บทเรียนที่ 2 : ว่าด้วยเรื่องของความจริง ความคิดเห็น และข่าวลือ เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีขาวนวลกำลังนั่งขบคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับภาพซึ่งปรากฏอยู่บนดวงตาสีแดงอมชมพูที่กวาดไปมารอบ ๆ มือข้างหนึ่งค้ำยันปลายคาง ศอกตั้งฉากเหนือพื้นโต๊ะม้าหินใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ หูสดับฟังเสียงพูดคุยโดยรอบ หากแต่ใบหน้ากลับนิ่งเฉยคล้ายไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่นัก พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่นาน.... พอผ่านประตูหน้าสูงเท่ายักษ์เปิดอ้าต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนกวินฟอร์แสนมีชื่อ ก็ต้องมาเจอกับทางเดินกว้างยาวราวกับอยู่ในพระราชวัง สองข้างเป็นสวนสีเขียวสวยถูกจัดตกแต่งเป็นระเบียบตระการตา ร่วมสองร้อยเมตรต่อมาจะพบอาคารสูงสามชั้นยาวตั้งแต่กำแพงอีกฝั่งจรดกำแพงอีกฝั่ง ให้อารมณ์เหมือนปราการปิดกั้นเขตแดนสำคัญยังไงยังงั้น ใช่แล้วล่ะ...เป็นปราการที่เขาเคยเห็นมาเมื่อตอนมายื่นใบสมัครครั้งแรก ว่ากันตามจริงแล้วเมื่อได้ยินชื่อคงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าการเข้าที่นี่นั้นง่ายแสนง่าย ง่ายชนิดที่เรียกได้ว่าสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลาย ๆ คนมาแล้ว สามขั้นตอนไม่ต้องท่องจำก็ทำได้… หนึ่ง ผู้ต้องการสมัครเข้าโรงเรียนกวินฟอร์ทุกคนจะต้องนำใบสมัครมายื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมหลักฐานเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งทางโรงเรียนได้ชี้แจงไปในแบบฟอร์มการรับสมัคร สอง หลังจากวันรับสมัครวันสุดท้ายถัดมาอีกสามวัน ผู้ลงชื่อสมัครทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบด้วยการ ‘จับฉลาก’ ง่าย ๆ ว่องไว เห็นผลทันทีไม่ต้องรอ ดวงใครดวงมัน สาม เมื่อได้ผู้เข้าเรียนแล้ว เหล่านักเรียนใหม่จะต้อง ‘จับฉลาก’ อีกครั้งเพื่อเลือกห้องเรียนตามแต่ดวงของตนเอง เพราะไอ้ ‘จับฉลาก’ นี่แหละ ที่ทำให้ใครต่อใครไม่พอใจมานักต่อนัก.... มีหลายคนตั้งข้อสงสัยที่ไม่ได้ต่างจากอดีตเสียเท่าไหร่ คือ ‘ทำไมต้องจับฉลาก?’ หรือไม่ ‘ทำไมไม่ใช้ความสามารถล่ะ?’ หรือไม่ก็ ‘ทำไมถึงไม่ใช่มาตรฐานการคัดเลือกนักเรียนเหมือนกับโรงเรียนอื่น ๆ?’ และคำตอบที่ได้รับก็ง่าย ๆ เช่นการสมัครเข้าเรียน.... ‘เพราะเป็นโรงเรียนน่ะสิ’ เขาคิดว่าเขาเข้าใจในคำพูดนั้น ซึ่งมันเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่คิดจริง ๆ เมื่อมีชายคนหนึ่งมาอธิบายตอบคำถามนั้นให้กระจ่างว่า ‘ในเมื่อความหมายของโรงเรียนคือสถานที่ให้ความรู้ สถานที่สั่งสอนอบรม ปลูกฝังเหล่าผู้เรียนให้เติบโตออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรับผู้ที่ชำนาญหรือเก่งอยู่แล้วมาเข้าเรียน และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้คนที่ไม่เป็นอะไรเลยมาเข้าเรียน’ “มันก็จริงนี่นะ...” เด็กหนุ่มพึมพำ รู้สึกอยากเจอคนกล่าวประโยคนี้ขึ้นมาเสียจริง ความคิดที่กำลังไหลไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลากลับชะงักนิ่งเมื่อได้ยินประโยคบางอย่างน่าสนใจ เสียงเจื้อแจ้วของเด็กสาวสามคนซึ่งกำลังรอคอยการคัดเลือกเช่นเดียวกับเขาดังต่อเนื่องไม่หยุด “ได้ยินข่าวรึเปล่า?” “ข่าวอะไร??” “ก็เมื่อวานน่ะ เห็นว่ามีรุ่นพี่ในโรงเรียนพาเด็กสาวคนหนึ่งมาเข้าสมัครทั้งที่หมดเวลารับสมัครมาแล้วล่ะ” “จริงเหรอ?! ไหนว่าโรงเรียนนี้สะอาด ยุติธรรมยังไงล่ะ???” แม้จะไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อนแต่ถ้อยคำของพวกเธอเหล่านั้นก็ทำเอาเด็กหนุ่มไม่อาจอยู่เฉย ความจริงไอ้เรื่องเส้นสายอะไรนั่นเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา หรือจะเรียกให้ถูกคือไม่ใส่ใจมากกว่า แต่ที่ทนไม่ได้คือการกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานนั่น “ขอโทษนะ พวกเธอไปได้ยินมาจากไหนหรอ?” เขาหันหน้าเข้าหา เด็กสาวเหล่านั้นหันมองต้นเสียงเป็นตาเดียว ก่อนพวกเธอจะนิ่งไปพักจนเด็กหนุ่มต้องเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “พวกเธอไปได้ยินเรื่องที่พูดเมื่อครู่จากไหนหรือครับ?” เมื่อได้ยินถ้อยคำเน้นย้ำคนฟังก็ส่งเสียงกระแอมไอแก้ขัดเขิน “เรื่องนี้ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้นแหละ” “แค่ข่าวลือ?” คนเปิดประเด็นเอ่ยต่อ “แหม! แต่ถ้าไม่มีมูลเหตุเรื่องมันจะเกิดขึ้นได้รึไงกันล่ะ! จริงไหมพวกเรา??” เสียงแหลมสูงเปล่งด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าเล็กสมวัยหันมองเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันเหมือนต้องการหาพวกร่วมความคิด เด็กหนุ่มผมสีขาวยกมือขึ้นกอดอก “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีผมก็ไม่เห็นว่ามันแปลกตรงไหน ที่สำคัญเด็กคนนั้นก็แค่มาลงรับสมัครหลังช่วงเวลาที่กำหนด ไม่ได้หมายความว่าเด็กคนนั้นเข้าโรงเรียนได้แล้วเสียหน่อย” เขาพูดออกไปตามที่ตนคิด มันก็จริงไม่ใช่หรือไง? ไอ้การที่ใครสักคนหรืออาจมากกว่านั้นจะเกิดเหตุสุดวิสัยทำให้มาลงสมัครล่าช้า แล้วจากนั้นก็เผอิญว่ามีรุ่นพี่ใจดีพามาสมัคร มันก็คือเป็นการสมัครในช่วงเวลาที่ยังพอะลุ่มอล่วยได้ ไม่ใช่ว่าเปิดรับสมัครแล้ว คัดเลือกแล้ว เลือกห้องแล้ว แต่จู่ ๆ เธอคนนั้นก็มาปรากฏกายด้วยเหตุเพราะมีใครคนหนึ่งมาฝากฝังไว้ แบบนั้นสิถึงจะเรียกว่าไม่บริสุทธิ์และไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น.... เด็กสาวที่ได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งอีกครั้ง “นะ....นั่นสินะ....” ไม่ใช่แค่พวกเธอหรอก คนที่ฟังอยู่โดยรอบต่างก็คิดเห็นไปในทิศทางไม่ต่างกัน ตราบใดที่ผลประโยชน์ยังคงไม่สูญเสียไป มนุษย์ก็ไม่มีทางเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดือดร้อนจนไม่น่าให้อภัยหรอก.... แกร็ง....แกร็ง.... เสียงระฆังจากหอคอยสูงตระหง่านบอกเวลาที่รอคอย เป็นช่วงเดียวกับบานประตูไม้สวยกว้างสูงพอกับประตูห้องโถงในพระราชวังซึ่งอยู่ตรงกลางอาคารปราการที่ปิดกั้นเริ่มเปิดออกต้อนรับ เชื้อเชิญให้เหล่าผู้เข้าสมัครทั้งหลายย่างเท้าสู่อาณาเขตแท้จริงภายใน ผู้คนมากมายใหญ่น้อยร่างกายและอายุต่างทยอยผ่านช่องทางนั้น ขนาดที่ใหญ่โตของมันดูคับแคบลงถนัดตาเมื่อเทียบกับจำนวนคนเป็นร้อยเป็นพัน ดวงตาสีแดงยังคงมองนิ่ง ไม่ขยับไปจากโต๊ะม้าหินที่นั่งอยู่ “คนเยอะแหะ....” เขาพึมพำเบา เมื่อเห็นว่าจำนวนหนาตาเริ่มเบาบางจึงลุกขึ้นยืนบ้าง “ก็ไม่แปลกล่ะนะ....” เขายักไหล่เล็กน้อย แอบคิดว่าถ้าน้อยกว่านี้สิน่าแปลก.... อย่างที่รู้กันดีว่าโรงเรียนวินฟอร์ กาเดี้ยน เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเธียอาร์ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ แม้กระทั่งผลการแข่งขันซึ่งไม่เคยยิ่งหย่อนไปกว่าโรงเรียนไหน และเหตุผลสำคัญที่อาจจะเป็นของใครหลาย ๆ คน นั่นก็คือ ไวท์ไนท์หรืออัศวินศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราชนั้น เกินกว่าครึ่งล้วนจบจากโรงเรียนนี้ มันไม่ใช่เหตุผลสำคัญสำหรับเขานักหรอก เขาก็แค่อยากได้ที่เรียนดี ๆ ทำให้ตนมีความน่าเชื่อถือ แล้วจะได้มีงานดี ๆ เงินงาม ๆ เรียงแถวต่อคิวเข้ามา “ใช่แล้วล่ะ....” เด็กหนุ่มยิ้มกับตน ฝีเท้าที่กำลังก้าวย่างกลับชะงักนิ่งเมื่อได้กลิ่นหอมบางอย่างลอยออกมาผ่านช่องทางเบื้องหน้า ดวงตาคู่เดิมเหลือบมองภายใน แม้ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่กลับรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ มนต์ขลัง และความตื่นเต้นท้าทายที่ทำเอาขนถึงกับลุกเกรียวทั้งตัว จู่ ๆ มือของใครบางคนก็แตะลงบนบ่าแข็งนิ่ง ทำเอาผู้ถูกสัมผัสสะดุ้งสุดตัว “เหวอ!” “ไม่เข้าไปหรือไง?” เสียงนั้นเอ่ยด้วยความเป็นกันเอง เด็กหนุ่มเงยมองผู้สูงกว่าตนเล็กน้อย ดวงตาสีดำกับเส้นผมสีดำสั้นนั่นทำเอาเขารู้สึกถึงความพิเศษบางอย่าง “ครับ กำลังจะเข้าไป” เขาค้อมศีรษะลงให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูงวัยกว่า “ขอให้โชคดีนะ” ชายคนเดิมยิ้ม “แล้วก็เมื่อครู่น่ะ พูดได้ดีมากเลย” คนได้ยินเลิกคิ้วสูง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “อะ....” ยังไม่ทันเอ่ยเสียงระฆังก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสมือนต้องการย้ำเตือนถึงเวลาสำคัญที่ใกล้จะมาถึงเต็มทน ดวงตาสีแดงทัวร์มาลีนหันมองยังภายใน แล้วหันกลับมาหวังจะเอ่ยขอบคุณคำชมที่ได้รับ “อ้าวไปไหนแล้ว?” เขาเหลียวซ้ายแลขวา “ช่างมันแล้วกัน!” หันหลังวิ่งเข้าสู่บานประตูที่กำลังจะปิดลง กลิ่นหอมที่ได้รับจากภายนอกเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ สายตาซึ่งไล่ไปตามพื้นเบื้องล่างสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ใบไม้....ไม่ใช่สิ กลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนกำลังปลิดปลิวร่วงหล่นลงมาจากที่ใดสักแห่ง ก่อนต้นตอนั้นจะปรากฏอยู่เบื้องหน้าในวินาทีที่เขาย่ำเท้าข้ามผ่านธรณีประตูมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างนิ่งด้วยความตื่นตะลึง ต้นไม้ใหญ่ขนาดร่วมสามสิบคนโอบตระหง่านอยู่ใจกลางลานกว้าง ดอกสีชมพูคล้ายเล็กประดับด้วยกลีบห้ากลีบกำลังบานสะพรั่งอยู่เต็ม บดบังใบสีเขียวซึ่งงอกอยู่ตามกิ่งก้านจนมิด มันใหญ่โตมาก ใหญ่โตจนเขาสงสัย “ทำไมอยู่ด้านนอกถึงมองไม่เห็น.....” ความฉงนนั้นถูกเอ่ยมาทันทีดั่งใจ ไม่ได้มีเพียงเขาหรอกที่เกิดอาการหรือข้อคำถามแบบนั้น เด็กหนุ่มมองโดยรอบ คนอื่น ๆ เองก็เช่นเดียวกัน “เฮ้! นายน่ะ!!” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้าในห้วงความคิด หากเขาไม่ได้ให้ความสนใจมันเลยสักนิด กลับยังคงก้าวเดินต่อไปเบื้องหน้าเช่นเดิม “เฮ้ย!!!” ฉับพลันมือหนึ่งก็คว้าไหล่เขาไว้แน่น ดวงตาสีแดงหันมอง แล้วพบว่าเจ้าของเสียงห้าวนั้นมีเส้นผมสีขาวสั้นกับดวงตาที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคาดตาสีดำ แถมยังตัวไล่เลี่ยกับตนผิดจากที่คิดจริง ๆ “ตัวเล็ก” “อยากตายรึไงวะ?!!” อีกฝ่ายกระชากคอเสื้อของเขาอย่างแรง เห็นตัวเล็กแบบนั้นใช่ว่าแรงจะน้อยตาม “เรียกทำไมไม่หัน?! หยิ่งรึไง?!” คนถูกว่าทำหน้างง “เรียกฉัน?” “เรียกหมามั้ง!!” “แต่หมามันพูดไม่ได้นะ นายจะพูดกับมันรู้เรื่องเหรอ?” พอได้ยินแบบนั้นคนทักก่อนถึงกับทำท่าจะกระโดดกัดคอเสียให้ได้ เขาทั้งคู่เหมือนจ้องมองกันอยู่พัก แล้วจู่ ๆ คนเลือดร้อนก็สงบลงเฉย ๆ ไม่ต่อว่าหรือกระทำการใดอีก “นายชื่อไร ฉันกุฟาน คูกลัส” “รีเวลล์ เดอร์คัส” ตอบพร้อมกับใบหน้าที่ฉายแววฉงนเต็มที่ เมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการหนุ่มนามกุฟานจึงถอยตัวออก พร้อมผลักไหล่ของรีเวลล์ให้ห่างคล้ายเป็นการทักทาย “ก็แค่นี้...พอดีถูกใจคำพูดที่นายตอบสาว ๆ พวกนั้นไปว่ะ” ว่าแล้วก็หันหลังกลับเดินจากไป ยังไม่ลืมยกมือโบกไปมาเป็นการอำลาด้วย “อะไรของเขา....” เด็กหนุ่มยกมือเกาแก้มเบา ๆ ดวงตากรอกตามไปมาด้วยความงุนงง ชักคิดเสียแล้วว่าโรงเรียนนี้จะมีแต่คนประหลาดรึเปล่า? ผ่านเจ้าต้นไม้สีชมพูที่ตั้งเด่นอยู่ใจกลางสายตาเข้ามาจะพบกับหอประชุมขนาดใหญ่ หลังจากต้องใช้เวลาต่อแถวร่วมครึ่งชั่วโมงเพื่อต่อแถวเรียงตามลำดับหมายเลขผู้สมัครสอบ รีเวลล์ก็มีโอกาสได้เหยียบย่ำเข้ามาภายใน มันเป็นห้องทรงสีเหลี่ยมผืนผ้า คะเนแล้วน่าจะสามารถจุคนได้ร่วมพันคน บนพื้นปูด้วยพรมสีแดงหนาทำให้เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำแผ่วเบาจนแทบเงียบกริบ บริเวณที่นั่งเป็นแถวยาวตอนไล่ลงไปเหมือนขั้นบันได ตรงกลางเบื้องหน้าหลังผ้าม่านผืนยาวคงเป็นเวทีตามแบบของหอประชุมโดยทั่วไป แต่ที่ทำให้รีเวลล์คิดว่ามันแตกต่างจากหอประชุมอื่นคงเป็นกระจกใสซึ่งเปรียบเสมือนหลังคาอยู่ด้านบนของช่วงเวที แสงสว่างจ้าจากภายนอกส่องผ่านลงตกกระทบผืนผ้าม่านปิดกั้นจนเป็นสีสันชัดเจนขึ้น และมันจะไม่งดงามเลยหากบนผืนกระจกนั้นไม่ได้มีลวดลายอะไรบางอย่างอยู่ เด็กหนุ่มเดาจากระยะที่มองเห็นว่ามันคือสัตว์ภูติโบราณในตำนาน เคยได้ยินเรื่องเล่าเหมือนกันว่าในสวนปริศนาต้องห้ามของกวินฟอร์กาเดี้ยนนั้นมีภูติโบราณหลายตัวสถิตย์อยู่ หากไม่มีใครยืนยันได้ถึงความจริงชัดจากเรื่องเล่าเหล่านั้น “อยากเห็นสักครั้งเหมือนกันนะไอ้สวนนั่น....” “สวนอะไรเหรอ??” เสียงหวานเล็กหนึ่งแทรกขึ้นทันควัน คนที่นั่งอยู่ค่อย ๆ หันมองคนข้างกาย เด็กสาวตัวเล็กดูแก่นแก้วยิ้มกว้าง ดวงตาสีฟ้าของเธอส่องประกายระยับ “ว่าไง ๆ สวนอะไรเหรอ??” “ผมว่าเราไม่เคยรู้จักกันนะ” รีเวลล์ตอบกลับ “ฉันฟารันต์ นาการัช!” เธอยกแขนขึ้นกอดอก “เอาล่ะ!! ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วสินะ??” “รีเวลล์....” “ฉันรู้จักนาย!” ฟารันต์สวน “ฉันได้ยินชื่อนายตอนนายพูดกับเจ้าหัวขาวที่ดูนักเลง ๆ นั่นล่ะ” ดวงตาสีแดงอ่อนหรี่มอง “แอบฟังคนอื่นคุยมันไม่ดีนะครับ” “ก็แค่เผอิญได้ยินน่า” เด็กสาวยกมือขึ้นโบกไปมา “ฉันต้องขอบใจนายต่างหากที่ช่วยแก้ต่างแทน มันเจ๋งมากเลยนะรู้ไหม!” “แก้ต่างแทน??” เธอพยักหน้า “ใช่แล้ว!! จริง ๆ โรงเรียนหรือพวกรุ่นพี่น่ะไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยหรอกนะ เขาแค่สงสารฉันก็เท่านั้น แล้วมันซวยสุด ๆ เลยรู้ไหม ไอ้โอโทปอะไรนั่นมันดันมางาบเรือที่ฉันกำลังจะนั่งมาเกาะ! ทำเรือพังจนไปต่อไม่ได้ ซวยสุดหยั่งถึง!!” รีเวลล์ได้แต่นั่งฟังเด็กสาวข้างกายพร่ำบ่นไม่หยุดปาก ดวงตาของเด็กหนุ่มพยายามเบนมองไปโดยรอบกาย เหมือนคนอื่นเองจะสนใจในคำพูดของเธออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ก็แน่ล่ะนะ....ตัวต้นเหตุข่าวความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นดันมานั่งฉอด ๆ ไม่เกรงใจผู้คนอยู่ตรงนี้นี่ไง “แต่รุ่นพี่เท่มากเลยล่ะ ! ว่าแต่โรงเรียนนี้เขาไม่สวมเครื่องแบบสีขาวกันเหรอ?? พวกไวท์กาเดี้ยนน่ะ???” คนถูกถามเบนหน้าหนี “ไม่ทราบครับ” “งั้นหรอ.....” เธอทำหน้าเสียดาย เสียงปรบมือดังขึ้นเสมือนเป็นการต้อนรับแขกคนสำคัญทันทีที่ผ้าม่านผืนสีเขียวนั้นเลื่อนเปิดออก ชายหญิงแต่งตัวแปลกตาหลายคนค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนเวทีจากทางด้านหลัง แล้วนั่งเรียงกันบนเก้าอี้พนักสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้ ตรงกลางมีเก้าอี้โซฟาผ้ากำมะหยี่ขนาดสี่คนนั่งตั้งอยู่ ในหอประชุมทั้งผู้สมัคร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่พนักงานที่คอยมาดูแลความเรียบร้อยต่างพร้อมใจกันเงียบลง เมื่อใครบางคนในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอ้านก้าวเดินขึ้นมาบนพื้นเวที ผ้าคลุมสีขาวคาดแถบทองยาวสะบัดตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย รูปร่างสูงสง่าสมส่วนปราดเปรียว เส้นผมสีดำสนิทกับดวงตาสีเงินที่สะกดให้ผู้พบเห็นต้องตกอยู่ในภวังค์ รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายคลี่บาง เท้ายาวก้าวเดินขึ้นบนแท่นพิธีที่จัดเตรียมไว้ด้วยท่วงท่าผ่าเผยองอาจ ก่อนค้อมคำนับลงด้วยเต็มใจให้กับผู้มีเกียรติทุกคนเบื้องหน้า “ขอต้อนรับผู้สมัครทุกท่านสู่กวินฟอร์ กาเดี้ยน” น้ำเสียงทุ้มหากแต่สุภาพฟังสบายดังก้องขึ้น “ผมวาทรัน ซอร์เดส ผู้รักษาการแทนตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เขาเว้นช่วง “ในทุกปีทางโรงเรียนของเราจะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ทางเราไม่สามารถตอบรับความต้องการนั้นได้ทั้งหมด ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทำให้จำเป็นต้องมีการคัดเลือกผู้มี ‘ดวงสมพงศ์’ กับโรงเรียนของเราขึ้นมา....” ชายหนุ่มเน้นย้ำช่วงสำคัญ “ผมในฐานะประธานพิธีจะขอเริ่มการคัดเลือกนักเรียนของโรงเรียนกวินฟอร์กาเดี้ยนประจำปีการศึกษา...ณ บัดนี้ ขอให้ทุกคนโชคดี” วาทรันค้อมคำนับอีกครั้งก่อนก้าวลงจากแท่นพิธี ชายหนุ่มในชุดสีขาวอีกคนเดินขึ้นมาหยุดรออยู่บริเวณทางขึ้นลงด้านหลังเวที ผ้าคลุมสีแดงยาวบ่งบอกถึงฐานะสำคัญบางอย่าง ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มค้อมคำนับให้เกียรติผู้ก้าวลง ก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นไปอยู่บนแท่นพิธีเมื่อครู่แทน “อ้า!!!!!!!” ฟารันต์เปล่งเสียงร้องทันทีที่เห็นใบหน้าของผู้อยู่ใจกลางเวที คนแทบทั้งหอประชุมหันมองเธอเป็นตาเดียว รีเวลล์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เองก็เช่นกัน จนผู้ดูแลความเรียบร้อยบริเวณนั้นต้องเดินมาปรามให้เธอนั่งลงกับที่ “นั่นไง ๆ รุ่นพี่ที่ช่วยฉันไว้น่ะ!! สุดยอดไปเลยนะ เขามีภูติตัวใหญ่มากด้วยล่ะ!!” หญิงสาวเขย่าขาของเด็กหนุ่มไปมา ดวงตาสีแดงกรอกรอบ “ช่วยนิ่ง ๆ จะได้ไหมครับ?” ดูเหมือนคนถูกตะโกนร้องทักเมื่อครู่ไม่ได้สนอกสนใจอะไรเธอนัก ใบหน้าเรียบเฉยยังคงตั้งมั่น ริมฝีปากได้รูปขยับทำตามหน้าที่ของตน “ขอต้อนรับทุกท่านสู่การคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนกวินฟอร์กาเดี้ยน ผมอาร์นีล ซัลซาลัธ หัวหน้านักเรียนแผนกนักรบ ตัวแทนของเหล่ารุ่นพี่ในโรงเรียนแห่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกคน” “ไม่ว่าจะเป็นพี่ น้อง อายุมากหรือน้อยกว่า ขอให้พึงตั้งมั่นไว้เสมอ และโปรดจำไว้เถิดว่า โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้คัดเลือกพวกท่านด้วยฝีมือ ไม่ได้คัดเลือกพวกท่านด้วยความปราดเปรื่อง หากแต่เราคัดเลือกพวกท่านทุกคนด้วยความเหมาะสม ในฐานะผู้มีดวงชะตาสมพงศ์กับ ‘สีขาว’ ของพวกเรา” “นับจากนี้พวกท่านบางส่วนจะถูกคัดออกจากการจับสลากเลือกหมายเลขตามลำดับการเข้าสมัคร จากนั้นคนที่เหลือจะได้รับลูกบอลเวทมนตร์คนละหนึ่งลูก” เขาเริ่มอธิบายถึงวิธีการ “ลูกบอลนั้นจะมีจิตวิญญาณแห่งสายน้ำอยู่ พวกท่านต้องเอ่ยถ้อยคำจากจิตสำนึกลงไปเป็นชื่อของตน หากลูกบอลใดแตกออก....” “ถือว่าท่านไม่ผ่านการคัดเลือก และไม่ได้รับสิทธิให้เข้าเรียนยังกวินฟอร์กาเดี้ยนแห่งนี้” ราวกับคำพูดที่ทุกคนภายในหอประชุมได้ยินเป็นคำพูดชี้ชะตาชีวิต ประหนึ่งว่าหากพลาดหวังไปลมหายใจที่มีต้องจบสิ้นเป็นแน่แท้ ดวงตาสีแดงของรีเวลล์กวาดมองผู้ร่วมสมัครโดยรอบ แม้เขาอยากเข้าโรงเรียนกวินฟอร์สักแค่ไหน แต่กลับไม่เคยคิดว่าการพลาดโอกาสมันจะทำให้ตนถึงกับเป็นตาย “ไม่เห็นต้องเป็นกันถึงขนาดนี้” เขาพึมพำเบา “เป็นสิ! รู้ไหมว่ากวินฟอร์น่ะเจ๋งแค่ไหน??!!” ฟารันต์ชี้หน้าของผู้ที่อยู่ห่างกับตนไปเล็กน้อย “ทั้งการสอน ทั้งกิจกรรม ทั้งการงานที่รองรับ แล้วไหนโอกาสการเป็นไวท์ไนท์อีกล่ะ!!!” ฟัง ๆ แล้วดูเธอจะยึดติดกับไวท์ไนท์จริง ๆ ... “แต่โรงเรียนอื่นก็ใช่จะไม่ดีนี่” รีเวลล์ว่า ถึงกวินฟอร์จะเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งที่เลือกก็เถอะ แต่ใช่ว่ามันจะแย่มากถ้าหากพลาดไปเสียหน่อย “ถ้าไม่ดีแล้วนายมาเข้าที่นี่ทำไมยะ?!” เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคำถามที่ใครหลายคนรอบข้างเขาก็อยากได้คำตอบเหมือนกัน “ครับ” เขาตอบรับไม่ปฏิเสธ ก็จริงล่ะนะ....อย่างน้อยมันก็ดีพอให้เขายอมขวนขวายได้ถึงขนาดนี้ กว่าครึ่ง....ไม่! เกินสองในสามส่วน รีเวลล์มองผู้คนค่อย ๆ ลุกเดินไปอย่างผิดหวังในวินาทีที่หมายเลขของตนถูกประกาศดัง จากคนเป็นพัน ๆ เหลือเพียงไม่ถึงสามร้อย ที่นั่งโดยรอบว่างเปล่าราวจงใจ มีเพียงผู้สมัครที่เหลือซึ่งยังคงกระจัดจาย บ้างกลุ่มก้อน บ้างสามคน บ้างเหลือแค่คนเดียว... และเหมือนเรื่องตลก ‘เธอ’ ผู้เป็นที่กล่าวขวัญกลับยังคงนั่งข้าง ๆ เขาไม่ขยับไปไหน “อ้า!! ฉันต้องได้เข้าแน่นอน!!!” ฟารันต์ว่าด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุด ๆ “ทำไมเธอถึงมั่นใจขนาดนั้น?” เด็กหนุ่มอดถามไม่ได้ “ก็เพราะฉันจะเป็นไวท์ไนท์ให้ได้น่ะสิ!!” ดวงตาสีแดงกรอกไปมาด้วยความหน่าย ไม่เข้าใจว่าคำตอบของเธอมันเกี่ยวเนื่องกับคำถามของเขาตรงไหนกัน แล้วไอ้การอยากเป็นไวท์ไนท์เนี่ยมันจะทำให้เธอเข้าโรงเรียนนี้ได้อย่างงั้นรึ? ถ้าแบบนั้นคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่คงรอดมาได้เพราะการอยากเป็นไวท์ไนท์น่ะสิ....