Grand Gaia Online บทที่ 45 [ UPDATE ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 10 ตุลาคม 2012.

  1. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    พอดีเป็นทิฐิส่วนตัวนิดหน่อย แต่พอดีสำหรับแนวเกมออนไลน์แล้วตามความชอบส่วนตัวถ้าระบบของเกมมันไม่มีผลกระทบที่มากพอนี่มันจะทำให้ตัวละครดูโอเวอร์เกินจริงไปหน่อยล่ะนะฮะ (ในเรื่องนี้ก็อยู่ตรงระดับเลเวลกับค่าสเตตัส ส่วน equipment ก็ลดลงมาให้อยู่ระดับใกล้เคียงกันแล้วนี่นะ) ถึงจะเป็นแนวเกมออนไลน์เสมือนจริงแต่ถ้าต้องการให้ความสามารถส่วนบุคคลมีผลมากกว่านี้ก็น่าจะเลี่ยงเรื่องระบบเลเวลหรือสเตตัสแล้วไปใช้ระบบฝึกฝนระดับสกิลมากกว่าน่ะนะฮะ (ถ้าเป็นแบบนั้นสกิลอาจจะแรงไม่เท่ากันตามผลการฝึกฝน แต่ความสามารถในการต่อสู้หรือเคลื่อนไหวมันจะไม่ต่างกันด้วยสเตตัส)
  2. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    เห็นด้วยกับซาลนะ ตอนสู้นี่เหมือนไม่มีความแตกต่างระหว่างเลเวล กับสเตตัสเลย

    แล้วอะไรที่ถมความต่างนั้นใด้ ท่วงท่า ประสพการณ์ หรือ ความสามารถเฉพาะตัว

    ถ้าเป็นแบบนั้น สเตตัสลับของเกมนี้ก็คือ สกิลนั่นเอง วู๊ฮู๊ว
  3. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ติดใจตอน 03 มิยูเธออาจจะเป็นผู้เล่นชายก็ได้นะ /*โดนอาเซแม็กถีบออกนอกกระทู้

    ก็นับเป็นตัวละครที่มีสเน่ห์น่ารักทีเดียว แต่ทำไมได้กลิ่นอาสึนะลอยมาตอนที่บอกว่ามีฝีมือดาบอยู่ก่อน ดีไซน์การแต่งตัวก็น่ารักดี เหตุผลที๋โดนล้อมก็สาวน้อยมากๆ =v= ถ้ามีบทบาทในตอนต่อๆไปก็คงจะดี

    การดวลดาบกับกลอเรียสเท่ดี แต่ก็เห็นด้วยกับซาล มันเป็นการบู๊แบบตรงๆเอามากๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในเกมออนไลน์เลยก็ยังได้ คือมันออกจะเรียลไปหน่อยกระมัง ส่วนตัวก็ชอบ แค่อยากเห็นสกิลเฉยๆ และการบรรยายยังขาดการดึงอารมณ์ร่วมอยู่บ้าง เพราะที่เห็นคือการดวลปกติธรรมดา

    ลองดูคนอื่นต่อว่าเขาจะได้สู้ด้วยหรือไม่ อาจจะมีลูกเล่นแปลกๆมั่งนะ
  4. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    มองชื่อกระทู้อ่านเป็นGaogaigar คลิกเข้ามาเจอSAO อ่านดีๆก็เป็นฟิคอเซแม็คเหมือนเดิม แต่บรรยากาศดูไม่หนักเหมือนเรื่องก่อนเพราะเป็นเกมออนไลน์ ดูไปนึกถึงความทรงจำสมัยยังเล่นเกมออนไลน์เป็นชีวิตอยู่
    แต่มาฉากดาบปะทะดาบนี่แหละ นึกว่ากลายเป็นโลกแห่งความเป็นจริง(แบบแฟนตาซี)ไปวูบนึง ^^'

    รอดูว่าสี่สหายจะเจออะไรอีกต่อไปอย่างเงียบๆครับ
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    เอเซเก่งเพราะเติม cash 500 บาท #ผิด

    โดนทักเรื่องเดียวกันสี่คนแบบนี้ก็ทำให้ผมย้อนกลับไปดูว่าตัวเองเขียนรายละเอียดไว้แค่ไหนกัน
    และก็พบว่า...ส่วนที่ตั้งใจจะเขียนอธิบายถูกตัดออกจากต้นฉบับที่เอาลงบอร์ด Orz ก็ขออธิบายเพิ่มเติมไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกัน (รายละเอียดแบบเต็มจะอยู่ในตอนที่ 8 ครับ)

    เหตุผลที่ว่าทำไมเอเซเลเวล 14 แต่สามารถสู้กับกลอเรียส อัลติมัสได้อย่างไม่เป็นรอง ทั้งที่คู่ต่อสู้เลเวลมากกว่ามาก

    ข้อแรก เพราะเอเซ stock exp ที่ได้จากการต่อสู้เก็บไว้โดยไม่ได้เอาไปอัพเลเวล

    อ้างอิงจากตอน 2
    เอเซ (และคนอื่นในแคลน) เก็บ stock exp ไว้ถึง 9 ใน 10 นั่นคือ ใช้แค่ 10 แต้มจาก 100 แต้มไปอัพเลเวลเท่านั้น
    ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมพลาดไม่ได้เขียนอธิบายไว้ในต้นฉบับที่เอาลงบอร์ดว่าตั้งแต่ตอนเริ่มสู้กับหมาป่า เอเซ setting ตัวเองไว้ยังไงบ้าง เอาจริงๆ ถ้าเอเซ Level up ด้วย exp ทั้งหมด ไม่ stock ไว้เลย เลเวลน่าจะพอๆกับดับเบิลฮาร์ท (Lv.25) ครับ เพราะสู้มาราธอนทั้งคืนยันเช้า แถมมอนสเตอร์ตอนกลางคืนก็เก่งขึ้นและให้ exp มากขึ้นด้วยเช่่นกัน


    ข้อสอง จากคำถามของคุณ soulmaster "แล้วอะไรที่ถมความต่างนั้นใด้ ท่วงท่า ประสพการณ์ หรือ ความสามารถเฉพาะตัว"

    ถูกต้องครับ การต่อสู้ในเกมส์นี้ขึ้นอยู่กับ 'ทักษะยุทธ์ส่วนบุคคล' เป็นหลัก (หรืออีกนัยก็คือประสบการณ์การต่อสู้)

    ชนะดับเบิลฮาร์ทได้ทั้งที่เลเวลต่างกัน 11 เลเวล
    ก็เพราะดับเบิลฮาร์ทเลเวลสูงกว่าแต่ไม่มีทักษะยุทธ์ (พูดง่ายๆว่าต่อยตีไม่ค่อยจะเป็น) อีกปัจจัยก็คือกลยุทธ์ที่เอเซใช้ในการต่อสู้กับดับเบิลฮาร์ทก็คือ 'ยั่วยุ' ให้คู่ต่อสู้โกรธและขาดความเยือกเย็นไปเอง

    เสมอกับกลอเรียสที่น่าจะ Lv.34 ห่างกันถึง 20 เลเวล แต่การต่อสู้เป็นแบบตรงไปตรงมา ไม่สาดสกิลหรือเวทใส่กัน เพราะอะไร ?
    ตรงนี้เป็นความอ่อนซ้อมของผมคนเขียนด้วยละครับ ถ้าเป็นนิยายเรื่องเก่า (Eliminate Chaos) ผมคงเขียนอธิบายความคิดของตัวละครไปแล้วว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนั้น แต่ GGO ไม่ได้เขียนเพราะอยากจะเปิดกว้างให้คนอ่านได้ลองจินตนาการเพิ่มเติมเอง
    ปกติผมมีคติในการเขียนของตัวเองว่า 'อธิบาย 7ส่วน เปิดไว้ 3 ส่วน'
    และก็กลายเป็นบททดสอบสำหรับผมไปแล้วว่า ผมยังเขียนอธิบาย 7 ส่วนนั่นไม่ดีพอเลยทำให้คนอ่านจินตนาการไปไม่ถึงสิ่งที่ผมตั้งใจจะสื่อสารไว้

    กลอเรียสก็มีทิฐิในฐานะที่เป็นเกมส์เมอร์และเพลย์เยอร์ชั้นแนวหน้า (ตามที่ได้อธิบายไปแล้ว) ถ้าต้องทุ่มกำลังทั้งหมด ทักษะทั้งหมด ใช้เชิงยุทธ์ทั้งหมดเพื่อชนะเอเซก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะฝีมือของเขารู้กันทั่วไปแล้วว่าเก่งขนาดไหน มีดีกรีในระดับไหน
    แต่ถ้าเขาเอาชนะด้วยฝีมือจริงๆโดยไม่พึ่งพาระบบของเกมส์เลยและยังเอาชนะได้ด้วย เขาจะยิ่งเก่งขนาดไหนกัน ?

    อีกอย่างนิสัยของกลอเรียส(ที่ผมคิดไว้) คือ เป็นคนตรงไปตรงมา ใกล้เคียงกับนิสัยกับเอเซ พอเริ่มต่อสู้ทั้งสองเลยได้แต่สู้กันโดยไม่ใช้สกิลหรือทักษะอื่นใดนอกจากความสามารถของตัวเองเท่านั้น วัดกันตรงๆด้วยกำลัง ความเร็ว ไหวพริบและปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองล้วนๆ
    หากจะเปรียบแบบเวอร์ๆก็คงเหมือนพวกจอมยุทธ์ในนิยายกำลังภายใน "ยอดยุทธ์ปะทะยอดยุทธ์โดยไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งด้วยกลใดๆ"

    ถ้าจะบอกว่า สองบรรทัดนี้อธิบายความคิดข้างบนทั้งหมดไว้ละก็... ผมก็น้อมรับความผิดที่อธิบายไม่ละเอียดเองไว้ตรงนี้ละครับ
    เป็นเรื่องจริงอย่างแน่แท้ ถ้ากลอเรียสใช้ระบบของเกมส์ ใช้สกิลซัพพอร์ตทั้งหมดเข้าต่อสู้ เอเซแพ้อย่างไม่มีทางสู้อยู่แล้วละครับ (ชนะด้วยความแตกต่างในเกมส์)

    ทว่า...กลอเรียสมีประสบการณ์และฝีมือการันตีตัวเองขนาดนั้น แล้วเอเซมีดีอะไรถึงได้สูได้แบบสูสีได้ ?

    อ้างอิงตอน 3
    #โดนเตะเพราะอธิบายน้อยไป
    เอเซไม่ใช่ผ้เล่นใหม่หมาดๆแบบกานดา(EXE) แต่เนื้อหาที่ยังไม่ได้เปิดเผยก็คือ ประสบการณ์ชีวิตของเอเซในโลกจริงด้วยที่มีส่วนให้เขาสู้เก่ง (คงจะพอเดากันได้แล้ว)
    ส่วนหนึ่งก็เพราะแต่ละตอนมันลงห่างกันมาก ก็อาจทำให้คนอ่านลืมรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆในตอนเก่าๆไปด้วย


    ทีนี้ผมขอไขข้อสงสัยของระบบ Lv / Status / Skill ไปด้วยเลย และจะมีเขียนอย่างละเอียดอีกครั้งในตอนที่ 8 (ซึ่งไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร)
    (ครั้งแรกผมไม่อยากอธิบายไว้เยอะๆในตอนเริ่มนิยายเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นคู่มือเล่นเกมส์ซะมากกว่า อยากจะค่อยๆเขียนแทรกลงไปในแต่ละตอนถ้ามีโอกาส)

    แล้ว Level มีประโยชน์อะไร ? ทำไมต้องมี Level ของตัวละคร ?

    Level
    - มีผลโดยตรงต่อ HP / MP / SP (Stamina ระบบความเหนื่อย) ของตัวละคร
    - เป็นเงื่อนไขในการใช้งานอาวุธระดับสูง เลเวลไม่ถึงก็ใช้ไม่ได้
    - ปลดล็อกเงื่อนไขภารกิจระดับสูง ปลดล็อกเงื่อนไขการเข้าสู่สถานที่หรือดันเจี้ยนบางแห่ง
    - ปลดล็อกการเรียนรู้สกิลเสริม ทุกๆ 3 เลเวลผู้เล่นจะได้ skill slot สำหรับเรียนรู้สกิลอื่นๆนอกเหนือจากสกิลประจำอาชีพ
    - Level มีผลกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์โดยตรง เพราะถ้าศัตรูเลเวลสูงกว่ามากก็หมายความว่ามันเลือดเยอะ อึดถึกบึกบึนและมีลูกเล่นมากขึ้น ต้องจัดปาร์ตี้ไปรุมกระทืบถ้าอยากชนะง่ายหน่อย แต่ถ้าอยากเร้าใจก็สดตัวต่อตัวได้ถ้ามั่นใจในฝีมือของตัวเองว่าซัดโดนจุดตายทุกดอก ฟาดโดนจุดสลบของศัตรูแล้วมันล้มแน่ๆ
    - ในการต่อสู้แบบ PVP เลเวลไม่มีประโยชน์อะไรมากนอกจากเรื่องของระดับ HP MP SP แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้ว เลเวลสูงแต่ไม่มีเชิงยุทธ์ก็แพ้ได้เหมือนกัน

    status
    - มีหลักๆแค่ 4 ตัว คือ Strenght , Defence , Magic , Magic Defence
    - parameter หลักสี่ชนิดนี้สามารถเอา exp ที่ stock ไว้มาใช้อัพได้ (ใช้แต้มเยอะพอสมควร) เป็นเทคนิคสำหรับสายดองเลเวลแบบเอเซที่สามารถสู้กับมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงกว่าได้ด้วย status ที่เท่ากัน / ไม่ต่างกันมาก
    - หากไม่อยากเสีย exp ใช้อัพ status เหล่านี้ เกมส์นี้จึงมีระบบ more train more gain ยิ่งฝึกมากก็ยิ่งเก่ง ออกแรงโจมตีมากๆเดี๋ยว str ก็ขึ้นเอง หรือยิงเวทบ่อยๆก็โจมตีด้วยเวทแรงขึ้นเอง ซึ่งรวมถึงค่า status อื่นๆด้วย โดนอัดบ่อยๆ Def ก็เพิ่มขึ้น (เจ็บและชินไปเอง)
    - เกมส์นี้ไม่ evade (flee) , apsd ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้เล่นเป็นหลัก ใช้หลัก more train more gain เช่นกัน
    - มีค่าmovement คือความเร็วในการเคลื่อนที่และวิ่งด้วย

    skill
    - นอกเหนือจากที่เคยอธิบายไปแล้วในตอนที่ 2 ว่าสกิลแบ่งกว้างๆได้สามประเภท คือ สกิลเรียกใช้งาน ส่วนใหญ่ก็คือสกิลต่อสู้ ท่าโจมตี ท่าซัพพอร์ตต่างๆ , สกิลดำรงชีวิต พวกสกิลปรุงอาหาร สกิลแล่เนื้อ (สายรวบรวมวัตถุดิบ) , สกิลเพิ่มความสามารถอื่นๆ เช่น ดำน้ำ ว่ายน้ำ ปีนเขา มองในมืด ฯลฯ
    - สกิลประจำอาชีพสามารถเรียนรู้ได้ทันทีเมื่อเปลี่ยนอาชีพ เงื่อนไขการได้สกิลระดับสูงขึ้นไปก็คือต้องเรียนรู้สกิลที่เป็นเงื่อนไขเสียก่อน เช่น Fire Attack > Fire Wall > Trap of Fire > Dragon Breath
    - สามารถใช้ exp พัฒนาระดับของสกิลได้ หรือจะฝึกบ่อยๆใช้งานบ่อยๆตามหลัก more train more gain ก็ได้
    - เกมส์นี้มีระบบให้ผู้เล่นพัฒนาและออกแบบสกิลได้เอง ปกติ Fire Attack จะสร้างลูกบอลไฟโจมตีศัตรู แต่ถ้าไม่อยากได้ลูกบอลก็สามารถจินตนาการเป็นลูกศร หอก สำแสงก็ได้ (เปลือง MP มากขึ้นจากปกติ)
    - สกิลเสริม (option skill) ทุกๆ 3 เลเวลผู้เล่นจะได้ slot สำหรับเรียนสกิลอื่นนอกเหนือจากสกิลประจำอาชีพ เช่น เป็นสายเวทมนต์แต่สามารถใช้ steal ได้
    - การได้สกิลเสริมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป เช่น ทำภารกิจกับ NPC ระดับสูง ปราบมอนสเตอร์ระดับสูงหรือบอสได้เป็น skill book / skill scroll มาใช้งาน ฯลฯ
    - นอกจากนี้ก็มีสกิลที่ติดมากับอาวุธหรืออุปกรณ์อื่นๆด้วย ใช้หลัก more train more gain ฝึกบ่อยๆ ใช้บ่อยๆก็ใช้งานได้ดีขึ้นเช่นกัน


    ขออธิบายเท่านี้ก่อนละกันครับ ยาวมากกว่านี้เดี๋ยวจะกลายเป็นคู่มือเล่นเกมส์ไปซะก่อน เสียอรรถรสนิยายหมด
    จะพยายามแทรกรายละเอียดไว้ในนิยายแต่ละตอนให้ได้มากที่สุดและเนียนที่สุดครับ

    ปล.ถ้ามีข้อสงสัยก็ถามเพิ่มเติมได้ครับ จะมาตอบ/อธิบายไว้นอก reply ที่เป็นนิยาย
    ปลล. เสนอความคิดเห็นได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นระบบ อาวุธ ไอเทม ดันเจี้ยน ภารกิจ หรือกระทั่งตัวละคร ( แต่ไม่อยากเปิดเป็นรับสมัคร เดี๋ยวคุมไม่ได้ ) ยินดีและขอบคุณทุกๆข้อมูลครับ


    Aze McDowell
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 06 – Maldito Style




    กลอเรียส อัลติมัส สมาชิกแคลนเซเลสเทียลและผู้เล่นส่วนใหญ่ทยอยแยกย้ายไป มีบางส่วนอยู่อยู่รอดูว่าสมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสี่คนจะสร้างปรากฏการณ์อะไรอีกแต่ก็ต้องผิดหวัง ทั้งสี่คนเพียงแค่หาซื้อเสบียงอาหารและกระโจมเท่านั้น พวกเขายึดเอาที่ว่างแถวประตูเมืองเป็นที่พักชั่วคราว ความสงบค่อยๆเข้าปกคลุมเมืองแบล็กแซนด์ อากาศเย็นลงจนกลายเป็นหนาวยะเยือก ท้องฟ้าสีดำเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพรายทอแสงสีเงินระยิบระยับ กองไฟถูกจุดไว้หน้ากระโจมเพื่อให้ความอบอุ่น

    เงาคนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ สมาชิกแคลนเซเลสเทียลเกือบยี่สิบคนเดินเกาะกลุ่มกันมาด้วยการนำของดับเบิลฮาร์ท ทั้งหมดเดินผ่านทั้งสี่คนไปเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน

    “ว้าว! นึกว่าจะได้ปะฉะดะกันอีกรอบนึงแล้ว”

    “ก็ดีดิ ตอนบ่ายยังลุยไม่สะใจเลย”

    “พี่จะลุยตอนนี้ทั้งๆที่ดาบหักน่ะนะ?”

    “เออน่ะ! กะอีแค่ดาบหักแค่นี้เอง”

    ทากะที่นั่งเงียบมานานถามเบาๆ “ถ้าคุณรองหัวหน้าแคลนฝั่งโน้นเดินมาในกลุ่มด้วย สหายเอเซคงกระโดดเข้าใส่เลยสิท่า”

    “แน่นอน” เอเซทำท่ายืดอกภูมิใจ

    “ว่าแต่เจ้าพวกนั้นก็ฉลาดเล่นนะ กลางวันทำภารกิจหาเงินเป็นล่ำเป็นสันส่วนกลางคืนออกล่ามอนสเตอร์ที่เก่งขึ้นตามอีเวนต์ มิน่าถึงได้เลเวลสูงๆกันทั้งนั้น” กุห์ฟานวิเคราะห์สถานการณ์

    “ใครจะเล่นแบบไหนก็ช่างเขาเถอะ มาสนใจเรื่องของพวกเราดีกว่าน่า” อากิรอสยกถุงผ้าที่ใส่เหรียญไว้เต็มแน่นให้ทุกคนดู “ชนะดับเบิลฮาร์ทได้มาร่วมแปดร้อย เสมอกับท่านรองหัวหน้าได้อีกพันสี่ร้อย เบ็ดเสร็จก็สองพันกว่า เท่านี้เราก็มีทุนไปลุยบอสหมาป่ากันแล้ว”

    “ตอนเสมอนี่เจ้ามือได้กินด้วยเหรอพี่?” รุ่นน้องนักล่าสมบัติถามด้วยความสงสัย

    “ก็มีแต่คนแทงว่าเอเซจะต้องแพ้ซึ่งก็ถือว่าพวกนั้นแทงผิดถ้อว่าเจ้ามือกินเรียบไงละ” นักเวทผมเทายักคิ้วให้รุ่นน้องพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “เรื่องดีๆแบบนี้ก็มีสหายอากิคิดได้คนเดียวเท่านั้นแหละ”

    “ว้าว! ชมกันแบบนี้เขินแย่เลย”

    เอเซจ้องถุงเงินกว่าสองพันกิลอยู่พักหนึ่ง “เราขอส่วนแบ่งไปซื้อดาบใหม่หน่อยนะ”

    “ต่อให้นายไม่บอกเราก็พร้อมจะซื้อดาบใหม่ให้นายอยู่แล้วน่า”




    อากาศเย็นลงเรื่อยๆจนใกล้จะแตะจุดเยือกแข็งจนต้องก่อกองไฟใหญ่ขึ้น ทุกสิ่งสงบนิ่งมีเพียงสายลมที่เคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาล้อไปกับเปลวไฟ ในความเงียบเหมือนบางครั้งมีเสียงกู่ร้องไกลๆมาจากที่ไหนสักแห่ง

    ในกระโจมมีเพียงทากะ กุห์ฟานและอากิรอสนั่งเล่นโป๊กเกอร์อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะคนที่แพ้สองคนต้องไปทำภารกิจด้วยกัน ซึ่งข้อมูลภารกิจที่กุห์ฟานหามาได้ระบุไว้ว่าภารกิจนี้ยากมากแม้จะว่าจะมีค่าตอบแทนสูงก็ตาม เอเซชนะไปหนึ่งคนแล้วที่เหลือสามคนจึงต้องสู้กันเต็มที่

    “เล่นทีไรก็แพ้เอเซมันทุกทีสิน่า” อากิรอสบ่นอุบอิบเมื่อจบรอบล่าสุดเขายังอยู่อันดับสาม

    ทากะเดาะเหรียญในมือให้เห็นว่าต้นทุนของเขาเหลืออยู่น้อยนิด “สหายอากิแค่เล่นแพ้ แต่เราสิได้ที่โหล่ทุกครั้งเลยนะ”

    “แล้วนี่มันออกไปไหนของมัน ไม่ใช่ออกไปเดินเล่นในเมืองแล้วเจอกับท่านรองหัวหน้าแคลนแล้วก็บู๊กันกลางดึกหรอกนะ”

    “ออกไปยืนเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ข้างกระโจมนี่แหละ”

    นักดาบมนตราที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกนินทากำลังคุยกับใครคนหนึ่งผ่านหน้าต่างสนทนาจนกระทั่งถูกตบบ่าจึงรู้สึกตัว หันไปก็พบว่าเป็นมือของกุห์ฟานที่มาพร้อมทากะและอากิรอส

    “ทำไรอยู่อะพี่ เห็นยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาสักพักละ”

    “เห็นแวบๆว่ากำลังคุยกับผู้หญิง ท่าทางจะสวยด้วยนะ”

    ทากะพูดขึ้นมาทำให้อากิรอสจ้ำเท้าเพื่อไปดูแต่ก็ช้าไปเพราะเอเซปิดหน้าต่างนั้นทันที เขาจึงทำได้แค่เข้าไปโอบไหล่เอเซแทน

    “ว้าว! คุยกับสาวไม่แบ่งเพื่อนแบ่งฝูงนะครับ”

    “เออน่ะ! เดี๋ยววันหลังมีโอกาสจะแนะนำให้รู้จัก”

    “สหายเอเซนี่ร้ายจริงๆ เอาเวลาที่ไหนไปจีบสาวกันนะ”

    “วุ้ย! ถามเยอะถามแยะจริงเลยบอกว่าเดี๋ยวแนะนำให้รู้จักทีหลัง ว่าแต่พรุ่งนี้ใครต้องไปทำภารกิจบ้าง?”

