทำเงินหารายได้เข้าเมืองส่วนใหญ่เกี่ยวกับการบริการที่พักแรม จุดพักม้า และการส่งต่อลำเลียงสินค้า เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ทางภาคใต้ และใช้เวลาเพียงครึ่งวันในการเดินทางไปยังชายแดนนอเรนอาร์-อัลฟาแรม


    ระหว่างหยุดพักข้างทาง อาดิวใช้กิ่งไม้เกลี้ยงเกลาวาดรูปประกอบลงบนพื้นถนนดินแดง ปากก็อธิบายไปด้วย
    “การที่จะขี่ม้าเดินทางเข้าเมืองหลวง ปกติใช้เวลาเป็นเดือนๆ เพราะนักเดินทางหลายต่อหลายคนเลือกที่จะเดินทางอ้อมเป็นวงกว้าง เพื่อหลีกเลี่ยงเทือกเขาลูซ”


    ปลายกิ่งไม่ตบเบาๆสองสามครั้งลงบนรูปสี่เหลี่ยมที่เรียงกันเป็นแนวยาวราวกับจะเน้นย้ำ ตัดขาดพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ออกจากส่วนที่เหลือ


    “คนที่เดินทางข้ามประเทศส่วนใหญ่บรรทุกสินค้าจำนวนมากเพื่อนำไปขายต่อในเมืองหลวง การเดินทางข้ามเทือกเขาลูซมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับคนพวกนั้น แต่สำหรับเรา...” ผู้นำทางวาดปลายกิ่งเป็นวงกลมรอบส่วนรอยต่อแคบๆของเทือกเขา “จะเดินทางข้ามผ่านเทือกเขาด้วยวิธีพิเศษ”


    “พิเศษ?” เฟรเทียร์ที่กำลังนั่งเคี้ยวดอกมัสตาร์ดถามขึ้น ไอแวนมองปลายดอกสีเหลืองสดที่โผล่ออกมาจากมุมปากของเธอแล้วแอบยกมือขึ้นนวดขมับ


    อาดิวพยักหน้า พรานหนุ่มเกาคางเบาๆอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง “ไม่รู้ว่าพวกท่านเคยได้ยินชื่อหมู่บ้าน 'นานเร' ไหม?”


    สายตาอันว่างเปล่าจากผู้ร่วมเดินทางทั้งคู่เป็นคำตอบให้เขาได้เป็นอย่างดี


    “เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ในซอกหลืบของเทือกเขาลูซ ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่ามันมีอยู่” วอซัมหัวเราะ ยักคิ้วให้หนึ่งที “แต่ว่าข้าเคยไป”


    “จากนานเรเหรอท่าน...” ไอแวนมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ สายตาเพ่งมองแผนที่จำเป็นบนพื้นถนน “แต่ข้าไม่เห็นทางที่จะทำให้เราถึงเมืองหลวงเร็วขึ้นได้เลยนะ”


    “เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ” อาดิวยักไหล่อย่างไม่แยแส


    “แต่ข้าเคยได้ยินว่าใช้เวลาสองสามเดือนนะ?” เฟรย์เอ่ยทักขึ้นมา เพียงแค่นั้นผู้นำทางก็ขยับยิ้มกว้าง ชูสามนิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิ


    “พวกเราจะใช้เวลาอย่างมากเพียงสามอาทิตย์”


    “พูดเป็นเล่น...” ชายหนุ่มผมน้ำตาลทองแย้งอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำโฆษณาของอีกฝ่ายหนึ่งเท่าไรนัก


    “ม้าฝีเท้าดี ใช่ว่าจะมีคนขี่ที่ดี ท่านไอแวน” รอยยิ้มยังคงผุดพรายบนใบหน้าของพรานหนุ่ม “หากเดินทางไปตามที่ข้าวางแผนเอาไว้ ข้าขอยืนยันด้วยเกียรติของข้า สามอาทิตย์เท่านั้น”


    เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินยุ่งเหยิงก็บิดกายลุกขึ้นยืน หยิบหมวกปีกกว้างสีดำสนิทที่วางไว้บนอานหนังขึ้นมาใส่ “ไปกันต่อเถอะ”


    ไอแวนพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เอี้ยวตัวหันไปหยิบถุงใส่น้ำของตนเอง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก


    “เฟรย์ นี่เจ้าทำอะไร?”


    เธอเลิกคิ้ว มือหนึ่งหมุนดอกแดฟโฟดิลที่เด็ดมาจากริมถนนเล่น “นั่งมองท่านอยู่?”


    ไอแวนกลอกตา “อารอสเล็มดอกมัสตาร์ดไปจะหมดครึ่งไร่แล้วนะ”


    เฟรเทียร์เลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก ราวกับจะถามว่า ‘แล้วยังไง?’


    “ม้าเจ้า ความรับผิดเจ้านะ เฟรย์”


    ทั้งคนทั้งม้าพ่นลมหายใจพร้อมๆกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ถึงอย่างนั้นเฟรเทียร์ก็ยอมผิวปากเรียกอารอสแต่โดยดี ม้าหนุ่มเดินเข้ามาหานายหญิงอย่างว่าง่าย ร้องเบาๆเมื่อเธอเกาจมูกให้อย่างเอาอกเอาใจพร้อมเด็ดดอกมัสตาร์ดอีกสองดอกส่งให้เป็นรางวัลปลอบใจ


    ไอฟ์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ค่อยถูก
    จะบอกว่าหมั่นไส้ก็ไม่เชิง...


    “ไอฟ์” เป็นทีของเขาที่เลิกคิ้วใส่เธอบ้าง “ม้าท่านล่ะ?”


    ก่อนที่ไอแวนจะได้ตอบอะไร เอเดลไรย์ก็พยักเพยิดไปยังอีกฝั่งถนน นัยน์ตาสีน้ำเงินสดมองตามไป...


    “เนนย่า!!”


    ม้าสาวลายน้ำตาลขาวสวยเงยหน้าขึ้นมามองเจ้านายตามเสียงตะโกนเรียก จ้องนายที่ทำท่าจะตกใจตายไปเสียตรงนั้นให้ได้เสียพักหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปจัดการทุ่งดอกสีเหลืองอ่อนที่เหลืออยู่น้อยนิดต่ออย่างไม่สนใจใยดี


    เฟรเทียร์แอบแสยะยิ้มให้อารอส ถ้าตบไหล่แสดงความยินดีให้กันและกันได้คงจะทำไปแล้ว


    อาดิว วอซัมมองภาพตรงหน้า แล้วถอนหายใจแรงๆเสียหนึ่งที


    เอาวะ... อย่างน้อยเงินก็ดี


    การเดินทางที่เหลือบนทุ่งราบผ่านไปอย่างรวดเร็ว คณะเดินทางย่อมๆชะลอความเร็วลงเมื่อทั้งสามละจากเส้นทางถนนใหญ่ และบ่ายหน้าขึ้นเขา มุ่งตรงเข้าไปในป่าสนตามเส้นทางที่พรานป่าหลายยุคสมัยแผ้วถางไว้แทน


    คำเรียก ‘ทางเดินจิ้งจอก’ นั้นใช้ขนานนามเส้นทางทุกๆเส้นภายในป่าที่เกิดจากการแผ้วถางบุกเบิกของพรานหรือนักเดินทางที่ใช้เส้นทางที่ตนเองคาดคะเนไว้ว่าสั้นและปลอดภัยที่สุด หากทางเดินของจิ้งจอกนั้นทั้งเล็กแคบ และไม่แน่นอน ทุกๆเส้นทางสามารถเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และหายไปได้ทุกๆห้าถึงสิบปี หากไม่คุ้นชินเป็นอย่างดี หรือมีประสบการณ์ในการตรวจสอบร่องรอยการใช้งานของเส้นทางพวกนี้แล้ว จะหลงทางได้ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย


    เฟรเทียร์คุ้นชินกับทางเดินจิ้งจอกยี่สิบสาย ระยะรัศมีจากกรีนชิลด์ร่วม 50 ไมล์
    ไอแวน เลห์ เชลลีย์มีประสบการณ์หลงป่าอย่างน้อยห้าครั้ง โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความพิศวาสป่าทึบเท่าไรนัก
    อาดิว วอซัม สร้างทางเดินจิ้งจอกเป็นของตัวเอง และไม่เคยพลาด


    ค่ายพักขนาดเล็กถูกตั้งขึ้นไม่ไกลจากตาน้ำผุดบนเขาเมื่ออาทิตย์ลับแสง อานหนังหนาหนักและสัมภาระบางส่วนถูกปลดออกจากหลังม้าทั้งสามตัว เฟรเทียร์ขอแยกตัวไปสำรวจสถานที่รอบๆเมื่อก่อไฟเสร็จเรียบร้อย ปล่อยให้ไอแวนจัดการเรื่องอาหารเย็น และอาดิวให้ได้งีบหลับพักผ่อน


    เธอกลับมาเท้าเปล่า พร้อมกับขากางเกงที่ถูกร่นขึ้นเหนือหัวเข่า เสื้อเชิ้ตที่เปียกไปครึ่งตัว ปลาสดๆสามตัวในมือขวา รองเท้าบูทในมือซ้าย และสีหน้าที่บ่งบอกเต็มที่ว่าตอนนี้กำลังมีความสุขเสียเต็มประดา


    บางครั้งไอแวนคิดว่าเฟรเทียร์ใช้เวลานานๆในฤดูล่าสัตว์นั่งมองหมีภูเขาตะปบปลาออกจากแม่น้ำ และพยายามเลียนแบบจนทำได้


    ใครจะไปรู้ว่าความคิดเพ้อเจ้อนั่นผิดถูกขนาดไหน...


    อาหารค่ำมื้อแรกประกอบไปด้วยปลาย่าง เนื้อกวางรมควัน ขนมปัง และเนยแข็ง


    วันรุ่งขึ้น ทั้งหมดจะถึงที่หมายแรก


    ======================


    ราเวนน่า โรซิสซ่ายืนอยู่หน้าประตูกระจกกรอบสีหวานด้วยความรู้สึกที่อธิบายได้ว่า ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’
    ถ้าดูจากสีหน้าบนใบหน้าขาวซีดนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็คงจะเดาว่าภายหลังประตูบานนี้จะต้องมีสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวรอคอยอย่างหิวกระหายที่จะฉีกกระชากร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ


    หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่เรียกเก็บภาษีของรัฐ


    นายแพทย์โรซิสซ่ามองเงาสะท้อนของตัวเองในบานประตูกระจกเป็นรอบที่ร้อย และขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆบานประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มจนเกินงามของอากิรอส คีฟ


    ราเวนน่าอยากจะวิ่งหนี


    “เห็นท่านไม่เข้ามาเสียที ข้าเลยถือวิสาสะมาเปิดให้เอง”


    “ใครบอกว่าข้าจะไม่เปิดเข้าไป” นายแพทย์รุ่นพี่เถียงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย อากิรอสหัวเราะหึๆ


    “ราส กระจกนั่นเป็นกระจกทางเดียว”


    ราเวนน่าขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไร อากิรอสฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ชายหนุ่มรุ่นน้องดึงเขาเข้าไปในตัวร้าน ราเวนน่ายิ่งขมวดคิ้วหนักเมื่อกลิ่นหอมหวานของนมและเนยลอยวูบเข้าปะทะใบหน้าเสียเต็มรัก


    เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่นายแพทย์โรซิสซ่าย่างเท้า – หรือถูกลากถูลู่ถูกัง – เข้ามาในร้านขนม


    คีฟดุนหลังอีกผ่ายไปนั่งลงยังโต๊ะด้านในสุด เหยื่อจำเป็นแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสำรวจดูอย่างแน่ใจแล้วว่าโต๊ะของพวกเข้าลับสายตาคนจริงๆ


    “ที่จริงเจ้ามาที่นี่คนเดียวก็ได้...” อากิรอสกลอกตากับประโยคนั้นแล้วตอบด้วยน้ำเสียงยียวน


    “ข้าไม่ได้นัดเจอกับท่านนอกสถานที่นานแล้วนี่ เลยถือโอกาสเสียเลย” ราสเงียบตอบ หัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันยังไม่คลาย คุณชายสูงศักดิ์ในคราบคนธรรมดาเท้าคางเข้ากับโต๊ะแล้วพูดเนิบๆเป็นเชิงล้อเลียน


    “กล้ามเนื้อคิ้วน่ะ ท่านจะไม่ใช้สักวันก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”


    “รีบๆทำให้มันเสร็จๆไปซะที” ราเวนน่าตัดบทเมื่อเริ่มรู้สึกถึงเส้นความอดทนที่เริ่มจะบางลงทุกขณะ


    นั่นเป็นจังหวะที่เจ้าของร้านเดินเข้ามาพอดี


    เด็กหนุ่มเจ้าของร้านแย้มยิ้มให้กับลูกค้าอย่างอัธยาศัยดี ราสอดไม่ได้ที่จะเก็บรายละเอียดรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างจะโดดเด่นของเด็กหนุ่มเอาไว้


    สีผิวของร่างเล็กๆนั้นบรรยายได้ว่าขาวสะอาด แต่ไม่ใช่โทนเดียวกันกับของเขาหรืออากิรอส สีผิวซีดขาวของราสเกิดจากการที่เขาหมกตัวอยู่ในห้องทำงานไม่โดนแสงแดดเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ผนวกเข้ากับการถูกซักฟอกด้วยสารเคมีที่ใช้อยู่บ่อยๆ ส่วนเนื้อผิวเนียนละเอียดของอากิรอสนั้นบ่งบอกถึงการถูกดูแลเลี้ยงดูประคบประหงมตั้งแต่เด็ก เป็นผิวของคนชั้นสูงที่ไม่เคยจับจอบเสียมทำงานหนักท่ามกลางแสงแดด ในขณะที่ผิวขาวราวโปร่งแสงของเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีกุหลาบนั้นสามารถวินิฉัยได้ว่าเป็นผลลัพท์ของ ‘ภาวะผิวเผือก’


    ภาวะผิวเผือกนั้นเกิดขึ้นเมื่อบางส่วนหรือร่างกายทั้งหมดขาดเม็ดสีเมลานิน โดยเฉพาะในบริเวณตา ผิวหนังและเส้นผม แต่ใน ณ ที่นี้ เกิดขึ้นแค่เพียงที่ผิว ดูได้จากคลื่นเรือนผมสีดำสนิทระเอวรวบที่ถูกรวบเป็นหางม้า


    ...ภาวะนี้เป็นกรรมพันธุ์ที่หาได้ในตระกูลโชเวนสไตน์ฝั่งขวาเท่านั้น


    โรซิสซ่าเลิกคิ้ว


    นักฆ่ารุ่นนี้...นิยมเปิดร้านขนม ขายเครื่องดื่มเป็นงานอดิเรก?


    อากิรอสยกมือขึ้นทักทายเด็กหนุ่มอายุน้อยตามมารยาท ก่อนที่จะหยิบม้วนกระดาษที่ผูกไว้ด้วยไหมสีน้ำเงินขึ้นมาวางไว้บนปกรายการอาหารสีชมพูอิฐอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง


    ชาฟาเรฟ โชเวนสไตน์มองม้วนกระดาษนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านก็รู้ว่าข้าออกจากวงการมาแล้ว”


    “ไปคุยกับนางเอาเอง ชาเรฟ ข้ามีหน้าที่แค่ส่งมอบเท่านั้น” อากิรอสยิ้มตอบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นเป็นเชิงล้อเลียน “ห้ามยิงผู้ส่งข้อความ”


    “ข้าจะยิงท่านได้ยังไง เมื่อท่านยังติดหนี้ชากุหลาบข้าอยู่” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ แต่ยังคงไม่มีที่ท่าว่าจะหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้น


    “ให้เจ้าไปเก็บกับแม่ข้าเอง อันนั้นน่ะ” ชายหนุ่มที่มีทรัพย์สินส่วนตัวไม่รู้ที่สิ้นสุดแต่ยังดัดจริตติดหนี้เขาไปทั่วหันมายักคิ้วให้ราเวนน่าหนึ่งที “ท่านจะไม่สั่งอะไรหน่อยหรือ?”


    “ข้าว่าไม่ต้อง...”


    “เหลวไหล” แพทย์รุ่นน้องตัดบท “ท่านนี่ แอลกอฮอลล์ก็ไม่ดื่ม ชาก็ไม่เอา ความสุขในชีวิตหาได้ที่ไหนกัน?”


    ราสอ้าปากขึ้นจะแย้ง แต่อากิรอสไม่สนใจ
    “ชาเรฟ ช่วยจัดมาให้รุ่นพี่ข้าสักชุดหนึ่งนะ ส่วนข้าขออย่างเดิม” ดวงตาสีนิลเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาบนผนังแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสริม “ขอกลับบ้านก็แล้วกัน”


    ชาฟาเรฟพยักหน้า ก่อนที่จะล่าถอยออกไปอย่างเงียบกริบ


    “ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นเด็กคนนี้อีกนะ” ราเวนน่าเปรยเบาๆ มือทั้งคู่ประสานบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย “ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเขามันก็สิบกว่าปีมาแล้ว”


    “ไม่แปลก ในเมื่อท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับพวกเขา” คีฟหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างระมัดระวัง


    ราสนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “คิดว่านางต้องการอะไร?”


    “ใช้เครือข่ายภายในของเขา” อากิรอสตอบเบาๆ “ถึงจะออกจากวงการมาแล้ว เครือข่ายความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาด หากจะดำเนินการทำอะไรอย่างแยบคายที่สุดล่ะก็...”


    “ให้ใช้แมงมุมตัวเล็กๆ บนใยที่ชักเชื่อมกันกับแมงมุมอีกนับล้าน” ราสเปรยขยายความ อากิรอสขยับยิ้มบางแล้วเอ่ยเสริม


    “นักฆ่า...ไม่มีสัญชาติหรอกนะ”


    เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษสีนวลสองกล่อง ราเวนน่านั่งมองอากิรอสจ่ายเงินให้กับเขาไป มือยาวเอื้อมไปหยิบถุงกระดาษบรรจุกล่องเค้กที่ชาเรฟบอกว่าเป็นของเขาขึ้นมาอย่างละเหี่ยใจ มองตราสัญลักษณ์นกนางแอ่นบนฝากล่องแล้วคิดในใจว่าคืนนี้คงต้องกินอะไรก็ตามที่อยู่ในกล่องนี้เสียแล้ว...


    เมื่อหันกลับมามองอีกที ม้วนกระดาษนั้นก็หายไปแล้วพร้อมๆกับเจ้าของร้าน


    ในคืนนั้น พายแอปเปิ้ลหน้าตาธรรมดาๆถูกหยิบออกมาจากกล่อง
    …ราเวนน่าไม่อยากจะยอมรับว่าเขาแทบเสียน้ำตาให้กับรสชาติธรรมดาๆของมัน


    รสชาติธรรมดาๆ ที่เหมือนกับพายแอปเปิ้ลที่ภรรยาของเขาเคยทำให้กินอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
  18. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    Mirrored Lives – Chapter 3.5 “Ink Stain – รอยตำหนิบนหน้ากระดาษ”


    อเล็กซาร์ เฟนนิเทร เสียชีวิตเมื่ออายุสามสิบสี่ปีบริบูรณ์

    สาเหตุการเสียชีวิต กระทำอัตนิวิบาตกรรมโดยใช้อาวุธปืน


    พอนำมาเรียบเรียงเป็นประโยคเรียบง่าย เหตุและผลที่ประกอบกันเป็นเหตุการณ์ก็ดูจะสั้นกระชับเสียเหลือเกิน


    'มีชายคนหนึ่ง และเขาฆ่าตัวตาย'
    เพียงแค่นั้น


    แต่ถ้าหากเราถอยหลังไปหนึ่งก้าว และพิจารณา...


    ======================


    อเล็กซาร์ เฟนนิเทร หรือ อเล็กซานดรอส ราเวสโค บุตรชายคนที่สามแห่งพลเอกราเวสโค เกิดและเติบโตขึ้นในตระกูลขุนนางอันดับสามแห่งราชอาณาจักรอัลฟาแรม


    การ์เวน เอลานอร์ริส ราเวสโค ผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาว เข้าพิธีสมรสเมื่อนางอายุสิบห้า ส่วนอเล็กซานดรอสอายุเพียงเก้าขวบ
    เมื่ออเล็กซานดรอสอายุสิบเอ็ดปี ตระกูลราเวสโคถูก 'ทำให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรอัลฟาแรม'


    พลเอกราเวสโคถูกยิงหนึ่งครั้งเข้าที่ขมับ มิเคอิล บุตรชายคนโต ถูกยิงสองครั้ง ที่ลำคอ และขั้วหัวใจ


    ทั้งคู่เสียชีวิตในวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน สถานที่เสียชีวิตห่างจากกันราวสี่สิบไมล์


    ข้ารับใช้รวมห้าร้อยชีวิต สหายสนิทของ'อดีต'ผู้นำตระกูลสิบสองคน รวมไปถึงครอบครัวของ 'ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง' ถูกสังหารอย่างมีประสิทธิภาพ และรัดกุม


    ภายในคืนเดียว คฤหาสน์สี่หลัง และบ้านเรือนน้อยใหญ่รวมไม่ต่ำกว่าสามสิบหลังคาเรือน ถูกเผาวอดวายสิ้น
    ทุกสิ่งถูกหอบขึ้นไปยังผืนกำมะหยี่มืดมนของท้องฟ้ายามราตรี หายไปกับก้อนกลุ่มควันเขม่า และขี้เถ้า


    อเล็กซานดรอสรอดชีวิตอย่างไร้สาเหตุ


    เด็กหนุ่มระหกระเหิน อาศัยหลบซ่อนตัวในเกวียนบรรทุกสินค้าที่เดินทางไปยังชายแดน ได้รับความช่วยเหลือจากคนมากหน้าหลายตา ทั้งชาวบ้าน นักเดินทาง กลุ่มนักแสดงเร่ร่อน


    ภายในเวลาสองอาทิตย์ อเล็กซานดรอสก็ถึงนครหลวง 'โรซิลเลีย' แห่งประเทศนอร์เรนอาร์
    ภายในอาทิตย์เดียวกันนั้น หนุ่มน้อยดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เส้นผมสีทองสว่างยุ่งเหยิงถูกพบเข้าในเขตล่าสัตว์หวงห้ามของราชวงศ์เฟนนิเทร


    นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับองค์ชายเฌอร์รอง


    ‘อเล็กซาร์’ ถูกราชวงศ์เฟนนิเทรรับเลี้ยงในฐานะพระสหายขององค์ชาย
    ส่วนอเล็กซานดรอส ราเวสโคไม่เคยเดินทางข้ามชายแดน ไม่เคยถูกใครหน้าไหนพบเจอ


    มีเพียง 'อเล็กซาร์' เท่านั้น


    เมื่ออเล็กซาร์อายุสิบสามปี เด็กหนุ่มสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารแห่งประเทศได้ และเพียงไม่นานก็กลายเป็นนักศึกษาที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เมื่อใช้นามสกุลเฟนนิเทร และคะแนนที่ไม่เคยต่ำกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในทุกชั้นเรียน
    โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ


    เมื่ออายุยี่สิบเอ็ด ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านเริ่มบานปลาย
    และสงครามชายแดนแย่งชิงอาณาเขตที่ถูกจุดเชื้อเติมไฟมานาน ท้ายที่สุดก็ระเบิดขึ้น


    กลายเป็นสงครามชายแดนยืดเยื้อระหว่างอัลฟาแรมและนอเรนอาร์


    อเล็กซาร์ถูกส่งไปยังแนวหน้า
    แรกๆ ชายหนุ่มไม่ยอมแม้แต่จะหยิบไรเฟิลขึ้นมาประทับบ่า

    หนึ่งอาทิตย์หลังจากสงครามเริ่มต้น องค์ชายเฌอร์รองเสด็จเยี่ยมชมการทหารที่ชายแดน
    อเล็กซาร์จัดเครื่องแต่งกายตามระเบียบทหารให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินทางไปพบด้วยตนเองตามคำสั่ง

    เด็กหนุ่มอ่อนวัยกว่าผู้เคยช่วยชีวิต และมอบอนาคตใหม่ให้กับเขา บัดนี้เติบใหญ่ กลายเป็นชายหนุ่มผู้ทรงสง่า ราชาในอนาคตของอาณาจักรยิ่งใหญ่
    เส้นผมสีเงินยวง และดวงตาสีฟ้าอ่อนเจือไปด้วยประกายอ่อนโยนยังคงเดิม


    สิ่งเดียวที่ตรัสรับสั่งกับเขาคือ


    “อเล็กซาร์... เจ้าต้องทำ เพื่อเรา”


    หลังจากนั้น อเล็กซาร์ก็เหนี่ยวไกปืน ส่องยิงทหารอัลฟาแรม
    และปลิดทุกชีวิตที่สืบสายเลือดแห่งแผ่นดินแม่ของตนโดยไม่กระพริบตา


    อเล็กซาร์ไม่รู้ว่าในเหยื่อกระสุนนับพันนั้น..จะมีใครบ้างที่เคยเอ็นดู ช่วยสงเคราะห์ช่วยชีวิตเด็กน้อยผู้ไร้หนทางให้รอดชีวิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน


    ทุกชีวิตที่ถูกดับลง ทุกๆซากศพถูกบันทึกผ่านเลนส์กล้องที่จ่อยิง ผ่านดวงตาสีน้ำเงินที่เข้มลึกยิ่งกว่าท้องทะเลคู่นั้น
    บันทึกไว้ในความทรงจำ และฝังลงไปในใจ


    ในกองทัพ..ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นแสดงอารมณ์
    พันเอกอเล็กซาร์ไม่เคยปล่อยให้อะไรหลุดรอดผ่านนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น


    อเล็กซาร์อายุยี่สิบเก้าปี เมื่อสงครามยุติ
    เขาตัดสินใจลาออกจากราชการ และเดินทางไปยังทางตอนใต้ของนอเรนอาร์


    เขาพบกับ เอเลน่า เลห์ เชลลีย์ ที่นั่น


    เธอไม่รู้มาก่อนว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อย่างไร
    ไม่เคยรู้ภูมิหลังของเขา สายเลือดที่เขาสืบสาน
    หรือแม้กระทั่งรอยเลือดบนมือที่มองไม่เห็น


    แต่พวกเขา..ก็มีความสุขเหลือเกิน


    สี่ปีอันแสนสงบสุขผ่านไป
    ไอแวน เลห์ เชลลีย์ถือกำเนิดในฤดูมรสุมที่สามสิบสามของอเล็กซาร์


    สองอาทิตย์ให้หลัง อเล็กซาร์ถูกเรียกตัวไปยังเมืองหลวง
    บุญคุณที่ติดค้าง บัดนี้ถึงเวลาทดแทน


    อเล็กซาร์ถูกส่งตัวไปยังนครหลวงรีฟา-คาร์นักซ์ ราชอาณาจักรอัลฟาแรม


    คืนเดือนมืดคืนหนึ่ง เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งถูกลอบปลงพระชนม์
    ศพสองศพถูกพบ


    ไม่มีใครรู้ว่าการกระทำของชายหนุ่ม ในท้ายที่สุดแล้วนั้น เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาหรือไม่


    ...หรือเป็นความทรงจำที่ไม่สามารถถูกลบเลือน คราบบาปแปดเปื้อนมือทั้งคู่ที่กัดกินจิตใจ
    บีบคั้นให้เขาจ่อกระบอกปืนเข้าที่ขมับ และเหนี่ยวไก
    ใส่ตนเอง


    หนึ่งเดือนถัดมา เอเลน่า เลห์ เชลลีย์ได้รับจดหมายสั้นๆ ไร้ตราประทับ
    บอกกับเธอว่า สามีของเธอได้เสียชีวิตในหน้าที่


    เนื้อกระดาษบางเบาร่วงหล่นลงจากมือของเธออย่างเงียบงัน
    ทารกน้อยพลิกตัวหาวหวอดในอ้อมอกของแม่

    และหลับไปอีกครั้ง ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง



    ...นี่คือเศษเสี้ยว
    ของช่วงเวลาชั่วชีวิต
    ของมนุษย์คนหนึ่ง



    ======================


    สนทนาเล็กน้อย

    เหนื่อยสลัด และเปียกโชก (โดนฝนกทม.ทำพิษ)
    จริงๆอยากคุยเยอะแยะ แต่ตอนนี้คิดไม่ออก

    เอาเป็นว่า จริงๆแล้วเค้าชอบอเล็กซานดรอสมากเลยะ
    ในอนาคตคงจะมีเรื่องให้ได้เขียนเกี่ยวกับเฌอร์รอง และอเล็กซานดรอสอีก
    ตอนนี้ก็อ่าน และคิดกันเล่นๆไปก่อนก็แล้วกัน
    รักมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับความสนับสนุนที่มีให้กันเสมอมา *ยิ้ม*

    ขอบคุณแบมๆ ที่กระตือรือล้นเกี่ยวกับ ML เหลือเกิน
    ขอบคุณอากิรอส คีฟ ที่นั่งอ่านฟิคด้นสดอย่างเป็นจริงเป็นจังแม้กระทั่งเวลาบุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง
    ขอบคุณอีวานนี่ ที่รักและให้กำลังใจผู้เขียนเสมอมาค่ะ *กอดดด*

    บุญรักษาค่ะ


    List ตัวละครที่ออก

    - ชาฟาเรฟ โชเวนสไตน์ (Randolp)
    - อเล็กซานดรอส ราเวสโค / อเล็กซาร์ เฟนนิเทร (original)
    - เฌอร์รอง เฟนนิเทร (original)
  19. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ประโยคนี้เด็ดมากครับ เป็นประโยคปิดฉากที่ส่องให้เห็นภาพอีกมุมหนึ่งของตัวละคร เห็นความอ่อนไหวในจิตวิญญาณ ของคนที่เป็นปุถุชน+ใช้ขนมที่ดูเรียบง่ายในบรรดาขนมทั้งหมด ในการสื่อถึงความอบอุ่นได้อย่างง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง (ชอบประโยคนี้มากนะครับ ^^)
    -----------------------------------------------------------
    ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งตอนสนุกๆนะครับ

    อ่านบทที่3 และ 3.5 แล้วมีภาพที่เป็น

    'ปัจจุบัน' และ 'ภาพย้อนอดีต'

    สวยงามจริงๆครับ ^^

    ปล. ชาฟาเรฟออกมาเลิศกว่าที่ผมบรรยายซะอีกครับ ปลื้มที่สุดครับ โดยเฉพาะบนสนทนาในร้านขนม
  20. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ซ้ำขออภัยครับ = = คอมเน่า
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    โอะ... มาครั้งนี้มีตอนครึ่ง... ฮ่าๆ

    มุมเนื้อเรื่อง

    การเดินทางที่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะถึงเมืองหลวง ก็คงต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

    นักฆ่า...กับภารกิจที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร เนื้อเรื่องเริ่มมีปมความลับแล้วละ... รออ่านอีกเช่นกัน

    โรซิสซา...กับความหลังที่ตายจาก (ไม่อยากจะนึกเท่าไร เพราะแฟนคนแรกของตัวเองก็ตายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วเหมือนกัน)

    ปล. ความเป็นมาของครอบครัวไอแวนนี่.... อืมมม มืดมนดีแท้

    มุมคำผิด

    - เสื้อเชิร์ต < < เสื้อเชิ้ต
    - ท้าวคาง < < เท้าคาง
    - บอกว่าเป็ของเขา < < เป็น (ตก น. หนู)
    - สถาณที่เสียชีวิต < < สถานที่
    - และสงครามชายแย่งชิงอาณาเขตที่ถูดจุดเชื้อมานานก็ระเบิดขึ้น < < ชายแดน ? , ถูก
    - องค์ชายเฌอร์รองทรงเสด็จ , สิ่งเดียวที่ทรงตรัสรับสั่งกับเขาคือ < < ไม่ต้องมีทรง

    อ้างอิง

    - ให้อะไรหลุดรอดผ่านนัยน์สีน้ำเงินเข้มคู่นั้น < < นัยน์ตาสีน้ำเงิน ?
    - แอลกอฮอลล์ก็ไม่ดื่ม < < แอลกอฮอล์
  22. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    โอวมืดมนกันต่อไป
  23. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    ไม่มีปัญญาจะคอมเม้นอะไรมากเหมือนคนอื่น(ฮา)ขอเข้ามาอ่านเฉยๆแล้วกันเหนาะ :3

    ปล.อ่านตอนนี้แล้วแอบดูเหมือนจะชอบเขียนเรื่องเศร้าๆนะครับ
  24. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ตอนที่สามมาแล้วโอ้ว

    ครึ่งตอนแรก - เหมือนกับจะได้กลิ่นหญ้าป่าตอนที่อ่านในช่วงครึ่งแรกนี้

    ครึ่งหลัง - เหมือนจะได้กลิ่นไอเย็นยะเยือก กับ บรรยากาศมืดมนเทาๆรอบตัว

    ตอนพิเศษ - สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป เหมือนอ่านบันทึกประวัติใครสักคนผ่านการเล่าเรื่อง

    ไม่แน่ใจว่าจะเป็นยังไงต่อไป เพราะทุกคนยังทำตัวแบบยื่นมือให้เห็นหนึ่งข้าง แต่ยังซุกอีกข้างไว้ด้านหลังกัน

    แต่ชอบประโยคที่ว่า "นักฆ่า...ไม่มีสัญชาติ" วลีเดียวบอกได้ทุกอย่างของความเป็นนักฆ่า แต่ทั่วไปแล้วสำหรับอาชีพที่เริ่มด้วยการฆ่า ก็ต้องจบด้วยการโดนฆ่า เป็นปรกติสินะครับ?
  25. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    (ยังคอมเมนต์ไม่เสร็จนะคะ >.< เดี๋ยวมาต่อให้ค่ะ)

    ดูจำนวนตอนที่ดำเนินมา ยิ่งมากขึ้น คนคอมเมนต์ก็ดูจะมีจำนวนมากขึ้นด้วยนะคะ :E

    คราวนี้พี่แน็กเขียนมาสองตอน (หรือเรียกให้ถูกคือตอนครึ่ง?) ซึ่งเราก็ได้อ่านไปคร่าวๆตอนงานมีทแล้ว และได้กลับมาอ่านอีกครั้ง ในเวลานี้ อยากบอกว่า บทที่ชอบคือ 3.5 มากกว่า ถึงแม้จะสั้น แต่ก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็จะขอคอมเมนต์มันทั้งสองตอนนี่แหละค่ะ :cool:

    สำหรับ Chapter 3 คงต้องยืมคำพูดของพี่อากิจากตอนงานมีทมาใช้ ว่าภาษาการเขียนของพี่แน็กเป็นประโยคบรรยายแนว passive ซึ่งมักจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในภาษาไทย มันเป็นเสน่ห์ที่คงอยู่ของฟิคนี้ แต่อย่างที่พี่แน็กได้ชี้แจงว่า ฟิคตอนนี้มีการเร่งเพื่อให้เสร็จทันกำหนด ภาษาในบางจุดจึงดูห้วนไปเล็กน้อย แต่เชื่อว่า ถ้าพี่แน็กมีเวลา จะกลับมาแก้ไขแน่นอน

    อย่างที่พูดไปเมื่อวาน เฟรย์เทียเหมือนลูกสัตว์ตัวน้อย ลูกอะไรซักอย่าง ไม่แน่ใจว่าหมาหรือแมว แต่ถ้าแหย่นิ้วเข้าไปละก็ จะโดนกัดเล่นแน่นอน (พี่แน็กอธิบายว่า ที่กัดก็เพราะหิวนะ) ซึ่งบทบรรยายหนึ่งในฉากนี้ ก็ยิ่งตอบรับเหตุผลมากขึ้นไปอีก

    กินแม้แต่ดอกไม้! >w<

    แถมนิสัยก็ยังเอาแต่ใจและน่ารักแบบแสบๆเสียอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น'คุณหนู'เอง ก็มีความสามารถที่จะเอาตัวรอดได้ ไม่เหมือนคุณหนูอี๊อ๊างในนิยายไทยปัจจุบัน (ดังที่เคยกล่าวถึงไว้ในคอมเมนต์ของบทแรกๆแล้ว)

    ส่วนไอแวน ไอแวนเป็น...พูดภาษาชาวบ้าน "เบ๊ โค-ตะ-ระ กิตติมศักดิ์" ทำทุกอย่าง ติดต่อคนนำทางอย่างอาดิว รับมือคุณหนูเฟรย์ รับมือม้าแสบไม่แพ้เจ้าของนามอารอส แถมยังต้องรับมือม้าสาวของตนอย่างเนนย่าอีก ไอแวนน่าสงสารมากในหลายๆแง่ ทั้งต้องเป็น 'พี่เลี้ยงเด็ก' และต้องรับความทุกข์ขมุกขมัว ที่เจ้าตัวไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังเสียอีก (อ้างอิงจากตอน 3.5)

    อาดิว...อาดิว...พูดยากสำหรับคนนี้ ในบทนี้ เหมือนเขาจะคิดอะไรอยู่ข้างใน มีเรื่องราวที่รู้มากมาย แต่ไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็น ซึ่งคงจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเขาคนนี้ - ในเวลานี้คงยากเสียหน่อย คงต้องรอดูในบทถัดๆไป

    สำหรับ Quote ที่สะดุดใจที่สุดในช่วงแรกของบทนี้คือ

    ช่วงที่สองของบท พี่แน็กดึงนิยาม 'คุณชายสองบุคลิค' ของอากิรอสออกมาได้เป็นอย่างดี เห็นเลยว่าตอนก่อนๆอากิเป็นคุณชายเบื่อโลก negative มันแทบทุกอย่าง มาตอนนี้อากิรอสกลับเป็นฝ่ายเข้าหา ด้วยรอยยิ้ม และแผนการเจ้าเล่ห์เจ้ากล จนราสอยากจะวิ่งหนี (ฮา) ชาฟาเรฟดูท่าจะเป็นเด้กน้อยน่ารักดี แต่เมื่อคิดถึงเบื้องหลังที่เป็นนักฆ่าก็รู้สึก 'ตื่นเต้น' ขึ้นมา

    ตอนที่ราสกินภายแอปเปิ้ล ถ้ามีโอกาศ อยากจะให้บรรยายความรู้สึกให้ยาวกว่านี้ซักนิด มันจะเร้าอารมณ์คนอ่านขึ้นอีกมากมาย ...รู้สึกตกใจกับการที่ราสมีครอบครัวพอสมควร จะรอดูปมนี้คลายในตอนถัดๆไปนะคะ

    -------------------------------------------------------------

    มาถึงบท 3.5 ซึ่งขอบอกว่า แค่เกริ่นนำขึ้นมาก็มีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

    ตรงที่เว้นตัวหนาไว้นี่ล่ะค่ะที่บอกว่ามีพลังสุดๆ โดยเฉพาะ 'มีชายคนหนึ่ง และเขาฆ่าตัวตาย' เพียงแค่นั้น ...แค่นั้น! แต่มันกลับเปลี่ยนเป็น 'ตั้งเท่านั้น' เมื่อ 'แต่หากเราถอยไปหนึ่งก้าว และพิจารณา...' เพราะเรื่องที่ตามมาจากนั้น มันเข้มข้นดีเหลือเกิน

    เรามั่นใจว่า บางส่วนของอเล็กซานดรอสอ่อนไหว ไม่มั่นคงเท่าใดนัก จากการที่เขาต้องสูญเสียคนสำคัญไปตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยความโหดร้ายทารุณ จนไม่น่าที่เด็กอายุแค่นั้นจะรับไหว

    มันโหดมากในความคิดเรา และคงบาดลึกยิ่งกว่าเมื่อผ่านตัวของอเล็กซาร์ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความ'เป็นผู้ใหญ่' พอสมควร ถึงเอาตัวรอดมาได้ (ทั้งกายและใจ) ทั้งนี้ยังต้องฉลาดอีกด้วย และน่าจะต้องมีการเข้ากับผู้คนได้ดี มิฉะนั้นอาจจะไม่ได้มีผู้ช่วยเหลือมากขนาดนี้

    ...เชื่อหรือไม่ สาวๆผู้มีญาณทางวาย จะจับจิ้นอเล็กซาร์กับเฌอรองในทันทีแน่ๆ บทบรรยายหลายๆอย่างมันสื่อออกมาค่อนข้าง... เอ่อ...

    สาววายจิ้นไปโน่นแล้ว! เชื่อเถอะ! lol

    ...

    กลับมาวิเคราะห์เนื้อหาแบบเป็นกลางกันต่อ อเล็กซาร์ยอมทำเพื่อผู้มีพระคุณ 'ใหญ่หลวง' ขณะเดียวกันก็ฆ่าผู้มีพระคุณที่เรียกได้ว่า 'ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน' ลงไปด้วย แต่เขาก็ต้องเลือก และจดจำ และแบกรับทั้งหมดนั้นลงไปบนบ่าของตนเอง...

    อเล็กซาร์เหมือนสีนัยน์ตาของตัวเอง - สีน้ำทะเล ผิวบนที่ดูสงบนั้น มีอะไรซ่อนอยู่ใต้ก้นบึ้งบ้างก็ไม่รู้ บางทีอาจเป็นโลกใต้ทะเลที่สวยงามซึ่งไม่มีใครเคยพบเห็นก็เป็นได้ หากยามมีสงคราม คลื่นพายุก็จะโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง จนเรือที่แล่นมีอันต้องจมหายไปอย่างไม่หวนคืน แต่พอลมสงบแล้วไซร้ ความสวยงามลึกๆนั้น คงจะเผยให้เห็นออกมาเช่นเดียวกัน; เอเลน่าคือคนคนนั้นที่เห็น

    เขาได้พบกับความสุข ที่แม้เป็นเหมือนแค่ฝันในเวลาสั้นๆ เขาได้มีครอบครัว ได้มีลูก

    แม้ตื่นมาจะพบกับความจริงที่โหดร้าย ตัวตนที่เป็น หน้าที่ที่ต้องทำ แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว เพราะว่า...

    เรื่องของอเล็กซาร์ เชื่อว่าถ้าพูดคงเป็นเรื่องยาวมาก ฉะนั้นจึงขอจบไว้เพียงเท่านี้
    swanton ถูกใจสิ่งนี้
  26. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โอ้วเย่ตอนใหม่ เปิดบทสบายๆแต่ท้ายๆนี่มันหนักหน่วงจริงๆ อูอาาา คนอื่นเม้นเยอะแยะแล้ว ให้กำลังใจแทนละกันสู้ๆนะเอ้อติดตามกันอยู่เรื่อยๆ

Share This Page