แล้วเขาล่ะ?? “ตัวแค่นี้อยากจะเป็นไวท์ไนท์ เธอคิดว่าไวท์ไนท์คือคนขายลูกชิ้นรึไงกันหา?!” เสียงที่รีเวลล์เพิ่งได้ยินมาไม่นานดังขึ้นด้านหลัง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กุฟานมานั่งอยู่ “อ่า.....นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” “ก็พักและ จริง ๆ ไม่อยากมาหรอกนะ รำคาญแม่นี่โวยวาย” เขายื่นหน้ามาใกล้ ศอกทั้งสองวางเท้าอยู่บนพนักพิงของเก้าอี้รีเวลล์ในลำดับขั้นก่อนหน้า “ถามหน่อยเถอะ เธอไม่อายเรอะ??” เด็กสาวยกมือขึ้นท้าวสะเอวด้วยความโมโห “ทำไมฉันต้องอาย?! นายน่ะแหละที่ต้องอาย!!” “ทำไม?” “ก็เพราะนายมัน.....!!!” “หยุดทั้งคู่นั่นแหละครับ” เสียงใครบางคนเอ่ยดังพอให้พวกเขาได้ยิน ทั้งสามต่างจ้องมองยังผู้ห้ามทัพเป็นตาเดียว ร่างสูงชะลูดยืนบดบังแสงสว่างเบื้องหน้า ดวงตาสีเงินหม่นภายใต้กรอบแว่นหรี่ลงเล็กน้อยตามรอยหยักของใบหน้าที่กำลังแย้มยิ้ม “หากไม่หยุดจะเชิญพวกคุณออกจากหอประชุมนะครับ” คนพูดก้าวห่างออกไปเล็กน้อย “และนั่นถือเป็นการ ‘สละสิทธิ์’” คนฟังกลืนน้ำลายฝืดคอ ต่างพร้อมใจกันเงียบในทันที มีเพียงเสียงบ่นอุบอิบเบา ๆ ดังมาจากคนข้างตัวของรีเวลล์อยู่บ้าง แต่นั่นก็ดีมากแล้ว....อย่างน้อยเขาก็รู้สึกปวดประสาทน้อยลงเยอะเชียว หลังจากพื้นที่โล่งว่างถูกจัดการเรียบร้อย เหล่าผู้สมัครที่เหลือต่างก็ต้องมานั่งอยู่บริเวณแถวหน้าสุดห่างจากตัวเวทีประมาณเกือบสิบเมตร ลูกบอลเวทมนตร์ถูกแจกให้คนละลูก มันมีขนาดเท่าอุ้งมือหนึ่งกำ เป็นลักษณะใส น้ำหนักเบา มือที่ถืออยู่ลองเขย่ามันเบา ๆ แต่กลับไม่รู้สึกถึงปฏิกริยาอะไรจากภายใน ไม่รู้ว่ามันถูกอัดด้วยน้ำจนแน่นหรือว่าเพราะมีเพียงอากาศเปล่า ๆ กันแน่ “แต่มันเบาจนเหมือนไม่มีน้ำอยู่เลยนี่นะ” “เอาล่ะครับ....” ชายสวมแว่นคนเดิมก้าวออกมายืนเบื้องหน้าผู้สมัคร ผมสีม่วงเข้มซอยสั้นดูเป็นระเบียบกว่าเมื่อครู่ที่เห็น “ต่อจากนี้ผมจะสอนวิธีการใช้ลูกบอลเวทย์ในมือของพวกคุณ” ชายคนนั้นหงายฝ่ามือขึ้น ชั่วเสี้ยวนาทีต่อจากนั้นเจ้าลูกบอลที่เหมือน ๆ กับในมือของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นมา “นี่คือเวทย์น้ำแขนงหนึ่ง ถูกเรียกติดปากว่าลูกบอลอธิษฐาน” เขาหัวเราะเบาด้วยท่าทีเป็นมิตร “จริง ๆ แล้วมันคือของเล่นชนิดหนึ่งเสียมากกว่า เพราะมันถูกสร้างขึ้นจากพลังเวทย์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในร่างกายของเรา” “ให้ทุกท่านประคองลูกบอลน้ำนั้นไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง” เขาว่าพลางหงายมือทั้งสองขึ้นประคองสิ่งนั้นไว้ “จากนั้นก้มหน้าลงจรดหน้าผากลงไปบนผิวของมัน แล้วหลับตาอธิษฐาน จากนั้นเปล่งเสียงเรียกชื่อของตนกับลูกบอลเวทย์นั้นหนึ่งครั้ง” เมื่ออธิบายจบเขาก็บีบมันทิ้ง ลูกบอลน้ำที่น่าจะแตกออกกลับมลายหายไปราวเกิดการระเหยในอากาศ “ลองทำดูนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี” เขายิ้ม สายตาของผู้สมัครทุกคนจับจ้องยังลูกบอลน้ำในมือ รีเวลล์รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ตนได้ยินเสียงหัวใจของตนเองและคนอื่นชัดเจน ความเงียบงันครอบคลุมทั่ว จนเมื่อเสียงสัญญาณบางอย่างดังร้องบอกให้พวกเขาเริ่มลงมือกระทำตามสิ่งที่ได้ถูกสอนไว้เมื่อครู่ “ฟารันต์ นาการัช !! ฝากตัวด้วยค่ะ!!!” เสียงของเธอดังชัดขึ้นมาจนทำเอาสมาธิของรีเวลล์กระเจิดกระเจิง เขาหันมองเธอ ละจากลูกบอลในมือของตน “กรี้ด!!!!!” ฟารันต์กรีดร้องอย่างยินดีเมื่อลูกบอลในมือของเธอยังคงนิ่งสนิท ก่อนผู้ดูแลจะมาแสดงความยินดีกับเธอและนำพาเธอไปยังส่วนอื่น ดวงตาสดใสสบประสานกับเด็กหนุ่มพอดิบพอดี เธอส่งยิ้มกว้างพร้อมชูสองนิ้วให้ รีเวลล์ส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ ชักไม่อยากเข้าที่นี่เสียแล้วสิ.... “รีเวลล์ เดอร์คัส...” ดวงตาสีแดงจ้องมองลูกบอลเวทย์ทันทีที่กล่าวจบ ในใจแอบนึกภาวนาให้มันเกิดปฏิกริยาอะไรบางอย่างขึ้น หากแต่ความหวังนั้นต้องมอดดับลงเมื่อชายผู้สาธิตวิธีการใช้เดินมาคว้ามันไปจากมือของเขา “ยินดีด้วย คุณสอบผ่าน” เขายิ้มบาง ดวงตาสีแดงเงยมองอย่างงุนงงเล็กน้อย “อะ....ครับ...” เข้าใจว่ามันง่าย...และก็รู้ดีมากด้วย แต่ทำไมถึงรู้สึกผิดหวังแปลก ๆ นะ... พอออกมาถึงด้านนอกก็พบเห็นผู้สมัครส่วนหนึ่งมารออยู่แล้ว หลายคนกำลังรุมล้อมพูดคุยกับชายผู้เป็นประธานสายนักรบอยู่ ดวงตาสีทองมองมายังเขาแล้วก้มศีรษะลงเหมือนรับรู้ได้ว่าตนกำลังถูกมองอยู่ รีเวลล์ผงกศีรษะกลับ แล้วละความสนใจเบนมองรอบ ๆ แทน “ตกลงรับกี่คนกันแน่...” “ประมาณ 120 คนล่ะมั้ง มันมีแค่ 4 ห้องนี่...” เสียงเดิมดังขึ้น กุฟานเดินออกมาด้วยท่าทีที่ไม่ดีใจอะไรนัก เหมือนเจ้าตัววางท่าแสร้งไม่สนใจมากกว่า เด็กหนุ่มผมสีขาวเผลอยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกว่าตนได้คำตอบของความผิดหวังที่เกิดขึ้นมาตงิด ๆ เสียแล้วล่ะ..... =================================== Talk : คิดว่ามีที่ผิดชัวร์!! 555 อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะครับ ผมไม่ได้ให้ใครพรูฟน่ะ เหอ ๆ ถ้ายังไงมีที่ผิดก็ต้องขออภัยอย่างยิ่ง แต่งฟารันสนุกมาก!! กร๊ากกก นิสัยเธอเป็นอะไรที่เล่นง่ายมากครับ ลัลล้าง่ายมาก คาร์ของกุฟานก็ด้วย ดูมันนักเลงได้ใจดีจริง ๆ คาร์สองตัวนี้เป็นอะไรที่เล่นได้เล่นดี อุอุ... แอบกลัวคาร์รีเวลล์เปลี่ยน เหอ ๆ ถ้าเปลี่ยนไปยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพื่อเดินไปตามเนื้อเรื่องจริง ๆ OTL ไม่อยากจะบอก(แต่บอกมาแล้ว)ว่าคาร์ที่ได้ออกก่อนส่วนใหญ่เป็นคาร์ที่มีมิติเพียงด้านเดียวครับ ผมชอบคาร์แบบนี้เพราะมันเล่นง่าย และสามารถลื่นไหลไปตามสถานการณ์ได้มากกว่าคาร์ที่มีมิติซับซ้อน ที่สำคัญคาร์ที่มีมิติซับซ้อนมักหาสถานการณ์ที่เข้ากับคาร์ได้ยากกว่า แต่ไม่ต้องห่วงนะครับได้ออกทุกคนแน่นอน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้ครับ และขอบคุณเจ้าของคาร์ที่ออกในตอนนี้ด้วยจ้า :medance.:
เจ้าฟานฟานมันเกรียนได้ใจจริงๆไม่ติงนังส่วนคาร์พี่อีวานออกจะใสซื่อมากเลยทีเดียว เหมือนได้เห็นนิสัยพี่อีวานในร่างหญิง กร๊ากกกกก /me โดนทุบ การแต่งยังลื่นไหลเหมือนเดิมครับอ่านเพลินๆจนตี 5 ซะงั้น บรรยากาศเริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว แต่การรับเข้าจะเหมือนกับที่ผมคิดไหมนั้น รออ่านต่อไปครับ ฮ่าๆๆๆ endin2: endin2: endin2:
