ขอต้อนรับเพื่อนสมาชิกทุกท่านเข้าสู่นิยายแฟนตาซีไร้คุณค่าไร้ราคาแต่เขียน ขึ้นด้วยใจของกระผม นักเดินทางแห่งมิดการ์ด แห่งบอร์ด all-final.com หวังว่านิยายเรื่องนี้จะสร้างความสำราญให้กับเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน และผู้เขียนเองจะพยายามเขียนให้ดีที่สุด สร้างความสำราญให้เพื่อนๆสมาิชิกทุกท่าน ปล.ผมลอกเพื่อนมาทั้งดุ้นเลยฮะ ****คำเตือนฟิคเรื่องนี้ไร้แก่นสาร ยำแหลก สดใส โลกสวย ไม่ปวดตับ เชื่อถือได้**** ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 1 “เอลเทอเฟีย” ชื่อที่ใช้เรียกขานแผ่นดินที่รวบรวมผู้คนและสิ่งมีชีวิตต่างๆไว้มากมาย แต่ถ้าจะอธิบายรวดเดียวคนอ่านคงจะไม่เข้าใจและคนเขียนก็ขี้เกียจด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าเราไปเริ่มต้นเรื่องเล่าของโรงเรียนที่ถูกตั้งชื่อตามแผ่นดินนี้กันเถอะ บนแผ่นดินนี้มีเมืองหลักใหญ่ๆหกเมืองและหมู่บ้านย่อยๆอีกมากมาย เรื่องราวหนนี้เริ่มต้นที่ ‘เวลเจ’ นครแห่งการค้าและเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดบนแผ่นดินแห่งนี้ ถนนปูด้วยหินขัดสีขาวกับต้นปาล์มตั้งเรียงรายริมถนนตัดกับคลองหลายสายที่ถูกขุดเข้าไปแทบทุกมุมของเมือง การเดินทางหลักของเวลเจนั้นหาใช่การใช้รถม้าไปตามถนน แต่เป็นเรือที่พายไปตามคลองสายต่างๆ ทั้งแผ่นดินเอลเทอเฟียคงมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ใช้การเดินทางแบบนี้ บ้านเรือนถูกสร้างในรูปแบบร่วมสมัยมีความหลากหลาย แต่ไม่ว่าอาคารจะสร้างในรูปแบบใดจะต้องมีความสูงเท่ากันและปูหลังคาด้วยกระเบื้องสีแสดแบบเดียวทั้งเมือง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกอย่างของเมืองท่าแห่งนี้ ตลาดยามเช้าของเมืองคึกคักดั่งเช่นทุกวัน ทั้งร้านค้าแผงลอยที่มาจากต่างแดนโดยทางเรือและทางบก รวมไปถึงร้านประจำเมืองของชาวเมืองที่อาศัยในเวลเจ โครม!! ร่างเด็กหนุ่มลอยออกมาจากร้านตีดาบที่ใหญ่ที่สุดในเวลเจของตระกูล “ริยาส” และเด็กหนุ่มจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “กุห์ฟาน” บุตรชายคนเดียวของช่างตีเหล็กตระกูลริยาส “ยังไงแกก็ต้องไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเอลเทอเฟีย ถ้าแกสอบผ่านแล้วเรียนที่นั่นจนจบได้ จะไปไหนทำอะไรก็เรื่องของแกแล้ว” ชายวัยกลางคนที่ทุกคนในเวลเจเรียกติดปากว่า “ช่างใหญ่” โยนกระเป๋าใบเขื่องลงตรงหน้าเด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำเงินเข้มยาวประบ่านัยน์ตาสีมรกตฉายแววไม่หวั่นเกรงต่อบิดาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา “เงื่อนไขแค่สอบผ่านที่โรงเรียนอะไรนั่นแล้วเรียนให้จบ แค่นั้นใช่มั๊ยป๋า”เด็กหนุ่มนามกุห์ฟานปาดเลือดที่เลอะอยู่มุมปากออก “เออแค่นั้นแหละ แต่ถ้าแกสอบไม่ผ่านก็ต้องรอปีหน้าแล้วไปสอบใหม่จนกว่าจะผ่าน ไม่งั้นข้าก็ไม่ให้แกออกเดินทางตามแบบอาของแกหรอก” ช่างใหญ่ “ราห์ ริยาส” บิดาของเด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ถ้าผมแกล้งหนีออกเดินทางไปเลยป๋าจะทำอะไรผมได้ จะให้ลูกน้องป๋าตามหาผมเรอะคงจะยากหน่อยล่ะ”เด็กชายผมน้ำเงินค่อยๆทรงตัวลุกขึ้นเผชิญกับบิดาของตน “ถ้าสิ่งที่ข้าพยายามสอนสิ่งที่ช่างตีดาบและพ่อค้าอย่างพวกเราต้องยึดถือมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะ ‘สัจจะ’ มันไม่ฝังในหัวเน่าๆของแกเลย ข้าและแม่ของแกก็คงจะผิดหวังเป็นอย่างมาก” นายช่างใหญ่จ้องตาบุตรชายของตนที่ลุกขึ้นยืนตรงหน้าเขา “ชิ!! ป๋าดักทางแบบนี้ตลอดอ่ะ... ก็ได้! ผมให้สัจจะกับป๋าว่าจะไปเรียนที่โรงเรียนนั้นตามที่ป๋าต้องการ แต่ไอ้เรื่องจบเนี่ยคงรับปากไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าไอ้คนหัวขี้เลื่อยอย่างผมจะเรียนได้แค่ไหนถ้าไม่โดนเขาไล่ออกซะก่อน ถือว่าพบกันคนละครึ่งทางละกันนะป๋า” เด็กหนุ่มเอ่ยปากต่อรองบิดาของตน “หึ หึ หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้จักลูกของตัวเองสิวะ แกน่ะเรอะหัวขี้เลื่อย” นายช่างใหญ่หรี่ตามองบุตรชายของตนอย่างเท่าทันในความคิด “ก็ได้พบกันครึ่งทางตามที่แกขอก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าแกต้องไม่ไปก่อเรื่องจนถูกไล่ออก แต่ถ้าเรียนไม่ผ่านเกณฑ์จนโดนเชิญออกก็ถือว่าจบเงื่อนไขเหมือนกัน” “ชิ!! ป๋าแม่งรู้ทันตลอดอ่ะ ก็ได้...ตกลงตามนั้น แต่ถ้าผมสอบไม่ผ่านก็ขอเที่ยวเล่นให้สบายใจเฉิบจนถึงปีหน้าละกันนะ” กุห์ฟานคว้ากระเป๋าเดินทางของตนแล้วรีบวิ่งออกจากตรงนั้นพร้อมกับหันมาโบกมือให้กับมารดาของเขาที่เดินออกมายืนอยู่ข้างบิดาผู้กำลังโคลงหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจในตัวบุตรชาย โรงเรียน “เอลเทอเฟีย” เป็นโรงเรียนที่รวบรวมนักเรียนจากทั่วทวีปแห่งนี้โดยไม่เกี่ยงเผ่าพันธุ์ขอเพียงนักเรียนเหล่านั้นสมัครใจที่จะเข้ามาเรียนและผ่านบททดสอบสุดหินซึ่งจะเปลี่ยนไปทุกปี เด็กกว่าครึ่งต้องกลับมาสมัครใหม่ในปีหน้าเพราะไม่ผ่านบททดสอบลำดับแรก และอีกเกือบครึ่งที่สอบข้อเขียนไม่ผ่านในการทดสอบลำดับที่สอง และการทดสอบสุดท้ายจะคัดเฉพาะนักเรียนระดับไม่ธรรมดาเข้าไปศึกษาในสถาบันแห่งนี้ โดยเผ่าหลักๆบนทวีปแห่งนี้จะอาศัยอยู่ตามเมืองหลักทั้งสามแห่ง เผ่าเอลฟ์มีเอกลักษณ์ที่ผิวพรรณรูปร่างหน้าตางดงาม ใบหูที่ยาวแหลมจนสังเกตได้ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งมนตรา “ริมุเน่” ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าใหญ่ “อัสร่า” ทอดอาณาเขตกินพื้นที่ฝั่งตะวันตกทั้งหมดของทวีปจนไปสิ้นสุดด้านใต้ที่ทะเล “เซเน่” นครแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอของมนตราและเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่กับธรรมชาติ เผ่าปีศาจที่มีเอกลักษณ์หลักคือผิวกายที่ออกแดงคล้ำและเขาเล็กๆสองเขาบนหน้าผาก พวกเขาอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งทะเลทราย “กรานาด้า” เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย "อัลคาน่า" พื้นที่แห้งแล้งขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ฝั่งขวาของทวีปครึ่งบนไปจนจรดเทือกเขาเลด้าที่ทอดขวางจากตะวันออกไปจนถึงตะวันตกของทวีป ถึงภูมิประเทศโดยรอบจะแห้งแล้งแต่เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนโอเอซิสขนาดใหญ่ ทำให้ความเจริญและความยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ไม่แพ้เมืองอื่นๆเลยทีเดียว และเผ่าใหญ่เผ่าสุดท้ายก็คือเผ่ามนุษย์ มีเมืองหลักคือ “รีเวเรีย” นครแห่งอัศวินที่ตั้งอยู่บนทวีปฝั่งขวาเช่นเดียวกับกรานาด้า แต่เป็นด้านใต้ส่วนที่ติดกับทะเลเซเน่ โดยมี “เวลเจ” เป็นเมืองท่าสำหรับค้าขายแยกออกมาอีกเมืองตั้งอยู่ตรงปากแม่น้ำ กล่าวกันว่ารีเวเรียมีรูปแบบของสิ่งก่อสร้างที่สวยงามไม่แพ้เมืองหลักอีกสองเมืองเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมี “อุเอรุโตะ” เกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเวลเจ เมืองแห่งนี้แตกต่างจากทุกเมืองบนแผ่นดินใหญ่ทั้งวิถีการดำเนินชีวิต ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมหรือแม้กระทั่งอาหารการกิน ผู้คนต่างใช้ชีวิตเรียบง่ายยึดติดกับธรรมชาติ จนทำให้ใครหลายๆคนหลงใหลเมื่อได้มาถึง เมืองแห่งนี้ก็มีวิชาการต่อสู้ที่สืบทอดมาแต่โบราณ โดยเฉพาะวิชาดาบ ว่ากันว่าไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดินเอลเทอเฟียเลยทีเดียว ถึงจะบอกว่าเป็นเมืองหลักแต่ก็มีเผ่าอื่นไปทำมาค้าขายหรือตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลักทั้งสามและหมู่บ้านต่างๆทั่วทวีป ความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องสามัญธรรมดาของทวีปแห่งนี้ จึงไม่น่าแปลกที่จะได้เห็นพวกลูกครึ่งลูกเสี้ยวตามสถานที่ต่างๆ หากมานึกดูดีๆมันก็ทวีปที่ออกจะประหลาดอยู่ซักเล็กน้อย... แต่ก็ช่างมันเถอะ และสถานที่หลักของเรื่อง โรงเรียนที่ถูกตั้งชื่อตามชื่อทวีป ตั้งอยู่บนทวีปฝั่งซ้ายเหนือสุดติดกับเทือกเขาเลด้าและต้นแม่น้ำเซลว่า โรงเรียนที่มีอาณาเขตกว้างขวางพอๆกับเมืองใหญ่ทั้งเมือง และตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนจากทั่วทวีปเข้ารับการทดสอบเพื่อเรียนในโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ หลังจากสอบข้อเขียนที่ทำเอาบุตรชายของช่างใหญ่แห่งเวลเจแทบจะเอาหัวโขกโต๊ะตายในบางช่วงของข้อสอบ “นี่มันคำถามเชี่ยอะไรเนี่ย ถ้ากุรู้จนตอบคำถามพวกนี้ได้จะมาเรียนทำแมวอะไรวะ” กุห์ฟาน ริยาส เดินหน้าเมาออกมาสูดอากาศข้างนอกห้องสอบหลังจากมั่วกระจายในหลายๆส่วน จะให้ว่ากันตามตรงก็มั่วไปเกินครึ่งล่ะนะ “ไอ้การทดสอบแรกที่ให้ตอบคำถามปากเปล่าวัดเชาว์ปัญญายังพอไหว แต่ไอ้ข้อเขียนเป็นเป็นแผ่นๆแบบนี้ตกแหงๆ” เด็กหนุ่มผมน้ำเงินเกาหัวแกรกๆ มองไปในห้องสอบก็พบว่าเด็กที่มาสมัครส่วนใหญ่ยังหน้าดำคร่ำเครียดกับข้อสอบบนโต๊ะโดยมีผู้คุมสอบเดินตรวจตราไปมา เมื่อเขาหันมาเจอกุฟาห์จึงโบกมือไล่ไม่ให้เด็กชายยืนป้วนเปี้ยนหน้าห้องสอบ กุห์ฟานเลยจะเดินทอดน่องดูโรงเรียนที่เขาคงไม่ได้เข้าเรียนในปีนี้แหงๆให้ทั่วสักหน่อย แต่ยังที่เขายังไม่ทันได้เดินไปดูอะไรเลยก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่เขา ชายหนุ่มเผ่าเอลฟ์สวมแว่นตา ผมยาวสีทองมัดรวบ ตาสีน้ำเงิน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคนไม่พ้นเครื่องแบบสีขาวขลิบเส้นสีดำตามขอบชายเสื้อปกคอตั้งกระดุมสองแถว กางเกงสีขาวสะอาด มีเข็มกลัดรูปวิหคกำลังสยายปีกติดอยู่ตรงปกเสื้อฝั่งขวา “เอลฟ์ เครื่องแบบขาว เข็มกลัดวิหค กรรมการนักเรียนฝ่ายวินัยอย่างงั้นหรือ?” ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ถูกเรียบเรียงในหัวสมองของบุตรชายช่างใหญ่อย่างเร่งด่วน “น้องใช่ผู้สมัครเข้าเรียนที่เพิ่งสอบเสร็จหรือเปล่าครับ?” น้ำเสียงนุ่มนวลถูกเอ่ยออกมา กุห์ฟานพยักหน้างึกๆ “พอดีมั่วไปเยอะเลยออกมาไวน่ะพี่ชาย ว่าแต่...จะไปรับสัมภาระที่ฝากไว้ตอนมาสมัครเข้าสอบได้ที่ไหนหรือ?” ชายหนุ่มผมทองยิ้มออกมาเล็กน้อย “ยังไม่ทันจะประกาศผลสอบเลยน้องชายจะรีบไปไหนหรือครับ?” “ยังไงก็ตกแหงๆอยู่แล้ว นอกจากข้อสอบในสายที่ถนัดนอกนั้นมั่วกระจุยซะเกินครึ่ง ผมไม่คิดว่ามันจะดวงผมดีจนผ่านได้หรอกนะ” กุห์ฟานตอบตรงๆ ชายหนุ่มผมทองยังคงยิ้มละไม “เสียใจด้วยนะครับที่พี่ให้น้องกลับตอนนี้ไม่ได้ น้องจะต้องรอจนกว่าจะประกาศผลสอบตามระเบียบการสมัคร พี่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะรอฟังผลสอบซึ่งบางทีผลที่ออกมาอาจจะไม่ใช่อย่างที่น้องคิดก็ได้นะครับ” “งั้นก็ต้องรอจนกว่าคนสุดท้ายจะสอบเสร็จ แล้วคนตรวจทานข้อสอบตรวจข้อสอบทั้งหมดเสร็จจากนั้นก็ประกาศผลสอบ อย่างนี้ผมคงนอนได้หลายงีบเลย การที่พี่ชายเดินมาทักผมอย่างนี้แสดงว่าจะนำผมไปยังที่พักสำหรับรอผลสอบสินะ นำทางไปเลยพี่ชายผมง่วงและหิวจะตายอยู่และ” กุห์ฟานเอ่ยจบก็เดินตามเอลฟ์หนุ่มผมทองที่ออกเดินนำทันที ขณะที่กำลังเดินกันไปอย่างไม่รีบร้อนเพราะมีเวลาเหลือเฟือ กุห์ฟานก็เอ่ยปากทักเอลฟ์หนุ่มตรงหน้า “นี่ๆพี่ชาย เดี๋ยวนี้เขานิยมใส่แว่นที่ใช้เลนส์กระจกเปล่าที่ไม่ใช่แว่นสายตากันแล้วหรือ?” “น้องชายนี่ช่างสังเกตเหลือเกินนะครับ” เอลฟ์หนุ่มเอ่ยตอบโดยไม่ได้หันกลับมามองคนถาม “มันต้องสังเกตด้วยหรือ? ในเมื่อเอลฟ์เป็นเผ่าที่ขึ้นชื่อเรื่องสายตาและประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม แต่พี่ชายกลับเลือกที่จะใส่แว่นตามันก็แปลกๆตั้งแต่แรกเห็นแล้วล่ะนะ ที่ถามไม่ใช่จะก้าวก่ายหรอกนะพี่ชายแต่อยากรู้ตามที่ถามจริงๆ” “น้องชายจะได้จัดหาสินค้ามาเก็งกำไรอย่างนั้นหรือครับ?” เอลฟ์หนุ่มตอบกลับมาในขณะที่ยังเดินนำต่อไปเรื่อยๆ “ก็กระแสของสินค้าพวกนี้ถ้าเราจับได้แล้วลงมือทำกำไรในช่วงแรกก็เยอะโขอยู่นา” กุห์ฟานเจื้อยแจ้วไปตามประสา “น่าเสียดายนะครับ นี่เป็นเพียงความชอบส่วนตัวของผมเท่านั้นไม่ได้เป็นที่นิยมอะไรมากมาย เอาล่ะถึงห้องโถงสำหรับพักแล้วนะครับ” เอลฟ์หนุ่มมาหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูใหญ่ “ขอบคุณมากนะ ผมกุห์ฟาน ริยาส ยินดีที่มีโอกาสได้พบหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวินัยแห่งโรงเรียนเอลเทอเฟียผู้โด่งดังฉายา ‘หนึ่งเคียว’ เชลลี ไอแซค” บุตรชายของช่างใหญ่ยิ้มให้เอลฟ์หนุ่มตรงหน้าแล้วเปิดประตูเดินเข้าไป ปล่อยให้เขามองตามหนุ่มเด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่ตรงดิ่งเข้าไปยังมุมของกินในห้องรับรองอย่างรวดเร็ว “กุห์ฟาน ริยาส ถ้าสอบผ่านคงเป็นรุ่นน้องอีกคนที่น่าสนใจล่ะนะ” แล้วหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวินัยก็เดินสำรวจภายในโรงเรียนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนเองต่อ กุห์ฟานหลังจากหยิบของกินที่ตั้งไว้ตรงมุมอาหารมาเต็มที่เมือหันกลับมาเพื่อจะมองหาที่นั่งก็พบว่ามีคนอยู่ในห้องนี้อยู่แล้วสามคน คนแรกเป็นเด็กหนุ่มหน้าตามึนๆ ผมดำกระเซิงๆนั่งชันเข่าพิงผนังกอดอกเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คนที่สองเป็นเด็กหนุ่มผมเทาหน้าตาดีนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ตรงชั้นหนังสือ คนที่สุดท้ายเป็นเด็กหนุ่มผมน้ำตาลเข้มนอนหลับอยู่กับพื้นตรงมุมห้อง เมื่อนับเขาไปด้วยอีกคนก็เท่ากับว่าสี่คนแรกที่ออกจากห้องสอบข้อเขียนเป็นเผ่ามนุษย์ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มคิดหรือสนใจอะไรมากมายเพราะท้องของเขามันร้องเรียกหาอาหารอย่างรุนแรง กุห์ฟานรีบจัดการของกินที่ตนหยิบมาแล้วเลือกมุมหนึ่งของโถงนั่งเอนหลังพิงกำแพงหลับตาลงอย่างเหน็ดเหนื่อย และเมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้งก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สุดแสนจะวุ่นวายภายในโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่มีชื่อว่า “เอลเทอเฟีย” ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 1 จบ
กะว่าจะเม้นต์ดีๆ เจอหัวกระทู้แบบนี้ขอเกรียนแตกหน่อยเหอะครับ~! =_______________________________________________________= ลอกการบ้านเห็นๆ เรื่องนี้ถึงหูครูอังคณาแน่~~~~!!!!
