[ฟิคลูกโซ่] All Fiction Fantasy

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 30 สิงหาคม 2010.

  1. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ผมบรอนซ์ - บลอนด์
    อเล็ก - อเล็กซ์ฺ
    ที่ใหน - ที่ไหน
    มาณ.จุด - มา ณ จุด

    เผาคำผิดเสร็จแย้ว..... ทรีคงานเข้าสิ =w="a
  2. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    "ห้ามทำไฟดับนะ ถ้าเสาเพลิงดับลงหนึ่งต้น ก็ลบหนึ่งคะแนนทั้งชั้นเรียน"

    จะเอาตัวรอดยังไงดีล่ะแบบนี้....
  3. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    แก้ไขคำผิดเสร็จสิ้น....

    ผมผิดไปแล้ว!! คราวหน้าจะไม่มานั่งเผางานตอนตี1อีกแล้วคร้าบ!!
  4. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ขณะที่ทรีคกำลังเจอของแข็งกับการทดสอบของเบนิออส อีกด้านหนึ่ง...

    (จะเข้าเรียนทันมั้ยเนี่ยตู.... แม่เจ้า)

    วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย กำลังออกแรงวิ่งหลังจากที่หลับเป็นตายไปวันหนึ่ง เขานึกเสียใจเล็กน้อยที่ผลาญเวลาไปกับการต่อล้อต่อเถียงกับทรีค รูมเมทของเขา แม้เขาจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะเห็นอะไร “นูนๆ” บริเวณช่วงอกของอีกฝ่าย

    (ตาฝาดล่ะมั้ง?)

    หนุ่มน้อยสะบัดศีรษะสลัดความคิดฟุ้งซ่านสมวัยหนุ่มกลัดมันทิ้ง ก่อนที่จะเร่งฝีเท้าให้ทันเข้าเรียนวิชาเลือกของเขา แต่บในขณะที่วิ่งไปได้ครึ่งทางนั้น

    “!!”
    ตึง!!!!

    อะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว สิ่งนั้นทำให้วาเลียเสียจังหวะในการวิ่งจนข้อเท้าพลิกและล้มลงไปกระแทกกับผนังในระเบียงทางเดินทางขวาของตนอย่างจัง

    “อึก.... กรอดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

    หนุ่มผมดำกัดฟันกลั้นเสียงคำรามแห่งความเจ็บปวด มือขวาซึ่งสวมถุงมือหนังนั้นจิกลงบนขมับซีกขวา ในชณะที่อีกข้างหนึ่งพยายามฝืนแรงยันร่างลุกขึ้นจากพื้น เข่าทั้งสองสั่นเท่าด้วยความทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะไม่รู้ที่มา

    “อีก.... แล้วเหรอวะเนี่ย....... โธ่โว้ย”

    ปากของเขาสบถออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นนั้น และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง...

    “ไม่ได้... จะมาครวญครางหาพระแสงอะไรตรงนี้ฟะ... ไอ้สวะ.....”

    มือขวาอีกข้างทุบลงกับพื้นแล้วยันร่างกายซีกขวาให้ลุกขึ้นมา ก่อนที่จะยกแขนทั้งสองขึ้นไปพยุงกับเสาคอนกรีตข้างกาย แล้วออกแรงเดินไปยังห้องเรียนอย่างทุลักทุเล แม้จะใช้เวลานานมาก แต่ด้วยความอดทนเป็นพิเศษ ทำให้วาเลียสามารถมาถึงห้องเรียนได้ในที่สุด...

    ในสภาพคลานต่ำ เพราะระหว่างทางอาการปวดศีรษะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนขาทั้งสองไม่อาจแบกรับน้ำหนักกว่าแปดสิบกิโลกรัมได้อีกต่อไป

    “อีก... นิด..... เดียว.........”

    มือซ้ายของเขายกขึ้นเอื้อมไปหาประตู แต่แขนเขายังนั้นเกินไป ไม่ถึงประตู... ในตอนนั้นเอง กระแสอากาศรอบๆมือซ้ายก็บิดผัน พร้อมๆกับบานประตูที่สั่นขึ้นมาเอง เขาออกแรงโยกมือข้างนั้นไปทางซ้ายราวกับเปิดประตูที่กำลังขยับเขยื้อนไปทางซ้ายอย่างช้าๆ ไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นห้องเรียนอันว่างเปล่า ไม่มีใครซักคน ไม่ว่าจะนักเรียน หรือครูผู้สอน

    เขาคงมาช้าเกินไป ตอนนี้วิชาเรียนต่างๆคงเลิกเรียนกันหมดแล้ว ความรู้สึกขุ่นหมองในใจของวาเลียกลั่นตัวขึ้นและถูกระบายออกมาด้วยการทุบกำปั้นลงบนพื้นด้วยมือซ้าย

    (โธ่โว้ย...... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ!?)

    “ไหวมั้ยเจ้าหนู!?”

    เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากทางขวาของวาเลียพร้อมกับเสียงผีเท้าดังก้องขึ้นจากทางเดียวกัน เขาหันไปมองยังต้นเสียงขณะที่พยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง
    เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มซึ่งดูเป็นวัยรุ่น แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่เช่นกัน เรือนผมสีชาดปลิวไสวไปตามแรงลม ชุดนักเรียนสีขาวชายเสื้อยาวกว่าคนอื่น แม้จะเป็นเด็กใหม่อย่างวาเลียแต่เขาก็จำได้

    ชายคนนั้นคือ วลาดิเมียร์ กัลเวซ... ประธานนักเรียนคนปัจจุบันของโรงเรียนแห่งนี้

    แล้ว... เขามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ......

    “โว๊ะ.... มีคนเดียวเหรอเนี่ย ปีนี้....... เอ้า ยืมแขนหน่อยเจ้าหนู”
    (ผมอายุ 18 แล้วนะเฮีย...)

    วาเลียบ่นกับตัวเองในใจ แต่ก็ยกแขนขวาขึ้นมาอย่างเต็มใจ วลาดิเมียร์เห็นเช่นนั้นก็จับแขนที่รุ่นน้องยื่นมาให้ ขึ้นมาพาดบนคอของตน ขณะที่แขนซ้ายก็ช่วยพยุงร่างของปีหนึ่งเข้าไปในห้องเรียนซึ่งถ้าไม่นับวลาดิเมียร์ กัลเวซเป็นผู้ช่วยการสอน ก็มีนักเรียนเพียงแค่ “เขา” คนเดียว

    เป็นชั้นเรียนที่เหงาเป็นบ้า....

    “ดีจังแฮะ ในที่สุดปีนี้ก็มีนักเรียนที่ใช้ฟอร์ซเป็นซักที ฮ่าๆๆๆๆ ว้ากฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
    (ฟอร์ซ? พูดเรื่องอะไรกันน่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง แล้วนั่นจะหัวเราะทำไมครับ)

    วาเลียทำหน้างงๆกับสิ่งที่ชายคนหนึ่งในห้องเรียนพูดขึ้น เขาคนนั้นมีเส้นผมสีเดียวกับเขา สวมแว่นตาทรงรี ผิวของเขาค่อนข้างขาวแต่ยังมีสีผิวคล้ายชาวเอเชียอยู่บ้าง ส่วนสูงก็ไล่เลี่ยกันกับเขาและวลาดิเมียร์ จากชุดแต่งการที่ไม่ใช่ชุดนักเรียนและคำพูดเช่นนั้นคงเดาได้ไม่ยากว่าชายผู้นี้คือครูผู้สอนวิชา ว่าด้วยเรื่องของศาสตร์แห่งพลัง

    “ยินดีต้อนรับนักเรียนทุกคน ขอต้อนรับเข้าสู่ เจาะข่าวตื้น เอ๊ย วิชาว่าด้วยเรื่องศาสตร์แห่งพลัง กับนายแม็กซิมิเลี่ยน เรย์กราดนะคร้าบบบบบบบ!!!!”

    แปะๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงปรบมือตอบสนองการแนะนำสุดจะรั่วของแม็กซิมิเลี่ยน เรย์กราด ดังขึ้นมาจากวลาดิเมียร์ กัลเวซ ส่วนวาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย ได้แต่อ้าปากหวอ อึ้ง ทึ่ง
    เสียว กับการแนะนำตัวของครูผู้สอนสุดจะติงต๊อง(?) และอีกอย่างนะครับอาจารย์ครับ นักเรียนทุกคนที่ว่านี่รู้สึกจะผมคนเดียวนะครับอาจารย์ครับ!!!!

    “เอ่อ....”

    วาเลียหันไปหาวลาดิเมียร์ที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยความไม่เข้าใจ แล้วไอ้ที่ว่าฟอร์ซก่อนหน้านี้มันอะไร ช่วยอธิบายทีครับ สีหน้าของคนเป็นรุ่นน้องแสดงคำพูดดังนี้ ซึ่งประธานนักเรียนสุดรั่ว(รึเปล่า)ก็ตอนได้แต่เพียงชี้นิ้วไปทางครูแม็กซิมิเลี่ยนเท่านั้น

    “เอาล่ะ สรุปว่าปีนี้มีคนใช้ฟอร์ซได้คนเดียวคือเจ้าหนูนี่ใช่มั้ย? วลาดคุง”

    ผู้ช่วยการสอนตอบด้วยการพยักหน้า ส่วนวลาเทียที่งงอยู่นานก็ทนไม่ไหวจึงต้องเปิดปากพูด

    “เอ่อ.... ฟอร์ซคืออะไรเหรอครับ? แล้วทำไมนักเรียนวิชานี้ถึงมีแค่ผมคนเดียวล่ะ?”
    “เป็นคำถามมมมม...ที่ดีมาก!!!!”

    เสียงตอบกลับอันดังลั่นทำเอาวาเลียถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ อะไรจะเว่อร์ปานนั้นท่านอาจารย์

    “ฟอร์ซคืออะไร? เจ้าอยากรู้ใช่มั้ย ใช่มั้ย ใช่มั้ย??? คำตอบนั้นง่ายมาก.... พลังของเจ้าไงพ่อหนุ่ม นั่นแหละฟอร์ซ!!!”
    (หา???)

    วาเลียงงเป็นไก่ตาแตกอีกครา

    “คืองี้... จำพลังที่ใช้ตอนประลองได้มั้ย? พลังที่ใช้ซัดหนูไมเยอร์สน่ะ... นั่นแหละ ฟอร์ซ”
    วลาดิเมียร์อธิบายเสริม โดยอ้างอิงเหตุการณ์ที่วาเลียพลั้งมือทำร้ายผู้หญิงด้วยการซัดคลื่นอากาศจนอัศวินหญิงหมดสติในทีเดียว
    “นั่นน่ะเหรอครับ ฟอร์ซ.....”

    วาเลียกลับข้องใจเล็กน้อย เขามักจะอ้างอิงให้ตัวเองฟังเสมอว่าพลังที่ตนมีอยู่นั้นคือพลังจิต ไม่ใช่ฟอร์ซอะไรนั่น แต่ดูท่าตรรกะนั้นจะถูกหักล้างโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว

    “อีกคำถามนึง ทำไมในห้องนี้ถึงมีแต่เธอคนเดียวใช่มั้ย? ดูประตูนั่น..... วลาดคุง อธิบายทีซิ”
    “ประตูนั่นเป็นประตูที่ทำขึ้นพิเศษใช้เพื่อกลั่นกรองผู้มีฟอร์ซโดยเฉพาะ ประตูนั่นจะไม่ขยับแม้แต่นิดหากใช้ด้วยพละกำลังทั่วๆไป หรือจะเป็นเวทมนตร์ก็ตามแต่ เพราะประตูบานนั้นจะดูดซึมเอาพลังมาจากคนที่แตะต้องมันโดยไม่ใช้ฟอร์ซโดยอัตโนมัติ เพราะอย่างงั้นในตอนนี้ถึงมีแต่นายยังไงล่ะที่สามารถเปิดประตูบานนั้นได้ เอ...ที่จริงก็น่าจะมีหนูไมเยอร์สอีกคนนึงมั้ง แต่เห็นว่ายังไม่ฟื้นเพราะรับแรงกระแทกจากฟอร์ซมากไปหน่อย”

    วาเลียฟังคำอธิบายของประธานนักเรียนขณะที่สายตาก็จับจ้องไปทางประตูธรรมดาๆที่ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษตรงไหน ในตอนนั้นเองที่ได้ยินชื่อไมเยอร์ส เขาก็อดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้ที่ละเมิดกฎของตัวเอง ด้วยการทำร้ายเพศแม่ แม้จะเป็นความจำเป็นก็ตาม

    “เป็นห่วงไมเยอร์สเหรอ?”

    หนุ่มผมแดงยิ้มกรุ่มกริ่มกับท่าทีของวาเลียที่ดูซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด

    “ก็... นิดหน่อยน่ะครับ”
    “อย่างที่บอกไปแหละนะ.... ว่าแต่เรียกเจ้าหนูนานสองนานแล้ว เธอชื่ออะไร?”
    “(เพิ่งจะรู้สึกตัวเหรอค้าบ.....) วาเลียครับ... วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย”
    “วาเลีย... วาเลีย...... ย่อเป็น วาลคุง แล้วกัน!!!”
    “ห... หา?”
    “ตกลงตามนี้ เอาล่ะทุกคน เรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนไว้ว่ากันคราวหน้า แยกย้ายได้!!!!!”

    ฟุ่บๆ!!! พอพูดจบ พี่แกก็หายไปต่อหน้าต่อตาทั้งวาเลียและวลาดิเมียร์

    “เอ่อ... เมื่อกี๊นี่มัน???”

    วาเลียทำหน้าตาตื่นขณะที่เอ่ยปากถามอีกฝ่าย พลางชี้ไปยังตำแหน่งเดิมที่แม็กซิมิเลี่ยนเคยยืนอยู่

    “อ้อ เทเลพอร์ตน่ะ ถ้าจะพูดถึงฟอร์ซแล้วพลังที่อธิบายได้ใกล้เคียงที่สุดก็ไซคิก... พลังจิตน่ะแหละ”
    “ครับ..... แอบรู้สึกกลัวๆชอบกลนะครับเนี่ย วิชานี้”

    วาเลียทำท่าคอตกก่อนที่จะเดินออกนอกห้องเรียนตามหลังวลาดิเมียร์

    “ไม่ต้องคิดมากน่า... วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่มีการสอบหรืออะไรที่มันยุ่งยากแบบนั้นหรอก เพราะเป้าหมายสำคัญของวิชานี้ก็คือการขัดเกลาผู้ใช้ฟอร์ซที่มีน้อยนิด ที่จริงวิชานี้ก็ต้องนับพวกเอสเปอร์หรือคนที่ใช้พลังเทือกนี้ได้แหละ แต่ดูเหมือนรุ่นนี้แทบจะไม่มีใครใช้ได้เลยซักคนล่ะน้า”
    “นั่นสินะครับ”

    วาเลียเอามือทาบลงบริเวณศีรษะ

    “อาการปวดหัว... หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
    “ประตูที่เปิดเมื่อก่อนหน้านี้มันยังมีคุณสมบัติอีกอย่าง คือการปรับความถี่คลื่นในสมองที่สูญเสียสมดุลจนเกิดอาการปวดศีรษะยังไงล่ะ คงจะยังไม่ชินสินะ... กับการใช้พลังนั่น”
    “ก็... นะครับ”

    ตุ๊บ!! วลาดิเมียร์ซัดเข้าให้ที่กลางหลังของรุ่นน้อง ทำเอาหนุ่มผมดำถึงกับแอ่นหลังด้วยความเจ็บปวด

    “เฮ้ย ไม่ต้องเครียดน่า... อาจารย์แกฝากให้พี่ช่วยดูแลน้องเรื่องการฝึกใช้พลังแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฮ่าๆๆๆๆๆ”
    (บ๊องทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์เลย.... เอาเข้าไป)

    ทั้งสองคนเดินออกไปจากห้องยังทางที่วลาดิเมียร์เข้ามา โดยเจ้าของผมสีชาดเอ่ยชวนวาจะเลี้ยงเครื่องดื่มเล็กน้อยเพื่อคุยกันนิดหน่อย แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของพวกเขา ไกลออกไปสิบกว่าเมตร มีชายในชุดนักบวชคนหนึ่งจับจ้องสายตามายังหนุ่มผมดำแววตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ด้วยคำพูดใดๆ เขาคนนั้นกดนิ้วชี้ข้างขวาลงในรูหูข้างเดียวกัน และพูดขึ้นโดยหันหลังให้ทั้งสองคน

    “หัวหน้า อับดุล-ฮามิดพูด”
    “หัวหน้าพูด มีอะไรรึอับดุล-ฮามิด”

    เสียงตามสายดังขึ้นจากวัตถุสีดำที่เสียบกับรูหูนั่น

    “เราพบเป้าหมายแล้ว.... ”
    “ยืนยันเป้าหมายด้วย”
    “รหัสนักโทษ AEX-061420 ฮัซซา บาฮาดูร อัล-อิบราฮิม... ไม่ผิดแน่ มันอยู่ในศาสนจักร”
    “รหัสนักโทษถูกต้อง รอดูท่าทีของเจ้านั่นไว้ก่อน สบโอกาสเมื่อไหร่จับเป็นกลับมาให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ฆ่ามันทิ้งซะ”
    “รับทราบ”

    ชายคนนั้นหันหน้าเหลือบมามองหนุ่มผมดำอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหายไปในความมืด ขณะที่วาเลียยังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิด ว่าภัยร้ายกำลังเข้าถึงตัวเขาแล้ว.....

    + + + + + + + + + + + + +

    ระวังร้อน!!!!! เพราะเผาซะเกรียมได้ที่ ฝากติฝากเผาคำผิดด้วยนะครับ 'w'
  5. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    so valia have a big shadow follow behide but he not know yet?

    well next time he might not lucky like this one :hsunglass:
  6. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ส่วนตัวว่าพยายามเล่นมุกมากไปหน่อยมันเลยดูขัดกับสถานการณ์ แยกๆหน่อยก็ดีว่าสถานการณ์ไหนควรเล่นหรือสถานการณ์ไหนควรบรรยายจริงจังจะทำให้คนอ่านเข้าถึงบรรยากาศของเรื่องได้ดีกว่า


    ท่าทางว่าศัตรูลำดับถัดไปจะเป็นพวกนักล่าของอาราบิซาเรียสินะ
  7. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [Demonbane]

    “นั่นพระองค์คิดจะไปไหนกัน พระสันตะปาปาคริสโตเฟอร์”

    เสียงของฟรังซิสถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคริสโตเฟอร์กำลังสวมผ้าคลุมสีแดงเลือดหมูของคาร์ดินัล ทั้งๆที่วันนี้มีประชุม

    “ข้าจะไปหาอัลรอลเน่เสียหน่อย”

    “แล้วการประชุมเล่า พระองค์ทรงเป็นคนเรียกประชุมเองนะ!!”

    “แล้วข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

    “ท่านคริสโตเฟอร์...ข้ารู้ว่าพระองค์รู้สึกอย่างไรกับลูกสาวของข้า...แต่พระองค์ได้โปรดเห็นความสำคัญของการประชวรของท่านมาเรียด้วย นี่มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ท่านควรจะให้ความสำคัญ”

    “แต่ข้าเองก็เห็นอัลรอลเน่เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน...”

    คริสโตเฟอร์!!!!!” คาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ตวาดใส่คริสโตเฟอร์ด้วยเสียงอันดังก้อง ชายหนุ่มหันไปมอง

    “ก็ได้...ข้าจะเข้าร่วมการประชุม...”

    ////////////////////////////////////////////////////

    “ในที่สุดก็จะได้กินข้าวเย็นซะที” อัลรอลเน่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อย ๆ แต่จากนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเพื่อน จึงเงยหน้าถาม
    “ใจเย็นๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็คงเรียบร้อยเอง” แม้เด็กหญิงจะพยายามพูดให้อีกฝ่ายวางใจ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น จึงเปลี่ยนเรื่อง
    “ที่โรงอาหารนี้มีเนื้อย่างที่อร่อยมาก แถมยังมีโต๊ะพิเศษสำหรับคนชอบย่างด้วยตัวเองด้วย มื้อนี้ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง”

    ให้พูดจริง ๆ แล้ว นั่นไม่ได้ช่วยทำให้ฮายาเตะหายกังวลเลย แต่เนื่องจากเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มของรูมเมท ทำให้เธอผ่อนคลายสีหน้ายิ้มนิด ๆ เพื่อมิให้เป็นการเสียมารยาท

    ในขณะที่อัลรอลเน่กำลังสอนวิธีย่างเนื้อและมารยาทต่าง ๆ ให้ฮายาเตะอย่างจริงจัง เพราะเกรงว่าจะตกเป็นเป้าสายตาชาวบ้านแบบคราวที่แล้ว ก็มีเด็กสาวอีกคนมาขอนั่งด้วย พร้อมกับแว่นที่หนาเตอะ เวิร์ดนั่นเอง นอกจากนี้ก็มีคนอีกสามคนตามมาด้วย
    “สวัสดีอัลรอลเน่ แล้วก็... ฮายาเตะสินะ พวกฉันขอนั่งกินด้วยคนได้ไหม” เด็กสาวกล่าวทักทาย ซึ่งก็ได้รับอนุญาตทันที

    “สวัสดีครับ กำลังหิวพอดี” อเล็กซ์ทักตามด้วยน้ำเสียงท่าทางหิวมาก

    “รบกวนหน่อยนะคะ” เชล่าขออนุญาตอย่างเกรงอกเกรงใจ ในขณะที่ไลติโอ้เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

    “เฮ้ พวกคุณตรงนั้น พวกผมขอนั่งด้วยคนสิ” น้ำเสียงสดใสของเด็กหนุ่มที่ไหนสักแห่งดังขึ้นมา เขาคือทรีค และวาเลียเจ้าเก่าก็ตามมาด้วย

    “เอ่อ ขอโทษนะครับ ขอรบกวน เย้ยยย” วาเลียถึงกับแทบสติหลุด เมื่อเขาพบว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่นั่งกินอยู่ตรงนี้ก็คือ เด็กสาวที่เคยเตะข้อเท้าเขาแถมไม่ขอโทษอีกต่างหาก
    “ค...ค....ค....คุณอัลรอลเน๊!!!!!!” เด็กหนุ่มเผลอส่งเสียงดังจนคนรอบข้างแทบจะหันมามองเป็นสายตาเดียวกันซะงั้น

    “มีปัญหาอะไรหรือ” อัลรอลเน่มองวาเลียด้วยสายตาที่นิ่งสงบเช่นเคย

    “อัลรอลเน่ หมอนี่เป็นใคร” ฮายาเตะแอบกระซิบถาม แต่ดันดังพอให้รายนั้นได้ยินด้วย

    “ก็แค่เจ้าสมองถั่วที่ซุ่มซ่ามคนนึงเท่านั้นแหละ” อัลรอลเน่ตอบแบบไม่เกรงใจบุคคลที่สามเลยแม้แต่น้อย

    “อืม ๆ ถึงว่า แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ได้เรื่อง” ฮายาเตะดันทั้งเชื่อและเห็นด้วยง่าย ๆ ไหนจะมองวาเลียด้วยสายตาหมิ่นแคลนเหมือนมองเห็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีค่านัก

    “นี่พวกเธอนินทาคนเขากันหน้าด้าน ๆ เลยเรอะ อีกอย่าง คนผิดมันก็....” วาเลียโวยวายไม่ทันขาดคำ ก็ถูกทรีคล็อคคอดึงเข้าหาตัว

    “เงียบ ๆ หน่อยสิเจ้าบ้า คนเขากำลังจะกินกัน ไม่มีมารยาทเลยเจ้าเปรตกาแก่งี่เง่านี่” คราวนี้ทรีคเล่นพูดฉายาของวาเลียซะเต็มยศ ทำเอาคนที่ถูกว่าได้แต่ฉุนขาดแต่ก็ยังดีที่พนักงานเสริฟมาถึง ทั้งชิ้นเนื้อและอย่างอื่นที่ถูกสั่งเข้ามาพร้อมกับจานเรียกความสนใจของเขาที่กำลังหิว

    ขณะที่ทุกคนต่างก็กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น เมื่อเนื้อย่างเพียงชิ้นเดียวแต่ถูกคีบด้วยตะเกียบถึงสองคู่พร้อมกัน
    “เฮ้ย ไอ้นี่มันของชั้น” วาเลียเรียกร้อง

    “เขียนชื่อติดไว้เรอะเจ้าบ้า” ฮายาเตะย้อนไม่เกรงใจ

    “ว่าไงนะ หนอย....ยัยบ้านี่”
    หนึ่งเด็กหนุ่มและอีกหนึ่งเด็กสาวเอาแต่จ้องหน้าแผ่รังสีอำมหิตใส่กันราวกับแค้นมาแต่ชาติปางไหน ในขณะที่มือของทั้งคู่ที่ถือตะเกียบได้แต่สั่นด้วยแรงจากอีกฝ่ายที่มีเป้าหมายเดียวกัน
    นั่นเปิดโอกาสให้ทรีคฉวยคีบเอาเนื้อที่ย่างแล้วชิ้นอื่นไปใส่ในจานตัวเองคนเดียวอย่างสบายอารมณ์ เพราะคนอื่นส่วนมากมัวแต่คุยในเรื่องของพวกตัวเอง จะมีก็อัลรอลเน่ที่ได้แต่ระอาการกระทำของรูมเมทแต่ก็ไม่กล้ายุ่งจึงกินเท่าที่มีในจานอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกับไลติโอ้

    หลังจากนั้นไม่นานนัก อัลรอลเน่ลุกขึ้นยืนท่ามกลางกลุ่มของทุกคนที่กำลังทานข้าว สร้างความประหลาดใจให้เวิร์ด
    “อิ่มแล้วหรือ?”

    “อืม และข้าก็มีธุระที่ต้องไปทำด้วย ต้องขอตัวก่อน”

    อัลรอลเน่โค้งตัวให้กับทุกคน

    “อ้อ เงินน่ะจ่ายล่วงหน้าแทนเจ้าแล้วนะฮายาเตะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

    แต่ก่อนที่นางจะไปนั่น ฮายาเตะกลับดึงเสื้อของนางเอาไว้

    “ฉันจะไปกับเธอด้วย อัลรอลเน่!”

    “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะฮายาเตะ..ข้าดูแลตัวเองได้”

    “ไม่! ฉันไม่ไว้ใจชูวครอส...ฉันเห็นสายตาของมันที่มองเธอแล้ว ฉันรู้สึกว่าการลงโทษครั้งนี้...มันต้องอันตรายต่อร่างกายของเธอแน่นอน ..อั๊ก!”
    อัลรอลเน่เขกหัวฮายาเตะไปทีหนึ่ง ท่ามกลางสายตาที่งงงวยของทุกคน ซิสเตอร์สาวมีสีหน้าที่มองดูสิ่งที่ฮายาเตะพูดมานั่นเป็นเรื่องไม่เข้าท่า

    “เจ้าอยู่ที่นี่แหละ...ถ้าเกิดว่าเจ้าเกิดระเบิดอารมณ์อัดชูวครอสขึ้นมา ข้าเองก็คงจะห้ามเจ้าไม่อยู่...นี่เป็นคำสั่งนะ...”
    อัลรอลเน่เน้นคำตรงประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะปลีกตัวออกไป

    /////////////////////////////////////////////////////

    อัลรอลเน่เดินอยู่ภายในทางเดินที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงส้นของรองเท้าบูทกระทบกับพื้นหินอ่อนขัดมัน กับแสงไฟจากโคมระย้าที่ห้อยลงมาเป็นระยะจากหลังคาทรงมน บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ เหตุเพราะตอนนี้นักเรียนทุกคนก็อยู่ในโรงอาหาร

    จากที่อัลรอลเน่รู้มานั่น ชูวครอสเป็นพวกไม่ค่อยจะคบค้าสมาคมกับใครจึงมีห้องที่ตั้งแยกออกมาจากห้องพักอาจารย์คนอื่นๆ

    “ขอโทษนะคะ ข้าอยากจะทราบทางไปยังห้องของอาจารย์ชูวครอส”

    อัลรอลเน่ถามทางกับรุ่นพี่ชั้นปี3คนหนึ่งที่หอบม้วนกระดาษมาพะรุงพะรังผ่านมาทางนี้พอดี

    “อาจารย์ชูวครอสหรือ? เขาอยู่ที่ชั้นสี่นู่นแหนะ...เดินไปที่ตึกเรียนเก่าก็จะเจอห้องของเขา มันเป็นทางที่ซับซ้อนนะ ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก”

    “แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณมาก...เอ่อ...ให้ช่วยมั้ยคะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก เจ้ารีบไปดีกว่า ชูวครอสเป็นพวกตรงต่อเวลา ถ้าเจ้าไปสายเดี๋ยวเจ้าจะได้โดนโทษหนักแน่นอน”
    เมื่อกล่าวจบนักเรียนปีสามคนนั้นก็เดินจากไป อัลรอลเน่จึงมุ่งหน้าไปยังบันไดของชั้นหนึ่งและเดินขึ้นไปอีกชั้น บันไดที่นี่มีความประหลาดที่ไม่ต่อชั้นกัน หากจะไปชั้นสาม จะต้องไปขึ้นบันได้อีกฟากของตึก ทำให้เส้นทางดูไกลยิ่งกว่า

    เมื่อซิสเตอร์สาวมาถึงชั้นสี่ ซึ่งเป้นชั้นที่ค่อนข้างจะมืดทึบ ประกอบกับลมเย็นๆของตอนค่ำๆทำให้บรรยากาศใช้ได้ทีเดียว
    “ตึกเรียนเก่าอย่างนั้นหรือ...”

    อัลรอลเน่พึมพำ ตึกเรียนเก่าที่นางว่าอยู่ไกลจากที่นี่ไปอีกมาก เพราะต้องข้ามสะพานไปยังตึกเรียนทรงกลมที่อยู่กลางแม่น้ำ เป็นตึกเรียนที่สร้างจากอิฐทั้งหลัง และเนื่องจากเป็นตึกที่มีพื้นที่ใช้สอยน้อยจึงถูกปิดไปส่วนหนึ่ง และกำลังจะกลายเป็นตึกร้าง หากชูวครอสไม่เข้าไปจับจองพื้นที่เสียก่อน

    ////////////////////////////////////////////////

    ฮายาเตะนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะอาหาร นางนั่งมองบทสนทนาของทรีคกับวาเลียที่เอาแต่เถียงกันไปมา ไลติโอ้ อเล็กซ์และเชล่าที่นั่งคุยกันในเรื่องการเรียน และเวิร์ดที่นั่งกัดขนมปังไปพร้อมๆกับอ่านหนังสือเล่มมหึมา
    ซามูไรสาวผุดลุกขึ้นยืนอีกคนหนึ่ง ทุกคนจึงหยุดกิจกรรมที่ตนเองทำหันมามองฮายาเตะอีกครั้ง

    “ฉันทนไม่ไหวแล้ว...”

    “เฮ้! เธอจะไปไหนน่ะฮายาเตะ อัลรอลเน่บอกให้รออยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ”
    วาเลียถามขึ้น ฮายาเตะหันกลับมามองเขาด้วยสายตาดุดัน

    “ฉันจะไปตามตัวเธอกลับมาเอง...ฉันไม่ไว้ใจเจ้าชูวครอสนั่นหรอก”

    “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ?”

    อเล็กซ์ถาม ฮายาเตะจึงเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงห้วนๆให้กับทุกคนฟัง

    “ดูท่าทาง...จะให้อิมเมจแบบตาแก่หัวงูเลยนะ”
    ทรีคเอ่ยขึ้นเบาๆ ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “ก็เพราะแบบนั้นไง! ฉันถึงจะต้องไปช่วยอัลรอลเน่ ก่อนที่เธออาจจะ...จะ...เอาเป็นว่า ฉันไปล่ะ!”
    ฮายาเตะวิ่งออกไปจากโรงอาหารเร็วปานสายลม โดยไม่ฟังคำห้ามจากทุกคนเลย

    “ว่าแต่ว่า...อาจารย์ชูวครอสที่ว่านี่ อยู่ที่ไหนน่ะ?”

    เชล่าถาม เวิร์ดทำท่าทางครุ่นคิด

    “ข้าได้ยินว่าเขาอยู่ที่ตึกเรียนเก่าที่ต้องไปทางชั้นสี่นะ”

    “แล้วฮายาเตะรู้ที่ไปแล้วหรือ?”

    “....คงไม่...”

    ///////////////////////////////////////////////////

    อัลรอลเน่เปิดประตูไม้บานใหญ่เข้าไปยังตึกเรียนเก่า สถานที่แห่งนี้คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นพืชน้ำที่ดูชื้นๆ และพื้นก็เต็มไปด้วยรากไม้ที่แซะเข้ามาจากภายนอก กับโคมระย้าที่แกว่งไปมาบนเพดานที่ใกล้จะพัง สุดทางเดินนี่คือห้องของชูวครอส นางเดินไปหยุดที่หน้าประตูนั้น และเคาะเบาๆ

    “เข้ามา”
    เสียงนุ่มลึกนั่นกล่าว อัลรอลเน่เปิดประตูเข้าไป ก็พบกับห้องที่ตกแต่งสไตล์วิคตอเรียน กลิ่นเฟอร์นิเจอร์ไม้ใหม่ลอยมาแตะจมูก
    “ข้านึกว่าท่านจะลืมแล้วเสียอีก คุณอัลรอลเน่”

    อัลรอลเน่ไม่กล่าวอะไรกับชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีเทานั่งไขว่ห้างอยู่หลังโต๊ะทำงานและจ้องมองอัลรอลเน่ด้วยสายตาแทะโลมเล็กน้อย ซิสเตอร์สาวกระแอ้มขึ้น

    “อ้อ...ต้องขออภัยด้วย เอาล่ะ...สิ่งที่ข้าจะให้ท่านทำก็คือช่วยข้าคัดลอกเอกสารที่อยู่ตรงนั้นให้หมด...ภายในคืนนี้”
    อัลรอลเน่จ้องตามือที่ชี้ไปของชูวครอส ก็พบกับกองเอกสารหลายร้อยแผ่นกับกระดาษเปล่าอีกกองหนึ่ง พร้อมกับปากกาขนนกและหมึก
    “ข้าคัดลอกมันไปส่วนหนึ่งแล้ว เหลืออีกยี่สิบชุด ต้องวานให้ท่านช่วยซะแล้วล่ะ...อ้อ...และห้ามใช้เวทมนตร์ช่วยด้วยนะ”

    ซิสเตอร์สาวไม่ว่าอะไร แต่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ และเริ่มลงมือคัดลอกเอกสารนั่น มันเป็นเอกสารข้อมูลเรื่องการควบคุมอาวุธภาคทฤษฏี แน่นอนว่าการคัดครั้งนี้ ชูวครอสหวังว่าจะให้สมองของอัลรอลเน่ซึมซึบข้อมูลเหล่านี้ได้มากขึ้น แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สำนึกในสิ่งที่ตนเองทำลงไปแม้แต่น้อย

    “จะรับชาซักหน่อยมั้ย? ข้าเพิ่งได้ชาที่ส่งมาเป็นของขวัญจากเดบลิส รสชาติดีใช้ได้ทีเดียว”

    “ข้าทานมาแล้วน่ะค่ะ ขอบพระคุณ...”
    อัลรอลเน่กล่าว นางไม่อยากจะรับอะไรมาทาน..โดยเฉพาะจากผู้ชายคนนี้

    “เอาซักนิดเถอะนะ ชาแบบนี้ไม่เหมือนกับชาทั่วไป ข้าอยากให้เจ้าได้ชิมมันซักนิด”
    ก่อนที่อัลรอลเน่จะปฏิเสธ ชาถ้วยหนึ่งก็ถูกวางไว้ตรงหน้า หากจะปฏิเสธก็จะเป็นการเสียมารยาท แต่ถ้าดื่มเข้าไปละก็....

    “ขอบพระคุณมากค่ะ...”

    อัลรอลเน่ยกถ้วยขึ้นมาแกล้งทำเป็นจิบ แต่จมูกของนางกำลังดมหากลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในชา ทว่า...ภายในชากลับไม่มีกลิ่นอะไรเลย นางจึงยกจิบเข้าไปนิดหนึ่ง
    “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

    “รสชาติดีใช้ได้ค่ะ”

    “ถ้าเช่นนั้นก็ดื่มให้หมดเลยนะ..อย่าให้เหลือล่ะ..”
    คำพูดนั่นของชูวครอสยิ่งทำให้อัลรอลเน่แปลกใจ แต่นางไม่ได้ปฏิบัติตามคำพูดนั้น ทว่า...เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที นางก็รู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรง จึงยกถ้วยขึ้นมาจิบอีกครั้ง เมื่อนางยกดื่มก็ยิ่งรู้สึกกระหายเข้าไปทุกขณะ แต่เมื่อนางรู้สึกตัวอีกครั้ง สายตาของนางก็เริ่มพร่ามัว สมองเริ่มตื้อ และรู้สึกง่วงอย่างรุนแรง

    “เจ้า....ทำอะไรน่ะ...”

    “ใส่อะไรลงไปน่ะหรือ?...ก็แค่ยานอนหลับชนิดพิเศษที่ได้รับมาเป็นของขวัญน่ะ...”

    “บ้า...เอ้ย...แก...”

    อัลรอลเน่พยายามจะเดินไปที่ประตู พร้อมกับคว้าไม้กางเขน แต่ทว่าชูวครอสกลับฉุดมือนางออกมา และกระชากไม้กางเขนเสียจนขาดและโยนไปบนพื้นอย่างง่ายดาย

    “อย่าห่วงไปเลย...ข้าไม่ทำอะไรรุนแรงหรอกครับ...สบายใจได้”
    อัลรอลเน่ล้มลงในอ้อมแขนของชูวครอสที่ยิ้มแสยะราวกับพบของเล่นชิ้นใหม่

    //////////////////////////////////////

    ในขณะเดียวกัน
    “อัลรอลเน่!!!” ฮายาเตะวิ่งตามหาอัลรอลเน่อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เนื่องจากนักเรียนใหม่อย่างเธอไม่รู้เส้นทาง เธอจึงได้แต่วิ่งวนอยู่ในตัวอาคาร ชั้นสี่ที่ค่อนข้างมืดทึบ
    “บ้าเอ๊ย ทำไมมันถึงได้วกวนแบบนี้นะ.... ป...ป่านนี้.....” ฮายาเตะรู้สึกเป็นห่วงอัลรอลเน่อย่างมาก หากเป็นแบบนี้ต่อไป อัลรอลเน่จะถูกชูวครอสทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ เธอรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างมาก ทั้งที่เด็กคนนั้นช่วยชีวิตเธอไว้แท้ ๆ แต่ทีแบบนี้กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย

    “เธอมาทำอะไรที่นี่” ทันใดนั้นเสียงปริศนาก็ดังขึ้นจากข้างหลัง เด็กสาวหันตัวกลับไปอย่างระมัดระวังพร้อมกระชับดาบในมือแน่น
    แม้ว่าที่นี่จะมีแสงส่องเข้ามาน้อยมาก แต่ก็ยังพอให้เห็นลักษณะของบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเด็กสาว ร่างนั้นคือหญิงสาวหุ่นเพรียวสะองสวมใส่ชุดเครื่องแบบอาจารย์ของศาสนจักร แม้ว่าท่อนล่างจะแปลกตาไปบ้างเพราะเป็นกี่เพ้าผ่าสูงแต่รองข้างในด้วยกางเกงขายาวแบบหนามิดชิด ที่แขนทั้งสองข้างมีปลอกแขนที่มีกางเขนประดับ
    “ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ นักเรียนทั่วไปจะเข้ามานะ กลับไปเรียนจะดีกว่า” ริมฝีปากสีแดงชาดอันอวบอิ่มเปล่งน้ำเสียงที่อันเยือกเย็นออกมา
    แม้จะถึงกับสันหลังวาบกับอาจารย์ตรงหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ฮายาเตะก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

    “ถ้าหากไม่รีบล่ะก็ อัลรอลเน่มีหวัง.....” ฮายาเตะพยายามพูดย้ำ ทว่าคำตอบนั้นช่างเย็นชา

    “แล้วยังไง อาจารย์จะทำโทษนักเรียน มันผิดตรงไหนงั้นหรือ”

    “แต่ว่า อัลรอลเน่ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ว่ามองกี่ทีเจ้านั่นก็มีพิรุธชัด ๆ ” ฮายาเตะพยายามขึ้นเสียง

    “สามหาว เป็นนักเรียนกล้าคิดใส่ร้ายอาจารย์ได้ยังไง อีกอย่าง เธออาจจะแค่คิดมากไปเองก็ได้”

    “.....ชิ....” นักดาบสาวรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ที่คนของศาสนจักรที่เธอจะเรียกว่าอาจารย์กลับเป็นคนแบบนี้
    “ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง คงต้องขอใช้กำลังบังคับให้พูด เวลาก็ไม่มีแล้ว” ฮายาเตะกระชับดาบในมืออย่างแน่นหนา เพราะเธอรู้ดีว่าหากคู่ต่อสู้เป็นถึงระดับอาจารย์ ฝีมือต้องไม่ธรรมดาแน่ เธออาจจำเป็นต้องเอาจริง

    “หึ ถ้าอย่างนั้น แน่จริงก็เข้ามา” ครูสาวปริศนายังคงยืนเฉย ไม่เรียกอาวุธหรือตั้งท่าใด ๆ ทั้งนั้น

    “อิไอ!” ฮายาเตะเปิดฉากด้วยการชักดาบอย่างรวดเร็วเข้าหาอีกฝ่าย ทว่าเนื่องจากคู่ต่อสู้มิใช่รูปปั้น จึงสามารถถอยหลังหลบได้อย่างง่ายดาย เด็กสาวเองก็พอกะไว้แล้วจึงโถมตัวเข้าจู่โจมซ้ำไปเรื่อย ๆ

    ทว่าแม้จะทุ่มเทการโจมตีแบบเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าลานประลอง ก็ไม่อาจสะกิดแม้เพียงปลายเล็บของอาจารย์สาว ที่เคลื่อนไหวด้วยวิชากังฟูระดับปรมาจารย์

    จนกระทั่งเด็กสาวคิดว่าได้จังหวะจึงฟันดาบในแนวขวางกะมั่นใจว่าโดนแน่นอน ทว่านั่นเป็นเพียงความบ๊องตื้น ภาพที่เธอฟันลงไปและคิดว่าสำเร็จนั้นเป็นเพียงภาพติดตา แต่รู้ตัวอีกที มืออันทรงพลังจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นมือของผู้หญิงก็คว้าลำคอเธอเอาไว้ได้ และดันไปติดกับกำแพงอย่างหมดท่า

    “คงรู้แล้วใช่มั้ย ว่าการทำอะไรไม่รู้จักประมาณตน ให้ผลยังไง” หญิงสาวเจ้าของรอยแผลรูปกากบาทบนแก้มซ้าย ผมสีแดงเข้มที่รวบปักปิ่นเอาไว้ และดวงตาสีดำขลับที่ขมวดคิ้วดูดุดันเหมือนพยัคฆ์สาว

    ฮายาเตะทำได้เพียงดิ้นรนอย่างทรมาน ดาบก็หลุดจากมือไปแล้ว เรียกว่าเข้าสู่สภาพจนตรอกอย่างที่สุด
    “ที่สำคัญ ชั้นรู้นะว่าเธอใช้เส้นเข้ามาได้เพราะเด็กนั่น แต่ถึงเธอจะแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะลานประลองมาได้ก็ตาม แต่ก็จงรู้ไว้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ที่นี่มีแต่คนที่แข็งแกร่งกว่าเธออยู่มากมาย ถ้าหากยังดื้อดึงต่อล่ะก็ ชั้นจะทำเรื่องไล่เธอออก และจะส่งผลถึงเด็กคนนั้นด้วย”

    “ยะ...อย่านะ.....” เสียงที่ดูแหบแห้ง แผ่วเบาและทุรนทุรายยังคงเล็ดรอดจากคอที่ถูกบีบแน่น
    “จะไล่ฉันออก....หรือว่าจะทำอะไรฉันก็ได้ทั้งนั้น ให้ฆ่าก็ย่อมได้ แต่ว่า.....อย่างน้อย....ขอให้ฉันได้แน่ใจ....ว่าอัลรอลเน่...ปลอดภัย”

    ทันใดนั้นหญิงสาวก็ปล่อยมือ ฮายาเตะถึงกับล้มทรุดลงคากำแพง พยายามหายใจคืนแทบจะเป็นจะตาย
    “ทำไมเธอถึงต้องทำขนาดนั้น เรื่องของใครก็ควรจะเป็นของมันไม่ใช่รึไง”

    “....ฉ...ฉันรับไม่ได้หรอก..... ด....เด็กคนนั้น เป็นผู้มีพระคุณของฉัน ตั้งแต่ช่วยชีวิต ช่วยให้ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ที่สำคัญ เธอเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวของฉันที่นี่..... ถ้าแค่เพื่อนคนเดียวยังไม่สามารถช่วยเอาไว้ได้ล่ะก็ ชีวิตนี้ก็ไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีการเสแสร้งแม้แต่น้อย

    ครูฝึกสาวแห่งศาสนจักรก้มมองเด็กสาวด้วยสายตาที่ยังคงสงบนิ่งและเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยื่นมือให้

    “ร้องไห้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ลุกขึ้น ชั้นจะบอกให้ว่าห้องของเจ้าชูวครอสมันไปทางไหน”

    //////////////////////////////////////////

    มือของชูวครอสลูบไล้ไปตามแก้มเนียนๆของอัลรอลเน่อย่างแผ่วเบา ตอนนี้ตัวของนางนอนอยู่บนเก้าอี้โซฟาอย่างหมดท่า ในมืออีกข้างของชายหนุ่มคือเข็มฉีดยาที่บรรจุน้ำยาใสๆเอาไว้

    “ซิสเตอร์เซซีลีอา...ท่านคือหมากตัวสำคัญของข้า...ถ้าหากข้าได้ท่านมาอยู่ภายใต้อาณัติข้าละก็...ทุกอย่างจะง่ายขึ้น”
    ชูวครอสชูเข็มฉีดยานั้นขึ้นมา ก่อนที่จะใช้นิ้วดีดตัวเข็มเล็กน้อย
    “อ่ะ...จริงสิ...ก่อนหน้านั้น...”

    ชูวครอสก้มมองอัลรอลเน่ก่อนที่จะเลียริมฝีปากของตัวเอง
    “ข้าชักอยากจะเห็นใบหน้าของอเล็กซ์ซานโดร...ไม่สิ...คริสโตเฟอร์ต้องเจ็บปวดดิ้นทุรนทุราย ถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน...ข้าให้ขอได้สนุกก่อนเถอะนะ..”

    โครม!!!!