บ่เป็นหยังเน่อ แบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ได้ผิดจากที่คิดมาก : D จะว่าไปก็ปรับไปตามสถานการณ์นั่นแหละ การรับสมัครก็เหมือนการบริจาคไอเดีย เอาไปต่อยอดให้เข้ากับฟิคเถอะเน่อ ปวดหัวแทนรีเวลล์.... แต่ช่วยไม่ได้ มันเป็นกฎที่ว่าจะต้องมีคนปกติที่สุดไว้เป็นคนตบมุข ( ก๊าก ) แอบอยากถามฟารันต์ ไม่เหนื่อยบ้างเรอะ... โวยวายไม่หยุดเนี่ย ถึงจะดูเป็นการจับฉลากที่แฝงไปด้วยการทดสอบอะไรบางอย่างจริงๆ.........แต่โรงเรียนนี้มันก็จะเน้นเรื่องดวงเกินไปมั้ย ก๊าก ถ้าเกิดตอนที่ถามว่ามาเข้าที่นี่ทำไม แล้วรีเวลล์ตอบว่ามันใกล้บ้านที่สุด คงฮาแตกพิลึก... ( ถึงจะไม่ได้ใกล้จริงก็เถอะ ฮา ) มีตรงนี้ล่ะมั้งที่ว่าตัดบทแล้วอ่านสะดุดนิดๆ แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าไม่ตัดบทเดี๋ยวจะเถียงกันยาว... เป็นตัวละครแนวพูดไม่หยุดทั้งคู่ซะด้วย =x=" อะ ลืมบอกนิดนึง "กลอกตา" ใช้ ล เน้อ "กรอก" นี่มันออกแนว "กรอกปาก" หรือ "ไส้กรอก" ( ไม่ก็ "ลูกกรอก"... ) ไม่ได้เก็กซะหน่อย เบื่อคนข้างๆก็แสดงออกอย่างชัดเจนโดยทำหน้านิ่งๆใส่ไง กร๊ากกก ( /me วิ่งหนีอีวาน ) v
ชอบกุฟานมากๆ นิสัยแบบนี้แหละทำให้เรื่องราวมีรสชาติ ขอบอก! ชอบตอนที่โผล่มากระชากคอรีเวลล์ พอเจอคำพูดถูกใจก็เป็นมิตรทันที กร๊ากกกกกกก ฟารันต์ขี้โวยวายจิ๊บเป๋ง =[]=!! ดูเป็นคนมีพลังมุ่งมั่นได้ตลอดเวลา แต่ก็นั่นแหละนิสัยมัน 555 ขอบคุณนุ๊กกี้ที่ตีแผ่ฟารันต์ออกมาได้น่ารักมากๆ จนเจ้าของคาแรคเตอร์อย่างผมยังอดชอบไม่ได้ (แต่งเองยังอาจจะไม่ได้ดีเท่านุ๊กกี้เลย) ส่วนตัวรู้สึกเนือยๆไปกับอารมณ์รีเวลล์ทีเดียว ดูเป็นคนที่ตรงข้ามกับกุฟานและฟารันต์อย่างแรง แอบอยากถามรีเวลล์เหมือนกันว่า ไม่เหนื่อยบ้างเหรอนั่งเก๊กหน้าอยู่ได้ตลอด กร๊าก (*ถูกเจ้าของคาร์บดตับ) ตอนนี้มีหลายจุดที่นุ๊กกี้พิมพ์ประโยคแปลกๆ คาดว่าเกิดจากการที่กลับมาแก้ใหม่ ลองๆดูละกันนะครับ ภาพของ ร.ร.กวินฟอร์ต่างจากที่ผมคิดไว้พอสมควร แต่ชอบ concept ต้นไม้ใหญ่ กับลูกบอลน้ำ ตอนต่อไปจะเป็นตอนของใครเน้อ นั่งรออ่านต่อไป
อ่านแล้วก็รู้สึกแบบเด็กนักเรียนหลายๆ คนแฮะว่ากวินฟอร์มีกติการับเด็กแบบแปลกๆ ดี แต่ค่อนข้างแน่ใจว่า มีเบื้องหลังลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่เห็นภายนอกแน่นอน จะรออ่านต่อไป เพื่อดูว่าสมมติฐานที่ตัวเองคิดไว้ราวๆ สองสามอย่างถูกหรือเปล่า (นุ๊ก - สมมติฐานอะไรของเอ็งฟระ!) อ่านแล้วเนือยๆ ไปกับรีเวลล์ตามอีวานเลย กร๊ากก หนุ่มตบมุกเก่งแบบรีเวลล์ ก็เหมาะจะอยู่คู่กับสาวไฮเปอร์แบบฟารันต์ดีนะเนี่ย มันน่ารักดีอะ ทนรำคาญเพื่อคนอ่านหน่อยนะ เดี๋ยวก็ชิน จนสุดท้ายก็ขาดอีกฝ่ายไปไม่ได้เองแหละ รีเวลล์ 555+ นุ๊กเขียนอ่านง่ายดีครับผม ถึงผมจะยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับการบรรยายที่จดจ่อกับแต่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งของตัวละครเท่าไหร่ (อย่างดวงตา) ไงก็สู้ๆ เน้ จะรอตอนต่อไป
โรงเรียนค่อดอลังการ!!!! ชอบโรงเรียนนี้ตรงที่มันจับฉลากเนี่ยล่ะ ฮา เหมือนจะเห็นซีซีโผล่มา (ก๊าก) เอ่ เท่าที่อ่านดูผมยังไม่สะดุดกับคำผิดนะครับมี๊ ก็ลื่นดี ออกเรื่อยๆแต่ว่านะ...กุฟานกับรีเวลล์มันสีผมสีตาเหมือนกันเรอะ orz ส่วนฟารันต์นี่ช่าง...พูดมากจริงๆเธอว์!!!!
แหมๆ ซุ่ม เข็นตอนที่ 2 ออกมาไว อย่างเหลือเชื่อ ทีเดียว [action]โดนนุ๊กกี้ฟาด ลงไปนอนจมกองเลือด[/action] เปิดตัวได้ อลังการงานสร้างทีเดียว ส่วนตัวชอบคำอธิบายของการจับฉลากขิงๆ
วิธีคัดเลือกเข้าโรงเรียน... สุดติ่งมาก OTL ฟารันต์นี่หนวกหูดีจริงๆ....งืมๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมเรายังไม่โผล่(สมัครคาร์ซับซ้อนไปสินะ ซิกๆ) รอชมต่อไปกั๊บ TTwTT
ปลื้มกับห้องคัดเลือกจริงๆครับ ให้อามรมณ์ยิ่งใหญ่อลังการ แถมสวยมากซะด้วยครับ อยากอ่านตอนต่อไปใจจะขาดแล้วคร้าบ เอิ้กๆ รอต่อไป~
เพิ่งมาไล่อ่าน สองตอนรวด ชอบบุคลิกตัวเอกสาวอย่างฟารันต์มากๆ แก่นแก้วและตรงไปตรงมาดีมาก ผมเป็นคนชอบตัวเอกหญิงแบบนี้อยู่แล้วด้วย การบรรยายอ่านแล้วลื่นไหลดีครับ และด้วยบุคลิกของตัวละครอย่างฟารันต์ยิ่งทำให้อ่านแล้ว อดอมยิ้มไปกับความน่ารักของเธอไม่ได้ ชื่อโรงเรียนนี่ทำเอาผมอ่านผิดเป็น กะ-วิน การฺ์เดี้ยน ตลอดเลย = = แถมระบบการรับนักเรียนก็ครีเอทสุดๆ... ชอบตรงประโยคที่ว่า "ในเมื่อความหมายของโรงเรียนคือสถานที่ให้ความรู้ สถานที่สั่งสอนอบรม ปลูกฝังเหล่าผู้เรียนให้เติบโตออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรับผู้ที่ชำนาญหรือ เก่งอยู่แล้วมาเข้าเรียน และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้คนที่ไม่เป็นอะไรเลยมาเข้าเรียน" อ่านแล้วชวนให้นึกถึงโรงเรียนเด่นๆดังๆหลายโรงเรียน ที่มีระบบการคัดเลือกที่ยุ่งยากมาก โดยลืมไปว่าแท้จริงแล้วโรงเรียนคืออะไร จนเด็กต่างจังหวัดหลายคนขาดโอกาสในการเรียน เอาเป็นว่าจะรออ่านตอนต่อไปนะครับ แอบมาอ่านดูแนวก่อนสมัคร ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้คงสมัครเสร็จนะฮะ อุหุหุ :medance.:
บทเรียนที่ 3 : ว่าด้วยเรื่องของมิตรสหาย ดวงตาสองสีชวนพิศวงประดับชัดอยู่บนดวงหน้างดงามภายใต้เรือนผมสีดำของเด็กสาวผู้หนึ่ง กำลังจ้องมองภาพซึ่งปรากฏเบื้องหน้าด้วยความตื่นตะลึงไม่ต่างอะไรกับกลุ่ม ‘ผู้ดวงดี’ คนอื่น ๆ ที่สามารถผ่านการคัดเลือกแบบแปลกประหลาดเข้ามาได้ จะให้เธอบรรยายว่าอย่างไรดีล่ะ? อลังการ? มโหฬาร? หรือว่าอย่างไรดี?? ในตอนแรกนั้นเธอไม่คิดหรอกว่าต้องมาเจอะเจออะไรแบบนี้ ไม่สิ....ไม่ได้จินตนการถึงเสียมากกว่า เพราะหลังจากที่ดวงดีอย่างสุด ๆ สามารถจับฉลากผ่านและไม่โดนลูกบอลน้ำนั่นแตกกระจายใส่เอา เธอก็ถูกนำไปยังทางออกด้านหลังหอประชุม มาหยุดรอคอยอะไรสักอย่างอยู่หน้าบานประตูเหล็กทึบลวดลายวิจิตรอีกบาน “ยังไม่ทันไรก็เจอเข้า 3 บานและ โรงเรียนนี้มันมีประตูกี่บานกันแน่เนี่ย!” เสียงเจื้อแจ้วหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากเธอนัก ดวงตาสองสีเหลียวมอง รู้สึกว่าผู้พูดเองคงมีความคิดไม่ต่างจากเธอในตอนนี้เสียเท่าไหร่ “นั่นสินะ...” น้ำเสียงแผ่วเอ่ยกับตน เพียงแค่อีกฝ่ายหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้มภาพความทรงจำที่เพิ่งผ่านมาไม่นานก็แล่นวาบขึ้นทันที “เธอคือคนที่โวยวายในหอประชุมนี่...” “อ๋า!! ฉันไม่ได้โวยวายนะ!!” เจ้าตัวตอบกลับ คนเปิดประเด็นชวนโมโหหัวเราะเบา “ขอโทษที่เสียมารยาท ฉันกราเซียร์ส เอเลแกรนท์ เรียก เกล ก็ได้” รอยยิ้มเป็นมิตรแต้ม คำขอโทษจากใจจริงออกมาจากริมฝีปากบาง “ฟารันต์ นาการัช...ฉันไม่ได้โวยวายจริง ๆ นะ!” ฟารันต์ย้ำคำอีกครั้ง ดวงตาสดใสของเธอส่องประกายบ่งบอกอะไรบางอย่าง คล้ายกับการอ้อนวอนให้อีกฝ่ายเชื่อตามคำที่เธอพูดออกมา กราเซียร์สพยักหน้ารับ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวร่างเล็กตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีเลวร้ายอะไรซ่อนอยู่ ฉะนั้นเธอเองจึงไม่จำเป็นต้องสร้างกรอบหรือกำแพงใดมาขวางกั้นเช่นกัน ที่สำคัญ...เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างจงใจชักจูงให้เธอมาพบกับคน ๆ นี้ “ค่ะ” ฟารันต์มองการตอบรับนั่นแล้วนิ่งไปพัก ราวกับต้องการตรวจดูผู้พูดให้ชัดเจน ตั้งแต่หัวจรดเท้า กริยาท่าทาง ใบหน้ารูปร่าง น้ำเสียงและคำพูด.... “สวยจัง....” เด็กสาวเอ่ยออกมาตามตรง คนได้ยินเลิกคิ้วเล็กน้อย “คะ?” “คือ...เธอสวยจัง อ๊ะ!! ฉันชมจริง ๆ นะ ไม่ได้แกล้งชม” เส้นผมสีน้ำเงินเข้มสั่นไหวไปมารวดเร็ว เห็นกริยาแบบนั้นกราเซียร์สก็ส่งเสียงหัวเราะเบาอีกครั้ง “ขอบคุณค่ะ” “นี่...เราเป็นเพื่อนกันได้รึเปล่า??” ฟารันต์ถามออกมาเบา ๆ น้ำเสียงของเธอดูลังเลผิดจากเมื่อตอนที่เห็นในหอประชุมใหญ่แทบจะเป็นคนละคน “ได้สิคะ” ผู้ถูกชักชวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นไม่นานผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดก็มีโอกาสข้ามผ่านบานประตูตรงหน้าพร้อม ๆ กัน สิ่งที่ปรากฏแก่สายตานับร้อยคู่เป็นทางเดินแยกสี่ทาง กลางจัตุรัสคือหอระฆังสีขาวสูงเสียดฟ้า ขนาดแหงนคอจนสุดยังไม่อาจมองเห็นปลายเหนือของยอดได้ ช่วงเวลานั้นกราเซียร์สเหลือบเห็นกลุ่มคนหนึ่งเดินออกมายังเส้นทางด้านซ้าย พวกเขาค้อมคำนับให้กับอานิลผู้เป็นประธานสายนักรบและตัวแทนนักเรียนในวันนี้ ก่อนจะเดินตรงมายังเหล่า ‘น้องใหม่’ ที่ยืนนิ่งรออยู่ เส้นผมสีเงินกับนัยน์ตาสีเทาอ่อนที่แทบจะกลืนหายไปกับลูกตาขาวดูเป็นจุดเด่นอย่างแปลกประหลาด หากแต่ร่างกายกำยำนั้นกลับดูผิดเพี้ยนจากส่วนสูงซึ่งไม่ได้มีมากไปกว่าผู้ชายคนอื่น อาจน้อยกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ เพราะหากคะเนด้วยสายตาเปล่าแล้ว เธอและชายคนนั้นน่าจะมีความสูงไล่เลี่ยกัน “นั่นรุ่นพี่เหรอ??” คนตัวเล็กกว่าหรือเพื่อนใหม่ข้างกายร้องถามขึ้น “คงแบบนั้นแหละค่ะ” กราเซียร์สเดาเอาจากท่าทางที่รู้จักอานิลเป็นอย่างดี การปรากฏกายนี้ไม่ได้มีแต่เธอและฟารันต์ที่นึกตั้งข้อคำถาม ผู้สอบผ่านคนอื่นรอบตัวก็ด้วยเช่นกัน เสียงซุบซิบพูดคุยยังคงดังประปรายเป็นระยะ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะสงสัยในท่าทาง รูปโฉม หรือแม้กระทั่ง.... “ช่วยเงียบหน่อย!!” เจ้าของผมสีเงินตะโกนดัง อานิลก้าวเดินเข้ามาเบื้องหน้าเล็กน้อย “นี่คือ เรนเซ่ คาเวเซีย เป็นหัวหน้าหอพักตะวันออก เป็นรุ่นพี่ของพวกคุณ 1 ปี เขาจะมาทำหน้าที่ดูแลพวกคุณต่อจากผม” “พวกคุณจะต้องพักที่หอพักรับรองก่อนที่การจัดสรรห้องเรียนและหอพักจะเสร็จสมบูรณ์” คนพูดจบหันไปกระซิบบางอย่างกับชายหนุ่มนามเรนเซ่อีกเล็กน้อย แล้วหันมาค้อมศีรษะคำนับให้กับกลุ่มนักเรียนใหม่เบื้องหน้าตามมารยาท ก่อนเดินจากออกไปพร้อมกับคนอีกสองคนซึ่งติดตามประธานหอตะวันออกมาเมื่อครู่ “ท่าทีรีบร้อนจังนะคะ....” ฟารันต์เอ่ยเมื่อสังเกตเห็นสิ่งนั้นจากอานิล “แล้วไปยุ่งอะไรกับเขาหายัยเปี้ยก!” น้ำเสียงที่ได้ยินอยู่ใกล้ ๆ ทำเอาฟารันต์หันขวับมองด้วยความไม่พอใจ พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นเธอก็ก้าวเดินดุ่ม ๆ เข้าไปประจันหน้าอย่างไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างซึ่งกำลังมองดูเหตุการณ์เป็นตาเดียว “เตี้ยอย่างนายมีสิทธิอะไรมาเรียกคนอื่นเขายัยเปี้ยกยะ!!” กุฟานที่ยืนกอดอกนิ่งเริ่มเกิดความไม่พอใจขึ้นบ้าง “แต่อย่างน้อยฉันก็สูงกว่าเธอ!” ฟารันต์เปล่งเสียงแหลมสูง “โหย....ภูมิใจตายเลยสูงกว่าฉันเนี่ย!!” ว่าแล้วดวงตากลมโตก็เหลือบเห็นเพื่อนคนใหม่ซึ่งกำลังจะเดินเข้ามาห้ามทัพ เธอคว้าข้อมือของกราเซียร์สไว้แล้วลากอีกฝ่ายมาประจันหน้ากับคนปากไม่ดีช่างหาเรื่อง “ดูสิ! เกลยังสูงกว่านายเลย!!” เมื่อทุกสายตามองแล้วเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นความจริง เสียงหัวเราะจากคนรอบข้างก็พากันดังครืนเสียยิ่งกว่าฟ้าถล่ม กุฟานกวาดสายตามองด้วยความอาย “หัวเราะอะไรกันวะ!! พวกแกสูงกันตายเลยนี่!!!” “ก็นายมันเตี้ยจริง ๆ นี่” รีเวลล์ที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างกันนักเอ่ย ยิ่งเรียกความขบขันให้ผู้ฟังเข้าไปอีก “เฮ้ย! จะคุยกันอีกนานไหม?!” แล้วเสียงตะโกนขัดจากใครบางคนก็ทำให้ทุกอย่างเงียบลงราวกับนัดหมาย สายตานักเรียนใหม่ทุกคนจับจ้องไปยังรุ่นพี่ผมเงินที่ยืนกอดอกนิ่งทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจนักอยู่ จริง ๆ ที่อารมณ์แบบนี้ไม่ใช่เพราะรุ่นน้องหรอกนะ แต่เพราะโดนบังคับแบบไม่เต็มใจต่างหากล่ะ “บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ใช่คนดีอะไร และจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นหากพวกนายทุกคนไม่ทำตามที่ฉันพูด” เรนเซ่ตวัดสายตากวาดมอง “อย่าดุนักสิเร็กซ์ รุ่นน้องเขากลัวกันหมดแล้ว” น้ำเสียงหนึ่งเรียกความสนใจให้ใครหลายคนหันมอง กราเซียร์สจำได้ คน ๆ นี้คือคนที่มาแนะนำวิธีใช้ไอ้เจ้าลูกบอลน้ำนั่น และพอเห็นชัด ๆ ได้เปรียบเทียบแบบนี้แล้วมันทำให้เธอมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า.... ‘ผู้ชายหลายคนที่นี่ดูจะเตี้ยกันเสียจริง’ รูปร่างสูงหากสมส่วนพอเหมาะก้าวย่างพร้อมใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ดวงตาสีเงินเข้มดูด้านชากระพริบปริบให้กับคนที่ตนร้องทัก “นายมันก็ใจร้อนไม่เคยเปลี่ยน” เรนเซ่ฟึดฟัด “แล้วนายมาทำไรที่นี่ไซโค ได้ข่าวว่าเขาเรียกรวม ‘แสงขาว’ ไม่ใช่รึไง?” “วันนี้หน้าที่ของฉันคือการดูแลนักเรียนใหม่ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำนอกเหนือคำสั่ง” เขาเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ห่างจากประธานหอตะวันออกนัก “แล้วรุ่นพี่อานิลก็ขอให้ฉันคอยช่วยนายด้วย” บทสนทนาของคนทั้งสองเรียกความสนใจให้เกิดขึ้นพร้อมคำถามบางอย่าง ‘แสงขาว’ ที่เรนเซ่ว่านั้นคืออะไร และจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อานิลมีท่าทีรีบร้อนจากไปรึเปล่า... “ขอโทษนะคะรุ่นพี่!” ฟารันต์ยกมือขึ้นสุดแขน “แสงขาวที่ว่าคืออะไรหรือคะ??” โดยไม่รอให้ได้รับอนุญาต เจอลั่นคำถามตามที่สงสัยออกมาทันที ไซโคหันหน้าเข้าหาผู้ถาม “แสงขาวก็คือ...” “ไวท์กาเดี้ยนยังไงล่ะ!” เรนเซ่โพล่ง “ทีนี้ก็ตามฉันมา เราเสียเวลากันมามากแล้วนะ” ว่าแล้วก็หันหลังเดินดุ่ม ๆ ไปโดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะตามมาหรือไม่ คนถูกขัดเปล่งเสียงหัวเราะเบาพร้อมยักไหล่ “เอาล่ะ ไปกันเถอะครับ” รอยยิ้มเชิญชวนแต้มบนใบหน้าคมอย่างเป็นมิตร ฟารันต์ที่ได้รับคำตอบกลับยืนนิ่ง ใบหน้าน่ารักก้มลงต่ำ เนื้อตัวสั่นไหวพร้อมมือที่กำแน่น กราเซียร์สเห็นแบบนั้นก็รู้สึกเป็นห่วง เธอเดินเข้าใกล้ มือหนึ่งยกขึ้นวางบนแผ่นหลังเบา ๆ “ไม่เป็นไรนะฟารันต์?” “....