    “เรากับท่านหัวหน้าแคลนเหมือนเคย”

    “ก็ดี พรุ่งนี้เราจะได้ลากกุห์ฟานไปหาซื้อดาบดีๆสักเล่ม”

    นักล่าสมบัติผมแดงยักไหล่ทำนองว่ายังไงก็ได้ ทากะกับอากิรอสมองหน้ากันแล้วก็ยักไหล่ตาม สุดท้ายก็กลับเข้าไปนั่งเล่นนั่งคุยในกระโจมจนเช้าแล้วแยกย้ายเป็นสองทีม ทีมแรกเป็นทีมของผู้ชนะโดยมีเป้าหมายเดินทางกลับเมืองอารันด์เพื่อหาซื้อดาบใหม่ให้เอเซและไอเทมอื่นๆเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้กับเฟนริล ทีมที่สองเป็นทีมของผู้แพ้ที่จะต้องไปทำภารกิจให้กับสมาคมพ่อค้าของเมืองแบล็กแซนด์




    รุ่นพี่รุ่นน้องเดินฝ่าทะเลทรายโกรอธแม้จะเป็นตอนเช้าแต่ก็ร้อนจนเรียกเหงื่อได้ แล้วก็เดินทางผ่านทุ่งหญ้ากว้างที่ยังมีร่องรอยการต่อสู้กับกลุ่มโจรชุดดำเมื่อตอนเดินทางมา ใช้เวลาเดินทางเบ็ดเสร็จสี่ชั่วโมงกว่าก็เห็นประตูเมืองอารันด์ฝั่งทิศใต้อยู่ไกลลิบๆ

    เมืองนี้ยังเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา มีผู้เล่นในเมืองเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวตนแทบจะเดินชนกันทุกระยะสามก้าว กุห์ฟานเลี่ยงการเดินบนถนนสายหลักลัดเลาะตามถนนย่อยและซอยเล็กๆอย่างชำนาญทางส่วนรุ่นพี่อย่างเอเซก็เดินตามหลังแบบเงียบๆ กุห์ฟานหยุดหน้าประตูเล็กๆด้านหลังบ้านหลังหนึ่ง บนประตูสลักไว้ว่า Nice’s Shop

    เขาเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะสักครั้งและมีเสียงแสนไพเราะของหญิงสาวดังขึ้นต้อนรับ

    “ยินดีตอนรับจ้า กำลังรออยู่เลย”

    สาวน้อยร่างบางหน้าตาน่ารักในชุดเมดกระโปรงสั้นสีดำทะมัดทะแมง ใส่ถุงน่องสีขาวสูงเกือบถึงปลายกระโปรงเผยให้เห็นผิวขาวเนียนของต้นขาแบบวับแวมๆ ดวงตาสีเขียวอ่อนสดใสชวนหลงใหล ผมสีดำแซมด้วยแนวไฮไลท์สีม่วงยาวถึงกลางหลัง บนหัวใส่ที่คาดหัวหูแมว แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือปลายหูเรียวแหลมที่เป็นเอกลักษณ์ของ ‘เผ่าเอลฟ์’

    “ขอแนะนำให้รู้จักนะ คนนี้คือพี่เอเซที่เราบอกเมื่อคืน”

    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เธอโค้งตัวให้ตามแบบฉบับเมดสาว

    “ส่วนนี่ก็...เรียกว่าไนซ์ละกัน สั้นๆจำง่าย เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยแล้วก็เจ้าของร้านจับฉ่ายร้านนี้”

    กุห์ฟานสบตากับเมดสาว เธอหมุนข้อเท้าพลิกตัวกลับเดินไปที่บาร์ไม้อย่างรู้หน้าที่ หยิบผ้าสีขาวมาปูบนบาร์และนำดาบเคลย์มอร์เล่มหนึ่งมาวางพร้อมรอยยิ้มชวนประทับใจ เอเซรับดาบมาดูอย่างสนใจ แววตาเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด ใบดาบสีเงินเงาวับดุจกระจกและคมกริบ เขาทดลองเหวี่ยงดาบจนพอใจแล้วก็ยิ้มออกมา

    “นี่คงไม่ใช่ดาบที่หาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อทั่วไปสินะ”

    “เมื่อวานตอนเย็นกุห์ฟานบอกว่าให้ช่วยหาดาบเคลย์มอร์ให้สักเล่ม พอดีมีเพื่อนเอาดาบจากเทสต์เบต้ามาฝากขายก็เลยถามดูว่าขอยืมไปใช้ก่อนได้รึเปล่า คำตอบก็คือโอเคค่ะ”

    “ตั้งราคาดาบเล่มนี้ไว้เท่าไรครับ”

    “หนึ่งพันแปดร้อยกิล ลดได้เต็มที่หนึ่งพันห้าร้อยค่ะ” เสียงหวานใสของเมดสาวเจ้าของร้านทำให้เอเซหันไปสบตากับกุห์ฟาน ฝ่ายรุ่นน้องก็ยกถุงเหรียญขึ้นมาให้เธอดู

    “ในถุงนี้มีพอสำหรับค่าดาบ แต่ว่าพอดีเราต้องซื้อของอื่นๆด้วยก็เลยจะถามว่าเพื่อนไนซ์ไม่ร้อนเงินใช่ไหม?”

    “ยืมใช้ได้ฟรีไม่มีดอกเบี้ย” คำตอบมาพร้อมกับยิ้มหวานๆ

    “ฝากบอกเพื่อนคุณไนซ์ด้วยนะครับว่าขอบคุณมาก ถ้าผมมีเงินแล้วจะรีบเอามาจ่ายให้แน่นอน”

    เธอยิ้มกว้างโค้งตัวให้เอเซและหันไปถามกุห์ฟาน “เห็นลิสต์ไอเทมแล้วรู้ทันทีเลยว่าต้องไปล่าบอสแหงๆ”

    “ใช่แล้ว บอสหมาป่าในทุ่งหญ้าตะวันออกน่ะ”

    “เฟนริลน่ะเหรอ? บอสตัวนี้โหดมากเลยนะ”

    “ถึงต้องเตรียมตัวดีๆไงละ”

    “งั้นตามมาทางนี้เลย”

    สาวสวยเจ้าของร้านกลับไปที่บาร์ ยกลังไม้ขึ้นมาวางแล้วเปิดฝาออกหยิบของด้านมาวางเรียงให้ดูตั้งแต่น้ำยาฟื้นพลังชีวิต น้ำยาฟื้นพลังเวทมนต์ หินเวทมนต์ มีดสั้นต่างๆ คทา ดาบเล่มเล็กเล่มใหญ่ อุปกรณ์ป้องกันจำพวกโล่และชุดเกราะ ถุงมือ รองเท้าบูท สารพัดผ้าคลุมและของจิปาถะอีกมากมายล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ระดับสูงทั้งสิ้น

    นักดาบมนตราขอตัวออกไปทดลองใช้ดาบเล่มใหม่ให้คุ้นมือ ปล่อยให้รุ่นน้องจัดเตรียมของใช้สำหรับการต่อสู้เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถด้านนี้ และคงเป็นสัญชาตญาณของผู้ชายที่หยั่งรู้ได้ว่าเขาไม่ควรจะอยู่เป็นบุคคลที่สามในสถานการณ์เช่นนี้






    ภายในห้องรับรองของสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็กแซนด์เต็มไปด้วยผู้เล่นที่มารอรับภารกิจ หลายคนถือโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน บางคนหยิบอาวุธหรือไอเทมขึ้นมาตรวจสอบไปพลางเพราะภารกิจที่ได้รับจากที่นี่ขึ้นชื่อว่ายากถึงยากมาก แต่ความคุ้มค่าก็เย้ายวนให้หลายคนพร้อมจะเสี่ยงชีวิต

    เสียงพูดคุยเงียบลงทันทีเมื่อสมาชิกแคลนเซเลสเทียลมาถึง พวกเขาเดินไปนั่งที่แถวหน้าสุด ผู้เล่นที่นั่งอยู่ก่อนต้องลุกให้ทันที

    “ว้าว! อยากนั่งแถวหน้าบ้างจังเลย”

    “ใครพูดวะ?” ใครคนหนึ่งในบรรดาสมาชิกแคลนเซเลสเทียลตะโกนลั่นห้อง

    ทุกสายตาจับจ้องไปที่มุมหลังห้อง ชายผมเทาในชุดนักเรียนโรงเรียนนานาชาตินั่งคู่กับชายผมดำใส่เสื้อสีดำทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำเงิน เมื่อเห็นว่าทั้งสองเป็นใคร สมาชิกแคลนเซเลสเทียลก็ยกขบวนมาล้อมไว้ทันที บรรยากาศภายในห้องรับรองตึงเครียดถึงระดับสูงสุด ผู้เล่นคนอื่นที่อยู่ในห้องถอยออกห่างทันทีเพราะอาจเกิดการต่อสู้ได้ทุกเวลา

    ถึงจะถูกล้อมไว้แต่อากิรอสกลับฉีกยิ้มกว้าง ส่วนทากะนั่งตีหน้ามึนโลกตามเดิม

    “หยุด! ถอยออกมาให้หมดทุกคนเลย”

    เสียงเฉียบขาดดังขึ้นจากด้านหน้าห้อง กลอเรียส อัลติมัส รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลเป็นคนเข้ามาระงับเหตุการณ์ก่อนที่ทุกอย่างจะเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้

    “ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรหรือครับ”

    อากิรอสยิ้มยวนตอบกลับ “เป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกแล้วน่ะครับ เผอิญว่าผมพูดความปรารถนาในใจออกเสียงดังไปหน่อย ไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าพวกคุณเป็นพวกอภิสิทธิ์ชนที่ทุกคนต้องเกรงใจ...ก็เท่านั้นเอง”

    อีกฝ่ายยิ้มกลับ เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่อากิรอสก็ยังไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายแฝงนัยยะอันใดไว้ “เข้าใจถูกต้องแล้วครับ แคลนของพวกเราไม่ใช่แคลนของอภิสิทธิ์ชน เพียงแต่ว่าผู้เล่นคนอื่นให้ความเคารพและก็เกรงใจมากจนเกินไปก็เท่านั้นเอง”

    “ก็ดีครับที่คุณกับผมเข้าใจตรงกัน ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของท่านกลอเรียส อัลติมัสแห่งแคลนเซเลสเทียลแล้วละครับ เชิญ!” อากิรอสไล่ด้วยคำพูดสุภาพ อีกฝ่ายก็หันหลังกลับไปทันทีเพราะเข้าใจในเจตนาของอีกฝ่าย

    คนอื่นๆในห้องต่างโล่งอกที่ไม่เกิดมีอะไรเกิดขึ้นยกเว้นสมาชิกแคลนเซเลสเทียลที่ยังแสดงความไม่พอใจผ่านทางสีหน้าให้เห็นอยู่ ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของสมาคมพ่อค้าเข้ามาในห้องเพื่อชี้แจงรายละเอียดของภารกิจและค่าตอบแทน

    “ภารกิจครั้งนี้พวกท่านจะต้องไปที่โอเอซิสอีกแห่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองแบล็กแซนด์ เป้าหมายคือนำคริสตัลไปถ่ายโอนพลังงานจากดอกไม้เจ็ดสีกลับมาให้ได้”

    ใครคนหนึ่งถามขึ้นมาเมื่อเจ้าหน้าที่พูดจบ “แค่นั้น?”

    “ใช่ครับ”

    ทั้งห้องเงียบกริบ ภารกิจนี้มีรายละเอียดน้อยเกินไปจนเรียกว่าไม่มีรายละเอียดก็ได้

    “ค่าตอบแทนทางสมาคมจะจ่ายเป็นเงินสดให้คนละหนึ่งพันห้าร้อยกิล”

    เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมกับเสียงพูดคุยดังระงมไปหมดเพราะค่าตอบแทนสำหรับภารกิจนี้สูงกว่าภารกิจทั่วไปถึงห้าเท่า

    “เฉพาะในกรณีที่รอดชีวิตกลับมาได้เท่านั้นใช่ไหมครับ?”

    ประโยคคำถามทำลายฝันหวานจากอากิรอสทำให้ทั้งห้องเงียบลง

    “และทางสมาคมคงไม่แจกโพชั่นและคริสตัลชุบชีวิตใช่ไหมครับ?”

    “ใช่ครับ ผู้เล่นคนใดเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจจะถือว่าสิ้นสุดหน้าที่ทันทีและทางสมาคมจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ในทางกลับกันทรัพย์สินใดๆก็ตามที่ได้ระหว่างปฏิบัติภารกิจถือว่าให้เป็นของผู้เล่นทั้งหมด โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนรับภารกิจ หากมีข้อสงสัยสามารถถามเพิ่มเติมได้ เวลาสิ้นสุดการลงทะเบียนรับภารกิจคืออีกสามสิบนาทีหลังจากนี้”

    ผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างหันรีหันขวางลังเลว่าจะทำยังไงต่อดี แม้ค่าตอบแทนของภารกิจจะสูงเพียงใดแต่ถ้าเอาตัวรอดไม่ได้ก็เท่ากับเหนื่อยเปล่า เสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนที่ไม่มีความมั่นใจทยอยลุกเดินออกจากห้องไปทีละคนสองคน

    “สมาชิกแคลนเซเลสเทียลในห้องนี้รวมตัวผม ทั้งหมดยี่สิบสี่คนขอลงทะเบียนรับภารกิจครับ” กลอเรียส อัลติมัสแจ้งความจำนงยืนยันที่จะทำภารกิจกับเจ้าหน้าที่ของสมาคมพ่อค้า

    “เอาไงดี?”

    “สหายอากิยังต้องถามอีกเหรอ?” ทากะลุกจากเก้าอี้เดินตรงดิ่งไปที่โต๊ะลงทะเบียน

    “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ” หัวหน้าแคลนมัลดิโตยื่นมือขวาขอจับมือกับรองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียล อีกฝ่ายก็ยิ้มแย้มจับมือด้วยอย่างเป็นกันเองแต่ดูเหมือนสมาชิกอีกยี่สิบสามคนทางฝั่งเซเลสเทียลจะไม่ยินดีด้วยเท่าไรนัก

    “ซารุวาตาริ ทากะและอากิรอส คีฟ ยืนยันทำภารกิจ” ทากะแจ้งกับเจ้าหน้าที่แล้วกลับมานั่งข้างอากิรอสที่กำลังอ่านข้อมูลจากหน้าต่างภารกิจ

    “นายจำได้ใช่ไหมว่าพวกเราเคยทำภารกิจนี้สมัยเทสต์เบต้า”

    ทากะพยักหน้าตอบ “ขาไปต้องฝ่าฝูงมอนสเตอร์ส่วนขากลับต้องฝ่ากลุ่มโจร เป็นภารกิจระดับธรรมดาทั่วไป”

    “แล้วนายคิดว่าภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจธรรมดาทั่วไป?”

    “สัญชาตญาณของเราบอกว่ามันน่าจะยุ่งยากมากกว่านั้นหลายเท่าเลยล่ะ”

    “ต่อให้เป็นภารกิจน่าเบื่อแค่ไหน นายก็สามารถทำให้มันเป็นภารกิจสุดแสนจะตื่นเต้นเร้าใจได้ทุกครั้งไม่ใช่รึไงกัน” อากิรอสยิ้มอย่างรู้เท่าทัน

    “พูดอย่างกับว่าสหายอากิไม่เคยทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” นักสำรวจผมดำหัวหน้าแคลนมัลดิโตแขวะกลับ นักเวทผมเทายิ้มแล้วก็ยักคิ้วให้สามครั้ง




    ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบรอคอย ‘ความสนุก’ ในแบบฉบับของพวกเขาที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  7. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    สรุปว่าระบบเกมเป็นการใช้ exp อัพสเตตัสกับฝึกฝนโดยไม่เกี่ยวกับ lv มากกว่าสินะ (ถ้าขืนเล่นเกมระบบนี้สงสัยผมคงเป็นพวกเอา exp มาอัพสกิลหมดจนเลเวลไม่ขึ้นแหง />_<)

    ตอนหน้าตะลุยภารกิจ คงได้แข่งขันกันทำกับกิลด์ใหญ่อีกแหง >_<"
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  8. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    GMไปอ่านนิยายมาจากบอร์ดร้างที่ไหนซักแห่งป่าวเนี่ยยยยย

    คิดว่าตอนหน้า GM คงพบกับแฟนพันธ์แท้เพิ่มขึ้นอีก2หรือ4คน (ก็เล่นตั้งชื่อตามนิยายกันโม้ด)

    ปล.อย่าที่ซาลบอก น่าจะมีลิมิตบ้างละมั้ง คงไม่ถึงขนาดเข้าป่าเก็บตัวซุ่มฝึกออกหมัดกับครีปป่า ออกมาgod likeเลยไรงี้
  9. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    มันกลับมาอีกแล้ว ไอ้ดอกไม้เจ็ดสี มณีเจ็ดแสง ที่เคยปรากฏใน Legendary มาก่อน /*โดนเตะ

    กระจ่างแล้วสินะในเรื่องของ skill

    ผมอ่านแล้วคิดไปเองรึเปล่าว่า แคลนเซเลสเทียลกับมัลดิโต้ ยังมีความคุกรุ่้นไม่น้อย และถ้ามีโอกาสคงหาทางจิกคืนซะด้วย
    รับภารกิจแล้วกรุณารีบไปทำนะจ๊ะ ให้กำลังใจปราบบอสหมาป่า ♥
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ถ้าทำแบบซาลคุงว่า สกิลของตัวละครเทพมากแต่สเตตัสไม่โตน่ะสิครับ (ฮา)

    นิยายเรื่องนี้ใช้พื้นฐานมาจาก EXE + เกมส์ RPG สายยุโรปเกมส์หนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แล้วก็ยืมธีมของ FIO ของนักเดินทางแห่งมิดการ์ด (คุยกันเรียบร้อยแล้ว) + SAO อีกนิดหน่อย

    เกมส์ RPG ยุโรปที่ผมเล่นก็ประมาณนี้แหละครับ อยากพัฒนาสเตตัสไหนก็ต้องให้ตัวละครฝึกด้านนั้นเยอะๆ เคยเอานักเวทไปยืนให้มินิดราก้อนรุมตีทั้งวันเพื่อพัฒนาค่า evade ด้วย

    ส่วนชื่อเรื่อง GGO นี่พูดได้คำเดียวเลยว่าบังเอิญครับ จริงอยู่ตอนที่เริ่มเขียนเรื่องนี้อนิเม SAO เริ่มฉายได้ 2 ตอนแล้ว
    ผมมาทราบเอาทีหลังว่าในนิยาย SAO นั้นคิริโตะมีไปเคลียร์เกมส์ GGO ด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกังวลเหมือนกันว่าผมตั้งชื่อนิยายเลียนแบบรึเปล่า

    ด้วยสัตย์ของผู้เขียนก็ขอยืนยันตรงนี้ครับว่าไม่ได้ลอกชื่อนิยายมาแต่อย่างใด

    นั่นมันดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง (/= =)/ =|

    สองแคลนนี้ต้องกัดกันไปอีกนานครับเพราะนั่นคือปมหลักของเรื่อง ฮ่าๆๆ
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 07 – The Phobia




    ยี่สิบเก้าชีวิตที่ร่วมรับภารกิจจากสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็กแซนด์ประกอบด้วยแคลนเซเลสเทียลยี่สิบสี่คนโดยมี ‘กลอเรียส อัลติมัส’ รองหัวหน้าแคลนร่วมทางมาด้วย แคลนมัลดิโต้สองคน ผู้เล่นไม่สังกัดแคลนอีกสามคน ทั้งหมดเดินฝ่าไอแดดร้อนระอุกลางทะเลทรายมุ่งหน้าตามหาโอเอซิสที่มีดอกไม้เจ็ดสี

    “เนี่ยเหรอที่บอกกันว่ายาก? ก็ไม่เห็นยากตรงไหนแค่เดินไกลกับร้อนเท่านั้นเอง”

    ผู้เล่นแคลนเซเลสเทียลพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ตลอดทางมีเพียงมอนสเตอร์ทั่วไปให้ต่อสู้เท่านั้น ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเร้าใจแม้แต่น้อย

    “สมัยเทสต์เบต้าก็มีแค่กลุ่มโจรทะเลทรายขี่อูฐมาดักปล้นกลางทาง ไม่ได้เก่งอะไรแค่มากันเยอะแยะเท่านั้น”

    “ชิลๆว่ะ เสร็จงานนี้จะได้เอาเงินไปซื้อของดีๆใช้ตั้งตัวบ้าง”

    “ใช้หนี้หกร้อยกิลมาก่อนเหอะ”

    เสียงพูดคุยมีเป็นระยะแต่เฉพาะภายในกลุ่มของผู้เล่นที่สังกัดแคลนเซเลสเทียลเท่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่คุยกับใครนอกเหนือจากผู้ที่มีสัญลักษณ์มังกรสามเขาเช่นเดียวกันเท่านั้น คนอื่นที่เหลือจึงกลายเป็นคนแปลกหน้าบนเส้นทางเดียวกัน

    “ไอ้พวกนั้นเมากัญชากันรึไงเนี่ย? ร้อนจะตายยังหัวเราะกันหน้าตายเฉย”

    เจ้าของประโยคเสียดสีและน้ำเสียงเบื่อหน่ายเป็นนักดาบผมสีส้ม ใส่เสื้อและกางเกงสีขาว สวมเสื้อแขนยาวสีแดงอีกตัวหนึ่ง สะพายดาบคาตะนะแบบเดียวกับของทากะไว้ที่เอว ไม่สังกัดแคลนใด

    “มองไปทางไหนก็มีแต่ตัวผู้เห็นแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ นายก็คิดแบบนั้นใช่ปะ?” เขาก็ชวนอากิรอสและทากะซึ่งเดินรั้งท้ายขบวนมาตลอดตั้งแต่ออกจากเมือง

    “เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแคลนโน้นมีนโยบายไม่รับผู้หญิงเข้าสังกัดหรือว่าเป็นพลพรรคชายรักชายกันแน่นี่สิ”

    “ก๊ากๆๆ พูดได้น่าสนใจดีนี่หว่า”

    “ว้าว! นี่นายเมากัญชารึเปล่า ร้อนๆแบบนี้ยังหัวเราะได้อีก” อากิรอสยวนอีกฝ่ายด้วยคำพูดของเขาเอง เฟทยิ่งหัวเราะชอบใจมากขึ้น

    “เราชื่อเฟท เลวานธีน นายคืออากิรอสส่วนพี่ชายตัวสูงๆคนนี้คือทากะสินะ”

    “ดูเหมือนชื่อเสียงของพวกเราคงดังกระฉ่อนไปไกลแล้วสินะ”

    “ชื่อเสียตะหาก” ทากะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆหน้าตามึนๆกลับทำให้เฟทยิ่งหัวเราะชอบใจ

    “ให้ตายสิ พวกนายนี่น่าสนใจจริงๆ เมื่อวานสู้กันกลางเมืองแต่วันนี้กลับมาร่วมภารกิจกันหน้าตาเฉย”

    “พวกเราก็แค่ต้องการเล่นเกมส์ให้สนุกในแบบฉบับของพวกเราเท่านั้นแหละ”

    “ว่าแต่เพื่อนนายอีกสองคนหายไปไหนละ?”

    อากิรอสยักไหล่ “กลับเมืองอารันด์ไปแล้วละ”








    มีเสียงนกหวีดดังยาวถี่ยิบจากด้านหน้า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่แคลนเซเลสเทียลร้องขอการสนับสนุนจากคนนอก นับตั้งแต่ออกเดินทางเป็นต้นมาไม่ว่าเป็นการต่อสู้ในระดับใดพวกเขาก็ไม่เคยถูกเรียกไปร่วมต่อสู้เลยสักครั้ง

    เสียงนกหวีดดังซ้ำ ทุกคนวิ่งมุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับเรียกอาวุธออกมาถือเตรียมไว้ อากิรอสเป็นคนแรกที่วิ่งไปถึงสถานที่ต่อสู้ ภาพการต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงและมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่ทำให้ใครหลายคนต้องกลับหลังหันและวิ่งหนีเรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา

    นี่คือ ‘ความสนุก’ ที่เขารอคอยมาตลอดการเดินทาง

    Hexagon มังกรหกเขา สองหาง เกล็ดสีแดงเพลิง บอสระดับกลาง Lv.62 กำลังอาละวาดยกใหญ่อยู่กลางวงล้อมมนุษย์

    “นักเวทกับนักธนูถอยออกห่างก่อน!”

    กลอเรียส อัลติมัสสั่งการอย่างรวดเร็วฉับไว แต่อากิรอสกลับวิ่งเข้าบอสเหมือนหนุ่มกลัดมันเห็นสาวน้อยวัยแรกแย้มเปลื้องผ้านอนทอดกายอยู่ตรงนั้น

    “เฮ้ย! อย่าเข้าไป”

    เสียงตะโกนห้ามหยุดเขาไม่ได้ นักเวทผมเทาโจมตีด้วยเวทมนต์แห่งไฟจนเกิดระเบิดรุนแรง มังกรหกเขาคำรามลั่นทะเลทรายแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เขาทันที หลายคนเกือบถูกเท้ามหึมาของบอสเหยียบจนต้องหนีตายสุดชีวิต

    “เข้าไปลากไอ้เพื่อนของนายออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ทำคนอื่นเขาปั่นป่วนหมดแล้ว” ลูกแคลนเซเลสเทียลคนหนึ่งตะคอกใส่หน้าทากะ

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตตีหน้าตายตอบกลับเรียบๆ “แล้วทำไมคุณไม่เข้าไปละ เก่งไม่พอหรือกลัวตายกันแน่?”

