[ฟิคลูกโซ่] All Fiction Fantasy

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 30 สิงหาคม 2010.

  1. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    คงไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมากล่ะมั้ง ก็ฟิคลูกโซ่นี่ล่ะฮะใครใคร่แต่งก็เข้ามาแต่งได้เลยเพียงแต่ขอให้รักษากติกามารยาทด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะขอสงวนสิทธิ์ไม่นับเนื้อเรื่องที่คุณแต่งมาทันที

    ปล. กรณีที่จองฟิค เราจะให้เวลาท่าน 24 ชม. นับจากเวลาที่โพสต์จองในการลงฟิค แต่ถ้าท่านไม่มาลงในเวลาที่ขอจองผู้ร่วมแต่งท่านอื่นสามารถแต่งต่อได้เลยทันที
    ปล2. เราขอสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่ลงตามกำหนดเวลาจองไม่ทันนั้น ไม่สามารถขอจองได้หลังจากนั้นเป็นเวลา 2 วัน

    > Link : คลังข้อมูลตัวละคร <

    Chat Box ลองใช้กันดู : By C.Sign


    กฏกติกามารยาท : Credit Rotunda

    1. ห้ามมีการแต่ง Y หรือส่อไปในแนวลามก (อาจมีบ้างอย่างกอดจูบแต่ห้ามทำให้เรื่องกลายเป็นเรื่องลามก)

    2. ห้ามจบเร็วเกินไป

    3. ห้ามเขียนแนวให้ร้ายผู้อื่นนอกจากผู้นั้นจะยินยอมหรือไม่ทำให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาท

    4. ถ้าไม่จำเป็นห้ามมีฟื้นชีพ ตายแล้วตายเลยนอกเสียจากผู้นั้นจะเป็นตัวละครเอกจนขาดไม่ได้

    5. ห้ามแต่งให้ตัวละครของผู้อื่นถูกฆ่า (ของตัวเองฆ่าได้ตามบาย) ยกเว้นเจ้าของตัวละครจะไม่ว่าอะไรหรือยินยอมให้ตาย หรือสถานการณ์ที่กำลังแต่งอยู่มันสมควรให้ตายจริงๆ

    6. ห้ามลงตัวละครหลักเกิน 2 ตัวต่อ 1คนตัวประกอบตามสบายใจครับ

    7. เคารพสิทธิในการแต่งของผู้อื่น เขาแต่งอย่างไรมาจงดำเนินการต่อจากนั้นห้ามปล่อยปละละเลยทำเป็นไม่สนกระทู้นั้นเด็ดขาด

    8. ทุกคนมีสิทธิในการตั้งชื่อไม่ว่าสถานที่หรือที่ไหนๆ

    9. ทุกคนมีสิทธิ์ในการทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ดินแดนใหม่ ภาษาใหม่ เผ่าพันธ์ใหม่

    10. ขอย้ำอีกครั้งว่าห้าม Y!!!!!
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    บทนำ


    "แม่ครับ.."

    เสียงเด็กน้อยร้องหามารดาในความมืดมิดยามค่ำคืน แต่กระนั้นแสงสลัวของจันทราก็ยังพอให้ดวงตากลมโตมองเห็นสิ่งรอบกายได้เลือนรางก่อนร่างเล็กจะขดตัวหาไออุ่นจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของฤดูกาล

    "ลูกยังไม่นอนหรืออัล"

    มือบางลูบไล้เรือนผมแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนทำให้เจ้าตัวน้อยหลับตาพริ้มด้วยความสุข

    "แม่ช่วยเล่าเรื่องนั้นให้ผมฟังอีกทีสิครับ"

    "ชอบฟังเรื่องนั้นจริงๆนะเรา"

    นางหัวเราะเบาๆในลำคอพลางมองท่าทีออดอ้อนด้วยความเอ็นดู จากนั้นปากจึงเอื้อนเอ่ยเรื่องเล่าแต่กาลก่อน

    "กาลเอ๋ยกาลครั้งหนึ่งในยุคอันรุ่งเรือง บ้านเมืองส่องแสว่างด้วยแสงไฟ สายน้ำรินไหลมิเคยขาด อาหารการกินต่างพร้อมพรั่งให้ผู้คนได้อิ่มหมีพีมัน เนื่องเพราะพระผู้เป็นเจ้าได้สร้างกล่องใบหนึ่งขึ้นมาแล้วนำเรื่องเลวร้ายทั้งปวงไปเก็บซ่อนไว้ในนั้น

    ทว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เรา ทำให้กล่องแห่งภัยพิบัตินั้นถูกเปิดออกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ปีศาจร้ายทั้งหลายได้นำภัยพิบัติต่างๆออกมายังโลกใบนี้มอบความทุกข์ทรมานให้ผู้คน แต่ราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นได้คาดการณ์ไว้แล้วตอนที่ท่านจะปิดผนึกกล่องนั้นจึงได้นำ'ความหวัง'ใส่ลงไปภายในนั้นด้วย เพื่อให้มนุษย์สามารถไขว่คว้าทางรอดได้ด้วยตนเอง

    ด้วยเหตุนี้มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ละทิ้งความหวังที่จะอยู่รอด ต่างพยายามต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้ายเพื่อรอคอยวันที่จะได้ค้นพบ'ความหวัง'นั้น จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีหญิงสาวผู้หนึ่งนามว่า'มาเรีย'ปรากฏตัวขึ้น นางได้นำเอาแสงสว่างดวงหนึ่งซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของ'ความหวัง'ขึ้นมา พลันเกิดแสงสว่างจ้าขับไล่เหล่าปีศาจร้ายทั้งหลายออกไปจากบริเวณนั้น ผู้คนที่กำลังเพลี่ยงพล้ำเหล่าปีศาจร้ายจึงรอดชีวิตมาได้

    จากนั้นมามนุษย์จึงได้เริ่มรวมตัวกันก่อสร้างบ้านเมืองอีกครั้งและพยายามออกค้นหา'ความหวัง'ดวงใหม่เพื่อจะนำดินแดนของเรากลับคืนมา..."

    เสียงเล่าผ่อนเบาลงทีละน้อยเมื่อสังเกตว่าลูกน้อยนั้นหลับใหลไปแล้ว นางยิ้มละไมขณะเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมเจ้าตัวน้อยก่อนโอบกอดร่างเล็กนั้นเอาไว้อย่างอ่อนโยน จนกระทั่งรุ่งเช้ามาเยือนสองแม่ลูกอีกคราหนึ่ง...


    "ผมไปก่อนนะครับแม่"

    "รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะจ๊ะ"

    สองแม่ลูกโบกมือลากันในยามเช้าดั่งเช่นทุกวัน เมื่อเห็นลูกน้อยลับตาไปแล้วผู้เป็นแม่จึงออกไปทำงานของตนตามปกติ

    "เจ้ายังให้พ่อหนูอเล็กซ์ไปเรียนอยู่หรือเมเรียน"

    "ค่ะ ช่วงที่อายุยังน้อยข้าเองก็อยากให้ได้เรียนเท่าที่จะเรียนได้เสียก่อน อีกอย่างอัลเองก็ชอบไปเรียนด้วย"

    "ดีจริงนะ ไอ้หนูบ้านข้ามันยังอ่านเขียนไม่ค่อยคล่องอยู่เลย น่าส่งมันกลับไปเรียนอีกซักรอบจะได้เอาอย่างลูกเจ้าเสียบ้าง ทุกวันนี้มัวแต่ทำตัวซุกซนอย่างกับลิงจนข้าพาลเหนื่อยใจ"

    เมเรียนสนทนากับเพื่อนบ้านด้วยเรื่องสัพเพเหระเช่นเคย วันนี้พวกนางกำลังเก็บเกี่ยวรวงข้าวอยู่กลางทุ่งตามที่ชาวบ้านได้นัดหมายงานกันไว้ หญิงทำงานเบา ชายทำงานหนัก ผู้เฒ่าดูแลเด็กเล็ก ส่วนเด็กโตขึ้นมาหน่อยก็ช่วยงานจุกจิกทั้งหลายแหล่ การร่วมมือกันเช่นนี้ทำให้งานต่างๆเสร็จเรียบร้อยได้โดยง่ายถือเป็นการแบ่งงานตามความเหมาะสมของคนในชุมชน

    ในยุคสมัยนี้แม้จะดีขึ้นจากสมัยสงครามมากแล้วแต่ความเป็นอยู่ของคนที่อาศัยอยู่รอบนอกยังคงลำบากอยู่บ้างการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้แต่เด็กๆบางคนที่เป็นวัยกำลังเรียนรู้กลับเรียนเพียงอ่านออกเขียนได้เพื่อจะออกมาช่วยงานตามความสามารถของตน แต่เพราะทุกคนต่างเล็งเห็นว่าการเรียนรู้นั้นก็เป็นสิ่งสำคัญจึงต่างลงมติอย่างพร้อมเพรียงให้จัดตั้งสถานศึกษาเพื่อให้เด็กๆได้เรียนรู้กันโดยเฉพาะอย่างน้อยก็ต้องเรียนให้อ่านออกเขียนได้เป็นขั้นต่ำ ส่วนหลังจากนั้นแล้วใครต้องการเรียนต่อก็สามารถเรียนต่อได้เท่าที่ต้องการ แต่หากคิดว่าเพียงพอแล้วก็สามารถเลิกออกมาช่วยงานของหมู่บ้านได้ทุกเมื่อ

    ทว่าเด็กในหมู่บ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเรียนนัก บางส่วนจึงเรียนเพียงอ่านเขียนแล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน บ้างรักดีหน่อยก็ฝึกงานตามสายอาชีพต่างๆแล้วจึงออกมาทำงานตามความถนัดของตน และมีอีกจำนวนน้อยที่ชอบเรียนชอบรู้จึงยังคงศึกษาต่อตามความสนใจของตัวเอง ซึ่งอเล็กซ์เองก็จัดอยู่ในกลุ่มท้ายนี้อีกทั้งยังเรียนรู้ได้ไวจึงได้ความชำนาญหลายๆด้านทั้งที่ยังมีวัยไม่ถึงสิบปี จนชาวบ้านต่างพากันแนะนำให้เด็กน้อยสมัครสอบเพื่อเข้าไปเรียนต่อในเมืองหลวงเพราะย่อมได้วิชาติดตัวกลับมาช่วยเหลือหมู่บ้าน ยิ่งถ้าสำเร็จเป็นผู้ขจัดมารได้ยิ่งถือเป็นความภูมิใจของที่นี่อีกทั้งหมู่บ้านจะได้รับความช่วยเหลือจากศูนย์กลางมากขึ้น

    หากพูดถึงผู้ขจัดมารแล้วคงต้องนับย้อนไปสมัยหลายสิบปีก่อน ในยุคที่โลกยังสงบสุขอีกทั้งวิทยาการยังเจริญก้าวหน้าในตอนนั้นได้มีการขุดค้นพบวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากสสารที่ไม่อาจระบุประเภทได้ เหล่านักวิจัยที่สงสัยกับวัตถุปริศนานั้นจึงได้ทำการค้นคว้าและเปิดดูสิ่งที่อยู่ภายในนั้น

    ซึ่งผลที่ได้กลับเป็นภัยพิบัติจนมนุษย์แทบสูญสิ้นเพราะสิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือเผ่าพันธุ์ปีศาจอันเคยถูกคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าปรัมปรา พวกมันได้ก่อเภทภัยไปทั่วทุกหัวระแหงเกิดเป็นสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจขึ้นจนมีผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน หากแต่สงครามนี้ไม่ยาวนานนักเนื่องเพราะฝ่ายมนุษย์นั้นมิได้คาดการณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจึงตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจนดินแดนส่วนใหญ่บนโลกได้ถูกพวกปีศาจยึดครองไป

    ระหว่างนั้นกองกำลังฝ่ายมนุษย์ที่สามารถต่อกรพวกปีศาจได้ดีที่สุดกลับไม่ใช่พวกทหาร แต่เป็นเหล่านักบวชนักพรตทั้งหลายผู้ฝึกตนจนมีอำนาจวิเศษทำให้หัวเมืองที่ยังคงต้านทานการจู่โจมได้ส่วนมากเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาต่างๆ ถึงกระนั้นน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเป็นธรรมดาแม้เหล่านักบวชจะมีอำนาจต่อกรกับพวกปีศาจได้แต่กำลังวังชาย่อมมีจำกัดแนวรบจึงเริ่มถอยร่นไปทีละน้อย ยิ่งนานวันมนุษย์ก็ยิ่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น

    จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีหญิงสาวนามว่า 'มาเรีย' ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันเป็นผลึกแก้วบริสุทธิ์ที่ส่องประกายแสงสว่างจ้าราวกับดวงดาว แค่เพียงพวกปีศาจได้สัมผัสแสงนั้นมันจักร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งเยียวยารักษาผู้คนและมอบความอุดมสมบูรณ์แก่ดินแดนโดยรอบ

    นับแต่นั้นมานาม 'มาเรีย ไลท์เกรซ' จึงกลายเป็นนามของนักบุญหญิงผู้ซึ่งเป็นศูนย์รวมของประชากรมนุษย์ที่เหลืออยู่ และได้กลายเป็นนามของสตรีผู้ถือครองตำแหน่งนักบุญขั้นสูงสุดสืบต่อมา เพื่อใช้อำนาจแห่งสมบัติวิเศษอันถูกเรียกขานว่า 'โฮป' มอบความสงบร่มเย็นแก่ผู้คนทั้งหลาย ส่วนศาสนสถานอันเป็นศูนย์กลางของผู้คนได้มีการก่อตั้งโรงเรียนแห่งศาสนจักรขึ้นเพื่อฝึกสอนเหล่า 'ผู้ขจัดมาร' ขึ้นมาต่อกรกับเหล่าปีศาจที่ยังคอยหาช่องทางเข้ารุกรานมนุษย์

    ด้วยเหตุที่ว่าผู้ขจัดมารนั้นคือผู้ที่ฝึกวิชามาเพื่อต่อกรกับปีศาจโดยเฉพาะอีกทั้งยังได้รับยศตำแหน่งเทียบเท่านักบวชจากศาสนจักร ผู้คนส่วนมากจึงให้ความเคารพนับถือผู้ขจัดมารเป็นพิเศษ จึงไม่แปลกที่ผู้ใหญ่มักจะอยากให้ลูกหลานของตนได้เข้าเรียนในโรงเรียนศาสนจักรกันแทบทั้งนั้น ถึงขนาดว่าบางพื้นที่นั้นเริ่มฝึกเด็กๆตั้งแต่อายุน้อยๆเพื่อให้มีความสามารถเป็นที่ต้องตาของผู้คุมสอบ


    งานเก็บเกี่ยวยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเย็นทุกคนจึงเริ่มละมือจากงานที่ทำอยู่ก่อนทยอยกันไปยังโรงครัวประจำหมู่บ้าน

    "ทางนี้ครับแม่"

    อเล็กซ์โบกมือเรียกแม่ของตนจากในโรงครัว เขามาถึงก่อนนานแล้วเพราะคนที่ไม่ได้ไปทำงานในทุ่งนาจะต้องมาช่วยงานในโรงครัวแทน พออเล็กซ์เรียนจบในตอนบ่ายจึงได้มาช่วยเตรียมมื้อเย็นเป็นหน้าที่ตามปกติซึ่งชาวบ้านทุกคนต่างก็รู้ดี

    หมู่บ้านไวท์ฟิลด์แห่งนี้เห็นว่าการฟุ่มเฟือยเรื่องอาหารไม่ใช่สิ่งที่ดี ดังนั้นจึงตกลงกันไว้ว่ามื้อเย็นของทุกวันทุกคนต้องมารวมตัวกันทานอาหารที่โรงครัว ส่วนมื้อเช้านั้นจะมีการแจกจ่ายวัตถุดิบให้ทุกบ้านหลังจบมื้อเย็น ในขณะที่มื้อเที่ยงนั้นมีการจัดเวรทำอาหารประจำวันสำหรับทำปิ่นโตแจกจ่ายให้กับแต่ละจุด ดังนั้นหมู่บ้านแห่งนี้จึงสามารถกักตุนอาหารได้เพียงพอสำหรับทุกคนในหมู่บ้าน

    หลังทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยคนส่วนใหญ่ต่างก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย บ้างก็ยังคงนั่งล้อมวงพูดคุยกัน บ้างก็ออกไปเดินเล่น บ้างก็ไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนให้พร้อมสำหรับงานในวันรุ่งขึ้น สองแม่ลูกคู่นี้ก็เช่นกันพอรับส่วนแบ่งวัตถุดิบอาหารเรียบร้อยทั้งคู่จึงพากันเดินกลับไปยังบ้านของตน เสียงสนทนาของทั้งคู่ดังขึ้นเป็นระยะพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นและสิ่งที่จะทำในวันรุ่งขึ้น แม้วิถีชีวิตจะหมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยมาแต่ทั้งสองก็มีความสุขกับชีวิตเช่นนี้...



    "ผมไปก่อนนะครับคุณแม่"

    "รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะจ๊ะอัล"

    สองแม่ลูกโลกมือลากันในยามเช้าดั่งเช่นทุกวันทว่าภาพที่เห็นนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อเล็กซ์เติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นในขณะที่เมเรียนย่างเข้าวัยสี่สิบผิวกายเริ่มมีร่องรอยแห่งความสูงวัยผิวมือหยาบกร้านจากการทำงานแรมปี แต่กระนั้นมือไม้ก็ยังคงเย็บปักเสื้อผ้าได้คล่องแคล่วทั้งลวดลายยังประณีตบรรจงจนเป็นที่ต้องการของคนต่างถิ่นอยู่เสมอ นางจึงมีรายได้เพิ่มเติมให้เก็บเล็กผสมน้อยเผื่อให้ลูกชายได้นำไปใช้เมื่อยามต้องไปเรียนไกลบ้าน

    "เวลาผ่านไปเร็วเชียวนะ เผลอไม่ทันไรพ่อหนูอเล็กซ์ก็โตเป็นหนุ่มซะแล้ว"

    "กลายเป็นว่าข้าเป็นฝ่ายถูกดูแลเสียเองแล้วล่ะค่ะ พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าเองก็เป็นกังวลอยู่"

    "นั่นสินะ เจ้าเองก็อย่าโทษตัวเองเสียล่ะเมเรียน ยังไงเสียอเล็กซ์ปีนี้ต้องสอบได้อยู่แล้ว"

    "ข้ากลัวว่าจะไม่ยอมสอบให้ผ่านน่ะสิคะ"

    พูดถึงแล้วเมเรียนถึงกับถอนหายใจออกมา เพราะเมื่อปีก่อนเธอล้มป่วยพอดีทำให้อเล็กซ์ขอสละสิทธิ์การสอบเพื่อกลับมาดูแลเธอแทน จนเพื่อนบ้านแต่ละคนรู้สึกเสียดายแทนที่เด็กหนุ่มพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ไป หลังจากนั้นมาอเล็กซ์ก็ไม่ยอมไปสอบอีกจนทั้งเมเรียนทั้งเพื่อนบ้านช่วยกันกล่อมอยู่นานถึงยอมไปสอบจนได้ แต่เพราะกำหนดสอบเป็นวันรุ่งขึ้นแล้วพอคิดถึงเมเรียนก็ยิ่งเป็นกังวลกลัวว่าลูกชายจะไม่ไปสอบเพราะเป็นห่วงเธอขึ้นมาอีก

    เย็นวันนั้นมีอาหารจัดเตรียมไว้มากกว่าทุกทีเพื่อเป็นการเลี้ยงให้กำลังใจบรรดาเด็กๆของหมู่บ้านที่จะไปสอบในวันรุ่งขึ้น บ้างก็เป็นเด็กที่กำลังจะไปสอบเป็นครั้งแรก บ้างก็เป็นเด็กที่ไปสอบอีกรอบเหมือนกับอเล็กซ์ ภายในงานนั้นทุกคนต่างสนุกสนานครื้นเครงจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปพักใหญ่จึงค่อยแยย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อให้เด็กได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพราะหากสอบผ่านในวันรุ่งขึ้นก็จำต้องเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวงต่อทันที


    "ตั้งใจกับการสอบให้ดีล่ะอัล ส่วนเรื่องทางนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป..."

    เมเรียนกล่าวย้ำอีกรอบหนึ่งพร้อมกับส่งกล่องข้าวให้กับอเล็กซ์ เพราะต้องไปถึงที่สอบให้ทันเวลาวันนี้ชาวบ้านจึงพากันตื่นเร็วกว่าปกติเพื่อมาส่งพวกเด็กๆออกเดินทางตั้งแต่ฟ้าสาง เกวียนเล่มใหญ่ถูกเตรียมไว้สองเล่ม เล่มหนึ่งบรรจุข้าวของที่บรรดาพ่อแม่ต่างจัดเตรียมไว้ซะจนแน่นเกวียน ส่วนอีกเล่มหนึ่งนั้นยังคงว่างอยู่เนื่องจากพวกเด็กๆยังร่ำลากับครอบครัวไม่เสร็จดี

    "คุณแม่เองก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับ"

    สีหน้าของเด็กหนุ่มยังแสดงท่าทีเป็นห่วงผู้เป็นมารดาอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยอมขึ้นเกวียนไปจนได้เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ขณะนั้นเสียงกล่าวลายังคงดังไม่ขาดสายจนกระทั่งเกวียนเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างไปเรื่อยๆ คำพูดที่เคยได้ยินชัดเจนก็แผ่วเบาลงไปทีละน้อยจนกระทั่งไม่ได้ยินอีก ทว่าสำหรับอเล็กซ์แล้วคำกล่าวลาสั้นๆก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

    เพราะสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ยังคิดที่จะแกล้งสอบไม่ผ่านอยู่ดี...

    ______________________________________
  3. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย เรื่องธีมของโลกในฟิคกับคำเรียกของบางอย่างในเรื่อง

    1. วิทยาการต่างๆในเรื่องเทียบเท่ายุคปัจจุบัน แต่เพราะเกือบล่มสลายไปแล้ววิทยาการบางอย่างจึงใช้ได้จำกัดมากขึ้น (ในแง่ของการผลิตและทรัพยากร) เช่น รถไม่สามารถใช้ได้ เพราะขาดน้ำมัน มีปืนแต่จำนวนกระสุนน้อยลงเรื่อยๆปัจจุบันคนที่ใช้จึงเป็นทหารซะมากกว่า

    2. กล่องปริศนาในเรื่องถูกเรียกว่ากล่องแพนโดร่า

    3. ผลึกแก้ววิเศษถูกเรียกว่า 'โฮป' เศษเสี้ยวหนึ่งของความหวังที่บรรจุไว้ภายในกล่องแพนโดร่า

    สรุปแค่เฉพาะส่วนที่บทนำเขียนถึงไปแล้ว นอกนั้นไม่ขอเขียนถึงมากดีกว่าเดี๋ยวจะไปบีบกรอบการแต่งของคนอื่นมากไป />_<"
  4. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    เสียงล้อเกวียนไกลออกไปเรื่อยๆ...

    เกวียนโดยสารที่นั่งมาตลอดตั้งแต่ฟ้ายังมืดหม่นจนพระอาทิตย์ขึ้นสาดแสง ค่อยๆเคลื่อนตัวห่างออกไป ราวกับจะทอดทิ้งพวกเด็กๆที่โดยสารเอาไว้



    ทว่าเด็กที่ลงมาจากเกวียนนั้นจะมีสักกี่คนที่รู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้ง เด็กจากหมู่บ้านไวท์ฟิลด์ส่วนมาก ทันทีที่ลงจากเกวียน ต่างก็จับกลุ่มกัน บ้างก็ตรงไปยังศูนย์สอบ บ้างก็แวะเดินชมเมืองสักพักก่อน



    แต่อเล็กซ์ แอชสมิธ กลับยืนมองเกวียนเคลื่อนตัวห่างออกไปจนลับสายตา ถ้ามีใครสักคนมองเขาอยู่ก็น่าจะคิดว่าเด็กหนุ่มคงคิดถึงบ้าน บ้างก็คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ชั่วชีวิตคงไม่เคยมายังเมืองใหญ่เช่นนี้มาก่อน



    ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรก

    ความกว้างใหญ่ของทางเดินกับสิ่งก่อสร้างที่ก่อด้วยอิฐสีขาวและเทา หินปูพื้นที่วางเรียงอย่างปราณีต สีขาวและเทาประสานกับสีอื่นๆดูงดงามอย่างกับงานศิลปะ

    เมื่อมองไปตามทางเดิน ก็จะเห็นร้านค้าต่างๆตั้งอยู่เรียงราย จากที่เคยรู้มา วันปกติจะไม่มีร้านค้ามากมายขนาดนี้ แต่เพราะการสอบเข้า จึงมีร้านค้าออกมาตั้งรับพวกเด็กๆที่มาจากที่ต่างๆที่จะมาสอบในวันนี้



    ทั้งหมดที่ว่ามานี้ี่คือ เมืองที่มีชื่อว่ากราเซียส



    เด็กหนุ่มมองภาพบรรยากาศของเมืองกราเซียสที่ไม่ต่างไปจากปีที่แล้วแม้แต่น้อยพลางถอนหายใจ แล้วก้าวเดินไปยังจุดหมาย...ศูนย์สอบประจำเมืองนี้

    ยิ่งก้าวไปมากเท่าไหร่ เสียงจอแจของผู้คนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ตอกย้ำให้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างหมู่บ้านกับเมืองใหญ่



    “...เมืองหลวงจะขนาดไหนกันนะ”

    อเล็กซ์คิดในใจ พลางหันซ้ายหันขวามองข้างทางไปในขณะเดิน จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชินกับสภาพแวดล้อมนี้สักเท่าไหร่

    ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากกลับไปที่ไวท์ฟิลด์ อยากกลับไปดูแลแม่ที่อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียว เดี๋ยวนี้เลยก็ยิ่งดี

    ยิ่งอยู่ในเมืองที่ใหญ่ถึงขนาดนี้ ยิ่งรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองช่างกระจ้อยร่อยเหลือเกิน การที่คนตัวเล็กๆคนหนึ่งมาอยู่ในที่ๆกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะมีประโยชน์อะไรกัน ในทางกลับกัน หมู่บ้านเล็กๆ บ้านหลังเล็กๆต่างหากล่ะ ที่มีความหมายเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเขา

    แม้เขาจะรู้ว่าการสอบให้ผ่านนั้นต้องทำให้แม่ของเขาดีใจเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็หมายความว่า เขาไม่อาจจะคอยดูแลอยู่เคียงข้างแม่ได้อีกต่อไป



    ...’ตั้งใจในการสอบให้ดีล่ะอัล’...

    คำพูดของผู้เป็นมารดาย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

    ....ขอโทษนะครับ แม่

    ....แต่ว่าผมน่ะ...



    สำหรับผม ถ้าไม่สามารถปกป้องดูแลแม่ได้ละก็ จะอะไรก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น



    อเล็กซ์ย้ำเช่นนั้นกับตัวเอง



    เมื่อก้าวพ้นบริเวณร้านค้าแล้ว เสียงจอแจของผู้คนก็เบาลงไปถนัดหู อเล็กซ์ก็มองไปรอบๆหาศูนย์สอบ จนสายตาไปปะกับอาคารสูงสีขาวที่คุ้นตาดี และสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่านั่นคือศูนย์สอบแน่ๆก็คือ บรรยากาศ



    รอบๆอาคารนั้นมีเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันจับกลุ่มคุยกันบ้าง นั่งอ่านหนังสือบ้าง เดินเที่ยวเล่นบ้าง แต่ก็มีคนที่ดูยังไงก็เป็นผู้ใหญ่แล้วแน่ๆอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร คนที่ใช้เวลาเกือบค่อนชีวิตเพื่อสอบเข้าเรียนต่อก็มีอยู่ อาจจะไม่ใช่จำนวนที่มากมายอะไรนัก แต่ก็ไม่ถึงกับน่าตกใจอะไร

    ถึงกระนั้น จำนวนคนที่มากมาย ที่ตั้งใจมาสอบกันในวันนี้ ก็ทำให้อเล็กซ์เผลอหยุดยืนมองโดยไม่รู้ตัว


    “มีคนมาสอบเยอะขนาดนี้เชียว”

    เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากใกล้ๆตัว

    “ใครๆก็อยากยกระดับของตัวเองนี่นะ..ช่วยไม่ได้หรอก แต่จะผ่านกันสักกี่คนกันน้า...”



    อเล็กซ์ค่อยๆหันไปมองไปทางต้นกำเนิดเสียง

    เป็นเด็กผู้หญิงผมยาวสีชารวบไว้เป็นหางม้าด้านหลังอย่างเรียบร้อย สวมชุดที่มีผ้าคลุมไหล่สีดำ ผูกริบบิ้นสีแดงที่อก กระโปรงยาว มองดูแล้วเหมือนชุดแบบที่คนมีฐานะจะสวมกัน แต่สิ่งที่ดูไม่เข้ากับร่างเล็กที่สุดนั้นไม่ใช่ชุดสวมใส่ แต่เป็นแว่นตากลมต่างหาก



    “ไม่เป็นไรน่า เจ้าน่ะดูท่าทางจะสอบผ่านอยู่แล้ว”

    เด็กสาวหันมาพูดกับอเล็กซ์

    “พอดีเรามาคนเดียวเลยไม่รู้จะคุยกับใครดีน่ะนะ...จะว่าไงดีล่ะ..ถ้าชวนคุยแล้วปรากฏว่าเจ้านั่นสอบตกขึ้นมา มันดูเสียเปล่ายังไงชอบกล...เจ้าว่าไหม?”



    “...ค...คือว่า...”



    จะบอกดีมั้ยว่าตัวเองไม่คิดจะสอบให้ผ่านอยู่แล้ว

    ขณะที่อเล็กซ์ลังเลอยู่ เด็กสาวก็พูดต่อไปโดยไม่สนใจคู่สนทนา



    “มาจากหมู่บ้านแถวๆนี้สินะ? ดูจากเวลาแล้วก็น่าจะมาจากไวท์ฟิลด์ ที่นั่นสงบสุขดีนะ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากเกิดที่นั่นน่ะแหละ แต่เท่าที่สังเกตมาเมื่อกี้ เด็กไวท์ฟิลด์ที่น่าจะสอบผ่านก็คงมีเจ้ากับอีกไม่กี่คนนั่นแหละ”



    ...เด็กคนนี้...

    ทั้งๆที่ตัวสูงไม่ถึงไหล่ของอเล็กซ์ด้วยซ้ำ ท่าทีมั่นใจนั้นกลับทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ แต่ในทางกลับกัน อเล็กซ์รู้สึกไม่ค่อยดีนักกับเด็กสาวคนนี้

    จะเพราะตนเองไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับเด็กเมืองก็ใช่ แต่ว่า...
    ถึงจะเป็นในหมู่เด็กเมืองที่เป็นที่รู้กัน แต่เด็กคนนี้ดูเหมือนจะคิดว่าทุกอย่างมีตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างไรอย่างนั้น



    “ถ้าสอบผ่านแล้วก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน หวังว่าจะได้เป็นเพื่อนที่ดีนะ”

    เด็กสาวยื่นมือมายังอเล็กซ์

    “เราชื่อ เวิร์ด โครนิเชียล ยินดีที่ได้รู้จัก”



    อเล็กซ์คิดว่าจะยื่นมือออกไปจับตามมารยาทดีหรือไม่ แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะมั่นใจกับการคาดเดาของตนเหลือเกิน...ทำให้แน่ใจได้ว่าเธอเชื่อจริงๆว่าเขาจะสอบผ่าน ทั้งๆที่เขาตั้งใจจะแกล้งสอบไม่ผ่านมาแต่แรกแล้ว



    อเล็กซ์มีความซื่อตรงเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงพูดออกไป

    “คือ...”

    “...?”



    ทั้งๆที่ตัดสินใจไว้แล้วแท้ๆ แต่เวลาจะพูดออกไปกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

    ถ้าจะให้บอกกับแม่ละก็คงไม่ได้แน่ๆ แต่คนที่อยู่ตรงหน้า เป็นแค่คนที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรกแท้ๆ

    ทำไมกันนะ...?

    แต่ในที่สุด อเล็กซ์ก็พูดออกไป



    “ขอโทษนะ ผมคงสอบไม่ผ่านหรอก”



    “..........อะไรนะ?”

    เด็กสาวที่เพิ่งแนะนำตัวเองไปทำสีหน้าประหลาดใจ

    “ไม่จริงน่า...ถ้ามาสอบก็ต้องคิดบ้างสิว่าตัวเองน่าจะผ่าน...”



    “ผมมาสอบเพราะว่าแม่ของผมอยากให้มาสอบก็เท่านั้นเอง...”


    “แล้วยังไงล่ะ...!?เหตุผลแค่นั้น...”



    “ผมน่ะ...อยู่กับแม่แค่สองคน”

    อเล็กซ์เริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง“ถ้าผมสอบผ่าน แล้วไปเรียนที่เมืองหลวง...ใครจะไปอยู่ดูแลแม่กันล่ะ...?”



    “พูดบ้าๆ...เจ้าจะมีโอกาสได้เป็นผู้ขจัดมาร ไม่สิ ถึงไม่ใช่ผู้ขจัดมาร แต่ก็มีโอกาสที่จะไปได้ไกลมากขึ้นเยอะแยะนะ...!!เจ้าจะทิ้งโอกาสนั้น...”



    “จะเป็นผู้ขจัดมารหรืออะไรก็ช่าง...ถ้าอยู่ดูแลคนสำคัญไม่ได้มันจะไปมีความหมายอะไรกันเล่า!!!”



    อเล็กซ์ตวาดออกมาเสียงด้วยเสียงดัง



    ฝ่ายเด็กสาวเงียบไปไม่พูดอะไรตอบกลับมา ประกอบกับคนรอบข้างที่หยุดหันมามองกันเป็นตาเดียว ทำให้บรรยากาศรอบๆตัวทั้งคู่ดูเงียบงันลงไปโดยทันที

    และเด็กหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองได้เผลอเล่าความคิดที่แม้แต่กับแม่ก็ไม่เคยบอก ให้คนแปลกหน้าได้ยินไปเสียแล้ว



    “ขอโทษ...”



    “.......”



    อีกฝ่ายยังนิ่งเหมือนนึกคำพูดตอบไม่ออก อเล็กซ์รู้สึกลำบากใจ



    “ผมไปลงทะเบียนสอบก่อนล่ะ”



    เด็กหนุ่มหันกลับไปยังอาคารศูนย์สอบ


    “...ขอโทษจริงๆนะ”



    คำขอโทษที่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะบอกกับผู้เป็นแม่...

    อเล็กซ์เอ่ยคำขอโทษนั้นออกไป แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ




    แต่แล้ว เสียงของเด็กสาวก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง



    “สิ่งที่เราพูดมีแต่ความจริงเท่านั้น





    เจ้าต้องสอบผ่านแน่...”




    นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่อเล็กซ์จะเดินเข้าศูนย์สอบไป


    ======
    (ตัวละคร) Word Chroniciel(เวิร์ด โครนิเชียล)- ...แว่นเตี้ยแบนซึน จบข่าว(ผลัวะ) ไว้กลับบ้านแล้วจะเอาโปรไฟล์ลงกระทู้ตัวละครครับ ^^'(ตอนนี้อยู่ที่มหาลัย)

    หาเรื่องจุดไฟให้อเล็กซ์...(แต่ดูเหมือนจะล้มเหลว? ฮา)

    โยนต่อ (/= w =)/ .....ว่าแต่ว่ากระทู้พอมีแต่เนื้อหาฟิคแล้วดูเงียบๆเหงาๆยังไงไม่รู้แฮะ(..หรือพูดในกล่องเชาท์หมดแล้วกันนะ orz)
  5. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    เสียงส้นของรองเท้าบูทสีขาวดังก้องอยู่บนพื้นหินอ่อนสีชมพูขุ่น เจ้าของเสียงฝีเท้าซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนั้นกำลังเร่งรีบเดินไปยังห้องที่อยู่ปลายสุดของห้องโถงขนาดใหญ่แห่งนี้ ตามทางเดินมีรูปปั้นของเหล่าอัครเทวดาสลักด้วยหินอ่อนที่ดูอ่อนช้อยและงดงามอยู่คั่นกลางระหว่างเสาขนาดใหญ่แต่ละต้น ทอดนำไปสู่ประตูไม้โบราณขนาดใหญ่

    เด็กสาวมิได้เคาะประตูตามมารยาทเป็นอย่างใด นางใช้ไหล่ของตนเองพลักประตูขนาดใหญ่นั้นออกไปอย่างง่ายดาย
    ภายในห้องทรงกลมขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยตู้หนังสือ ตรงกลางห้องมีลูกโลกขนาดใหญ่ตั้งโชว์เอาไว้ ตรงข้ามกับประตูนั้นคือโต๊ะทำงานที่สะอาดสะอ้าน มีปากกาขนนกและหมึกพร้อมกับกระดาษวางไว้ข้างๆ

    เด็กสาววางกองเอกสารที่หอบเอาเข้ามาทั้งสองมือลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะก้าวถอยหลังออกมาและโค้งคำนับ ผมสีดำยาวพลิ้วสไหวไปตามร่างของนาง ไม้กางเขนเงินที่สลักอย่างงดงามซึ่งห้อยเอาไว้ที่คอกระทบกับตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรบนอกของชุดซิสเตอร์สีน้ำเงินยาวซึ่งบ่งบอกว่า เด็กสาวผู้นี้คือซิสเตอร์ฝึกหัด
    เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานที่หันหลังอยู่ ได้ถูกหมุนเข้ามาประจันหน้ากับเด็กสาว ร่างบนเก้าอี้นั้นคือนักบวชอาวุโสอายุ50กว่าปี แต่ยังมีผมสีดำสนิท ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล สวมชุดตัวยาวสีขาว มีเสื้อคลุมสีแดงเลือดหมูคลุมเอาไว้ บ่งบอกถึงสถานะ


    “เจ้าทำให้ข้ารอนาน...”


    “ต้องขออภัยท่านเป็นอย่างสูงค่ะ พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์”


    นักบวชชรายิ้มนิดๆด้วยความขบขัน


    “ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนนะ อัลรอลเน่”


    เด็กสาวเจ้าของชื่อนิ่งเงียบ นางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีแดง-ทองที่ดูน่าสะพรึงกลัวเหลือบมองผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง ก่อนที่จะคลายออกมาเป็นสายตาที่ดูอ่อนโยน


    “ค่ะ....ท่านพ่อ...”


    อัลรอลเน่...เด็กสาวผู้ซึ่งเป็นเด็กจรจัด นางไม่รู้ว่าใครคือผู้ให้กำเนิดนางมา ไม่รู้แม้แต่ชื่อที่แท้จริงของตนเอง นางรู้เพียงแต่ว่านางมีพลังพิเศษบางอย่างติดตัวนางมาตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่...คาร์ดินัลฟรังซิสได้รับนางมาจากที่นั่น...ตรอกของคนจรจัด...เป็นมุมมืดของศาสนจักรที่ไม่ได้มีการเหลียวแล....


    “คุณพ่อฟรังซิสคะ..”


    เสียงของอัลรอลเน่ปลุกให้เขาตื่น เขาจ้องมองใบหน้าของอัลรอลเน่ในเชิงคำถาม


    “ตรงนี้เป็นจดหมายให้เข้าร่วมการประชุมเกี่ยวกับการเลือกบิชอปขึ้นมาเป็นพระคาร์ดินัลชุดใหม่ค่ะ แล้วก็” นางยื่นจดหมายอีกฉบับมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า "ตรงนี้เป็นงานกวาดล้างพวกนอกรีตที่เข้าไปทุบกระจกสีของโบสถ์เซนต์เทเรซ่าเมื่อวันก่อนด้วยค่ะ”


    “ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอให้เจ้ารับผิดชอบงานกวาดล้างนี่ละกัน”


    คาร์ดินัลฟรังซิสลุกขึ้นยืน อัลรอลเน่หยิบหมวกสีแดงเลือดหมูจากโต๊ะดื่มน้ำชาใกล้ๆขึ้นมา และยื่นให้กับเขาเพื่อนำไปสวม


    “อ้อ! แล้วก็...อย่าลืมล่ะ...อย่าทำอะไรรุนแรงนักล่ะ”


    อัลรอลเน่เงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะโค้งคำนับ


    “รับทราบค่ะ คุณพ่อ”

    .................
    เพล้ง!!! เสียงกระจกสีรูปพระจิตแตกกระจัดกระจายไปทั่ว พร้อมกับเสียงเฮลั่นของพวกนอกรีตนอกโบสถ์เซนต์เทเรซ่า


    “พวกเราไม่เห็นด้วยกับการอยู่ภายใต้อำนาจของศาสนจักร!!!”


    เสียงโห่ร้องขับไล่และหยาบคายดังเซ็งแซ่ไปทั่ว พร้อมๆกับการปรากฏตัวของใครบางคน


    “เห่าจนพอใจหรือยังล่ะ?”


    อัลรอลเน่ปรากฏตัว พร้อมกับเหล่าทหารของศาสนจักรอีกนับร้อยนาย กลุ่มของพวกนอกรีตก็แหวกทางออก มีชายคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาหาเด็กสาว


    “หึ...พวกเจ้าคิดจะทำอะไรพวกเราน่ะ”


    “มาลากคอพวกเจ้าเข้าไปนอนซังเตยังไงล่ะ...”


    “พวกเจ้าได้ยินมั้ย!!! นางบอกว่าจะเอาพวกเราขึ้นศาลศาสนาล่ะ!!!” มีเสียงหัวเราะครืนดังมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม


    “เจ้าแน่ใจแล้วนะว่าจะนำพวกเราทั้งหมดขึ้นศาล เจ้าไม่กลัวการต่อต้านจากประชาชนหรือ?”


    “พวกเขาก็อยู่กันมีความสุขดี มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นแหละ...ที่ทำตัวเป็นสุนัขขี้เรื้อน...ที่มาโทษว่าคนอื่นทำให้เจ้าเป็น แต่ตัวเจ้าเองน่ะแหละ ที่ทำให้ตัวเองเป็นเรื้อน!!!”


    อัลรอลเน่ร่ายคำสบถออกมา กลุ่มทหารด้านหลังขยับตัวเล็กน้อย มีอยู่สองสามคนที่ชะโงกหน้าเข้าหากัน


    “นางเป็นซิสเตอร์ฝึกหัดมิใช่หรือ พูดแบบนี้จะดีหรือ?”


    “พวกเราห้ามอะไรนางไม่ได้หรอก...ปล่อยนางไปเถอะ..อย่าไปขัดนางเลย”


    หัวหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มยัวะ เขาจับคางของอัลรอลเน่เชิดขึ้น


    “ซิสเตอร์....ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ...ถ้าพวกท่านจะนำเงินที่มีมากมายในพระคลังนั้นมาแบ่งให้กับพวกเรา และมาดูแลประชาชนที่กำลังทุกข์ร้อนอยู่น่ะนะ”


    อัลรอลเน่ใช้มือปัดมือของชายคนนั้นอย่างไม่แยแส


    “อย่าเอามือของคนอย่างเจ้ามาแตะต้องข้า”


    เด็กสาวยื่นมือออกมาด้านหน้า แล้วหมุนมือช้าๆ ทุกคนมองตามนาง...ฉับพลันนั้น อัลรอลเน่ก็ชักขวานยาวขนาดใหญ่ขึ้นมาและฟันออกไปยังอากาศธาตุเบื้องหน้า แต่ทว่า ร่างของพวกนอกรีตทุกคนก็กระจุยเป็นเศษเนื้อทันที


    “อะ...อะไรกัน...”


    “ให้มันน้อยๆหน่อยนะ...”


    อัลรอลเน่ชูมือขึ้น ก่อนที่จะดีดนิ้ว เหมือนกับมีเสียงกระจกแตกดังขึ้น แล้วภาพทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพดังเดิม พวกผู้ชุมนุมลงไปนอนกลิ้งบนพื้น พวกเขาทั้งหมดต่างไร้บาดแผล สร้างความงงงวยให้กับทุกคน


    “จับตัวพวกเขาซะ...”


    ทหารทั้งหมดบุกเข้ามาจับตัวพวกนอกรีตได้ทั้งหมด อัลรอลเน่ยืนดูพวกเขา ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา


    “ไม่นึกว่าศาสนจักรจะอ่อนแอ ถึงขั้นต้องเกาะชายกระโปรงผู้หญิงเชียวหรือนี่....”


    .........ฉับพลัน...ทั่วบริเวณก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงแต่เสียงสายลมกระทบกับกระโปรงของอัลรอลเน่ นางค่อยๆหันมาหาชายผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุม...


    “เมื่อครู่...เจ้ากล่าวว่าอย่างไรนะ...”


    ชายคนนั้นรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรที่อันตรายต่อชีวิตของตนเองไปเสียแล้ว...
    .......................
    เสียงถอนหายใจของคาร์ดินัลฟรังซิสดังขึ้น เขาโยนรายงานการกวาดล้างไปบนโต๊ะ และเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวที่กำลังก้มหน้าอย่างสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะหันไปหานักบวชหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้นำรายงานมาส่ง


    “.....เขาเป็นยังไงบ้าง.....”


    “กระดูกหักหมดทั้งตัวครับ...ดูเหมือนบางส่วนที่หักไปจะทิ่มเข้าไปในปอดด้วย..ตอนนี้นำตัวส่งโรงพยาบาลไปแล้วครับ”


    “เจ้าออกไปก่อน”


    นักบวชหนุ่มโค้งคำนับแล้วเดินออกไป ...สิ้นเสียงปิดประตู คาร์ดินัลฟรังซิสก็ผายมือให้อัลรอลเน่นั่งบนเก้าอี้ที่เขาเตรียมไว้ นางนั่งลงไปอย่างว่าง่าย สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังหวาดกลัว


    “ทำไมลูกถึงควบคุมตนเองไม่ได้เล่า อัลรอลเน่...”


    “เจ้าพวกนั้นดูถูกศาสนจักร...จะให้ลูกอยู่เฉยหรือคะคุณพ่อ..”


    “นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัว!!! ในภายภาคหน้า ลูกก็ต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนของศาสนจักร ลูกต้องได้ยินคำครหาเหล่านี้มากขึ้น แล้วลูกจะเที่ยวไปชกต่อยกับเขาตลอดเวลางั้นหรือ!!! ถ้าหากลูกอดทนกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ พ่อก็จะไม่ให้ลูกช่วยงานพ่ออีกแล้ว!!!”


    มันคือคำพูดเสียดแทงใจของผู้ฟังเป็นอย่างมาก... อัลรอลเน่ขบริมฝีปากแน่น คาร์ดินัลฟรังซิสจ้องมองนางอย่างรู้สึกผิด แต่นั่นเป็นสิ่งที่พ่อควรกระทำต่อลูก


    “ไปพักผ่อนได้แล้ว”


    อัลรอลเน่ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับแล้วเดินออกไปโดยไม่กล่าวอะไร นางเดินไปตามทางของห้องโถง ตัดเข้าสู่ระเบียงที่นำทางไปยังด้านหลังของโบสถ์ ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ที่งดงาม พุ่มไม้ถูกตัดแต่งเป็นรูปเทวทูต ตรงกลางสวนมีน้ำพุที่สลักเป็นเซนต์เซลีลีอาถือคนโท
    ลึกเข้าไปมีตึกซึ่งเป็นเรือนนอนของซิสเตอร์อยู่ อัลรอลเน่เดินเข้าไปด้านใน และขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด ที่นั่นมีห้องที่ใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งห้อง อัลรอลเน่เปิดประตูเข้าไปในห้องของตนเอง มันเป็นห้องที่ไม่เรียบหรูเลย มีเพียงแค่เตียงไม้สีขาวสะอาด โต๊ะทำงานกับเก้าอี้ และหีบใส่เสื้อผ้า กับประตูไปสู่ห้องน้ำที่โล่งพอๆกัน

    อัลรอลเน่เอนตัวลงนอนในอ่างอาบน้ำสีขาวในห้องอาบน้ำเล็กๆ สายตาจับจ้องไปที่ชุดซิสเตอร์สีน้ำเงินเปื้อนเลือดที่ถูกแขวนเอาไว้ นางกำลังนึกถึงคำพูดของพ่อ...คำพูดที่เสียดแทงใจของนางอย่างเจ็บปวด...


    “เราจะทำยังไงดีล่ะ....จะทำยังไง...ถึงจะทำเป็นไม่สนใจพวกนั้นได้...ทั้งๆที่...เรา...ต้องการปกป้องขนาดนั้นแล้วแท้ๆ...”

    อัลรอลเน่จ้องมองไปยังกำแพงอันว่างเปล่า ก่อนที่จะเลื่อนสายตามาจ้องมองมือของตัวเอง และใช้มือทั้งคู่นั้นตบหน้าตัวเองอย่างแรงจนเป็นรอยมือประทับติดอยู่บนพวงแก้มสีขาวซีดๆนั่น


    "เราต้องทำได้...ต้องทำได้อยู่แล้ว..."


    กลางดึกในคืนนั้น...อัลรอลเน่เดินออกมาจากเรือนนอนด้วยชุดซิสเตอร์ที่เปลี่ยนใหม่ นางกลับไปยังห้องของคาร์ดินัลฟรังซิสอีกครั้ง ด้วยหวังว่า จะได้ไปกล่าวขอโทษต่อเขา และสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก

    อัลรอลเน่เคาะประตูไม้โบราณนั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับ นางจึงเปิดประตูเข้าไปทันที ....

    ภายในห้องเงียบสงบ แต่แสงไฟจากโคมไฟระย้าคริสตัลที่ห้อยอยู่กลางห้องกลับยังไม่ดับลง นางกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบกับคาร์ดินัลฟรังซิสนอนบนโซฟากำมะหยี่สีทองข้างๆกับโต๊ะทำงาน อัลรอลเน่ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่พบกับเขา ก่อนที่จะเดินเข้าไปดึงผ้าห่มจากตู้เก็บของส่วนตัว และนำมาห่มให้กับเขา พร้อมๆกับที่เข้าไปจัดเอกสารบนโต๊ะให้เรียบร้อย จัดแจงของให้เข้าที่ และเมื่อแน่ใจว่าหน้าต่างปิดล็อคทุกบานแล้ว นางก็ดับไฟของโคมระย้า และเปิดประตูออก

    แต่ก่อนที่นางจะไปนั่น อัลรอลเน่หันกลับมามองผู้เป็นพ่อของตนเองที่นอนอยู่บนโซฟานั้นอย่างเป็นสุข...
    รุ่งเช้าที่จะถึงนี่ นางจะต้องเข้ารับการสอบเข้าในโรงเรียนของศาสนจักร ที่ชึ่งนางจะเข้าไปฝึกฝน...เพื่อนำพลังนั่นไปใช้ในการปกป้องศาสนจักร...และปกป้อง...คุณพ่อ....ของนางเอง

    “ราตรีสวัสดิ์นะคะ....คุณพ่อ...”


    -----------------------------------
    ธีมหลักในครั้งนี้คือศาสนา!!! นี่มันคือสิ่งที่คาเรนถนัดมากๆ เพราะเป็นเรื่องที่สนใจมากที่สุด แต่กลับไม่เคยเอามาแต่งจริงจังแบบนี้มาก่อนเลย^^"
    ความจริง...บทนำจะยาวกว่านี้อีก แต่คาเรนตัดทิ้งไปปล่อยในโอกาสหน้าเยอะมากๆ(ฮา)

    ฝาก Alraune ด้วยนะคะ>w<
  6. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    หลังจากที่อเล็กเดินเข้าไปในอาคารสอบได้เพียงชั่วครู่ ก็มีรถม้าสีขาวคันหนึ่งซึ่งมีม้าเทียมรถถึงสี่ตัว พุ่งทะยานเข้ามาจอดบริเวณลานกว้างอย่างรวดเร็ว ทันทีที่รถม้าจอดสนิท ประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก เด็กจำนวนหนึ่งลงมาจากรถม้าเพื่อวิ่งไปยังทางเข้าอาคารสอบที่เปิดกว้างไว้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ เวิร์ด โครนิเชียล แปลกใจเท่ากับเด็กหนุ่มผมสีดำที่ลงมาเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับคนขับรถม้า

    “สวัสดีครับ คุณคาวิน มาช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย มีปัญหาอะไรระหว่างทางหรือเปล่าครับ?” ทหารหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายคนขับรถม้าอย่างสุภาพ ”แล้ว.." ทหารหนุ่มหันมามองเด็กหนุ่มท่าทางเงียบๆที่ยืนอยู่ข้างๆ "นี่ใครกันหรือครับ?”

    “คนรู้จักของเราฝากมาน่ะครับ” คาวินตอบ น่าแปลกที่ทั้งทหารและเด็กหนุ่มคนนั้นหันไปมองหน้าคาวินพร้อมกัน แต่มีบางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มหันกลับไปมองหน้าทหารตามเดิม ”ไม่ทราบว่าจะเอาเด็กที่ไม่ได้เข้าเรียนมาลองสอบดูได้ไหม?”

    “คงต้องถามทางผู้คุมการสมัครแล้วล่ะครับ” ทหารหนุ่มตอบ

    “ได้ ถ้าอย่างนั้นเราขอพาเขาเข้าไปข้างในนะครับ” พูดจบ คาวินและเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปในศูนย์สอบด้วยกัน

    ‘การสอบคราวนี้มีคนแปลกๆเยอะกว่าที่คิดแฮะ’ เวิร์ดคิดในใจก่อนที่จะเดินเข้าไปในศูนย์สอบเพื่อลงทะเบียนสอบบ้าง

    ----------------

    ทางด้านอเล็ก เขากำลังง่วนอยู่กับการหาสายการสอบที่ยากพอที่จะทำให้เขาสอบตกได้ น่าแปลก นอกจากสายการสอบเป็นผู้ขจัดมารด้านเวทมนต์แล้ว เขาแทบจะแน่ใจได้ว่าถ้าไม่ตั้งใจทำข้อสอบให้ตก ต่อให้หลับตาทำ เขาก็คงสอบผ่านแน่ แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะแกล้งสอบตก เพราะถ้าแม่รู้เข้า คงจะเสียใจไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นเป้าหมายที่เหลือจึงอยู่ที่ผู้ขจัดมารสายเวทมนต์เท่านั้น

    “คุณอยากให้เด็กคนนี้สมัครสอบเป็นผู้ขจัดมารสายเวทมนต์หรือครับ?” ผู้คุมการสมัครคนหนึ่งถามขึ้น แน่นอน คำถามเช่นนี้เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก เพราะการสอบสายนี้ยากมากชนิดที่นับคนสอบผ่านตั้งแต่ก่อตั้งศูนย์สอบแห่งนี้ได้ ที่สำคัญผู้สมัครยังเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง14ปีและไม่เคยผ่านการเรียนมาจากที่ไหนทั้งสิ้น

    “ครับ เป็นความต้องการของเจ้าตัวเองเลยล่ะครับ” คาวินตอบ ดูจากสีหน้าแล้ว พอเดาได้ว่าเขามั่นใจในตัวเด็กหนุ่มมากทีเดียว

    “แต่ว่านะครับ การสอบสายนี้น่ะ..”

    “ฟิเรโอ้” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ฉับพลัน กระดาษรายชื่อผู้สมัครสอบผู้ขจัดมารสายเวทมนต์ก็ลุกไหม้ขึ้น

    ”ฟรอเซ่” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาอีกคำ ไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ก็กลายเป็นน้ำแข็งไปในทันใด แน่นอน สิ่งนี้เรียกเสียงฮือฮาได้มากกว่าเมื่อซักครู่เสียอีก

    “โอ เก่งทีเดียวนะ หนุ่มน้อย” เสียงๆหนึ่งดังออกมาจากทางด้านหลังของคาวิน ทำให้ทุกคนหันไปมองในทันที

    ทันทีที่เห็นต้นเสียง คาวินก็ยิ้มออก “เบนิออส เพื่อนเรา ดีใจจริงๆที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วปีนี้ก็เป็นผู้คุมสอบอีกแล้วหรือ?”

    “แน่ใจนะว่าเจ้าดีใจ” เบนิออสหัวเราะร่วน แม้ว่าเขาจะมีผมสีขาวแซมขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลับแทบไม่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแม้แต่ขณะหัวเราะ “ข้าก็ดีใจที่เจอเจ้าอีก ว่าแต่ เจ้าได้เด็กเก่งๆแบบนี้มาจากไหนล่ะ ลูกของใครหรือ?”

    “ถ้าจะให้เล่าล่ะก็ เรื่องมันยาว” คาวินตอบ พลางนึกถึงวันที่ได้เจอกับเด็กหนุ่มครั้งแรก

    ----------------

    สามวันก่อน หลังจากที่คาวินรับปากทางศูนย์สอบว่า จะไปรับเด็กที่จะมาสอบจากหมู่บ้านทวินเกลซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเกือบจะถึงชายแดนที่เหล่าปีศาจยึดครอง เขาพบเด็กคนนี้สลบอยู่ แน่นอน คนอย่างเขาไม่มีทางปล่อยให้ใครมานอนหมดสติริมทางแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นดินแดนที่อยู่ใกล้เขตปกครองของปีศาจอีกด้วย เขาจึงพาเด็กหนุ่มขึ้นมาบนรถม้า

    ”เคียริซั่น” คาถาปรับสภาพร่างกายระดับกลาง หลุดออกจากปากของคาวิน บ่งบอกถึงความสามารถของเขา ผ่านไปชั่วครู่เด็กหนุ่มก็ได้สติขึ้นมา

    ถึงแม้เด็กหนุ่มจะฟื้นขึ้นมา แต่ทว่ากลับไม่มีการโต้ตอบจากเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นคำถามใดๆของคาวินก็ตาม ซึ่งคาวินก็ไม่อยากฝืนใจเด็กหนุ่มที่พึ่งฟื้นจากการหมดสติ เขาจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มพักผ่อนในรถม้าต่อไป

    ทว่า การที่เฉียดเข้าใกล้เขตแดนของปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้คาวินได้พบกับปีศาจจำนวนมาก ความจริง ถ้าไม่มีภาระอะไร ปีศาจพวกนี้คงไม่คณามือของเขา แต่ตอนนี้เขามีเด็กหนุ่มต้องคอยปกป้อง การห่วงหน้าพะวงหลังก็ทำให้คาวินพลาดโดนกัดเข้าที่ไหล่จนได้

    คาวินถอยกรูดมาจนถึงรถม้า และทรุดลงในสภาพเลือดอาบแขน แม้เด็กหนุ่มจะไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่สายตาก็แสดงออกได้ถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

    คาวินจับหัวของเด็กหนุ่มแล้วพูดออกมาเบาๆ ”เด็กน้อย ไม่ต้องเป็นห่วงเรา เดี๋ยวเราจะเปิดทางให้กับเจ้า เจ้าจงวิ่งให้สุดกำลัง และอย่าหันกลับมามองอีก” คาวินพูดจบ ก็ลุกขึ้น เขากางมืออีกข้างที่ยังไม่บาดเจ็บออกไปด้านหน้า แล้วร่ายเวทมนต์ขึ้นมา ”ดินเอย ฟ้าเอย ธรรมชาติรอบกายข้า ข้าขอเปลี่ยนพลังทั้งหมด..”

    ฉับพลัน เด็กหนุ่มก็ดึงแขนของเขาลง ส่ายหน้าห้ามเหมือนรู้ว่าเขาร่ายเวทมนต์อะไรอยู่ แต่เวลาไม่คอยท่า เหล่าปีศาจที่รอโอกาสย่อมพุ่งเข้าใส่ทันที ทว่า กลับเป็นเด็กหนุ่มยกมือขึ้นเหนือหัว พลางพูดว่า ”วิญญาณธาตุแห่งแสงรอบกายข้า จงฟังคำขอของข้า ข้าขอมอบพลังของข้าให้แก่เจ้า จงกลายเป็นสายฟ้าขจัดศัตรูของข้าให้สิ้น” สิ้นเสียง เด็กหนุ่มก็ฟาดฝ่ามือลงมา

    ”ไลติโอ้ เฟลอา คัสติโอ้!!”

    ----------------

    “เจ้าเป็นอะไรไป คาวิน” เบนิออสเรียกสติของคาวินกลับมา ”เจ้าใจลอยไปถึงสาวงามที่ใหนหรือ?”

    “เปล่า เราแค่คิดอะไรเล็กน้อยน่ะ” คาวินตอบ และหันไปมองเด็กหนุ่มก่อนจะหันกลับมาคุยกับเบนิออสต่อ ”ว่าแต่ เป็นไง ให้เด็กหนุ่มคนนี้เข้าสอบได้ใช่ไหม?”

    “คงไม่ได้....” เบนิออสตอบ นั่นทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา แต่ประโยคต่อมาก็ผ่อนคลายบรรยากาศอันตึงเครียดไปได้เยอะทีเดียว ”อย่างน้อยก็จนกว่าพ่อหนูนี่จะบอกข้าก่อนล่ะนะว่าเขาชื่ออะไร” เบนิออสจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่นุ่มนวล

    “ไลติโอ้ครับ” เด็กหนุ่มตอบออกมา

    “หืม ชื่อเหมือนเวทมนต์โบราณเลยนะนั่น” เบนิออสพูดขึ้น “เอาเป็นว่า ฉันจะรับเธอเข้าสอบละกันนะ พ่อหนู ส่วนจะผ่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วนะ”

    ไลติโอ้หันไปมองกับคาวิน ทั้งสองคิดไปถึงวันนั้น....

    ----------------

    คาวินประคองร่างของไลติโอ้ที่ทรุดลงหลังจากร่ายเวทมนต์เสร็จ ปีศาจทั้งหมดโดนคาถาสายฟ้าซึ่งมีอนุภาพร้ายแรงแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าไปทั้งหมด ไลติโอ้ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของคาวินหันมามองแล้วพูดว่า ”ทำไม! ทำไมต้องทำเพื่อผมถึงขนาดนั้น!!”

    “ไม่มีเหตุผลหรอก" คาวินกล่าวตอบ "เราก็แค่ไม่สามารถปล่อยให้เจ้าต้องมาตายตรงนี้ได้ เพราะอย่างน้อย เราก็เป็นผู้ขจัดมารสายเวทมนต์ที่มีหน้าที่คอยปกป้องผู้อื่น”

    ดั่งแสงสว่างสาดส่องมายังใบหน้าของไลติโอ้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วจับมือของคาวิน ”ผมสัญญา ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ผมก็จะต้องเป็นผู้ขจัดมารสายเวทมนต์เหมือนคุณให้ได้ ผมต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหมือนคุณให้ได้!!”

    ----------------

    ปล. แย่งตำแหน่งนักเวทย์ประจำทีมไปอย่างหน้าด้านๆ(ฮะๆ) ยังไงก็ขอฝากไลติโอ้(ชื่อจริงอุบไว้ก่อน) อย่าพึ่งยัดเขาลงหลุมเร็วเกินไปนะครับ

    ปล.2 ยิ่งแต่ง อเล็กยิ่งงานเข้า น่าเห็นใจพิลึก ^^a

    ปล.3 แก้ไขคำผิด คำซ้ำ และคำที่ใช้ผิดกาลเทศะนิดหน่อยนะครับ(ไม่กระทบต่อเนื้อเรื่อง)
  7. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ท่าทางจะงานเข้าจริงๆเพราะคนสร้างตัวละครก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะบังคับให้สอบผ่านยังไงดี />_< แต่ผมเองกว่าจะว่างแต่งก็คงอีกหลายวันน่ะนะ เพราะต้องมานั่งปั่นฟิคเรื่องอื่นก่อน


    ปล. คาเรนใช้คำผิดคำนึงเน้อ "สังเต" ไม่มีความหมายนะ ถ้าจะหมายถึงคุกมันคือคำว่า "ซังเต" น่ะ
  8. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    เช้ามืดของวันใหม่.ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้าอยู่รำไร..อัลรอลเน่อยู่ในห้องนอนของคาร์ดินัลฟรังซิส นางกำลังจัดแจงเสื้อผ้าให้กับเขา


    “วันนี้ จะไปแล้วสินะ...”


    “ค่ะ..คุณพ่อ...”


    เกิดความเงียบขึ้นในห้องชั่วครู่ ก่อนที่อัลรอลเน่จะคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าผู้เป็นพ่อ และใช้มือแตะอกด้านซ้าย


    “คุณพ่อคะ...ลูกมีเรื่องจะต้องพูดกับท่าน...การกระทำของลูกเมื่อวานนี้ ...ลูกขอสัญญา..ลูกจะไม่ทำแบบนั้นอีก...”


    คาร์ดินัลฟรังซิสเอื้อมมือมาปกหัวของอัลรอลเน่อย่างเมตตา


    “วันนี้...เป็นวันที่ลูกต้องเข้าสอบเพื่อนเข้าไปเล่าเรียนในโรงเรียนของศาสนจักรสินะ....ขอให้พระเจ้าโปรดคุ้มครองลูกด้วย”


    อัลรอลเน่จับมือทั้งสองของคาร์ดินัลฟรังซิสมาประกบกันไว้ และจุมพิต สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง


    “ลูกจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง...”
    //////////////////////////////////////////
    ...หลังจากเหตุการณ์นั้น ผ่านไปนานหลายชั่วโมงที่ซิสเตอร์สาวนั่งอยู่ภายในรถม้าของโบสถ์เซซีลีอาที่คาร์ดินัลฟรังซิสได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ เมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง อัลรอลเน่ก้าวลงจากรถม้า จ้องมองอาคารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้น
    ซึ่งตั้งออกมาแยกต่างหากจากวิหารใหญ่ของศาสนจักร ผู้คนพลุกพล่าน ส่งเสียงจอแจ บ้างก็พูดคุยกับเพื่อนร่วมสอบเมื่อปีที่แล้ว(และก็ไม่ผ่านไปด้วยกัน) พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสอบ และพูดคุยเรื่องต่างๆ อัลรอลเน่ผู้ซึ่งชินกับการอาศัยอยู่ในที่โล่งแจ้งคนเดียว ดูจะอึดอัดไม่เบาเมื่อมาพบกับผู้คนมหาศาลเช่นนี้ อีกทั้งยังมีสายตาของคนอื่นๆที่จ้องมองมา เนื่องจากนางเป็นซิสเตอร์ฝึกหัด ที่ไม่น่าจะมาสมัครสอบแบบนี้ได้เลย
    ภายในอาคารศูนย์สอบนั้น ผู้คนก็ยังอัดแน่น อัลรอลเน่เดินไปดูรายชื่อสายวิชาที่จะต้องสอบบนกระดานประกาศ ในที่สุดนางก็เดินเข้าไปถึง และจ้องมองยังรายวิชาอย่างสนอกสนใจ


    “อ๊ะ...นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีซิสเตอร์มาสอบด้วยหรือนี่ การสอบคราวนี้มีแต่คนแปลกๆมาสอบจริงๆด้วย”


    เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้น อัลรอลเน่ทำเป็นไม่สนใจกับเสียงนั้น นางพยายามอดทนกับความรู้สึกกดดั้นรอบข้างโดยการจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายที่กระดานนั้น


    “ท่านคิดจะสอบเข้าสายไหนหรือ?”


    คำถามนั้นทำให้อัลรอลเน่หันไปในที่สุด นางพบกับเด็กสาวผู้หนึ่งที่มีผมสีชา ภายใต้กรอบแว่นตานั้น มีดวงตาสีน้ำเงินที่ดูงดงามกำลังจ้องมองนาง อัลรอลเน่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างไม่เป็นมิตรตามปกติของนาง


    “...ผู้ขจัดมารสายอาวุธหนัก...และสายรอง..เทววิทยากับปรัชญา”


    เวิร์ดใช้มือขยับแว่นของตนและเอียงคออย่างสงสัย


    “อาวุธหนักอย่างนั้นหรือ? มันจะไม่ดูขัดออกจากภาพลักษณ์ของท่านไปหน่อยหรือ? ข้าคิดว่าท่านจะสอบเข้าสายพลังเวทย์รักษาเสียอีก”


    “...ถึงข้าจะเป็นซิสเตอร์...แต่ข้าก็ไม่ได้ถนัดในการถือไม้คทาไปรักษาคนป่วยหรอกนะ ข้าน่ะ...ถนัดด้านการทำลายล้างมากกว่า”


    ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากัน เวิร์ดยิ้มออกมานิดๆ “ข้าชื่อว่า เวิร์ด โครนิเชียล ยินดีที่ได้พบกับท่าน ”


    เด็กสาวชื่อว่าเวิร์ดยื่นมือออกมา อัลรอลเน่จ้องมองมือเล็กๆนั่น อย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่จะ....


    “ข้าชื่อว่า อัลรอลเน่ แซง-ลุกเชี่ยนวาเลนติโน่ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

    อัลรอลเน่ถอดถุงมือสีขาวออก และยื่นมือเข้าไปจับมือกับเวิร์ดตอบ


    “ข้าว่า เราอย่าเสียเวลาตรงนี้เลย รีบไปสมัครสอบกันดีกว่า”


    อัลรอลเน่พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะสมัครสอบโดยที่เวิร์ดเข้าไปต่อที่แถวอื่น อัลรอลเน่ยืนต่อแถวที่ยาวเยียดนั้นหลายนาทีอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆที่บ่นอุบอิบกับความล่าช้าของการรับเอกสารสมัครสอบ หลังจากที่ถึงคิวแล้ว นางก็นั่งลงตรงหน้าของผู้สมัครสอบที่เป็นนักบวชหนุ่มที่เมื่อพิจารณาจากชุดนักบวชแล้วน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับอัลรอลเน่


    “กรุณากรอกข้อมูลด้วยครับ”


    อัลรอลเน่ถอดถุงมือของตนเองออกและกรอกข้อมูลส่วนตัวของตัวเองลงไปในใบสมัครด้วยปากกาขนนก เมื่อนางเสียบปากกาเข้ากับฐาน นักบวชหนุ่มก็หยิบใบสมัครของนางไปอ่าน ก่อนที่จะชำเลืองมองนาง


    “....ซะ...ซิสเตอร์อัลรอลเน่...นี่เอง นึกว่าผู้ใดเสียอีก”


    อัลรอลเน่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ซึ่งแลดูเหมือนโหดเหี้ยม แต่ความจริงแล้วนั่นคือใบหน้าปกติของนางต่างหาก


    “นี่ครับ บะ..บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ...ยะ...อย่าทำหายนะครับ...แล้วก็...ข้อมูลการเข้าสอบครับ”


    อัลรอลเน่ลุกขึ้นยืน นางโค้งคำนับให้กับนักบวชหนุ่มและหยิบเอกสารทั้งหมดเดินออกมา ท่ามกลางความโล่งอกของนักบวชหนุ่มที่ล่วงรู้ถึงความโหดร้ายอัลรอลเน่
    ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลาเดียวกับที่เวิร์ดสมัครสอบเสร็จพอดี นางเดินเข้ามาสมทบกับเด็กสาว ในระหว่างนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้เดินผ่านเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนจ้องไปยังโต๊ะสมัคร เวิร์ดหยุดเดิน และหันไปหาเด็กชายคนนั้น


    “ยังลังเลอยู่อย่างนั้นหรือ? หรือว่า เกิดอยากจะเป็นผู้ขจัดมารขึ้นมาจริงๆล่ะ?”


    เด็กหนุ่มหันมาหาเวิร์ดอีกครั้ง อัลรอลเน่เอียงหัวเล็กน้อยทำสีหน้าสงสัยต่อทั้งคู่


    “เธอจะรู้อะไรล่ะ..ผมบอกไปแล้วไง ว่าพลังพวกนี้น่ะ ผมไม่เห็นว่าเจ้าพวกนี้มันสำคัญตรงไหนเลย ยังไงผมก็จะยืนยันในคำพูดของตัวผมอยู่ดี”


    ถึงแม้ว่านั่นอาจจะดูเป็นคำพูดที่ดูซื่อๆอย่างไม่คิดอะไร ตามประสาของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่นั่นทำให้เด็กสาวคนหนึ่งไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย


    “อเล็กซ์...เจ้าบอกว่าท่านแม่ของเจ้าส่งเจ้ามาสอบที่นี่มิใช่หรือ? งั้นหมายความว่า นางก็คงจะฝากความหวังไว้กับเจ้าไม่มากก็น้อย...

    แต่นั่นน่ะ ก็ถือว่าเป็นความหวังของแม่ของเจ้ามิใช่หรือ เจ้าจะทำให้ความหวังของท่านพังทลายอย่างนั้นหรือ?”

    อเล็กซ์พยายามไม่สนใจคำพูดของเวิร์ดด้วยการเดินไปทางอื่น ทว่า... เขากลับถูกขัดจากอัลรอลเน่ นางเดินเข้ามาใกล้ๆอย่างช้าๆจนใบหน้าแทบจะชนกัน อเล็กซ์ที่กำลังตกใจจนขยับตัวไม่ได้กับดวงตาที่เหมือนจะถูกกลืนกินเข้าไปนั่น


    “เจ้าชื่อว่า อเล็กซ์ สินะ...”


    อัลรอลเน่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เวิร์ดจ้องมองทั้งคู่ไม่วางตา


    “เจ้าน่ะ...บอกว่าพลังพวกนี่ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?..”เสียงอันเยียบเย็นทำให้อเล็กซ์ต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดๆ


    “เจ้าจะคิดอะไรก็แล้วแต่เจ้า เพราะมันเป็นเรื่องของเจ้า แต่ข้าอยากจะบอกอะไรไว้อย่างหนึ่งกับเจ้า...สำหรับคนสำคัญน่ะ ใครเล่าที่จะไม่อยากปกป้อง...แต่ เราเองก็ต้องการพลังที่จะต้องปกป้องคนสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าวันหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นกับคนสำคัญของเจ้าขึ้นมา เจ้าจะไม่คิดแค้นในความ’อ่อนแอ’ของตนเองหรือ?”


    อัลรอลเน่กล่าวจบแล้วนางก็หันกลับไปแล้วเดินออกไปจากศูนย์สมัครสอบพร้อมกับเวิร์ดที่หันกลับมามองอเล็กซ์เป็นระยะๆ

    อเล็กซ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้จริงๆ ดวงตาของอัลรอลเน่รวมถึงคำพูดที่ออกมาจากปากของนาง ดูเหมือนจะทำให้ตัวของเขาคิดอะไรบางอย่างได้...แต่นั่นน่ะ มันเป็นความต้องการของเขาจริงๆหรือ? แล้วต่อจากนี้ไปเขาควรจะทำอย่างไรดี? คำพูดของเด็กสาวเพียงคนเดียวไม่สิ...สองคน..ทำให้เขาคิดหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

    แต่จะอย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้จะดูเป็นวันที่โชคร้ายที่โดนเด็กผู้หญิงกล่าวคำสั่งสอนเขาถึงสองคนด้วยกัน แต่ในขณะที่เท้าของเขาเดินเข้าไปยังโต๊ะสมัครสอบ แล้วก้าวออกมาพร้อมกับเอกสารนั่น ทำให้เขาอดคิดต่อไม่ได้ว่า มันอาจจะเป็นวันที่ดีก็ได้....

    ============================================
    สั้น..สั้นมาก!!! แต่งออกมาไม่ดีเลย เพิ่งเคยเอาตัวละครคนอื่นมาแต่งแบบนี้เป็นครั้งแรก ถ้ามันขัดกับคาแร็กเตอร์ของตัวละครจริงๆ เชิญติได้ตามสบายเลยค่ะ (_ _)

    /me จิบชา พักยก รอคนอื่นมาแต่งต่อ
  9. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ภายในห้องที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวไฟแรง ผู้สมัครสอบเข้าสู่รั้วโรงเรียนของศาสนจักร อีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากพวกของอัลรอนเน่ เด็กหนุ่มในเสื้อโค้ทสีดำคนหนึ่งซึ่งเขียนใบสมัครเสร็จก็พลางถอนหายใจเพราะแถวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าช่างยาวเหลือเกิน ระหว่างที่เขากำลังหน่ายชีวิตกับระบบราชการไทย... ไม่ใช่ล่ะ ระบบการรับสมัครของที่นี่ เขาก็เห็นหญิงสาวคนหนี่ง กำลังประสบปัญหาในการเข้าแถว เพราะเธอเพิ่งถูกชายร่างใหญ่แซงหน้าด้านๆ และไม่เพียงแค่นั้น การเข้ามาแซงโดยกระทันหันนั้นทำให้เธอถึงกับกระเด็นจนล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอีก

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ ?”

    หนุ่มน้อยคนนั้นคุกเข่าลงพร้อมกับยื่นมือมาให้เธอคนนั้น ความน่ารักประกอบกับรูปร่างเล็กๆราวกับตุ๊กตานั้น ทำให้เขาถึงกับประหม่าเล็กน้อย

    “อะ... ค่ะ”

    เธอจับมือขวาที่ยื่นมาจากอีกฝ่าย มือข้างนั้นหุ้มไปด้วยหนังสีดำเก่าๆให้ความรู้สึกหยาบกร้าน ก่อนที่จะถูกยกขึ้นด้วยกำลังแรงของเขา เด็กสาวคนนั้นปัดเครื่องต่างกายของเธอซึ่งเปรอะเปื้อนเล็กน้อยพอเป็นพิธี ก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับเขา

    “ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่มีคุณมาช่วย ฉันคงแย่แล้วแน่ๆ”
    “แหะๆ ไม่หรอกครับ ก็แค่เรื่องทั่วๆไปน่ะ ว่าแต่เข้าแถวนั้น... จะสมัครสายผู้ใช้เวทมนตร์เหรอครับ”
    “ก็... นิดหน่อยน่ะค่ะ คุณสมัครสายประชิดเหรอคะ?”
    “ครับ แต่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แบบว่ามีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลย อดกังวลไม่ได้น่ะครับ แหะๆๆๆ"

    เขาเกาคางแก้เขินขณะที่ตอบคำถามของอีกฝ่ายหนึ่ง ในตอนนั้นเอง สาวน้อยก็ออกอาการลนลาน เมื่อเห็นว่าแถวสายผู้ใช้เวทมนตร์นั้นลดลงไปมาก

    “ว้าย! ขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบไปแล้ว!!!!”

    ว่าแล้วก็วิ่งออกไป ทิ้งให้เขาตกอยู่ในสภาพอ้าปากค้างพร้อมกับมือขวาที่ว่างเปล่าซึ่งถูกยกคาไว้อย่างนั้น

    “เฮ้อ.... ยังไม่ทันจะถามชื่อคุณเธอเลยแฮะเรา.........”

    สุดท้าย เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ และกลับมาสู่สภาพเหี่ยวเหมือนมะเขือเผาเดินคอตกต่อแถวต่อไป ในขณะที่มองใบสมัครตรงช่อง ชื่อ-นามสกุลของตน
    ช่องๆนั้นเขียนไว้ว่า วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย......

    = = = = = = = = = =

    รู้สึกว่าตัวเองแต่งได้ห่วยมากกกกกกกกกกกกกกกกก + สั้นมากๆด้วย เฮ้อ...

    เอาตัวละครที่(ตั้งใจอยากเห็นว่าจะดันบทดียังไงแต่ก็)โดนถีบไปเป็นตัวร้ายในฟิกอื่น มาใช้ในฟิกลูกโซ่นี้ล่ะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับทุกท่าน TT^TT
  10. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง​

    ห้องคนไข้ไร้นาม เคส กระดูกหักทั่วร่าง​

    ที่นอนอยู่ตรงนั้น จิม แซมซัน อายุ 33ปี ไม่มีอาชีพเป้นหลักแหล่ง ระดับความนับถือในศาสนจักรค่อนข้างต่ำ และเพราะการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเมื่อเร็วๆนี้ ต่อหน้าคนของศาสนจักร ทำให้เจ้าตัวต้องมานอนหยอดข้าวต้ม กระดูทั่วร่างแหลกละเอียด ทว่ากับร่างที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงนั้น ไม่ใช้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ หากแต่เป็นผู้มาเยี่ยมยามวิกาลต่างหากที่เราควรจะกล่าวถึง ข้างๆเตียงของผู้ป่วยนั้น จากที่เคยมีเพียงโซฟาว่างเปล่าตั้งอยู่ แต่เพียงสายลมโชยจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ร่างของเด็กหนุ่มตัวน้อยในชุดสูทดำก็ปรากฎขึ้น


    "อุ อื้อ!!" อ่าแย่จริงไอ้แรงช้างสารของยัยซิสเตอร์นั่น นอกจากจะอัดกระดูกของชายคนนี้แล้วยังอัดฟันจนร่วมหมดปากด้วยสินะ

    เอื้อมมือของตนไปยังบริเวณปากของผู้ที่กำลังจ้องตาเขม็งมาที่เขา ผ้าพันแผลหลายชั้นที่มีเลือดซึมออกมา แต่เมื่อมือของเขาสัมพัสลงไปที่เนื้อผ้า เนื้อผ้าเหล่านั้นกลับเปื่อยสลายเป็นธุลีในพริบตา เสียงกรีดร้องดังอู้อี้เมื่อสักครู่กลายเป้นเสียงครางด้วยความตระหนก เมื่อเจ้าตัวลองขยับปาก ฟันของเขาที่คิดว่าหักไปแล้วกลับกลายว่า ยังคงอยู่ครบสมบูรณ์เหมือนใหม่?


    "อย่าดิ้น ไปพี่ชาย ผมไม่ได้จะมาทำร้ายพี่ชายหรอกนะ" รอยยิ้มขาวส่องประกายในความมืด

    อ้าปากหวอ หน้าปากตาสั่น แต่เด็กหนุ่มก็พอจะจับได้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไร?

    "อ่าใช้ ก้ออย่างที่เห็นแล ผมไม่ใช่มนุษย์ หากใช้คำในภาษาของพวกพี่ชายใช้เรียก หรือที่ไอ้พวกศาสนจักรใช้เรียกพวกเรา ก็คงเป็นคำว่าปีศาจกระมัง?"

    แน่นอนว่าการที่คนบนเตียงหุบปากลงทันทีนั้น ไม่สามารถปกปิดการแสดงออกของดวงตาและริมฝีปาก เมื่อเด็กหนุ่มพูดถึงคำว่า [ศาสนจักร] ไปได้


    ต้องใช้เวลาอีกหลายนาที กับความเงียบอีกนานกว่าที่คนบนเตียงจะเอ่ยปากออกมา

    "ชะ ชั้นเคยได้ยินข่าวลือมา แต่เธอ..... ท่าน ท่านคงไม่ใช่ โครโนสคนนั้น?"

    "ไม่ใช่หรอกพี่ชาย ผมก็แค่ทาสคนหนึ่งของเขา ว่าแต่พี่ชายคงจะรู้นะว่าผมมาที่นี่ทำไม?"


    กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ใช่เขาเคยได้ยินข่าวลือ และไม่ใช่ข่าวที่ดีด้วย ข่าวลือถึงผู้ส่งสารตัวน้อย ที่คอยโพล่ไปตามหัวเมืองชายแดนหลายที่ ทุกครั้งมักจะไปหาคนใกล้ตาย หรือ คนที่กำลังประสบปัญหาร้ายแรง ข่าวลือที่บอกถึงเรื่อง ค่าตอบแทน และ พรอันวิเศษที่แลกด้วยราคาที่แพงเกินจะรับได้


    "ชั้นไม่ ชั้นไม่ขายวิญญานให้หรอก ไอ้ศาสนจักรระยำถึงจะอย่างนั้น แต่แค่วิญญาน...."

    "พี่ชาย ไอ้ขายวิญญานน่ะมันคำลวงของศาสนจักร แล้วใช่ว่าทำแล้วจะต้องจ่ายทันทีเสียเมื่อไหร่กัน แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับพี่ชายนะ ว่าจะทำหรือไม่ทำ?"


    คิดหนักกับข้อเสนอที่อยู่ตรงหน้า เจ้าตัวคิด แต่เมื่อคิดได้ว่าชะตากรรมหลังจากพ้นโรงพยาบาล แล้วต้องไปขึ้นศาลศาสนาจะต้องโดนโทษทรมานขนาดไหน ทำให้เจ้าตัวถึงกับเหงื่อแตกผลั่ก ถ้าบอกปัดไป ก็ตายในคุก แต่ถ้าตอบรับก็ต้องโดนทำอะไรไม่รู้อีก


    "นี่พี่ชาย ก่อนที่ยามชุดต่อไปจะมาเหลือเวลาอีกสัก 3นาทีเห็นจะได้ รีบๆตัดสินใจดีกว่า แค้นนักใช่ไหม ไอ้พวกศาสนจักรระยำพวกนั้น ครอบครัวพี่ชายที่ต้องอดอยากแบบนี้ เงินที่ควรจะเอามาช่วยเหลือ กลับเอาไปสร้างวิหารหินพวกนั้น แค่เซ็นคำเดียวเท่านั้น"

    หนังสือสัญญาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จู่ๆก็ปรากฎขึ้นตรงมือที่น่าจะหักไปแล้วของเขา ที่ตอนนี้กลับขยับได้ตามปรกติ และ ปากกานั่นอีกเล่า


    "สิ่งที่พี่ชายต้องการมากที่สุด เพียงแค่ชื่อบนปลายปากกาเท่านั้น"


    "แค่ชื่อเท่านั้น"



    .............จิม.....แซมซัน.......


    "....!!"

    "หืม แหมขออะไรไม่ขอนะ อยากจะแก้แค้น แต่ในเมือขอมาแล้วก็จะจัดให้"

    รอยยิ้มของเด็กหนุ่มนั้นกว้างจนแทบจะหูชนหู กับแววตาสีอำพันที่สะท้อนจากความมืด ทำให้เขาสามารถเห็นใบหน้าจริงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน


    เด็กหนุ่มพลางม้วนเก็บหนังสือสัญญาก่อนจะเก็บมันหายไปในกระเป๋าหนังดำ ชายผู้ที่ยังจ้องด้วยสายตาแปลกพิกลมายังเด็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความสยองขวัญเมื่อเงามืดที่มุมห้องกลายสภาพเป็นเหมือนกับ หนวดยึกยึกขนาดใหญ่ ก่อนที่เงาพวกนั้นจะคืบคลานมาที่เตียงของเขา


    "การแก้แค้นของพี่ชาย ต่อศาสนจักร โดยการให้ ซิสเตอร์ที่ทำร้ายพี่ ถูกฆ่าอย่างทารุณ ทว่าตัวพี่ชายเองนั้นแหละที่จะเป็นคนกระทำ และนั้นถือเป็นค่าตอบแทนต่อพรข้อนี้ อสูรเงามืดจะเข้าครอบงำและให้พลังในการแก้แค้นกับพี่ชาย แต่ปัญญาและสติของพี่ชายจะต้องแลกเพื่อการนี้ ขอบคุณที่ใช้บริการ หนังสือสัญญาของเรา หวังว่าครอบครัวของพี่ชายและคนรู้จักอื่นๆจะมาใช้บริการกับเราอีก" กล่าวจบเด็กหนุ่มก็หายไปในเงามืดนั่นเอง


    "มะ ไม่นะ แก แกหลอกช้านนนน" พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เพื่อเขยิบหนีเงามืดที่แผ่ขึ้นมาถึงบนเตียงแล้ว


    "ชะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย" แต่สายไป เมื่อเสียงร้องสุดท้ายแผดดังก้องไปทั่วโรงพยาบาล สิ่งที่พยาบาลและตำรวจศาสนาพบเมื่อเปิดประตูห้องมีเพียงสภาพของที่พักยับเยิน เมือกเหนียวสีแดงขุ่น และ ช่องทำลายกำแพงขนาดใหญ่ ที่มีเศษผ้าพันแผลติดอยู่บางส่วน



    ฮึๆๆๆๆ
  11. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    All Fiction Fantasy


    "เฮ้อ..."

    เด็กหนุ่มทอดถอนหายใจทันทีที่เดินออกมาจากห้องสอบ ทว่าไม่ใช่เพราะสอบไม่ได้อย่างเช่นบางคนหากเป็นเพราะมันกลับกันต่างหากที่ทำให้เขาลำบากใจอย่างนี้ แม้อเล็กซ์คิดจะพยายามไม่ให้ตัวเองสอบผ่านก็ตาม แต่แม่ของเขาต้องจับโกหกได้แน่ถ้าตั้งใจตอบข้อสอบแบบผิดๆไป หากเป็นแบบนั้นคงยิ่งทำให้แม่ของเด็กหนุ่มเสียใจยิ่งกว่าสุดท้ายแล้วอเล็กซ์จึงจำใจทำข้อสอบเท่าที่จะทำได้ไปแทนและหวังว่าการสอบภาคปฏิบัติมันจะยากจนเขาไม่สามารถสอบผ่านได้

    บริเวณโดยรอบยังมีนักเรียนอยู่ไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่ยังคงทำข้อสอบอยู่ ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกกันแต่ละคนนั้นดูจะแกร่งกล้ากันไม่เบา ซึ่งนั่นรวมถึง 'เวิร์ด โครนิเชียล' หญิงสาวผู้มีท่าทางราวกับไม่ใส่ใจกับการสอบที่ผ่านไปแม้แต่น้อย ถ้าให้อเล็กซ์คาดการณ์ดูเธอคงสอบได้คะแนนสูงมากเป็นแน่

    เด็กหนุ่มยังคงมองไปรอบๆหามุมว่างๆนั่งพักแต่จุดพักผ่อนดีๆต่างก็ถูกจับจองไปเกือบหมดแล้ว อเล็กซ์จึงเข้าไปนั่งหลบแดดใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากอาคารแทนแม้จะไม่มีม้านั่งแต่แค่มีต้นไม้ให้ได้เอนหลังพิงก็เพียงพอ อเล็กซ์หลับตานั่งในท่าขัดสมาธิพลางกำหนดลมหายใจตนเองให้คงที่ตามที่เคยฝึกฝนมา วิธีการทำสมาธิแบบนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีที่นักบวชจากดินแดนห่างไปทางตะวันออกใช้กันอยู่ซึ่งต่างจากวิธีเพ่งสมาธิของนักบวชในแถบนี้ แต่สำหรับอเล็กซ์แล้วเขารู้สึกว่าวิธีนี้ดูจะเหมาะกับเขามากกว่าเด็กหนุ่มจึงมักจะนั่งสมาธิแบบนี้เสมอในเวลาที่ต้องการทำใจให้สงบ

    "นายนี่ยังชอบอยู่คนเดียวไม่เปลี่ยนเลยนะอัล"

    เสียงของเด็กสาวดังขึ้นทักทาย อเล็กซ์จึงลืมตาขึ้นมองบุคคลที่อยู่ตรงหน้า เธอเป็นหญิงสาวผิวเหลืองแบบชาวตะวันออกรูปร่างเพรียวบางท่าทางทะมัดทะแมง เส้นผมสีดำขลับยาวถึงหลังแต่มัดรวบเอาไว้ไม่ให้ดูรุงรัง ในขณะที่เครื่องแต่งกายนั้นเป็นเครื่องแต่งกายประจำชนชาติของเธอลักษณะจึงดูแปลกตาจนเป็นที่สังเกตของคนรอบข้าง

    "ทำข้อสอบได้ไหมครับเชล่า"

    "ก็คงพอรอดหวุดหวิดล่ะ แต่นายนี่เจอหน้ากันก็ทักเรื่องสอบก่อนเลยนะ"

    เธอตอบไปพลางบ่นไปพลาง แต่น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าไม่ได้บ่นจริงจังอะไรเพราะเธอแค่คุยทักทายตามประสาเพื่อนฝูง ในบรรดาเด็กๆที่มาจากไวท์ฟิลด์เชล่านั้นมีอายุไล่เลี่ยกับอเล็กซ์แต่เธอเพิ่งจะได้เข้ามาสอบที่นี่เป็นครั้งแรกท่าทีจึงดูประหม่าเล็กน้อย ทว่าก็ดูมุ่งมั่นเพราะเธอมีเป้าหมายของตัวเองอย่างชัดเจน

    สำหรับอเล็กซ์แล้วถือได้ว่าเชล่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด เนื่องจากตั้งแต่สมัยเด็กๆนั้นอเล็กซ์มัวสนใจเรื่องเรียนหรือฝึกงานช่างต่างๆจนไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กๆด้วยกันเท่าไหร่ แต่ก็จะมีบางครั้งที่เชล่ามาคะยั้นคะยอลากตัวอเล็กซ์ออกไปเล่นกับเพื่อนๆทำให้เด็กหนุ่มได้สนิทสนมกับเด็กๆในวัยเดียวกันอยู่บ้าง และเพราะเหตุนี้ทำให้อเล็กซ์อยากให้เพื่อนคนนี้ได้สอบผ่านเข้าแผนกการแสดงอย่างที่เธอตั้งใจ

    ขณะที่เวลาคล้อยผ่านไป นักเรียนก็เริ่มทยอยออกมาจากอาคารสอบมากขึ้นจนกระทั่งเวลาสอบจบลงนักเรียนที่เหลือจึงได้ออกมากัน ไม่นานหลังจากนั้นนักเสียงประกาศก็ดังขึ้นจากนายทหารที่รับหน้าที่ดูแลการสอบ

    "หลังจากนี้อีกยี่สิบนาทีจะเป็นการสอบภาคปฏิบัติ ขอให้ผู้เข้าสอบทุกคนตรวจสอบที่สอบและไปรวมตัวกันให้พร้อม สำหรับผู้มีกำหนดการสอบหลายที่ให้แจ้งกับพนักงานคุมสอบเพื่อจัดตารางการสอบให้เรียบร้อย..."

    พอได้ยินเสียงประกาศเชล่าก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยอีกครั้ง ในขณะที่อเล็กซ์ดูไม่รีบร้อนนักกับการมุ่งหน้าไปยังสนามสอบ

    "เอาล่ะฉันไปก่อนนะ นายเองก็ตั้งใจเข้าล่ะอัล"

    เชล่าโบกมือลาพลางเดินไปยังที่สอบของแผนกศิลปะการแสดง ส่วนอเล็กซ์นั้นพอจำนวนนักเรียนเริ่มเบาบางลงแล้วเด็กหนุ่มจึงเริ่มออกเดินทางไปสนามสอบที่อยู่ชานเมือง


    "ก่อนอื่นคงต้องแนะนำตัวก่อนสินะ ข้าชื่อว่าเบนิออสเป็นผู้คุมสอบแผนกผู้ขจัดมาร ไม่ว่าพวกเจ้าจะสมัครเข้าสอบของสาขาไหนก็ตามแต่ถ้าเป็นแผนกผู้ขจัดมารนั่นคือการคุมสอบภายใต้การจัดการของข้า และจงอย่าแปลกใจพวกเจ้าจะต้องสอบให้ครบทุกกระบวนวิชาไม่ว่าจะเป็นวิชานอกสาขาของเจ้าหรือไม่ก็ตาม"

    บรรดาผู้เข้าสอบต่างเริ่มพูดคุยกันเซ็งแซ่หลังจากเบนิออสพูดจบ แต่ไม่นานนักเสียงก็เงียบลงไปเมื่อเบนิออสพูดขึ้นอีกครั้ง

    "เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเจ้าจงจัดกลุ่มตามสาขาที่สมัครสอบซะ ก่อนอื่นข้าจะให้สอบวิชาหลักตามที่พวกเจ้าสมัครมาหลังจากนั้นค่อยเวียนไปสอบวิชาของสาขาอื่น เอาล่ะสาขาศาสตราไปที่เวทีด้านทิศเหนือ ส่วนสาขามนตราไปทางเวทีทิศใต้ ส่วนสาขาอื่นๆรู้สึกว่าจำนวนจะไม่ค่อยมากเท่าไหร่พวกเจ้าก็รวมๆกันเป็นกลุ่มเดียวไปเลยก็แล้วกัน รออยู่ที่นี่อย่าเพิ่งไปไหนข้าจะจัดลำดับการสอบวิชาให้พวกเจ้าอีกที เอาล่ะแยกย้ายตามที่บอกได้"

    สิ้นคำบรรดานักเรียนต่างก็แยกย้ายกันไปตามที่อธิบายทันทีทั้งพวกผู้สมัครสาขาศาสตราและมนตรา เหลือแต่เพียงผู้สมัครสอบอีกจำนวนหนึ่งซึ่งรวมกลุ่มจากผู้สมัครสาขาอื่นในแผนกผู้ขจัดมารที่ยังคงรวมกลุ่มกันอยู่กับที่ไม่ไปไหน

    อเล็กซ์มองกลุ่มคนกำลังเคลื่อนย้ายกันไปตามจุดที่นัดหมายก่อนที่เขาจะเดินไปยังเวทีทางทิศใต้ ตำแหน่งสอบวิชาของสาขามนตรา...

    ______________________________________


    หลังจากแต่งๆไปเหมือนเรื่องวิชาหรือการเรียนมันจะดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่เลยขอจัดระเบียบให้ชัดเจนขึ้นหน่อย โดยที่โรงเรียนศาสนจักรนั้นจะแบ่งสายการเรียนหลักๆออกเป็นแผนกต่างๆ เช่น แผนกผู้ขจัดมาร, แผนกนักรบ, แผนกศิลปะการแสดง, แผนกช่างเครื่องกล ฯลฯ

    ซึ่งในแต่ละแผนกก็จะมีแบ่งสาขาแยกย่อยออกมาอีก อย่างเช่นแผนกผู้ขจัดมารก็จะมีสาขาศาสตราและสาขามนตราซึ่งมีจำนวนคนสมัครเข้าเรียนมากที่สุด (คือสายประชิดกับสายเวทมนต์ที่แต่งๆกันมาตอนก่อนนั่นล่ะ แต่ขอเปลี่ยนคำใช้เรียกให้มันดูขลังๆขึ้นหน่อย >_<) ส่วนสาขาอื่นๆก็มีจำนวนน้อยอย่างที่เห็นในตอนนี้ (ยังไม่ขอกล่าวถึงว่ามีสาขาอะไรบ้าง ถือว่าเปิดช่องให้แทรกสาขาอื่นๆกันได้ตามสะดวกเลยก็แล้วกันครับ เพียงแต่ขออย่าให้มันทับซ้อนกับสาขาอื่นๆละกัน)
  12. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    สำหรับวาเลีย คงไม่มีอะไรในวันนี้ที่จะทำให้เขาตึงเครียดได้มากเท่ากับการที่ต้องมายืนรวมกลุ่มกับอัลรอลเน่อีกแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใด แต่ที่แน่ๆ เขารู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ถ้าคนผู้นี้รู้ความลับของเขา ชีวิตได้ดับสูญแน่

    “ก่อนอื่น ผู้ที่เข้าสอบสาขาศาสตราจงฟังทางนี้” เบนิออสกล่าวขึ้น ทำให้เหล่าผู้ที่มาสอบต้องหันไปทางเดียวกัน นั่นก็เพราะไม่มีใครเห็นว่าเบนิออสมาจากทางไหนหรือเมื่อไหร่ จะมีก็เพียงแต่อัลรอลเน่ซึ่งรู้ว่าเบนิออสมีฝีมือขนาดไหนเท่านั้น ที่ไม่ได้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “เอาล่ะ สำหรับการสอบในปีนี้ ข้ามีของดีมาให้พวกเจ้าเล่นกัน” แล้วเบนิออสก็หันไปทางด้านข้างเวที “เอ้า! เอาเข้ามาได้แล้ว!”

    รถเข็นจำนวนมากถูกเข็นเข้ามา ส่วนใหญ่จะบรรทุกอาวุธต่างๆมามากมาย มีตั้งแต่กระบองที่น่าจะทำจากไม้ไผ่แห้งๆ ไปจนถึงขวานยักษ์ที่ดูแล้วน่าจะทำมาจากโลหะผสมอย่างดี แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด กลับเป็นก้อนทองเหลืองขนาดยักษ์ที่ถูกลากเข้ามาเป็นอันดับสุดท้าย

    “การสอบในปีนี้ มีเงื่อนไขอยู่ข้อเดียว ข้าให้โอกาสห้าครั้ง ใครก็ตามที่สามารถทำให้ทองเหลืองก้อนนี้เป็นรอยได้แม้เพียงรอยขนแมว ก็สอบผ่าน” เบนิออสอธิบายเงื่อนไขในการสอบคราวนี้ ก่อนจะหันไปทางอัลรอลเน่ ”ส่วนเจ้า ข้าขอให้เจ้าเข้าทดสอบเป็นลำดับท้ายๆหน่อยจะได้ไหม ข้าไม่อยากไปหาสิ่งนี้มาอีกก้อน”

    “รับทราบค่ะ ท่านเบนิออส” อัลรอลเน่ตอบกลับ เธอก็คงจะรู้เหตุผลดีทีเดียวว่าทำไมถึงถูกสั่งแบบนั้น

    “ทุกคนคงเข้าใจแล้วนะ ถ้าเช่นนั้น เมื่อหมดเวลา ข้าจะมาตรวจว่าใครสามารถทำได้บ้าง ส่วนถ้าใครผ่านการทดสอบก่อน จะไปพักที่ศูนย์ก็ได้ตามสบาย” พูดจบ เบนิออสก็เดินออกไปจากบริเวณเวที

    “เฮอะ แค่ก้อนทองเหลือง” ชายหนุ่มกล้ามโตคนหนึ่งเดินเข้ามาในบริเวณเวที ”ข้าตีดาบที่ทำจากเหล็กกล้าทุกวัน มีหรือกับอีแค่ทองเหลืองก้อนแค่นี้ ข้าจะทำลายไม่ได้” ว่าแล้ว เขาก็หยิบค้อนเหล็กกล้าขนาดใหญ่ที่วางไว้ใกล้ๆ แล้วเดินเข้าไปหาทองเหลืองก้อนนั้น ก่อนจะหันหน้ากลับมาทางผู้เข้าสอบคนอื่นๆ “คงไม่มีใครได้สอบแล้วล่ะ เพราะข้าจะทำลายมันลงเป็นชิ้นๆ ฮะๆ” ว่าแล้ว ก็หวดค้อนลงไปที่ก้อนทองเหลืองอย่างแรง

    “อ๊ากกกก!!!!” เสียงแผดร้องที่แฝงความเจ็บปวด ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เบนิออสที่กำลังเดินไปสู่สถานที่สอบสาขามนตราถึงกับหันไปมอง

    ‘จำได้ละว่าข้าไม่ได้เตือนเรื่องอะไรไป แต่ช่างเถอะ นักบวชกับพยาบาลแถวๆนั้นคงรักษาได้’ เบนิออสคิดในใจก่อนที่จะหันหน้ากลับแล้วมุ่งสู่จุดหมายต่อไป

    ................

    ไลติโอ้นั่งอยู่ข้างๆต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เนื่องจากที่นั่งอื่นๆเต็มหมดแล้ว แม้ว่าสายมนตราจะมีผู้สอบผ่านน้อย แต่สำหรับหลายๆคน มันก็ยังเป็นอาชีพที่ดูเก่งกาจและน่ายกย่อง ที่สำคัญ มันยังดึงดูดสายตาสาวๆได้มากเสียด้วย ผู้สมัครส่วนหนึ่งจึงวนเวียนอยู่กับกลุ่มหน้าเดิมๆ

    “ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหม?” เสียงๆหนึ่งทำให้ไลติโอ้หันหน้าไปมอง เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม และดวงตาสีที่เขาไม่รู้จักกำลังยืนมองเขาอยู่ ดูแล้วอายุน่าจะแก่กว่าเขาซักสามปี แต่จากท่าทางที่ดูเป็นมิตร ทำให้ไลติโอ้พยักหน้า

    “ขอบใจมาก” เด็กหนุ่มนั่งลง ก่อนจะเงยหน้าพูดพึมพำ ”ในที่สุดก็ถึงเวลานี้แล้วหรือนี่....” ไลติโอ้แปลกใจกับคำพูดของเขา จึงหันไปมอง จังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มก็หันมาพอดี

    “จริงสิ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผม อเล็กซ์ แอชสมิธ ยินดีที่ได้รู้จัก” อเล็กซ์แนะนำตัว

    “....” ไลติโอ้นิ่งเงียบ เขาไม่รู้จริงๆว่าเขาควรจะทำอะไรในเวลาเช่นนี้ ไม่สิ ความจริงแม้แต่ความทรงจำก่อนที่จะได้พบกับคาวิน มันก็เลือนรางเหมือนหมอกควัน

    “เธอชื่ออะไรหรือ?” เมื่ออเล็กซ์ไม่ได้รับคำตอบจากปากของเด็กน้อยตรงหน้า จึงเอ่ยปากถามเอง

    “ไลติโอ้ครับ”

    “เอาล่ะ ทุกๆคน มารวมกันตรงนี้” เสียงของเบนิออสทำให้ทั้งสองหันไปมอง เขาเข้ามาพร้อมกับไม้ไผ่ยาวท่อนหนึ่ง ก่อนจะนำมันไปปักไว้ตรงลานกว้างหน้าเวที

    “เงื่อนไขในปีนี้ไม่ยาก ข้าจะใช้คาถาอย่างนึงไว้กับไม้ไผ่ ใครสามารถหักมันลงได้ด้วยเวทมนต์ก็สอบผ่าน” เบนิออสอธิบายเงื่อนไขอย่างเป็นการเป็นงาน ก่อนจะหันหน้าไปหาอเล็กซ์และไลติโอ้ “อ้อ อยู่ด้วยกันก็ดี ยกเว้นเธอสองคนนะ ตามมา” เบนิออสเดินพาทั้งสองขึ้นไปบนเวที “เงื่อนไขพิเศษสำหรับเธอสองคนคือ ให้ทำอย่างไรก็ได้ จู่โจมให้โดนตัวข้า เป็นอันผ่าน แต่ว่าถ้าเธอคนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำได้ ก็ต้องตกไปทั้งคู่”

    “ทำไมถึงมีการแบ่งแยกแบบนี้!!” ผู้เข้าสอบคนหนึ่งตะโกนออกมา ซึ่งทำให้เกิดเสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจขึ้น แน่นอน เงื่อนไขแบบนี้ทำให้ดูเหมือนกับอเล็กซ์และไลติโอ้ได้รับสิทธิ์สอบผ่านทันที ถ้าเบนิออสออมมือ

    “จะให้พวกเขาสอบกับพวกเจ้าหรือ?” เบนิออสถามขึ้น ก่อนจะผายมือไปทางอเล็กซ์ “เด็กคนนี้.... อเล็กซ์ เขาทำข้อสอบที่พวกเจ้าไม่มีใครทำได้เกินครึ่ง เต็มอยู่คนเดียวนะ” ได้ผล ทุกคนเงียบกริบไปในทันที

    เบนิออสหันไปทางไลติโอ้บ้าง “แล้วเด็กคนนี้.... เขามีพลังเวทย์สูงกว่าพวกเจ้าพอสมควร ถ้าจะให้เขาสอบกับพวกเจ้า งั้นข้าจะเพิ่มพลังเวทย์ที่อยู่บนไม้ไผ่ขึ้นอีก จะเอาไหม?”

    “ไม่ล่ะครับ ผมยอมแล้วครับ” ผู้เข้าสอบคนนั้นเลิกโต้แย้งในทันที แน่นอน คนอื่นๆก็เช่นกัน ขนาดปรกติยังแทบจะไม่มีคนผ่านอยู่แล้ว ถ้าปรับให้ยากกว่านี้ ปีนี้ก็คงไม่มีใครผ่านอีกตามเคย

    “เอาล่ะ มาว่ากันต่อ” เบนิออสหันกลับมาคุยกับเด็กหนุ่มทั้งสอง “การสอบครั้งนี้ พวกเจ้าจะใช้เวทมนต์หรือพละกำลังก็ได้ แน่นอนว่าข้าก็จะใช้เวทมนต์สู้กับเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องช่วยเหลือกันและกัน โดยเฉพาะอเล็กซ์ ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับฝีมือด้านเวทมนต์ของเจ้านะ” คำพูดนี้ทำให้อเล็กซ์สะดุ้งเฮือก แต่กับคนอื่นๆ กลับเข้าใจไปในทางตรงกันข้าม

    ................

    ทางด้านสนามสอบสายศาตรา สภาพแต่ละคนดูเหนื่อยล้า บางคนถึงกับแขนหักจนต้องใส่เฝือกกันเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าเป็นความรอบคอบของเบนิออสหรือโชคกันแน่ที่ช่วยพวกเขา วันนี้จึงมีนักบวชที่ถนัดเวทย์รักษาและพยาบาลอยู่แถวนั้นเยอะเป็นพิเศษ

    “ไอ้..ก้อนทองเหลืองนี่..มันยังไงกันแน่!!” ผู้เข้าสอบบางคนเริ่มบ่นอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครซักคนที่สามารถทำให้มันเกิดร่องรอยใดๆได้ ทั้งๆที่เกือบทุกคนเข้าทุบทำลายมันครบห้าครั้งแล้ว จะยกเว้นก็แต่อัลรอลเน่กับวาเลียที่ยืนแยกกันคนละฝั่งของเวที

    “....ก็เพราะมันไม่ใช่ทองเหลืองธรรมดาน่ะสิ” อัลรอลเน่เอ่ยขึ้น “สิ่งนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า โอริฮาลูก้อน” ชื่อนี้ ทำให้หลายๆคนถึงกับช็อค

    “แน่นอน.. ก็คงไม่ใช่ของจริงหรอก ท่านเบนิออสคงจะใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุสร้างมันขึ้นมา” อัลรอลเน่กล่าวต่อ ความจริงเธอก็ไม่รู้หรอกว่าก้อนที่อยู่ตรงหน้าเป็นของจริงหรือไม่ เพราะเธอก็ไม่เคยเห็นของจริง แต่ถ้าก้อนนี้เป็นของจริง เบนิออสก็คงไม่ต้องสั่งห้ามอัลรอลเน่เข้าทำลายก่อนแน่

    ทางด้านวาเลีย เขาพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าก้อนทองเหลืองที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร เพียงแต่ยังไม่แน่ใจ แต่ในเมื่ออัลรอลเน่ยืนยันให้ขนาดนั้น เขาจึงเริ่มลงมือ

    เคร้ง!!

    เสียงโลหะกระทบกันทำให้คนหันไปมอง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือวาเลียใช้มีดตัดก้อนทองเหลืองออกมาได้ก้อนหนึ่ง ในขณะที่มีดเองก็แตกออกเป็นท่อนๆ วาเลียหยิบเศษก้อนทองเหลืองขึ้นมาและรีบเดินออกจากสถานที่สอบไป

    “เฮ้อ.... คงไม่มีใครมีสิทธิ์สอบแล้วมั๊ง” อัลรอลเน่ขยับตัวยืดแข้งยืดขา ก่อนที่จะเดินไปหยิบค้อนไม้ที่ดูผุๆอันหนึ่งตรงบริเวณริมเวที แล้วเดินเข้าไปหาก้อนทองเหลืองพร้อมกับบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง

    โครม!!

    ก้อนทองเหลืองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากโดนอัลรอลเน่หวดค้อนใส่เพียงทีเดียว ทว่า ค้อนไม้ก็แหลกเป็นผงไปด้วยเช่นกัน

    ท่ามกลางกลุ่มผู้เข้าสอบ นักบวชและพยาบาลที่ต่างพากันอ้าปากค้าง อัลรอลเน่ก้มลงหยิบเศษทองเหลืองขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วก็เดินออกจากสถานที่สอบไป

    ................

    “ฟิเรเซ่!” ไลติโอ้ร่ายคาถาเพลิงออกไป ก่อให้เกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาที่ใต้เท้าของเบนิออส ทว่า รอบๆกายของเบนิออสกลับมีบางอย่างคล้ายๆฟองอากาศใสๆทำให้เปลวเพลิงไม่สามารถแม้แต่จะสะกิดพื้นรองเท้าของเบนิออสได้

    “อะไรกัน ใช้แต่เวทย์เด็กๆแบบนั้น เวทมนต์โบราณน่ะ มีอนุภาพเยอะกว่านั้นมากมายมิใช่หรือ เจ้าหนู” เบนิออสยั่วยวนไลติโอ้ ซึ่งนั่นทำให้ไลติโอ้เริ่มฉุนเฉียว และกระหน่ำเวทย์ต่างๆออกมามากมาย แต่ก็ไม่สามารถฝ่าบาเรียของเบนิออสไปได้อยู่ดี

    “ไม่ไหวๆ งั้นฉันเอาคืนบ้างล่ะนะ” คำพูดนี้ส่งผลต่ออเล็กซ์มากกว่าซะอีก อเล็กซ์รีบตั้งตัวเตรียมที่จะหลบทันที “เหล่าผู้อาศัยล่องลอยอยู่ในมวลอากาศเอ๋ย ข้าขอแบ่งพลังงานของเจ้า เปลี่ยนเป็นกระสุน พุ่งทำลายเป้าหมายของข้า” ไลติโอ้กางมือออกไปตรงหน้าทันทีที่เบนิออสร่ายจบ

    “เก้าสิบหกกระสุนแสงวิญญาณ!!” กระสุนแสงดวงเล็กๆเกือบร้อยนัด ถูกยิงออกไปจากรอบๆตัวของเบนิออส เกือบทุกดวงพุ่งเข้าหาไลติโอ้ แต่ก็มีส่วนหนึ่งพุ่งไปทางอเล็กซ์

    “ไลติบราส!” ไลติโอ้สร้างโล่ทรงกลมขึ้นมาตรงหน้าทันที กระสุนบางนัดชนแล้วก็สลายไป บางนัดก็ถูกสะท้อนกลับ แต่กระสุนที่สะท้อนก็หักล้างกับกระสุนที่ยิงมาที่เหลือ จึงไม่มีหลุดรอดไปยังตัวเบนิออสเลยซักนิด

    ทางด้านอเล็กซ์ แม้จะไม่มีพลังเวทย์อยู่ในตัว แต่ความสามารถด้านกายภาพก็ยังพอจะทำให้เขาหลบกระสุนที่ยิงมาได้ทุกนัด

    อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของพลังก็ส่งผลออกมาอย่างเด่นชัด อเล็กซ์เริ่มเหนื่อยหอบจากการที่ต้องวิ่งหลบกระสุนมากมาย ไลติโอ้ก็เช่นกัน การที่ต้องร่ายทั้งเวทย์โจมตีและเวทย์ป้องกันแบบต่อเนื่อง ย่อมต้องสูญเสียพลังเวทย์ไปมากอยู่แล้ว ยิ่งโดนยั่วยวนจนขาดสมาธิแบบนี้ ย่อมต้องสูญเสียพลังเวทย์มากเป็นพิเศษ

    “หมดแรงกันแค่นี้หรือ?” เบนิออสยังคงกล่าวยั่วยวนชวนโมโห ดูท่าการโจมตีด้วยเวทมนต์คงไม่สามารถทำอะไรได้แน่ ไลติโอ้จึงรวบรวมพลังเวทย์ไว้ที่หมัดแล้วพุ่งเข้าไปทันที

    “ไม่ไหวๆ คิดว่าเวทย์โบราณน่ะ ใช้เป็นอยู่คนเดียวหรือไง?” เบนิออสยกนิ้วขึ้นท้องฟ้าก่อนจะฟาดลงมาชี้ไปยังไลติโอ้ “ไลติโอก้า”

    ตูม!

    ฝุ่นละอองลอยขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆจางลง ร่องรอยที่ปรากฏบนพื้นเล็กกว่าที่คิด แสดงให้เห็นถึงการออมมือของเบนิออส แต่ทว่า สายฟ้าที่ผ่าลงมานั้น ไม่ได้สะกิดตัวไลติโอ้เลย เนื่องจากอเล็กซ์พุ่งตัวมาผลักไลติโอ้ออกจากขอบเขตเวทย์

    “ดีมากๆ ต้องอย่างนี้สิ” เบนิออสชมเปาะ พร้อมทั้งคลายบาเรียที่อยู่รอบๆลงไป “เอาล่ะ ไลติโอ้ ระยะแค่นี้ข้าหลบเจ้าไม่ทันแน่ บาเรียก็คลายไปแล้ว” เบนิออสชี้นิ้วไปที่อเล็กซ์ซึ่งเกือบจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว “จงตัดสินใจ จะพุ่งเข้ามาโจมตีข้า ปล่อยให้เพื่อนของเจ้าตาย หรือ จะปกป้องเพื่อนของเจ้าแล้วก็สอบตกกันไปทั้งคู่! กระสุนเพลิง!!”

    ลูกไฟขนาดมหึมาปรากฏที่ปลายนิ้วของเบนิออสบ่งบอกถึงพลังที่แท้จริงของเขา ไลติโอ้หันไปมองเบนิออสทีอเล็กซ์ที เขาสับสนเป็นอย่างมาก ถ้าเขาพุ่งเข้าไปจู่โจมและล้มเบนิออสได้ ลูกไฟนั้นก็จะหายไป แต่ถ้าเขาล้มไม่ได้ อเล็กซ์ที่เข้ามาช่วยเขาจากมนต์สายฟ้าเมื่อซักครู่ก็ต้องตาย แต่หากเขาป้องกันอเล็กซ์ เขาก็ต้องสอบตกแน่นอน

    “ไม่มีเหตุผลหรอก เราก็แค่ไม่สามารถปล่อยให้เจ้าต้องมาตายตรงนี้ได้ เพราะอย่างน้อย เราก็เป็นผู้ขจัดมารสายเวทมนต์ที่มีหน้าที่คอยปกป้องผู้อื่น”

    คำพูดของคาวินช่วยให้ไลติโอ้คิดได้ เขารีบพุ่งไปที่อเล็กซ์ทันที

    “วอทรีบราส!!” ไลติโอ้ปล่อยพลังเวทย์ทั้งหมดออกมาเป็นบาเรียทรงกลมคล้ายฟองน้ำเหมือนของเบนิออสเมื่อซักครู่ ลูกไฟพุ่งเข้ามาชนบาเรียเกิดการระเหยอย่างรุนแรง!!

    ................

    เบนิออสเดินเข้ามาดูก็พบว่าทั้งคู่หมดสติไปแล้ว เบนิออสจึงก้มลงพยุงทั้งสองขึ้น เพื่อพาไปยังสถานที่พยาบาล

    “นี่แน่ะ” เสียงเด็กหนุ่มสองเสียงดังขึ้นพร้อมกันในจังหวะเดียวกันกับที่มีกำปั้นเบาๆมาสัมผัสตัวของเบนิออส

    “พวก..เรา ผ่านแล้ว..ใช่ไหมครับ” ไลติโอ้พยายามถามอย่างหมดเรี่ยวแรง

    เบนิออสยิ้มเล็กๆ “ใช่ พวกเจ้าได้สมหวังแน่” แล้วทั้งสองก็หมดสติไป

    ................

    พลังแห่งมิตรภาพ ชนะได้ทุกสิ่ง กร๊าก ^^a
  13. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    " .....อ๊ากกกก........."


    เสียงร้องตะโกนดังแว่วเข้ามา
    ถึงแม้ว่าสถานที่สอบของแต่ละสายวิชาจะมีการแบ่งพื้นที่และกั้นเขตเป็นอย่างดีแค่ไหน แต่ด้วยความที่ห้องสอบ"สายการเมืองและการปกครอง"อยู่ไม่ไกลจากสถานที่สอบสาขาศาสตราเท่าไรนัก จึงมีสรรพเสียงนานาลอดเข้ามาเป็นพักๆ
    มองในแง่ลบก็เรียกว่าเป็นความหละหลวมของสถานที่สอบ แต่ถ้ามองในแง่บวกนี่ก็เป็นการทดสอบอีกอย่างหนึ่ง

    โต๊ะและเก้าอี้วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละโต๊ะมีผู้เข้าสอบนั่งทำข้อสอบอยู่....แน่นอนว่าเป็นข้อสอบข้อเขียน
    รอบๆห้องมีคนคุมสอบยืนคุมพอเป็นพิธี ดูแล้วก็ไม่ต่างจากการาสอบข้อเขียนทั่วๆไปสักเท่าไรนัก เว้นเสียแต่ว่า...

    ตรงบริเวณหน้าห้อง มีชายวัยกลางคนนั่งมองผู้เข้าสอบด้วยสีหน้าที่ไม่อาจบ่งบอกอารมณ์ได้ อาจจะนึกถึงตัวเองสมัยยังหนุ่มๆ หรือนึกหัวเราะเยาะผู้เข้าสอบที่พยายามเค้นสมองทำข้อสอบข้อเขียนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ก็เป็นได้ โดยที่ตรงหน้าเขามีโต๊ะเตี้ยๆตัวหนึ่งกับกระดานหมากรุก กับเก้าอี้เปล่าๆอีกตัวเท่านั้น

    เป็นสายตาที่เห็นแล้วไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย...

    เวิร์ด โครนิเชียล นึกในใจพลางตรวจทานข้อสอบครั้งสุดท้าย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรต้องแก้แล้วเธอจึงวางดินสอลง
    ผู้คุมสอบเดินมาเก็บข้อสอบไปจากโต๊ะของเธอ แล้วผายมือไปทางด้านหน้าห้องที่มีชายวัยกลางคนนั่งรออยู่

    กฎของการสอบสายการปกครองจะว่าไปก็ดูไม่ยากเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับการที่ต้องสู้กับผู้ใช้เวทย์จริงๆ หรือฟาดฟันกับก้อนทองเหลืองที่หากฟาดไม่ดูตาม้าตาเรือ ผลที่ได้ก็คือเสียงร้องโหยหวนเมื่อครู่นี้
    "เมื่อทำข้อสอบข้อเขียนเสร็จ ก็ให้ส่งข้อสอบแล้วลงมาทดสอบเล่นหมากรุก"
    ไม่จำเป็นต้องชนะก็ได้ พูดตามจริงคือการทดสอบเล่นหมากรุกนี้ไม่ได้ตั้งเป้าหมายให้ผู้เข้าสอบชนะได้อยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสีย ต่อให้เก่งมาจากไหน ก็คงไม่มีทางเอาชนะปรมาจารย์"เวลส์ สตราโทส"ผู้สอนวิชาการวางแผนรบแห่งโรงเรียนศาสนจักรได้ และที่สำคัญก็คือ สิ่งที่จะทดสอบไม่ใช่ฝีมือการเล่นหมากรุก แต่เป็นการตัดสินใจแก้ไขปัญหา

    ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็จะมีการวัดคะแนนรวมกับคะแนนข้อเขียน
    ผ่านหรือไม่ผ่านคิดจากตรงนั้น

    "ทำข้อสอบเสร็จเร็วจังนะแม่หนู" เวลส์กล่าวกับเวิร์ด
    "ถ้าไม่รีบทำให้เสร็จ เกรงว่าจะต้องรอคิวนานก็เท่านั้นเองค่ะ"
    ฟังดูแล้วก็เป็นความคิดที่ไม่ซับซ้อนอะไร ยิ่งทำเสร็จช้าก็จะมีโอกาสที่จะมีคนเสร็จพร้อมๆกันเยอะมากขึ้น ถ้าไม่อยากจะเข้าแถวรอคิวละก็ ทำข้อสอบให้เสร็จก่อนคนอื่นนี่แหละคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
    เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะนั่งลงกับเก้าอี้

    "นักวางแผนที่ดีเขาไม่เร่งรีบกันหรอกนะ..."
    หรือจะพูดตรงๆก็คือ คนที่ลงทีหลังจะมีโอกาสทำคะแนนหมากรุกได้ดีกว่า เพราะมีโอกาสสังเกตการเดินหมากของอาจารย์คุมสอบด้วย ตรงยิ่งไปกว่านั้น คนที่ลงก่อนดูอย่างไรก็เสียเปรียบคนอื่นเต็มๆ

    "การเดินหมากของท่าน...ฉันเห็นมาเยอะแล้วล่ะค่ะ แน่นอน รวมถึงคนที่เก่งกว่าท่านด้วย เพราะฉะนั้นต่อให้เห็นการเดินหมากเล่นกับเด็กของท่านอีกสักตาสองตาก็ไม่มีความหมายอะไร"

    หางตาของเวลส์กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะแค่นหัวเราะในลำคอแล้วพูดออกมา

    "แม่หนู...บางครั้งพูดตรงเกินไปมันก็ไม่ดีกับตัวเองนะ...จริงสิ ข้าได้ยินว่าตระกูลโครนิเชียลมีกฎห้ามโกหกอยู่ เป็นความจริงรึ?"

    เวิร์ดยิ้มรับพร้อมกับกล่าวตอบ
    "ค่ะ เมื่อหลายสิบปีก่อนท่านปู่ได้รับ'โฮป'มาชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีพลังบันดาลให้คำพูดทุกอย่างกลายเป็นความจริง...โดยมีข้อแม้ว่าถ้าหากพูดโกหกแม้แต่ครั้งเดียวก็จะหมดสิทธิ์ในการใช้พลังไปในทันที"
    "โฮ่..."
    "หลังจากท่านปู่เสียชีวิตไป โฮปชิ้นนั้นก็ตกทอดมายังท่านพ่อ และเพื่อที่จะให้ฉันสามารถใช้โฮปชิ้นนั้นต่อไปได้ในอนาคต...จึงได้มีกฎว่าห้ามทายาทของตระกูลโครนิเชียลพูดโกหกแม้แต่คำเดียว"

    "นึกว่าเป็นเรื่องเล่าที่ตระกูลโครนิเชียลแต่งขึ้นมาเสียอีก..?" เวลส์ลูบคางตัวเองเบาๆ

    เพราะมี'คำพูด'มนุษย์จึงสามารถพูด'โกหก'ได้
    แต่เด็กสาวที่มีชื่อซึ่งหมายความว่า'ถ้อยคำ'กลับไม่ได้รับอนุญาตให้พูดโกหกแม้แต่ครั้งเดียว


    "นักปกครองที่ไม่พูดโกหกงั้นหรือ...ฟังดูอย่างกับอุดมคติเลยนะ"
    เวลส์กล่าวเช่นนั้น "...แต่ถ้าได้แม่หนูมาเป็นนักเรียนละก็ ข้าคงต้องรับมือกับเหตุนักเรียนทะเลาะกันมากขึ้นเป็นแน่"
    "...นี่ข้าถูกปรับตกเพราะคำพูดหรือคะนี่?" เวิร์ดถามทีเล่นทีจริง
    "เฮ้อ...เพราะใช้เป็นเหตุผลในการปรับตกไม่ได้นี่แหละถึงน่ากลุ้มใจนัก"
    เวลส์ถอนหายในออกมาเฮือกใหญ่

    "กฎต้องเป็นกฎ...ถ้าเจ้าทำคะแนนข้อเขียนและหมากรุกได้ถึงเกณฑ์ ก็เป็นอันว่าเจ้าผ่าน...แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในสายการปกครองหรอกนะ"

    "ขอบคุณมากค่ะ"

    "คุยกันซะตั้งนาน...นึกว่าจะมีใครทำข้อสอบเขียนเสร็จแล้วลงมาดูบ้าง แต่กลับไม่มีสักคนแฮะ..."
    เวลส์ว่าพลางหันไปมองเหล่าผู้เข้าสอบที่ยังคงเขียนข้อสอบกันอย่างขะมักเขม้น

    "เล่นหมากรุกโดยไม่มีคนดูมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง...เฮ้อ นี่เจ้าคงไม่ได้ทำข้อสอบมั่วๆเพื่อที่จะรีบลงมาเล่นหรอกนะ? เล่นเสร็จแล้วถึงจะเหลือเวลาอยู่ก็ห้ามขอข้อสอบไปแก้แล้วนา..."

    "ข้อสอบแบบนั้น จะใช้เวลาสิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมงก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ คนที่เสียเวลานานกับข้อสอบแบบนั้นเห็นจะมีแต่คนที่ไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเอง...หรือไม่ก็คนที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมา แต่ก็ยังเสียเวลานั่งนึกโดยหวังว่าจะมีคำตอบตกค้างอยู่ในซอกหลืบของสมองเท่านั้นแหละค่ะ"

    เวิร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆและสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากตอนเริ่มสนทนา เวลส์เกาหัวแกรกๆ

    "ถึงโกหกไม่ได้...แต่ก็น่าจะเลือกคำพูดได้บ้างนะ?"

    "...ไว้จะเก็บไปคิดดูก็แล้วกันนะคะ"

    เมื่อได้ฟังคำตอบของเด็กสาว ปรมาจารย์แห่งศาสตร์การวางแผนถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ๆ แล้วยื่นมือไปยังตัวหมากฝั่งตนที่อยู่บนกระดาน....

    การทดสอบด้วยเกมกระดาน อาจจะดูเหมือนเกมมากกว่าการสอบ

    แต่หากคิดในแง่การใช้ความคิดและทักษะเข้าแข่งขันกันแล้ว....นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดไม่แพ้การฟาดฟันด้วยศาสตราวุธเลยทีเดียว

    .......
    .....
    ...
    ..
    .

    การสอบสายการปกครองสิ้นสุดลงแล้ว

    พวกผู้เข้าสอบเริ่มทยอยออกมา เสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปตลอดระเบียงด้านหน้าห้องสอบ
    แม้ว่าต่างคนต่างก็คุยกัน แต่หากตั้งใจฟังดีๆแล้ว ไม่ว่าใครก็พูดเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น ทั้งเรื่องความโหดหินของข้อสอบ รวมไปถึงเกมหมากรุกที่นอกจากคนแรกที่ทำข้อสอบข้อเขียนเสร็จแล้ว ไม่มีใครยืนหยัดได้นานเกินห้านาทีแม้แต่คนเดียว
    เนื่องจากการทดสอบหมากรุกของคนแรกเสร็จก่อนที่คนที่สองจะทำข้อสอบข้อเขียนเสร็จ จึงไม่มีใครรู้ว่าผลการแข่งของคนแรกเป็นอย่างไรกันแน่

    ดูจากสีหน้าของเด็กสาวที่ดูไม่สู้จะพอใจนัก เหล่าผู้เข้าสอบจึงเดากันเอาเองว่าเธอคงจะแพ้อาจารย์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

    แต่หลักฐานสนับสนุนการคาดเดานอกจากสีหน้าของเด็กสาวแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก มิหนำซ้ำยังมีคนบอกว่า"สีหน้าของเธอคนนั้นเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว" พอมีคนคิดจะไปถามผลกับเธอตรงๆ ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า"ไม่อยากคุยกับคนที่จะสอบตก"
    ด้วยคะแนนนิยมในตัวเด็กสาวที่ต่ำสุดขีดตั้งแต่ในศูนย์สอบด้วยเหตุข้างตน จึงมีคน(ที่หมั่นไส้)สนับสนุนสมมติฐานว่าเธอเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน


    ทว่า เด็กสาวกลับไม่สนใจข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เหล่าคนอยากรู้อยากเห็นเลิกล้มความตั้งใจที่จะถามผลหมากรุกจากเธอแล้ว เธอก็นั่งอยู่คนเดียวที่ม้านั่งริมระเบียงด้านนอก

    พออยู่ตัวคนเดียวก็เริ่มคิดถึงเรื่องของคนที่เธอเพิ่งจะได้เจอที่นี่เป็นครั้งแรก และเป็นคนแรกที่เธอตัดสินใจเข้าไปทักทาย
    เหตุผลที่เธอดึงดันจะให้คนๆนั้นตั้งใจสอบให้ผ่าน มาคิดดูแล้วก็เป็นเพราะความเอาแต่ใจของเธอทั้งนั้น

    ทั้งๆที่ดูแล้วว่าน่าจะเป็นคนที่สอบผ่านถึงได้เข้าไปทักทายแท้ๆ...แต่กลับพูดออกมาได้ว่าไม่คิดจะสอบผ่าน

    ไม่ใช่ความเป็นห่วงหรืออะไรเลย ตรงกันข้าม เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
    เพียงแต่รู้สึกว่ารับไม่ได้ที่คำพูดของตัวเองจะไม่เป็นจริงก็เท่านั้น

    ...คงต้องไปขอโทษแล้วมั้ง?

    เวิร์ด โครนิเชียล คิดเช่นนั้นในใจ แล้วลุกออกจากที่นั่ง...

    ถ้าจำไม่ผิด สายศาสตราและสายเวทมนต์น่าจะใช้เวลานานพอสมควร เป็นไปได้ว่าเวลานี้อาจจะยังสอบกันไม่เสร็จด้วยซ้ำ

    "...แต่ก็ดีกว่านั่งรอผลสอบอยู่ตรงนี้เฉยๆล่ะนะ"


    ====================


    เขียนถึงเวิร์ดคนเดียวเลย...ขอโทษคร๊าบ...OTL
    ...ตอนแรกพยายามดริฟต์ไม่พูดถึงอาจารย์คุมสอบแล้ว แต่มันขาดไม่ได้ กลายเป็นคาแรคเตอร์คุณลุงอารมณ์ดีไปเฉยเลย...อาจารย์คุมสอบศูนย์นี้นี่ใจดีกันทั้งนั้นเลยหนอ ^^'
  14. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    หนุ่มน้อยผมดำเดินจ้ำอ้าวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่แน่ใจว่าพ้นสายตาของคนอื่นๆ ผ่านทางเดินอันยาวเหยียดอย่างรวดเร็ว ที่เขาต้องเร่งฝีเท้าถึงขนาดนี้ ก็เพราะสัมผัสอันตรายบอกเขาว่า บัดนี้ภัยกำลังเข้าหาตัวเขาแล้วราวกับจรวดมิสไซล์ที่ติดระบบโฮมิ่งเอาไว้ไม่ผิด หรือต้องเรียกว่า งานเข้าที่เล้าเป็ด

    (ตายล่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนที่จับไอปีศาจได้ไวขนาดนั้น ตายแหน่ๆๆๆๆๆๆ)

    วาเลียบ่นกับตัวเองในใจด้วยความสับสนบทเครียดราวกับเสื้อแดงเผาเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่รัก เขาก็เดินผ่านห้องน้ำชายซึ่งอยู่ทางซ้ายของตนไป เนื่องจากปลายทางของเขานั้นเป็นสวนดอกไม้ภายนอกซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกไม่ไกลเท่าใดนัก

    ขณะที่เขาเดินเลี้ยวออกไปยังสวนดอกไม้ที่ว่า ก็มีเสียงสาวเท้าราวกับการวิ่งเพียงแต่ไม่เร็วเท่า เด็กสาวร่างเล็กผู้เป็นต้นเหตุแห่งความหวาดกลัวของหนุ่มน้อยเมื่อครู่นั้น สอดส่องสายตาไปมาราวกับตามล่าอะไรบางอย่าง

    “อยู่ไหนกันนะ เจ้าปีศาจนั่น!!!”

    เฮ้ๆ ไปกล่าวหาชาวบ้านว่าเป็นปีศาจแบบนั้นมันไม่แรงไปหน่อยเรอะ... เธอเร่งความเร็วจนมาเป็นการวิ่งไปเรื่อยๆ จนหยุดมาที่สี่แยก ด้านขวาเป็นห้องน้ำหญิง ส่วนด้านซ้ายเป็นห้องน้ำชาย เส้นเอ็นปูดๆบนหน้าผากของเธอบอกให้เห็นว่า เธอไม่มีเวลาว่างมากพอจะมาระบายอารมณ์ด้วยการพังห้องน้ำแต่อย่างใด เธอจึงเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ห้องน้ำชายเพื่อตามล่าเจ้าปีศาจที่แฝงตัวเข้ามาในการสอบเพื่อเป็นผู้ขจัดมารถึงที่

    ไม่มี..... เด็กหนุ่มผมดำเจ้าของไอปีศาจน่าสงสัยคนดังกล่าว ไม่ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของเด็กสาวซึ่งสามารถบุกเข้าไปในห้องน้ำของเพศตรงข้ามได้อย่างหน้าตาเฉย เป็นผู้หญิงปกติสติดีๆคงไม่กล้าแม้แต่จะแหย่เท้าเข้าไป แต่อัลรอลเน่ทำได้... Yes, She can!!!
    เธอไล่เปิดประตูห้องน้ำทุกห้อง ตั้งแต่ห้องแรกที่ใกล้ประตูที่สุด จนถึงห้องที่ลึกที่สุด... โชคดีจริงๆ ที่ไม่มีชายใดกำลังทำธุระส่วนบุคคลอยู่ดีๆก็โดนรุกล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเยี่ยงนี้ เด็กสาวร่างเล็กได้คำตอบเช่นนั้นก็ทำหน้าเข้าใจ แล้วชายผู้ต้องสงสัยคนนั้นจะหายไปไหนได้

    “บ้าน่ะ เจ้าหมอนั่นก็น่าจะอยู่ที่นี่นี่หน่า แล้วทำไม.......”

    เธอหันหลังให้กับห้องน้ำที่เพิ่งถูกรุกล้ำอธิปไตยไปเมื่อกี๊นี้ พลางบ่นกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เขาหายตัวไป อะไรบางอย่างหนืดๆลื่นๆสีขาวๆชวนสะอิดสะเอียนซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นๆ คล้ายๆปลาเส้นทาโร่ก็คลืบคลานออกมาจากฝาท่อน้ำทิ้งในห้องที่ถูกเปิดประตูไว้อย่างช้าๆ

    “หรือจะไปอยู่ห้องน้ำหญิง.... ว้าย!!!!”

    แม้เธอจะหยุดพูดเพราะจับไอปีศาจได้ แต่การที่เธอมัวแต่หัวเสียกับการหายตัวไปของวาเลียก็ได้ทำให้เธอก้าวช้าไปเพียงเสี้ยววินาที “หนวด” สีขาวนั้นพุ่งเข้ารัดที่ขาขวาของอัลรอลเน่ แล้วจับเหวี่ยงเข้าฟาดกับกระจกห้องน้ำที่อยู่ตรงหน้าของเด็กสาว ก่อนที่จะต่อเนื่องด้วยการยกร่างของเธอด้วยหนวดอันมีกำลังมหาศาลนั้นทุบกับพื้นอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะถูกเหวี่ยงซัดกับหน้าต่างบานยาวซึ่งติดตั้งโถปัสสาวะไว้ข้างล่าง กระเด็นออกไปนอกห้องน้ำชายยังสวนดอกไม้ซึ่งอยู่ภายนอกของตัวอาคาร พร้อมๆกับเศษกระจกผู้โชคร้าย ได้รับลูกหลงรับเคราะห์กรรมของสาวน้อยบ้าเลือดนักกวาดล้างปีศาจคนนี้ โดยที่ขาของเธอยังคงห้อยอยู่กลางอากาศในสภาพที่เธอถูกจับให้อยู่ในสภาพกลับหัวกลับหาง

    ท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวลอันเกิดจากการลอบทำร้ายอัลรอลเน่ ก็มีเส้นสีขาวๆปลายสีเทาเข้มดัง แหวกเลื้อยออกมาจากกลุ่มควันนั่น มันช่วยพยุงให้วัตถุสีขาวอันเป็นต้นตอแห่งเส้นสีขาวๆทั้งหลายนั้นออกมาดูโลกด้วยตากลมโตเท่าลูกเบสบอลสีดำครอบด้วยวัตถุยืดหยุ่นไร้สี หน้าตาของมันดูคล้ายปลาหมึกแต่ยังดูห่างไกลจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกตนเองหรือถูกคนอื่นตั้งชื่อให้ว่า พอล พอสมควร

    “ฮิๆๆๆๆๆๆๆๆ ในที่สุดก็หาตัวเจอซะที นังซิสเตอร์ปีศาจ”

    ร่างของปลาหมึกยักษ์สีขาวนั่นลอยขึ้นสูงเหนือพื้นราวๆเกือบสองเมตร มันพ้นเอาน้ำหมึกเหลวเหนียวออกมาจำนวนมาก มากพอที่จะเกาะกลุ่มก้อนกันเป็นรูปร่างของมนุษย์ เนื้อหนังสีขาวมีรอยแต้มสีน้ำตาลเล็กน้อยก่อตัวขึ้นจากหมึกที่เริ่มแข็งตัวได้ที่ มีส่วนที่เป็นปลาหมึกสีขาวนั้นเป็นศีรษะของปีศาจตนนั้น

    “เจ้า....เจ้าเป็นใคร!? ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะไอ้ปลาหมึกเส็งเคร็ง!!!!”
    “ถ้าไม่ แล้วจะทำไม? ถึงเจ้าจะลืมว่าเจ้าทำอะไรกับข้าไว้ แต่ข้าไม่มีวันลืมที่เจ้าทำกับข้าไว้หรอก.... นังมารร้าย!!!!”

    พูดจบก็มีสายระยางค์สีขาวพุ่งเข้ามารัดข้อเท้าอีกข้างหนึ่ง ก่อนที่จะจับโยนอัลรอลเน่กลับไปยังห้องน้ำชาย กระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านตรงข้าม โดยยังไม่ปล่อยสายสีขาวที่รัดขาทั้งสองของหล่อน เท้าทั้งสองของมันเดินได้อย่างสง่าผ่าเผย ดูไม่เหมือนร่างเนื้อที่สร้างมาจากน้ำหมึกเลยแม้แต่นิด

    อัลรอลเน่ถึงกับสำลึกเลือดเมื่อได้รับแรงกระแทกจากการกระทบกระเทือยอย่างรุนแรงที่แผ่นหลังถึงหลายครั้ง ถึงแม้คุณเธอจะซาดิสม์ขนาดไหน แต่การที่ถูกลอบกัดอย่างร้ายกาจ แถมยังห้อยหัวแบบนี้ก็ทำให้เธอลำบากได้เหมือนกัน เธอพยายามใช้มือของเธอควานหาอะไรบางอย่าง และเธอถึงกับหน้าถอดสีเล็กน้อย เมื่อเห็นจี้กางเขนที่น่าจะอยู่บนคอของเธอ ถูกทิ้งอยู่ใต้ซากกระจกหน้าต่างใกล้ๆกับโถปัสสาวะ คาดว่าคงเป็นแรงกระแทกซักครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ของสำคัญของเธอหลุดออกไปได้ ทว่าเธอยังคงนิ่ง... แม้สายระยางค์อีกสองเส้น จะมารัดเข้าที่ข้อมือของตน

    “อะไรกัน!? ทำไมถึงยังทำสายตาแบบนั้นได้ล่ะนังปีศาจร้าย!?!”
    “อย่าเอาข้าคนนี้มานับร่วมกับเศษสวะอย่างพวกเจ้าจะได้มั้ย ข้าล่ะอยากจะอ้วก”

    เพียะ!!! เสียงหวดลงบนท้องของอัลรอลเน่ซึ่งถูกตรึงเอาไว้จนไม่สามารถขยับได้ด้วยสายระยางค์ซึ่งชุ่มไปด้วยของเหลวบางชนิดซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร แรงซัดของการหวดด้วยหนวดอีกเส้นหนึ่งที่ขดตัวกันเป็นก้อนกลมๆ ทำให้อัลรอลเน่ถึงกับจุกเล็กน้อย
    ปีศาจปลาหมึกซึ่งดูท่าจะมีความแค้นกับอัลรอลเน่เป็นอันมาก ก็เดินมาถึงร่างของเธอถึงถูกห้อยโตงเตงในสภาพที่คลุกไปด้วยฝุ่นจากกำแพงคอนกรีต และมีเศษแก้วติดอยู่ที่แขนทั้งสองข้างพอประมาณ มันนั่งลงในท่านั่งยองๆอยู่เบื้องหน้าเธอและจิกเข้าที่เส้นผมสีนิลยาวของหล่อน

    “รู้เอาไว้ซะนังหนู บาดแผลที่เจ้าหักกระดูกของข้า ทำให้ข้าต้องไปนอนโรงพยาบาลน่ะ ข้าจะเอาคืนให้เจ้ารู้สึกยิ่งกว่านั้นนับร้อยเท่าพันเท่า แต่ก่อนอื่น..... ฮิๆๆๆๆๆๆ”

    ใบหน้าซึ่งปกคลุมด้วยหัวของปลาหมึกจับจ้องมาที่ใบหน้าของอัลรอลเน่ซึ่งมีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนมุมปาก หากเป็นสีหน้าของมนุษย์แล้ว มันก็คงกำลังยิ้มแสยะด้วยความสะใจที่ได้ทำให้เด็กสาวซึ่งตัวเล็กกว่าตนนั้นเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ขณะที่มันหัวเราะ หนวดเส้นหนึ่งที่ยังว่างอยู่ ก็ หยดลงบนแขนเสื้อข้างซ้ายของเธอ ทันทีที่ของเหลวกระทบกับเสื้อ มันก็เกิดเสียงซ่า พร้อมกับแขนเสื้อที่ถูกกัดกร่อนจนแขนเสื้อขาดเห็นผิวขาวเนียน เมื่อมันเห็นผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน แหม... หื่นกามได้ใจจริงๆ

    “เจ้าเองสินะ ไอ้ขยะที่มาเสนอหน้าให้ข้าได้ขยี้เล่นน่ะ”
    “ฮ่าๆๆๆๆๆ เพิ่งจะมารู้เอาป่านนี้เรอะ!? ครั้งนี้แหละ ข้าจะทำให้ใบหน้านิ่งๆของเจ้านั่นย้อมไปด้วยสีแห่งความหวาดกลัวให้ดู ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ.... !?”

    แต่ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะนั้นก็หยุดไปกระทัน เมื่อมีวัตถุสีแดงบางอย่างพุ่งมาจากทางซ้ายของมันเข้าตัดสายระยางค์ทั้งสี่นั่น อัลรอลเน่ที่ไม่มีอะไรรองรับก็ลงไปกระแทกกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งปีศาจปลาหมึกที่ตกใจกับอะไรบางอย่างสีแดงๆเมื่อครู่ก็รีบหันไปหาต้นทาง
    หารู้ไม่ นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเสียแล้ว...

    “โย่ะ”
    พลั่ก!!!

    สิ้นเสียงทักทาย ร่างของส่วนผสมระหว่างปลาหมึกกับคนก็ปลิวออกไปตามแรงชกของเจ้าของเสียง เป็นการเซอร์ไพรส์ที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่สำหรับผู้ถูกประเคนหมัดใส่เช่นปีศาจปลาหมึก

    อัลรอลเน่พยุงตัวขึ้นมาแม้จะยังไม่หายจากอาการจุก แล้วแหงนหน้ามองมายังคนๆหนึ่งที่น่าจะเข้ามาช่วยเหลือเธอ เขาคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้สวมเสื้อโค้ทหนังเก่าๆสีดำ สีผมสีเดียวกับอัลรอลเน่นั้นทำให้เธอจำได้

    เขานั่นแหละ คือเป้าหมายที่เธอตามล่า และทำให้เธอต้องมาเจ็บแบบนี้...

    “ไหวมั้ยครับคุณผู้หญิง?”

    วาเลียหันมาทักทายกับอัลรอลเน่พอเป็นพิธีด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แฝงไปด้วยความอ่อนโยนแม้พวกเขาจะไม่รู้จักกัน และยิ่งไปกว่านั้น แม้เธอจะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแทบตายเมื่อก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นเอง ปีศาจตนนั้นผู้มีสีขาวบนร่างที่สร้างจากน้ำหมึกก็ลุกขึ้นอย่างงงๆ และตวาดใส่ผู้ที่เข้ามาขัดขวางความสำราญในการล้างแค้นของมัน

    “ก.....แกเป็นใคร”
    “คนที่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นปีศาจกำลังจะกระทำชำเราสาวน้อยน่ะ....”
    “บังอาจเล่นลิ้นกับข้าเรอะ!!!”

    มันเงื้องหมัดฮุคขวาเข้าใส่วาเลีย เพียงแต่การโจมตีดูท่าจะง่ายไป เขาปัดหมัดนั้นด้วยมือซ้ายลง ก่อนที่จะสวนกลับด้วยหมัดฮุคขวากลับใส่ปีศาจที่ไร้การป้องกันใดๆ เสียจนถึงกับล้มทั้งยืน แต่มันก็กลิ้งตัวแล้วลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และพยายามยกหมัดขวาเข้าชกใส่อีกครั้ง วาเลียปัดการโจมตีด้วยมือขวาอีกครั้ง พร้อมกับสวนด้วยการศอกเข้าใส่อกกลางอกของอีกฝ่ายเสียจนถึงกับจุก ก่อนที่จะซ้ำด้วยการหวดเท้าขวาถีบด้วยท่าไซด์คิกเข้าที่กลางอกอีกทีหนึ่ง จนลอยไปไกลราวๆห้าเมตรกว่าๆได้

    (หมอนั่น... ทำได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ)

    อัลรอลเน่คิดใจในเมื่อได้เห็นการต่อสู้ของวาเลีย ในขณะเดียวกันปีศาจปลาหมึกพยายามลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ดวงตาสีดำสนิทภายใต้เยลลี่ใสๆ จับจ้องมาที่วาเลียซึ่งเป็นฝ่ายรุกไล่เขาอยู่ฝ่ายเดียว หากเป็นมนุษย์คงรู้ได้ชัดเจนว่าสายตาของมัน อัดแน่นไปด้วยความคั่งแค้นต่อมนุษย์อย่างวาเลีย ว่าแต่มันเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าหนอ?

    “แกเป็นใครกันแน่!? ทำไมถึงต่อกรกับข้าได้ถึงขนาดนี้กัน หา!?!?”
    (หนอย.... เป็นแค่มนุษย์ ริอ่านปากดีมาต่อกรกับข้าเรอะ!?!?)

    หนวดสีขาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำกรดที่เพิ่งจะกัดเสื้อผ้าก็พุ่งเข้าใส่หนุ่มผมดำด้วยความเร็วสูง ราวกับจะบั่นคอของอีกฝ่ายให้ขาดในทีเดียว แต่ทว่า...

    “บ.... บ้าน่า!!! ทำไมมนุษย์อย่างเจ้าถึง....!?!?”

    อาวุธบนร่างกายสีขาวนั้นกลับถูกหยุดได้ด้วยมือซ้ายของเขาเพียงข้างเดียว และไม่เพียงแค่นั้น มันกลับหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มด้วยระยะห่างเพียง 1 เซนติเมตร จะดึงก็ดึงกลับไม่ได้ เรื่องบ้าๆแบบนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน

    “หืม? ดึงไม่ออกล่ะสิ ก็ไม่แปลก... หรอก!!!”

    ฉับพลันที่มือซ้ายเข้าคว้าหนวดเส้นนั้น เขาก็ระเบิดคลื่นอากาศที่สั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัดเข้าใส่ปีศาจร้ายจนลอยไปถึงสนามสอบที่เขาและอัลรอลเน่เพิ่งจะออกมา

    โครม!!!

    รถเข็นซึ่งถูกนำมาใช้เข็นอาวุธต่างๆเพื่อการทดสอบเมื่อครู่นั้น กลายมาเป็นเตียงรองรับร่างของมนุษย์หัวปลาหมึกซึ่งร่วงลงมากระแทกกับรถเข็นอับโชคจนพังลงมา เป็นความโชคดีของวาเลียอย่างแท้จริง เพราะด้วยวีรกรรมความบ้าพลังของสาวน้อยร่างเล็ก ทำให้คนอื่นๆหมดสิทธิ์สอบโดยปริยาย เพราะไม่มีวัสดุในการสอบให้พวกเขาสอบอีกแล้ว
    มือขวาของเขากระตุกและกางเล็กน้อย ทันใดนั้นเองวัตถุอันมีลักษณะเป็นแท่งโลหะสีดำเป็นส่วนใหญ่ มีด้านหนึ่งมีสีเงินเล็กน้อยก็ลอยจากพื้นขึ้นมาติดกับมือข้างนั้นซึ่งคว้ามันไว้ราวกับเคยชินกับมันมานานแสนนาน

    ปีศาจปลาหมึกยังคงพยายามลุกขึ้นอย่างสะบักสะบอบ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆ แทนที่จะมาไล่ล่าอัลรอลเน่ กลับกลายเป็ยว่าเขาถูกวาเลียไล่ล่าเสียเอง มันพยายามออกแรงยกเส้นหนวดที่เหลือทั้งหมดนับสิบเส้นจากส่วนหัวและด้านหลัง พุ่งเข้าใส่วาเลียราวกับหมดมุขจะต่อการแล้ว

    “เปล่าประโยชน์น่า”

    สิ้นเสียงของหนุ่มชุดดำ ปริศนาวัตถุลึกลับสีแดงไขกระจ่าง.... สายสีขาวทั้งหมดขาดสะบั้นด้วยการฟันดาบที่มีใบดาบเป็นลำแสงสีแดง พวยพุ่งออกมาจากแท่งโลหะนั้น ฉับพลันเดียวกับที่แขนขวาของเขาออกแรงตวัดดาบฟันสายระยางค์นั้นให้ขาดในคราเดียว ภาพดังกล่าวนั้นผ่านเข้าเนตรสองสีของอัลรอนเน่ซึ่งพยายามเดินติดตามการต่อสู้ของพวกเขา และนั่นก็ทำให้เธอยิ่งสงสัยในตัวของวาเลีย ชายที่เธอจับไอปีศาจได้ผู้นี้

    “อ...ไอ้อาวุธบ้านั่นมันอะไรกัน!? ทำไมอาวุธของแกถึงตัดหนวดของข้าได้!!?!?!?”
    “เรย์เซเบอร์...กระบี่ลำแสงที่ใช้พลังจากผลึกเวทมนตร์ข้างใจ ถ้าจะถามว่าไ้มาได้ยังไง ฉันก็แค่ฆ่าปีศาจที่ถือไอ้นี่มาได้แค่นั้นเอง”

    วาเลียโยนแท่งโลหะที่อ้างว่า ได้มาจากการช่วงชิงชีวิตของปีศาจผู้โชคร้ายตนหนึ่งขึ้นด้วยอารมณ์นิ่งเฉยกับเหตุที่เขาได้มา เสียงของเขาจงใจพูดให้ชัดเจนพอที่อัลรอลเน่จะได้ยิน แล้วเขาก็คาดมันเก็บเอาไว้ที่เอวขวาซึ่งมีที่เก็บของมันโดยเฉพาะ

    “ก...แกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!”

    ปีศาจปลาหมึกดูท่าจะหมดทางสู้แล้วจริงๆ ร่างมนุษย์ของมันแตกสลาย กลายสภาพมาเป็นแอ่งน้ำหมึกขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันมันก็พ่นน้ำหมึกออกมาจากส่วนก้นในปริมาณที่มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นจนสามารถแผ่ปกคลุมจนเกือบจะทั่วทั้งห้องทดสอบที่มีขนาดใหญ่ประมาณโคลอสเซียมย่อส่วนได้ น้ำหมึกเหล่านั้นเริ่มเกาะกลุ่มกัน แปรสภาพเป็นกายเนื้อเหมือนกับที่ใช้สร้างร่างมนุษย์ แต่ในคราวนี้มันสร้างร่างของตัวเองเป็นปลาหมึกยักษ์ หมายจะสังหารวาเลียและอัลรอลเน่ที่ตามมาทีหลังให้ตายไปพร้อมๆกัน

    “หมดมุขแล้วสินะแกน่ะ....”

    วาเลียแหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่กร้าวกราด เขาชักมือทั้งสองที่สวมถุงมือหนังสีดำที่มือขวาเพียงข้างเดียวออกมา

    “สามหาว!!!!”

    ปีศาจปลาหมึกยักษ์สูงราวสามเมตรกว่าๆคำรามเสียงลั่น พร้อมกับชักหนวดเส้นหนึ่งเข้าฟาดใส่วาเลีย เพียงแต่วาเลียที่เร็วกว่านั้น ชิงจังหวะได้เปรียบยกมือทั้งสองซึ่งมีคลื่นอากาศแปรปรวนโดยรอบ ออกแรงยกร่างของปลาหมึกยักษ์ทั้งตัวลอยขึ้นไปด้วยพลังบางอย่าง ซึ่งแม้แต่อัลรอลเน่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่ใช้ยกร่างของปลาหมึกยักษ์
    มือทั้งสองที่ยังยกขึ้นราวกับประคองอะไรบางอย่างไว้เริ่มบีบเข้าหากัน เวลาเดียวกันร่างของปลาหมึกยักษ์ผู้หารู้ไม่ว่ากำลังจะชะตาขาดก็ถูกบีบอัดราวกับกระป๋องน้ำอัดลมเปล่าๆที่ถูกบดขยี้อย่างไม่ใยดีด้วยอารมณ์โทสะของคนที่ถือมัน

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

    มันกรีดร้องด้วยอารมณ์เจ็บปวด ยิ่งวาเลียออกแรงบีบมือทั้งสองที่ประคองพลังนั้น เสียงร้องของมันน่าจะเป็นเสียงเพลงอันไพเราะสำหรับเจ้าแม่ซาดิสต์อย่างอัลรอลเน่แท้ๆ แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่รู้สึกปรีดากับเสียงดังกล่าว ก็เพราะพลังของชายที่อยู่เบื้องหน้าของเธอคนนั้น

    “ตายซะ!!!!”
    ตูม!!!!!!

    เสียงลั่นไกแห่งโทสะครั้งแรกของวาเลียก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของปลาหมึกยักษ์ที่ถูกบดขยี้จนแหลกลาญ ระเบิดเศษเนื้อทุกอณูที่กลายเป็นเนื้อปลาหมึกบดออกมาเป็นสายฝนสีดำที่ทำมาจากน้ำหมึกธรรมชาติ ได้พักผ่อน(จนต้องไปอาบน้ำ)จริงจังก็คราวนี้แหละนะ

    “วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย คือชื่อของชั้น.... จำเอาไว้ แล้วไปบอกชื่อของชั้นกับยมบาลซะ เจ้าพวกปีศาจ.....”

    ขณะที่ฝนทมิฬยังตกลงมาอาบร่างของหนุ่มสาวทั้งสองผู้หลงเหลือในห้องทดสอบแห่งนี้ วาเลียซึ่งชุ่มโชกไปด้วยเหงือผสมหมึกก็ประกาศชื่อของตนกับเศษซากปลาหมึกตัวหนึ่งที่ถูกขยี้ด้วยรองเท้าคอมแบทสีดำ แล้วเดินย้อนกลับไปหาอัลรอลเน่ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหมึกไม่ต่างกัน สายตาของทั้งสองสบกันโดยไม่มีฝ่ายใดวางตาเป็นเวลากว่านาทีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะละสายตา เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มให้กับเด็กสาวคนนั้น ขณะที่เดินผ่านเธอไป เขาก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย

    “รีบไปห้องพยาบาลเถอะครับ สภาพแบบนั้นถ้าไม่รีบรักษาแผลจะไม่หายเอานะครับ ขอตัวก่อนล่ะ...”

    ก่อนที่จะสาวเท้าเดินออกไปจากห้องๆนั้น เขาชักจะเริ่มสะอิดสะเอียนกับกลิ่นหมึกและกลิ่นคาวของปลาหมึกเต็มทนซะแล้วสิ

    (เอสเปอร์งั้นเหรอ? เจ้าหมอนั่น......)

    อัลรอลเน่เหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มชุดดำที่เดินผ่านเธอไปเมื่อครู่อย่างไม่วางตา เธอเหมือนจะเริ่มลังเลว่าควรจะทำยังไงกับชายคนนั้นดี และหากคำว่าเอสเปอร์เป็นคำจำกัดความที่เธอให้กับวาเลียแล้ว พลังที่เขาใช้เมื่อครู่ก็คงไม่ผิดแน่...

    พลังนั้นคือ “เทเลคิเนซิส” หรืออีกชื่อเรียกหนึ่งคือ....



    ไซโคคิเนซิส....

    + + + + + + + + + + + + + + +

    ผมรู้ว่าผมแต่งเน่า เชิญเผาโลด!!!!
  15. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Zenith Empire​

    ประวัติศาสตร์ทั่วไปของจักรวรรดิ​



    เมื่อครั้งที่เผ่าพันธ์ปีศาจถูกปลดปล่อยจากกล่องแพนโดร่านั้น หนึ่งในสิ่งที่ออกมาจากกล่องนอกจากฝูงคลื่นของปีศาจเล็กใหญ่น้อยแล้ว ยังมีปีศาจอีกจำนวนหนึ่ง ปีศาจทีหาได้เป็นแค่สัตว์ร้ายมากพลังแต่ไร้สมอง ปีศาจที่หากเปรียบด้วยคำนิยามของมนุษย์น่านะเรียกได้ว่า "เทพ" จะถูกกว่าด้วยสรรพกำลังของแต่ล่ะตนนั้น เทียบเท่ากับกองทัพจากนรก ทว่าเพราะปีศาจพวกนี้ มีสติปัญญาในระดับสูง จึงมาพร้อมกับสิ่งที่น่าจะเรียกว่า ความนึกคิดตรึกตรองเป็นของตนเอง ความรู้สึกนึกคิดพิจารณา และสุดท้าย บุคคลิกภาพส่วนบุคคล ทำให้ปีศาจกลุ่มนี้ก้าวข้ามจากระดับของปีศาจร้ายทั่วไป ขึ้นมาถึงจุดที่เราเรียกกันว่า "ผู้มีอาระ"


    จึงเป็นเรื่องของเวลาอย่างแท้จริง เมื่อเวลาผ่านไป ความโกลาหลจากสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ได้ฉีกทึ้งดาวเคราะห์ดวงนี้จนเข้าสู่สภาวะใกล้ล่มสลาย ถึงจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ และความทนทานมากกว่าพวกสิ่งมีชีวิตอ่อนแอพวกนั้น ทว่าในวังวนของสงครามนี้ ปีศาจตนหนึ่งได้ก้าวนำกว่าทุกๆตนๆ ระหว่างที่ตนอื่นๆนั้นนอกจากจะทำลายล้างผลาญชีวิตมนุษย์ยังหันมาทำลายล้างกันเอง แต่ปีศาจตนนี้ ผู้ไม่ยอมรับและทนกับสภาพเช่นนี้อีกต่อไป ได้รวบรวมไพร่พลและพลังอำนาจของตน แล้วได้นำระเบียบมาสู่โลกใหม่ ระเบียบที่มีชื่อว่า [จักรวรรดิ] และได้ยกตน ที่ซึ่งได้กำราบ 7อสูรที่ตั้งตนเป็นผู้ปกครองจากพื้นที่ต่างๆ ขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของ [ระเบียบ] ในฐานของผู้ดำรงรักษาและจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งเราเรียกขานกันในปัจจุบันว่า [จักรพรรดิ]


    ทว่าในความเป็นจริง ระบบที่พระองค์สร้างขึ้นนั้น กลับค่อนข้างจะหย่อนยาน...ไม่สิ ถ้ามองในมุมมองของ บุคคลที่สาม น่าจะเรียกว่า รอมชอม มากกว่า แม้ว่า 7อสูร ผู้ที่บัดนี้ได้ตำแหน่งในฐานของ ผู้พิทักษ์จักรวรรดิ จะเป็นข้ารับใช้ขององค์จักรพรรดิ ทว่าพวกเขาก็ยังคงสิทธิ์ไว้ซึ่งอำนาจในการปกครองพื้นที่เดิมของตนตามเดิม เพียงแต่มีองค์จักรพรรดิเป็นผู้สมานรอยร้าวและควบคุมความกระหายเลือด ที่เหล่าอสูรยังมีอยู่ในสายเลือดแม้จะอยู่รวมกับจักรวรรดิแล้วก็ตามที


    หากจะถามว่าในโลกที่พื้นที่ส่วนใหญ่ ถ้าไม่เป็นเขตรกร้างไร้ชีวิต หรือเขต ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีปริมาณมหาศาลจากอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงสงคราม ทำยังไงอาณาจักรเหล่านี้ถึงดำรงอยู่ได้ แน่นอนว่าถ้ามองจากมาตราฐานการดำรงชีวิตของมนุษย์แล้ว สภาพพวกนี้นับว่าเลวร้ายเกินจะทน ความเป็นจริงเลยกลายเป็นว่า อาณาจักรทั้งหลายที่ขึ้นกับจักรวรรดิ หรือแม้แต่ตัวจักรวรรดิเอง ต่างก็มีสภาพไม่ได้ต่างกับส่วนที่เหลือของโลก (อาจจะเว้นไว้เฉพาะเขตปกครองของศาสนจักร) แต่ด้วยที่หลายอาณาจักรรวมถึงจักรวรรดิเอง เน้นไปที่การรักษาเขตที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธ์ตน(ทุกอาณาจักรต่างก็เป็นปีศาจหรืออสูรต่างพันธ์กันไป) ทำให้จากแง่มุมของจักรวรรดิ คำว่าอาณาจักรจึงเป็นเหมือนเขตสืบพันธ์และหากิน มากกว่าจะเป็นอาณาจักรที่มีโครงสร้างทางสังคมหรือองค์กรแบบที่อาณาจักรของมนุษย์เป็นกัน


    หากแต่ในบรรดา อาณาจักรทั้งหลาย ก็มีอยู่สองหน่อ ที่แตกต่างกับส่วนที่เหลืออย่างชัดเจน อาณาจักรแรกนั้น ก่อร่างสร้างตัวขึ้นไม่ไกลนักจากสถานที่ ที่ซึ่งกล่องแพนโดร่าถูกเปิดออกเป็นครั้งแรก และ อีกที่ ที่ซึ่งเคยเป็นเมืองปราการในช่วงสงครามตั้งอยู่ Babylon และ Moraria สองอาณาจักรที่ปกครองโดย อสูรที่มีความพิเศษในตัวพอกันกับอาณาจักรที่ทั้งสองตนปกครอง





    Babylon นั้นตั้งอยู่บนทวีปไอเจี่ยน ในทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ทะเลทรายที่กินอาณาเขตเสียร้อยล่ะ 50ของทวีป ด้วยสภาพอากาศร้อนแห้งตลอดปี ทำให้ที่นี่ไม่เหมาะกับการดำรงชีพมาตั้งแต่อดีต ทว่าที่แห่งนี้เอง ที่ซึ่งกล่องแพนโดร่าในตำนานได้ถูกเปิดขึ้น จากความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง จนนำมาสู่การถือกำเนิดของจักรวรรดิในทุกวันนนี้ ด้วยอาณาเขตควบคุมซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทรายเสียส่วนใหญ่ ทำให้ขอบเขตของ Babylon นั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

    แต่ด้วยความที่ ผู้พิทักษ์ [King Baroq] จ้าวแห่งธรณีและนภา เป็นผู้ที่เถิดทูนและเคารพในองค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก ทั้งความคิดและการกระทำ ทำให้โครงสร้างของอาณาจักรจึงเป็นแบบ รัฐทหารโดยธรรมชาติ ทุกชีวิตและเผ่าพันธ์ในอาณาจักรล้วนแต่ เข้าร่วมเป็นทหารหรือไม่ก็งานในส่วนที่เกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น และเป็นกองกำลังของอาณาจักรนี้เช่นกัน ที่ได้รับหน้าที่ กองกำลังอารักขาให้กับคนในราชวงศ์ของจักรวรรดิ จึงอาจกล่าวได้ว่า Babylon นั้นนอกจากจะเป็นขุมกำลังทางทหารให้กับจักรวรรดิแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในสองแกนหลักที่คอยค้ำจุนตัวจักรวรรดิไว้จากศัตรูภายนอกและศัตรุภายในของจักรวรรดิ





    Moraria หรือชื่อเต็มว่า Kingdom of Moraria นั้นตั้งอยู่ณ ทางตอนใต้สุดของทวีปไอเจี่ยน ขั้นกลางด้วยทะเลไครเมีย ที่ซึ่งอีกฝากคือเมืองท่า เดบริส[Debris] เมืองชายแดนในเขตปกครองของศาสนจักร ภูมิประเทศส่วนใหญ่นั้นเป็นภูเขาสลับกับที่ราบลุ่มแม่น้ำ ที่ซึ่งในอดีตนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของชาติเล็กๆ แต่บัดนี้กลายสภาพเป็นรัฐเผด็จการภายใต้การนำของ ผู้พิทักษ์ [Chronos] ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับเผ่าพันธ์มนุษย์ แบบที่ผู้พิทักษ์คนอื่นไม่อาจเข้าใจได้ บางทีสิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ว่าได้ดีที่สุด ก็คือตัวอาณาจักรของแกเอง


    แม้ตัวระบบการปกครองนั้น จะมีผู้พิทักษ์เป็นผู้ครองอำนาจสูงสุด มีอำนาจเต็มที่ในการกระทำการใดๆที่เจ้าตัวต้องการ แต่ที่ทำให้ต่างจากอาณาจักรอื่นๆอย่างชัดเจนนั้น ก็อยู่การมี กลุ่มการค้า หรือที่พวกมนุษย์ชอบเรียกตัวเองว่า [Corporation] คอยดูแลกิจการภายในของอาณาจักร หรือกล่าวอีกนัยนึ่งคือเป็นการให้พวกมนุษย์ปกครองกันเองโดยมี ผู้พิทักษ์เป็นเสมือน ผู้รับผิดชอบงานในส่วน กิจการระหว่างรัฐ การปกป้องและดูแลความปลอดภัยในอาณาจักร และ ที่สำคัญที่สุดคืองานในส่วนของการดูแลทาสหลวงในสังกัดของตน





    แม้ว่าระบบทาสนั้นจะสร้างขึ้นเพื่อรองรับ ความต้องการแรงงานหนักและแรงงานสำหรับสร้างความบันเทิงให้กับปีศาจระดับต่างๆ (นับตั้งแต่กฎระเบียบในจักรวรรดิเริ่มบังคับใช้อย่างจริงจัง) กระนั้นการใช้แรงงานทาสจนถึงแก่ชีวิต หรือ การใช้งานอันตรายในแบบอื่นๆก็ยังเกิดขึ้นในทุกหัวเมืองของจักรวรรดิ โดยเฉพาะเกมกีฬาถึงตายที่เป็น ที่นิยมอย่างสูงของบรรดาพลเมืองชั้นสูงและชั้นกลาง เกมกีฬาที่แต่ล่ะปีเกี่ยวข้องกับชีวิตของทาสนับพันคน จากจำนวนหัวเมืองนับร้อยในจักรวรรดิ เมืองหรืออาณาจักรที่ประกาศให้กีฬาชนิทนี้เป็น กีฬาประจำเมืองไปก็มีไม่น้อย ทั้งที่ถ้ามองจากด้านเศรษฐกิจแล้ว กีฬาที่ว่านี้เป็นตัวล้างผลาญทรัพยากรโดยใช้เหตุอย่างที่สุด แต่จากมุมมองของทาสแล้ว กับรางวัลของผู้ชนะ (เกมดังกล่าวนี้ ใช้ทาสเป็นผู้เล่นเกม) ที่จะได้รับโอกาสเป็นไท หรือ เป็นทาสหลวง (ทาสมีนายเป็นผู้ พิทักษ์) แล้วนั้น แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็มีทาสจำนวนไม่น้อยที่ร่วมลงแข่งในเกมนี้ แม้มันจะเสี่ยงต่อชีวิตของพวกตนก็ตาม


    กระนั้น ตามหัวเมืองชายฝั่ง โดยเฉพาะอาณาจักรบนทวีปไอเจี่ยนตอนล่าง (อย่าง Babylon และ Moraria เกมกีฬาชนิทนี้กลับถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด (babylon ด้วยเหตุผลทางทหาร ทาสทุกคนในอาณาจักรจะถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิ และ moraria ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทาสทุกคนจะถูกบังคับให้ทำงานเพื่อจัดหาทรัพยากรเพื่อจักรวรรดิ ด้วยว่าสงครามนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นช่วงสงครามทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเอาไว้ ทำให้จักรวรรดิขาดแคลนทรัพยากรเพื่อการพัฒนาอย่างหนัก)



    +++++++++++​



    "[ Duke of Moraria , Guardian of The Empire Chronos ] มีปีศาจน้อยตนนักที่จะรู้จักผู้พิทักษ์ตนนี้ แน่ว่าในฐานของอาณาจักรสุดท้ายที่ถูกกำราบในช่วงของความวุ่นวายหลังสงคราม กับชื่อของผู้ปกครองที่ไม่มีใครรู้จัก นอกจากที่จักรพรรดิทรงขนานนามเมื่อครั้งตั้งตำแหน่งให้ กับอาณาจักรที่มีขนาดเล็กกว่าอาณาจักรอื่นๆ และ จำนวนของประชากรดั้งเดิมที่มีน้อยที่สุด (1คนเท่าที่รู้กัน แม้จะเพิ่มเป็นกว่า 75ล้านคนในปัจจุบันก็ตาม) ส่วนที่ว่ากำราบนั้น นั่นก็แค่สิ่งที่หนังสือประวัติศาสตร์ว่าเอาไว้ หากความจริงในตอนนั้นมีแต่บุคคลทั้งสองเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


    จากบันทึกของผู้ติดตาม ได้บันทึกไว้ในบันทึกส่วนตนไว้ว่า


    "ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ในเมืองที่เวลาหยุดนิ่ง ทะเลทมิฬครอบครองผืนดินทุกส่วนเอาไว้ ที่นี่แม้แต่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำสุด เวลาของพวกมันก็หยุดนิ่งไปด้วย ที่นั่งในสภาพเหมือนดักแด้ สองขาชันเข่าขึ้นเสมอหัว สองแขนกอดรัดขาเอาไว้ราวกับกอดของล้ำค่า ดวงตาจ้องมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังลับฟ้า แสงสีส้มแดง พระองค์ยืนอยู่ที่ตรงนั้นจนตะวันลับขอบฟ้า ทุกอย่างตอนนั้นไร้ซึ่งเสียงใดๆนอกจากสายลมที่พัดผ่านไป จะมีก็แต่เสียงพึมพำเบาๆของเด็กตัวน้อยตรงนั้น แม้จะเป็นประโยคซ้ำๆ แต่นั่นเป็นครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นวาบขึ้นมา"


    "......ทุกคนไม่อยู่ที่นี่แล้ว.....ทุกคนตายไปแล้ว.....อยู่คนเดียว...อยู่ต่อไปคนเดียว....."

    "ผมไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงอยู่กับเด็กน้อยคนนั้นนานเพียงใด แต่ดูเหมือนจะใช้เวลาร่วมเดือนกว่าที่ อสูรน้อยตนนี้ อย่างน้อยที่สุดแสดงถึงอาการของการยอมจำนน....ไม่สิ ต้องเรียกว่าเปิดใจรับกับพระองค์ขึ้นมา"


    แน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งตำแหน่ง ดยุค และ ผู้พิทักษ์ ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้พิทักษ์ตนนี้กับจักรวรรดิ ดีขึ้นหรือแย่ลงแต่ประการใด แต่เป็นการรับตำแหน่งรับผิดชอบงานด้านทาสนั่นเอง ที่ทำให้เจ้าตัวและอาณาจักรแห่งนี้ก้าวขึนมามีบทบาทในฐานเสาหลักต้นที่สองให้กับจักรวรรดิ ในฐานะของแหล่งของทรัพยากรและทุนหลักให้กับจักรวรรดิ

    และด้วยความร่ำรวยในระดับนี้เอง เป็นแรงดึงดูดให้ทาสและปีศาจจำนวนไม่น้อยต่างหลั่งไหลมารวมตัวกันยังอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งที่มีประชากรไม่ถึงหลักสิบ ในอดีตแต่กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นอาณาจักรที่มีประชากรร่วม 75ล้านชีวิต ทั้งปีศาจและทาสหลวง (แม้ว่าสัดส่วนของของปีศาจจะเป็น 0.1% (มีเป็นปีศาจแค่ผู้พิทักษ์และผู้คุ้มครองไม่กี่คน) กับ ทาสหลวงในส่วนที่เหลือ ( มากกว่า 75ล้านชีวิตของทาสหลวงในอาณาจักรนี้ ต่างก็เป้นทาสในการครอบครองของเจ้าตัวทั้งสิ้น ) จึงอาจจะกล่าวได้ว่าที่แห่งนี้ เป็นอาณาจักรของมนุษย์ที่อยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิก็ว่าได้


    กระนั้นจากการคุกคามของศาสนจักรที่มีมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เหล่าอาณาจักรทั้งหลายโดยเฉพาะที่ติดกับชายแดนต้องเพิ่มกองกำลังทหารมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และด้วยที่กองทหารส่วนใหญ่นอกจากจะต้องป้องกันเมืองหลวงจักรวรรดิแล้วยังต้องทำสงครามเพื่อขยายอาณาจักรทางตอนเหนือจากพวกปีศาจชั้นต่ำนอกจักรวรรดิ กองทหารอาสาทาสจึงถูกจัดตั้งขึ้นโดยใช้ ทาสหลวงที่เจ้าของยินยอมสละเพื่อการนี้โดยเฉพาะ กับข้อเสนอที่จะได้เป็นพลเมืองชั้นหนึ่งถ้าประจำการได้นานถึงเกณที่กำหนด โดยกองทัพที่จัดตั้งขึ้นในลักษณะนี้ มักจะมีประจำการมากที่สุดในอาณาจักร โมราเลีย และ เขตชายแดนเสียเป็นส่วนใหญ่



    14.02.32 this document is rewrite and remaster by Vincent Solomon CEO of Solomon Industrial and PM of Kingdom of morarie
  16. phasuthon

    phasuthon New Member

    EXP:
    47
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    นิวเมย์แกน หมู่บ้านเกษตรกรรมขนาดใหญ่หลายสิบครัวเรือนแออัดกันอยู่ ทางตอนเหนือ อันเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเมืองหนาวซึ่งรวมไปถึงเป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นเลิศ ภูมิทัศน์สวยงามของพื้นที่หุบเขาสลับที่ราบ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิดไวน์หลักซึ่งใช้ในพิธีการต่าง ๆ ศาสนจักรจึงคอยส่งคนมาตรวจความเรียบร้อยอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อความปลอดภัยของชาวบ้าน บนถนนลงจากหุบเขาชายแก่ชาวสวนขี่เกวียนมาตามถนนดินขรุขะหลังจากไปเก็บเกี่ยวพืชผลบนหุบเขา รวมไปถึงสัมภาระลึกลับใต้ผ้าคลุมที่รับมาด้วยกลางทาง



    "ไอ้หนูตื่นได้แล้ว ถึงหมู่บ้านแล้วล่ะ"



    เสียงเรียกของชายแก่ดังขึ้น ผ้าคลุมค่อย ๆ ขยับได้สักพักแต่ก็นิ่งเฉย ชายแก่จึงปีนขึ้นเกวียนแล้วขยับผ้าคลุมไปมา ก่อนที่จะค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออก ร่างของเด็กผู้หญิงผมดำยาวอายุราว 10 ขวบนอดขดอยู่ที่ท้ายเกวียน เสื้อผ้าโกธิคกระโปรงสั้นสีดำเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่น ชายแก่ค่อย ๆ เขย่าตัวเธอแต่ก็ไม่มีท่าทีที่จะลุกจากเกวียน



    "ไอ้หนูเอ้ย คิดจะนอนอยู่ตรงนั้นไปอีกนานมั้ย ลุงยังต้องขนของลงจากเกวียนอีกเยอะ" เด็กน้อยก็ยังไม่ขยับ

    "ถ้าลุกลงมาจากเกวียนลุงจะให้กินซุปอุ่น ๆ น้ำผลไม้อร่อย ๆ นะ" ชายแก่ยังไม่ลดละล่อลวงเด็กน้อยด้วยของกินแต่ก็ไม่เป็นผล เธอยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง

    "วะ" ชายแก่สบถออกมา "ถ้าอยากจะนอนจริง ๆ ไว้ลุงจะจัดเตียงให้ แล้วไปนอนให้หนำใจเลยเป็นไง" ทันใดนั้นร่างของเด็กน้อยค่อย ๆ ลุกขึ้น นัยตาดำสนิทของเธอค่อย ๆ ขยับมามองที่ชายแก่ผู้นั้นก่อนพูดขึ้นเบา ๆ

    "ที่นี่...ที่ไหน?" เธอเริ่มหันมองรอบ ๆ ด้วยท่าทางสลึมสลือ
    "คุณลุงเป็นใคร ทำไมถึงพาเรามาที่นี่"

    "ฮะ ๆ ๆ " ชายแก่หัวเราะขึ้นก่อนตอบเธอไป "ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกันไอ้หนู ลุงไปเจอหนูตอนที่กำลังกลับมาจากเก็บพืชผลบนเขานู่น ลุงยังตกใจเลยนะที่มีไอ้หนูจากไหนก็ไม่รู้นอนสลบอยู่กลางถนน ดีที่ลุงมาเจอหนูก่อนไม่งั้นพวกทหารมันคงคิดว่าหนูเป็นพวกจักรวรรดิ์แน่ ๆ"

    "จักรวรรดิ์?" เธอเอ่ยย้ำขึ้นก่อนเอียงคอทำท่าฉงน

    "ไอ้หนูไม่รู้เหรอ พวกจักรวรรดิ์น่ะชอบจับพวกเราไปเป็นทาสใช้แรงงาน อีกทั้งยังล้างสมองให้ไปรับใช้มันในกองทัพอีกด้วยนะ" ชายแก่เริ่มใส่อารมณ์ขณะที่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของจักรวรรดิ์ เด็กสาวนั่งฟังได้ซักพักก็เริ่มสลืมสลืออีกครั้ง
    "อ้าว ไอ้หนูนี่จะหลับอีกแล้ว ลุงขอโทษด้วยละกันคนแก่ก็ขี้บ่นอย่างงี้แหละ เข้าไปในบ้านหาซุปอุ่น ๆ ซดให้หายหิวแล้วค่อยไปนอนต่อบนเตียงนะ"



    เขาค่อย ๆ จูงมือเธอเข้าไปในบ้านไม้หลังใหญ่ 2 ชั้น ดูกว้างขวางและเรียบง่าย ภายในห้องโถงมีเตาผิงขนาดใหญ่ โตะตัวใหญ่กับเก้าอี้ชุดหนึ่ง มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่ ชายแก่แนะนำตัวก็รู้ว่าเป็นลูกชายและลูกสะใภ้ของเขานั่นเองทั้ง 3 อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ เมื่อก่อนเคยมีกัน 4 คนแต่ภรรยาของชายแก่กลับมาเสียลง หน้าที่งานบ้านจึงตกเป็นของลูกสะใภ้ ส่วนลูกชายนั้นช่วยคุณพ่อดูแลกกิจการไวน์ของทางบ้าน



    "ว่าแต่ไอ้หนูชื่ออะไรน่ะ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้อีกลุงไม่ยอมให้คนแปลกหน้ามานอนในบ้านหรอกนะ" ชายแก่ถามเด็กสาวที่กำลังยืนนิ่งอยู่ ความเงียบสงัดปกคลุมบรรยากาศอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เด็กสาวจะพูดขึ้นเบา ๆ "เมล.... เมลิซ่า มอริแกน"

    "แหม ไอ้หนูนี่ขี้อายจริง ๆ ไม่ต้องพูดเสียงเบาขนาดนั้นก็ได้ พวกเราไม่จับหนูไปต้มกินหรอก" ชายแก่โวยวายก่อนหัวเราะชอบใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดแทรก
    "คุณพ่อก็เป็นแบบนี้แหละอย่าถือสาแกเลย พี่ชายชื่อ ลอยด์ ส่วนพี่สาวตรงนั้นชื่อลูเซีย เป็นภรรยาของพี่เอง ส่วนคุณลุงที่พาหนูมาเป็นพ่อของพี่ชายชื่อชายแก่ ถึงแกท่าทางจะน่ากลัวแต่ก็เป็นคนใจดี"



    เมลิซ่ายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าสั้น ๆ ทั้ง 4 นั่งกินอาหารกันไปพลางพูดคุยสนทนาไปพลางถึงกระนั้นเมลิซ่าก็ได้แต่นั่งกินซุบอยู่เงียบ ๆ พยักหน้าสั้น ๆ เป็นครั้งคราวทุกครั้งที่ชายแก่ทักทาย



    "เป็นไงไอ้หนูซุบที่ลูกเสะใภ้ลุงทำอร่อยที่สุดในหมู่บ้านเชียวนะ" ชายแก่พูดโอ้อวดลูกสะใภ้ของตนก่อนหัวเราะชอบใจ
    "ว่าแต่ไอ้หนูมีครอบครัวรึเปล่า ไปยังไงมายังไงถึงได้ไปอยู่ในหุบเขานั่นได้ล่ะ"

    "เรากับท่านพี่เดินทางมาตามคำสั่งของท่านพ่อ ท่านพ่ออยากให้เราออกมาสำรวจโลกภายนอก แล้วนำไปบอกให้ท่านฟัง แต่ท่านพี่บอกว่ามีธุระเราจึงต้องแยกทางกัน" เธอพูดไปพลางทานซุปไปพลาง

    "แล้วเดินทางคนเดียวไม่กลัวอันตรายบ้างหรือจ๊ะ" ลูเซียถามขึ้น
    "ถ้าเกิดเจอพวกโจรป่าขึ้นมาจะไม่แย่หรือ"

    "เราไม่ได้เดินทางคนเดียว เรามีเพื่อนมาด้วย" เธอตอบกลับไป

    "วะ แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก จะได้ออกตามหาเพื่อนกัน นี่ก็มืดค่ำแล้วไม่รู้จะเป็นยังไงกันบ้าง" ชายแก่เตรียมตัวออกไปค้นหาแต่ก็ถูกห้ามไว้

    "ไม่จำเป็น เพื่อนของเราอยู่ที่นี่แล้ว" เมลิซ่าพูดขึ้น ทั้งสามเริ่มมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไรแปลกไป ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศอีกครั้ง

    "วะ ไอ้หนูคนนี้แปลกดีจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ลุงจะไปส่งของที่เมืองหลวงไว้ลุงจะพาหนูไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ที่สำคัญลุงเองก็มีเพื่อนอยู่ที่นั่นเยอะเผื่อจะมีใครไปส่งหนูที่บ้านได้บ้าง ไม่แน่อาจจะได้เจอพี่ของหนูก็ได้" ชายแก่เร่ิมพูดไม่หยุด เมลิซ่าจึงทำได้แค่พยักหน้าเรื่อย ๆ โดยมีคู่สามีภรรยานั่งฟังอยู่เงียบ ๆ

    "นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย" ชายแก่ตะโกนพลางมองไปนอกหน้าต่าง
    "มืดค่ำขนาดนี้แล้วรึ ไอ้หนูคงจะเริ่มง่วงแล้วซินะ" เขาหันไปมองเมลิซ่าที่นั่งสับผงกอยู่บนเก้าอี้ เขาค่อย ๆ พยุงตัวเธอเดินไปที่ห้องนอนแล้วค่อย ๆ วางเธอลงบนเตียง

    "เป็นไงล่ะ นุ่มสบายดีใช่มั้ย นี่เป็นเตียงของหลานลุงเอง พอดีตอนนี้มันไม่อยู่บ้านเพราะไปสอบเข้าเป็นผู้ขจัดมารเยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะ เก่งสมกับเป็นหลานปู่"



    ชายแก่เริ่มโอ้อวดหลานตนเองขณะที่เมลิซ่าเองก็ไม่ได้ฟังแม้แต่น้อยเพราะผลอยหลับไปตั้งแต่นอนลง ชายแก่เห็นเช่นนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ไปนั่งลงคุยกับลูชายตนซักพักจึงค่อยแยกย้ายกันไปนอน



    --------------------------------------------------​



    เช้าวันใหม่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าโปร่ง ชายแก่ตื่นแต่เช้ามืดจัดของขึ้นเกวียนเตรียมตัวออกเดินทาง โดยมีลูกชายคอยช่วยยกของจัดเตรียม การเดินทางจากนิวเมย์แกนถึงเมืองหลวงผ่านเส้นทางหลักสายเหนือใช้เวลา 3 วันแม้จะเดินทางด้วยเกวียน ต่อให้ขี่ม้าชั้นเลิศก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็ม ๆ ชายแก่ขึ้นเกวียนโดยมีลูกชายและลูกสะใภ้มายืนล่ำลา



    "ไอ้หนูนั่นยังไม่ตื่นอีกเรอะ" เขาเอ่ยถามลูกชาย

    "ยังเลยครับพ่อ ผมว่านอนดึกซะขนาดนั้นปล่อยให้แกนอนไปซักพักเดี๋ยวสาย ๆ ก็คงจะตื่นเอง"

    "วะ ว่าจะกล่าวลาซักหน่อย เดินทางนาน ๆ คนเดียวหลาย ๆ วันมันก็เหงาอยู่เหมือนกัน กะว่าจะเอาไอ้หนูนั่งไปเป็นเพื่อนคุยซักหน่อย" ชายแก่โวยวาย
    "ไอ้ลูกชาย ถ้าไงพ่อฝากดูแลไอ้หนูด้วยละกัน อย่าปล่อยให้หนีไปไหนล่ะไว้กลับมาจะพามันไปเปิดโลกซักหน่อย" ชายแก่พูดขึ้นแล้วจึงขี่เกวียนออกไป



    ล่วงมาถึงเที่ยงวันแล้วก็ไม่มีท่าทีที่เด็กสาวจะตื่นขึ้น ทำให้ลอยด์และลูเซียเริ่มเป็นห่วงเข้าไปปลุกก็ไม่สะดุ้งนอนนิ่งไม่ไหวติง ลูเซียลองวัดไข้ที่หน้าผากแต่ก็ไม่มีอะไรดูปกติดีทั้งคู่จึงปล่อยให้เธอนอนต่อไปโดยหวังว่าจะตื่นขึ้นมาในภายหลัง แต่กระนั้นเวลาย่างเข้าช่วงเย็นแล้วก็ยังไม่มีท่าทีตอบรับใด ๆ จากเธอ ทั้งสองเริ่มกังวลหนักขึ้นไปอีกต่างฝ่ายต่างคอยผลัดเปลี่ยนเข้ามาดูแลโดยทั้งคู่ปลอบใจกันว่าเธอคงจะเหนื่อยมากอาจต้องนอนพักนานกว่าปกติ เช้าวันถัดมาท้องฟ้ามืดครึ้ม เสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาจากหุบเขา ฝนเริ่มโปรยปรายบางตา ลอยด์และลูเซียที่คอยดูอาการของหญิงสาวมาตลอด ตอนนี้ความรู้สึกของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงจากความกังวลไปเป็นความกลัว ทั้งคู่ไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ทั้งคู่เริ่มนั่งปรึกษากัน



    "ชั้นว่ามันชักจะแปลกไปกันใหญ่แล้วนะลอยด์ ถึงจะเหนื่อยจากการเดินทางก็เถอะ แต่ถึงขั้นไม่ขยับไปไหนมาไหนเลย 1 วันเต็ม ๆ นี่มันไม่ปกติแล้วนะ" ลูเซียพูดขึ้น

    "แต่ชั้นเคยได้ยินนะว่าบางคนนอนพักผ่อนหลายวันหลายคืน พวกเราอาจจะกังวลไปเองก็ได้" ลอยด์พูดปลอบใจเพื่อให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงแต่ลูเซียก็ยังแย้งขึ้น

    "แต่นั่นก็เฉพาะทหารที่บาดเจ็บสาหัสนะ แต่นี่ไม่มีแม้แต่บาดแผลหรือรอยฟกช้ำเลย" เธออ้างเหตุผลประกอบ
    "ชั้นว่ามันต้องมีอะไรชอบมาพากลซะแล้วล่ะ"

    "ถ้าอย่างนั้นเราลองให้คนของศาสนจักรมาตรวจดูมั้ย เผื่อจะทราบอาการแปลกประหลาดนี้" ลอยด์แนะขึ้นมา
    "คนพวกนั้นอาจมีทางรักษาก็ได้"



    ทั้งสองตกลงและตั้งหน้าตั้งตาคอยคนจากศาสนจักรผ่านมา เมื่อเวลาล่วงเลยมายามเย็น ฝนฟ้ากระหน่ำรุนแรงขึ้น ฟ้าร้องดังสนั่นทั่วทุกทิศ ลอยด์ที่นั่งมองผ่านกระจกหน้าบ้านลุกขึ้นวิ่งออกไปเรียกคนของศาสนจักร หลังพูดคุยท่ามกลางฝนกันได้ซักพักทั้งสามก็เดินเข้ามาพักในบ้าน คนของศาสนจักรทั้งสองคนหนึ่งเป็นครูฝึกผู้ขจัดมาร อีกคนเป็นผู้ขจัดมารฝึกหัดที่กำลังทดสอบเลื่อนขั้น ทั้งสองใส่ชุดเกราะพร้อมอาวุธและเครื่องมือต่าง ๆ เครื่องหมายตราศาสนจักรบนผ้าคลุมยืนยันสถานะของทั้งสอง



    "ถ้ายังไงก็เข้ามานั่งผิงไฟให้ตัวแห้งซักพักนะครับ" ลอยด์เชิญทั้งสองเข้ามา
    "ผมรู้สึกโล่งใจมากเลยที่ครูฝึกเดินทางผ่านมา"

    "ถ้าไม่รังเกียจช่วยพาพวกเราไปหาเธอเลยได้มั้ย พวกเรากำลังรีบ" ผู้ขจัดมารหญิงผู้เป็นครูฝึกพูดขึ้น
    "โจนาธานไปเตรียมโฮปสำหรับรักษา แล้วรีบตามมา"

    "ครับ ครูฝึกทีเรีย"



    ผู้ขจัดมารหนุ่มรับคำสั่งครูฝึกก่อนใส่เสื้อคลุมเดินไปหยิบสำภาระนอกบ้าน แล้วจึงตามไปที่ห้อง โดยไม่มีใครสังเกตุโฮปชั้นหนึ่งที่เอวของเขาเรืองแสงขึ้น ครูฝึกนั่งตรวจดูอาการของเด็กสาว ทีเรียพยายามปลุกเธอแต่ก็ไม่มีอาการตอบสนอง



    "แปลกมากอาการเหมือนโดนแช่แข็งด้วยเวทกาลเวลา แต่กลับมีความรู้สึก โจนาธานเอาโฮปรักษามา.."



    เธอชะงักหลังจากหันไปหาลูกศิษย์แล้วเหลือบไปเห็นโฮปชิ้นหนึ่งเรืองแสงอยู่ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที ทีเรียค่อย ๆ ก้าวออกมาก่อนบอกให้ทุกคนหลบออกไป ลอยด์กับลูเซียเห็นท่าจะไม่ดีจึงเดินออกจากห้องไปตามคำแนะนำ ทีเรียค่อยเอื้อมมือเข้าไปในถุงย่ามก่อนหยิบขวดน้ำมนต์ปลุกเสกด้วยโฮป เปิดฝาแล้วเดินเข้าไปราดใส่แขนของเด็กสาว ก่อนกระโดดถอยออกมา ทั้งสองกุมดาบแน่นเตรียมพร้อม บรรยากาศนิ่งเงียบได้พักหนึ่งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กสาวนอนดิ้นไปมาแล้วค่อย ๆ เอามือเกาแขนเบา ๆ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ปกติดีแล้วทั้งสองจึงผ่อนคลายลง



    "เฮ้อ…" เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของโจนาธาน ก่อนค่อย ๆ ปล่อยมือจากดาบ "ผมล่ะตื่นเต้นซะจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเลย"

    "อย่าเพิ่งประมาทไป" ทีเรียตัดบทก่อนหันมาพูดกับโจนาธาน
    "โฮปนั่นยังเรืองแสงอยู่แสดงว่าแถวนี้ยังมีปีศาจอยู่เราต้องแยกย้า...."



    ฉึก!!



    ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำสั่งทีเรียก็รู้สึกถึงแรงกดที่ด้านหลัง ร่างกายรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เธอเห็นสีหน้าของโจนาธานซีดเผือกมือกุมดาบแน่น ก่อนค่อย ๆ ละสายตาก้มมองดูหน้าอกตัวเองเห็นคมดาบแทงทะลุอกด้านซ้ายจากข้างหลัง เลือดสีแดงเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าค่อย ๆ แผ่วงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหมดสติไปเธอได้ยินเสียง ๆ หนึ่ง



    "เราไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลานอน โดยเฉพาะกับของศักดิ์สิทธิ์ที่เราเกลียด" เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง
    "ถ้าอยากเล่นมากล่ะก็ เราจะให้เพื่อนไปเล่นแทนเอง"



    ดาบถูกดึงออกจากร่างไร้ชีวิตของผู้ขจัดมารสาว เผยให้เห็นอัศวินในชุดเกราะสีเทาดำยืน กุมดาบเปื้อนเปรอะด้วยเลือดสีแดงฉาน ภายใต้เกราะมีเงาคล้ายหมอกสีดำก่อตัวเป็นร่าง โจนาทานยืนกำดาบแน่นตั้งท่าเตรียมพร้อม พยายามตั้งสติแต่ทว่าภาพตรงหน้าเกินกว่าที่ผู้ขจัดมารหนุ่มจะรับได้ เขาเริ่มตัวสั่นเหงื่อท่วมยืนตัวแข็งขยับไปไหนไม่ได้



    "ถ้าหมดธุระแล้วล่ะก็เราจะนอนต่อล่ะ" เมลิซ่าหยิบผ้ามาห่มก่อนหันมาพูดกับโจนาธาน
    "ช่วยลาก'ไอ้นั่น'ออกไปด้วยนะ มันเกะกะ"



    สติของโจนาธานขาดสบั้นด้วยความโกรธ มือกุมดาบแน่นพุ่งเข้าไปหมายมั่นจะล้างแค้นให้ครูฝึก เขาฟาดดาบลงไปสุดแรงทว่าอัศวินปีศาจเข้ามาปัดป้องไว้ แต่เขายังไม่ยอมแพ้แล้วเริ่มจู่โจมลงไปเรื่อย ๆ เสียงฟาดฟันดังไปทั่วบ้านทำให้ลอยด์และลูเซียตื่นกลัว ถึงอยากรู้สถานการณ์แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยความกลัว



    "หนวกหู!"



    เสียงฟาดฟันดาบเงียบลงเหลือเพียงเสียงฝนพรำและฟ้าร้อง ลอยด์และลูเซียรอสักครู่ก่อนค่อย ๆ ออกมาจากที่หลบโดยทั้งคู่ค่อย ๆ เดินจูงมือกันไปยืนหน้าห้อง ทั้งสองตั้งสติรวบรวมความกล้าค่อย ๆ ยื่นมือไปผลักประตู สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือร่างของนักรบหนุ่มนอนนิ่งอยู่ที่มุมห้องลอยด์เลือดสาดกระเซ็นทั่วห้องและเด็กสาวยืนอยู่ตรงหน้าร่างโชคไปด้วยเลือด



    "เหมือนกับที่ท่านพ่อว่าไว้ มนุษย์ชอบทำตัวเสียงดังและน่ารำคาญ" เมลิซ่าค่อย ๆ เดินผ่านทั้งคู่ที่ยืนตัวสั่นด้วยความกลัว ก่อนหันกลับมา
    "ตายไปเงียบ ๆ ซะให้หมดก็ดี"



    จนกระทั่ง 4 วันต่อมาชายแก่นั่งเกวียนกลับมาในเวลาเช้ามืดพร้อมเสบียงเพื่อเตรียมฉลอง ใบหน้ายิ้มแย้มชื่นบานของเขาค่อย ๆ หายไปทันทีที่ผ่านรั้วหมู่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ชายแก่รู้สึกไม่ดีจึงรีบลงจากเกวียนก่อนวิ่งสุดแรงผลักประตูเข้าไปยังบ้านของตน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ชายแก่ค่อย ๆ เดินเข้าไปสำรวจภายในพบสภาพศพของทั้ง 4 ที่เริ่มเน่าเปื่อย ชายแก่พยายามตั้งสติก่อนฉุกคิดขึ้นได้



    "ไอ้หนู ล่ะ ไอ้หนูหายไปไหน"



    จิตใจที่หดหู่กลับราวดูมีความหวังขึ้นอีกครั้ง เขายังไม่เห็นศพของเธอแสดงว่ายังมีโอกาศที่ไอ้หนูนั่นจะยังไม่ตาย ชายแก่คิดก่อนเริ่มตะโกนเรียกเดินหาตามห้องอื่น ๆ ตามที่ซ่อนโดยหวังว่าเค้าจะพบกับไอ้หนูโดยที่ยังมีลมหายใจอยู่ ชายแก่พยายามตะโกนเรียกแล้วเรียกอีก แต่ก็ไม่มีเสียตอบรับหรือเสียงอื่นใด หลังจากค้นหาบริเวณโดยรอบอยู่นานก็ยังไม่พบ เขาเริ่มหมดหวังอีกครั้งก่อนค่อย ๆ นั่งลงบนโต๊ะที่ห้องโถง นั่งคิดถึงความหลังในอดีตก่อนเหลือบไปเห็นกระดาษใบเล็ก ๆ ที่มุมโต๊ะ ชายแก่เอื้อมไปหยิบแล้วจึงคลี่ออกดู ลายมือหวัด ๆ ที่เขียนขึ้นด้วยหมึกสีแดงเข้ม ชายแก่นั่งอ่านได้เพียงครู่หนึ่งก่อนร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น กระดาษหล่นลงพื้นคลายให้เป็นถึงข้อความ



    "ถึงท่านลุง เรารู้สึกดีมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ เพื่อนเรารู้สึกสนุกมากที่ได้เล่นกับชาวบ้าน แต่เราต้องกลับไปหาท่านพ่อแล้ว ไว้วันหน้าเราจะพาเพื่อนเรากลับมาเล่นด้วยอีก"​


    --------------------------------------------------​

    หลังจากไม่ได้เขียนอะไรมาเกือบ 5 ปี (ไว้จะไปอัพเดทตัวละครให้นะครับเร็ว ๆ นี้) ถ้ามีสำนวนอะไรแปลก ๆ ก็ช่วยติ ๆ กันมาด้วยนะครับ
    ส่วนเรื่อง "หลานชายแก่" ละไว้ในฐานที่ใครอยากจะเอาไปใช้แต่งต่อนะครับ (ไม่มีก็ปล่อยไปเป็นตัวประกอบละกัน)
    ชายแก่เพียบเลย.....Orz
  17. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    คาร์ดินัลฟรังซิสเร่งรีบเดินไปตามทางบนระเบียงหินอ่อนสีขาวของส่วนของราชวังในศาสนจักร หลังจากที่เขาได้รับจดหมายด่วนจากพระสันตะปาปาให้เข้าพบเป็นการด่วน แต่ดูเหมือนว่าคาร์ดินัลฟรังซิสเองนั้น ก็ดูจะไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่...

    คาร์ดินัลฟรังซิสหยุดยืนนิ่งใกล้ๆกับทางเดินสุดของระเบียง ซึ่งเป็นระเบียงชมวิวขนาดใหญ่ ซึ่งเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองในศาสนจักรเกือบทั้งหมด

    ณ ที่นั่น มีชายหนุ่มที่อายุอานามยังดูอ่อนวัยกว่าคาร์ดินัลฟรังซิสกำลังยืนหันหลังจ้องมองวิวที่อยู่เบื้องหน้า เพียงแต่...เขาใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาว ที่ประดับตกแต่งด้วยการปักดิ้นทองงดงามและวิจิตร และใส่หมวกมิตร์ ซึ่งเป็นหมวกรูปทรงสามเหลี่ยม ยอดหมวกแยกออกจากกัน บนหมวกนั้นประดับด้วยอัญมณีที่งดงาม ซึ่งหมวกนี้ ผู้ที่จะสวมใส่ได้ จะต้องเป็นพระระดับพระอัครสังฆราช พระคาร์ดินัล และที่ใหญ่ที่สุดคือ..พระสันตะปาปาเท่านั้น
    บนใบหน้าของเขาคือหน้ากากคาร์นิวัลสีทองประดับขนนกที่ปกปิดใบหน้าส่วนบนเอาไว้


    “ยินดีที่ได้พบกับท่าน พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์”


    คาร์ดินัลฟรังซิสโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แต่สายตายังชำเลืองมองผู้ที่ตรงหน้า


    “มีอะไรจะให้ข้าพระองค์รับใช้หรือขอรับ พระสันตะปาปาคริสโตเฟอร์”


    ชายหนุ่มยังคงหันหลังให้อย่างเช่นเคย เขานำมือมาประสานไว้ที่เอว แล้วลูบแหวนชาวประมง ซึ่งเป็นรูปนักบุญปีเตอร์หาปลาไปมา ก่อนที่จะยิ้มกรุ่มกริ่มอย่างมีเลศนัย


    “ข้าขอถามคำถามเจ้าซักข้อก่อน....ซิสเตอร์เซซีลีอา สบายดีสินะ?”


    พระคาร์ดินัลฟรังซิสแอบถอนหายใจ เขาว่าแล้วว่าคำถามนี้ต้องมาแน่ๆ เพราะไม่ว่าเขาจะมาพบกับท่านผู้นี้ทีไร..เขาจะต้องถามหาสารทุกข์สุกดิบของซิสเตอร์เซซีลีอา..ซึ่งเป็นชื่อนักบุญของซิสเตอร์อัลรอลเน่นั่นเอง


    “ตอนนี้นางกำลังทำการสอบเป็นนักเรียนประจำศาสนจักรอยู่ขอรับ ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงทุกอย่างขอรับ”


    พระสันตะปาปาหัวเราะเบาๆ ลมเย็นๆเข้ามาปะทะใบหน้าที่ขาวนวลเนียนและหล่อเหลาของร่างสูง เส้นผมสีดำขลับยาวประบ่าพลิ้วไปตามลม


    “อย่างนั้นหรอกหรือ?...แล้วการสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”


    “นางทำได้ดีตามที่คาดหวังไว้ขอรับ...ส่วนเรื่องการสอบ ได้รับรายงานมาว่า นางสอบภาคปฏิบัติผ่านพ้นไปแล้ว ท่านมิต้องเป็นกังวลไป..”


    “ข้ามิได้กังวลหรอก..นางมีพลังมากมายตั้งขนาดนั้น อืม...หึหึหึ...”


    “มีอะไรหรือขอรับฝ่าบาท?”


    “ข้ากำลังคิดว่า...ชักจะนึกอะไรสนุกๆออกซะแล้วสิ...เจ้าช่วยข้าอย่างหนึ่งได้มั้ย?”


    พระสันตะปาปาหนุ่มเรียกพระคาร์ดินัลฟรังซิสเข้าไปใกล้ นักบวชชราขมวดคิ้วเข้าหากันทันที เมื่อได้ยินคำขอร้องนั่น
    /////////////////////////////////////////////////
    อัลรอลเน่กำลังนอนอยู่ที่ห้องพยาบาล ตอนนี้นางสวมชุดซิสเตอร์สีน้ำเงินใหม่ และแผลทั้งหมดก็ถูกรักษาจนหายด้วยพลังของโฮปของหน่วยพยาบาล นางกำลังตรวจสอบดูไม้กางเขนของตนเองว่ากำลังเสียหายมากน้อยเพียงใด พลางนึกถึงเด็กหนุ่มผู้มาช่วยชีวิตนางเอาไว้

    การสอบภาคปฏิบัติเสร็จสิ้นลงแล้ว และการสอบข้อเขียนของภาควิชาเทววิทยาและปรัชญาก็กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ในขณะที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าไป

    อัลรอลเน่ชักม่านที่บังเตียงของนางไว้จากสายตาผู้อื่นออก และเดินออกไปนอกห้อง แต่ทว่านางต้องชะงักและหันมามองกับเตียงตรงข้าม ซึ่งดูเหมือนนักบวชหน่วยพยาบาลจะลืมปิดม่านเอาไว้ ทำให้มองเห็นผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงซึ่งเป็นเด็กหนุ่มท่าทางสะบักสะบอม เขากำลังดื่มยาสีเขียวอืดๆที่ดูไม่น่าลิ้มรสด้วยใบหน้าปกติ ไม่มีท่าทีพะอืดพะอมเหมือนคนไข้คนอื่นๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบกับอัลรอลเน่ยืนอยู่ที่ข้างเตียงของเขา


    “อะ...เธอคือ...”