กาเดี้ยน....” เสียงพึมพำดังลอดมาทำให้คนได้ยินสงสัย คิ้วเรียวเลิกสูง “หืม?” “ไวท์กาเดี้ยน....” เธอหันขวับดึงมือทั้งสองของเพื่อนขึ้นมากอบกุมไว้แน่น “ไวท์กาเดี้ยนแหละเกล!! แสงขาวคือไวท์กาเดี้ยน!!!” กราเซียร์สรู้สึกตกใจกับท่าทีของฟารันต์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “คะ....แล้ว??” “ฉันจะเป็นไวท์กาเดี้ยนให้ได้! แล้วต่อไปก็จะเป็นไวท์ไนท์!!” ฟารันต์สูดหายใจลึก ยืดอกเต็มเหยียดพร้อมชูมือที่กำแน่นขึ้นสุดแขน รู้ทั้งรู้ว่าการเป็นไวท์ไนท์นั้นมีกฎเช่นไร แต่ด้วยความตั้งใจจริงของฟารันต์ก็ทำเอาคนเห็นไม่อยากเอ่ยห้าม ได้เพียงให้กำลังใจไปเท่านั้น “สู้นะคะ” “ไวท์ไนท์เขามีแต่ผู้ชายโว้ยยัยเปี้ยก!!” เสียงที่ดังมาจากทิศทางเบื้องหน้าเรียกให้ฟารันต์หันหลังขวับเปลี่ยนเป้าสายตา กุฟานที่เดินนำออกไปหากแต่ยังคงทิ้งท้ายขบวนนักเรียนใหม่ร้องบอก “ฝันกลางวันจริง ๆ คนเรา” “หนอย!! อีตาบ้า!!!” คนถูกว่าก้าวเท้าพรวด ๆ จนแทบจะวิ่งเข้าใส่ โชคดีที่กราเซียร์สวิ่งเข้าไปรั้งไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นมีหวังเพื่อนใหม่ของเธอต้องได้ไปนอนตากลมนอกหอพักเพราะหาเรื่องตั้งแต่วันแรกแน่ ๆ นักเรียนใหม่ทั้งหมดเดินตามเรนเซ่มาจนถึงช่วงตรงกลางจัตุรัส ดวงตานับสิบนับร้อยจ้องมองทางแยกที่ทอดยาวออกไปทางฝั่งซ้ายและขวา ไล่สายตาเรื่อยไปจนเห็นกำแพงหินดูเย็นเยียบที่ทำหน้าที่เหมือนปราการปิดกั้นอะไรสักอย่างไว้ภายใน “เหมือนกับหน้าทางเข้าเลย....” ฟารันต์พึมพำ กราเซียร์สมอง “ประตูอีกสองฝั่ง” แม้มันดูไม่ใหญ่โตมากหากเทียบกับประตูสองบานที่ผ่านเข้ามาในตอนแรก แต่ลวดลายและสีสันชวนเปี่ยมด้วยมนต์ขลังของมันก็ทำให้คนมองรู้สึกขนลุกได้ไม่ยาก ชวนให้อยากสัมผัสเพื่อซึมซับเอาบางสิ่งบางอย่างซึ่งแฝงไว้ในความสงบนิ่งนั้น “นั่นคือประตูแห่งไอร์ฟาน” ไซโคเอ่ยไขข้อข้องใจให้กับน้องใหม่ “เป็นประตูที่เชื่อมต่อยังเขตพื้นที่ที่ใช้ในการเรียน” เขายิ้มแล้วก้าวเดินจากหลังแถวมาส่วนกลาง “ทางด้านซ้ายคือที่ตั้งของอาคารเรียน ด้านขวาคือส่วนของกิจกรรม” เรนเซ่ยืนกอดอกพิงหอระฆัง ใบหน้ายังคงแสดงความไม่สบอารมณ์เช่นเดิม “พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ฝั่งซ้ายทฤษฎี ฝั่งขวาปฏิบัติ” ผู้อธิบายคนแรกพยักหน้ารับ “แต่ไม่ต้องห่วง ทั้งสองฝั่งจะเชื่อมต่อกัน ไม่จำเป็นต้องเดินผ่านจัตุรัสกลางให้ยุ่งยาก” ไซโคเอ่ยต่อราวรู้เท่าทันความคิด เมื่อเสร็จสิ้นการถามคำถามตามสงสัยของพวกเด็กใหม่เรียบร้อย เรนเซ่ก็ออกเดินหน้าต่อ เขานำทางทุกคนไปทางทิศเหนือ ด้านตรงข้ามกับประตูที่เข้ามาในตอนแรก จนมาถึงสิ่งก่อสร้างทรงกลมขนาดมหึมาซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างตัวอาคารงดงามแปลกตาสองหลัง “นี่มัน.....” กุฟานร้องขึ้น ความตื่นตะลึงของเขาไม่ได้มีมากไปกว่าคนอื่นเสียเท่าไหร่ ขนาดรีเวลล์ที่ดูมีสติที่สุดยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างมองสิ่งก่อสร้างตรงหน้า “ลานประลอง??” “ถูกแล้ว นี่คือลานประลองกลางของกวินฟอร์” ไซโคหัวเราะเบาเมื่อเห็นท่าทีของพวกรุ่นน้อง “เพื่อให้สะดวกในการต้อนรับแขกและไม่ให้เกิดความวุ่นวายภายใน มันจึงถูกสร้างขึ้นไว้ส่วนหน้าของโรงเรียน” สองขายาวก้าวตามประธานหอตะวันออกที่ไม่ใส่ใจที่จะหยุดฝีเท้าไป เป็นเหตุให้คนที่เหลือจำต้องก้าวเท้าตามด้วย “นี่มันใหญ่ขนาดไหนเนี่ย....” ฟารันต์ยังคงจ้องมอง ดวงตาของเธอสังเกตเห็นเงาของลานประลองซึ่งทอดลงตามทิศทางของดวงอาทิตย์ ตกกระทบบดบังอาคารฝั่งหนึ่งจนมันถูกกลืนหายเข้าไปในร่มเงานั้น กราเซียร์สเองก็สนใจไม่แพ้กัน แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรได้มากไปกว่าการเดินตามรุ่นพี่อย่าให้คลาดกัน “รีบไปเถอะค่ะ” เธอจับมือเพื่อนเบา ๆ เรียกสติให้อีกฝ่ายหันมอง “อ่ะ....ขอโทษที ๆ” ฟารันต์ขอโทษในความเหม่อลอยของตน ทั้งหมดได้รับรู้ว่าอาคารสองอาคารที่ขนาบข้างอยู่นั้นเป็นอาคารที่ไว้สำหรับให้ผู้เข้าแข่งขันได้พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมในการทำกิจกรรมนั้น ๆ เป็นสัดส่วนเฉพาะซึ่งทางโรงเรียนได้จัดแยกไว้ รูปทรงของมันจึงไม่ได้ต่างอะไรกับหอพักขนาดใหญ่ทั่วไปนัก ถึงจะบอกว่าไม่แตกต่างมากแต่ความงดงามของมันกลับทำให้รู้สึกเหมือนตนเองได้เข้าสู่ขอบเขตพระราชวัง ตัวอาคารสร้างจากหินแกร่งสีอ่อนเย็นสบาย มีรั้วระเบียงยื่นออกมาพอเป็นสัดส่วน บานหน้าต่างไม้สีเข้มจากช่างฝีมือปราณีตเรียงรายกันเป็นทิวแถว ติดกับบานประตูลักษณะคล้ายกันซึ่งแบ่งแยกสัดส่วนของห้องนั้น ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน เรียกว่าอาคารหรือ....ไม่ เรียกว่าปราสาทยังดูเหมาะเสียกว่า.... บันไดเชื่อมต่อยังพื้นที่ยกสูงทำให้คนมองต้องชะงักฝีเท้า เพ่งมองไปยังผืนพรมแดงและสวนหย่อมเล็กตรงหน้าด้วยความชอบใจ ดวงตาสีฟ้าใสกลมโตกวาดมองทุกกระเบียดนิ้วอีกครั้ง “สวยจัง...ว่างั้นไหมเกล?” เธอส่งเสียงร้องถามเพื่อนข้างกาย กราเซียร์สนิ่งมองแล้วพยักหน้ายอมรับ “ค่ะ สวยมาก” “ที่ ๆ เราจะไปพักมันจะสวยแบบนี้รึเปล่านะ....” เด็กสาวทำท่าฝันหวานในสิ่งที่ยังไม่ได้เห็น ผ่านพ้นช่วงนั้นมาจะเห็นสวนหย่อมขนาดกลางขวางกั้นอะไรบางอย่างอยู่ ต้นไม้ด้านหลังแม้ไม่ได้สูงมากหากแต่ก็บดบังสายตาของผู้มองได้ พวกเขาเห็นเพียงหลังคาสีน้ำตาลยาว เทียบจากอาคารที่เพิ่งเดินผ่านมาแล้วมันน่าจะมีขนาดยาวเป็นสองเท่าเลยทีเดียว เรนเซ่เดินนำไปตามทางเดินที่ปูด้วยก้อนหินหยาบ บนพื้นดินมีต้นหญ้าเตี้ยสีเขียวอ่อนสวยประดับแซมไปกับดอกหญ้าสีเหลืองนวล ถัดไปแค่พอสี่คนเดินมีรั้วสีขาวกั้นเป็นกิจจะลักษณะ จงใจแบ่งเขตให้เห็นชัดเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว เดินต่อไปอีกประมาณเกือบสิบเมตรก็จะพ้นสวนออกมา เข้าสู่ลานโล่งกว้างซึ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้าตัวสิ่งก่อสร้างหลังคาสีน้ำตาลที่เห็นภายนอก มันไม่สูงจนน่ากลัว และไม่ใหญ่จนเกินหยั่ง หากแต่ความยาวของมันนั้นสามารถทดแทนจำนวนชั้นที่ถูกทอนลงไปได้ พวกเขาเข้าสู่ใจกลางของทางเข้าซึ่งมีลักษณะคล้ายกับตัวที่พักด้านนอก ชานครึ่งวงกลมยื่นออกมาจากตัวอาคารไม้สีขาวสะอาดพร้อมกับขั้นบันไดประมาณสิบขั้น ตัดผ่านด้วยไม้พุ่มที่ถูกตัดแต่งและดูแลเป็นอย่างดี สร้างบรรยากาศชวนผ่อนคลายให้กับผู้พบเห็น ร่างสูงงดงามในชุดสีฟ้าอ่อนยาวยืนรอท่าอยู่ ใบหน้าได้รูปแต้มรอยยิ้มอ่อนโยน เส้นผมสีทองยาวมัดรวบเป็นระเบียบ ดวงตาสีเขียวสวยฉายแววเป็นมิตร เหนืออื่นใดคือใบหูแหลมเรียว สิ่งที่ไม่ใช่ลักษณะของมนุษย์โดยทั่วไป “เอลฟ์!!!” ฟารันต์แหกปากลั่น นิ้วเรียวชี้ไปยังเบื้องหน้าด้วยความตกใจสุดกลั้น “อย่าเสียมารยาท!!” เรนเซ่เอ่ยต่อว่ารุ่นน้อง