1. soma555

    soma555 นักข่าว

    EXP:
    233
    ถูกใจที่ได้รับ:
    25
    คะแนน Trophy:
    28
    อ่านก่อนนิดนึง


    บทความนี้คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียวไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมากฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึกเอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดีนายเพี้ยนรึเปล่าอยากจะบอกว่าผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึงมิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียวแล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับฉะนั้นถ้าอ่านReview ของผมแล้วจงอย่าตัดสินทันทีขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเองไม่แน่หนังที่ผมบอกห่วยอาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผมด้วยความเคารพครับ

    และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผมจะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ


    การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวลเข้ามาอ่านReviewเล็กๆก่อนตัวเต็มหรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชมสามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ

    http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067


    Argo


    [​IMG]

    แนวหนัง : ดราม่า ระทึกขวัญ

    ตัวอย่าง




    เรื่องย่อ

    ในปี 1979 เมื่อปัญหาระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านมาถึงจุดแตกหัก เพราะสหรัฐไม่ยอมส่งตัว ชาส์ อดีตผู้นำของอิหร่านมารับโทษที่ประเทศตัวเอง จึงทำให้เกิดการประท้วงและบุกยึดจับตัวประกันคนอเมริกาในสถานทูตสหรัฐที่อิหร่าน แต่ว่ามีคนอเมริกัน 6คน สามารถหลบหนีออกมาได้ก่อนที่จะมีการบุกยึดและหลบซ่อนตัวในบ้านของท่านทูตแคนาดา แต่ว่าทั้ง6คนก็ต้องหลบซ่อนตัวไม่สามารถออกไปไหนหรือบินกลับประเทศได้เพราะอิหร่านกำลังต่อต้านคนสหรัฐอย่างรุนแรง จนกระทั้งโทนี่ แมนเดส เจ้าหน้าที่CIA ที่รับผิดชอบการนำคนอเมริกันกลับประเทศ ต้องวางแผนด้วยการโครงการจะทำหนังไซไฟเก๊ชื่อ Argo ที่ต้องไปถ่ายทำในอิหร่าน เพื่อชิงตัว6คนอเมริกันกลับประเทศอย่างปลอดภัยให้ได้

    [​IMG]

    มุมมองของSoma

    จริงๆคือผมได้ยินคำล่ำลือในฝีมือการทำหนังของ Ben Affleck ว่าดีมากแค่ไหน ทั้ง Gone Baby Gone และ The Town แต่ทั้ง2เรื่องนี้ผมยังไม่เคยดู แต่ว่าสำหรับArgo ผมสนใจมากเพราะนี้ทำมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ผมจึงสนใจว่าหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงที่น่าสนใจขนาดนี้ และเรารู้แล้วว่าเหตุการณ์มันจบทิศทางไหน แล้วเมื่อทำหนังจะทำได้ดีไหม และเพราะเหตุนี้แหละทำให้ผมได้รู้ว่า Ben Affleck มันแน่มาก

    [​IMG]

    หนังเรื่องนี้มีส่วนผสมของหนัง3แนวในเรื่องเดียวคือ

    1.หนังสารคดีที่พูดถึงปัญหาระหว่างประเทศ เนื่องจากหนังสร้างจากเหตุการณ์จริงของการจับตัวประกันในสถานทูตของอเมริกาในอิหร่าน หนังจึงต้องนำเสนอสิ่งเหล่านี้เป็นแก่นหลักของหนัง ซึ่งหนังถ่ายทอดภาพเหตุการณ์นี้ได้ดูน่ากลัวและกดดันมาก รวมถึงทำให้เราสนใจว่าเหตุการณ์จริงๆเป็นอย่างไรและมันมีบทสรุปอย่างไร

    2.หนังวางแผนแนวสายลับ เมื่อหนังถึงเวลาที่ต้องวางแผนภารกิจชิงคน หนังจะให้ดูแนวทางของแผนการ รูปแบบการวางแผนและดำเนินแผนบางส่วนไป ซึ่งตรงนี้ทำได้สนุกเพราะเราก็อยากรู้ว่าแผนการนี้ทำอย่างไร มันเวิร์คจริงไหม โดยที่เหตุการณ์ได้นำเอาคนในวงการฮอลลีวู้ดมาช่วยแผนการ ซึ่งตรงจุดนี้กลายเป็นอีกจุดแข็งของส่วนนี้ เพราะนอกจากเราจะได้รู้รูปแบบการวางแผนในการสร้างภาพยนต์ซักเรื่องนึงแล้ว หนังยังมีมุกจิกกัดวงกาฮอลลีวู้ดแบบฮาๆออกมาได้ตลอดเวลา

    3.หนังระทึกขวัญ ช่วงปฏิบัติการณ์ถือเป็นช่วงไคล์แมกซ์สุดของหนัง เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่คนดูจะอินตามได้แบบเต็ม100 เพราะหนังทำได้ “ลุ้น” มาก ลุ้นแบบชนิดที่ว่านั่งติดเก้าอี้ กัดฟันแบบสุดๆในสถานะการณ์และอุปสรรคตอนปฏิบัติการณ์ หนังสามารถทำช่วงนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งรูปแบบการถ่ายทำ เสียงดนตรี ชนิดที่ว่ากะเอาคนดูลุ้นกันตายไปข้าง นี้ถือเป็นหนังเรื่องแรกในรอบปีที่ผมลุ้นขนาดถึงขั้นว่าพูดเบาๆ “เร็วๆสิ เร็วๆสิโว้ย!”

    เมื่อส่วนผสมของ3แนวหนังนี้ออกมา Argo จึงแทบจะกลายเป็นหนังที่แสนจะสนุกและฟินในความรู้สึกอย่างจริงจัง เพราะแต่ละส่วนที่ว่ามาสามารถทำได้ดีมากๆ และยังสามารถนำมาผสมกันได้ลงตัวจนต้องยกนิ้วให้ และที่สำคัญคือหนังยังแอบแนวด้วยการทำภาพของหนังยุค 70 ที่ภาพออกเก่าๆและมุมกล้องออกเชยๆในหลายช่วงของหนัง ซึ่งดูไปก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจหรือประหลาดใจ แต่รู้สึกว่ามันเข้ากับยุคสมัยของหนังได้อย่างลงตัว (พี่แกเอาโลโก้วอร์เนอร์ตัวเก่ามาอีกด้วยนะ)

    [​IMG]

    อีกจุดที่เห็นได้ทันทีเมื่อดูหนังเรื่องนี้คือการพูดถึงคุณค่าของ “ภาพยนต์” ซึ่งในปีนี้เรามีหนังที่มาในแนวทางนี้ถึง2เรื่องคือ The Artist และ Hugo ที่ต่างก็เป็นกาพูดถึงคุณค่าของภาพยนต์ทั้งสิ้น และArgo หัวใจหลักของหนังก็เป็นจุดนี้เช่นกัน เพราะนอกจากหนังจะให้เราดูถึงรูปแบบการสร้างภาพยนต์ในยุค 70-80 ที่แตกต่างจากยุคทองของฮอลลีวู้ด สิ่งที่หนังสื่อคือการใช้ภาพยนต์เป็นสื่อในการ “ช่วยเหลือชีวิตคน” หนังใช้มุมมองของคนใหญ่คนโตต่อแผนการทำหนังเก๊ว่าไร้สาระและไม่มีทางสำเร็จ แต่ว่าหนังสื่อให้เราได้รับรู้ว่าภาพยนต์ไม่ใช่สื่อบันเทิงที่มีแค่การดูแล้วจบกัน แต่มันมีคุณค่ามากกว่านั้น เพราะนอกจากมันจะช่วยเหลือชีวิตของใครซักคนให้รอดตายจากสถานะการณ์สุดหน้าสิ่วหน้าขวานแล้ว ภาพยนต์ยังเป็นการเปิดโลกกว้างสำหรับประเทศที่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อจินตนาการเพ้อฝันของคนวงการบันเทิง ให้ได้เปิดโลกกว้างและสนใจในสื่อเน้นขายจินตนาการชิ้นนี้ ฉากที่ตัวละครในหนังคนนึงต้องเล่าสตอรี่บอร์ดให้ทหารเฝ้าสนามบินเห็นภาพ เป็นฉากมีพลังอย่างมากๆ ดูแล้วผมรู้ทันทีว่า Ben Affleck ต้องการจะสื่อถึงคุณค่าของภาพยนต์ว่ามันดีแค่ไหน

    [​IMG]

    แต่ข้อดีของหนักมากล้นขนาดนี้ หนังก็มีจุดน่าติตรงเรื่องของตัวละครที่หลายๆตัวละครขาดจุดที่ชวนให้มีอารมณ์ร่วม โดยเฉพาะโทนี่ที่หนังได้พูดถึงประเด็นปัญหาชีวิตของเค้าในเรื่องของครอบครัวออกมาได้น่าสนใจและน่าจะเกี่ยวข้องกับหนัง แต่ว่าหนังได้พูดเกริ่นไว้เล็กน้อยและมาปิดท้ายง่ายๆในช่วงหลัง ซึ่งทำให้ความรู้สึกอิน ประทับใจ ในเรื่องบทบาทของตัวละครขาดหายไปอย่างสิ้นเชิง และหนังยังมีอีกหลายๆตัวละครที่มีปูมหลังหรือความน่าสนใจแต่หนังไม่ได้พูดถึง และอาจจะเป็นข้อเสียสำหรับบางท่าน เพราะหนังสร้างมาจากเหตุการณ์จริง ทำให้ฉากจบหรือเหตุการ์บางอย่างของหนังเรารู้แล้วจึงอาจจะหมดลุ้นไปบางช่วงก็เป็นได้ (แต่ผมว่ายากนะ เพราะช่วงสุดท้ายหนังทำเอาอยู่แบบสุดๆ)

    [​IMG]

    สรุป :Argo ถือเป็นหนังม้ามืดที่ฟอร์มดีแบบสุดๆ หนังสามารถใช้รูปแบบหนัง3แนวคือ หนังสารคดี หนังวางแผนแนวสายลับ และหนังระทึกขวัญ ออกมาเป็นส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมและลงตัว โดยเฉพาะความลุ้นระทึกช่วงสุดท้ายของหนังที่ลุ้นกันจนหัวใจหยุดเต้นกันไปข้าง และหนังได้สื่อถึงบทบาทความสำคัญของภาพยนต์ได้น่าประทับใจไม่แพ้ The Artist และ Hugo แม้อาจมีข้อเสียเรื่องของตัวละครที่บางเรื่องราวหนังไม่ได้เน้นทั้งที่ปูเรื่องมาไว้แล้ว หรือ เพาะสร้างมาจากเหตุการณ์จริงจึงทำให้รู้เรื่องราวว่าหนังจะเป็นอย่างไร แต่ข้อเสียเหล่านี้ก็เล็กน้อยมากถ้าเทียบกับความยอดเยี่ยมเกือบทุกส่วนของภาพยนต์

    จุดที่ชอบ
    + การนำหนังสารคดี หนังวางแผนแบบสายลับ และหนังระทึกขวัญ มาผสมกันอย่างลงตัวและยอดเยี่ยม
    +ช่วงสุดท้ายของหนัง ลุ้นกันจนปัสสวะเหนียว
    +การพูดถึงคุณค่าของศิลปะที่ชื่อว่าภาพยนต์
    +การถ่ายภาพ แสง แฟชั่น ให้จงใจย้อนยุคเป็นหนังเก่าเข้ากับสไตล์หนังอย่างดี

    จุดที่ไม่ชอบ
    - หนังลืมความสำคัญของปูมหลังตัวละครหลายตัวไปอย่างน่าเสียดาย
    -สร้างมาจากเรื่องจริงทำให้รู้ว่าหนังจะไปทิศทางไหนต่อ

    เกรด A+

    ปล.หนังจบอย่าลุกจากที่นั่งนะครับ เพราะระหว่างเครดิตหนังจะนำภาพจริงและคลิปเสียงบางส่วนตอนประธานาธิบดีคลินตันออกมาเปิดเผยแผนการนี้ ซึ่งส่วนนี้ทำให้รู้ว่าBen Affleck ทำการบ้านมาดีขนาดไหน


    แล้วเจอกันใหม่ครับ ลาล่ะ555
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้

Share This Page