    บานประตูไม้ลอยพุ่งเข้ามาหาชูวครอส ก่อนที่เขาจะใช้ฝ่ามือที่ถือเข็มฉีดยารับบานประตูนั้นและมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆพร้อมกับเข็ม เท่ากับเป็นการทำลายหลักฐานทันเวลา เขาคว้าแว่นขึ้นมาใส่จ้องมองผู้มาเยือน

    “ชูวครอส!!!!”
    ฮายาเตะโผเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน และทันทีที่เด็กสาวมองเห็นภาพตรงหน้า ความเดือดดาลก็ผุดขึ้นอย่างรั้งไม่อยู่

    “อะไรกันเนี่ย...บังอาจมาก...ที่บุกเข้ามาให้ห้องของข้าโดยพลการ” แม่ทัพหนุ่มลั่นเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ก็มิอาจข่มอีกฝ่ายได้

    “ไม่ต้องพูดมาก อย่าอยู่เลยแก๊!!!!” ฮายาเตะไม่รีรอที่จะกระโจนเข้าใส่และใช้ท่าดาบอิไอจู่โจมใส่

    “ชิ!” ชูวครอสเบี่ยงตัวหลบไปทางขวา แต่เพราะสภาพที่ไม่ได้เตรียมการรับมือมาดีนัก ทำให้เขาเสียหลักไปเล็กน้อย และถูกฮายาเตะฟันเข้าถาก ๆ ที่ไหล่ซ้าย เลือดกระเซ็นย้อนมาเปื้อนทั้งดาบ ชุด และใบหน้าของเด็กสาวที่ฉายแววสังหารจากดวงตาไม่ลดละ
    “อัลรอลเน่!!!” ฮายาเตะรีบเข้ามาหาอัลรอลเน่ที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่ นางอุ้มซิสเตอร์สาวร่างเล็กขึ้นมาให้พ้นจากชูวครอส

    “นังนี่! เป็นแค่เด็กนักเรียนหญิงแท้ ๆ กล้าทำกับข้าขนาดนี้เชียวรึ อภัยให้ไม่ได้” ชูวครอสกุมบาดแผลด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่จะรีบไปคว้าดาบของตนมา
    แม้อยากจะช่วยเหลือเพื่อนของตนแค่ไหน แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี เด็กสาวจึงทำได้เพียงวางร่างน้อย ๆ ลงพิงกับผนัง ก่อนที่จะหันมาประดาบกับอีกฝ่าย

    “คิดรึว่าทำแบบนี้แล้วจะจบง่าย ๆ นังหนูเด็กเส้น” ชูวครอสข่มขู่ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

    “แกทำอะไรเพื่อนฉัน” นักดาบสาวแค่นเสียงอย่างไม่สนใจคำขู่ถึงตัวเองแต่อย่างไร

    “ข้าไม่ได้ทำอะไรคุณอัลรอลเน่เลยซักนิด...จู่ๆนางก็เป็นลมไป ข้าก็แค่ดูอาการให้เท่านั้นเอง” ชูวครอสเริ่มยิ้มแบบตีหน้าเซ่อ

    “ฉันไม่เชื่อหรอก...คนอย่างแกน่ะ!!!” ฮายาเตะใช้แรงสะบัดวิถีดาบของชูวครอส หมายจะจู่โจมซ้ำ ทว่ากลับต้องเปลี่ยนมาป้องกันดาบย้อนแทบไม่ทัน

    ทั้งที่เด็กสาวถือมุราซาเมะด้วยสองมือแล้ว แต่คู่ต่อสู้กลับถือดาบด้วยมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น หลังจากที่การปะทะแลกกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ว่าดูยังไง ฮายาเตะก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม้จะมีฝีมือมากกว่านักเรียนทั่วไปก็ตาม

    “หึ ถึงเธอจะฝีมือดี แต่อย่ามาดูถูกผู้ใหญ่ให้มากนัก”

    ชูวครอสตวัดดาบขึ้นในแนวเฉียงด้วยแรงที่เพิ่มขึ้น แม้ฮายาเตะจะยังคงรับไว้ได้ แต่เพราะถูกเล็งที่บริเวณปลายดาบจึงทำให้ดาบของเธอเขวไป
    “ชั้นเพิ่งบอกแล้ว ว่าการใช้อาวุธจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกับมันเสมอ ทั้งที่มันเป็นอาวุธที่ดี แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักมันน้อยไปอยู่ดีนะ”
    ในวินาทีเป็นตายนั้นเอง แม้ฮายาเตะจะพยายามดึงดาบกลับเข้ามาตั้งรับ แต่ดูเหมือนจะช้าไปเสี้ยววินาทีเสียแล้ว

    ฟ้าวววว “อั๊กกกกก”
    ทว่าก่อนที่ดาบจะทันได้สัมผัสตัวเด็กสาว เสียงประหลาดที่เหมือนลมพัดแรงในชั่ววูบ พร้อมกับที่เป็นคู่ต่อสู้ของเธอเองที่ถูกกระแทกปลิวไปชนกับโต๊ะทำงานจนพังลงโดยพลัน เอกสารปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว
    ฮายาเตะได้แต่ประหลาดใจ แต่ชูวครอสยังพยายามลุกขึ้นส่งเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด
    “ใครกัน!”

    “เลิกบ้าได้แล้ว ชูวครอส” เสียงที่ยังคุ้นหูดังผ่านจากด้านหลังซามูไรสาวเข้ามา ซึ่งก็มิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาจารย์สาวที่เธอได้พบเมื่อไม่นานนี้นี่เอง

    “อาสึกะ! ทำอะไรของเธอ นังเด็กนี่ต่างหากที่เข้ามาวุ่นวาย” ชายโฉดหาเรื่องป้ายสีหน้าด้าน ๆ

    “แกน่ะเงียบไปเลย ชูวครอส ฉันรู้ฉันเห็นทุกอย่างหมดแล้ว อย่าคิดตบตาซะให้ยาก”

    เด็กสาวได้ยินชื่อนั้นถึงเพิ่งนึกได้ ว่าเหมือนเคยเห็นตอนจะลงวิชาศิลปะการต่อสู้แบบโบราณ แน่นอนแม้จะเป็นคนใหม่อย่างเธอก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของ “อาสึกะ บลัดแฟงค์” เจ้าของสมญา “คมเขี้ยวปราบอสูร”[Demonbane] ว่ากันว่าเมื่อใดที่ทางศาสนจักรส่งเธอไปปราบปีศาจหรือไม่ก็พวกกบฎนอกรีต ไม่เคยมีศัตรูหน้าไหนรอดพ้นจากเงื้อมมือของสตรีที่เปรียบดังเทพีแห่งสงครามนางนี้ได้แม้แต่รายเดียว

    เอาแค่เท่าที่สังเกต เธอไม่ได้พกพาอาวุธใด ๆ แม้แต่อย่างเดียว แต่กลับสามารถเล่นงานชูวครอสที่อยู่ห่างจากตัวได้ถึงขนาดนี้อย่างง่ายดาย หากนี่คือโฮปก็แสดงว่าเป็นโฮปที่ไม่ธรรมดา และแน่นอนฝีมือคน ๆ นี้ก็ไม่ได้ธรรมดาเช่นกันเพราะตัวเธอได้สัมผัสกับตัวมาแล้ว

    “อย่าคิดว่าชั้นจะไม่รู้เรื่องของแกสักนิดนะ ถ้ายังอยากอยู่ต่อล่ะก็ ปล่อยเด็กสองคนนี้ไปซะ”
    ท่าทีน่าเกรงขามทำให้ฮายาเตะได้แต่ยืนตะลึง จนหญิงสาวต้องหันมากล่าวเสียงสั่ง
    “มัวทำอะไรอยู่ รีบพาเพื่อนเธอออกไปจากที่นี่เร็วเข้าสิ ก่อนที่นางจะเป็นอะไรมากกว่านี้”

    ฮายาเตะเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ตนเองทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย ยิ่งเมื่อนึกถึงความปลอดภัยของอัลรอลเน่สำคัญที่สุดแล้ว ถึงจะอยากจัดการด้วยตัวเองแค่ไหน เธอก็จำเป็นต้องรีบอุ้มตัวอัลรอลเน่และวิ่งออกไปจากห้องทันที

    “หยุดนะ!” ชูวครอสยังไม่คิดจะเลิก แต่กว่าจะพยุงตัวได้ก็ช้าเกินไป
    “หนอยแน่..... เธอ.... ทำแบบนี้เรื่องไม่จบง่าย ๆ แน่” เขาส่งเสียงที่สั่นเครือด้วยความโกรธแค้นใส่อาสึกะที่ยังคงยืนนิ่งด้วยสายตาดุดัน

    “อย่ายุ่งกับเด็กพวกนั้นอีก โดยเฉพาะลูกสาวของท่านคาร์ดินัล แล้วก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง เลิกคิดทำอะไรบ้า ๆ ดีกว่าถ้าไม่อยากให้เรื่องบานปลาย” อาสึกะบังคับด้วยน้ำเสียงเอาจริง
    “หรือไม่แกก็ จบชีวิตมันตรงนี้ แล้วเรื่องของแกชั้นจะประจานให้หมด” มือที่กำหมัดแน่นทั้งสองข้างยกขึ้นบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น

    “แก!!!” ชูวครอสหยิบดาบขึ้นมา แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะไม่เพียงสายตาที่ดูคมกล้าและน่าเกรงขามเหมือนเสือของนางเท่านั้น แต่ตัวเขารู้ดีว่า ตัวเองไม่มีทางเอาชนะ “คมเขี้ยวปราบอสูร” ผู้นอกจากแข็งแกร่งจนไม่มีใครลอบเล่นงานได้ง่าย ๆ แล้ว ยังได้รับความเคารพนับถือจากคนในศาสนจักรไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย หากเกิดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นผลดีต่อแผนการของเขาเด็ดขาด

    /////////////////////////////////////////////

    “อัลรอลเน่...อัลรอลเน่...ฟื้นสิ...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ!!”
    ในขณะที่วิ่งข้ามสะพานอยู่นั่นเอง ใครบางคนในชุดสีแดงเลือดหมูก็ปรากฏตรงหน้า

    “อัลรอลเน่!!!”
    ซานโดรวิ่งเข้ามาหาเด็กสาวที่อยู่สลบอยู่ ฮายาเตะจึงรีบเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ

    “นายเป็นใคร?”

    “ก่อนที่จะถามเรื่องนั้น ข้าขอดูอัลรอลเน่เสียก่อน!!!”
    ชายหนุ่มตวาดใส่ฮายาเตะ เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจจนนางต้องเดินเข้าไปหาเขาอย่างว่าง่าย
    ซานโดรก้มลงมองอัลรอลเน่ เขาสัมผัสเข้าที่หน้าผากของนาง มีแสงสว่างวาบขึ้น และซิสเตอร์สาวก็เบิกตาโพล่งขึ้นมา

    “ที่นี่....ชูวครอส...”
    อัลรอลเน่พึมพำ นางกำลังสับสน
    “ฮายาเตะ....ซานโดร...?”

    “ไม่เป็นไรอะไรใช่มั้ย!!”
    เสียงของฮายาเตะกับซานโดรดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย พลันสายตาของฮายาเตะก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสะท้อนเข้าตาของนางมาจากนิ้วนางข้างขวาของซานโดร มันเป็นแหวนสีทอง..รูปชาวประมงกำลังหาปลา..ฮายาเตะก็กลับรู้สึกคุ้นเคยว่าเคยเห็นมันผ่านทางหนังสือที่นางเคยอ่าน เสียแต่นางลืมมันไปแล้ว...

    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่...เจ้าชูวครอสมันทำอะไรเจ้า?”

    “....ข้า...ยานอนหลับ...มัน...”
    อัลรอลเน่ยังรู้สึกมึนหัวแปลกๆ เวทย์ของซานโดรดูเหมือนจะเบาไปเมื่อเทียบกับฤทธิ์ยา ชายหนุ่มจึงดึงตัวอัลรอลเน่มาจากซามูไรสาวเอาเสียดื้อๆ แต่ฮายาเตะกลับยอมให้เขาดึงตัวเพื่อนของตนเองไป เพราะนางรู้สึกว่า...เขาน่าจะเป็นคนที่พึ่งพาได้แบบแปลกๆ

    “เจ้านั่น...บังอาจมาก...บังอาจมากที่มาทำแบบนี้กับเจ้า.....”

    “ ซานโดร อย่าทำเรื่องเล็กให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่จะได้มั้ย...”
    อัลรอลเน่กระโดดออกจากอ้อมแขนของซานโดร นางเซเล็กน้อยแต่ก็กลับมาทรงตัวได้
    “ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย...อัลรอลเน่”

    “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ...ขอบคุณเจ้ามากนะ ฮายาเตะ... แล้วก็ ขอโทษด้วย ที่ข้าไม่เชื่อเจ้า” อัลรอลเน่กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ออกมาจากใจ

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ขอแค่เธอปลอดภัย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั้นก็จะขอปกป้องเธอด้วยชีวิต นี่คือสิ่งที่ซามูไรต้องตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างเธอ” ฮายาเตะให้สัญญาต่อหน้าเธอ ด้วยเกียรติของซามูไรที่อาจารย์ของเธอสอนก่อนจะล่วงลับไป

    ซานโดรที่มองเห็นภาพนั้นกลับรู้สึกเศร้า...ที่รอยยิ้มนั้นไม่เคยให้กับเขาเลย

    “ถ้าเช่นนั้น...ข้าคงต้องขอตัวก่อน...ราตรีสวัสดิ์ คาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร”
    อัลรอลเน่เดินจากไปพร้อมกับฮายาเตะ ซานโดรนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่มองนางผู้เป็นที่รักเดินจากไปเท่านั้น
    “จริงสิ...”

    ทว่าเมื่ออัลรอลเน่หันกลับไปอีกครั้ง ก็พบกับความว่างเปล่า
    ...ความรู้สึกใจหายแปลกๆเข้ามาเกาะกุมจิตใจของซิสเตอร์สาว
    “ซานโดร...ขอบคุณ....”
    นางพูดด้วยเสียงกระซิบและเดินตามฮายาเตะไป....

    [To Be continued ตามคนอื่นที่จะมาแต่งต่อค่ะ]

    ปล.ตอนใหม่นี้ยาวจริง ๆ + ขออภัยที่แม้จะช่วยกันเขียนกับคาเรนจังอยู่สองคน แต่เราที่รับหน้าที่เขียนฉากกินข้าวกลับถ่ายทอดบทบาทตัวละครออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร คราวหน้าจะพยายามให้ดีกว่านี้ค่ะ

    ปล.2 ฮายาเตะในเนื้อเรื่องช่วงนี้ดูอ่อนแอยังไงไม่รู้ แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ เจอพวกระดับ Legend ถึงสองคนแบบนี้

    ดิท ปล.3 เรื่องฉากแช่เสาไฟ ใครใคร่จะเขียนก็เขียนได้เลยนะคะ ถือว่าเป็น Flashback เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ได้
  8. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    All Fiction Fantasy


    "ขอบใจนะจ๊ะที่ช่วยเป็นธุระให้ หนูอาสึกะ"

    หญิงชรากล่าวขอบคุณกับเอ็กโซซิสต์สาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม

    "แต่ที่ให้แกล้งทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องนี่คงลำบากใจอยู่สินะ"

    "ไม่หรอกค่ะ ดิฉันเองก็ห้ามเด็กคนนั้นไว้อย่างที่ท่านยายขอร้องไม่ได้"

    อาสึกะตอบกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาไว้ในใจออกมา

    "แต่จะให้ปล่อยเจ้าหมอนั่นไว้อย่างนี้จะดีเหรอคะ คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้น่ะไม่สมควรจะได้เป็นอาจารย์เสียด้วยซ้ำ"

    "พอดีว่าเรื่องที่หอแห่งความรู้กำลังตรวจสอบอยู่มีคนๆนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยน่ะจ้ะเราเลยอยากจะจับตาดูเขาอีกสักระยะ แต่ก็ไม่คิดว่าระหว่างที่ตรวจสอบด้านอื่นอยู่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ โชคดีจริงๆที่ลูกศิษฐ์ของยายเข้ามาขอร้องให้ช่วยพอดีถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น

    ส่วนเรื่องของเด็กคนนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกนะหนูอาสึกะ ตอนแรกยายก็แค่ไม่อยากให้เขาต้องมาลำบากเพราะไปมีปัญหากับเขาคนนั้น แต่ดูจากที่หนูอาสึกะเล่าให้ฟังเด็กคนนั้นก็คงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาในทางใดทางหนึ่งอยู่ดีนั่นล่ะจ้ะ"

    ท่านยายตอบหญิงสาวด้วยท่าทีสงบนิ่งพลางรินน้ำชาลงในถ้วยใบน้อยให้กับคู่สนทนา ก่อนที่จะพูดต่อไปเมื่อสังเกตเห็นท่าทีสงสัยในแววตาของอีกฝ่าย

    "เรื่องที่เรากำลังตรวจสอบยายคงบอกให้รู้ไม่ได้หรอกนะ ที่พอจะบอกได้ก็มีแค่เพียงว่าหลายๆสิ่งกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและเพราะเช่นนั้นยายจึงอยากให้หนูอาสึกะช่วยดูแลแล้วก็ฝึกสอนเด็กๆพวกนั้นให้ดี เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะเป็นกำลังที่พึ่งพาได้สำหรับพวกเรา"

    หญิงชราจบคำพูดไว้เพียงแค่นั้นแล้วประคองถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ ปล่อยให้กลิ่นหอมจางๆจากไอน้ำชาช่วยแต่งเติมให้บรรยากาศอันเงียบงันดูอบอุ่นขึ้นมา...



    "ขอบคุณนะครับเวิร์ด ที่ช่วยไปพูดด้วยอีกแรง"

    "ไม่เป็นไร ฉันเองก็อยากช่วยเพื่อนด้วยเหมือนกันนั่นล่ะ"

    เวิร์ดตอบรับอย่างเรียบง่ายก่อนจะกลับเข้าไปในหอพักของเธอ อเล็กซ์ซึ่งเดินมาส่งจึงได้เดินต่อไปพร้อมกับเชล่าเพื่อไปส่งเพื่อนสนิทที่หอพักซึ่งอยู่อีกที่หนึ่ง

    "นายนี่ได้เจอเพื่อนดีๆหลายคนเลยนะอเล็กซ์"

    เชล่าเอ่ยขึ้นมาหลังจากเดินมาได้พักหนึ่ง เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอคนนี้เริ่มที่จะเข้าสังคมกับเขาเป็นบ้างแล้ว

    "แต่ไม่นึกเลยนะว่านายจะรู้จักกับคาร์ดินัลด้วย"

    "ท่านยายเป็นอาจารย์ของสาขาประวัติศาสตร์น่ะครับ สาขานี้ถึงจะมีเรียนรวมกับสาขาอื่นอยู่บ้าง แต่พอเรียนวิชาเฉพาะของสาขาขึ้นมาก็น้อยมากเชียวล่ะครับ แถมปีนี้คนที่เข้ามาอยู่ในสาขาประวัติศาสตร์ก็มีแค่ผมคนเดียวก็เลยได้รู้จักกับอาจารย์ในสาขาค่อนข้างไว"

    พอเริ่มตอบคำถามของเชลาแล้วอเล็กซ์ก็กลับเป็นฝ่ายพูดมากขึ้นมาบ้าง เธอมักจะมีวิธีชวนให้อเล็กซ์พูดคุยได้มากอยู่เสมอๆ บางครั้งก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป บางครั้งก็เป็นเรื่องวิชาการยากๆ และถึงแม้เชลาจะไม่เข้าใจในบางเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังแต่เธอก็จะยังคงตั้งใจฟังอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันพวกเขาเดินคุยเสียเพลินจนมาถึงหอพักโดยไม่รู้ตัว

    ตอนนี้เพิ่งเป็นเวลาค่ำบริเวณโดยรอบหอพักจึงยังคงมีคนเหลืออยู่พอสมควร บ้างก็นั่งเล่นรับลมเย็นๆ บ้างก็อาศัยแสงจากตะเกียงจับกลุ่มนั่งอ่านหนังสือ โดยเฉพาะในบริเวณโรงครัวนั้นมีนักเรียนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เพราะตารางการเรียนการสอนของโรงเรียนนั้นแตกต่างกันไปตามสาขาวิชาอีกทั้งเอ็กโซซิสต์ที่ต้องปฏิบัติงานถึงเวลากลางคืนก็มีไม่น้อยทำให้โรงครัวนั้นเปิดอยู่ถึงช่วงดึกอยู่เสมอ

    "ไหนๆก็ยังมีเวลาเหลือ นายช่วยดูฉันซ้อมเต้นหน่อยได้มั้ยล่ะ"

    อเล็กซ์พยักหน้าตอบเบาๆ เชลาจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงลานว่างห่างจากตัวอาคารออกมาไม่มากนัก เธอยืนตรงสูดลมหายใจอย่างช้าๆเพื่อให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย

    "กริ๊ง..."

    เสียงกระพรวนดังแว่วออกไปท่ามกลางความเงียบพร้อมๆกับการเคลื่อนไหวของหญิงสาวที่กำลังเริ่มขึ้น เธอค่อยๆวาดแขนไปในอากาศสร้างเสียงให้เกิดขึ้นจากกระพรวนบนกำไลข้อมือ ทีแรกเสียงนั้นดังขึ้นช้าๆเว้นช่วงห่างเป็นระยะแล้วจึงเริ่มเร็วขึ้นทีน้อย จากนั้นเชลาจึงเริ่มขยับขาก้าวเป็นจังหวะสร้างเสียงจากกระพรวนข้อเท้าให้สอดประสานกับเสียงจากมือ

    ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจเสียงเหล่านั้น พร้อมๆกับที่เชลาเริ่มเร่งจังหวะการเคลื่อนไหวของตัวเอง ฝ่ามือนั้นงอโค้งจนได้รูปกรีดกรายผ่านอากาศอย่างคล่องแคล่วแต่กระนั้นก็ยังดูอ่อนช้อย ครั้นยืดแขนออกไปจนสุดก็พลันตวัดปลายนิ้วเป็นวงโค้งพลางใช้ปลายนิ้วชี้สัมผัสกับปลายนิ้วโป้งเปลี่ยนท่วงท่าให้ต่างออกไปในพริบตา พร้อมกันนั้นฝ่าเท้าก็ย่ำเป็นจังหวะเบาๆอย่างเชื่องช้าทว่าดูมั่นคงก่อให้เกิดเสียงประกอบเป็นท่วงทำนองให้กับหญิงสาว

    ท่วงท่าการร่ายรำเช่นนี้ดูแตกต่างจากการเต้นรำทั่วๆไปอยู่ไม่ใช่น้อยจนคนส่วนใหญ่อดที่จะดูต่อด้วยความสนใจเสียมิได้ หากการเต้นรำทั่วไปคือความคล่องแคล่วกระตือรือล้นสร้างความเพลิดเพลินด้วยจังหวะอันสนุกสนานแล้วล่ะก็ ท่วงท่าของหญิงสาวในขณะนี้ก็คือความงดงามที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบสะกดให้ทุกสายตาจับจ้องการเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อยและค่อยๆเติมเต็มความเพลิดเพลินให้ตราตรึงอยู่ในใจของผู้ได้รับชม

    มันเป็นลักษณะการร่ายรำอันเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติของหญิงสาวซึ่งอเล็กซ์เคยได้เห็นมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ไม่ว่าจะเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งเด็กหนุ่มก็ยังคงรู้สึกประทับใจอยู่ทุกคราไป

    แม้จะไร้เครื่องแต่งกายหรูหรา แม้จะไร้วงดนตรีขับท่วงทำนอง แต่ในเวลานี้บนลานกว้างซึ่งอาบต้องแสงสีขาวนวลหญิงสาวกลับดูเปล่งประกายราวกับเทพธิดากำลังหยอกเย้าแสงจันทร์ กระทั่งเสียงสายลมโบกพัดหรือกระทั่งเสียงใบไม้ไหวปลิวก็ดูสอดคล้องราวกับประสานเสียงเหล่านั้นไปเป็นดนตรีขับกล่อมดึงให้ทุกสิ่งรอบข้างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการแสดงนี้

    เด็กหนุ่มลอบยิ้มน้อยๆพลางมองดูการแสดงที่กำลังดำเนินต่อไปอย่างมีความสุข...

    ______________________________________



    ตอนนี้สั้นไปหน่อยแถมเรื่องยังไม่ค่อยจะเดินนัก แต่ก็เกิดมีอารมณ์เกิดอยากแต่งฉากนี้ขึ้นมาพอดี ถึงตอนนี้คิดว่าน่าจะทำให้รู้จักตัวละครเชลากันมากขึ้น แถมน่าจะพอรู้แล้วด้วยว่าเชลาเป็นคนชนชาติใดกันแน่

    ปล. สุดท้ายนี้อ่านฉากเต้นรำแล้วมีความเห็นอย่างไรบ้างอยากจะขอคำแนะนำหน่อยน่ะคับ
  9. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ท่วงทาแบบนี้ชนชาติ แขมร์ หรือ?

    ส่วนท่วงทาการเต้น ขาดแค่สาเกดีๆสักถ้วยก็สมบูรณ์แล้วล่ะ ^-^
  10. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    สาเกเกี่ยวกับการเต้นยังไงล่ะนั่น >_<"?

    ปล. ว่าแต่เดาจริงหรือเดาเล่นล่ะเนี่ย
  11. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อืมมม บรรยากาศมันให้ล่ะนะ

    ส่วนเรือ่งเดานั้นเอาใกล้เคียงที่สุดแล้วกัน (ไม่ค่อยอยากนึกชนชาติสาระขันนั่นเท่าไหร่นัก)(ถ้ามันใช่อย่างที่เซาจะสื่อล่ะนะ)
  12. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    บนดาดฟ้าของหอพักซึ่งดูเปล่าเปลี่ยวราวกับไร้ผู้คนเหยียบย่างขึ้นมานับสิบปี มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าขึ้นเล็กน้อย มือข้างขวาสวมถุงมือหนังสีดำ ประสานกับมือซ้ายราวกับภาวนาอะไรบางอย่างเพียงแต่สานกันอย่างหลวมๆ เนตรสีแดงหม่นจับจ้องยังภาพของแสงไฟ ที่ถูกประดับประดาไว้ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีของเมืองไลท์เกรซ ศูนย์กลางแห่งศาสนจักรแห่งนี้เอาไว้...


    แต่ใจของเขา กลับไม่ได้ชื่นชมกับความงามตรงหน้าเลยแม้แต่นอน หากแต่ใจของเขากลับครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาตั้งแต่เขาลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับไหลไปตลอดหนึ่งวันเต็มๆ


    ..........
    ...............
    ....................

    “รู้รึเปล่า ที่นายไม่สามารถใช้ฟอร์ซได้อย่างเต็มที่น่ะเพราะอะไร? เพราะสภาพจิตใจของนายมันไม่คงที่ยังไงล่ะ”


    จู่ๆ คำพูดของวลาดิเมียร์ผู้เป็นรุ่นพี่ก็ดังขึ้น มันทำให้วาเลียเกิดความงุนงง เหตุใดรุ่นพี่วลาดิเมียร์ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น


    “สภาพจิตใจ... ไม่คงที่?”

    “ตรงตามคำพูด”

    “เหรอครับ....”


    วาเลียทำได้แต่คอตกกับคำวิจารณ์ของวลาดิเมียร์ เขาไม่รู้ว่าเขามีสภาพจิตใจไม่คงที่ตรงไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ออก เขาคงจะไม่คงที่จริงๆ


    “เอ้า ถึงห้องพยาบาลแล้ว”

    “เห?”


    หนุ่มน้อยอุทานด้วยความตกใจ แล้วแหงนหน้ามองดูป้ายบนประตูที่เขียนไว้ว่า “ห้องพยาบาล”


    (ไอ้ห้องนี้มันห้องที่เราเพิ่งออกมานี่หว่า....)

    “มัวอึ้งอะไรอยู่ได้ นี่ก็เป็นการฝึกใช้พลังเหมือนกัน..... นี่คือคำสั่ง ไปหาสิ่งที่แกยังขาดอยู่ในห้องนั้น...ซะ!!!”


    ว่าแล้ววลาดิเมียร์ก็ผลักวาเลียเข้าไปในห้องสีขาวโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว แม้หนุ่มผมดำจะทรงตัวและกลับไปหันได้ทัน แต่ก็ร่างของวลาดิเมียร์ก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้


    “หายไปไหนฟะ.....”


    วาเลียทำได้แต่ถอนหายใจ แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น ทำเอาสติของเขาแตกกระเจิง


    “ใครน่ะ!?”


    เขารีบหันหลังขวับไปหาเจ้าของเสียง เสียงใสๆนั้นเป็นของเด็กสาวผมสีน้ำเงินยาว ข้างๆเตียงนั้นมีเก้าอี้ซึ่งมีกองเศษเหล็ก... ชุดเกราะโลหะที่ถูกปลดออกจากร่างเล็กนั้นวางซ้อนกันอยู่


    “อะ... นายเองหรอกเหรอ........”


    อิลฟา ไมเยอร์ส นักเรียนสาวสายศาสตราพูดขึ้นด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ก่อนที่จะพาร่างท่อนบนซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาววางลงบนเตียงตามเดิม วาเลียเดินไปยังเตียงผู้ป่วยของเธออย่างกล้าๆกลัวๆ


    “บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ คุณอิลฟา”


    เด็กสาวทำหน้าตกใจเล็กน้อยเหมือนกับที่ทรีคเคยทำ ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เขายิ่งกังวล นี่เขาพูดอะไรผิดรึเปล่า เขาทำให้เธอไม่พอใจมั้ย ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของเธอ


    “อุ๊บ ฮะๆๆๆๆๆ นายนี่ตลกดีจัง ยังมีหน้ามาห่วงคนอื่นอีก”

    “หา?”

    “ฮะๆๆๆๆๆ นั่งก่อนสิๆ”


    วาเลียตอบรับคำเชิญชวนของคู่สนทนาอย่างงงๆ ด้วยการหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงผู้ป่วย เขารู้สึกเกร็งๆเล็กน้อย เมื่อต้องมาอยู่กับผู้หญิงเพียงสองคน.... กับอัลรอลเน่ เขาหวาดระแวงตลอดเวลาว่าความลับจะแตกกับคุณเธอมั้ย แต่กับอิลฟา มันไม่ใช่....


    “เมื่อกี๊ถามว่าบาดเจ็บตรงไหนมั้ยสินะ ไม่เป็นอะไรหรอก แค่หมดสติเพราะได้รับแรงกระแทกเกินกว่าร่างกายจะทนไหวไปนิดหน่อยเลยหลับซะยาว จนเพิ่งตื่นเพราะถูกนายปลุกเนี่ยแหละ”

    “แหะๆ... ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ต้องมานอนอยู่แบบนี้”

    “ไม่เป็นไรๆ มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา การประลองมันก็ต้องเจ็บตัวเป็นธรรมดานี่หน่า อย่าใส่ใจเลยนะ”


    อิลฟายิ้มให้ ราวกับการประลองระหว่างพวกเขานั้นไม่เคยเกิดขึ้น วาเลียนึกไม่ออกว่าควรจะทำอะไรต่อไป นอกจากยิ้มตอบ


    “น... นั่นสินะครับ”

    “จะว่าไป.... วันนี้คาบเรียนวิชาการใช้อาวุธกับวิชาศาสตร์แห่งพลังเป็นยังไงบ้างเหรอ?”

    “อ้อ.... คาบเรียนวันนี้สินะ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้น่ะครับ”


    วาเลียเล่าเรื่องที่ฟังมาจากฮายาเตะอีกทีในวิชาของชายที่ชื่อว่าชูวครอส ซึ่งเขาไม่ได้เข้าเรียน ต่อด้วยเรื่องวิชาว่าด้วยเรื่องพลัง ซึ่งเขาได้พบกับรุ่นพี่วลาดิเมียร์ กัลเวซ ประธานนักเรียนคนปัจจุบันตัวเป็นๆ ได้พบกับอาจารย์แม็กซิมิเลี่ยน เรย์กราดซึ่งมีสำบัดสำนวนที่เพี้ยนกว่าคนทั่วๆไปที่เขาเคยเจอมา รวมทั้งการที่เขาโดนตั้งชื่อว่า วาลคุง อีกด้วย


    “เรื่องก็ประมาณนี้แหละ อันที่จริง... คาบอาจารย์แม็กซิมิเลี่ยนแกก็แทบจะไม่ได้สอนอะไรเลยน่ะนะ”

    “ฮะๆๆๆๆๆๆ อะไรกัน มีครูแบบนี้ในศาสนจักรด้วยเหรอเนี่ย ฮะๆๆๆๆๆ ไม่อยากเชื่อ”


    อิลฟาปล่อยเสียงหัวเราะน้ำตาเล็ดตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่องในคาบวิชาที่เขาเข้าเรียน จนตอนนี้เธอหยุดขำไม่อยู่มาเกือบห้านาทีแล้ว


    “น้อยๆก็ได้ครับแม่คุณ เดี๋ยวกรามได้ค้างจริงๆหรอก”

    “ฮะๆๆๆๆๆ จะให้ทำยังไงล่ะ ก็มันฮามากนี่หน่า.... อูย”


    เธอหยุดหัวเราะ.... ความเงียบงันที่จู่ๆก็เข้ามาในห้องพยาบาลที่มีคนอยู่แค่สองคน ก็ทำให้วาเลียออกอาการขวัญเสีย กระวนกระวายกับการกระทำของตัวเอง


    “ถึงจะรู้จักชื่ออยู่แล้วแต่แนะนำตัวอีกทีคงจะดีกว่า ชั้นชื่ออิลฟา ไมเยอร์ส ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    “วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทียครับ ดีใจที่ได้รู้จักครับ”


    อิลฟาลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งบนเตียง แล้วยื่นมือซ้ายมาให้กับเขา วาเลียแสดงท่าทีแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นมือซ้ายของตนเข้าจับมือเล็กๆของเธอและเขย่าเพียงเล็กน้อย ทั้งสองปล่อยมือออกจากกัน


    “งั้นคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะนะ งั้น...พรุ่งนี้เจอกันในวิชาเรียนนะครับ”


    หนุ่มผมดำลุกขึ้น และเดินออกนอกห้อง เมื่อเห็นสภาพร่างกายของอิลฟาที่ไม่มีอะไรผิดปกติ


    “อือ... เจอกันพรุ่งนี้นะ”


    วาเลียตอบกลับเล็กน้อยด้วยการโบกมือขวาซึ่งทำมือคล้ายปืนให้โดยไม่หันกลับมา


    ..........
    ...............
    ....................


    ระหว่างที่วาเลียกำลังเดินไปยังโรงอาหาร เขาก็เห็นเด็กหนุ่มตัวเตี้ย คุ้นหน้าคุ้นตาดี


    “เป็นอะไรไปเจ้าเม็ดถั่ว เดินคอตกเชียวเจอของแข็งในคาบวิชาเวทรึไง”

    “เงียบเป็นมั้ยเจ้าต้นมะพร้าวปากหมา คนยิ่งหงุดหงิดอยู่”

    (ว่าเขาปากหมา แกนี่ไม่ได้เลี้ยงหมาไว้เต็มครอกเลยเนอะ...)


    วาเลียด่าทรีคในใจ พลางมองอีกฝ่ายซึ่งยืนมองเขาด้วยท่าเท้าสะเอว ว่าแล้วก็พูดขึ้น


    “เฮ้อ.... นิสัยปากเสียของแกนี่แก้ยังไงก็ไม่หายเลยน้า..... ช่างเถอะ ไปเจออะไรมาล่ะ เล่าให้ฟังได้มั้ย?”


    ทรีคยังคงจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดใดๆ


    1..
    2...
    3....
    4.....
    5......


    “ก็ได้..... แต่เดินไปคุยไปนะ ไหนๆก็จะไปโรงอาหารใช่มั้ย เจ้าเปรต”

    “............รู้มั้ย คนเขาจะไม่ฟังที่แกบ่นเพราะปากแกเนี่ยแหละเจ้าพุ่มไม้”


    เรื่องมีอยู่ว่า ในคาบวิชาเวทของอาจารย์เบนิออส ทุกคนในห้องเรียนลงความเห็นกันว่าจะส่งถ่ายพลังเวทให้กับไลติโอ้ และให้เขาร่ายมนต์น้ำแข็งด้วยเวทโบราณ ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพอใจของเบนิออส เพราะเวทโบราณที่ไลติโอ้ใช้นั้นเป็นเวทน้ำแข็งซึ่งทำให้อุณหภูมิของวัตถุและสิ่งแวดล้อมลดลงอยู่ที่ศูนย์องศาสมบูรณ์ซึ่งแทบไม่มีใครสามารถใช้เวทน้ำแข็งที่รุนแรงจนสามารถแช่แข็งเสาไฟโดยที่ไฟไม่ดับได้


    นักเรียนทุกคนสอบผ่านบทเรียนนั้นยกเว้น... ทรีค ซึ่งไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และด้วยเหตุที่เขาไม่สามารถรีดพลังเวทออกมาให้กับไลติโอ้ ทำให้เขาถูกตัดออกจากนักเรียนที่ร่วมมือกับไลติโอ้ในการแช่แข็ง และต้องถูกหักคะแนนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


    “น่าขำใช่มั้ยล่ะ? ชั้นรู้นะว่านายขำ นายมองว่าเรื่องนี้มันไร้สาระใช่มั้ยล่ะ เจ้ากาแก่”


    ทรีคพูดประชดประชัน พลางมองมายังคู่สนทนาด้วยแววตาและน้ำเสียงชวนหาเรื่องเต็มที่ แต่วาเลียกลับไม่พูดอะไรไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเปืดปากบ้าง


    “แล้ว... ทำไมนายถึงใช้เวทมนตร์ไม่ได้ล่ะ”

    “ชั้นจะไปรู้มั้ยเล่า!? ก็มัน.... ก็มัน.....”


    ทรีคตวาดกลับ ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีอีกฝ่าย พยายามคิดหาเหตุผลที่จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อ


    “ก็มันไม่รู้นี่! แล้วจะให้ทำย......”


    ยังไม่ทันพูดจบ มือซ้ายอันหยาบกร้านของวาเลียก็กดลงบนศีรษะซึ่งปิดทับด้วยหมวกของทรีค


    “ไม่ต้องเครียดไปหรอกน่า วันพระไม่ได้มีหนเดียวซักหน่อยนี่ จริงมะ?”

    “อย่ามาแตะต้องตัวชั้นนะเจ้าถ่านหิน”


    ทรีคปัดมือเขาออกจากหัวของตน พลางใช้มืออีกข้างปัดหมวก ในขณะที่วาเลียมองดูมือซ้ายของตัวเอง เขาสัมผัสอะไรบางอย่างนุ่มๆ ภายใต้หมวกใบนั้น


    “แกนี่ทำตัวเหมือนผู้หญิงเลยนะเจ้าเตี้ย”


    จู่ๆวาเลียก็โพล่งคำพูดแปลกๆขึ้น ทำเอาทรีคถึงกับชะงักไปราวๆหนึ่งจุดสามวินาที


    “พ.... พูดอะไรบ้าๆของแกฟะ!? สติกลับแล้วรึไง”

    (ไอ้นี่.......)


    วาเลียกุมขมับ อะไรจะปากหมาได้ขนาดนี้กันนะไอ้ทรีคเอ๊ย.....

    ..........
    ...............
    ....................


    เฮ้ออออออออออ....... เสียงทอดหายใจยาวๆ ออกมาจากปากของวาเลียซึ่งบัดนี้กำลังนั่งอยู่บนดาดฟ้าของหอพักชาย


    (พอมาลองนึกๆดูอีกที หงุดหงิดยัยเลสเบี้ยนนั่นชะมัดเลยแฮะ.......)


    วาเลียคงหมายถึงฮายาเตะ เด็กสาวร่างยักษ์(ในสายตาของวาเลียซึ่งพ่วงด้วยอคติเต็มที่) ซึ่งทำท่าเหยียดหยามเขาซะเต็มประดา และทำให้เขาถึงกับฟิวส์ขาดได้ง่ายผิดปกติ ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่โกรธยากมากแท้ๆ พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นเขาก็ถอนหายใจไปอีกเฮือกใหญ่ ถึงเขาไม่อยากใส่หน้ากากแต่คงต้องใช้กับฮายาเตะล่ะมั้งนี่


    เฮ้อ......... เขาถอนหายใจอีกครั้งหลังจากที่คิดได้เช่นนั้น ว่าแล้วก็ลุกขึ้นก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนด้วยโปรแกรมการฝึกพลังของตนด้วยการยืนบนแขนของตนด้วยแขนซ้ายข้างเดียว แล้วยกแขนขวาขึ้นขนานกับพื้น พลางใช้ฟอร์ซของตนผ่านมือขวา ยกแท่งโลหะ หรือด้ามของเรย์เซเบอร์ตรงหน้า โดยไม่สนใจสัมผัสบางอย่างที่ทำให้เขารู้ว่าเกิดการต่อสู้แถวๆตึกเรียนเก่า


    + + + + + + + + + +

    แก้ไขข้อความบางประการ ขออภัยท่านริวเน่ที่ผมเผลอถากถางไปโดยไม่ได้ตั้งใจนะครับ
  13. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [Samurai's Pride]

    เช้าวันรุ่งขึ้น อัลรอลเน่ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีอ่อนล้าเล็กน้อย เนื่องจากคืนก่อนหน้าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนทำให้เธอเกือบเอาตัวไม่รอด ดูเหมือนฤทธิ์ยานอนหลับจะยังคงมีผลอยู่บ้าง ไหนจะความรู้สึกผิดเล็กน้อยที่มีต่อซานโดร ที่เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมกัน แล้วยังต้องกังวลเรื่องต่อจากนี้อีก เพราะคนอย่างชูวครอสไม่ใช่คนที่จะล้มเลิกอะไรง่าย ๆ แน่นอน

    ทันใดนั้นสายตาน้อย ๆ ที่มีสองสีก็เหลือบไปเห็นร่างใครคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ เตียง เธอตกใจเล็กน้อยแต่พอดูดี ๆ แล้ว เป็นฮายาเตะนั่นเอง เจ้าของร่างสูงไม่ได้นอนที่เตียงตัวเองข้าง ๆ เหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับนั่งกอดดาบพิงขอบเตียงอยู่ข้าง ๆ เธอ ชุดที่ใส่ก็มิใช่ชุดนอนแต่เป็นเครื่องแบบ ราวกับว่าพร้อมอารักขาเธอทุกเวลา ทั้งที่เด็กสาวไม่ได้เป็นฝ่ายขอร้องแม้แต่น้อย

    [“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ขอแค่เธอปลอดภัย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั้นก็จะขอปกป้องเธอด้วยชีวิต นี่คือสิ่งที่ซามูไรต้องตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างเธอ”]
    เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกซามูไรนัก เรียกว่าได้ยินชื่อครั้งแรกก็จากปากของฮายาเตะด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าต่างจากพวกยศอัศวินตรงไหน แต่เธอก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำตัวเองให้เป็นเจ้าหญิงที่เอาแต่รอให้ได้รับการปก ป้องฝ่ายเดียวสักหน่อย เธอต้องการเป็นเอกโซซิสต์ดังเช่นคนอื่น ๆ ต่างหาก

    ที่สำคัญ เธอเองก็ไม่ได้อยากให้ฮายาเตะตกอยู่ในอันตราย แม้เธอจะไม่ปฏิเสธว่าฮายาเตะเองก็เป็นคนดีและซื่อตรง แต่ก็เป็นพวกใจร้อนและมุทะลุมากเกินไปผิดกับท่าทีที่แสดงต่อคนอื่น และหากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอก็อดหวั่นไม่ได้ว่า สักวัน ฮายาเตะต้องถูกฆ่าตายเพราะเธอเป็นต้นเหตุแน่นอน

    เธอคงต้องทำอะไรสักอย่าง.... แม้ว่ามันจะดูโหดร้ายไปสำหรับเพื่อนของเธอก็ตาม

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
    อัลรอลเน่ตกใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นมาจากปากของเพื่อนร่วมห้อง

    “ได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ลงเรียนสาขาเทววิทยาซะหน่อยนี่”
    “อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก”

    “แต่ฉันวางใจไม่ได้ เกิดระหว่างที่ชั้นไม่อยู่ เจ้าชูวครอสมันจะ....”

    “พอทีเถอะ ได้โปรดอย่าทำให้ข้ารู้สึกรำคาญจะได้ไหม”
    ไม่ทันขาดคำ วาจาที่โหวกเหวกเหมือนคนเสียสติของฮายาเตะก็ต้องหยุดลง เมื่อถูกอัลรอลเน่ใช้น้ำเสียงรุนแรงใส่ จนคนรอบข้างต่างหันมามอง

    “รีบไปเรียนวิชาของเจ้าซะ ข้าขอตัวละ” เด็กสาวพูดจาและทำท่าตัดรอนอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่คนพูดจะรีบเดินหนีออกไปอย่างว่องไวและเย็นชา
    เจ้าของร่างสูงได้แต่ยืนนิ่ง แม้เสียงซุบซิบรอบข้างจะดังเซ็งแซ่ดังเข้ามาไม่ขาดสาย แต่ตอนนี้เหมือนเธอจะไม่ได้ยินอะไรแล้ว ในใจได้แต่ตกตะลึง สงสัย และพยายามหาคำตอบว่าทำไมจู่ ๆ อัลรอลเน่จึงพูดกับตนเช่นนี้

    หรือว่า.....เป็นเพราะเธอมัน.....อ่อนแอ......
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    และแล้วก็มาถึงครั้งแรกสำหรับคาบเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้แบบโบราณ ซึ่งนี่เป็นคาบแรก จึงเป็นการแนะนำตัวโดยอาจารย์ประจำวิชา คือ อาสึกะ บลัดแฟงค์ เอกซอซิสต์ระดับยอดฝีมือที่เลื่องลือ เจ้าของสมญา “คมเขี้ยวปราบอสูร” นั่นเอง ส่วนห้องเรียนนั้นมีลักษณะเป็นโรงฝึกที่กว้างและโล่ง แถมพื้นไม้ยังแลดูสะอาดสะอ้านบ่งบอกว่าผ่านการทำความสะอาดอย่างตั้งใจจนดู ใหม่อยู่เสมอ

    ดวงตาสีดำสนิทที่แลดูน่าเกรงขามดั่งพยัคฆ์นั้นกวาดมองไปรอบ ๆ ขณะที่ให้นักเรียนแต่ละคนขานชื่อของตนตามลำดับที่นั่ง แม้จะคอยจดจำชื่อของแต่ละคนพร้อมกับพิจารณาท่าทีและหน่วยก้านไปด้วย แต่ก็ไม่มีคนใดที่นางคิดจะให้ความสนใจเท่ากับคนที่นางคาดหวังว่าจะอยู่ที่ นี่ด้วย แต่แล้วนางก็ต้องเขม่นตาลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวังเล็ก ๆ เมื่อพบว่า เด็กสาวคนนั้นไม่เพียงเอาแต่เงียบ แต่ยังทำสีหน้าเหมือนคนไร้สติอีกต่างหาก

    “นี่เธอคนนั้น ทำไมถึงไม่แนะนำตัว” สุ้มเสียงที่ดังระคนเกรี้ยวกราดโพล่งขึ้น ทำให้เด็กสาวที่เป็นเป้าหมายถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง แต่ก็ยังคงมีท่าทางงง ๆ เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว
    “ชั้นบอกให้แนะนำตัว อย่าให้ต้องพูดซ้ำไปมากกว่านี้”

    ในเมื่อถูกกดดันด้วยทั้งน้ำเสียงและรังสีอำมหิตที่แผ่ใส่ เด็กสาวร่างสูงก็จำต้องรีบตอบด้วยท่าทีลุกลน
    “ส...ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ.....”

    “ที่นี่ไม่ต้องการคนไม่มีความตั้งใจ หากไม่คิดจะสนใจฟังที่ชั้นพูด ก็ขอเชิญออกไปซะ”

    “ข....ขออภัยค่ะ” ฮายาเตะได้แต่กล่าวขอโทษ ด้วยสภาพที่แทบไม่เหลือท่าทีทระนงตนเหมือนก่อนหน้านี้เลย นักเรียนในห้องหลายคนเริ่มซุบซิบ เนื่องจากมีบางคนไม่ชอบท่าทีของเด็กสาวอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเงียบ เพียงแค่เสียงตำหนิสั้นๆ แต่ทรงอำนาจของครูสาวเท่านั้น

    แม้จะเป็นชั่วโมงคาบแรก แต่อาจารย์สาวก็ไม่ยอมให้เวลาเสียเปล่าแม้แต่น้อย นางใช้เวลาในการบรรยายบทนำเกี่ยวกับวิชาไม่เกินครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นจึงเริ่มทำการแจกอาวุธฝึกสำหรับที่ล้วนทำจากไม้ แทนที่จะให้นักเรียนใช้อาวุธประจำตัวแต่ละคน ทั้งนี้เมื่อพลาดพลั้งจะได้ไม่เกิดอันตรายถึงชีวิต

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ทำไม......ทำไมกัน.......
    ทั้งที่.....เราก็แค่.....อยากทำตามที่พูด ว่าจะปกป้องเธอ
    แต่ทำไมเธอถึงต้องแสดงท่าทีรำคาญขนาดนั้นด้วยนะ.....
    หรือว่า เพราะเราอ่อนแอ........
    เพราะเราไปถึงช้าเกินไป เธอถึงต้องถูกยาสลบของเจ้าบ้านั่นเสียก่อน
    เพราะเราฝีมือยังอ่อนหัด ถึงเกือบตายโดยที่สู้มันไม่ได้แม้แต่น้อย
    เพราะแบบนั้น เธอถึงไม่เชื่อใจ ว่าเราจะปกป้องเธอได้งั้นเหรอ

    ป๊าบ!
    แรงฟาดด้วยดาบไม้ของนักเรียนคู่ฝึกแสกลงบนศีรษะเข้าอย่างจัง ฮายาเตะถึงกับหงายล้มอย่างง่ายดาย

    “ตรงนั้นน่ะ พอแค่นั้นก่อน” คำสั่งของอาสึกะลั่นมา ทำให้ไม่เพียงคู่ฝึกเท่านั้นที่หยุดมือ แต่รวมถึงนักเรียนคนอื่นที่ต่างก็พักมือแล้วหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน

    อาจารย์สาวผู้มีเรือนร่างสะโอดสะองในชุดเครื่องแบบที่มีลักษณะเฉพาะตัวก้าว เข้ามาถึงตัวของฮายาเตะที่กำลังมึนจากการถูกโจมตี แต่เธอก็กระชากมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาอย่างไม่มีท่าทีสงสารหรือเห็นใจแม้แต่ น้อย
    “มานี่ ชั้นจะให้เธอพัก แต่หลังเลิกคาบ เธอต้องอยู่คุยกับชั้นก่อน”
    แม้จะยังพอได้ยิน แต่เด็กสาวก็ยังคงพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนซังกะตาย

    “ตายจริง ดูยัยนั่นสิ”
    “อุตส่าห์ได้เป็นถึงเพื่อนร่วมห้องของคุณอัลรอลเน่ แต่ไม่นึกว่าจะทำตัวน่ารังเกียจได้ขนาดนี้”
    “นั่นสิ ตอนเข้ามาก็ทำเป็นหยิ่ง ถือว่าได้คบคนดัง น่าจะโดนตบซักฉาดถึงจะดี”
    “เป็นชั้นชั้นก็ไม่เอาคนแบบนี้เป็นเพื่อนหรอก”
    “เป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจซะจริง”
    เสียงซุบซิบนินทาดังกระหึ่มขึ้นมาไม่ขาดสายยิ่งกว่าเมื่อเช้า ก่อนที่จะหยุดลงทันทีที่อาสึกะออกเสียงสั่ง

    “นี่! ชั้นไม่ได้ให้พวกเธอพักด้วย ฝึกต่อไปอย่าพูดมาก”
    ทว่าคำสั่งนั้นคงช้าเกินไป ในเมื่อทีอย่างนี้ หูของเด็กสาวกลับดูดซับถ้อยคำเหล่านั้นเข้าไปเต็มๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    หลังจากระฆังเตือนเวลาพักดังก้องขึ้น ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปจากโรงฝึก ทิ้งไว้เพียงอาจารย์สาวเจ้าของรอยแผลรูปกากบาทบนแก้ม กับเด็กสาวเพียงสองคน
    “เป็นอะไรของเธอ ดูไม่ได้เลยจริง ๆ ” อาสึกะกล่าวอย่างอารมณ์เสีย
    “เมื่อวานตอนกล้าลงมือกับชั้นยังดูเก่งกว่านี้แท้ ๆ ทำไมวันนี้เธอถึงไม่ใส่ใจเลย นี่ถ้าเป็นการต่อสู้จริง เธอขาดสองซีกไปแล้วรู้ไว้ซะ”
    ทว่าเด็กสาวยังเอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบ
    “บอกมาซิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

    ในที่สุด ฮายาเตะจึงเล่าเรื่องเมื่อตอนเช้าให้ฟัง
    “เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ....” ฮายาเตะยังคงก้มหน้าหลบสายตาที่ดูน่ากลัวของอีกฝ่าย

    อาสึกะยังคงมองลูกศิษย์อย่างรู้สึกสมเพช ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
    “ถามจริง นี่เธอคิดได้แค่นี้เองเหรอ”

    “เอ๋!?” ฮายาเตะเริ่มหงุดหงิดนิด ๆ ที่จู่ ๆ ไม่รู้อีกฝ่ายพูดอะไร
    “ก็เธอคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ท่านอาจารย์สอนเสมอว่า ซามูไรต้องรู้จักทดแทนบุญคุณ แล้วทำไม...” เธอเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว

    “โฮ่ แสดงว่าแม้ตอนนี้ เธอก็ยังหลงตัวเองแบบนี้อยู่สินะ”
    คำพูดนั้นทำให้ฮายาเตะรู้สึกเริ่มฉุนขาดขึ้นมา เพราะเหมือนนางจะไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด
    “ว่าแต่.... อาจารย์สำนักเก่าของเธอ ชื่อว่าอะไรนะ” สีหน้าของ [คมเขี้ยวปราบอสูร] กลับมิได้คลายความเย็นชาดุจน้ำแข็งเลยแม้แต่นิด

    “ถามทำไม” เด็กสาวไม่พอใจกับสายตาหมิ่นแคลนของนาง

    “ชั้นถามว่า อาจารย์ที่สอนดาบให้เธอเป็นใคร ใช่เจ้าของดาบเล่มนั้นรึเปล่า” อาสึกะชี้ไปที่ [มุราซาเมะ] สุดรักสุดหวงที่เด็กสาวสะพายอยู่ข้างเอวตลอดเวลา
    เมื่อไม่สามารถต้านทานแรงกดดันจากอีกฝ่ายได้ เด็กสาวก็ได้แต่ตอบด้วยความไม่เต็มใจนัก
    “มุราซาเมะ คาโอรุ”

    เนื่องจากขาดสมาธิ ทำให้เด็กสาวไม่ทันสังเกตเห็นว่า นัยน์ตาคมกริบของอาสึกะเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความสะกิดใจ
    “งั้นหรอกรึ..... แล้วตอนนี้รายนั้นเป็นยังไงบ้าง”

    “คุณรู้จักท่านอาจารย์ด้วยงั้นรึ!”

    “ยัยนั่นไม่เคยสอนรึ ว่าอย่าตอบคำถามด้วยคำถาม”

    ........ในที่สุด ฮายาเตะที่เดิมไม่คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ก็หลุดปากเล่าออกไปจนได้ เรื่องการล่มสลายของหมู่บ้านด้วยน้ำมือของ [มังกรดำ] และสาเหตุที่เธอออกเดินทางเพื่อล้างแค้น
    “เข้าใจแล้ว”
    ทว่าแม้จะได้ยินโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น นางกลับยังคงรักษาท่าทีสงบไว้ได้ แต่ก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหยิบดาบที่วางประดับไว้แถวนั้นมาเล่มหนึ่ง
    “ลุกขึ้น แล้วชักดาบนั่นออกมา”

    “จะทำอะไรกันแน่” ฮายาเตะโวยวาย เธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าตกลง อาจารย์ประจำวิชาคนนี้ถึงได้จงใจกวนประสาทเธอซะขนาดนี้
    ทว่าไม่ทันขาดคำ ครูฝึกสาวก็กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดาบในมือ ด้วยสัญชาตญาณที่เพาะบ่มมาบ้างจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ทำให้เธอยังไวพอที่จะชักมุราซาเมะออกมาตั้งรับ แต่แรงปะทะที่เหนือกว่าก็ทำให้เธอถึงกับเซเล็กน้อย
    “สิ่งที่อาจารย์เธอยังไม่ได้สอน ชั้นจะสานต่อให้เอง แต่เอาตัวให้รอดก็แล้วกัน”

    ในเมื่อจู่ ๆ ก็โดนลากเข้าสู่สถานการณ์แบบนี้ เด็กสาวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากประดาบกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทว่าไม่ว่าจะทุ่มทั้งกำลังและความเร็วแค่ไหน ฝีมือของเธอก็ยังคงไม่อาจสร้างแม้แต่รอยถาก ๆ แก่ยอดฝีมือแห่งศาสนจักรได้แม้แต่น้อยเช่นเคย
    สิ้นเสียงปะทะดาบครั้งสุดท้าย มุราซาเมะ ก็หลุดจากมือของผู้ใช้ และลอยละลิ่วไปปักพื้นที่ห่างออกไป ในขณะที่เด็กสาวตกตะลึง ก็ถูกมือซ้ายอันทรงพลังคว้าคอไว้และดันไปติดกำแพงอีกเช่นเคย โดยคราวนี้มีดาบในมืออีกข้างจ่อที่คอ
    “หึ..... นี่หรือซามูไร ชั้นว่าเด็กถูพื้นยังเก่งกว่าเธอเยอะเลยนะ”
    เด็กสาวพยายามดิ้นรนทุรนทุราย แต่ก็ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย
    “ฝีมือแค่นี้ แถมการเคลื่อนไหวก็บ่งบอกว่าจิตใจสับสนและไม่มีความมั่นคง แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าซามูไรอีกงั้นรึ อาจารย์คนเก่าของเธอที่อยู่โลกโน้นคงร่ำไห้ไม่หยุดแหง ๆ ”
    “จะบอกอะไรให้ ที่เธอทำผิดต่อลูกสาวท่านคาร์ดินัลน่ะ ก็คือการที่เจ้าอวดดี พูดว่าจะเป็นซามูไรให้เด็กคนนั้นนั่นแหละ”

    เด็กสาวถึงกับตาลุกโพล่งทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทันทีที่ครูฝึกสาวปล่อยมือออก ให้ร่างของเธอหล่นทรุดลงพิงผนังอย่างอ่อนแรง พยายามสูดอากาศหายใจอย่างทุรนทุรายเนื่องจากถูกบีบคอ
    “ถึงจะเฉือนคอเธอตรงนี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา” อาสึกะเก็บดาบ แล้วเดินหันกลับไปที่ประตูทางออก
    “ชั้นจะให้เวลาและโอกาสเธอสงบสติอารมณ์ แล้วพิจารณาตัวเองที่นี่ซะ ชั้นหวังว่าอยู่ตัวคนเดียว คิดไปเรื่อย ๆ ก็น่าจะตาสว่างขึ้นมาบ้าง”
    กระนั้นนางก็ยังคงชายตากลับมามองอย่างสมเพช พร้อมวาจาถากถางที่ไม่ได้ลดละลงเลย
    “แต่ถ้าอยากหนีก็หนีได้นะ ถ้าเธอคิดว่าพยายามไปก็ไร้ค่าแล้วล่ะก็”

    ไฟทุกหลอดถูกดับลง แต่ประตูกลับถูกปิดโดยไม่ได้ล็อค ในห้องยังมีแสงจากภายนอกส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แต่ความเดียวดายที่โอบล้อมจิตใจของเด็กสาวไม่ใช่เพราะถูกทิ้งให้อยู่เพียง ลำพังโดยอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นความรู้สึกที่ถูกทิ้งโดยเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว ผนวกกับความภาคภูมิใจที่แตกสลายจนสิ้นซาก ดังนั้นเธอจึงค่อย ๆ ทำลายความเงียบงันด้วยการร้องไห้ออกมา ในสภาพที่แม้แต่ตนเองก็ยังเพิ่งรู้ว่าตัวเองอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    อัลรอลเน่รีบมุ่งไปยังห้องธุรการอย่างเร่งรีบ ก่อนที่เวลาพักจะหมดลง แม้เธอจะยังคงลังเลในใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ถูกต้องหรือไม่ แต่มันก็ยังดีกว่าการให้เพื่อนคนแรกของเธอต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะตน

    การทำเรื่องขอย้ายห้อง คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในขณะนี้ อย่างน้อยถ้าเธอถูกเล่นงานก็เพียงตัวคนเดียว และคนอย่างฮายาเตะที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดคงจะไม่เป็นไรอยู่แล้ว

    แค่บันไดอีกขั้นเดียว ก็จะถึงแล้ว
    “ชั้นว่าคิดให้ดี ๆ อีกรอบก็ไม่เลวนะ”
    เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังแว่วมาจากข้างหลัง เมื่อเด็กสาวตกใจหันไปดู ก็พบกับเจ้าของเสียงซึ่งเป็นสตรีในชุดเครื่องแบบเอกโซซิสต์ที่เป็นอาจารย์ รูปร่างสูงเพรียวไม่แพ้ฮายาเตะเลย แต่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ผมสีแดงเพลิงที่มัดจุกปักปิ่นเอาไว้ แววตาสีดำที่แลดูน่าเกรงขาม และแผลเป็นรูปกากบาทบนแก้มซ้าย

    หรือว่านางจะเป็น อาสึกะ บลัดแฟงค์ คนที่ฮายาเตะเล่าให้ฟังเมื่อคืนก่อนหน้า และเป็นคนที่ช่วยทั้งสองให้รอดจากเงื้อมมือคนโฉดอย่างชูวครอสมาได้

    เด็กสาวถึงกับใจหายวูบเล็กน้อย ที่จู่ ๆ ก็มาเจอกับนักรบหญิงผู้เป็นตำนานตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้านี้เอง ว่าไปเธอก็ยังไม่ได้ขอบคุณนางเลยสักคำ
    “ท่านคือ...ท่านอาสึกะใช่ไหมคะ”

    “ดูเหมือนว่า ฉันไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวแล้วสินะ คุณอัลรอลเน่” แม้สีหน้าจะดูเยือกเย็น แต่เธอก็ยังเรียกเป็นการให้เกียรติบุตรสาวเพียงคนเดียวของคาร์ดินัล ถึงจะเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาก็ตาม

    “ขอขอบคุณนะคะ เรื่องเมื่อวาน” เด็กสาวรีบพูดในสิ่งที่ตนเองไม่มีโอกาสเมื่อตอนนั้น

    "ไม่จำเป็น แต่ที่ดิฉันมาที่นี่ เพราะอยากให้คุณอัลรอลเน่ลองคิดให้ดีก่อนจะหุนหันทำอะไรเข้า อย่างเช่นเรื่องการคิดย้ายห้องหนีไปอยู่คนเดียว"

    เด็กสาวถึงกับสะดุ้งเฮือก เธอสงสัยมากว่าทั้งที่ยังไม่ได้บอกใคร แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงอ่านใจเธอได้ทะลุปรุโปร่ง ในเมื่อเพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงนาทีเองแท้ ๆ
    “แต่ว่า.... ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เธอคนนั้นก็จะ....”

    “เหมือนรายนั้นเด๊ะเลย”
    อัลรอลเน่ประหลาดใจกับคำพูดของอาจารย์สาว และยังมีมาอีก
    “ต่างฝ่ายต่างก็คิดจะปกป้องอีกคน แต่กลับไม่ใส่ใจความรู้สึกอีกฝ่ายทั้งคู่ เห็นแล้วน่าสงสารกันซะจริง”
    อัลรอลเน่ไม่แปลกใจถ้าหากฮายาเตะพูดอะไรให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง เพราะได้ยินว่ารายนั้นลงเรียนวิชาของอาจารย์คนนี้ และดูเหมือนว่านางจะเป็นอาจารย์ที่เอาใจใส่นักเรียนเป็นพิเศษ ผิดกับภาพลักษณ์ที่เคยได้ยินมา

    “แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไงล่ะ” เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากเหตุผลหลายอย่างปนเปกัน

    “......นั่นเป็นเรื่องของพวกเธอสองคน แต่ชั้นมีอะไรอยากจะบอกให้รู้นิดหน่อย” อาสึกะกล่าวด้วยท่าทีสุขุมและจริงจัง
    “คนที่เรียกตัวเองว่าอัศวินน่ะ พอขาดเจ้านายก็ยังพอหาใหม่ได้ แต่พวกที่เรียกตัวเองว่า “ซามูไร” นั้น จริง ๆ ก็คล้ายกัน แต่รู้หรือไม่ว่า พวกที่รักในศักดิ์ศรีและซื่อตรงต่อฐานะและหน้าที่นั้น เขาสอนให้ทำกันอย่างไร หากคิดว่าตัวเองล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อเจ้านายหรือใครบางคน”
    สาวใหญ่เว้นช่วงสักพักเพื่อลองให้อีกฝ่ายตอบ แต่เด็กสาวได้แต่เงียบ เธอจึงเฉลยด้วยคำตอบที่ฟังดูไม่โสภาเอาเสียเลย
    "คนเหล่านั้น จะทำพิธี "ฮาราคีรี" หรือถ้าให้เรียกง่าย ๆ มันคือการ...."
    เพียงแค่นี้เด็กสาวก็ทั้งกังวลทั้งขนลุกจะแย่อยู่แล้ว และยังถือว่าน้อยไปหากเทียบกับหลังได้ยินความหมายสั้น ๆ ของมัน
    "คว้านท้องตัวเอง"

    เท่านั้นแหละ ตาสองสีของเด็กสาวถึงกับลุกโพลงด้วยใจที่หายวาบ

    "หึ ไม่แน่ อย่างยัยนั่นอาจจะไม่ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นก็ได้" อาสึกะพูดเหมือนทำเป็นปลอบ ทั้งที่สีหน้าและน้ำเสียงไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับจะเย้ยหยันเสียมากกว่า

    "ตอนนี้....ฮายาเตะอยู่ที่ไหน!" แต่เด็กสาวไม่ เธอถามด้วยเสียงที่ดังและร้อนใจยิ่งกว่าอะไรเสียอีกในตอนนี้

    "อยู่ที่โรงฝึกข้างล่าง อยู่หลังตึกนี่เองแหละ คงกำลังนั่งสำนึกผิดอยู่เฉย ๆ ล่ะมั้ง"

    แต่อัลรอลเน่ไม่คิดเช่นนั้น เธอต้องรีบไปหยุดฮายาเตะ ก่อนที่รายนั้นจะทำเรื่องเลวร้ายลงไป

    เธอรีบหันกลับและวิ่งลงบันไดไปอย่างรีบเร่ง ทิ้งเป้าหมายเดิมที่มาที่นี่จนหมดสิ้น

    แม้จะยังเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ แต่เธอเชื่อว่าเธอรู้จักฮายาเตะดีพอในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็พอที่จะคาดเดาได้ง่าย ๆ ว่า คนอย่างเค้าไม่ใช่คนที่จะเอาแต่พูดพล่อย ๆ แล้วไม่ทำอะไรแน่นอน และนั่นแหละคือกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่เธอจะต้องรีบไปหยุดมันไว้

    ไม่เช่นนั้น ฮายาเตะอาจจะต้องตายเพราะเธอเป็นต้นเหตุจริง ๆ มันตอนนี้เลยก็ได้

    "เฮ้อ" อาสึกะถอนหายใจ หลังจากที่วางมาดทำเป็นเย็นชาเสียอยู่ตั้งนาน แน่นอนว่าแท้ที่จริงเธอไม่ได้คิดจะให้มีโศกนาฏกรรมไม่เข้าท่าเกิดขึ้นที่ โรงเรียนนี้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เป็นผู้สืบทอดของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่

    แต่ก็แน่ล่ะ คนที่จะหยุดซามูไรหรือพวกนักรบ โดยเฉพาะนักรบสายตะวันออกแบบได้ หากไม่ใช่คนสำคัญของรายนั้นแล้วล่ะก็ แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่าง เด็กรุ่นนี้ยังต้องพบเจออะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกมากมายนัก

    แทนที่จะเข้าไปแก้ปัญหาให้โดยตรง สู้แค่แนะแนวให้ แล้วปล่อยพวกเด็กรุ่นใหม่แก้ปัญหากันด้วยตัวเองยังจะดีกว่า

    ทันใดนั้น เธอก็สัมผัสบางอย่างได้ จึงหันกลับไปและชกหมัดอย่างรวดเร็ว

    ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายสามารถหยุดคลื่นหมัดไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว แล้วก็เดินเปิดเผยตัวมาอีกที ซึ่งเธอก็จำเขาได้ดี

    "จะต้องให้เตือนอีกกี่ครั้ง ว่าอย่ายุ่งกับเด็กพวกนั้น ตราบที่ชั้นยังอยู่ที่นี่.... ชูวครอส!" หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน แววตาของเธอยามนี้ดุดันและเปี่ยมด้วยจิตสังหาร เหมือนเสือที่กำลังข่มขู่ศัตรู

    “หึ อย่าคิดนะว่าจะทำตัวกร่างอย่างนี้กับข้าได้ตลอดไป อาสึกะ บลัดแฟงค์” ชูวครอสเจ้าเก่าเดินออกมาพร้อมกับชูมือหุ้มเกราะข้างที่เกิดไอกรุ่นเนื่อง จากใช้สลายคลื่นหมัดของนักสู้หญิงไป
    “ถ้าเจ้าขัดขวางข้าอีก เรื่องไม่จบลงด้วยดีแน่”

    “ข้าขอคืนคำนั้นให้แกด้วยเหมือนกัน” อาสึกะกล่าวสวนโดยไม่เกรงกลัว แน่นอนเพราะว่าเธอเองก็พอจับไต๋วิธีการต่าง ๆ ของชูวครอสและพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่การตั้งหน่วยลับพิเศษขึ้นมาคานอำนาจกับเหล่าคนของหมอนี่

    “หึ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” ชูวครอสเดินผ่านหญิงสาวไปพร้อมกับกล่าวทิ้งท้าย ซึ่งอาสึกะเองก็ไม่เปิดช่องว่างให้ง่าย ๆ แม้แต่น้อย สุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็ยังได้แต่ดูเชิงกันเหมือนเช่นที่ผ่านมาเท่านั้น

    เพราะไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายจุดระเบิดใส่กันก่อน ก็ไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ณ ตอนนี้ทั้งสิ้น

    "ชิ! ดูท่าทางอะไร ๆ จะยิ่งยุ่งยากซะแล้วสิ" หญิงสาวบ่นเล็ก ๆ เธอรู้ดีว่า เหตุการณ์ในวันนี้เป็นเพียงช่วงสงบก่อนพายุเข้าเท่านั้น

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ ผู้เคยถูกเรียกขานว่า "ดาบใต้แสงจันทร์" นักล่ามอนสเตอร์ดาวรุ่งของวงการ บัดนี้มีสภาพไม่ต่างจากหมาขี้แพ้ตัวหนึ่ง

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เด็กสาวเอาแต่ร้องไห้ จนน้ำตาเริ่มจะแห้งเหือด แต่นั่นก็มิได้ทำให้เธอคลายความเศร้าและทุกข์ใจลงเลยแม้แต่น้อย ในใจของเธอได้แต่ตอกย้ำตัวเองเท่านั้น

    ทั้งที่เธอเคยได้รับความคาดหวัง แต่ในวันนั้นเธอกลับทำอะไรไม่ได้ วันที่ [หมอนั่น] ปรากฎตัว และทำลายทุกอย่างในชีวิตของเธอไปต่อหน้าต่อตา ทั้งยังมองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน แล้วปล่อยทิ้งไปดื้อ ๆ เหมือนเธอเป็นขยะที่ไม่มีค่าแม้แต่จะลงดาบเท่านั้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ในชีวิตเธอไม่มีเหลือรอดจากเงื้อมมือมันสักคน

    ทั้งพี่สาว ทั้งอาจารย์คาโอรุ และเหล่าเพื่อนร่วมสำนัก ทั้งดีบ้าง น่าหมั่นไส้บ้าง เธอไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้แม้แต่คนเดียว

    จะมีก็เพียงแค่ [มุราซาเมะ] เพียงเล่มเดียวที่อาจารย์ฝากฝังไว้ให้ก่อนตาย เธอจึงตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา และออกเดินทาง เพื่อตามล้างแค้นชายผู้นั้นให้ได้

    ทว่าทันทีที่เจอกับมัน [มาลิค เฟียร์เซส] วิชาดาบของเธอกลับทำอะไรมันไม่ได้แม้แต่สะกิด หรือขนาดใช้ดาบผ่ามังกรก็ยังถูกทำลายอย่างง่ายดาย หนำซ้ำแม้มันจะไม่ฆ่าเธอในทันที แต่สายตาที่มองมายังเธอนั้น เป็นการเหยียดหยามและตอกย้ำความอ่อนแอของเธออย่างที่สุด

    อาการสาหัสที่เกิดจากศาสตราเวทมนตร์ถูกทำลายนั้นส่งผ่านถึงผู้ใช้โดยตรง หากไม่ได้พบกับอัลรอลเน่ และเข้ารับการรักษาตัว เธอคงไม่รอดมาถึงตอนนี้ แต่กระนั้น พอรับรู้ว่าอีกฝ่ายมีศัตรูตัวร้ายที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ เธอกลับช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย

    แล้วยังมีหน้าไปคุยโวโอ้อวด ว่าตัวเองจะเป็นซามูไรผู้กวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องนาง แต่แล้วเป็นไง ใครมันจะไปเชื่อ ในเมื่อแค่ดวลดาบกับชูวครอสเธอยังไม่ชนะ ไหนจะความใจร้อนของตัวเองที่ไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์จำเป็น

    คนแบบเธอ คงไม่มีใครหน้าไหนรับเป็นซามูไรหรอก... ขนาดวิชาสำนักตัวเอง พูดว่าสำเร็จวิชาแล้วยังไม่ได้เลย

    บางทีคนอย่างเธอคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว จะต่อสู้เพื่อแก้แค้นเรื่องส่วนตัวยังทำไม่ได้ แล้วไหนเลยจะไปช่วยอะไรหรือทำให้ใครคนอื่นไว้วางใจได้เล่า

    เมื่อเป็นแบบนี้ อยู่ไปก็เสียชื่ออาจารย์ เสียชื่อสำนัก สู้รับผิดชอบด้วยความตายเสียยังจะดีกว่า

    เด็กสาวชักวากิซาชิ(ดาบสั้นของซามูไร ปกติจะพกที่เอวข้างเดียวกับคาตะนะ) ออกมา โดยมีมุราซาเมะวางอยู่ตรงหน้า เป็นสักขีพยานถึงการจบสิ้นชีวิตศิษย์ไม่ได้เรื่องและไม่คู่ควรกับมัน

    พอความตายเริ่มใกล้ตัวจริง ๆ มือทั้งคู่ที่กุมด้ามดาบสั้นก็ค่อย ๆ สั่น ความกลัวตายเริ่มเข้าแทรก แต่ด้วยความทรนงตัวในฐานะนักดาบ ก่อนที่ตนจะหาเรื่องหนีตายเหมือนคนขี้ขลาด สู้จัดการเลยดีกว่า เธอจึงข่มความกลัวและเงื้อมันขึ้น พร้อมที่จะทะลวงท้องตนเอง ณ บัดนี้

    "หยุดนะ!!!!!"
    ชั่วพริบตาหลังจากที่เสียงนั่นแวบเข้ามา ดาบสั้นก็กระเด็นออกไปตกกับพื้น โดยที่ยังไม่ได้อาบเลือดแม้เพียงหยดเดียว

    เมื่อไหร่ไม่รู้ที่จู่ ๆ ร่างเล็กบางที่เธอคุ้นเคยก็กระโจนเข้ามาห้ามเธอไว้พอดี อัลรอลเน่นั่นเอง แต่ทำไมนางถึงมาโผล่ที่นี่ได้ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่

    แต่ก่อนที่จะนึกได้ว่าใครเป็นคนบอก สิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงเสียก่อนก็คือ ใบหน้าบึ้งตึงของอัลรอลเน่ที่ดูไม่พอใจยิ่งนัก

    "ทำไมเธอถึงต้องทำแบบนี้ด้วย เห็นชีวิตตัวเองเป็นอะไรกันแน่"

    พอถูกตวาดใส่เข้าอีกรอบ ฮายาเตะก็ยิ่งรู้สึกว่าตนผิดมากขึ้น
    "...ก็...ฉันมันอ่อนแอ ขาดทั้งฝีมือและคุณสมบัติที่จะอารักขาเธอ"

    "ก็เลยคิดจะตายเพราะคิดว่าจะชดใช้ความผิดได้รึไงกัน คิดว่าแบบนั้นข้าจะพอใจงั้นเหรอ" อัลรอลเน่ต่อว่า
    "รู้มั้ยว่าทำให้ข้าเป็นห่วงแค่ไหน"

    "ขะ...ขอโทษ...." ฮายาเตะตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เธอก็ยิ่งก้มหน้าก้มตากล่าวขอโทษ
    "ฉันคงไม่เหมาะจะเป็นซามูไรให้เธอจริง ๆ "

    "ซามูรง ซามูไรอะไรกัน เลิกคิดบ้า ๆ แบบนั้นซะทีได้มั้ย" อัลรอลเน่ส่ายหน้า
    "ข้าไม่ใช่เจ้าหญิงของเจ้านะ แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะให้เธอปกป้องฝ่ายเดียวด้วย.... แต่...พวกเราน่ะ เป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึไง"

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮายาเตะจึงเริ่มรู้สึกตาสว่างขึ้นมาบ้าง เด็กสาวจึงกล่าวต่อ
    "จำได้มั้ย ตอนที่ลานประลอง พวกเราจับคู่ทีมเดียวกัน แล้วก็ต่อสู้จนได้รับชัยชนะมาด้วยกันทั้งคู่ คงยังไม่ลืมใช่มั้ย.... ดังนั้น... พอเถอะ ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรนั่น หรือถ้าเจ้ายังจะดื้ออีก ข้าก็ขอเป็นซามูไรของเจ้าด้วย แล้วถ้าเจ้าตายข้าจะคว้านท้องตัวเองให้ดูเหมือนกัน เอามั้ย"
    นางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชด

    "ย...อย่าทำเช่นนั้นเลย อัลรอลเน่" ร่างสูงพยายามห้าม

    "ถ้าอย่างนั้น... ก็ห้ามทำแบบนี้อีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย"
    ฮายาเตะยังคงได้แต่นิ่ง... นางจึงพูดย้ำพร้อมทั้งถอดถุงมือข้างหนึ่งออก แล้วยกนิ้วก้อยขึ้นมา
    "สัญญาสิ!"

    "ก..ก็ได้... ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอไม่สบายใจ" ฮายาเตะยอมเกี่ยวก้อยทำสัญญากับนางตามที่ถูกขอร้องแกมบังคับเล็กน้อย
    "ว่าแต่... เธอลุกก่อนได้ไหม"

    ฮายาเตะทักด้วยสีหน้าอาย ๆ เพราะถูกกอดอยู่ อัลรอลเน่ที่เพิ่งรู้ตัวถึงกับรีบปล่อยและลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเขิน
    "ขะ...ขอโทษนะ..."

    "ม...ไม่เป็นไร..." ฮายาเตะก้มหน้าหลบตาไม่ให้ถูกเห็นว่าตนหน้าแดง เพราะกลัวจะถูกหาว่าเป็นเลส โดยหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็คิดแบบเดียวกัน

    "งั้นจากนี้ไป ว่าง ๆ ข้าจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าเอง พวกเรามาเก่งด้วยกัน แล้วมาช่วยกันทำให้เจ้าชูวครอสนั่นหงายไปเลย ดีมั้ย" อัลรอลเน่เปลี่ยนประเด็น พร้อมกับยื่นมือ(ที่ยังใส่ถุงมือสีขาว)ให้

    "อะ...อือ.." ฮายาเตะยอมให้เธอดึงมือช่วยในการลุกขึ้น
    "ว่าแต่ หวังว่าท่านนักบวชคนนั้นคงไม่มาเห็นนะ" ฮายาเตะหันซ้ายขวาด้วยความระแวงนิด ๆ

    "ซานโดรน่ะเหรอ คงไม่หรอกนะ" อัลรอลเน่ตอบด้วยสีหน้าง่าย ๆ แต่ลึก ๆ ก็อดคิดมากตามไปด้วยไม่ได้ บางทีเธอคงต้องสอนมารยาทฮายาเตะเพิ่มอีกข้อคือ จะพูดอะไรก็หัดคิดเสียบ้าง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งอกที่ฮายาเตะกลับมาเป็นคนเดิมที่เธอรู้จักเสียที

    "คงงั้น" ฮายาเตะเองก็เพิ่งนึกได้ว่าตนลืมอะไรไปตั้งแต่เมื่อวาน
    "ว่าไป เหมือนชั้นจะยังไม่ทันได้ขอบคุณท่านผู้นั้นเลย ที่ช่วยรักษาเจ้าจากยานอนหลับของไอ้บ้านั่น"

    "งั้นเจอทีหลังก็อย่าลืมพูดซะล่ะ" อัลรอลเน่ช่วยย้ำ ด้วยสีหน้าที่กลับมายิ้มแย้มดังเดิม
    "รีบไปกันเถอะสหายข้า เวลาพักก็ใกล้จะหมดแล้ว รีบไปกินข้าวเดี๋ยวเข้าเรียนคาบต่อไปไม่ทันเอานะ"

    "อืม" ฮายาเตะเองก็เริ่มยิ้มออกแล้ว จริง ๆ เธอเองก็เกือบจะเผลอหลุดคำว่าโอโจวซามะ(นายหญิง)ไปซะแล้ว

    แต่จะยังไงก็ตาม ตอนนี้นักดาบสาวก็เริ่มอยากจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่า พระเจ้าที่อัลรอลเน่และคนแถวนี้พูดถึงบ่อย ๆ คงจะมีอยู่จริง ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์คงไม่ลงเอยด้วยดีเช่นนี้แน่ เธอเองก็เริ่มอยากจะเรียนเทววิทยากับเขาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้คงได้แต่วานให้อัลรอลเน่ช่วยสอนคร่าว ๆ ไปก่อน

    ทั้งสองเดินกลับไปที่ตึกเรียนด้วยกัน โดยมีสายตาของอาจารย์สาวผู้อยู่เบื้องหลังการคืนดีครั้งนี้มองอยู่จากบนหน้าต่างอาคาร
    "ท้องฟ้ามีดวงดาว ผืนดินมีดอกไม้ ทุกสิ่งค้ำจุนซึ่งกันและกัน มนุษย์ไม่สามารถสู้ด้วยตัวคนเดียวได้ นี่สินะ สิ่งที่เธอต้องการจะบอกฉันตั้งแต่เมื่อตอนนั้น... มุราซาเมะ คาโอรุ"

    อาสึกะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน เธอก็เชื่อและคาดหวังว่า เพื่อนสนิทเก่าแก่ของเธอจะเฝ้ามองอยู่จากบนฟ้าสวรรค์อันไกลโพ้น ไม่สิ ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่รวมถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จักด้วย
    "ฝากดูแลฮายาเตะจังด้วยนะ" เธอคิดว่าเธอได้ยินสหายเก่ากำลังจะบอกเช่นนั้นกับเธอ
    “แล้วก็ฝากศาสนจักรด้วยนะคะ พี่สาว” และเด็กคนนั้นก็เช่นกัน

    แต่ไม่ว่าจะเป็นการแค่คิดไปเองหรือไม่ก็ตาม พยัคฆ์สาวก็ตอบรับไปอย่างมั่นใจ
    "อือ วางใจเถอะ ชั้นจะดูแลให้เป็นอย่างดี ทั้งเด็กคนนั้น แล้วก็ศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า จะไม่มอบให้พวกคนชั่วแม้แต่อย่างเดียว"
  14. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเดินมาจนถึงเมืองหลวงอันเป็นสถานที่ตั้งของศาสนจักรด้วยสีหน้านิ่งเฉย ดูเหมือนว่าประสบการณ์กำลังขาที่ได้มาจากการเดินทางผจญภัยก่อนหน้านี้จะทำให้เขาไม่รู้สึกเหนื่อยอ่อนนัก ทั้งที่เขาเดินทางมาได้ไกลพอสมควรแล้ว

    ชายหนุ่มพิจารณาเงินในถุงหนังเก่า ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินตรงไปยังร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เพื่อที่จะนั่งพักและดื่มช็อกโกแลตร้อน หลังจากที่ไม่ได้ดื่มมานานร่วมปีแล้ว

    ไม่กี่นาทีผ่านพ้นไป เครื่องดื่มสีน้ำตาลถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้าชายผู้เป็นลูกค้า เขายกขึ้นมาจิบอย่างสบายอารมณ์

    "อร่อยดีนะ แต่ก็ไม่ได้อบอุ่นละมุนนุ่มเหมือนของคุณแอเรียล" เขาคิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า หากแววตาของเขาแลดูหม่นลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงอดีตที่เคยหอมหวาน

    ...คุณแอเรียล ถ้าคุณยังอยู่ก็คงจะดี แต่ยังไงผมก็ย้อนกลับไปไม่ได้ ต้องเดินต่อไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญสินะ...

    ชายหนุ่มหยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ ซึ่งหน้าปกถูกเขียนไว้ว่า "บันทึกการเดินทาง แอเรียล" จากในกระเป๋าขึ้นมาอ่าน พลางนั่งจิบช็อกโกแลตร้อน ดูท่าทางเขามีความสุขไม่น้อยที่ได้นั่งอ่านหนังสือเล่มนั้น หากแววตาของเขากลับหม่นแสงเมื่อได้นึกถึงอดีตดี ๆ ที่ไม่มีวันหวนคืนกลับมา ในเมื่อหญิงสาวที่เขานึกถึงนั้น... เสมือนได้ตายไปแล้ว
  15. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ความสัมพันธ์ของสองสาวดูจะซับซ้อนในมุมมองของคนรักสวนและบ้าน (โดยเฉพาะร้านดอกไม้ป่า)

    ต่อไปในภายภาคหน้าทั้งสองคงจะติดกันหนึบมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อนสินะ

    และตัวละครใหม่กับบทการเดินทางใหม่ ซึ่งต้องดูกันต่อไป อืมมม
  16. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    Orz" ลูกสาวเป็นไปตามที่ต้องการจริงๆ...อัลรอลเน่ก็ได้เพื่อนสนิทมาคนหนึ่งแล้วจริงๆสินะ...

    ลุ้นกับเนื้อเรื่องตัวละครใหม่ว่าจะได้เจอกับฮายาเตะยังไงหนอ...
  17. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ศาสนจักร​

    กลางเทือกเขาตอนเหนือ ที่ไหนสักแห่งใกล้กับหมู่บ้าน ทวินเกล​





    "คาบู้มมมมม!!"





    เสียงระเบิดกึกก้องสามารถได้ยินอย่างถนัด หิมะสั่นไหวไปกับแรงระเบิดนั่น แต่ก็ไม่ทำให้ชายในชุดคาร์ดินัลหยุดการเดินทางของตน ชายสูงไวหยิบแผนที่ของตนออกมา เขาเดินมาตามเส้นทางเก่าของนักเดินทางรุ่นก่อนๆ เส้นทางที่ตัดผ่านเทือกเขาใหญ่ตอนเหนือ ที่ซึ่งหิมะปกคลุึมเกือบตลอดทั้งปี ป่าสนสีขาวโพลน กับ สายน้ำที่ไม่จับเป้นน้ำแข็ง สร้างบรรยากาศเงียบสงบสดชื่นให้กับนักเดินทางมานักต่อนัก แต่กับเป้าหมายที่เจ้าตัวจะไปนั้น บรรยากาศคงไม่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากนัก


    พระคาร์ดินัลฟรังซิส หลังจากใช้เวลาอันมีค่าในการค้นหาเบาะแสจากทั้ง เส้นสายภายในและนอกที่มีอยู่ ในวันที่สามหลังออกเดินทาง เขาก็สามารถเสาะหาเป้าหมายที่ตนต้องการจะพบได้จากรายงานของเอ็กโซซิสต์ จากเมืองชายแดนทางเหนือ ถึง การปรากฏตัวของเด็กชายน่าสงสัยในบริเวณหุบเขาใกล้เคียง


    "คริสโตเฟอร์ หวังว่าพระองค์จะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่นะ?"


    ท่านได้แต่พึมพำไปมา เมื่อได้ทราบถึงคำขอเป็นการลับระหว่างพระองค์กับตัวท่านหลังการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คำขอถึงความช่วยเหลือเพิ่มเติมที่พระองค์ต้องการไว้ใช้เพื่องานลับที่จะมาถึง คำขอที่ตอนแรกท่านค้านหัวชนฝา ไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า ท่านเป็นได้ทำการติดต่อกับจักรวรรดิอย่างลับๆ และรู้ถึงช่องทางลัดเลาะภายในของระบบบริหารของอีกฝ่าย แต่เป็นคำที่ว่า พระองค์จะเป็นผู้ที่ดำเนินการภารกิจนี้ด้วยตนเองต่างหากที่ทำให้เขาเป้นกังวล


    "คริสโตเฟอร์ แม้มันจะเป็นความรับผิดชอบของท่านก็ตามที แต่เรือมิอาจอยู่ได้ถ้าปราศจากหัวเรือ หากท่านเกิดเป็นอะไรไปเล่า?"

    "ฟรังซิส เป็นเพราะความอ่อนด้อยของข้า ที่ชักศึกเข้าบ้านอย่างไม่สมควรให้อภัย หากข้าไม่ทำเอง ข้าคงไม่อาจทนอยู่รับใช้ท่านมาเรียได้เช่นกัน"


    บทสนทนาในตอนนั้นผุดขึ้นมาเมื่อท่านนึกย้อนไป และก็เป็นตอนเดียวกับที่ตัวท่านมาถึงจุดหมายที่ระบุเอาไว้



    ที่สุดทางเดินใกล้กับช่องเขาใหญ่ กองของหิมะและก้อนหินแหลมก้อนเท่าคนกองท่วมสูงปิดช่องเขาอยู่ จากสภาพคงเป็นเพราะเสียงการระเบิดนั้นทำให้เกิดหิมะถล่ม หากเป็นชาวบ้านทั่วไปคงจะคิดแบบนี้ แต่ท่านก็สัมพัศได้ถึงไอประหลาดจากกองหิมะตรงหน้าเช่นกัน


    "อ่า กำแพงลวงตารึ?"

    ท่านกล่าวขึ้น พลางใช้มือของตนลูบไปที่จุดๆหนึ่งบนกองหิมะนั่น หลังจากพึมพำบางอย่าง ไม่นานภาพมายาก็แหวกออก เผยให้เห็น ช่องเขาว่างเปล่าตรงหน้า แต่บนทางเดินกลับปรากฎแผ่นดินสีดำเมื่อม ไม่สิจากความทรงจำของเขา ถนนลาดยางน่าจะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องกว่า แต่สภาพของมันไม่น่าจะดีได้ขนาดนี้ ทั้งที่เวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้เช่นกัน


    "เป็นเจ้าจริงๆสินะ" พึมพำไปมาเมื่อท่านนึกถึง ปีศาจที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้แค่ตนเดียว แต่ท่านก็ยังเดินผ่านทางนั้นไปด้วยว่ายังไม่พบเป้าหมายของการเดินทาง


    เส้นทางในหุบเขานั้น นำท่านไปถึงยังปลายทาง ที่ตีนของภูเขาสูงที่กั้นระหว่าง ชายแดนศาสนจักร กับ อาณาจักรแม่มดทางตอนเหนือ แต่ที่ตีนเขานั่นเอง บางอย่างก็สะุดุดความสนใจของท่าน


    ที่ๆน่าจะเป็นเหมืองหินปูนร้าง อย่างที่ระบุไว้ในแผนที่ แต่ปรากฏว่ากลับมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่ พื้นที่ว่างหน้าทางเขาเหมือง อาศัยพุ่มไม้เป็นที่กำบัง จากสายตาของท่าน อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 30คน ที่เดินไปเดินมาที่ตรงนั้น จากลักษณะท่าทางแล้วดูไม่เหมือนทหารหรือเอ็กโซซิสต์แต่อย่างใด แต่ก็ไม่ใช่พลเรือนทั่วไปเช่นกัน ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทดำ ผมสั้น ตาเรียวดูเหมือนจะเป็นคนออกคำสั่งงานกับคนอื่นๆ ส่วนคนอื่นๆนั้นล้วนแต่ใส่เสื้อชุดพรางหิมะกันทั้งสิ้น


    ดูท่าข่าวการเคลื่อนไหวของจักรวรรดิที่เดบลิสจะไม่ใช่จุดเดียวอย่างที่คิดกันไว้ตอนแรก แต่การแทรกซึมเกิดขึ้นมาหัวเมืองชายแดนไวกว่าทีท่านคิดเอาไว้มากนัก แต่ในตอนที่ท่านคิดว่าควรจะคืบหน้าเข้าหาเป้าหมายของท่านต่อดีหรือไม่นั่นเอง ที่ขาของท่านกลับก้าวเดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นเสียแล้ว


    "สายัญสวัสดิ์"


    กับการตอบรับคำทักทายอย่างกันเองของท่าน ชายชุดขาวทั้งหมดกลับเล็งปืนของตนขึ้นมาที่ตัวท่านเป็นจุดเดียว ปืนกลที่พรางไปกับสีของหิมะ แต่เท่าที่เห็นบางคนก็ถือหน้าไม้บ้าง ดาบยาวบ้าง กระทั่งขวานสงครามก็ยังมี ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่พลเรือนอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเสียแล้ว


    "ลดมือลงทุกคน นี่ท่าน คาร์ดินัลฟรังซิสต์น่ะ อย่าเสียมารยาทสิ?" ยกมือเป็นเชิงห้ามคนอื่นๆ คนเสื้อขาวเหล่านั้นที่ปกปิดใบหน้าด้วยแว่นกันลมสีดำกับที่ปิดปากลายพรางหิมะ ต่างลดอาวุธลงก่อนจะกลับไปทำงานที่ตนค้างไว้กันต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    "ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้ท่านตกอกตกใจ"

    "เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่เจ้าหนูนั่นอยู่ที่นี่ใช่ไหม?"

    "อ่า......ท่านหมายถึง ท่านโครโนสสินะครับ ตอนนี้ท่านกำลังตรวจงานอยู่ในเหมือง ถ้ายังไงผมจะนำทางให้นะครับ"

    .....
    ....
    ...
    ..
    .




    ที่กลางถ้ำนั่นเองที่ เป้าหมายของเขากำลังเพลิดเพลินกับการฟังดนตรีจากแผ่นเสียงอยู่ มองไปซ้ายทีขวาที จากกองกล่องกระดาษที่เรียงเป็นระเบียบกับชั้นวางพวกนั้น ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว ที่เขาเห็นชั้นของกล่องพวกนี้ ในขนาดต่างๆกันเรียงรายกันไปตามทางยาวของเหมืองในหลายๆทาง และก็มีพวกชายชุดขาวค่อยๆทยอยนำกล่องพวกนั้นออกจากถ้ำไปด้วยความระวังอย่างมาก


    "สิ่งของพวกนี้คือ?"

    "สิ่งที่เหลือรอดจากวันอันรุ่งโรจน์ในอดีตน่ะฮะ"


    โครโนสกล่าวตอบ จากที่นอนฟังเพลงอยู่บนโซฟา บัดนี้มายืนพิงหลังกับคาร์ดินัลอย่างเป็นกันเอง เด็กชายมองตามกล่องกระดาษกล่องแล้วกล่องเล่า ที่ผ่านหน้าไป จนมาสะดุดเข้ากับกล่องๆหนึ่ง


    "น่าเสียดายนะครับ ที่งานศิลป์ชั้นดีแบบนี้กลับโดนปล่อยลืมไว้ในที่อับแสงตะวันเช่นนี้ได้กัน" เด็กชายกล่าว ก่อนจะหยิบภาพที่อยู่ในกล่องออกมา

    "รอยยิ้มของเธอนั้น กล่าวกันว่าทำให้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหล และ งุนงันกันมาหลายร้อยปี หากแต่ในศาสนจักรของแบบนี้คงไม่พ้นโดนทำลาย เพราะเหตุ สิ่งของยั่วยุอารมณ์ เป็นแน่ล่ะฮะ" เด็กชายกล่าว ก่อนที่จะส่งรูปให้คนของตนนำออกตามไปกับ กล่องไม้อื่นๆก่อนหน้า


    "เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับของพวกนี้กัน" ฟรังซิสต์ถามออกไป แม้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นจะเป็นสิ่งเขาไม่คิดว่าจะเหลือรอดมาจากช่วงสงครามได้ แต่เมื่อได้เห็นและสัมผัสถึง สิ่งของต่างๆในที่แห่งนี้ ที่ทำให้นึกถึงโลกก่อนหน้านี้ มันก็ทำให้เขาใจหายที่ได้พบว่า ของที่เหลือรอดมาเหล่านี้กำลังโดนจักรวรรดิปล้นไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ตัวท่านไม่อาจทำอะไรได้เลย


    "เพื่อผลประโยชน์ของจักรวรรดิฮะ แต่ทั่วไปเพื่อเหล่าทาสในระบบที่ผมดูแลอยู่ล่ะฮะ ความรู้คืออำนาจ และ ของพวกนี้ก็เป็นขุมพลังใหญ่ที่ล่อตาล่อใจให้ผมดั้นดน เสาะหา ของเหล่านี้ ทั้งในและนอกจักรวรรดิ" เด็กชายกล่าวราวกับว่าสิ่งที่ตนทำนั้น เป้นสิ่งชอบธรรมก็ไม่ปาน


    "ถ้าเช่นนั้นที่เจ้ารุกรานเดบลิสก็เพื่อสิ่งเหล่านี้หรือ?"

    "ไม่ใหญ่เท่าที่นี่หรอกฮะ ที่เดบลิสเป็นแค่คลังเก็บเอกสารบริษัทเอกชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมก็ได้แบบแปลนเครื่องจักรสงคราม และ อุตสาหกรรมหนักไปไม่น้อยเลยทีเดียว" เด็กชายยิ้มกว้าง


    ความเงียบเขาปกคลุมคนทั้งสอง เป็นเวลานานกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะเป็นคนเอ่ยคำขึ้นมา


    "เจ้ามีแผนการร้ายอะไรจะมาก่อหวอดอีก เจ้าปีศาจน้อย?"

    "ว่าแต่คุณลุงเองก็ด้วย ถึงกับถ่อมาถึงเมืองชายแดนบ้านนอกเช่นนี้ มีเป้าประสงค์อันใดหรือฮะ?" แน่ล่ะว่าที่ตัวเขานั้นแค่ลองโยนหินถามทางดูว่าจะใช่อย่างที่เขาคิดหรือไม่ กับการมาหาเขาถึงในเขตร้างชีวิตเช่นนี้


    เหมือนจะพยายามกลั้นกลืนบางอย่างประหนึ่งยาขม แต่ที่สุด คาร์ดินัลชราก็กล่าวด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

    "ช่วยออกหนังสือเดินทางให้ได้ไหม?"

    .......


    "คุณลุงครับ ผมไม่รับทำเรื่องแบบนั้นแล้วนะฮะ" เด็กชายหลุบตาลงเหมือนกับไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นัก



    ว่าตอนนี้ทั้งสองเดินออกมานอกถ้ำแล้ว ที่ข้างนอก เด็กชายเดินอาดไปที่กลางลาน แกย่อตัวลงกับพื้น

    [ ต้นทาง ชายแดนศาสนจักร เทือกเขายูราล ปลายทาง คลังพัสดุ เอเทอเรีย ระยะเวลาทำการ 600วินาที ]

    วินาทีต่อมา ประตูมิติขนาดใหญ่กว่าปรกติก็เปิดขึ้น พอที่จะให้รถลากผ่านเข้าออกได้ ฟรังซิสต์มองประตูสักพักก่อนจะเอ่ยต่อ



    "แต่เฉพาะกรณีนี้ ที่ชั้นอยากจะขอเธอให้ช่วยออก แบบพิเศษให้หน่อย"


    "คุณลุงหมายถึง หนังสือเดินทางสำหรับฑูตหรือ?" เด็กชายขมวดคิ้วเมื่อได้รับคำขอแบบนี้


    ปรกติหนังสือเดินทางสำหรับฑูตจะออกให้เฉพาะตัวเแทนของ อาณาจักร หรือ ดินแดนที่จักรวรรดิ เจรจารวมดินแดน หรือ ต่อรองในช่วงศึกสงครามเท่านั้น โดยออกหนังสือที่ไว้ให้ ตัวแทนของอีกฝ่ายสามารถเดินทางเข้าออกภายในจักรวรรดิได้โดยอิสระ โดยไม่ผ่านการตรวจ หรือ เรียกสอบสวน (เพราะตัวจักพรรดิไม่เคยออกจากเขตเมืองหลวง และการเจรจางานระหว่างรัฐก็กระทำกันที่เมืองหลวงจักรวรรดิแต่เพียงอย่างเดียวด้วย)


    "แล้วเป้าหมายการเดินทางล่ะฮะ?"

    "นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องบอกเจ้าไม่ใช่หรือ อีกอย่าง เจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว่าเป้าหมายการเดินทางคืออะไร?"


    "หากจะเพื่อการรวบรวมยาล่ะก็ เชิญกลับไปเถอะคุณลุง ผมออกหนังสือให้ด้วยเหตุผลนั่นไม่ได้หรอกฮะ" เด็กชายกล่าวเสียงเรียบพลางจัดแจงสั่งให้คนของตน นำกล่องกระดาษกล่องแล้วกล่องเล่าขึ้นรถลากผ่านกระตูมิติไป ทีล่ะคนสองคน


    "แต่เจ้าคงไม่ขัดข้องสินะ ถ้าคนเดินทางมิใช่เอ็กโซซิสต์?"

    "แต่คุณลุงก็คงไม่ส่งใครก็ไม่รู้ไปรวบรวมยาที่ น่าจะมีแต่คนระดับสูงวงในรู้กันเหมือนกันสินะฮะ?"



    "ข้ากับเจ้าก็ติดต่อกันมานาน คิดเสียว่าเห็นกับความสัมพันธ์ตรงนี้จะได้ไหม?"

    ในการขอที่ใช้ความสัมพันธ์ ใจจริงท่านก็ไม่อยากใช้วิธีนัก แต่เพราะรู้ว่าหากจะเข้าถิ่นศัตรูการได้ความช่วยเหลือจากคนในของอีกฝั่งเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับถิ่นฐานที่จะต้องไป


    "วิคเตอร์ เธอมิได้เป็น[คน]เลวร้าย เหมือนกับการ์เดี้ยนตนอื่น ชั้นกับเธอเองก็มี ความคิดความอ่านความเป็นไปต่อสภาวะปัจจุบันคล้ายคลึงกัน เธอคงจะเข้าใจจุดยืนกับความจำเป็นของชั้นน่ะ"

    เด็กชายประกายตาใส่อีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเพราะอีกฝ่ายเรียกชื่อสมัยที่เขายังเป็นคน หรือว่า ที่เรียกตัวเขาในฐานการ์เดี้ยน แต่เป็นคำว่า [คน] ที่อีกฝ่ายใช้ระบุตัวตนของเขา


    "ฮึ.....คงเพราะไม่มีคนแบบคุณลุงในศาสนจักรเพียงพอกระมัง เรื่องมันถึงพาให้คุณลุงต้องมาเจรจาความกับผมแบบนี้เนี่ย?"



    เด็กชายเอียงคอลงเล็กน้อย หลับตาเหมือนจะพิจารณาต่อคำขอของคนตรงหน้า ก่อนจะเปิดปากกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังไร้การปรุงแต่งแบบเด็กๆ

    "ฟรังซิสต์ ผมต้องเตือนอาจาร์ยไว้ก่อนนะครับ หนังสือเดินทางฉบับการฑูต มีผลเฉพาะในเขตปกครองของผม กับ เขต babylon และ เมืองหลวงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว.....แม้แต่อำนาจของผมก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้ หากโดนจับได้โดยทหารของอาณาจักรอื่น ผมคงไม่ต้องอธิบายคุณลุงก็น่าจะนึกสภาพออกล่ะนะ"


    ท่านรู้ว่าที่อีกฝ่ายกล่าวนั้นพยายามจะเตือนเรื่องอะไร แต่ยังไงเสียนี่ก็เป็นความต้องการของพระองค์ แล้วท่านก็ได้ตกลงใจที่จะทำตามคำขอของพระองค์ไปแล้วด้วย ท่านถอนหายใจยาวก่อนจะผยักหน้าน้อยเป็นการตอบรับ



    เด็กชายเห็นท่าทีอีกฝ่ายดังนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยื่นซองน้ำตาลให้กับอีกฝ่าย

    "ถ้าคุณลุงเข้าใจดังนั้น ส่วนนี่ก็คือค่าตอบแทนที่ผมต้องการเพื่อคำร้องในครั้งนี้"

    รับซองของอีกฝ่ายมา ฟรังซิสดูของที่อยู่ในซอง ท่านพบแต่เพียงแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ซึ่งมีข้อความเป็นตั้งๆเหมือนรายการอะไรบางอย่าง แต่เมื่อท่านเพ็งพินิจอย่างละเอียด ถึงได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลังเล

    "จำนวนขนาดนี้ จะไม่มากไปหน่อยหรือ ?"

    "เศษมนุษย์ชั้นเลว ปัญหาเรื่องจำนวนไม่ใช่ประเด็น แต่เป็นการคัดเลือกครับคุณลุง ว่าต้องเน้นว่าชั้นเลวที่สุดจริงๆ" เด็กชายกล่าวก่อนจะจิบชาไปอีกแก้ว


    คำว่าชั้นเลวที่สุดของอีกฝ่ายดูจะทำให้ท่านเครียดขึ้นมาทันที แต่เมื่อพิจารณารายชื่อแล้ว คนในรายชื่อพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกแกะดำในระบบของศาสนจักร ทั้งทหารและคนในศาสนจักรที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้ความรุนแรง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ พวกที่เกี่ยวข้องกับหน่วยสอบสวนคนนอกรีต และ บรรดาเจ้าหน้าที่ประจำเมืองชายแดนทั้งหลายอีก ซึ่งหลายคนในรายชื่อนี้เองก็โดนจองจำในคุกอยู่บ้างแล้วด้วย


    "งวดที่แล้ว กลายเป็นว่ามีคนที่โดนใส่ความ กับ คนที่ยากคนจนเสียกว่าครึ่ง ทางผมต้องวิ่งวุ่นแก้เอกสารกันเสียยกใหญ่"


    ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่านรู้ว่าอีกฝ่ายที่ขอคนในรายชื่อพวกนี้มา มีจุดประสงค์อะไร พิจารณาจากรายงานของเดบลิสที่ผ่านมา ดูท่าว่าบรรดาพวกตัวร้ายที่ถูกส่งมาประจำที่ชายแดน ที่หายสาบสูญหรือเสียชีวิตในอุบัติเหตุ จะมีเบื้องหลังจากอีกฝ่ายไม่ผิดแน่ แต่ที่ทำให้เหนื่อยใจจริงๆ ก็คือที่เด็กชายกล่าวว่า มีผู้บริสุทธิ์โดนยัดเยียดให้เป็นพวกนอกรีตด้วย ไม่เปลี่ยนไปเลยกับหน่วยสอบสวนกลาง ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อนก็ตาม


    "อยากจะให้คุณลุงช่วยส่งคนในรายชื่อนี้มาที่เดบลิสหน่อยนะคร้าบ ผมอยากจะเจอหน้าพวกเขาสักหน่อย"

    "แค่เจอหน้าอย่างเดียวหรือ?"


    ราวกับจะสื่อความหมายด้วยกันได้ เด็กชายกลับหรี่ตาลงเป็นตายิ้ม กับ ฉีกยิ้มจนเห็นฟัน แน่ล่ะว่า หากส่งคนพวกนี้มาชะตากรรมแบบไหนรอพวกเขาอยู่ กับคนระดับเขามีหรือจะไม่รู้ แต่หากคนพวกนี้หายไปจะระบบแล้ว ก็น่าจะช่วยเรื่องภาพลักษณ์กับการทำงานของศาสนจักรได้ในระดับหนึ่ง


    "ไม่ต้องกังวลหรอกครับคุณลุง คุณลุงไม่ทำได้อะไรเสียหายนี่ครับ การรักษาความถูกต้องและดีงาม ปกป้องผู้บริสุทธิ์พิพากษาคนชั่ว นั่นเป็นหน้าที่ของศาสนจักรอยู่แล้วนี่ครับ ผมเองแค่ช่วยเร่งการทำงานให้นิดหน่อยก็เท่านั้นเอง อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่ฮะ?"


    "เพราะไม่ใช่ครั้งแรกอย่างไรเล่า ข้าถึงต้องคิดให้ถี่ท้วนยิ่งขึ้น"


    "กับเศษสวะร้อยชีวิต ผมไม่อยากจะคิดว่าคนระดับคุณลุงจะลังเลกับเรื่องแค่นี้นะฮะ"


    "เฮ้อ แต่ถ้าคุณลุงไม่สะดวกก็ไม่ต้องก็ได้นะครับ แต่เรื่องหนังสือก็คิดเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน" เด็กชายกล่าว แน่ล่ะเรื่องทำหนังสือให้ และ การไม่ต้องทำให้ เขานั้นล้วนจริงจังในทั้งสองกรณี


    "จะรับหรือไม่รับครับคุณลุง?"


    "......" ฟรังซิสต์สูดหายใจลึกก่อนจะตอบว่า




    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++​



    ในรถม้าที่มุ่งหน้าสู่ไลท์เกรซนั้น ห่างจากแนวเทือกเขามามาก ด้วยซองน้ำตาลสองวางไว้ข้างตัวบนเบาะนั่ง พระคาร์ดินัลฟรังซิส ได้แต่สวดภาวนาต่อสิ่งที่ตนจะกระทำลงไป กับค่าตอบแทนราคาแพงที่อีกฝ่ายยื่นมานั้น และ มือของตนที่รับข้อเสนอของอีกฝ่ายไว้ แน่ล่ะว่าแม้จะอยู่ในศาสนจักรมานานหลายปี แต่ตัวเขาเองก็มีแนวยึดถือเรื่องความยุติธรรมและความถูกต้องในแบบของตนเช่นกัน กับพวกที่แม้จะทำเรื่องเลวทรามเอาไว้ แต่เพราะอาศัยร่มเงาศาสนจักรคุ้มครองตนจากข้อกล่าวหา ทำให้ไม่สามารถลงโทษคนพวกนี้ได้อย่างสาสมกับที่พวกเขาทำไว้ หรือจะเป็นแนวหลัก ความถูกต้องสุดโต่งของพวกหน่วยสอบสวนคนนอกรีตก็ด้วย


    เพ็งพินิจหนังสือเดินทางในมือที่ได้มาจาก โครโนส หนังสือเดินทางการฑูตเล่มสีฟ้า แม้จะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก แต่เนื้อกระดาษและตัวพิมพ์หมึกกลับ ดูสะอาดตาเหมือนหนังสือเดินทางดีๆทั่วๆไป แม้ใบหน้าและตำแหน่งในหนังสือจะยึดตามข้อมูลจริงที่มี แต่เรื่องชื่อ กลับมีการทำรอยขีดทับดำยาวเอาไว้ ราวกับว่าจะไม่ต้องการให้คนที่อ่านรู้ถึงชื่อจริงของผู้ถือ (ใช้แค่ชื่อ ซานโดรในหนังสือ)


    ฟรังซิสต์ไม่แน่ใจว่าตัวเองถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว นึกไปตอนที่เขาถามเด็กชายว่าทำไมถึงทำรอยขีดที่ชื่อเอาไว้ คำตอบของอีกฝ่ายกลับช่วยกระตุ้นเตือนถึง สัญญาอีกข้อที่เขาเคยทำไว้กับอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อนานมาแล้วได้ (ไม่ใช่สัญญาในหนังสือพวกนั้น)


    "คุณลุงคงไม่ใช่ว่าใช้เวลาเลี้ยงเด็กคนนั้นมานาน จนลืมไปแล้วนะว่า ทั้งพี่ชายและเด็กคนนั้น ถูกส่งไปให้พวกคุณลุงทำไม?"

    "เมื่อเธอคนนั้นอายุครบ 17ปี ผมหวังว่าคุณลุงจะนำพาเธอมายังที่ๆเธอสมควรอยู่นะฮะ อย่าให้ผมต้องไปเอาด้วยตัวเองนะฮะ"


    "อัลรอนเน่ หวังว่าลูกจะอภัยให้พ่อด้วยนะ" กล่าวอย่างอมทุกข์ ท่านรู้ดีว่าปลายทางของบทละครบทนี้จะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบเป็นแน่


    TBC.......
  18. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เนื้อเรื่องในมุมมืดเปิดเผยออกมาแล้ว

    จากนี้ไป เนื้อหาคงจะเข้มข้นและมืดมนขึ้นเยอะแล้วสินะ

    ว่าแต่ ไป ๆ มา ๆ พวกตัวหลักคนอื่น ๆ บทหายกันหมดซะงั้น -*-

    ดิท- อยากรู้จัง ฮายาเตะกับวินดัสจะเข้ามาเกี่ยวดองกันอีท่าไหน
  19. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ถึงริวเน่ - ถ้าอยากรู้ว่าจะเกี่ยวดองกันอีท่าไหน ก็ให้ฮายาเตะไปเจอวินดัสแถวๆ ร้านกาแฟสิ จากนั้นจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับแรงแถของหมู่เฮาแล้ว
  20. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    มีไฟแล้วพะยะค่ะ!!! แต่ขอไปเล่นเกมอีกหน่อย ขอแรงบันดาลใจ ฮ่าๆๆๆ

    ไหงกลายเป็นว่าซานโดรกับอัลรอลเน่กำลังจะกลายเป็นคู่พระนางของเรื่องนี้ไปแล้วเนี่ย-*-
  21. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    ในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่งดั่งเช่นวันที่ผ่านๆมา กลุ่มของอเล็กซ์นั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของพวกเขา ต่างคนต่างก็ใส่ชุดธรรมดา(ยกเว้นแต่อัลรอลเน่ที่ยังใส่ชุดซิสเตอร์สีน้ำเงิน) เพราะวันนี้เป็นวันหยุดวันแรกนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในโรงเรียนนั่นเอง

    อเล็กซ์กับไลติโอ้นั่งพูดคุยเรื่องการเรียนของตนโดยมีเชล่ากับเวิร์ดเข้ามาร่วมวงด้วย ทางวาเลียและทรีคเองก็กำลังถกเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นเคย ส่วนอัลรอลเน่ก็กำลังสอนเนื้อหาของภาควิชาเทววิทยาให้กับฮายาเตะเตรียมตัวก่อนเข้าไปเรียนจริงๆในอีกวันหนึ่ง


    “จะว่าไปแล้ว เวิร์ดเองก็อยู่สายการปกครองสินะครับ...จบจากที่นี่แล้ว จะไปทำอะไรต่อหรือ”


    “ข้าก็คงจะเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหารของศาสนจักรกระมั้ง”


    “เห...แต่นั่นต้องเป็นคาร์ดินัลเสียก่อนไม่ใช่หรือครับ”


    อเล็กซ์ถามขึ้น เวิร์ดจึงนิ่งไปชั่วครู่ มันก็จริงที่ว่า นางเองก็ไม่ได้ศึกษาข้อมูลทางฝั่งนี้มามากนัก


    “ไม่จำเป็นต้องเป็นคาร์ดินัล ท่านก็สามารถเข้ามาอยู่ในฝ่ายบริหารของศาสนจักรได้เช่นกัน”


    อัลรอลเน่เอ่ยขึ้น หลังจากที่นางเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยกับการสอนฮายาเตะที่ตอบคำถามนางผิดตลอด


    “คาร์ดินัลเองก็เปรียนเสมือนกับหัวหน้าของกระทรวงๆหนึ่ง โดยแต่ละกระทรวงก็จะมีนักบวช และพลเมืองธรรมดาๆคอยช่วยงานอยู่ด้วย นั่นก็แล้วแต่ด้วยว่า ท่านอยากจะเข้าไปอยู่ในสายไหน..อย่างท่านคงอยู่ในการปกครองโดยตรงเลยสินะ”


    “ก็ไม่เชิงนัก..อีกอย่าง ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปอยู่ได้จริงๆหรือเปล่า”


    “ถึงกับผ่านการสอบมาได้ก็คงไม่เป็นปัญหาแล้วละนะ” อัลรอลเน่เอ่ย และยิ้มออกมานิดๆ


    “เฮ้อ...วันหยุดแท้ๆ กลับไม่มีอะไรทำเลย ..ต้องมาเจอหน้าเจ้ากาแก่แบบนี้ทุกวันๆข้าเองก็ชักจะเบื่อซะแล้วสิ”


    “เอ๊ะ..ทำไมเจ้าไม่ลองออกไปเดินเล่นในเมืองดูบ้างล่ะ?”


    “หา?”


    เสียงของวาเลียกับทรีครวมถึงฮายาเตะประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน ทั้งสามหันมาจ้องเชล่าเป็นตาเดียว


    “เราเข้าไปในเมืองได้ด้วยหรือ?”


    “เฉพาะวันหยุดแค่นั้นละนะ และต้องมีใบอนุญาตจากอาจารย์ผู้ดูแลหอด้วย เพื่อที่จะเอาให้ยามเฝ้าประตูดูและลงชื่อเอาไว้ แต่ก็ห้ามกลับเกินหนึ่งทุ่มด้วยละนะ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะต้องถูกลงโทษ”


    เชล่าอธิบายพร้อมกับขยิบตาในตอนท้าย หัวข้อครั้งนี้ดูจะสร้างความสนใจให้กับทุกคนไม่น้อย


    “ถ้าอย่างนั้น เราลองออกไปเดินเล่นกันข้างนอกกันดีมั้ยครับ”


    มีเสียงตอบรับมาจากทุกคนอย่างยินดี


    หลังจากการสนทนาเรื่อยเปื่อยจบลง ทุกคนต่างก็ไปขอใบอนุญาตออกนอกโรงเรียนจากอาจารย์ผู้ดูแลหอ ซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยส่วนต่างๆของบรรดาสรรพสัตว์ต่างๆ อย่างหัวกวาง งาช้าง หรือไม่ก็พรมที่ทำมาจากขนของเสือ และหมีขาว เครื่องใช้ภายในหอก็ดูหรูหรามีระดับ มีป้ายชื่อแปะไว้ที่โต๊ะทำงานหินอ่อนสีดำว่า “ เบนิคน่า สตราโทส”

    “อย่ากลับหลังจากหนึ่งทุ่มเป็นต้นไปนะจ๊ะเด็กๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษไม่ให้พวกเจ้าออกนอกบริเวณโรงเรียนสองอาทิตย์ รวมถึงต้องมาทำความสะอาดทางเดินทั้งหมดของหอพักในวันที่ทุกคนได้พักผ่อนกันนะจ๊ะ”


    อาจารย์หญิงผู้มีผมหยิกฟูฟ่อง ตัวใหญ่และอยู่ในผ้าขนสัตว์เอ่ย และยื่นใบขออนุญาตพร้อมลายเซ็นให้กับทุกคน


    “ในเมืองหลวงนี่จะเป็นยังไงน้า...ข้ายังไม่เคยมาที่นี่เลยซักครั้ง”


    “นั่นสินะ...ข้าเองก็ด้วยแหละ ที่นี่จะมีสถานที่ที่ไหนน่าสนใจบ้างกันละเนี่ย”


    “แบบนี้ต้องถามคุณอัลรอลเน่เสียแล้วสินะ...”


    อัลรอลเน่หันมาหาผู้สนทนาทั้งสอง ซึ่งกำลังจ้องมองมาที่นางราวกับเห็นของมีค่า


    “พวกเจ้าอยากจะไปที่ไหนกันล่ะ ที่เมืองหลวงแห่งนี้น่ะมีทุกอย่าง แม้แต่ร้านหนังสือ ร้านขายของเก่า หรือแม้แต่ร้านขายอาวุธล่ะนะ”


    เมื่อพวกเขามาอยู่ที่หน้าโรงเรียนซึ่งคับคั่งไปด้วยบรรดานักเรียนที่ออกมาเที่ยวและจับจ่ายซื้อของกันมากมาย อัลรอลเน่ก็พาพวกเขาไปที่แผนที่แสดงตำแหน่งสถานที่ในเมืองซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป โดยเวิร์ดกับอเล็กซ์แยกไปร้านหนังสือ ไลติโอ้ยอมเดินไปกับวาเลียซึ่งถูกทรีคลากไปที่ร้านขายของเกี่ยวกับเวทมนตร์ เชล่าขอออกไปเดินเล่นตามลำพัง จะเหลือก็แต่อัลรอลเน่กับฮายาเตะที่ยืนอยู่ด้วยกัน


    “เจ้าอยากจะไปที่ไหนล่ะฮายาเตะ”


    “ฉันอยากจะลองไปที่ร้านขายอาวุธดูน่ะ...”


    “ร้านที่อยู่ในแผนที่มีแต่พวกอาวุธขั้นพื้นฐาน..ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหรอก”


    อัลรอลเน่จับมือฮายาเตะและเริ่มออกเดิน


    “ข้าจะพาเจ้าไปที่ร้านของคนรู้จักของข้าก็แล้วกัน”
    /////////////////////////////////////////
    “หนังสือในร้านนี่ ไม่ค่อยจะมีอะไรน่าสนใจเลยนะ...”


    เวิร์ดเอ่ยขึ้น เมื่อเธอกับอเล็กซ์เข้ามาภายในร้านหนังสือ ซึ่งมีแต่นักเรียนในกลุ่มวัยรุ่นที่แต่งตัวตามแฟชั่นสมัยใหม่กำลังสุมหัวพลิกอ่านนิตยสารเสื้อผ้า แฟชั่น ดูกันอย่างสนุกสนาน จะมีก็แต่ทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะหลุดเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง
    เด็กสาวเก็บหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองเข้าไปภายในชั้น นางกำลังคิดว่าหนังสือภายในห้องสมุดนั่นดีกว่าเป็นไหนๆ ซึ่งอเล็กซ์ก็คิดอย่างเดียวกัน


    “ผมว่า..เราลองไปเดินเล่นที่ร้านขายของเก่าดูดีมั้ยครับ”


    “ก็ดีเหมือนกัน”


    และทั้งคู่ก็ออกเดินไปที่ร้านแห่งนั้น บ้างก็หยุดดูของที่ตั้งโชว์อยู่หน้าร้าน หรือพูดคุยกันเรื่องต่างๆ จนเดินมาถึง้รานขายของเก่า ซึ่งมีแต่สิ่งของน่าสนใจ โดยเฉพาะหนังสือเก่าๆที่ดูเหมือนอเล็กซ์จะเอาแต่นั่งจ้องมัน


    “ดูเหมือนเจ้าจะชอบหนังสือมากเลยนะ”


    “ก็ไม่เชิงหรอกครับ...อีกอย่าง มันก็เป็นความถนัดของผมด้วยเหมือนกันแหละนะ”


    อเล็กซ์หยิบสมุดของตนเองออกมาเปิดออก ก่อนที่จะวางฝ่ามือลงบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่านั้น รออยู่ครู่หนึ่งก็ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นออกมาทันที


    “ว้าว..มีความสามารถแบบนี้ด้วยหรือ...ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันคล้ายๆกับพจนานุกรมเลยนะเนี่ย”


    “ก็ไม่เชิงหรอกครับ ถ้าข้อมูลนั้นไม่ใช่ข้อมูลปกปิดระดับสูง ผมเองก็สามารถเรียกดูข้อมูลนั้นได้...อาจจะเหมือนๆกับคอมพิวเตอร์ของโลกเก่านั่นแหละครับ”


    “เจ้าเนี่ย..มีความสามารถที่เป็นประโยชน์จริงๆเลยละนะ..”


    “พูดเหมือนกับว่า เวิร์ดเองไม่มีประโยชน์อย่างนั้นแหละ สายการเมืองการปกครองเนี่ยฟังดูเก่งแล้วนะครับ”


    เวิร์ดถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม้ภายนอกดูเหมือนว่านางจะเก่งพอดู ที่มีความสามารถถึงกับสอบเข้าได้ แต่มันก็แค่นั้น นางเองไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลย ทั้งทักษะด้านการต่อสู้ที่ไม่มีเอาเสียเลย


    “ความจริง..ข้าเองก็ไม่อยากจะมาเรียนหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของข้าน่ะ...ไม่สิ..เพราะตระกูลของข้า”


    “ความขัดแย้งในตระกูลของข้า ทำให้ข้าซึ่งเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปนั้นสร้างความเป็นกังวลในกับท่านพ่อของข้ามาก เพราะฉะนั้น ท่านพ่อจึงส่งข้าเข้ามาเรียนที่นี่ เพื่อให้มีความรู้...พูดง่ายๆคือ เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปน่ะ”


    “แต่สายนี่เธอเองก็ชอบเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”


    “ใช่...แต่ว่า...หลังจากที่ข้าพูดแบบนั้นกับเจ้าไปเนี่ย ข้าก็คิดได้ว่า ตัวข้าเองกลับไม่มีอะไรที่จะสามารถช่วยเหลือใครได้เลยแม้แต่น้อย...ถึงข้าจะเรียนจบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับเลือกให้เข้าไปทำงานนี่นะ”


    “แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่เธอเองทำได้ไม่ใช่เหรอครับ...ผมว่านะ..เธอไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาความสามารถใหม่ๆเลย กลับกันถ้าหากใช้ความสามารถที่มีอยู่แล้วลองปรับมันดูแล้ว มันก็สามารถช่วยเหลือทุกๆคนได้เหมือนกันนี่ครับ”


    อเล็กซ์หวนไปนึกถึงคำพูดของเด็กสาวในชุดซิสเตอร์สีน้ำเงินนั้นอีกครั้ง


    “เพราะฉะนั้น ผมเองจึงใช้ความสามารถที่มีอยู่...เพื่อปกป้องทุกคน...เพื่อทุกคนในหมู่บ้าน รวมถึงแม่ของผมด้วย”


    เวิร์ดจ้องมองอเล็กซ์ที่กำลังทอดสายตาไปไกล


    “ขอบคุณนะ...ทีนี้ก็หายกันแล้วสินะ...”


    “เอ๊ะ?”


    “ก็ข้าเคยต่อว่าเจ้าไปครั้งก่อน ทีนี้ก็หายกันแล้วล่ะนะ ฮ่าๆ”
    ////////////////////////////////////////////////////////////
    “หื้ม...ไม่นึกว่าจะได้พบกันอีกครั้งนะ ซิสเตอร์อัลรอลเน่”


    หญิงสาวในชุดเดรสยาวสีแดงสดที่แหวกให้เห็นขาขาวๆของนาง กับผมสีชมพูที่มัดไว้ด้านข้าง ดวงตาสีส้มสดใสจ้องมองผู้มาเยือนในร้านของนางที่ตกแต่งด้วยสีแดงสดแสบตา ฮายาเตะมองบรรยากาศรอบข้างด้วยความระมัดระวัง


    “ไม่ได้พบกันเสียนาน หวังว่าท่านคงจะสบายดี ท่านอาโมเอน่า”


    “ก็เรื่อยๆแหละนะ...ท่านมาก็ดีแล้วล่ะซิสเตอร์อัลรอลเน่ ข้าล่ะ อยากจะอวดอาวุธใหม่ที่ข้าได้มาให้ท่านดูเต็มแก่แล้ว”


    อาโมเอน่ากระโดดลงจากบัลลังค์สีแดงของนาง และเดินเข้าไปในหลังร้าน ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับดาบขนาดใหญ่ที่พันเอาไว้ด้วยผ้าสีขาว อัลรอลเน่จ้องมองด้วยสายตาไม่กระพริบ


    “ข้าแกะมันแค่ครั้งเดียว ตั้งใจว่าได้มาแล้วก็คงจะขาย แต่ข้าคิดว่ามันคงโดยกวาดไปโดยพวกบ้าพลังภายในวันเดียวแหงๆ เลยเก็บมาให้ท่านดูก่อน”


    อาโมเอน่าโยนดาบขนาดใหญ่นั้นมา อัลรอลเน่จับมันอย่างชำนาญก่อนที่จะบรรจงแกะผ้าที่พันนั้นออก


    “แล้วเด็กสาวที่อยู่ข้างกายท่านนั้นเป็นใครกันหรือ?”


    “นางมีชื่อว่าฮายาเตะ..นางเป็น...เพื่อนของข้า”


    อาโมเอน่าเบิ่งตาโตด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะเข้ามาพินิจพิเคราะห์ฮายาเตะในระยะใกล้ๆเสียยกใหญ่ ทำเอาเด็กสาวตกใจจนเผลอจับด้ามดาบของตนตามสัญชาตญาณ


    “เจ้าเองก็มีของที่น่าสนใจด้วยนินา ขอข้าดูหน่อยได้มั้ย”


    อาโมเอน่าไม่มีความรู้สึกรู้สากับการกระทำนั้นของฮายาเตะเลยแม้แต่น้อย กลับกัน นางดูสนอกสนใจดาบของเด็กสาวเป็นอย่างมาก


    “อย่าทำให้เขาตกใจสิ อาโมเอน่า”


    “ก็แหม...ข้าเพิ่งจะเคยเห็นท่านมีเพื่อนกับเขาซักทีนินา..ซิสเตอร์อัลรอลเน่ผู้โหดเหี้ยมมีเพื่อนแล้ว ...ข้าล่ะอดตื่นเต้นแทนไม่ได้”


    อาโมเอน่าหันกลับมาหาฮายาเตะอีกครั้งพร้อมกับสายตาอ้อนวอน แต่ฮายาเตะกลับเอาดาบขึ้นมากอดไว้แน่น และถอยไปที่มุมห้องพลางส่งสายตาขู่ฟ่อๆราวกับแมวไม่มีผิด


    “หว่า...เพื่อนของท่านนี่ดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลยน้า...”


    อัลรอลเน่ไม่ตอบอะไร แต่นางกำลังจ้องมองดาบใหญ่ที่แกะผ้าพันออกหมดอย่างตกตะลึง...มันเป็นดาบเงินที่ตกแต่งด้วยลายแกะสลักสีทองไปจนถึงตัวด้ามที่มีอัญมณีประดำอยู่ ทั้งหมดดูหรูหราแต่ทรงพลัง


    “หึหึหึ...สนใจใช่มั้ยละ...ท่านจะลองใช้มันดูก็ได้นะ”


    อัลรอลเน่จับดาบนั้น ก่อนที่จะสะบัดอย่างแรงจากด้านหน้ากวาดไปด้านข้างเกิดสายลมซึ่งเป็นพลังของนางพัดวูบหนึ่งอย่างรุนแรงจนกระจกของกรอบรูปภายในร้านร้าว นางยังไม่หยุดแค่นั้น แต่จับดาบนั้นทั้งสองมือ หมุนมันอย่างรวดเร็ว และปักมันลงกับพื้นอย่างรุนแรง


    ตูมมมม!!!!


    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว กิดแผ่นดินไหวอ่อนๆขึ้นภายในร้าน โคมระย้าสั่นไหวอย่างน่ากลัวว่าจะตกลงมา พื้นภายในร้านมีรอยร้าวขนาดยาวเกิดขึ้นรอบๆจากศูนย์กลางที่ซิสเตอร์สาวปักดาบลงไป


    “ใช้ได้...”


    อัลรอลเน่กล่าวก่อนที่จะถอนดาบขึ้นมาจากพื้น


    “สนใจมั้ยละ...”


    “ท่านจะมอบมันให้ข้าหรือ”


    “ไม่...ข้าจะขายมันในราคากันเองซักแสนหนึ่ง...”


    อัลรอลเน่หยิบผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาพันดาบนั้นกลับอีกครั้งทันที


    “เฮ้ๆ ข้าล้อเล่นน่า...ข้ากะจะให้ท่านฟรีๆอยู่แล้ว..แต่ท่านต้องทำสิ่งหนึ่งให้ข้าเสียก่อน”


    อาโมเอน่าจ้องไปที่ฮายาเตะซึ่งยืนอยู่ที่มุมห้อง อัลรอลเน่เข้าใจความหมายนั้นทันที


    “ฮายาเตะ..เจ้ารู้สินะ ว่าเจ้าควรจะทำอะไร..”


    อัลรอลเน่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆเย็นๆ แต่สำหรับฮายาเตะมันคือคำสั่งสูงสุด นางจึงไม่มีทางเลือก นอกจากถอดดาบออกมาจากฝัก และชูให้อาโมเอน่าดู


    “ข้าว่าแล้วเชียว..ตั้งแต่ที่เจ้าก้าวเข้ามาในร้านแห่งนี้ ข้าก็ได้กลิ่นของความเป็นสุดยอดทันที”


    หญิงสาวก้าวเข้าไปจ้องมองดาบเล่มนั้นอย่างสนอกสนใจ ก่อนที่จะพร่ำพรรณนาถึงตัวดาบอยู่เกือบๆครึ่งชั่วโมง


    “เอาล่ะ...ข้าพอใจแล้ว...ท่านนำดาบเล่มนั้นไปได้”


    อัลรอลเน่โค้งคำนับเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนที่จะนำดาบใส่เข้าไปในฝักดาบที่ทำจากหนังและสะพายไว้ข้างหลัง
    หลังจากนั้น อาโมเอน่าก็พาเด็กสาวทั้งคู่ไปชมอาวุธรอบๆร้าน ซึ่งแต่ละอย่างก็สร้างความสนใจให้กับฮายาเตะ แต่ดูเหมือนนางจะไม่อยากแตะอาวุธเหล่านั้นมากนัก
    หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ฮายาเตะก็รู้สึกเบื่ออย่างเห็นได้ชัด เพราะอาโมเอน่าเอาแต่ชวนอัลรอลเน่พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ ซิสเตอร์สาวสังเกตเห็นถึงอาการของนางเข้า


    “ถ้าเบื่อละก็...เจ้าลองไปเดินเล่นแถวๆนี้สิ ข้ารู้จักร้านกาแฟท่อยู่ใกล้ๆนี่ รสชาติใช้ได้เลยล่ะ”


    “ไม่หรอก..ฉันจะอยู่กับเธอที่นี่ล่ะ”


    “ไปเถอะน่า...ข้าเองก็มีธุระพูดคุยอยู่อีกเยอะ”


    ถึงแม้ว่าฮายาเตะอยากจะเฝ้าคุ้มครองอัลรอลเน่อยู่ที่นี่ แต่เมื่อดูจากสถานที่กับเจ้าของร้านที่ดูพึ่งพาได้ นางจึงขอปลีกตัวออกไปนอกร้านที่บรรยากาศแปลกๆนี่


    “ดูนางเป็นห่วงเป็นใยท่านมากเลยนะซิสเตอร์อัลรอลเน่..”


    อัลรอลเน่ไม่ตอบอะไร แต่กลับจ้องมองไปที่ดาบซึ่งนางเอาวางพิงไว้ข้างเก้าอี้โซฟาสีแดงที่นางกำลังนั่ง


    “ท่านได้ดาบนี่มาจากไหนหรือ”


    “หื้ม...ถ้าท่านได้ยินแล้วอาจจะคืนดาบให้กับข้าเลยก็ได้นะ”


    “แต่ข้าคงจะไม่สบายใจหนักกว่า ถ้าหากไม่รู้ความเป็นมาของอาวุธที่เปรียบเหมือนกับมือเท้าของข้านะ”


    “เอางั้นก็ได้...มันเป็นอาวุธเถื่อนที่ไม่ได้ลงทะเบียน..ข้าได้มันมาจากเดบลิส”


    “เมืองท่าเดบลิสน่ะหรือ? แล้วใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา?”



    "เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ คนส่งอาวุธไม่ยอมบอกข้อมูลเรื่องนี้ให้กับข้าเช่นกัน"

    อัลรอลเน่จ้องไปที่ดาบอีกครั้ง นางรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างแปลกๆ
    //////////////////////////////////////////////////////////////
    ฮายาเตะเดินไปตามทางเดิน และก็พบกับร้านกาแฟที่อัลรอลเน่แนะนำมา มันเป็นร้านกาแฟเล็กๆที่ดูอบอุ่น เสียงพนักงานต้อนรับดังขึ้นเมื่อนางเปิดประตูเข้าไป


    “ยินดีต้อนรับครับคุณหนู ต้องการอะไรหรือครับ”


    “ขอกาแฟแก้วหนึ่งก็แล้วกัน”


    ฮายาเตะกล่าวอย่างห้วนๆก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะ จ้องมองไปอย่างเหม่อลอย


    “ฮายาเตะ?...นั่นฮายาเตะใช่มั้ย?”


    เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น ฮายาเตะสะดุ้งเล็กน้อยและหันไปมอง


    “นายคือ....”
    /////////////////////////////////////////////////////////////
    ทางฝั่งของวาเลีย ทรีค และไลติโอ้ที่เข้ามายังร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ ที่เต็มไปด้วยม้วนคาถา และอาวุธเวทย์ รวมถึงน่ำยาแปลกๆที่เอาไปทำน้ำยาสารพัดประโยชน์


    “น่าขนลุกชะมัดเลยร้านนี้ นี่นายชอบของพวกนี้ด้วยเหรอ”


    วาเลียเอ่ยขึ้นระหว่างที่กำลังมองลูกตาของตัวอะไรซักอย่างดองอยู่ในขวดโหล


    “เงียบไปเลยนะเจ้ากาแก่ ฉันกำลังใช้สมาธิอยู่...”


    ทรีคกับไลติโอ้ยืนดูม้วนคาถาของเวทย์ต่างๆที่เสียบอยู่ในชั้นขนาดใหญ่อย่างขะมักเขม้น วาเลียรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกไปยืนรอทั้งคู่นอกร้าน ในระหว่างนั้นเองที่นักบวชหนุ่มสองคนเดินเข้ามาใกล้ๆกับวาเลีย


    “รหัสนักโทษ AEX-061420 ฮัซซา บาฮาดูร อัล-อิบราฮิม...ที่ข้าพูดนี่ถูกต้องแล้วใช่มั้ย?...”


    วาเลียสะดุ้งและอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะสู้ หากนักบวชคนหนึ่งไม่จับแขนของวาเลียเอาไว้ด้วยพละกำลังมหาศาลถึงกับทำให้ชายหนุ่มขยับตัวไม่ได้


    “เจ้าต้องไปกับพวกเรา...เดี๋ยวนี้...”


    “พวกแก...”
    ///////////////////////////////////////////////////////

    มีอารมณ์ก็เข็นออกมาตอนหนึ่ง..ในอารมณ์ที่อยากให้อัลรอลเน่มีอาวุธอยู่เยอะๆ ฮ่าๆๆ(จะเทพไปไหนห๊า!!!) แต่ยังไม่มีอารมณ์จะแต่งตอนของซานโดร ถ้าใครสนใจก็ลองแต่งดูก็ได้ไม่เสียหาย ไม่ใช่ตัวละครที่แตะต้องไม่ได้นะเออ= =

    โยนๆตอนต่อไปของฮายาเตะกับวาเลียไปแล้ว หวังว่าจะกระตุ้นให้ปั่นเร็วขึ้นนะ ฮ่าๆๆๆ /me เผ่น
  22. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ยังไม่ทันจะทำทรีคความแตกเลย โดนตัดหน้าชิงเนื้อเรื่องล่าวาเลียแล้วเหรอเนี่ย โทโฮโฮ..... OTL
  23. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    จะได้บทเด่นแล้วยังจะเกี่ยงอีกแน่ะ >_<"
  24. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    ไม่ถึงกับต้องเปิดเผยทั้งหมดเลยก็ได้นินาเจ้าคะ? แถไปสิงิ คาเรนเชื่อว่าสกิลแถของทุกคนอยู่ในระดับยอดเยี่ยม..=_=;;
  25. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ฮายาเตะพอจะจำชายหนุ่มที่กำลังนั่งดื่มช็อกโกแลตร้อนอยู่ไม่ไกลนักได้ เขาเป็นชายหนุ่มร่างค่อนข้างสูงแลดูสมบุกสมบัน ในเสื้อผ้าทะมัดทะแมงสีน้ำตาลที่แลดูเก่าและมอมแมม ซึ่งเคยร่วมภารกิจเดียวกันมาก่อนครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คุยกันมากเท่าไรนัก

    "นายคือ..." ฮายาเตะประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นชายผู้นั้น เธอรู้สึกคล้ายกับว่าชื่อของเขาติดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ แต่ก็จำและพูดออกมาไม่ได้

    ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มน้อย ๆ ตามมารยาท สีหน้าและแววตายังคงเรียบเฉย ก่อนที่จะเอ่ยแนะนำชื่อของตน

    "วินดัส ฮามิลตัน" ชายหนุ่มแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

    วินดัส ฮามิลตันงั้นเหรอ... เธอจำชายหนุ่มคนนี้ได้แล้ว แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดคุยกับเขาโดยตรง แต่ก็มีครั้งหนึ่ง ในระหว่างการทำภารกิจ ที่เขาเคยพูดอะไรสักอย่างกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกับชีวิตของเธอราวกับว่าเขาสามารถอ่านความคิดของเธอได้ ทั้งที่ยังไม่เคยได้รู้จักกัน

    ...

    ค่ำคืนก่อนที่ผู้ร่วมภารกิจทั้งสิบจะลงมือบุกถ้ำโจรใหญ่ หลังจากที่ช่วงเวลาอาหารเย็นจบลง ฮายาเตะได้ยินบทสนทนาหนึ่งจากชายหนุ่มสองคน ที่เกี่ยวข้องกับการแก้แค้น

    "ผู้ใดยึดมั่นในความแค้น มีชีวิตอยู่ด้วยความแค้น ผู้นั้นตายด้วยความแค้น และจะตายอย่างเจ็บปวด จำไว้ด้วย" นี่คือสิ่งเดียวที่เธอจับใจความจากบทสนทนานั้นได้ มันเป็นคำพูดของชายเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลคนหนึ่ง ชายที่เธอจำได้ว่าเป็นผู้ใช้พลังสายลมซึ่งเธอไม่รู้จักชื่อ

    ฮายาเตะมองดูชายผู้นั้นอย่างเรียบเฉยและเย็นชา แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อความหมายของการมีชีวิตของเธอนักหรอก

    "เก็บคำนั้นไว้สอนเด็กแถวบ้านเถอะ" ฮายาเตะเอ่ยเบา ๆ โดยไม่ตั้งใจจะให้ชายผู้นั้นได้ยิน ก่อนที่จะเดินจากไป

    ...

    ฮายาเตะจำชายคนนี้ได้แล้ว เขานี่เองที่เป็นคนพูดประโยคว่าด้วยเรื่องการแก้แค้นนั้น เธอยังจำคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี

    "ฉันยังจำดาบใหญ่นั้นได้ ที่เธอเสกมาแทงมอนสเตอร์ยักษ์ที่ควบคุมจิตใจโจรพวกนั้น" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่แพ้กัน รอยยิ้มเป็นมิตรตามมารยาทยังคงอยู่บนใบหน้า

    วินดัสยังจำได้ดี วันนั้นที่ผู้ร่วมภารกิจทั้งสิบคนกำลังต่อกรกับมอนสเตอร์ยักษ์ซึ่งควบคุมจิตใจโจรเสมือนหัวหน้าอย่างยากลำบาก แม้กระทั่งตัวเขาเองซึ่งเป็นผู้ควบคุมสายลมก็ยังป้องกันตัวจากมันได้อย่างทุลักทุเล นอกจากนั้นความคับแคบของถ้ำก็ทำให้การใช้พลังควบคุมสายลมได้ยาก หากดาบยักษ์เล่มหนึ่งซึ่งดูใช้งานและพกพายาก กลับปรากฏขึ้นในมือของเด็กสาวเจ้าของนามฮายาเตะได้อย่างอัศจรรย์ และเป็นดาบที่สังหารสัตว์ประหลาดนั้น สร้างความตกตะลึงให้กับเพื่อนร่วมภารกิจรวมถึงตัวเขาเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

    เขาสังเกตดูท่าทีเยือกเย็นของฉายาเตะอยู่ครู่หนึ่ง เธอยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่ร่วมภารกิจในตอนนั้น แต่เขาเองก็ไม่ได้สนใจหรือมีข้อข้องใจใด ๆ ที่จะถามเธอแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่ได้ต้องการอยู่เมืองนี้นาน หรือผูกมิตรกับฮายาเตะเป็นพิเศษเท่าไรนัก อีกไม่นานก็คงจะออกจากเมืองนี้แล้วเดินทางต่อไป เจอคนแปลกหน้า และจากไปเหมือนเคย

    ฮายาเตะเองก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มเท่าไรนัก เธอทราบดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าเองก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่มิตรหรือศัตรูของเธอ ไม่ต่างอะไรไปจากคนแปลกหน้าคนอื่น ๆ ที่เธอเคยรู้จักและหลงลืมไปตามกาลเวลา

    วินดัสยิ้มตามมารยาทให้กับฮายาเตะอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะก้มหน้าลงอ่านสมุดบันทึกของคุณแอเรียลพลางจิบช็อกโกแลตร้อนต่อไป โดยไม่สนใจฮายาเตะเลยแม้แต่น้อย

    "กาแฟมาแล้วค่ะ" พนักงานในร้านนำกาแฟมาเสิร์ฟให้ฮายาเตะ ก่อนที่จะจากไปบริการลูกค้าคนอื่น ๆ

Share This Page