ก่อนเดินก้าวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้าผู้ถูกเรียกขานว่า ‘เอลฟ์’ พร้อมค้อมคำนับให้เล็กน้อย “ต้องขอโทษท่านเอเรียสด้วย” “ไม่เป็นไร” เสียงไพเราะตอบรับกลั้วหัวเราะ “ไม่แปลกหรอกที่ใครเห็นเราแล้วจะกล่าวเรียกแบบนั้น” ไซโคเดินมาเบื้องหน้าเอเรียสแล้วค้อมศีรษะให้ “ท่านเอเรียสคือผู้ที่คอยดูแลหอพักทั้งหกของโรงเรียนเรา” ฟารันต์จ้องมอง เธออยากรู้จริง ๆ ว่าคนตรงหน้านี่ใช่ ‘เอลฟ์’ ที่เคยได้เห็นเพียงในหนังสือจริงหรือเปล่า... พวกเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาพร้อมกับภูติ มีหน้าที่คอยดูแลรักษาธรรมชาติภายในโลกเธียอาร์ใบนี้ โดยปรกติแล้วพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่เกาะแห่งภูติใจกลางของแผ่นดินเท่านั้น ไม่เคยมีใครได้เห็นหรือสัมผัสตัวตนที่แท้จริง และยังว่ากันว่าอายุรวมถึงพลังของพวกเอลฟ์นั้นมีมากมายมหาศาลจนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้ “ข้าคือเอลฟ์” จู่ ๆ ผู้รอต้อนรับก็เอ่ยขึ้น เรียกเสียงฮือจากเหล่านักเรียนใหม่ให้ดังกลบทั่วบริเวณ “นี่ ๆ” กุฟานซึ่งยืนห่างออกไปพยายามแทรกตัวเข้ามาใกล้ “เขาว่ากันว่าพวกเอลฟ์อยู่แต่ในเวียลีสท์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงออกมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” เอเรียสแย้มยิ้มให้กับผู้ถาม “พวกเราส่วนมากอาศัยอยู่ที่นั่นก็จริง แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถออกมาด้านนอกได้” เขาเว้นจังหวะด้วยการหันหลังไปเรียกใครบางคนภายในหอพักออกมา “พวกเรานับถือคำสัญญา และคำสัญญานั่นทำให้พวกเราต้องออกมา” ชายสูงวัยคนหนึ่งปรากฏ เขาอยู่ในชุดสูทดูภูมิฐาน ใบหน้าเคร่งขรึมสวมแว่นตากรอบกลม หนวดสีขาวยาวปกปิดริมฝีปากสีอ่อนซีดจนแทบมิด “อีธานคือพ่อบ้านของหอพักแห่งนี้ หากมีอะไรก็สามารถสอบถามเขาได้” เอเรียสหงายมือเบื้องหน้าผู้ถูกแนะนำ “เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เชิญพวกท่านเข้าสู่ด้านในก่อนเถิด” เขาผายมืออีกครั้งเพื่อเชื้อเชิญให้แขกหน้าใหม่เข้าสู่สถานที่รองรับอย่างพร้อมเพรียง “ขอต้อนรับสู่ปราสาทมาเคน่า” ==================================== แจ้งข่าว - จะทำการจัดห้องใหม่ครับ ด้วยวิธีไหนนั้นยังไม่รู้... - จะทำการจับฉลากหาคู่ เอิ้ก ๆ - จัดสรรหอพักจ้า (หอพักมีทั้งหมด 4 หอสำหรับนักเรียนทั่วไป และไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ห้องเดียวกันถึงได้อยู่หอเดียวกันครับ) - ทราบผลทุกอย่างในตอนหน้าจ้า Talk มีที่ผิดน่าจะชัวร์ กร๊ากกกกกกกก ตอนแรกนึกว่าจะไม่เสร็จ เอาจนเสร็จจนได้ ตอนนี้ออกจะสั้นกว่าตอนอื่น ๆ เพราะมันถูกตัดตอนมาจากตอนหลักที่วางโครงไว้ครับ จะว่าไงดีล่ะ กว่าจะเข้าเรื่องได้ก็ล่อไปเสียตอนเลยทีเดียวเชียว 555 จุดประสงค์จริง ๆ เพื่อเอาตัวละครออกมาล่ะนะ ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ ได้ออกแน่นอน ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำติชมจ้า (ไม่ขอตอบคอมเมนท์แล้วกันนะ เพราะจะหลับแล้ว 555) :hbow:
กำเนิดคู่หูใหม่ ขรึมกับไฮเปอร์ (ฮา) โรงเรียนอลังการมวากกกกกก ชอบ ฮ่าๆ ส่วนคำผิด....รอคนอื่นท้วงละกัน ส่วนตัวผมไม่ยักกะเห็น = =" (เพราะเช้าอยู่?)
โรงเรียนอลังกาลงานสร้างมาก กุฟานกับฟารันต์นี่คู่กัดกันแน่ๆ แต่หวังว่าจะไม่กลายเป็นคู่รักกันตอนท้ายนะ ไม่อย่างนั้น....คง.... รออ่านต่อไป
เชื่อขนมกินว่า ที่เรนเซ่ ตะคอกไม่ใช่รำคาญ แต่เพราะ ไอ้ที่เถียงกันเรีื่องส่วนสูง 5555+ เป็นรุ่นพี่ขี้วีนดีจริงๆ อ่านๆไป ฟารันต์ให้อารมณ์เหมือน รอน วิสลี่ใน แฮรรี่ ไงไม่รู้ เหอะๆๆ
5555555555+ กุฟาน ไอร์ฟาน อีธาน มากันครบ >_< พี่้นุ๊กแต่งลื่นเหมือนเคย /me กลับไปมองฟิคตัวเอง ต้องเก็บ exp อีกเยอะ ฟาัรันต์กับกุฟาน คงกัดกันตายกันไปข้าง ป.ล.ใช่สิ ผมมันเตี้ย
*0* ตอนที่3 ก็ยังคงให้ความ รู้สึกอลังการ กลิ่นอาย โรงเรียนจริงๆครับ แถมหอพักยังดู น่าน๊อน น่านอนอีกด้วยนะครับ รออ่านต่อไปครับผม
ผมนั่งฮาแตกตอนฟารันต์ตอกกุฟานคืนว่า "เกลเขายังสูงกว่านายเลย!" เป็นการตอกหน้าหงายที่เจ็บปวดมาก กร๊ากกกกก น่าสงสารกุฟาน เกลตกกระไดพลอยโจรซะแล้ว OTL ตอนนี้มีการบรรยายช่วงสนามประลอง ที่ผมรู้สึกว่า อลังการมาก บอกตรงๆผมนึกภาพตามและเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของโรงเรียนกวินฟอร์ทันทีเลย โดยเฉพาะท่อนที่ว่า "เงาของลานประลองซึ่งทอดลงตามทิศทางของดวงอาทิตย์ ตกกระทบบดบังอาคารฝั่งหนึ่งจนมันถูกกลืนหายเข้าไปในร่มเงานั้น" ยิ่งใหญ่มากๆครับ TwTb ตัวละครค่อยๆทยอยออกมาแล้ว อยากอ่านการจัดหอพักเร็วๆ มัน...ไม่ใช่หนังเกาหลีนะครับนิว = ="
บรรยายได้ดูอลังการ มีฉากกัดกันเอาฮา พอครึ้มอกครึ้มใจ ดูท่าทาง รุ่นน้องและรุ่นพี่แต่ละคนไม่ธรรมดาขิงๆ งานนี้สนุกแน่ๆ ไม่แน่นา อาจจะ Nice Boat ก็ได้ฮาๆ
//me เกาหัว....สองตอนแรกไม่ได้เมนท์เรอะเนี่ยงงตัวเองอย่างแรง - - เลื่อนๆลงมา รู้สึกเห็นด้วยกับแม๊กกี้ยังไงไม่รู้ ที่ว่าเหมือนรอน แล้วก็ ยังไงก็ขอขำคำว่าเตี้ยกันเสียจริงด้วย 1 เสียงค่ะ ก๊าก เกลออกตอนนี้ก็แสดงว่าที่แก้ไปใช้ได้ เฮ้อ โล่งอก ขอบคุณที่ให้โอกาสแก้ไขค่า
ฮาาาาาา กุฟาน....ไอ้เตี้ย กร๊ากกกกกก กราเซียร์สกับเรนเซ่สูงเท่ากันไม่ใช่เรอะ... - -" ขอท้วงนิดนึงว่า ถ้าใส่ไปว่าตัวละครตัวไหนออกมามั่งจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ มึนไปหมดแล้ววววว @_@
จ๊ะเอ๋!!! งงล่ะสิ ๆ 5 5 5 :medance.: ไม่ได้มาอัพฟิคครับ แต่มาทำอะไรบางอย่าง หึหึ~* จริง ๆ ในฟิคไวท์ไนท์ตอนนี้มีทั้ง 'ตัวละครที่ขาด' และ 'ตัวละครที่เกิน' ครับ ฉะนั้นไอ้ Reply นี้มันมาเพื่อจัดการอะไรบางอย่าง และอย่างที่บอกไปว่าจะมีการจัดผังอะไรต่าง ๆ ใหม่ ก็เลยจะใช้โอกาสนี้ในการจัด มันก็แค่คำถามง่าย ๆ มีกฎสั้น ๆ ก็แค่ "หลังจากที่เห็นคำถามแล้ว คำตอบแรกที่คุณคิดคืออะไร ก็จงตอบไปแบบนั้น" ขอให้คนที่สมัครฟิคเรื่องนี้ตอบทุกคนนะครับ ทั้งที่ยังมีบทและไม่มีบท จริง ๆ ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้ดูคำตอบของคนอื่นครับ เพราะคำตอบมันไม่มีทั้งผิดและถูก มันคือคำตอบที่มีจากความคิดของคุณเอง ตอบคำถามใน Tag สปอยนะครับ พิมพ์แบบนี้ >> [.spoiler][./spoiler] (ลบจุดทิ้งก่อนนะครับ) Spoiler คำถาม 1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด? 2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี) 3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้) ตอบตามคาร์แรคเตอร์ของตัวเองนะครับ ตอบลงในกระทู้นี้โลด ตอบมานะจ๊ะ หมดเขตวันศุกร์หน้า ตอบก่อนมีสิทธิก่อน บอกไว้เลยว่า คนมีบทแล้วอย่าชะล่าใจ :meelov.: