รักสวภัทร - เปิดตึก (โหมโรง) คนที่บอกว่า ‘แม้เราอาจถูกผูกมัดด้วยร่างกาย แต่รักคงถูกผูกพันด้วยจิตใจ’ ... ไม่เคยรักใครจริง ... บางครั้งฉันก็รู้สึกว่า ถึงไม่ต้องรู้จักกัน ฉันก็รักเธอได้ และสิ่งนี้ไม่อาจอธิบายได้ด้วยนิยามข้างต้น “ที่แท้ความรักก็แค่ความรู้สึกของเรา” เป็นเรื่องน่าเศร้าเกินกว่าจะยอมรับ เพราะมันไม่โรแมนติกดั่งนิยาย บนครีมสีขาวนวลเหนือหน้าเค้กช็อกโกแลตดำสนิท สตอเบอรี่สีแดงสดประดับเด่น รอยตัดคว้านลึกจนเห็นไส้ใน เนื้อร่วนเข้ม คราบเหนอะปาดเปรอะเลอะช้อน เมื่อเราเลียลิ้มชิมรสจนหมดหวานแล้ว... ที่เหลือคือความเอียนเลี่ยน แล้วความขมของ ‘รัก’ ก็ติดที่ลิ้นบาง เบื้องหน้าคือความแหว่งโหว่ของสิ่งซึ่งเคยสวยงาม บัดนี้เค้กที่หญิงสาวใฝ่หา ก็กลายเป็นกองขยะโชยกลิ่นเหม็นให้คลื่นเหียน เราละล่ำละลักกับความรักซึ่งพร่ำบอกตนเองว่ามันจะเติมเต็มชีวิต ‘อ่อก อ่อก อ่อก’ แล้วอาเจียนออกเป็นความรู้สึกผิดตรึงติดชีวิต ตัวอันตราย -- นรันดร์เจ้าชาย -- ก..... รอยหมึกสีน้ำเงินเข้มเริ่มกระจายเป็นวงกว้าง เนื้อของเหลวสีขุ่นชุ่มซึมจนเลอะกระดาษบางแผ่นหลัง ปลายปากกาจ่ออยู่ที่หางของตัวอักษร ‘ก’ ปอยผมดำหยักศกปรกลงมาด้านหน้า ตัดกับนัยน์ตาน้ำตาลนิ่งบนผิวชมพูระเรื่อ หญิงสาววางปากกาคอแร้งลงจนด้ามพลาสติกกลิ้งหลุน ๆ มือขวาเท้าคางแล้วผ่อนลมหายใจยาว ‘บ้าจริง... ฉันไม่ควรเขียนอะไรแบบนี้เลย’ เธอจับขอบกระดาษขาวแล้วกระชากออกจากห่วงร้อยสีเข้ม รอยฉีกขาดปรุไม่เรียบสวย ฝ่ามือสะอ้านรวบปลายแผ่นบางเข้าหากัน ขยำหยาบอยู่สองสามที แล้วหย่อนลงถังขยะฟ้าอ่อนใต้โต๊ะ แผล่บ แผล่บ ลิ้นเล็กแตะหลังมือจนเธอสะดุ้ง ขนเงินดำลู่ไปกับกางเกงสแล็คเข้ารูป ลูกแมวน้อยกระแซะเข้าหาเธอแล้วนอนขดจนตัวฟูเป็นปุยราวกับก้อนสำลีสีเขม่า เจ้าหม่นเงยหัวขึ้นมองแม่บุญธรรมตรงหน้า แล้วหาววอด บางทีมันคงเห็นลึกลงไปในแววตาสับสน ริมฝีปากยิ้มแหยซ่อนความนัยจนยากจะตีความหมาย และเมื่อมันพูดไม่ได้ มันก็ผินตัวมานอนเกยขาแทน ‘ผมอยู่ข้างแม่เสมอ’ ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก... เสียงไม้ลั่นกระตุกเธอให้ยันตัวขึ้น เจ้าหม่นสะบัดหนีแล้วเดินไปซุกซอกเตียงอย่างรู้หน้าที่ “วิน... พี่เองจ๊ะ ขอเข้าไปเล่นกับเจ้าหม่นแป็ปนึงนะ” คราวนี้เสียงใสลอดแทรกแทนการเคาะประตู และเมื่อไอ้ตัวเล็กแสนรู้เข้าใจว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใคร มันก็ก้าวเท้าฉับ ๆ ล้ำหน้าเจ้านายในชุดนักศึกษา กวินทราปลดล็อกกลอนในออกแล้วดึงบานไม้เข้าหาตัว เผยให้เห็นหญิงสาวหุ่นสวยในชุดแซกสีชมพูจาง ปรายผมน้ำตาลเข้มตีจากแรงลมจนเส้นสลวยไสว รอยยิ้มใสเปื้อนใบหน้าหวานเรียวมนคล้ายเค้กครีมวนิลา ‘ผู้ชายที่กล้าทิ้งผู้หญิงคนนี้ คงจะบ้าไปแล้ว’ กวินทราคิดเช่นนั้น แต่ปากไม่ทำตามความรู้สึกของเธอ “อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่มน” . . . . พอมาย้อนนึกว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป ทุกอย่างก็ดูจะผิดไปซะหมด พอลองตรองให้ดีว่ามันเริ่มจากตรงไหน ก็เผลอคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นตั้งแต่แรก... ที่รักเธอ ความรักที่เห็นแก่ตัว... แค่ต้องการครอบครอง... ต้องการให้มีคนมารัก... มันก็มักจะจบแบบนี้หล่ะ แบบที่... เธอทิ้งผมไป ผม... จะไม่ทำร้ายใครด้วยความรักแบบนั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะเธอคนนั้น “ริน... ผมไม่เคยคิดทำเรื่องแบบนั้น หรือถึงผมจะทำ คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาหึงมาหวงผมแล้ว” น้ำเสียงหนักของชายหนุ่มค่อนวัยกลางคน ไม่เข้ากับสีหน้าและแววตาใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยม คิ้วขมวดกันจนแทบชิด แก้มแดงระอุไปด้วยความฉุนเฉียว หน้าละไมประดับรอยยิ้มหายไปตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง “ความเป็นพ่อไงคะ ? คุณไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ... นังเด็กนั่นอ่อนกว่าคุณเป็นสิบปี” สรารินทร์ชักสีหน้ากลับ ชายผู้เคยทุ่มเทความรักทั้งหมดให้เธอกำลังปันใจดวงนั้นไปให้คนอื่น – เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอหลายปี เธอไม่มีทางได้ยินคำหวานจากปากเขาอีกแล้ว แต่แทนที่ก้อนสะอื้นจะตีรื้นขอบตา ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนี้กลับแสดงออกเป็นเสียงแหวสูง สถานภาพ ‘หย่าร้าง’ ฉีกกระชากความรักของเขาจนสะบั้น อย่างไรเสียนั่นไม่ใช่เรื่องตลกร้ายที่สุด เมื่อสรารินทร์ซึ่งเป็นคนเอ่ยปากขอแยกจากเอง กลับยังหลงเหลือความรักให้ชายเบื้องหน้าอยู่ และหวงแหนเขาเกินกว่าจะยอมปล่อยไปได้ แม้แม่หม้ายอย่างเธอจะไม่ได้สิทธิ์นั้น ลูก -- คือข้ออ้างเดียวที่ทำให้เขาและเธอมีโอกาสอยู่ด้วยกัน “ผม...” ความรู้สึกยั้งให้เขาพูดได้ไม่หมด แล้วเลือกอธิบายด้วยเหตุผลอื่น เหมือนกับที่เขาพร่ำบอกตัวเอง “...เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ภรรยาเก่าจับตะกอนเสน่หาได้ในความอึกอัก เธอไม่ยอมแพ้ “คุณรักมันจริง ๆ ไอ้คนวิปริต!” คำพูดของสรารินท์ตอกจนเขาหน้าชา กระทุ้งโทสะที่มีต่อเธอ “มีแต่คุณนั่นหล่ะ... ที่คิดอกุศลแบบนั้น! คุณจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้ยังไงด้วยความคิดงี่เง่านี่” เพี๊ยะ!!! และคงไม่ใช่แค่คำพูด จ้ำแดงเจือแก้มขวาเคล้าเสียงฟาดหนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กวีโดนตบ... แต่.. เขาไม่ชินกับมันเสียที สรารินทร์ไม่รู้หรอกว่าการเอามีดกระซวกแทงยังเจ็บน้อยกว่า เขายกมือกุมหน้า แล้วตะโกนลั่น “ออกไป!!!” . . . . ทุกคนบอกว่าจะพยายามทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก ทุกคนพูด... แต่ไม่มีใครทำ... เราไม่เคยเห็นความงามของดอกไม้... เราแค่รู้สึกดีที่มันเป็นของเรา... ถ้าไม่ปล่อยมันไว้กับต้น แล้วมันจะมีชีวิตต่อไปได้ยังไง ในเมื่อเราเด็ดความรักมาจากคนอื่นแล้ว ออกไป!!! ก่อนไก่จะขัน เสียงตวาดก็แหวกสูงกลางเช้ามืดคู่ละอองน้ำค้างในลมเย็นต้นฤดูหนาว สองหนุ่มกระชับปกเสื้อคลุมหนาแล้วสบตากัน เผยอปากยิ้มเล็ก ๆ ไร้ความหมาย “มึงได้ยินใช่มะ? ไอ้เกมส์” เกียรติพงษ์เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอพาร์ทเมนต์ ชายวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเช่นเขามีความรับผิดชอบดีในหน้าที่การงาน บ่อยครั้งก็ดูแลความสงบสุขให้เรื่องชาวบ้านแบบจำเป็น ตั้งแต่ซ่อมบำรุงไปจนถึงทะเลาะวิวาท บนม้าหินข้างลานจอดรถ คู่หูของเขานั่งพาดเท้าอยู่ด้วย “คงไม่ใช่แค่กูที่ได้ยินว่ะ... มึงขึ้นไปเคลียร์ป่ะ ไม่งั้นวันนี้ทุกคนคงไปทำงานเช้า” อนุพงศ์ส่ายหน้า เขาระอากับเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ของชาวบ้านแบบซ้ำ ๆ ซาก ๆ เขาจะยุ่งย่ามอะไรได้ ในเมื่อตนเองเป็นคนนอก และเมียก็ยังไม่เคยมี งานแบบนี้ต่างหากที่เกียรติพงษ์ได้รับมอบหมาย ฟรีแลนซ์เช่นเขา อย่างมากก็ทำได้แค่เป็นเพื่อนนั่งปรับทุกข์ให้กับกวีนิพนธ์ เจ้าของห้องห้าศูนย์ห้า สถานที่เกิดเหตุในเช้าวันนี้ “รอก่อนดิวะ... ถ้าป๋าวีคุมสถานการณ์ไม่อยู่ค่อยเข้าไปเสือก” ชายหนุ่มผมสั้นเซอนั่งนิ่ง เขาไม่กระอักกระอ่วนใจหากต้องเขาไปจัดการให้เหตุการณ์สงบ แต่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องวางตัวลำบาก แน่นอนที่เราอาจเป็นคนทำให้เรื่องผ่านไปด้วยดี แต่หลายครั้งก็ไม่เป็นเช่นนั้น และใครจะรับผิดชอบเมื่อทุกอย่างเลวร้ายขึ้น ปัญหาเป็นของพวกเขา เราก็แค่ยาม หน้าที่ของคนรักษาความปลอดภัย คือดูแลสวัสดิภาพ ไม่ใช่ทำให้ทุกคนเข้าใจกัน “อย่าห่วงคนอื่นเลย... ว่าแต่มึงเหอะ ไอ้เกมส์... คิดเหรอว่ากูไม่รู้” จ้อยยิ้มมุมปากเป็นสัญญาณ แต่คนถูกถามยังวางหน้ามึน “เรื่องอะไรวะ ?” ลูกครึ่งไทยจีนไม่ปริปาก เขาไม่คิดปิดบังเพื่อน แต่เช้า ๆ แบบนี้เขาไม่อยากพูดให้ไก่ตื่น “โถ่... ไอ้ฟายยย ไม่แหย่แม่งละ ไม่มันส์เลย” พลันเสียงใสแทรกกลางชายทั้งคู่ “พี่จ้อย เกมส์... สวัสดีค่ะ” พิชามญธุ์รุดออกมาจากห้องของกวินทราหลังนาฬิกาปลุกของกวีนิพนธ์ดัง เธอมีสีหน้าประหม่า แต่แก้มนวลระเรื่อตอนเช้าเข้ากับชุดสีอ่อนของเธอจนหนึ่งในคนถูกทักยิ้มกริ่ม “หวัดดีคับ... มน ลงมาเพราะเรื่องไอ้วีสินะ” ชายร่างท้วมเชื้อสายจีนลุกขึ้นทักกลับตามมารยาท แต่เจ้าของแววตาคมเสน่ห์หันไปคุยกับรปภ.ผิวคล้ำแดด “ค่ะ... พี่จ้อยไม่ขึ้นไปห้ามหน่อยหรือคะ ? ได้ยินเสียงดังจากห้องวินแล้วดูท่าทางใหญ่โตเชียวค่ะ” “เข้าไปทำอะไรห้องน้องลมแต่เช้าครับ ?” พิชามญธุ์สะดุ้ง เธอไม่น่าหลุดพูดไปเลยว่าอยู่ห้องกวินทราตอนเช้ามืด จะมีเหตุผลอะไรเล่า ถ้าไม่ได้ไปนั่งเกาคางเจ้าหม่นเล่น “...เออ...” น้ำมนต์คิดหาคำพูดแก้ตัวไม่ถูก ความจริงดันอยู่ตรงคอหอยจนหายใจลำบาก เธอไม่ชอบโกหก คำพูดแบบนั้นบ่งบอกว่าเราไม่เชื่อใจอีกฝ่าย “เรื่องห้องห้าศูนย์ห้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ เสียงเงียบไปสักพักแล้ว” เกียรติพงษ์ลอบยิ้ม เขารู้เรื่องเจ้าแมวสีสวาทตั้งแต่แรก แต่จะเป็นความผิดอะไรเมื่อผู้หญิงสวย ๆ อยู่กับแมว พิชามญธุ์ถอนหายใจ ความโล่งอกเรื่องเจ้าหม่นและกวีนิพนธ์เรื่อตามใบหน้า แล้วรอยยิ้มหวานก็เผยออกมาอีกครั้ง ติ๊ด! เสียงตรวจสอบคีย์การ์ดดังแว่วมาทางประตูหน้า แกร๊ก! บานประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก สรารินทร์วิ่งพรวด ไหล่เสียดเบียดกระทบพิชามญธุ์จนเซเสียหลักจะล้ม แต่อนุพงศ์คว้าแขนบางได้ทัน เขาจับไหล่ประคองจนน้ำมนต์ยืนได้นิ่งสนิท นัยน์ตาบวมแดงซ่อนสะเก็ดความรักซึ่งแตกหักไว้ เบื้องหลังประตูอัตโนมัติเป็นกวีนิพนธ์ เขาเฝ้ามองสรารินทร์จนลับสายตา โค้งหัวให้ทุกคนเล็กน้อยแทนคำขอโทษ แล้วหันหลังขวับเดินกลับขึ้นไปบนห้อง รอยฝาดบนแก้มซ่อนความรักซึ่งไม่อาจเปิดเผยไว้ ขอบระเบียงชั้นสี่เป็นกวินทรา เธอไม่เห็นหยดน้ำตาของสรารินทร์ แต่คราบความเสียใจตีฟุ้งขึ้นมาจนตัวเธอสั่น สิ่งที่สรารินทร์ทิ้งไว้ทำให้เธอรู้สึกมวนในท้อง เศษกระดาษยับในถังขยะซ่อนช่องว่างที่ไม่มีทางปิดสนิทไว้ กวินทราคว้าความรู้สึกซึ่งขยำขย้ำไปแล้วขึ้นมา กางแผ่นบางออกจนทั่ว แล้วเติมถ้อยคำในตอนท้าย “…วี” เธอยกดู เพ่งพิศ แล้วฉีกทิ้ง . . . . ############### (end) รักสวภัทร : เปิดหอ (โหมโรง) ############### ขอขอบคุณตัวละครกวินทรา จันทรกานต์ (tokichan หรือ น้องแน็ก)พิชามญธุ์ ตั้งตระกูล (sumiyo หรือ ท่านสุมิโยะ)กวีนิพนธ์ สุริยะสกุล (swanton หรือ พี่อีวาน)เกียรติพงษ์ แต้ศิลป์สาธิต (joi100 หรือ พี่จ้อย)อนุพงศ์ โชติช่วงสถาพร (Azemag หรือ ไอ้เกม)นรันดร์ สิทธณปกรณ์ (Original ของผมเอง)สรารินทร์ สุริยะสกุล (Original ของผมเช่นกัน) หลังหน้ากระดาษ : จริง ๆ แล้วขอยอมรับเลยว่า ผมไม่ได้มีพล็อตหรืออะไรอยู่ในหัวเลยตอนแต่งบทนี้ครับ (ยังไม่คิดจะแต่งด้วยซ้ำเพราะว่าตัวละครก็ยังสมัครกันไม่ครบ แผนผังหอก็ยังไม่ได้ทำ) แต่เพราะว่าเห็นสมาชิกเขียนความสัมพันธ์กันออกมาแล้วรู้สึกมีไฟอยากแต่งมาก บวกกับพึ่งดูหนังรักมาก็เลยทนไม่ไหว ขอหยิบบทนำเรื่องนี้มาแต่งก่อนฟิคแฟนตาซี (ตามที่ตั้งใจไว้) พูดถึงเนื้อเรื่องแล้ว ขอบอกตรง ๆ อีกครั้งว่าเขียนตามอารมณ์สุด ๆ เขียนไปเขียนมาก็เริ่มได้คอนเซปต์ว่าบทนี้จะเสนอยังไง จริง ๆ แล้วดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องจะเข้มข้นแต่แรก แต่ผมคิดว่านี่ยังไม่ใช่เนื้อหาหลักครับ แต่แสดงให้เห็นถึงแนวที่จะนำเสนอมากกว่า (ไม่รู้จะถูกใจคนอ่านมากน้อยแค่ไหน) ขอยอมรับอีกครั้งด้วยว่า การแต่งโดยใช้สรรพนามบุรุษที่สามเป็นอะไรที่ยากมากครับสำหรับผม พอเริ่มเขียนตัวละครตัวอื่น ก็เริ่มรู้สึกติดขัด เพราะชินกับสำนวนและอารมณ์ของตัวละครตัวที่กำลังเขียนอยู่ไปแล้ว บทบรรยายก็เลยอาจจะดูแหม่ง ๆ ไปหน่อย ถ้าเป็นการเขียนตัวละครตัวเดียวน่าจะไหลลื่นกว่านี้ แต่ก็จะพยายามต่อไปครับ ถ้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจมีอะไรอยากแนะนำก็ติชมได้เสมอเลยครับผม พูดถึงตัวละคร ก็ต้องขออภัยไว้ก่อนที่ออกมาได้ไม่หมดในตอนนี้ (แค่อารัมภบท มีไม่กี่ตัวอักษรเองครับ ยังรู้สึกน้อยอยู่เลย แต่ถ้าเขียนต่อจากนี้กลัวจะยาวเกินการเป็นบทนำน่ะครับ) แล้วก็ไม่ได้เรียงตัวละครที่สมัครด้วย จริง ๆ แล้วอยากเขียนตัวละครทุกตัวเลยครับ แต่จำเป็นต้องเล่นประเด็นหลัก ๆ ก่อนแล้วก็โยงเฉพาะตัวละครที่เกี่ยวข้องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เรื่องดูเหมือนจะดำเนินไปได้ ไม่ใช่ตันหรือหมดมุขในการเขียน (ฮาๆๆ) รับรองว่าตอนหน้าตัวละครจะออกจนเกือบครบครับ เพราะคงเขียนยาวกว่านี้ แล้วก็เล่นความสัมพันธ์ได้มากกว่านี้ ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ฟิคนี้เน้นการดราม่ามาก อาจจะไม่ถูกใจทุกท่านเท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างไปในโทนทะมึนมาก หรือบางทีก็ดูตัวละครย้ำคิดย้ำทำ เพราะเล่นกับการบรรยายอารมณ์และความคิด ขอน้อมรับความผิดพลาดในข้อนี้ครับ เพราะคนแต่งยังไม่ชินกับการเขียนแบบบุรุษที่สามแล้วเชื่อมอารมณ์จริง ๆ หวังว่าจะได้รับคำแนะนำดีดีเพื่อเอาไปปรับปรุงนะครับ สุดท้ายนี้ ขอบพระคุณทุกท่านที่คิดคาแรกเตอร์ที่หลากหลายมากสำหรับเรื่องนี้ และได้เป็นส่วนหนึ่งของฟิคเรื่องนี้ครับ ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน แม้ว่าคนเขียนจะยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ขอบคุณมาก ๆ ครับ (โค้ง)
แอร๊ยย~~~!! บทนำมาเร็วมากเลยค่าาา~~~!! ,,>w<,, ชอบตรงนี้มากๆเลยค่ะ! (อ่านแล้วแทงใจดังฉึก.... 555+) อ่านแล้วเพลินดีค่ะ บทบรรยายอารมณ์ทำเราอินไปกับตัวละครด้วยเลยค่ะ ทำเอาอยากอ่านต่อเื่รื่อยๆเลย ^^ เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ! >w<b
(ขอแปะโพสท์ใหม่ ไม่อยากกลับไปอีดิตอันเก่าเดี๋ยวหน้ามันจะเคลื่อนครับ) ในกระทู้รับสมัคร ยังสมัครกันได้อยู่นะครับ ผมแค่เกิดกิเลสอยากแต่งก่อนเท่านั้น... เรื่องนี้ไม่มีปิดรับสมัครครับ (จะเขียนให้ทุกคนอ่าน จนเขียนไม่ไหวเลย ฮาๆๆๆ) สำหรับคุณ sumiyo ขอบคุณครับที่ชอบ... เดี๋ยวผมค่อยตอบเต็ม ๆ ตอนหน้านะครับ
แต่งไวจริงหนอ เห็นรับสมัครแปปๆก็มีตอนแรกอกมาแล้ว >_< ทางนี้ยังไม่ได้สมัครเลย พอเป็นแนวเรียลแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะสมัครอะไรดี กว่าจะเริ่มได้รางๆตอนแรกก็แล้วมาแล้วนี่ล่ะ /me ว่าแล้วก็ไปนั่งเขียนใบสมัครดีกว่าแฮะ
มืดมนปนสลัวตั้งแต่เช้ามืดจริงๆ... แค่บทนำก็ทำเอาอยากอ่านต่อละ เรื่องราวของชีวิตที่ถักทอร้อยเรียงเป็นโซ่เหล็กรัดแน่นหัวใจให้ขยับหนีไปไหนมิได้ รออ่านต่อละกันวะ ส่วนเรื่องสำนวนการเขียน ทำได้ดีแล้วสหาย ไม่คิดว่านายจะเขียนบรรยายอารมณ์ในมุมมองบุคคลที่สามได้ดีขนาดนี้ ไม่ต้องเขียนให้ยืดยาว แต่ตัดให้สั้นเป็นช่วงเป็นจังหวะแบบนี้ก็ไม่เลวนะ ไม่ทำลายอรรถรสการอ่านด้วย เกรียนสองตัวนั่งคุยกันแต่เช้าตรู ว่างจริงหนอ... ฮ่าๆๆ ในสีเทา...ไม่ใช่สีดำทั้งหมด หากแต่มันยังปนเจือด้วยสีขาวบาง หวังว่ามันคงจะไม่ดำตลอดทั้งซีรีย์นะ สหาย ปล. ชักมีอารมณ์อยากแต่งเพลงประกอบฟิคนี้แล้วสิ ให้ตายเหอะ = =; ความผิดนายนะ อากิรอส
บทนำมาแล้ว!! *ตื่นเต้นนนน* (ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนเลยดีแฮะ *หัวเราะ*) เอาเป็นว่า คงยังกังวลเรื่อง characterisation อยู่สินะฮะ?? อื้ออ อารมณ์นี้เราเข้าใจในฐานะที่เป็นคนเขียนฟิครับสมัครเหมือนกัน เอาเป็นว่า ทำใจดีๆไว้!! มันไม่เป็นไรหรอกนะ!! แน็กเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ถึงวินอาจจะดูต่างออกไปจากที่กรอกใบสมัครไว้นิดหน่อย (หมายถึง impression นะ -- เพราะวินคนนี้สำหรับแน็กก็ยังเป็นคนเดียวกับที่ชอบทำตัวเกรียนไปยืนวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ durex ฮาาา) แต่จริงๆแล้วแน็กคิดว่าการทำอย่างนี้มันทำให้ตัวละครดูมีมิติมากขึ้นเยอะ นี่เป็นแค่ด้านหนึ่งของคนๆหนึ่งเท่านั้น และแน็กก็เชื่อว่าหลังจากนี้พี่อากิคงจะนำเสนอด้านอื่นๆมาเพิ่มอีกแน่ เพราะเรามั่นใจในฝีมือของคุณ อากิรอส!! เป็นบทนำที่ดราม่าดีจริงๆ ..สมกับเป็นท่านประธาน!! (คิดไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องออกมาเป็นแบบนี้) อีวานนี่บอกว่าเป็นเพระากวีสินะฟิคมันถึงได้ดราม่า...จริงๆมันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพราะมีอากิรอส คีฟ เป็นคนแต่งต่างหากล่ะฟิคมันถึงดราม่า (ฮา) อ่านแล้วแอบติดใจ นรันดร์ -- หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องรอดูอีกที! สำหรับบทบรรยายที่พี่อากิค่อนข้างเป็นกังวลในตอนนี้ แน็กบอกได้อย่างเดียวค่ะว่าแน็กอ่านได้ไหลลื่นไม่ติดขัด ..อาจจะเป็นเพราะว่าสไตล์การเขียนเราแอบๆเหมือนกัน (ตัวละครย้ำคิดย้ำทำ ดราม่า มืดมน กร๊ากก) แต่ก็อย่างที่บอก สำหรับแน็กไม่มีปัญหาค่ะ! ชอบมาก โดยเฉพาะตรงนี้ ปมของวินที่เขียนไว้ในใบสมัครคือเรื่อง age gap และความคิดที่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายหนึ่งคงไม่มีทางมองเธออย่างจริงจัง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นซะแล้วเพราะริน...ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้นยังไงๆคนที่อยู่ข้างล่างก็ต้องได้ยิน ประโยคที่กวีพูดมันต้องตอกย้ำเธอ และประโยคที่รินใช้ด่าสามีเก่าก็ต้องแทงเธอเข้าอย่างจัง โดยเฉพาะคำว่า 'นังเด็กนั่น' และสรรพนามที่เรีกว่า 'มัน' แต่อย่างวิน ถ้าเจอกับรินตรงๆ คงได้มีฉะกันแน่ แต่เพราะวินนิสัยนักเลง และคิดว่าการใช้กำลังเป็นสิ่งป่าเถื่อน จะให้ตบกันอะไรกันคงไม่มี แต่คงได้มีตวาดกลับดังๆ เตือนสติคนมาหาเรื่องว่าอย่าบังอาจมาเหยียบเท้า (อย่างแมน..) อา..ดราม่าาา (ชิบหายแล้วสิ กร๊าซ) รออ่านบทต่อไปอย่างใจจดใจจ่อฮะ! ปล. เจ้าหม่นนนนน อร๊ายยยย *กอดๆๆ*
ดราม่ากลิ่นอายของความมืดปกคลุมตั้งแต่บทนำ หลังจากเขียนนิยายจบทำหนังเลยไหม ตัวละครรู้สึกจะครบนะ 5 555555555555555555555+
มืดมน! มืดมนจริงๆ! ทางนี้ดูตัวละครไม่ค่อยดราม่าเท่าไร แต่ก็อยากจะให้เป็นตัวละครที่ทำให้เรื่องสว่างขึ้นมั่งละน้า
อ่านแล้วได้อารมณ์คนเมืองมาก อยู่หอเดียวกัน แต่เหมือนอยู่กันคนล่ะโลก ชั้นห้า กับ ชั้นหนึ่ง ความวุ่นวาย กับ ความสงบเงียบ ไม่มีลิฟท์ด้วย (แฟลตดินแดงหรือครับ?) (กลางเมืองติดรถไฟฟ้า แต่ไม่มีลิฟท์เนี่ย?) (ตามที่อ่านผมมักจะนึกว่าหอมันเป็นแบบ มีช่องเปิดโล่งกลางตึกนะครับ (เสียงที่ดังจากชั้นห้าลงมาชั้นหนึ่งได้เนี่ย )
เห็นด้วยอย่างยิ่ง... ไม่มีลิฟท์ค่ะ เพราะพระเจ้าเจ้าของหอเค้าอนุรักษ์นิยม (และขี้ตืด อุหุหุ) เดินออกกำลังกายบ่อยๆ ดีสำหรับคนมีอายุนะคะ ปุฮิ ♥
บทที่ 1 - ปม ปอยเชือกยาวเกินไปมักพันรัดตัวเอง แรกเริ่มเดิมทีมันให้ความรู้สึกมั่นคงครั้นปล่อยไว้นานวัน ก็กลายเป็นบ่วงผูกคอ แล้วปุ่มปมก็ผุดขึ้นจากตะกอนของความสิ้นหวัง อ้อมแขนซึ่งเคยโอบกอดไม่อาจให้ไออุ่นแต่บีบรั้งให้จมจ่อมกับความเจ็บปวด เฮือกสุดท้ายที่กำลังจะขาดใจ ความสมเหตุสมผลก็เกิดขึ้น ความรักนั่นหล่ะ... คือฆาตกร แกร๊ก... เมื่อกวินทราปิดประตูสนิทก็ลงกลอนดัง ‘กึก’ ถอดรองเท้าแตะลายเรียบไว้คู่กับบู๊ทหนังสีเข้ม แล้วเดินดุ่ม ๆ ไปวางห่อผ้าผืนสะอาดลงบนโต๊ะกินข้าวชิดกำแพงห้อง แทนที่เจ้าหม่นจะวิ่งมาต้อนรับ มันร้อง ‘หม่าว หม่าว’ แล้วซุกตัวนอนในมุมโปรดต่อ เด็กสาวหน้าหมวยอมยิ้ม ‘พออิ่มแล้วก็ไม่มาอ้อนแม่เลยนะ’ เธอประกบแขนดันมือไปด้านหน้า บิดซ้ายที ขวาที ให้หายเมื่อยเล็กน้อย แล้วคว้าถุงพลาสติกใสห่อใหญ่ในตู้เย็นมากางออก เนื้อหมูสับสีแดงอ่อนนอนนิ่งเกินครึ่งถุง กวินทราเอี้ยวตัวไปหยิบมีดกับเขียงพลาสติกสีสดประกบลงกับโต๊ะตรงหน้า ขยำก้อนเนื้อยุ่ยในมือขวาสองสามทีแล้วบรรจงสับละเอียดอย่างมืออาชีพ เสียงก่อกแก่กคลอต่อเนื่องค่อนชั่วโมง ตามมาด้วยควันฟุ้งคลุ้งกลิ่นหอม เธอเดินไปเปิดกระจกระเบียงเพื่อระบายความอบอวลของอาหาร แต่ทีท่าของเจ้าแมวสีสวาทยังคงนิ่งเฉย ต่างจากเจ้าพวกหิวโหยด้านล่างที่ส่งเสียงโหวกเหวกยิ่งกว่าหมาแมว “วันนี้ทำอะไรกินน่ะน้องวิน ขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไก่นะ พี่ไม่อยากปวดข้อ” ชายตาตี่เพื่อนสนิทเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะโกนดังถึงชั้นสี่ “จมูกดีจริงนะคะพี่เกมส์... ไอ้หม่นมันยังไม่ร้องเลย” เธอเย้าเขาเล่น และเสียงหัวเราะของอดีตพนักงานมหาวิทยาลัยแว่วมาเป็นคำตอบ บทสนทนาจบแค่นั้น กวินทราจัดแจงเครื่องคาวทั้งหลายใส่จาน แต้มแตงกวาและมะเขือเทศประดับจนโต๊ะจีนย่อม ๆ เรียงสวย ของอร่อยเกือบสิบกว่าอย่างวางเต็มโต๊ะ เธอกุมขมับ ‘จะพอไหมเนี่ย ? สิ้นเดือนแบบนี้ เทศบาลข้างล่างคงกวาดเรียบ’ ก่อนจะได้ทำอะไรต่อ แขกประจำก็เคาะประตูมาแต่ไกล ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก... ทุ่มกว่า ๆ แบบนี้จะเป็นใครอื่นได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทไอ้แมวแสนรู้ตัวนี้ เจ้าหม่นจ่ออยู่ที่ประตูเรียบร้อยแล้ว ‘ที่แท้ก็อยากได้อ้อมกอดมากกว่าอาหาร... ขอโทษจ๊ะ แม่ไม่ดีเอง’ “รอแป๊ปนึงนะคะพี่มน... กำลังไปเปิดค่ะ” กวินทราปรี่ไปบิดกลอนประตู แล้วผละตัวไปล้างหน้าล้างมือทันที พิชามญธุ์อึกอักเล็กน้อย เธอรู้สึกเกรงใจที่เป็นเหตุให้น้องสาวแสนดีวุ่นวาย แต่ลูกน้อยของเธอไม่คิดแบบนั้น มันโผเข้าเกาะแม่คนที่สองโดยไม่ทันตั้งตัว พิชามญธุ์ยึกยักอยู่สักพักกว่าจะดันตัวเองเข้าห้องของกวินทราได้ เจ้าหม่นมัวแต่ตะกุยกางเกงยีนส์ขายาวสีฟอกจนไม่เป็นอันทำอะไร พอมีโอกาสหลุบตนเข้ามาในห้อง พี่เลี้ยงเด็กร่างบางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เริ่มหยอกลูกแมวน้อยเล่นอย่างเป็นการเป็นงาน เจ้าหม่นทำหน้าพริ้ม น้ำมนต์ไม่ได้มาเกาคางเจ้าหม่นสามวันแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องในเช้าวันนั้น เธอรู้ดีว่ากวินทราเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง และไม่อึดอัดใจที่จะต้องคุยกับคนอื่น เป็นฝ่ายเธอเสียเองที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหากต้องคุยกับน้องสาว เธอเข้าใจ... ว่าความรักไม่ได้มีแค่ฉากสวยงาม ในนิทาน -- ซินเดอเรลล่ามีความสุขแค่สองฉาก ‘ระหว่างเต้นรำ’ กับ ‘ได้แต่งงาน’ ที่เหลือคือสิ่งที่รองเท้าแก้วฝากไว้ ความคาดหวัง ความเจ็บปวด และความท้อแท้ ใครจะอยากมีความสุขแค่ตอนได้รัก ... ทุกคนกลัวการถูกทิ้ง ... ‘สาวใช้’ กับ ‘เจ้าชาย’ ในชีวิตจริง -- เราจะไปหารองเท้าแก้วมาจากที่ไหน ? “พี่มน... ทานอะไรมารึยังคะ ? วินพึ่งทำกับข้าวเสร็จ กะจะเอาไปฝากพี่อยู่พอดีเลย” กวินทราเดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำ คนถูกเรียกอย่างพิชามญธุ์สะดุ้ง แต่เจ้าหม่นยังคงเคลิ้มกับปลายนิ้วเรียวของสาวสวย “ยังเลยจ๊ะ... พี่พึ่งไปส่งน้องมิตรที่ห้องมา กะจะมาเล่นกับเจ้าหม่นก่อน คิดถึงมันน่ะ” หญิงสาวนัยน์ตาน้ำตาลคมรูดยางมัดออก เส้นผมสีเข้มขลับพริ้วไหว เธอไล้ปลายผมยาวระต้นคอ แล้วรวบมัดเป็นช่อใหม่ “...แล้วคงกลับไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนน้อง” “ชวนมิตรมาทานข้าวกันไหมคะ ? ช่วงนี้ไม่ได้คุยกับน้องเท่าไหร่ ปาร์ตี้กันสักหน่อยก็น่าจะดี” กวินทรากระปรี้กระเปร่า ปัดปอยผมซ้าย แล้วเดินวนไปวนมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มือหนึ่งหยิบผ้าเช็ดโต๊ะ อีกมือเปลี่ยนไส้กระดาษทิชชู่ “เข้าท่านะ...” แต่ความหวังดีไม่อนุญาตให้พูดต่อ “... วินไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ ? พี่คิดว่าเราอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวเสียอีก” รอยยิ้มของกวินทราปฏิเสธความเกรงใจของพิชามญธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว “พี่มนคะ... ถ้าวินจะไม่สบายใจ ก็เพราะพี่ไม่ยอมมาเล่นกับเจ้าหม่นมากกว่า มันนั่งรอพี่ทุกวันเลยนะ” ริมฝีปากยกเผยอยิ้ม แต่ไม่เต็มคำ ที่แท้นั่นเป็นความกังวลของน้ำมนต์เองทั้งหมด “งั้นเดี๋ยววินไปตามน้องมิตรมานะคะ จะเอากับข้าวไปฝากพวกตายอดตายอยากข้างล่างด้วย” สาวร่างเล็กคว้าช้อนส้อมทับพีตักเทแกงผัดและของทอดลงปิ่นโตเงินกับกล่องพลาสติกใสจนพูน พอคดข้าวเกือบท่วมก็บรรจงปิดเสียเรียบสนิท “เดี๋ยวพี่ช่วยยกลงไปไหมจ๊ะ ? หนักน่าดูเลย” พิชามญธุ์เท้ามือขวากับพื้นกระเบื้องเตรียมดันตัวขึ้น เจ้าหม่นสะดุ้งจะถอยออก แล้วหญิงสาวในมือพะรุงพะรังก็ปรามเสียก่อน “อยู่เล่นกับมันเถอะค่ะ แค่นี้สบายมือกวินทรามาก” เสียงล็อกประตูลั่นดังแกร๊ก คนที่ออกไปผิวปาก แต่รสขมฝาดติดในอกพิชามญธุ์ กลิ่นหวานละเลียดปลายจมูก แล้วหยดน้ำตาก็ให้ความเฝื่อน ‘เป็นเพราะคุณอีกแล้ว ...นรันดร์... ’ . . . . ความรักเป็นความรู้สึกการคบกันคือความสัมพันธ์ ทำไมทุกคนต้องการความรัก ? เปล่าเลย... เขาแค่ต้องการใครสักคน แล้วเรียกมันให้สวยหรู เราอยากให้ความรักของตัวเองอยู่รอด และนั่นคือสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์ หม้อมาม่าปรุงรสพร้อมระอุอยู่กลางม้าหินสีขาวอ่อน แต่คราบไคลเศษอาหารเริ่มเปรอะเต็มโต๊ะ เหล่าชายโสดสี่คนล้อมกลางวงข้าวเย็น เกียรติพงษ์หยิบขวดน้ำใสวางดัง ‘ปึง’ แล้วลดตัวลงนั่งพร้อมซดโฮกเส้นเหลืองอ่อนตรงหน้า รสชาติความซี๊ดซ๊าดกลิ่นต้มยำกุ้งสะเด็ดน้ำกระเด็นเป็นฝอย ซู๊ดดดดดด “พี่เกมส์... เขาว่ากันว่าพี่ดูดวงแม่นนี่ ดูให้ผมหน่อยสิ” นภาคือชายหนุ่มผิวขาวรูปหน้าคม เค้าคราวบอกว่ามีเชื้อจีนในสายเลือด เสียแต่ไม่เคยคิดจะดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะผู้หญิงบางคนไม่ได้ชอบแค่ความใจดี คนเซอปนเท่อย่างว่าที่สถาปนิกแบบเขาจึงตกไปอยู่ในแท่นตัวสำรอง “ใครว่าวะ ? ถ้าเจอตัวจะอัดหน่อย หาเรื่องให้กูเสียพลังชีวิตอยู่เรื่อย” สายลมไม่ตอบ โบ้ยหน้าไปหานราพจน์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชายหน้ากวนเงียบนิ่ง ไม่รับผิดชอบสิ่งที่เคยพูดไว้ เกาหูไปพลาง คีบเส้นมาม่าไปพลาง พออนุพงศ์หันตาม นราพจน์ทำเป็นสะดุ้ง แล้วแหวขึ้น “เห้ย... ไอ้ลม ทำงี้กับพี่จ้อยได้ไงวะ รุ่นพี่รุ่นน้องอ่ะ รู้จักเปล่า ?” “มึงนั่นแหละไอ้ต่อ เห็นลมไม่มีปากมีเสียงก็เอาใหญ่เลยนะมึง” เกียรติพงษ์ปล่อยชามในมือ เขากะซัดนราพจน์สักหมัด แต่ที่นั่งห่างกันจนเลยระยะ “ดูให้ผมหน่อยสิพี่... ” นภาเว้าวอนมาอีกรอบ เขาไม่สนใจดวงชะตาเท่าไหร่ แต่ปัญหาบางอย่างก็ไม่อาจชี้ขาดได้ด้วยเหตุผล “เออ... ได้ เดี๋ยวไปหยิบสำรับแป๊ป คืนนี้หลับเป็นตายแหงกู” แต่ชายร่างท้วมไม่ได้ขึ้นบันไดไป เขาเลี้ยวเข้าห้องหนึ่งศูนย์สาม ไม่ถึงนาทีชุดไพ่ทารอตก็อยู่ในมือ นราพจน์หันมามองแล้วยิ้มแหย่ “ครั้งสุดท้ายกูดูให้ไอ้จ้อยมัน... มึงทำหน้างั้น อยากโดนอัดรึไงไอ้ต่อ” นักศึกษาจอมยียวนไม่ต่อความ เขาซู๊ดน้ำมาม่าดัง ๆ หนึ่งทีแล้วเช็ดปาก นี่หล่ะวิธีการตอบโต้ของนราพจน์ แต่ทุกคนรู้ดีว่ามุมแบบนี้ชายผมเซอผิวดำแดงมีให้กับคนสนิทเท่านั้น “แล้วจะดูเรื่องอะไร... ?” อนุพงศ์แกะไพ่ออกจากกล่อง สับให้คละกันสองสามที แล้ววางทับบนผืนผ้าดำซึ่งคนคุมหอปูเตรียมไว้หลังยกหม้อใหญ่ลงเก้าอี้ด้านข้างแล้ว นภาลอบถอนหายใจเล็กน้อย อึกอักเกินจะพูดได้เต็มปาก “ความหวังบางอย่าง... จะมีทางเป็นจริงไหม ?” “ความหวังอะไรวะ ?” นราพจน์โพล่งก่อนพ่อหมอจะถามเสียอีก “ดวงเขาให้ดูตามความสมัครใจเว้ย มึงอย่าพึ่งขัดสิวะ” อนุพงศ์ตีหน้าเข้ม แล้วยื่นสำรับไพ่ให้นภา “สับเอา แล้วคิดเรื่องที่อยากจะถามไว้ในใจ... พี่จะตีความหมายตามไพ่ที่ออกมาเอง” “ครับ” เขามีความปรารถนาบางอย่าง บางอย่างซึ่งเขาไม่อาจเปิดเผยได้ ความต้องการที่แฝงเร้นในซอกหลืบของหัวใจ เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับแค่ตัวเขา เพราะไม่มีทางรู้ เขาจึงขอถามมันกับอะไรสักอย่าง เขาไม่ต้องการคำตอบหรอก เพราะยังไง... ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอก็ไม่เปลี่ยนไป ‘ขอบคุณนะคะลม... ต้องให้ช่วยเวลารู้สึกแย่ ๆ ตลอดเลย’ นภาหยิบไพ่ใบหนึ่งจากกองชุดทารอตที่ถูกคลี่ออกเป็นวงกว้าง เบื้องหลังของไพ่แต่ละใบเป็นพื้นลายดำกลืนกับผ้าปูทะมึน เขาถูกดึงดูดด้วยมนต์ขลังของมัน “เจ็ดถ้วย -- รักที่ต้องเลือก” อนุพงศ์ชะงัก เขารู้สิ่งที่นภาจะถามตั้งแต่ต้น และคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว “... ถ้วย เป็นไพ่ของความรู้สึก ความรัก เลขเจ็ดนั้นแฝงไว้ด้วยภาระและความอดทน ถ้ามัวแต่คิดฝัน มันก็ไม่มีทางเป็นจริงหรอก เลือกทำอะไรสักอย่าง อย่าปล่อยให้มันล่องลอยอยู่แบบนั้น” ‘มึงกลัวว่าเขาจะไม่รักมึง มึงเลยจะไม่รักเขางั้นเหรอ ? ความรักเป็นของมึง... หรือของเขาวะ ?’ คำแนะนำของนราพจน์ก้องในหัว “ขอบคุณครับพี่” นภาใช้สีหน้ายากจะตีความ บนกระจกตาสะท้อนความมุ่งมั่น ริมฝีปากเรียวบางเม้มเบา ดั่งสายลมที่พัดโชยเสรี เขาขอตัวแล้วผลุนผลันขึ้นไปบนห้อง ศิลปะไม่อาจให้แรงบันดาลใจบางอย่าง เขา -- กำลังจะแต่งแต้มภาพซึ่งถูกร่างไว้ ‘ผมชอบคุณ... พิชามญธุ์’ . . . . ในเสี้ยววินาทีที่เราเกี่ยวกวัดหากัน ความรักก็บังเกิด ดั่งดอกหญ้าบนถนนซีเมนต์ บางคนเรียกว่า ‘ปาฏิหารย์’ แล้วแสร้งลืมเสีย -- มันไม่อาจอยู่รอด -- ต้นไม้ไม่มีทางผุดงอกจากแป้งปูนได้หรอกเธอ กวีนิพนธ์ดันปลายกรอบแว่นขึ้น ชายเสื้อเชิ้ตสีเทามอลู่ราวบันได เขาค่อย ๆ ทิ้งปลายเท้าลงอย่างเหม่อลอย เหตุการณ์ในวันนั้นยังตีฟุ้งอยู่จนเกินความจำเป็น ไม่มีทางที่กวินทราจะไม่ได้ยินสิ่งที่เมียเขาพูด ไม่มีทางที่กวินทรา... จะไม่รู้ความรู้สึกของเขา แต่เขา... ไม่อาจเหยียบย่ำความรู้สึกของเด็กสาวได้อีก เหมือนกับที่เขาฝากมันไว้ให้สรารินทร์ แล้วดอกเบี้ยก็ทับถมบนความเกลียดชัง... ปนความโกรธแค้น ไอรักและอ้อมกอดของร่างเปลือยเปล่าคละเรือนผมบางหลุดเข้ามาในภวังค์จนสะอิดสะเอียน เขาเคยรักสรารินทร์มาก แบบที่กำลังรักกวินทรา ในวันข้างหน้า เราอาจเกลียดกัน -- ไม่ ‘เขา’ ก็ ‘เธอ’เหมือนกับที่เมียเก่ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ ใครสักคนบอกว่า ‘ถ้าเราปลูกกุหลาบ เราก็จะได้กุหลาบ’ แล้วความผิดบาปนี้ก่อตัวในแปลงต้นรักได้อย่างไร ? “รีบร้อนจริง ๆ วุ้ย... ท่าทางมันจะไปบอกรักสาวแหง” เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังมาทางหัวโต๊ะ พอชายกางเกงเทียบบันไดขั้นสุดท้าย หางตาของกวีนิพนธ์ก็เหลือบไปเห็นเกียรติพงษ์ อนุพงศ์ และนราพจน์ที่วงม้านั่งหิน ใครสักคนที่ว่า... คนนั้นคือนราพจน์ กวีนิพนธ์เจอนราพจน์ในเช้าวันนั้นระหว่างเดินลงมาจากหอ ก่อนจะผละจากกัน พจน์พูดสั้น ๆ ง่าย ๆ “ถ้าเราปลูกกุหลาบ เราก็จะได้กุหลาบ... บางทีมันก็ยังคงเป็นกุหลาบ เพียงแต่อย่างอื่นมันเติบโตขึ้นด้วย แล้วเราก็ใส่ใจกับมัน มากกว่ากุหลาบที่มี” กวีนิพนธ์ไม่ได้ทักทายเพื่อนร่วมหอมาสามวันแล้ว เขาไม่อยากขว้างปาความไม่สบายใจกับคนที่หวังดีต่อเขามาโดยตลอด และนั่นต้องไม่ใช่วันนี้ เขาฝืนยิ้มจนใบหน้าตึงผิดรูปแล้วเดินตรงไปหาความวุ่นวายข้างหน้า ความหยาบโลนน่าจะทำให้ชายในกรอบแว่นสบายใจขึ้น ก่อนจะถึงเป้าหมาย เสียงทุ้มหนักก็แว่วมากวน ๆ “กว่าจะเจอหน้า... นึกว่านอนอืดคาห้องซะแล้ว” เกียรติพงษ์ตักมาม่าลงถ้วยใบใหม่ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ แล้วเลื่อนชามพลาสติกไปยังที่ว่าง กวีนิพนธ์ย่อตนนั่งลงตรงนั้น ในมือถือชามอลูมิเนียมบาง พูนด้วยข้าวมีเศษปลาแกล้มเป็นหย่อม ๆ “ยังตายไม่ได้หรอก มีคนติดหนี้บอลอยู่” เขาใช้สายตาขึงขัง แล้วแสยะยิ้มแบบผู้อยู่เหนือกว่ากับเรื่องแทงบอล “รู้งี้ไม่ทักซะก็ดี... มีข้าวให้แมวแล้ว มาม่าไม่ต้องละกันนะป๋า” เกียรติพงษ์แกล้งดึงชามกลับ แต่มนุษย์เงินเดือนแย่งอาหารเย็นได้ทัน “หยิ่งก็อดแดกสิ นี่มันข้าวแมว...” มือซีดของกวีคว้าตะเกียบแล้วจ้วงเส้นบางเข้าปาก “...ถ้าเอ็งอยากกินเดี๋ยวไปคลุกมาให้ใหม่” “แมวแดกหรูกว่าคนอีก... อย่างน้อยก็ยังมีข้าวกับปลา ไม่ใช่มาม่าห่อละหกบาทแบบนี้” นราพจน์บ่นลอย ๆ แต่คนถูกประชดนั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ “อย่างน้อยกูกับไอ้เกมส์ก็ช่วยกันออกคนละหกบาท สิบสองบาท... มึงมาถึงก็แดกฟรีนะไอ้ต่อ” เกียรติพงษ์เติมน้ำลงแก้ว แล้วจิบจนชุ่มคอ ผู้ต้องหาซู๊ดซ๊าดเส้นบะหมี่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง กวีนิพนธ์หลุดหัวเราะในที่สุด “สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ แต่สิ้นอะไรไม่เท่าสิ้นรักเธอ” คนเพ้อกลับเป็นอนุพงศ์ที่นั่งเงียบมาตลอด จ้อยรู้ดีว่าเกมส์บ่นถึงใคร แต่นอกจากแซวแล้วเขาก็ไม่รู้จะปลอบเพื่อนยังไง “วันนี้ฝนตกแหง... ไอ้นี่เพ้อทีไร ต้องได้เวลาทุกที” “เอ็งไปสมัครเป็นพยากรณ์อากาศป่ะเกมส์ จะได้มีอะไรที่น่าเชื่อถือมั่ง” กวีนิพนธ์หยอก และนราพจน์เย้าตาม “รู้ดียิ่งกว่ากบ” ปิดท้ายที่เสียงตะโกนลั่นของนักพิสูจน์คำผิดตาตี่ “ไอ้ต่อ!” แต่ไอ้เด็กจอมกวนยังไม่ยอมหยุด “เขาก็พูดกันหมด ไหงพี่มาลงที่ผมคนเดียวเนี่ย พอเป็นน้องหล่ะทำใหญ่” เสียงหัวเราะร่วนปรุงรสให้มาม่าหม้อนั้นกลมกล่อมและเป็นสุข กวินทราซึ่งแอบอยู่เชิงบันไดลอบยิ้ม เธอแค่อยากให้ทุกคนมีเค้าหน้าแบบนี้ในทุกเย็น และในทุกวัน . . . . ในความรัก ไม่มีอะไรที่ต้องทำ แต่เรา... ก็ผูกรั้งตัวเองไว้กับความรู้สึกของคนอื่น แล้ว ‘การได้รัก’ ก็ไม่อาจเติมเต็มเราได้อีกต่อไป “เอ็งนี่เรื่องมากนะ... ท่าทางคนในหอจะเลี้ยงดูเอ็งดีเกินไปแล้ว ไอ้ยุ่ง” กวีนิพนธ์หัวเสีย แม้เขาจะหลบหน้าทุกคนมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง เจ้าแมวสีส้มลายทางอ่อนตัวนี้ก็ยังได้ชิมฝีมือข้าวคลุกปลาของเขาทุกวัน มันไม่เคยกินเหลือ... ยกเว้นวันนี้ พนักงานบริษัทส่งออกเคาะชามเงินก๊อกแก็ก ข้าวสีขาวนวลยังไม่พร่อง แต่กับแกล้มเป็นเศษปลาย่างไม่อยู่แล้ว “แมว... มันก็คงเบื่อแป้งเป็น” น้ำเสียงหวานแต่ฉะฉานแบบชายเป็นของนักศึกษาหน้าหมวยผู้ถูกพาดพิงกับเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ของพ่อหม้ายบนโต๊ะ “ใครจะเหมือนพวกคุณล่ะคะ... กินอยู่ได้ทุกวัน ไม่รู้จักเบื่อเลยนะ มาม่าเนี่ย” กวินทราวางปิ่นโตหนักและทัปเปอร์แวร์สีอ่อนดัง ‘ปัง’ เธอหันไปมองค้อนอัศวินโต๊ะกลมตกยากทั้งสี่ แล้วเมื่อหางตาสะดุดกับรอยยิ้มเฝื่อนของคู่กรณี ความเหลืออดก็ประทุเป็นเสียงสูง “นี่... คุณน่ะ โตแล้วนะ ถึงจะไม่รู้จักดูแลตัวเอง ก็ห่วงเจ้าแมวน้อยน่าสงสารตัวนี้บ้างเถอะ ไม่ใช่คิดจะให้มันกินแต่เศษปลาคลุกข้าวทุกวัน” กวีนิพนธ์เหวอ เขายังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แต่หญิงสาวตรงหน้าเป็นปรกติจนน่าประหลาด “โอจี๊ซังนี่น้า... อะไรไม่พอก็บอกสิ ของในห้องก็คงมีเหลือ” บ่นไปก็คดข้าวครึ่งทับพีไป ช้อนตักแต่พองามแล้วบรรจงใส่ชามพลาสติกสีอ่อนซึ่งเตรียมไว้เฉพาะ กวินทราย่อลงนั่งข้างเจ้ายุ่งที่คลอเคลียอยู่ปลายขา แล้วหยิบน่องไก่ทอดเนื้อนุ่มเข้มมาฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ คลุกจนกลิ่นหอมลอยกระตุกต่อมอยากอาหารของพวกหิวโหย แมวส้มขนนุ่มคุ้ยทั้งข้าวและไก่ ผิดกับครั้งที่กวีนิพนธ์วางชามสแตนเลสจนจะเกยจมูกมันอยู่แล้ว พอเจ้ายุ่งรู้ว่าชายหนุ่มเอาอะไรมาฝากเป็นอาหารเย็น มันก็เขี่ยเศษปลาอยู่สองสามทีแล้วเบือนหน้าหนี ‘เจ้าแมวตัวนี้... น่าหมั่นไส้จริง ๆ’ มันใช้เล็บบางตะกุยแทะเล็มของโปรดอย่างเอร็ดอร่อย หนวดแหลมเล็กละเลียดเศษข้าว ครู่หนึ่งแววตาของกวินทราก็เพี้ยนไป ความกังวลฉายแว๊บที่หางตา “เรื่องนั้น... ก็อย่าคิดมากล่ะ ทางนี้ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก ถ้าจะคิดมากก็ตรงที่คอยหลบหน้านี่หล่ะ” “...” กวีนิพนธ์อึกอัก เขาทำตัวห่างเหินกับเธอจริง ๆ คนที่เรียกบรรยากาศกลับมาเป็นนราพจน์ “อายหมา อายแมวกันไหม ? ชาติหน้าฉันใดขอให้เกิดเป็นหมาเป็นแมวแถวหอนี้... อุดมสมบูรณ์กว่าคนซะอีก มีทั้งปลา ทั้งไก่ให้เลือกกิน แถมเบื่อข้าวเป็นด้วย มันคงไม่รู้จักหรอกว่ารสชาติมาม่าเป็นยังไง” “อธิษฐานเสร็จแล้วใช่ไหมคะ ? คงตายตาหลับแล้วนะพี่ต่อ” กวินทราค้อนลึก เธอห่วงทั้งคนทั้งสัตว์นั่นหล่ะ “แต่พี่เห็นด้วยนะน้องลม ทุกคนดูจะโอ๋มันเหลือเกิน ทั้งแมวป่า แมวบ้าน” เกียรติพงศ์ทิ้งนัยให้กวินทราตีความ เธอผงะเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเรื่อง “พี่เกม... ถึงจะมีไก่ทอด แต่ที่เหลือคงกินได้นะคะ หรือถ้าอิ่มแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ” “พี่เคยขัดศรัทธาด้วยเหรอ ?” อนุพงศ์จ้วงกับข้าวสองสามอย่าง กวินทรายิ้มกว้าง แล้วมื้อเย็นแบบจริงจังก็เริ่มขึ้น . . . . คงเป็นชั่วแวบหนึ่งที่เราอยากให้มีคนมาอยู่ใกล้ ๆ ชั่วแวบที่การเป็นคนแอบรัก... ไม่เพียงพอชั่วแวบที่เผลอคิดไปว่า... เขาเองก็คงมีใจให้เราเหมือนกัน แล้วชั่วแวบนั้น... ปมเชือกก็รัดเราแน่นขึ้น ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ความรื่นเริงประดับโต๊ะม้าหินทุกเย็น ด้วยรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะร่านั่น ความสุขบนโลกอยู่ที่นี่หมดแล้ว ‘ฉันไม่ต้องการสวนสวรรค์ที่ไหนอีก ฉันแค่อยากอยู่ที่นั่นบ้าง’ กีรติเรียนอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์สาขาออกแบบกราฟฟิค เธอไม่ถนัดกับการต่อกรความรู้สึก มันยากที่จะเปิดเผย... โดยเฉพาะเมื่อต้องผ่านคำพูด เจ้ายุ่งปรี่มาหาเธอจากวงตลกคาเฟ่ แล้วทุกคนก็มองตาม ผู้หญิงร่างสูงในกรอบแว่นแดง จะมีอะไรให้สนใจกันเชียว... ถ้าไม่นับผมยาวหน้าม้าและผิวขาวนิ่ม ส่วนสูงเธอก็ดูเป็นผู้ชายกว่าหนุ่ม ๆ หลายคนเสียอีก เธอหันไปมองกลับด้วยสายตาประหลาด บางคนบอกว่ามันดูคมดุ แต่ไม่เคยมีใครเห็นลึกลงไปในใจของหญิงสาวคนนี้ ทุกคนมองเธอที่ตา แล้วติดอยู่แค่นั้น กีรติเกาคางเจ้ายุ่งจนมันเคลิ้ม แล้วถอนมือออกจากขนปุยสีนวล ลุกขึ้น... แล้วก้าวต่อ แต่เสียงเข้มแว่วมา “เธอน่ะ... มาเล่นกับมันตลอดเลยสินะ” เจ้าหน้าที่อพาร์ทเมนต์คนนี้ประหลาด... เขามองเลยเปลือกนอกที่ดูเข้มแข็ง กีรติไม่อาจใช้สายตาแบบนั้นต่อไปได้อีก เมื่อความรู้สึกเริ่มเอ่อท้นใบหน้า เธอหันขวับ แล้วก้าวเข้าประตูไป ‘.........’ . . . . ข้างในเต็มไปด้วยรอยบาดแผล แม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากแง้มออกดู ราวกับชีวิตถูกขีดข่วนเป็นริ้วบาง แล้วความร้าวลึกก็ซ่อนอยู่ใต้ปมรัก “วิน... อยู่ไหม ?” อัยกรเคาะประตูอยู่สองสามที อย่างไรก็ตามไม่มีทีท่าว่าเจ้าของห้องจะโผล่มาต้อนรับ แสงไฟลอดใต้ซี่ไม้บอกว่าเพื่อนสนิทของเธอกลับมาแล้ว ในมือของสาวร่างสูงถือเอกสารปึกหนา ‘บางทีคงอยู่ข้างล่าง’ เธอเบนเท้าแล้วเปลี่ยนเป็นลงบันได ผมดำหยักศกระบ่าลู่เบากับอากาศตีเป็นระลอกคลื่น แต่ฉากหลังที่อัยกรไม่เห็นคือหญิงสาวนัยน์ตาสวยกำลังกอดรัดเจ้าแมวน้อยแทบอก แล้วฟูมฟายอย่างไร้เสียง ความเจ็บดันจนน้ำตานองหน้า เธอไม่อาจมองใครได้ด้วยสภาพนี้ เหมือนแมวแสนรักจะรู้ มันร้อง ‘หม่าว’ เบา ๆ แล้วใช้อุ้งเท้าเล็กกอดตอบ เสียงของนราพจน์ทวนซ้ำในหู “พี่เหนื่อยไหมครับ ? บางทีคนเราก็เป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่คาดคิด ไม่รู้ว่าความพยายามแบบนั้นมันมาจากไหน” แทนที่ใครสักคนจะกดหรี่ลง นรันดร์ก็เปิดมันจนดังกระหึ่มอีกครั้ง “อย่าพยายามอีกเลยน้ำมนต์ ผมไม่อยากรังเกียจคุณไปมากกว่านี้” . . . . ทบแรก... เป็นรักหวานเราเรียงร้อยเป็นทบสอง ครั้นทบสาม... ช่างหอมหวนให้หลงใหลในทบสี่ ทบห้า... ยังสวยหรูเริ่มรัดรั้งในทบหก ไม่รู้ว่าทบไหน... เราบ้าใบ้ในรางรัก “พอได้แล้ว... ริน!” เสียงตะโกนทะลวงถึงช่องทางเดินชั้นสอง อัยกรชะงักฝีเท้า เธอรู้ได้โดยทันทีว่าอย่างน้อยข้างล่างต้องมีพระเอกและภรรยาเก่าเป็นตัวเปิดฉาก ที่ไม่อยากรู้คือเพื่อนสนิทของเธอต้องตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของละครน้ำเน่าเรื่องนี้หรือไม่ กวินทราไม่มีทางหน้าเสีย แต่ใครจะรู้สึกดีกัน... ถ้าต้องเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำ ๆ ทั้งกวีนิพนธ์ กวินทรา... และสรารินทร์ “ใช่! ผมรักกวินทรา... คุณพอใจรึยัง” เบื้องหน้าคือรักสามเส้า แล้วคนที่เคยเป็นนางเอกก็วาดมือขึ้นจะตบศัตรูหัวใจ แต่กวินทราไม่มีวันเก็บความเป็นผู้หญิงบอบบางแบบนั้นไว้ให้คนอย่างสรารินทร์เห็น สาวร่างเล็กกว่าคว้าปลายแขน แล้วตะคอกกลับง่าย ๆ “หยุดบ้าสักทีเถอะค่ะ” สรารินทร์ทรุดตัวลงฮวบ แล้วปล่อยโฮลั่น มุมหนึ่งในห้องสี่ศูนย์ห้า ผู้หญิงอีกคนไม่ต่างกัน . . . . ท้ายสุดคือเงื่อนตาย ไม่อาจงัดแงะได้ออก ถ้าไม่ตัดทิ้ง ก็ต้อง ... ปล่อยมันไป ... ############### (end) รักสวภัทร : บทที่ 1 (ปม) ############### ขอขอบคุณตัวละครกวินทรา จันทรกานต์ (tokichan หรือ น้องแน็ก)พิชามญธุ์ ตั้งตระกูล (sumiyo หรือ ท่านสุมิโยะ)กวีนิพนธ์ สุริยะสกุล (swanton หรือ พี่อีวาน)เกียรติพงษ์ แต้ศิลป์สาธิต (joi100 หรือ พี่จ้อย)อนุพงศ์ โชติช่วงสถาพร (Azemag หรือ ไอ้เกม)นภา พัฒนวงศ์ไพศาล (ท่าน ManaswinPipatponglert)อัยกร อัครอัสนีย์ (kolonel หรือ น้องแบม)กีรติ จิรัฐติกาล (onikuro13 หรือ โอนิ)เจ้ายุ่ง (ท่าน soulmaster)นราพจน์ นพศิลป์ (Ryuto หรือ ไอ้ต้อม)พฤกษมิตร วจีรังสรรค์ (taleoftrue หรือ ท่านซาล)นรันดร์ สิทธณปกรณ์ (Original ของผมเอง)สรารินทร์ สุริยะสกุล (Original ของผมเช่นกัน) หลังหน้ากระดาษ : จบไปแล้วครับ กับบทแรกที่ออกมา... อยากบอกว่า จริง ๆ บทนี้ใช้เวลาเขียนแบบจริง ๆ จัง ๆ แค่สองวัน แต่เนื่องด้วยติดภารกิจหลายอย่าง ก็เลยปาไปเป็นอาทิตย์ เขียนค้างบ้าง ต่อเนื่องบ้าง อารมณ์ก็เลยอาจจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย ความยากของบทนี้อยู่ที่การเบรคอารมณ์ของตัวละครครับ บางทีก็เป็นฉากดราม่า แล้วก็ตัดฉับมาเฮฮาเลย ก็ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้โอเคไหม ก็ถือว่ากำลังพัฒนาละกันนะครับ พอเขียนยาว ๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกยืดเยื้อเหมือนกัน แต่ว่าก็พยายามตัดฉากกับเนื้อเรื่องให้รวบรัดที่สุดแล้ว ตัวละครคราวนี้ออกมาเยอะมาก สำหรับ อัยย์ และ มิตร ที่ยังไม่ออกหลัก ๆ เท่าไหร่ เพราะจะไปดราม่าในบทหน้าทั้งบทแทนครับ คิดว่าเรื่องที่จะดราม่ามันไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องของ กวีและกวินเท่าไหร่ เลยยังไม่อยากแทรกมาตอนนี้มากนัก กลัวว่าปมมันจะซ้อนกันเกินไป (ตัวละครที่พึ่งออกมา ค่อย ๆ ดูไปนะครับ พัฒนาการและมิติของตัวละครของท่านยังมีให้ข้าพเจ้าเล่นอีกเยอะ) โดยรวมแล้วไม่รู้ว่าจะเขียนได้น่าติดตามเหมือนบทนำไหม... แต่ก็พยายามอย่างสุดฝีมือแล้วครับ (แอบคิดว่า คนอ่านน่าจะเริ่มสนใจในตัวนรันดร์ขึ้นมาบ้าง เพราะมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย แล้วก็เหมือนจะเป็นตัวเดินเรื่องสำคัญด้วย) ขอบอกว่าออริจินัลหลัก ๆ ของผมยังเหลืออีกสองตัวครับ เพราะงั้นเรื่องนี้ยาวแน่นอน ฮาๆๆๆๆ สุดท้ายแล้วคิดว่าบทนี้ยังทำได้ไม่ดีพอ... ขออภัยหากเขียนแล้วอารมณ์ขัดกันหรือไม่ลื่นไหล ลักษณะนิสัยตัวละครแหม่ง ๆ พร้อมรับคำติชมเสมอครับ ปล. ผมลืมมาตอบคอมเม้นท์ตอนแรก รีบอยากลงตอนนี้เกินไปหน่อย เดี๋ยวจะไปตอบคอมเม้นท์ หลังจากรีพลายนี้นะครับ (โค้ง)
ขอบคุณมากครับ... หวังว่าบทนี้จะพาท่านสุมิโยะอินไปกับตัวละครอื่น ๆ อีกนะครับ คิดว่ามีหลากหลายอารมณ์พอสมควร สำหรับน้ำมนต์ อย่าพึ่งแปลกใจนะครับที่ตอนนี้ออกมาแนวนี้ แต่เผอิญตัวละครแบบน้ำมนต์ตรงกับตัวละครที่ผมกะจะใช้ดราม่าในเรื่องนี้อยู่แล้ว เลยขอหยิบมาเล่นให้เป็นปมไว้ก่อนนะครับ อยากบอกว่า... ผมต้องการตัวละครที่จะเอามาใช้ดราม่าเรื่องครอบครัวมากครับ แล้วซาลก็สมัครมาพอดี ก็เลยขอหยิบมาใช้กับมิตรเลย แต่คงยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ต้องรอประเด็นของกวินทรา กับกวีนิพนธ์ เคลียร์กว่านี้ซะก่อน ตอนนี้ออกมาแบบแผล่บ ๆ ขออภัยด้วยจริง ๆ ครับ แต่ธีมเรื่องยังไม่เหมาะ คิดว่าตอนหน้าคงจะเป็นหลักกับอัยย์แน่นอน แต่งเลยนาย... เราชอบ หวังว่าตอนนี้จะยังชอบแนวการดำเนินเรื่องอยู่นะ... มันสลัว ๆ แบบนี้หล่ะ คงจะเป็นแบบนี้สักพัก แล้วจะเข้าโหมดทะมึนขั้นสุดยอด มีอะไรติชมได้เลยสหาย... รอฟังอยู่ เพราะว่าตอนนี้ตัวละครเริ่มเยอะ ไม่รู้ว่าตัดอารมณ์ถูกจุดด้วยเปล่า คิดว่าแน็กน่าจะเข้าใจเหมือนกันว่ากวินทราไม่ใช่แบบนั้นแต่แรก ฮา ๆ ๆ ๆ แต่เราทิ้งไว้ให้อ่านในบทนี้ และเชื่อเถอะ... ว่าบทหน้า กวินทราก็ไม่เหมือนบทนี้แน่นอน... น่าจะกลับไปทะมึนอีกรอบ (จริง ๆ กะจะทะมึนตอนท้ายบทนี้ เพราะเราปล่อยปม ๆ นึงไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่รู้ว่าสังเกตเห็นเปล่านะ... แต่ว่าต้องตัดจบก่อน เพื่อให้ตามต่อ กร๊ากกก) ขอบคุณมากจ๊ะ ที่ติดตาม หวังว่าตอนนี้ก็คงไม่ทำให้ผิดหวังนะ มีอะไรก็แนะนำได้เลย ตอนนี้เจ้ายุ่งมีบทแล้วนะครับ คิดว่าหลาย ๆ คนจะเริ่มรักเจ้าแมวตัวนี้ในบทนี้แน่นอนครับ เพราะแม้คนแต่งจะไม่ค่อยรักแมวเท่าไหร่ แต่เขียนไปอ่านไปยังรู้สึกชอบเจ้าแมวตัวนี้เลย ปล. สำหรับเจ้าหม่น... ผมคิดว่าทุกคนคงปลื้มเจ้าหม่นในบทนี้แน่ ๆ อิอิ สิ่งที่เราคิดไว้มันมีมากกว่านี้ จงตามเสพไป... เราเขียนบทนี้เพื่อนายโดยเฉพาะเลย แล้วดราม่าของนายมืดมนกว่า กวินทรา และ กวีนิพนธ์ แน่นอน ถ้าตัวละครไม่มีสว่างเลย ก็แย่ครับ ขอบคุณที่สมัครมาแบบสว่าง ๆ นะครับ... แต่จากใจคนเขียน... ยิ่งสว่างมาก เวลามืด ก็ดำสนิทเลยนะครับผม... ขอให้ท่านเตรียมตัวพบกับดราม่าไว้ (แต่คงไม่เร็ววันนี้) ขอบคุณที่ตามอ่านครับ ขอบคุณครับที่ตามอ่านและคำแนะนำ หวังว่าตอนนี้จะยังคงเป็นอารมณ์นี้อยู่นะครับ หรือเป็นอะไรที่น่าจะชวนให้ติดตามขึ้น สำหรับบทอาตัง ยอมรับว่าค่อนข้างแต่งยาก และมีปมซับซ้อนให้เล่นเยอะ ขอยกไว้ฉายเดี่ยวแบบหนัก ๆ นะครับ ตอนหน้าน่าจะได้เริ่มออกมาคู่กับคนอื่นแล้ว แต่คงยังดราม่าไม่ได้ตอนนี้ เพราะแค่นี้ตัวละครก็ดราม่ากันเยอะละครับ เก็บไว้เล่นทีหลังบ้าง ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอีกครั้งครับ... ขอยืนยันและนอนยันอีกครั้งว่า ฟิคนี้ไม่มีใครรอดไม่ดราม่า แค่จะมาแนวไหนแบบไหนแค่นั้นเอง หวังว่าจะตามกันต่อ ๆ ไปนะครับ ปล. บทที่สองคาดว่าภายในอาทิตย์หน้าครับ (ขอไปตามเม้นท์ฟิคและเขียนแฟนตาซีอีกสักตอนก่อนครับ) (EDIT) มีเรื่องแจ้งให้ทราบครับ... มีการเปลี่ยนผังหอพักนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาผังใหม่มาแปะในนี้แล้วก็ไปแก้ผังในกระทู้รับสมัครด้วยนะครับ (เห็นพวกคำผิดแล้ว แต่ไม่สามารถแก้ได้เพราะหน้ามันจะเลื่อนครับ... เอาเป็นว่าผมแก้ในไฟล์จริงเรียบร้อยแล้วครับ)
ถือได้ว่าสมัครไปถูกจังหวะพอดีสินะ ส่วนเรื่องบทบาทตัวละครไปตามจังหวะเนื้อเรื่องดีแล้วล่ะฮะ แต่เรื่องตัวละครนี่ ถ้าไม่อ่านข้อมูลจากกระทู้สมัครมาก่อนอาจจะสับสนได้ง่ายนิดหน่อยเพราะมีบทออกมากันเยอะมาก คาดว่าคงค่อยๆเน้นบทให้เห็นเด่นขึ้นกันไปทีละคนสินะฮะ (แบบนั้นน่าจะทำให้คนอ่านจำตัวละครได้แม่นกว่าใส่รายละเอียดออกมารวดเดียวด้วย) ปล. เจ้ายุ่งกับเจ้าหม่นน่ารักดี >_<
ก็ไม่เลวนะ บรรยากาศที่เปลี่ยนตัดไปตัดมาทำให้อารมณ์ค้างคาแบบนี้ก็กระตุ้นให้เกิดความอยากที่จะอ่านต่อ อยากจะรู้เรื่องต่อ มันก็ยังทะมึนอยู่แหละสหาย ขนาดวงมาม่ายังมีสีเทาทับทาฉาบมาด้วย แต่ผูกปมเยอะแบบนี้ เวลาแก้ปม...คนเขียนก็เหนื่อยตายเหมือนกันนะนาย ฮ่าๆๆๆ แต่เอาเถอะ เรารู้ว่านายมีแหล่งวัตถุดิบสำหรับปรุงดราม่าเยอะอยู่แล้ว รออ่านต่อไปละกัน ปล. เห็นคำผิดแล้วเฟ้ย!! ทับพี < < ทัพพี
ชอบมากๆเลยค่ะ! มีหลากหลายอารมณ์ในตอนเดียวเลย มีทั้งกลิ่นดราม่า ทั้งกลิ่นความรักโชยมาแต่ไกล แถมความเฮฮาจากก๊วนโต๊ะม้าหินอีก ปมของหลายๆคนยังไม่ถูกเอ่ยออกมา ท่าทางเนื้อเรื่องจะยังไปได้ไกลอีกนะคะเนี่ย เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามอยู่ค่ัะ!
นายมีปัญหาเรื่องการตัดอารมณ์จริงๆด้วย ฮ่าๆๆๆ แต่ก็ต้องชมในเรื่องของการเล่นคำเหมือนเดิม มันจะลื่นไปไหน เท่าที่อ่าน รู้สึกคำพูดของนราพจน์นี่มันไปดังกับคนอื่นบ่อยเนาะ- - ป.ล.มันนี่ตัวทำมาม่าชัดๆ.....
คอมเม้นท์จะมาตอบในตอนหน้านะครับ (คาดว่าเหมือนจะมีอารมณ์แต่งคืนนี้นิดหน่อย) ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำครับ แต่ตอนนี้ขอเอาแผนผังหอมาแปะก่อน (Credit : Azemag McDowell ช่วยคิดกับ นักเดินทางแห่งมิดการ์ด) Illustrated by Azemag McDowell ชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 5 (ตัดชั้น 6 ออกครับ เอาไปรวมกับชั้นหนึ่งแล้วครับ) เจอกันเมื่อตอนต่อไปเสร็จครับ
คอมเม้นท์รวมสองตอนรวด ผมว่าบทโหมโรงทำได้ดีกว่าตอนที่ 1 มาก โดยเฉพาะการปะติดปะต่อเรื่องจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง เสมือนการแพนกล้องจากตัวละครนี้ไปยังอีกตัว โดยไม่มีความขัดกันเลย ซึ่งพอเข้าบทที่ 1 ปรากฏว่าตัวละครเยอะ แล้วการตัดฉากกลับไปมามันมากเสียจนเวียนหัว ถึงจะมีวงเหล้าชั้นล่้างเป็นจุดเชื่อมที่ให้ทุกคนได้มาเจอกัน แต่ก็รู้สึกว่าบางเหตุการณ์เป็นจุดเชื่อมที่แปลกประหลาดมาก บางบทพูดก็แลดูคล้ายจะเอามาเสริม (เช่นเรื่องทำนายไพ่ยิปซี) ซึ่งลงท้ายก็ไม่มีอะไรปรากฏเป็นผลออกมา เลยดูเหมือนใส่เข้ามาเกินๆครับ บมโหมโรงเปิดตัวได้สุดยอดจริงๆ ใช้การโฟกัสเริ่มที่กวินทรา (วิน) ซึ่งเขียนบันทึกคนเดียว สั้นๆ แต่กินใจลึก และไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ก็บอกได้หมดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ซ่อนความขมขื่นบางอย่างไว้ใต้รอยยิ้ม ขณะที่มนต์ก็เป็นพี่สาวแสนดี (ไม่ต้องพูดถึงหม่น ซึ่งน่ารักบรรลัย) แต่ตัวที่(เสือก)ทำให้เรื่องมืดมนก็คือ..กวีนั่นเองครับ ถึงจะพูดแบบนี้แต่ผมกลับชอบโทนเรื่องดราม่าหนักๆ และมืดมนแบบนี้ บทสนทนาของสามีภรรยาเพียงสองสามบท กระชากใจผมได้เลยจริงๆ! โดยเฉพาะตอนกวีตวาด "ออกไป!" เสียงมันแทบจะดังก้องขึ้นมาในหัว ทำให้รู้สึกว่าผู้ชายนิ่งๆคนนี้เหลือทนแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นโดยรวม อากิไม่ได้บกพร่องเรื่องการใช้ภาษาเลย การใช้คำรำพันบ้าง พรรณาบ้าง กลับดึงดูดอารมณ์ผู้อ่านให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง ถือเป็นความสำเร็จที่สุดอย่างหนึ่ง อ่านแล้วหนักหน่วง มืดมน แต่ก็มีความนุ่มนวล โรแมนติกแฝงๆอยู่อย่างที่บอกไม่ถูก ถ้าจะมีปัญหาคงเป็นเรื่องการตัดบทสลับบทมากกว่า แต่นั่นก็เป็นธรรมดา คนๆนึงจะเก่งไปทุกเรื่องก็แปลก ในแง่ที่เรียงร้อยเรื่องราวในหอพักหอเดียวออกมาได้ขนาดนี้ ราวกับเป็นซิทคอม (จริงๆมันไม่คอมเท่าไร) ผมขอชมตรงๆว่า สุดยอดแล้ว ในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ผมว่าไม่ง่ายนักที่จะเขียนเรื่องของทุกๆคนเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันได้ เว้นเสียแต่ได้รับแรงบันดาลใจบวกความสามารถส่วนตัว ได้ข่าวช่วงนี้ติดละครรักร้อยแปดฯ ซักอย่างไม่ใช่เหรอครับ ฮา จริงๆผมว่า "ปม" มันควรเป็นชืื่อของบทแรกมากกว่า เพราะผมว่าบทแรกโหมโรงเป็นปมใหญ่กว่าตอน 1 มาก ชอบบทที่ 1 ตรงที่ตัวละครมีการปฏิสัมพันธ์กันต่อกัน กวินทรารับบทเป็นน้องสาวที่น่ารักมาก ส่วนเจ้ายุ่งในบทนี้ท่าทางกวนเท้าสมเป็นแมวจรจัดได้ใจจริงๆ ตัวละครอื่นๆบอกตามตรงว่า "เกรียนว่ะ" โดยเฉพาะไอ้เกมส์กับยามจ้อย ยิ่งมีนราพจน์เสริมอีก ครบก๊วนกันล่ะทีนี้ (หึหึ) ปัญหาที่ผมอยากบอกก็คือ ไอ้คำกันเอ๊ง กันเอง มึงๆกูๆ ไอ้เกมไอ้จ้อยงี้ มันเหมาะจะอยู่ในฟิคบางฟิค แต่ในเรื่องนี้มันโดดลอยขึ้นมาแปลกๆ คือผมเข้าใจว่าอากิคงเคยชินกับเรื่องจริงที่พวกนี้คุยกัน จนใส่เข้ามาเต็มๆ แต่ปรากฏว่าบรรยากาศของฟิคมันไม่เป็นไปด้วย ลองลดดีกรีห้าวๆลงอีกสักนิด ใช้คำที่เป็นผู้เป็นคนลงอีกหน่อย จะเหมาะกว่าครับ ถึงงั้นผมก็มีจุดที่ชอบ คือช่วงนี้ อ่านแล้วแบบ.... อึดอัด กดทับ หายใจไม่ออก เจ็บนะครับในฐานะกวีนิพนธ์เนี่ย อ่อ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็จับคำที่ฟังแล้วแปร่งๆได้สองสามจุดนะ ผมเข้าใจจุดประสงค์อากิ แต่น้ำเสียงหวาน กับ ฉะฉานแบบชาย อ่านแล้วขัดกันรุนแรงโคตรๆ อ่านแล้วมึนว่า ไอ้คนพูดนี่ชายหรือหญิง จนต้องกลับไปอ่านทวน ผมว่าพ่อหม้าย แม่หม้าย เขาใช้กับคนที่คู่สมรสตายแล้ว ไม่ใช่คนที่หย่าร้างกันแต่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่อ่ะนะ = = สรุปว่ากวินทรารู้ต่อหน้าแล้วสินะว่ากวีรักตัวเอง (ทำไมปมมันคลายตัวเร็วจัง อยากให้หย่อนเบ็ดต่อไปเรื่อยๆอ่ะ) ส่วนคนอื่นๆ จะรอดูดราม่ามั่ง หึหึหึ
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเครียดกับสิ่งที่เรียกว่าความรักขึ้นมายังไงชอบกล อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอยากเข้าวัดไปสงบจิตสงบใจ อ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าชีวิตจริงนั่นไซร้ ยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก
ม่าย ก. มองผ่านเลยไป. ว. ไร้คู่ครองเพราะผัวหรือเมียตายจากไปและยัง ไม่ได้แต่งงานใหม่ และหมายรวมถึงเพราะหย่าขาดจากกันด้วย, ถ้าเป็นชายเรียกว่า พ่อม่าย, ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า แม่ม่าย, โดยปริยาย เรียกหญิงที่เลิกกับผัวว่า แม่ม่ายผัวร้าง หรือ แม่ร้าง, (โบ) ไร้คู่ผัวเมีย เช่น อนึ่งหญิงใดหาผัวมิได้เปนม่ายถือกำนัลอยู่ในวัง. (สามดวง), เขียนเป็น หม้าย ก็มี.
ดูจากการแผ่รังสีมืดมนแล้ว รู้สึกอยากแปลงกายเป็นหนุ่มใหญ่ ไปเทศนาสั่งสอนคนในหอเรื่องความรักจังเลย ความลื่นไหล b ความต่อเนื่อง d การบรรยาย b บทสนทนา b พล็อตเรื่อง a การน่าติดตาม a ตัวละคร b a แง้ววววว b งิ๊ววว c งืม d แง่ว e เง้อออออออ
มันขมวดปมไว้เพียบเลยวุ้ย ถึงฉากหน้าจะเฮฮามากมายแต่แฝงอะไรหลายๆอย่างไว้ให้ขบคิดและแก้ใขสมเป็นศาสดาในด้านนี้ ส่วนตัวมองแย้งกับคนอื่นนะการใช้สรพพนามถึงมันจะดูหยาบไปนิดแต่มันคือสภาพความเป็นจริงเวลาเพื่อนผู้ชายที่สนิทๆกันมารวมตัวในเวลาเย็นๆ หรือเวลาพักผ่อน ตรงข้ามหากพยายามลดให้มันนุ่มลงเบาลงมันจะดูเป็นความห่างเหินของตัวละครเลยทีเดียว