    ทากะเดินไปคุยกับกลอเรียส ไม่ใส่ใจกับอาการโกรธหน้าดำหน้าแดงของสมาชิกไร้นาม

    “ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะเตรียมตัวและจัดรูปขบวนเสียใหม่ เจอบอสกะทันหันแบบนี้พวกเราสู้โดยไม่เตรียมตัวไม่ได้หรอก”

    “ใครใช้ให้นายออกคำสั่งวะ!?” เสียงไม่พอใจดังจากด้านหลัง ทากะหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เล่นคนนั้น

    “ผมก็แค่ผู้เล่นธรรมดาคนหนึ่งไม่กล้าออกคำสั่งกับพวกคุณหรอก แต่พวกผมก็มาเมื่อพวกคุณต้องการความช่วยเหลือ เมื่อครู่ก็เห็นได้ชัดว่ากองหน้าต้านบอสไว้ไม่ไหวถ้าปล่อยไว้คงมีสักคนหรือหลายคนที่ต้องตายแน่ๆผมถึงได้แนะนำ คิดเอาเองนะครับว่าละวางทิฐิแล้วเตรียมตัวสู้กับบอสหรือว่าจะยืนคุยกับผมต่อ”

    “พอได้แล้ว” กลอเรียสขัดด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “คุณไปสมทบกับพวกกองหน้าจัดขบวนใหม่ไว้รอคำสั่ง ผมจะปรึกษาแผนการต่อสู้กับคุณทากะเอง”

    เขาขัดคำสั่งไม่ได้แต่ก็ไม่วายระเบิดอารมณ์หงุดหงิดด้วยการเตะทรายตรงหน้าทากะก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไป

    เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำราม อากิรอสวิ่งวนเป็นวงกลมรอบตัวบอสอย่างสนุกสนาน มังกรเกล็ดสีเพลิงได้แต่หมุนตัวไปมาหันรีหันขวางจนโดนโจมตีไปอีกหลายครั้ง พอถูกโจมตีมากๆเข้าบอสก็กางปีกสีดำ ทะยานบินไล่กวดมนุษย์ที่บังอาจโจมตีใส่ นักเวทผมเทาเห็นท่าไม่ดีออกตัววิ่งเร็วจี๋ย้อนกลับมาหาคนอื่นทันที

    “เตรียมตัวเข้าปะทะ” กลอเรียส อัลติมัสออกคำสั่งแล้ววิ่งนำกลุ่มแรกสวนทางกับอากิรอสเข้าปะทะกับบอสทันที

    คนหนึ่งรุกคนหนึ่งช่วยรับและสลับโจมตี กลุ่มนักเวทที่รออยู่วงนอกเมื่อร่ายเวทเสร็จแล้วก็ระดมโจมตีบอสด้วยสารพัดเวทมนต์ เสียงระเบิดดังสนั่นฝุ่นควันคลุ้งไปทั่วพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรยักษ์ เมื่อบอสเบนความสนใจไปทางนักเวทก็เปิดโอกาสให้กลุ่มแรกถอนตัวและกลุ่มสองเข้าต่อสู้แทน

    รูปแบบการโจมตีแบบวนตามเข็มนาฬิกาดึงความสนใจของบอสไม่ให้ไล่ตามโจมตีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มที่ถอนตัวจากการต่อสู้จะถอยไปฟื้นฟูพลังแล้วอ้อมเข้ามาจากด้านหลัง โดยมีนักเวทและอาชีพที่สามารถโจมตีระยะไกลสนับสนุนจากนอกวง เป็นรูปแบบการต่อสู้ฉบับพิมพ์นิยมสำหรับปาร์ตี้ใหญ่ในการล่าบอสหรือสู้กับมอนสเตอร์ระดับสูง

    แต่ในการต่อสู้ย่อมเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้ทุกเวลา ผู้เล่นคนหนึ่งที่ต้องโจมตีบอสถัดจากเพื่อนกลับสะดุดขาตัวเองล้มลง จังหวะของทุกคนที่ควรประสานเป็นหนึ่งเดียวสะดุดหยุดชะงักเปิดโอกาสให้บอสโจมตีกลับ กรงเล็บคมกริบสะบัดผู้เล่นคนนั้นลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกับเลือดสาดกระจาย คมเขี้ยวของมังกรหกเขาพุ่งเข้าหาร่างของผู้โชคร้ายทันที








    ซารุวาตาริ ทากะ และกลอเรียส อัลติมัสกระโดดขึ้นพรอมกัน ต่างโจมตีเข้าขมับซ้ายขวาของบอสเต็มแรงจนมันผงะเซหงายหลังล้มคว่ำ ส่วนเฟทกระโดดรับร่างผู้เล่นที่บาดเจ็บได้ทันก่อนกระแทกพื้น

    “ทุกคนถอยก่อน!” กลอเรียสตะโกนสั่งทันทีที่ลงถึงพื้น ทุกคนปฏิบัติตามทันที

    “เกือบไปได้สวยแล้วเชียว คงต้องขอแรงช่วยกันสักหน่อยละครับ”

    “ก็น่าสนุกดีนะครับ” ทากะยกดาบคาตะนะพาดบ่าเข้ามายืนทางขวา

    เฟทเข้ามายืนขนาบทางซ้าย “มากคนก็มากความ สามคนนี่แหละกำลังดี”

    มังกรหกเขาลุกขึ้นยืนแยกเขี้ยวคำรามหวดกรงเล็บตะปบลงมา พื้นทรายระเบิดกระจายแต่ทั้งสามคนหลบไปจากตรงนั้น ทากะและเฟทไปโผล่ตรงขาซ้าย กลอเรียสไปยืนอยู่ตรงขาขวา พร้อมใจฟาดดาบโจมตีข้อเท้า จุดสำคัญที่เป็นฐานรับน้ำหนักมหาศาล ผลคือร่างมหึมาหงายหลังล้มลงคลุกทรายอีกรอบ

    โดยไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ทั้งสามคนกระโดดขึ้นบนร่างมังกรหกเขาที่นอนหงายเปิดช่วงอก จุดอ่อนเพียงตำแหน่งเดียวที่ไร้เกล็ดปกป้อง ทากะปักดาบลงกลางอกเกร็งกำลังวิ่งลากดาบตามมาด้วย เฟทและกลอเรียสก็ลากดาบตัดมาจากอีกสองด้าน เลือดพุ่งทะลักจากแผลรูปดอกจันหกแฉก

    ลูกบอลเพลิงตกลงมาโจมตีซ้ำอีกห้าลูกติดๆกัน เกิดระเบิดเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ เป็นเวทมนต์แสนถนัดของอากิรอส คีฟ

    ทุกคนยืนอึ้งไปกับการโจมตีประสานในระดับสุดยอด พวกเขารู้ฝีมือของกลอเรียสดีอยู่แล้วแต่ก็ไม่นึกว่าทากะและเฟทจะมีฝีมือขนาดนั้น แต่ที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือคนที่ทำตัวบ้าบอไม่เต็มเต็งอย่างอากิรอสก็มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าสามคนนั้นเลย

    เสียงมังกรคำรามดังลั่นในกองเพลิงบอกว่าบอสยังไม่ตาย

    “แย้ตัวนี้ตายยากจริงๆแฮะ” อากิรอสเข้ามาร่วมแถวยืนหน้ากระดานเรียงสี่

    “ถ้าตัดหางมันมาย่างกินเดี๋ยวมันก็งอกใหม่ได้น่ะสิ”

    ทากะตีหน้าตายยิงมุขตามน้ำ เฟทหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนกลอเรียสไม่มีปฏิกิริยาใดนอกจากจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของบอส

    มังกรหกเขากางปีกสีดำออกสร้างสายลมที่รุนแรงพัดพาเปลวไฟแตกกระจายไปทุกทิศทาง มันคำรามและทะยานบินขึ้นสูง ทุกคนกลัวว่าบอสจะใช้ท่าไม้ตายต่างวิ่งหนีออกห่าง ยกเว้นสี่คนแรกที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับจากจุดเดิมรอคอยการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ

    มังกรหกเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจ มันบินขึ้นสูงแล้วก็วาดวงโค้งหายไปอย่างรวดเร็ว

    “ว้า! อดกินหางแย้ย่างเลย” อากิรอสเอียงคอทำหน้าเศร้า

    “เฮ่ยๆ บอสมีหนีการต่อสู้ด้วยเหรอ?” เฟทยังงงไม่หายเพราะตั้งใจจะสู้กับบอสจนถึงที่สุด

    “เป็นเรื่องปกติของบอสระดับสูงครับ” กลอเรียสเปิดหน้าต่างให้เขาดู มีข้อความขึ้นว่า ‘Battle End – Boss escaped’ เพื่อยืนยันว่าบอสหนีไปแล้วจริงๆ








    ที่พักชั่วคราวถูกสร้างขึ้นง่ายๆด้วยหอกและผ้าใบ อย่างน้อยๆก็ใช้กันแดดได้ดี

    เฟทโยนคริสตัลสีฟ้าให้ทากะและอากิรอสคนละก้อน “คริสตัลช่วยฟื้นฟูพลังเวทกับฟื้นฟูพลังชีวิต กลอเรียสฝากมาให้”

    “ว้าว! ของดีนะเนี่ย แล้วทำไมเพิ่งเอามาให้ตอนนี้ ไม่ให้ซะตั้งแต่ตอนเริ่มเดินทางกันน๊า”

    “อยากรู้ก็ไปเดินไปถามเขาสิ” ทากะพูดแทรกทั้งๆที่นอนหลับตาอยู่

    “เราผิดเหรอที่อยากรู้แต่ไม่อยากถามอะ”

    “ไม่ผิดหรอก สหายไม่เคยทำผิดอะไรทั้งนั้น”

    “ฮ่าๆๆ พวกนายนี่น๊า ตอนสู้ก็เท่ดีหรอกแต่ตอนไม่มีอะไรทำก็กัดกันอย่างกับลูกหมาแน่ะ” เฟทหัวเราะเสียงดังจนคนอื่นหันมอง

    “จะเดินทางอีกทีเมื่อไร?” อากิรอสถามเมื่อเฟททิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

    “ประมาณชั่วโมงนึง” อากิรอสยักไหล่แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆทากะ นักดาบผมสีส้มไม่มีเรื่องจะชวนคุยก็ยักไหล่แล้วนั่งสัปหงกไปอีกคน

    การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อถึงเวลานัดหมาย ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วเพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าบอสมังกรหกหัวจะย้อนกลับมาโจมตีซ้ำหรือไม่ หรือถ้าซวยซ้ำซวยซ้อนก็อาจพบบอสตัวใหม่กลางทางเข้าอีก ไม่มีใครคุยกับใคร ได้ยินเพียงเสียงรองเท้าเสียดสีกับทรายดังสวบสาบครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น

    “กลิ่นดอกไม้นี่นา มีใครได้กลิ่นรึเปล่า?” ผู้เล่นคนหนึ่งพูดขึ้น หลายคนหยุดฝีเท้าและส่ายจมูกดมในอากาศอยู่พักใหญ่

    “ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย”

    สายลมลูกหนึ่งหอบไอเย็นเข้าปะทะพร้อมกับกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ ทุกคนหันมองหน้ากันและวิ่งฝ่าสายลมไปทันที

    “แคลนนี้คึกคักกันดีจังเลยนะครับ” อากิรอสจงใจพูดให้กลอเรียสที่เดินนำอยู่ด้านหน้าได้ยิน

    รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลผ่อนฝีเท้าลงมาเดินคู่กับอากิรอสในที่สุด “ก็ดีแล้วนี่ครับ เห็นคนอื่นมีความสุขผมก็มีความสุขเหมือนกัน ว่าแต่ว่าคุณไม่มีความสุขหรือครับเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข?”

    เจอคำถามประชดประชันตอกกลับซึ่งหน้าแต่อากิรอสยังคงยิ้มได้ “อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ครับ”

    “คุณอากิรอสพูดกำกวมจังนะครับ”

    “พูดตรงเกินไปแบบคุณกลอเรียสก็ไม่ดีเหมือนกันครับ”

    เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากด้านหลังพร้อมกับมือที่ตบลงบ่าของคู่สนทนาพร้อมกัน “เออนี่ รู้ป่าวว่าแคลนคุณน่ะโคตรแห้งเหี่ยว หาผู้หญิงสักหกเจ็ดคนเข้าแคลนบ้างก็ได้นะ”

    “สมาชิกผู้หญิงก็มีนะครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของหัวหน้าน่ะ”

    “แล้วนายไม่มีเพื่อนผู้หญิงบ้างเลยเหรอ?”

    รอยยิ้มที่อ่านเจตนาไม่ออกปรากฏขึ้น “ไม่มีหรอกครับ”

    “มองเห็นโอเอซิสแล้ว!”

    หลายคนจับกลุ่มยืนดูโอเอซิสขนาดใหญ่จนเป็นทะเลสาบย่อมๆ ต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มอยู่รอบนอก ลึกเข้าไปด้านในเป็นสวนดอกไม้ที่ธรรมชาติประดับประดาจัดแต่งขึ้น พันธุ์ไม้หลากสีส่งกลิ่นหอมลอยตามลม แสงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำเป็นประกายสีทองเจิดจ้าระยิบระยับ สันทรายโผล่พ้นน้ำเป็นเกาะแก่งนับไม่ถ้วน ที่ใจกลางมีดอกไม้สายรุ้งขนาดใหญ่ชูช่อออก รายล้อมด้วยดอกไม้ขนาดต่างๆราวกับเป็นผู้พิทักษ์ของราชินีแห่งบุปผชาติ

    ความเงียบเท่านั้นที่สามารถบรรยายความงดงามของสถานที่แห่งนี้ได้

    “คงจะไม่ว่าอะไรถ้าพวกผมขอตัวไปสำรวจรอบๆนี้หน่อย”

    อากิรอสบอกกับกลอเรียสขณะที่เขาควบคุมการถ่ายโอนพลังเวทมนต์จากดอกไม้เจ็ดสีลงในคริสตัล แม้รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลจะสงสัยแต่ก็ไม่มีเหตุผลใดจะปฏิเสธ

    “เชิญตามสบายครับ”

    หลายคนแปลกใจที่ทากะและอากิรอสออกไปอีกทั้งที่เพิ่งจะมาถึง แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะถามไถ่เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งสองคนประหลาดขนาดไหน








    ทากะเดินนำทางไปเงียบๆ อากิรอสก็เดินตามไปเงียบๆ ราวๆสิบนาทีพวกเขาก็มาถึงหน้าผาเล็กๆ ด้านล่างเป็นแอ่งลึกมีกระบองเพชรยืนต้นแห้งตายเต็มไปหมด

    “ท่าทางจะเสียเวลาน่าดูแฮะ ไม่น่าเล่นแพ้สองคนนั่นเลย” นักเวทผมเทาถอนหายใจเหนื่อยๆ

    ทากะตบบ่าสหายแล้วผลักให้เดิน ทั้งสองคนแยกย้ายตามหา ‘บางอย่าง’ ซึ่งเป็นจุดประสงค์แท้จริงของการเดินทางมา

    แต่หาอยู่นานก็ไม่พบสิ่งที่พวกเขาต้องการ

    “กุห์ฟานมันให้พิกัดถูกต้องรึเปล่าเนี่ย? ไม่สิกุห์ฟานมันไม่น่าผิดหรอก นายพามาถูกทางรึเปล่าเนี่ย”

    หัวหน้าแคลนมัลดิโต้เปิดแผนที่ขึ้นเทียบพิกัด “ก็ไม่ผิดนี่นา”

    “ไหนนายเอาพิกัดมาให้เราดูหน่อยดิ๊” ทากะยื่นกระดาษและแผนที่ให้ตามที่เพื่อนต้องการ นักเวทผมเทารับไปดูเปิดแผนที่เทียบแล้วก็หัวเราะเสียงดัง

    “ที่กุห์ฟานบอกคือ X 248 Y -557 แต่ตอนนี้เราอยู่ที่ X -557 Y 248 ว่ะ”

    “อ้าว! เป็นงั้นไป” ทากะร้องขึ้นมาแล้วก็ตีหน้าตายเหมือนเดิม

    “X คือแนวนอน Y คือแนวตั้งครับคุณทากะ สรุปคือเรามาทางตะวันตกเฉียงเหนือแทนที่จะเป็นตะวันออกเฉียงใต้ว่ะครับ”

    ทากะทุบกำปั้นขวาเข้ากับฝ่ามือซ้าย “ว้าว! นี่เราจำสลับกันมาตลอดเลยเหรอเนี่ย”

    “หลงทิศแบบนี้แล้วคุณทากะยังกล้าเล่นอาชีพนักสำรวจอีกนะครับ”

    “ที่เราเป็นนักสำรวจก็เพราะตอนหลงทางเราจะได้หาอะไรทำดีกว่าหลงทางเปล่าๆไงละ”

    ทั้งสองเดินทางกลับตามเส้นทางเดิม บางช่วงยังมีรอยเท้าตอนขามาให้เห็นอยู่บ้าง แดดเริ่มอ่อนแรงแต่อากาศก็ยังร้อนอยู่ดี จู่ๆมีเงาดำขนาดใหญ่บินผ่านพวกเขาไป ทั้งทากะและอากิรอสต่างแหงนหน้าตั้งคอมองท้องฟ้าพร้อมกันคิดว่าอาจจะเป็นบอสมังกรหกเขาบินผ่านมาอีกรอบ

    “ปีกสีรุ้ง...เจ้าตัวนี้น่าจะเป็นม็อททรา” หัวหน้าแคลนมัลดิโต้มองตามมอนสเตอร์ยักษ์ที่บินข้ามหัวไป เพียงแต่เจ้าตัวนี้น่าจะมีขนาดไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร ใหญ่กว่าบอสมังกรหกเขาที่สู้กันตอนเที่ยงเสียอีก

    “ม็อททรา?”

    “สหายอากิคงไม่เคยดูซีรีย์หนังก็อตซิลล่าช่วงยุคปีเก้าศูนย์สินะ”

    นักเวทผมเทาส่ายหน้าปฏิเสธ

    “ว่าแต่กลางทะเลทรายแบบนี้จะมีดอกไม้หรือน้ำหวานที่ไหนกัน?” ทากะพึมพำกับตัวเองแล้วก็ชะงัก เพิ่งนึกออกว่าดอกไม้ที่ว่านั่นอยู่ตรงไหน และเจ้าม็อททราก็กำลังบินไปทางนั้นด้วย

    “ฉิบหายแล้ว!”








    ทั้งทากะและอากิรอสออกตัววิ่งไล่กวดผีเสื้อยักษ์ไปติดๆ พยายามติดต่อทุกคนในกลุ่มให้เตรียมตัวรับมือสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น

    “โวะ! สงสัยอยู่นอกเขตสัญญาณสามจีแหงๆ” อากิรอสตะโกนอย่างหงุดหงิด ในตอนนี้เขาไม่สามารถติดต่อใครได้เลย

    “นี่อาจจะเป็นอีเวนต์ของภารกิจน่ะ” ทากะให้คำตอบเมื่อเปิดหน้าต่างภารกิจอ่านข้อมูล

    “ดอกไม้เจ็ดสีเป็นดอกไม้มนตราที่จะเบ่งบานทุกๆเดือน เป็นอาหารสำหรับของมอนสเตอร์ชั้นสูง กลิ่นของมันลอยไปไกลถึงป่าลึกในหุบเขาปลุกม็อททร่าตื่นและบินมากลางทะเลทรายแห่งนี้ ทันทีที่เราเห็นม็อททราการสื่อสารทุกช่องทางจะถูกปิดกั้นทันที ขนาดเรากับนายวิ่งห่างกันไม่ถึงเมตรยังส่งข้อความส่วนตัวให้กันไม่ได้เลย”

    อากิรอสเปิดหน้าต่างขึ้นมาอ่านบ้าง “ตอนรับภารกิจไม่เห็นมีข้อมูลแบบนี้เลยนี่”

    “เงื่อนไขคงเป็น ‘เวลา’ ทันทีที่เริ่มทำอะไรกับดอกไม้ถึงมีข้อมูลเพิ่มเติมให้ เพียงแต่ระบบของเกมส์นี้มันไม่เคยแจ้งเตือนอะไรสักอย่าง ต้องเปิดอ่านเองเท่านั้นนี่สิ”

    ทั้งสองคนเร่งฝีเท้าตามหลังผีเสื้อยักษ์ที่บินไกลออกไปเรื่อยๆ ภาวนาในใจขอให้กลับไปทันก่อนที่ทุกอย่างจะพังพินาศป่นปี้

    นักสำรวจหัวหน้าแคลนมัลดิโตและนักเวทผมเทาต้องประหลาดใจเมื่อกลับมาถึงโอเอซิส ทุกอย่างยังเป็นปรกติ ผู้เล่นส่วนใหญ่นอนเอกเขนกพักผ่อนใต้ร่มเงาผ้าใบ มีบ้างที่ลงไปไล่ฆ่าจระเข้ที่เป็นมอนสเตอร์ประจำถิ่น แต่ไม่มีม็อททราที่น่าจะบินมาถึงที่นี่ก่อนพวกเขา

    อากิรอสรีบวิ่งไปหากลอเรียสทันที “อีกนานไหมถึงจะเสร็จ?”

    รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลรู้สึกถึงความผิดปกติทันทีแต่ยังเย็นใจดึงอากิรอสออกมากระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

    ทากะเปิดหน้าต่างให้เขาดูข้อมูล ร่องรอยแห่งความหวั่นวิตกปรากฏบนใบหน้าของผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุด

    “เหลือเวลาอีกประมาณสี่สิบห้านาที ถ้าระหว่างนั้นม็อททร่าบุกมาดูดกลืนพลังเวทจากดอกไม้ได้ก่อนก็ถือว่าภารกิจล้มเหลวทันที”

    “เรียกทุกคนมาแจ้งข่าวก่อนเถอะ” ทากะเสนอความคิด

    รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลส่งสัญญาณให้ทุกคนมารวมกลุ่มทันที เขาแจ้งข้อมูลให้รู้และจัดวางหน้าที่และแบ่งทีมเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ทุกคนมีสีหน้าจริงจังและอยู่ในสภาวะเคร่งเครียด การต่อสู้ครั้งนี้เดิมพันด้วยความสำเร็จหรือความล้มเหลวของภารกิจ ถ้าเป็นอย่างหลังก็หมายความว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปสูญเปล่าทันที

    ความเงียบ ความอึดอัด แรงกดดันเข้าปกคลุมทั้งโอเอซิสในพริบตา เพียงเสียงทรายหล่นไหลก็ทำให้หลายคนสะดุ้งเฮือกด้วยความระแวง

    “อีกยี่สิบนาที”

    ผู้เล่นที่มีหน้าที่ดูแลคริสตัลตะโกนบอกความคืบหน้า บางคนถอนหายใจผ่อนคลายอารมณ์เมื่อเหลือแค่ยี่สิบนาที ในขณะที่อีกบางคนยิ่งเครียดเมื่อต้องทนอีกถึงยี่สิบนาที

    “ทิศตะวันตก!” ผู้เล่นคนหนึ่งตะโกนขึ้น ความสนใจของทุกคนพุ่งไปยังทิศทางที่เขาบอก

    ผีเสื้อยักษ์ลำตัวสีทองอร่าม ดวงตาสีฟ้าและปีกสีรุ้งกำลังบินมาทางนี้โดยมีดวงอาทิตย์สีแสดกลมโตเป็นฉากหลัง

    “เตรียมพร้อมต่อสู้!”

    สิ้นเสียงของกลอเรียส ผู้เล่นทุกคนต่างโห่ร้องปลุกใจ เพียงอึดใจผีเสื้อยักษ์บินโฉบมาถึงกลางโอเอซิสและเริ่มบินวนรอบดอกไม้เจ็ดสีทันที ระหว่างผู้เล่นกับมอนสเตอร์ต่างระแวดระวังไม่ผลีผลามบุ่มบ่ามลงมือ ม็อททรากระพือปีกช้าๆลดตัวลงต่ำเข้าใกล้ช่อดอกไม้ สรรพอาวุธระยะไกลและเวทมนต์หลายแขนงประเคนเข้าหาผีเสื้อยักษ์สีทองทันที

    ม็อททราถอยออกห่าง ปีกสีรุ้งเรืองแสงขึ้นจนสว่างจ้า

    “ระวัง!”

    ทากะตะโกนเตือนแต่ก็ช้ากว่าลำแสงสายฟ้าจากปลายหนวดผีเสื้อยักษ์ ทุกสิ่งที่สัมผัสกับสายฟ้าสีทองเกิดระเบิดลุกไหม้ เปลวไฟโหมรุนแรง ฝุ่นทรายคลุ้งไปทั่ว พื้นดินสั่นสะเทือน ใครก็ตามที่โจมตีใส่ผีเสื้อยักษ์สุดท้ายต้องเป็นฝ่ายวิ่งหนีลำแสงสายฟ้าหัวซุกหัวซุน กองกำลังที่จัดวางไว้แตกกระจายในพริบตา

    ผีเสื้อร้ายกว่ามังกรเสียอีก

    ม็อททราโผบินขึ้นสูงเข้าหาดอกไม้เจ็ดสีอีกครั้ง ทว่าไม่มีใครยอมให้ภารกิจล้มเหลวต่างพร้อมใจโจมตีมอนสเตอร์เจ้าของปีกสีรุ้งแบบลืมตาย ลำแสงสายฟ้ากราดยิงไปทั่วสารทิศอีกครั้ง เสียงระเบิดดังสนั่นและฝุ่นควันคลุ้งไปทั่วทุกตารางนิ้ว

    “แบบนี้แย่แน่ๆ”

    กลอเรียส อัลติมัสหมอบหลบอยู่ที่เดียวกันกับข้างๆกับซารุวาตาริ ทากะโดยไม่ได้นัดหมาย

    “ก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว แต่อย่างน้อยผมสังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง สองครั้งแล้วที่บอสไม่โจมตีเข้าไปใกล้ดอกไม้ไม่อย่างนั้นหมอนั่นก็ตายไปแล้ว” เขาชี้ไปที่ผู้เล่นที่ถือคริสตัลที่ตอนนี้หมอบตัวคู้ตัวสั่นอยู่ในโพรงรากของดอกไม้เจ็ดสี

    “ถ้าเราใช้จุดนี้ทำให้ได้เปรียบในการต่อสู้ได้ก็ยังมีโอกาส ผมจะถ่วงเวลาให้เอง คุณรีบชุบชีวิตคนอื่นแล้วตั้งหลักใหม่เถอะ”

    ทากะลุกขึ้นวิ่งไปทางม็อททราอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ลืมลากคอเสื้อของอากิรอสที่นอนหมอบอยู่กลางทางให้ไปด้วยกัน

    “ไม่! ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ”

    นักเวทผมเทาแหกปากโวยวายลั่นแถมดิ้นรนขัดขืนสุดกำลังแต่ก็สู้แรงแขนของทากะไม่ได้

    “สหายอากิเป็นอะไรไป? กลัวอะไรเหรอ?”

    “อย่ามาตีหน้าเซ่อนะเว้ย นายก็รู้ว่าเรากลัวผีเสื้อนี่หว่า ปล่อยๆๆๆๆเดี๋ยวนี้นะ!”

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตแสยะยิ้ม “ก็ตอนเห็นมันครั้งแรกเราไม่เห็นนายมีอาการอะไรนึกว่านายหายกลัวผีเสื้อแล้วซะอีก”

    “ตอนนั้นเราห่วงเรื่องภารกิจมากกว่าเว้ยเลยลืมไปว่ามันเป็นผีเสื้อ!”

    “ว้าว! เป็นแบบนี้นี่เอง” ทากะย้อนเขาด้วยประโยคประจำตัวของเขาเอง

    ลำแสงสายฟ้าไล่หลังพวกเขามาแต่ทากะก็เร็วพอที่จะหักข้อเท้าเปลี่ยนทิศทางวิ่งหลบได้ เสียงแหกปากของอากิรอสยิ่งดังเป็นเท่าทวีเมื่อม็อททราบินไล่หลังมา เปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่ถูกผีเสื้อยักษ์ไล่ตามโจมตีได้ตั้งหลักและจัดกำลังรบใหม่

    “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้! ปล่อยยยยยยยย!”

    “ถ้านายไม่สู้ทุกคนก็ตายแล้วนายจะถูกผีเสื้อยักษ์คาบไปเป็นอาหารให้ลูกๆของมันนะเว้ย”

    อากิรอสหวีดร้องไม่กลัวคอแตกหูหลับตายิงลูกบอลไฟมั่วซั่ว มีลูกหนึ่งโดนเข้ากลางปีกของม็อททรากระตุ้นให้มันปล่อยพลังสายฟ้าโจมตีทั้งสองคนทันที

    “ป้องกันเว้ยอากิ! ถ้าไม่ป้องกันก็ตายห่ากันตรงนี้นี่แหละ”

    คำพูดของทากะกระตุ้นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของอากิรอส เขาสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นป้องกันลำแสงสายฟ้า แรงระเบิดจากการปะทะผลักทั้งสองกระเด็นไปไกล กำแพงน้ำแข็งปกป้องพวกเขาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

    “เราจะปล่อยนายละนะ จำไว้ว่าหยุดวิ่งเมื่อไรโดนมันหิ้วไปแน่ๆ ไปสิเว้ย”

    ทากะยกขาถีบอากิรอสหน้าคะมำ นักเวทผมเทาแหกปากวิ่งหน้าตั้งหนีผีเสื้อยักษ์ที่บินไล่หลังมาติดๆ หัวหน้าแคลนมัลดิโตหยิบโพชั่นมาดื่มฟื้นฟูพลังชีวิตแล้วรีบวิ่งกลับไปที่โอเอซิสทันที ตอนนี้ทุกคนกำลังเร่งฟื้นฟูพลังเพื่อรับมือกับม็อททราอีกครั้ง

    เวลาในการถ่ายโอนพลังเวทจากดอกไม้เจ็ดสีเหลืออีกสิบสองนาที

    จู่ๆม็อททราบินเลี้ยวกลับมาทางดอกไม้เจ็ดสี ดูเหมือนมันรู้ตัวแล้วว่าสิ่งสำคัญของมันกำลังจะถูกช่วงชิงจึงเลิกไล่ล่าศัตรูเพียงคนเดียว ผีเสื้อยักษ์บินวนรอบดอกไม้เจ็ดสีอย่างร้อนรน ส่งเสียงแหลมเล็กข่มขู่ให้มนุษย์ถอนตัวไป แต่สิ่งที่ตอบกลับก็คือลูกธนูจำนวนมากและสารพัดเวทมนต์ ม็อททรากระพือปีกอย่างรวดเร็วโจมตีกลับด้วยลมแรงระดับพายุทอร์นาโด

    เป็นไปตามที่ทากะคาดไว้ไม่ผิด ม็อททราไม่ใช้พลังสายฟ้าเพราะจะทำให้ดอกไม้ได้รับความเสียหายด้วย เมื่อการโจมตีด้วยลมพายุหยุดลงฝ่ายผู้เล่นก็โจมตีกลับอีกครั้ง ม็อททราไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากบินวนไปรอบๆและโจมตีด้วยลมแรงเท่านั้น

    และเวลาได้นับถอยหลังมาถึงหนึ่งนาทีสุดท้าย

    “ป้องกันไว้ให้ได้ ชัยชนะของเราอยู่อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้น” กลอเรียส อัลติมัส ตะโกนปลุกใจสู้ ทุกคนโห่ร้องตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน

    ม็อททราสร้างสายลมที่รุนแรงยิ่งขึ้น ฝุ่นทรายคลุ้งไปทั่วเหมือนพายุทะเลทรายพัดผ่านมาจริงๆ ทุกคนต่างหาที่กำบังและยึดเกาะไม่ให้ปลิวกระเด็นไป

    สายลมค่อยๆสงบและจางหายไปพร้อมกับแสงสว่างอบอุ่น ดอกไม้เจ็ดสีเปล่งแสงเรืองรองเป็นวาระสุดท้ายก่อนจะแห้งเหี่ยวโรยราปลิดกลีบใบร่วงลงสู่ผืนทรายเบื้องล่าง ม็อททราส่งเสียงแหลมต่ำบินวนรอบดอกไม้ยักษ์ที่เหลือเพียงลำต้นและบินจากไปยังทิศตะวันตกไล่ตามดวงอาทิตย์ที่ปลายขอบฟ้า
  12. obagigirl

    obagigirl Member

    EXP:
    61
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ขอบคุณมากค่ะ
  13. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้สนุกดีนะครับ มีกลัวผีเสื้อด้วย ฮา

    ตัวละครใหม่ พาลให้นึกถึงสโตเกอร์ที่ตามมาทุกเซิฟยังไงก็ไม่รู้แฮะ

    ในเกมคงไม่มีเอฟเฟ็กฝุ่นเข้าตาใช่ไหมครับ หรือมีแต่ไม่ใด้บอก

    พอถึงกลางคืน ความสนุกที่พวกเราคาดหวังคงมาถึงในไม่ช้า(lol)
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  14. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ขอบคุณเช่นกันครับ

    อากิรอสตัวจริงก็กลัวผีเสื้อแบบนี้แหละครับ ถ้าเจอตัวเป้งๆแบบในเกมส์ที่โลกจริงละก็คงช็อกตาตั้งน้ำลายฟูมปากครับ
  15. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 08 – Practice



    ทุกคนโห่ร้องชูมือขึ้นฟ้าอย่างยินดีที่สามารถปกป้องดอกไม้เจ็ดสีไว้ได้ เหลือแค่นำคริสตัลที่ส่องประกายสีรุ้งเปี่ยมไปด้วยพลังงานมหาศาลกลับไปส่งที่สมาคมพ่อค้าแห่งเมืองแบล็กแซนด์เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ

    ทากะเดินไปลากอากิรอสที่บัดนี้สลบเหมือดกลับมาที่โอเอซิสแล้วจับโยนลงน้ำไปดื้อๆ ผ่านไปอึดใจนักเวทผมเทาฟื้นขึ้นมาโวยวายเพ้อเจ้อเรื่องผีเสื้อยักษ์โจมตีโลกจนโดนทากะจับโยนลงน้ำไปอีกรอบ ต่างคนต่างหัวเราะขบขันไปกับอาการประสาทเสียของเขา โดยเฉพาะเฟทที่หัวเราะเสียงดังที่สุด

    “รีบๆขึ้นมาจะได้กลับกันสักที คนอื่นเขารอนายคนเดียวเลยนะ”

    อากิรอสโวยวายใส่ทากะไม่หยุดจนถูกจับโยนลงน้ำเป็นครั้งที่สาม

    “ไม่กลับก็ไม่ต้องกลับ อยากอยู่ตรงนี้ให้มันบินกลับมาคาบไปแทะหัวเล่นก็ตามใจ”

    นักเวทแห่งแคลนมัลดิโตผู้หวาดกลัวผีเสื้อสุดใจขาดดิ้นตะกายขึ้นริมตลิ่งในพริบตา เฟทต้องเขามาโอบไหล่เดินขนาบไปด้วยกัน

    กว่าจะกลับถึงเมืองแบล็กแซนด์ก็ดึกดื่นค่ำมืด ทุกคนพูดถึงการผจญภัยและการต่อสู้ในวันนี้อย่างตื่นเต้น ถุงผ้าบรรจุเหรียญหนักๆเป็นรางวัลที่ทำให้หลายคนหายเหนื่อยและยิ้มออก

    “คืนนี้พวกนายสองคนว่างปะ?” เฟทกอดคอถามทากะและอากิรอสด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ทำไม?” อากิรอสถามกลับเสียงทื่อๆเพราะยังไม่หายอารมณ์บูด

    “จะชวนไปล่าผีเสื้อ” เฟทหัวเราะแล้วหลบเท้าที่เตะใส่

    “ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า จะชวนไปหาอะไรทำสนุกๆกว่านั้นเยอะ”

    นักเวทแคลนมัลดิโตมองค้อนๆ “ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”

    เฟทเข้าไปกอดคออากิรอสกระซิบที่ข้างหู “ได้ข่าวว่ามีมือใหม่เป็นผู้หญิงหญิงเจ็ดแปดคนมาปักหลักตั้งแคมป์อยู่ด้านหลังปราสาท น่ารักๆทั้งนั้นเลยนะ”

    อากิรอสเปลี่ยนสีหน้าทันที “จริงเรอะ?”

    “ก็บอกว่าได้ข่าวมา แต่ถ้าไม่ไปดูก็ไม่รู้หรอก” เฟททำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย “คิดดูสิ สาวๆยังเล่นไม่คล่อง จับดาบไม่มั่น ยืนยังไม่ตรงต้องการคนช่วยสอนน่ะ”

    “เริ่มน่าสนใจละ” อากิรอสก็เริ่มออกลายกะลิ้มกะเหลี่ยไปด้วยอีกคน

    “โทษทีที่ขัดความฝันนะสหายอากิ นายลืมไปรึเปล่าว่าคืนนี้มีนัดเอเซกับกุห์ฟานไว้ที่เมืองอารันด์ และนายก็เป็นคนนัดหมายเองด้วย” ทากะตบมือลงบนบ่าของอากิรอสเสียงดังป้าป แรงจนเจ้าตัวเข่าทรุด

    “ว้าว! แย่เลย” เฟทลองเลียนแบบคำพูดของอากิรอสแล้วก็ขำอยู่คนเดียว

    อากิรอสตบสองมือลงบนบ่าของทากะ สายตาเป็นประกายแรงกล้า “งั้นแวะไปดูแป๊ปเดียวละกัน”

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตส่ายหน้าด้วยความระอาเดินตามหลังสองคนไปห่างๆ










    กลางดึก เมืองอารันด์ ประตูเมืองทิศใต้

    บรรยากาศวังเวงต่างกับตอนกลางวันที่มีแต่ความโกลาหลพลุกพล่านของผู้เล่นมากมาย อากาศเย็นสบายจนยามเฝ้าประตูเมืองยังนั่งหลับคาเก้าอี้ ขนาดอากิรอสและทากะจะเดินผ่านไปในระยะประชิดแต่ทหารยามก็ไม่รู้สึกตัว ทั้งสองเดินผ่านถนนที่เงียบเชียบไปลานน้ำพุกลางเมืองที่มีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงบนเสา

    “ไหนพวกพี่บอกว่าจะมาถึงก่อนเที่ยงคืนไง นี่ปาเข้าไปตีสามแล้วนะ” นักล่าสมบัติผมแดงยืนนาฬิกาให้ทากะและอากิรอสดู

    “ถ้านายต้องการเหตุผลก็ลองถามจากปากรุ่นพี่ของนายก็แล้วกัน” ทากะผลักอากิรอสออกรับหน้า

    “แหะๆ แบบว่า...ไปเดินตามหาสาวๆนานไปหน่อยอะ โทษทีละกันนะ”

    กุห์ฟาน รีส ริยาส ทำหน้าเบื่อๆ “ขอฟังชัดๆอีกทีดิ๊ว่าพี่ไปเดินหาอะไรอยู่ถึงได้มาช้า”

    นักเวทผมเทาผมเทาแกล้งหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนแล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นหัวเราะแห้งๆเมื่อกุห์ฟานจ้องมาไม่ยอมหยุด ตอบอ้อมแอ้มๆ “ไปเดินหาสาวๆมา แหะๆ”

    “ก็แค่นั้นแหละ ไปกันได้แล้ว”

    “อ้าว! ไม่ได้โกรธหรอกเหรอ?” อากิรอสงงเป็นไก่ตาแตก

    “นิสัยพี่เป็นยังไงทำไมผมจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าถ้าจะมากันช้าแบบนี้ก็ช่วยติดต่อมาสักหน่อยเพราะทางนี้ก็มีหลายเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน ผมจะได้ไปทำอย่างอื่นไม่ต้องเสียเวลาคอยตั้งสามชั่วโมงฟรีๆแบบนี้” กุห์ฟานเทศนายืดยาว

    “ฟังผ่านๆก็ดูดีมีเหตุผล แต่พอคิดตามยังไงๆก็โกรธอยู่ดีนี่หว่า” ทากะอาศัยจังหวะตามน้ำยิงมุขเนียนๆ

    “แหะๆ ขอโทษจ้า คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้ว” อากิรอสพนมมือไหว้แต่สีหน้าทะเล้นทะลึ่งไม่สำนึกผิดแม้แต่นิด กุห์ฟานส่ายหน้าดิกแล้วเดินนำทางรุ่นพี่ทั้งสองไปที่ร้านของไนซ์

    “กลับมาแล้ว” น้องเล็กสุดของแคลนมัลดิโตบอกเสียงเหนื่อยๆเมื่อเปิดประตูร้าน

    “ยินดีต้อนรับจ้า”

    เมดสาวเจ้าของร้านส่งเสียงต้อนรับแม้กำลังง่วนกับการจัดของขึ้นเรียงบนชั้นวาง อากิรอสยืนตะลึงตาค้างขวางประตูเพราะความน่ารักของเธอ ทากะที่ตามหลังมายืนรอจนหมดความอดทนก็ถีบเขาล้มคว่ำหน้าคะมำแล้วเดินข้ามไปหน้าตาเฉย

    “เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ?”

    ไนซ์รีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเขา นักเวทผมเทาแกล้งนอนบิดไปมาด้วยความเจ็บปวดเอามือกุมท้องปากก็ร้องโอดโอยสมจริงอย่างที่สุด พอมีมือมาแตะที่ท้องนักเวทผมเทาก็รีบรวบมือไว้ทันที

    “ตรงนั้นเจ็บไม่เท่าไร แต่ตรงนี้เจ็บกว่าครับ” อากิรอสเลื่อนมือขึ้นไปที่อก

    “อ๋อเหรอ?” เสียงห้าวทุ้มทำให้นักเวทจอมกะล่อนสะดุ้งโหยง พอลืมตาขึ้นมาก็พบเอเซและรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

    “เจ็บมากไหม? เดี๋ยวจะช่วยให้หายเจ็บเอง”

    “แหะๆ หายเจ็บแล้ว ไม่เป็นแล้ว” อากิรอสตั้งท่าจะลุกแต่สู้แรงกดจากมือของเอเซไม่ได้

    นักดาบมนตราแสยะยิ้ม ดึงมีดที่เหน็บอยู่ข้างตัวขึ้นมาควง “ไม่เป็นไรๆ ยังไม่ต้องรีบลุก ล้มแบบนี้อาจจะหัวกระแทกมีเลือดคั่งในสมอง เราจะช่วยเอาออกให้เอง”

    อากิรอสกระโดดหนีสุดแรงเกิดเพราะมีดปักลงบนพื้นเฉียดหูของเขาไปไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น เสียงหัวเราะสดใสของหญิงสาวอีกคนทำให้เขาหันขวับไปหาเจ้าของเสียงทันที พอตั้งท่าจะลุกขึ้นก็ถูกเอเซเหยียบหลังกดไว้กับพื้น

    “ขอแนะนำเพื่อนๆอย่างเป็นทางการนะ ตรงโน้นคือซารุวาตาริ ทากะ หัวหน้าแคลนมัลดิโต คนนั้นคือกุห์ฟาน รีส ริยาส หน่วยข้อมูลและคลังสมองของแคลน สาวสวยคนนี้คือไนซ์เจ้าของร้านนี้ซึ่งเป็นเพื่อนกับกุห์ฟาน และคนที่ผมเหยียบอยู่ตรงนี้คือเพื่อนสุดที่รักของผม อากิรอส คีฟ เรียกสั้นๆว่าอากิก็ได้”

    “ก่อนอื่นช่วยเอาเท้าออกจากหลังของเพื่อนสุดที่รักก่อนได้ไหม?” อากิรอสนอนเท้าคางหน้าตาทะเล้นส่งยิ้มหวานให้สาวสวยอีกคนหนึ่ง

    “ส่วนคนนี้คือมิยูรู้จักกันตอนลุยเดี่ยวแข่งเก็บเลเวล แล้วก็จะมาช่วยสู้บอสด้วย” เอเซไม่ลืมแนะนำมิยูให้ทุกคนรู้จัก

    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ดูทุกคนสนิทสนมกันจังเลยนะคะ” เธอยิ้มแย้มเป็นกันเอง

    อากิรอสลุกขึ้นปัดฝุ่นจากเสื้อ เดินไปนั่งบนโซฟาข้างๆมิยูหน้าตาเฉย “สนิทกันถึงขนาดเดินข้ามหัวกับเหยียบจมดินอย่างที่เห็นละครับ”

    ระหว่างที่รอกุห์ฟานรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูล ทุกคนจึงล้อมวงคุยกันว่าไปทำอะไรมาบ้าง พอทากะบอกรายละเอียดให้กุห์ฟานฟังถึงได้รู้ว่าศัตรูในภารกิจจะแรนด้อมไปเรื่อยๆไม่เหมือนสมัยเทสต์เบต้า และพวกเขาสองคนซวยถึงที่สุดเพราะม็อททราเป็นบอสระดับ Ultra Rare ของภารกิจนี้ที่มีโอกาสต่อสู้ด้วยเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น แถมยังซวยซ้อนสองเด้งเพราะต้องสู้กับ Field Boss อย่างมังกรหกเขากลางทางอีกด้วย











    เสียงจอแจจากนอกร้านบอกว่าเมืองนี้พร้อมแล้วสำหรับวันใหม่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสดใสกระปรี้กระเปร่า

    กุห์ฟานจับปึกกระดาษกระแทกกับโต๊ะเบาๆ “เสร็จพอดี”

    “ทางนี้ก็พร้อมจะฟังเลคเชอร์แล้วละ”

    น้องเล็กแห่งแคลนมัลดิโตส่ายหน้า “ใครว่าผมจะเลคเชอร์พวกพี่กันละ”

    เครื่องหมายคำถามปรากฏบนใบหน้าของรุ่นพี่สามคม กุห์ฟานถอนหายใจชุดใหญ่ “ผมยังไม่มีข้อมูลการต่อสู้แบบจริงจังของพวกพี่กับของมิยูเลย อีกสักเดี๋ยวค่อยออกเดินทางไปลุยมอนระดับสูงในแมปทางเหนือก็แล้วกัน”

    “แล้วกุห์ฟานเรียบเรียงอะไรอยู่เหรอคะ?” มิยูถามอย่างสงสัย

    “เป็นข้อมูลของระบบพื้นฐานของเกมส์ที่มีการยืนยันแล้ว ข้อมูลของอุปกรณ์กับอาวุธและก็ของบอสที่พวกเรากำลังจะล่ากันน่ะ”

    “รวบรวมมาจากไหนกันคะ?”

    กุห์ฟานยิ้มบางๆ “แหล่งข้อมูลเป็นความลับสุดยอดที่เปิดเผยไม่ได้ มิยูเรียกว่า ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ เหมือนที่พวกพี่ๆเขาเรียกก็แล้วกันนะ”

    “เอ๋? ขี้โกงจัง บอกหน่อยนึงไม่ได้เหรอ?” มิยูลองทำหน้าทำเสียงอ้อน เมื่อไม่ได้ผลก็ยิ้มหวานสดใส “ล้อเล่นจ้า บอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

    “งั้นเดี๋ยวไนซ์เตรียมมื้อเช้าให้แล้วก็ไปลุยกันให้เต็มที่เลยนะคะ”

    มื้อเช้าประกอบไปด้วยซุปข้าวโพด ขนมปังปิ้ง ชาและกาแฟดำ สำหรับสี่สมาชิกแคลนมัลดิโตและมิยูที่ทานอาหารสำเร็จรูปจากชุดเสบียงที่แสนจะจืดชืดไร้รสชาติทุกมื้อ มื้อเช้าของวันนี้จึงหรูหราเป็นพิเศษ มิยูอดทึ่งในฝีมือการปรุงอาหารของไนซ์ที่ไม่ได้ใช้สกิลช่วยจนต้องขอให้ไนซ์สอนเธอบ้าง

    ฤกษ์งามยามดีเจ็ดโมงเช้าเก้านาทีทั้งหกคนก็ออกจากร้านเล็กๆในมุมตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนหลักของเมืองแล้วบ่ายหน้าขึ้นเหนือผ่านประตูเมืองและทุ่งกว้างเขียวขจีที่เงียบสงบ เดินตัดป่าเล็กๆขึ้นภูเขาลูกหนึ่ง อีกเกือบชั่วโมงก็ถึงทุ่งหญ้าเล็กๆระหว่างหุบเขา

    มอนสเตอร์ที่กุห์ฟานหมายตาไว้คือ Warrior Boar Lv.30 มอนสเตอร์เผ่าสัตว์กึ่งมนุษย์ มนุษย์หมูป่าที่ใช้ดาบหินหรือขวานหินเป็นอาวุธ

    “ถ้าปราบเจ้าพวกนี้ไม่ได้ก็เลิกหวังบอสได้เลย”

    กุห์ฟานยักคิ้วให้รุ่นพี่ทั้งสาม “คนละสามตัวไม่จำกัดเวลาไม่จำกัดวิธี”

    “ใครจะลุยคนแรก? ถ้าไม่มีใครอาสาเราจะลงไปเอง” อากิรอสคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อไม่มีใครปฏิเสธนักเวทผมเทาก็เดินผิวปากลงจากเนินเขาไป

    “เอ๊ะ? ให้อากิไปคนเดียวจะดีเหรอคะ?” มิยูเป็นกังวล

    ไนซ์จับไหล่มิยูเพื่อปลอบ “ไม่เป็นไรหรอกเชื่อมือพี่อากิสิ แล้วมือสองขอเป็นไนซ์ละกัน ไม่ได้สู้นานๆเดี๋ยวการเคลื่อนไหวฝืดหมด”

    “ไนซ์ก็จะสู้ด้วยเหรอ?” มิยูเบิกตากว้าง

    เมดสาวยิ้มกว้าง ยกแขนเบ่งกล้ามให้เพื่อนสาวดู “แน่สิ ไนซ์ไม่ได้ชงกาแฟเก่งอย่างเดียวหรอกนะ”

    ยังไม่ทันไรก็มีเสียงระเบิดดังตูมใหญ่ อากิรอสกระโดดถอยหลังออกห่างหมูป่ายักษ์ที่กระโจนตามมาพร้อมอีโมติค่อนโกรธจัด เขาเล่นเดินเข้าไปยิงเวทอัดใส่ในระยะประชิดแล้ววิ่งหนีดื้อๆ ด้วยความเร็วที่มากกว่าทำให้อากิรอสมีเวลามากพอที่จะสะสมพลังเวทอีกหนึ่งชุด เขาพุ่งสวนเข้าไปอัดเวทใส่ตอนหมูป่าเงื้อดาบขึ้นจะโจมตี แรงปะทะผลักร่างใหญ่กระเด็นถอยหลัง อากิรอสใช้โอกาสนี้จะโจมตีซ้ำอีกครั้ง

    แต่หมูป่ายักษ์ก้มตัวลงพร้อมกับพุ่งชาร์จด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า! อากิรอสหลบไม่พ้นโดนชาร์จเต็มๆกระเด็นไปชนต้นไม้ซ้ำอีก ความเจ็บปวดทำให้เขาขยับตัวไม่ได้กลายเป็นเป้านิ่งทันทีที่ศัตรูโจมตีซ้ำ

    แต่ดาบหินในมือนักรบหมูป่าถูกดาบเคลยร์มอร์และดาบคาตะนะป้องกันไว้เหนือหัวของนักเวทผมเทาได้ทันท่วงที ทากะปล่อยให้เอเซรับมือกับศัตรู ประคองร่างโชกเลือดของอากิรอสเดินกลับไปหาทุกคน

    “ตั้งใจจะโชว์ออฟกลายเป็นโชกเลือดแทนนะสหายอากิ”

    “เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ?” มิยูหยิบผ้าขนหนูออกมาเช็ดเลือดบนหน้าของเขา แววตาของเธอเปี่ยมด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง ความจริงเธอตั้งใจจะลงไปช่วยต่อสู้แต่ไนซ์รั้งตัวไว้เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มอีกสองคนไม่มีทางปล่อยให้เพื่อนมีอันตรายอย่างแน่นอน

    “เจ็บนิดหน่อยครับ” ถึงปากจะบอกว่านิดหน่อยแต่หน้าตาของเขาก็ค้านคำพูดของตัวเอง

    “นี่คือข้อแตกต่างในการต่อสู้ของพี่อากิกับพี่เอเซ”

    กุห์ฟานที่ยืนนิ่งมานานพูดขึ้นในที่สุด

    “ดูเผินๆเหมือนพี่เอเซเสียเปรียบอยู่ แต่จริงๆแล้วกำลังเก็บข้อมูลรูปแบบการโจมตีของศัตรูจนแน่ใจแล้วถึงโจมตีทีหลัง แต่พี่อากิวิ่งไปยิงเวทไปแต่พอศัตรูเปลี่ยนรูปแบบพี่ก็จะรับมือไม่ได้”

    “ครบหนึ่งนาทีแล้ว คอยดูให้ดีก็แล้วกัน”

    ประกายตาของเอเซเปลี่ยนไป เขาหลบดาบของศัตรูและพุ่งเข้าประชิด ดาบเคลร์มอร์เปล่งแสงสีฟ้าในพริบตาที่ทะลวงกลางอกหมูป่ายักษ์ดุร้าย

    “พลาดจุดตายไปหน่อยแฮะ ไม่งั้นโจมตีติดคริติคอลไปแล้ว”

    กุห์ฟานวิเคราะห์ถูกต้องเพราะศัตรูยังโจมตีกลับได้ เอเซก็รู้ตัวเช่นกันจึงหลบและถอยไปตั้งหลักใหม่ อย่างน้อยการโจมตีครั้งนี้ก็สร้างความเสียหายได้มาก หมูป่ายังคงบุกเข้าหาตามคำสั่งโปรแกรมที่ตั้งไว้ นักดาบมนตราหลบพลางชาร์จพลังเวทไว้ที่ดาบ เมื่อได้จังหวะเขาโจมตีสวนกลับปัดดาบหินในมือศัตรูหลุดกระเด็น และตั้งแต่วินาทีนั้นก็คือการโจมตีเพียงฝ่ายเดียวของเอเซ แมคโดเวล

    “ขอลุยต่อเลยละกัน” นักดาบมนตราบอกกับรุ่นน้องแล้วเดินเข้าหาเป้าหมายใหม่ทันที

    “เมื่อกี๊ถ้าเปลี่ยนเป็นเฟนริล พวกเราคงได้ไปเยี่ยมพี่อากิที่โรงพยาบาลแหงๆ” ไนซ์พูดติดตลกช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง อากิรอสเองลุกขึ้นมายืนได้หลังจากดื่มโพชั่นไปหลายขวด

    กุห์ฟานส่งกระดาษให้นักเวทรุ่นพี่ “รอบหน้าลองใช้กลยุทธ์นี้ต่อสู้ดูนะ”

    “ไม่มีให้มิยูบ้างเหรอคะ?” หญิงสาวแบมือขอกลยุทธ์ขอตัวเองบ้าง

    นักล่าสมบัติจอมวางแผนแห่งแคลนมัลดิโตยื่นโพชั่นให้แทน “มีน่ะมีแน่ๆแต่ต้องขอดูฝีมือของมิยูก่อนด้วยจะได้เลือกให้ถูกแผนถูกแผ่น ไม่งั้นได้เป็นแบบพี่อากิแน่นอน”

    “โว๊ะ!”

    อากิรอสจะโวยที่โดนพาดพิง แต่มีเสียงระเบิดดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปดู เอเซเก็บดาบลงฝักเดินกลับมาพร้อมกับร่างของมอนสเตอร์ที่กำลังสลายไป

    “ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวได้โดนหามขึ้นมาแบบอากิแหงๆ”

    ตัวเขาเองก็โทรมไม่ใช่น้อย ที่คอ แขน ไหล่มีแผลใหญ่เลือดไหลโชกยังไม่รวมแผลเล็กๆอีกทั่วตัว เหลือ HP 22% และ MP 18% เท่านั้น

    “สู้ตัวนั้นต่อจากอากิเห็นมันช้าเลยย่ามใจ สู้ตัวที่สองมันกลับไวกว่าที่คิดจนหลบแทบไม่พ้น ต้องอัดเวทแลกกับมันไม่งั้นตายก่อนแหงๆ โดยเฉพาะตอนมันพุ่งชาร์จหาจังหวะโจมตีสวนกลับไม่ได้เลย”

    “ขอลัดคิวหน่อยนะ” ทากะขอลงสู้เป็นคนที่สาม ไนซ์ทำมือเป็นสัญญาณโอเค หัวหน้าแคลนมัลดิโตตรวจความพร้อมและเข้าสู่สมรภูมิทันที

    “นานๆจะเห็นทากะอยากสู้กับเขาบ้างนะเนี่ย” อากิรอสละความสนใจจากกระดาษกลยุทธ์ทันที

    “คงคิดอะไรได้เลยอยากจะลองดูนั่นแหละ” เอเซวิเคราะห์

    การต่อสู้เปิดฉากขึ้นเมื่อทากะเริ่มต้นโจมตี เขารักษาระยะห่างจากศัตรูและป้องกันดาบหินที่โจมตีเข้ามา เมื่อจับจังหวะได้ดาบคาตานะที่เป็นเลิศในเรื่องความคมได้สำแดงอานุภาพให้เห็น ทากะเล็งโจมตีที่นิ้วมือที่จับอาวุธอยู่ แม้จะเป็นจุดเล็กๆแต่ก็เป็นจุดที่สำคัญมากในการต่อสู้

    ตะปูที่เผยอเหนือพื้นไม่มีอันตรายใดๆหากไม่มีใครจงใจเหวี่ยงเท้าเตะมัน เช่นเดียวกับปลายดาบเล็กๆที่ตั้งอย่างเที่ยงตรงและมั่นคงแต่ศัตรูทุ่มกำลังเหวี่ยงแขนลงมาโดนเอง

    “ไอคิโด้สินะ แถมฝีมือไม่เบาเลย” ไนซ์พูดขึ้นขณะที่มองการต่อสู้จากแว่นขยาย “อาศัยกำลังของศัตรูย้อนทำร้ายศัตรูเอง ดูสิแปปเดียวมอนสเตอร์นั่นแขนเหวอะเลย”

    เป็นไปตามที่ไนซ์บอก แขนขวาของมนุษย์หมูป่าบาดเจ็บจนยกดาบไม่ได้ เมื่อต่อสู้ไม่ได้ก็กลายเป็นเพียงก้อนเนื้อให้ทากะตัดเฉือนได้ตามใจชอบ จัดการกับศัตรูสามตัวโดยไม่เสียพลังชีวิตแม้แต่แต้มเดียว ทากะก็กลับมานั่งตีหน้ามึน กุห์ฟานมองรุ่นพี่ทั้งสามคนแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ

    “พี่ทากะกับพี่เอเซแทบไม่ต่างกันในเรื่องความเร็ว แต่ยุทธวิธีของพี่ทากะทำให้ศัตรูที่สู้ยากกลายเป็นง่าย พี่ทากะเป็นมวยแบบเอาท์บ็อกเซอร์แต่พี่เอเซเป็นอินไฟเตอร์แบบคลุกวงในระยะประชิด ถ้าให้เป็นคะแนน...พี่ทากะเต็มสิบ พี่เอเซเจ็ดครึ่ง ส่วนพี่อากิสอบตก”

    “ว้าว! ต้องลงทะเบียนเรียนซ่อมสินะ” นักเวทผมเทาไม่สลดสักนิดเดียว

    “งั้นตัดเกรดให้มิยูบ้างสิ” นักดาบสาวกระชับดาบข้างตัวเป็นนัยว่าพร้อมต่อสู้แล้ว กุห์ฟานผายมือให้เธอลงสู่สนามต่อสู้

    “ถ้าไม่ไหวให้ถอนตัวทันทีนะ” เอเซกระซิบบอกเบาๆ เธอมียิ้มหวานและคำขอบคุณในแววตาส่งคืนให้เขา

    การต่อสู้ครั้งนี้เป็นไปตามที่กุห์ฟานคิดคือมิยูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขารู้จากปากเธอเองว่าอยู่ชมรมศิลปะการต่อสู้กลุ่มย่อยฟันดาบ แต่การฝึกเชิงกีฬากับการต่อสู้จริงแม้จะเป็นในเกมส์ออนไลน์เสมือนจริงมีข้อแตกต่างอย่างมาก เธอถูกอัดกระเด็นทุกครั้งที่ปะทะดาบ ถึงไม่ได้รับอันตรายแต่ก็ไม่มีโอกาสโจมตีเช่นกัน

    เอเซใจหายวาบเมื่อดาบของศัตรูเฉียดผ่านปลายผมของเธอ

    “เป็นห่วงนักก็ลงไปช่วยสิ” อากิรอสเท้าแขนลงบนไหล่เพื่อนส่งสายตายียวน

    “นายไม่เห็นเหรอว่าเธอพยายามขนาดไหน?”

    “ความเป็นห่วงของนายคงมีมากกว่าหลายเท่า” อากิรอสมองเขาด้วยสายตากึ่งจริงกึ่งเล่นจนเอเซต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหนี

    มิยูเริ่มบาดเจ็บมากขึ้นแต่เธอก็สร้างความเสียหายให้ศัตรูได้เช่นกัน ดวงตาสีเขียวอ่อนยังแข็งแกร่งดุจมรกตไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็นแม้แต่น้อย ดาบหินวาดเป็นเส้นตรงลงมายังใบหน้าของเธอแต่ทำได้แค่ระเบิดดินเป็นหลุมเท่านั้น มิยูฉากตัวหลบและพลิกดาบแทงข้อมือของนักรบหมูป่าในจังหวะเดียวกัน

    “วิธีต่อสู้เมื่อกี๊?” กุห์ฟานจอมวางแผนหรี่ตามองด้วยความสนใจ

    “ใช่แล้ว เธอใช้เคล็ดไอคิโดของพี่ทากะ ก่อนหน้านี้ก็ใช้วิธีพุ่งเข้าแทงของพี่เอเซแต่หลบไม่พ้นก็เลยโดนอัดกระเด็นออกมาก่อน” ดวงตาของเมดสาวเปล่งประกาย “ถ้าฝึกดีๆอนาคตไกลเลยนะเนี่ย”

    มิยูพลิกสถานการณ์จากที่เสียเปรียบด้านพละกำลัง เธอหลีกเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้าแต่ฉีกตัวออกด้านข้างเพื่อโจมตีและถอยหลบ เมื่อศัตรูโจมตีไม่โดนแต่เธอโจมตีโดนก็เพียงพอแล้วที่จะให้เธอเป็นผู้ชนะในการต่อสู้

    “คงสู้ได้แค่ตัวเดียวเท่านั้นค่ะ” มิยูถอนหายใจเศร้าๆ ตอนนี้เธอเหลือ HP เพียง 9% เท่านั้น

    “เป็นสไตล์ hit and away ที่ยอดเยี่ยมนะ ผมให้แปดแต้มเลยละ”

    “ถึงช่วงแรกจะน่าใจหายใจคว่ำไปหน่อยแต่ก็ทำได้ดีมากๆเลย” เมดสาวเช็ดเลือดและฝุ่นดินออกให้ มิยูกลับมาสดใสน่ารักอีกครั้งหนึ่ง

    “พยายามได้ดีมากเลยล่ะ” เอเซยิ้มบางๆ เธอตอบกลับคำชมของเขาด้วยยิ้มหวาน

    “งั้นก็ถึงคิวไนซ์แล้วนะ ขอแค่ตัวเดียวพอละกัน” สาวสวยในชุดเมดหยิบแท่งโลหะสีดำออกมาถือพอสะบัดก็ได้กระบองสปริงคู่หนึ่งในสภาพพร้อมใช้งาน เธอควงอาวุธคู่ใจอย่างคล่องแคล่วชำนาญท่วงท่าทะมัดทะแมง ความมั่นใจล้นเหลือแฝงอยู่ในรอยยิ้ม

    “คิดว่าไง?” อากิรอสถามความคิดเห็นทากะที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มากกว่าตัวเอง

    “ดูไปก่อน” หัวหน้าแคลนมัลดิโตตอบสีหน้าไร้อารมณ์

    “ตอนเทสต์เบต้าไนซ์สามารถปลดล็อกอาชีพ ‘Dual Sword Master’ ที่ทั้งเกมส์มีเพียงหกคนเท่านั้น”

    ข้อมูลจากปากกุห์ฟานทำให้ทุกคนตกใจแต่ก็วางใจจะให้เธอต่อสู้เพียงลำพัง มิยูยิ่งชื่นชมไนซ์มากขึ้นเพราะนอกจากเธอจะทำอาหารเก่งแล้วยังต่อสู้เก่งอีกด้วย

    เมดสาวเปิดฉากโจมตีก่อน มนุษย์หมูป่าไล่กวดเธอทันที ไนซ์ยิ้มมุมปากปัดดาบด้วยกระบองสปริงในมือซ้ายพร้อมกับโจมตีด้วยมือขวา พอศัตรูโจมตีทีมาก็ปัดด้วยอาวุธในมือขวาโจมตีด้วยมือซ้ายเป็นกระบวนท่าพื้นฐานที่สุด แต่ที่น่าทึ่งคือความเร็วและความแม่นยำของเธอ ไนซ์เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นโจมตีเพียงฝ่ายเดียว

    หมูป่าย่อตัวลงต่ำพุ่งชาร์จเข้าใส่เป้าหมาย ไนซ์รู้ดีอยู่แล้วและย่อตัวลงพุ่งสวนเข้าไปด้วย ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ทั้งคนและหมูป่าจะประสานงากัน เมดสาวกระโดดลอยตัวขึ้นเล็กน้อย กระบองสปริงทั้งสองตวัดฟาดเข้าขมับของศัตรู หมูป่าเซถลาเสียหลักล้มคว่ำ ไนซ์ชาร์จพลังเวทลงในอาวุธกระหน่ำฟาดด้วยความเร็วสูงสุดปิดฉากการต่อสู้ด้วยเวลาเพียงสี่สิบหกวินาทีเท่านั้น ใช้เวลาน้อยกว่าการต่อสู้ของทากะเสียอีก

    “ผมบอกแล้วว่าพวกพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” กุห์ฟานผิวปากเป็นทำนอง Victory Fanfare ของเกมส์ไฟนอลแฟนตาซี

    “เก้าคะแนนครึ่งละกัน”

    “แล้วแต่นายท่านค่ะ” ไนซ์จีบชายกระโปรงย่อตัวให้เขาอย่างงดงาม

    การต่อสู้ลงด้วยสถิติสวยหรูของทากะและไนซ์ที่ไม่เจ็บแม้แต่แผลเดียว










    หนุ่มสาวหกคนนั่งบนผ้าใบสีดำผืนใหญ่ หยุดพักการต่อสู้นั่งกินลมชมวิวดูมอนสเตอร์เดินไปเดินมา จิบชาแกล้มคุ้กกี้แถมยังมีแซนด์วิซเป็นจานหลักของมื้อเที่ยง ทั้งหมดถูกจัดเตรียมเป็นอย่างดีด้วยฝีมือของเมดสาวเจ้าของร้านขายของจิปาถะแห่งเมืองอารันด์

    “ไหนๆก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้วผมจะอธิบายหลักของการต่อสู้ให้ จะฟังกันไหม?”

    กุห์ฟานชิงถามก่อนเพราะรู้นิสัยของรุ่นพี่แต่ละคนดีว่าเป็นพวกขี้เกียจฟังเรื่องมีสาระหรือหลักการเยอะแยะเป็นตำราหนาๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่นิสัยของมิยูเพราะเธอรีบยกมือแสดงตัวว่าอยากฟัง รีบนั่งตัวตรงดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กน้อยรอฟังนิทานก่อนนอน

    ข้อแรกผู้เล่นได้ exp ต่อเมื่อฆ่ามอนสเตอร์เท่านั้น ไม่ว่าผู้เล่นหรือมอนสเตอร์หลบหนีการต่อสู้ได้ก็ถือว่าเหนื่อยเปล่า ข้อสองการต่อสู้ในเกมนี้อิงตามหลักกายวิภาค ต่อให้ศัตรูเก่งแค่ไหนถ้าเจอฟาดเข้าขมับหรือก้านคอเต็มๆก็ล้มก็เอียงได้ อย่างน้อยที่สุดก็ถือเป็นการโจมตีคริติคอลที่รุนแรงขึ้นสามเท่า ข้อสามถ้าผู้เล่น HP เหลือศูนย์จะมีเวลาให้สามนาทีสำหรับชุบชีวิต และข้อสำคัญหลังจากชุบชีวิตแล้วภายในห้านาทีถ้าตายซ้ำก็ไปเจอกันที่โรงพยาบาลได้เลย”

    กุห์ฟานเว้นจังหวะพักหายใจพร้อมกับชำเลืองดูปฏิกิริยาตอบสนองของพวกรุ่นพี่ที่ยังเหมือนจะตั้งใจฟังอยู่

    ข้อสี่ระหว่างต่อสู้จะถือว่าผู้เล่นได้ฝึกตามหลัก ‘more train more gain’ ของเกมอยู่แล้วไม่ว่าจะด้านสเตตัสหรือสกิลเพราะฉะนั้นพี่เอเซไม่ต้องลากดาบไปฝึกหวดลมพันครั้งเหมือนที่หลายคนเข้าใจผิดๆแล้วนะ”

    “เฮ่ย! ก็แค่ลองระยะกับน้ำหนักให้ชินมือเท่านั้นแหละ” เอเซสะดุ้งโหยงเมื่อโดนพาดพิงในประเด็นน่าอาย

    “เห? เอเซทำแบบนั้นจริงๆเหรอ?”

    มิยูจ้องเขาตาแป๋ว นักดาบมนตราอึกอักไม่รู้จะตอบหรือแก้ตัวยังไง แถมเพื่อนตัวดีอย่างอากิรอสก็ขำก๊ากไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย

    “นั่นคือตัวอย่างที่ผิดสินะ” คนที่ไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีกจะเป็นใครไม่ได้นอกจากทากะ

    “หนอยแน่ะ! ทำเป็นพูดดีไป นายเองยังบอกว่าถ้าฝึกพุ่งตัวไปเรื่อยๆจะได้สกิล ‘dash’ ไม่ใช่เรอะไง?”

    “เรื่องนี้ต้องให้กุห์ฟานอธิบายแล้วละ” หัวหน้าแคลนมัลดิโตผายมือไปทางรุ่นน้อง

    “เรื่องสกิลผมติดไว้ก่อนละกันตะกี๊ยังพูดไม่จบเลย ข้อห้าเรื่องเลเวล ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่แนะนำให้ใช้ exp ทั้งหมดอัพเลเวลนะเพราะอัพไปก็ไม่ได้แต้มมาเพิ่มสเตตัสอยู่ดี สู้เก็บ exp ไว้อัพสกิลที่จำเป็นตอนหลังดีกว่า”

    “ทำไมละ? เลเวลสูงๆไม่ดีกว่าเหรอ” มิยูยกมือถามเหมือนนักศึกษาถามอาจารย์ในห้องบรรยาย

    “เกมนี้โรคจิตตรงระบบ More train more gain นี่แหละ เพราะอย่างนั้นพอเลเวลอัพถึงไม่มีแต้มให้สำหรับอัพสเตตัส แต่เลเวลก็มีผลต่อพลังชีวิต (HP) พลังเวท (SP) แล้วระบบความเหนื่อยหรือก็คือพลังกาย (SP) แล้วก็เรื่องของภารกิจบางประเภทที่เปิดให้เฉพาะผู้ที่มีเลเวลสูงๆทำได้เท่านั้น”

    “ดันเจี้ยนบางที่ก็กำหนดระดับเลเวลเหมือนกันนะ อาวุธบางอย่างก็ระบุเลเวลที่สามารถใช้ได้ ยิ่งบางอันยิ่งแย่ตรงที่กำหนดเป็นช่วงเลเวลไว้ด้วยนี่สิพอเลเวลสูงขึ้นก็ใช้ไม่ได้แล้ว” ไนซ์ช่วยอธิบายเสริม มิยูพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว

    “ถ้าไม่อยากฝึกตามที่เกมกำหนดจะใช้ exp อัพสเตตัสก็ได้ เป็นเทคนิคของพวก low-level ที่ทำให้สู้กับศัตรูที่เก่งๆได้สูสี” อากิรอสช่วยเสริมข้อมูลอีกทาง

    “หมดยังวะกุห์ฟาน คาใจเรื่องสกิล dash ของไอ้ทากะว่ะ”

    “สกิลในเกมนี้มีสองอย่าง หนึ่งคือสกิลประจำอาชีพกับสกิลเสริม ผมขออธิบายสกิลเสริมก่อนละกัน”

    “สกิลเสริมคือสกิลที่ทำให้เรามีความสามารถหลากหลาย เช่น ดำน้ำ ปีนเขา เหมือนที่เคยอธิบายไปแล้ว แต่ถ้าจะพูดว่าทำยังไงจะได้สกิลเสริมพวกนั้นมา อันดับแรกต้องมี skill slot ว่างซึ่งจะได้อัตโนมัติทุกๆเลเวลอัพสามเลเวล จากนั้นก็ไปหาหนังสือสกิลที่ได้จากการทำภารกิจหรือมอนสเตอร์ระดับสูงหรือบอสมาเรียนรู้ ส่วนอีกทางหนึ่งก็คือฝึกจนได้สกิลนั้นมา ยกตัวอย่างก็สกิล dash เหมือนที่พี่ทากะบอกนั่นแหละ เพียงแต่ว่าพี่เอาเวลาฝึกพุ่งตัวไปทำภารกิจจะดีกว่ารึเปล่าละ ได้ทั้งเงินจากภารกิจได้ทั้งสกิล”

    เอเซมองหางตาไปที่ทากะ ทากะก็ยิ้มมุมปากถามกลับ “ท่าทางสหายคงฝึกพุ่งตัวไปหลายยกแล้วสินะ”

    “...ครึ่งวัน!” เอเซตอบเสียงแข็งๆ

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตเอื้อมมือตบไหล่สหายเบาๆด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “สหายช่างพยายามยิ่งนัก”

    อากิรอสหัวเราะเสียงดัง ดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

    “อาวุธบางชนิดมีสกิลติดมาด้วยสามารถฝึกได้เหมือนสกิลปกตินะ” ไนซ์ช่วยปลดปล่อยทุกคนจากอาการทรมานเพราะหัวเราะมากเกินไป

    “ส่วนสกิลประจำอาชีพไม่จำเป็นต้องใช้ skill slot แต่ต้องผ่านเงื่อนไขของสกิลระดับต่ำๆก่อน อย่างเช่นพี่เอเซเล่นอาชีพนักดาบมนตรา เวทเริ่มต้นมีแค่ดินน้ำลมไฟ ถ้าอยากได้เวทสายฟ้าก็ต้องผ่านเงื่อนไขของเวทลมก่อน อีกข้อหนึ่งคือพี่สามารถดัดแปลงสกิลพื้นฐานได้ตามใจชอบ เวลาปกติพี่ใช้เวทไฟโจมตีจะเป็นลูกบอล พี่ก็สามารถสร้างเป็นหอกเป็นธนูหรืออะไรก็ได้แต่เปลือง MP มากขึ้น และถ้าชำนาญในระดับหนึ่งระบบจะให้พี่สร้างสกิลใหม่เป็นสกิลส่วนตัวได้เลย”

    “เจ๋งดีแฮะ” เอเซลูบคางเหมือนคิดอะไรออก ทั้งทากะ กุห์ฟานและอากิรอสรู้ทันทีว่านักดาบมนตราเพื่อนร่วมแคลนกำลังคิดจะสร้างสกิลอะไรขึ้นมา

    ผ่านไปเกือบนาทีที่เอเซตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ทากะและอากิรอสก็เป็นเช่นกัน ความเงียบแทรกตัวเข้ามาโดยไม่รู้ตัว มีเพียงเสียงใบไม้เสียดสีกับเพราะสายลมและเสียงแมลงร้องจากที่ไกลๆเท่านั้น

    น้องเล็กแห่งแคลนมัลดิโตเปิดกระติกชาเติมลงในแก้ว “ถ้าไม่มีอะไรถาม...ต่อไปผมจะคุยเรื่องล่าบอสละ”

    เขาปล่อยให้ความเงียบขวางกั้นระหว่างตัวเองและคนอื่นอึดใจหนึ่ง

    “เงียบกันทำไมละ?”

    หญิงสาวร้องเสียงหลง “อ้าว? ก็กุห์ฟานบอกจะคุย มิยูก็รอฟังนะเนี่ย แล้วกันสิ”

    “ก็รอเผื่อมีอะไรจะถามไง”

    “มันชอบกวนประสาทแบบนี้แหละ เรื่องจริงจังทำเป็นเล่น เรื่องเล่นดันจริงจัง”

    “นายก็ไม่ต่างกันเลย” เอเซและทากะประสานเสียงมาจากด้านหลัง อากิรอสหันไปจิกตาใส่

    “พวกนายก็ด้วยแหละ”

    “ถ้าแรงเหลือจะทะเลาะกันละก็ลงไปฟัดกับหมูป่าดีกว่าไหม?” กุห์ฟานยื่นเอกสารอีกชุดให้ทุกคน

    “ตอนนี้อยู่ในช่วงโบนัสสี่สิบวันภายในเกมส์ที่ยังไม่ใส่แพทซ์ความเหนื่อยของร่างกายเข้ามา เราจะใช้โอกาสนี้ฝึกสกิลและพัฒนาสเตตัสของตัวเองให้คุ้มที่สุด เดี๋ยวกินเสร็จลองทำตามแผนนี้ดูก่อน พี่เอเซจับคู่กับพี่ทากะสู้หมูป่า พี่อากิไปฝึกสกิลตามที่ให้ไป ส่วนไนซ์ช่วยสอนมิยูต่อสู้หน่อยละกัน”

    “แล้วนายละ?” อากิรอสถามกลับเมื่อคิดได้ว่าเจ้ารุ่นน้อง

    “ผมน่ะเหรอ? ผมต้องทำหน้าที่ที่สำคัญมากๆๆเลยนะ”

    “นั่งดูพวกพี่เจ็บตัวไง”

    ฝ่าเท้าของรุ่นพี่สามคนพุ่งเข้าหารุ่นน้องตัวแสบพร้อมกัน มิยูหัวเราะร่าเริงสดใส ไนซ์ยิ้มให้กับความสนิทสนมของชายหนุ่มทั้งสี่คนที่เป็นเหมือนพี่น้องจริงๆ
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  16. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนนี้บรรยากาศกับสำนวนกำลังดี >_< แต่เห็นไนซ์เบ่งกล้ามแล้วนึกว่าจะเป็นสายเข้าไปต่อยลุ่นๆซะอีก />_<"
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  17. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้เป็นช่วงที่ตัวละครดูเป็นธรรมชาติมากเลย สมาชิกใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นอีกแบบเลย

    ว่าแต่กระบองสปริงนี่หน้าตาเป็นแบบไหนกันนะ +__+
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  18. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    เฮ้ย!! นี่มันอะไรเนี่ย!!!!!! =[]=! อ่านฟิคแฟนตาซีอยู่ดีๆเจอไอ้นี่เข้าไป หื่นนนนนน

    ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่า ถ้าไม่เพราะภารกิจจำเป็นต้องล่าบอส สองแคลนนี้คงไม่มารวมกันกระมัง นอกจากสไตล์การต่อสู้ที่ต่างกันสุดๆ ยังดูเหมือนจะกวนตีนได้ตลอดเวลาอีกต่างหาก ลูกแคลนเองก็ดูจะไม่ชอบขี้หน้ากันแปลกๆ มีประชดประชันเสียดสีกันตลอด

    แต่สะใจอากิรอสจอมเต๊ะ กลัวผีเสื้อ!!!!

    เท่าที่อ่าน ฉันอ่านจากการตอบคอมเม้นท์เก่าของอาเซมากกว่า ทำให้รู้ระบบของเกม แต่ยังไงในบท 8 ที่ใส่เข้ามานี้ก็ช่วยได้เยอะไม่น้อย

    มิยูเองตอนแรกนึกว่าเป็นสาวน้อยใสๆ แต่จริงๆก็ฉลาดเหมือนกัน แต่ขอโทษนะที่ชอบไนซ์มากกว่า
    (ไม่รู้สองสาวคิดยังไงถึงมาอยู่กับกลุ่มชายกลัดมันแบบนี้....)

    การต่อสู้ พอรวมแคลนแล้ว มันเริ่มมีระบบแท็คติค การจัดกลยุทธ์มากขึ้น ตรงนี้สนุก พอมีความหลากหลายของอาชีพมันก็ทำให้การต่อสู้มีรสชาติมากขึ้น มัลติโด้มันออกแนวลุยๆห่ามๆ ขนาดจอมเวทย์ยังพุ่งก่อน ที่ผ่านมาเลยเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ฟิคแฟนตาซีขาดสเน่ห์ ยังไงเรื่องนี้ก็ลองๆแก้ดูละกันนะ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  19. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ไนซ์ไม่ใช่สไตล์ Monk สาวหมัดหนักหรอกครับ

    หน้าตาประมาณนี้แหละครับ
    http://img378.imageshack.us/img378/1126/batonlv4.jpg

    สองแคลนนี้ยังคงกวนตีนใส่กันไปอีกนานครับเพราะมันคือแก่นของเรื่อง ฮ่า ๆ ๆ
  20. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 09 – Rare








    เมืองอารันด์ยังครึกครื้นเสมอแม้เข้าสู่ช่วงหัวค่ำ แสงไฟจากตะเกียงริมสองฟากฝั่งสว่างสีเหลืองนวลให้ความรู้สึกอบอุ่น ผู้เล่นจำนวนมากจับกลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้ในโลกเสมือนจริงอยู่ทั่วทุกมุมเมือง โดยเฉพาะลานน้ำพุกลางเมืองที่เป็นแหล่งร้านค้าร้านอาหารและที่พักเต็มไปด้วยนักผจญภัยที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย

    คนกลุ่มหนึ่งตกเป็นเป้าสายตาเมื่อพวกเขามาถึง – แคลนมัลดิโต

    ไม่ใช่เพราะวีรกรรมที่พวกไปก่อไว้ที่เมืองแบล็กแซนด์ แต่เป็นเพราะหญิงสาวหน้าตาสะสวยอีกสองคนที่พูดคุยกับพวกเขาอย่างสนิทสนมต่างหากที่ทำให้ทั้งสี่คนถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาดจากนอกโลก โดยเฉพาะผู้เล่นชายจำนวนมากที่ส่งสายตาดุๆมาพร้อมกับไฟแห่งความอิจฉา

    “เหนื่อยเป็นบ้าเลย” อากิรอสพูดลากเสียงยาวขณะเดินตามไนซ์เข้าไปภายในร้าน

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตรู้ทันว่าเพื่อนต้องการจะสื่ออะไรจึงดักคอไว้ก่อน “ถึงปากจะบอกว่าเหนื่อยแต่จริงๆแล้วไม่ได้รู้สึกเหนื่อยไม่ใช่รึไง”

    “พี่ทากะก็เข้าใจอะไรยากนะ พี่อากิไม่ได้เหนื่อยกายแต่เหนื่อยใจต่างหาก” กุห์ฟานประชดซ้ำเติม

    “โวะ! ไม่คุยกับพวกนายละ”

    นักเวทผมเทาแกล้งทำหน้างอนทิ้งตัวลงบนโซฟา แต่พอไนซ์ยกชามาให้ก็รีบเปลี่ยนอารมณ์เป็นยิ้มแย้มแจ่มใสทันที เอเซกับมิยูตามมาสมทบร่วมวงน้ำชาด้วย

    “มีใครอยากกินสเต็กบ้างไหม?” เมดสาวเจ้าของร้านเอียงคอมองถุงใบใหญ่สองถุงที่เต็มไปด้วยเนื้อหมูป่าจำนวนมหาศาล เอเซยกมือชูนิ้วโป้งเห็นด้วยทันที

    “ว้าว! สมเป็นสัตว์กินเนื้อจริงๆเลยนะครับคุณเอเซ”

    “ไนซ์ทำแค่ห้าจานพอนะ มีคนไม่อยากกิน”

    อากิรอสกระโดดพรวดเอามือปิดปากเพื่อนรักทันที “เราพูดตอนไหนว่าเราจะไม่กิน”

    “มิยูสนใจเป็นผู้ช่วยของไนซ์ไหม?”

    สองสาวหัวเราะต่อกระซิกเดินหายเข้าไปในครัว กระทะเหล็กร้อนดังฉ่าผสานกับเสียงไอน้ำพุ่งจากพวยกา สักพักกลิ่นหอมฉุยของเนื้อหมูป่าและเครื่องเทศสารพัดชนิดก็โชยออกมากระตุ้นต่อมความหิวของชายหนุ่มทั้งสี่คน

    ลาภปากของชาวมัลดิโตมื้อนี้ประกอบด้วยมันฝรั่งทอดแผ่นบาง ซุปแครอทต้มกระดูกหมู จานหลักเป็นหมูป่าผัดพริกไทยดำราดไวท์ซอสทานพร้อมสลัดผักสีเขียวและม่วง เสิร์ฟน้ำมะเขือเทศแทนไวน์องุ่น ปิดท้ายด้วยแอปเปิลและชามะลิ

    “วันนี้สนุกมากเลย ขอบคุณเอเซที่ชวนมานะ”

    “ผมแค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมิยูเท่านั้นเอง”

    เธอนึกวันแรกที่เจอกับเอเซ ก่อนจะจากกันเขาบอกว่าถ้ามีโอกาสจะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก หญิงสาวยิ้มละไมที่เขาจดจำและทำสัญญานั้นให้เป็นจริงได้ในวันนี้

    “ว่าแต่วันนี้พี่อากินี่เป็นโจ๊กเกอร์สินะ” กุห์ฟานจิบชามะลิพลางดูเอกสารในมือ

    “โจ๊กเกอร์?”

    “โจ๊กเกอร์ก็ตัวสร้างความฮาไงพี่ วิ่งหนีหมูป่าตัวแรกแล้วไปชนตัวที่สอง ไปมาๆเลยต้องวิ่งหนีหมูป่าสี่ตัวจนคนอื่นเค้าลำบากกันหมด”

    “โว๊ะ! เรื่องดีๆมีไม่จำนะนาย”

    “สหายเคยมีเรื่องดีๆกับเขาด้วยเหรอ?”

    พอมีทากะเข้ารุมอีกคนเสียงหัวเราะก็ดังลั่นร้านและเป็นมิยูที่หัวเราะเสียงดังที่สุด วันนี้เธอมีความสุขเพราะได้พบเพื่อนใหม่ๆ ได้ฝึกต่อสู้ ได้ฝึกทำอาหาร มีแต่เรื่องราวที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดเวลา

    “อ๊ะ! สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย ต้องขอตัวก่อนนะพอดีมีนัดกับเพื่อนไว้จ๊ะ” มิยูหน้ายู่ลงเมื่อมีสัญญาณแจ้งเตือนเวลานัดหมาย

    “ทำไมมิยูไม่บอกให้เพื่อนมาที่นี่ละ จะได้รู้จักเพื่อนมิยูบ้าง” อากิรอสถาม

    “ไว้วันหลังดีกว่านะพี่อากิ หลังสู้บอสเสร็จเดี๋ยวมิยูจะพาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักบ้าง”

    “ตามนั้นจ้า” นักเวทผมเทาฉีกยิ้มให้เธอ

    เธอแตะไหล่เอเซไว้เมื่อเขาทำท่าจะลุกขึ้น “ไม่ต้องไปส่งหรอกมิ แล้วก็พรุ่งนี้มิยูมาสายหน่อยไม่ว่ากันนะ”

    ประโยคหลังเธอบอกกับกุห์ฟาน เขาพยักหน้าว่าโอเค

    “งั้นไปพร้อมกับไนซ์ดีกว่า กำลังจะออกไปหาซื้อของพอดีเลย”

    สองสาวจัดแจงเก็บจานชามอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ชายหนุ่มทั้งสี่ช่วยแม้แต่น้อย ใครที่ลุกขึ้นช่วยจะถูกดุและตีหลังมือพร้อมกับสั่งให้นั่งเฉยๆ เมื่อถ้วยชามถูกยกไปไว้หลังร้านและชาถ้วยใหญ่ถูกยกมาวางไว้แทนที่กลางโต๊ะ ทั้งสองสาวก็โบกมือลาบรรดากระทาชายหายวับไปหลังประตูทันที

    ทั้งคู่เดินคุยกันเรื่อยๆจนเลี้ยวออกสู่ถนนหลัก

    “งั้นไนซ์แยกไปซื้อของก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”

    “วันนี้สนุกมากเลยแล้วก็ขอบคุณหลายๆเรื่องเลยนะ เจอกันพรุ่งนี้จ้า”

    สองสาวโบกไม้โบกมือแยกทางเดินไปตามวัตถุประสงค์ของตน มิยูไปพบเพื่อนของเธอส่วนไนซ์ไปซื้อของที่ต้องการ








    ทางด้านชายหนุ่มทั้งสี่ที่รออยู่ในร้าน วันนี้ภารกิจของพวกเขาเสร็จหมดแล้วจึงเป็นเวลาสำหรับกิจกรรมประจำกลุ่มที่ทำกันมาอย่างยาวนาน – เล่นไพ่

    “เปลี่ยนสามใบ”

    อากิรอสบอกพร้อมร่อนไพ่ที่จะเปลี่ยนออกมา พวกเขากำลังเล่นไพ่โป๊กเกอร์กันแต่ใช้ศิลามนตราแทนเหรียญชิพ

    “เปลี่ยนสองใบ”

    “สองใบเหมือนกัน”

    ทากะและกุห์ฟานต่างเปลี่ยนไพ่เพื่อทำแต้มที่สูงขึ้น

    เอเซหยิบไพ่ทั้งห้าใบขึ้นดูแล้ววางกลับไว้ที่เดิม “ไม่เปลี่ยน”

    สายตาคมกริบของทากะจดจ้องมองใบหน้าของนักดาบมนตรา เช่นเดียวกับกุห์ฟานและอากิรอสที่รับรู้ถึงแรงกดดันได้ในทันที ในเกมโป๊กเกอร์การไม่เปลี่ยนไพ่ย่อมมีสองความหมาย หนึ่งคือไพ่ดีมากจนไม่ต้องเปลี่ยนและสองคือไพ่ไม่ดีเท่าไรแต่อาศัยลักไก่ข่มขู่และบลัฟผ่านทางสีหน้า นี่คือมนต์เสน่ห์อย่างที่สุดของไพ่โป๊กเกอร์ที่เรียกว่า ‘Poker Face’

    “จะตามหรือจะหมอบ?” เอเซถามไม่เปลี่ยนสีหน้า

    “ไพ่ใหญ่จริงหรือเปล่าน๊า” อากิรอสแกล้งพูดแหย่ เอเซยักไหล่ให้ ดวงตาสีน้ำตาลปะทะเข้ากับดวงตาสีเทาเงินราวกับท้าทาย

    “เพิ่มอีกห้า” อากิรอสเขี่ยๆก้อนศิลามนตราไปรวมกันที่กลางโต๊ะ

    “ผมหมอบฮะ” กุห์ฟานคว่ำไพ่ไว้ตรงหน้าตัวเอง

    “รอบนี้ปล่อยให้สหายอากิกับสหายเอเซกัดกันจนมีสักฝ่ายตายไปเองดีกว่า” ทากะคว่ำไพ่เช่นกัน

    “ตามห้า เพิ่มอีกสิบ” เอเซรุกหนักหน่วง ไม่เปลี่ยนไพ่แถมด้วยปั่นเดิมพันให้ขึ้นสูงอีก

    “น่าสนุกนี่นา...ว่าแต่มิยูคือคนที่นายคุยด้วยตอนอยู่ที่เมืองแบล็กแซนด์สินะ?” จู่ๆอากิรอสก็เปลี่ยนหัวข้อ

    “รู้แล้วจะถามทำไม?”

    “ก็ถามให้แน่ใจไงว่าใช่คนเดียวกันรึเปล่า เกิดนายคุยกับคนอื่นแล้วเราไปถามมิยูแล้วเธอไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็ซวยกันพอดี” อากิรอสตอบหน้าตาย

    กุห์ฟานกับทากะสบตากันอย่างรู้นัยว่าอากิรอสได้จุดพลุเริ่มสงครามประสาทแล้ว

    “จะตามรึเปล่า?” เอเซเปลี่ยนประเด็นให้กลับมาอยู่บนโต๊ะ

    นักเวทผมเทาหยิบไพ่ขึ้นมาดูอีกครั้ง “ตามสิบ เพิ่มอีกสามสิบ”

    ศิลามนตราเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นภูเขาเล็กๆบนโต๊ะ อากิรอสชำเลืองมองปฏิกิริยาของคู่พนันผ่านไพ่ห้าใบ

    “มิยูก็น่ารักดีนะแต่ไม่รู้ว่ามีแฟนรึยังเนี่ยสิ”

    “ออล อิน” สองคำสั้นๆชัดเจน ศิลามนตราเกือบสองร้อยก้อนถูกกวาดไปกองรวมกันที่กลางโต๊ะกลายเป็นกองใหญ่ แรงกดดันทั้งหมดไหลกลับไปอยู่ที่นักเวทผมเทาแทน

    “หมดหน้าตักมาก็หมอบสิวะ”

    นัยยะประหลาดผุดขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ดวงตาสีเทาบอกว่าเขากำลังมีความสุขที่ได้แหย่เพื่อน ทากะเอื้อมมือไปหงายไพ่ของเอเซ ปรากฏว่าเป็นไพ่บอดไม่มีแต้มใดๆเลย รอบนี้เขาลักไก่เพื่อนฝูงยกวงเลยทีเดียว

    “โดนมันหลอกจนได้สิน่า”

    กุห์ฟานเก็บไพ่ลงกล่องแล้วเปลี่ยนเป็นไอเท็มเก็บลงในช่องเก็บไอเท็มส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะออกจากเกมแปปนึงนะ พวกพี่จะอยู่ต่อหรือออกพร้อมกันละ?”

    เมื่อไม่มีปฏิกิริยาจากรุ่นพี่ทั้งสาม กุห์ฟานก็ส่ายหน้าเบาๆ

    “พี่อากิกับพี่ทากะเข้าเกมมาจนจะถึงลิมิตวันละเจ็ดชั่วโมงแล้วนะ แล้วตอนนี้ในโลกจริงก็หกโมงเย็นแล้วพวกพี่จะไม่กินข้าวเย็นรึไง?”

    “เกมนี้เล่นได้แค่วันละเจ็ดชั่วโมง?”

    เอเซถามพลางดูดาบเคลย์มอร์เล่มใหม่ในมือ ดาบเล่มนี้ถูกใจเขามากไม่ว่าจะเป็นความคม ความสวยงาม น้ำหนักและความยาวเหมาะกับเขาอย่างพอเหมาะลงตัว

    “นี่นายไม่ได้อ่านคู่มือเลยรึไง? ถึงเกมนี้จะรับรองความปลอดภัยแต่ก็จำกัดการเล่นต่อเนื่องไม่เกินครั้งละเจ็ดชั่วโมง ถ้านายเล่นครบกำหนดจะถูกบังคับล็อกเอาท์ ถ้าจะเล่นใหม่ก็ต้องรออย่างน้อยอีกหนึ่งชั่วโมง”

    “หนึ่งชั่วโมงในโลกจริงเท่ากับหนึ่งวันในเกม แล้วถ้าพวกเราจะไปปราบบอสหมาป่ากันยังไงก็ต้องล็อกเอาท์กันก่อนรอบนึงอยู่แล้วไม่งั้นตีบอสอยู่แล้วมีใครหลุดไปละก็บรรลัยแหงๆ” ทากะอธิบายต่อจากอากิรอส

    เอเซยักไหล่ “งั้นก็ออกไปกันหมดนี่แหละเพราะเราก็ยังไม่ได้ซักผ้าเลย กว่าจะเสร็จกว่าจะกินข้าวก็คงอีกสองชั่วโมงละมั้ง”

    “ถ้างั้นพี่ก็ตั้งข้อความออฟไลน์ไว้เผื่อใครติดต่อมา”

    “แล้วไม่ต้องรอไนซ์กลับมาเหรอ?”

    “ไม่ต้องหรอก ผมบอกไนซ์ไว้แล้วว่าจะล็อกเอาท์”

    หลังจากพูดคุยทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วว่าแต่ละคนจะล็อกเอาท์ไปจัดการธุระส่วนตัวประมาณสองชั่วโมงแล้วค่อยล็อกอินกลับเข้ามาเจอกันที่ร้านนี้ เกมนี้สามารถล็อกเอาท์ได้เฉพาะในเขตตัวเมืองเท่านั้นแต่ถ้าเล่นต่อเนื่องครบกำหนดเจ็ดชั่วโมงต่อให้อยู่ภายนอกเมืองก็จะถูกบังคับล็อกเอาท์แต่จะกลับมาอยู่ในเมืองอัตโนมัติ








    สติสัมปชัญญะของเอเซค่อยๆกลับมาเหมือนเพิ่งตื่นนอน ในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้นเพราะเขาลืมเปิดไฟในห้องก่อนเข้าเล่นเกม ชายหนุ่มลุกขึ้นไปเปิดไฟและผ้าม่าน ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว กระเพาะอาหารส่งสัญญาณบอกว่าควรจะหาอะไรเติมลงท้องได้แล้ว ชายหนุ่มจึงยัดเสื้อผ้าลงตะกร้าเพื่อเอาลงไปซักเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญใต้หอ รีบร้อนจนเกือบลืมหยิบกุญแจห้องออกไปด้วย

    พอปั่นผ้าได้แล้วเขาก็เดินออกไปหน้าปากซอยสั่งอาหารตามสั่งขึ้นมาเป็นเสบียงสำหรับมือเย็นและมื้อดึกพร้อมกันทีเดียว แวะ ‘เซเว่นอีเลฟเว่น’ ซื้อน้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยวและของใช้ส่วนตัว สองมือจึงมีแต่ถุงหิ้วเยอะแยะเต็มไปหมด พอแวะดูเวลาที่เครื่องซักผ้าก็ยังเหลือมากกว่าครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นห้องไปนั่งกินข้าวเย็นอย่างใจเย็นพลางเปิดอินเตอร์เน็ตดูข้อมูลเกี่ยวกับเกมเพิ่มเติม

    หัวข้อที่ชาวเน็ตและเกมเมอร์ทั้งหลายสนใจก็คือเป้าหมายของเกมนี้ บริษัทผู้ดูแลประกาศออกมาแล้วว่า Grand Gaia Online ต้องเคลียร์เกมเหมือนเกมอื่น เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ประกาศว่าเงื่อนไขในการเคลียร์เกมมีอะไรบ้าง ข้อสงสัยและทฤษฎีต่างๆจึงถูกยกมานำเสนอและพูดคุยกันโดยมีผู้เข้าร่วมวงถกเถียงมากมายและทฤษฎีอมตะตลอดกาลก็คือปราบบอส

    ถึงจะซ้ำซากจำเจแค่ไหนแต่มุขปราบบอสก็ยังใช้หากินได้เสมอ ทุกยุค ทุกสมัยและทุกเกม

    กินเสร็จเขาก็เปิดเพลงฟังผ่อนคลายอารมณ์รอเวลาลงไปเอาผ้าขึ้นมาตาก ฟังไปฟังมาสุดท้ายก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นคลอเพลงจนได้

    ห้องของเขาเป็นห้องเล็กๆขนาดกว้างสามเมตรครึ่ง ลึกห้าเมตร มีเตียงนอนสำหรับสองคน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือแบบมีลิ้นชักหนึ่งตัว สามอย่างนี้เป็นของที่หอพักมีให้ ที่ซื้อมาเพิ่มก็มีแค่โต๊ะคอมพิวเตอร์และโต๊ะญี่ปุ่นหนึ่งตัวเท่านั้น พัดลมเป็นพัดลมเพดานที่ไม่ค่อยช่วยให้เย็นเท่าไรในหน้าร้อนเขาเลยไปซื้อพัดลมตั้งพื้นมาอีกตัว ที่เขาเลือกหอนี้ก็เพราะราคาที่ถูกมากแม้จะอยู่ใจกลางเมืองมีรถไฟฟ้าผ่านหน้าปากซอย

    เสียงเตือนจากมือถือดังขึ้น เขาลงไปเอาผ้าขึ้นมาตากที่ระเบียง เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ เอเซ แมคโดเวลก็พร้อมกับเข้าไปผจญภัยในแกรนด์ไกอาออนไลน์อีกครั้ง








    เขาล็อกอินเข้าเกมก่อนเวลานัดหมายนิดหน่อยเพราะตั้งใจจะเดินดูรอบๆเมืองอารันด์ ฟ้าเริ่มสว่างแล้วแต่ก็ยังมืดอยู่ ทั่วเมืองเงียบสงบจนลืมไปว่าครั้งหนึ่งเคยพลุกพล่านขนาดไหน พอเดินรอบเมืองเสร็จนักดาบมนตราก็จัดเตรียมเสบียงและไอเทมที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ เดินทางไปทุ่งหญ้าที่เดิม ตั้งใจจะต่อสู้คนเดียวทดสอบดูว่าตัวเขาสามารถรับมือมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงกว่าได้แล้วหรือยัง

    หมูป่าตัวแรกที่เขาสู้ด้วยก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมๆ คือฟันแนวตั้ง ฟันขวางและพุ่งชาร์จด้วยความเร็วสูงเมื่อสู้ไปด้วยสักพักหนึ่ง ข้อมูลพวกนี้เอเซรู้ดีอยู่แล้วเพียงศัตรูโจมตีได้เร็วกว่าที่เขาคิดไว้โดยเฉพาะท่าพุ่งชาร์จที่ต่อให้ตั้งใจหลบแค่ไหนก็ยังโดนแบบเฉี่ยวๆอยู่เสมอ

    และความแตกต่างของกำลังก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เอเซเสียเปรียบ ถึงเขาจะไม่กระเด็นแบบมิยูแต่แรงปะทะก็ทำให้ชะงักไปวูบหนึ่ง กว่าจะจัดการศัตรูตัวแรกได้เขาใช้เวลาเกือบสิบนาที

    เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งแรกผลลัพธ์ครั้งนี้ดีกว่าคือเขาเสีย HP น้อยลง แต่สิ่งที่หดหายไปคือพลังเวทมนต์

    Magic Exchange หนึ่งในสกิลประจำอาชีพนักดาบมนตรา เปลี่ยนพลังเวทเป็นพลังโจมตีและพลังป้องกันทางกายภาพชั่วขณะหนึ่ง

    นักรบหมูป่าจึงกลายเป็นเหยื่อลองวิชาไปโดยปริยาย

    “สงสัยต้องเปลี่ยนสไตล์ดูแฮะ”

    นักดาบมนตรารำพึงกับตัวเองเบาๆ กวาดตามองหาเหยื่อที่ยืนอยู่ตัวเดียว ถึงมอนสเตอร์ชนิดนี้ไม่โจมตีก่อนและไม่ช่วยกันรุมผู้เล่นแต่ถ้ามันถูกลูกหลงจากการต่อสู้ มันจะวิ่งเข้ามาต่อสู้ด้วยทันทีเหมือนที่อากิรอสเคยโดนมาแล้ว

    ท้องฟ้าสว่างมากขึ้นตามเวลา สภาพรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปช้าๆโดยที่เอเซไม่ทันสังเกต ต้นไม้ใบหญ้าชูตัวรับแสง กลิ่นดินหอมกรุ่นระเหยจางๆผสานกับกลิ่นดอกไม้ป่า สายลมพัดสลับจากขวาไปซ้ายซ้ายไปขวาวนเวียนซ้ำซ้อน หากไม่ได้อยู่ในโลกเสมือนจริงคงยากที่จะหาที่ไหนที่ยังงดงามและคงความอุดมสมบูรณ์ได้ขนาดนี้

    ถึงเป็นโลกเสมือนจริงในเกมออนไลน์แต่ทีมผู้สร้างก็ทำให้ทุกอย่างสมจริงอย่างที่สุด เอเซแสบท้องเพราะความหิวเข้าจู่โจมจนต้องเลิกทรมาทรกรรมหมูป่าชั่วคราว หาที่นั่งพักทานอาหารเช้าใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร พอกัดเสบียงสำเร็จรูปคำแรกเข้าปากชายหนุ่มก็พลันนึกถึงอาหารฝีมือของไนซ์ทันที

    คิดได้แบบนั้นก็ลองเปิดรายชื่อเพื่อนขึ้นดูว่ามีใครล็อกอินเข้ามาแล้วบ้าง ปรากฏว่าไม่มีสักคนเดียว

    “มาช้ากันจริงเว้ย” เอเซบ่นไปกินไปแล้วสายตาก็สะดุดหยุดที่ข้อความของมิยู

    ‘อาจจะล็อกอินมาช้ากว่าที่บอกอีกหน่อย ฝากบอกทุกคนด้วยนะ’

    ชายหนุ่มยิ้มบางๆเมื่อนึกถึงเจ้าของข้อความ

    สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว นักรบหมูป่าล้มตายนับจำนวนไม่ได้ และสกิล Magic Exchange ของเอเซก็อัพถึงเลเวลสามจากการใช้งานล้วนๆ เมื่อผลของสกิลดีขึ้นก็ทำให้การต่อสู้ง่ายขึ้นอีกระดับแต่ก็ยังประมาทไม่ได้อยู่ดี

    จนป่านนี้ก็ยังไม่มีล็อกอินเข้ามาสักคนเดียว โดยเฉพาะเพื่อนสุดที่รักของเขาที่บอกว่าจะรีบเข้ามาแน่นอน

    นักดาบมนตรามองรอบตัวไม่เห็นมอนสเตอร์แม้แต่ตัวเดียว เป็นไปได้ว่าเขาฆ่าหมูป่าแถวนี้จนหมดเกลี้ยงและพวกที่เกิดใหม่ก็ไปกระจุกตัวอยู่ตรงไหนสักแห่ง ใจหนึ่งเขาก็อยากรอให้ทุกคนมาพร้อมกันแต่ใจหนึ่งก็ขี้เกียจรอ สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีโบราณในการตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง

    โยนเหรียญหัวก้อย – ถ้าออกหัวเขาจะอยู่รอ แต่ถ้าออกก้อยเขาจะมุ่งหน้าเข้าหุบเขาเพียงลำพัง

    เหรียญเงินหมุนตัวกลางอากาศและตกลงสู่พื้นหญ้าตามกฎแรงโน้มถ่วง ถึงจะหมิ่นเหม่เฉเอียงแต่ก็หันด้านก้อยอวดท้องฟ้า ชายหนุ่มก้มเก็บเหรียญและมุ่งหน้าเดินเข้าสู่หุบเขาที่ลึกเข้าไปยิ่งขึ้น ตลอดสิบนาทีไม่เห็นแม้แต่เงาของมอนสเตอร์แม้แต่ตัวเดียว พอผ่านช่องเขาขาดระยะทางสั้นๆก็เจอกับทุ่งหญ้าอีกแห่งหนึ่ง และที่นี่ก็มีทั้งนักรบหมูป่าที่เป็นมอนสเตอร์กึ่งมนุษย์และหมูป่าที่มีรูปลักษณ์สัตว์ป่าจริงๆ

    Big Boar Lv.25 มอนสเตอร์เผ่าสัตว์ หมูป่าขนาดใหญ่อวบอ้วนไปด้วยเนื้อและไขมัน

    เมื่อมีเหยื่อชนิดใหม่เพิ่มขึ้นมา เอเซก็ดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำเสริมพลังเวทแล้วเข้าโจมตีหมูป่าตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที แต่เหมือนฟ้าชังสวรรค์แกล้งเพราะข้อมูลศัตรูที่ตรวจสอบจากแว่นขยายไม่ได้บอกว่าหมูป่าพวกนี้จะช่วยกันรุมผู้เล่นที่สู้กับสมาชิกในฝูงของมัน กลายเป็นนักดาบมนตราต้องเอาชีวิตรอดวิ่งหน้าตั้งหนีหมูป่าร่วมเจ็ดแปดตัวปีนขึ้นต้นไม้แทบไม่ทัน

    ฝูงหมูป่าส่งเสียงฮึดฮัดใช้ขาหน้าตะกุยดินอยู่ที่โคนต้นไม้พักใหญ่แล้วค่อยๆแยกย้ายไปจนหมด

    “บ๊ะ! หมูแถวนี้ดุเป็นบ้าเลย สงสัยต้องเล่นแต่เจ้าตัวใหญ่ซะแล้ว”

    เขากระโดดลงจากต้นไม้เดินผ่านหมูป่าที่อยู่ข้างล่างไปอย่างระแวดระวัง กลัวว่ามันจะจำเขาได้และเข้ามาโจมตีอีกครั้งแต่สุดท้ายก็เดินผ่านมันไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอเซมุ่งหน้าไปหานักรบหมูป่าตัวที่อยู่ใกล้สุดเริ่มปฏิบัติการสังหารโหดมนุษย์หมูป่าอีกรอบ

    ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงโพชั่นและน้ำดื่มใกล้จะหมดเต็มทีเขาจึงคิดจะกลับเมืองอารันด์








    ทว่า...วันนี้คงเป็นวันโลกาวินาศหรือไม่ก็วันมหาวิปโยคของเอเซ แมคโดเวล ทันทีที่เขาหันหลังกลับก็เผอิญให้ได้สบตากับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่นี้

    นักรบหมูป่าตัวสูงใหญ่ร่วมสามเมตรแต่ผิดกับนักรบหมูป่าตัวอื่นตรงที่ผิวเป็นสีดำสนิท ดวงตาสีเหลืองบอกถึงความดุร้ายได้อย่างดี สวมเกราะหนัง มีดาบเล่มใหญ่ตัดปลายเป็นอาวุธ ถือโล่ไม้ในมือซ้าย

    Crazy Black Boar หมูป่าดำสายพันธุ์กึ่งมนุษย์

    เอเซอ่านยกแว่นขยายส่องหน้าหมูป่าดำสูงสามเมตรอีกครั้ง ข้อความที่ปรากฏก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขานึกถึงคำเตือนของกุห์ฟานที่ว่าถ้าส่องมอนสเตอร์ตัวไหนแล้วไม่บอกข้อมูลเลเวลแสดงว่าเป็น Rare Monster หรือไม่ก็เลเวลสูงมากจนตรวจสอบไม่ได้

    แต่ไม่ว่าแบบไหนก็ไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้วเพราะมันวิ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวดาบเล่มใหญ่ในมือของหมูป่าดำก็ฟาดเปรี้ยงเข้าให้ แรงปะทะผลักเขากระเด็นกลิ้งเหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่ผลัก ยังดีที่เขายกดาบขึ้นตั้งรับทันไม่อย่างนั้นคงตัวขาดเป็นสองส่วนไปแล้ว

    เอเซยันตัวลุกขึ้นสองแขนชาจนเกือบจะจับดาบไม่อยู่แต่หมูป่าดำก็ไม่ละเลิกความพยายามในการสังหารเขาวิ่งปรี่เข้ามาฟาดดาบใส่อีกครั้ง นักดาบมนตรารู้ซึ้งดีแล้วว่าพละกำลังของศัตรูมีมากขนาดไหนจึงกระโดดหลบให้ไกลที่สุดเท่าที่เขาจะไปได้ ดาบใหญ่ตัดพื้นดินเป็นแผลลึกเหมือนใช้คัตเตอร์กรีดแผ่นหนัง

    สัญชาตญาณของเขาตะโกนบอกจากภายในจิตใจว่าศัตรูตัวนี้ร้ายกาจเกินกว่าจะต่อสู้ด้วย แต่ทันทีที่เขาคิดจะหนีนักรบหมูป่าดำก็วิ่งเข้าจู่โจมเป็นพัลวันแถมมันยังวิ่งเร็วกว่าเขาด้วย เอเซถูกจู่โจมอยู่ฝ่ายเดียว แม้จะตั้งรับไว้ไม่ถูกดาบโจมตีเต็มๆแต่ก็ทำให้เสีย HP ได้เรื่อยๆเหมือนกัน ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าเขาจะหมดแรงไปก่อนหรือถูกโจมตีเต็มๆจนตายเอง

    “ไม่สู้ก็ตาย งั้นขอสู้ตายดีกว่า”

    แววตาของเอเซเปลี่ยนเป็นดุดันเหมือนคนโกรธจัด ดูดุร้ายไม่น้อยไปกว่านักรบหมูป่าดำที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงข้าม คลื่นพลังเวทสีส้มปะทุออกรอบตัว ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายบุกก่อน ดาบเคลย์มอร์ฟาดใส่ดาบใหญ่เต็มแรง ศัตรูผงะเล็กน้อยเท่ากับเปิดโอกาสให้เขากระหน่ำดาบฟาดไม่ยั้ง เสียงกู่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งเคล้ากับเสียงดาบปะทะดาบนับครั้งไมถ้วน

    ดาบใหญ่ฟาดถากขมับแต่หยุดเขาไม่ได้ ลำแสงสีเงินที่เกิดจากดาบเคลย์มอร์พาดเฉียงจากเอวซ้ายปาดออกไหล่ขวาของหมูป่าดำร่างยักษ์ เลือดข้นขุ่นทะลักจากปากแผลย้อมผมสีน้ำตาลเข้ม เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดของศัตรูไม่ดังเท่าเสียงหัวเราะสะใจของเอเซ แมคโดเวล

    นักรบหมูป่าดำเหวี่ยงดาบเป็นเส้นตรงลงมาถ้าโดนเข้าคงขาดกลางตั้งแต่หัวถึงก้นกบแน่นอน หากเป็นการต่อสู้ปกติเขาจะตั้งรับแล้วรอสวนกลับแต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ เอเซขบกรามเค้นกำลังจากทั้งร่างปัดดาบใหญ่พ้นจากวิถีที่จะทำอันตราย พริบตานั้นกระแสลมก็พัดรุนแรงราวกับเกิดพายุคลั่งโดยมีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง คมดาบวายุเฉือนร่างศัตรูซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าเกิดฝนเลือดโปรยปราย

    “รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มด้วยมั๊ยคร้าบ!?”

    เขาหัวเราะร่าประจุพลังเวทไว้ที่ดาบแล้วแทงพรวดทะลุลำตัวหนาอวบของนักรบหมูป่าดำ น่าเสียดายที่ไม่แม่นพอสำหรับตำแหน่งหัวใจและความประมาทเพียงพริบตาเดียวก็ทำให้เขาได้รับอันตราย โล่ไม้ฟาดเปรี้ยงเข้าเต็มหัว นักดาบมนตราร่วงกระแทกพื้นแถมโดนถีบซ้ำเข้ากลางท้องจนกระเด็น เขากลิ้งหลบเท้าที่กระทืบซ้ำแล้วถอยออกห่างเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง

    การต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อครู่จุดประกายแห่งชัยชนะให้กับเขา

    ทั้งคนทั้งมอนสเตอร์ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บเหมือนกันแต่ฝ่ายผู้เล่นดูจะเข้าใกล้ความตายมากกว่า แต่มนุษย์ย่อมฉลาดกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เอเซเปิดโพชั่นดื่มสองขวดรวดอย่างน้อยก็ช่วยยืดเวลาตายไปได้อีกหน่อย แรร์มอนสเตอร์พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งพร้อมเสียงคำรามขู่

    ดาบใหญ่ถูกปัดด้วยแรงมหาศาล เอเซใช้เวทมนต์แห่งลมช่วยหนุนเสริมพลังโจมตีให้มากขึ้นและอาศัยช่องโหว่นั้นเข้าประชิดตัวศัตรู แรงลมอัดมหาศาลระเบิดออกมาในพริบตาทั้งผลักทั้งเฉือนหมูป่าดำให้ถอยร่น เขาไม่ทำพลาดเหมือนครั้งก่อนที่เข้าประชิดตัวจนถูกอัดด้วยโล่ไม้ เขาเพียงโจมตีตัดกำลังของศัตรูไปเรื่อยๆ

    พอดาบใหญ่โจมตีมาอีกครั้ง เอเซบิดตัวปัดสุดแรงเสริมด้วยเวทลม จากนั้นบุกด้วยแพทเทิร์นเดิม

    เมื่อศัตรูเหลือ HP ต่ำกว่า 50% เอเซก็สามารถมองเห็นแถบเลือดที่เหลืออยู่ได้ ชัยชนะอยู่อีกครึ่งทางเท่านั้น

    ทว่า...สิ่งที่ไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด

    คลื่นพลังเวทสีม่วงเข้มปะทุออกจากปากแผลกลางอกของนักรบหมูป่าดำ เมื่อดาบใหญ่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทเข้มข้นก็ทำให้พลังทำลายล้างมากขึ้นเป็นเท่าทวี เอเซ แมคโดเวลลอยละลิ่วพร้อมกับเสียงปะทะดังสนั่นและเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง เขาปลิวไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตร ถ้าไม่มีต้นไม้นั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะลอยไปไกลถึงไหน แรงช็อกทำให้เขาชาไปทั้งตัวไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว ทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะเปล่งเสียง

    หมูป่าดำย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อที่ปางตายอยู่โคนต้นไม้

    “ต้องการให้ช่วยรึเปล่า?”

    น้ำเสียงยียวนกวนประสาทที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านบนต้นไม้ยักษ์ เอเซหันมองขึ้นไปหาที่มาของเสียงด้วยแรงที่เหลืออยู่น้อยนิด

    อากิรอส คีฟ ยิ้มแป้นแล้นอยู่ข้างๆซารุวาตาริ ทากะ ถัดออกไปคือกุห์ฟาน รีส ริยาส

    นักดาบมนตรายกนิ้วกลางส่งให้เพื่อนร่วมแคลนทั้งสาม

    “ช่วยไม่ได้แฮะ”

    นักเวทผมเทาถอนหายใจเบาๆพร้อมกับเรียกไม้เท้าคู่กายออกมาควง ทันทีที่เขาหันไม้เท้าไปยังหมูป่าดำลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งออกไปพร้อมกันถึงเจ็ดลูก เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นและเสาพระเพลิงพุ่งจรดฟ้า
    Aki, joi100, soulmaster และ อีก 1 คน ถูกใจสิ่งนี้
  21. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ผู้เขียนต้องการสื่ออะไร /*โดนตบ

    เปลี่ยนวิธีการเขียนหรือว่าอะไรสักอย่าง แต่ชอบมากนะ มันดูเป็นนิยายขึ้นเยอะ! มีการบรรยายฉากมากขึ้น มีการใช้คำบรรยายยาวๆเข้ามาคั่นระหว่างเรื่องแทนการโต้ตอบอย่างเดียว ตอนแรกมึนๆตอนตัดมาโลกปัจจุบัน (จริงๆอ่านแล้วก็ไม่ได้สะดุดหรอก ออกจะชอบครับ แต่ไม่มั่นใจว่าตัดกลับมาทำไม เพราะไม่ได้ effect กับการดำเนินเรื่องเลย) โดยรวมๆอ่านแล้วสนุกขึ้นเยอะเลย เพราะเริ่มมีเนื้อเรื่องมากขึ้น มีความสัมพันธ์มากขึ้น มิยูกับอาเซเป็นต้น

    ตอนสหาย 4 คนปรากฎตัวมาช่วยอาเซนี่สุดเท่!

    ....ว่าแต่นอกจากเล่นไพ่แล้วแคลนนี้ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลยรึ!
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  22. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ถ้าไม่เล่นไพ่ก็ระรานกวนชาวบ้านชาวเมืองไปเรื่อยครับ

    ขอบคุณ Zales กับ Soulmaster ที่กด like ด้วยครับ
    ส่วนไอ้คุณ joi100 ช่างมันเถอะ
  23. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 10 – Caution






    “ถ้ามาตั้งนานแล้วทำไมไม่ลงมาช่วยวะ!?” เอเซ แมคโดเวลแหกปากด่าเพื่อนร่วมแคลน ทั้งสามคนล็อกอินเข้าเกมและมาทันตอนเขาเริ่มสู้กับ Crazy Black Boar ตั้งแต่แรกแต่ไม่ยอมลงมาช่วยแถมนั่งดูอย่างสบายใจอีกต่างหาก

    ทากะชู Life Crystal สำหรับชุบชีวิตให้สหายดู

    “คิดจะใช้หินก้อนนั้นหลังจากที่เราตายแล้วสินะ?”

    “ว้าว! ถูกต้องนะคร้าบ” เสียงยียวนกวนประสาทของอากิรอสดังมาจากด้านหลัง

    เอเซหันไปคิดบัญชีกับเพื่อนตัวแสบ “ใครบอกว่าจะรีบล็อกอินมาคนแรก?”

    “พอดีรุ่นพี่ติดต่อมาเรื่องสอนพิเศษก็เลยมาช้าไปแค่สิบนาทีเอง”

    “สิบนาที? แล้วตอนนี้มันกี่โมงแล้วคุณอากิรอส”

    “เวลาในเกมมันเร็วกว่าเวลาในโลกจริงนะพี่เอเซ ผมก็ล็อกอินช้าเพราะคุยกับแม่อยู่” กุห์ฟานเข้ามาร่วมวงสนทนาหลังจากสำรวจซากนักรบหมูป่าดำที่ถูกรุมยำจนตายในท้ายที่สุด “สิบนาทีโลกจริงก็สี่ชั่วโมงในเกมแล้วนา”

    เมื่อได้ยินคำอธิบายจากกุห์ฟานเอเซเลยยอมสงบอารมณ์หงุดหงิด

    น้องเล็กแห่งแคลนมัลดิโตวางไอเทมที่นักรบหมูป่าดำดรอปไว้ตรงหน้าทุกคน มีชุดป้องกันระดับ E หนึ่งชุดประกอบด้วยเสื้อเกราะหนังส่วนอกและไหล่ เกราะแขนและรองเท้าบูท ศิลามนตราหกก้อนและแสตมป์ประจำตัวมอนสเตอร์สำหรับอาชีพนักสำรวจอีกหนึ่งดวง

    “เสียดายไม่ดรอปดาบใหญ่มาด้วย แต่เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วละ”

    “งวดนี้ได้สักกี่ตังค์?” ทากะ เอเซและอากิรอสถามพร้อมกัน

    กุห์ฟานส่ายหน้าเบาๆ รุ่นพี่ทั้งสามคนเป็นผู้เล่นจำพวกไม่สนใจตรวจสอบราคาไอเทมในตลาดซื้อขายแม้แต่น้อย เขาต้องรับหน้าที่เจรจาต่อรองซื้อขายมาตลอดทุกเกมที่เล่นด้วยกัน

    “ชุดป้องกันนี่ถึงจะแค่ระดับ E แต่ก็ขายได้ถึงสามพันกิลหรืออย่างน้อยๆก็สองพันห้า แต่ผมไม่ขายหรอก”

    “อ้าว!?” ทั้งสามประสานเสียงพร้อมกันอีกครั้ง

    “ชุดเกราะนี้พลังป้องกันสูงกว่าของที่ผมเตรียมไว้นิดหน่อย เอาไว้ใช้สู้บอสแล้วค่อยขายทีหลังหรือจะใช้ยาวๆเลยก็ได้ ศิลามนตราก็ให้พี่อากิกับพี่เอเซไว้ใช้ ส่วนแสตมป์นี้ให้พี่ทากะ”

    เมื่อไม่มีใครคัดค้านเหตุผลของเขา กุห์ฟานจึงเริ่มแจกจ่ายไอเทมให้ทุกคน อากิรอสได้ชุดเกราะทั้งชุดไปเพราะเขาที่เล่นอาชีพสายเวทมนต์มีพลังป้องกันต่ำที่สุด ทากะได้แสตมป์หมูป่าดำ และเอเซได้แค่ศิลามนตราไปทั้งหมด

    “เหนื่อยแทบตายได้หินหกก้อน?”

    “เอาน่ะพี่ เดี๋ยววันนี้ให้ไนซ์ทำเสต็กอร่อยๆให้กินละกัน” กุห์ฟานตบบ่าปลอบใจรุ่นพี่

    “พี่ทากะลองใช้สกิลกับแสตมป์ดูหน่อยสิ ผมอยากได้ข้อมูลของมอนสเตอร์ตัวนี้”

    ทากะทำตามที่รุ่นน้องบอก แสตมป์ในมือของเขาสว่างขึ้นมาและปรากฏหน้าต่างข้อมูล หลังจากได้อ่านข้อมูลแล้วกุห์ฟานก็ต้องตบบ่าเอเซอีกครั้ง

    “จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีละพี่ Crazy Black Boar เป็นแรร์มอนสเตอร์ที่มีโอกาสเจอแค่หนึ่งในสองพันเท่านั้นเองนะ”

    “เจอมันซัดปลิวติดต้นไม้แบบนั้นก็ต้องโชคร้ายสิวะ”

    “ก็เหมือนสกิลของพี่นั่นแหละใช้พลังเวทเพิ่มพลังโจมตีชั่วขณะแต่ของมอนสเตอร์แรร์ตัวนี้เรียกว่า Crazy Strike แทน”

    “ว่าแต่แม่ครัวคนเก่งของแคลนเรายังไม่มาอีกเหรอ?” อากิรอสเปลี่ยนประเด็นพูดคุย

    “คงทำการบ้านอยู่มั้ง จะว่าไปก็ไม่เห็นมิยูล็อกอินเหมือนกันนะ”

    “รายนั้นทิ้งข้อความบอกไว้ว่าจะมาช้ากว่าที่บอกตอนแรกหน่อยน่ะ”

    พูดคุยจิกกัดกันเองอีกเล็กน้อยชายหนุ่มสี่คนก็เริ่มยุทธการรังแกมนุษย์หมูป่าเพื่อเตรียมตัวต่อสู้กับเฟลริล

    อากิรอสต้องวิ่งหนีหมูป่าเขี้ยวตันร่วมสิบตัวปีนหนีขึ้นต้นไม้แทบเอาชีวิตไม่รอด กุห์ฟานก็เกือบถูกหมูป่าทั้งฝูงรุมทึ้งจนตายยังดีที่หนีได้แบบฉิวเฉียด เป็นการแก้เผ็ดในแบบฉบับของเอเซ เขาปิดปากเงียบไม่บอกข้อมูลของหมูป่าให้คนอื่นรู้ แต่ทากะไม่ตอแยกับหมูป่าพวกนั้นเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงเป็นคนเดียวที่อยู่รอดปลอดภัยไม่ถูกไล่ขวิดวิ่งจนต้องหนีขึ้นต้นไม้

    สีแสดเข้มที่ขอบฟ้าทิศตะวันตกถูกสีเทาดำรุกไล่มาจากฟากตะวันออก ป่ามืดครึ้มดูวังเวงน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ถึงเป็นเพียงสิ่งเสมือนจริงแต่เพียงพอจะเขย่าขวัญคนขวัญอ่อนให้กลัวได้

    เอเซพาดดาบบนบ่ากลับมาพร้อมถุงผ้าใส่เนื้อหมูป่าเต็มความจุ อากิรอสเดินพลางเซ็ตผมกลับมาแถมผิวปากอารมณ์ดีอย่างหนุ่มเจ้าสำราญ กุห์ฟานยุ่งอยู่กับหน้าต่างสนทนามากมายเหมือนนักธุรกิจพันล้านเช็คราคาหุ้น ทากะเดินหน้ามึนๆกลับมาเป็นคนสุดท้าย






    สี่หนุ่มเดินตัดป่าตัดทุ่งหญ้ากลับมาถึงเมืองอารันด์ พอดีกับไนซ์ติดต่อผ่านกุห์ฟานมาว่าเธอและมิยูรออยู่ที่ร้าน

    เมื่อทุกคนมาถึงสาวสวยเจ้าของร้านจัดแจงนำเนื้อหมูป่าที่เอเซแบกมาไปปรุงเป็นมื้อเย็นให้ทุกคน มิยูเสิร์ฟน้ำแอปเปิ้ลคั้นแช่เย็นฝีมือตัวเองให้ทั้งสี่ดื่มดับร้อนคลายเหนื่อย

    “มิยูทำรายงานส่งอาจารย์น่ะ” หญิงสาวตอบคำถามของอากิรอสว่าทำไมเธอถึงล็อกอินมาช้า

    “ไนซ์ก็ต้องทำรายงานส่งภายในอาทิตย์นี้เหมือนกัน”

    อากิรอสแซวขำๆ “ไม่ใช่ว่าสองคนนี้อยู่มหาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันหรอกนะ”

    คำตอบจากสองสาวคือไม่ใช่ มิยูเป็นนักศึกษาปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเอกชนส่วนไนซ์เป็นนักศึกษาปีสามมหาวิทยาลัยของรัฐและเป็นสายรหัสของกุห์ฟาน พอคุยถึงตรงนี้มิยูถึงเพิ่งรู้ว่าทุกคนอายุมากกว่าเธอโดยเฉพาะชายหนุ่มสี่คน

    พอเธอจะเรียกเขาว่า ‘พี่เอเซ’ เขากลับบอกให้เธอเรียกแบบเดิมดีแล้ว กุห์ฟานก็บอกว่าไม่ต้องเรียกเขาว่าพี่เหมือนกัน

    “แล้วตอนนี้พี่อากิทำงานอยู่ที่ไหนละ” สาวน้อยหน้าหวานถามกลับ “เอเซกับกุห์ฟานแล้วก็พี่ทากะด้วยนะ”

    “เป็นฟรีแลนซ์จ้า” เขาตอบพร้อมชูสองนิ้วอย่างมั่นใจ

    “พนักงานบริษัท” กุห์ฟานตอบเสียงอู้อี้เพราะกำลังเคี้ยวองุ่นอยู่

    “ช่างคอม” ทากะทำหน้ามึนๆตอบอย่างเรียบง่าย

    เอเซยกชาขึ้นจิบช้าๆก่อนจะตอบด้วยเสียงสุภาพอย่างที่ไม่เคยพูดให้เธอฟังมาก่อน “สวัสดีครับ เอเซรับสาย ยินดีบริการ”

    “แต่ละคนจัดเต็มทั้งนั้นโดยเฉพาะพี่เอเซ” ไนซ์อดแซวไม่ได้ เสียงหัวเราะสดใสของมิยูดังกังวาน คนอื่นได้แต่ยิ้มมีความสุขไปด้วย

    จู่ๆหน้าต่างสนทนาของกุห์ฟานเปิดขึ้นพร้อมกันหลายหน้าต่าง ทุกหน้าต่างล้วนมีสัญลักษณ์ Caution กระพริบถี่ๆ กุห์ฟานหลับตาผ่อนไหล่พิงพนักเก้าอี้ถอนหายใจหนักๆ เพราะ ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ หลายคนติดต่อมาพร้อมกันแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องด่วนแน่นอน

    หลังจากรวมให้ผู้ติดต่อทุกคนอยู่ในช่องสนทนาเดียวกัน นักล่าสมบัติผมแดงกดตกลงสนทนาและถามอย่างเรียบง่าย “มีอะไร?”

    “เฟนริลกำลังอาละวาดหนัก”

    “อีเวนต์เกิดเร็วกว่าที่คาดไว้”

    “มันฆ่าปาร์ตี้ที่รวมคนไปปราบถึงสามปาร์ตี้แล้ว”

    “ทางแบล็กแซนด์ส่งข่าวมาว่า ‘เซเลสเทียล’ กำลังรวมพลเพื่อมาปราบเฟนริล คงจะมาพร้อมกับแคลนพันธมิตรเจ้าประจำ”

    “งานนี้กลอเรียส อัลติมัสออกโรงเองด้วย ถ้าผู้เล่นระดับนั้นมาเองก็เชื่อได้เลยว่าบอสตายแน่ๆ”

    “...นายไม่ได้อยู่คนเดียวสินะ?”

    หนึ่งในคู่สนทนาปลายทางถามขึ้น กุห์ฟานตอบไปตามจริง “ใช่! อยู่กับไนซ์แล้วก็พวกพี่ๆในแคลน”

    ปลายทางเงียบไปอึดใจใหญ่

    “กว่าทางเซเลสเทียลจะเตรียมตัวพร้อมยังมีเวลาอีกสักพัก ที่เหลือก็แล้วแต่นายตัดสินใจนะกุห์ฟาน ทางเราไม่มีปัญหาใดๆพร้อมยกเลิก ‘ข้อตกลง’ โดยไม่มีเงื่อนไข”

    ทุกคนนิ่งเงียบรอให้กุห์ฟานตัดสินใจแม้จะสงสัยว่า ‘ข้อตกลง’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงคืออะไรกันแน่

    “ขอเวลาคุยกับพี่ๆสิบนาที เดี๋ยวติดต่อกลับ”

    คู่สนทนาปลายทางทยอยตัดการติดต่อไปทีละคนจนหมด

    “มีชอยส์ให้พี่ๆสองข้อ หนึ่งคือคิดซะว่าเมื่อกี๊ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็นั่งจิบชากันต่อปล่อยให้แคลนใหญ่เขาจัดการบอสไป สองคือเตรียมตัวรบเต็มอัตราศึกเพราะเป้าหมายอุตส่าห์มาเคาะประตูบ้านแล้ว”

    “ยังต้องถามอีกเหรอ!?” ทากะ อากิรอสและเอเซประสานเสียงตอบ

    “นั่นสินะ ไม่น่าเสียเวลาถามเลย” กุห์ฟานยังใจเย็นยกชาขึ้นจิบช้าๆ “มิยู...ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ถ้าคิดว่าไม่ไหวจะไม่ไปด้วยก็ไม่เป็นไรนะ”

    เธอยิ้มหวาน พูดชัดเจน “ถ้าไม่มีมิยูคิดว่าจะชนะบอสได้เหรอ?”

    เอเซหัวเราะดังลั่นตบเข่าดังฉาดดีใจอย่างออกหน้าออกตา “งั้นก็จัดชุดใหญ่ไปรับแขกกันเหอะ!”

    โพชั่นพื้นฟู HP หกกล่องใหญ่ร้อยสี่สิบสี่ขวด โพชั่นฟื้นฟู MP อีกหกกล่องเล็กเจ็ดสิบสองขวด ศิลามนตราอีกร้อยก้อนให้เอเซไปแบ่งกับอากิรอส นอกจากนี้ทุกคนยังได้ Life Crystal สำหรับชุบชีวิตอีกคนละสองก้อน

    สองสาวสวมเกราะ Light Steel สำหรับป้องกันช่วงอกและหัวไหล่ นอกจากนี้ยังมีเกราะแขนทำจาก Light Steel เช่นกัน มิยูใช้ดาบเหล็กกล้าทรงโค้ง ไนซ์ถือดาบบางใบแคบสองเล่ม เมดสาวช่วยมิยูผูกผมเป็นทรงหางม้าสูงเหมือนตัวเธอเองเพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวกด้วยริบบิ้นสีชมพูอ่อน

    เอเซมีเสื้อเชนเมลใส่เป็นเครื่องป้องกันหลักรวมถึงเกราะแขนอีกคู่ที่ได้จาก NPC ตอนเปลี่ยนอาชีพ ดาบเคลย์มอร์เล่มใหม่สงบนิ่งอยู่ในฝักข้างเอวซ้าย เขาจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่ ยกรองเท้าขึ้นมาผูกเชือกใหม่อีกครั้ง

    กุห์ฟานน้องเล็กหยิบถุงมือเปิดปลายนิ้วสีดำมาสวม คาดเข็มขัดร้อยซองมีดสี่เล่มสี่ชนิดเรียงเป็นตับที่เอวขวา ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างแล้วสะพายกระเป๋าคู่ใจขึ้นบ่าซ้าย

    อากิรอสแม้จะได้ชุดเกราะหนังจาก Crazy Black Boar ไปใส่แต่ก็ซ่อนการแสดงผลการสวมใส่ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ไม่เข้ากับชุดนักเรียนนานาชาติ’

    ทากะไม่ได้เตรียมตัวใดๆเป็นพิเศษ เพียงถอยไปนั่งหลับตาเรียกสมาธิอยู่ที่โซฟาด้านหลังโต๊ะอาหาร

    “แบบเดิมสินะพี่ทากะ” กุห์ฟานเตรียมตัวเสร็จก่อนคนอื่น ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆหัวหน้าแคลน

    มิยูตามมานั่งเป็นคนที่สาม “แบบเดิม?”

    “สไตล์ของทากะคือไม่สวมเครื่องป้องกันใดๆเพื่อความคล่องตัวและความเร็วสูงสุด หลบพ้นก็รอดโดนฟาดก็ปางตาย” เอเซเป็นคนอธิบาย

    ทากะชูสามนิ้วให้มิยู “โดนจังๆได้แค่สามทีเท่านั้น เกินกว่านี้ก็ไปเจอกันที่โรงพยาบาล”

    มิยูขมวดคิ้วคิดจะถามบางอย่างกับทากะแต่ก็เปลี่ยนใจกลางคัน สูดลมหายใจลึกๆทำสมาธิบ้าง อากิรอสทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมิยู ไนซ์นั่งลงโดยสงบข้างๆกุห์ฟานเรียงหน้ากระดานห้าคนโดยมีทากะเป็นศูนย์กลาง

    มิยูสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ ความเงียบทำให้เธอได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองพร้อมกับเสียงลมหายใจของคนอื่น ผ่านไปสักพักเสียงลมหายใจของคนอื่นจางหายไปทีละคนจนเหลือเพียงเสียงเดียว ลมหายใจของทุกคนประสานกลายเป็นหนึ่งอย่างน่าประหลาด

    หญิงสาวเกิดความรู้สึกหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

    เอเซเลื่อนดาบออกจากฝักช้าๆ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากขณะฟังเสียงคมดาบเสียดสีกับปลอกเหล็กราวกับเป็นเสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์ เขากระแทกดาบกลับลงฝักเกิดเสียงกังวานแทนเสียงระฆังออกศึก






    สองหญิงสาวสี่ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปที่ประตูตะวันออก ตอนเดินผ่านจัตุรัสกลางเมืองยังสัมผัสได้ยินผู้เล่นคุยแต่เรื่องเฟนริลอาละวาดอยู่นอกกำแพงเมือง พอมาถึงประตูเมืองก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ประตูบานใหญ่ปิดสนิทรวมถึงประตูเล็กสำหรับเข้าออกฉุกเฉิน กุห์ฟานเดินไปคุยกับทหารยามแล้วกลับมาบอกทุกคนว่าทหารยามปฏิเสธคำขอเปิดประตูซึ่งก็เป็นเรื่องที่คิดไว้แล้วเช่นกัน จากนั้นเดินนำขึ้นบันไดเล็กๆขึ้นสู่ด้านบนของกำแพง มีผู้เล่นจับกลุ่มพูดคุยและสังเกตการณ์อยู่ตลอดแนวกำแพง

    ทากะหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องไปในความมืด เสียงหมาป่าหอนกันเกรียวกราวเหมือนรู้ว่าจะมี ‘เหยื่อ’ รายใหม่มาสังเวยคมเขี้ยวของพวกมันอีกแล้ว หัวหน้าแคลนมัลดิโตกวาดกล้องไล่ตามที่มาของเสียงจนพบตำแหน่งของบอส

    “เจอตัวแล้ว!”

    เอเซเข้ามาขอกล้องไปส่องดูบ้างก็เห็นแสงสีนวลรางๆในความมืดริมชายป่า ระยะหนึ่งกิโลเมตรบวกลบสองร้อยเมตร นอกจากนี้ยังเห็นหมาป่ายักษ์ฝูงใหญ่และมนุษย์หมาป่าอยู่รอบๆอีกด้วย

    กุห์ฟานติดต่อสมาชิกของ ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ อีกครั้งเพื่อบอกผลการตัดสินใจ

    “แคลนเซเลสเทียลเพิ่งออกเดินทางเมื่อกี๊เอง มาตามปกติก็สี่ชั่วโมงแต่ถ้าเร่งหน่อยก็สามชั่วโมง”

    อากิรอสวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมดก่อนจะบอกว่า “แคลนระดับนั้นคงไม่เดินเท้ามาหรอก คิดเผื่อไว้ก่อนว่ามีเวลาแค่สองชั่วโมงก็แล้วกัน”

    “ประตูเปิดไม่ได้แล้วจะลงไปข้างล่างยังไงละ?”

    อากิรอสและกุห์ฟานยิ้มกับคำถามใสซื่อของมิยูแล้วตบบ่าเธอพร้อมกัน คนที่กระโดดนำเป็นตัวอย่างคือ ไนซ์ ทากะและเอเซ สองหนุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องจับเอวมิยูกระโดดลงไปด้วยกัน เธอตกใจร้องกรี๊ดดังสนั่นเพราะถูกพาดิ่งพสุธาแบบไม่ได้ตั้งตัว

    ผู้เล่นและ NPC ทหารยามวิ่งกรูมาถึงจุดที่พวกเขากระโดดลงไป มองดูคนทั้งหกขยับตัวยืดเส้นยืดสายวอร์มอัพก่อนจะไปลุยกับเฟนริล บนกำแพงเมืองมีคนพูดตามหลังพวกเขาไป “มีคนรนหาที่ตายอีกแล้ว”

    “ตามแผนเลยนะ” กุห์ฟานบอกสั้นๆแต่ทุกคนเข้าใจดี

    เฟนรินเป็นมนุษย์หมาป่าขนสีเงิน ดวงตาแดงก่ำเหมือนโกเมน แผงขนที่หน้าอกเรื่อเรืองแสงสีเงินสว่าง ถือดาบใหญ่สีดำตัดปลายตรงในมือขวา กรงเล็บสีเงินที่มือซ้ายใหญ่พอที่จะขย้ำศีรษะมนุษย์ให้แหลกได้

    อากิรอสขยับปากพึมพำ ลูกไฟดวงใหญ่พุ่งวาบจากปลายไม้เท้าระเบิดฝูงหมาป่าแตกกระเจิงช่วยเปิดทางให้กองหน้าคือทากะและเอเซเข้าถึงตัวบอสให้เร็วที่สุด หมาป่ายักษ์ขนสีฟ้าแยกเขี้ยวกระโจนโจมตีจากซ้ายขวาแต่ช้ากว่าสองสาวที่วิ่งเข้าไปรับมือแทน

    การต่อสู้กับเฟนริลเปิดฉากขึ้นเมื่อดาบเคลย์มอร์ฟาดใส่ดาบดำเล่มโตของบอส เสียงปะทะดังสนั่น สะเก็ดไฟกระเด็นวาบ มิยูรับมือมนุษย์หมาป่าทางปีกซ้าย เมดสาวดูแลพื้นที่ฝั่งปีกขวา กุห์ฟานจับคู่กับอากิรอสคอยระวังหลังให้เอเซและทากะ จัดฟอร์เมชั่นเป็นรูปตัว Y ล้อมศัตรูไว้

    ถึงตอนนี้ทั้งกองหน้าทั้งสองยังโจมตีบอสให้ถนัดถนี่ไม่ได้ ทำได้เพียงเฉียดไปเฉียดมาเท่านั้น กลายเป็นพวกเขาสองคนที่ถูกบอสเล่นงานจน HP ลดฮวบๆต้องสลับกันเข้าไปสู้เพื่อให้อีกคนถอยไปใช้โพชั่น

    “เก่งนักเหรอวะ? ไอ้หมาบ้า! เอเซตะโกนกร้าว ดวงตาคมปลาบ ดาบเคลย์มอร์เรืองแสงสีฟ้าห่อหุ้มด้วยพลังเวทมนต์กล้าแข็ง

    เฟนริลโจมตีด้วยสกิล [ Vertical Slash ] เอเซใช้ประสบการณ์ที่ต่อสู้กับ Crazy Black Boar ปัดดาบในมือบอสเบี่ยงออกไป อาศัยแรงโถมบิดตัวกลับฟันกลางอกได้หนึ่งดาบ เลือดขุ่นข้นสาดกระเซ็นพร้อมเสียงคำราม กรงเล็บสีเงินพุ่งเข้ามาจะคว้าคอนักดาบมนตรา ทากะสะบัดดาบโจมตีหยุดกรงเล็บได้ทันก่อนจะทำอันตรายคู่หูได้

    “สหายเอเซถ่วงเวลาให้สักแปปนึงได้ไหม? สักยี่สิบวินาทีหรือถ้าได้สามสิบก็ดี”

    “ไม่รับปากนะเว้ย!”

    นักดาบมนตรายิ้มร่าวิ่งเข้าหาเฟนริล ทากะประสานดาบไว้ที่กึ่งกลางร่างกายจรดปลายดาบขึ้นฟ้า หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกผ่อนระบายออกช้าๆ รวมสมาธิให้เป็นหนึ่ง

    เฟนริลต่อสู้ติดพันกับเอเซอยู่นานจึงใช้สกิล [ Vertical Slash ] อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ปัดให้ดาบกระเด็น แต่ยกดาบพาดเกราะแขนซ้ายตั้งรับการโจมตีตรงๆ ออกแรงต้านพละกำลังมหาศาลที่กดลงมาอย่างหนักหน่วง มุมปากนักดาบมนตราปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “มิชชั่นคอมพลีท!”

    ทากะหายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่เสมือนนกเหยี่ยวโผบินเข้าหาเหยื่อ บอสหมาป่าถูกฟันตัดสีข้าง เลือดหยดแรกตกลงถึงพื้นช้ากว่าการโจมตีครั้งสอง สาม และสี่

    หนึ่งกระบวนท่าสี่ดาบสังหาร ทุกดาบล้วนเป็นการโจมตีแบบคริติคอล

    เฟนริลคำรามอย่างเจ็บปวดหันกลับจะไปเล่นงานทากะ จู่ๆเกิดลมกระโชกเข้าหามันพร้อมคมดาบวายุนับไม่ถ้วนเฉือนร่าง เอเซตามติดเข้าประชิดไม่ให้บอสเปลี่ยนเป้าหมายต่อสู้

    “สกิลจะหมดเวลาแล้วนะ ยังไม่เสร็จอีกเรอะ!?”

    “บอสเหลือเลือดเท่าไรด้วย?” ทากะตะโกนถามตามมา

    “แปปนึงเพ่” กุห์ฟานตอบกลับ เปิดหน้าต่างสกิลขึ้นมากดคำสั่งรัวๆ แถบ HP ของเฟนริลปรากฎขึ้น 4 แถบ และแถบแรกลดลงไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง

    “บอสเหลือเลือด 83 เปอเซ็นต์ ยื้อไว้แปปนึงนะพี่”

    รุ่นพี่ได้ยินคำตอบจากรุ่นน้องได้แต่ก้มหน้าก้มตาประลองเพลงดาบกับเฟนริลต่อไป

    “เชนจ์!”

    มิยูตะโกนบอกจากด้านหลัง ชายหนุ่มลังเลชั่วขณะก่อนตัดสินใจถอนตัวให้เธอเข้าไปสู้แทน เอเซหยิบโพชั่นออกมาดื่มฟื้นฟู HP และ MP เตรียมเข้าไปต่อสู้อีกครั้ง เขาจับจ้องการต่อสู้ไม่คลาดสายตา ดวงตาสีน้ำตาลแสดงความร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

    “ไม่ต้องห่วงหรอก เธอไม่อ่อนแอขนาดนั้นนะคะ” ไนซ์วางมือลงบนบ่าเอเซแผ่วเบา

    “พร้อมแล้ว!”

    กุห์ฟานตะโกนบอกพร้อมยกมือให้สัญญาณ ชายหนุ่มตบบ่าเมดสาวคืนทำนองว่า ‘ฝากด้วยนะ’ เธอยกนิ้วโป้งตอบว่า ‘ไว้ใจได้เลย’ แล้ววิ่งไปประจำจุดของตัวเอง เอเซสลับเข้าไปสู้ให้มิยูถอยออกมาเพื่อไปประจำจุดเช่นกัน จอมวางแผนของแคลนมันดิโตนับสิบถอยหลังมาถึงหนึ่ง

    “ถอยได้!”

    เอเซและทากะถอนตัวหันหลังวิ่งหนีทันที เฟนริลไม่ปล่อยให้เขาหนีง่ายๆไล่กวดมาติดๆ

    ธนูเงินแหวกอากาศปักเข้าไหล่เฟนริลแล้วระเบิด พลังทำลายไม่รุนแรงแต่เพียงพอให้มันชะงัก บอสหมาป่าโก่งคอคำรามเปลี่ยนเป้าหมายไปยังไนซ์ที่เปลี่ยนไปใช้ธนูคันเล็กกะทัดรัด ดาบดำเล่มโตแหวกอากาศตัดผ่านร่างหญิงสาวในชุดเมด เธอสลายไปเหมือนหมอกต้องแสงอาทิตย์แรกอรุณ

    พื้นที่ตรงนั้นปรากฏวงเวทเรืองแสงขึ้น เกิดระเบิดสามครั้งซ้อน เปลวไฟสว่างจ้าเห็นได้ชัดแม้อยู่บนกำแพงเมืองที่ห่างไกล ผู้เล่นหลายคนที่สังเกตการณ์ด้วยกล้องส่องทางไกลครางฮือผิดคาดกับฝีมือของปาร์ตี้หกคนแต่สามารถรับมือบอสได้ยาวนานกว่าปาร์ตี้ที่มีเกือบยี่สิบคนแถมยังมีโอกาสชนะบอสอีกด้วย

    ที่บอสโจมตีเป็นเพียง ‘dummy’ สร้างขึ้นด้วยสกิลกับดับของอาชีพนักล่าสมบัติ [ Illusion ] ความสามารถของกับดักนี้คือสร้างภาพมายาและเคลื่อนย้ายผู้เล่นในปาร์ตี้เดียวกันออกจากตำแหน่งเดิม และโจมตีศัตรูที่ทำลาย ‘dummy’ ด้วยกับดัก [ Blast Zone ] ขอบเขตกับดักคือรัศมียี่สิบเมตรรอบตัวกุห์ฟาน และเขาต้องควบคุมกับดักทั้งหมดด้วยมือตัวเองเท่านั้น

    เฟนริลฝ่าเปลวไฟออกมามองหาไม่เห็นใครนอกจากทากะยืนอยู่คนเดียวไม่ห่างไกล มันวิ่งเข้าหาเป้าหมายตามโปรแกรมกำหนดไว้ หัวหน้าแคลนมัลดิโตต่อสู้กับศัตรูได้สักพักเมื่อได้ยินสัญญาณให้ถอยจากกุห์ฟานก็ถอนตัวหันหลังวิ่งหนี แน่นอนว่าเฟนริลวิ่งไล่ตามอีกครั้ง

    อากิรอสยืนอยู่ในทิศทางที่ทากะหนี เขาควงไม้เท้ารออย่างเย็นใจ ไม้เท้าเรืองแสงขึ้นเรื่อยๆเมื่อหมุนครบรอบ ลูกไฟค่อยๆก่อตัวอยู่เหนือศีรษะและขยายใหญ่ขึ้นเมื่อไม้เท้าหมุนครบรอบเช่นกัน เขาหันหัวไม้เท้าชี้ไปยังเฟนริลเมื่อมันเข้าระยะสังหาร เปลวไฟไหลเข้าสู่ไม้เท้าราวกับถูกดูดกลืน แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงเล็กๆนับไม่ถ้วนบิดเกลียวหลอมรวมกลายเป็นลำแสงเพลิงขนาดใหญ่โจมตีใส่ราชาแห่งหมาป่า

    มันมีปฏิกิริยากับการโจมตีด้วยเวทมนต์ ใช้ดาบต้านรับลำแสงเพลิงของนักเวทผมเทาไว้ได้ อากิรอสตกตะลึงเพราะเวทมนต์ที่อุตส่าห์ฝึกพิเศษแทบเป็นแทบตายใช้กับบอสไม่ได้ผล

    กุห์ฟานรีบคำนวณแผนใหม่อย่างรวดเร็ว เขาเปิดช่องสนทนาภายในปาร์ตี้เพื่อคุยกับทุกคน

    “ผิดแผนนิดหน่อย ไม่นึกว่าดาบเล่มนั้นจะดูดกลืนเวทมนต์ได้ ต่อไปให้ไนซ์ธนูโจมตีคนเดียวพอ พี่อากิมาช่วยเสริมพลังเวทให้ผม ส่วนคนอื่นรออยู่ในอาณาเขตทำตามแผนเดิม”

    “กุห์ฟานเดี๋ยวก่อน” มิยูพูดแทรกขึ้นมา “ลองโจมตีด้วยเวทมนต์แบบอื่นดูดีไหม?”

    ไนซ์สนับสนุนความคิดของมิยู “เห็นด้วยนะ ลำพังธนูเงินไม่พอจะล้มบอสได้หรอก ต้องมีวิธีที่เวทมนต์ใช้ได้ผลบ้างสิ”

    “...ลองดูก็ได้ พี่อากิครั้งต่อไปใช้เวทมนต์ธรรมดาดูนะ”

    ระหว่างที่ทุกคนตกลงแผน คนที่ออกไปต่อสู้กับเฟนริลคือเอเซและทากะ ทั้งสองผลัดโจมตีจากซ้ายขวาจนผลของสกิล [ Magic Exchange ] ใกล้จะหมดลงจึงมีสัญญาณให้ถอย คู่ดูโอนักดาบสองสไตล์ถอยแต่โดยดีวิ่งหนีนำทางบอสไปพบกับอากิรอส ลูกไฟดวงใหญ่อัดแน่นด้วยพลังเวทมนต์สามลูกตรงปรี่โจมตีศัตรูอย่างแม่นยำ เกิดระเบิดสามครั้งซ้อนและเสาเพลิงจรดฟ้าเป็นเครื่องหมายการค้าของนักเวทผมเทา

    เฟนริลทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง กุห์ฟานตรวจสอบ HP ที่เหลือของมันแล้วบอกกับทุกคนว่าตอนนี้บอสเหลือ HP ต่ำกว่า 50% แล้ว

    “สำเร็จ”

    มิยูสลับออกไปสู้โดยมีไนซ์ถือธนูคอยคุมเชิงอยู่ห่างๆ ดูเหมือนเฟนริลชะงักไปเมื่อเหลือ HP ต่ำกว่าครึ่ง โจมตีช้าไม่รุนแรงเหมือนเก่า เคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ผู้เล่นอย่างมิยูยังสามารถรับมือและต่อสู้ให้มันบาดเจ็บได้






    ปลายทางแห่งชัยชนะอยู่อีกเพียงเอื้อมมือแต่ในใจของนักดาบมนตราเกิดความรู้สึกประหลาด เป็นความรู้สึกอึดอัดบีบหัวใจ สัญชาตญาณของเขาร้องเตือนมาจากก้นบึ้งของหัวใจว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้าย

    ลางสังหรณ์ในเรื่องร้ายๆของเขาไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
    Ryuto, Aki และ joi100 ถูกใจสิ่งนี้
  24. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ถ้าตามรูปแบบคลาสสิคเวลาบอสใกล้ตายก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบต่อสู้ใหม่สินะ >_<
  25. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ถูกอัญเชิญมาหลายหนแล้ว จะมาคอมเม้นท์ให้ดู
    ได้ข่าวว่าผู้เขียนเปลี่ยนวิธีเขียนแทบตายกว่าจะคลอดได้ ฮาา

    ในเรื่องของภาษา เฉพาะภาษาที่ใช้ ตอนนี้ใช้ภาษาได้ดีมาก มากที่สุดเท่าที่เคยอ่านก็ว่าได้ คาดว่าเพราะมีเวลา re-write หลายๆรอบ บทสนทนาไม่เร่งร้อนเหมือนเดิมแล้ว ถือว่าเป็นส่วนดี
    การใช้ภาษาบรรยายภาพของ skill บรรยายได้ดีมาก เห็นภาพชัดเจนทั้งกับดักที่ล่อเข้ามาให้ระเบิด และการร่ายเวทย์ของอาิกิรอส ลักษณะของกุห์ฟานตอนนี้ค่อนข้างชัดเจน เป็นตัวละึครที่เห็นภาพชัดขึ้นมาเยอะ และดูน่ารักมาก (ต๊าย... ชมแบบนี้เลย) มีเครือข่ายกุห์ฟานด้วย อันนี้ชอบมากๆ เป็น support ให้เห็นว่าตัวละครเป็นสายข่าวสาร และเน้น support เพื่อนฝูง

    จุดด้อยของตอนนี้คือ การวางกลยุทธ์โจมตีที่ซับซ้อนเกินไป เกินกว่าข้อจำกัดทางภาษาจะบรรยายได้ นอกจากช่วงล้อมรูปตัว Y แล้ว การบรรยายตำแหน่งไม่ชัดเจนเท่าไร จริงๆเห็นอยู่ว่ามีการสลับ formation เรื่อยๆ มีแนวหน้าสลับกันโจมตี ถอยร่น แต่บางครั้งตัวละครบางตัวกลับตกขอบไปเฉยๆ แต่ผมว่านี่เป็นปัญหาปรกติของนักเขียนที่เขียนการต่อสู้เป็นหมู่ เพราะเวลาเรา scope ไปที่คนสองสามคน อีกที่เหลือจะหายไปจากจอ จนเรางงว่าเขาหายไปไหน หรือยืนอยู่เฉยๆ

    ภาพของเซเลสเทียลก็หายไปเสียเฉยๆ ตอนอ่านนี่สับสนอยู่นะว่า เอ้า ทำไมหายไปจากบทบาทซะงั้น


    มาส่วนที่ดีกัน

    ส่วนที่บรรยายและดึงอารมณ์ดีมากคือช่วงนี้

    การรัวของหน้าต่างสนทนาทำให้เห็นว่าสถานการณ์คับขัน ตัดกับบรรยากาศตอนสมาชิกกิลด์กำลังนั่งตั้งสมาธิได้เข้าจังหวะพอดี ทำให้เห็นภาพการเกิดของบอสทันที

    อีกช่วงคือช่วงนี้

    ผมเดาเอาเองว่า การค่อยๆพูดถึงตัวละครทีละคนๆ จะทำให้ภาพชัดเจนขึ้น กลับกันตอนตะลุมบอนมันเกิดพร้อมๆกัน ทุกคนต่างก็ action เลยมองภาพแทบไม่ออก

    ถ้าจะเห็นภาพหน่อยก็ช่วงที่บอสเริ่มติดกับดัก มันเริ่มมีภาพช้าลงบ้างแล้ว

    จริงๆน่าจะชูบทบาทของมิยูขึ้นอีกหน่อย จะทำให้เห็นชัดขึ้นว่าเธอกำลังพยายามลงสนามจริงครั้งแรกอยู่
    interact ระหว่างมิยูกับไนซ์น้อยไป ถ้ามี interact มากขึ้นจะสมใจผู้เขียนที่อยากให้ไนซ์เป็นพี่เลี้ยง
    ทากะเป็นสายโจมตีไว ทำให้ภาพของทากะหายไปจากวงต่อสู้เสียอย่างนั้นเลย
    อากิรอสตอนที่ทุกคนกำลังตะลุมบอน ฮีทำอะไรอยู่? เข้าใจว่าเป็นสายเวทย์ น่าจะอยู่แนวหลัง แต่บรรยายภาพมั่งก็ได้ว่าฮีอยู่ตำแหน่งไหน

    ไม่รู้จะแนะนำยังไง นอกจากต้องค่อยๆเกลาฝีมือไป มันยากอยู่เหมือนกัน แต่บทบาทกับการใส่เนื้อเรื่องดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ
    Ryuto, Aki, joi100 และ อีก 1 คน ถูกใจสิ่งนี้
  26. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ประมาณนั้นครับ แต่จะเป็นแบบไหนต้องติดตามอ่านตอน 11 ครับ :D

    น้อมรับคำแนะนำครับ m(_ _)m

Share This Page