บทเรียนที่ 9 : ว่าด้วยเรื่องของการต้อนรับ 4 (จบ) ดวงตาสีน้ำตาลของผู้ที่ลอยเคว้งอยู่บนท้องฟ้ายามราตรียังคงจ้องมอง ‘มิติมายา’ ในอาณาเขตเวทย์สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ภาพเหตุการณ์ทั้งเกือบห้าสิบห้องนั่นปรากฏชัด ไม่ว่าจะเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ความพยายามที่จะหาทางออก หรือแม้กระทั่งหยาดน้ำตาที่ไม่ได้มีความหมายต่อผู้มองมากไปกว่า ‘การได้ดูละครฉากหนึ่ง’ เท่านั้น ชั่วครู่รอยยิ้มบางก็เผยบนใบหน้าที่ฉาบด้วยความเย็นชา แขนแกร่งสองข้างยกกอดอกอย่างพึงใจ หากสังเกตให้ลึกชัดจะเห็นว่าริมฝีปากนั่นกำลังเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างที่เบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบแห่งสายลม “เร็กซ์มาแล้วครับ” โซลค้อมคำนับเล็กน้อยแล้วรายงานแก่ผู้ที่อยู่เบื้องบน น้ำเสียงของเขาเองใช่ว่าจะดังอะไรมากมาย แต่อานีลก็กลับได้ยินมัน ผู้กุมอำนาจสูงสุดในระบบของนักเรียนยังคงไม่ละสายตาออกจากละครฉากใหญ่ตรงหน้า “ฉันจำได้ว่ามอบหมายให้นายดูแลพวกรุ่นน้องใช่หรือเปล่าเร็กซ์?” “ครับ...” คนที่เลือดร้อนโผงผางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ประหนึ่งรับรู้ดีถึงโทษที่ตนได้กระทำไว้ อานีลเหลือบมองเพียงชั่วระยะ “ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้ แต่จะไม่มีครั้งต่อไปอีก” ทันใดนั้น ไอพลังสีขาวขุ่นจากที่แห่งใดไม่ทราบได้ปรากฏล้อมรอบตัวขออานีลไว้ราวหมอกควันหนา ไม่นานมันก็แผ่ซ่านกระจายจนปกคลุมท้องฟ้าสีดำมิด เห็นดาวบนท้องฟ้าเสมือนมีผ้าสีขาวบาง ๆ มากั้นขวาง หากมันไม่ใช่ความอ่อนนุ่มพริ้วไหว แต่เป็นแข็งกร้าวเฉกเช่นโล่ปราการเสียมากกว่า “เหล่านักเรียนแห่งโรงเรียนกวินฟอร์การ์เดี้ยนจงฟัง!!” พวกเขาทุกคนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่เฉพาะในบริเวณนี้เท่านั้น มั่นใจเหลือเกินว่าอานีลกำลังใช้มนตร์เวทย์แห่งเสียงในอาณาเขตอันกว้างใหญ่เพื่อมอบหมายคำสั่งบางอย่างให้แก่ผู้ที่อยู่ภายใต้ม่านสีทึบได้รับรู้ มันคือลำดับมนตราของนักเวทย์ระดับมหาปราชญ์ที่ยากแก่การฝึกฝนและควบคุม เพียงเท่านี้ก็ย้ำเตือนถึงความเก่งกาจและอำนาจอันยากหาผู้ใดต่อกรได้..... และความสงสัยที่มากล้นพอกับพลังนั่น.....ความสงสัยถึงตัวตนอันแท้จริงของ ‘มนุษย์’ ผู้หนึ่ง.... “แต่นี้ไปหากใครกล้าฟังคำสั่งของผู้เป็น ‘คนนอก’ มันผู้นั้นจะถูกลงโทษในขั้นสูงสุด! จงจำไว้ให้ดี ตราบใดที่พวกนายทุกคนยังคงสวมชุดของโรงเรียนกวินฟอร์ และยังคงเป็นนักเรียนของกวินฟอร์ พวกนายจะต้องฟังคำสั่งแค่คนของกวินฟอร์เท่านั้น!!!” เอ่ยจบม่านสีขาวหมอกก็ถูกปลดลง อานีลก้มมองเร็กซ์เบื้องล่าง “เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?” “ครับ!” เร็กซ์รับคำ อานีลรู้เรื่องอย่างชัดแจ้งอย่างที่เขาคิดไว้ เหล่าไวท์กาเดี้ยนที่อยู่โดยรอบรับรู้ได้เป็นอย่างดี อานีลกำลังไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างมากที่ถูกคนอื่นแทรกแซงการทำงานของตน และถึงแม้จะรู้ดี....แต่ ‘คนอื่น’ ที่ว่านั่นกลับไม่ใช่คนที่พวกเขามีอำนาจมากพอจะขัดความต้องการได้ คิดแล้วรู้สึกสงสารเร็กซ์ขึ้นมา เขาเดาว่าเร็กซ์เองคงไม่ได้อยากจะขัดคำสั่งอานีลนักหรอก แต่มันเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ และเพราะอานีลเองก็รู้ ถึงได้ไม่ทำโทษและประกาศกร้าวออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินต่อไปไม่หยุดแน่ถ้าไม่มีใครบางคนก้าวเข้ามาเสียก่อน ร่างค่อนข้างผอมบางหากเทียบกับวัยที่เหมาะสมเดินพร้อมรอยยิ้มมาหยุดใกล้กับอาณาเขตเวทมนตร์ ดวงตาสีดำแสร้งทำอยากรู้สอดส่ายไปทั่ว ก่อนเงยหน้าตนขึ้นแย้มยิ้มให้ผู้อยู่สูงกว่า “ลงมาได้แล้วนีล อยู่แบบนั้นไม่เมื่อรึไงน่ะ?” ผู้มาเยือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก พอเห็นถูกเรียกได้ยินก็รีบก้มหน้าลงมอง “ท่าน.....อาจารย์ชิน.....?” ชายหนุ่มซึ่งถูกเอ่ยนามกลับแย้มยิ้มรับ “ไม่เอาน่านีล เลิกทำโทษพวกเขาได้แล้ว ดูสิ....หน้าซีดกันเป็นแถว” เขาเบนหน้าส่งเป็นสัญญาณให้มองพวกรุ่นน้องปี 2 ซึ่งบัดนี้เริ่มออกอาการอย่างเห็นได้ชัด “ถ้านานกว่านี้พวกเขาจะแย่เอานะ ยิ่งเพราะโดนพลังของนายแทรกเข้ามาด้วยก็ยิ่งลำบากใหญ่” อย่างที่อาจารย์ชินบอก พลังระดับอย่างพวกนี้แม้จะขึ้นชื่อว่าเหนือกว่าคนในช่วงเดียวกันก็ตาม แต่ก็ไม่มีความสามารถมากเพียงพอขนาดรับพลังสองสายได้ ยิ่งเป็นพลังสายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้วยิ่งไม่มีทาง พลังของพวกเขาคือพลังสร้างมิติที่ไม่มีรูปร่างแน่ชัด แต่พลังของอานีลคือพลังความมืดที่สามารถบิดเบือนห้วงเวลาได้ พลังที่สามารถทำลายพลังที่พวกตนสร้างขึ้นได้ ดวงตาสีน้ำตาลของผู้กุมชะตาชีวิตเหลือบมองลงด้านล่าง กวาดสายตามองพวกนักเรียนปี 2 ที่หน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าว่าพลังเวทย์ของพวกเขาจะอ่อนแอลงมากจริง ๆ อานีลถอนหายใจ “อิกก์นิส....” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยแผ่ว ปรากฏการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หากครั้งที่แล้วคือม่านหมอกความมืด ครั้งนี้ก็คงเปรียบได้กับโลกในโสตแห่งการมองของทุกคนบอดสนิท พลังความมืดที่ไหลออกมาจากร่างของอานีลมันแน่นหนาจนรู้สึกอึดอัด ไม่อาจขยับก้าวไปไหนได้ ขนาดพยายามกำหนดลมหายใจให้เป็นปรกติยังยากลำบาก เปรี้ยะ! เพล้ง!! ทันทีที่หอกแห่งความมืดถูกซัดลงยังศูนย์กลาง จุดภายใต้ร่างที่อานีลลอยเหนืออยู่ เสียงของวัสดุแก้วแตกร้าวก็ดังขึ้น ทว่าคราวนี้กลับดังสั่นเสียจนแสบแก้วหู เพียงแค่ครั้งเดียว.....ครั้งเดียวที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแหลกเป็นผุยผง พร้อมกับการปรากฏของเงาแสงสว่างวาบหลายวงที่ลอยเด่นดังเช่นฟองสบู่ ร่างของรุ่นพี่ปี 2 ทั้งหมดถึงกับทรุดลงกับเพื่อนเมื่อภาระอันหนักหน่วงถูกปลดเปลื้องออก พวกเขาหอบหายใจถี่ บางคนรีบกวาดโกยอากาศเข้าสู่ปอด ไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่สนใจแม้สายตาของรุ่นน้องปี 1 ที่เคยถูกกักขังไว้ภายใน พวกปี 1 ทุกคนหลุดพ้นจากห้วงมิติแล้ว ดวงตาทุกคู่มองกันอย่างงงงวย พอเริ่มได้สติจับความเป็นไปต่าง ๆ ได้ก็เฮโลกอดกันส่งเสียงร้อนลั่นดีใจ “รอดแล้วววววววววววว!!!” ฟารันต์กรีดร้องพร้อมวิ่งเข้ากอดเพื่อนที่ร่วมผจญมาด้วยกัน แม้เพียงชั่วครู่ก็ตาม ร็อคดูไม่ได้สนใจสิ่งที่ควรสนใจเท่าไหร่ เขากอดตอบเด็กสาว “นั่นสิ ๆ รอดแล้ว!!” ใบหน้าดูดีแสร้งยิ้มกว้าง แต่สำหรับรีเวลล์ไม่ใช่....เขาดูเก้ ๆ กัง ๆ พูดจาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “อะ...เอ่อ....คุณ...ไม่...ฟารันต์....” อานีลไม่ได้สนใจเสียงเฮโลโห่ร้อง เขาร่อนตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างตรงหน้าผู้เอ่ยห้ามการลงโทษนี้ แล้วค้อมคำนับให้อย่างรู้ศักดิ์ “อาจารย์ชิน” “ดีแล้ว ๆ เห็นไหมทุกคนดีใจกันใหญ่” ชายหนุ่มผมดำยื่นมือมาตบบ่าเขาแรง ๆ ด้วยขนาดความสูงที่ต่ำกว่าเล็กน้อยนั่นทำให้มองเผิน ๆ แล้วเหมือนคนพูดจะดู ‘ล่วงเกิน’ เสียมากกว่า “อาจารย์ทราบเรื่องนี้ใช่ไหมครับ?” คนถูกถามเลิกคิ้วพลางกอดอกทำท่าเครียด “อืม.....ก็ใช่ล่ะนะ แต่ไม่คิดว่าหมอนั่นจะเล่นแรงขนาดนี้” “รบกวนอาจารย์ช่วยบอกพวกเขาว่าอย่ามายุ่งกับโรงเรียนนี้อีก” อานีลตอบเสียงเย็น หากคนฟังได้แต่หัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอก ป่านนี้พวกเขาคงได้ยินเสียงที่เธอประกาศไปทั่วนั่นแล้วล่ะ ขนาดอาจารย์นอเอลยังตกใจรีบมาเคาะประตูห้องเรียกฉันใหญ่” อีกฝ่ายค้อมขออภัยกับการกระทำโดยพละการนั่น “ขอโทษด้วยครับ แลวผมจะชี้แจงเรื่องนี้ให้อาจารย์ทุกคนทราบเอง” หลังจากพูดคุยกับอาจารย์ต่ออีกเล็กน้อยอานีลก็หันไปสั่งการเร็กซ์ที่ยืนรออยู่ให้ดูแลรุ่นน้องที่เหลือ ส่วนพวกรุ่นพี่นั้นได้มอบหมายให้ไวท์กาเดี้ยนทั้งสามคือ โซล ไซโค และซิเวอร์ดูแล ก่อนจากเขาเดินเข้าไปหาโซลที่ยืนทำหน้าที่ของตนอยู่เงียบ ๆ “โซล.....ถ้านายยังกล้าใช้ ‘เจ้านั่น’ ในการปิบัติงานหรือทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่งฉันอีก ฉันจะยึดมันคืน.....” ร่างสูงของเจ้าของนามชะงักเล็กน้อย ก่อนค้อมคำนับยอมรับคำแต่โดยดี “อืม....” เมื่ออานีลผละออกแล้ว ซิเวอร์ที่พยายามอดกลั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะก็เปล่งเสียงออกมา น้ำเสียงขบขันนั่นแฝงด้วยความรู้สึกสนุกจนเหมือนกับว่าตนเป็นผู้เล่นของเล่นดี ๆ เสียเอง “ฉันว่าแล้วว่านายปิดอานี่ไม่ได้หรอก ระวังนะคราวหน้าจะถูกยึดไอ้หนูปากดีนั่นไปจริง ๆ” “นั่นสิครับ” ไซโคแสร้งทำยิ้ม “ผมบอกแล้วว่าไม่สมควรใช้” โซลที่เปลี่ยนไปจาก ‘ตอนแรก’ โดยสิ้นเชิงเหลือบมอง ท่าทีหวาดเกรงไซโคตอนแรกหายไปสิ้น “นั่นมันเรื่องของฉัน พวกนายดูแลตัวเองให้ดีเถอะ” ซิเวอร์และไซโคหันมองหน้ากัน คนตัวเล็กกว่ายักไหล่ “ก็นะ....” . . . . . . อานีลกลับมาถึงที่พักก็พบกับใครบางคนที่นั่งรออยู่ เขาพูดคุยกับพ่อบ้านชราอยู่ครู่แล้วจ้องมองไปยังเจ้าของผมสีดำ สองขายาวก้าวเดินไปใกล้ อีกฝ่ายที่สัมผัสได้ถึงการกลับมาก็ลุกขึ้นค้อมศีรษะน้อย ๆ ดวงตาสีเขียวใบไม้สบมองอย่างไร้ความหวาดหวั่นใด มันเรียบเฉยเสียจนไม่อาจคาดเดา “ขอโทษที่เรียกนายมาทั้งที่เพิ่งเสร็จภารกิจ....มิคาห์” น้ำเสียงที่เคยเย็นชาเอ่ยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็เอารายงานมาส่งให้รุ่นพี่นิราวาน่าอยู่ดี” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ต่างกัน เขาพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินนำขึ้นบันไดไป แขกผู้มาเยือนเองเหมือนรับรู้ถึงความต้องการจึงก้าวเท้าออกเดินตาม เมื่อถึงชั้นสองพวกเขาก็เลี้ยวทางฝั่งขวาตามความเคยชิน เดินตรงสู่ประตูไม้สีน้ำตาลเข้มชั้นดีซึ่งอยู่สุดทาง เบื้องหน้ามีชายอีกคนรออยู่ “มีเรื่องอะไรรึเปล่าลูเนีย?” อานีลจ้องมองชายที่ยืนรออยู่ น่าแปลกที่ลูเนียผู้ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของเขากลับมารอตรงนี้แทนที่จะเข้าไปรอด้านใน เขาส่งม้วนกระดาษม้วนหนึ่งให้ “เสร็จแล้วครับ...” คนถามเลิกคิ้วสูงพลางเปรยยิ้มน้อย ๆ “นายทำงานไวเสมอ....” “จะขึ้นเงินให้รึเปล่าล่ะครับ?” ลูเนียเอ่ยปนหัวเราะเบา อานีลเพียงแค่ยิ้มแล้วเดินนำเข้าสู่ภายใน เขาหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ของตนเอง โดยมีลูเนียมายืนอยู่ด้านข้างและมีมิคาห์ยืนอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองมองชายผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดอย่างสงบเงียบ รอคอยเวลาให้อีกฝ่ายเป็นผู้กล่าวเปิดเรื่องด้วยตัวเอง เขาอ่านม้วนกระดาษในมือที่ได้รับมาจากลูเนีย หลังกวาดสายตาอยู่พักก็แย้มยิ้ม “ถูกต้อง.....ขอบคุณมาก พรุ่งนี้รบกวนนายช่วยไปติดประกาศที” มือเรียวยื่นม้วนกระดาษเดิมให้ “ส่วนเรื่องนั้นฉันจะเรียกประชุมพวกปี 2 อีกครั้ง ให้พวกเขาเลือกคนที่อยากดูแลด้วยตนเอง” ลูเนียพยักหน้ารับ “ตกลงครับ” เขารับคำ “ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” “ขอบคุณมาก” เขาเอ่ยอีกครั้ง เมื่อลูเนียเดินพ้นจากห้องไปแล้วอานีลจึงหันมาพูดกับมิคาห์ต่อ เขาส่งแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่หยิบมาจากลิ้นชักโต๊ะให้ อีกฝ่ายยื่นมือรับแล้วเปิดออกดู ดวงตาสีเขียวจับจ้องตัวอักษรที่เรียงตัวเป็นระเบียบสวยด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อนัก “หมายความว่า?....” “ใช่....ฉันต้องการให้นายช่วยเรื่องนี้” อานีลถอนหายใจ “ความจริงมันก็ไม่สมควรนัก แต่ตอนนี้อาจารย์หลายท่านกำลังเตรียมงานประลอง ฉันเลยต้องรบกวนพวกนายช่วยเรื่องนี้” มิคาห์นิ่งอยู่พัก แต่ด้วยนิสัยที่ปฏิเสธคำขอร้องใครไม่ค่อยจะเป็นจึงยอมรับปากโดยดี “ตกลงครับ แล้วเรื่อง...” “ฉันจะเฉลี่ยนงานของนายให้คนอื่นช่วยรับผิดชอบ ซิเวอร์เองก็จะช่วยแบ่งภาระนี้กับนายด้วย” อานีลยิ้มบาง “ฝากด้วยนะ...” เด็กหนุ่มปราดมองอีกฝ่ายอยู่ครู่ แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เห็นถึงอาการผิดปกติบางอย่าง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยเข้มแข็งคู่นั้นดูอ่อนแอเสมือนคนหมดแรง ดวงหน้าซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ถ้าขาดรอยยิ้มบางนั่นเขาคงคิดว่าคนตรงหน้านี่เป็นเพียงหุ่นรูปปั้นที่ไม่มีชีวิตเป็นแน่ “รุ่นพี่....” “ฉันไม่เป็นไร” อานีลยิ้ม “นายไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก” มิคาห์ลังเลอยู่ครู่ “ครับ....รุ่นพี่เองก็อย่าลืมพักผ่อนนะครับ” อานีลพยักหน้ารับแล้วยิ้มตอบเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูงานที่ตนทำค้างไว้ต่อ ดวงตาสีเขียวสดยังคงจ้องมอง เขารู้ดีว่าคำพูดของเขานั้นไม่ต่างจากคำพูดลอยลมที่คนอื่นต่างมอบให้ อานีลคงไม่ยอมทำตามที่เขาพูดง่าย ๆ เป็นแน่ และยิ่งยากหากเจ้าตัวตั้งใจจะจัดการงานตรงหน้านั่นให้เสร็จภายในวันนี้ มิคาห์ถอนหายใจหนัก ค่อย ๆ หันหลังเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือที่สุด ไม่แปลกที่ช่วงนี้อานีลจะดูเหนื่อยมากเป็นพิเศษ ไหนจะเรื่องของเทอมใหม่ เรื่องของเด็กปีหนึ่ง การจัดการการเรียนการสอนที่ต้องผิดแปลกไปเพียงเพราะงานประลองระหว่างโรงเรียนซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า.... งานประลองระหว่างโรงเรียนที่กวินฟอร์ไม่ได้เป็นเจ้าภาพมาร่วม 3 ปี.... งานประลองระหว่างโรงเรียนจะจัดขึ้นทุก ๆ ปี โรงเรียนที่ได้รับชัยชนะในการประลองจะเป็นผู้จัดการประลองในครั้งต่อ ๆ ไป และเมื่อ 3 ปีก่อนโรงเรียนเราได้ปราชัยเพียงเพราะปัญหาบางประการซึ่งทุกเองก็ไม่ทราบแน่ชัด พวกเขาทุกคนเพียงได้ยินคำประกาศที่ว่า ‘ขอให้เชื่อในความสามารถของสายเลือดกวินฟอร์ทุกคน’ จนเมื่อปีที่แล้วรุ่นพี่อานีลได้ลงแข่งและได้ทำลายข้อกังขานั้นลง เขาเป็นปี 1 คนแรกและคนเดียวในรอบ 10 ปีที่สามารถล้มคู่ต่อสู้อย่างขาดลอย ความสามารถที่ปรากฏแก่สายตาเรียกเสียงโห่ร้องอันกู่ก้องให้เหล่านักเรียนจากอัฒจรรย์ของกวินฟอร์การ์เดี้ยน แต่หารู้ไม่ว่าในปีต่อมามันจะเพิ่มงานการเป็นหัวหน้านักเรียนให้เขาได้เป็นเท่าตัว!! เสียงเคาะประตูดังขึ้นแทบจะในทันทีที่มิคาห์จากไป อานีลเงยหน้ามอง “เข้ามา....” เส้นผมสีส้มอ่อนยาวแทบจรดพื้นพริ้วไหวตามท่วงท่าอันงดงาม ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำยิ่งในยามราตรีอันมืดมิดเช่นนี้ด้วยแล้วปรากฏชัดแก่สายตาคนมอง รอยยิ้มดั่งเทพธิดาเผยจนเชื่อว่าใครที่ได้เห็นแม้เพียงหางตายังต้องเหลียวมองกลับ “มากวนนายรึเปล่า?” เสียงหวานเอ่ยติดขบขัน อานีลหัวเราะเบา “เธอเคยสนใจด้วยหรือไงนิน่า?” หญิงสาวเลิกตีหน้าหวานแล้วทำหน้าบูดบึ้งอย่างหงุดหงิดแทน เธอย่ำเท้าอย่างไม่สบอารมณ์นักมาหย่อนก้นนั่งบนโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ มือเรียวสวยที่หยิบแผ่นกระดาษบางไว้สะบัดไปมาเบื้องหน้าของคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ “รู้รึเปล่ายะว่ารุ่นน้องของนายน่ะทำให้โดนหักค่าเสียหายไปเท่าไหร่?!” “ก็รุ่นน้องเธอเหมือนกันด้วยไม่ใช่รึไง?” เขาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ใช่ย่ะ!! ของนายนั่นแหละ!!!” เธอแหวใส่ แล้วโยนแผ่นกระดาษนั้นให้ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองแผ่นกระดาษนั้นสลับกับหญิงสาว “ค่าใช้จ่าย?” “ค่าเสียหายด้วยย่ะ!” เธอเท้าสะเอว “ดีโรร์ทำให้ที่ทำมาหากินชาวบ้านชาวช่องเขาเสียหาย! เราเลยต้องโดนหักค่าจ้างไป 70% ที่สำคัญรวมค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่พวกดีโรร์ไปไข่ไว้แล้วก็หมดพอดี!!” อานีลไล่สายตามอง แล้วพับมันคืนให้กับหญิงสาวตามเดิม “ไม่ติดลบก็ดีแล้ว” “ถามจริง ๆ นายไม่คิดว่าการทำงานแบบนี้มันเหนื่อยเปล่าเลยหรือไง? ปกติพวกเราก็ใช่ว่าทำงานคุ้มกับค่าจ้างอยู่แล้ว และไอ้การที่ ‘ไม่เหลือเงินสักแดงเดียว’ เนี่ยไม่คิดว่ามันไม่คุ้มบ้างเลยรึ?!” พอฟังนิราวาน่าหญิงสาวผู้เป็นถึงประธานสายเวทย์ ผู้กุมอำนาจทางการเงินของโรงเรียนไว้ในมือจบ อานีลก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับสายเลือดเจ้าแห่งการค้าของเธออย่างปลงตก ถึงแม้จะเห็นด้วยกับคำพูดนั่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดหัวเสียหนักกับเรื่องนี้ ยิ่งถ้าเขาเอ่ยปากบอกไปว่า ‘มันไร้สาระ’ ล่ะก็....เจ้าหล่อนคงได้เอาเวทย์มหากาฬสักเวทย์ถล่มใส่หัวเขาเป็นแน่แท้ “แล้วเธอจะเอายังไง?” “ให้ดีโรร์ไปทำงานนั้นแทนมิคาห์!!” คนฟังเหลือกตามอง กุมขมับเครียด “เธอจะบ้ารึเปล่า ถ้าให้ดีโรร์ไปทำมีหวังเขาได้ฆ่าคนตายแน่ แล้วทีนี้นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว เธอยังต้องเสียค่าปลอบขวัญและค่าทำศพอีกต่างหาก” อานีลเอ่ยตอบ มาดความนิ่งเย็นที่มีพังทลายลงเสมือนกับเปลี่ยนแปลงเป็นคนละคน “ไม่รู้ล่ะ! ยังไงนายก็ต้องหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้!!” เธอลุกยืนพลางชี้หน้า “ถ้านายแก้ปัญหานี้ไม่ได้ฉันจะสั่งตัดงบประมาณแผนกนักรบ!!” ได้ยินดังนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ปกติไอ้คำขู่แบบนี้ใช้กับเขาไม่ได้ผลนักหรอก นอกเสียจากมันเป็นคำขู่ที่ออกมาจากปากคนกุมอำนาจจริง ๆ....เขาไม่กลัวตัวเองอดอยากหรอกนะ แต่สงสารคนอื่น ๆ ที่จำเป้นต้องใช้เงินในการกินอยู่ทำภารกิจมากกว่า “ก็ได้....ฉันจะจัดการให้” “ดี!!” เธอร้องตอบอย่างพอใจ ดวงตาสีเข้มทึบเป็นประกายสวย อานีลที่ก้มหน้าทำงานต่อเมื่อเห็นเสียงอันเจื้อแจ้วนั่นเงียบลงเขาจึงเงยมองอย่างสงสัย ปรากฏว่าใบหน้าของนิราวาน่าห่างจากเขาเพียงแค่สองคืบเท่านั้น เล่นเอาคนไม่ได้เตรียมใจจะพบเจอเหตุการณ์ถึงกับผงะถอยหลัง “อะไร?” เสียงทุ้มออกจะหวาดเล็ก ๆ เอ่ยถาม “นายดูไม่ดีเลยนะ.....ไม่สบายหรือเปล่า?” น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นถนัดตาเรียกเอารอยยิ้มของผู้ฟังให้แต่งแต้มขึ้น เขาส่ายศีรษะไปมาพลางก้มลงทำงานต่อ “ไม่เป็นไรหรอก คงเพราะช่วงนี้งานเยอะเกินไปเลยพักผ่อนน้อยน่ะ” “แน่ใจนะ?” อานีลหัวเราะ “ฉันเคยโกหกหรือไง?” นิราวาน่ากอดอกนิ่งมอง “ไม่” เธอตอบ “งั้นก็ต้องพักผ่อนให้มาก ส่วนเรื่องที่ฉันว่าเมื่อครู่ก็จะหยวน ๆ ให้หน่อยแล้วกัน เอาเป็นว่าให้เวลานายถึงสิ้นเดือนหน้า ตกลงไหม?” “นั่นหยวน ๆ ของเธอแล้วรึไง?” “แน่นอน!” เธอหัวเราะก่อนโบกมือไหว ๆ “ไปล่ะ....ง่วงจะตายอยู่แล้ว ตรวจค่าเสียหายของดีโรร์แค่คนเดียวฉันก็รู้สึกเหมือนใช้พลังงานตรวจของสัก 10 คน!! เฮ้อ!!!” บานประตูปิดลงอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะส่งท้ายของเจ้าของห้อง นิราวาน่ากับเขารู้จักกันมาตั้งแต่ตอนเด็ก ในตอนนั้นพ่อของเธอออกทำการค้าไปทั่ว ทำให้เขาเองที่ชอบเดินทางได้พบกันโดยบังเอิญ จนเมื่อตอนเข้าเรียนที่นี่พวกเขาก็มาสมัครในปีเดียวกัน นิราวาน่าเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี สำหรับเขาแล้วเธอคือเพื่อนที่รู้ใจอีกคน เป็นเพื่อนที่เขาคิดว่าไม่อยากจะให้ขาดหายไปในชีวิต..... “10 คนเชียวรึ?” เขาหัวเราะอีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงของอะไรบางอย่างก็ดังเข้าหู อานีลทำท่าจะเหลือบมอง แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยเขาจึงแย้มยิ้มแทน “นายจะเข้าทางประตูเหมือนกับชาวบ้านเขาไม่ได้รึไงซิน” คนถูกทักเบิกตากว้าง ผมสีแดงเข้มเด่นชัดขึ้นหลังผ้าม่านผืนบาง “เข้าแบบชาวบ้านใช่ฉันเสียที่ไหนล่ะ” “งานเป็นยังไงบ้าง?” “เรียบร้อยดี” ซินเกลเดินมานั่งบนโซฟากลางห้อง ยกขาพาดโต๊ะรับแขกเล็กตามนิสัย สักพักเขาก็เอ่ยอะไรบางอย่างออกมา “นายนั่นแหละ....จะฝืนไปถึงไหน” “.....เปล่า......” เขาไม่ได้ตอบว่า ‘ไม่ได้ฝืน’โดยตรง แต่ตอบว่า ‘เปล่า’แทน หากเป็นคนอื่นอาจไม่ได้ต่างกัน แต่สำหรับคนที่รู้จักอานีลอย่างซินเกลแล้วมันไม่ใช่ “นายนี่นับวันจะโกหกเก่งขึ้นนะ นี่มันจะ 3 เดือนแล้วนะ ถ้าเป็นคนอื่นคงได้คลั่งตายไปแล้ว” “ฉันยังทนได้” “ทนได้กับผีสิ!!” ซินเกลเดินดุ่ม ๆ เข้าหา แทบจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายให้ละจากงานที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อ “แกอย่าฝืนนีล! ฉันไม่ได้กลัวแกจะตาย แต่กลัวว่าฉันต้องฆ่าแกให้ตาย!!” อานีลหัวเราะ “ถึงนายไม่ฆ่าฉันคนอื่นก็ต้องฆ่า” “แล้วแกคิดว่าคนอื่นที่เขาจะฆ่าแกเขามีความสุขนักรึไง?!” ชายหนุ่มผมแดงตวาดใส่ รู้สึกหงุดหงิดกับเสียงหัวเราะที่ได้ยิน “ดื่มซะ! อย่าให้ฉันต้องพูดมาก!!” ซินเกลถกแขนเสื้อตนขึ้นแล้วยื่นมาเบื้องหน้าของคนที่สบตามองอยู่ “ไม่” น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มเริ่มเย็นชาขึ้น “นายคิดว่า 3 เดือนของฉันฉันจะไม่สามารถฆ่านายได้เชียวรึ?” “ก็ดีกว่าที่ฉันต้องฆ่าแก!” “ซินเกล!!” อานีลขึ้นเสียงบ้าง เขาลุกพรวดยืนดวงตาสีน้ำตาลเข้มกร้าวจนเหมือนจะเกิดแววกระหาย “อย่าให้ฉันต้องทำร้ายนาย” “ถ้านายไม่ดื่มตอนนี้แล้วนายบ้าขึ้นมานายก็ต้องทำร้ายฉันอยู่ดีนั่นแหละ” ซินเกลแทบจะยัดแขนของตนเองใส่ปากคนหัวแข็ง “แกห้ามใจตัวเองได้แต่แกห้ามสัญชาตญาณของตัวเองไม่ได้อานีล!!” เด็กหนุ่มสะอึก....หากยังคงนิ่งไม่ยอมขยับ “ถ้าฉันจะดื่มก็ต้องไม่ใช่จากนาย” ซินเกลแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเมื่ออีกฝ่าย ‘จะยอม’ แต่โดยดี “อาราย ๆ รังเกียจเนื้อเค็ม ๆ ที่เต็มด้วยเหงื่อของผู้ชายรึไง?~” “ฉันอยากจะฆ่านายขึ้นมาแล้วสิ” อานีลหันมาจ้องมองด้วยรอยยิ้ม หากดวงตาสีน้ำตาลแข็งทื่อจนทำเอาซินเกลขำไม่ออก “ตกลง ๆ ก็ได้ แต่ต้องให้ฉันตามไปด้วย!” “นายจะบ้ารึไง.....” “ไม่บ้าเว้ย!! เผื่อนายเล่นตุกติกล่ะ!!!” คนฟังยกมือกุมขยับแล้วหันมอง “นายท่าจะบ้าจริง ๆ ด้วยนะซิน.....” =========================== :hlonely:
ย๊ากกก คนแรก เมื่อคืนปั่นเวลหนักกันไปหน่อย(?)เลยไม่ได้มาอ่านซะงั้น..... อานีลนี่เหมือนจะเป็น ... (ละไว้ แต่น่าจะเดาถูกหรือใกล้เคียง) อ่านๆไปแล้วเหมือนเห็นคู่นอร์มอลจากนั้นก็โดนพลังม่วงเข้าแทรกชอบกล (กร๊าก) ตอนนี้พวกปี2รอดไป๊~ ว่าแต่คนนอกนี่ใครหว่า รอตอนต่อไปคร้าบ *3*/
ยาอะไรกันนะนั่น ท่าทางอานีลกินแล้วท่าจะเกิดเรื่องแหงๆสินะ อ่านผิดไปเองแฮะ ตอนแรกนึกว่ายาแต่นี่ท่าทางจะให้ดื่มเลือดกันล่ะสิเนี่ย ความลับของท่านประธานที่ใครรู้ไม่ได้สินะ
ตามมาอ่านครับผม จริงๆ อ่านไปแล้วตั้งแต่วันก่อน แต่ยังนึกคอมเมนท์ไม่ออก เริ่มแรกมาก็อ่านได้เรียบๆ เรื่อยๆ พอตอนท้ายเรื่องนี่ ไอสีม่วงลอยมาแต่ไกลเลย 555+ อานีลเป็นแวมไพร์เหรอครับเนี่ย? ไม่นึกว่าในจักรวาลฟิคนี้ จะมีแวมไพร์ด้วย หรือผมอ่านไม่ละเอียดเอง รอตอนต่อไปครับ
เปิดตอนมา มาคุ เต็มที่ทีเดียว แต่ไหงท้ายเรื่อง อานีลกับซินเกล มันส่อ...ชอบกล ==" ปล. ชอบอีโมตอนท้ายชอบกล แลดูเข้ากับอารมณ์ฟิค 555
เข้ามาอ่านเงียบๆ... ...แต่ขากลับแอบโวยวาย โฮกกกกกก~ อ๊างงงงงง~ ทำไมตูชอบตอนท้าย 5555555 ปล.ซวยแล้ว ลืมพาสบอร์ดซะแล้ว - -" (นี่มันลอคอินอัตโนมัติอ่ะ)