น้ำเงิน, ดำ, น้ำตาล, เทา มากันซะ 4 สีเลยแฮะ ว่าแต่ 5 คนออกมามีแต่หนุ่มๆทั้งนั้นเลยแฮะสาวๆไปไหนกันหมดล่ะเนี่ย
ไม่ต้องเดาเลยว่ากุห์ฟานจะไปเจอกับใครในตอนท้าย ฮ่าๆๆๆๆๆ เมื่อวานอ่านแล้วเม้นไม่ได้ แต่วันนี้อ่านแล้วเม้นได้ก็เลยงงๆ เลยเม้นซะเลย ตอนนี้ยังเดาเนื้อเรื่องไม่ได้ แต่ก็น่าจะตามฟอร์มฟิคโรงเรียน (หรือเปล่า) รอตอนต่อไปนะพี่ ยังมีบางประโยคที่อ่านแล้วยังขัดๆ เดียวค่อยนอกรอบล่ะกันพี่ ป.ล.อันนี้ ฟิค สนอง need เปล่าครับพี่ /โดนถีบ
สำหรับฟิคเรื่องนี้ นับเป็นเรื่องที่สามถัดจาก Litterae Vita และ FIO ที่ได้อ่านนิยายในสไตล์ของนายแบบจริงจัง และเมื่อนายขอคอมเมนต์แบบเป็นทางการ เราก็พร้อมจะจัดให้ ถ้าเทียบกับเรื่องแรกที่ได้อ่านคือ Litterae Vita แม้จะเขียนออกมาเป็นนิยายมุมมองบุคคลที่สามเหมือนกัน แต่ Elterfia School ทำได้ดีกว่าเยอะ วิธีใช้บทพูดเกริ่นนำเนื้อเรื่องในแบบการเล่าเรื่องของคนเขียนทำให้เกิด "เสียง" ไปพร้อมกันในขณะที่กวาดตาอ่าน เหมือนกับการนั่งฟังใครสักคนเล่าเรื่องให้ฟัง ซึ่ง Litterae Vita ใช้เพียงการบรรยายมุมมองบุคคลที่สามเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เทียบกันแล้ว Elterfia School ทำให้รู้สึกว่านิยายเรื่องนี้เข้าถึงได้ง่ายกว่า รู้สึกเป็นกันเองมากกว่า ที่สำคัญคือสามารถจินตนาการเนื้อเรื่องและสภาพแวดล้อมต่างๆในนิยายได้ดีกว่า ทำให้ "ภาพ" ที่เกิดขึ้นในหัวมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย การดำเนินเนื้อเรื่องด้วยวิธีโฟกัสตัวละคร สลับกับการพรรณาสภาพแวดล้อมโลกเอลเทอเฟียทำให้นิยายเรื่องนี้มีความสมจริง เกิดรายละเอียดที่สามารถจับต้องได้ และช่วยคั่นอารมณ์ของคนอ่านทำให้เกิดความรู้สึกอยากติดตามเนื้อเรื่องของตัวละครในฉากถัดไป แต่ก็ไม่สามารถอ่านข้ามสิ่งที่แทรกเข้ามาระหว่างทางได้เพราะถูก "เสียง" จากคนเขียนดึงเอาไว้ Elterfia School และ FIO ใช้กุห์ฟานเป็นตัวละครหลักเพื่อดำเนินเรื่องเหมือนกัน เรื่องนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ใช้ความกวน-ีนของตัวละครพาเรื่องไปยัง event ต่างๆได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัว เนื้อเรื่องเดินไปเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัวโดยมีกุห์ฟานเป็นจุดศูนย์กลาง ยังคงรักษาคุณภาพและเอกลักษณ์ในการเขียนได้เป็นอย่างดี หวังว่าตอนต่อไปก็จะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ห้องรับแขกกับอีตานักเดินทาง ฉายาของตอนนี้คือ "ตอนสองดองเป็นชาติ" เขียนสนองNeed ตามอารมณ์ล้วนๆเบยพยายามทำให้ออกมาดีที่สุดแต่ก็ไม่รู้จะดีแค่ไหนขอบคุณที่ยังแวะมาอ่านนะครับ
ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 2 ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานแค่ไหน เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งกุห์ฟานก็พบว่าภายในห้องโถงที่ก่อนเขาหลับเคยมีคนอยู่เพียงสี่คน แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้สมัครเข้าเรียนโรงเรียนมากมาย หลายเสียงพูดคุยกันเองดังระงมไปทั่วจนทำให้เขาตื่น ห้องโถงที่ใหญ่โตบัดนี้ดูเล็กลงไปถนัดตา บุตรชายของนายช่างใหญ่แห่งเวลเจปิดตาลงอีกครั้งหวังจะงีบต่อ แต่ก็ต้องสะกิดใจเมื่อเสียงพูดคุยที่ดังเซ็งแซ่จู่ๆกลับเงียบหายไปพร้อมกับเสียงกังวานใสของหญิงสาวดังขึ้นมาแทนที่ “ผู้เข้าสอบทุกท่านคงได้พักผ่อนบ้างพอสมควรแล้วนะคะ ต่อไปจะเป็นการทดสอบลำดับสุดท้าย” เสียงฮือฮาของผู้สมัครเข้าสอบดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอพูดจบ “อ้าว? ไม่ประกาศผลสอบข้อเขียนเรอะ สงสัยจะผ่านแล้วมั๊ง หรือเอาไปบอกทีเดียวหลังจากสอบครั้งนี้หว่า” กุห์ฟานคิดในใจทั้งๆที่หลับตา “ขอให้ผู้เข้าสอบทุกท่านมาจับฉลาก จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาไปยังสถานที่ทดสอบนะคะ” เสียงของหญิงสาวคนเดิมประกาศเงื่อนไขการทดสอบลำดับที่สาม กุห์ฟานลืมตาแล้วมองไปรอบๆห้องก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมาตั้งกล่องอยู่ทั้งหมดสี่จุด ผู้เข้าสอบจำนวนมากต่างกรูกันไปเข้าแถวเพื่อจับฉลากสำหรับการทดสอบในลำดับที่สามซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร “คนเพียบเลยวุ้ยกว่าจะจับกว่าจะให้รุ่นพี่พาไปสนามสอบอีกนานแหงๆหลับอีกซักงีบละกัน” แล้วเด็กหนุ่มผมน้ำเงินก็หลับตาเอนหลังงีบหลับไปอีกครั้ง... ขณะกำลังหลับอย่างสบายอารมณ์ บุตรชายช่างใหญ่ต้องลืมตาตื่นขึ้นเพราะรับรู้ได้ถึงฝีเท้าของบางคนเดินตรงมาหาเขา ถ้าเดาไม่ผิดเจ้าของฝีเท้าจงใจทำให้เขารู้สึกตัวว่ากำลังเดินไปหาซะด้วยซ้ำ กุห์ฟานมองไปยังต้นเสียงของฝีเท้าก็พบเอลฟ์สาวผมสีทองอันเป็นสีปรกติของเผ่าพันธุ์นี้ ผมสีทองยาวจรดกลางหลังแต่รวบปลายเอาไว้ด้วยกิ๊บหนีบผมแบบเรียบๆ ใบหน้าสะสวยหมดจด โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวคู่นั้นกำลังมองมาที่เขา ชุดที่เธอใส่เป็นแบบเดียวกับ ‘เชลลี ไอแซค’ เอลฟ์หนุ่มที่นำทางเขามายังห้องนี้ แต่ผิดกันที่มันไม่ใช่กางเกงสีขาว แต่เป็นกระโปรงสั้นเหนือเข่าขลิบเส้นสีดำแบบเดียวกับเสื้อ ถุงเท้ายาวสีดำขึ้นมาเลยเข่าเปิดให้เห็นผิวขาวเนียนระหว่างกระโปรงกับถุงเท้ายาวที่ถูกเรียกกันติดปากว่า “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” แต่สายตาของกุห์ฟานกลับสะดุดกับเข็มกลัดรูปราชสีห์ที่อยู่ตรงปกคอเสื้อของเธอมากกว่าความสวยดุจเทพธิดาของเอลฟ์สาวตรงหน้า “เอลฟ์อีกแล้ว? ราชสีห์งั้นรึ? นี่ก็กรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรมสินะ” บุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจสบตาเอลฟ์สาวตรงหน้า “ตื่นแล้วหรือคะ? ” น้ำเสียงดุจระฆังแก้วหวานใสถูกเอ่ยถามกุห์ฟานพร้อมรอยยิ้มบางๆ เด็กชายผมน้ำเงินเกาหัวแก้เก้อแล้วหัวเราะแหะๆ “พอดีใช้สมองเยอะไปหน่อยน่ะครับพี่สาว นี่มาแจ้งว่าผมหมดสิทธิ์สอบแล้วสินะ” กุห์ฟานบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบพลางลุงขึ้นยืนเตรียมไปรับสัมภาระที่ฝากไว้จะได้ไปท่องเที่ยวให้หนำใจแล้วปีหน้าค่อยมาสอบใหม่ ขณะที่กำลังเริ่มคิดวางแผนว่าจะไปไหนก่อนดีเสียงหวานใสของเอลฟ์สาวผมทองก็พังแผนการของเขาหมดสิ้น “เสียใจด้วยนะคะน้องกุห์ฟาน ริยาส ตอนนี้เหลือน้องกับเพื่อนอีกสามคนที่ยังไม่ได้รับการทดสอบสุดท้าย”เธอชี้ไปยังอีกสามคนซึ่งก็คือเจ้าสามคนที่เขาเห็นครั้งแรกในห้องแห่งนี้ แถมแต่ละคนยังอยู่ในอิริยาบถเดิมเหมือนตอนก่อนที่เขาจะหลับไป ผิดตรงที่แต่ละคนมีรุ่นพี่ในเครื่องแบบสีขาวเดินตรงไปหาพวกเขาแล้วพุดอะไรบางอย่างด้วย คงจะเป็นการแจ้งให้ไปสอบรอบสุดท้ายแบบที่เขายืนรออยู่นี่สินะ เด็กหนุ่มอีกสามคนเดินตามรุ่นพี่เหล่านั้นมาอย่างว่าง่ายแล้วมาหยุดอยู่ด้านหลังเขา “ฝากที่เหลือด้วยนะ ‘ราเคล’ พวกเราขอตัวไปเตรียมงานอย่างอื่นก่อนล่ะ” รุ่นพี่สามคนฝากหน้าที่ไว้กับเอลฟ์สาว แล้วเดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้เด็กชายมนุษย์สี่คนหัวสี่สียืนทำหน้าเบลอๆอยู่กับเธอ “พี่สาวคือ ‘เทพธิดาแห่งคันศร - ราเคล เอลรอน’ หัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรม เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เจอคนดังแห่งยุค งามสง่าสมคำร่ำลือเลยนะฮะ” เด็กหนุ่มผมเทาเอ่ยพลางยิ้มละไมเอามือทาบอกโค้งตัวคำนับ “มาชมดิฉันก็ไม่ทำให้คุณสอบผ่านง่ายขึ้นหรอกนะคะ ‘คุณอากิรอส คีฟ’”คำพูดแบบรู้เท่าทันถูกส่งกลับมาพร้อมรอยยิ้มละไมแบบเดียวกัน ก๊ากๆ!! เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะงอหายอย่างสุดกลั้น “ยังมีคนใช้ไอ้คำว่า ‘นะฮะ’ อีกเรอะเนี่ยจะหน่อมแน้มไปมั๊ยเจ้าหัวเทา?” “น้องคือ?” ยังไม่ทันทีเอลฟ์สาวจะได้ก้มมองรายชื่อบนม้วนกระดาษในมือ เด็กชายผมน้ำตาลเข้มก็ชิงตอบมาก่อน “ผมชื่อเอเซครับ เอเซ แมคโดเวล” “แล้วคนสุดท้ายก็คือ ซารุวาตาริ ทากะสินะคะ” ราเคลเอ่ยทักเด็กหนุ่มผมดำที่ยืนเหม่ออยู่รั้งท้าย ผ่านไปอึดใจใหญ่โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากเด็กหนุ่มจนเอลฟ์สาวหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกเล็กน้อยจึงทำให้เด็กหนุ่มผมดำสะดุ้งจากการการเหม่อลอยพยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ ราเคลมองรายชื่อในกระดาษเพื่อตรวจสอบอีกครั้งพลางคิดในใจ “แต่ละคนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆออกจากห้องสอบชุดแรกแต่กลับเลือกที่จะสอบชุดสุดท้าย เอาล่ะ! ไหนแสดงให้ดูหน่อยสิว่าพวกนายมีดีแค่ไหนกัน” “ทั้งสี่คนคงจะทราบจากเจ้าหน้าที่แล้วนะคะว่าต่อไปจะเป็นการทดสอบสุดท้าย ขอให้พวกน้องตามพี่มาเลยนะคะ” แล้วเอลฟ์สาวก็พาเจ้าเด็กทั้งสี่คนเดินตามทางเดินเพื่อไปสู้ห้องทดสอบลำดับสุดท้ายที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก เสียงฝีเท้ากระทบกับบันไดหินที่ทอดตัวลงไปใต้ดิน แสงสว่างสลัวๆจากคบเพลิงที่ปักไว้เป็นระยะๆ กลิ่นอับชื้นอันเป็นเอกลักษณ์ของห้องใต้ดินแถมด้วยกลิ่นควันจากคบเพลิงทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้งสี่คนเดินตามราเคลมาอย่างเงียบๆ บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งมากขึ้นทุกฝีเท้าที่ก้าวลึกลงไป “นี่ๆ พี่สาวราเคลไม่ใช่หลอกพวกเราไปเชือดทิ้งที่ห้องใต้ดินล่ะ” เอเซพูดแบบติดตลกเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอพาทุกคนลงมาสุดทาง เบื้องหน้าพวกเขาเป็นประตูบานใหญ่แล้วเอลฟ์สาวก็เดินไปหยุดอยู่ตรงนั้น ทันทีที่เธอหันหลังกลับมา จิตคุกคามรุนแรงทำให้สัญชาตญาณของทุกคนรับรู้ถึงอันตรายที่รอพวกเขาอยู่ด้านหลังประตู ก่อนที่ใครจะได้ถามอะไรเธอก็พูดกับทั้งสี่คนก่อน “บังเอิญพวกน้องเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยเหลือห้องทดสอบที่ยากที่สุด ขนาดรุ่นพี่หลายคนยังเรียกห้องทดสอบนี้ว่า ‘นรก’ พวกคุณมีโอกาสเลือกนะคะว่าจะรับการทดสอบครั้งนี้หรือไม่?” ราเคลยิ้มละไม “มีกวีผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ ‘หากข้าไม่ลงนรกแล้วใครกันเล่าจะลงนรก’ มันเหมาะกับเหตุการณ์ตอนนี้เหลือเกินนะฮะพี่สาว” อากิรอส คีฟ เอ่ยขึ้นมาลอยๆ เอเซเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฟังดูเข้าท่าดีนี่เจ้าหัวเทา ผมเองก็ไม่คิดจะถอยอยู่แล้ว ‘นรก’ งั้นเหรอ? ฟังดูก็น่าสนุกดีนี่ เงื่อนไขในการผ่านล่ะเจ๊?” “ก็แค่เข้าไปในห้องแล้วเดินออกประตูอีกฝั่งเท่านั้น ไม่ยากใช่ไหมคะ?” ราเคลยังคงยิ้มงดงามสมฉายาเทพธิดาที่เธอได้รับ “ถ้าไอ้ตัวที่ขวางทางอยู่ในห้องมันไม่ใช่ไอ้ตัวอันตรายชนิดที่ว่าหลายๆคนเรียกห้องทดสอบนี้ว่า ‘นรก’ สินะครับ” กุห์ฟานเอียงคอมองประตูตรงหน้าพลางนึกถึงข่าวสารเกี่ยวกับการสอบที่เขาเคยได้ยินมาทั้งหมด แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรกันอีก เด็กหนุ่มผมดำนามว่าซารุวาตาริ ทากะ ก็เดินตรงเข้าไปเปิดประตูโดยไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย ทำเอาอีกสามคนรีบจ้ำเดินตามเข้าไปทันที ทันทีที่ประตูปิดสนิท ใครคนหนึ่งก็ออกมาจากมุมมืดมายืนอยู่ข้างๆราเคล “นี่เธอไม่ใจร้ายกับเจ้าพวกนั้นไปหน่อยหรือ?” หญิงสาวผิวสีเข้ม ผมบ๊อบยาวระต้นคอสีดำสนิทเปิดหน้าผากเห็นเขาเล็กๆทั้งสอง รูปร่างสมส่วนในชุดกรรมการนักเรียนเช่นเดียวกับราเคลแต่ที่ปกคอเข็มกลัดเป็นรูปมังกร “ชั้นว่ามันออกจะง่ายไปสำหรับสี่คนนั้นด้วยซ้ำ ยังไงถ้ามีอะไรเลยเถิดขึ้นมาหัวหน้าฝ่ายวิชาการผู้กำหนดบททดสอบก็ต้องออกโรงไปช่วยอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ‘นอร์ริมอร์’ ชั้นมีแค่หน้าที่ประสานงานเองนะ” เอลฟ์สาวเอ่ยยิ้มๆให้กับคนที่มายืนอยู่ข้างเธอ “ใครอุตริไปเลือกเธอขึ้นมาเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมกันนะ?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่านอร์ริมอร์บ่นงึมงำ “ไอ้ชั้นก็ไม่ได้อยากจะเป็นหรอกนะ? เธอเองไม่ใช่เรอะที่ไม่ยอมลำบากคนเดียวลากชั้นเข้ามาเอี่ยวกับกรรมการนักเรียนอะไรแบบนี้?” เอลฟ์สาวราเคลเอียงคอถามเพื่อนสาว “มัวแต่มาเถียงกันงานชั้นก็ไม่เสร็จซักทีน่ะสิ ขอดูหน่อยก็แล้วกันว่าเจ้าพวกนี้มันจะแน่ซักแค่ไหน บอกไว้ก่อนนะถ้าไม่ผ่านชั้นก็ให้ตกเหมือนกันกับคนอื่นถึงจะได้การทดสอบในระดับที่ยากที่สุดก็เถอะ” หญิงสาวหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวิชาการเอ่ยพลางเดินเข้าไปในห้องสอบด้วยประตูลับเล็กๆที่อยู่ข้างๆประตูใหญ่ โดยมีราเคลเดินตามเข้าไปเพื่อสังเกตการณ์ ทันทีที่ทั้งสี่คนเข้ามาในห้องก็รู้สึกถึงจิตคุกคามอย่างรุนแรง เมื่อพยายามเพ่งฝ่าแสงไฟสลัวๆก็เห็นดวงตาสีทับทิมขนาดเท่ากำปั้นจำนวนหกดวงลอยอยู่ชนิดต้องแหงนหน้าขึ้นมอง แม้เป็นคนโง่ก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่...ไม่สิต้องเรียกว่าขนาดใหญ่ยักษ์เลยจะดีกว่า สุนัขขนาดใหญ่สีดำสนิทและที่สำคัญมันมีถึงสามหัว!! ดวงตาสีทับทิมทั้งหกของมันจับจ้องมายังมนุษย์ตัวจ้อยทั้งสี่ที่อาจหาญมาเผชิญหน้ากับมัน หนึ่งในสัตว์ร้ายที่น่าจะมีอยู่เฉพาะในนิยายหมาเฝ้าประตูนรก “เซอบิรัส” ตามตำนานเล่าขานกันว่าแม้แต่เหล่าทวยเทพผู้เก่งกาจยังไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับมันตรงๆเพื่อฝ่าเข้าประตูนรกที่มันเฝ้าอยู่ “เหอๆๆ ยายเจ๊เอลฟ์นั่นเล่นเราซะแล้วจัดของแข็งมาเชียว อาวุธติดมือก็ไม่มีจะฝ่าออกไปยังไงฟะเนี่ย?” เอเซโคลงหัวดิกถึงปากจะบ่นแต่แววตาของเขาหาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย สีหน้าของเขากำลังสนุกตื่นเต้นอยู่ “หมาเฝ้าประตูนรก... มิน่าเล่าผู้คนถึงเรียกขานห้องนี้ว่านรก มีเหตุมีผล” อากิรอสพึมพำงึมงำอยู่คนเดียว “บังคับตกกลายๆเลยนะเนี่ย เจอหมาประตูกนรกเซอบิรัส” กุห์ฟายกอดอกมองดวงตาสีทับทิมทั้งหกดวงที่จับจ้องมายังพวกเขาพร้อมๆกับจิตคุกคามราวกับคมหอกคมดาบ แต่บุตรชายนายช่างใหญ่จ้องดวงตาทั้งหกด้วยสีหน้าไม่ร้อนรนเท่าไร “ก็แค่หมาไม่ใช่หรือขอรับ?” ทากะเอ่ยออกมาหลังนิ่งเงียบอยู่นานแล้วหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมห้องสอบอีกสามคนด้วยสีหน้าซื่อๆทำเอาทั้ง เอเซ อากิรอสและกุห์ฟานต่างแปลกใจในประโยคแสนธรรมดาๆของเจ้าหมอนี่แบบสุดๆ “เออหมา แต่บังเอิญไอ้หมานี่มันโคตรจะดุเลยแล้วแกจะผ่านมันไปได้ยังไงวะ?” เอเซเลิกคิ้วถาม ทากะตอบกลับมาแบบไม่ต้องคิด “ก็เดินผ่านไปไงล่ะขอรับ” เอเซหัวเราะจนตัวงอ “เอ็งนี่มันแน่จริงๆ ไหนลองทำให้ดูหน่อยสิวะว่ามันทำยังไง” เด็กหนุ่มพูดทีเล่นทีจริงปนด้วยเสียงหัวเราะ ทากะไม่ตอบอะไรเอเซ หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าหมาสามหัวเฝ้าประตูนรกแล้วเดินตรงเข้าไปหาทื่อๆ เสียงขู่คำรามดังก้องมาจากปากทั้งสามของมัน แต่แล้วจู่ๆราวกับตัวตนของเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังเดินอยู่ค่อยๆจางหายไปเป็นอากาศธาตุเอาดื้อๆ เมื่อทุกคนรู้สึกตัวอีกทีทากะก็ไปยืนพิงประตูทางออกเอียงคอเล็กน้อยให้เอเซเหมือนกับจะบอกว่า “ก็เดินแบบนี้ไงไม่เห็นจะยาก” “ลบจิตตัวเองสินะไม่เลวๆ” เอเซแสยะยิ้มแล้วเดินเข้าหาเจ้าหมาเฝ้าประตูนรกอีกคน แต่ครั้งนี้มันคำรามแล้วพุ่งเข้าขย้ำเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทันทีเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าสู่อาณาเขตสังหารของมัน แต่คมเขี้ยวของเซอบิรัสก็จั่วลมเต็มเปาเมื่อเอเซหายวับไปจากจุดที่เขายืนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าที่ปรากฏให้เห็นเพียงเสี้ยววินาทีบนท้องฟ้าเวลาพายุฝนโหมกระหน่ำ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลมายืนเลิกคิ้วให้ทากะตรงประตูทางออกเช่นกัน และพริบตาที่เจ้าหมาสามหัวงับร่างของเอเซพลาด กุห์ฟานที่ตามหลังเอเซมาติดๆก็พุ่งตัวสไลด์ลอดใต้ท้องของหมาเฝ้าประตูนรกมาอย่างบ้าบิ่น ทำเอาเจ้าสัตว์ร้ายคาดไม่ถึงว่าเจ้ามนุษย์ผมน้ำเงินคนนี้มันจะอาศัยจังหวะแค่ชั่วพริบตาเดียวที่มันพลาดฝ่าออกไป “ฉวยโอกาสเพียงพริบตาฝ่าเข้าจุดอับที่สุดของสัตว์สี่ขา กล้าหาญสุดยอดเลยขอรับ” ทากะก้มหัวเล็กน้อยให้เด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่กลิ้งขลุกๆแล้วลุกขึ้นพุ่งมายังประตูทางออกอย่างว่องไว “ก็แค่อาศัยช่วงชุลมุน จะให้ลบจิตอย่างนายก็ไม่ไหว จะให้เคลื่อนไหวในพริบตาแบบเจ้านี่ก็เกินกำลังไปนิดล่ะนะ” กุห์ฟานเอ่ยพลางปัดฝุ่นที่เกาะขากางเกง “พอดีผมเป็นพวกร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก ขอใช้วิธีการที่ใช้แรงน้อยๆละกันนะฮะ” เสียงของอากิรอสดังขึ้นพร้อมๆกับเจ้าหมาสามหัวที่พุ่งเข้าไปงับร่างของเจ้าเด็กหนุ่มผมเทาหยุดกึกราวกับโดนตรึงด้วยอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น “ภาพมายาเอ๋ยจงหายไป” เสียงทรงอำนาจของอากิรอสดังขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วดัง เป๊าะ!! ร่างอันหน้าสะพรึงกลัวพร้อมๆกับจิตคุกคามอันหน้าหวาดหวั่นหายไปพร้อมๆกับร่างของลูกหมาสีดำปรากฏตัวขึ้นแทนที่เจ้าหมาเฝ้าประตูนรกที่แสนจะน่ากลัวตัวนั้น “ไม่คิดกันหน่อยเหรอฮะว่าเจ้ามาเฝ้าประตูนรกที่น่าจะมีอยู่ในนิยายมันจะมาอยู่ในห้องทดสอบของนักเรียนเข้าใหม่ได้ยังไง?” อากิรอสถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กๆกับสามคนที่กำลังเดินมาดูเจ้าลูกหมาที่นั่งกระดิกหางอยู่ตรงหน้าเจ้าหนุ่มผมเทา “ถ้าข้าฉลาดขนาดนั้นจะเข้ามาเรียนที่นี่หาพระแสงอะไรล่ะวะ” เอเซเอ่ยออกมาง่ายๆขณะที่กำลังก้มมองเจ้าลูกหมาที่ตอนนี้ทั้งกุห์ฟานและทากะกำลังเล่นกับมันอยู่ คำตอบที่ยอมรับง่ายๆนั้นทำเอาอากิรอสผิดคาดจนแสดงความประหลาดใจออกมาทางสีหน้าเลยทีเดียว เอเซมองใบหน้านั้นแล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างรู้เท่าทัน บุตรชายช่างใหญ่ละความสนใจจากเจ้าลูกหมาที่กำลังเลียมือของเขา เงยหน้ามองหน้าจอมเวทผมเทา “ร่ำลือกันว่าพวกนักเวทมันจะชอบทดสอบจิตใจของผู้อื่นเพื่อหยั่งเชิงและพิจารณาผู้คน แบบนี้ท่าจะจริงแฮะ แล้วนี่ต้องออกอาการตอบโต้หรือต่อปากต่อคำแบบที่นายต้องการด้วยมั๊ยล่ะฮะ” ท้ายประโยคกุห์ฟานจงใจใช้คำลงท้ายที่อากิรอสชอบใช้ ส่วนอีกคนให้ความสนใจลูกหมาตัวเล็กตรงหน้ามากว่าคำพูดเย้ยหยันของจอมเวทย์ผมเทาเสียอีก ทำเอาอากิรอสประหลาดใจในคนกลุ่มนี้อยู่เงียบๆ “นายหัวเทาท่าทางนายจะเจอคนรู้เท่าทันแล้วล่ะนะ” เสียงของหญิงสาวดังมาจากอีกมุมหนึ่งของห้องเมื่อทั้งสี่หันไปมองก็พบกับเอลฟ์สาวที่นำพวกเขามายังห้องสอบแห่งนี้และหญิงสาวเผ่าปีศาจอีกคนที่พวกเขาเพิ่งพบครั้งแรก “ดิฉัน นอร์ริมอร์ ทาเลวิย่า ผู้คุมสอบของห้องนี้ขอประกาศให้ทั้งสี่คนผ่านการทดสอบลำดับที่สามของโรงเรียนเอลเทอเฟีย” ปีศาจสาวผมบ๊อบประกาศผลการสอบออกมาอย่างง่ายๆ แต่ก่อนที่ทั้งสี่คนจะได้เอ่ยถามอะไรเธอ นอริมอร์ก็หยิบนาฬิกาพกสีเงินขึ้นมาเปิดดู “ถ้าพวกนายสงสัยอะไรก็เก็บไว้ในใจก่อนเถอะ เพราะตอนนี้เวลารายงานตัวของนักเรียนใหม่เหลืออีกไม่กี่นาทีที่จะปิดรับลงทะเบียนแล้ว ถ้าพวกนายยังอยากเรียนที่นี่ก็รีบกลับขึ้นไปข้างบนแล้วมองหาหอระฆังทางทิศตะวันออก จุดลงทะเบียนอยู่ที่นั่นแหละ เวลาของพวกนายมีแค่ก่อนระฆังจะเงียบเสียงลง” ยังไม่ทันจะจบประโยค เด็กหนุ่มทั้งสี่คนใส่เกียร์หมาสับสี่คูณร้อยวิ่งออกจากห้องสอบกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ราเคลก้มลงไปอุ้มเจ้าลูกที่โดนทิ้งไว้แล้วลูบหัวมันอย่างเอ็นดู “นานๆทีจะมีคนมองเวทมายาของเธอซะทะลุประโปร่งแถมยังปลดภาพลวงตาได้ด้วย เจ้าหัวเทานั่นไม่ธรรมดาเลย สงสัยปีนี้จะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นเยอะเลยล่ะน๊า” “ถ้าเจ้าพวกนั้นสอบผ่านล่ะนะ” นอริมอร์หันมายิ้มบางๆอย่างมีเลศนัยให้กับเพื่อนสาวชาวเอลฟ์ของเธอพร้อมๆกับเสียงระฆังบอกเวลาหกโมงเย็นดังขึ้นครั้งแรก เด็กหนุ่มสี่คนที่ฝากความหวังไว้กับเสียงระฆังที่จะเคาะหกครั้งตามเวลาในปัจจุบัน เมื่อกุห์ฟานเป็นคนแรกที่ขึ้นมาเห็นท้องฟ้ายามเย็นระฆังครั้งที่สองก็ดังขึ้น ทั้งสี่หันขวับไปตามเสียงของมันก็พบหอระฆังสีขาวนวลที่ถูกฉาบด้วยแดดยามเย็นเป็นสีส้ม แทบไม่ต้องคิดอะไรมากทั้งหมดออกวิ่งอีกครั้งระยะทางจากสายตาที่เห็นยังไงพวกเขาทั้งสี่ก็วิ่งไปทันแน่นอน ทุกคนต่างคิดแบบนั้นในใจเหมือนๆกัน ถ้าไม่มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาจากอีกทางพร้อมๆกับจิตสังหารและแรงกดดันรุนแรงไม่ต่างจากที่พวกเขาเจอในห้องทดสอบ แต่สัญชาตญาณของทุกคนรับรู้ได้ว่า ‘ปริมาณ’ ที่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมานั้นมีมากเพียงใด “เวทอัญเชิญ!!??” อากิรอสผู้จัดเจนในเวทมนต์รู้สึกได้ทันทีว่ามันคืออะไรหยุดวิ่งแล้วขมวดคิ้ว เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้มันเป็นเสียงที่ร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมๆกับเสียงระฆังที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม เด็กหนุ่มทั้งสี่สบตากันเองแล้วหันไปมองทางหอนาฬิกาสลับกับทิศทางที่เสียงกรีดร้องแว่วมา “โครตแม่ง!! เจอกันใหม่ปีหน้ายังไงก็ฝากตัวเป็นรุ่นน้องล่วงหน้าเลยนะเว้ย” เอเซสบถเสียงดังพร้อมๆกับเปลี่ยนทิศทางวิ่งไปฝั่งตรงข้ามกับหอนาฬิกา กุห์ฟานแสยะยิ้มตบบ่าอากิรอสที่ยืนขมวดคิ้วพลางออกแรงดันร่างของจอมเวทย์ไปยังทางหอระฆังเบาๆเป็นสัญญาณ “ยังไงก็ไม่กะผ่านปีนี้อยู่แล้ว โชคดีนะนายฝากตัวด้วยปีหน้า” เสียงระฆังดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่ เหลืออีกเพียงไม่กี่อึดใจก็จะหมดเวลาลงทะเบียนนักเรียนใหม่ของโรงเรียนเอลเทอเฟียแห่งนี้ ทากะยิ้มบางๆพลางก้มหัวเล็กน้อยให้นักเวทผมเทาแล้วออกตัววิ่งตามเอเซและกุห์ฟานไปโดยไม่พูดอะไร “เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอาณาเขตโรงเรียน ถ้าคิดซักหน่อยจะรู้ว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย และยังไงก็มีพวกกรรมการนักเรียนที่คอยดูแลความเรียบร้อยเข้ามาจัดการอยู่แล้ว ทำไมเจ้าพวกนั้นเลือกที่จะยอมเสียโอกาสในการสอบผ่านที่รออยู่ตรงหน้าไปด้วย?” อากิรอสขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเก่าพร้อมๆกับเสียงระฆังครั้งที่ห้าดังขึ้น อันหมายความว่าเขาต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ว่าจะเลือกทางไหน และแล้วเด็กหนุ่มผมเทาก็ตัดสินใจที่จะออกวิ่งอีกครั้ง แต่ทิศทางที่เขาวิ่งไปหาใช่หอระฆังแต่เป็นทิศทางเดียวกับอีกสามคนไป นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จอมเวทผมเทาเลือกที่จะทำสิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีผลแบบนี้
ถึงว่าท่านจะบอกว่ามันเป็นฟิคเกรียนนะฮะ แต่เอาจริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าด้วยภาษา หรือความเกรียน หรือตัวละคร เราว่าเราก็มีไฟแต่งฟิคจากฟิคนี้แหลนะ โคตรแม่งงงง!!! ก็อยากจะเม้นท์ดีดีอยู่ (ซึ่งก็จะพยายามนะ) แต่เคยพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะหาทางอ่านเพื่อจับสำนวน พิจารณาความสละสลวยทางวรรณศิลป์ แต่ขอบอกเหอะว่าทำไม่ได้จริง ๆ เวลาอ่านไปแล้วมันจะเพลินกับอารมณ์ของเรื่องและตัวละคร (ก็บอกไม่ถูกว่าไม่รู้เพราะอะไร ไม่ใช่ทั้งภาษาและตัวละคร) ซึ่งก็คงเป็นเสน่ห์ของนิยายสไตล์พี่จ้อยจริง ๆ ถ้าเอาตามความรู้สึกแล้วเวลาอ่านฟิคส่วนใหญ่ โดยส่วนตัวจะพยายาม "จับ" สาระและกลวิธีทางภาษาของคนเขียนมากกว่าเรื่องเนื้อหา และภาษาของวรรณกรรมก็จะทำให้เกิดความรู้สึกสนอกสนใจหรือตึงเครียด เพราะใส่ใจกับการเล่นคำและการใช้คำมากไป ฟิคแบบนี้เป็นฟิคที่ต่อให้พยายาม "จับ" ยังไง ก็มองไม่เห็น แล้วก็ดึงความสนใจไปสู่ "มุข" ในเรื่องล้วน ๆ ไม่มีการบรรยายด้วยคำเลิศหรู ไม่มีการสาธยายให้เห็นราวภาพวาด แล้วก็ปล่อยให้ความคิดจินตนาการไป แม้จะไม่เห็นภาพ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก เพราะงานเขียนส่วนใหญ่ต้องใช้ทั้งคำและภาพที่ชัดพอคนอ่านจะจินตนาการได้ จึงจะรู้สึกสนุก แต่ไม่ใช่กับนิยายสไตล์พี่จ้อยแหะ จะบอกว่ามาจากอารมณ์ของเรื่อง มันก็ต้องผ่านการใช้ภาษาอยู่ดี สุดท้ายก็เอาเป็นว่า "ขอยกไว้เป็นกรณีพิเศษ" ละกันนะ อย่างที่บอกไป อาจเพราะตัวละครมันก๊อปแบบมาจากตัวเอง ก็เลยรู้สึกร่วมตามกว่าคนอื่น แต่ถ้าให้อ่านโดยตัวละครอื่นก็ยังคิดว่าจะพิมพ์ตอบแบบนี้อยู่ดีอ่ะนะ สิ่งที่อยากบอกตอนนี้... รีบ ๆ เอาตอนต่อไปมาลงด่วนเลย แฝรดดดดด//
มันส์นะพี่จ้อย แต่ทำไมตอนนี้มันดูสั้นๆอย่างเน้!!!!! ส่วนเรื่องสำนวนผมไม่คอมเม้น เพราะพวกเรามัน อินดี้ และโดยส่วนตัวผมก็อ่านเพลินดี และอ่านๆไปดูท่าเจ้ากุห์ฟาน คนนี้จะมั่วได้โดนใจกระผม แต่มีคน _int สูงแบบนี้สงสัยจะมีฉากลอกการบ้านแน่นอน รออ่านต่อนะพี่ !!!!!!!!! P.S. อ่านเวลเจ แล้วนึกถึง โรงเจ ยังไงบอกมิถูก
ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 3 เสียงระฆังครั้งที่หกดังแว่วลอยมาพร้อมๆกับทั้งสามคนที่มายืนดูภาพตรงหน้าด้วยอาการแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่ออากิรอสอันเป็นคนสุดท้ายมาถึง จอมเวทย์ผมเทาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ภาพตรงหน้าหาใช่หญิงสาวถูกทำร้ายด้วยอะไรบางอย่างที่พวกเขาคิดไว้แต่มันเป็นชุดเกราะอัศวินที่ถือดาบขนาดใหญ่ ทั้งดาบและชุดเกราะของมันสีแดงฉานดุจชโลมด้วยโลหิตไว้จนทั่ว อัศวินไร้ร่างมีแต่เพียงชุดเกราะที่ขยับตามคำสั่งของผู้อัญเชิญ หนึ่งในเวทสายอัญเชิญอันโด่งดังที่สุด แต่มีนักอัญเชิญน้อยคนนักที่จะเรียกจำนวนของอัศวินเหล่านี้ได้มากจนถึงยี่สิบตัวแบบที่ยืนรอพวกเขาอยู่ “ภาคีอัศวินโลหิต? กับดักอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย สอบตกกันฟรีๆเลยนะฮะงานนี้” อากิรอสขยิบตาให้กับเอเซที่เป็นคนที่ยืนอยู่หน้าสุดและออกวิ่งมาคนแรก เอเซสบถอะไรบางอย่างสั้นๆออกมาจากปากของเขาพร้อมๆกับพุ่งเข้าใส่อัศวินโลหิตตัวแรกที่อยู่หน้าสุด “กับดักเรอะช่างมันสิ มาชวนตีกันแบบนี้ถ้าไม่ตอบรับคำเชิญก็ไม่ต้องมาเรียกตรูว่า เอเซ แมคโดเวล แล้ว!!” ก่อนที่เจ้าอัศวินตัวแรกจะได้ขยับอะไร เท้าของเจ้าผมน้ำตาลเลือดร้อนถีบโครมเข้ากลางอกของอัศวินโลหิตตัวนั้นสุดแรงพร้อมๆกับคว้าแขนไม่ให้เจ้าร่างนั้นปลิวไปตามแรงถีบแล้วกระตุกสวน ผลก็คือแขนของเจ้าอัศวินโลหิตตัวนั้นหลุดติดมือเอเซมาทั้งยวง ดาบใหญ่ของอัศวินตัวนั้นมาอยู่ในมือเอเซก็เหมือนสมิงที่ได้เขี้ยวเล็บคืน เด็กหนุ่มผมน้ำตาลบิดทั้งตัวเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือสวนเข้าใส่อัศวินโลหิตอีกตัวที่พุ่งเข้าใส่ ชุดเกราะแดงฉานถูกฟันขาดกลางด้วยดาบของพวกเดียวกันที่อยู่ในมือเอเซ “ดาหน้าเข้ามา พ่อจะฟันให้เป็นชิ้นๆยกฝูงเลยเมิง!!” เอเซแยกเขี้ยวคำราม “น่าสนุกดีนะขอรับข้าน้อยร่วมวงคงไม่ว่ากัน ” ทากะที่ไม่รู้มายืนข้างๆเอเซตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยขึ้น “ตามใจเมิงไอ้เอ๋อแต่ถ้าไม่เหลือถึงเอ็งก็ว่ากันไม่ได้นะ” เอเซเอ่ยโดยไม่หันไม่มองขณะแทงดาบในมือสวนเข้ากลางอกศัตรูตรงหน้าพร้อมกระทืบเท้าออกแรงเหวี่ยงดาบทั้งๆที่มีร่างอัศวินโลหิตติดอยู่นั้นสะบัดเข้าใส่กลุ่มของมันที่กำลังกรูเข้ามา ร่างของอัศวินโลหิตตัวนั้นหลุดออกจากดาบของเอเซตามแรงเหวี่ยงลอยโครมเข้ากระแทกทั้งกลุ่มเสียงดังสนั่น พริบตานั้นเองทากะก็พุ่งตามเข้าไปก้มเก็บดาบของอัศวินโลหิตที่ร่วงอยู่พร้อมตวัดด้วยความรวดเร็วจนสายตามมองตามแทบไม่ทัน หัวของอัศวินโลหิตตรงหน้าทากะหลุดออกจากตัวโดยที่มันยังไม่ได้ขยับตัว ขณะที่เด็กชายผมน้ำตาลและผมดำกำลังตะลุมบอนกับฝูงอัศวินโลหิตตรงหน้าอย่างเมามันส์ อีกสองคนที่ยืนดูอยู่อย่างบุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจ กุห์ฟาน และจอมเวทย์ผมเทา อากิรอส ก็ยืนมองสองคนที่กำลังอาละวาดอย่างสนุกสนาน “เจ้าอัศวินพวกนี้เหมือนจะเก่งแต่ไหงเหมือนกระสอบทรายให้สองคนนั้นฟันเล่น จากที่เคยได้ยินข่าวมามันน่าจะเก่งกว่านี้ไม่ใช่รึ?” กุห์ฟานเอ่ยถามไปยังนักเวทผมเทาที่ยืนอยู่ข้างๆ “ข้าเองก็ไม่เจนจบในเวทย์สายอัญเชิญเท่าไร แต่จากที่เคยเห็นมาไม่ใช่เจ้าอัศวินโลหิตพวกนี้ไม่เก่งหรอก เจ้าสองคนนั่นเก่งเกินไปต่างหาก ทำไมคนที่มีความสามารถระดับนี้ถึงยังต้องเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี่อีกล่ะ?” อากิรอสตอบหลังจากยืนมองเงียบๆ อัศวินโลหิตตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่อากิรอส จอมเวทย์ผมเทาเหลือบมองมันด้วยหางตาแล้วเขาพึมพำอะไรบางอย่างพร้อมๆกับดีดนิ้ว ศรเพลิงนับสิบดอกพุ่งสวนเข้าเผาอัศวินโลหิตตัวนั้นทรุดลงกับพื้น กุห์ฟานหรี่ตามองจอมเวทผมเทาข้างๆเขา “มันก็เป็นคำถามเดียวกันนั่นแหละว่าทำไมนักเวทย์ที่เก่งกาจระดับนายถึงยังต้องเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี่อีกล่ะ?” อากิรอสที่โดนประโยคของตัวเองสวนเข้าไปถึงกับสะอึกมองเด็กหนุ่มผมน้ำเงินข้างๆเขาด้วยสายตาพินิจ “นี่นายต้องพิจารณาทุกอย่างไปทั้งหมดเลยงั้นรึอากิรอส คีฟ?” กุห์ฟานเอ่ยนามของนักเวทข้างๆเต็มยศพร้อมกับถามยิ้มๆ “ถ้าหากข้าไม่พิจารณาแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้าเห็นกับสิ่งที่ข้าเข้าใจมันใช่สิ่งเดียวกันหรือเปล่า กุห์ฟาน ริยาส?” จอมเวทย์ผมเทาเอ่ยนามคู่สนทนาของเขาเต็มยศเช่นกัน บุตรชายช่างใหญ่ยิ้มบางๆ พ่อค้าที่เคยเจอคนมากมายอย่างเขาก็เพิ่งเคยเจอนักเวทย์ที่พูดจาประหลาดแบบนี้ก็คนแรกนี่แหละ “แต่บางอย่างก็ไม่อาจเข้าใจด้วยการพิจารณาอย่างเดียว ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเราอย่างนั้น” “วิถีของท่านและข้าคงจะต่างกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็สวยงามในตัวของมันไม่ใช่รึ?” จอมเวทย์ผมเทาเอ่ยในสิ่งที่เขาคิด แต่ก่อนที่บุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจจะได้ตอบอะไร เสียงของใครบางคนก็ลอยเข้ามาแทรก “วิถี? สวยงาม? เรื่องพวกนั้นตรูไม่ค่อยสันทัดเท่าไรหรอกนะ แต่ตอนนี้ตรูคิดว่าการไล่ฟันอัศวินพวกนี้ก็ยืดเส้นยืดสายได้ไม่เลวนะ ว่างั้นมั๊ยไอ้เอ๋อ?” เอเซเดินเอาดาบพาดบ่ามายืนอยู่ข้างๆทั้งสองคน ท้ายประโยคถามไปยังทากะที่เดินถือดาบทำหน้าเบลอๆมาอีกทาง “ก็ไม่เลวเท่าไรนักหรอกขอรับ แต่ข้าน้อยว่าเหมือนจะเอามาทดสอบอะไรบางอย่างมากกว่า” ทากะเอ่ยพลางมองไปยังความว่างเปล่าด้านหลังเหมือนคุยกับใครซักคน “เฮ้ยไอ้เอ๋อ!! เอ็งต้องทำเป็นว่าไม่รู้ตัวสิวะ รู้น้อยๆจะได้มีรอบสองมาให้สนุกอีก ดูสิไอ้สองตัวนี้ยังยืนคุยกันแบบไม่รู้เรื่องเลย” เอเซจุ๊ปากบอกกับเด็กหนุ่มผมดำที่ทำหน้าตาเบลอๆ “งั้นข้าน้อยต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวสินะขอรับ” ทากะพึมพำพยักหน้างึกๆแล้วหันหน้าไปคุยกับทุกคน “น่าแปลกใจนะ ทำไมอัศวินโลหิตถึงมาอยู่ที่นี่เยอะแยะเลยล่ะขอรับ?”ทากะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นตกใจ “นั่นสิหรือว่า........นี่เป็นกับดัก!!” กุห์ฟานทำหน้าตาตื่นตกใจตามน้ำทันที “มันน่าจะเป็นกับดักนั่นแหละแต่ว่าใครกันล่ะที่วางกับดักนี่ไม่รู้เลยนะเนี่ย” อากิรอสเอ่ยออกมายิ้มๆพลางคิดในใจ ‘เจ้าพวกนี่เหลือรับประทานจริงๆ’ เสียงของชายชราหัวเราะพร้อมๆกับปรากฏตัวมายืนอยู่ข้างๆทั้งสี่คน “พวกเจ้านี่ตลกดีนะน่าสนใจๆ” ชายชราผู้อยู่ในชุดผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา สวมหมวกปลายแหลม ไม้เท้าในมือ ผมที่ยาวและหนวดเคราต่างเป็นสีขาวเช่นเดียวกับชุด มองแว่บเดียวต่อให้โง่แค่ไหนก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราคนนี้เป็นจอมเวทย์ระดับสูงแน่นอน “จอมเวทย์สีขาว อัลฟรีด ผู้เจนจบในเวทย์มนต์ทุกแขนงและเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของโรงเรียนแห่งนี้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ได้เจอตำนานมีชีวิตอย่างท่าน”กุห์ฟานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเลื่อมใสพลางก้มหัวทำความเคารพ ที่อีกสามคนที่เหลือก็ก้มหัวเคารพเช่นกัน “พวกผมจะไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้ตอนก่อนเข้าสอบได้ที่ไหนล่ะฮะปู่ผอ.” เอเซเอ่ยถามจอมเวทย์ชราตรงหน้าเพราะนี่ก็เย็นเต็มทีแล้ว ขืนต้องไปเดินหาที่รับสัมภาระคืนต้องมืดก่อนแหงๆ “ดูพวกเจ้าเตรียมใจสอบตกเพราะรายงานตัวไม่ทันไว้แล้วสินะ”ชายชราในชุดขาวเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสี่พร้อมรอยยิ้มบางๆ “ตามกฎในการสอบก็ควรเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือครับท่านผอ.” กุห์ฟานเอ่ยขึ้นมาบ้าง “อืม... ถ้าเป็นการสอบปกติก็ควรเป็นแบบที่เจ้าเข้าใจ แต่พวกเจ้ามันอันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้เพ่นพ่านอยู่ข้างนอก ผู้ปกครองของเจ้าแต่ละคนเลยส่งมาอยู่ที่นี่” “กุห์ฟาน ริยาส ตัวแสบแห่งทะเลเซเน่” “อากิรอส คีฟ อัจริยะแห่งวัลล่าห์” “เอเซ แมคโดเวล ผู้สืบทอดฉายาวิหคสายฟ้า” “ซารุวาตาริ ทากะ เหยี่ยวฝึกหัดแห่งอุเอรุโตะ” “พวกเจ้าทั้งสี่คนต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะเรียนจบ เอาล่ะนี่ก็เย็นมากแล้ว เพราะพวกเจ้าดันเล่นมากหอพักนักเรียนหลักเต็มหมดแล้วคงต้องให้เจ้าไปอยู่หอที่พักไกลหน่อย ส่วนสัมภาระของพวกเจ้าถูกส่งไปที่หอก่อนแล้ว เจ้านี่จะนำทางเจ้าไป” ผอ.อัลฟรีดพูดจบพลางชี้ไปที่ลูกเจี๊ยบที่เดินออกมาจากพุ่มไม้ “ลูกเจี๊ยบ!!??” ทั้งสี่คนต่างร้องออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย “ปิโย ปิโย” ลูกเจี๊ยบตัวนั้นเงยหน้ามองตาขวางมีเส้นเลือดปูดอยู่บนหัวพร้อมพุ่งเข้าใส่เอเซที่ดวงซวยได้โล่ ความเร็วที่เกินคาดหมายทำให้เจ้าหัวน้ำตาลทำได้แค่ร้อง “เฮ้ย!!” ขณะยกดาบในมือกันตามสัญชาตญาณ เพล้ง!! เสียงดาบของอัศวินโลหิตในมือเอเซแตกกระจายพร้อมกับร่างเจ้าหัวน้ำตาลลอยเคว้งเหมือนโดนกระทิงขวิดกระแทกพื้นดังโครมห่างออกจากจุดที่ยืนร่วมยี่สิบเมตร “อ้อ... ลืมเตือนไปเจ้านี่ชื่อ ฮิโยโกะ เป็นคนเฝ้าหอที่พวกเจ้าจะต้องไปอยู่ อย่าพยายามทำให้เขาโกรธดีกว่านะ” ชายชราผู้ดำรงตำแหน่งผอ.เอ่ยเนิบๆพลางขยับไม้เท้าในมือ ร่างของเอเซที่นอนจุกอยู่ก็ค่อยๆลอยกลับมารวมกลุ่มกับอีกสามคน “ครับผม!!” อีกสามคนต่างรับคำแข็งขัน ทากะก็โยนดาบในมือไปกองรวมกันที่ซากของภาคีอัศวินโลหิตก้มลงไปพยุงเอเซโดยมีกุห์ฟานหิ้วปีกอีกข้าง “ลูกเจี๊ยบเชี่ยอะไรวะโครตโหด” เอเซพึมพำพลางเอามือกุมท้อ “ปิโย ปิโย” ลูกเจี๊ยบตัวเล็กหันขวับกลับมามอง “ไม่มีอะไรครับผม นำทางได้เลยครับท่านฮิโยโกะ”เอเซรีบเงยหน้าพูดเบี่ยงประเด็นทันทีแล้วหัวเราะแห้งๆ ลูกเจี๊ยบสีเหลืองเดินเตาะแตะๆนำเจ้าสี่คนไปทางด้านหลังของโรงเรียน ขณะที่แสงสว่างค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆตามดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป “ตรูว่าหลังเขาแหงๆ” เอเซที่อาการดีขึ้นเอ่ยขึ้นขณะเดินชิวๆมองบรรยากาศโรงเรียนยามเย็น “ถ้าดูจากทิศทางน่าจะหลังโรงเรียนนะขอรับ” ทากะที่สนอกสนใจบรรยากาศรอบๆผิดกับท่าทีเหม่อลอยที่เขาทำอยู่ประจำเอ่ยขึ้น “ดูนายตื่นเต้นกับโรงเรียนนี้พอควรเลยนะทากะ” กุห์ฟานเอ่ยทักเพื่อนร่วมหอ “อะไรต่างๆก็ดูแปลกตาไปจากบ้านเกิดข้าน้อยไปหมด ถ้าต้องมาอยู่ที่นี่จริงๆก็อยากจะจดจำเส้นทาง และสถานที่ต่างๆเสียก่อนน่ะขอรับ” เด็กหนุ่มผมดำตอบกลับมาง่ายๆ เกือบสองชม.ทั้งสี่คนก็ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆความสูงสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนักอยู่ ริมลำธานเล็กๆบริเวณชายป่า “อัสร่า” ที่กว้างสุดสายตา และมีเทือกเขา “เลด้า” ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังซึ่งถ้าเทียบตามแผนที่หลักของทวีปนี้ล่ะก็ พวกเขาอยู่บริเวณเกือบชายขอบของทวีปเลยทีเดียว “ชิบหายแล้วไง!! ปู่หนวดขาวนั่นให้เรามาอยู่ซะขอบโรงเรียนเลยอย่างนี้จะมีตัวอะไรประหลาดหลุดออกมาจากป่าเล่นงานเรามั๊ยเนี่ยน่ากลัวจังเลยนะ” เอเซเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงและท่าทางอันหวาดหวั่น อากิรอส คีฟแสยะยิ้มให้กับเพื่อนร่วมหอผมน้ำตาลก่อนจะตัดมุขอย่างรู้ทัน “เราว่าฝ่ายที่ควรจะกลัวควรจะเป็นอะไรบางอย่างที่หลุดออกมากจากป่านั่นแหละคุณ เอเซ แมคโดเวล แต่เราว่าแค่มันได้กลิ่นสาปๆของคุณมันก็วิ่งกลับเข้าไปแทบไม่ทันล่ะมั๊ง” “นายก็พูดเกินไปคุณ อากิรอส คีฟ เรามันก็แค่เด็กน้อยเพิ่งฝึกหัดใช้ดาบธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น” เอเซตอบอย่างถ่อมตนแต่ทำไมคู่สนทนาจะไม่รู้ความหมายจริงๆของประโยคนั้น “ถ้าผู้สืบทอดฉายาวิหคสายฟ้าอย่างนายอยากจะลองฝีมือการต่อสู้กับนักเวทย์กระจอกๆอย่างเราแล้วล่ะก็มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะ เราแนะนำว่าถ้าเป็นคุณทากะ หรือคุณกุห์ฟาน น่าจะสมน้ำสมเนื้อมากกว่านะครับ” อากิรอสดักทางอย่างรู้ทันแถมโบ้ยให้ให้อีกสองคนที่กำลังยืนมุงดูอย่างสนุกสนานเอาดื้อๆ “อ้าวไหงโบ้ยมาที่คนมุงแบบนี้ล่ะครับ ถ้าแข่งตีดาบ หรือหาสมบัติกันล่ะก็พอไหวแต่เรื่องทักษะต่อสู้ว่ากันตรงๆว่าผมเองไม่ได้เรื่องแบบสุดๆเลยล่ะครับ” บุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจโบกมือขอผ่านทันที เหลือแค่ทากะที่กำลังมองสถานที่โดยรอบหอพักของพวกเขาอย่างสนอกสนใจ แล้วเดินตามคนคุมหออันเป็นลูกเจี๊ยบเข้าไปในหอพักทันที “ชิแต่ละคน!! ไม่สนุกเลยพับผ่า”เอเซบ่นกับตัวเองแล้วทั้งสามคนก็เดินตามเข้าไปในหอพัก เมื่อเข้ามาข้างในก็พบโถงกลางขนาดกว้างพอที่จะให้ห้าถึงหกคนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้สบายๆด้านหลังเป็นห้องน้ำ และห้องครัวตามลำดับ “ปิโย ปิโย” เสียงร้องเรียกของคนคุมหอไม่สิต้องเรียกว่าลูกเจี๊ยบคุมหอดังมาจากบริเวณบันไดทางขึ้น เมื่อทุกคนมองไปยังต้นเสียงก็พบกับสัมภาระของแต่ละคนกองอยู่ แล้วลูกเจี๊ยบจอมโหดก็กระโดดหายออกไปจากหอพัก ทั้งสี่เดินตรงไปยังสัมภาระของตัวเองเพื่อตรวจเช็คว่ามีอะไรขาดหายไปบ้างหรือไม่ หลังจากสำรวจของตัวเองเสร็จกุห์ฟานก็มีท่าทีสนอกสนใจดาบโค้งรูปแบบเฉพาะของเกาะทางใต้อันเรียกกันติดปากว่า ‘คาตะนะ’ ในมือของทากะ และดาบใหญ่แต่เรียวที่เรียกกันว่า ‘เคลย์มอร์’ อยู่ในปลอกโลหะรมควันสีดำสนิทในมือของเอเซ “ขอดูดาบในมือหน่อยได้มั๊ย?” กุห์ฟานที่ไม่สามารถทนต่อความสงสัยในอาวุธทั้งสองชิ้นได้เอ่ยปากขอดูอย่างง่ายๆ “สมเป็นลูกชายช่างตีดาบจริงๆ อยากดูก็เอาไปดูดิ เห็นแล้วอย่าตกใจนะเฟ้ย” เอเซโยนดาบใหญ่ในมือตนให้กุห์ฟานดูอย่างง่ายๆ แทนที่จะเห็นเจ้าหัวน้ำเงินรับดาบของเขาแล้วทรุดฮวบไปตามน้ำหนักของมันที่เอาเรื่องอยู่ แต่กุห์ฟานกลับรับด้วยท่าทีอันมั่นคงแสดงให้เห็นถึงกำลังแขนที่ไม่น้อยไปกว่าตัวเอเซเลยแม้แต่น้อย “หนักใช้ได้เลยนะนี่พี่ชาย ปลอกทำจากโลหะสะเก็ดดาว สลักขึ้นเป็นปลอกดาบทั้งชิ้นด้วยฝีมือช่างชั้นยอด ถ้าจะให้คาดเดาความสามารถก็เหมือนกับโล่ชั้นสูงคือแข็งแกร่งไม่แตกหักง่ายๆ และรองรับแรงกระแทกไม่ให้สะท้อนมาทำร้ายผู้ถือโล่ แต่ดาบที่อยู่ด้านในกลับธรรมดาจนน่าแปลกใจ” กุห์ฟานเอ่ยออกมาหลังจากพลิกดาบ และปลอกดาบในมือดูอย่างแปลกใจ “ก็แหงล่ะตรูซื้อมาจากตลาดในริเวเรียนี่ ดาบเล่มนั้นอ่ะ... ปู่ตรูขี้เหนียวชะมัดให้มาแต่ปลอกดาบ ไอ้ดาบธรรมดาพวกนี้ก็ไม่ทนมือทนตีนเลย ฟาดเต็มแรงทีไรแหกกระจุยทุกที สุดท้ายก็ใช้มันสู้ทั้งปลอกดาบนี่แหละ ถึงมันจะหาความคมไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อดาบใหม่หลังสู้จบ”เอเซบ่นๆพร้อมรับดาบคืนจากกุห์ฟาน “ว่าแต่ว่า... แกจะตีดาบไอ้ที่ฟาดเต็มแรงแล้วไม่พังให้ตูสักเล่มได้มั๊ยล่ะ?” กุห์ฟานส่ายหัวดิ๊ก “ไม่ไหวหรอกดูจากความสามารถของนายเท่าที่เห็นเมื่อเย็นกับปลอกดาบที่นายใช้ โลหะธรรมดาๆตีดาบให้นายใช้ไม่ได้หรอก มันต้องใช้วัสดุที่ดีกว่านั้นแล้วตีขึ้นใหม่ทั้งเล่ม ซึ่งเราจะไปหามาจากไหน?” “ว้าว!! ดาบธรรมดาฟาดแตกเรียบ สมเป็นเด็กน้อยเพิ่งฝึกหัดใช้ดาบธรรมดาๆเลยนะฮะ สุดยอดๆ” อากิรอสที่รอจังหวะมานานเสริมขึ้นมาทันที “น่าน! มันเล่นกุแล้ว อย่าพลาดบ้างนะเมิง” เอเซหันไปพูดกับจอมเวทย์ผมเทาที่กำลังขยิบตาให้เขา ทากะยื่นคาตะนะในมือให้กับกุห์ฟาน ซึ่งเขาก็รับไปส่องดูอย่างสนอกสนใจ ปลอกดาบทำจากแก่นไม้สีดำเงาวับ กั่นดาบเป็นรูปวงกลมสลักรูปเหยี่ยวเกาะอยู่ที่ยอดไม้ เชือกพันด้ามดาบสีดำหนังด้านในเป็นสีน้ำเงินเข้ม ใบดาบโค้งได้รูปสีเงินดุจกระจก “เป็นดาบที่สวยและคมจนน่ากลัว เห็นคาตะนะมาก็มาก เพิ่งมีครั้งนี้แหละที่เห็นแล้วรู้สึกกลัว” กุห์ฟานเก็บดาบที่มีใบดาบสีเงินวาววับเล่มนั้นลงในฝักแล้วยื่นคืนไปยังเจ้าของ “ข้าน้อยเองก็กลัวเช่นกันขอรับ มันคมจนเกินไป โดยปกติข้าน้อยก็ทำเช่นท่านเอเซ ก็คือใช้มันทั้งปลอกดาบนั่นแหละขอรับ” “ว้าว!! อีกคนชักดาบไม่ได้เพราะดาบมันไม่ดีพอ ในขณะที่อีกคนก็ชักดาบไม่ได้เพราะดาบมันดีเกินไป น่าสนใจเหลือเกินนะฮะ” เอเซพูดดักคออากิรอสที่กำลังจะเอ่ยปากแล้วขยิบตาให้ คนที่ถูกดักคอได้แต่แสยะยิ้ม “งั้นใครขึ้นไปก่อนได้จองห้องก่อน ใครช้าห้องไม่พอ นอนห้องโถงไปนะฮะ” “ว้าว!!” ทั้งสามคนประสานเสียงกันแล้วกระโจนขึ้นบันใดไปทันที โดยที่จอมเวทผมเทายังไม่ได้ขยับตัว “เฮ้ย!!!” อากิรอส คีฟรีบวิ่งตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย
ลูกเจี๊ยบบ้าอะไรซัดเอเซกระเด็นไปขนาดนั้น มันไม่ใช่ลูกเจี๊ยบแล้วเว้ย~! //ล้มโต๊ะ ตอนนี้ก็ยังเกรียนกันไม่เลิก แต่ละคนมันกวน-ีนเข้าขั้นจริงๆเลย พับผ่าสิ
ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 4 อากิรอสเป็นคนสุดท้ายที่ได้ห้องว่างที่เหลือ โชคดีที่ด้านบนมีห้องว่างอยู่ถึงสี่ห้อง ซึ่งสามห้องนั้น ทากะ เอเซ และกุห์ฟานจับจองไปเรียบร้อยไปแล้วเหลือห้องสุดท้ายติดบันไดที่ยังว่างอยู่ เมื่อขนสัมภาระเข้าไปในห้องก็พบว่ามันมีโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมโคมไฟเวทมนต์ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ข้างๆมีเตียงไม้สำหรับหนึ่งคนนอนพร้อมหมอนและผ้าห่มครบชุด จอมเวทผมเทาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง คนที่อยู่กับสังคมที่ชิงดีชิงเด่นมาตั้งแต่จำความได้ในแวดวงจอมเวทชั้นสูงของริมุเน่ เด็กชายผมเทาจากหมู่บ้านหลังเขาอย่างวัลล่าห์ก็เป็นได้แค่พลเมืองชั้นสองเท่านั้น แต่เด็กผู้ชายสามคนที่เขาพบในวันนี้มันต่างจากผู้คนที่เขารู้จักในสังคมชั้นสูงของริมุเน่เหลือเกิน นี่จะใช่สิ่งที่อาจารย์ของเขาส่งเขามาเรียนที่นี่แทนที่จะเป็นโรงเรียนเวทมนต์ของริมุเน่หรือเปล่านะ อากิรอสตั้งคำถามภายในใจพลางหยิบแหวนสองวงที่อาจารย์เขาได้มอบให้จากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแล้วค่อยๆหลับตาลง “แหวนสวยดีนี่อากิรอส คีฟ ขอดูหน่อยได้มั๊ย?” กุห์ฟานที่ไม่รู้มาเกาะอยู่ที่หน้าต่างห้องเขาตั้งแต่เมื่อไรกำลังขยุกขยิกทำอะไรอยู่กับหน้าต่าง อึดใจต่อมากลอนหน้าต่างก็ถูกปลดออกแล้วเด็กหนุ่มผมน้ำเงินก็ปีนเข้ามาในห้อง “นี่นายเป็นลูกมหาโจรหรือลูกช่างตีดาบกันแน่ กุห์ฟาน?” อากิรอสลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ไอ้ความรู้อยากเห็นของผมมันก็ต้องมีอะไรแบบนี้ติดตัวไว้บ้างล่ะนะ พอดีระเบียงมันติดกันเลยข้ามมาดูว่าเป็นห้องของใครเลยเห็นอะไรน่าสนใจเข้าพอดี แต่สุดท้ายผมจะเป็นลูกช่างตีดาบหรือลูกมหาโจรไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมันก็สวยงามไม่ใช่รึ?” กุห์ฟานย้อนกลับด้วยประโยคของเขาเองพลางแบมือยื่นให้เพื่อขอแหวนไปดู อากิรอสหัวเราะออกมาเสียงดัง “ประหลาด!! พวกนายแต่ละคนมันตัวประหลาดจริงๆ” ยังไม่ทันที่เสียงหัวเราของอากิรอสจะเงียบลงก็มีเสียงเคาะประตู “เฮ้ย! เมิงแดกเห็ดเมาไปเรอะวะไอ้หัวเทา มีอะไรขำก็แบ่งกุขำด้วย” กุห์ฟานถือวิสาสะขณะที่เจ้าของห้องยังหัวเราะร่วนอยู่เดินตรงไปเปิดประตูก็พบเอเซและทากะยืนถือดาบอยู่หน้าห้อง “กุได้ยินอะไรประหลาดๆ มีอะไรให้กุล่ามั๊ยกุหิวแล้ว ข้างล่างมีแต่ครัวเปล่าไม่มีอะไรแดกแล้วด้วย” เอเซมองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง อากิรอสที่พยายามหยุดหัวเราะ “พวกนายหลุดมาจากโลกส่วนไหนกันแน่?” “ก็โลกเดียวกับเมิงน่ะแหละฟาย เห้ย!แล้วเมิงเข้ามาอยู่ในห้องหัวเทาได้ไง อย่าบอกนะเมิงงัดหน้าต่างเข้ามาจะลักหลับไอ้หัวเทานี่ ขอโทษที่ขัดจังหวะ” เอเซมองกุห์ฟานแล้วทำหน้าแหยงๆ “ไม่ใช่เว้ย!!” ทั้งกุห์ฟาน และ อากิรอสประสานเสียงพร้อมกัน “ก็แค่แวะข้ามระเบียงมาดูว่าห้องใครแล้วเจอของดีน่าสนใจเลยแวะเข้ามาดู ขอดูแหวนคู่นั้นหน่อยสิ”กุห์ฟานอธิบายซ้ำรอบสองพลางแบมือไปยังอากิรอสแล้วยิ้มแป้น “เมิงนี่บ้าของพวกนี้ได้โล่ ถ้าไอ้หัวเทาไม่ให้เมิงดูเมิงคงจะหาทางขโมยไปดูให้ได้ใช่มั๊ย” เอเซส่ายหน้ามองไปยังบุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจ กุห์ฟานไม่ตอบแต่ยักคิ้วให้ข้างหนึ่งพลางรับแหวนคู่จากอากิรอสเอาพลิกซ้ายพลิกขวาดูอย่างสนอกสนใจพึมพำอยู่คนเดียวแล้วเงยหน้ามองอากิรอส “ว่ากันว่าที่ริมุเน่มีจอมเวทจากเผ่าวัลล่าห์ ผู้สืบทอดวิธีการอ่านอักขระโบราณและผ่านการทดสอบจากผู้พิทักษ์แห่งริมุเน่จนได้ครอบครองแหวนคู่ ‘เซอราฟิค’ แหวนมนตราที่เทียบเท่าไม้คทาจอมจอมเวทระดับสูงในตำนาน ข่าวลือที่ว่าคือนายเองสินะอากิรอส คีฟ?” อากิรอสแสยะยิ้ม “ถ้านายคิดว่าแหวนคู่นี้คือ ‘เซอราฟิค’ คำตอบก็คงจะเป็นใช่ แต่ถ้าแหวนคู่นี้ เป็นแค่แหวนธรรมดาๆ คำตอบก็คงเป็นไม่ใช่” “ไม่ว่าทางใดมันก็สวยงาม!!” อีกสามคนในห้องประสานเสียงขึ้นมาไม่เว้นแต่ทากะที่ยืนมุงอยู่เงียบๆหลังสุด “ว้าว!! เก่งกันจังเลยฮะ” อากิรอสตบมือทำตาโตตื่นเต้น “ฟาย แต่ว่าพวกเมิงไม่หิวกันเรอะ กุหิวไส้จะขาดอยู่แล้วในครัวก็ไม่มีอะไรกิน” เอเซบ่นพลางเอามือลูบท้อง “ข้าน้อยก็หิวเหมือนกันขอรับ” ทากะออกความเห็นขณะหยิบข้าวปั้นออกมาจากห่อที่ห้อยอยู่ข้างตัวแล้วเคี้ยวหยับๆแล้วยื่นที่เหลืออีกสามก้อนให้ “อ้าวเห้ยมีของกินก็ไม่บอกวะ กุก็บอกไม่ใช่เรอะว่ากุหิว” เอเซร้องแล้วคว้าเข้าปากหนึ่งก้อนเคี้ยวตุ้ยๆ “ก็ไม่ได้ถามนี่ขอรับ” ทากะตอบพลางเดินเอาข้าวปั้นอีกสองก้อนไปให้ทั้งกุห์ฟาน และอากิรอส ซึ่งทั้งคู่ก็รับไว้เพราะพวกเขาก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน “เออ เมิงพูดถูกไอ้หัวเทาไอ้พวกเชี่ยนี่มีแต่ตัวประหลาดทั้งนั้น” เอเซเลียเมล็ดข้าวที่ติดมือแล้วไปตบบ่าอากิรอสที่นั่งอยู่บนเตียงเบาๆ “นายก็ด้วยน่ะแหละเอเซ แมคโดเวล แต่ว่าในครัวไม่มีอะไรแสดงว่าเราต้องฝากชีวิตไว้กับมื้อเช้าที่โรงอาหารของโรงเรียนสินะ” อากิรอสเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ไม่ไกลหรอกขอรับเดินไปแค่ราวๆสองชั่งโมงเอง” ทากะเอ่ยขึ้นมาง่ายๆ “ไม่ไกลบ้านป้าเอ็งเด่ะไอ้หัวดำ แยกย้ายไปนอนดีกว่าพรุ่งนี้เจอกัน” เอเซอ้าปากหาววอดๆเดินออกจากห้องของอากิรอสเป็นคนแรก ตามด้วยทากะ เหลือเพียงกุห์ฟาน ที่ยื่นแหวนทั้งสองวงในมือคืนให้ “เรื่องที่เรารู้อักขระโบราณและผ่านการทดสอบจากผู้พิทักษ์แห่งริมุเน่จนได้ครอบครองแหวนคู่ ‘เซอราฟิค’ ในเมืองริมุเน่เองยังมีผู้รู้ชนิดนับคนได้ ถึงจะเป็นคำถามโง่ๆแต่ก็ขอถามนายอีกครั้งเถอะว่านายเป็นใครกันแน่?” เด็กหนุ่มผมน้ำเงินยิ้มแป้นเตินเข้ามาตบบ่าเบาๆแบบเดียวกับที่เอเซทำ “กุห์ฟาน ริยาส บุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจ ฉายาตัวแสบแห่งทะเลเซเน่ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง นายยังไม่รู้จักเครือข่ายข่าวสารของ ‘ริยาส’ ดีพอ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกคนรู้ข่าวนี้ก็ยังมีนับคนได้เหมือนเดิม” แล้วเด็กหนุ่มผมน้ำเงินก็เดินออกจากห้องปิดประตูเบาๆ จอมเวทหนุ่มผมเทาทิ้งตัวลงกับเตียงแล้วก็หลับตาลง “โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่จริงๆนะครับอาจารย์” เสียงเช้าวันแรกในโรงเรียนเอลเทอเฟียของอากิรอสคือเสียงน้ำระเบิดจากลำธารพร้อมกับเสียงไม้สองท่อนกระทบกันดังแบบต่อเนื่อง จอมเวทหนุ่มผมเทาเดินออกมานอกหอพัก พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่มีเพียงแสงจางๆจากพระอาทิตย์ที่ยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า ความชื้นของน้ำค้างยามราตรียังไม่จางหายไป เมื่อเดินไปตามเสียง อากิรอสเหลือบไปเห็นกุห์ฟานถือแก้วกาแฟยืนพิงต้นไม้ดูเด็กหนุ่มผมน้ำตาลเข้มและเด็กหนุ่มผมดำกำลังถือท่อนไม้ขนาดเหมาะมือหวดกันอยู่ในลำธารที่ลึกประมาณหัวเข่า ทั้งคู่ต่างผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็วจนตาเปล่ามองไม่ทัน ถึงเขาจะไมสันทัดในด้านนี้ซักเท่าใดแต่ภายในริมุเน่ก็มีการประลองโดยใช้อาวุธแบบนี้ให้เห็นอยู่บ้างแต่มันก็เทียบไม่ได้กับเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังหวดกันอย่างเมามันส์อยู่ในลำธารแม้แต่น้อย “หนวกหูจนตื่นเลยสินะ ทนๆเอาหน่อยละกันไอ้พวกนี้มันโดนจับฝึกจนติดเข้าไปในร่างกายไปแล้ว” กุห์ฟานยืนแก้วกาแฟในมือให้ อากิรอสรับมาค่อยๆจิบก็พบว่ามันรสชาติดีกว่ากาแฟที่เขากินมาลิบลับ “ของดีเมืองเวลเจเลยนะ ซดเฮือกเดียวจากง่วงๆเบลอๆรับรองตาสว่าง” กุห์ฟานเอ่ยออกมาเนิบๆ “นายเองก็ติดนิสัยตื่นเช้าเหมือนกันสินะ” อากิรอสเอ่ยพลางจิบกาแฟอุ่นๆในแก้ว “อืม ปกติตอนนี้ผมต้องเข้าตลาดไปเช็คสินค้าที่มากับเรือแล้วเตรียมเอาไปวางขายในตลาดเช้าแล้ว” บุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจตอบมาตามตรง ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันสองคนที่กำลังหวดกันอยู่ก็หยุดแล้วเดินหอบขึ้นมาจากลำธาร “แม่มโครตมันส์เลยว่ะไอ้เอ๋อ สนุกกว่าซ้อมกับปู่ตรูอีก รายนั้นรู้ทันตรูไปหมดหาความสูสีไม่เจอเลย” เอเซพูดขณะเดินมาหาอีกสองคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ “เช่นกันขอรับ การสู้กับอาจารย์บางครั้งทำได้แค่ตั้งรับก็สุดกำลังแล้ว” ทากะหมุนท่อนไม้ในมือเล่น “ว้าว!! เปียกซกเป็นลูกหมาตกน้ำตกน้ำเลยนะฮะ” อากิรอสเอ่ยพลางยกแก้วกาแฟในมือชูให้สองคนที่กำลังเดินมา “เจอหน้าก็พูดจากวนส้นตีนแต่เช้าเลยนะเมิง เอามาซดโฮกหน่อยเด๊ะกาแฟในแก้วอ่ะเห็นว่ารสชาติเยี่ยม” เอเซเอาท่อนไม้พาดบ่ายื่นมือไปขอแก้วกาแฟ อากิรอสยิ้มแป้นแล้วยกแก้วกาแฟในมือซดโฮกต่อหน้าต่อตาจากนั้นก็คว่ำแก้วลงเขย่าๆ “ขอโทษด้วยหมดแล้วล่ะฮะ” “ฟาย!!” เอเซเหวียงท่อนไม้ในมือเข้าใส่ร่างของจอมเวทหนุ่มผมเทา ท่อนไม้ในมือเอเซกระแทกกับกำแพงที่มองไม่เห็นเต็มเหนี่ยวเสียงดังสนั่น “ไม่ได้กินแล้วอย่าพาลซิฮะเอเซ แมคโดเวล รู้ว่ามีกำแพงขวางไว้ฟาดยังไงก็ไม่โดนยังฟาดอีกพลังล้นเหลือเลยนะฮะ” อากิรอสขยิบตาให้คู่กรณี เอเซเอาท่อนไม้พาดบ่าตามเดิมแล้วออกเดินตรงกลับหอพักพร้อมๆกับดวงตะวันที่ฉายแสงแรงขึ้นเรื่อยๆ “มากวนตีนคนที่ถือไม้อยู่ในมือถ้าไม่เตรียมอะไรป้องกันไว้โดนหวดร่วงไปก็สมควรแล้ว อาบน้ำแต่งตัวไปโรงอาหารกันเถอะต้องเดินอีกตั้งสองชั่วโมง” เมื่อทุกคนแต่งชุดนักเรียนของที่นี่ซึ่งมันก็เป็นชุดเดียวกับพวกกรรมการนักเรียนแต่กลับจากสีขาวเป็นสีดำเท่านั้นเอง เมื่อออกมาหน้าหอพักก็พบว่าอากิรอสกำลังเอากิ่งไม้ยาวๆวาดอะไรพลางท่องคาถาพึมพำ เส้นวงแหวนที่ถูกวาดมีแสงสว่างเรืองๆปรากฏออกมาแล้วกลายเป็นเส้นสีดำเหมือนถูกเขียนด้วยหมึกชั้นดี ทุกคนยืนมองการกระทำของจอมเวทผมเทาอย่างสนอกสนใจจนวงแหวนเวทเสร็จ “ทำอะไรวะอากิรอสจะเรียกมังกรให้พวกตรูขี่ไปโรงอาหารเรอะ?” เอเซเป็นคนที่เอ่ยปากถามขึ้นเป็นคนแรกตามระเบียบ “เราบอกแล้วไงว่าเราไม่ใช่จอมเวทสายอัญเชิญ วงแหวนเวทเคลื่อนย้ายต่างหาก เหลือแค่ไปเขียนที่ปลายทางอีกฝั่งเท่านั้น เราไม่ได้มีกำลังเหลือเฟือที่จะเดินสองชั่วโมงไปโรงเรียนทุกวันหรอกนะ” อากิรอส ตอบพลางโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งไป “ว้าว!! เก่งจังเลยฮะ” ทุกคนพร้อมใจกันตบมือและทำตาโตตื่นเต้น พอโดนประโยคและกริยาของตัวเองเข้าไปแบบนี้อากิรอสก็รู้ซึ่งทันทีว่ามันยียวนชวนประสาทเสียแค่ไหน “ยอมแพ้ๆ เราจะพยายามกวนประสาทพวกนายให้น้อยลงละกันนะ” “รู้ตัวซะมั่งก็ดี รีบไปกันเหอะท้องตรูมันเริ่มร้องแล้ว” เอเซเอ่ยพลางออกเดินนำมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารทันที สองชั่วโมงถัดมาเด็กหนุ่มสี่คนยืนหิ้วท้องร้องโครกครากอยู่หน้าโรงอาหารที่เป็นอาคารชั้นเดียวกว้างขวางพอที่จะจุกันได้มากกว่าห้าร้อยคน เต็มพรืดไปด้วยที่นั่งทานอาหาร ถึงตอนนี้ยังไม่เปิดครบทุกร้านแต่เท่าที่มองคร่าวๆก็มีมากกว่าห้าร้านที่เปิดอยู่ตอนนี้ “ไม่อดตายแล้ว” ทุกคนต่างพึมพำออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ตอนนี้เนื่องจากคิดอะไรไม่ออกทั้งสี่คนจึงตรงเข้าไปยังร้านแรกที่อยู่ใกล้ที่สุด “ป้าเอาเนื้อผัดเนยพิเศษ ขนมปังสองก้อน ซุปข้าวโพดอีกหนึ่ง” เอเซเป็นคนแรกที่มาถึง จัดแจงสั่งกับหญิงร่างท้วมที่ยิ้มแย้มต้อนรับ “เอาเหมือนกันอีกสามที่ รวมเป็นสี่ครับป้า” อีกสามคนตามน้ำอย่างสิ้นคิดเพราะหิวกันเต็มที่ กลิ่นเนื้อผัดเนยมันก็ชวนน้ำลายไหลซะจริงๆ “จ้าๆ ชุดละห้าสิบกิล นักเรียนใหม่สินะพวกหนูๆ ขอบัตรประจำตัวด้วยป้าจะได้หักยอดเงินออกและบอกยอดคงเหลือให้” ป้าคนขายบอกมายิ้มๆ ทั้งสี่คนมองหน้ากันเลิกลัก ที่หอพักก็มีแต่เครื่องแบบไม่เห็นมีบัตรอะไร แต่ละคนพยายามตบๆค้นๆเครื่องแบบเผื่อมันจะมีซ่อนอยู่ ป้าคนขายมองกริยาของทั้งสี่คนแบบงงๆ “อ้าวผู้ดูแลหอยังไม่ได้มอบบัตรประจำตัวกับแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้บริการหรือซื้อสินค้าภายในโรงเรียนนี้อีกหรือจ๊ะ? ภายในโรงเรียนนี้ใช้เงินสดไม่ได้จำเป็นต้องใช้บัตรนักเรียนและยอดเงินที่มีอยู่ในบัตร” ทั้งสี่คนส่ายหน้ารัวๆ “ก็คนคุมหอเป็นลูกเจี๊ยบอ่ะป้า ใช้เงินสดแทนก่อนไม่ได้หรือครับ? พวกผมหิวมากๆเลย” กุห์ฟานเอ่ยถามพลางหยิบถุงเงินขึ้นมา “ไม่ได้หรอกมันเป็นกฎ ถ้าพวกกรรมการนักเรียนหรือทางโรงเรียนรู้เข้าป้าจะโดนห้ามขายที่นี่เลยนะ” ป้าคนขายเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “แล้วพวกผมควรทำไงดีขอรับ” ทากะที่ยืนอยู่หลังสุดเอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนใจเช่นกัน “อันนี้ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อ๊ะ! ลองถามพวกกรรมการนักเรียนที่กำลังเดินเข้ามานั่นดูสิ” ป้าคนขายชี้ไปยังหญิงสาวในชุดขาวสองคนที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร เมื่อทุกคนมองไปก็พบรุ่นพี่สองคนที่คุมสอบเขาทั้งสองคนอย่างเอลฟ์สาวผมทอง ราเคล เอลรอน และปีศาจสาวผมบ๊อบอย่าง นอร์ริมอร์ ทาเลวิย่า ซึ่งเวลานี้ทั้งสองคนเหมือนนางฟ้ามาโปรดพวกเขาไม่มีผิด “อ้าว...พวกนายยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวอีกหรือ?” นอร์ริมอร์อุทานออกมาหลังได้รับฟังเรื่องราว “พวกนายคงถูกท่านผู้อำนวยการส่งไปอยู่หอ ‘มัลดิโต้’ ที่อยู่ท้ายโรงเรียนสินะ” ราเคลเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆราวกับนางฟ้าแต่ความสวยของเธอไม่ได้อยู่ในสายตาของเจ้าสี่คนนี้แม้แต่น้องเพราะพวกมันหิวไส้จะขาดกันอยู่แล้ว “พวกผมควรทำไงดีเจ๊ หิวจะตายอยู่แล้ว” เอเซถามอย่างร้อนใจเพราะเสียงในท้องมันดังโครกครากใหญ่แล้ว ราเคลหัวเราะเบาๆกับกริยาของนักเรียนใหม่ทั้งสี่ “ตามระเบียบคือนายต้องไปติดต่อกรรมการนักเรียนฝ่ายวินัยเพื่อประสานงานกับทางท่านผู้อำนวยการ เรื่องบัตรของพวกนายกว่าจะเสร็จคงอีกราวๆสองถึงสามชั่วโมง” “พวกผมก็หิวตายก่อนน่ะสิครับพี่สาวราเคล” กุห์ฟานร้องออกมา “เอางี้! ชั้นจะเลี้ยงพวกนายเอง แถมเดินเรื่องบัตรประจำตัวของพวกนายให้ด้วย แต่พวกนายต้องทำงานแลกเปลี่ยนให้ชั้นอย่างหนึ่งโอเคมั๊ย?” นอร์ริมอร์ยิ้มบางๆพลางยื่นข้อเสนอให้ “อะไรก็เอาแล้วเจ๊วินาทีนี้” เอเซตอบตกลงแบบไม่คิดอีกสามคนพยักหน้าหงึกๆอย่างพร้อมเพรียง “ตกลงเงื่อนไขเสร็จสิ้น เอ้า!นี่บัตรของชั้น ไปกินให้เต็มที่” ปีศาจสาวผมบ๊อบหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวิชาการยื่นบัตรประจำตัวของตัวเองให้เด็กหนุ่มทั้งสี่ ทั้งหมดรับบัตรแล้วมุ่งตรงไปยังร้านเนื้อผัดเนยเมื่อกี้อย่างหิวโหย “นี่ยัยนอร์อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้ทันนะยะ เธอจะใช้พวกนี้ไปทำอะไรเสี่ยงๆใช่มั๊ย?”ราเคลขมวดคิ้วมองเพื่อนสาวอย่างสงสัย “บ้า!! เธอก็คิดมากไปแล้ว ถามจริงๆเธอไม่อยากรู้เหรอว่าเด็กเส้นสี่คนของท่านผู้อำนวยการซึ่งเพิ่งเคยมีเป็นครั้งแรกของโรงเรียนนี้มีฝีมือระดับไหน” นอร์ริมอร์ถามยิ้มๆ แล้วหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวิชาการ และหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรมต่างยิ้มให้แก่กันซึ่งเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกเป็นที่สุด ทั้งสี่คนที่ซัดเนื้อผัดเนยอย่างหิวโหยโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าค่าข้าวมื้อนี้และการเดินเรื่องบัตรนักเรียนของพวกเขามันแสนแพงแค่ไหน
ฟิตจัดลงสอนตอนต่อเนื่องเลยเว้ย ส่วนไอ้อากิรอสแห่งวัลลาห์มันก็น่าเอาดาบฟาดให้หายกวน-ีนจริงๆ ตอนจบ...งานงอกแล้ว เจ๊ๆจะให้ไปล่าแย้ที่ไหนเนี่ย
มันเกรียนดีแท้... ไม่รู้อ่ะ ใครว่าไงไม่สน แต่มันส์จริง เกรียนจริง พึ่งรู้ว่าคำพูดว่า "ว้าว" มันจะกวนตีนและเหี้ยได้ขนาดนี้... แต่พี่จ้อยฟิตมากกก สองตอนรวด... รอตอนต่อไปอยู่นะจ๊ะ //มาเม้นท์แบบสีฟ้า ๆ ให้เลย//
อ่านไปอ่านมา ฟิคเรื่องนี้ไม่ได้อะไรมากไปกว่า ชีวิตของนักเรียนเกรียน 4 ตัว =________= ใช้ฉากเป็นสถานที่ดำเนินเรื่องกับสร้างเหตุการณ์แปลกประหลาด แต่หลักๆเรื่องราวก็เป็นการโชว์พาว(?)เกรียนของ 4 หนุ่ม บทสนทนาโต้ตอบ กับการใช้ชีวิตแบบเกรียนๆในโรงเรียนเวทย์มนตร์ แต่แหม่...เอาเถอะ เพราะยังไงมันก็ฟิคสนองนี๊ดแต่แรกอยู่แล้ว กร๊าซ ถ้าจะให้วิจารณ์ตรงๆตามแบบแผน คำของโลกปัจจุบันแบบ "ฟราย" "ตรู" ทำให้ฟิคมีบรรยากาศขัดกันระหว่างโลกแฟนตาซีกับโลกปัจจุบันมากๆ แต่เนื่องจากท่านก็มิได้ตั้งใจจะให้มันสละสลวยนัก ข้าจึงไม่ติดใจว่าจะต้องแก้ไขแต่อย่างใด และถ้าต้องการดำเนินเนื้อเรื่องจริงๆจังๆ ก็ต้องเพิ่มบทบาทฝั่งอื่นบ้าง ยกเว้นแต่ท่านจะอยากใช้เกรียน 4 หนุ่มเป็นหบักต่อไป สรุปส่วนที่ชอบ - ชอบบทต่อสู้ของสี่หนุ่มร่วมใจ - ชอบฉากหอพัก ที่ตั้งหอสวยงามมาก ....จริงๆตอนแรกอ่านนึกว่า 4 คนพักห้องเดียวกัน ว๊าย..วาย = =,,, - ชอบปิโย ปิโย 55555+ และขอบใจมากที่ส่งตรูไปเป็นเอลฟ์หนุ่มกรรมการนักเรียน =_____=""
คือพี่จะให้มันซวยแบบฟิคเก่ายันฟิคใหม่เลยใช่บ่ ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน ซวยไปไหนคร้าบบบบบ จะกินข้าวมันยังจะซวย อาเมนสำหรับสี่เกรียนด้วย ป.ล.รอตอนต่อไปนะพี่นะ
ชอบปิโย ด้วย คิดว่าน่าจะเคยเห็นไอ้ลูกเจี้ยบนี่จากที่ไหนสักที่นี่แหละ ผมว่าพี่หากินกะสี่คนนี้ได้อีกนานเลยนะ เกรียนได้โล่ห์
ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 5 หลังจากซัดข้าวเช้ากันเต็มคราบแถมด้วยขนมของกินเล่นแบบเต็มคราบชนิดไม่เกรงใจเจ้าของบัตรอย่างปีศาจสาวผมบ๊อบนอร์ริมอร์แม้แต่น้อย ทั้งสี่คนบัดนี้ก็เดินเอาบัตรประจำตัวมาคืนเจ้าของด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “นี่กะจะกินกันให้ล่มจมกันหรือไงยะ?” หัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวิชาการ อดถามออกมาไม่ได้เมื่อเห็นจำนวนของกินที่เจ้าพวกนี้กิน เอเซยิ้มแป้น “กินฟรีทั้งทีต้องเต็มที่หน่อยเจ๊ ไหนๆจะโดนจิกหัวใช้งานเยี่ยงทาสอยู่แล้วนี่นา” ปีศาจสาวแสยะยิ้ม “รู้ตัวเหมือนกันรึ ?” “งานที่ระดับจักพรรดินีแห่งรัตติกาล ‘นอร์ริมอร์ ทาเลวิย่า’ ไม่อยากจะทำ มันคงไม่ใช่ตามแมวหาย หรือไล่หนูออกจากโรงครัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับพี่สาว” กุห์ฟานยิ้มอย่างยียวนให้รุ่นพี่ตรงหน้า “คิกๆ พวกนายนี่ตลกดีนะ” ราเคลที่ยืนดูการตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “ก็ดี... จะได้คุยกันง่ายๆ หน่อย ชมรมห้องสมุดเขาขอร้องมาว่ามีตัวประหลาดที่น่ากลัวมากเฝ้าประตูชั้นใต้ดินของหอสมุดใหญ่ทำให้พวกเขาสำรวจไม่ได้ พวกนายไปจัดการให้ชั้นหน่อยสิ ชั้นเองก็โดนโบ้ยงานมาอีกทีเหมือนกัน” นอร์ริมอร์ยื่นม้วนกระดาษคำร้องขอจากชมรมห้องสมุดให้กุห์ฟานที่ยืนแป้นแล้นอยู่หน้าสุด บุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจคลี่ม้วนกระดาษดูข้อความข้างใน เมื่อเห็นระดับของภารกิจที่ระบุความยากอยู่ในระดับแปด และค่าตอบแทนที่มากถึงสองพันกิล ซึ่งหมายความว่าต่อให้แบ่งกันสี่คนพวกเขาก็ยังกินเนื้อผัดเนยพิเศษขนมปังสองก้อนได้ถึงสิบจาน หรืออาหารธรรมดายี่สิบจาน อีกสามคนที่ชะโงกหัวเข้ามาดูต่างขมวดคิ้วกันถ้วนหน้า “พี่สาว... ผมอ้วกไอ้ที่กินลงไปออกมาคืนตอนนี้ยังทันมั๊ยเนี่ย ?” กุห์ฟานตีหน้ามึนถามนอร์ริมอร์เอาดื้อๆ “ทุเรศ!! ไม่ได้ย่ะลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำไม่ใช่รึ หรือนายอยากใส่เครื่องแบบนักเรียนหญิงแทน” นอร์ริมอร์เอียงคอถามยิ้มๆ “พี่สาวโครตใจร้ายเลยอ่ะ พวกผมเพิ่งเป็นนักเรียนหน้าใหม่ที่เพิ่งสอบผ่านมาแหม่บๆเมื่อวาน โยนภารกิจระดับแปดให้ทำตั้งแต่ยังไม่เปิดภาคเรียนเลยเหรอครับ ?” กุห์ฟานซึ่งตอนนี้รับหน้าที่เจรจาต่อรองแทนคนทั้งกลุ่มที่ถอยหลังไปยืนกินขนมในมือดูการเจรจาของคนคู่นี่อย่างสนุกสนาน รวมไปถึงราเคลที่ยืนกอดอกอมยิ้มมองอยู่ข้างนอร์ริมอร์ “นักเรียนหน้าใหม่ที่ถล่ม ‘ภาคีอัศวินโลหิต’ ยี่สิบตัวซะเละเทะขนาดนั้น ชั้นไม่นับเป็นนักเรียนใหม่หรอกนะ พ่อตัวแสบแห่งทะเลเซเน่ ” ปีศาจสาวผมบ๊อบส่ายหน้าช้าๆ “ถึงกระนั้นก็โหดไปนะพี่สาว ภารกิจระดับแปดนับขึ้นไปอีกสองขั้นมันก็ภารกิจระดับสิบที่เป็นภารกิจระดับสูงสุดที่จะมอบให้แก่นักเรียนภายในโรงเรียนแห่งนี้แล้วนะครับ” กุห์ฟานไม่ลดละที่จะต่อรอง “สรุปพวกนายจะไม่ทำงานนี้ว่างั้น ? ชั้นว่าค่าตอบแทนที่ได้ก็สมน้ำสมเนื้อนะ” ปีศาจสาวเบี่ยงประเด็น “ทำอ่ะมันทำอยู่แล้วครับพี่สาว แต่นอกจากมื้อเช้าแล้วยังไงพวกผมขอมื้อเที่ยงด้วยเลยละกันนะครับ” กุห์ฟานยิ้มแฉ่ง ทั้งนอร์ริมอร์ และราเคลหัวเราะคิก “พวกนายนี่มันสุดยอดจริงๆ ก็ได้... ถือว่าเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ ตามมาสิชั้นจะนำทางไปห้องสมุด” ปีศาจสาวผมบ๊อบออกเดินคู่ไปกับเอลฟ์สาวผมทองมุ่งตรงไปยังห้องสมุดใหญ่ เอเซ อากิรอส และทากะต่างเดินเข้ามาตบบ่าของบุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจแล้วชูนิ้วโป้งให้ ซึ่งเจ้าตัวก็ขยิบตาให้กับอีกสามคน ทุกคนเข้าไปในห้องสมุดที่ตอนนี้ยังไม่มีคนเลยเพราะยังไม่เปิดภาคเรียน มีเพียงบรรณารักษ์ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องสมุดอยู่เท่านั้น ทั้งห้าคนเดินลงมาชั้นใต้ดินที่ถูกปิดเอาไว้อย่างง่ายดาย เพราะคนที่นำทางมาก็คือหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวิชาการและฝ่ายกิจกรรม ทั้งหมดเดินลงบันไดวนไม่รู้กี่รอบซึ่งพอจะบอกได้ว่ามันลึกมาก แต่ก็ยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำเพราะตั้งแต่เข้าประตูชั้นใต้ดินลงมาทั้งสี่คนต่างรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านล่างสุด เมื่อหลุดออกมาจากบันไดวน ทุกคนก็พบกับโถงกว้างสุดสายตา แต่แทนที่จะมืดเหมือนชั้นใต้ดินทั่วๆไปกลับมีแสงสวางออกมาจากตามผนังและเพดานจนสว่างนวลไปทั้งห้อง ไม่มีใครสนใจว่าห้องมันจะสว่างได้ยังไง หรือโถงนี้ลึกลงมาจากพื้นแค่ไหน เพราะสายตาของทั้งสี่คนต่างจ้องไปยังร่างของอะไรบางอย่างที่นอนหมอบขวางประตูห้องโถงอีกฝั่ง ถึงจะไกลพอสมควรแต่ทุกคนก็ยังเห็นรูปร่างของมันได้ชัดเจนเพราะความใหญ่โตของมัน ร่างของมังกรขนาดมหึมาเกล็ดสีเขียวดุจมรกตดูก็รู้ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน หัวและเขาทั้งสองข้างของมันใหญ่กว่าตัวพวกเขาเกือบสองเท่า “สู้เขานะคะหนุ่มๆ พวกพี่สาวจะเอาใจช่วยอยู่ตรงนี้” นอร์ริมอร์เอ่ยออกมายิ้มๆแล้วก็หย่อนตัวนั่งลงบนบันไดวนที่มีราเคลนั่งอยู่แล้ว ทั้งสี่คนมองหน้ากันเองแล้วยิ้มแห้งๆออกมา “ตรูว่าแค่ข้าวเช้า กับข้าวเที่ยงชักจะไม่คุ้มแล้วว่ามั๊ย ?” เอเซขยับตัวเอาดาบวางพาดบ่า ยังไม่ทันที่จะตอบคำถามของเอเซ ทากะก็เอ่ยออกมาเรียบๆพลางขยับดาบในมือ “ข้าน้อยจองหางนะขอรับ” “งั้นตรูจองเขาละกัน จะเอาไปตีดาบ” เอเซยิ้มมุมปากแล้วมองไปทางกุห์ฟาน กุห์ฟานมองไปยังอากิรอส “นายอยากได้อะไรเป็นพิเศษมั๊ย อากิรอส ?” “พวกนายพูดเหมือนกับว่ามังกรมรกตที่ดุร้ายติดอันดับต้นๆของสัตว์ประหลาดเฝ้าประตูทั้งหลายเป็นวัวให้พวกนายจองส่วนเชือดเล่นเลยนะฮะ” อากิรอสไม่ตอบเลิกคิ้วถามกลับ “งั้นแสดงว่านายไม่อยากได้อะไรสินะ งั้นเกล็ดกับเขี้ยวผมเหมาหมดนะ” กุห์ฟานสรุปเอาดื้อๆ เอเซที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างอากิรอสตั้งแต่เมื่อไรเอามือวางบนบ่าแล้วถามขึ้นมาดื้อๆ “ถ้านายใส่แหวนคู่นั้นแล้วใช้เวทปิดฉากตูมเดียวไอ้กิ้งก่าบินได้นี่ดับ ใช้เวลาร่ายเท่าไร ?” “จอมเวทชั้นสองของริมุเน่อย่างเราจะใช้ได้ยังไงล่ะฮะ ไอ้เวทย์ยิงมังกรทีเดียวจบเนี่ย” อากิรอสตีหน้าซื่อส่ายหัวดิ๊ก “ใช้เวลาเท่าไรขอรับ ?” ทากะเดินเอามือมาวางบนบ่าอีกข้าง ส่วนกุห์ฟานดึงเอามีดสั้นสีขาวทั้งเล่มมาถือไว้ในมือแล้วมองมายังจอมเวทผมดำเหมือนจะรอคำตอบด้วยเช่นกัน อากิรอสหันไปสบตาทีละคนจนครบแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะแววตาทั้งสามคู่มันไม่ได้มีแววล้อเล่นดังเช่นทุกที แถมยังเป็นแววตาที่เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มที่ด้วย “พวกนายนี่เหลือเกินนะฮะ มาคาดคั้นกันแบบนี้ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือที่จะเชื่อใจคนที่พบหน้ากันได้สองวันแบบเรา ?” “ถ้าไม่จริงใจต่อกัน ถึงคบกันจนผมหงอก ก็เหมือนคนแปลกหน้า ถ้าจริงใจต่อกัน ถึงคุยกันครั้งแรก ก็เหมือนสหายเก่าที่รู้ใจ” “ข้าน้อยเคยได้ยินกวีกล่าวเอาไว้แบบนี้ พอจะเป็นคำตอบให้ได้ไหมขอรับ” ทากะที่พูดน้อยที่สุดกล่าวออกมาเรียบๆตบบ่าอากิรอสเบาๆ แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างๆกุห์ฟาน “นานๆคนพูดน้อยพูดทีมันก็เข้าท่าดีเหมือนกันวุ้ย ตามนั้นพวก” เอเซยิ้มบางๆให้อากิรอสซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่ต่างไปจากรอยยิ้มดั่งเช่นทุกที และเขาก็เดินไปยืนอยู่กับอีกสองคน จอมเวทผมเทาจากหมู่บ้านวัลล่าห์ยิ้มออกมาบางๆแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหวนสองวงที่อยู่ในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมาสวมไว้ในมือทั้งสองข้าง “เราให้เวลาพวกนายแค่สี่นาทีเท่านั้นเมื่อครบสี่นาทีพวกนายช่วยหนีออกห่างจากมังกรตัวนั้นให้มากที่สุด ส่วนตูมเดียวมันจะตายหรือไม่ตาย มันก็อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของเราแล้วนะฮะ เริ่มนับหนึ่ง!!” อากิรอสหลับตาลงรวบรวมสมาธิร่ายเวทโจมตีขนาดหนักที่เขาถนัดที่สุด ส่วนอีกสามคนพร้อมอาวุธในมือแยกกันพุ่งเข้าใส่มังกรที่มันกำลังกางปีกร้องคำรามก้องไปทั้งห้องโถงเพราะรู้สึกได้ถึงจิตมุ่งร้ายทั้งสี่ ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีอะไรบางอย่างวิ่งแซงพวกเด็กหนุ่มเข้าหามังกรเขียวที่กำลังคำรามอยู่นั้นด้วยความเร็วที่เหนือกว่าอีกระดับ ถึงจะเห็นไม่ชัด ทั้ง เอเซ กุห์ฟาน และทากะ ที่เตรียมใส่กันเต็มที่เบรกกันตัวโก่งพร้อมกับเสียงของอะไรบางอย่างถูกกระแทกอย่างรุนแรง โครม!! อะไรบางอย่างมันมีขนาดเล็กสีเหลืองๆลอยเข้ากระแทกเต็มปลายคางของเจ้ามังกรเขียว ทำให้เสียงคำรามอันน่ากลัวของมันขาดหายไปดื้อๆพร้อมกับร่างของมันที่ลอยขึ้นกลางอากาศทั้งๆที่ยังไม่ได้ขยับปีกบินเหมือนโดนมือขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นจับเหวี่ยง ภาพต่อมาที่ทุกคนเห็นแบบชัดๆก็คือ ร่างเล็กๆของลูกเจี๊ยบตาขวางไต่ไปบนหัวของมังกรแล้วง้างขาอันเท่าก้านไม้ขีดของมันหวดกลางหัวของเจ้ามังกรชะตาขาด เสียงกระดูกถูกกระแทกด้วยกำลังมหาศาลดังก้องไปทั้งโถงใต้ดิน ทั้ง เอเซ กุห์ฟาน และทากะที่ได้เห็นแบบชัดๆได้แต่ยืนอ้าปากค้างแล้วแหกปากออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “นี่มันไม่ใช่ลูกเจี๊ยบแล้ว!!!” ร่างสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นเดินลงมาจากร่างของมังกรเขียวที่ตอนนี้น่าจะไม่มีวิญญาณอยู่ติดร่างเสียแล้ว มุ่งตรงเข้ามายังเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่ยืนอ้าปากค้าง เสียงแหกปากของสหายศึกทั้งสามคนของอากิรอส คีฟ ทำให้เขาเอะใจหยุดการร่ายเวทใหญ่ของเขาแล้วลืมตาขึ้นก็พบซากมังกรกับลูกเจี๊ยบที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา “ปิโย ปิโย” ลูกเจี๊ยบตาขวางผู้เป็นคนคุมหอพักของเจ้าพวกสี่ตัวนี้เอาจะงอยปากเล็กๆแกะเชือกที่พันอยู่กับขาออก ทั้งสี่คนเดินเข้ามาดูใกล้ๆก็พบว่ามันเป็นเศษกระดาษเล็กๆหนึ่งใบถูกพับไว้ เอเซเป็นแนวหน้ากล้าตายหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู “ตามฮิโยโกะมาพบข้าที่ห้องผู้อำนวยการ” ข้อความสั้นๆถูกเขียนอยู่บนกระดาษใบนั้น “ปิโย ปิโย” ฮิโยโกะร้องออกมาแล้วเดินเตาะแตะๆผ่านหัวหน้ากรรมการนักเรียนสาวทั้งสองที่นั่งดูเหตุการณ์ทั้งหมดยิ้มๆ “นี่พี่สาว... ผมวานลอกเกล็ด ถลกหนัก หั่นเขาหน่อยสิ เงินทั้งนั้นเลยนะเนี่ยไอ้ที่กองเขียวๆอยู่เนี่ย เดี๋ยวผมแบ่งส่วนแบ่งให้” กุห์ฟานเดินหน้าเป็นเข้ามาเจรจาธุรกิจกับปีศาจสาวผมบ๊อบทันที “ฝันไปเถอะย่ะ! นายอยากได้นายก็ลงมาทำเองสิ ตัวมันใหญ่ขนาดนั้นไม่มีใครย้ายมันออกไปไหนหรอก” นอร์ริมอร์ปฏิเสธทันที “ปิโย ปิโย” เสียงร้องเตือนของลูกเจี๊ยบที่เดินนำอยู่ดังขึ้น ขนาดมังกรยังเดี้ยงต่อให้ทั้งสี่คนนี้จะเก่งแค่ไหนการไม่เสี่ยงย่อมเป็นดีที่สุด “ข้าวเที่ยงพี่สาวขอติดเอาไว้ตอนเจอกันคราวหน้าละกันนะจ๊ะ เพราะท่าทางพวกนายจะมีธุระอีกยาว” ปีศาจสาวผมบ๊อบเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ขอให้โชคดีนะคะ ท่านผู้อำนวยการคงเรียกพวกเธอไปพบเรื่องบัตรประจำตัวนักเรียน” ราเคลที่นั่งอยู่ข้างๆโบกมือให้พร้อมรอยยิ้ม ถึงจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับ “จักพรรดินีแห่งรัตติกาล” และ “เทพธิดาแห่งคันศร” มามากขนาดไหน แต่เมื่อมาได้พบตัวจริงๆก็ต้องยอมรับว่าความสวยที่เขาร่ำลือไปทั่วทวีปเอลเทอเฟียเหล่านั้นไม่ได้เป็นการใส่สีตีไข่จนเกินจริงแม่แต่น้อย ทั้งสี่คนก้มหัวให้กับหัวหน้ากรรมการนักเรียนทั้งสองเล็กน้อย แล้วเดินตามลูกเจี๊ยบคุมหอของพวกเขาขึ้นไปอย่างง่ายๆ เด็กหนุ่มผมดำจากแดนใต้ที่เดินอยู่รั้งท้ายสะกิดเพื่อนร่วมหอผมน้ำตาล “ท่านเอเซชอบประมือกับผู้ที่แข็งแกร่งไม่ใช่หรือขอรับ ?” เอเซหันมามองทากะด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าหมอนี่ทักคนอื่นก่อน “ก็ตามนั้น... มีอะไรเรอะ ?” “ข้าน้อยคิดว่าลูกเจี๊ยบที่ชื่อ ฮิโยโกะ ที่เดินนำอยู่หน้าสุดน่าจะแข็งแกร่งถูกใจท่านเอเซนะขอรับ” ทากะเอ่ยออกมาเรียบๆแต่ทำเอาทั้ง กุห์ฟาน และอากิรอสที่ได้ยินหัวเราะก๊าก “เมิงไม่ลองเองวะไอ้เอ๋อ มังกรยังนอนเดี้ยง ขืนสดดีไม่ดีถึงขั้นมีหวังนอนโรงพยาบาลยาวๆ เจ้านี่ก็แอบกวนตีนหน้าตายเหมือนกันนะเนี่ย แต่ถ้าได้ประมือแบบเต็มกำลังกับคุณซารุวาตาริ ทากะ น่าจะเข้าท่ากว่าจมหูเลยนะขอรับ” เอเซตอบพร้อมแสยะยิ้มออกมา “ข้าน้อยคิดว่าลูกนกที่เพิ่งหัดบินอย่างข้าน้อยไม่อาจหาญไปต่อกรกับเอเซ แมคโดเวล ผู้สืบทอดฉายา ‘วิหคสายฟ้า’ ยอดนักดาบผู้มีชื่อเสียงในละแวกนครแห่งอัศวิน ‘รีเวเรีย’ หรอกขอรับ” ทากะตอบด้วยน้ำเสียงกริ่นเกรง เอเซส่ายหัว “เพื่อนร่วมหอกุแต่ละตัวดีๆทั้งนั้น” “ขอบคุณที่ชมว่าเราเป็นคนดีนะฮะ ชมกันตรงๆแบบนี้เขินเลย” อากิรอสที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมาขอบคุณ กุห์ฟานที่เดินอยู่หน้าสุดหัวเราะก๊ากแล้วชูนิ้วโป้งให้จอมเวทจากวัลล่าห์ ส่วนเอเซได้แต่ทำหน้าเบื่อโลก “ประชด!! เว้ย ประชด!! ไม่ได้ชมเจ้า” อากิรอส คีฟทำหน้าตาเหรอหรา เอามือเขกหัวตัวเองเบาๆ “อ้าว... เหรอ... เขินฟรีแย่เลยแบบนี้” ทากะหัวเราะออกมา “พวกท่านนี่ตลกดีนะขอรับ” “ใครเริ่มวะข้าถามหน่อย ?” เอเซถามออกมา แล้วอีกสองคนก็ชี้ไปยังทากะที่เดินรั้งท้าย “นี่ข้าน้อยผิดหรือขอรับ... แย่เลยแบบนี้” ทากะลอกประโยคและท่าทางของอากิรอสแต่ทำด้วยสีหน้ามึนงงอันเป็นปกติของเขา ทำเอาอีกสามคนหัวเราะก๊ากออกมาอีกครั้ง “พอเลยๆพวกเจ้าจะทำคณะจำอวดกันรึไงวะ” เอเซตัดบทพร้อมกับเหลือบไปดูลูกเจี๊ยบคนนำทางที่ยังคงเดินเตาะแตะนำทางพวกเขาออกจากห้องสมุดมุ่งตรงไปยังห้องผู้อำนวยการที่ไม่น่าจะห่างออกไปนัก พระอาทิตย์ยามสายส่องแสงแรงขึ้นเป็นลำดับ แต่เด็กหนุ่มที่เดินตามลูกเจี๊ยบที่เดินเตาะแตะๆมุ่งไปยังหอระฆังทำไมพวกเขาจะจำไอ้หอระฆังแห่งนี้ไม่ได้ ทั้งสี่คนสบตากันด้วยสายตาเหมือนจะตั้งคำถาม ‘ยังจำหอระฆังอันนี้ได้ไหม ?’ ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสี่คนก็ยิ้มออกมาบางๆ แล้วทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปในหอระฆังจนมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำแต่ไร้ลวดลายใดๆ ความใหญ่โตของมันสร้างความน่าเกรงขามได้พอสมควร “ปิโย ปิโย” ลูกเจี๊ยบที่นำทางเขามาตลอดหันมาร้องทักกับเด็กหนุ่มทั้งสี่เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างแล้วก็เดินเตาะแตะๆหายไปอีกทาง ก่อนที่ใครจะได้เอ่ยปากคุยอะไรกัน ประตูไม้บานใหญ่นั้นก็ค่อยๆแง้มออกช้าๆเหมือนจะเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน ทั้งสี่เดินเข้าไปด้านในอย่างง่ายๆ ทันทีที่เห็นภายในห้องทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าห้องเนี๊ยไม่ใช่ห้องผู้อำนวยการหรอก มันเป็นห้องสมุดชัดๆ นอกจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่ รอบๆห้องมีแต่ชั้นหนังสือ จะมีสะดุดตาก็คือชุดเกราะอัศวินที่ตั้งโชว์อยู่ซึ่งบุตรชายช่างใหญ่อย่างเวลเจมองด้วยสายตาสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากอากิรอส คีฟ ที่ตอนนี้เขากวาดสายตาไล่รายชื่อตามสันหนังสือที่เรียงรายอยู่ตามชั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ จะเหลือแค่เอเซ ที่เอาดาบในมือพาดบ่าแล้วหาววอดๆ และทากะ ยืนเหม่อ “เห็นว่าพวกเจ้าจะลงไปจัดการมังกรมรกตที่เฝ้าประตูหอสมุดใต้ดินกันรึ ?” ผู้อำนวยการชราในชุดขาวเอ่ยถามออกมาเรียบๆ ทั้งๆที่กำลังอ่านเอกสารในมืออยู่ “ก็ได้แค่ตั้งท่าเท่านั้นแหละปู่ผอ. ลูกเจี๊ยบโหดของปู่อัดเจ้าแย้เขียวนั่นซะนอนนิ่ง” เอเซตอบกลับมาตามจริง “ท่านอัลฟรีดครับ... เกราะที่ตั้งอยู่ตรงนั้นผมขอเข้าไปดูใกล้ๆได้ไหมครับ ?” กุห์ฟานเอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้น “หนังสือพวกนี้ว่างๆผมขอยืมอ่านบ้างได้มั๊ยฮะท่านผู้อำนวยการ มีแต่ตำราที่น่าสนใจเต็มไปหมด” อากิรอส เอ่ยขึ้นมาบ้าง จะมีก็เพียงทากะเท่านั้นที่ยังคงยืนเหม่อลอยอยู่เงียบๆ “พวกเจ้านี่มันตัวป่วนสมกับที่ผู้ปกครองของเจ้าแต่ละคนการันตีไว้จริงๆ” ผู้อำนวยการชราหยุดอ่านเอกสารในมือแล้วกวาดสายตาดูเจ้าเด็กแสบที่ถูกฝากฝังไว้ทีละคน “เอาล่ะข้าตัดสินใจแล้ว การที่จะส่งพวกเจ้าไปเรียนกับนักเรียนใหม่มันอันตรายจนเกินไป อาจจะทำให้อนาคตที่ดีของทวีปนี้กลายเป็นตัวแสบอย่างพวกเจ้าได้ ข้าจะเซ็นให้พวกเจ้าไปเรียนกับชั้นปีสามเลยละกัน”เมื่อเอ่ยจบมหาปราชญ์แห่งเอลเทอเฟียก็ประทับตราประจำตัวแล้วเซ็นชื่อเอกสารตรงหน้า “เอ้ย!! ปู่... แค่นี้เขาก็เขม่นพวกผมหาว่าเป็นเด็กเส้นกันจะเป็นจะตายอยู่แล้วขืนเอาพวกผมข้ามชั้นไปเรียนปีสามแบบนี้ไม่รู้จะโดนอะไรอีก” เอเซร้องออกมาทันทีที่ได้ยินคำตัดสินของพวกเขา “นั่นสิครับท่านผู้อำนวยการ พวกผมก็แค่เด็กน้อยฝึกหัดธรรมดา จะให้ข้ามชั้นแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือครับ” กุห์ฟานเสริมมาทันทีเพราะเขาก็เห็นลางแห่งความยุ่งยากมาเยือนเช่นกัน ผู้อำนวยการในชุดขาวเงยหน้ามองเจ้าเด็กแสบแต่ละคน “ผู้ปกครองของพวกเจ้าแต่ละคนคือสหายร่วมรบของข้า เจ้าพวกนั้นการันตีถึงฝีมือของพวกเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า และปัญหาต่อจากนี้ไม่ใช่ปัญหาของข้าแต่อย่างใดเจ้าพวกเด็กน้อยเอ๋ย ขอให้พวกเจ้าสนุกกับโรงเรียนแห่งนี้” บัตรนักเรียนสี่ใบถูกวางบนโต๊ะ “คำตัดสินของข้าถือเป็นที่สุดภายในโรงเรียนแห่งนี้ อีกหนึ่งชั่วโมงจะมีการประชุมนักเรียนชั้นปีสามทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกกรรมการนักเรียนกับนักเรียนรุ่นพี่พวกเจ้า เอ้า... ข้าต้องรีบจัดการงานเอกสารพวกนี้ พวกเจ้าไปได้แล้ว” ผู้อำนวยการอัลฟรีดตัดบทไล่เจ้าสี่คนที่เดินมาหยิบบัตรนักเรียนของตนแล้วออกจากห้องผู้อำนวยการมายืนมองหน้ากันเองอยู่หน้าหอระฆัง “เอาล่ะชิบหายกันใหญ่ล่ะทีนี้ สอบผ่านเข้ามาเรียนแบบงงๆแถมโดนถีบขึ้นไปเรียนปีสามอีก ท่าทางมันจะวุ่นวายพิลึกแฮะ” เอเซเอาบัตรนักเรียนของตนขึ้นมาพลิกดูอย่างสนใจ “เจอพวกรุ่นพี่เขม่น ดีไม่ดีจะโดนลองดีอยู่เรื่อยๆน่ะสิ ทีนี้ ลำบากแน่ๆ” กุห์ฟานขมวดคิ้วใช้ความคิด “ยังไงชื่อของพวกเราก็โดนยัดเข้าชั้นปีสามไปแล้ว ไม่ดีหรือฮะ ? เรียนแป๊ปเดียวก็จบแล้ว” อากิรอสพูดยิ้มๆอย่างไม่อาทรร้อนใจอะไรนัก ทากะเอาบัตรนักเรียนเก็บแล้วหยิบถุงถั่วทอดที่ซื้อมาจากโรงอาหารขึ้นมาโยนเข้าปากเคี้ยวกรุบๆพลางยื่นให้อีกสามคน แล้วเอ่ยออกมาซื่อๆ “ก็แค่ทำตัวตามปกติไป ไม่เห็นจะยากอะไรนี่ขอรับ” กุห์ฟาน เอเซ และอากิรอส มองนักดาบผมดำจากแดนใต้แล้วก็หัวเราะออกมา แล้วต่างล้วงไปหยิบถั่วทอดจากถุงในมือทากะออกมาเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย