[ฟิครับสมัคร] Mirrored Lives – Chapter 4 “To dip your toe into the cold water – ทดลองสิ่งแปลกใหม่”

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย tokichan, 17 สิงหาคม 2011.

  1. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ความรู้สึกสามอย่างในสาม Part ของฟิคตอนนี้จริงๆ!

    ช่วงแรก

    อ่านแล้วตลกมากกกกกกกกก ตลกกับอาดิืวนี่แหละ!!! โฮยยย

    กร๊ากกกกกกกกกกก 5555
    ต้องมานั่งนำทางคุณหนู (ที่เหมือนแมวอย่างแบมๆว่าจริงๆ) กับ พี่เลี้ยงเด็ก ถ้าไม่ใช่พราะเงินป่านนี้อาดิวคงจะลาขาดไปแล้ว กร๊ากก
    อดทนโคตรๆนะอาดิวเอ๋ยย
    ชอบแบมๆพูดคำว่า "เบ๊กิตติมศักดิ์" อ่านยังไงก็เหมือนจริงๆ!!!! กร๊ากกกกกกก
    ดอกมัสตาร์ดมันกินได้สินะ? ฮาาาาา
    สังเกตว่าเฟรย์ใช้ม้าหนุ่ม ส่วนไอฟ์ใช้ม้าสาว ... โดยมีม้าแก่ประสบการณ์ของอาดิวอยู่ตรงกลาง กร๊าซซ
    แต่ถึงตลกยังไง ลักษณะของฟิคนี้ก็ยังหม่นๆ คล้ายๆมีหมอกจางๆบดบังอยู่เสมอ เหมือนอ่านความทรงจำใครสักคน

    ช่วงสอง

    ขอโทษนะครับ *โค้ง*
    ผมอ่านกี่ทีผมก็จิ้นวาย!!! ช่วยไม่ไ่ด้จริงๆ!!
    โดยเฉพาะความลังเลของราส กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคุณชายอากิรอสนี่ อือหือ.....
    Part นี้ผมชอบบทสนทนามากกกกกก มากๆๆๆๆๆๆ มากที่สุด บทรับส่งกันลื่นไหล เป็นธรรมชาติ แฝงความแยบคายของแต่ละคน มีนัยลึกล้ำ อารมณ์เหมือนได้ read between the line ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการเขียนที่ผมพยายามจะทำมาตลอด และชอบที่จะอ่านแบบนี้มาก!
    ก็ขอบอกซ้ำคำเดิมว่า แน็กเป็นคนเก่งการเขียนแบบสื่อผ่านตัวอักษร ไม่ต้องบรรยายตรงๆ แต่ใช้ประโยคสนทนาแสดง character, เรื่องราว, ความคิดของคน ซึ่งพออ่านแล้วมันสนุก ตื่นเต้น เหมือนได้อ่านวรรณกรรมดีๆสักเรื่อง
    ตัวละครชาฟาเรฟเองก็มีสเน่ห์มาก!! แน็กเก่งจริงๆที่สามารถทำให้ "เด็กที่เป็นนักฆ่า" ซึ่งพบเห็นได้ตามฟิคแฟนตาซีสุดเกร่อ กลายเป็น realistic ได้ คารวะขอรับ!

    ช่วงสุดท้าย 3.5
    มืดหม่น..
    เหมือนมีม่านหมอกสีเทา
    บีบคั้น กดทับ หนักอึ้ง
    หมองหม่น หดหู่....
    นี่คือความรู้สึกทั้งหมด....
    อดีตของไอฟ์ เป็นสิ่งที่ทำให้ไอฟ์กลายเป็นคนแบบนี้จริงๆ

    ใช่แล้ว...
    มันคือชีวิตของคนๆหนึ่ง แค่นั้น
    เป็นบันทึกของชีวิต

    มันแค่นั้นจริงๆ...
    แต่เสี้ยวหนึ่งของช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง
    ก็ผูกพันธ์ชีวิตคนที่มีค่าและเป็นที่รักไว้มากมายนัก
    และการสูญเสียนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าคำว่า "เศษเสี้ยว"
    เป็น contrast ที่โหดร้ายจริงๆ

    รักฟิคนี้มากกกกกกกกกกกกกก
  2. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    ขอบคุณมากๆสำหรับคำชมนะคะ *ยิ้มม* ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่ายังไงๆก็ขอบคุณมากๆที่ยังอุตส่าห์ติดตามค่ะ!
    (ชอบชาเรฟมากนะ เพราะผู้เขียนเป็นคนชอบของสวยๆงามๆ อั๊ง)
    (*โดนเสียบพุง*)
    มาตอนครึ่ง แต่ความยาวไม่ถึงหรอกพี่อาเซ ; w ;
    ภารกิจของนักฆ่า รอตอนหน้านะคะ :D เรื่องนี้จะยากนิดนึงสำหรับการตัดฉาก ก่อนหน้านี้ยังไม่มีแอคชั่นอะไรมาก แต่พอเนื้อเรื่องเริ่มจะเข้มข้นกันทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็คงจะต้องให้เนื้อที่สัมปทานบทบาทตัวละครมากขึ้น จะตัดไปตัดมาอย่างแต่ก่อนคงเสียอรรถรส *หัวเราะ*

    ตอนนี้จะเริ่มสะสมปมไปเรื่อยๆก่อน แล้วจะค่อยๆคลายทีละเปลาะสองเปลาะนะ แต่คิดว่าปูพื้นเรียบร้อยแล้วล่ะ :p

    สำหรีบมุมจับคำผิด อาาา ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆอีกแล้ว!! ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่าา!!
    ค่ะ มืดมนกันต่อไป
    แค่ลงชื่อเข้ามาอ่านก็ดีใจมากๆแล้วค่ะ!! :D
    จริงๆแล้วก็ชอบนะคะ ไม่โกหกล่ะ แต่บางทีก็ไม่ชอบเหมือนกัน :p
    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ! *โค้งงง*
    ทุกๆคนน่ะ ถึงจะแบมือออกมาให้ดูทั้งสองข้าง แต่ในกระเป๋าจะยังมีอะไรอยู่อีกก็ไม่รู้นะคะ หุหุ
    อย่างที่บอกไว้ในคอมเม้นท์ของพี่อาเซ สะสมปมไปอีกนิดนึง ไม่นานก็จะคลี่คลายในบางเรื่องค่ะ :)

    อาชีพที่เริ่มด้วยการฆ่า ก็ต้องจบด้วยการโดนฆ่า เป็นปรกติค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนไหนที่จะตายอย่างสงบเลย
    แต่ว่า..

    โดนคนอื่นฆ่า หรือตัวเองฆ่า
    อันนั้นต้องดูกันอีกที
    พี่ยิ่งพิมพ์ แบมๆยิ่งเม้นท์ยาวมากกว่า :p
    ดีใจน้าาา ที่ชอบบทที่ 3.5 เพราะจริงๆก็แอบๆคิดว่ามันจะมืดมนไปรึเปล่า แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ต้องเขียนปูพื้นไว้ เพราะอย่างงั้นแล้วก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ~
    <<ชอบเขียนอะไรจิตๆ (OTL..)

    จ้า จริงๆพี่น่ะ พอเขียนอะไรไปแล้วก็อยากกลับมาโละทิ้งแล้วเขียนใหม่หมดน่ะแหละ!!! ฮ่าๆๆๆ มันเป็นอาการประสาทของนักเขียน perfectionist ขั้นสุดยอดดดดด
    (ล้อเล่นนะ ...ถึงบางทีจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆก็เถอะ XD")

    ช่าย..กัดเพราะหิว
    เอเดลไรย์เห็นแก่กินล่ะ หุหุ
    (ดอกมัสตาร์ดน่ะ แนะนำให้ไปกินดูนะ พี่ว่ามันอร่อยดี)
    (<<ประสบการณ์ตรง)

    จริงๆจะเรียกเฟรย์เป็นคุณหนูก็ไม่ค่อยถูก เพราะจริงๆที่บ้านไม่เคยมีคนเอาใจนะ แต่นิสัยแย่ๆแบบนี้มันจะผุดต่อเมื่อไอฟ์อยู่ใกล้ๆเท่านั้นแหละ
    เพราะยังไงเฟรย์ก็รู้ว่าไอฟ์ก็จะต้องยอมใจอ่อนให้เธอตลอดน่ะแหละ หึหึ
    (ตัวเอกเกรียน...)


    ไอแวนไม่ใช่เบ๊นะ!! *ดัดเสียงตอบด้วยใบหน้าเกรียนสุด*
    (เอาเข้าจริง ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ฮาาา)
    จริงๆอยากจะเขียนในหลายๆแง่ของไอฟ์นะ ตอนนี้ก็กำลังรอโอกาสอยู่ ' w '/

    สงสารอาดิวที่สุด ตอนนี้ไม่มีบทเลยยยยยย
    ไม่เป็นไร คิว spotlight ตอนหน้าเป็นของเขาไปแล้ว!! เฮฮฮฮฮ
    (แองเต้ก็เหมือนกันนาาา หุหุ)


    ชอบอากิรอสก็งี้แหละ เล่นได้เยอะดี อุฟุฟุ
    *โดนท่านประธานสอยร่วง*
    ม่า...จริงๆแล้วคนเรามันก็เหมือนกับอากิรอสนั่นแหละ ในสมองน่ะ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เอะอะโลกก็มืดมน แต่อีกประเดี๋ยวก็ดี๋ด๋าออกไปเที่ยวกับเพื่อน ใช่ไหมล่ะ?
    อากิรอสน่ะ ก็เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนตัวตนของคนเราในหลายๆแง่น่ะแหละ เป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกดี

    รอราสต่อไปน้า~

    บทที่ 3.5 ไม่พูดอะไรมากล่ะ
    ยกเว้น
    มันไม่วายยยยยยยยยยยยย!!!!!!!
    ขึ้นตัวหนาย้ำลงไปอีกหลายๆรอบ กร๊าซซ
    ไม่วายจริงๆไม่ติงนัง

    อื้อออ เอางี้ดีกว่า
    อยากให้แบมๆลองคิดนะ เฌอร์รองเป็นคนเก็บอเล็กซาร์มา ใช่ไหม?
    อายุน้อยกว่า ศักดิ์สูงกว่า แต่ก็โตด้วยกันมา น่าจะสนิทกันพอสมควร ใช่ไหม?

    แล้วทำไมถึงจะต้องจำเพาะเจาะจง "สั่ง" ให้อเล็กซาร์ยิงคนของตัวเอง?

    แค่ทหารคนเดียว ย้ายไปประจำการกองอื่นก็ได้? ไม่ต้องมาแนวหน้า? งานเอกสารหลัง frontline มีเยอะแยะไป?
    ทำไมถึงจะต้องบังคับให้อเล็กซาร์ทำเรื่องแบบนี้?

    หึ หึ หึ หึ
    เก็บไปคิดเล่นๆน้า~ ตอนพิเศษครั้งหน้าออกมาเมื่อไหร่ ก็อาจจะได้บทเฉลย :p
    (หรือไม่? กร๊ากกก)

    เอาล่ะๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อน
    ขอบคุณมากๆและมากๆอีกครั้งที่เข้ามาอ่านและติดตามอยู่เสมอนะจ๊ะ ม๊วฟฟฟฟฟ
    ขอบคุณสำหรับกำลังใจขอรับ!!! *โค้งงงง*
    ถ้าไม่มีพี่จ้อยมาเกรียนซักบท มันคงจะรู้สึกแปลกๆนะ (ฮาา)
    ยืนยันว่าดอกมันกินได้ และไม่ตาย (เพราะแน็กกินมาแล้ว)
    (ห้ามด่าข้าว่าเป็นแมวอ้วนนะ! *ฟาดหางงง*)
    แต่ถึงตลกยังไง ลักษณะของฟิคนี้ก็ยังหม่นๆ คล้ายๆมีหมอกจางๆบดบังอยู่เสมอ เหมือนอ่านความทรงจำใครสักคน << ถึงตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ? คล้ายช่วงปัจจุบันขึ้นไหม? :D

    ไม่รับคำขอโทษฟร่ะ ท่านอีวาน
    เดี๊ยะข้าจับให้ไอฟ์วายแม่มซะเลยนี่!!!
    ความลังเลของราส มันมาจากการต้องเข้าร้านเบเกอรี่หวานจ๋อยที่ไม่ได้เหมาะกับหน้าตาท่าทางของเขา อีกอย่าง อากิรอสท่าทางแบบนั้นน่ะ ใครบ้างอยากจะเข้าใกล้...
    มันจะรู้สึกเหมือนตัวเองเดินโง่ๆ เข้าไปในกับดักน่ะ รู้สึกไม่ดีหรอก :p

    read between the lines ต่อไปน้าาาา
    แล้วจะรู้ว่ามันมีอะไรๆสนุกๆให้ดูเยอะแยะ (ฮาา พูดบ้าอะไร)
    ขอบคุณสำหรับคำชมอีกครั้งนะฮะ รักท่านมากกกกกกกก *กอดดด*
    แต่อย่าเรียกเรื่องนี้ว่า "วรรณกรรมดีๆ" เลย....อายเขา OTL

    จริงๆ อยากให้รอดูไอฟ์ต่อไป
    เพราะถึงตอนนี้ไม่รู้ แต่ก็อาจจะมีซักวันที่เขาจะต้องรับรู้
    แต่จะรับรู้ทั้งหมด เพียงส่วนเสี้ยว มากกว่านั้น หรือจะเป็นเรื่องที่ถูกตีไข่ใส่สีจากคนอื่น อันนี้ก็ต้องดูกันอีกที *ยิ้ม*


    ขอบคุณทุกๆท่านมากๆสำหรับทุกๆตัวอักษรที่พิมพ์มาให้ค่ะ ขอบคุณมากๆ
    โทรลล์ตัวนี้มีความสุขมากๆเลย :D
  3. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    Mirrored Lives – Chapter 4 “To dip your toe into the cold water – ทดลองสิ่งแปลกใหม่”


    ถึงท่าน


    ในที่สุดเราก็มาถึงแล้วล่ะ ที่นี่ จุดหมายแรกของเรา เมืองเรนาส
    ถ้าจะให้อธิบายคร่าวๆล่ะก็ ข้าคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ยุ่งสมคำร่ำลือ มองทั้งซ้ายขวาข้าเห็นแต่ตัวคนเดินยุ่บยั่บราวกับฝูงมดแตกรัง จะต่างกันก็เพียงแต่สัญชาติเชื้อสายที่ออกจะคละเคล้ากันสักหน่อย ไม่ได้หน้าตาเหมือนกันเป๊ะๆอย่างแมลงพวกนั้น


    ...ซึ่งมันก็ออกจะสมเหตุสมผลเอาการในเมืองท่าแห่งนี้ เพราะถ้าจะให้นับล่ะก็ ลำพังนอเรนอาร์เองก็ประกอบไปด้วยชาติพันธุ์ใหญ่ๆ อย่างน้อยสี่ห้าประเภท ในสี่ห้าประเภทนั้นก็ยังต้องจำแนกพวกไปอีกเป็นสิบ

    ส่วนอัลฟาแรมนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะยังไงข้าก็แยกไม่ออก


    แต่เท่าที่ข้ามีโอกาสสังเกตุ ชาวอัลฟาแรมรูปร่างจะออกไปทางผอมสูงซะส่วนใหญ่ มือยาวนิ้วเรียว ผิวพรรณเนียนละเอียด หากเป็นพวกพ่อค้าแม่ขายก็อาจจะคล้ำแดดซักหน่อย แต่ถ้าเลิกแขนเสื้อขึ้นมาก็จะรู้ได้ทันทีเลยล่ะนะ

    อ้อ อีกอย่างหนึ่งคือ พวกนี้ดูจะชื่นชอบยาสูบเอาเสียมากๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมราคายาสูบตามตลาดแถวชายแดนถึงพุ่งพรวดๆเอาซะขนาดนั้น


    (ใช่ว่าข้าจะอยากเปิดโรงยาสูบหรอกนะ...)


    พวกเรามาถึงที่นี่ตั้งแต่ยามสายนิดๆ อากาศอุ่นๆกำลังดี ท่านอาดิวนำให้เราเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมขนาดกลางริมแม่น้ำที่ตัดผ่านกลางเมือง ชื่ออะไรนั้นเดี๋ยวข้าคงจะต้องกลับไปจดอีกที เพราะตอนเข้ามาถึงข้าก็มัวแต่ดูแลทั้งเนนย่า อารอส และ เปรโก ม้าของท่านอาดิว ทำความสะอาดแปรงขน หาน้ำหาท่าให้ดื่มกัน


    พอเข้าคอก เปรโกก็ยุ่งอยู่กับการเกลี่ยฟาง เนนย่าดูสบายอกสบายใจดี (ผิดกับเจ้าของลิบลับ) ส่วนอารอส พอมีที่คุ้มหัวนอนปุ๊ป ก็หลับป๊อก


    คงจะเป็นเรื่องจริงที่ไอแวนบ่นข้าว่าเอาใจเจ้านี่มากไปหน่อย..


    หลังจากจัดการทำธุระเรื่องห้องพักเสร็จ ท่านอาดิวขอตัวแยกออกไป ดูเหมือนว่าจะมีนัด


    นั่งๆนอนๆอยู่ในห้องได้สักพัก ข้าก็หันไปบอกไอแวนว่าจะออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย สำรวจเมืองนิดๆหน่อยๆ
    ไอฟ์พยักหน้า เก็บปืนพกที่ทำความสะอาดอยู่กลับปลอกบนเข็มขัด แล้วเดินตามข้าออกมา


    …นี่ข้าไม่ได้บอกเขาสักคำนะว่าข้าอยากให้เขามาด้วยน่ะ...


    พอข้าบอกไปอย่างงั้น ไอฟ์ก็มองหน้าข้าเหมือนตัวประหลาด แล้วเอื้อมมือมาขยี้ผมข้าแรงๆ
    “จะให้ข้าทิ้งเจ้าได้ยังไงกันเล่า ตอนเด็กๆ พอข้าคลาดสายตาจากเจ้าไปหน่อย แม้แต่ปล่องไฟบ้านข้าเจ้ายังเข้าไปติดได้เลย!”


    ...บางทีข้าก็เกลียดเขาเอามากๆเลยนะ ให้ตายเถอะ


    เลิกขุดเรื่องเก่าๆมาทำให้ข้ารู้สึกขายหน้าซะที! ไม่ต้องห่วงพะวงข้าขนาดนั้นก็ได้!
    ถ้าท่านตกปลาได้มากกว่าข้าเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันอีกที เข้าใจไหม!?


    .
    .
    .


    เขียนบ้าอะไรของเจ้าน่ะ

    เรื่องจริง ไอฟ์ แล้วท่านถือวิสาสะแย่งปากกาของข้าไปได้ยังไงกัน...

    ปากกานี่ข้าเป็นคนให้เจ้าเองพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มนี้นะ

    มันไม่ใช่กรรมสิทธิ์ร่วมซักหน่อยนึง!

    ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

    ...ไม่อยากจะเถียงกับท่านแล้วนะ

    แล้วเมื่อไหร่จะย้ายที่กันซะทีล่ะ? เรานั่งแช่กันอยู่ที่คาเฟ่นี่จนน้ำแข็งละลายหมดแล้วนะ

    ก็ข้ายังเขียนไม่เสร็จนี่! หาอะไรทำไปสิ

    ก็เจ้าไม่สนใจข้าเลยนี่

    ไม่เห็นจำเป็นเลย.. มองไปรอบๆสิ

    อะไร?

    สาวๆน่ะ สาวๆ

    หา?

    สาวน้อยสาวใหญ่มีให้ดูตั้งเยอะแยะ รูปร่างสีสันอะไรขนาดไหนท่านก็เลือกดูเลือกจีบได้นี่

    นั่นคนนะเฟรย์ ไม่ใช่ผักปลา จะได้เลือกสีเลือกขนาดได้น่ะ..

    ท่านไม่สนใจรึไง?

    ไม่หรอก

    โกหก

    ไม่หรอก จริงๆนะ

    ….....

    ...เฮ้! อย่าเอาปลายปากกาเจ้ามาทิ่มจมูกข้าสิ!



    ก็ท่านน่ะ ทำตัวน่าหมั่นไส้เองนี่นา


    .
    .
    .


    เขาไปแล้วล่ะ

    ไอแวนกลับไปนั่งจุมปุ๊ก เขี่ยปลายนิ้วกับละอองน้ำที่ระเหยจับอยู่รอบๆแก้วน้ำแข็งวาดเป็นรูปเล่น
    คงกำลังพยายามหาอะไรให้ตัวเองทำอยู่สินะ?
    ก็เหมือนเด็กๆดีนี่นา...


    จริงๆเมื่อเช้านี่ข้าก็ลากเขาไปตระเวนจนแทบจะรอบเมือง เข้านอกออกในตรอกซอกซอยไม่รู้จักกี่แห่ง
    คนแก่คงจะเหนื่อยสินะ หึหึ


    เฮ้ อย่ามองข้าอย่างนั้นสิ ถึงท่านจะเป็นแค่สมุดบันทึกก็เถอะ ข้านึกภาพออกเลยล่ะว่าถ้าท่านเป็นคนจริงๆ แล้วกำลังรับฟังข้าอยู่ตอนนี้ จะทำหน้ายังไง


    คงกำลังอยากจะบอกข้าว่า 'เลิกไร้สาระแล้วเล่าต่อซะที!' ใช่ไหม?
    เอาล่ะๆ นอกเรื่องมาพอแล้ว


    เมืองเรนาสนี่น่ะนะ พอมาดูคร่าวๆแล้วก็แบ่งออกมาได้เป็นสามส่วนใหญ่ๆ อย่างที่ข้าวาดไว้บนหน้าตรงกันข้าม

    ส่วนหนึ่งเป็นคลังเก็บบรรทุกสินค้า กินอาณาเขตใหญ่เลยทีเดียว เขตบริเวณนี้ไม่มีอะไรนอกจากโกดังใหญ่ๆที่เรียงกันเป็นตับ ติดกับท่าเรือพอดิบพอดีเพื่อความสะดวกสบายในการขนส่ง

    อีกหนึ่งคือตัวเมืองที่เต็มไปด้วยร้านค้าและตลาดใหญ่ ขายทุกอย่างตั้งแต่ของป่ายันเสื้อคลุมอาบน้ำ


    และส่วนสุดท้ายคือซ่อง และบ่อนการพนัน
    นี่แหละที่ข้าหมายตาไว้~


    เมื่อกี้ข้าเองก็แอบๆไปด้อมๆมองๆดูมาบ้าง แต่อาจจะเพราะยังหัววันอยู่ เลยดูเงียบพิกล
    แต่ข้าไม่ลดละแค่นี้หรอกนะ...


    ก็เมืองนี้มีสิ่งที่กำลังรอให้ข้าค้นพบอยู่ตั้งมากมาย
    และข้าก็รู้สึกว่าเมืองนี้ จะให้คำตอบหลายๆอย่างกับคำถามของข้าที่พกติดตัวมาด้วย



    คนของเอเดลไรย์ ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปง่ายๆหรอกนะ


    ======================


    ไอแวนลืมตาขึ้นมาหนึ่งข้างเมื่อได้ยินเสียงปิดสมุดบันทึกเบาๆ
    “เขียนเสร็จแล้วรึไง?”


    “ก็เสร็จแล้วสิ” เฟรเทียร์จัดระเบียบเศษกระดาษต่างสีที่โผล่มาจากสมุดบันทึกประจำตัวของตน ก่อนที่จะเก็บมันเข้ากระเป๋าหนังใบเล็กที่สะพายติดตัวตามเดิม เธอวางแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วแนบแก้มของลงกับแขน ให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับไอแวนที่ยังคงฟุบหน้านอนกลางวันอยู่


    “นี่”


    “อะไร?” คราวนี้ไอแวนลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมองเธอ เฟรย์มองนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มทั้งคู่นั้นก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบปอยผมสีทองของเขาขึ้นมาเล่น


    “ท่านคิดยังไงกับผีเสื้อกลางคืน?”


    ไอแวนปล่อยให้เธอเล่นผมของเขาตามใจ แต่ก็อดขมวดคิ้วกับคำถามที่หาที่มาที่ไปไม่ได้เลยสักนิดนั้นไม่ได้
    “พูดอะไรของเจ้ากัน?”


    “ข้าหมายถึงผีเสื้อกลางคืนน่ะ” เฟรเทียร์มองเส้นผมสีสวยอ่อนนุ่มไหลเคลียปลายนิ้วของตน “พวกที่ตาโตๆ ตัวอ้วนๆ มีขนฟูๆอยู่เต็ม แล้วก็ตัวมีแต่สีน้ำตาล”


    “ข้า..ไม่ได้คิดอะไรกับพวกมันเป็นพิเศษ” ชายหนุ่มขบริมฝีปากล่างอย่างใช้ความคิดนิดๆ “ถ้าจะพูดให้ตรงตัวคือ ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าพวกมันมีความสำคัญอะไรกับระบบนิเวศน์บ้าง นอกจากเป็นเหยื่อให้กับนกกลางคืนบางชนิดน่ะนะ”


    เฟรเทียร์พยักหน้าเนือยๆ ไอแวนมองหน้าเธอ เขายืดตัวลุกขึ้นนั่งดีๆ
    “แล้วอะไรมาดลใจให้เจ้าถามอะไรแปลกๆอย่างนี้ล่ะ?”


    “ก็.. ไม่รู้สิ” หญิงสาวเอานิ้วชี้จุ่มลงไปในแก้วน้ำแล้วเริ่มวาดภาพเรื่อยเปื่อยกับโต๊ะไม้ “ข้าแค่สงสัย”


    “สงสัย?”


    “เมื่อคืนน่ะ ข้าเห็น ตอนที่เรานอนพักกันบนเขา พวกมันออกมาบินกันเยอะแยะเลย แต่ละตัวใหญ่ๆทั้งนั้น” เธอขมวดคิ้ว “ทั้งๆที่ข้าเข้าป่าหลายครั้งหลายหน แต่นั่นกลับเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเยอะขนาดนั้น แล้ว...”


    “แล้ว..ยังไง?”


    “ทั้งๆที่นั่นน่าจะเป็นครั้งแรก... แต่ข้ากลับรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” เฟรเทียร์โคลงหัว “เห็นหรือว่าข้าแค่ฝันไปก็ไม่รู้...”


    ชายหนุ่มมองลายน้ำที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างจากปลายนิ้วมือของคู่สนทนา ปล่อยให้เธอพูดต่ออย่างไม่ขัด


    “ผีเสื้อพวกนี้ออกมาเฉพาะตอนกลางคืน และมักบินเข้าหาเปลวไฟ หรือกองเพลิง อะไรก็ได้ที่ให้แสงสว่าง...” เฟรเทียร์พูด “ทำให้ข้าคิดว่า... ทำไมพวกมันถึงไม่ตื่นตอนกลางวันแทน ออกหากินในเวลาที่มีแสงสว่างเต็มที่กันนะ?”


    “เรื่องนี้น่ะ ข้าไม่รู้หรอก” ไอแวนตอบพลางยักไหล่ “บางทีน่ะ การที่เราต้องการที่จะหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติทั้งหมดน่ะ ก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ”


    คู่สนทนาพยักหน้ารับเหมือนเด็กๆ ไอแวนยิ้มนิดๆ ถึงจะรู้สึกแปลกๆไปบ้างที่หญิงสาวไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ


    “ตอนนี้น่ะนะ ข้ารู้แค่ว่า เจ้ากำลังคิดมากเรื่อยเปื่อย... หาแก่นสารไม่ได้ แถมไร้สาระอีกต่างหาก!” เขาเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะออกแรงขยี้อย่างหมั่นเขี้ยว คนถูกแกล้งถึงกับสะดุ้ง ชักศีรษะหนีทันที


    “ท่านนี่! ทำบ้าอะไรของท่านกัน! นี่ถ้าท่านหลงป่าขึ้นมาเมื่อไหร่นะ ให้ตายข้าก็ไม่ไปตามหา!”


    ไอแวนยิ้มอย่างยียวนกลับไปให้ลูกแมวตัวน้อยๆ ที่กำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อเพราะขนโดนขยี้เสียจนไม่เป็นทรง


    “อ๋อ เหรอ...” ชายหนุ่มประสานมือทั้งสองข้างแล้วเท้าคาง จงใจลากเสียงให้กระทบโทสะที่กำลังแล่นเปรี๊ยะของอีกฝ่าย หวังแก้แค้นคนเอาแต่ใจที่ลากเขาไปนู่นมานี่ แล้วสุดท้ายกลับมาทิ้งให้เขาตกเป็นเป้าสายตา 'สาวน้อยสาวใหญ่' ในร้านขายเครื่องดื่มแห่งนี้อย่างเต็มที่


    อาจจะดูเหมือนโอ้อวด แต่ชายหนุ่มลูกโทนของตระกูลเลห์ เชลลีย์นั้น จัดได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆในเรื่องหน้าตา


    ตั้งแต่เด็ก ไอแวนโดนป้าๆน้าๆจับจูบลูบคลำ หยิกแก้มหยอกล้อเหมือนเขาเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีประสาทรับรู้ความเจ็บปวด
    ถ้าเป็นลูกเป็ดลูกไก่ ไอแวนคิดว่าเขาอาจจะเฉามือผู้หญิงพวกนั้นตายไปตั้งแต่เด็กแล้วก็เป็นได้


    ด้วยสาเหตุนี้
    ไอแวน เลห์ เชลลีย์ จึงเกลียดการที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาที่สุดในโลก


    แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นใส่กระโปรงแต่งหน้าทาปากเพียงเพื่อหนีสายตาแทะโลมของสาวๆที่ไม่ค่อยจะมียางอายเหล่านั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะทำได้หรอกนะ
    เพราะถ้าทำอย่างนั้น มันอาจจะกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้น่ะสิ...


    อา... รู้อะไรไหม บางทีข้าเองก็คิดว่าตัวเองเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ เฟรย์
    เพราะฉะนั้น...


    “เอ๋?” คุณหนูเอเดลไรย์เงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มที่อยู่ดีๆก็ลุกพรวดยืนขึ้น ไอแวนยิ้ม


    ยิ้มชนิดที่ทำให้เฟรเทียร์ขนลุกซู่


    “มา เฟรย์” ไม่ทันที่เธอจะได้อ้าปากประท้วง ชายหนุ่มก็เอื้อมมือมาคว้าแขน แล้วลากหญิงสาวออกจากร้านทันที


    เหรียญเงินสองสามเหรียญค่าเครื่องดื่ม พร้อมลายน้ำรูปผีเสื้อกลางคืนไม่ทราบชนิดตัวใหญ่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ
    บรรดาลูกค้าเพศหญิงกว่าครึ่ง (และเจ้าของร้านประเภทสอง) ถอนหายใจด้วยความเสียดาย


    ======================


    ลีเฟีย เทริสซาริน อายุสิบสี่ปี เพศหญิงโดยกำเนิด

    สุขภาพร่างกายของเธอนั้นแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ ออกจะดีกว่ามาตรฐานเด็กสลัมทั่วไปด้วยซ้ำ
    ถ้ามองผ่านๆ ก็จะดูเหมือนเด็กไร้บ้านทั่วไปที่เก่งแต่เรื่องโลดโผน แต่ถ้าสามารถจับให้เธออยู่นิ่งๆ ได้นานพอที่จะมองหน้าดีๆ และจับมาขัดสีฉวีวรรณอีกซักสี่ห้ารอบ ก็จะพบว่าลีฟเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักเอาการเลยทีเดียว


    เวลาว่างของเด็กสาวมักจะถูกใช้ไปกับการรับจ้างใช้สอยจิปาถะจากคนในตลาด มีบ่อยครั้งที่จะต้องวิ่งส่งเอกสารจดหมายต่างๆไปโน่นมานี่


    แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
    เธอกำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต


    ร่างเล็กๆนั้นวิ่งห้อไปตามถนนอิฐแดงที่คดเคี้ยวไปมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปทางด้านหลังที่มีเสียงตะโกนแหบห้าวโหวกเหวกตามมาติดๆ


    เด็กสาวตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงเตี้ยๆ แขนทั้งสองข้างเอื้อมจนสุดไปคว้าเข้ากับชายคาบ้านเมื่อเธอออกแรงกระโดด ปลายรองเท้าหนังซอมซ่อยันเข้ากับกรอบหน้าต่างไม้ ออกแรงถีบตัวอีกครั้งก็มีแรงพอส่งให้เธอปีนขึ้นไปยืนบนหลังคากระเบื้องสีแดงได้


    ดวงตาสีเปลือกไม้กระพริบถี่ เสียงหอบหายใจและหัวใจที่เต้นรัวดังอื้ออึงก้องสะท้อนอยู่ในหัว ลีเฟียหันซ้ายขวา มองไปรอบๆ พยายามมองหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เธอสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังตามล่าตัวเธออยู่


    “เฮ้ย! ไอ้หนูนั่นมันไปโน่นแล้ว!!”


    ถึงจะกลัวตกยังไง แต่ตอนนี้ลีฟไม่สนใจแล้ว เธอรีบสาวเท้าออกเดินอย่างระมัดระวังและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ไต่ไปตามกระเบื้องสีสดที่เรียงกับเป็นตับอยู่ตรงหน้าเธอ กระโดดก้าวข้ามช่องว่างเล็กๆระหว่างบ้านอย่างแม่นยำทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวจนตัวสั่น


    เธอรู้ว่าคนพวกนั้นยังตามมา ถึงจะมองไม่เห็น แต่เธอก็ยังได้ยิน ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของรองเท้าหนังเสริมเหล็ก ได้ยินเสียงผู้อยู่อาศัยของหมู่บ้านน้อยๆที่เธอไต่หลังคาอยู่อุทานด้วยความตกใจเมื่อประตูบ้านถูกกระแทกเปิดและห้องหับโดนรื้อค้นโดยคนแปลกหน้า


    มือเล็กๆชื้นเหงื่อกำจดหมายในมือจนยับยู่ยี่


    ไม่ได้ไม่ได้ไม่ได้!! จะมาแพ้ตรงนี้ไม่ได้!!!


    ลีเฟียรีบพาตัวเองออกห่างไปจากเสียงดังอึกทึกเหล่านั้น เธอกระโดดจากหลังคาบ้านหลังสุดท้ายของย่านตลาดไปยังระเบียงชั้นสองของตัวอาคารร้านค้าที่ตั้งอยู่ในย่านขายสินค้าติดๆกัน


    “นี่ท่านจะลากข้าไปไหนน่ะ!” เด็กสาวในชุดเสื้อกั๊กสีน้ำตาลกางเกงขาสั้นลายสก็อตสะดุ้งสุดตัว ลีฟรีบตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนหลังคาที่สูงกว่าของอาคารหลังนั้น เธอแนบตัวเข้ากับชายคา แล้วแอบมองไปตามเสียงที่ดังขึ้นมาจากตรอกข้างใต้โดยอัตโนมัติ


    “ทำตัวเงียบๆ แล้วตามข้ามาเถอะน่า” เสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายอีกคนหนึ่งตอบรับน้ำเสียงหวานๆเจืออารมณ์ขุ่นมัวนั้น ลีเฟียเลิกหมวกของตัวเองขึ้น ส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่ปอยผมยุ่งเหยิงสีเขียวอ่อนของเธอให้พ้นใบหน้า และพยายามเพ่งมอง...


    “ไอแวน! เฮ้!!” เป็นชายหนุ่มผมน้ำตาลทอง และหญิงสาวผมสีนิล ดูจากท่าทางการแต่งตัวแล้วคงเป็นนักเดินทาง...


    อะไรกัน ก็แค่หนุ่มสาวทะเลาะกัน... ลีเฟียบ่นขมุบขมิบในใจ ถอนหายใจพรืดแล้วขยับตัวลุกขึ้น ก้าวเท้าหมายจะไปต่อ

    และเหยียบลงไปบนแผ่นกระเบื้องที่ไม่มีหมุดตอกยึดไว้


    อุ๊บส์?


    ก่อนที่จะรู้เรื่องราว สายลมก็พัดวูบเข้ามาปะทะกับร่างของเธอที่กำลังร่วงหล่นอย่างไร้เสียง สมองไม่แม้แต่จะมีเวลาพอที่จะสั่งการให้ร้องตะโกน


    แต่พอดีกันว่า..คนบางคนมี


    “เฮ้ยยยยยยยย!!!”


    มีเสียงวัตถุกระทบกันดังพลั่ก พร้อมๆกับความเจ็บปวดที่น่าจะแล่นเป็นริ้วๆขึ้นมาตามไขสันหลังของเด็กสาว


    แต่....เอ๋..?
    ไม่เจ็บ?


    ลีเฟียลืมตาขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ สิ่งแรกที่เธอเห็นคือ ดวงตาสีมรกตคู่ใหญ่ และรอยยิ้มที่เธอคิดว่าสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา


    “อะไรกันเนี่ย?” เฟรเทียร์ผิวปากวิ๊ว “เทพบุตรตัวน้อยตกสววรค์?”


    “เพ้อเจ้อน่าเฟรย์” ไอแวนแย้งเรียบๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองเด็กสาวในอ้อมแขนอย่างพิจารณา ลีเฟียสะดุ้งสุดตัว มือทั้งสองข้างยกขึ้นดึงหมวกของตัวเองลงมาให้ปกปิดใบหน้าของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


    “เอ้า จ้องจนคนทะลุแล้ว” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลยาวระเอวกอดอกยิ้มๆ “เพราะท่านมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนั้นน่ะสิ ถึงไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้ซะที”


    “พูดมากไปไหมล่ะ เจ้าน่ะ” ชายหนุ่มค่อยๆวางเด็กสาวตัวเล็กลงอย่างระมัดระวัง มือข้างหนึ่งยังคงวางไว้บนไหล่บางนั้น “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


    “ข..ข้าไม่เป็นไร” เด็กสาวตัวขมุกขมอมตอบตะกุกตะกัก ดูเหมือนว่าจะเพิ่งจำมารยาทได้จึงโค้งสุดตัว
    “ขอบคุณท่านมาก!”


    “ไม่เป็นไรๆ” เฟรเทียร์ย่อตัวลง เอื้อมมือทั้งสองข้างมาจัดเครื่องแต่งกายซอมซ่อนั้นให้เข้าที่ แถมยังถือวิสาสะเช็ดหน้าตาให้กับเธอ “ว่าแต่ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ? ไปทำอะไรล่ะถึงได้ตกลงมาจากหลังคาบ้านเขาได้น่ะ?”


    “ข..ข้า..เอ่อ...” ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตหลุบลงต่ำ มือทั้งคู่กอดจดหมายแนบไว้กับอก นักเดินทางทั้งคู่เหลือบมองอากัปกิริยานั้นอย่างฉงนใจ


    “เฮ้ย!! ทางนี้!!” คนทั้งสามหันขวับไปตามเสียงตะโกนแหบห้าวที่หน้าตรอก ก่อนที่เด็กสาวจะทันได้พูดอะไรต่อ เฟรเทียร์ก็ถือวิสาสะอุ้มเธอขึ้น และออกวิ่งทันที


    “เฟรเทียร์ เอเดลไรย์!!” ไอแวนที่วิ่งตามมาติดๆตะโกนเรียกอย่างตกใจ “ทำบ้าอะไรของเจ้า!!?”


    “ประพฤติตัวเป็นบุคลากรที่ดีของสังคมไงเล่า!!” หญิงสาวที่กำลังอุ้มเด็กจรจัดที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกหนีกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบตะโกนกลับอย่างไม่หยี่ระ


    “เสียสติ!” ชายหนุ่มตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้า


    “งั้นท่านก็เสียสติพอกันที่ยังวิ่งตามข้ามาน่ะ!”


    “นี่เจ้า...!”


    “ซ้ายค่ะ!” ลีเฟียที่กอดคอเอาเฟรย์ไว้แน่นตะโกนสอดขึ้นมาเมื่อมาถึงสุดตรอก ทั้งเฟรเทียร์ทั้งไอแวนหุบปากแล้วเลี้ยวซ้ายอย่างพร้อมเพรียง


    “โธ่เว๊ย” หญิงสาวสบถเบาๆเมื่อเห็นว่าทางที่เลี้ยวมานั้นเป็นทางตัน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นอิฐที่ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทนั้นบ่งบอกแน่ชัดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวแน่ๆ เฟรเทียร์หันไปหาคนที่วิ่งตามหลังมาติดๆ


    “ไอฟ์!”
    ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่วิ่งนำไปก่อนหน้า แล้วเหวี่ยงตัวข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็ว


    “นี่” น้ำเสียงของหญิงสาวที่อุ้มเธออยู่เรียกให้ลีเฟียที่กำลังมองภาพตรงหน้าอย่างอึ้งๆ หันไปมองทันที


    “ค..คะ?”


    “ช่วยปล่อยมือนิดนะ แล้วก็...” เฟรเทียร์ยิ้มแป้น “หลับตาแน่นๆล่ะ”


    ไม่รอคำตอบ เฟรเทียร์ เอเดลไรย์กระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
    แล้วโยนเธอข้ามกำแพงทันที


    “ว๊ายยยยยย!!!!!!!”


    ไอแวนที่ยืนรอรับร่างของเด็กสาวที่ถูกจับโยนอย่างไม่มีพิธีรีตองอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงหัวเราะหึๆ
    “เด็กผู้หญิงจริงๆด้วยสินะ”


    “ครั้งแรกมองไม่ค่อยออกเลยเนอะไอฟ์” ร่างเพรียวที่กระโดดข้ามกำแพงมาติดๆรับคำด้วยน้ำเสียงสบายๆ เธอยิ้มอย่างขอโทษขอโพยไปให้ผู้ถูกกระทำที่นอนตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มคู่หู


    “เอะอะอะไรกัน!!?”


    ประตูหลังบ้านที่พวกเขาเพิ่งกระโดดบุกรุกเข้ามาถูกถีบเปิดออกอย่างแรง ทั้งสามคนสะดุ้งสุดตัว หันหน้าไปเผชิญกับร่างสูงที่ยืนตระหง่านเป็นนายทวารอยู่


    หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งหน้าตาสวยเฉี่ยวเหลือบมองดูพวกเขาด้วยสายตาเย็นๆ ไม่พูดไม่จา เดินอาดๆเข้าไปคว้าปืนลูกโม่ที่เหน็บอยู่ที่เอวของไอแวน ขึ้นนก แล้วยิงเปรี้ยงทะลุกำแพงอิฐหนาไปทันทีสี่นัด


    “ใครหน้าไหนมันกล้าปีนกำแพงเข้าบ่อนนายข้า แม่ยิงไส้แตกแน่!!”


    เพียงเท่านั้น สรรพสิ่งก็พลันเงียบงัน...


    เธอสะบัดเรือนผมสีวอลนัตประกายทองกลับมาเพ่งมอง 'ผู้บุกรุก' ที่ปีนกำแพงเข้ามาก่อนแล้วสามชีวิต
    เฟรเทียร์ยืนนิ่งแข็งเป็นรูปปั้น ส่วนไอแวนมองปืนสุดรักของตัวเองในมือคนแปลกหน้าอย่างไม่อย่างเชื่อสายตา


    “อ้าว ลีฟ...”


    แองเต้ วิโกริช แนบปลายกระบอกปืนเข้ากับริมฝีปากสีชาด แล้วเป่าควันที่โชยออกมาเบาๆ


    “คราวนี้เก็บตัวอะไรเข้าบ้านอีกล่ะ?”


    ======================


    สนทนาเล็กน้อย

    แองเต้ออกแล้วววว เฮฮฮฮ ลีเฟียด้วยยยยย!!
    จริงๆตอนนี้อยากจะยืดให้ยาวกว่านี้อีกนิด แต่พอดีมันมาถึง natural pause เลยยืดไม่รอด XDD"
    ขอโทษที่ต้องทำให้รอกันนานนะคะ~ (หายไปทำวีซ่า + เก็บของกลับ uk) ตอนนี้ก็เริ่มจะทยอยออกตัวละครเรื่อยๆแล้ว ส่วนปมเรื่องก็จะทยอยแก้ไปเรื่อยๆค่ะ ' w '/

    ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ! น้อมรับคำติชมเช่นเคย!!

    บุญรักษาทุกท่านค่ะ


    List ตัวละครที่ออก

    - ลีเฟีย เทลลิสซาริน (powder)
    - แองเต้ วิโกริช (kolonel)
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    แองเต้เปิดตัวได้ถูกใจจริงๆแฮะ คาแรคเตอร์แนวโปรดเลยล่ะ >_<
  5. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    คุณเธอว์เปิดตัวด้วยลูกกระสุน =[]=
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อืมม ไม่นึกว่าจะเปิดบทด้วยการเล่าเรื่องผ่านไดอารี่... มึนนิดๆแต่ก็ทำให้เข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้ดี และก็เห็นฉากบรรยากาศต่างๆในเมืองได้ชัดเจนด้วย น่าสนใจมาก!


    เนื้อเรื่องตอนนี้ก็เริ่มขยับ เปิดตัวละครใหม่ในสถานที่ใหม่ และดูเหมือนจะนำปัญหาใหม่มาเสียด้วยสิ
    รอดูต่อไป



    ภาพรวมสนุกดี การไล่ล่าลีเฟียก็ตื่นเต้นไม่หยอก



    มุมคำผิด

    - พักในโรงเตี๊ยมขนาดกลาง < < โรงเตี๊ยมไม่ผิดหรอก แต่ถ้าภาพบรรยากาศของทั้งเรื่องมันออกกึ่งๆไปทางยุโรป ใช้โรงแรมน่าจะเหมาะกว่านะ แต่อันนี้ก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัวเน้อ

    - เก็บบรรทุกสินค้า < < บ. ใบไม้เกินมาตัวแน่ะ

    - ตะเกียดตะกาย < < ตะเกียกตะกาย

    - ของหมุ่บ้านน้อยๆ < < หมู่บ้าน

    - มือข้างหนึ่งยังคงวางไว้บนใหล่บางนั้น < < ไหล่
  7. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    มาแล้ว! (ในหลายๆความหมาย)

    ในบทนี้ คงต้องขอคอมเมนต์(ที่อาจจะ)ยาวกว่าเดิมนิด โดยเฉพาะตอนท้ายๆ ซึ่งพี่แน๊กคงจะรู้เหตุผลดีว่าทำไม XD

    มาเริ่มกันเลยดีกว่า ในบทนี้ เปิดตัวด้วยบันทึกของเฟรย์เทีย เป็นอะไรที่แปลกใหม่ ซึ่งคงต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า 'อ่านครั้งแรก' แล้วรู้สึกแปลกใจอยู่เสียหน่อย ในรสชาติที่เปลี่ยงแปลง เหมือนอาหารจานเดิม ที่เปลี่ยนแปลงเครื่องปรุงไป กินครั้งแรกอาจรู้สึกไม่อร่อยเท่าของเดิม เนื่องจากความไม่คุ้นชิน แต่พอ 'กินอย่างช้าๆอีกครั้ง' กลับพบว่ามันมีรสชาติที่อร่อยเฉพาะตัวของมันเองไม่แพ้กัน

    ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า ส่วนตัวเป็นคนที่อคติ "บทบรรยายที่เป็นคำพูด" ไว้จากนิยายที่ดังมากเรื่องหนึ่งของไทย (เป็นนิยายจากคนเขียนเรื่อง ถนนสีขาว) ฉะนั้นเมื่ออ่านปรายบทนี้แล้วเห็นเป็นบันทึก คล้ายๆภาษาพูดขึ้นมาครั้งแรก เราจึงเกิดความแสลงใจขึ้นมาไม่น้อย แต่พออ่านดูแล้ว กลับพบว่า พี่แน๊กเขียนความรู้สึกของตัวละครที่มองโลก ออกมาได้อย่างละเมียดละไมกว่าที่เคยพบจากนิยายไทยเรื่องอื่นๆมาก ถึงมากที่สุด

    มันคงเป็นความประทับใจของนักอ่านนิยายเรื่องมากคนนี้ ที่อยากให้พี่แน๊กเขียนในแบบและภาษาของตัวเองต่อไป ไม่ว่าจะเป็นบทบรรยาย หรือผ่านความคิดของตัวละครมาแบบบันทึกของเฟรย์ก็ตาม เพราะพี่แน๊กทำได้ดีแล้วค่ะ สมกับชื่อตอนว่า ทดลองสิ่งแปลกใหม่ จริงๆ

    ในส่วนเนื้อเรื่องช่วงต้น

    เฟรย์เอง พอรู้ความคิดของเจ้าหล่อน ก็พบว่าเธอ เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็น และดูท่าจะชอบเสี่ยงทำอะไรหลายๆอย่างไม่ใช่น้อย เธอเป็นคนเก็บความสงสัยไว้มาก บางเรื่องก็ตัดสินใจพูดออกมา ซึ่งคนเดียวที่เลือกจะปรึกษาคงไม่พ้นไอแวน เพื่อนที่รู้ใจดีที่สุด

    ท่อนสนทนาที่น่าสนใจในส่วนนี้ก็คือ

    เราว่ามันเป็นนิสัยลึกๆของเฟรย์ ที่ค่อนข้างคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้ และอาจถึงขั้น อืม... พูดไม่ถูก เอาเป็นว่าชาชินละกัน แต่คงไม่เท่าอากิรอสหรอกนะ lol

    ส่วนการกระทำของไอฟ์ รู้สึกว่าจะออกแนว "ซึนเดเระ" อยู่ไม่ใช่น้อย (ฮา)

    ไอแวนดูเป็นคนผ่านโลกมามาก มากกว่าอายุ คงได้รับอิทธิพลลึกๆจากพ่อเขา โดยที่เขาไม่เคยรู้ เป็นคนที่ดูเหมือนจะดูง่าย แต่ความจริงเป็นคนดูยาก เหมือนจะเปิดเผย แต่ก็มีอะไรอยู่เยอะ เป็นนิสัยทะเลไม่ต่างกันกับอเล็กซาร์เลย แต่คนละแบบนะ (ลูกไม้หล่อนไม่ไกลต้น?)

    ว่าแต่ ท่อนนี้

    ไม่รู้ทำไม แต่เห็นไอแวนน่ารักขึ้นมาทันตา! หนุ่มหน้าหวานซินะเนี่ย! น่าหยิกเล่นซะด้วย!? แต่ไอแวนคงจะเบื่อกับสายตาแปลกๆพวกนั้นซะเต็มประดา เลยคว้าเฟรย์ออกไปเร็วขนาดนั้น 555+

    เรื่องผีเสื้อกลางคืน คงต้องตามติดไปดูบทต่อไปแน่ๆ ซึ่งเรารออย่างใจจดใจจ่ออยู่แล้วล่ะ :D

    ----------------------------------------------------

    Part 2 บทเปิดของลีเฟียทำออกมาได้ตื่นเต้นดี สมกับความเป็นสลัมที่มักจะมีเรื่องต่างๆอยู่เสมอ ลีฟคล่องมาก ซึ่งก็เป็นการดีแล้ว ไม่งั้นคงไม่ได้มาเจอพวกเฟรย์

    ลีฟเองก็เป็นผู้ใหญ่กว่าตัวอีกเช่นเดียวกัน ทั้งความสามารถและความคิดบางอย่าง สัญชาติญาณการเอาตัวรอดของเธอคงเติบโตจากสลัมเนี่ยแหละ ส่วนจดหมายนั่นคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก จึงยอมเสี่ยงชีวิต ถึงขั้นต้องโดนชายฉกรรจ์นับสิบไล่ตามแบบนั้น

    บทบรรยายการหนีตอนนี้สนุกมากเลยค่ะ ชอบภาษาตอนนี้มาก ไหลลื่นรวดเร็ว ต่อเนื่องไม่ขาดตอน ประหนึ่งเล่นเกม ชอบมุขรับและส่งของเฟรย์กับไอฟ์ตอนที่เจอลีฟมากๆ แอบรู้ท่าทีของไอแวนมากขึ้นด้วยนะเออ

    แล้วก็ เฟรย์ในตอนนี้น่ารักมาก และดูรั่วนิดๆด้วย >w<

    อะไรกันเนี่ย! คิดมุขแบบนี้แม้จะหน้าสิ่วหน้าขวาน! (ฮา)

    ...แต่ที่เรากรี๊ดที่สุด คงไม่ต้องทายให้มากความ แองเต้น่ะเอง

    ป้าดดดดดดดดดด!!! อะไรเนี่ย! เป็นอะไรที่เราคาดไม่ถึงมากๆค่ะว่าจะเปิดตัวมาแบบนี้ ผู้หญิงอะไรกันเนี่ย! มาถึงก็หยิบปืนของชาวบ้านมายิงขู่ศัตรู พร้อมสำทับซ้ำไปอีกที ...เท่มาก เท่จริงๆ พี่แน๊กเขียนออกมาเท่กว่าที่เราคาดคิดและกรอกโปรไฟล์ไว้พันเท่า เจ้าของเดิมถึงกับอึ้ง และย้อนอ่านเรื่องราวสั้นๆตรงช่วงท้ายของบทนี้ซ้ำไปซ้ำมา

    ...ว่าแต่ ไอ้ประโยคนี้นี้ ทำเราสครีมตั้งแต่อ่านครั้งแรกเลย

    ...เราคงต้องขอยืมคำพูดพี่อีวานมาว่า ชิทททททททททท...! เพราะเราบรรยายความรู้สึกไม่ได้ แต่ว่ามันชวนร้อง โฮกกกกกกกกกมาก (ละลาย)

    ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกอะไรแบบนี้ไหม (แต่ก็เห็นมีคอมเมนต์ชอบอยู่หลายคนนะ) ฉากเปิดแบบนี้มัน Impact มาก กระแทกสุดๆ เป็นตัวละครที่แค่ฉากเปิดสั้นๆก็ชวนติดตามต่อแล้ว

    รออ่านตอนต่อไปด้วยใจระทึก \(//∇//)\
    swanton ถูกใจสิ่งนี้
  8. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    “ใครหน้าไหนมันกล้าปีนกำแพงเข้าบ่อนนายข้า แม่ยิงไส้แตกแน่!!”

    ความหมายโดยนัยอาจเป็น "อยากเข้า นู้น(ชี้ไปที่ประตูหน้า)ไปเข้าประตูหน้านั่นไป"

    เปลี่ยนจากตอนที่มีอารมณ์สีเทาขุ่นมัวมาเป็น สีสดใสขึ้นในตอนนี้ จนเกือบจะทำให้ลืมไปว่าแก่นของเรื่องนี้ห่างไกลจากแนวในตอนปัจจุบันนี้มากแค่ไหน
  9. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    เป็นการตัดตอนของร้านอาหารอย่างง่าย แต่แฝงนัยสำหรับผมมากทีเดียวครับ =]

    สำหรับผม ผมว่าแม้ไอฟ์จะแค่ฟัง แต่ก็ยังอุตส่าห์วาดตามได้

    แต่ที่งดงามที่สุด คงเหมือนกับในหนังที่แพนกล้องตามตัวละครออกไป ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการหันกลับมาดูสิ่งที่เหลืออยู่บนโต๊ะ

    ซึ่งอาจจะมีความหมาย หรือแค่ภาพบทสนทนาของอดีตก็ได้

    ---------------------------------------------------------------------------

    ครึ่งหลังมาแนว ชุลมุนวุ่นวาย ส่งต่อบทเปลี่ยนรับอารมณ์ได้ดีเช่นเคยครับ ไม่มืดมนจนมองไม่เห็น

    แต่ก็ไม่ถึงกับสดใสจนแสบตา =] รอชมตอนต่อไปครับ ^^
  10. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    แปลกใจพอสมควรกับการเปิดบทด้วย first person
    แต่บรรยากาศมันน่ารักมากกกกกก
    ให้ตายเถอะ ตกลงไอแวนกับเฟรย์เทียร์มันเป็นแค่พี่น้องกันแน่รึ
    บทแย่งปากกากันนี่เป็นอะไรที่กุ๊กกิ๊กกันสุดๆ
    แถมเฟรย์ยังเล่นผมไอฟ์อีก
    ไม่อยากจะเชียร์สองคนนี้หรอกนะครับ เพราะรู้ๆอยู่แล้วว่าต้นฉบับนั้นไม่คิดเกินเลยต่อกัน :p

    มีส่วนที่ชอบหลายจุดเลยนะ โดยเฉพาะถ้อยคำที่เรียกได้ว่า "เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ" ของแน็กและเฟรย์ เช่น

    แอบซึนนะครับ เฟรย์เนี่ย *แสยะ*

    กร๊ากกกกกกกกก ติดปล่องไฟบ้าน กร๊ากกกกกกก
    นึกภาพลูกแมวขนฟูๆเต็มไปด้วยขี้เถ้าติดปล่องไฟ
    แต่นี่มันคนนะ เป็นตัวเอกที่อดีตน่าอับอายมาก (แต่น่ารัก)

    ตรงนี้สื่อความเป็นเฟรย์มากๆ
    จริงๆมันเป็นเรื่องที่ดูเผินๆเหมือนจะบอกว่า ไอแวนไม่ได้เรื่องเลยในเรื่อง outdoor activity แต่กลายเป็นว่าไอ้นิสัยแบบนี้มันทำให้เฟรย์ดูเป็นเด็กไปเลย :D

    แต่ของจริงมันต้องแองเต้ครับ!!
    ผู้หญิงคนนี้ขโมยซีนมากๆขอบอก!!!!
    อ่านแล้วแทบเอามือกุมหน้า เพราะอะไร เพราะไอแวนมันพกปืนเดินไปเดินมาทั้งเมือง แต่ไม่เคยยิงเลย
    มาให้แม่เสือสาวฉกปืนจากเอวไปยิงได้ อายไหมนั่นไอแวนเอ๋ย!!!! 55555
    สวย เผ็ด ดุ สมกับเป็นหญิงแกร่งแห่งแดนตะวันตก ถึงอิมเมจในหัวผมจะออกโนตมๆหน่อย คล้ายๆแม่เล้า (/*โดนแบมๆถีบ) แต่ผมก็ชอบแองเต้นะเออ~
    ส่วนหนูลีเฟีย ตอนหลบหนีเหมือนลูกแมวน้อยๆหนีฝูงสุนัข ตอนนี้ก็มีตรงที่ชอบอีกคือบทรับส่งของเฟรย์กับไอฟ์ โดยเฉพาะตอนที่เฟรย์ตะโกน ไอฟ์! แล้วไอแวนพุ่งข้ามกำแพงไปรับ รู้สึกได้ถึงความรู้ใจกัน คล้ายๆกับว่าลุยด้วยกันมาเยอะแล้ว

    เรื่องสำนวน ตอนนี้แจ่มใสขึ้นมาก คงเพราะใช้เฟรย์เป็นตัวเดินเรื่องด้วย แต่ก็ยังคงสเน่ห์ read between the line ได้ดี ไม่มีอะไรจะเม้นท์ เพราะรู้หมดแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับฟิคนี้ ไม่พูดพร่ำเพรื่อเดี๋ยวจะหาว่าอวยเกินเหตุ

    ปล. คุยกับแน็กดีไปอย่าง ใช้ภาษาอังกฤษได้สบายใจ >> ทั้งๆที่คนใช้งูๆปลาๆ
    kolonel ถูกใจสิ่งนี้
  11. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อูอาา ตอนใหม่มาแล้ว เริ่มมีสีสันความเร้าใจเพิ่มขึ้น ยังคงติดตามกันต่อไป ใครๆก็พูดถึงแต่แม่สาวปืนดุแฮะ ฮาาา
  12. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ขอมาเม้นท์หลังจากติดค้างไว้ สามตอนรวด (ฮาาาาาา) เนื่องจากติดภารกิจฟิคตัวเอง

    อย่างที่เคยบอกไปแล้วจ้า... คิดว่าพอเห็นสำนวนและลักษณะการใช้ภาษาของแน๊กที่เริ่มคงที่แล้ว นอกเหนือจากที่เคยอธิบายไปก็ยังไม่เห็นจุดไหนเพิ่มเติมเรื่องภาษา (คิดว่าดีแล้วหล่ะ ไม่งั้นเม้นท์คงยาวเกินไปอีกตามเคยแหง กร๊าก)

    เรื่องลำดับและตัวละคร -- รู้สึกว่าวางได้ต่อเนื่องดี ไม่ดูโดดจนเกินไป แต่ละตัวออกได้ถูกที่แล้วก็ถูกทาง
    (แต่ยังไม่ขอคอมเม้นท์มากในส่วนเนื้อเรื่องนะ... เพราะว่าอยากดูโดยรวม ๆ ไปก่อนอีกหลายตอน แล้วถึงจะวิจารณ์โดยภาพรวมได้แหะ)

    เอาเป็นว่า นอกจากสำนวนภาษาที่ชวนให้ติดตามแล้ว พออ่านมาเรื่อย ๆ ก็พบว่าเนื้อเรื่องก็ดูน่าติดตามดีด้วย แถมมีการตัดอารมณ์ในบทต่าง ๆ ได้ดี ส่วนที่ชวนทะมึนก็ทำให้คนอ่านรู้สึกตึงตามไปได้ (คิดว่าโดยเฉพาะบทที่ 3.5 ที่ทำออกมากระชากความรู้สึกของคนอ่านเป็นพิเศษ) ส่วนที่อยากให้เด่น ก็โดดออกมาจากเรื่องเพื่อกระตุ้นอารมณ์ได้ดี (เช่น ฉากเปิดตัวแองเต้) คิดว่าส่วนผสมของฟิคนี้กำลังลงตัวในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งการใส่ความรู้สึกของตัวละคร และการบรรยายฉากโดยปกติ

    เห็นด้วยกับพี่อีวานว่า นิยายเรื่องนี้ทำเป็นไลท์โนเวลได้สบาย ๆ เพราะคนเขียนไม่ได้เล่นแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของนิยายโดยเฉพาะ

    --- ขออธิบายแบบคร่าว ๆ (เหรอวะ?) ---

    ไม่รู้ว่าเคยพูดกับฟิคใครไปรึยัง? อาจจะยังมั้ง

    คนเขียนฟิคน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า โดยรวมนิยายมันเกิดจากหลายส่วนประกอบกัน เช่น พล๊อต ตัวละคร การใช้ภาษา อารมณ์ของเรื่อง... (นอกจากนิยาย ภาพยนตร์หรือละครก็มีส่วนประกอบหลักเหมือนกัน เพียงแต่อาจจะต่างในรายละเอียดบางอย่าง)

    แต่สิ่งที่ทำให้นิยายแต่ละเรื่องโดดเด่นขึ้นมา (จากนิยายเรื่องอื่น) คือการเทส่วนประกอบเฉพาะบางส่วนมากกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ (เช่นเดียวกับ หนังและภาพยนตร์ที่มีหลากหลายประเภทนั่นหล่ะ) นิยายบางเรื่องเน้นแฟนตาซีเป็นหลัก เครื่องปรุงหลักที่คนเขียนต้องให้ความใส่ใจก็จะเป็น พล๊อตและการใช้ภาษา ตัวละครคือส่วนเสริมที่จะทำให้เรื่องตื่นเต้นได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนอารมณ์ของเรื่องเป็นองค์ประกอบอื่น (ไม่ได้บอกว่าไม่จำเป็นนะ... คิดว่าจำเป็นมากที่จะทำให้ฟิคแฟนตาซีสนุกและโดดเด่นขึ้นมา เพียงแต่พอเป็นฟิคแฟนตาซีปุ๊บ คนเขียนมักไม่เติมส่วนนี้หรือเน้นให้เกิดรสชาติเท่าไหร่ เพราะเนื้อหาของแฟนตาซีมันยากที่จะไปดึงอารมณ์ของเรื่องและตัวละครออกมาพร้อม ๆ กัน)

    เพราะงั้นที่ฟิคแต่ละเรื่องสนุก เพราะรสชาติมันไม่เหมือนกัน... มันมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และของตัวละคร
    (สังเกตได้ว่า นิยายที่ใช้ตัวละครโทนเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ก็จะจืดชืด นิยายที่ใช้พล๊อตแบบเรื่องอื่น ๆ ก็จะจืดชืด... มันเป็นสัดส่วนในการผสมน่ะนะ)

    สำหรับ ML พี่ก็คงยังไม่สามารถวิจารณ์ไปถึงขั้นนั้นได้ แต่เท่าที่ติดตามอย่างใจจดใจจ่อ (ตามอ่านอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เม้นท์ตอนหลัง ๆ แค่นั้นเอง) ก็คิดว่า ML ทำจุดนี้ได้ดี แรก ๆ แอบสงสัยในพล๊อตอยู่เหมือนกัน ว่าบางทีมันอาจจะเนือยไป แต่พออ่านบทอื่น ๆ ตามมา (อ่านแบบต่อเนื่อง) ก็จะรู้ว่ามันเติมเต็มแต่ละบทด้วยตัวมันเอง เพราะฉะนั้นคิดว่าจนกว่าจะถึงปลายเรื่องก็คงไม่สามารถพูดออกมาได้ชัดเจนว่า ในความเห็นของตัวเองแล้ว คิดยังไงในประเด็นต่าง ๆ ของฟิคนี้

    "The whole thing is more important than the sum of its part" (หวังว่าแน๊กจะได้เรียนประโยคนี้ในเร็ว ๆ นี้นะ)

    ฟิคบางเรื่อง แต่ละตอนสนุกมาก แต่พอรวมกันแล้ว เนื้อเรื่องกลับดูไม่จืดเลย ขาดรสชาติ ไม่ซับซ้อน ไม่มีปม

    ฟิคบางเรื่อง แต่ละตอน อ่านแล้วงงมาก ดูไม่เคลียร์ มีแต่ปมที่ไม่เปิดเผยไว้ หรือบางทีก็น่าเบื่อ... แต่แต่ละตอนมันเติมรสชาติให้กับตอนก่อน ๆ อยากสนุกและอร่อย

    มันก็ไม่มีแบบไหนหรอกที่ดีหรือไม่ดี... ขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนอ่านมากกว่า

    ข้อจำกัดของการลงฟิคเป็นตอน ๆ แบบนี้ คือ คนอ่านไม่สามารถอ่านต่อเนื่องได้ รสชาติบางอย่างที่ได้จากการอ่านหนังสือหรือฟิคทั้งหมด มันเลยขาด... การเขียนให้น่าติดตามต่อในแต่ละตอน ให้ทั้งเรื่องสนุก และแต่ละตอนสนุก มันก็เลยเป็นอะไรที่ยากมาก แต่หวังว่า ML จะทำให้พี่รู้สึกอย่างนั้นได้นะ

    เพราะตอนนี้รู้สึกเสียดายมากที่คนเขียนติดเรียน แล้วก็จะมีเวลาอัพฟิคน้อยลง... แต่การเรียนสำคัญกว่า และเราอาจได้อะไรมาใส่ให้ฟิคเรื่องนี้สนุกขึ้นด้วยเนอะ

    ว่าเม้นท์นี้จะไม่ยาวแล้ว... ก็ดูท่าจะผิดคาดอีกแหะ เอาเป็นว่า รอตอนห้าออกมาไว ๆ จ้า :)

Share This Page