Catastrophe Story Prologue 0 ณ ดวงดาวอันห่างไกลออกไป ดวงดาวที่เหมาะสม สำหรับพวกเขา ไม่มีที่ใดเหมาะสมไปมากกว่าที่แห่งนี้ ที่ซึ่งมีทรัพยากรอันสมบูรณ์ หรือแม้กระทั้งแสงจากพระอาทิตย์ที่ไม่ใกล้จนร้อนหรือห่างจนหนาวเย็นเกินไป อย่างไรเสียพวกเขาชนเผ่า ‘รีเมน’ ได้เลือกที่แห่งนี้เพื่อที่จะอยู่แทนดวงดาวที่พวกเขาจากมา ดวงดาวที่ล่มสลายไปพร้อมกับสิ่งมีชีวิตจากดวงดาวอื่น เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังอำนาจมากกว่าพวกเขาทุกๆด้านนั้นก็คือ ‘เฟียร์ส’ ชนเผ่าที่ล่าอาณานิคมและทรัพยากรของเผ่าต่างๆและมีวิวัฒนาการที่เร็วจนเหนือความคาดหมาย พลังลึกลับที่พวกมันมีไว้ในครอบครองเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าพวกเขาไปถึงสองร้อยศตวรรษ ทว่าในตอนที่พวกเขาได้ทำการอพยพออกจากดาว พวกเขาเองก็ได้แต่ภาวนาต่อศาสดาที่ประดุจดังพระบิดาแห่งชนเผ่ารีเมนอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา แต่ความจริงช่างโหดร้ายต่อพวกเขาเหลือเกิน ศาสดาของพวกเขาได้สิ้นอายุขัยก่อนที่จะได้เห็นดาวดวงใหม่แห่งนี้ แน่นอนพวกเขาเผ่า ‘รีเมน’ มีความสามารถในการสรรค์สร้างและดึงเอาพลังงานของดวงดาวนั้นๆออกมาใช้ได้ พวกเขาจึงได้ทำการสร้างระบบต่างๆภายในดาวดวงใหม่โดยใช้ชื่อว่า ‘เอิร์ท’ และทำการเปลี่ยนแปลงดาวดวงนี้ให้กลายเป็นที่ปักหลักปักฐานของตน แต่แน่นอนเขาไม่คิดที่จะลืมเหตุการณ์จากดาวดวงเดิมของตนเป็นแน่ การสร้างเผ่าพันธุ์อันแข็งแกร่งในตอนนี้สำหรับพวกเขาเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งไม่แพ้การสร้างดาวดวงนี้เลยทีเดียว ซึ่งพวกเขาได้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาหลายอย่างด้วยกัน และสิ่งที่เขาคิดว่าจะสามารถต่อกรกับเผ่าพันธุ์เฟียร์สได้ก็คือพลังภายในเอิร์ทที่เรียกว่า ‘เอนเจม’ ที่กระจายอยู่ทั่วเอิร์ทซึ่งพลานุภาพของมันนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะคิดเหลือเกินเพียงทว่าการนำมาใช้นั้นกลับมีขีดจำกัด เพราะหากเอนเจมถูกนำมาใช้ในปริมาณที่มากเกินไปเอิร์ทแห่งนี้ก็อาจจะเสียสมดุลเหมือนเมื่อครั้งที่ดวงดาวของเขาต้องล่มสลายก็เกิดจากการนำพลังของดวงดาวมาใช้เกินขีดจำกัดเช่นกัน แน่นอนการนำมาใช้ในครั้งนี้จึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ในตอนแรกพวกเขาได้สร้างสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ทรงพลังแต่พวกมันกลับไร้ซึ่งสติปัญญาและนั่นก็ทำให้พวกเขาตระหนักถึงเหตุการณ์ที่จะตามมาได้เช่นกัน พวกเขาจึงได้นำพวกมันกลับคืนสู่แหล่งกำเนิดและสร้างสิ่งมีชีวิตอย่างใหม่ขึ้นมา พวกเขาทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนได้สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ นั่นก็คือเหล่าเทพที่คอยรั้งสมดุลแห่งเอิร์ทเป็นอันดับแรก โดยมอบพลังในการควบคุมธาตุทั้งสิบสามที่จะทำให้เอิร์ทแห่งนี้ปราศจากภัยอันตรายจากธรรมชาติโดยให้เทพทั้งสิบสามควบคุมดูแลเหล่า ดิน น้ำ ลม ไฟ แสง มืด พฤกษา วิญญาณ ดวงดาว สายฟ้า น้ำแข็ง เหล็ก และไร้ธาตุ พร้อมทั้งสร้างเผ่าพันธุ์และเขตแดนของตนขึ้น ณ พื้นที่ต่างๆบนดวงดาวนี้ ซึ่งพวกเขาก็อยู่กันอย่างสงบสุขภายใต้พลังอำนาจอันสูงส่งหาสิ่งใดเทียม จนพวกเขา ‘รีเมน’ที่ได้ขึ้นชื่อว่าผู้สร้าง หวาดกลัวต่อเหล่าเทพที่พวกตนได้สร้างมากับมืออาจเป็นเพราะหวาดกลัวต่อความคิดของพวกเขาเองก็ได้ พวกเขากลัวว่าเหล่าเทพที่มีพลังอันสูงส่งก็จะไม่ต่างอะไรกับพวก ‘เฟียร์ส’ แต่ทว่าเหล่าเทพนั้นเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายเกินกว่าที่จะนำกลับสู่แหล่งกำเนิดได้ จนกระทั่งผู้สร้างได้ให้กำเนิดชนเผ่าดวอร์ฟขึ้นมาเพื่อหวังมาค้านอำนาจกับเหล่าเทพ โดยการให้พลังส่วนที่มากที่สุดของเอนเจม ความสามารถอันล้ำค่าของชนเผ่ารีเมนในการสร้าง และให้ความถูกต้องซึ่งเป็นส่วนที่คิดว่าสำคัญที่สุด แต่กระนั้นเผ่าดวอร์ฟอันแข็งแกร่งนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากตน ความรักสงบของพวกเขาอาจจะเป็นภัยสำหรับโลกที่เขาสร้างขึ้นก็เป็นได้ ผู้สร้างได้ตระหนักเป็นครั้งสุดท้าย และได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาคิดจะสร้างขึ้นเพื่อสร้างสมดุลของโลกนั่นก็คือเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่คอยถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน เขาได้ใส่ความทะเยอทะยาน และสามัญสำนึก ซึ่งสติปัญญาของพวกเขาอาจจะเหนือกว่าเหล่าเทพและดวอร์ฟมากเลยทีเดียว เพียงทว่าความเก่งกาจของพวกเขานั้นเปรียบเทียบกับเทพและดวอร์ฟไม่ได้ เพราะมีความอ่อนแอ เปราะบาง แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กลับทำให้เหล่าผู้สร้างพอใจกับสิ่งมีชีวิตนี้มากที่สุด เพราะพลังอำนาจที่สมดุลและมีพลังที่ถ่วงดุลซึ่งกันและกันอาจจะทำให้โลกนี้สงบสุขกว่าที่พวกเขาคิดก็เป็นได้และความแข็งแกร่งที่ถ่วงดุลกันนั้นจะเป็นโล่ป้องกันภัยจากพวกที่รุกรานเขาในอดีตได้ไม่ยาก และแล้วอายุขัยของผู้สร้างได้หมดไปกับการสร้างโลกครั้งสุดท้ายโดยที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าพลังในการสรรค์สร้างที่ติดตัวมานั้นถูกนำมาใช้จนเกินขีดจำกัดจนทำให้พวกเขาเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้และสิ้นอายุขัยไปในที่สุด และได้เลือกเผ่าดวอร์ฟเป็นผู้ดูแลคนถัดมา เป็นเวลานานนับ พันปี หมื่นปี แสนปี อารยธรรม ความสามารถ เวทมนตร์ เทคโนโลยี หรือแม้กระทั้งโลก เปลี่ยนไปเพราะเผ่าต่างๆ และในสิ่งนั้นก็มี ‘สงคราม’ เพราะความทะเยอทะยานของเผ่าพันธุ์ต่างๆนั้นช่างมหาศาล เกินกว่าที่ผู้สร้างในอดีตได้คาดการณ์เอาไว้ ทั้งนี้สงครามนั้นได้เกิดผลกระทบกับเผ่าเทพที่เก็บตัวอย่างสงบมานาน และเป็นผลทำให้เหล่าเผ่าพันธุ์ต่างๆล่วงรู้ความลับในอดีต พลังที่ผู้สร้างได้หวาดกลัว เหล่าเทพเมื่อรู้ว่าภัยถึงตัวจึงได้แต่ใช้พลังของธาตุทั้งสิบสามนั้นในการต่อกรกับเหล่าเผ่าพันธุ์ต่างๆซึ่งดูท่าจะเป็นไปได้ง่ายซะเหลือเกินในการกำราบพวกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงในความคิดของเหล่าเทพ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเผ่าพันธุ์ต่างๆบนพื้นโลกจะสู้ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะเวทมนตร์แห่งผู้สร้างที่ค้นพบช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เหล่าเทพได้แต่ปลดปล่อยพลังครั้งสุดท้ายเพื่อช่วยพวกพ้องของตน แต่มันไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ที่เกิดดีขึ้นเลย ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ‘ร่วงหล่นจากสวรรค์’เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีเหล่าพวกเผ่าพันธุ์ต่างๆที่รวมตัวกันและเรียกพวกตนว่า ‘เรียลเอิร์ท’เป็นผู้กำชัยชนะ เหล่าเทพได้สูญเสียในสิ่งที่ตนนั้นพึ่งมี สูญเสียดินแดนของตน สูญเสียพลัง สูญเสียผู้คน เอิร์ทเองก็ได้เสียสมดุลของธาตุทั้งสิบสามไป ทำให้โลกเกิดกลียุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี สงครามถูกก่อขึ้นทุกหย่อมหญ้าและลุกลามราวกับโรคร้ายที่กัดกินเอิร์ท เกิดภัยธรรมชาติที่ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ และความเคียดแค้นที่เหล่าเทพมีต่อเหล่าเรียลเอิร์ทนั้นก็ได้เอ่อล้นจากร่างที่เป็นผลมาจากเอนเจมที่มีวิวัฒนาการขั้นสุดและวิวัฒนาการไปเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีร่างสีดำที่น่าสะอิดสะเอียนที่เกิดจากความแค้นของเหล่าผู้ร่วงหล่นในนาม ‘อาเอช’ ความรู้สึกจอมปลอมที่เกิดขึ้นภายในร่างของมัน ได้ทำหน้าที่ไม่แพ้ผู้ให้กำเนิดมันเลย ความแข็งแกร่งของมันช่างมหาศาล เพราะมีทั้งพลังของเอนเจมในการสร้างธาตุทั้งสิบสามในการต่อสู้หรือแม้กระทั้งความแข็งแกร่งล้วนแต่ได้รับมาจากผู้กำเนิดทั้งนั้น หากแต่ว่าเวทมนตร์เป็นสิ่งเดียวที่มันหวาดกลัว พวกมันรอเวลา รอจนกระทั่งสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของพวกอาเอชได้เริ่มขึ้น ความโศกเศร้า ความแค้น ความหวาดกลัว ทำให้มันมีพลังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกมันได้พ่ายต่อเวทมนตร์ของฝั่งเรียลเอิร์ทอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ดวอร์ฟนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าฝ่ายใดนั้นถูกหรือผิดกันแน่ พวกเขาได้แต่เฝ้ามองสิ่งที่ผู้สร้างได้สร้างขึ้นมาและดูพวกมันทำลายกันเอง ดวอร์ฟที่รักความสงบจึงได้สร้างโลกอีกฟากนึงเอาไว้ พวกเขาส่วนใหญ่จึงจากไปพร้อมกับสร้างเขตทะเลที่ไม่สามารถข้ามไปได้ แต่จนแล้วจนรอดเรียลเอิร์ทเองก็ได้ออกกวาดล้างพวกอาเอช ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า จนพวกมันได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เวลาล่วงเลยผ่านไป พวกเขาไม่ว่าจะเรียลเอิร์ท เหล่าเทพ เหล่าอาเอช หรือแม้กระทั่งดวอร์ฟเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่ผู้สร้างให้กำเนิดพวกเขาคืออะไรกันแน่ สายเลือดของผู้สร้างที่ทิ้งไว้อย่างดวอร์ฟก็ได้แต่เฝ้ามองโลกในขณะที่โลกนี้ได้ทำสงครามกัน ความรู้ ความนึกคิด ความสามารถ ของเขาได้รับรู้ถึงทุกอย่าง แต่กระนั้นพวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าคลื่นความชั่วร้ายที่รุนแรงกว่านั้นกำลังใกล้โลกแห่งนี้เข้ามาทุกทีแล้ว ++++++++++++++++++++++++++++++++++ สนทนาหลังแต่ง – แบบว่าเนื้อหาก็ไม่ได้เครียดเหมือนบทนำนะครับ /me โดนทุบ แบบว่าแต่งมากี่เรื่องบทนำเครียดทุกที แต่เนื้อเรื่องรั่วซะงั้นกร๊ากกก คือตอนนี้ผมจะเปลี่ยนเป็นแนวโรงเรียนเถื่อนๆนิดนึงนะครับ คือภาพของโรงเรียนสวยหรูรุ่นพี่ใจดี อาจารย์เข้มๆนี่คงจะไม่มีแล้ว ตัวละครที่สมัครถ้าจะเปลี่ยนยังไงรบกวน PM มาด้วยนะครับผม ส่วนฟิคนี้ยังไงก็ติชมกันได้ตามอัธยาศัยนะครับ ป.ล.ไฟมาเพราะพี่จ้อยกับพี่นุ๊ก เลยโดนบีบให้ลงบทนำซะงั้น OTL ป.ล.2 อ่านไปอ่านมาทำไมมันอารมณ์ FFVII ซะงั้น(ผมได้แรงบัลดาลใจจาก Starcraft นะตอนแรก=A=") ส่วนอันนี้เป็นลิงค์ที่พี่ๆเพื่อนๆสมัครมานะครับ ลองไปดูกันได้ว่าใครอยู่ห้องไหนยังไงบ้าง http://www.all-final.com/forum/index.php?showtopic=6193
อ้ากกกกกกกกกกกก >< เจิมครับ รอมานาน มาแล้วๆ (ทำหน้าดีใจ เหมือนวิ่งรอบโลกชนะ) รออ่านตอนต่อไปนะคร้าบ รอด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น การบรรยาย ดูขลังดีนะครับ แล้วก็ให้ความรู้สึก ชวนติดตาม แม้กระทั่ง การกำเนิดและล่มสลาย ก็ทำให้ดูน่าคิดตาม ยังไงก็ สู้ๆครับ >_<
รู้่สึกว่าได้อารมณ์แฟนตาซีมากกกกกกกกกกก 555 โอเคเลยนะ คือถึงมันจะคล้ายก็จริงแต่คิดว่ามันเป็นเพราะแกนหรือจุดเริ่มต้นมากกว่า มันจะไปทิศทางไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับการดำเนินเรื่อง จะรออ่านนะ หึหึ~ :medance.:
บอกตรงๆตอนเปิดเรื่องมา งงเลยว่า เคยมีเปิดรับสม้ครเรื่องนี้ดวยหรือ? (ดองนานจัดจนแข็งเป็นหินแล้ว) แต่ถ้าจะเถื่อนขึ้นก็ไม่ว่าน่อ แต่อย่ากินตัวเราหมดล่ะ :hsunglass:
บทนำให้ความรู้สึกเหมือน LOTR โดยเฉพาะกำเนิดเผ่าพันธุ์ต่างๆ แต่ถ้าบอกว่ามาจาก Starcraft ก็ไม่แปลกใจเลย ทำบทนำได้ดี ปูเนื้อเรื่องกว้าง เผ่าพันธุ์ที่สมัครมาคงได้โลดแล่นเต็มที่ - -b ขอโทษนะริวโตะ แต่ผมลืมไปแล้วว่าเคยสมัครฟิคนี้ /me ถูกต่อยคว่ำ
แนะมีพาดพิงเรอะ เจ้าริวโตะ บทนำทำออกมาได้ดีทีเดียว ดูหนักแน่นอลังการดี ว่าแต่มอง Rep ของ อิวาน เออแฮะ ตรูเคยสมัครฟิคนี้ไว้ด้วยเรอะ /me ถอยฉากชิ่งหายไปอย่างว่อง
เพิ่งจะได้ฤกษ์มาอ่านละเอียดก็คราวนี้..... จะบอกว่าบทเปิดอลังการมากเธอ ย้อนความไปไกลมากกกกก แต่ก็นะมันทำให้รู้ที่มาที่ไป ก็คอยดูกันต่อไป จะบอกว่าฟิคนี้สมัครไม่ทันแหละ =v="b
Catastrophe Story 1 ลูวิส เรเชส นครนอนเอียงออกันดันซ่า สถาปัตยกรรมซึ่งถูกตกแต่งด้วยอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่ผนังของแต่ละบ้านประดับประดาไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ตามความเชื่อที่ว่าพืชเหล่านั้นจะทำให้สุขภาพของผู้อยู่อาศัยแข็งแรงตลอดปี บ้านเรือนเหล่านั้นที่พากันเอียงไปตลอดแนวถนนเส้นหลักของนครเรื่อยไปจนถึงปราสาททรงงามซึ่งถูกจัดให้เอียงเช่นเดียวกันกับตัวนครต่างเสริมให้นครแห่งนี้แตกต่างจากนครอื่นอย่างชัดเจน สิ่งเดียวที่ไม่บิดเบี้ยวไปตามมหานครแห่งนี้ คงมีแต่เพียงพระอาทิตย์ที่ตั้งตรงอยู่บนท้องฟ้าในยามเที่ยงวันเท่านั้น พื้นที่ต่างๆในออกันดันซ่าถูกจัดแบ่งเป็นรูปคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู แต่ตัวอาคารกลับมีลักษณะเป็นทรงสามเหลี่ยม โดยที่ส่วนหน้าของนครจะกว้างมากกว่าส่วนหลังอันเป็นพื้นที่ของ วาโมเสส ปราสาทเอียงอันลือเลื่องที่ตั้งมานับแต่ผู้คนจดจำนครแห่งนี้ได้ แม้ความงามของมันนั้นยากที่จะปฏิเสธได้ แต่ วาโมเสส ก็ดูเป็นปราสาทที่ไม่สมประกอบเกินกว่าที่จะเรียกว่าสวยได้เช่นกัน ลักษณะทางประติมากรรมของวาโมเสสต่างกับปราสาทของนครอื่นค่อนข้างมาก ด้วยตัวปราสาทที่มีความสูงเท่ากันตลอดแนว ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นส่วนที่จมอยู่ใต้ดิน กึ่งกลางระหว่างตัวปราสาทด้านบนและด้านล่างเป็นท้องพระโรงใหญ่อันมีที่นั่งถูกจัดเตรียมไว้สิบสี่ที่นั่ง และแม้ว่าวาโมเสสจะใหญ่โต แต่ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้น ถึงอย่างนั้นปราสาทร้างนี้ก็ไม่เคยทรุดโทรมลงเลย ทั้งกำแพงที่ไม่เคยเก่า หน้าต่างที่ฝุ่นไม่เคยเกาะ ทุกส่วนของวาโมเสสดูสะอาดอยู่เสมอ เหมือนเช่นปราสาทร้างที่ถูกสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา ตำนานเล่าไว้ว่านครนอนเอียงออกันดันซ่าถูกคำสาปแช่งจากขุนพลแห่งความมืดทั้งสิบห้าคนผู้สร้างนครแห่งนี้ขึ้นให้ทุกอย่างผิดปกติ ไม่เข้ารูปเข้ารอย บิดเบี้ยว ไร้รูปลักษณ์แห่งความเป็นจริง แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ ตู้จดหมาย เสาไฟ เมฆหมอก ก้อนหิน หรือแม้แต่ตรอกซอกซอยก็พากันเอียงไปหมด นั่นจึงทำให้ออกันดันซ่าถูกขนานนามอีกอย่างว่า ‘นครแห่งความฝัน’ นครที่แม้แต่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างยังเดินเอียง แต่เหตุผลของคำสาปนั้น แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครบอกได้ เรื่องน่าแปลกของนครนอนเอียงออกันดันซ่ายังมีอยู่ว่า สิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ถึงแม้จะสร้างให้เหมือนปกติแค่ไหน วันรุ่งขึ้นสิ่งปลูกสร้างนั้นก็จะเอียงไปเหมือนกับบ้านเรือนต่างๆที่อยู่รอบๆ แม้แต่แรงโน้มถ่วงก็ยังผิดเพี้ยน ในออกันดันซ่า การเดินบนกำแพง เพดาน หรือเสาไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยสำหรับชาว’ฮาวาเรีย’ จึงไม่ผิดนักหรอกที่ผู้คนจะเรียกมันว่า ‘นครแห่งความฝัน’ อาจด้วยเหตุนี้ที่ทำให้หลายๆคนเรียกเผ่าฮาวาเรียว่าเป็นเผ่าแห่งความฝัน แต่ความจริงอันน่าโหดร้ายนั้นกลับเหมือนน้ำหวานที่ล่อลวงเหล่านักเดินทางให้พากันหลงใหลอยู่ในความฝันบนความเป็นจริง นครแห่งนี้ได้รับความสนใจและถูกค้นคว้าในฐานะนครที่แปลกประหลาดของโลก ไม่มีทฤษฎีไหนสามารถใช้กับออกันดันซ่าได้ มีเพียงสมมติฐานที่เลื่อนลอยเท่านั้น เมื่อไม่อาจอธิบายด้วยความเป็นจริงได้ ทุกคนจึงเลือกที่จะเชื่อตามตำนานคำสาปของขุนพลแห่งความมืดต่อไป ที่สำคัญคือความแปลกประหลาดและลึกลับของออกันดันซ่าไม่ได้ทำให้อะไรเสียหาย เศรษฐกิจและการค้าขายในนครแห่งนี้เป็นไปด้วยดี ประชาชนอยู่กินอย่างไม่ขัดสน และเมื่อทุกอย่างลงตัว แล้วจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องค้นหาความเป็นจริง ผมเกิดมาในเมืองอย่างนี้ล่ะ นครแห่งความฝันที่ผมเริ่มแยกมันไม่ออกจากความเป็นจริง ชื่อของผมคือ ลูวิส เรเชส เด็กมีปัญหาของนครนอนเอียง ผู้ไม่เคยเดินตรง ซึ่งไม่รู้จะตั้งมาเพื่ออะไร ทุกคนในเมืองนี้ก็ไม่ได้เดินตรงอยู่แล้ว แต่คุณก็ฟังไม่ผิดหรอกพวกเขาเรียกผมว่าผู้ไม่เคยเดินตรง ถ้าจำไม่ผิดผมไม่ได้เดินไปตามถนนเส้นหลักตั้งแต่สองปีที่แล้วเห็นจะได้ ผมเดินนอนกระโดดตามแนวกำแพง เสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ถนนอยู่ตลอดเวลา ถึงจะดูแปลกในสายตาคนอื่น แต่ผมก็เฉยๆนะ มันแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำให้ตัวเองรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นๆในเมืองได้ พูดตรงๆว่าผมไม่อยากเป็นเหมือนพวกเขาที่พอใจในสิ่งที่ตนเป็น ผมรังเกียจพวกเขา มันอาจดูไร้เหตุผลแต่ถึงอย่างนั้นผมไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเกลียด ก็คนมันเกลียด... แต่ผมก็ปฎิเสธตัวเองไม่ได้ ปฎิเสธความเป็นฮาวาเรียไม่ได้..... ผมอายุได้สิบแปดเมื่อห้าเดือนที่แล้ว และมันก็ไม่ต่างอะไรกับทุกปีผมยังคงสร้างปัญหาให้ออกันดันซ่าได้ตลอดเวลา ทั้งฉกชิงวิ่งราว ก่อกวนทุกรูปแบบ และก่ออาชญากรรมเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอ ผมคิดว่ามันเป็นงานศิลปะนะ ไม่รู้พวกเขาจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า แต่ถ้าขาดผมไอ้เมืองนอนเอียงแห่งนี้คงจะน่าเบื่อไปเหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน ถ้าให้พูดกันตรงๆความวุ่นวายก็ช่างไม่เหมาะกับนครแห่งนี้เอาซะเลย นั่นคือสิ่งที่ผมคิดได้ก่อนที่พวกผู้เฒ่าจะจัดการส่งผมไปเรียนในโรงเรียนของเด็กมีปัญหาในแถวชานเมืองทางใต้ แต่น่าเสียดาย ผมไม่มีเพื่อนที่นั่นเลยแม้แต่คนเดียว จะว่าไปไอ้พวกนั้นมันล้อว่าผมเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจนัก เรื่องที่ทำให้ผมเสียใจคือการกลับมาเดินบนพื้นมากกว่า มันช่างเรียบง่ายเกินไปสำหรับหนุ่มวัยผจญภัย มันดูไม่มีอะไรท้าทายจนน่าเบื่อ จะว่าไปขนาดชื่อผมยังเอามาจากร้านขายขนมในเขตแปดเลย ‘ร้านขนมเอียงๆลูวิส’ ให้ตายเหอะผมเห็นกับตาตอนอายุสิบสี่เรียกได้ว่าแทบจะช็อก พูดจริงๆว่าตอนแรกก็แอบปลื้มนิดๆกับชื่อนะ ชื่อที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้เฒ่ากราเดสแห่งออกันดันซ่าผู้น่าศรัทธา เจ้าของสมญานามนักเวทย์แห่งแสงกราเดส ถุย! ผมอยู่ในโรงเรียนของชานเมืองแถบใต้ได้เพียงแค่สามเดือนก็ถูกย้ายไปฝั่งเหนือเนื่องจากคดีต่อยเพื่อนร่วมชั้นจนกระเด็นออกนอกหน้าต่างชั้นสองเป็นคนที่เท่าไรก็ไม่ได้นับ แน่นอนอาจารย์ทนผมไม่ไหวหรอก แต่ก็ดีนะการย้ายมาฝั่งเหนือทำให้ผมได้เพื่อนตัวกระจ้อยนามว่าลาร์ย่า เมนเดล ลาร์ย่าเป็นเด็กที่มีนิสัยต่างกับผมทั้งร่างกายทั้งนิสัยราวห้วงอวกาศกับใต้บาดาล ผมที่ตัวค่อนข้างใหญ่ในขณะที่ร่างของลาร์ย่าเรียกได้ว่าขนาดเล็กเท่าเด็กประถมจบใหม่ ผมออกห้าวๆแต่ลาร์ย่าจะเงียบและถูกแกล้งเสมอ และกลายเป็นว่าผมมีหน้าที่ปกป้องลาร์ย่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ผมอดเห็นใจเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่แม้แต่ยกโต๊ะของตัวเองยังไม่ไหวต้องถูกแกล้งทุกวันไม่ได้ แต่ถึงจะต่างกันยังไงก็ยังมีสิ่งที่เราเหมือนกันคือดวงตาที่มีสีของท้องฟ้า มันดูกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะมาอยู่กับร่างของลาร์ย่า ผมคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ตอนที่ลาร์ย่าถูกแกล้งผมไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ แววตาของเขาแข็งกร้าวและไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาเลยสักครั้งเดียวแต่นั้นผมหมายถึงแค่ดวงตานะ กระนั้นถึงลาร์ย่าจะเป็นยังไงเราก็ยังคุยกันได้ทุกเรื่องอยู่ดี อ่า ลืมบอกไปลาร์ย่าก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนผมและชื่อของเขาก็บังเอิญมาจากร้านขายขนมปัง‘ลาร์ย่าอบกรอบ’ในเขตสี่ซะด้วย ไม่รู้มันจะบังเอิญไปไหน อย่างไรก็ตามในฝั่งเหนือเรามีศัตรูร่วมกันคือ ซาซิส และ มาร์โมทั้งสองคนชอบเอาขนมปังอบเนยถั่วปาใส่ลาร์ย่าและผมในช่วงพักกลางวันเสมอ รวมไปถึงการแกล้งรูปแบบต่างๆที่เด็กเกเรมักจะทำกัน ผมเกือบทำให้พวกมันมีชะตากรรมเดียวกับคนที่มาหาเรื่องผมที่ฝั่งใต้ซะแล้ว แต่เป็นลาร์ย่าที่มาห้ามทัพไว้เสมอ “อย่าเลยลูวิส แค่ขนมปังเนยเอง นายอย่าคิดมากไปเลย” ลาร์ย่ามักจะพูดจาแนวๆนี้กับผมเสมอ ทุกๆครั้งที่ถูกแกล้งหลายต่อหลายครั้งที่ผมจะลุกขึ้นแทบทนไม่ไหว แต่ก็เป็นลาร์ย่าที่คอยห้ามผม พร้อมทั้งเตือนเรื่องครูใหญ่ฝั่งเหนือที่พักนี้คอยเขม่นผมอยู่ตลอดเวลา จะว่าไปผมก็ไม่สนใจนักหรอกนะ ออกจากนี้ก็คงย้ายไปฝั่งตะวันออกไม่ก็ตะวันตก และถึงจะไม่ได้เรียนผมก็ไม่แคร์ด้วยซ้ำ กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมมันก็ไม่เลวนักหรอก แต่ตอนนี้ที่ผมเริ่มห่วงก็เจ้าลาร์ย่านี่หล่ะ เราสองคนทนเรียนมาจนเข้าเดือนที่สาม ซาซิสและมาร์โมได้คู่หูใหม่อย่างดาเรล มันเป็นเด็กมีปัญหาจากฝั่งตะวันตกและมันก็สนใจผมที่ตัวใหญ่พอๆกับมันซะด้วยจากที่สังเกต แต่พฤติกรรมการแกล้งของพวกมันยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและครูที่เฝ้าก็ดูท่าจะไม่ถือสา เขาคงมองว่าเป็นเรื่องปกติของพวกเด็กมีปัญหาที่จะหยอกเล่นกัน ซึ่งผมคิดในใจว่า หอกหัก.... จะว่าไปก่อนหน้านี้ผมก็เคยเรียนในโรงเรียนของพวกคนปกตินะ ผู้เฒ่ากราเดสเป็นคนจัดการทุกอย่างให้ผมเหมือนเคย แต่น่าเสียใจผมอาจทำให้เขาผิดหวัง เหล่าอาจารย์บอกว่าผมไม่สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ ผมมีอารมณ์ที่ดุร้าย และหัวไม่ดีพอที่จะเรียนอะไรที่เด็กปกติเขาเรียนกัน ซึ่งมันก็อาจจะจริง เท่าที่ผ่านมาผลการเรียนของผมแทบจะเรียกได้ว่าดิ่งลงเหวซะเกือบจะทุกวิชา ที่เห็นจะได้ดีคงมีแค่วิชาเลข มันน่าแปลกเพราะผมไม่ต้องจำอะไรมากก็ทำได้สบายๆ แต่วิชาเดียวมันช่วยให้อะไรๆดีขึ้นไม่ได้หรอก แต่ประเด็นน่าจะเป็นที่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาเลือดขึ้นหน้าซะมากกว่า และเป็นเพราะอย่างนั้นล่ะ ผมถึงเรียนกับคนอื่นไม่ได้ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมชกเพื่อนร่วมชั้นไปทั้งหมดกี่คน อารมณ์โมโหร้ายแบบนี้คงทำให้ผมอยู่กับลาร์ย่าได้ด้วยล่ะมั้ง แต่ผู้เฒ่ากราเดสก็ยังคาดหวังกับตัวผมอยู่มากเท่าที่สังเกต ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร และตั้งแต่จำความได้ผู้เฒ่าเป็นคนให้ผมทุกๆอย่าง คนที่ผมจำได้คนแรกก็ท่านนี่ล่ะ ถ้าไม่ติดเรื่องการตั้งชื่อผมคงชอบเขามากกว่านี้.... จนวันหนึ่งผมจำได้ว่าฝนตกค่อนข้างหนักเป็นพิเศษ บรรยากาศในโรงเรียนของเด็กมีปัญหานั้นหนาวจนถึงกระดูกและฝนก็ตกหนักขึ้นทุกที หนักขนาดมองไม่เห็นตึกหรืออาคารข้างๆ ตั้งแต่อยู่ที่ออกันดันซ่ามาเท่าที่จำความได้ฝนไม่เคยตกหนักขนาดนี้มาก่อนและคาดว่าอีกไม่นานพายุน่าจะเข้า แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สิ่งที่ทำให้ผมคิดมากมีเพียงลาร์ย่าที่มองซ้ายมองขวาท่าทางเลิ่กลั่กน่ารำคาญลูกกระตาอยู่เหมือนกัน มองไปมองมายังกับจะมีคนมาฆ่ามาแกง แล้วก็เป็นผมที่ทนไม่ได้แตะที่บ่าของเจ้าตัวเล็กก่อนจะถาม “นายเป็นอะไรของนายลาร์....” ทว่าชุดคำถามยังไม่จบดี นัยน์ตาสีฟ้าครามของลาร์ย่าเหมือนจะสะท้อนอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังผม และยังไม่ทันจะได้รู้ตัวเหมือนมีแท่งโลหะขนาดแขนคนได้บินเฉี่ยวหน้าผมไปจนสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลออกมาซิบๆที่แก้มขวา ก่อนที่เจ้าแท่งโลหะที่ว่าจะทิ่มไปที่ผนังด้านหลังผม ซึ่งสังเกตดูดีๆมันคล้ายๆเหล็กที่เขาใช้ก่อสร้าง ผมคาดว่ามันคงจะพุ่งมาด้วยความเร็วประมาณแสงที่ส่องออกมาจากไฟฉาย แต่นั้นผมแค่คำนวณเล่นๆ แต่ความจริงก็คือมันพุ่งมาอีกแท่งแต่มันก็เฉี่ยวหน้าผมไปอีกครั้งพร้อมกับเลือดที่แก้มซ้ายเริ่มไหลออกมาเนื้อตัวของผมเริ่มร้อนผ่านคล้ายมีคนเอาเตาผิงมาวางอยู่รอบๆตัว ร่างกายที่สั่นเทิ่มไม่รู้ว่าสั่นกลัวหรือสั่นสู้ และเป็นสัญชาตญาณที่ช่วยชีวิตผมอีกครั้ง ผมหมอบสุดตัวก่อนที่แท่งโลหะแท่งที่สามจะพุ่งไปคาที่ผนังด้านหลัง ตอนนี้ผมเริ่มเช็คไปรอบๆเห็นลาร์ย่ายังคงคดตัวหลบอยู่ข้างทาง ผมถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว “นายวิ่งเข้าห้องไปก่อนลาร์ย่า...เร็ว!” “แล้วนาย....” “เออน่ะ เร็ว!” ผมตวาดใส่ก่อนที่ลาร์ย่าจะรีบคลานเข้าห้องที่อยู่ข้างๆไป จนในตอนนั้นผมคิดว่าตรงทางเดินคงมีแค่เจ้าคนที่เสกแท่งโลหะกับผมเพียงสองคนเท่านั้น แต่ดันมาคิดได้ตอนหลังว่าคิดผิดถนัด บนทางเดินข้างหน้าผมยังไม่เห็นใคร แน่นอนตอนนี้ไฟตรงทางเดินยังคงสว่างดีฝนที่ตกหนักอยู่ข้างนอกไม่มีผลอะไรกับภายในตัวอาคารมากนัก และ ณ ที่นี้ผมก็ยังไม่เห็นใครเลยเหมือนตอนแรก แล้วใครเป็นเจ้าของไอ้แท่งเหล็กทั้งสาม ผมหันกลับไปมองมันที่คาอยู่ที่ผนังอย่างฉงน แปลก........ เห้ย!! ยังไม่ทันไร แท่งโลหะแท่งที่สี่นั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้ง แต่มันกลับเลี้ยวผ่านตัวผมไปก่อนที่มันจะเข้าสู่ตำแหน่งที่พุ่งมา พูดง่ายๆก็คือมันผ่านร่างผมไป แต่มันแค่ไม่ผ่านตัวผมก็แค่นั้น ความสงสัยเริ่มก่อร่างขึ้น ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สาเหตุ ความกังวลของผมเริ่มเหมือนกับสภาพอากาศด้านนอกมันเริ่มก่อพายุที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนผมไม่สามารถนิ่งเฉย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองไปรอบๆ สิ่งที่ปรากฏมีเพียงเสียงของมันเท่านั้น “วิเศษมากลูวิส” เสียงนั้นดูคุ้นเคย เป็นเสียงที่ผมได้ยินอยู่แทบทุกวี่ทุกวันเสียงก้าวเท้าของมันเองก็เช่นกัน ร่างของมันเริ่มออกมาจากมุมของทางเดินขึ้นชั้นสาม ร่างใหญ่พอๆกับผมหน้าตาที่กวนตีนกว่าผมเล็กน้อยทำให้ไม่ต้องสงสัยให้มากว่ามันเป็นใคร แน่นอนมันมาพร้อมกับเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะเรียกว่าลูกสมุนของมันมากกว่า “พร้อมทีมเลยนะ ดาเรล ซาซิส มาร์โม”ผมเอ่ยชื่อมันแต่ล่ะตัวพร้อมกับมองหน้าพวกมันไปด้วย “ไอ้แท่งเหล็กข้างหลังฉันนี่... ฝีมือนาย?” “เปล่า ไม่ใช่ฉัน....ต้องบอกว่าเป็นฉันในร่างนี้ซะมากกว่า หึหึ” ดาเรลพูดขำๆก่อนที่ไอ้สองตัวข้างหลังจะหัวเราะกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วเรื่องประหลาดที่สุดก็เกิดขึ้น ร่างของดาเรลเริ่มมีไอน้ำระเหยจากทั่วร่าง แววตาสีมรกตนั้นเริ่มกลายเป็นสายตาของอสูรกายที่ผมเคยเรียนในหนังสือ เสื้อผ้าของมันเริ่มถูกฉีกขาดด้วยร่างที่เริ่มขยาย หน้าตาของมันเริ่มเหี่ยวย่น ลิ้นของมันยาวขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน มันขู่ฟ่อก่อนที่จะแสยะยิ้มให้ผม ให้ตายสิ ผมไม่เคยรู้สึกขยะแขยงขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย “นายอึ้งอะไรหรือ เพื่อนรัก” “ฉันจำได้ว่าไม่เคยนับญาติกับแก ดาเรล ถ้าฉันจำไม่ผิด เผ่า คาเมราส?”ได้ยินผมพูดดังนั้นมันก็ปรบมือให้ผม “ยินดีจริงๆที่เผ่าชั้นได้เป็นเกียรติให้นายจดจำ ลูวิส เรเชส แต่ผิดไปนิดหน่อยฉันเป็นลูกผสม” จากนั้นอะไรๆก็เริ่มดูเป็นแฟนตาซียิ่งขึ้น ร่างของมันเริ่มสยายปีกของอะไรสักอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นปีกกริฟฟินเผ่านกยักษ์ที่อาศัยแถบทะเลเดเรสติก ทำให้ผมสงสัยว่าไอ้คาเมราสที่อยู่พวกถ้ำตามภูเขาในเซนติเนลกับกริฟฟินที่อยู่แถบชายฝั่งทะเลของราเกียมันมาผสมกันได้ยังไง? แต่ผมคงไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกนั้นแล้ว เพราะดูเหมือนมันแสดงศักยภาพของร่างมันหมดแล้ว เป้าหมายต่อไปน่าจะเป็นเดินเข้ามาฉีกผมเป็นชิ้นๆ “นายต้องการอะ...” เป็นอีกครั้งที่ผมยังพูดไม่จบ เจ้าเดเรลก็สยายปีกพุ่งปราดเข้าหาผม พระเจ้าช่วย! ผมตะโกนลั่นพร้อมกับกระโดดหลบกำปั้นยักษ์ที่มันบรรจงประเคนใส่ผม เมื่อหลบได้แล้วผมสังเกตดูตามผนังข้างๆมันคล้ายกับมีรอยไหม้เหมือนกับตัวของมันจะมีคุณสมบัติธาตุไฟ แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรได้ดี ดาเรลก็ไม่รอช้า มันหมุนตัวมาหาผมอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่น่าจะพึงประสงค์เท่าไร “นายหลบได้เยี่ยมเลย ลูวิส”มันชมผมอีกครั้งก่อนที่จะพุ่งเข้าหาผมอีกรอบ แววตาของมันจ้องจิกจนผมไม่สามารถขยับตัวได้ มือที่สั่นระริกทำให้จิตใจของผมไม่สงบ ราวกับตอนนี้ผมไม่สามารถสั่งการอะไรร่างกายได้ แล้วก่อนที่มันจะเข้าถึงผม มันตะโกนก้อง“ฉันจะจัดงานศพให้นายเอง!!” ผมเคยได้ยินนะ เขาว่ากันว่าก่อนตายเราจะรู้สึกสงบอย่างประหลาด ตอนนี้ผมรู้สึกเช่นนั้น เหมือนกับมันสบายตัว เหมือนลอยขึ้นจากพื้นปล่อยตัวปล่อยใจได้อย่างอิสระ แต่....เอ๊ะ!? ภาพตรงหน้าทำให้ผมงงไปหมด ดาเรลยังบินอยู่ข้างหน้าผม แต่ไม่ได้หยุดซะที่เดียว มันลอยเข้ามาอย่างช้าๆเท่าที่ดูก็ช้ามาก ถ้าให้เทียบคงเร็วกว่าหอยทากที่เดินนิดหน่อย ผมหันหลังกลับไป เจ้ามาร์โมและซาซิสยังค้างที่ท่าตะโกนเชียร์ผู้เป็นลูกพี่อย่างเอาเป็นเอาตาย หวังว่าผมคงไม่ได้คิดไปเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หรือช้ามากก็ไม่รู้ ตัวของผมที่ลอยอย่างไร้แรงโน้มถ่วง เริ่มมองไปที่ดาเรลอย่างพินิจพิเคราะห์หัวสมองของผมคำนวณมันอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปแต่ทว่าจังหวะนั้นกลับมีเสียงที่ผมคุ้นเคยมันดังขึ้นในหัวผมนี่เอง ‘นายไม่เป็นอะไรนะ ลูวิส....’ เป็นเสียงลาร์ย่า ผมไม่พลาดแน่ เสียงเล็กๆแบบนี้ แต่ทำไมมันดังในหัวผมล่ะ? ผมตั้งคำถามกับตัวเองก่อนที่เสียงของลาร์ย่าจะดังขึ้นอีกครั้ง ‘นายไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเสียงของฉันถึงมาดังในหัวนาย เรื่องนั้นฉันจะเป็นคนอธิบายเองหลังจากที่นายจัดการเจ้าคาเมราสลูกผสมตรงหน้า’ “แต่ว่ามันเป็น..” และเป็นอีกครั้งแล้วที่ผมพูดไม่จบ‘นายไม่สงสัยบ้างหรือไงว่าออกันดันซ่าที่มีแต่ฮาวาเรียทำไมถึงมีคาเมราสลูกครึ่งมาอาศัยอยู่ด้วย?’ นั่นเป็นคำถามที่ทำเอาสมองของผมโล่งโจ้ง ก่อนที่จะมีคำถามนับพันถาโถมเข้ามาในจังหวะเดียวกัน ทั้งเรื่องความสงบในออกันดันซ่าในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องกฎในออกันดันซ่า ทั้งเรื่องที่มันจ้องเอาชีวิตผม เรื่องผู้เฒ่ากราเดส มันผสมปนเปกันเละไปหมด แล้วมันทำแบบนี้เพื่ออะไร? ‘เพื่อที่จะปลุกนายกับฉัน....’ เสียงในหัวตอบผมตอนที่ผมถาม คิดๆไปก็แปลกดีเหมือนกัน แต่ปลุกนายกับฉันในที่นี้ หมายถึงผมกับลาร์ย่างั้นเหรอ? ‘ใช่ ฉันกับนาย ถูกแล้ว.....หรือถ้าพูดให้ถูกต้องกว่านี้อีกหน่อยก็ปลุก รีซิสผู้ว่างเปล่า’ รีซิสผู้ว่างเปล่า?.... ชื่อที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตกระทบโสตประสาททำให้ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกนายจะอธิบายอะไรเร็วไปไหม? ‘ไม่เร็วหรอกเพราะที่ฉันจะสื่อก็คือมันต้องการปลุกรีซิสนั่นล่ะ และตอนนี้ภารกิจของมันก็สำเร็จไปแล้วครึ่งนึง’ “หมายความว่า...” ถึงตอนนี้ผมเริ่มละไว้ให้พวกมันตอบ รำคาญล่ะไม่เคยจะได้พูดจบ ‘ฉันและนายเป็นคนๆเดียวกัน’ “ลาร์ย่านายอย่ามาบ้าน่ะ...” เหมือนผมจะเชื่อคำพูดของลาร์ย่านะ ในออกันดันซ่าไอ้เรื่องที่มันจะไร้เหตุผลคงไม่มีอะไรไปมากกว่าที่เมืองทั้งเมืองเอียงแล้ว แต่ไอ้เรื่องนี้ยิ่งทำให้เชื่อยากเข้าไปใหญ่ แต่ผมคงลืมไป อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ในโลกแฟนตาซี ‘นายปฏิเสธตัวนายไม่ได้หรอก ลูวิส ทั้งๆที่นายก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าจะให้เปรียบในขณะที่นายแข็งแกร่งฉันก็อ่อนแอ และในขณะที่ฉันใจเย็นนายก็ใจร้อน ไม่ต้องห่วงว่าก่อนหน้านี้สิ่งที่ทำให้นายบังคับตัวเองไม่ได้ก็คือฉันที่เป็นด้านของสติสัมปชัญญะ’ “เหมือนนายหลอกด่าฉันทางอ้อม...” “ฉันไม่ด่าตัวเองหรอก.....ลูวิส” เฮ้อ.......... เรื่องไอ้สัตว์ประหลาดข้างหน้ายังไม่จบ ไอ้เรื่องลาร์ย่านี่ก็เข้ามาแทรก เหมือนที่เขาว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก รีซิสไร้ทงไร้ธาตุอะไรนี่อีก ไหนๆก็ไหนๆอ่านใจออกล่ะก็ถามเลยล่ะกัน “นายต้องการอะไร” ‘ฉันไม่ได้ต้องการอะไร ฉันแค่ปกป้องตัวฉันเอง มันก็แค่นั้น’ เป็นประโยคที่ชวนอ้วกชะมัด ‘เชิญตามสบาย’ “โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!! ” ผมตะโกนออกมาอย่างหัวเสียกับคำพูดของลาร์ย่าก่อนที่จะใช้หมัดข้างขวาระบายไปยังเจ้าตัวคาเมราสตรงหน้าแต่ยังไม่ทันจะโดน ร่างของมันก็สลายเป็นฝุ่นละอองหายไปกับตาทำเอาหมัดขวาของผมเหวี่ยงผ่านอากาศธาตุจนหมุนตัวมาทางด้านหลัง ทว่าเจ้าลูกน้องสองตัวของมันก็หายไปเช่นกัน อะไรกันเนี่ย?! ‘ดูเหมือนเวลานายโกรธคุณสมบัติธาตุจะหลั่งออกมาเยอะอยู่เหมือนกัน’ ผมไม่เข้าใจ ลาร์ย่าพูดอะไรของมัน ‘นายยังไม่ต้องเข้าใจหรอก แต่ก่อนหน้านั้น................ราตรีสวัสดิ์’ เสียงนั้นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผมจะดับลง...... ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ +++++++++++++++++++++ ++++++++++ วันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส เสียงนกร้องเบาๆทำให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นจากภวังค์อย่างช้าๆเขาทำหน้ามึนๆก่อนจะสะดุ้งสุดตัว เหงื่อกาฬของเขาไหลออกมาเหมือนคนที่อยู่ท่ามกลางแสงแดดทั้งๆที่อากาศเย็นสบาย “อะไรกัน....” เขาบ่นออกมา มือขวาเอื้อมไปหยิบนาฬิกาปลุกที่อยู่ข้างเตียงมาดูเวลา และพลิกไปหยิบไดอารี่ที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนขึ้นมาอ่าน ก่อนจะขว้างมันใส่ประตูห้องเหมือนอย่างเคย เรื่องบ้าๆนั่น ความฝันหรือความจริงกันแน่นะ...... ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ Talk to และแล้วก็คลอดออกมาจนได้ตอนที่ 1 ซึ่งกินระยะเวลากว่า 1 ภาคการศึกษาของผม และเป็นไฟล์ที่ 9 ที่เขียนจนจบ (ก่อนหน้านี้มี 8 ไฟล์) และแล้วมันก็จบจนได้ ตอนนี้ยังเป็นบทบอกที่มาที่ไปเล็กน้อย ตอนต่อไปจะเริ่มเข้าโรงเรียนกันแล้ว ผู้สมัครทุกท่านเตรียมตัวออกโรงกันได้ครับ ส่วนเรื่องสำนวนอาจจะดูอ่านแล้วงงก็ไม่ต้องกังวลไปครับ กำลังขัดเกลาฝีมือในการแต่งให้ดีขึ้นหลังจากที่ไม่ได้แต่งมานาน สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆทุกคนที่ติดตามนะครับ ป.ล.ไม่ได้ลงนาน จะมีคนอ่านไหม
ใครไม่อ่าน... กูอ่าน... เพราะว่า... มันเป็นหนึ่งในฟิคแห่งตำนานที่ถูกขุดขึ้นมาจากไหดอง ฮ่าๆๆๆๆๆ เนื่องจากได้ดูให้ตอนแรกๆเลยคอมเม้นท์หลักๆไปหมดแล้วอ่ะ (ตามนั้นๆ) ชอบสำนวนช่วงกลางๆเรื่องมาก (แนวที่ตรูเขียนและตรูถนัด) แต่เพราะไม่ถนัดบทบรรยาย เพราะงั้นส่วนนี้ให้คนอื่นมาเม้นท์ละกันนะ คำผิดมีบ้าง... แต่เว้นวรรคนี่เยอะ 555 ความฝัน กับ ความจริง.... โอเคอ่ะ ท่าทางตอนท้ายๆเรื่องคงมีหักโค้งตีศอกกันตอนจบ ปล. (แอบแซว) ไอ้ที่ว่าตอนหน้า ผู้สมัครเตรียมออกโรง นี่หมายถึงเร็วๆนี้ป่ะ ฮ่าๆๆๆๆ... ว่าแล้วก็กลับไปอ่านบทนำก่อน ลืมมมมม
มิน่าเห็นเงียบๆ ที่แท้ซุ่มนี่เอง ใครไม่อ่าน แต่ตรูก็อ่านอยู่อีกคน ดูจากบทที่หนึ่ง สามารถ เล่าเรื่องออกมาใช้ชวนติดตาม อ่านแล้วลื่นไหลดีเลยทีเดียว ยังไงก็รอคอยตอนต่อไปอีกนะเอ้อ ฮ่าๆ
ตื่นเช้ามาวันนี้แวะเข้าบอร์ด แทบจะขยี้ตาเมื่อเห็นรายชื่อฟิคที่เด้งขึน้มาบนๆเลยทีเดียว!! ในที่สุดตอนที่1ก็คลอดจนได้นะริวโต๊ะ อ่านแล้วการบรรยายไหลลื่นดีนะ ไม่ค่อยติดขัดมาก บทบรรยายเห็นภาพดี และภาษาก็พาให้ฮาแตกในบางช่วงที่คิดว่าเป็นการใส่มุกน่ะนะ (ก๊าก) เนื้อเรื่องน่าสนใจมากๆ ดังนั้นคลอดตอนที่2ออกมาเร็วๆซะนะ!!!!!
ลงชื่อว่าอ่านเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องคอมเมนท์ไม่รู้จะคอมเมนท์ว่าอะไรเหมือนกันแฮะไว้อ่านหลายตอนกว่านี้ก่อนละกัน />_<
วันนี้เทรนมาบอกว่าอัพ อดใจไม่ไหวจนขอก็อปมาให้อ่านที่ออฟฟิส 555 แต่งดีนี่หว่าไอ้ริว! ดีกว่าฉันซะอีกนะแก!! เมนท์อะไรไม่ได้มากเพราะมันเป็นเรื่องราวของตัวเอกสินะ แต่เอาเป็นว่าภาษาและการบรรยายผ่าน!! :medance.: รออ่านต่อนะฮ้า~
ฟิคในตำนาน เนื้อเรื่องลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนดีมาก อ่านๆไปรู้สึกได้อารมณ์เหมือนดูราราร่าตอนแรกเลย มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป น่าสนใจมาก.. สมกับที่รอคอยมาเป็นสิบๆปี !!
นานมากจนลืมไปแล้วค่ะว่าเคยสมัครรึเปล่า และสมัครตัวไหนไปบ้างหว่า ลืมซะแล้ว โทษทีค่ะมันนานจริง ๆ แหะๆ อ่านแล้วตื่นเต้นไม่น้อยเลยค่ะ ท่าทางเรื่องราวจะเข้มข้นนะคะ
ว๊ากก ทำไมมีแต่คนแต่งได้เก่งๆ เห็นแล้วสลดจิตตัวเอง :hsorrow: อีกครั้งที่ลืมไปแล้วว่าฟิคนี้เป็นยังไง และถึงตอนไหนแล้ว แต่การบรรยายดีมาก มีกลิ่นอายแฟนตาซีในความลึกลับ ตัวเอกดูเหมือนจะว้าวุ่นในจิตใจ การบรรยายเจาะที่อารมณ์ตัวละครทำได้น่าสนใจครับ รอตอนต่อไป... อย่าให้นานมากนะ OTL
Catastrophe Story 2 ผมเจอภารโรงมีปีก “แปลก....” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเดินไปหยิบไดอารี่ของตนที่หน้าประตู จะว่าไปเขาเพิ่งนึกได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปามาที่หน้าประตูทุกครั้งหลังอ่านมันจบ เหมือนกับมีแรงจูงใจอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาต้องปามันออกไปอย่างไร้สาเหตุ หลายๆอย่างในเวลานี้มันดูน่าประหลาดเกินความเข้าใจ ในความคิดของเขาอะไรๆก็ดูทับซ้อนกันอย่างน่าฉงน ไม่เคยมีคนบอกว่าความคิดนั้นทับซ้อนกันได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาจัดการวางไดอารี่เล่มโปรดไว้ที่เดิมและมองนาฬิกาอีกครั้ง เพ่งมันราวกับจะให้มันสารภาพอะไรสักอย่าง อะไรก็ตามที่เขาปรารถนาจะฟัง แต่กระนั้นดูเหมือนมันจะเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ไม่เพียงแต่เงียบเท่านั้นมันยังสงบนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาถอนหายใจพร้อมกับวางมันไว้อย่างเดิม พลางเปิดม่านหน้าต่างที่อยู่หัวเตียง “ออกันดันซ่า......ฉันจากมันมาตั้งแต่เมื่อไรนะ” ทิวทัศน์ด้านนอกเป็นนครที่ดูไม่คุ้นตาเด็กหนุ่มเท่าไร จะว่าไปมันอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับทุกๆคนที่อยู่ในออกันดันซ่าหรือเผ่าฮาวาเรียก็ได้ ที่เวลาออกมาเจอโลกอันแสนปกติแล้วจะรู้สับสนเหมือนไม่ใช่สถานที่ของตน เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง เสียงนาฬิกาปลุกดังอีกครั้งบอกเวลาเที่ยงวัน เขามองมันพลางบ่นอย่างเบื่อหน่าย “ถึงเวลาแล้วหรอ.....” กระเป๋าขนาดใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าก่อนจะออกจากที่พักในย่านชานเมืองของนครราเวนคอร์ นครหน้าด่านแห่งกองขบวนสิบสี่อัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งโนดา กองทัพที่มีการสู้รบในระดับแนวหน้าของนอร์ธเวิร์ด จากที่อ่านมานิดๆหน่อยๆจากหนังสือคู่มือ ‘แซมมี่กับนครต่างๆ’ โรงเรียนที่โด่งดังที่สุดในนี้คงเป็น ราเวนคอร์ เรเทนเนีย ที่มีนักเรียนซึ่งมากด้วยความสามารถทั้งในการสู้รบและสติปัญญา แต่พวกที่ว่านั่นก็มีเพียงแค่หยิบมือเดียว มันจะใช่ที่ของเราแน่หรือ..... เด็กหนุ่มคิดไปพลาง เดินแบกกระเป๋าใบยักษ์ผ่านย่านการค้าอันแสนชุลมุนในปลายฤดูหนาว พาลทำให้นึกถึงบ้านเกิดอย่างไม่รู้ตัว เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นมันเร็วกว่าที่เด็กชาวฮาวาเรียอายุสิบแปดจะได้ทันตั้งตัวอะไร ทั้งเรื่องเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว ทั้งเรื่องผู้ที่เขาเคารพมาตลอด มันดูเหมือนเป็นความฝันเพียงชั่วตื่นหนึ่ง แต่มันก็เป็นความจริง “ในที่สุดฉันก็รั้งนายไว้ไม่ได้” ผู้เฒ่ากราเดสกล่าวไว้เช่นนั้น แม้กระทั่งลาร์ย่าเองหลังจากเหตุการณ์นั้นก็หายตัวไป เสียงที่เคยได้ยินก็ไม่มี ความทรงจำขาดหายไปเป็นช่วงๆ ทุกอย่างเหมือนหายไปราวกับเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพียงการละเมอในยามเช้า จนกระทั่งตอนนี้เขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีวันที่เขาตื่นขึ้นมาบนเตียง ณ ออกันดันซ่าหรือเปล่า แต่ไอ้เรื่องที่จะมาคิดมากไปก็ใช่เรื่องซะที่ไหน เขาตัดสินใจดื่มด่ำกับบรรยากาศของราเวนคอร์แทน มันสวยจนเขาคิดว่ามันเป็นเมืองที่มีอยู่แต่เฉพาะในเทพนิยาย ถ้าจะให้เทียบกับออกันดันซ่าที่ดูจะมีอยู่แต่ในเทพนิยายจริงๆแล้ว เมืองนี้ก็ดูเป็นสิ่งก่อสร้างที่ให้ความงามในแง่ของความยิ่งใหญ่ซะมากกว่า เพราะหากถามถึงเรื่องความน่าตื่นตาตื่นใจ เขามั่นใจว่าไม่มีที่ใดให้ความเป็นแฟนตาซีเท่าบ้านเกิดของตน เมื่อเดินมากว่าครึ่งนครแล้ว ดูท่าว่าเมืองแห่งนี้จะถูกสร้างให้เป็นลักษณะวงรีโดยที่กลางนครตลอดแนวเป็นแม่น้ำสายสำคัญในทวีปอย่างออสเค ที่ว่ากันว่าเป็นแม่น้ำแห่งความรักและการปกปักษ์รักษา บ้านเมืองในพื้นที่ต่างๆถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นพื้นที่การค้า ที่อยู่อาศัย สถานบันเทิงเริงรมย์ โรงเรียน นั่นหมายความว่าผู้คนที่อยู่ภายในเมืองสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกด้วยรถรางที่สร้างให้เมืองทั้งเมืองเชื่อมโยงเข้าหากัน คาดว่าใครที่อาศัยอยู่เมืองนี้คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แต่ที่เด็กหนุ่มคิดคงถูกแค่เพียงครึ่ง ราเวนคอร์นั้นเป็นเหมือนศูนย์กลางการค้านับตั้งแต่สงครามนอร์ธเวิร์ดครั้งที่สามจบลง เผ่าพันธุ์กว่าสามในสี่ของนอร์ธเวิร์ดใช้ที่นี่เป็นที่ติดต่อค้าขาย ทำธุรกิจ และไม่ใช่ว่าเรื่องทั้งหมดจะจบเพียงแค่นั้น วัฒนธรรมอันแตกต่างคงไม่อยู่ในหัวของ เรสเปอร์ เชสก้า ราชาแห่งราเวนคอร์ผู้คิดนโยบายที่จะทำให้ราเวนคอร์เป็นศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนอารยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในนอร์ธเวิร์ดซึ่งดูเหมือนว่านโยบายที่ว่านั่นจะประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นทำให้นครแห่งนี้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างชนเผ่าต่างๆ การก่ออาชญากรรมเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ ความแบ่งแยกทางความเชื่อของลัทธิต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเหยียดเผ่าพันธุ์ซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีแต่ความสันติเช่นนี้ ก็อย่างว่านครแห่งนักรบเรื่องการเมืองคงไม่เก่งสักเท่าไร “ฉันคงต้องส่งเธอไปหาเพื่อนของฉัน” เสียงของผู้เฒ่ากราเดสกังวานขึ้นในหัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มมองไปยังปราสาทอันใหญ่โตมโหฬารที่ตั้งอยู่อีกฟากของแม่น้ำออสเค ไม่สิจะพูดให้ถูกตอนนี้มันน่าจะถูกเรียกว่าโรงเรียนราเวนคอร์ เรเทนเนียที่มีสถิติผู้เข้าสอบน้อยที่สุดในประวัติการณ์ อันที่จริงในเมืองแห่งนี้ก็มีโรงเรียนอีกสองสามแห่งอย่าง เซเรส อะคาเดมี่ ที่เป็นโรงเรียนเปิดใหม่อย่างเงียบๆสอนพวกนักปรัชญาทั่วไป เจ้าของหลักการแปลกๆอย่าง โอซิส มาโอน ก็จบจากที่นี่ ไอ้หลักการที่บอกว่าผลแอปเปิ้ลหล่นมาจากดวงตาของมังกร ที่จ้างให้ตายก็ไม่มีวันเชื่อ มาโมเรีย เอ็กโซซิส ที่เปิดรับพวกนักบวชฝึกหัดเพื่อเข้าเป็นบาทหลวงหรือซิสเตอร์ในโบสถ์ ที่ไม่เข้าใจว่าพวกนี้เขาอบรมกันประเภทไหนก็ไม่อาจทราบเพราะหลังๆเห็นพวกซิสเตอร์ ถือปืนล่าปีศาจกันเป็นแถว และอาร์คคิงด้อม ชิฟฟ่อน โรงเรียนอัศวินที่มีอัตราการรับสมัครเยอะที่สุด ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลของราเวนคอร์ เรเทนเนีย และทุกๆปีจะมีการจัดการแข่งขันสานสัมพันธ์กันอยู่ตลอด ซึ่งคิงด้อม ชิฟฟ่อนก็ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะชนะ แม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่เคยชนะนี่ก็น่าคิดนะ..... แต่ก็อย่างว่าเรื่องความสามารถของนักเรียนคงจะไปเทียบกับพวกราเวนคอร์ก็คงไม่ได้ เพราะการเรียนการสอนที่นั่นถือว่าครอบคลุมทุกๆสายอาชีพ และถ้าให้เทียบคุณสมบัติกับโรงเรียนเหล่านั้นจริงๆ ราเวนคอร์ เรเทนเนียคงกินขาดในเรื่องของคุณภาพ ด้วยความที่เป็นโรงเรียนซึ่งเปิดการเรียนการสอนมากว่าพันปี อีกทั้งยังมีราชาอย่าง เรสเปอร์ เชสก้าเป็นอาจารย์ใหญ่ บุคลากรที่ดำรงตำแหน่งต่างๆก็มาจากสหายร่วมศึกของท่าน ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงขบวนสิบสี่อัศวินศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องวิชาความรู้ที่จะถ่ายทอดให้จนตายกันไปข้าง จุดที่น่าห่วงน่าจะเป็นเรื่องที่จะมีชีวิตรอดจนถึงเรียนจบรึไม่มากกว่า ถึงที่ผ่านมาจะไม่มีใครเสียชีวิตในระหว่างเรียน แต่ถ้าเป็นเรื่องพิกลพิการนี่ก็ได้ยินมาบ้างจากปากผู้เฒ่ากราเดสเอง นั่นเป็นหนึ่งในหลายๆสาเหตุที่ทำให้สถิติการสมัครเข้าเรียนของที่นี่ไม่สูงมากนักทั้งๆที่มีการเรียนการสอนอยู่ในระดับชั้นนำ ยิ่งคิดก็ยิ่งสยอง จะว่าไปกระเป๋ามันก็หนักเอาการเหมือนกันนะเนี่ย ใส่อะไรมาเยอะแยะ..... ลูวิสคิดก่อนจะกระชับสายกระเป๋าให้แน่นขึ้น พลางสังเกตไปรอบๆบ้านเมืองในนครแห่งนี้ที่ชาวเมืองต่างนำดาบแขวนไว้หน้าประตูทุกหลัง ส่วนสิ่งก่อสร้างต่างๆก็ดูแข็งแกร่งสมกับที่เป็นนครแห่งนักรบจริงๆ รวมถึงชาวเมืองท้องถิ่นของราเวนคอร์ซึ่งสังเกตได้ไม่ยากนักเพราะพวกเขาจะมีดาบติดตัวไว้คนละเล่มสองเล่มไม่เว้นแต่สตรีเพศซึ่งพวกเธอจะมีปิ่นปักผมเป็นรูปดาบไขว้ประดับไว้แทบทุกคน สิ่งเหล่านี้คงถือเป็นเอกลักษณ์หรือความแข็งแกร่งของราเวนคอร์ก็เป็นได้ มันช่างตรงกันข้ามกับออกันดันซ่าอย่างสิ้นเชิง นครของเหล่าพวกผู้ใหญ่ตายซากที่ถึงแม้จะมีความแข็งแกร่ง แต่ก็ไร้ความน่ายำเกรง นครต้องสาปที่ใครๆก็ไม่ต้องการเข้าใกล้ หรือแม้อยากจะครอบครอง คงมีแต่พวกนักท่องเที่ยวที่ได้ดูอะไรที่แปลกตา ชาวฮาวาเรียเองก็ไม่ได้ปฎิเสธที่เหล่านักท่องเที่ยวจะมองว่าเขาเป็นเหล่าตัวประหลาดซักเท่าไร เงินทองนั้นสำคัญยิ่งกว่าศักดิ์ศรี พวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรที่เป็นเปลือกนอก ใครจะสนล่ะ? เมื่อมันทำให้ธุรกิจของพวกเขาเฟื่องฟู ช่างน่าเวทนา..... แต่เขาก็รู้สึกได้นะว่าเขาคิดอะไรมากไปหรือเปล่า คิดไปพลางเดินไปพลาง ก็ดูท่ากระเป๋าใบยักษ์ของลูวิสจะไม่ได้เตะตาใครสักเท่าไร เพราะภายในตัวเมืองก็เต็มไปด้วยคนที่แบกกระเป๋าเท่าเขาหรือใหญ่กว่าเหมือนกัน ผู้เข้าสอบต่างเพศต่างวัยคงเล็งหลายๆโรงเรียนในทวีปโนดาแห่งนี้ไว้เยอะทีเดียวเท่าที่สังเกต อย่างเด็กผู้หญิงคนนั้นก็คงเข้ามาโมเรีย เอ็กโซซิส ดูท่าอนาคตคงเป็นซิสเตอร์ที่น่ารักน่าชม ชายหนุ่มคนนั้นคงเข้าอาร์คคิงด้อม ชิฟฟ่อน อนาคตดูเป็นนายพลผู้ยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นเด็กๆที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเรื่องที่จะเข้าเซเรส อะคาเดมี่ ทุกคนดูมีความสุขซะจนไม่คิดว่าเขาเองจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ความคิดเดิมๆเริ่มเข้ามาในหัวสมองของลูวิส ที่นี่มัน.....จะใช่ที่ของเขาหรือ? “เธอไม่ต้องห่วงลูวิส ทุกอย่างจะลงตัว แค่เธอยอมรับมัน ยอมรับตัวของเธอ” ผู้เฒ่ากราเดสพูดประโยคนั้นเกินสิบรอบเห็นจะได้ ลูวิสเดินไปยังถนนสายหลักซึ่งตรงไปยังสะพานที่ใหญ่ที่สุดในนคร เขาเดินตามหลังเด็กๆที่กำลังเดินไปยังสถานที่เดียวกัน ยิ่งเดินไปผู้ที่สมัครเข้าเรียนก็เริ่มหายไปทีละคนสองคน จนเหลือไม่เกินยี่สิบคนในถนนสายหลัก ใช่แล้ว เขารู้สึกตัว ยิ่งเข้าใกล้ ราเวนคอร์ เรเทนเนีย อัตราความว่างเปล่าของถนนก็ยิ่งมากขึ้น มันลดน้อยลงจนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลของสถานที่แห่งนั้น หอคอยสูงเทียมฟ้าสิบห้าหอคอยซึ่งมีความสูงต่ำแตกต่างกัน มันถูกสร้างไว้ราวกับมงกุฎวงงามของกษัตริย์ผู้น่าเกรงขาม ดาบเล่มมโหฬารสี่เล่มบนกำแพงด้านหน้าประตูทางเข้าซึ่งถูกสร้างเป็นสะพานทอดไปสู่ตัวปราสาท ทำให้สามารถสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน ดาบที่ว่านั้นปักไว้บนสัญลักษณ์ของเทวอสูรทั้งสี่ที่หน้าประตูราวกับผนึกมันไว้เพื่อปกปักษ์รักษาคุ้มครองราเวนคอร์จากเภทภัยทั้งปวง ถ้าจำไม่ผิดอสูรแต่ละตนตามหนังสือที่อ้างอิงถึงอสูรในหมื่นปีก่อน ประกอบด้วย พิราก้า คล้ายพยัคฆ์ที่กำลังดิ้นร้นโบยบินออกจากดาบเล่มที่ปักมันไว้ให้ติดกับผนังโดยที่หลังของมันมีปีค้างคาวงอกออกมาเพียงข้างเดียว มันถูกผนึกไว้ที่ทิศตะวันออกของประตู เอน วานรยักษ์ที่ทุบอกของตนอยู่บนทิศเหนือของประตู หน้าตาอันดุร้ายของมันชวนให้คิดภาพมันตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ออก หางทั้งสิบของมันกระจายไปรอบทิศราวกับเกราะป้องกัน แต่กระนั้นก็ไม่เกินความสามารถที่จะผนึกมัน โรเซน พญาอินทรีที่ดูน่าเกรงขาม ซึ่งถึงแม้จะถูกตรึงไว้กับกำแพงแต่สีหน้าของมันก็หาได้หวั่นเกรงไม่ ที่สัญลักษณ์ของมันนั้นมีปีกทั้งสองห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ ก่อนที่มันจะถูกผนึกไว้ยังทิศใต้ของประตู อยู่ในแม่น้ำด้านล่างซึ่งแม้จะอยู่ในจุดที่สังเกตได้ยากแต่จากขนาดดาบอันใหญ่โตแล้วไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมากนักที่จะเห็นมัน และสุดท้าย กาโรว มังกรซึ่งมีลักษณะใหญ่โตมโหฬารกำลังม้วนตัวเองอย่างสง่าผ่าเผย ดวงเนตรที่แสดงความอาฆาตแค้นยังคงแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้นจนสัมผัสได้แม้เป็นแค่สัญลักษณ์ รู้สึกเหมือนที่หางของมันจะเป็นลูกแก้วอะไรสักอย่าง มันถูกผนึกไว้ที่ทิศตะวันตก มองๆไปก็ราวกับมิใช่สถานศึกษา มันดูเป็นเมืองหน้าด่านของนครแห่งนี้ซะมากกว่า เทวอสูรทั้งสี่นั้นสร้างความตะลึงพึงพักให้แก่ผู้ที่จะเข้ารับการสอบทุกคนมากพอที่จะหยุดรับชม ความศักดิ์สิทธิ์ของประตูซึ่งไม่ต้อนรับผู้ไม่เป็นมิตรตั้งแต่บรรพกาล ทำให้ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าไอ้สี่ตัวนี้หลุดออกมา มันคงจะวุ่นวายน่าดู คิดไปแล้วเด็กหนุ่มก็เดินเข้ามาถึงส่วนในปราสาทอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แววตาที่แสนดุร้ายของกาโรว ณ หน้าประตูยังคงสะกดอยู่ในจิตของลูวิส เขาไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกจากหัวได้ มันราวกับร่ายมนตราอะไรสักอย่างให้เขาไม่สามารถลืมมัน จนเข้ามาถึงตัวปราสาทด้านในที่เป็นลานหญ้ากว้างๆ เขาเห็นปราสาทอยู่ทางด้านหน้า เท่าที่สังเกตด้วยตา ความกว้างของมันพอที่จะทำให้เห็นแนวป่าด้านขวาได้ไม่ถนัดนัก บรรยากาศด้านในดูคึกคักเป็นพิเศษแต่ก็ยังน้อยกว่าในเมือง เด็กหนุ่มเด็กสาวต่างพากันนั่งอยู่ตรงม้านั่งด้านหน้าที่จัดเรียงไว้ระรานตา กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าทำให้ลูวิสรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก มันเพียงพอที่จะทำให้เขาลืมความตื่นเต้นซึ่งไม่ได้รู้สึกถึงมันมานาน นี่เรากำลังรู้สึกตื่นเต้นงั้นหรือ? เขาถามตัวเองในใจ วิธีการเข้าร่วมการสอบของที่นี้ไม่เหมือนใคร แค่มีใจอยากจะเข้าเรียนราเวนคอร์ เรเทนเนียเท่านั้น เพียงแค่นั้นก็สามารถเข้ารับการสอบของที่นี่ได้ ไม่ต้องใช้ใบสมัคร ไม่ต้องร่ำรวยมากจากไหน ไม่ใช่จำกัดเฉพาะอัจฉริยะ แต่ทว่าการเข้าสอบนั้นถูกเล่าขานกันในนามของ ‘นรก’ น้อยคนนักที่จะออกไปแบบครบสามสิบสอง น้อยคนนักที่ไม่หวั่นไหว น้อยคนนักที่จะไม่ได้รับบทเรียนอะไรเลยจากการสอบของที่นี่ สโลแกนของทางโรงเรียนคือ การเข้าร่วมการสอบคือการเตรียมใจอย่างหนึ่ง ทางโรงเรียนว่าไว้ว่าวิชาความรู้นั้นไม่จำเป็นต้องมีมาก่อนเพราะโรงเรียนจะทำการสั่งสอนให้ นั่นเป็นหน้าที่ของโรงเรียน แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือการเตรียมใจ จิตใจที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ใจที่ต่อสู้ ไหวพริบในการเอาตัวรอด และ เชาว์ปัญญา เพียงแค่นั้นก็มีคุณสมบัติที่จะเข้าเรียนที่ราเวนคอร์ เรเทนเนีย นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินจากผู้เฒ่ากราเดสก่อนจะถูกส่งตัวมา ซึ่งก็เพิ่งรู้ว่าการออกจากออกันดันซ่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดและสนุกสนานไม่แพ้กัน เพราะทันทีที่ย่างออกจากตัวเมืองร่างของผมก็กลับมาตรงเหมือนเดิม ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียงแต่หันหลังไป นครนอนเอียงออกันดันซ่าก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เป็นดังชื่อของมัน นั่นทำให้เด็กหนุ่มชาวฮาวาเรียอายุสิบแปดไม่อยากจะกลับเข้าไป และถึงจะอยากกลับเข้าไปแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว นักเวทย์แห่งแสงผู้ที่เด็กหนุ่มแสนจะเคารพไม่ได้บอกอะไรไว้เลย ผู้เฒ่าเพียงแต่บอกว่า นี่เป็นหนทางที่เขาต้องเลือก ถ้านั่นคือตัวของเขา ในประโยคนี้ค่อนข้างทำให้เด็กหนุ่มชาวฮาวาเรียคนนี้สับสน ‘ถ้าเป็นตัวเขา เขาจะต้องเลือกหนทางนี้’ ซึ่งแน่นอน ลูวิสไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้พูดสื่อแม้แต่น้อย เรื่องในอดีตมักทำร้ายเขาเสมอเมื่อนึกถึงมัน เด็กหนุ่มสะบัดหน้าไปด้านหน้าและมองไปยังนาฬิกาที่อยู่ตรงกลางลานกว้างนั้น มันชี้เวลาบ่ายสามซึ่งเป็นเวลานัดเข้าสอบพอดี แต่กระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าอะไรจากโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังปกติ ผู้คนรอบๆหัวเราะกันเกรียวกราว ดูราวกับไม่สนใจใยดีในเรื่องเวลานัดหมายอันแสนสำคัญ ....หืม ลูวิสนั่งกับม้านั่งหินใกล้ๆและมองไปที่นาฬิกาเรือนนั้นอีกครั้ง เข็มวินาทียังคงทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ บ่ายสาม บ่ายสามหรอ? การสอบ..... “รู้ตัวแล้วหรอ” ยังไม่ทันจะคิดอะไรได้ ชายหนุ่มผู้ครอบครองร่างสูงราวกับยักษ์มารก็มาสถิตข้างๆเขา ดวงเนตรสีโอปอลส่องประกายอ่อนๆกำลังสังเกตเด็กหนุ่มชาวฮาวาเรียตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ยิ่งไปกว่านั้นน่าจะเป็นการแต่งตัวของชายร่างยักษ์ที่ออกจะประหลาดกว่าใครๆ เสื้อโค้ทยาวสีดำลากเกือบถึงพื้น กางเกงสีขาวรัดรูป และรองเท้าบูธสีดำลากยาวถึงเข่า ดูเหมือนจะมีน้อยคนนักที่จะสามารถแต่งตัวแบบเขาได้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็วิตถารชัดๆ.... “สายตาของนายมันฟ้องว่ากำลังตำหนิฉัน เดี๋ยวก็ได้ตายก่อนจะได้สอบหรอก หึหึ” ชายคนนั้นว่าก่อนหัวเราะร่า พลางจ้องมายังลูวิสที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกประกอบกับอาการตกใจเล็กน้อยเพราะคนตรงหน้าทำท่าเหมือนจะรู้สิ่งที่เขากำลังคิด นี่มันเรื่องอะไรกัน?! “เนี่ยเรอะ....คนรู้จักของอาจารย์ใหญ่” ยังไม่ทันจะรู้จักคนข้างๆ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงก็มายืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับกำลังพินิจร่างของลูวิสเหมือนกับที่ชายก่อนหน้านี้ทำโดยใช้ดวงเนตรสีแดงด้านทับทิม รูปร่างเพรียวสูงดูคล่องตัวของเธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้ากับกระโปรงสั้นสีดำ และรองเท้าบูธส้นสูงๆ ดูออกจะเด่นไปหน่อยถ้าหากยืนอยู่คนเดียว แต่ก็ทำให้เขาอึ้งกับความงดงามดังกล่าวไปชั่วพักหนึ่ง แต่จุดที่ทำให้เขาต้องสับสนคือทั้งสองเข้ามาโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักกระนิด ทั้งชายหนุ่มที่เข้ามานั่งไขว่ห้างที่ด้านซ้าย หรือหญิงสาวที่มายืนบังแสงอาทิตย์ตรงหน้า มันราวกับภาพมายาที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น “รีบๆส่งมันเข้าไปเหอะ อลิซ ฉันรำคาญเต็มทน สำหรับด่านนี้ถือว่ามันสอบผ่าน” ไอ้หนุ่มที่พูดชื่ออลิซออกมาบ่นอย่างรำคาญอะไรซักอย่าง “แล้วก็นายด้วยยืนขึ้นหันหน้าไปทางหอนาฬิกา” เห็นดังนั้นเด็กสาวก็ค้อนเจ้าคนบ่นก่อนจะหยิบการ์ดสีดำออกจากส่วนไหนสักแห่งของร่างกาย แล้วปาไปด้านหน้าของเด็กหนุ่ม การ์ดใบนั้นหมุนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีหลุมสีดำค่อยๆโผล่ออกมาจากการ์ดใบนั้น มันกว้างขึ้นเรื่อยๆจนเท่ากับร่างของคนโดนสั่ง “ขอให้นายโชคดีไอ้น้อง” เฮ้ย!!!! ยังไม่ทันที่ได้พูดอะไรเป็นพิธีการ ชายหนุ่มนิรนามก็ยิ้มให้ก่อนที่จะบรรจงถีบลูวิสซึ่งยังตั้งตัวไม่ถูกเข้าไปในหลุมดำ มันหุบลงต้อนรับผู้ที่เข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่การ์ดใบนั้นจะร่วงลงมาสู่พื้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ทำไมนายไม่เห็นรุนแรงยังงี้กับคนก่อนหน้านี้ เรย์” เด็กสาวว่าก่อนจะสยายผมอย่างร้อนๆ เด็กหนุ่มนามเรย์ได้แต่ทำหน้าบูดอารมณ์เสียสุดๆ พลันมองไปยังหอนาฬิกา “แล้วหอนาฬิกานั่นก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีสักเท่าไรหรอกนะ” “เจ้านั้นกล้าด่ารสนิยมของฉัน หวังว่ามันคงจะผ่านการสอบ ฉันอยากจะรับขวัญมันสักหน่อย” ชายร่างสูงยิ้มอย่างกระหาย พอคิดถึงเทศกาลนั้นแล้วยิ่งทำให้เขารู้สึกสะใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “แต่นายก็เสียมารยาทนะ ไปแอบดูความคิดเจ้าเด็กนั่น” อลิซมองไปยังเด็กที่เหลือ ก่อนจะดีดนิ้วทำให้ร่างของเด็กๆรอบลานกว้างซึ่งกำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นมลายหายไปเหลือแต่เพียงหมอกดำๆมารวมกันอยู่ที่ร่างของเธอตามเดิม “แต่ฉันก็แอบเห็นด้วยกับเด็กนั่นนิดหน่อยนะ” “ฉันเกลียดเธอจริงๆ อลิซในม่านหมอกสีดำ สมกับเป็นหน่วยล่อหลอกสังหารจริงๆ” เรย์ว่าก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนฟ้าโดยไม่รีรอ “เจอกันที่ตึกเคออสนะจ๊ะ....” เสียงนั้นลับหายจากฟากฟ้าไปก่อนที่อลิซจะนั่งลงบนม้านั่งพร้อมกับจ้องมองไปยังหน้าประตู จ้องไปยังดาบที่ปักอยู่ใต้น้ำ เพ่งไปยังพญาอินทรีที่ถูกผนึกไว้ “เหมือนฉันเคยเห็นเด็กนั่นที่ไหนซักแห่ง และดูเหมือนกาโรวจะถูกใจเขาไม่ใช่น้อยเลย นายว่าไหม โรเซน?” เธอว่าอย่างขำๆก่อนที่ประตูใหญ่ตรงหน้าจะปิดลงราวกับไม่พอใจในคำพูดของสาวน้อย บังเกิดสายลมที่แหลมคมทำให้ผิวของเธอเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เธอใช้ทั้งแขนเรียวบางทั้งสองป้องหน้า และเมื่อเห็นท่าไม่ดีเธอจึงโยนการ์ดสีดำออกไปด้านหน้าก่อนที่สายลมนั้นจะสลายไปด้วยหลุมดำของเธอ ช้าอีกเพียงนิดคงได้เลือดตกยางออก.... “นายนี่เป็นอย่างนี้ทุกที ไม่พอใจก็บอกมาตามตรงก็ได้ ไม่เห็นต้องรุนแรง!” สายลมนั้นรวมตัวกันลางๆเป็นภาพของพญาอินทรี มันทำหน้าไม่พอใจก่อนที่จะบินกลับเข้าตราสัญลักษณ์ “ดื้อด้านจริงๆนะ เหมือนเมื่อครั้งอดีต” อลิซว่าก่อนที่ร่างของเธอจะค่อยๆเลือนเป็นหายเป็นหมอกสีดำมุ่งไปยังส่วนของปราสาทด้านใน ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!! ความตกใจสุดขีดเข้าท่วมร่างของลูวิสในบัดดล ความสับสนเข้าไปในจิตของเด็กหนุ่มพร้อมกับอีกหลายๆความคิดที่ทำให้เขามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ร่างของเขาเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยอะไรซักอย่างที่มันเหลวๆและกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิตที่เขาเคยประสบพบมา มันดิ่งไปเรื่อยๆราวกับไม่สิ้นสุด แต่มันก็สิ้นสุดจนได้ ตูมมมมมมมมมมมม!!!!!!!! เด็กหนุ่มพร้อมกับกระเป๋าใบยักษ์โผล่มาในสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากที่สิ่งห่อหุ้มระเบิดออกด้วยแรงกระแทก เขาไม่รู้สึกเจ็บอะไร เพียงแต่เสียงของมันทำเอาหูของเขาเกิดเสียง ‘วิ้งๆๆ’ ไปชั่วครู่ใหญ่ ในนั้นเป็นห้องไม่กว้างนัก เหมือนห้องภารโรงเท่าที่สังเกต มีไม้กวาด ไม้ถูกพื้น ตู้เก็บเสื้อผ้าชื้นๆและขนมปังเนยที่กินไม่หมด ดูท่าจะมีหยากไย่ขึ้นด้วยสิ เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและพยายามเรียงตามลำดับ ตื่น เดินทาง เข้าโรงเรียน เจอชายหญิงแปลกหน้าสองคน ถูกถีบเข้าหลุมดำ และโผล่ที่ห้องของภารโรง อะไรกัน..... เขาอยากคิดว่านี้เป็นความฝันอีกครั้ง แต่มันคงเป็นความจริงเพราะไอ้ลูกถีบเมื่อครู่ดูเหมือนจะถีบอย่างเอาใจใส่มากๆ มันยังระบมไม่หายเลย “ไอ้บ้านั่นมันแค้นอะไรนักหนา” ลูวิสสบถพลางสำรวจไปรอบๆห้อง ก็พบว่ามันดูราวกับไม่ได้ใช้งานห้องนี้มาเป็นพันๆปีเห็นจะได้ และไม่พบร่องรอยว่าจะมีใครที่ผ่านมาห้องนี้ด้วย ดูจากพื้นที่ยังมีฝุ่นละอองสม่ำเสมอ รอยเท้าที่พอจะเห็นมีก็แต่ของเขาเองนี่ล่ะ เด็กหนุ่มออกสำรวจรอบๆอีกครั้งพลางนึกยิ้มในใจ การสอบคงเริ่มไปตั้งแต่ที่เขาเห็นเทวอสูรทั้งสี่แล้ว นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเดินเข้ามายังด้านในอย่างไม่รู้ตัว รวมทั้งหอนาฬิกาในตอนแรก ราวกับมันถูกผนึกด้วยมนตราเชื้อเชิญเหล่าผู้เข้าร่วมการสอบ หมายความว่าผู้ที่รู้สึกตัวเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับการสอบงั้นหรือ? แต่ยังไม่ทันจะคิดจบ.... “เจ้ามาทำอะไรในที่แห่งนี้หรือ? พ่อหนุ่ม”คำถามนั้นก้องไปทั้งห้องเท่าที่เขาพอจะได้ยิน จะว่าไปเขาเพิ่งสังเกตบนเพดาน มันเป็นเหมือนท้องฟ้ายามราตรีที่มีหมู่ดาวซึ่งร้อยเรียงกันเป็นดาวประจำตัวของเทพแต่ละองค์แห่งนอร์ธเวิร์ด และตรงนั้นปรากฏร่างของอัศวินในชุดเกราะสีเงินงามอร่ามที่ห่อหุ้มทั่วทั้งร่างไม่เว้นแม้แต่ส่วนหัว กำลังลอยอยู่ด้วยปีกสีน้ำตาลของกริฟฟิน ถ้าเขาตาไม่ฟาด และบัดนี้อัศวินนั่นก็กำลังกระพือปีกลงมาหาเขา ในสถานที่ที่ราวกับห้องของภารโรง? “เจ้าคงตกใจไม่น้อยที่ท้องจักรวาลของข้าแห่งนี้กลับต้องมาสถิตอยู่ในห้องโกโรโกโสเช่นนี้ ขออภัย”เขาวางดาบเล่มงามทั้งสองบนตะกร้าเก็บผ้าเก่าๆพลางเก็บปีกของตนก่อนจะหันมามองลูวิสที่ยังคงอึ้งกับประสบการณ์อันน่าแปลกประหลาด เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าชุดเกราะเหมือนจะหัวเราะเบาๆให้เด็กหนุ่ม พลางเดินไปหยิบอะไรซักอย่าง เขาค้นที่ตู้เก็บอาหารด้านหลังห้อง ก่อนจะพาเด็กหนุ่มไปนั่งยังโต๊ะทำกับข้าว แน่นอนเขาไม่ลืมเช็ดฝุ่นให้ลูวิสก่อนจะถาม “ก่อนที่ข้าจะอธิบายอะไร ขอทราบนามของเจ้าสักหน่อยจะได้หรือไม่หนุ่มน้อย” “ละ ละ ละ ลูวิส....ลูวิส เรเชส” เด็กหนุ่มเอ่ยติดๆขัดๆ เนื่องจากการแนะนำตัวเป็นอะไรที่เขาไม่เคยทำ อยู่ที่บ้านเกิดของเขา เขาแทบไม่ได้คุยกับใครด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มชาวฮาวาเรีมคิดก่อนจะวางกระเป๋าใบยักษ์ของตนข้างๆ ดูท่ามันจะเกะกะไม่น้อยในห้องที่คับแคบเช่นนี้ ในใจพลางคิดถึงเด็กๆที่ไปสมัครที่อื่น ว่าป่านนี้คงได้เข้าโรงเรียน ลงทะเบียนกันไปเรียบร้อยแล้วกระมัง นี่อะไร ยังไม่ทันจะเข้าเรียนก็ถูกถีบ แถมยังมาเจออัศวินมีปีกในห้องภารโรงอีก แต่ไหนๆก็ไหนๆล่ะ..... “แล้วนายล่ะ เป็นใครกัน?” “ข้าคืออัศวินอาคาทัสแห่งท้องฟ้านาดูม เจ้าจะเรียกข้าว่าคาทัสก็ย่อมได้ เป็นเกียรติที่ได้รู้จัก ลูวิส เรเชส” หืม........ ดูเหมือนลูวิสจะไม่ค่อยได้สนใจกับการแนะนำตัวของเจ้าคนตรงหน้า ถึงแม้จะเป็นคนถามเอง เขาค่อนข้างสับสนว่าจะเรียกเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างบนนี้ว่าท้องฟ้าดี หรือเพดานของห้องภารโรงดีมากกว่า มันดูสวยงามเมื่อมองขึ้นไปแต่ไม่ค่อยน่าพิสมัยเมื่อมองมาข้างล่างสักเท่าไร ไม่ว่ายังไงดวงดาวข้างบนนั้นก็ช่างงดงามจริงๆ หนึ่งในนั้นมีเทพที่คอยปกปักษ์รักษาออกันดันซ่าด้วย เขามักมองมันบ่อยๆตอนที่ห้อยอยู่บนเสาไฟฟ้าในบ้านเกิด นามของมันคือกลุ่มดาว เรเชส ที่เรียงกันเป็นรูปของหมาป่า ซึ่งนั่นก็คือที่มาเรื่องนามสกุลของเขา ซึ่งแน่นอนผู้เฒ่ากราเดสเป็นคนตั้งให้อีกตามเคย “สวยล่ะสิ สหาย แต่อย่าว่าฉันขัดจังหวะเลยนะ” อัศวินตนนั้นว่าขณะที่ลูวิสยังไม่ผละสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบน เขาจัดการวางสร้อยข้อมือและการ์ดสำรับหนึ่งบนโต๊ะก่อนที่จะเรียกเด็กหนุ่มอีกครั้ง ลูวิสไม่ได้กล่าวอะไรตอบกับคาทัส เขาหันมามองสิ่งของบนโต๊ะก่อนจะหยิบขึ้นมาดูทีละชิ้น สิ่งแรกเป็นสร้อยข้อมือรูปจิ้กจอกคาบลูกแก้วซึ่งพอเขาลูบไปยังลูกแก้วสีมรกตมันก็พลันกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่ขนาดหนึ่งช่วงแขนโดยด้านหน้าของมันเขียนว่า ‘อัลบั้ม การ์ด คอลเลคชั่น’ และด้านในเป็นช่องใส่การ์ดหน้าละเก้าใบ ซึ่งหน้าแรกในตอนนี้มีการ์ดให้เขาอยู่สามใบ “อะไรเนี่ย คาทัส” “ลองแตะมันออกมาสิ” เด็กหนุ่มไม่รอช้าเอานิ้วลูบที่การ์ดก่อนที่มันจะกลายเป็นแสงมาอยู่ที่มือของเขา เป็นการ์ดสีเทาที่เขียนว่า ‘เฮล ฮาวนด์’ เป็นรูปหมาโครงกระดูกกำลังนอนน้ำลายไหลอยู่ในปราสาท ส่วนด้านหลังของการ์ดเป็นรูปของเทวอสูรทั้งสี่ตามทิศต่างๆ “ฉันขอเตือนว่านายอย่าเพิ่งใช้มันดีกว่า นายต้องใช้มันในการสอบ แต่ถ้านายอยากจะลองร่ายดู ก็ขอแนะนำการ์ดแบบฝึกหัดที่อยู่บนหน้าปก” คาทัสว่าก่อนจะเอื้อมมือไปพลิกหน้าอัลบั้มให้ลูวิส ด้านหน้าของมันไม่มีการ์ด มันเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่เขียนตัวอักษร ‘P’ “นายลองแตะมันดู เหมือนกับการ์ดด้านใน” ได้ยินดังนั้นเจ้าคนถือของก็ไม่รีรอ เขาจัดการลูบไปยังตัวอักษรนั้น พลันบังเกิดแสงที่มือของเขาเหมือนก่อนหน้านี้ การ์ดใบนั้นเขียนว่า ‘แพรคทิส’ ตัวโตโดยไม่มีรูปอะไรประกอบ “เอาล่ะ การร่ายก็ง่ายนิดเดียวเพียงแค่นายเอยชื่อของมัน มันจะขานรับนาย” คาทัสว่าก่อนจะให้ลูวิสลองทำดู เขาปามันไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “แพรคทิส....” การ์ดนั้นส่องแสงสว่างเล็กๆวูบเดียวก่อนมันจะสลายไป “แค่นี้ล่ะ และการ์ดสำรับที่อยู่ตรงหน้าสหายนั้นก็แค่โยนมันใส่อัลบั้ม มันก็จะเข้าไปอยู่ในที่ของมันเอง ส่วนชื่อเรียงลำดับตามตัวอักษร หน้าที่มีการ์ดจะบ่งบอกคล้ายดิกชันนารีถ้านายเคยใช้มัน” คาทัสชี้ให้ดูส่วนขวาของหนังสือซึ่งเป็นแถบดำๆแสดงให้เห็นว่าหน้าไหนมีการ์ด “คนที่เก่งๆเขาจะไม่เสียเวลาร่ายหนังสือออกมาหรอก แต่ในกรณีเด็กเข้าใหม่อย่างสหายก็คงต้องร่ายหนังสือออกมาก่อน และถ้าจะให้รวดเร็วต่อการร่ายการ์ด ก็ต้องอยู่ในภาวะของจิตคือการร่ายโดยความคิด แต่ส่วนมากกว่าจะทำได้คงต้องปีสองปลายๆล่ะนะ เพราะพวกหน้าใหม่มักจะควบคุมจิตของตัวเองไม่ได้จนทำเอาร่ายการ์ดมั่วไปหมด เท่าที่เห็นมาก็ใช้ไปเกือบหมดเล่มทำเอาวุ่นวายตอนสอบปลายภาคกันใหญ่” “รายละเอียดส่วนมากทางโรงเรียนจะจัดปฐมนิเทศให้อีกที แต่นั้นหมายความว่านายสอบผ่านนะสหาย” “นายกำลังจะบอกว่านายไม่มีคำใบ้ให้ฉัน? ธรรมดามันต้องมีคนมาบอกคำใบ้เกี่ยวกับบททดสอบต่อไปสิ” “เสียใจสหายฉันไม่ได้มีหน้าที่แบบนั้น ฉันแค่คอยส่งมอบเจตจำนงแห่งเรเทนเนียแห่งแก่นักเดินทางเท่านั้น” “หมายถึงการ์ดพวกนี้อ่ะนะคาทัส”อัศวินพยักหน้า “งั้นคนที่ไร้ความสามารถก็ไม่สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้อ่ะสิ?”สหายตัวน้อยของเขายิงคำถามซะจนคนสวมเกราะเงียบไปซักพัก เขามองขึ้นไปยังที่พำนักของตนก่อนจะหันลงมาเอ่ย “มันก็ไม่เชิงหนุ่มน้อย มีผู้ที่มีความสามารถสูงส่งก็เห็นมีมาแทบทุกปีและพวกสอบตกส่วนใหญ่ก็คือพวกนั้น พวกที่ไม่ไว้วางใจสติปัญญา ไว้วางใจแต่พลังอำนาจจนขาดสติ ผู้มีคุณสมบัติต่างหากที่จะได้เข้าเรียน บ้าพลังอย่างเดียวเข้าโรงเรียนนี้ไม่ได้หรอกนะสหาย แม้นว่าจะมีกายาที่แกร่งก้าวแต่ก็มิสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความตายได้หรอกนะ สิ่งที่พอจะพึงได้ก็มีแต่มือของเจ้าเองนั้นล่ะ” อาคาทัสร่ายยาว ขณะที่ลูวิสก็พยักหน้ารับฟังไปด้วยความเข้าใจว่าในคำพูดของอัศวินตรงหน้าแฝงไปด้วยอะไรหลายๆอย่าง แต่เขาคงไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมดแม้จะจ้องมองไปยังดวงเนตรที่อยู่ภายในหมวกใบนั้นก็มิได้พบสิ่งใด ความว่างเปล่านั้นทำให้เขาเดาใจอัศวินตรงหน้าไม่ได้ซะด้วยซ้ำ ลูวิสตัดสินใจไม่ถามอะไรต่อ เวลาผ่านไปพอสมควรก่อนที่เขาจะแบกกระเป๋ายักษ์ขึ้นบ่า คาทัสเองก็โบยบินไปยังเพดานเบื้องบน “ใช้การ์ดที่มีอย่างชาญฉลาดนะสหายข้า หนทางข้างหน้ามันไม่ยากเกินความพยายาม แต่ก็ไม่ได้หมูอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” อาคาทัสว่า ก่อนที่จะร่ายรำดาบเหมือนจะอวยพรอะไรเขาซักอย่าง หากสิ้นไร้หนทางจงนึกถึงคำข้า.... “ขอบคุณคาทัส ถ้ามีโอกาสฉันจะแวะมาหานาย และถ้าไม่ลำบากนักครั้งหน้าจะมาเก็บห้องให้” เด็กหนุ่มว่าขำๆก่อนที่คนข้างบนจะหัวเราะอีกครั้ง “ขอบใจพ่อหนุ่ม ขอให้หมู่ดาวเรเชสที่นายรักคุ้มครอง” “งั้นก็เจอกันคาทัส” ประตูเบื้องหน้าปรากฏขึ้นหลังจากนั้นพอดี มันถูกสลักด้วยมีดหยาบๆว่า ‘ยินดีต้อนรับศัตรู’ แต่เด็กหนุ่มฮาวาเรียก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไรกับมันมากนัก เขาเปิดเข้าไปอย่างไม่ลังเล เสียงของประตูที่ไม่ได้ถูกเปิดมานานทำให้อัศวินนามอาคาทัสจ้องไปยังประตูซึ่งกำลังใจปิดอย่างหนักใจ “ใครกันนะที่ให้เจ้าเด็กนี่มาด่านหอนาฬิกา............ช่างใจดำเหลือเกิน” ที่เหลือก็ได้แต่หวังว่าโซกราสคงถูกใจนายนะ สหายข้า……… หนุ่มน้อยเข้าไป แสงสว่างจากประตูทำให้เขาแสบตาเล็กน้อย กระนั้นเท้าทั้งสองก็ย่างเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทว่าการสอบที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อประตูบานนั้นปิดลง . . . . ค่ายมนต์ทุนดราแห่งโซกราส -------------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------------------------- Talk to ในที่สุดตอนสองก็คลอดออกมาจนได้ก่อนจะสิ้นปี (ทีจริงแต่งเสร็จนานแล้วครับ แต่ไม่ได้ลง)เรื่องสำนวนอะไรก็ยังคงติดๆขัดๆบ้าง ตัวละครที่ออกมาก็พอหอมปากหอมคอ ยังไม่มากอะไรนัก เนื้อเรื่องที่คิดว่าจะเดินเร็วก็คาดว่าน่าจะเดินเรื่องช้าเหมือนเดิม กว่าจะได้เรียนคงปาเข้าไปหลายตอนอยู่ เรื่องคำผิดก็ได้รับความกรุณาจากพี่อากิ ขอบคุณครับ ตอนต่อไปก็พยายามเขียนให้เต็มที่ครับ ส่วนใครอยากจะติชมอะไรก็บอกกันมาได้เลยครับไม่ต้องเกรงใจ เช่นเรื่องการ์ดที่กำลังเริ่มเกริ่นๆเข้าไปน่าจะอาจทำให้งงกันได้บ้าง เพราะไม่มั่นใจว่าจะเขียนสื่อออกมาได้ดีแค่ไหน
จะมาอิจฉาฉันทำไมว้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา แกออกจะแต่งดีเหอะไอ้ริววววววววววว มีที่ผิดอยู่อยู่บ้างนะ เป็นพิมพ์ตก ๆ หล่น ๆ ไงก็ลองเช็คดูอีกทีแล้วกัน พระเอกแลดูเป็นฮีโร่ในอดีตกาลที่มาพานพบกับชะตามากมาย กรั่ก ๆ รอตอนต่อไป....ปีหน้าป่ะวะ? :medance.:
เรื่องราวมีความเป็นแฟนตาซี ซึ่งติดกลิ่นอายอนิเมะมาอยู่มาก แต่การบรรยายก็ไม่โอตาคุจนเกินไปนัก (หมายความว่าไงไปตีความเองนะ) ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของริวครับ ชอบระบบร่ายเวทย์การ์ด แจ่มและแหวกแนวดี - -b ตัวเอกของเราต้นเรื่องดูเป็นคนเข้าใจอะไรยากมากๆ ขี้โวยวายอีกต่างหาก แต่ไปๆมาๆก็ดูจะรับชตากรรมได้แล้วนะ ฮา ถึงมันจะดอง ผมก็ยังจะอ่านอยู่ดี