Legendary - บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี [ 28 ตอนจบ ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 กรกฎาคม 2011.

  1. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...ขัดใจมาก...
    ...ทำไมไม่มีฉากวาย!!!!!!!!!!!! /โดนตบ

    ...เนื้อเรื่องเดินเร็วเกิ๊น แป๊บๆ ตกเหว แป๊บๆนั่งในถ้ำ แป๊บๆมาเจอ แป๊บๆจะวายกันซะงั้น
    ...ตามที่คนอื่นบอกนั่นแหละ ไม่ต้่องเน้นประเด็นหลักมากก็ได้...
  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    น้อมรับทุกคำแนะนำครับ

    ขอสารภาพบาป ณ ตรงนี้ (มีบาทหลวงโอนิคุโร่อยู่ ถือว่าโอเคก็แล้วกัน)

    ตั้งแต่ตอน 13 เป็นต้นมา คนเขียนติด stun จากเหตุบางอย่างทำให้สภาวะจิตใจไม่ปกติ
    เกิดอาการคลุ้มคลั่ง เพ้อเจ้อไร้สาระค่อนข้างหนัก

    ก็เลยแก้อาการเพ้อเจ้อด้วยการเขียนฟิคทีเดียว 2 ตอนรวดใน 7 ชม.

    ผลลัพธ์ก็คือตอนที่ 14 - 15 ที่มันกากแสนกาก ข้อผิดพลาดมากมาย รายละเอียดก็ไม่ครบถ้วน
    ดรอปลงไปอย่างมาก (แย่พอๆกับฟิคหมากล้อมตอนแรกสุดเลย ห้วน สั้น ขาดสุนทรียภาพ)

    พอใจสงบแล้วมาอ่านงานตัวเองพร้อมกับคำติทั้งหลายถึงได้รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว

    ขออภัยผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

    หวังว่าตอนที่ 16 นี้จะแก้ตัวได้บ้าง หากยังมีจุดไหนที่อ่านแล้วยังรู้สึกไม่ดี
    รบกวนตบกบาลเรียกสติคนเขียนแรงๆอีกครั้งครับ

    Azemag A.C McDowell
  3. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 16


    ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป ท่ามกลางหุบเขาสูงใหญ่สลับซับซ้อนทอดตัวขวางจากประจิมสู่บูรพาคั่นระหว่าง ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลและทุ่งหิมะขาวโพลนให้แยกขาดจากกันไม่มีวันพบเจอดุจ ดั่งเส้นขนาน ใครกันจะรู้ว่าภายในหุบเขาแห่งนี้จะมีอาณาจักรสุดแสนวิเศษที่ผู้คนสามารถใช้ เพียงถ้อยคำเสกสรรบันดาลทุกสิ่งอย่างได้ดั่งใจ ‘อาณาจักรมนตรา – เวเนฟิคุส


    อาณาจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเหวลึกสุดหยั่ง ผืนดินและศิลาลอยค้างอยู่กลางฟ้าเป็นเกาะแก่งเกี่ยวโยงร้อยรัดด้วยสะพานสาย นับสิบนับร้อยด้วยพลังแห่งเวทมนต์ มีหมู่เมฆเป็นดั่งทะเลสีขาวนวลนุ่มรองรับอยู่เบื้องล่าง อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ‘นครลอยฟ้า’ ก็คงมิผิดเพี้ยน ปราสาทหินอ่อนสีขาวสวยงามนับร้อยหลังสะท้อนกับแสงอาทิตย์แล้วเปล่งประกายสี รุ้งเรืองรองระยิบระยับทั่วน่านฟ้า


    พลังมนตรา – ภายหลังภัยบัติในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้คร่าชีวิตมนุษยชาติไปจนเกือบจะหมด สิ้น มนุษย์กลุ่มหนึ่งที่รอดชีวิตพ้นจากความตายค้นพบว่าตนเองมีพลังวิเศษที่ สามารถบังคับสรรพสิ่งด้วยวาจา


    ทว่า การคงอยู่ของพวกเขาในเวลานั้นก็เปรียบได้กับ ‘สัตว์ประหลาด’ ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นไม่แตกต่างจาก ‘ปีศาจ’ แต่อย่างใด พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะปลีกตัวออกมาอยู่เพียงลำพังในดินแดนห่างไกลและโดด เดี่ยว







    “เฮ้! อาจารย์อากิ! ท่านอาจารย์อากิ!!”

    เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นปลุกให้เขาตื่นจากการนอนกลางวันใต้ต้นเมเปิลสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาเย็นสบาย


    ผู้ที่ถูกเรียกชื่องัวเงียลุกขึ้นมานั่งตาปรือหันซ้ายหันขวา เขายกมือขึ้นจัดผมสีดำที่ยุ่งเหยิงและแซมด้วยใบหญ้าสีเขียวสดให้เข้าที่เข้า ทาง

    “มีอะไรกัน กุห์ฟาน” เขาถามกลับพร้อมกับหาวยาวๆไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไรที่รุ่นน้องผมสีแดงสดโดดเด่นปลุกเขาขึ้นมา
    “ท่านยังมัวนอนสบายใจอยู่อีกนะ”
    “มีเรื่องอะไรกันเล่า” อากิถามซ้ำ
    “ก็เรื่องที่ท่านไปแอบดูรุ่นน้องหญิงอาบน้ำที่น้ำตกด้านหลังโรงเรียนน่ะรู้ถึงหูเบลแล้วน่ะสิ”



    “อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร”

    อากิรอสโบกมือให้เขาแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นมานั่งราวกับถูกสปริงดีด ตาลืมโพลงเบิกกว้างอย่างตกใจสุดขีด



    “เจ้าพูดอีกทีซิ กุห์ฟาน”
    “ข้าบอกว่าเบลรู้เรื่องหมดแล้ว และก็กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยน่ะสิ”

    “งานเข้าแล้วไงละ”

    อากิรีบลุกขึ้นยืนกุลีกุจอหยิบเอาผ้าคลุมที่ขยำเป็นก้อนใช้แทนหมอนตรงโคนต้นไม้ติดมือแล้วรีบวิ่งไปอีกทางทันที

    “ขอบใจมากกุห์ฟาน แล้วข้าจะเลี้ยงข้าวกลางวันเจ้าก็แล้วกัน” เขาตะโกนกลับมาบอก กุห์ฟานยกมือขึ้นว่าไม่เป็นไร



    “เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่ามั้ง อา-กิ-รอสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”

    คำขู่มาพร้อมกับลูกไฟดวงใหญ่จากฟากฟ้าที่พุ่งลงมาหาอากิอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะยืนอยู่เฉยๆให้ถูกเล่นงานง่ายๆ รีบกระโดดหนีพ้นรัศมีระเบิดของลูกบอลไฟในทันที


    “กะแล้วว่าต้องหนีมาทางนี้” ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าอากิรอสไว้

    “วันนี้ไม่เผาเจ้าให้ตายอย่าเรียกข้าว่าประธานอีกเลย” สิ้นสุดคำของเธอ กงล้อไฟมากมายพุ่งม้วนตัวเข้าหาอากิรอส เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับเพลิงไฟลุกโชนร้อนแรง


    เบลลานี่ เฟลมมิอาส เป็นนักเรียนยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของปีและเป็นประธานนักเรียนที่ถูกเลือกจาก บรรดาอาจารย์ให้ทำหน้าที่ดูแลนักเรียนคนอื่นๆ



    นครเวเนฟิคุสมีโรงเรียนที่สอนการใช้เวทมนต์แขนงต่างๆ ที่นี่จะขัดเกลาให้ทุกคนใช้มนตราอย่างแคล่วคล่องชำนาญ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของพลังมนตราคือการควบคุมให้ใช้ได้ดั่งใจนึก มิใช่มีพลังมากมายมหาศาลแต่ใช้ประโยชน์อันใดไม่ได้ก็ไม่ต่างจากวานรครอบครอง แก้ววิเศษ


    ในยุคแรกๆของการก่อตั้งอาณาจักร โรงเรียนแห่งนี้เป็นแหล่งสร้างศึกษาและสร้างองค์ความรู้ทางเวทมนต์ อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ต่อมาเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วจึงได้มีการเปิดสอนในแขนงอื่นๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ปรัชญา การเมืองการปกครอง ศิลปะ ดนตรี


    นักเรียนทั้งหมดจึงเป็นลูกหลานของคนในอาณาจักรเวเนฟิคุส มีน้อยคนนักที่จะไม่เข้าเรียนที่นี่และผู้ที่จบการศึกษาส่วนใหญ่ก็มักจะเดิน ทางออกไปยังโลกภายนอกก่อนที่จะกลับเข้ามาพร้อมกับประสบการณ์มีค่าที่จะแปร เปลี่ยนเป็นศาสตร์แขนงใหม่ๆ





    “ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ เบลลานี่” กุห์ฟานลอยตัวลงมายืนข้างหลังเธอ
    “ไม่ต้องมาห้ามข้าเลย ไม่งั้นข้าจะเผาเจ้าอีกคนด้วย” คำตอบของเธอทำเอาอีกฝ่ายรีบยกมือห้ามไว้ว่าไม่อยากถูกเผา

    “อย่าประมาทข้านักสิ เบล-ลา-นี่” เพลิงไฟเริ่มดับลงพร้อมๆกับอากิที่ยกผ้าคลุมขึ้นป้องกันตัวเองไว้ได้
    “หนอย! ผ้าคลุมกันไฟงั้นรึ?” เบลเริ่มโมโหมากขึ้น
    “ทีหลังก็หัดใช้มนต์บทอื่นบ้างสิ” อากิรสยังยั่วแหย่เธอ

    “ได้! ถ้าเจ้าหนีไม้ตายของข้าได้อีก ข้าจะยอมให้เจ้าเป็นประธานแทนข้าเลย”


    “เฟลมมิอาส เอคทริโก!” (ปลดปล่อยมนตรา)

    พลังเวทร้อนแรงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ต้นหญ้าที่อยู่รอบๆตัวเธอเหี่ยวเฉาแห้งตายในพริบตา ลมร้อนหมุนวนเป็นพายุหมุนล้อมรอบพวกเขาทั้งสามคนไว้

    “เฮ้ยๆๆ ไหงข้ามาอยู่ในข่ายเวทได้ละ” กุห์ฟานร้องลั่น
    “โทษฐานคาบข่าวมาบอกอาจารย์ของเจ้ายังไงละ” เบลตอบกลับไป



    “เวนิ เอท แมกนา เฟลมมา เดอ คาเอโล อินิมิกา มีอา เอท ซุคเซนดาทอ เอท มิวเททิโอเน อินิ กลาดิออส”
    เบลลานี่ประสานมือและเริ่มร่ายทำนองมนต์ เสาเพลิงพุ่งขึ้นจากพื้นทีละจุด

    “ใครจะยอมง่ายๆกันละเฟ้ย” อากิรอสพุ่งเข้าหาเธอหวังจะขัดขวางจังหวะร่ายเวท แต่เบลลานี่รู้ทันกระทืบเท้าลงพื้นเรียกเสาเพลิงสามต้นขึ้นมาป้องกันไว้ พร้อมด้วยรอยยิ้มมรณะ


    “ดีอุม โพเอนาส” (เพลิงสวรรค์ ทัณฑ์เทวา)

    ฝ่ามือเพลิงขนาดใหญ่ก่อกำเนิดจากเสาอัคคีฟาดลงพื้นจนทำให้ทั้งเกาะสั่น สะเทือนรุนแรง สำแสงพลังมนตราพุ่งจรดฟ้าทะลุกลุ่มเมฆเป็นรูโหว่สร้างความตกตะลึงให้กับทุก คนที่มองเห็น


    อากิรอสนอนจมอยู่ก้มหลุมขนาดใหญ่ ผ้าคลุมกันไฟของเขากลายเป็นผ้าขี้ริ้วไหม้เกรียม เบลลานี่เดินลงไปจับคอเสื้อแล้วลากเขาขึ้นมาจากก้นหลุม


    “โห ไม่มีออมมือเลยนะเนี่ย” กุห์ฟานกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นสภาพของอากิ
    “นานๆเอาจริงสักทีนี่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าจริงๆเลย” เบลลากอากิรอสมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนมนตราทิ้งให้กุห์ฟานยืนอึ้งอยู่ที่ขอบ หลุมเพียงคนเดียว




    ในห้องเรียนห้องหนึ่ง

    “เอ้า! ขอโทษน้องๆเดี๋ยวนี้เลยนะ อากิ” เบลลานี่จับอากิในสภาพควันลอยฉุยผมชี้ฟูนั่งคุกเข่าต่อหน้ารุ่นน้องผู้หญิง สองคนที่เขาไปแอบดูพวกเธออาบน้ำเมื่อเย็นวาน

    “ขอโทษคร้าบ จะไม่ทำอีกแล้วคร้าบ” อากิยอมเอ่ยปากขอโทษรุ่นน้องทั้งสอง
    “ไม่เป็นไรค่ะ” พวกเธอสองคนยอมยกโทษให้หลังจากเห็นสภาพปางตายของเขา
    “ถ้าเจ้านี่ไปทำรุ่มร่ามอะไรอีกละก็มาบอกพี่ได้เลยนะ” เบลยืดอกบอกกับรุ่นน้อง



    หลังจากรุ่นน้องทั้งสองขอตัวกลับออกไปแล้ว เบลก็เริ่มสวดอากิทันที


    “คิดอะไรของเจ้ากันยะ เดือนนี้ก็ปาเข้าไปสามครั้งแล้วนะ”
    “.....” อากิไม่ตอบอะไร
    “ฟังอยู่รึเปล่ายะ!!?” เบลกระชากคอเสื้ออากิเข้าหาแล้วโขกหัวเข้าเต็มๆหน้าผากของเขา


    แน่นอนว่าโดนแบบนี้เข้าไปต่อให้นิ่งแค่ไหนก็ต้องโวยวาย

    “เจ็บนะ ทำไมเจ้าไม่หัดทำตัวเรียบร้อยน่ารักๆแบบผู้หญิงคนอื่นมั่งละ”
    “ว่าไงนะยะ!?” เบลลานี่ดวงตาเปล่งประกาย เพลิงไฟแดงฉานลุกโชนจากมือทั้งสองข้าง
    “เฮ้ยๆๆๆๆๆๆ ใจเย็น ข้าพูดเล่น โอ๊ย!” อากิรอสรีบยกมือห้าม แต่เขาก็ไม่รอดพ้นการถูกเขกกระโหลกด้วยกำปั้นหุ้มไฟไปได้

    “เอาน่าๆ วันนี้พอแค่นี้ละกัน” กุห์ฟานเข้ามาห้ามศึก “เจ้าลืมแล้วรึว่าเย็นเจ้าสัญญาอะไรกับข้าไว้”
    “ก็ได้” เบลยอมตามคำขอของกุห์ฟาน “แต่ถ้ายังไม่เข็ด คราวหน้าข้าจะเผาเจ้าให้สุกไปถึงเนื้อในเลย”



    เบลลานี่ออกไปพร้อมกับกุห์ฟาน ทิ้งให้อากิยืนคิดบางอย่างอยู่ในห้อง แสงอาทิตย์สีส้มส่องลอดหน้าต่างเข้ามา เงาของเขาทอดยาวอยู่บนพื้นหินเพียงลำพัง



    “เฮ้อ มีเรื่องให้ข้าต้องปวดหัวทุกวันเลย” เบลบ่นขณะกำลังจัดหนังสือขึ้นบนชั้นไม้ เย็นวันนี้เธอมาช่วยกุห์ฟานจัดหนังสือในห้องสมุด
    “ท่านอาจารย์ก็เป็นอย่างนั้นประจำแหละ เจ้ายังไม่ชินอีกเหรอ” กุห์ฟานเข็นลังไม้ใส่หนังสือตามหลังเธอมา


    เบลลานี่หยุดถอนหายใจ

    “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตำแหน่งประธานนักเรียนมันเหนื่อยขนาดไหน ไหนจะต้องช่วยงานอาจารย์ตั้งเยอะตั้งแยะ ให้คำปรึกษาเพื่อนๆคนอื่น ไหนจะรุ่นน้องอีกตั้งมากมาย ต้องทำตัวเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสๆทั้งที่ข้าเหนื่อยแทบตาย แล้วแทนที่เจ้าอากิจะช่วยข้ากลับไปก่อเรื่องให้ข้าปวดหัวมากขึ้นไปอีก แอบดูรุ่นน้องผู้หญิงอาบน้ำมั่งละ ใช้เวทมนต์ไล่เปิดกระโปรงรุ่นน้องมั่งละ แกะสลักหินอ่อนเป็นรูปผู้หญิงเปลือยบ้างละ และสุดท้ายคนที่ต้องโดนอาจารย์บ่นก็คือข้านี่แหละ”

    เธอบ่นเป็นชุดๆเล่นเอาคนฟังต้องยิ้มเจื่อนๆทันใด


    “แต่ก็เป็นคนที่เจ้ายอมรับเป็นสหายมิใช่หรือ?” กุห์ฟานถามด้วยสิ่งที่เธอรู้แก่ใจอยู่แล้ว
    “ก็ถ้าไม่ใช่ข้า เจ้านั่นก็ไม่มีใครอยากจะคบด้วยหรอกนะ” เบลถอนหายใจอีกทีแต่คราวนี้เจือด้วยรอยยิ้มจางๆโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัว

    “ท่านอาจารย์ข้าก็แค่ทะลึ่งตึงตังไปหน่อยเท่านั้นแหละ” กุห์ฟานยังแก้ต่างให้อากิ
    “ข้าก็รู้ว่าเจ้านั่นไม่ใช่คนเลวคนชั่วร้ายอะไร แต่ถ้าเป็นไปได้เจ้าก็ช่วยบอกให้เขาเพลาๆลงบ้างนะ ข้าเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
    “ได้ แล้วข้าจะบอกท่านอาจารย์ให้เอง”


    “ว่าแต่... ข้าจะถามเจ้าหลายทีแล้ว ทำไมเจ้าถึงเรียกอากิว่าท่านอาจารย์ละ”
    กุห์ฟานยิ้มแต่ไม่ยอมตอบ จนต้องโดนเธอทุบเข้าที่ต้นแขนนั่นแหละถึงจะยอมตอบ


    “เจ้าอาจจะไม่เชื่อข้าก็ได้ สำหรับข้าแล้วอากิรอสเป็น ‘อัจฉริยะ’ อย่างแท้จริง เขาสอนหลายๆอย่างให้กับข้า ไม่เฉพาะเรื่องเวทมนต์ แต่รวมถึงวิถีชีวิตและความคิดต่อโลกใบนี้ให้กับเด็กกำพร้าเช่นข้า ช่วยให้ข้าเข้าใจอะไรๆอีกเยอะเลยละ”


    กุห์ฟานไม่ใช่เลือดเนื้อของชาวเวเนฟิคุส เขาเป็นเด็กกำพร้าที่รอดตายเพียงคนเดียวจากภัยพิบัติ อาจารย์สอนมนตราคนหนึ่งพบเขาในขณะที่ออกเดินทางจึงรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม เขาได้แสดงให้ถึงพรสวรรค์ในการใช้เวทมนต์ต่างๆได้อย่างดีเยี่ยมจนถูกเรียก ขานว่า ‘อัจฉริยะ’


    “หลายคนมองว่าเขาเป็นเพียงคนเกียจคร้าน แต่จริงๆแล้วเขานั้นรอบรู้แตกฉานและช่ำชอง สอบคราวหน้าข้าว่าเจ้าเองก็ต้องระวังไว้หน่อยแล้วนะ เบล”

    กุห์ฟานฉวยโอกาสกอดเบลจากด้านหลัง


    “นี่... ยังทำจัดหนังสือไม่เสร็จนะ”

    ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืน รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากกลับค่อยๆเพิ่มมากขึ้นตามการซุกไซ้ของกุห์ฟาน

    สัมผัสนุ่มจากริมฝีปากผนวกกับลมหายใจอุ่นร้อนกระทบกับหลังใบหูเป็นระยะๆทำ ให้เธอหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้ม มือที่แกร่งกร้าวลูบไล้เรือนแก้มอย่างแผ่วเบาอ่อนละมุนราวกับไม่อยากจะทำให้ สิ่งนั้นต้องเจ็บช้ำแม้แต่น้อย มืออีกข้างแตะวนอยู่ที่หน้าทองเรียบเนียนที่เริ่มจะขยับตามการหายใจที่ รุนแรง

    ร่างกายท่อนบนของหญิงสาวเริ่มบิดเข้าหาชายหนุ่มด้านหลังทีละน้อยๆ







    นักเรียนถูกแบ่งเป็นสามชั้นปีตามระยะเวลาการเข้าเรียน อากิรอสและเบลลานี่เป็นนักเรียนปีที่สามซึ่งอีกไม่นานก็จะสำเร็จการศึกษา


    ในสายตาของนักเรียนทั่วไป เบลลานี่เป็นเสมือนเทพธิดาประจำโรงเรียน เธอนุ่มนวลอ่อนหวานแต่แกร่งกล้าเมื่อยามทำหน้าที่ประธานนักเรียน ส่วนอากิรอสแม้ในยามปกติจะทะลึ่งตึงตังแต่กลับทำผลงานได้ดีเทียบเท่ากับเบล อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนกุห์ฟานแม้จะเป็นนักเรียนปีสองแต่ก็สนิทกับสองคนนี้อย่างมาก ภาพของทั้งสามคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันจึงเป็นเรื่องปกติชินตาสำหรับบรรดา อาจารย์และนักเรียนทุกคน


    ทั้งสามคนชอบจะมานั่งอยู่ใต้ต้นเมเปิลที่สวนด้านหลังอาคารเรียน อากิรอสชอบต้นเมเปิลต้นนี้เป็นพิเศษกว่าต้นอื่นๆภายในโรงเรียน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเช่นกัน เขาแค่รู้สึกชอบและไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆมาอธิบายสิ่งที่เขาชื่นชอบ




    “นี่ อากิ! เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่” เบลลานี่ถามเมื่อเห็นเขานอนอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
    “เป็นสมุดภาพเครื่องกลในยุคโบราณน่ะ เห็นว่าอาจารย์เชสเป็นคนรวบรวมข้อมูลแล้ววาดขึ้นมา” อากิตอบกลับไปแต่ก็ไม่ละสายตาจากหนังสือ

    “ไหนๆ ให้ข้าดูบ้างสิ” เบลดึงหนังสือจากมือเขาไปดู
    “เห... เจ้านี่เรียกว่าอะไรน่ะ” เธอถามด้วยความสนใจ

    “เครื่องบิน ในสมัยนั้นบางทีก็เรียกว่านกเหล็กเพราะมันเป็นโลหะที่บินได้ เป็นพาหนะใช้ขนส่งมนุษย์ข้ามทวีปและมหาสมุทรต่างๆ” อากิรอสอธิบาย

    “ว่างๆลองสร้างเจ้านี่กันหน่อยไหม ท่าทางน่าสนุกออก” เบลชวนด้วยความตื่นเต้น
    “จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก และในยุคนี้ก็ไม่มีแหล่งพลังงานให้กับเครื่องจักรแบบนี้ด้วย”
    “โง่จริงเลย! ก็ไม่ต้องสร้างให้เหมือนทั้งหมดสิ แหล่งพลังงานที่จะใช้ก็ลองใช้พลังเวทดูสิ”
    “อ๊ะ! จริงด้วยสินะ” อากิรอสเหมือนจะนึกได้ตามที่เธอบอก

    อากิรอสลุกขึ้นนั่งหันไปมองกุห์ฟานที่เดินมาพร้อมกับนักเรียนด้านหลังอีกสามคน

    “มีอะไรกันงั้นรึ?” เบลลานี่เอ่ยถาม
    “เจ้าพวกนี้แอบประลองเวทกันที่มุมโน้นน่ะ พอดีข้าเห็นก็เลยพามาให้เจ้าจัดการ” กุห์ฟานตอบพร้อมเบ้หน้าไปยังผู้กระทำผิดทั้งสามคน
    “ข้าอุตส่าห์อยู่ว่างๆยังหางานมาให้ข้าอีกนะ” เบลบ่นแต่ก็ลุกขึ้นยืนทันที
    “ตามข้าไปรายงานตัวกับอาจารย์” เบลออกคำสั่งกับทั้งสามคนแล้วเดินนำขึ้นไปบนอาคาร



    “เจ้าไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้นี่นา กุห์ฟาน” อากิรอสเริ่มต้นคุย “ระวังจะถูกเกลียดเอานะ”

    “ไม่เห็นเป็นไร กฎย่อมต้องเป็นกฎ อีกอย่างข้าก็ทำตามที่ท่านสอนไว้ ใครจะคิดกับเรายังไงก็แล้วแต่ย่อมเป็นเอกสิทธิ์ส่วนตนของเขา เพราะฉะนั้นข้าก็เลยไม่สนใจยังไงละ” กุห์ฟานตอบกลับอย่างภูมิใจ

    “ทำเป็นเท่แต่ก็ลอกคำพูดข้าทุกคำเด๊ะเลย” อากิรอสล้มตัวลงนอน เอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่เบลวางไว้มาดูอีกครั้ง



    วันแต่ละวันผ่านไปอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมากมาย อากิรอสที่ยังคงเป็นตัวของตัวเองก็ยังเที่ยวเล่นไปเรื่อยไม่หยุด เบลลานี่ที่โมโหจนต้องอาละวาดไล่จับเขาและกุห์ฟานที่คอยวิ่งห้ามตามหลัง


    สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความสุขที่หล่อหลอมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน







    ที่โรงเรียนมนตราแห่งนี้มีการทดสอบมนตราเพื่อจัดลำดับภายในชั้นปี ปกติแล้วจะจัดการทดสอบสองครั้งในรอบปี การทดสอบมีสามประเภทด้วยกัน หนึ่งคือการใช้ในมนตราตามพื้นฐาน สองคือการประยุกต์และสามคือการต่อสู้ด้วยมนตรา


    การทดสอครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายและจะใช้กำหนดผู้ที่ได้ลำดับหนึ่งถึงห้า ของนักเรียนปีสามที่ได้รับสิทธิ์ให้เดินทางออกไปนอกอาณาจักรได้





    บนลานประลองลอยฟ้า

    “เฮ้อ! โชคดีหรือโชคร้ายกันนะดันจับคู่มาเจอกับเจ้า” อากิเดินบ่นๆขึ้นบนลานประลองพร้อมกับลูกแก้วในมือที่เปล่งแสงเป็นลักษณ์ที่ หมายถึง ‘สี่’
    “ไม่ต้องพูดมากน่า คราวนี้ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้อย่างเด็ดขาดเลย” เบลชูลูกแก้วที่มีสัญลักษณ์เดียวกับเขาให้เห็นเป็นหลักฐาน


    “อาเดนเตม โรตัม”
    เบลเรียกกงล้อเพลิงออกมาทันทีที่พลุสัญญาณเริ่มการต่อสู้ถูกจุดขึ้นท้องฟ้า

    “ลาคุส กลาดิอาส”
    อากิเลือกใช้ดาบวารีสองเล่มเป็นอาวุธเข้าต่อกร


    “รู้จักสุภาษิตโบราณไหม? อากิ” เบลถาม “ที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟยังไงละ”

    เธอชี้มือไปยังเป้าหมาย กงล้อเพลิงสามวงพุ่งเข้าหาอากิทางซ้าย ขวาและตรงกลาง

    อากิสะบัดดาบในมือซ้าย คลื่นน้ำพวยพุ่งออกไปเป็นเกลียวคลื่นปะทะเข้ากับกงล้อเพลิงหายไปทั้งคู่


    “ดูเหมือนจะฉลาดขึ้นกว่าคราวก่อนนะ งั้นก็เอาไปอีกชุดละกัน”

    เบลใช้กงล้อเพลิงอีกครั้ง คราวนี้พวกมันหมุนตัวเข้าหาพร้อมกับสอดส่ายเปลี่ยนทิศทางของตัวเองไปมาทำให้อีกฝ่ายคาดเดาไม่ได้

    อากิประสานดาบไขว้กันตรงหน้าเป็นเครื่องหมายกากบาท พลันกระสุนน้ำนับไม่ถ้วนวิ่งออกไปทำลายกงล้อเพลิงที่แล่นเข้ามาหาจนหมดแล้ว พุ่งเข้าหาเบลเป็นเป้าหมายถัดไป

    เบลลานี้สะบัดมือเข้าใส่ กงล้อเพลิงที่เหลือรอบตัวหมุนมาป้องกันเธอได้ทันเวลา


    นักเรียนคนอื่นที่ดูอยู่รอบๆนิ่งเงียบเป็นใบ้ไปหมดเมื่อเห็นการประลองเวทระดับสูงที่รุกรับในชั่วเสี้ยววินาที


    “ดูท่า... จะไม่ยอมง่ายๆเหมือนคราวก่อนสินะ” เบลลานี่ยิ้มอย่างดีใจ
    “บางทีข้าก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอยากเป็นประธานนักเรียนกับเขาบ้างน่ะ” อากิรอสตอบแล้วควงดาบวิ่งเข้าหา

    “เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ”
    เบลคว้าจับกงล้อไฟที่อยู่ตรงหน้า มันเปลี่ยนตัวเองเป็นแส้อัคคีตามการสะบัดมือของเธอ แน่นอนว่าเป้าหมายของการโจมตีของเธอย่อมเป็นอากิรอส


    จอมเวทหนุ่มต้องชะงักเมื่อการโจมตีครั้งนี้รวดเร็ว รุนแรงและยังคาดเดาทิศทางไม่ได้จึงทำได้เพียงป้องกันตัว เบลได้โอกาสยกมือซ้ายขึ้นประสานอกแล้วเริ่มต้นมนตราของเธอ


    “แย่ละ”

    อากิกระโดดถอยหลังแล้วยิงกระสุนน้ำเข้าใส่แต่ก็ช้าเกินไป ลมร้อนหมุนสะบัดออกจากตัวเธอกลายเป็นพายุที่กักขังอากิไว้ภายใน เป็นมนต์บทเดียวกับที่เธอใช้เมื่อครั้งตามล่าอากิ

    “จบกันละนะ อากิรอส” เบลยิ้มอย่างผู้ชนะ


    “รับไปซะ! ดีอุม โพเอนาส(เพลิงสวรรค์ ทัณฑ์เทวา)
    ฝ่ามือเพลิงยักษ์ฟาดเปรี้ยงลงมาอีกครั้งหนึ่ง อากิจ้องมองโดยไม่กระพริบตาราวกับรอคอยบางอย่าง


    ตูม!
    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวอีกครา แรงสั่นสะเทือนทำเอาคนที่ยืนอยู่ใกล้กับลานประลองถึงกับเสียหลักไปตามๆกัน


    “ต่อให้เป็นอากิรอสก็เถอะ เจอแบบนี้เข้าก็เสร็จแน่ๆ”
    “ไม่รอดหนึ่งร้อยเปอเซนต์”
    “นี่มันสุดยอดมนต์สายอัคคีเลยนี่นา!”
    “กรี๊ด! พี่เบลเท่ที่สุดเลย”



    บรรดานักเรียนมุงทั้งหลายต่างวิจารณ์ผลการต่อสู้ไปในทิศทางเดียวกันว่าเบลลานี่ชนะเรียบร้อยแล้ว


    สายลมเย็นยะเยือกพัดหอบเอาเปลวไฟที่กำลังแผดเผาลุกโชนออกจากตัวของอากิรอส เขายืนอยู่ท่ามกลางความเสียหายแต่ตัวของเขาปราศจากบาดแผลใดๆ เสียงฮือฮาดังจากพวกนักเรียนที่คาดว่าการประลองจบลงแล้ว


    “อย่าประเมินข้าต่ำเกินไปนัก ท่าเดิมน่ะใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก”

    อากิรอสก้าวเดินออกมาพร้อมกับพลังเวทเย็นเฉียบหมุนวนไขว้กันไปมารอบตัวเขา


    เป๊าะ!
    “มอนเตส พูลวินา กราเซียม” (หมื่นพันภูผาน้ำแข็ง)

    เสียงดีดนิ้วและชื่อท่าดังขึ้นพร้อมกับแท่งน้ำแข็งที่ผุดขึ้นจากพื้นพุ่ง เข้าหาเบล รอบนี้เธอต้องกลายเป็นฝ่ายหลบออกจากวิถีโจมตีของเขาบ้าง


    “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะใช้มนต์น้ำแข็งได้เชี่ยวชาญขนาดนี้” เบลชมอากิ แต่ในใจก็นึกหวาดหวั่น

    “เป็นไปไม่ได้ แค่ครั้งเดียวก็คิดค้นวิธีรับมือได้แล้วงั้นรึ”



    “ฝีมือของข้าพอจะที่จะเป็นประธานกับเขาบ้างไหม ท่าน-ประ-ธาน” อากิรอสจงใจยั่วโมโหเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเกลียดความพ่ายแพ้เป็นที่สุด


    เบลลานี่ยกนิ้วชี้ไปยังเขา

    “การศึกไม่จบอย่าเพิ่งลำพองใจไป เรามาดวลกันครั้งสุดท้าย! อากิรอส หากเจ้าต้านรับมนต์บทนี้ของข้าได้ละก็ข้ายกตำแหน่งประธานให้เจ้าเลย”

    เบลลานี่ประกาศท้าดวลเดิมพันด้วยตำแหน่งประธานนักเรียน


    “มั่นใจขนาดนั้นเชียว ได้! ข้ารับคำท้าของเจ้า”
    อากิรอสตอบรับแล้วเพิ่มพลังเวทให้ถึงขีดสุดเรียกเอาหอกขวานน้ำแข็งเล่มโตออกมาควงแล้วตั้งท่ารอไว้


    เบลสูดลมหายใจลึกๆเตรียมพร้อมแล้วเดินเข้าหาเขาทีละก้าวโดยไม่มีการร่ายมนต์ใดๆ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนรวมไปถึงอากิรอสด้วย

    เธอเดินเข้าประชิดถึงตัวอากิแล้วก็ยังไม่ออกกระบวนท่าหรือมนต์บทใด






    “เฮ้ ไหนละมนต์บทใหม่ของเจ้....”

    ทุกคนตกตะลึงเบิกตาค้างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นเมื่อเห็นประธานนักเรียนสาวสวยที่ชายหนุ่มทุกคนหมายปองหลับตาโผเข้าจูบอากิรอส!!

    คนที่น่าจะตกใจที่สุดคงไม่พ้นกุห์ฟานที่นั่งชมอยู่ข้างลานประลอง



    “อี่อะอำอะไอ อุ๊บ” (นี่จะทำอะไร อุ๊บ)

    ในวินาทีที่อากิรอสกำลังจะผลักเบลลานี่ให้ถอยออกไป พลันเขารู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้นเรื่อยๆในอัตราความเร็วที่ผิดปกติ พริบตาเดียวเพลิงไฟร้อนแรงแดงฉานก็ลุกโชนแผดเผาทั้งเขาและเธอพร้อมกัน เขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงในตัวหายไปหมด พลังเวทที่มีมากราวกับน้ำล้นออกจากแก้วระเหยหายไปจากร่างกาย


    ร่างของอากิรอสที่ไฟลุกท่วมทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าเบลลานี่

    “เดอา ออสคูล่า โซลิส” (จุมพิตเทพีสุริยา) เบลยกมือขึ้นเช็ดปากพร้อมประกาศชื่อมนต์ของตน

    “พลังเวทของเจ้าถูกเผาผลาญจนสิ้นไปแล้ว ผู้ชนะก็คือข้า อากิรอส”



    “สิ้นสุดการประลอง ผู้ชนะได้แก่ เบลลานี่ เฟลมมิอาส”
    เสียงประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการดังขึ้นจากอาจารย์ที่อยู่ข้างลานประลอง เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นขานรับทันกัน


    เบลลานี่แตะบ่าอากิ เพลิงไฟค่อยๆดับลงจนหายไปในที่สุด

    “เป็นไงละ อา-กิ-รอส”
    “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเล่นแบบนี้”
    “ชนะก็คือชนะ หากเป็นลูกผู้ชายก็จงยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเถิด” ประธานนักเรียนสาวหันหลังเดินลงจากเวทีไป


    อากิรอสทิ้งตัวลงนอนแผ่กับพื้นเวทีมองขึ้นไปยังท้องฟ้ากว้าง

    เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองครั้งหนึ่ง อย่างแผ่วเบา




    หลังจากสิ้นสุดการประลองของปีสามในวันนี้ อาจารย์ประกาศให้นักเรียนทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนได้และจะเริ่มการประลองของปี สองในเช้าวันรุ่งขึ้น

    แต่บรรยากาศทั่วทั้งโรงเรียนยังคึกคัก บรรดานักเรียนพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงการประลองของเบลลานี่และอากิรอสที่เพิ่งผ่านพ้นไป


    “ตะกี๊สุดยอดเลยนายว่าปะ”
    “ใครจะคิดกันว่าประธานเบลจะกล้าจูบกลางลานประลอง”
    “เสียดายที่เป็นเจ้าอากินั่นชิบเป๋งเลย”



    กุห์ฟานยืนพิงกำแพงฟังบทสนทนาจากรอบด้าน แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่ากำลังหงุดหงิดแต่ก็คงไม่สามารถเห็นสีหน้าของตัวเองที่ แสดงออกอย่างชัดเจนโจ่งแจ้ง


    บทสนทนาของกลุ่มนักเรียนหญิงที่อยู่ใกล้ๆดังมาเข้าหูเขา

    “งั้นคู่นี้ก็เป็นคนรักกันจริงๆน่ะสิ”
    “อ๋อ ข่าวลือที่บอกว่าพี่เบลกับพี่อากิจะออกเดินทางด้วยกันสินะ”
    “ว๊าย! โรแมนติคจังเลย”



    ยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น กุห์ฟานเลือกที่จะไปอยู่เงียบๆคนเดียวที่ห้องสมุด ระหว่างทางที่เดินมาก็มีแต่ประเด็นพูดคุยที่ได้ยินแล้วชวนให้หงุดหงิดมาก ขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้


    เขาเข้าไปในห้องสมุด หลบไปอยู่ที่มุมโปรดที่เงียบและค่อนข้างไกลจากโต๊ะตัวอื่น หยิบหนังสือมาถือไว้หนึ่งเล่มเผื่อว่าจะอ่านตอนที่สงบอารมณ์ได้

    แต่แล้ว...


    “เรื่องของอากิรอสกับเบลลานี่เป็นเรื่องจริงว่ะ”
    “จะจริงได้ไงกัน ก็เบลกับเจ้ารุ่นน้องหัวแดงลูกบุญธรรมของอาจารย์เทรฟเป็นคนรักกันไม่ใช่รึ?”

    “นั่นมันก็หน้าฉากเว้ย หน้าฉาก?”

    “เจ้ากุห์ฟานอะไรนั่นก็แค่เงาของอากิเท่านั้นแหละ ที่คนอื่นยอมมันก็เพราะมันสนิทกับประธานเบลเท่านั้นแหละ แถมมันยังเป็นลูกบุญธรรมอาจารย์ด้วย ใครจะอยากไปมีเรื่องด้วยกัน”

    “งั้นพอจบแล้วเบลก็จะเป็นคู่หูเดินทางพร้อมอากิสินะ”
    “เจ้าอากินี่เสือซุ่มชัดๆ หลายวันก่อนข้าเห็นสองคนนั้นไปแอบคุยกันที่หอระฆังตอนดึกๆด้วยนะ”
    “จริงดิ!”





    บัดนี้สมองของกุห์ฟานงุนงง สับสนและไร้แก่นยึด ภาพต่างๆในอดีตผุดขึ้นและถูกกลบทับด้วยภาพในปัจจุบันที่เพิ่งเกิดซ้ำไปซ้ำมา สถานที่ที่เชื่อว่าจะทำให้เขาสงบใจได้ทรยศต่อเขาเรียบร้อยไปแล้ง

    แล้วจะมีสิ่งอื่นใดที่ไม่ทรยศต่อเขาอีก ?


    คืนนั้น เขาไม่ได้กลับไปยังห้องของตนยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่มุมเดิมในห้องสมุดที่เงียบเชียบเงียบงัน





    รุ่งเช้าเปิดม่านวันใหม่ให้ทุกสรรพสิ่งสดใสสวยงาม บรรยากาศภายในบริเวณโรงเรียนยังคงคึกคักเพราะวันนี้เป็นวันที่นักเรียนปีสอง จะเริ่มการประลองจัดลำดับ


    อากิรอสหลบความวุ่นวายมานอนเอนกายอยู่ใต้ต้นเมเปิลต้นเดิม



    “ท่านอาจารย์” สรรพนามที่คุ้นเคยดังขึ้น
    “ไม่รีบไปประลองรึ? ระวังจะถูกตัดสิทธิ์นะ” อากิรอสยังคงหลับตานอนนิ่ง

    “ใจของเจ้าไม่สงบ ด้วยสภาวะเช่นนี้จะทำให้เจ้าควบคุมพลังไม่ได้เต็มที่”
    รุ่นพี่จอมเวทเอ่ยปากแนะนำเมื่อสัมผัสได้ว่ากระแสมนตราที่มาจากตัวของรุ่นน้องคนสนิทผิดปกติไป

    “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านอาจารย์”
    “ท่านอาจารย์ของเจ้าก็อยู่ ณ ที่นี้แล้ว”


    “ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์กับเบลจะออกเดินทางด้วยกันในฐานะคู่หู” กุห์ฟานถามในสิ่งที่เขาสงสัย
    “.............. ใช่”

    “ทำไมกันละ? ในเมื่อท่านก็รู้ว่าข้ากับเบลสัญญาที่จะเป็นคู่หูกัน เธอบอกว่าต่อให้เรียนจบแล้วก็จะรอเดินทางพร้อมกับข้าในฐานะคู่หู”
    กุห์ฟานตะโกนลั่น


    “หากข้าบอกความจริงของข้าให้เจ้าฟัง มันก็อาจจะไม่ใช่ความจริงที่เจ้าอยากรู้ก็ได้”

    อากิรอสนอนนิ่งเช่นเดิม

    “ทุกทีสิน่า ความจริงของข้า ความจริงของท่าน ความจริงของคนอื่น” กุห์ฟานกัดฟันกรอด
    “ข้าไม่ได้ต้องการความจริงของใคร! แต่ข้าอยากรู้ว่าทำไมท่านถึงทำแบบนี้ต่างหาก!!”

    นกน้อยสองตัวที่เกาะอยู่บนกิ่งสีน้ำตาลเล็กๆกระพือปีกโผบินออกไปโดยเร็ว


    “เหตุผล? ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่รึ เหตุผลใดก็ไม่อาจทำให้เจ้าพอใจได้หากเจ้าไม่ยอมรับว่ามันเป็นเหตุผล”

    ความอดทนขาดลงเหมือนเชือกป่านที่ถูกลมกรรโชกเข้าใส่จนว่าวตัวน้อยที่ปลายด้ายปลิดปลิวหายไปในท้องฟ้าสีหม่น


    สองมือของกุห์ฟานกระชากคอเสื้อของคนที่เขาเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ ขึ้นมาด้วยกำลัง
    “ถ้าอย่างนั้นข้าจะถามคำถามสุดท้าย ท่านอาจารย์รู้สึกยังไงกับเบลลานี่ - คนรักของข้ากันแน่”

    ดวงตาของกุห์ฟานจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาที่เหม่อลอยของอากิรอสราวกับจะค้นหาคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน


    “เมื่อครู่เจ้าพูดถามถึงเหตุผล... ถ้าอย่างนั้นจงตอบมาว่าเหตุใดกันที่ข้าต้องตอบคำถามของเจ้า?”


    กุห์ฟานปล่อยมือจากคอเสื้อทิ้งร่างของอากิให้นั่งลงกับพื้น
    “ข้ามองท่านผิดไปจริงๆ”


    ชายหนุ่มผู้สับสนในจิตใจจากไป เหลือไว้เพียงชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดในใจ





    ที่ลานประลอง


    “นี่! ทำไมมาช้าจังเกือบจะถูกตัดสิทธิ์แล้วนะ” เบลลานี่วิ่งเข้ามาถามกุห์ฟานที่เพิ่งจะเดินเข้ามา
    “เมื่อคืนเจ้าหายไปไหนกัน ข้าหาเจ้าไม่เจอเลย” เธอแอบกระซิบที่ข้างหูของเขา

    กุห์ฟานไม่ตอบคำถามเพียงแค่ยิ้มให้เธอ แต่มือเย็นเฉียบเหงื่อไหลซึมชื้นสั่นระริกอยู่เบาๆ


    “เอ้า! งั้นก็ไปเตรียมตัวได้แล้ว ใกล้จะถึงรอบของเจ้าแล้วนะ”
    เบลถอนหายใจพร้อมกับผลักหลังชายหนุ่มให้ไปรายงานตัวกับอาจารย์

    อากิรอสยืนมองอยู่บนเกาะที่สูงกว่าลานประลองลอยฟ้า กุห์ฟานสัมผัสถึงเขาได้จึงหันขึ้นไปก่อนจะขึ้นไปบนลานประลอง



    “นั่นน่ะเหรอ? คนรักของประธานเบล?”
    “แล้วข่าวเรื่องอากิรอสละ?”

    “หมอนี่จะเก่งจริงๆเหรอ หรือก็แค่อาศัยบารมีพ่อบุญธรรม”
    “คนนอกอาณาจักรอย่างเจ้านั่นแค่ได้อยู่ที่นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว”



    ด้วยความสามารถของเขา เสียงที่เบาแค่ไหนก็ได้ยินอย่างชัดเจน แต่มันก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นด้วยเช่นกัน



    ความเจ็บปวดที่รับรู้ได้จากทั่วทั้งร่างปลุกให้เขาได้สติอีกครั้งเมื่อมนตรา ของคู่ต่อสู้ทำร้ายเขา อีกฝ่ายร่ายเวทเสร็จก็ตรงเล่นงานเขาทันที

    “ไม่มี... ความปรานีเลยสินะ? นี่คือธาตุแท้ของมนุษย์ที่แสวงหาแต่เพียงประโยชน์ของตนเองเท่านั้น?”



    เขาไม่ตอบโต้ใดๆปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นงานเต็มที่จนเลือดไหลจากปลายนิ้วหยดลงสู่พื้นหยดแล้วหยดเล่า


    “ข้าเข้าใจละ”

    กุห์ฟานเผยรอยยิ้มออกมา อีกฝ่ายชะงักเมื่อเห็นท่าทีที่ผิดปกติของเขา แสงสว่างวาบชวนให้ตาพร่ามัวปรากฏขึ้นจากตัวของกุห์ฟานจนทุกคนต้องยกมือขึ้น ปิดหน้า


    เสียงกรี๊ดของนักเรียนหญิงคนหนึ่งดังขึ้นสุดเสียง


    กุห์ฟานและดาบแสงในมือที่แทงทะลุอกอีกฝ่ายตายคาที่เป็นภาพที่สร้างความสยดสยองและตกตะลึงให้กับทุกคน

    “เจ้าทำอะไรน่ะ!!?”

    อาจารย์ผู้ควบคุมรีบขึ้นมาบนเวทีเพื่อระงับสถานการณ์ แต่แล้วหัวของเขาก็ขาดกระเด็นไปพร้อมๆกับการสะบัดดาบแสงอีกเล่มในมือของกุ ห์ฟาน เลือดพุ่งทะลักออกจากร่างปราศจากศีรษะที่ค่อยๆเอนตัวล้มลงย้อมร่างของกุห์ ฟานให้เปรอะเปื้อนแดงก่ำ เสียงกรี๊ดหวีดร้องตกใจดังลั่นไปทั่ว


    “ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำให้ข้าหงุดหงิดทั้งนั้น”

    ดาบและหอกแสงมากมายถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่เบื้องหลังเขา และในวินาทีนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าเข่นฆ่าผู้คนที่อยู่รอบๆ ไม่เว้นว่าเป็นผู้หญิงหรือเด็กตัวเล็กๆ

    เสียงกรีดร้องและความโกลาหลอุบัติขึ้นพร้อมกัน กุห์ฟานยังไม่หยุดยั้งการเข่นฆ่า





    เงาร่างหนึ่งเข้าประชิดด้านหลังเขา อากิรอสปลดปล่อยมวลพลังเวทในมือทั้งสองเข้ายับยั้งเขาในทันที

    ตูม!


    ฝุ่นควันคละคลุ้งจากแรงโจมตีของอากิค่อยๆจางลง



    “สุดท้ายแล้วท่านก็จะฆ่าข้าด้วยหรือ ท่านอาจารย์” กุห์ฟานเอ่ยถามทั้งๆที่บาดเจ็บสาหัส

    “นี่เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้ากัน!? ทำไมต้องฆ่าคนอื่นๆด้วย!!”
    อากิรอสแผดเสียงเข้าใส่เขา ใบหน้าทะเล้นที่เคยปรากฏอยู่ตลอดเวลาหายไปกลายเป็นโกรธเกรี้ยวเต็มกำลัง

    “ท่านกำลังถามถึงเหตุผลสินะ? ของแบบนั้นมันไม่จำเป็นหรอก”
    รุ่นน้องผมแดงตอบหน้าตายไม่ใส่ใจกับท่าทีของอากิรอสที่ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น

    “กุห์ฟานนนนนน!!” อากิรอสแผดเสียงซ้ำด้วยความโกรธสุดขีด


    ทั้งสองขยับตัวเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างใช้ศัตราวุธในมือของตนเข้าประหัตประหารเข่นฆ่ากัน



    เบลลานี่ที่ยืนอยู่เบื้องล่างลานประลองตัวสั่นหน้าซีด ไร้เรี่ยวแรงจะพยุงกายทรุดลงคุกเข่า แม้แต่เสียงเพียงเล็กน้อยก็ขาดหายไปกลางทาง หยดน้ำปริ่มล้นขอบดวงตาสุกสกาวที่เริ่มพร่ามัวไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน


    “อั่ก!”
    ร่างของกุห์ฟานกระแทกลงพื้นจนแตกยับ อากิรอสขยับเดินเข้าหาด้วยใบหน้าถมึงทึง

    “เจ้ากำลังทำให้ข้าโกรธนะ”

    “เหตุผลที่ท่านโกรธข้าจำเป็นต้องรับรู้ด้วยหรือ”

    คำตอบที่ได้ฟังเหมือนเปลวไฟเล็กน้อยที่ปลิวเข้าหาธารน้ำมันยิ่งใหญ่ อากิรอสไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป


    ผัวะ!
    อากิชกใส่กุห์ฟานจนล้มลง เขากระชากคอเสื้อแล้วต่อยซ้ำ

    ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
    เสียงกระดูกกำปั้นกระแทกเข้ากับใบหน้าของกุห์ฟานครั้งแล้วครั้งเล่า

    อากิรอสตะโกนลั่น เขาเป็นฝ่ายที่ชกแต่กลับร้องเหมือนเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียเอง ในที่สุดเขาก็ไม่อาจลงมือได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแค่กำคอเสื้อของกุห์ฟานแน่นจนมือสั่นกัดฟันไม่รู้จะพูดคำใด


    กุห์ฟานขยับปากอย่างแผ่วเบา
    “เวสทุบูรุม คอนเซคเททัว” (กระสุนลำแสงมรณะ)

    ลำแสงเจ็ดสายพุ่งทะลุร่างของอากิรอส เขารู้สึกเหมือนถูกดาบที่เผาไฟจนร้อนแดงแทงเสียดเข้าไปในร่าง เลือดสดๆกระอักไหลออกจากปากทรุดกายลงคุกเข่า


    “ท่านสอนข้าไว้ไม่ใช่เหรอว่าอย่าใจอ่อน ท่านอาจารย์”

    ลำแข้งแข็งๆของกุห์ฟานเตะฟาดเข้าเต็มหน้าของอากิ ขาข้างนั้นกระทืบซ้ำลงบนใบหน้าของเขาอีกครั้งเหยียบกดไว้กับพื้น



    “พวกเจ้าหยุดสักทีได้ไหม!!! พอได้แล้วววววววว!!!”

    เสียงตะโกนราวกับจะขาดใจของเบลลานี่ดังขึ้นด้านหลังกุห์ฟาน ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม


    “ทำไมกัน? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไมพวกเจ้าต้องต่อสู้ ต้องฆ่ากันด้วย พวกเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว กุห์ฟาน!! อากิรอส!!”

    เสียงสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บช้ำระคนเสียใจของเธอ หากใครได้ฟังก็คงต้องรู้สึกเศร้าจนไม่อาจหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้


    กุห์ฟานเอ่ยคำสุดท้ายให้กับเธออย่างแผ่วเบา ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปสบตา

    “อาเว่” (ลาก่อน)


    ร่างของเขาก็ค่อยๆโปร่งใสจนหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอในที่สุด


    “อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”

    เสียงร่ำไห้กรีดร้องราวกับใจจะขาดของเบลลานี่ดังสะท้านทั่วนภากว้าง อากิรอสยกท่อนแขนขึ้นปิดหน้าของตัวเองเพื่อซ่อนน้ำตาที่ไม่อาจหยุดยั้งได้








    ในยามค่ำคืนที่อากาศหนาวเหน็บ อากิรอสโยนกิ่งไม้แห้งลงในกองไฟตรงหน้า เนื้อไม้ที่ถูกความร้อนแตกดังเปรี๊ยะ สะเก็ดไฟลอยลู่แดงฉานแล้วหายไป


    “นั่นละเรื่องราวของข้า มีอะไรจะถามอีกไหม?” อากิรอสมองไปยังอเซแมก อีกฝั่งส่ายหัวแทนคำตอบ

    เทรนน้ำตาซึมเพราะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ไอแซคก็นั่งนิ่งหลับตา เบลนั่งกอดเข่าซุกหัวซ่อนสีหน้าไว้ไม่ให้เห็นแต่สองมือของเธอก็กำแน่นโดยไม่ รู้ตัว

    อเซแมกและอากิรอสนั่งนิ่งจ้องกันโดยมีกองไฟคั่นกลาง


    “เอาละ ดึกแล้วก็พักผ่อนกันเถอะ มาเรียก็ยังไม่หายดีด้วยยิ่งต้องพักผ่อนมากๆ ข้าจะอยู่เวรเอง” อเซแมกลุกขึ้นยืน หันหลังเดินไปได้สองสามก้าวก็ต้องหยุดเมื่อถูกเรียกไว้

    “นิทานของข้ายังไม่จบหรอกนะ” อากิรอสบอก
    “ข้ารู้ หน้าว่างหน้าสุดท้ายเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น” อเซแมกตอบแล้วเดินห่างออกไป



    ดั่งเหรียญที่มีสองหน้าเคียงคู่กัน ความรักเป็นสิ่งที่จรรโลงชีวิตมนุษย์ให้มีความสุขสดใส ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ทุกข์ระทมได้เช่นกัน


    To be continue…
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    บทนี้สื่ออารมณ์ได้ชัดเจนขึ้นเยอะ แบบนี้ล่ะโอเคเลย >_<b
  5. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    ชอบบทแบบนี้แฮะ บทบรรยายอดีตตัวละคร เป็นตอนที่รู้สึกสนุก สื่ออารมณ์ได้ค่อนข้างดี แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ห้วนไปเสียหน่อย กุห์ฟานน่าสงสารอยู่ะ แต่ดูจะเคียดแค้นและเจ้าอารมณ์เอาเสียมากๆ? เอาเป็นว่ารอตอนต่อไปก็แล้วกันค่ะ
  6. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    จริง ๆ กะว่าจะคอมเม้นท์ฟิึคของแน็กก่อน แต่อ่านแล้วอยากคอมเม้นท์เลย กลัวลืม

    อย่างที่บอกล่ะสหาย... ข้่าจะคอมเม้นท์เมื่อตัวเองมีอารมณ์ร่วม และตอนนี้ของเจ้าก็ทำได้ดีในหลายแง่มาก (พูดเรื่องการพัฒนาขึ้นตามความรู้สึกนะ)

    อาเซแม็ก... ท่านยังคงคอนเซ็ป punch line ได้อย่างดีเยี่ยม มีหลายประโยคที่ีอ่านแล้วอินไปด้วย เป็นประโยคที่ไม่คาดฝันจริง ๆ
    ไม่คิดว่าคนที่ีเคยเขียนหมากล้อมตอนนั้นจะใช้พั้นช์ไลน์ได้เก่งขึ้นจม
    โดยเฉพาะ

    สำหรับข้าแล้ว แค่ประโยคเดียวอาเซแม็กก็เด่นขึ้นจม

    จริง ๆ มีอีกหลายจุดที่ชอบมากในบทนี้
    (ไม่เกี่ยวกับบทของตัวละครตัวเองนะ ต่อให้เป็นคนอื่นก็คงชม)

    ไม่ขอพูดส่วนนั้นละกัน เอาเป็นกดไลค์แรง ๆ สักที

    แต่นอกจากจะมีเรื่องที่ีชมแล้ว... ขอแสดงความเห็นอะไรนิดหน่อย
    คาดว่าบทนี้คนเขียนคงกำลังปรับให้เกิดความสมดุลระหว่างการบรรยายและฉากสื่ออารมณ์ ซึ่งทำออกมาได้ดีนะ ยังเล่นสำนวนภาษาได้คล่องเหมือนเดิม แต่โดยส่วนตัวรู้สึกว่ายังมีเส้นกั้นบางอย่างระหว่างการอธิบายและการสื่ออารมณ์

    ซึ่งยังมองไม่ออกเหมือนกัน แต่อาจจะเป็นลักษณะของตัวละครที่ยังเห็นไม่หมดมั้ง เช่น เบื้องลึกในความโกรธแค้นที่กุห์ฟานมีต่อโลก (เข้าใจได้ในระดับเนื้อเรื่องว่าถูกทอดทิ้งและรู้สึกว่าเป็นคนแปลกแยก) และการเหมือนถูกอาจารย์ทรยศก็คงส่วนบีบเค้นในอารมณ์มาก (ซึ่งก็ปรากฏในเนื้อเรื่องอยู่) แต่จากความเห็นส่วนตัวรู้สึกว่ามันยังไม่สุด และยังทำได้กว่านี้อีก (เป็นความเรื่องมากเฉพาะตัวเอง ซึ่งหากทำจริงๆคงจะยาวกว่านี้เยอะ) พูดง่าย ๆ โลกของกุห์ฟานในมุมมองของเรื่องตอนนี้มืดมนแล้ว แต่ยังมากได้กว่านี้อีก (ในความคิดส่วนตัวอ่ะ)

    ถ้าสื่ออารมณ์ออกมาได้มากกว่านี้อีกนิด ตัวละครจะดูมีมิติขึ้นเยอะมาก แล้วมันคงไม่ห้วน (อย่างที่แบมๆบอก) เพราะว่ามันจะทำให้โครงเรื่องไหลลื่นทั้งการบรรยาย เนื้อเรื่อง และตัวละครอ่ะ

    เข้าใจว่าการเขียนบรรยายและสื่ออารมณ์ในลักษณะมุมมองบุคคลที่สามมันทำยากกว่ามุมมองบุคคลที่หนึ่ีงเยอะ แต่ถ้านายทำได้ มันจะเทพมาก ยังไงก็พยายามเข้า

    ปล. ชอบฉากเกือบเรทนะ :)
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  7. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    มาหลังอากินี่ก็ดีแฮะมันเม้นหลักๆไปหมดและ แต่อยากจะช่วยย้ำในฐานะสหายคนหนึ่ง สิ่งที่จะผลักดันคนหนึ่งคนให้เป็นได้ถึงระดับกุห์ฟาน ส่วนตัวคิดว่ามันยังอ่อนไปนะสหายฉากที่ควรดึงและคั้นอารมณ์ให้มากกว่านี้กับผ่านไปเร็วจนทำให้ตัวตนในความเคียดแค้น ความสิ้นหวังของกุห์ฟานไม่สมจริง หรือ ไม่มากพอในมุมมองของคนอ่าน ส่วนเรื่องจะหวะมันOK ขึ้นเยอะและ ค่อยๆแก้ไปสหาย
  8. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้ยาว อ่านแล้วแอบจุใจ =w=b

    ตอนนี้การบรรยายเก็บรายละเอียดได้ดีกว่าตอนที่ผ่านมาจริงๆค่ะ ดีมากเลยทีเดียว

    โดย ส่วนเนื้อเรื่องนั้นก็พอใช้ได้อยู่ แต่คิดว่าเหตุผลของกุห์ฟานยังดาร์กได้กว่านี้อีกค่ะ หรือไม่งั้นก็ควรจะใส่ความรู้สึกที่ลึกๆแต่เดิมว่ากุห์ฟานคงสับสนอยู่บ้าง แล้วแต่แรก หรืออีกเหตุผลคือ กุห์ฟานเจ้าอารมณ์จริงๆค่ะ โดนจี้จุดแล้วก็ระเบิดออกรวดเดียวแบบไม่ยั้ง

    แต่รู้สึก ส่วนตัวคือ บางครั้งส่วนความรู้สึกจะแยกจากบทบรรยายมาเล็กน้อย จะมาการข้ามไปข้ามมาระหว่างสองอย่างนี้ในบางช่วง ส่วนตัวอยากให้กลืนกันมากกว่านี้ค่ะ

    ส่วนที่ชอบในตอนนี้ อย่างแรกคือการเล่นเรื่องของคำว่าเหตุผลที่อ่านแล้วให้อารมณ์ชวนงุดเงี้ยวดี มาก ฮา แล้วก็คำพูดสุดท้ายที่บอกว่า "หน้าว่างสุดท้ายเป็นของเจ้าคนเดียว" ทำให้อเซแม็กเด่นมาก แล้วเป้นการลงท้ายที่ดีมากกว่าสรุปเรื่องรักเสียอีก :p

    คราวนี้ตอนดีเลยเม้นท์เยอะหน่อยแฮะ(ฮา) ขอให้ตอนต่อไปลื่นไหลยิ่งกว่าเดิม!
  9. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ตั้งใจแต่งก็ทำได้ดีนี่นาอาเซแม็ก
    บอกแล้วว่าเอ็งน่ะ เก่งบทสนทนาแบบเพื่อนพ้องน้องพี่ ช่วงความทรงจำอากิรอสสมัยที่อยู่กับเบล กุห์ฟาน เป็นช่วงที่สื่อได้ทุกภาพ ไม่ขัดเลย
    เป็นช่วงที่เ็ห็นภาพของนักเรียนเวทย์มนตร์สามคนที่กำลังมีความสุขกับชีวิตในโรงเรียน มีมิตรภาพต่อกันและกัน ภาพในหัวผมเป็นภาพสีสว่างๆของแสงอาทิตย์ และต้นไม้หลังโรงเรียนที่ปลิวสะบัดในสายลม กับสองหนุ่มหนึ่งสาวที่ไปไหนไปด้วยกัน เล่นอะไรกันทะเล้นๆตลอด

    จริงๆผมอ่านแล้วไม่ขัดต่อเหตุผลของกห์ฟานนัก แต่โดยความรู้สึกเหมือนมีจุดๆนึงที่มันหายไป เป็นจุดที่กดอารมณ์กุห์ฟานได้มากกว่านี้
    อย่างที่อากิบอก เรารู้ background ว่ากุห์ฟานถูกทิ้งเป็นกำพร้า แต่ในเมื่อยอมรับอากิรอสเป็น 'อาจารย์' มาโดยตลอด การถูกมองว่าเงา ไม่น่าจะทำให้กุห์ฟานอารมณ์เสียได้ถึงขั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
    เพราะถึงขนาดฆ่าคนกลางลานประลองนี่มันไม่ธรรมดาเหมือนกัน ถ้าแค่กบฏต่ออากิรอสก็ว่าไป

    อีกแง่นึงในฐานะคนอ่าน ผมเข้าใจดีว่า นี่เป็นเพียงบทบางส่วนที่อากิรอสเล่าเรื่อง นั่นคือ ถ้าอุปมาตามเนื้อเรื่อง เรื่องราวอาจจะมีมากว่านี้ แต่อากิรอสเล่าได้แค่นี้ ตามเวลาและสถานการณ์ ดังนั้นเรื่องของกุห์ฟานผมไม่ได้ติดใจอะไร
    ว่ายังไงดี อยากให้คงการบรรยายแบบนี้ต่อไปนะ ผมว่าแบบนี้แหละเป็น "อาเซแม็ก" ที่สุด

    ปล. บ..เบลเป็นสาวห้าวมาก่อน =[]=b
    ชอบตอนรุ่นน้องผู้หญิงกรี๊ดพี่เบล 555+ เป็นบทที่น่ารักมากๆเลย
    ปปล. เสียงกรีดร้องของเบลนี่เสียดแทงเข้าไปในความรู้สึกผมโคตรๆ!!!!! จริงๆแล้วเธอก็ 'รัก' กุห์ฟานมากสินะ
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ขอบคุณมากครับ หวังว่าคงช่วยลดความผิดหวังจากตอนก่อนๆได้บ้างละนะ

    จะพยายามทำให้ดีขึ้นนะจ๊ะ น้องแบมๆ

    ขอบใจที่ชอบพันซ์ไลน์ของข้านะ สหายอากิ ข้าจะพยายามทำให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้ละกัน มันเป็นจุดขายเดียวของข้านี่นา ฮ่าๆๆ
    ส่วนตัวแล้ว การเขียนให้ได้บรรยายกาศกับการบรรยายพร้อมกันทำได้ยากมาก เขียนหลายทีและก็แก้หลายทีและก็ลบทิ้งหลายทีแล้ว อย่างว่าละนะการดำเนินเรื่องแบบบุคคลที่สามมันเขียนอารมณ์ตัวละครได้ยากมากๆ แต่ข้าก็จะพยายามเขียนให้ดีขึ้น

    ฉากเกือบเรท... จริงๆแล้วอยากจะเขียนให้มากกว่านี้อีกแต่เกรงใจแอดมินและเด็กๆหลายคนที่อ่านเรื่องนี้อยู่น่ะ ก๊ากกกกกก

    ตามอ่านสิ่งที่หายไปได้จากตอนต่อไปละกันนะ สหายทากะ

    ขอบคุณมากจ้า กว่าจะทำให้อเซแมกเด่นขึ้นมาได้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ (ฮา)

    อยากจะเขียนบทของเบลบ้างเหมือนกันนะ แต่ตัวเองเขียนมุมมองของสาวๆไม่เก่งเลยละไว้ให้คนอ่านจินตนาการเอาเองก็แล้วกัน -3-

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ครับ จะพยายามเขียนให้ดีขึ้น ดีขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆครับ

    Azemag A.C. McDowell
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ตอนที่ 17


    เถ้าถ่านลอยคลุ้ง เขม่าควันฟุ้งกระจายปลิวตามแรงลมโหม กลิ่นเนื้อไหม้เหม็นจมูกจนสูดลมหายใจไม่ได้ อาคารถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟแดงฉานส่งเสียงครืนครามราวกับร่ำไห้ เสียงกระจองอแงของเด็กระคนปนเปกับเสียงตะโกนของผู้ใหญ่ ทุกสิ่งอย่างสับสนอลหม่านจับต้นชนปลายไม่ได้


    “แงๆๆๆ แม่จ๋า แม่อยู่ไหน!”
    “เซียร่า! แคนนี่! โฮๆๆ”

    “รีบอพยพไปทางตะวันออก ก่อนที่จะไฟจะล้อมเราไว้ทั้งหมด”
    “วิ่งเร็วเข้า ไม่ต้องขนสมบัติอะไรไปทั้งนั้น”

    “อ๊ากกกกก! ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”




    กุห์ฟานนั่งมองกองไฟที่ลุกโชนอยู่ตรงหน้า ความทรงจำในคืนฤดูร้อนเมื่ออายุได้เจ็ดขวบเศษผุดขึ้นมาในห้วงความคิด


    --------------------------------------------------------------------------------​



    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร มีเพียงความเจ็บปวดทั่วกายในสติเลือนราง ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนอนฟุบอยู่ตรงไหนสักแห่งและไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

    เนิ่นนานผ่านไปเท่าไรเด็กน้อยไม่อยากจะรู้ ขาทั้งสองข้างเจ็บแปลบ หิวจนแสบท้อง กระหายจนไม่มีน้ำลายจะกลืน


    เขาหมดสติไปอีกครั้งตอนไหนครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เพราะเสียงร้องเจ็บปวดของพวกหมาป่าดังเข้ามาในโสตประสาท เปลือกตาขยับขึ้นเล็กน้อยเห็นแค่เพียงเปลวไฟแดงฉานตรงหน้า

    “ไฟ... คราวนี้ข้าคงตายจริงๆสินะ”


    ร่างของเขาถูกประคองขึ้นอุ้มอย่างแผ่วเบา มืออบอุ่นลูบผมที่ปรกหน้าผากออก สำเนียงเสียงภาษาที่ไม่เคยได้ยินดังอย่างแผ่วเบา

    “ควิส คาริออ” (สายลมพิสุทธิ์)

    เด็กน้อยรู้สึกเย็นสบาย ความเจ็บปวดที่เคยมีมลายหายไป

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวแล้ว”


    นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน



    เด็กชายลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงนุ่มอุ่นหอมด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมขึ้นมาถึงอก ผ้าชุบน้ำเย็นๆประคบอยู่เหนือหน้าผาก


    “อาจารย์เทรฟ อาจารย์เทรฟ เขาตื่นแล้วค่ะ”

    เสียงใสเจื้อยแจ้วของเด็กสาวดึงความสนใจจากผู้ที่ถูกเรียกให้ละสายตาจากงานเขียนตรงหน้าแล้วถอดแว่นตาออกวางบนโต๊ะ เขาขยับลุกอย่างแผ่วเบาไม่มีแม้เสียงลากขาเก้าอี้บนพื้นไม้มันวาว


    “ซันนี่ไปเอายกซุปในครัวมาให้หน่อย” ชายที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เทรฟสั่ง ลูกศิษย์สาวผมสีฟ้าอ่อนวิ่งไปทันที


    เทรฟ เทรคก้า ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเหลืองนวล ผมสีน้ำตาลแก่ยาวถูกรวบเป็นหางม้า เขาเข้ามานั่งริมขอบเตียงและใช้มือแตะหน้าผากเด็กน้อยเพื่อวัดไข้


    “ไข้ลดแล้ว เดี๋ยวทานซุปอุ่นๆแล้วนอนพักอีกหน่อยก็แล้วกัน” เขาบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย
    “ที่นี่?” เด็กน้อยกลอกตามองห้องที่ไม่คุ้นเคย
    “บ้านของข้าเอง เจ้าพักผ่อนให้หายก่อนเถอะแล้วข้าจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
    “มาแล้วค่ะ” ซันนี่ยกถาดที่มีถ้วยซุปหอมๆร้อนกรุ่นและแก้วใบใสที่รินน้ำไว้เกือบเต็มมาพร้อมกัน
    “ทานซะก่อนสิจะได้มีแรง” เทรฟรับถาดมาวางไว้ที่หน้าขาแล้วบรรจงตักซุปป้อนเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียง



    เมื่อทานเสร็จแล้ว ซันนี่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้กับเขาและพามาหาเทรฟในอีกห้องหนึ่ง เทรฟลองซักถามเรื่องราวจากเด็กน้อยก่อน จากนั้นเขาจึงเล่าสิ่งที่เขารู้ให้ฟัง


    กุห์ฟาน รีส ริยาส ลูกชายคนเดียวของช่างไม้ในหมู่บ้าน วัยเจ็ดขวบร้องไห้ออกมาเมื่อได้รับรู้ว่าทุกคนในหมู่บ้านถูกไฟคลอกตายจนหมดซึ่งน่าจะรวมถึงพ่อและแม่ของตัวเขาด้วย

    ซันนี่กอดเด็กน้อยที่ฟูมฟายไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนโยน



    เทรฟรับอุปการะเขาเป็นลูกบุญธรรมและเริ่มสอนให้เขาคุ้นชินกับชีวิตใหม่ในเวเนฟิคุส อาณาจักรมนตราอันเป็นบ้านเกิดของเขา ซึ่งเทรฟเองทำงานเป็นอาจารย์ในโรงเรียนมนตรา

    ชีวิตในวัยเด็กของกุห์ฟานค่อนข้างโดดเดี่ยวเพราะเด็กคนอื่นไม่ยอมเล่นกับเขา และเขาเองก็ไม่อาจเล่นได้เช่นเดียวกับที่เด็กเหล่านั้นเล่น – เพราะเขาไม่รู้เวทมนต์



    “หือ? เจ้าอยากเรียนมนตราอย่างนั้นหรือ” ซันนี่ถามด้วยรอยยิ้มเมื่อกุห์ฟานวิ่งน้ำตาซึมเข้ามาเกาะขา
    “ข้าก็อยากทำได้อย่างที่คนอื่นทำ ข้าอยากเล่นกับคนอื่นบ้าง” เขาตอบทั้งน้ำตา
    “เล่นกับข้าก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?” ซันนี่เช็ดคราบน้ำตาแล้วหยิกแก้มเขาเบาๆ
    “ข้าอยากใช้มนตรา โตขึ้นข้าอย่างเป็นอย่างอาจารย์เทรฟ” เด็กน้อยผมแดงตอบกลับ แววตามุ่งมั่นเปล่งประกายจริงจัง
    “จ้าๆ เดี๋ยวข้าล้างจานเสร็จแล้วจะสอนให้ รออีกประเดี๋ยวนะ”

    ซันนี่ก้มลงหอมที่หน้าผากกุห์ฟานแทนคำสัญญา



    ซันนี่สอนมนตราให้กุห์ฟานทุกเย็นหลังจากที่เธอเรียนเสร็จแล้ว บางวันเพื่อนๆของเธอก็ติดตามมาช่วยสอนและเล่นกับกุห์ฟาน

    ใครจะคาดคิดกันว่าในเวลาเพียงสามเดือน กุห์ฟานจะสามารถใช้มนตราพื้นฐานได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้เด็กๆชาวเวเนฟิคุสที่ถูกฝึกตั้งแต่อายุสี่หรือห้าขวบ


    “ดีมาก แบบนั้นแหละ ค่อยๆนะ ช้าๆ”

    ซันนี่คอยบอกจังหวะกุห์ฟานที่พยายามควบคุมก้อนน้ำให้ลอยอยู่กลางอากาศ ปกติแล้วในเด็กวัยเดียวกันคงมีน้อยคนที่ทำได้ขนาดนี้ ซึ่งเด็กแบบนี้มักจะถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะ’


    --------------------------------------------------------------------------------​



    เมื่อใช้มนตราได้ดั่งใจหมายแล้ว กุห์ฟานก็ไปหาเด็กกลุ่มเดิม

    “ข้าไม่ให้เจ้าเล่นด้วยหรอก”
    “ไปซะ อย่ามาเกะกะ”
    “เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง เจ้าบ้า!”



    กุห์ฟานยังคงถูกปฏิเสธ

    “ทำไมกันละ? ไหนบอกว่าจะให้ข้าเล่นด้วยถ้าข้าใช้มนตราได้”
    กุห์ฟานถามกลับ เขาเกลียดคนที่ไม่รักษาสัญญาและผิดคำพูดอย่างมาก


    “ไอ้เด็กนอกคอก”
    “แบร่ๆ อย่างเจ้าน่ะไปเล่นกับหมากับแมวในสวนโน่นไป”
    “ไปให้พ้นเลยนะ เจ้าคนไม่มีพ่อไม่มีแม่”


    เด็กน้อยไม่อาจระงับความโกรธได้อีกต่อไป เขาอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน แต่สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนกลับมาคือคำเยาะเย้ยถากถาง เมื่อความรู้สึกถูกเหยียบย่ำ เมื่อสิ่งที่ค้ำยันจิตใจถูกทำลาย จากเด็กเรียบร้อยก็กลับกลายเป็นเด็กรุนแรง


    การทะเลาะวิวาทตามประสาเด็กๆคงจะเป็นแค่การชกต่อย แต่เด็กๆในอาณาจักรแห่งนี้ใช้มนตราได้ ผลลัพธ์จบลงที่กุห์ฟานได้รับบาดเจ็บหนักแต่อีกฝั่งแค่ฟกช้ำปากแตกตาเขียว


    “เฮ้อ ดูไม่ได้เลยน้องข้า” ซันนี่ทำแผลให้กุห์ฟานด้วยสีหน้าห่วงใย

    “คนพวกนั้นไม่รักษาสัญญา ข้าเกลียดคนไม่รักษาสัญญาที่สุด”
    กุห์ฟานตอบ เริ่มสะอื้นไห้อีกครั้ง

    “ข้าโกรธมากก็จริง แต่ข้าก็ไม่ได้ใช้มนตรากับพวกเขา ข้าไม่อยากทำร้ายใคร ข้าอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน”
    น้ำตาใสๆหลั่งรินอาบสองแก้ม ซันนี่ต้องประคองสองแก้มแล้วปาดน้ำตาออกด้วยนิ้วหัวแม่มืออ่อนนุ่มแล้วประคองกอดเขาไว้ เทรฟนั่งฟังอยู่ไม่ไกลยิ้มอย่างเอ็นดูแต่ในขณะเดียวกันก็หนักใจ


    “ฟังคำของอาจารย์ให้ดีนะ” เทรฟถือโอกาสสอนกุห์ฟาน

    “การจะเป็นเพื่อนกับใครสักคนไม่ใช่จะเป็นได้ง่ายๆ ความรุนแรงไม่เคยสร้างมิตรให้กับใคร สัญญากับอาจารย์หนึ่งข้อ ไม่ว่าโกรธแค่ไหนก็ห้ามลงมือก่อนเด็ดขาด”

    “ความโกรธไม่ได้สร้างสิ่งใด แต่จะพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเจ้าแม้แต่ตัวเจ้าเอง – จำไว้นะ กุห์ฟาน”

    “ข้าสัญญา” กุห์ฟานรับคำหนักแน่น สูดลมหายใจแรงๆกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในอก



    แต่ถึงแม้กุห์ฟานจะทำดีแค่ไหน จะพูดดีด้วยอย่างไรก็ยังคงถูกปฏิเสธ ทุกวันได้แต่เฝ้ามองคนอื่นเล่นสนุกอยู่ห่างๆ ความโดดเดี่ยวอ้างว้างทำให้เขาเศร้า จะมีก็เพียงซันนี่ที่ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่โดดเดียวลำพัง

    แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ไปตลอดกาล



    สามปีต่อมา ซันนี่จบการศึกษาจากโรงเรียนมนตราและต้องออกเดินทาง


    “เป็นเด็กดีนะ กุห์ฟาน แล้วข้าจะรีบกลับมาเล่านิทานของโลกใบใหญ่ให้เจ้าฟังทุกคืนเลย” ซันนี่ยกนิ้วก้อยขึ้นมา
    “ข้าจะรอท่านพี่ ข้าจะเป็นเด็กดี” กุห์ฟานเกี่ยวก้อยกับเธอเป็นดั่งคำสัญญา

    “ไปเถอะซันนี่ ไม่ต้องห่วงกุห์ฟานหรอก อาจารย์จะดูแลเขาเอง”
    เทรฟบอกกับลูกศิษย์คนสนิทเพื่อที่เธอจะได้คลายความกังวล

    ซันนี่ดึงน้องชายที่เริ่มโตเป็นหนุ่มน้อยเกินวัยเข้ามากอดอย่างแนบแน่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจากเขาไปด้วยรอยยิ้ม



    ช่วงเวลาสามปีที่กุห์ฟานใช้ชีวิตโดยไม่มีซันนี่ พี่สาวผู้แสนอบอุ่น ใจดีและอ่อนโยน เขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนร่ำเรียนมนตราตั้งแต่เช้าจรดค่ำด้วยความหวังที่จะแสดงฝีมือของตนให้เธอเห็นว่าเขาก้าวหน้าไปเพียงใด แม้จะเหนื่อยยากลำบาก แม้บางครั้งจะท้อแท้ บางเวลาที่โดดเดี่ยวเพราะเขาไม่มีใครอื่นใดอีก เพียงแค่นึกถึงพี่สาวใจดีเขาก็มีกำลังใจฮึดขึ้นอีกครั้ง


    --------------------------------------------------------------------------------​


    “อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว” กุห์ฟานส่งเสียงเป็นสัญญาณก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

    เทรฟ นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ แสงไฟสีส้มนวลจากตะเกียงที่แขวนไว้เหนือหัวสาดส่องใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่น

    “เกิดอะไรขึ้น ท่านอาจารย์?” กุห์ฟานเป็นคนที่พูดตรงถามตรงตามที่คิดจึงถามทันทีที่เห็นท่าทางของเทรฟ



    เป็นเวลานานนับสามปีที่เขาไม่ได้หลั่งน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กน้อยที่ถูกแกล้ง เมื่อสามปีก่อนเขาร้องไห้ให้กับการสูญเสียครอบครัว ครั้งนี้เขาร้องไห้ให้กับอีกหนึ่งที่เป็นยิ่งกว่าคนในครอบครัว

    ‘ซันนี่’ จากไปอย่างไม่วันหวนกลับ เขาสูญเสียทุกคนที่รักไปครั้งแล้วครั้งเล่า



    นับแต่นั้นกุห์ฟานก็กลายเป็นเด็กที่เงียบนิ่ง พูดน้อยคำ ไม่ยิ้มแย้มช่างเจรจาซักถามเหมือนเช่นแต่ก่อน เทรฟรู้ดีถึงสาเหตุนั้นแต่เขาก็มิอาจทำสิ่งใด ไม่มีมนต์วิเศษบทใดที่ทำให้จิตใจแตกร้าวกลับคืนมาได้ดังเดิม




    วันหนึ่งที่สวนดอกไม้ริมเกาะ กุห์ฟานนั่งกอดเข่ามองคนอื่นเล่นกันอย่างสนุกสนาน เขานึกอิจฉาทุกคนที่มีครอบครัวพร้อมหน้า มีพ่อแม่พี่น้องรอบข้าง มีแต่เรื่องดีๆในทุกวันของชีวิต


    ก้อนหินก้อนหนึ่งมาโดนหัวของเขา เสียงหัวเราะและก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าที่ลอยตามมา
    เขาเป็นเพียง ‘วัตถุ’ ที่ทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วใครกันที่จะมอบ ‘ความสุข’ ให้เขา

    ก้อนหินเริ่มใหญ่ขึ้น เร็วขึ้น แรงขึ้น มันทำให้เขาเจ็บมากขึ้น

    “ทำไมทุกคนต้องแกล้งข้าด้วย?”


    ดวงตาเริ่มลุกโชน เขาโกรธจนลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์ ทันทีที่เขาตัดสินใจจะตอบโต้คนที่แกล้งเขา เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นหลังต้นไม้


    “กำลังโกรธสินะ?”
    เจ้าของเสียงดูเหมือนจะเป็นเด็กเช่นเดียวกับเขา

    “ใครอยู่ตรงนั้น?”
    กุห์ฟานลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม เขาเห็นเพียงเงาลางๆของร่างที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้

    “อยากรู้ก็มาดูเองสิ”


    กุห์ฟานเดินอ้อมต้นไม้ไปอย่างช้าๆ แต่ก้อนหินก้อนหนึ่งพุ่งเฉี่ยวแก้มของเขาไปจนเลือดซิบ

    “มันมากเกินไปแล้วนะ”

    กุห์ฟานเตรียมหันกลับจะไปเอาเรื่อง


    “ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าจะถูกแกล้งมากขึ้นเท่านั้นแหละ”
    “มานั่งหลังต้นไม้กับข้านี่ เจ้าพวกนั้นไม่กล้าตามมาตอแยหรอก”

    เด็กชายปริศนาชักชวนให้กุห์ฟานมาหลบอยู่กับเขา กุห์ฟานลังเลในทีแรกแต่สุดท้ายก็ยอมไปนั่งด้วย


    “เจ้า... เป็นใครกัน” กุห์ฟานถามอย่างหวาดๆ
    “แม่เรียกข้าว่า ‘อากิรอส คีฟ’ แล้วเจ้าละถูกเรียกว่าอะไร”
    “กุห์ฟาน... กุห์ฟาน รีส ริยาส”

    เงียบกริบ ไม่มีบทสนทนาใดๆอีก


    “เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ ?” กุห์ฟานอดรนทนไม่ได้ต้องเป็นฝ่ายเริ่มถาม
    “นอนกลางวัน” อากิรอสตอบกลับแล้วก็เงียบดังเดิม
    “แล้วเจ้าเรียกข้ามาตรงนี้ทำไมกัน” กุห์ฟานถามอีกครั้ง
    “เสียงก้อนหินลอยไปลอยมามันรำคาญจนนอนไม่หลับ ถ้าเจ้ามานั่งตรงนี้ก็จะไม่มีเสียงก้อนหินพวกนั้น”
    “แค่นั้น?”
    “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเรียกเจ้ามาทำไม” อากิถามกลับไปลืมตามองเขาข้างหนึ่ง กุห์ฟานนิ่งเงียบไปบ้าง


    “ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้า! ข้าไม่มีใครยอมคุยยอมเล่นด้วยเลยสักคน”
    กุห์ฟานพูดความรู้สึกในใจออกไป

    “ข้าอยู่ที่นี่ทุกวัน ถ้าเจ้าอยากหาคนคุยด้วยแค่มาตรงนี้ก็พอ” อากิรอสตอบแล้วก็นอนต่อ


    คำตอบที่กุห์ฟานได้ยินทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ยังมีคนที่พร้อมจะคุยกับเขา ยังมีคนที่เป็นมิตร เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างเพียงลำพัง




    ท่ามกลางฟ้ามีครามสว่างไสวและสายลมเย็นสดชื่นในยามเช้า

    “อาจารย์ ข้าไปก่อนนะครับ”


    กุห์ฟานวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว เทรฟยืนอยู่หลังประตูมองดูเด็กหนุ่มวิ่งเต็มกำลังไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มยินดีที่ได้เห็นเขากลับมาเป็นกุห์ฟานคนเดิมแล้ว


    --------------------------------------------------------------------------------​



    วันเวลาผ่านไปตามการหมุนโคจรของดาวเคราะห์สีฟ้าลำดับที่สามในระบบสุริยจักรวาล กุห์ฟานก้าวผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น เขาสูงใหญ่แต่ไม่เก้งก้าง ใบหน้าคมสันเข้มขรึม ดวงตาขึงขังแต่อ่อนโยนเป็นมิตร ผมสีแดงสดโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

    ในช่วงเวลาห้าปีเขาเติบโตขึ้นอย่างงดงามจนมิอาจหาชายหนุ่มในวัยเดียวกับมาเปรียบเทียบได้ และบัดนี้เขาก็เป็นหนึ่งในนักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียนมนตราแห่งอาณาจักรเวเนฟิคุส


    ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยม กุห์ฟานถูกเรียกขานจากเหล่าอาจารย์ว่า ‘จอมเวทอัจฉริยะ’

    ‘เขา’ ในเวลานี้แตกต่างกับ ‘เขา’ เมื่อตอนเป็นเด็กที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย เขาร่ำรวยมิตรสหายเพราะความเป็นคนช่างพูดช่างคุย ชีวิตของเขาเบ่งบานราวกับดอกไม้ที่ต้องแสงแห่งรุ่งอรุณหลังจากผ่านพ้นค่ำคืนที่มืดมิด




    “เฮ้! กุห์ฟาน ทั่วโรงเรียนฮือฮากันใหญ่แล้วนะเนี่ย” เพื่อนคนหนึ่งของเขาเปิดประตูห้องเข้ามาอย่างรวดเร็ว อาการกระหืดกระหอบบอกได้ว่าเขากำลังเหนื่อยแค่ไหน

    “ใจเย็นๆ เรื่องอะไรกันละ” กุห์ฟานเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่าน พับปิดแล้ววางไว้กลางโต๊ะ
    “ก็เรื่องที่เจ้าสารภาพรักกับประธานเบลลานี่น่ะสิ”


    “หาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”

    นักเรียนชายทั้งห้องพร้อมใจกับประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียว


    “แล้วไง? ประธานเบลลานี่ตอบตกลงรึเปล่า? ตอบข้ามาสิ” เพื่อนคนนั้นเขย่าตัวกุห์ฟานไม่ต่างจากเขย่าติ้วเพื่อให้ได้คำตอบ

    กุห์ฟานหลับตานิ่งยิ้มน้อยๆ

    “เบเน” (ตกลง)


    เสียงฮือฮาดังกระหึ่ม พวกนักเรียนชายพากันมารุมล้อมเขาถามโน่นพูดนี่จนฟังไม่รู้เรื่อง

    “ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ประธานเบลลานี่ที่ได้ฉายา ‘สาวโหด’ คนนั้นจะตอบตกลง”
    “นี่เจ้าใช้ยาเสน่ห์รึเปล่าเนี่ย”
    “อ๊า! อิจฉาเจ้าจริงๆเลย กุห์ฟาน”

    “สาวโหด? พูดเป็นเล่นไป” กุห์ฟานขัดขึ้น

    “ที่พวกเจ้าเห็นนั่นคือฉากหน้าในฐานะประธานนักเรียนที่ต้องรับมือกับบรรดาตัวแสบที่ชอบแหกกฎโรงเรียน แท้จริงแล้วเธออ่อนโยนเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี ใจดีเหมือนพี่สาว แถมยังทำอาหารเก่งอีกด้วยนะ สิ่งที่พวกเจ้าพลาดไปก็คือการไม่มองดูจิตใจที่แท้จริงของเธอต่างหากถึงได้กล้าๆกลัวๆไม่ไปสารภาพรัก”

    กุห์ฟานอธิบายและสรุป เล่นเอาทั้งห้องนิ่งอึ้งกันไปเลย



    เสียงหัวเราะหยอกล้อและรอยยิ้มคือชีวิตประจำวันของเขา ยิ่งได้อยู่กับผู้หญิงที่เขารักยิ่งทำให้เขามีความสุขจนอยากจะร่ายมนต์หยุดเวลาไว้เพียงแค่ตอนนี้ตลอดไป


    --------------------------------------------------------------------------------​



    เวลาเย็นในห้องสมุดประจำโรงเรียน


    “เจ้าบอกว่าเจ้าชอบข้าเพราะข้าเหมือน ‘ซันนี่’ พี่สาวของเจ้าน่ะเหรอ” เบลถามทวนคำที่ได้ฟัง
    “ใช่ แวบแรกที่เห็นท่านข้าก็นึกถึงพี่สาวที่ตายจากของข้าแล้วก็คิดในใจว่า ‘ช่างเหมือนกันอะไรอย่างนี้’”
    “ข้าไม่ใช่ตัวแทนของใครหรอกนะ” เบลตอบกลับพร้อมๆกับหยิบสมุดขึ้นเรียงบนชั้น

    “ข้ารู้ ถ้าข้าคบกับท่านเพียงเพราะความรู้สึกเช่นนั้นก็คงจะเป็นการดูถูกท่าน หลังจากที่ข้าได้รู้จักกับท่านอย่างแท้จริงถึงได้รู้ว่าท่านนั้นน่ารักและใจดียิ่งกว่าพี่สาวของข้ายังไงละ”

    “อะฮ้า ปากหวานจริงนะ เข้าใจพูดชมข้านี่นา” เบลทุบเขาด้วยหนังสือเล่มโตแก้เขิน


    ระหว่างที่ทั้งสองคนหยอกล้อกัน นักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินพลางวิ่งเข้ามาหาเบลลานี่แล้วกระซิบบอกบางอย่าง

    “’เจ้านั่น’ ก่อเรื่องอีกแล้วรึ” เบลลานี่ยกมือกุมหน้าผาก นักเรียนที่มาแจ้งข่าวพยักหน้ายืนยัน
    “ได้ เดี๋ยวข้าจะไปจัดการเอง” เบลลานี่หยิบหนังสือเล่มสุดท้ายใส่ในชั้น
    “มีอะไรเหรอ?” กุห์ฟานถามแทรก

    “ข้ากำลังจะไปจับตัวเจ้าคนที่บังอาจตัดกิ่งต้นเมเปิลในสวนหน้าโรงเรียนเป็นรูปผู้หญิงเปลือยน่ะสิ”
    “เจ้าจะไปช่วยข้าไหม? ผู้ช่วยของข้า” เบลหันไปถามและยิ้มให้เขา


    กุห์ฟานพยักหน้าแล้วจับมือเธอวิ่งออกไป



    ที่สวนหน้าโรงเรียน นักเรียนชายคนหนึ่งกำลังยืนวิเคราะห์ต้นเมเปิลที่บัดนี้กิ่งก้านของมันถูกดัดตัดแต่งให้เป็นทรวดทรงองค์เอวของสตรีในท่วงท่าเย้ายวนชวนมอง ชนิดที่ว่าใครเห็นก็ต้องหยุดจ้องอย่างตื่นตะลึง


    “วิเศษ ผลงานชิ้นนี้ของข้าวิเศษยิ่งนัก ดีละต้องคิดชื่อที่สุดยอดเหมาะกับผลงานมาสเตอร์พีซแล้วสิ จะเอาชื่ออะไรดีน๊า”

    ชายหนุ่มผมดำพลิ้วปลิวลู่ลมกระสับกระส่ายเดินหมุนไปบิดมาครุ่นคิดอย่างหนัก


    “ของวิตถารแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีชื่อหรอกย่ะ”
    เสียงของเบลดั่งมาจากด้านหลัง ในขณะเดียวกับลูกไฟหลายลูกลอยละลิ่วเข้าเผา ‘เทพีเมเปิล’ ตรงหน้าลุกเป็นไฟทันที

    “อ๊าาาาาาาาาาาาาาาา!! เจ้าทำอะไรของเจ้ากันเนี่ย”
    ชายคนนั้นยกมือกุมขมับกรีดร้องเมื่อเห็นผลงานของตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่าน

    “ยังจะมีหน้ามาถามอีกนะ ข้าต่างหากที่ต้องถามว่า ‘เจ้าทำอะไรของเจ้า’ ต่างหาก! อากิรอส”
    “อากิรอส?” กุห์ฟานที่ยืนอยู่ด้านหลังสะดุดกับชื่อของอีกฝ่าย

    อากิรอสหันกลับมาประจันหน้ากับเบลลานี่ที่ยืนกอดอกกระดิกเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ เขากัดฟันกรอด ชี้นิ้วพูดตอบโต้ไป

    “อย่างเจ้าจะมาเข้าใจศิลปะของข้าได้ยังไงกัน เอ๊ะ! อ้าว! นั่นมันกุห์ฟานไม่ใช่เหรอ ไปทำอะไรตรงนั้นละ”

    อากิรอสชะงักท่าทีเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังประธานนักเรียน เธอก็ประหลาดใจชี้นิ้วไปทางอากิรอสแล้วหันกลับมาชี้กุห์ฟาน เขาพยักหน้าตอบเธอเป็นนัยว่ารู้จักกัน


    “อย่างนี้นี่เอง สมแล้วที่เป็นเบลลานี่ แต่คิดหรือว่าแค่จับลูกศิษย์ของข้าเป็นตัวประกันแล้วจะทำให้ข้ายอมแพ้เจ้า” อากิกำหมัดแน่น แสดงสีหน้าว่าถูกบีบคั้นเต็มที่

    “หาาาาาาาาาาาาา !?” เบลลานี่งุนงงกับคำพูดของเขา

    “ถ้าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าจริงก็ช่วยถ่วงเวลาให้หน่อยละกัน กุห์ฟาน” พูดจบอากิรอสก็โกยอ้าวหนีทันที
    “อย่าคิดว่าจะหนีจากข้าได้ง่ายๆละ” เบลลานี่วิ่งตามเขาไปทันที กุห์ฟานก็วิ่งตามทั้งๆที่ไม่เข้าใจเท่าไร


    “ไม่อยากจะเชื่อเลย คนรู้จักของเจ้างั้นเหรอ” เบลถามกุห์ฟานที่วิ่งตีคู่ขึ้นมา

    “เรื่องมันก็นานมาแล้วน่ะ ไม่ได้เจอเขามาตั้งนานก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นนักเรียนที่นี่ได้”
    กุห์ฟานตอบพร้อมกับส่ายหน้า “ทำให้ข้านึกถึงวีกรรมของเขาในสมัยก่อน ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”

    “งั้นเจ้าอย่ามาขวางข้าก็แล้วกัน วันนี้ข้าต้องจับเจ้านั่นไปนั่งสำนึกผิดให้ได้เลย”
    เบลลานี่รวมพลังเวทไว้ที่มือ ลูกไฟก่อตัวขึ้นมาทันที

    “ต่อให้อีกฝ่ายเป็นพระเจ้า ข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่าน”
    กุห์ฟานยิ้มให้เธอ ทำเอาเบลลานี่หน้าแดงยิ่งกว่าลูกไฟที่เธอเรียกออกมาเสียอีก

    “ก็.. ตะ ตามใจเจ้า”


    เบลรีบหลบสายตาแล้วเร่งฝีเท้าสุดกำลัง กระโดดโผนเขวี้ยงลูกบอลเพลิงในมือเข้าใส่อากิรอสที่นำอยู่ทันที ลูกบอลเพลิงเล็กๆแตกตัวออกเป็นลูกเล็กลูกน้อย แล้วแต่ละลูกนั้นขยายออกเป็นลูกไฟมหึมาทันที

    อากิรอสกระโดดหลบลูกไฟเหล่านั้นได้ไม่ยากเพราะทุกครั้งที่เขาก่อเรื่องก็มักจะถูกเบลลานี่ตามล่าและโดนเวทชุดนี้เล่นงานบ่อยจนจับทางได้


    แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อกุห์ฟานเข้าประชิดด้านหลังโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวและรวบแขนทั้งสองข้างไว้ในพริบตา

    “เห ความสามารถไม่เลวนี่นา สมแล้วที่เป็นศิษย์ของข้า” อากิเอ่ยชม
    “ข้าว่ากระบวนท่านี้ข้าฝึกเองนะ ท่านอาจารย์” กุห์ฟานตอบกลับ

    “ดีมาก! จับไว้อย่างนั้นแหละ”

    เบลตะโกนก้องทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองตรงหน้าและก็ต้องผวาสุดขีดเมื่อกงล้อไฟนับสิบ ไม้ตายก้นหีบของเบลลานี่พุ่งเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว


    “ตูม”
    เกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหวกลางอากาศ สองหนุ่มถูกย่างสดหมดสภาพร่วงลงฟุบกับพื้น



    ที่ห้องทำการประธานนักเรียน เบลกำลังกุลีกุจอรักษาแผลไฟลวกให้กุห์ฟาน ในขณะที่อากิรอสต้องนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ


    “ขอโทษนะกุห์ฟาน เจ็บมากไหม” เบลถามอย่างเป็นห่วง
    “ไม่เป็นไรหรอก ท่านยั้งมือไว้ไม่ใช่เหรอ” เขาตอบกลับไม่อยากให้เธอรู้สึกเป็นกังวล
    “ขอโทษนะ เจ็บมากไหม – ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เป็นไร” อากิรอสเลียนเสียงคนทั้งสองล้อเลียนแทรกขึ้นมา


    ฝ่าเท้าที่หุ้มด้วยรองเท้าหนังอย่างหนาของเบลลานี่ถีบผัวะเข้ากลางหลังคนที่บังอาจล้อเลียนเธอ


    “ยังกล้าทะเล้นใส่ข้าอีกเหรอ อย่างเจ้าน่ะนั่งสำนึกผิดไปจนตายนั่นแหละดีแล้ว”
    “แหมๆๆ ขี้อายกว่าที่คิดนะเนี่ย”

    อากิรอสโดนถีบซ้ำอีกที จนกุห์ฟานต้องเข้ามาห้ามเบลถึงจะยอมหยุด



    นี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นด้ายแห่งชะตากรรมสามสายที่ร้อยรัดกระหวัดเกี่ยวพวกเขาไว้ด้วยกัน


    --------------------------------------------------------------------------------​



    “เฮ้ รู้เรื่องเมื่อวานรึเปล่า มีจูบกันระหว่างประลองด้วย”
    “อิจฉาเจ้าอากิรอสจริงๆเลย”

    “เจ้าหัวแดงปีสองนั่นไม่ใช่คนรักของประธานเบลลานี่หรอกเหรอ ?”

    “ข้าเห็นอากิกับเบลคุยกันกระหนุงกระหนิงในห้องประธานตอนดึกๆด้วยนะ”
    “ใช่ๆ ข้าก็เห็นพวกเขาไปคุยกันที่หอระฆังเหมือนกัน”






    “หนวกหู!!”
    กุห์ฟานตะโกนลั่นสุดเสียงสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขายังคงอยู่ในห้องสมุด บรรยากาศเงียบสงัดมีเพียงหนังสือนับพันนับหมื่นเล่ม ท้องฟ้าเริ่มสว่างแต่ก็ยังมืดอยู่

    เขาหวนนึกถึงการประลองของเบลและอากิอีกครั้ง


    “มันก็แค่ความฝันเท่านั้น ใช่... มันเป็นความฝัน”

    น้ำเสียงเขาสั่น หยาดน้ำตาเริ่มหลั่งริน เขาพยายามข่มกลั้นอาการสะอึกสะอื้นไม่ให้ทะลักออกมาแต่ก็ทำไม่ได้


    เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังสับสน เขาต้องหาความจริงให้พบให้ได้ว่าเหตุใดทุกคนถึงพูดกันแต่เพียงว่าอากิรอสกับเบลลานี่จะออกเดินทางด้วยกันในฐานะ ‘คู่หู’


    ‘คู่หู’ คือคำที่ใช้เรียกจอมเวทสองคนที่ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป

    ทำไมถึงเป็นอากิรอส? ทำไม่ใช่เขา??



    กุห์ฟานออกจากห้องสมุดไปยังด้านหลังอาคารเรียนที่มักจะมีคนมาจับกลุ่มพูดคุยกัน ในเวลาเช้าแบบนี้มีคนประปรายบางตา เขาเดินตามนักเรียนปีสามกลุ่มหนึ่งที่เลี้ยวหายไปหลังตึกเพื่อที่จะสอบถามสิ่งที่เขาอยากจะรู้


    “เรื่องของอากิรอส?” นักเรียนชายคนหนึ่งในกลุ่มถามกลับ

    “เฮ้! ข้าจำเจ้านี่ได้ กุห์ฟาน ปีสอง ลูกบุญธรรมของอาจารย์เทรฟ คนที่กำลังคบหากับประธานเบลไง”
    “แล้วทำไมเจ้าหมอนี่ต้องมาถามเรื่องของอากิรอสกับพวกเราด้วย”
    “ที่เจ้าอยากจะรู้จริงๆก็คือ สองคนนั่นมีความสัมพันธ์กันยังไงแน่ เพราะเมื่อวานบนลานประลองทำให้ทุกคนลือกันให้หนาหูว่าสองคนนั่นจะเป็น ‘คู่หู’ ออกเดินทางด้วยกัน... สินะ”

    อีกคนในกลุ่มแทรกขึ้นมา ถามคำถามแทงใจกุห์ฟาน


    “ใช่ เรื่องนั้นละที่ข้าอยากรู้ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม” กุห์ฟานถามอย่างจริงจัง

    “เท่าที่ข้ารู้ อากิรอสกับเบลลานี่สนิทกันตั้งแต่เข้าเรียนแล้ว ไม่มีใครแปลกใจว่าสักวันหนึ่งสองคนนี้จะลงเอยในฐานะ ‘คู่หู’”

    “ตอนต้นปีสามสองคนนั้นทะเลาะอะไรกันสักอย่าง แล้วก็มีข่าวว่าเบลลานี่ไปคบกับนักเรียนปีสอง ตอนนั้นทุกคนในปีสามเองต่างประหลาดใจกันแต่ก็ไม่มีใครรู้ความจริง แต่ว่าสองเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าทั้งคู่จะคืนดีกันแล้วและตัดสินใจที่จะออกเดินทางด้วยกันเมื่อจบการศึกษา นั่นละเท่าที่ข้ารู้”



    กุห์ฟาน รู้สึกว่าลิ้นของตัวเองชาด้านพูดอะไรไม่ออก ลำคอแสบแห้งหายใจลำบาก พื้นดินเอียงเคว้งทรงตัวไม่ค่อยได้


    “ถ้าอย่างนี้เจ้าหมอนี่ก็เป็นแค่ ‘คนคั่นเวลา’ น่ะสิ น่าสงสารจริงๆเลยน๊า”
    “ข้าจะไปรู้เรอะ ก็รู้เหมือนที่พวกเจ้ารู้กันนั่นแหละ”




    “หนวกหู” กุหฟานพูดแทรกขึ้นมา

    “อะไรกัน เจ้าเป็นคนมาขอร้องให้พวกเข้าเล่าให้ฟั......”

    มืออันแข็งแกร่งบีบลำคอของเขาแน่นก่อนที่พูดจบประโยค แววตาของกุห์ฟานเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ทุกคนต่างตกใจแต่ก็รีบเข้าไปช่วยเพื่อน


    “พวกเจ้าโกหก ข้าไม่เชื่อหรอก”
    กุห์ฟานถูกโทสะครอบงำจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว เขาออกแรงบีบมากขึ้น


    “เจ้าบ้านี่ หยุดนะ!”
    นักเรียนปีสามคนหนึ่งประสานสองมือฟาดใส่ต้นคอของเขาอย่างแรง กุห์ฟานปล่อยมือจากคออีกฝ่ายมากุมท้ายทอยของตัวเอง


    “หมาบ้าอย่างเจ้าอย่ากำแหงให้มากนัก” นักเรียนปีสามตวาดใส่กุห์ฟาน
    “ถ้าไม่พอใจมันก็เรื่องของเจ้า แต่ถ้ารับความจริงไม่ได้ก็ไปตายซะ”




    เหมือนกับคนที่ถูกขังอยู่ในห้องมืดมาแสนนานแล้วถูกกระชากให้ออกมายืนอยู่กลางแสงสว่างจ้า เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกมาตลอด คนที่เขานับถือและเชื่อใจได้ทรยศและผลักเขาให้ลงสู่ห้วงเหวแห่งความสิ้นหวัง


    เมื่อไม่มีสิ่งใดให้จิตใจยึดเหนี่ยวเป็นแกนหลัก ทุกอย่างก็ล้วนไร้ค่าไร้ความหมายไร้ประโยชน์
    สติที่ขาดห้วงสัมปชัญญะที่ขาดหาย และโทสะที่มากล้นราวกับทำนบกั้นน้ำพังทลาย


    กุห์ฟานลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าประชิดอีกฝ่ายที่ทำร้ายเขา ฝ่ามือและพลังเวทอันร้อนแรงกระแทกเข้ากลางหน้าอกจนระเบิดกลวงโบ๋ อีกสามคนได้แต่ยืนตื่นตะลึงเมื่อเห็น ‘การฆ่า’ บังเกิดขึ้นตรงหน้า และก็เป็นวินาทีเดียวที่พวกเขาสูญเสียโอกาสในการเอาชีวิตรอดไปแล้วเมื่อกุห์ฟานหันมาหาพร้อมดวงตาของสัตว์ร้าย

    ร่างของพวกเขาถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยลำแสงที่ตัดไขว้กันเป็นตาข่ายทันทีที่กุห์ฟานกวาดมือเข้าใส่



    เมื่อได้สติอีกครั้ง กุห์ฟานก็พบแต่เพียงว่าตัวเขาคุกเข่าอยู่ท่ามกลางเศษเนื้อและกองเลือดเจิ่งนอง เสี้ยววินาทีที่เขาไม่ใช่ตัวเขา เรื่องราวทุกอย่างก็ดำเนินมาถึงจุดที่มิอาจหวนคืนได้อีก


    --------------------------------------------------------------------------------​



    กองไฟตรงหน้ายังคงคุโชนแผดเผาทุกอย่างที่มันสัมผัส


    “ไม่นึกว่าท่านจะทำสีหน้าอย่างอื่นไม่เป็นเสียอีก” อิเซเรียที่นั่งอยู่ตรงข้ามกองไฟเรียกสติของกุห์ฟานให้ตื่นจากภวังค์

    “ข้านึกว่าท่านไร้หัวใจไปแล้วเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนี้จะสู้กับ ‘อดีต’ คนสำคัญได้แน่รึ”
    “เจ้าแค่ทำสิ่งที่เจ้าต้องทำก็พอ ข้าจะเป็นอย่างไรไม่ต้องสนใจ” กุห์ฟานตอบกลับอิเซเรียแล้วลุกขึ้นยืน

    “ถ้าข้าตายไปก่อนเจ้า ก็คิดเสียว่าข้าเกิดมาอ่อนแอก็แล้วกัน”
    เขาเดินห่างออกไปเรื่อยๆยังเบื้องหน้าที่มีซากโบราณสถานทอดกายนอนในความมืด



    “เจ้ามามาเมื่อใด ข้าจะแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าสูญเสียไปกลับมาด้วยมือของข้าเอง อากิรอส”




    ไฟแห่งความแค้นที่แผดเผาจิตใจไม่อาจดับได้โดยง่าย คงมีเพียงความตายเท่านั้นที่จะช่วยปลดปล่อยเขาจากฝันร้ายในค่ำคืนอันมืดมิดและเหน็บหนาว



    To be continue…




    - คุยกันท้ายตอน –

    ยาวอีกแล้วครับสำหรับตอนนี้ อดีตอันแสนหวานและขมขื่นของกุห์ฟานคงจะช่วยเติมเต็มเรื่องราวส่วนที่เหลือได้บ้าง ผมว่าหลายคนคงคาดเดาฉากต่อไปได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในตอนหน้า

    ขอบคุณที่ติชมแนะนำและติดตามอ่านมาโดยตลอดครับ

    Azemag A.C. McDowell

  12. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ถ้าพิมพ์เป็นหนังสือตอนนี้ก็คงเป็นตอนพิเศษท้ายเล่มที่ช่วยเติมส่วนที่ขาดไปให้ครบ อ่านแล้วได้อารมณ์ของตัวละครดีมากเลยล่ะ >_<

    แต่จริงๆเหมือนจะยังขาดเนื้อหาบางส่วนไปแฮะ น่าจะเป็นเรื่องของเบลกับอากิที่กูห์ฟานยังไม่รู้ล่ะมั้ง เรื่องนี้กว่าจะรู้ก็คงจบศึกระหว่างอากิกับกูห์ฟานเรียบร้อยไปละ
  13. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    มาลงชื่อว่าอ่านแล้วไม่มีคอมเม้น เพราะไม่มีอะไรที่มันสะดุดซักเท่าไรทุกอย่างกลับมาOK แล้วล่ะ
  14. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    อา ค่อยยังชั่ว
    เป็นบทเติมเต็มของกุห์ฟาน ทำให้อารมณ์ที่ขาดหายไปในตอน 17 ได้กลับมาในที่สุด

    การบรรยายเป็น shot แบบนี้ อาเซทำได้ดีนะ พอเข้าบทสนทนาซีเรียส หรือบทที่ต้องใช้ภาษายาวๆทีไร แป้กประจำ รู้จุดเด่นของตัวเองแล้วใช่ไหม
    อย่างเปิดมาเห็นหมู่บ้านถูกเผา กุห์ฟานจมอยู่ในกองเพลิง เป็นฉากสั้นๆ แต่ผมว่าอารมณืสุดยอดมาก ภาพกองไฟลุกท่วมนี่ขึ้นมาในหัวเลย
    เด่นที่สุดก็ช่วงที่กล่าวถึงการจากไปของซันนี่ อารมณ์ตอนนั้นไม่ต้องบรรยายอะไรมากเลย แต่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น!
    บทตัดฉากฉับๆ แต่ไม่ถือว่ารีบร้อน เพราะเป็นภาพในความทรงจำของกุห์ฟาน จะไปคิดอะไรละเอียดคงไม่ได้
    -- ว่าแต่ซันนี่นี่มันชื่อผู้ชายนะ... Orz

    ไม่รู้จะติงอะไรจริงๆ อย่าโกรธกันเลยที่เม้นท์สั้น ควรจะดีใจที่มันลงตัวแล้วเถอะ
    แต่มีจุดนึงที่ผมอ่านแล้วสะดุดนิดๆ

    “ความโกรธไม่ได้สร้างสิ่งใด แต่จะพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเจ้าแม้แต่ตัวเจ้าเอง – จำไว้นะ กุห์ฟาน”

    ปรับเป็นภาษาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอีกนิด มันจะดูซึ้งมากเลยครับ = =b
    คือมันฟังดูเหมือนคำคมที่จำมาจากไหนสักแห่งทั้งท่อนอ่ะนะ (ในความรู้สึกผมเอง อาเซอาจจะไม่ได้เอามาจากไหนหรอก)

    เสียอีกอย่างคือตอนท้าย อากัปกริยากุห์ฟานไม่สมเป็นตัวร้ายเลย ไม่รู้สิ ผมอ่านคำว่า "ลุกขึ้นยืน" แล้ว เหมือนกับนักเดินทางสองคนนั่งพักกัน คิดถึงอดีตกันมากกว่า
    เป็นอะไรที่เล็กๆน้อยๆนะ แต่มันให้ภาพแบบนั้นจริงๆ
    กุห์ฟานในภาพผมน่าจะสง่าและแข็งขึงกว่านี้ครับ

    ติดตามอ่านตอนต่อไป....
    ปล. นี่ตรูเม้นท์สั้นแล้วนะ
  15. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    นั่นเป็นส่วนที่เขียนยากที่สุดเลยละเหมือนที่บอกไว้ก่อนจะลงตอนที่ 17 ว่า อยากจะเขียนส่วนของเบลลานี่เหมือนกัน
    แต่ผมเขียนในมุมของผู้หญิงไม่เก่ง พล็อตส่วนนี้มีแต่เขียนยังไม่ดีครับ (ฮา)

    มีโอกาสจะพยายามๆเขียนสื่อสารความในใจของเบลลานี่ออกมาดูบ้างละกัน ตอนที่ 18 นี้ก็แง้มมาหน่อยๆแล้ว

    บ๊ะ...

    นี่ขนาดเมนต์สั้นยังยาวไม่น้อยไปกว่าของเก่าเลย = =;

    พยายามปรับปรุงในส่วนของการดำเนินเรื่องให้ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป แทรกอารมณ์และพฤติกรรมของตัวละครไว้บ้างครับ
    เทียบกับตอนแรกๆ ส่วนตัวก็ชอบแบบครึ่งหลังนี้เหมือนกัน เดี๋ยว rewrite ver. ออกมาคงได้เห็นกันว่ามันจะไปในทิศทางไหน

    ซันนี่ - เป็นชื่อผู้หญิงก็มีครับ มีหลายคนด้วย (-.-")

    ตอนนั้นพยายามทำให้เห็นว่ากุห์ฟานก็ยังเหลือด้านที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ยังมีความทรงจำ ความผูกพันหลงเหลือ มีช่วงเวลาอ่อนแอ
    ถึงขนาดเผลอตัวปล่อยให้อิเซเรียมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัวเลย

    แต่จะลองไปคิดการบรรยายหรือสถานการณ์ที่ดีกว่านี้เอาไว้ละกัน

    ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์มากครับ จะพยายามเขียนให้สนุกและน่าติดตามอ่านมากกว่านี้ไปเรื่อยๆ
    Azemag A.C. McDowell
  16. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 18




    แสงสีทองผ่องอำไพของพระอาทิตย์ยามเช้าช่วยแต่งเติมโลกนี้ให้งดงาม ใบหญ้ายาวเขียวสดที่ลดตัวลงนอนราบกับพื้นเริ่มชูชันตั้งหลักขึ้นใหม่ สายลมสดใสพัดโฉบทั้งป่าให้ตื่นขึ้นรับรุ่งอรุณ ต้นไม้ขี้เซาบิดตัวโยกเยกไปมาแล้วยืดตัวตรงชูกิ่งก้านพรึบพรับ



    “เอ้า! เดินเร็วหน่อย ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าสมกับเป็นคนหนุ่มคนสาวหน่อยสิ”
    มาเรียตะโกนมาจากด้านหลังพร้อมเสียงสะบัดแส้กระแทกอากาศดังเปรี้ยงไม่ต่างจากโคบาลต้อนฝูงวัว

    “ไม่ต้องเดินเองก็พูดได้สิขอรับ” ทากะตอบเธอกลับ แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังแบกมาเรียไว้บนหลัง

    “แหม ก็ข้าเป็นสาวน้อยบอบบางแถมยังอ่อนแอแล้วก็บาดเจ็บหนักอีกด้วยนะ”

    เธอสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดาหน้าตายิ้มแย้ม แต่มือขวาจิกเนื้อที่ไหล่ของทากะเต็มแรง

    “ดูท่าอาการเจ้าดีขึ้นมากแล้วนะ มาเรีย” เทรนที่เดินอยู่ข้างหน้าหันมาถาม

    “เกือบจะเป็นปกติแล้วละ แต่เมื่อครู่ที่ลองสะบัดแส้ก็ยังเจ็บๆอยู่นะ” คนที่ถูกถามตอบกลับไป
    “แต่ถ้าจะห่วงข้า ห่วงสองคนข้างหน้านั่นดีกว่ามั้ง”


    มาเรียเบ้หน้าไปทางอากิรอสและเบลลานี่ สามวันมานี้สองคนนั้นเงียบขรึมเป็นคนละคน รอยยิ้มสดใสหายไปจากใบหน้าของจอมเวทสาว ในขณะเดียวกันความทะเล้นทะลึ่งของจอมเวทหนุ่มก็อันตรธานไปด้วยเช่นกัน


    “ก็มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในอดีตนี่นา ช่วยไม่ได้หรอก” เทรนถอนหายใจ


    “อาคิราเมะ วะ โคโคโระ โนะ โยวโจว” ทากะแทรกจังหวะสองสาว “การหักห้ามใจคือการรักษาบาดแผลใจ นี่เป็นคำสอนโบราณในอาณาจักรของข้าน้อย”

    “มาบอกข้าทำไม ไม่ไปบอกสองคนนั่นละ” มาเรียบอกแล้วขยี้ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วให้ยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก

    “ข้าน้อยมิบังอาจสอนพญาเหยี่ยวให้โผบินหรอกขอรับ” ทากะตอบเธอ หลับตาลงยิ้มเล็กน้อย

    “สองคนนั่นรู้อยู่แล้วว่าต้องทำสิ่งใด” คราวนี้อเซแมกพูดขึ้นบ้าง
    “ทุกคนมีช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต และก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะต้องก้าวข้ามให้ได้”



    สองเท้ายังคงขยับพาร่างกายให้รุดไป สายตามองทอดไปไกลยังเบื้องหน้า หากแต่บัดนี้ในจิตใจของพวกเขาไปอยู่ ณ ที่ใดก็คงไม่มีใครล่วงรู้ได้



    --------------------------------------------------------------------------------




    เดินทางมานานย่อมต้องเหนื่อยต้องล้าอ่อนแรงและอีกไม่ไกลก็ใกล้จะถึงจุดหมายตามที่ไอแซคบอก อเซแมกจึงตัดสินใจพักให้เร็วและนานขึ้น เขาคาดการณ์ว่ากุห์ฟานที่ล่วงหน้ามาก่อนรอคอยที่จะตัดสินในศึกสุดท้ายกับอากิรอสให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วถึงไปเอาดอกไม้รุ้งสวรรค์ เขาเองก็คิดแผนการไว้เช่นนี้เช่นกัน


    และนั่นคือโอกาสเดียวที่เขายังมีโอกาสช่วงชิงดอกไม้วิเศษมาอยู่ฝั่งตนเอง




    แต่ก่อนอื่นเขาต้องตรวจสอบกำลังรบให้พร้อมก่อน แม้ว่าเขาจะหนักใจในทีท่าของสองจอมเวทแต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงเวลาแห่งการต่อสู้ทั้งสองจะกลับมาเป็นคนเดิมได้


    ทากะกับไอแซคย่อมไม่มีปัญหาเพราะพวกเขาอยู่สภาพพร้อมต่อสู้เต็มร้อย แต่มาเรียยังไม่หายขาดจากอาการบาดเจ็บ แต่จะให้ทั้งอากิและเบลเสียพลังเวทไปมากกว่านี้ไม่ได้เพราะพวกเขาเปรียบเสมือน ‘ไพ่คิง’ และ ‘ไพ่ควีน’ ที่สามารถรับมือกับ ‘ไพ่โจ๊กเกอร์’ อย่างกุห์ฟาน


    “เทรน เจ้าไปหาสมุนไพรมาหน่อย แถบนี้น่าจะยังพอหาได้อยู่” เขาสั่งการลูกศิษย์ทันทีที่คิดเสร็จ เธอลุกขึ้นไปจัดการทันที


    “แล้วก็... ระวังตัวด้วย” ผู้เป็นอาจารย์กำชับ ลูกศิษย์สาวหันมาพยักหน้ารับคำแล้วรีบไปทันที



    “ถ้าจำเป็นก็คงต้องใช้ ‘สิ่งนี้’ เท่านั้น”

    อเซแมกครุ่นคิดพลางจับสร้อยอัศวินเหยี่ยวสายฟ้าที่ได้รับมาจากปู่ของเขา




    ฉึก!

    เสียงธนูไม้ที่ถูกปล่อยออกจากคันศรของไอแซคพุ่งเฉี่ยวใบหูซ้ายอากิรอสปักทะลวงต้นไม้ที่เขาพิงหลัง ปลายธนูสั่นไหวอย่างแรงก่อนจะสงบลงจนนิ่งตรงในท้ายที่สุด


    “ทำไมถึงไม่หลบ” ไอแซคถาม มือขวาเอื้อมไปคีบลูกธนูมาพาดรั้งสายเตรียมยิงอีกครั้ง

    “หากคำตอบไม่น่าพอใจ ข้าจะสังหารเจ้าเสียตรงนี้”

    “กับลูกศรที่เชื่องช้าและไร้ความคิดสังหารข้าจะต้องหลบไปทำไม และอีกอย่างที่ท่านเล็งไว้ไม่ใช่กลางหน้าผากของข้าแต่เป็นแมลงตัวเล็กด้านหลังมิใช่หรอกหรือ”


    อากิรอสให้คำตอบ ไอแซคค่อยๆลดธนูลงและเก็บลูกศรกลับที่เดิม




    “นึกว่าเจ้าจะตายไปตั้งแต่เมื่อสามวันที่แล้วเสียอีก” ไอแซคเดินมายืนตรงหน้าเขา

    “หากข้าตายไปแล้ว ใครกันที่กำลังพูดกับเจ้า” อากิรอสเริ่มตอบโต้แบบยียวน
    “ยังปากดีแบบนี้ก็คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วสินะ” เอลฟ์หนุ่มขานคำคืนกลับไป
    “เป็นห่วง? สงสัยวันนี้หิมะจะได้ตกหนักกลางหุบเขามรณะแน่ๆเลย”


    จอมเวทผมดำแหงนหน้ามองท้องฟ้า มือขวาชูขึ้นเหนือหัวแล้วปลดปล่อยพลังเวทออกมา ครู่เดียวเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆก็โปรยปรายลงมาช้าๆ





    “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

    จู่ๆอากิรอสระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เขาหัวเราะคนเดียวอยู่นานพักใหญ่


    “เป็นบ้าอะไรของเจ้า หา?” มาเรียที่นั่งอยู่ไม่ไกลตวาดใส่

    “แบบนี้ค่อยสมกับเป็นอากิรอสนะขอรับ” ทากะเหลือบมามองและบอกกับเขา
    “อะไรกันท่านนักดาบพเนจร แม้แต่ท่านก็คิดว่าข้าเปลี่ยนไป” อากิหันมาตอบ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้ใจในความคิดของอีกฝ่าย

    สักพักสามหนุ่มจากสามอาณาจักรก็หัวเราะช้าๆและเริ่มดังขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


    “ให้ตายสิ ปัญญาอ่อนกันทั้งนั้นเลย”

    มาเรียส่ายหัว ถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆแต่ก็แอบยิ้มที่มุมปาก เบลลานี่อดรนทนไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาไปกับพวกเขา อเซแมกที่นั่งดูอยู่ไม่ไกลก็ส่ายหัวเราะเบาๆในลำคอ




    “ข้ากลับมาแล้ว อ้าว!” เทรนกลับมาเห็นทุกคนหัวเราะไม่หยุดก็งงเป็นไก่ตาแตก


    เธอเดินเข้าไปร่วมวงกับทุกคน “เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย”



    “ก็คนนำทางของพวกเราบอกว่าเป็นห่วงข้า แล้วจะไม่ให้ขำได้ยังไงกัน ฮ่าๆๆ” อากิตอบไปหัวเราะไป

    “แล้วไม่ดีรึไงกัน?” เทรนถามกลับ เริ่มจะยิ้มตามทุกคนที่ยังหัวเราะไม่หยุด
    “ก็ถ้าไม่ใช่เรื่องดีจะหัวเราะกันแบบนี้หรือขอรับ” ทากะเป็นฝ่ายให้คำตอบ

    ทั้งสามยิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก



    “โว๊ย พอได้แล้ว หนวกหู!”

    มาเรียถีบผัวะเข้ากลางหลังอากิแล้วตบหัวทากะไปอีกหนึ่งฉาดใหญ่



    “ดีเลย งั้นข้าจะบอกเรื่องดีๆให้ฟังบ้าง” เทรนบอกด้วยน้ำเสียงเริงร่าซึ่งก็ดึงความสนใจของทุกคนได้


    “ข้าได้ยินเสียงน้ำไหล พอเดินไปอีกหน่อยเจอน้ำตกตรงโน้นเข้าละ!!” นักดาบสาวบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
    “น้ำตก!” เบลกับมาเรียลลุกขึ้นยืนและพูดออกมาพร้อมกัน สีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด


    มาเรียลากข้อมือเทรนไปทันที เบลฉวยข้อมืออีกข้างแทบจะพร้อมกัน


    “เจ้านำไปเลย เร็วๆด้วย” จอมเวทสาวผลักหลังนักดาบหญิงตรงหน้าราวกับจะอดใจรอไม่ไหว
    “นี่! พวกเจ้าจะหัวเราะกันอีกนานไหม ถ้าว่างก็มาช่วยดูต้นทางให้ไม่เป็นเรอะ” มาเรียเท้าสะเอวบ่นใส่หนุ่มๆ

    “กลางป่ากลางเขาแบบนี้ถ้าจะมีใครมาแอบดูก็คงมีแต่ ‘ไอ้บ้า’ เท่านั้นแหละ”


    เบลหันไปมองทางอากิ ทำให้ทุกคนหันไปมองตามทันที



    “ใครจะไปอยากดูอกแบนๆของเจ้ากั... โอ๊ย!”

    ไม่ทันที่อากิพูดจบประโยคก็โดนเบลเขวี้ยงถุงใส่หินมนตราเข้าเต็มๆหน้า

    “ไปกันเถอะ” เทรนบอกแล้ววิ่งลากทั้งสองสาวไปพร้อมกันทันที

    “เฮ้อ ผู้หญิงก็ยังงี้ละน๊า พูดเรื่องหน้าอกหน้าใจละเป็นไม่ได้เลย” อากิรอสยกมือขึ้นจับจมูกตัวเอง
    “ทีหลังก็อย่าแซวอย่างนี้สิ” อเซแมกตบไหล่เขาแล้วดันให้ออกเดินตามกลุ่มสาวๆไป

    เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งกลางพงไพรกว้างใหญ่ที่เงียบเชียบมาเนิ่นนาน


    --------------------------------------------------------------------------------




    หน้าผาหินสูงชันตั้งฉากกับผืนดินและผืนฟ้า สายน้ำกว้างร่วงหล่นลงเบื้องล่าง ลำธารใหญ่ไหลลัดเลาะไปตามขอบหน้าผาและช่องว่างของโขดหิน ละอองน้ำหยดน้อยในอากาศสะท้อนแสงกลายเป็นแนวสายรุ้งพาดผ่านแต่งเติมเสริมให้ท้องฟ้าสีครามงดงามมากขึ้น



    สามสาวปลดเปลื้องอาภรณ์ออกเหลือเพียงผ้าผืนน้อยพันกายปิดซ่อนเนินเนื้ออวบอูม ผิวขาวเรียบเนียนถูกขัดล้างเหงื่อไคลจนผุดผ่องสะอาดใส ปลายผมสลวยสยายไปกับผืนน้ำเย็นสดชื่น แก้มที่เปรอะเปื้อนฝุ่นดินกลับมาเปล่งปลั่งเป็นสีแดงเรื่อๆชวนมอง





    “น้ำเย็นดีจังเลย” เบลวักน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตา

    “ไม่ได้อาบน้ำมานานตั้งแต่ออกจากเมืองเอลฟ์แน่ะ” เทรนดำผุดดำว่ายกับสายน้ำที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง
    “นี่! ห้ามแอบมองกันนะ เข้าใจไหม” มาเรียนั่งแช่น้ำขัดตัวตะโกนบอกไปอีกฝั่งที่อีกสี่หนุ่มเฝ้าทางอยู่



    เทรนดำน้ำขึ้นมาโผล่ด้านหลังเบลลานี่แล้วรวบกอดเธอ


    “ท่านเบลตัวนิ่มจัง ผิวก็เนี๊ยนเนียน” เทรนซุกหน้าลงนาบกับแผ่นหลังขาวของเธอ
    “มันจั๊กกะจี้นะ” เบลพยายามหยุดมือของเทรนที่เกาะแกะแถวๆเอวของเธอ

    มาเรียสอดมือใต้น้ำแล้วบีบมือแรงๆ สายน้ำพุ่งออกจากมือเข้าเต็มหน้าของจอมเวทสาว

    “อ๊ะ! แกล้งกันเหรอ นี่แน่ะ” เบลนาลี่วักน้ำสาดคืน เทรนก็ไม่น้อยหน้าช่วยวิดน้ำใส่มาเรียเป็นการใหญ่


    สามสาวหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน มีเพียงช่วงเวลาเช่นนี้เท่านั้นที่พวกเธอสามารถผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่





    เสียงหัวเราะเฮฮาดังเข้าหูสองหนุ่มที่ยืนพิงหลังกับต้นไม้ไม่ไกลจากบริเวณที่สาวๆลงเล่นน้ำมากนัก ส่วนทากะและไอแซคไปอยู่ที่ปลายน้ำ


    “ข้าก็อยากแช่น้ำเย็นๆบ้างนะ” อากิรอสบ่นๆเมื่อได้ยินเสียงวี้ดว้ายของสาวๆ
    “เจ้าก็ไปแช่น้ำสิ ไม่มีใครห้ามสักหน่อย” อเซแมกตอบกลับ
    “ข้ายังไม่อยากอายุสั้นหรอกนะ”
    “คนอย่างอากิรอสก็กลัวความตายเหมือนกันหรือนี่” นักดาบหนุ่มได้ทีพูดแหย่เขา




    กลางสายธารใหญ่ สามสาวยังคงเพลิดเพลินและดื่มด่ำกับสายน้ำสดชื่นให้ชุ่มฉ่ำอุรา


    “นี่ท่านเบล” เทรนเรียกถามสาวจอมเวท “ท่านจะสู้กับ ‘คนนั้น’ จริงเหรอ?”
    เบลลานี่ชะงักมือที่กำลังลูบไล้ผมสีน้ำตาลที่เปียกชุ่ม มาเรียเหลือบมองสังเกตอาการของเธอ

    “ข้ารู้ว่าไม่ควรถามตอนนี้ แต่ว่า... แต่ว่าข้า...” เทรนหลับตาก้มหน้าท่าทางหนักใจ


    สองแขนของจอมเวทสาวกอดประคองเทรนอย่างนุ่มนวล เบลลานี่ดันศีรษะของอีกฝ่ายให้แนบแน่นกับหน้าอกของเธอ


    “ขอบใจนะที่เจ้าเป็นห่วง” เบลเอ่ยถ้อยคำความรู้สึกของเธอออกมา

    “ถึงจะลำบากใจแค่ไหน แต่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความเอาแต่ใจของตัวข้าเอง ข้าจะต้องสะสางทุกเรื่องราวให้จบ แม้ว่ามันจะทรมานจิตใจแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องเผชิญหน้าและก้าวผ่านมันไปให้ได้ ข้าจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว”


    สองแขนโอบรัดอีกฝั่งแน่นขึ้น เทรนก็กอดเธอกลับเช่นกัน



    “จบเรื่องนี้แล้วท่านต้องพาข้าไปดูอาณาจักรของท่าน สัญญานะ” นักดาบสาวเอ่ยขึ้นในอ้อมอก


    เบลลานี่แย้มยิ้มที่เปี่ยมด้วยความสุข เธอรู้ดีในความหมายที่เทรนจะสื่อ

    “ได้สิ ถึงตอนนั้นข้าจะสอนมนตราสนุกๆให้เจ้าเอง”
    “อื้ม! ข้าจะรอนะ”


    เทรนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม สองสาวกอดกันกลมกลางสายน้ำ มาเรียยิ้มน้อยๆกับเธอทั้งสองแล้วโผตัวกระโดดกอดพวกเธอ เสียงมวลน้ำกระจายพร้อมกับเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง



    --------------------------------------------------------------------------------




    เมื่อสาวสามเสร็จสิ้นการอาบน้ำแล้วก็จัดแจงแต่งกายแล้วผลัดเปลี่ยนให้บรรดาชายหนุ่มลงไปล้างตัวกันบ้าง หลังจากที่ชายหนุ่มจัดการธุระและเตรียมตัวพร้อมแล้ว ไอแซคเสนอให้ขยับจุดพักแรมไปที่ข้างหน้าที่เป็นทุ่งหญ้าเล็กๆก่อนจะถึงหุบเขาสุดท้าย อเซแมกเห็นด้วยเพราะง่ายต่อการจับการเคลื่อนไหวของศัตรูด้านหน้าและระวังพวกอสูรจากด้านหลังแค่เพียงทิศเดียว



    ดวงอาทิตย์ขยับโคจรเยื้องต่ำลง ทุกคนเอนกายพิงต้นไม้ที่ชายป่ารับลมเย็นจากทุ่งโล่งกว้างตรงหน้า หน้าผาสูงตระหง่านทอดตัวขวางเป็นกำแพงสุดท้ายของการเดินทาง



    ฟันเฟืองเวลาหมุนไปตามปกติของมัน แต่เมื่อมนุษย์มีสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้ามักจะรู้สึกว่าฟันเฟืองนั้นหมุนช้ากว่าปกติ เวลาหนึ่งชั่วโมงแต่ในความรู้สึกกลับเหมือนเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งนาที





    ทากะนั่งนิ่งเหม่อลอยเหมือนเช่นเคย ส่วนมาเรียก็ง่วนอยู่กับการปรับแต่งปืนคู่ใจอยู่ข้างๆเขา


    เบลลานี่ซบพิงไหล่อากิรอสต่างหมอนเอนนอนพักกาย

    ไอแซคยืนจับจ้องไปยังจุดหมายเบื้องหน้า ในใจหวนนึกถึงคำสั่งของผู้เป็นนายที่ให้ออกมาสัมผัสกับโลกภายนอกและเรียนรู้มนุษย์

    คู่ของอาจารย์หนุ่มและลูกศิษย์สาวกำลังฝึกซ้อมเชิงดาบโดยใช้กิ่งไม้แทนอาวุธ




    “เอ้า! พอได้” อเซแมกบอกกับเทรน

    “ขอบคุณค่ะ อาจารย์” เทรนขานคำและก้มหัวทำความเคารพเฉกเช่นทุกครั้งที่ฝึกเสร็จ
    “ท่วงท่าของเจ้าเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ”
    “ตอนอยู่ที่อาณาจักรของชาวเอลฟ์ หลังจากที่ข้าหายป่วยแล้วก็ขอให้พวกเคเมนช่วยฝึกวิชาให้”
    “อย่างนั้นรึ” เขานั่งลงพิงต้นไม้หยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม

    “ข้ารู้ว่าตัวเองยังไม่เอาไหน ตอนสู้กับไบท์ก็บาดเจ็บ พอเข้าหุบเขามรณะแล้วก็ยังไม่สบายอีก ข้าไม่อยากเป็นภาระให้กับใคร” เทรนบอกกับผู้เป็นอาจารย์อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่


    อเซแมกมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นแล้วหวนนึกถึงครั้งที่เธอขอให้สอนวิชาดาบครั้งแรก วันวานกับวันนี้ห่างกันร่วมสิบเจ็ดปีแต่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป ความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอยังคงเป็นเช่นเดิม







    จู่ๆลมก็กรรโชกเข้าใส่อย่างรุนแรงโดยไม่มีเค้าลางบอกล่วงหน้า ทุกคนสัมผัสได้ถึง ‘บางสิ่ง’ ที่สายลมหอบเข้ามาพร้อมกัน


    ความรู้สึกสะอิดสะเอียน ความคิดที่ไม่เป็นมิตร จิตสังหารฆ่าฟัน พลังเวทที่มากล้นราวกับคลื่นถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดยั้ง



    ทากะ มาเรีย อากิรอส เบลลานี่ลุกขึ้นไปสมทบกับไอแซคและอเซแมกทันทีที่สายลมลูกแรกเข้าปะทะ เงาร่างของ ‘ชายคนหนึ่ง’ เดินมาจากอีกฟากของทุ่งหญ้าเขียวขจี



    “มาไวเกินคาดแฮะ” อเซแมกมองเห็นเงาร่างนั้นก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร

    “เทรน เตรียมตัวให้พร้อมนะ” ผู้เป็นอาจารย์บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลูกศิษย์สาวพยักหน้ารับและกระชับด้ามดาบแน่นเตรียมพร้อมไว้

    “นี่น่ะรึคนที่ชื่อกุห์ฟาน พลังมนตรากล้าแกร่งไม่เบาทีเดียว” ไอแซคประเมินจากสิ่งที่เขาสัมผัสได้
    “แต่ก็เลือดเย็นและโหดเหี้ยมไม่เบาเช่นกัน”



    เมื่อสายลมระลอกที่สองที่รุนแรงกว่าเดิมเข้าปะทะ สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้นกับเบลลานี่



    เธอทรุดกายลงนั่งกับพื้นหญ้า ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงและยกมือขึ้นกุมศีรษะซีกขวา สีหน้าเจ็บปวดทรมานอย่างมาก อากิรอสรุดเข้ามาดูอาการทันที ดึงมือของเธอออก


    สัญลักษณ์มนตราปรากฏอยู่บนแก้มของเธอ พลังเวทสีดำแทรกอยู่ใต้ผิวขาวผ่องและค่อยๆขยายวงออกเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งลามขึ้นบนใบหูไปแล้ว



    “นี่มันตั้งแต่เมื่อไรกัน!!?”


    อากิรอสหวนนึกถึงการต่อสู้เมื่อครั้งก่อนที่เบลลานี่ถูกกุห์ฟานหอมแก้มก่อนที่เขาจะหนีหายไป



    “บ้าเอ๊ย!”


    เขาสบถแล้วประสานมนตราที่มือเพื่อจะลบล้างมนตราของอีกฝ่าย แต่เบลลานี่ฉวยข้อมือของเขาไว้แล้วส่ายหน้าแทนคำพูดว่า ‘ไม่มีประโยชน์’ น้ำตารินไหลอาบแก้มด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากเผยอสั่นพยายามจะพูดแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา


    เงาร่างของอีกฝ่ายเดินเข้าใกล้เรื่อยๆจนพอมองเห็นได้ว่าเป็นบุรุษผมสีแดงร่างสูงโปร่ง เสื้อสีขาวทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มแขนยาวเป็นมันสะท้อนแสง สัญลักษณ์ดาวหกแฉกสองดวงปักบนปกคอเสื้อแข็ง สองมือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงขาวยาวสีดำสนิท ผ้าคลุมสีดำพลิ้วไหวตามลมสะบัด



    ‘กุห์ฟาน รีส ริยาส’



    อากิรอสเห็นก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือชุดนักเรียนโรงเรียนมนตราของอาณาจักรเวนเนฟิคุส ชุดที่เขาเห็นกุห์ฟานใส่ครั้งสุดท้ายในวันที่เกิด ‘โศกนาฏกรรม’





    “สวัสดียามบ่ายทุกท่าน” กุห์ฟานหยุดยืนห่างไปประมาณสิบห้าเมตร ยกมือขวาขึ้นแนบอกแล้วค้อมตัวลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ


    “ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อถามให้แน่ใจว่าพวกท่านเองก็มีจุดประสงค์เดียวกันกับข้าซึ่งก็คือ ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’ ใช่หรือไม่” กุห์ฟานเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

    “หากคำตอบคือ ‘ไม่’ เหมือนที่ข้าคิดก็คงดีสินะ” จิตต่อสู้พลุ่งพล่านออกมาจากน้ำเสียงที่เย็นเรียบ




    “กุห์ฟานนนนนนนนนน!!”

    อากิรอสพุ่งเข้าอย่างลืมตัวด้วยโทสะที่ทะลักล้นในใจ แต่อเซแมกและทากะเข้ามาขวางหยุดเขาเพราะเตรียมตัวรับมือเหตุการณ์เช่นนี้ไว้ก่อนแล้ว

    “ใจเย็นๆขอรับ” ทากะรั้งตัวอากิรอสที่กำลังเลือดขึ้นหน้าให้ถอยกลับไป จอมเวทเลือดร้อนขบกรามแน่นจ้องอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ




    อเซแมกเดินออกสามก้าวแล้วหยุดมองอีกฝ่าย

    “เจ้าทำอะไรกับเบลลานี่”

    “ข้าเป็นฝ่ายถามก่อนแท้ๆ แต่ก็เอาเถอะ” กุห์ฟานจ้องกลับมายังอเซแมก

    “ซิกิลี เรเก อิเฟนิ” (ตราประทับแห่งราชานรก)

    “นั่นคือชื่อของวิชาที่ข้าใช้กับเบลานี่เมื่อครั้งก่อน ผลของมันก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก พลังมนตราของข้าฝังอยู่ในตัวของเธอเพื่อรอเวลาทำงานซึ่งก็คือตอนนี้ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ - อากิรอส จงอย่าฝืนดึงดันจะทำลายมนตราของข้า มิฉะนั้นอาจเป็นการเร่งให้ ‘คนรักของข้า’ เดินเข้าหาความตายเร็วขึ้น”


    “เจ้า!!” อากิรอสคำรามพร้อมจะขยับเข้าหาแต่อเซแมกยกมือขวาห้ามเอาไว้ก่อน


    “ท่านต้องการสิ่งใด” นักดาบหลายชายเหยี่ยวสายฟ้าถาม แววตาจับจ้องไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่าย

    “ก่อนอื่นท่านต้องตอบคำถามของข้าก่อนว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ ที่พวกท่านต้องการดอกไม้เจ็ดสี”
    กุห์ฟานยังคงยืนยันคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบของตัวเอง

    “พวกข้าต้องการดอกไม้เจ็ดสี” อเซแมกตอบไปตามตรง

    “ถ้าอย่างนั้น... นี่คือการเจรจา เพราะข้าเองก็มุ่งหวังในดอกไม้เจ็ดสีแต่ก็ไม่อยากให้เกิดการเข่นฆ่าโดยไม่จำเป็น” กุห์ฟานไม่ใช้คำว่า ‘ต่อสู้’ แต่ใช้คำว่า ‘เข่นฆ่า’ เพื่อกดดันอีกฝ่าย

    หนึ่ง – ท่านถอยหลังกลับไปตัดใจจากดอกไม้แล้วข้าจะปลดมนตราจากเบลลานี่”
    สอง – ข้ายอมตัดใจเรื่องดอกไม้วิเศษแต่เบลลานี่ต้องไปกับข้า”

    กุห์ฟานยื่นข้อเสนอ

    “สามคือฆ่าเจ้าแล้วค่อยไปเอาดอกไม้วิเศษ”
    อเซแมกปราดเข้าหากุห์ฟานในพริบตา ดาบถูกกระชากตัดเฉียงลำตัวของอีกฝ่ายจากล่างขึ้นบน




    “เพล้ง!!”


    เสียงของกระจกแตกพร้อมกับรอยร้าวของอากาศเบื้องหน้าแล้วระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สายลมที่น่ารังเกียจเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง

    “ได้ยินอยู่สินะ? ถ้าคิดจะมาต่อรองอีก คราวหน้าขอให้เดินมายืนต่อหน้าข้าตัวเป็นๆนะ”
    อเซแมกตะโกนไปเบื้องหน้า

    “ถ้าคำตอบของท่านคือ ‘สาม’ ก็คงไม่มีสิ่งใดต้องต่อรอง ข้าจะรอคอยให้ท่านมาทำสิ่งที่ท่านพูดไว้ ณ โบราณสถานที่เชื่อมต่อไปยังดอกไม้เจ็ดสี ข้าให้เวลาสำหรับเบลลานี่ยี่สิบสี่ชั่วโมง”

    “แต่ว่า...ข้าอาจเปลี่ยนใจทุกเมื่อก็ได้ หึหึหึหึ”

    เสียงของกุห์ฟานตอบกลับมาจากเวิ้งว้างแห่งความว่างเปล่า เสียงหัวเราะจางลงและหายไปในที่สุด




    “โธ่เว้ย!” อากิรอสสะบัดตัวเองหลุดจากการจับของทากะแล้วทำท่าจะออกวิ่งไปข้ามทุ่งหญ้าไป



    บึ้ก! ผัวะ!


    ปลายดาบของอเซแมกกระทุ้งเข้าที่สีข้างของอากิรอสพร้อมๆกับปลายดาบของทากะฟาดเข้าที่หัวเข่า จากนั้นดาบทั้งสองเล่มก็พาดไขว้กดต้นคอของเขาและกดให้คุกเข่าลง


    “ข้าน้อยบอกว่าให้ใจเย็นยังไงละขอรับ”

    “เจ้าจะวิ่งไปไหนกัน? เอาชีวิตไปทิ้งแล้วปล่อยให้ผู้หญิงคนสำคัญของตัวเองตายอยู่ข้างหลังอย่างนั้นเหรอ”


    คำพูดแรงๆกระแทกสติของเขาให้คืนกลับมา เขาหันไปมองเบลลานี่ที่บัดนี้ถูกพลังมนตราสีดำกลืนกินไปทั้งใบหน้าและหมดสติไปแล้วในอ้อมประคองของเทรนและมาเรีย





    “ดูเหมือนมนตราของข้าจะยับยั้งมนตราของเขาได้บ้างนะ แต่ก็ยื้อได้ไม่นานหรอกนะ” ไอแซคบอกด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมๆกับถ่ายทอดพลังมนตราให้เบลลานี่


    “เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะให้ทุกคนได้พักในคืนนี้ให้เต็มที่เพราะยังไงเสียก็หลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ แต่ข้านึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะชิงลงมือก่อน” อเซแมกบอกกับทุกคน

    “โดนอีกฝั่งตลบกระดานแบบนี้จะทำยังไงดีละขอรับ” ทากะถามพร้อมกับพยุงอากิรอสให้ลุกขึ้น เขารีบเข้าไปดูอาการของเบลลานี่ทันที


    อเซแมกครุ่นคิดอย่างหนัก สีหน้าแววตาส่อวิตกกังวลเต็มที่






    “ลุยกันเถอะอาจารย์”


    เทรนเดินเข้ามาบอก สีหน้าขึงขังเพราะความโกรธแต่แววตาแจ่มใสเป็นประกายไม่ขุ่นมัวไม่ถูกครอบงำด้วยโทสะแม้แต่น้อย นักดาบพเนจรจากอาณาจักรมายาพยักหน้าเห็นด้วย ไอแซคก็เช่นกัน

    “งั้นก็จัดการเรื่องนี้ให้จบๆไปเลยดีกว่า ข้าเองก็อยากกลับหมู่บ้านเต็มแก่แล้ว”

    ไอแซควิ่งนำทาง ตามมาด้วยอเซแมกและเทรน อากิรอสให้เบลลานี่ขึ้นขี่หลังมาเป็นลำดับที่สี่ ทากะและมาเรียปิดท้ายขบวนตามมา เจ็ดชีวิตวิ่งมุ่งหน้าข้ามทุ่งหญ้าเพื่อเข้าสู่ศึกตัดสินสุดท้ายที่เดิมพันด้วยอนาคตของทุกคน



    To be continue…


    --------------------------------------------------------------------------------




    - คุยกันท้ายตอน –

    สำหรับตอนที่สิบแปด เขียนไปก็เช็ดเลือดกำเดาไปกับฉากเล่นน้ำแถวๆน้ำตก *แฮ่กๆๆๆ*
    เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากครับ แต่ตอนต่อไปๆจะเข้าบทแอคชั่นเต็มตัวแล้ว รบกวนติดตามกันด้วยนะครับ อีกไม่นานแล้ว (^ ^ )

    ปล. หากใครทราบว่าสุภาษิตญี่ปุ่นด้านบนผิดพลาดช่วยบอกด้วยนะครับ อันนี้หามาก็ไม่แน่ใจเท่าไรเหมือนกัน

    Azemag A.C. McDowell
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  17. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตรงที่เปรียบเปรยว่าเวลา 1 ชม. กลับรู้สึกเหมือน 1 นาที ผมว่ามันไม่ใช่การเปรียบเปรียบกับการรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้านะ (แต่มันตรงข้ามเลยว่ามันควรจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวซะมากกว่า)

    จุดที่เห็นผิดสังเกตใหญ่ๆก็มีแค่นี้ล่ะฮะ
  18. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โว๊ะมาไวและต่อเนื่องมันเค้าโค้งสุดท้ายแล้วสินะ จังหวะหลายๆอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วสหาย ขอฉากตีกันอลังๆหน่อยนะเอ้อฮ่าๆ
  19. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ชอบบทนี้ที่สุดในสี่ถึงห้าตอนที่ผ่านมา...

    การดำเนินเนื้อเรื่อง การบรรยาย และการสื่อความคิดของตัวละคร ลงตัวดีกว่าตอนที่ผ่าน ๆ มามาก...

    อ่านแล้วก็ลุ้นเนื้อเรื่องอย่างใจจดใจจ่อมาก รีบ ๆ ปั่นตอนใหม่มาลงได้แล้ว... แต่อย่ารีบมากจนสำนวนการเขียนเพี้ยนอีกล่ะ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆ
  20. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    เบล!!! เบลตกอยู่ในอันตรายซะแล้ว!
    ตอนนี้อ่านสนุกจริงๆก็ตรงนี้แหละ โดยเฉพาะไอ้เวทย์มนตร์โหดๆ แบบนี้ แล้วมาเล่นกับเบลอีก!
    ไอ้อะไรที่ว่าจะยั้งไว้ก็ยั้งไม่ได้แล้วสินะ

    ชอบบทแข่งกันหัวเราะของพวกผู้ชาย ดูบ้าบอได้ใจมาก แต่ก็สมกับแต่ละคนแล้ว (ตอนอ่านไม่มั่นใจไอแซคพลอยบ้ากับมันไปด้วยรึเปล่า)
    แล้วท่านก็พยายามใส่บทมิตรภาพลูกผู้ชายระหว่างอากิรอสและไอแซคจนได้ หึหึ - -+ (แต่มันก็โอเค ไม่ได้ Y อะไรนักหรอก)
    รอบนี้อาเซแม็กโชว์เท่พอสมควรตอนปรามอากิรอสไว้ อยากรู้ว่าสิ่งที่เหยีย่วสายฟ้าทิ้งไว้จะเป็นอะไร อย่ากั๊กมากอาเซ โชว์เทพได้แล้ว ท่านจะถูกทากะแย่งซีนแล้วนะเออ~ 5555+

    ปล. ไอแซคม่างมันวิ่งทั้งเรื่องเลย =w=" เอลฟ์อะไรไฮเปอร์จริงๆ
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อันนี้ผิดพลาดจริงๆครับ ปล่อยไว้ประจานความผิดของตัวเองอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวเขียนใหม่ค่อยแก้ทีเดียว
    (จริงๆไม่อยากแก้กระทู้เพราะการย่อหน้าจะพัง - -")

    โค้งสุดท้ายแล้วละ แต่โค้งนี้ยาวหน่อยนะ ใส่เบรคมือ กระทืบคันเร่งกันยาวๆเลย

    พยายามปรับทุกอย่างให้สมดุลหลังจากเสียสมาธิไปสองตอน ถ้ามันออกมาดี คนเขียนก็สบายใจละนะ

    นั่นสิ ไฮเปอร์มาก เค้าสั่งให้วิ่งนำก็วิ่งจริงๆไม่มีอิดออดเลย ฮ่าๆๆๆ

    ตอนหัวเราะนั่นก็หัวเราะกันสามคนนะ สามหนุ่มสามอาณาจักร ส่วนอเซแมกมันแค่หัวเราะเบาๆอยู่ห่างๆ
    ไอแซคก็มีรั่วนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

    ส่วนความลับของอเซแมก เก็บไว้ปล่อยตอนท้ายเรื่องเน้อ ยังไม่โชว์หรอก ยังไม่คับขันอะ ฮ่าๆๆๆ
  22. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 19



    เสียงเท้าย่ำย้ำกระหน่ำบนทุ่งหญ้า ปลายทางคือหุบผาสูงตระหง่านขวางกั้นเป็นกำแพงใหญ่ ลึกเข้าไปในนั้นคือสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเมืองที่เคยมีผู้คนอาศัย แต่เป็นเพราะกาลเวลาได้เปลี่ยนที่นั่นให้เป็นเมืองร้างเหลือเพียงแค่สิ่งก่อสร้างเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยมีชีวิตและรุ่งเรืองมาก่อน


    บัดนี้ทุกคนต้องแข่งกับเวลาเพราะชีวิตของเบลลานี่ตกอยู่ในอันตราย


    “อีกไกลไหมท่านไอแซค” อเซแมกที่วิ่งตามหลังมาถามเพื่อยืนยัน
    “เข้าไปตามทางของหุบเขาไม่เกินสามชั่วโมง” เอลฟ์หนุ่มผู้นำทางบอกข้อมูล
    “แต่ไม่แน่ว่า...” นักดาบผู้เป็นหลานชายของยอดบุรุษในอดีตคาดคะเน
    “กับดักสินะ” ไอแซคก็คิดในสิ่งเดียวกัน

    “ไม่ว่าจะมีอะไรขวางหน้า ปีศาจ สัตว์อสูรหรือใครหน้าไหน ข้าจะก็ช่วยท่านเบลให้ได้”
    เทรน นักดาบสาวลูกศิษย์ของอเซแมกประกาศกร้าว

    “งั้นก็ไปกันเลย”


    ไอแซคเร่งฝีเท้าให้ไวมากยิ่งขึ้นไปอีกพร้อมกับเรียกศาสตราคันศรคู่ใจออกมาเตรียมพร้อมไว้



    เมื่อเหยียบย่างเข้าสู่อาณาเขตสุดท้ายของหุบเขามรณะ อเซแมกก็สัมผัสได้ทันทีว่าการต่อสู้ที่ยากลำบากกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ จิตต่อสู้มากมายราวกับมีกองทัพอยู่เบื้องหน้า นอกจากนั้นยังมีสัมผัสแห่งความตายผสมรวมอยู่ด้วย


    “เหนื่อยกันหน่อยนะทุกคน” อเซแมกบอกอย่างเคร่งเครียด

    “ยังจะมาพูดอะไรกันป่านนี้เล่า?” เสียงทุ้มๆของอากิดังมาจากด้านหลัง

    “เจ้านี่ชอบคิดมากอยู่ แถมยังคิดเองเออเองไปอีกแน่ะ ถ้ามีใครกลัวลำบากหรือกลัวตายก็คงไม่มาวิ่งหน้าตั้งเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้หรอก” อากิรอส คีฟที่แบกคู่หู่สาวซึ่งหมดสติไปแล้วไว้บนหลังเอ่ยตอบรับ


    “ใช่เลย อาจารย์ชอบคิดมากอยู่เรื่อ... โอ๊ย” เทรนยังพูดไม่ทันจบก็โดนผู้เป็นอาจารย์เขกกะโหลกเข้าให้เสียก่อน

    “ถ้ามีเวลาคิดก็คิดเรื่องค่าจ้างของข้าหลังจบงานด้วยละ” มาเรีย ซินนาส จอมโจรสาวตะโกนไล่หลังขึ้นมา
    “ครึ่งหลังนี่ไม่ได้ทำงานเลยยังกล้าเรียกค่าจ้างอีกหรือขอรับ”
    ทากะ นักดาบพเนจรจากอาณาจักรมายาที่วิ่งอยู่ข้างๆถามพร้อมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

    “พอพูดแล้วพูดไม่เข้าหูเลยนะ เก็บปากไว้กินข้าวดีกว่าไหมคะ”

    คำพูดที่สวนทางกับรอยยิ้มบนใบหน้าของมาเรียเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน



    บัดนี้พวกเขากำลังก้าวเท้าเข้าหาสมรภูมิเลือด ย่างกรายเข้าใกล้ประตูนรก เสียงเพรียกหาของยมทูตดังแว่วมาตามสายลมหวีดหวิว แต่พวกเขาก็ยังยิ้มและหัวเราะได้


    --------------------------------------------------------------------------------​



    ไอแซคหยุดวิ่งเมื่อมาถึงหุบเขากว้างแห่งหนึ่งก่อนจะเป็นทางแคบๆเข้าสู่ด้านในและบอกว่าเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ก็เกือบจะครึ่งทางแล้ว


    อเซแมกดึงดาบออกจากฝักมาควงรอบข้อมืออันบอกว่าเขากำลังจะเอาจริงแล้ว เทรนเห็นแบบนั้นก็กระชากดาบสองเล่มของตนมาถือไว้เช่นกัน


    “อากิรอส หน้าที่ของเจ้าในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว” อเซแมกหันไปบอกกับอากิ “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น!”

    “ก็ดีสิ” อากิรอสตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มจาง รู้ดีว่ามีความนัยสิ่งใดแฝงไว้



    ทุกคนกระจายกันออกยืนหน้ากระดาน สภาพโดยรอบเหมือนคอขวด พวกเขายืนในที่โล่งกว้างรอรับมือกับศัตรูที่กรูออกจากช่องแคบของหุบเขาด้านหน้า การเลือกสมรภูมิรบเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อชัยชนะและความอยู่รอด



    เสียงย่ำเท้าดังใกล้เข้ามา เสียงของโลหะกระทบกันดังสะท้อนก้องกับหน้าผา เบื้องหน้าคือเงาทะมึนของกองทัพที่ดาหน้าเข้าหา แต่ว่าทหารพวกนั้นไร้ชีวิต เป็นทหารผีดิบที่ถูกบงการให้เคลื่อนไหวโดยไร้สำนึกใดๆ ร่างดำคล้ำเน่าเปื่อย ประเมินประมาณด้วยสายตาไม่ต่ำกว่าพันตน เครื่องแต่งกายบ่งบอกได้ว่าเป็นทหารของชิลโซลิธี



    “นี่มัน...??” มาเรียขยี้ตาแล้วเพ่งมองใหม่เผื่อว่าภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป

    “เนโครแมนเซอร์” อากิรอสตอบ
    “จะต้องมีผู้ใช้มนต์ดำบงการศพเหล่านี้ให้ต่อสู้แทนตัวเองอยู่ในกลุ่มของกุห์ฟานอย่างแน่นอน”

    “จะอะไรก็ช่างเถอะ ถ้าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า ถ้าไม่ต่อสู้ก็ไปต่อไปไม่ได้”



    อเซแมกวิ่งทะยานออกไปเป็นคนแรกแล้วกระโดดทะยานขึ้นสุดตัวลงกลางฝูงกองทัพผีดิบ เสียงครางของทหารผีดิบดังอื้ออึงไปหมดแล้วกรูเข้าหาเขา แต่พวกมันเชื่องช้าเกินไปที่จะทำอันตรายเขาได้ ดาบในมือของอเซแมกตัดหัวทหารผีดิบตัวแล้วตัวเล่าร่วงหล่นราวกับใบไม้ต้องลมปลิดปลิวออกจากกิ่ง




    ทหารผีดิบบางส่วนเดินตรงเข้าหาคนอื่น ไอแซคโผวิ่งไปบนหน้าผาพริบตาเดียวก็ย้ายขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ที่งอกเงยตามซอกหินที่แตกออก จากนั้นลูกศรไม้ปลายใบมีดพุ่งออกจากนิ้วเรียวไปดอกแล้วดอกเล่าปักเข้าที่หัวของพวกผีดิบอย่างแม่นยำ



    เทรนใช้ดาบในมือซ้ายปัดอาวุธที่ทหารเดนตายเสือกแทงเข้าหาแล้วใช้ดาบในมือขวาแทงเข้ากลางหน้าผากอย่างแม่นยำ รวดเร็ว พวกผีดิบล้มตายตัวแล้วตัวเล่าต่อหน้าเธอ เมื่อถูกศัตรูตีวงโอบเข้าหา นักดาบสาวก้มตัวลงต่ำแล้วหมุนตัววาดดาบ ขาที่เน่าเปื่อยขาดออกจากร่างอย่างง่ายดาย



    เวลานี้ทากะใช้วิชาดาบอิไอเมื่อร่างที่ไร้ชีวิตเดินเข้าหา หัวของพวกมันขาดกระเด็นในทันที่ไม่มีโอกาสทำอะไรเขาแม้แต่น้อย มาเรียถอยไปยืนด้านหลังทากะแล้วเหวี่ยงแส้เข้าใส่ศัตรู หัวกะโหลกที่เปื่อยยุ่ยระเบิดกระจายทันทีที่ปลายแส้สัมผัสถูก แล้วเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “โฮะๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”




    แต่ถึงอย่างไร ห้าต่อพันก็ตึงมือเกินไปอยู่ดี ไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาสู้กับกองทัพออคที่ป่าเนมุสแม้แต่น้อย ครั้งนั้นอากิรอสใช้มนตราจำแลงร่างราชันย์มังกรขับไล่ศัตรูให้หนีไป แต่คราวนี้เขาถอยไปอยู่ด้านหลังเป็นเพียงผู้ชมการต่อสู้เท่านั้น


    “เฮ้! ต้องให้ข้าช่วยไหมเนี่ย? ข้าว่างอยู่นะ ทากะ มาเรีย” อากิรอสตะโกนถามแบบยียวนนิดๆ

    “ยังไม่มีบทให้ท่านหรอกขอรับ” นักดาบผมยุ่งตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ
    “อยู่เงียบๆบ้างได้ไหม คนกำลังยุ่ง!” มาเรียตวาดใส่เล็กๆ



    ร่างของทหารผีดิบล้มตายลงเป็นเบือแต่ที่เหลืออยู่ก็ยังมากนัก เทรนเริ่มรำคาญกับทหารผีดิบพวกนี้


    “ขอลองท่าใหม่หน่อยเหอะ” เทรนบอกกับตัวเองแล้วกระโดดถอยห่างไปตั้งหลัก

    เธอย่อตัวลงต่ำ แขนสองข้างกางออกชี้ปลายดาบลงกับพื้น เธอสูดลมหายใจลึกๆสองสามทีรวบรวมกำลังและความมั่นใจ


    “เวนโต้ แซงติ” (สายลมศักดิ์สิทธิ์)

    นักดาบสาวหมุนตัวหนึ่งรอบกวาดดาบสองเล่มเข้าหาศัตรู ดาบเล่มใหม่เปล่งประกายวาบพร้อมกับสายลมรุนแรงซัดออกไป สายลมแปรเปลี่ยนเป็นคมดาบตัดเฉือนร่างทหารผีดิบด้านหน้าเป็นวงกว้าง


    “ฮึ่ม! ยังไม่พอแฮะ”

    เทรนดูเหมือนยังไม่พอใจผลงานเท่าไร ตั้งท่าแล้วซัดคลื่นพลังอีกที คราวนี้คลื่นสายลมรุนแรงมากกว่าครั้งก่อน


    “ไม่เลวเลยนะขอรับ” ทากะที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยชม

    “แค่นี้ข้ายังไม่พอใจหรอก” เทรนตอบกลับไป


    สองนักดาบหนุ่มสาวด้านหลังผลัดกันใช้วิชาของตนทำลายศัตรูตรงหน้าลงเป็นจำนวนมาก อเซแมกเห็นว่าจำนวนศัตรูเบาบางลงแล้วก็คิดจะปิดฉากการต่อสู้


    “อินเจนเตส ดีอุส แซงติ” (มหาสายลมแห่งเทพ)

    อเซแมกประกาศมนตราแล้วปักดาบลงกับพื้น สายลมรุนแรงก่อตัวโดยมีเขาเป็นศูนย์กลางและกลายเป็นพายุที่ตัดทุกสิ่งทุกสิ่งในรัศมีให้กลายเป็นเพียงเศษซากไม่ต่างจากทอนาโดที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเส้นทางของมัน


    เศษชิ้นส่วนของทหารผีดิบร่วงหล่นระเนระนาดหลังจากพายุอันรุนแรงสงบลง

    กองทัพทหารผีดิบร่วมพันถูกทำลายลงหมดในเวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น


    “ยังอ่อนหัดนัก เทรน” อเซแมกเก็บดาบลงฝักแล้วเดินกลับมา
    “ก็ท่านเพิ่งสอนข้าเองนี่นา” เทรนแก้ตัว

    ไอแซคกระโดดลงมาจากต้นไม้ด้านบน “ไปกันต่อเถอะ”


    “ยังไปไม่ได้หรอก” อากิรอสขัดขึ้นแล้วชี้นิ้วไปด้านหลังอเซแมก “ดูนั่นซะก่อน”


    ร่างของทหารผีดิบที่ไร้แขน ขา และหัวขยับลุกขึ้นอีกครั้ง บางตัวที่ไม่มีท่อนล่างคลานเข้าหาทั้งๆอย่างนั้น เสียงครางครวญอืออาเริ่มดังระงม เศษแขนขาที่หาเจ้าของไม่ได้ขยับเข้าแปะติดกันแล้วกลายเป็นก้อนเนื้อ


    “หากไม่กำจัดเนโครแมนเชอร์ที่คอยบงการอยู่ ศพพวกนี้ก็จะคืนชีพขึ้นมาไม่มีวันสิ้นสุด”
    จอมเวทแห่งเวเนฟิคุสอธิบาย

    “แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้!!” เทรนกับมาเรียประสานเสียงด่าพร้อมกัน


    “ก็บอกไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว แถมเมื่อกี๊ถามแล้วก็บอกว่าไม่ต้องช่วย” อากิรอสเนียนตีหน้าซื่อ
    “เวลาไม่ค่อยจะมี ยังจะมัวเล่นอยู่อีกนะ เจ้าน่ะ” มาเรียถอนหายใจหน่ายๆ เธอย่อมหมายถึงชีวิตของเบลลานี่
    “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ากำลังถ่ายทอดพลังมนตราของข้าให้เธออยู่ตลอดเวลา” อากิรอสอธิบาย

    “งั้นไอ้ที่ข้าให้เจ้าออมแรงไว้สู้กับกุห์ฟานก็ผิดแผนกันพอดีน่ะสิ” อเซแมกยกมือเกาหัว

    “อย่าประเมินข้าต่ำไปนักสิ อเซแมก”
    อากิรอสตอบ จ้องกลับด้วยสายตาที่เย็นเยือกไม่เหลือเค้าลางแห่งโทสะใดๆอยู่อีก

    “แค่จัดการกับคนบงการก็พอสินะขอรับ” ทากะเอ่ยถาม แค่ดูจากสีหน้าก็เข้าใจได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

    “ผู้ใช้มนต์ดำจะต้องอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ควบคุมศพมากนัก”
    อากิรอสชี้มือไปยังช่องว่างแคบๆระหว่างหน้าผาสองฝั่ง “ข้าว่าก็คงอยู่ด้านหลังกองทัพผีดิบพวกนี้นี่แหละ”

    “ข้าน้อยจัดการเองขอรับ”


    ทากะบอกกับทุกคนแล้วออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทหารผีดิบไม่อาจหยุดยั้งรั้งเขาได้แม้แต่เสี้ยววินาที


    --------------------------------------------------------------------------------​



    อเซแมกและคนอื่นคอยสู้กับทหารผีดิบที่คืนชีพมาเรื่อยๆ พวกมันเคลื่อนไหวอืดอาดกว่าเดิม แต่ยิ่งฆ่ายิ่งทำลายเท่าไรพวกมันก็คืนชีพขึ้นมาอีก


    “ไม่จบไม่สิ้นสักที” เทรนถอนหายใจพลางยกขาถีบก้อนเนื้อเดนตายออกจากดาบของเธอ

    “จริงๆก็มีวิธีที่ทำให้พวกมันไม่คืนชีพได้เหมือนกันนะ” จอมเวทผมดำบอกกับเธอ “ผีดิบพวกนี้จะมี ‘แก่น’ อยู่ในร่างที่เป็นเหมือนจุดรวมพลังมนตราของผู้ใช้มนต์ดำ หากตัดกระแสมนตราหรือทำลายสิ่งนั้นก็จะหยุดการคืนชีพได้”


    อากิหันไปถามไอแซค “เจ้าพอจะมองเห็นกระแสมนตราที่ไหลเวียนในร่างของผีดิบพวกนี้บ้างไหม?”

    ไอแซครวมสมาธิเพ่งมองกระแสมนตราตามที่อากิรอสแนะนำ


    “เมื่อครู่ข้าไม่ได้สนใจพลังมนตราที่รู้สึกได้จากทหารผีดิบ แต่ตอนนี้ข้าเห็นชัดแล้วว่ามีจุดที่มนตรารวมกันมากผิดปกติในร่างของเจ้าพวกนั้น”

    “ผสานมนตรากับลูกธนูของท่านแล้วทำลายจุดที่ว่านั่นได้ไหม?”

    “เจ้าคิดว่าข้าคือใครกัน? อากิรอส”


    พูดจบไอแซคเอื้อมมือไปคว้าลูกธนูสามดอกจากซองธนูที่สะพายหลัง เขาเหนี่ยวรั้งสายธนูแล้วยิงออกไปสามดอกต่อเนื่องในพริบตาเดียว ลูกธนูทั้งหมดพุ่งทะลวงร่างทหารผีดิบสามตนจนกลวงโบ๋ ไอมนตราสีดำไหลออกจากปากแผลแล้วร่างพวกนั้นก็เริ่มหลอมละลายกลายเป็นของเหลวข้นๆไม่อาจคืนชีพได้อีก


    “แบบนี้สินะ” ไอแซคหันมาหัวเราะเบาๆ สีหน้าบอกว่าเรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก
    “ก็ราวๆนั้น” อากิรอสยักไหล่ตอบ

    “แล้วข้าทำอะไรได้บ้างไหมละ” เทรนถาม

    “ดาบของเจ้าแม้จะมีอำนาจมนตราแฝงอยู่ แต่ถ้าไม่อาจทำลายแก่นในร่างของผีดิบไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์” อากิรอสยักไหล่อีกที



    สวบ!

    อเซแมกกระซวกมีดเข้าไปในร่างของผีดิบที่คืนชีพขึ้นมาใกล้ๆตนหนึ่ง มันหลอมละลายไม่ต่างจากที่ไอแซคแสดงให้เห็นเลย


    “สมแล้วกับฝีมือระดับท่านอเซแมก แมคโดเวล” อากิรอสเอ่ยชม

    “ขี้โกงอะ ทำไมอาจารย์ทำได้แล้วข้าทำไม่ได้อะ” เทรนโวยวาย

    “อยากทำได้ก็ต้องฝึก” อเซแมกหยิบเศษผ้าออกมาเช็ดคราบบนดาบแล้วเก็บกลับเข้าฝักดังเดิม
    “เก็บกวาดที่เหลือด้วยนะ”

    “หา!” เทรนร้องเสียงหลง “ข้าคนเดียวเนี่ยนะ?”

    “เมื่อกี๊ใครบอกว่าต่อให้ปีศาจที่ไหนขวางทางก็จะฝ่าไปให้ได้? ไปทำเดี๋ยวนี้!”


    เมื่อผู้เป็นอาจารย์ออกคำสั่งเด็ดขาดแถมยังเอาคำพูดของเธอมาเป็นหลักฐานมัดคอ เทรนก็เถียงไม่ออกเลยวิ่งไปอาละวาดระบายอารมณ์กับพวกผีดิบที่ล้มลุกคลุกคลานตรงหน้า




    ในซอกผาด้านหลังกองทัพผีดิบไม่ไกลนัก ซารุวาตาริ ทากะกำลังเผชิญหน้ากับเนโครแมนเชอร์อยู่ เบื้องหน้าแทบเท้าของทากะมีเศษซากของทหารผีดิบมากมายที่หลอมละลายไม่อาจคืนสภาพได้



    “อืม ไม่เลวแฮะ มองออกถึงแก่นในร่างของทหารผีดิบด้วย”
    เนโครแมนเชอร์เอ่ยชมทากะ ท่าทียังสบายอารมณ์ไม่เร่งร้อนจะเอาชัยแต่อย่างใด

    “วิชาพวกนี้ไม่ต่างจากวิชาของคนทรงสักเท่าไร เพียงแค่ทำลายวัตถุที่เป็นแหล่งรวมพลังสำหรับควบคุมศพเท่านั้นก็เพียงพอแล้วขอรับ”

    “ชักอยากได้เจ้ามาเป็นคอเลคชั่นของข้าแล้วสิ”


    เนโครแมนเชอร์สะบัดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นตัวจริง ผมสีม่วงซีดยาว ใบหน้าซีดเซียวอิดโรยเหมือนคนป่วย ดวงตาสีม่วงเข้ม ใบหูทั้งสองข้างมีแท่งเหล็กเสียบอยู่ห้าแท่ง ริมฝีปากล่างก็เจาะร้อยห่วงอยู่เต็ม ใบมีดยาวพุ่งออกจากปลอกแขนสองข้างและทั่วร่างมีแต่เข็มขัดรัดไขว้ไปมาอยู่บนเสื้อและกางเกงสีดำอีกที ดูไม่ต่างไปจากพวกโรคจิตแม้แต่น้อย

    เขาคือพี่ชายของ ‘เจมส์ วิลเลียม ก็อดดาร์ด’ ที่บุกโจมตีนครชิลโซลิธี


    “จอห์น วิลเลียม ก็อดดาร์ด”
    เนโครแมนเชอร์แนะนำตัว “หวังว่าเจ้าจะมีชื่อนะ นักดาบแห่งดินแดนมายา”

    “ซารุวาตาริ ทากะ” นักดาบพเนจรเอ่ยชื่อของตน


    หลังจากบอกชื่อของตนแล้ว ทั้งสองยืนนิ่งดูเชิงกันเนิ่นนาน สายลมหนึ่งพัดเอาฝุ่นผงปลิวคลุ้งเป็นม่านหมอกกั้นกลางระหว่างเนโครแมนเชอร์และนักดาบ และเป็นวินาทีเดียวกันที่คนทั้งสองตัดสินใจรุกเข้าหาอีกฝ่าย



    ทากะเปิดฉากรุกก่อนด้วยวิชาดาบอิไอแต่ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านม่านพลังมนตราของอีกฝ่ายได้ ก็อดดาร์ด
    เข้าประชิดและชกเข้าใส่ด้วยดาบในมือขวา ทากะบิดเอาฝักดาบปัดข้อศอกของอีกฝ่ายให้ทิศทางการโจมตีเบี่ยงเบนไป อีกฝ่ายแทงดาบในมือซ้ายเข้าใส่กลางอกแต่ก็ถูกทากะบิดดาบปัดข้อมือได้อีกเช่นกัน

    หนึ่งกระบวนท่าผ่านไป ทั้งสองก็ถอยห่างออกไปดูเชิงกันอีกครั้งหนึ่ง



    “ไม่คิดจะชักดาบเลยสินะ” ก็อดดาร์ดถามขึ้นมา
    “.....”

    ทากะนิ่งเงียบไม่ตอบคำตอบ แต่ปลดเชือกที่ผูกฝักดาบกับผ้าคาดเอวออกแล้วถือไว้ในมือซ้าย


    “มีอะไรดีๆก็ใช้ออกมาให้หมดน่า”
    ก็อดดาร์ดผู้พี่ดีดนิ้วมือเรียกทหารผีดิบออกมาเบื้องหน้าแล้วบุกเข้าหาพร้อมกัน ผีดิบพวกนี้เคลื่อนไหวได้รวดเร็วไม่ต่างจากคนปกติแม้แต่น้อย


    ทากะรับมือศัตรูแบบหนึ่งต่อหกเป็นพัลวัน เมื่อสบโอกาสก็สะบัดดาบใช้วิชาอิไอตัดคอทหารผีดิบแล้วหวังผลไปถึงก็อดดาร์ด แต่มิอาจทะลวงผ่านม่านมนตราไปได้

    ทหารผีดิบห้าตนถูกกำจัดจนหมด ทั้งสองแยกห่างดูเชิงอีกรอบ



    “อืม เร็วทั้งมือทั้งขาแถมยังเยือกเย็น แต่ก็ดูเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง”
    ก็อดดาร์ดแกล้งวิเคราะห์ให้ทากะได้ยินดังๆ แต่ทากะยังคงตั้งท่าเตรียมรับมือและไม่โต้ตอบคำพูดอีกฝ่าย



    “ถ้าเจ้าไม่อยากดึงดาบออกจากฝัก งั้นข้าจะเป็นฝ่ายกระชากมันออกมาเอง”

    เนโครแมนเชอร์ดีดนิ้วเรียกกองทัพผีดิบอีกครั้ง รอบนี้มีทั้งทหารราบ ทหารม้าถือหอกและพลธนูพร้อมสรรพ จำนวนร่วมพันตน


    “ข้าหว่าน ‘เมล็ดพันธุ์’ ไว้ในทั่วหุบเขานี้แล้ว และยิ่งอยู่ใกล้ข้าเท่าไรผีดิบพวกนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น เจ้าเพียงลำพังจะสู้กับทหารชั้นเลิศได้ทั้งหมดอย่างนั้นเรอะ!!”



    สิ้นสุดคำของผู้เป็นนาย ทหารที่ไร้ชีวิตเป็นเพียงร่างที่ถูกชักเชิดก็บุกเข้าหาทากะ เขาต้องรับมือกับดาบที่มุ่งหวังคอของเขา ไหนจะลูกธนูที่พุ่งเข้าหาอีกเป็นจำนวนมาก ทหารม้าผีดิบที่พุ่งทะยานมาพร้อมหอกแหลมคม


    ทากะยังคงใจเย็นรับมือด้วยวิชาอิไอของเขา เสียงดาบถูกกระชากออกจากฝัก ชิ้ง! ชิ้ง! ดังไม่ขาดตอน แต่ศัตรูที่มีมากเกินไปได้ผลักให้เขาร่นถอยไปด้านหลังทีละนิดทีละน้อย



    ฉัวะ!

    ก็อดดาร์ดลอบเข้าประชิดด้านหลังทากะแล้วจู่โจมเขา ยังดีที่ทากะรู้ตัวในวินาทีคับขันเลยเอี้ยวตัวหลบรอดพ้นจากความตายมาได้ แต่ที่หลังไหล่ซ้ายเป็นแผลใหญ่ฉกรรจ์

    เมื่อเขาปันสมาธิจากศัตรูตรงหน้าไปหาก็อดดาร์ดด้านหลัง ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งปักต้นขาซ้าย อีกหนึ่งเฉียดไหล่และเอว อีกทั้งทหารผีดิบก็รุกเข้าใกล้มาเรื่อยๆ


    “ต้องกำจัดคนบงการศพเท่านั้น”

    ทากะคิดแล้วลงมือทำทันที เขาพุ่งเข้าประชิดก็อดดาร์ดโดยไม่สนใจการทหารผีดิบด้านหลัง ระยะห่างเพียงสองก้าวเพียงพอแล้วสำหรับเขา ดวงตาทากะเปล่งประกายพร้อมกับวิชาอิไอที่ถูกใช้ในระยะประชิด



    เพล้ง!
    เบื้องหน้าเขาแตกออกเหมือนกระจก ศัตรูหายไป

    ความทรงจำแวบหนึ่งปรากฏในหัวที่เห็นอเซแมกโจมตีกุห์ฟานก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ แต่ความคิดนี้ก็หายไปทันทีเหมือนหมอกต้องแสงอรุณเมื่อความเจ็บปวดจากดาบ หอกและธนูเสียดแทงร่างของเขา




    เลือดสดๆหลั่งรินลงพื้น ทากะยังคงหยัดยืนตั้งท่ารับมือแต่ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยนิ่งมึนเป็นปรกติเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวด แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม



    “เด็กดื้อต้องถูกลงโทษ คึคึคึ”

    ก็อดดาร์ดลอยตัวอยู่เหนือกองทัพผีดิบ เริ่มแสดงนิสัยโรคจิตของตัวเองด้วยการเลียชิมเลือดของทากะที่ติดอยู่บนใบดาบ เขาดีดนิ้วเรียกศพที่ตายไปแล้วให้คืนสภาพกลับเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง กองทหารพันตนอยู่ยั้งยืนยงเป็นอมตะตามที่เขาต้องการ



    “อยากเห็นสินะขอรับ” ทากะเอ่ยถามก็อดดาร์ด
    “หือ? จะว่ายังไงดีละ แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน คึคึคึ”

    “ค่าตอบแทนมันแพงนะขอรับ”



    ทากะยืดสองแขนเหยียดตรงระดับไหล่ มือขวาค่อยๆเลื่อนดาบออกจากตัวฝักทีละน้อย จนสุดท้ายดาบยาวสองชาคุครึ่งก็ออกมาอยู่นอกฝักทั้งหมด ใบดาบโค้งงอได้รูปกับความยาว แสงวาววับสะท้อนจากคมดาบ ลายน้ำงดงามอ่อนช้อยแสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างขั้นสูงและความประณีตบรรจงของผู้ตีดาบเล่มนี้



    “ถือเป็นคติแต่โบราณกาลหากชักดาบออกจากฝักแล้วมิมีผู้ใดสังเวยคมดาบถือว่าผิดต่อดาบอย่างร้ายแรง”

    “ซันเซโนะยะคะ” (ประกายดาวในคืนฤดูร้อน)



    หุบเขาที่ขนาบทั้งสองด้านสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยแรงกดดันจากอะไรบางอย่างที่ทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง สายลมกรีดร้องพัดผ่านอย่างบ้าคลั่ง จิตสังหารแผ่ออกไปทั่วอาณาเขตราวกับจะบดขยี้ทุกอย่างให้แหลกสลาย

    ในเวลานี้ ดาบในมือทากะส่องประกายวาววับราวกับยินดีปรีดาในอิสรภาพของมัน



    "น่าสนใจดีนี่"
    ก็อดดาร์ดดีดนิ้วสั่งการให้ทหารผีดิบของเขายาตราทัพไปสังหารนักดาบผมดำตรงหน้า



    แต่คราวนี้หุ่นเชิดพวกนั้นยังไม่ทันได้ขยับตัวแม้แต่น้อย นักดาบหนุ่มวาดดาบช้าๆจากซ้ายไปขวาเป็นครึ่งวงกลมเบื้องหน้า ทุกร่างที่ปรากฏอยู่ถูกแยกเป็นสี่ส่วนพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน


    ก็อดดาร์ดแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา ดวงตาทั้งสองเหลือกโปนจับจ้องไปยังทากะที่ยืนอยู่ห่างออกไป บนใบหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มบางอย่าง ไม่ใช่รอยยิ้มเย้ยหยันดั่งที่ตัวเขาชอบทำ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ตีความไม่ได้

    “นี่มัน ‘รอยยิ้มของมัจจุราช’ ชัดๆ”
    อนุสติของก็อดดาร์ดตะโกนบอกตัวเองในทันทีที่ได้เห็น



    แกร๊ก!

    เสียงฝักดาบกระทบกับพื้น พลันจิตสังหารที่ราวกับจะบดขยี้ทุกสิ่งอย่างให้พังทลายกลับหายไปราวกับเรื่องโกหก หุบเขาหยุดสั่น สายลมหยุดนิ่ง มีเพียงทากะเดินลากดาบเข้าหาก็อดดาร์ดทีละก้าวด้วยจังหวะสม่ำเสมอ



    "แก!!!"

    เนโครแมนเชอร์แหกปากร้องสุดเสียง แล้วกางมือเรียกกองทัพซากศพออกมาอีกครั้ง จำนวนนั้นมากมายมหาศาลเบียดเสียดยัดแน่นทั่วทุกตารางนิ้วของหุบเขา ดำทะมึนแทบไม่มีที่ว่างให้แม้กระทั่งแมลงหวี่บินผ่าน ทุกร่างกรูเข้าใส่ทากะเป็นเป้าหมายเดียว


    แต่การโจมตีทุกอย่างกลับไม่ได้โดนร่างของทากะแม้แต่น้อยราวกับร่างนั้นเป็นเพียงภาพมายา ตรงกันข้ามกับหุ่นเชิดที่ขวางทางเดินของนักดาบหนุ่มต่างทรุดลงกับพื้นแยกเป็นสี่ส่วน ทากะเหยียบย่างผ่านซากของหุ่นเชิดที่ล้มระเนระนาดด้วยท่าลากดาบและจังหวะก้าวเท้าสม่ำเสมอเช่นเดิม



    เป็นครั้งแรกที่เนโครแมนเชอร์อย่างก๊อดดาร์ครู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างขีดสุดจนขยับตัวไม่ได้ ถึงมันจะเพียงแค่ชั่วพริบตาก็เพียงพอแล้วสำหรับทากะในเวลานี้ เพราะวินาทีนั้นร่างที่เดินอย่างเชื่องช้าพลันหายไปจากสายตาของเขา


    สิ่งที่เขาได้เห็นอีกครั้งก็คือดาบในมือของนักดาบหนุ่มแทงทะลุกำแพงมนตรา เสียบเข้ากระดูกต้นคอในแนวตั้งอย่างเงียบกริบและแม่นยำราวกับคมเคียวของมัจจุราชที่ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางได้


    กร๊อบ!!

    เสียงของกระดูกต้นคอแตกสะบั้นทันทีที่ทากะบิดดาบในมือ ร่างที่ยืนอยู่กลางอากาศของก็อดดาร์คตกลงสู่พื้นเบื้องล่างราวกับวิหคที่ถูกเด็ดปีกพร้อมๆกับกองทัพหุ่นเชิดที่เหลืออยู่สูญสลายไปหมด

    มีเพียงร่างของผู้บงการนอนกระตุกวิญญาณหลุดออกจากร่าง



    ทากะกระโดดลงสู่พื้นหันหลังเดินกลับตรงไปยังปลอกดาบของตนที่นอนอยู่บนพื้น ร่างของก็อดดาร์ดค่อยๆยืนขึ้นทั้งๆที่คอนั้นหักเอียงอย่างผิดรูปด้วยใบหน้าที่เคียดแค้นชูดาบในมือขึ้นรวบรวมมนตราทั้งหมดเปลี่ยนเป็นพลังโจมตี


    แต่จู่ๆแขนข้างนั้นก็หลุดตกยังพื้น ร่างที่ยืนอยู่ด้วยขาทั้งสองข้างร่วงหล่นลงเพราะขานั้นหลุดแยกออกจากกันจากนั้นร่างกายของก๊อดดาร์คก็ค่อยๆแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับก้อนเนื้อที่ถูกสับเละจนจำสภาพเดิมแทบไม่ได้

    มีเพียงดาบที่ตกอยู่เท่านั้นเป็นสิ่งพอจะยืนยันได้ว่ากองเนื้อตรงนั้นเคยเป็นใครหรืออะไรมาก่อน




    “ถ้าดวงวิญญาณของท่านยังคงอยู่แถวนี้คงจะทราบแล้วนะขอรับว่าค่าตอบแทนมันแพงแค่ไหน พริบตาที่ข้าน้อยดึงดาบออกจากร่างของท่าน ข้าน้อยได้ฟาดฟันท่านเท่ากับจำนวนผีดิบที่ท่านเรียกขึ้นมา”

    ทากะพึมพำเบาๆขณะเก็บดาบของเขาลงฝัก


    ร่างของนักดาบหนุ่มทรุดลงคุกเข่าด้วยอาการบาดเจ็บรวมถึงผลจากการฝืนใช้กำลังเต็มที่ของตัวเขา เลือดหลั่งรินออกจากบาดแผลราวกับน้ำที่ผุดขึ้นจากตาใต้ดิน สติเลือนราง ดวงตาพร่ามัว เปลือกตาหนักอึ้ง



    ทากะฟุบลงคว่ำหน้ากับพื้น ไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไป




    To be continue…


    --------------------------------------------------------------------------------​
    -



    - คุยกันท้ายตอน –


    ตอนนี้ได้ทากะตัวจริงมาช่วยเขียนฉากบู๊ให้ครับ ช่วยกันเขียนช่วยกันเกลาได้ออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี่ละ
    สำหรับเนื้อเรื่อง จบไปแล้วหนึ่งศึก แต่กลุ่มของกุห์ฟานยังเหลือผู้ติดตามอีกสาม ติดตามได้ในตอนหน้าครับ


    Azemag A.C. McDowell
  23. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อ่านเรียบร้อย (แต่ตอนนี้ขอเว้นเรื่องคอมเมนท์ไว้ก่อนละกันฮะ ไม่รู้จะคอมเมนท์อะไรดีด้วยล่ะ />_<)

    ปล. ทากะท่าจะแย่แล้วแฮะ คนที่รักษาได้อย่างอากิรอสกับเบลเองก็ไม่ว่างซะด้วยสิ จะเอาไงล่ะทีนี้
  24. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    อ่านสองตอนรวด//ปาดเหงื่อ

    ตอนที่18เขียนดีมากค่ะ บรรยายภาพและรับรู้ความรู้สึกตัวละครชัดเจนเลยทีเดียว
    ตอนที่19มีสงสัยช่วงย่อหน้าที่อากิพูดตอกที่อเซแม็กพูดว่า "เหนื่อยหน่อยนะ" แล้วใช้คำว่า "ตอบรับ" กับตัวเอง....แล้วก็วรรคที่ "ทากะเปิดฉากรุกประชิดตัว"นั้นหลังคำว่าก็อดดาร์คขึ้นย่อหน้าผิดสินะคะ
    ตอนนี้โดยรวมคือเขียนได้ดีเช่นกันค่ะ ฝีมือดีขึ้นมากแล้วนะคะ
    ทากะเท่ห์มาก...แต่สลบไปแล้ว เอายังไงต่อ

    รออ่านตอนต่อไปค่ะ
    ปล.ชอบคำว่า"หากชักดาบออกจากฝักแล้วมิมีผู้ใดสังเวยคมดาบถือว่าผิดต่อดาบอย่างร้ายแรง" กับชื่อของดาบเป็นพิเศษ
    ปล2.ชื่อของศัตรูมันแอบ......//ชวนหลุดขำแปลกๆ? orz
  25. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    การต่อสู้บทนี้สนุกดีแฮะ มีหลายจุดที่อ่านแล้วชอบใจ
    ชอบเสียงหัวเราะของมาเรีย "โฮะๆๆๆ" =w=" โรคจิตดีนะ แต่ก็สมเป็นมาเรียนั่นแหละ
    ชอบการใช้ดาบของเทรน เทรนเป็นคนที่อ่านกี่ครั้งๆก็ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นผู้หญิง แต่ภาพที่เห็นเหมือนหนุ่มน้อยมากกว่า (/*โดนเทรนถีบกระเด็น)
    ชอบลูกรับของอากิรอสกับไอแซ็ค รู้สึกได้เลยว่าต่างคนต่างหยิ่ง แต่ก็ยังช่วยกันเสมอ
    ส่วนเรื่องจิ้นๆแบบศิษย์อาจารย์ตอนนี้น่ารักจริงๆ โดยเฉพาะตอนอาเซแม็กเก็บดาบแล้วบอกให้เทรนลุยนี่ กร๊ากกกกกกกก
    อ่านแล้วขำปนสงสารเทรนเล็กๆ

    ส่วนทากะ

    ทากะน่ะจริงๆเท่มาก!! แต่การบรรยายมีช่องโหว่นิดหน่อย ทำให้ภาพที่ออกมาไม่ smooth เท่าที่ควร
    จริงๆผมผิดเองด้วยที่ไม่รู้จักว่าอิไอนี่เขาชักกันแบบไหน แต่ก็พอนึกภาพออก
    ก็อดดาร์ดโรคจิต ใส่ชุดก็โรคจิต SM จริงๆ น่าจะทรมานทากะมากกว่านี้จะสนุกมาก หึหึ
    จริงๆอ่านจบ ผมไม่ห่วงทากะเท่าไร เพราะรู้สึกว่าไม่ใครก็ใครต้องมาช่วยทากะได้อยู่ดี

    อ่านจบแล้วอยากตั้งคำถามเผื่อแก้ไขในอนาคต
    - ตกลงท่าดาบนี่มีแต่วิชาสายลมรึครับ =w=" ผมเห็นกี่คนๆก็ใช้ดาบสายลม ไม่ลองใช้ดาบธาตุอื่นๆดูมั่งง่ะ (สายลมเป็นธาตุที่บรรยายยากมากด้วยนะ)
    - ตอนทากะวิ่งเข้าไปหาเนโครแมนเซอร์ ถ้าบรรยายว่าพรรคพวกช่วยเปิดทางให้ จะสมจริงมาก =w=b ถึงแม้ทากะจะเปิดทางเองได้ก็เถอะ

    แนะนำว่าสร้างสถานการณ์ซับซ้อน+คับขันอีกเยอะๆ ในรูปแบบที่แปลกๆ ฟิคนี้จะมีอรรถรสมากนัก เหมือนตอนของเบลนี่ ทำได้ดีทีเดียว

Share This Page