    “ข้า...อัลรอลเน่...เจ้าคืออเล็กซ์สินะ...การสอบเป็นอย่างไรบ้างละ?”


    เสียงของนางดูนุ่มนวลผิดปกติ อเล็กซ์รู้สึกแปลกใจกับท่าทีนั้น


    “ผมยัง..ไม่ทราบผลที่แน่ชัดเลย..”


    “งั้นหรือ...แต่ว่า...ตอนนี้เจ้าเองก็น่าจะรู้คำตอบแล้วสินะ...”


    อเล็กซ์เริ่มคิด แต่ก็ต้องหยุดความคิดของตนเองไว้เมื่ออัลรอลเน่ลุกขึ้นยืน และกำลังจะเดินออกไป


    “อะ...อัลรอลเน่!”


    นางหันกลับมา...สีหน้ายังคงดูน่าหวาดหวั่นเช่นเดิม...


    “ขอบคุณมากนะ....”


    ไม่มีคำตอบกลับจากเด็กสาว มีเพียงเสียงรองเท้าของนางกระทบกับพื้นจากไปเท่านั้น

    อัลรอลเน่ก้าวออกจากห้องพยาบาล และมุ่งหน้าตรงไปยังสนามสอบสุดท้ายของนาง จนกระทั่งสายตาของนางปะทะเข้ากับสายตาของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นนางกำลังจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายมาที่นี่


    “เจ้าเองสินะ...วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย”


    อัลรอลเน่พูดด้วยเสียงเบาๆ แต่เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ในอาณาบริเวณนั้นมีผู้คนอยู่เบาบาง ทำให้วาเลียได้ยินเสียงของนางชัดแจ๋ว


    “คะ...ครับ?”


    อัลรอลเน่เดินอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ก่อนที่เริ่มถอดถุงมือออก....
    วาเลียถอดห่างนางมาก้าวหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสียแต่ร่างกายของเขามีสัญชาตญาณตอบสนองกับอารมณ์และสีหน้าจริงๆของนางในตอนนี้ แต่ทว่า...
    อัลรอลเน่ยื่นมือออกมา วาเลียสังเกตเห็นมือของนางสั่นนิดๆ ก่อนที่เขาจะเอียงหัวแบบสงสัย


    “ขอบคุณ....”


    “เอ๊ะ?”


    “ขอบคุณที่มาช่วยข้าเอาไว้...ถ้าไม่ได้เจ้า..ป่านนี้ข้าคงจะโดนเจ้าเส็งเคร็งนั่นทำอะไรไปก็ไม่รู้...
    ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าชื่อ อัลรอลเน่ ลักซ์เชี่ยนวาเลนติโน่ ยินดีที่ได้รู้จัก จากนี้ไปขอฝากตัวด้วย”


    เสียงของนางนิ่งสงบเสียจนน่ากลัว แต่ดูเหมือนจะจริงใจ ท่าทางแบบนั้นทำให้วาเลียผงะไปชั่วครู่ ก่อนที่จะจับมือที่นุ่มนิ่มขัดกับชีวิตประจำวันของนางที่ต้องจับอาวุธมาเหวี่ยงเล่น (ซึ่งมันทำให้มือด้าน) วาเลียหน้าแดงแบบเขินอาย


    “ผม..วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”


    วาเลียเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม เขาพยายามกลั้นหายใจไว้สุดฤทธิ์ด้วยกลัวว่า การสัมผัสมือตรงๆเช่นนี้ อาจจะทำให้ความแตกได้...


    “ข้าต้องขอตัวก่อน ข้ามีสอบวิชาสุดท้าย หวังว่าวันเปิดเรียน เราจะได้พบกันอีก”


    อัลรอลเน่ปล่อยมือวาเลียและสวมถุงมือ ก่อนที่จะโค้งนิดๆและเดินอย่างรวดเร็วจากไป ปล่อยให้วาเลียยืนเหงื่อแตกพลั่กอยู่ตรงนั้นคนเดียว
    วาเลียเริ่มออกเดินไปอีกทาง ก่อนที่เขาจะรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา...

    ชายหนุ่มผมดำยาวประบ่า สวมชุดพระคาร์ดินัลสีแดงเลือดหมูเดินสวนทางเด็กหนุ่มไป ระหว่างที่สวนทางกันนั้น สายตาของเด็กหนุ่มของหันไปพบเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของคาร์ดินัลหนุ่มผู้นั้นเข้าพอดี...รอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยนั่น...รวมถึงสัมผัสของเขานั่น แตกต่างไปจากที่วาเลียเคยพบเจอ...
    //////////////////////////
    อัลรอลเน่นั่งอยู่ในห้องสอบ เมื่อข้อสอบวางอยู่บนโต๊ะแล้ว นางก็เริ่มอ่านโจทย์ข้อแรก และหมุนปากกาขนนกในมือเล่น ผู้เข้าสอบสายวิชานี้ดูเหมือนจะมีเบาบางเพราะเป็นวิชาที่มีผู้ให้ความสนใจน้อย ทุกคนดูเริ่มจะกระอักกระอ่วนกับข้อสอบที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง

    เวลา5นาทีผ่านไป.....

    อัลรอลเน่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับข้อสอบ นางเดินตรงไปยังโต๊ะผู้คุมสอบซึ่งเป็นหญิงสาวก่อนที่จะวางกระดาษคำตอบลงบนโต๊ะและเดินออกจากห้องสอบไปท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
    เด็กสาวเดินออกมาได้ไม่นาน นางก็แทบจะเบรกไม่อยู่ สีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะหันกลับและเดินไปทางที่เดินมาเพมื่อพบเห็นใครบางคนโบกมือให้ตรงหน้า


    “จะไปไหนน่ะ ซิสเตอร์เซซีลีอา”


    เสียงที่ดูขี้เล่นนั้นทำให้เส้นเลือดบนหัวของอัลรอลเน่ผุดขึ้นมา และเมื่อเสียงฝีเท้านั้นเดินตามมาด้วย นางก็เร่งความเร็วในการเดินของนางจนเกือบจะวิ่งหนีเลยทีเดียว


    “เฮ้ ! หยุดก่อนสิ อัลรอลเน่!”


    ในที่สุดชายหนุ่มคนนั้นก็ใช้เฮสท์ หรือเวทย์เพิ่มความเร็วระยะสั้นๆมาหยุดตรงหน้าอัลรอลเน่ นางจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ


    “มีอะไร..พระคาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร”


    “อย่าเรียกกันแบบห่างเหินแบบนั้นสิ ...อัลรอลเน่”


    อัลรอลเน่จ้องมองไปรอบๆ บริเวณนี้มีผู้คนมาก พวกเขาหันมามองทั้งคู่เป็นตาเดียว นางรู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง


    “....ขออภัยค่ะพระคาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร ข้ากำลังรีบ”


    อัลรอลเน่เดินตัดไปยังทางเดินที่เริ่มร้างผู้คน ตอนนี้ฟ้ามืดมาค่อนข้างมากแล้ว นางจะต้องกลับไปรายงานผลให้กับคาร์ดินัลฟรังซิสทราบ และช่วยเหลืองานของท่าน แต่...คาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดรกลับใช้เฮสท์มาหยุดตรงหน้านางอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้มือยันกำแพงเอาไว้สายตาจ้องมองลงมาที่อัลรอลเน่ที่ตอนนี้เหมือนแมวที่กำลังพองขน

    นางกำลังนึกถึงอดีต ในวันที่นางได้พบกับเขาครั้งแรก...
    อเล็กซ์ซานโดร เป็นนักบวชหนุ่มไฟแรงที่ถูกเรียกว่าคาสโนว่าแห่งศาสนจักรที่ชวนน่าปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างน่าที่สุด แต่เนื่องจากว่าเขามีความรู้เป็นเลิศในด้านเทววิทยาและปรัชญา รวมถึงพลังแปลกประหลาดของเขาที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับ เขาก็ถูกคัดเลือกให้ขึ้นมาเป็นพระคาร์ดินัลได้ในอายุแค่23ปี ซึ่งนับว่าน้อยมากหากเทียบกับพระรูปอื่นๆที่มีอายุ45ปีขึ้นไปกันหมด

    ตั้งแต่ที่อัลรอลเน่เข้ามาในศาสนจักร เขาก็พยายามเข้ามาตีซี้กับนาง ซึ่งผลก็ตามที่คาด...ถูกอัลรอลเน่เกลียดไปเรียบร้อยแล้ว...


    “...เจ้ากำลังทำบ้าอะไร ซานโดร?”


    “ข้าก็แค่รู้สึกคิดถึงเจ้าเท่านั้นเองอัลรอลเน่...”


    ซานโดรใช้นิ้วของอีกมือหนึ่งเขี่ยผมของอัลรอลเน่เล่น นางสะบัดหัวอย่างเสียอารมณ์ และผลักตัวของชายหนุ่มไปอีกทาง


    “ไปให้พ้น...ข้าไม่ชอบคำพูดของเจ้าแบบนั้น..ซานโดร”


    “เจ้านี่ก็ยังทำตัวปากไม่ตรงกับใจอยู่เรื่อย ข้าเห็นว่าเจ้าทำสีหน้าเคลิ้มเวลาข้าจับผมเจ้านะ”


    ความเงียบเข้ามาปกคลุมทันที...ซานโดรยังคงยิ้มกริ่มอยู่ตรงนั้น ในชณะที่อัลรอลเน่ค่อยๆหันหน้ามา


    “ข้ายังไม่อยากฆ่าใครตายในศาสนจักรแห่งนี้ เจ้าช่วยไปให้พ้นๆข้าเสียทีจะได้มั้ย”


    “โธ่...อัลรอลเน่..เจ้าจะ”


    “ข้าบอกว่าไปให้พ้น!!”


    “อัลรอลเน่..เดี๋ยว..ฮะ..เฮ้ย!”


    สิ้นเสียงของซานโดร เขาก็สะดุดชายผ้าคลุมของตนเองหน้าคะมำ เขายื่นมือไปหาอัลรอลเน่ ซึ่งนางกำลังวิ่งมารับตัวของเขาเข้าพอดี

    ......ความเงียบเข้ามาปกคลุมอย่างยาวนาน มือของซานโดรตอนนี้กำลังวางอยู่บนหน้าอกของอัลรอลเน่เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นโครมครามของนาง ...มันใช่ความรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่านะ...

    แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเด็กสาว..ก็พบว่าเขาคิดผิด....

    เผียะ!!!!!!

    //////////////////////////////////////////////////

    แต่งด้วยความเร็วสูง...เพราะตอนนี้ความคิดกำลังแล่น...กำลังคิดว่าแต่งไว้ตอนนี้ก่อนก็ดี...ก่อนที่อารมณ์ในการแต่งฟิคจะหายไปอีก orz"
  18. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    “ฮัก.... ฮัก....”

    ไลติโอ้หอบอย่างเหนื่อยอ่อน เขากำลังวิ่งหนีใครบางคน ใครบางคนที่คิดจะฆ่าเขา ใครบางคนที่อยู่ในความมืด

    “ทำ.ไมต้องไล่..ฆ่าผมด้วย!” ไลติโอ้ตะโกนถามแม้จะเหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง

    “ถามพ่อของเจ้าสิ! เพราะมัน ข้าถึงไม่สามารถยึดเมืองทวินเกลได้!!” เสียงอันเกรี้ยวกราดตะโกนตอบกลับมาจากในความมืด

    “ทำไมต้อง.เข้าทำลายเมืองทวิน..เกลด้วยล่ะ ฮัก.. ฮัก. พวก..นายก็อยู่อย่าง..สงบในเขตของ..นายได้นี่” ไลติโอ้ตะโกนตอบโต้ ความมืดทำให้เขามองไม่เห็นสิ่งใดๆรอบตัว แต่ถ้าเกิดเขาหยุดเท้าลงก็คงไม่พ้นต้องถูกสังหารแน่ เขาจึงยังคงวิ่งต่อไป

    “เฮอะ ทำไมข้าต้องไปญาติดีกับพวกมัน แค่กับเจ้าคนเดียวก็เกินทนแล้ว! และถ้าข้าฆ่าเจ้าแล้วเอาศพเจ้าไปทิ้งที่เมืองมนุษย์ อยากจะรู้นัก พ่อของเจ้าจะยังคงปกป้องเมืองทวินเกลอีกไหม?”

    “ทำไมนาย.. เฮ้ยยยย!” ไลติโอ้อุทาน เท้าของเขาก้าวเข้าไปในอากาศ ทำให้ร่างของเขาร่วงลงไปในความมืดมิดทันที

    “อ๊ากกกก!!!!”

    ไลติโอ้ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง เหงื่อเม็ดเป้งกระจายไปทั่วทั้งใบหน้าและทั่วทั้งตัวของเขา

    “ที่นี่....” ไลติโอ้หันไปมองรอบๆ เขานั่งอยู่บนเตียงสีขาวหลังหนึ่งในห้องที่ดูสีหม่นๆ ประตูห้องเปิดอ้าอยู่ น่าจะเพราะเมื่อคืนเขาไม่ได้ปิดมัน ‘จริงสิ ห้องพักในศูนย์สอบสินะ แล้วเมื่อกี้....’

    “ไลติโอ้! เป็นอะไรหรือ ร้องเสียงหลงเชียว!” อเล็กโผล่หน้าเข้ามาทางประตู เขากำลังนอนอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่ได้มาพร้อมกับคณะที่เขาสอบติดอยู่ที่ห้องข้างๆ พอเขาได้ยินเสียง เขาจึงรีบวิ่งมาดู

    “มะ.. ไม่มีอะไรครับ” ไลติโอ้ตอบ ฝันแปลกๆแบบนี้ คงไม่เหมาะที่จะเล่าให้ใครฟังหรอก

    “ฝันร้ายสินะ.. เอาเถอะ นี่ก็เช้ามากละ ไปอาบน้ำแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า” อเล็กพูดขึ้น ก่อนจะเดินผ่านหน้าประตูไป

    “ฝันร้าย.. อย่างงั้นหรือ?”

    ----------------

    แกร๊ก

    เสียงลงกลอนดังขึ้นตรงประตูห้องน้ำแห่งหนึ่งที่ปราศจากผู้คนเข้าไปใช้สอยในศูนย์สอบ วาเลียยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่บานหนึ่ง แม้กระจกจะไม่เที่ยงตรงมาก แต่ก็สะท้อนภาพออกมาได้ค่อนข้างชัดเจน

    ‘วันนี้แล้วสินะ ที่เราจะต้องไปที่ไลท์เกรซ’ วาเลียคิดในใจ เขายกมือขึ้นมาดูพร้อมทั้งปล่อยไอปีศาจสีม่วงแดงจางๆออกมา ‘ในเขตแดนนี้ ไอปีศาจไม่สามารถใช้ได้มาก ถ้าเข้าใกล้ไลท์เกรซมากกว่านี้ ก็คงใช้ไอปีศาจไม่ได้เลย ถ้าเจ้าพวกอาราบิซาเรียใช้ให้มนุษย์เก่งๆมาตามจับเราล่ะ ด้วยพละกำลังและพลังเทเลคิเนซิสที่เรามี จะเอาตัวรอดไหวไหมนะ.. เฮ้อ....’ วาเลียถอนหายใจ

    โครม!!

    เสียงประตูถูกทำลาย ทำให้วาเลียสะดุ้งเฮือก ซึ่งก็ทำให้ไอปีศาจที่เขาปล่อยออกมาอย่างเบาบางนั้นสลายไปสิ้น

    “อ้าว วาเลีย.. เจ้านี่เอง” เสียงที่ดังขึ้น บ่งบอกถึงผู้ที่ทำลายประตูเข้ามา วาเลียค่อยๆหันหลังกลับช้าๆ แน่นอน อัลรอลเน่ยืนอยู่ในท่าถีบ ซึ่งก็น่าจะเป็นต้นเหตุของเสียงและสภาพประตูที่กลายเป็นเศษไม้กองอยู่ที่พื้นนั่นเอง

    “เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” อัลรอลเน่เดินเข้ามาหาอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งๆที่เธอกำลังก้าวล่วงเข้าสู่ห้องอาบน้ำชาย “ข้าว่าข้ามีลางว่ามีปีศาจอยู่ในห้องน้ำห้องนี้นะ หรือเจ้ากำจัดไปแล้ว” คำว่าปีศาจทำเอาวาเลียสะดุ้งโหยง ยังดีที่อัลรอลเน่มัวแต่มองไปรอบๆ จึงไม่ทันสังเกต

    “มะ..ไม่มีหรอกครับ ปีศาจอะไรนั่น ผะ..ผมก็แค่กำลังฝึกใช้ความสามารถเทเลคิเนซิส เพื่อควบคุมเรย์เซเบอร์จากระยะไกลก็แค่นั้นเอง” วาเลียพยายามอย่างมากเพื่อจะแถออกจากเรื่องปีศาจ

    “โห เจ้าสามารถทำได้ขนาดนั้นเชียว เจ้านี่เก่งเกินกว่าที่ข้าคาดไว้จริงๆ” อัลรอลเน่ชมด้วยเสียงที่เหมือนจะทึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาวาเลีย ซึ่งนั่นก็ทำให้วาเลียก้าวถอยหลังตามไปด้วย

    “เอ่อ ไม่หรอกครับ ผมมันก็แค่.. อ๊ะ!!” สบู่เจ้ากรรมที่ไม่รู้ไปตกอยู่บนพื้นได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ วาเลียเหยียบมันเข้าไปเต็มๆ วาเลียลื่นล้มเซไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

    “ระวัง!” อัลรอลเน่รีบพุ่งเข้ามาพยุงร่างของวาเลียไว้ แต่ด้วยน้ำหนักและแรงเหวี่ยง ก็ทำเอาอัลรอลเน่เซไปทีเดียว

    “ขอบคุณมากครับ คุณอัลรอลเน่ ที่ช่วยผม ไม่งั้นผมคง แว๊ก!” วาเลียกล่าวขอบคุณยังไม่ทันจบ กลับต้องร้องเสียงหลง

    “เป็นอะไรไปหรือ?” อัลรอลเน่ถาม แต่เมื่อมองสีหน้าของวาเลียแล้ว จึงหันควับไปทางหน้าประตู และได้พบว่าทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของไลติโอ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพอคิดถึงสถานที่และสภาพของทั้งสอง อัลรอลเน่ก็พลอยหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆกันกับวาเลีย

    “....” ไลติโอ้นิ่งเงียบ ก่อนที่จะหันหน้ากลับแล้วออกเดินต่อไป

    ทั้งสองรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำและตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ไลติโอ้นาย/เจ้าหยุดก่อนเลย!”

    ตุ๊บ

    เสียงบางอย่างตกลงบนพื้นในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ทั้งสองหันหน้าไปทำให้ต้องหันกลับมาดู อเล็กยืนตัวแข็งทำหน้าตาแปลกๆ หนังสือของเขาหลุดจากมือลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้างๆ ยังมีสาวน้อยอีกคนหันไปมองป้ายหน้าห้องน้ำอยู่ เวิร์ดนั่นเอง

    เวิร์ดหันหน้ากลับมามองทั้งสองแล้วพูดว่า “แม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจสถานการณ์ซักเท่าไหร่ แต่ฉันว่า ไม่ว่าจะรีบอย่างไร ก็ไม่ควรเข้าห้องน้ำผิดนะคะ คุณอัลรอลเน่”

    “พวกเธอ/เจ้าเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!!” ทั้งสองตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

    ----------------

    บ้านสีขาวขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทะเลสาบ หญิงงามคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ที่ทำจากตอไม้ ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ข้างๆ พระสันตะปาปาคริสโตเฟอร์ก็นั่งจิบชาอยู่ด้วยเช่นกัน

    “เราได้ยินข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องปีศาจจากหลายๆที่ ท่านคิดว่ายังไงบ้าง” หญิงงามเอ่ยขึ้น หลังจากนางได้วางแก้วชาลงบนโต๊ะไม้

    “ทางเราได้เตรียมการไว้พร้อมเสมอครับ เพียงแต่ว่า ข่าวคราวล่าสุดนั้น ในหลายๆเมือง ได้พบมังกรขนาดใหญ่บนท้องฟ้าทั้งๆที่ไม่เห็นว่ามันบินมาจากทางไหน แถมแค่แว๊บเดียว ก็หายไปแล้ว ดังนั้นอาจจะเป็นแค่ข่าวลือ หือ..” คริสโตเฟอร์หันออกไปมองที่ท้องฟ้าเนื่องจากสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

    “พอกล่าวถึง ก็มาทันที” หญิงงามเอ่ยขึ้น “ขอเชิญท่านปรากฏกายจะได้ไหม?”

    ทันใดนั้นเอง เกิดกระแสลมพัดออกมาโดยรอบ มังกรสีเงินตัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าณ.ตำแหน่งที่คริสโตเฟอร์จ้องมองพอดี

    “ท่านมาดีหรือมาร้าย?” หญิงงามกล่าวขึ้น หลังจากยกน้ำชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย

    “ข้าไม่ได้มีธุระอะไรกับพวกเจ้า เพียงแต่ข้าแปลกใจที่สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลจากพวกเจ้าทั้งสอง จึงแวะมาดู” มังกรเงินเอ่ยตอบ

    “เจ้ามีธุระอะไร? แล้วทำไมถึงทะลวงเข้ามาถึงศูนย์กลางเมืองนี้ได้?” คริสโตเฟอร์เอ่ยถามขึ้น ก่อนจะเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าของเขาเริ่มขรึมขึ้น ดูท่าเขาคงเตรียมหาวิธีรับมือ

    “หยาบคาย” มังกรเงินเอ่ยขึ้น ทันใดนั้น เสาน้ำแปดต้นก็ปรากฏขึ้นโดยรอบตัวคริสโตเฟอร์ ทว่า เขาก็ระวังตัวอยู่แล้ว เวทย์เฮสถูกร่ายออกมาในทันใด เขาจึงรอดจากการถูกกักไว้ได้

    “น่าสนใจ” มังกรเงินเอ่ยขึ้นอีก ก่อนจะหันกลับไปทางหญิงงาม “แล้วเจ้าจะไม่ช่วยเหลือชายผู้นี้หรือ?”

    “ไม่จำเป็น! อย่างเจ้า ไม่ต้องถึงมือของท่านมาเรียหรอก!” คริสโตเฟอร์ตะโกนใส่ หลังจากถูกเมินใส่อย่างจัง

    “เจ้าว่าอะไรนะ” ได้ผล มังกรเงินหันกลับมาหาคริสโตเฟอร์ทันที “นั่นหรือมาเรีย แต่นั่นไม่ใช่ไลท์เกรซนี่”

    “ท่านมาเรีย ไลท์เกรซ ได้เสียไปนานแล้วค่ะ ดิฉันนับเป็นรุ่นที่สาม” หญิงงามเอ่ยปากขึ้น “แล้วท่านมีธุระอะไรหรือ?”

    “ฮ่า อย่างนี้สิ ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อย” มังกรเงินหันกลับไปตอบมาเรีย “ข้ามาตามหาลูกของข้า คาดว่าน่าจะหลงบินเข้ามาในเขตมนุษย์ แต่ก็หาไม่เจอซักที กลับมาเจอพวกเจ้าแทนซะนี่”

    “เดี๋ยว เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะว่าเจ้าฝ่าอำนาจของโฮปเข้ามาได้ยังไง” คริสโตเฟอร์ยังต้องการฟังคำตอบนี้ เพราะขอบเขตของโฮปถือเป็นไพ่ใบสำคัญที่ปกป้องมนุษย์จากเหล่าปีศาจ แต่ถ้าถูกบุกรุกเข้ามาได้ถึงขนาดนี้ คงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

    “เจ้านี่ช่างหยาบคายนัก กับปีศาจตัวอื่นๆอาจจะไม่สามารถต่อต้านอำนาจของโฮปนี้ได้ แต่กับพวกข้า อย่าหวัง” มังกรเงินหันกลับไปตอบคริสโตเฟอร์อย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันกลับมาคุยกับมาเรีย “เจ้าคือผู้สืบทอดของมาเรียสินะ”

    “ค่ะ” มาเรียตอบ

    “รู้หรือไม่ อำนาจของโฮปเริ่มตกลง ปีศาจบางตัวเริ่มเล็ดรอดเข้ามาได้แล้ว จงจำไว้ เจ้าต้องตั้งจิตให้เปี่ยมไปด้วยความหวัง ซึ่งนั่นจะเสริมอำนาจของโฮปที่เจ้าถือให้มากขึ้น”

    “ทำไมท่านถึงรู้ได้..” มาเรียถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

    “ก็ลองไปปลุกไลท์เกรซขึ้นมาถามสิ” มังกรเงินตอบ ก่อนจะขยับปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า “ข้าจะกลับไปทำธุระของข้าก่อน ซักวัน เราคงได้พบกันใหม่” แล้วร่างของมังกรเงินก็หายลับไป

    “ช่างเป็นปีศาจที่น่ากลัวยิ่ง” คริสโตเฟอร์เดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้เช่นเดิม “ถึงกับฝ่าอำนาจโฮปเข้ามาได้ถึงจุดนี้”

    “มิได้หรอก” มาเรียเอ่ยขึ้น “นั่นอาจจะไม่ใช่ปีศาจธรรมดาก็ได้”

    “บางที.. คงเป็นจตุรเทพ”

    ----------------

    ในที่สุด ผมก็หาโอกาสค่อยๆแพลมอดีตของไลติโอ้ได้ซักที

    เรื่องราวในตอนนี้คือ หลังสอบเสร็จ+ประกาศผล เรียบร้อยแล้วนะครับ ไม่ได้กำหนดว่า ผ่านไปกี่วัน+สอบผ่านกี่คน เผื่อว่า ใครอยากแทรกเข้ามา ก็จะได้เข้ามาง่ายๆ(แต่กำหนดแล้วว่าจะไปไลท์เกรซวันนี้ ไม่งั้นเรื่องไม่เดินซักที)

    สร้างเรื่องให้แต่ละคนได้คุยกัน(จริงๆคือสร้างเรื่องให้วาเลีย+อัลรอลเน่ต้องแก้เรื่องเข้าใจผิดกับทุกคน) ใครแต่งต่อ อยากสร้างความสัมพันธ์ยังไง กับใคร ได้โอกาสแล้ว

    ปล. และแล้วผมก็เอาจตุรเทพมายำจนได้ ฮา
  19. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ว่าแล้วเชียว เป็นอย่างที่คาดจริงๆด้วยสินะ >_<

    ปล. แต่หนึ่งในจตุรเทพเป็นมังกรฟ้าไม่ใช่มังกรเงินนี่?
  20. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Kingdom of Moraria​

    Debris​


    ก่อนสงคราม เมืองชายฝั่งริมทะเลแห่งนี้ เคยได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกเอกแห่งทะเลไครเมีย ด้วยทัศนียภาพที่ชายหาดสีขาว ทะเลสีเขียวมรกต และเทือกเขา ยูราล ที่อีกด้านหนึ่งของเมือง หลังจากการก่อสร้างทางหลวงเชื่อมทวีปการเดินทางที่เคยใช้เวลา 2ชั่วโมงในการนั่งเรือ ก็ลดลงเหลือเพียง 25นาทีด้วยรถไฟความเร็วสูง เมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารทะเลรสเลิศ และ โรงแรมระดับห้าดาว


    ทว่าในช่วงของสงคราม pandora นั่นเอง ในฐานของเมืองหน้าด่านท้ายๆของเผ่าพันธ์มนุษย์ คลื่นของผู้อพยพมหาศาลก็หลั่งไหลมารวมกันยังเมืองเล็กๆแห่งนี้ ป้อมปราการดั้งเดิมที่ถูกต่อเติมด้วยอาวุธจำนวนมากเท่าที่กองกำลังในตอนนั้นจะรวบรวมมาได้ แนวสันเขาเกือบทั้งหมดกลายสภาพเป็นป้อมปราการยาวร่วม 3กิโลเมตร แหล่งที่อยู่อาศัยเกือบทั้งหมดกลายสภาพเป็นชุมชนแออัดในเวลาไม่กี่เดือน เรือทุกประเภททุกสัญชาติต่างมาเทียบชายฝั่งแสนสวยลำแล้วลำเล่า มีเรือจำนวนไม่น้อยหลังสงครามที่กลายสภาพเป็นชุมชนย่อยๆไป



    หลังสงคราม ด้วยสภาพของเขตแดนและผู้ปกครองหน้าใหม่ๆ กับการปรากฏตัวของปีศาจ ทำให้เมืองแห่งนี้กลายสภาพเป็นเมืองปราการหน้าด่านไปโดยปริยาย การเข้ามาประจำการของทหารรักษาศาสนจักรและเอ็กโซซิต์กลายเป็นความเคยชินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าด้วยระบบการค้าแบบเดิมนั้นไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป ชาวเมืองและผู้อาศัยใหม่ต่างจำต้องหันไปหาอาชีพที่พอจะทำได้เพียงอย่างเดียว การจัดการกับขยะก่อนยุคสงคราม เหล็กที่จำเป็นต่อการทำอาวุธ ทั้งดาบและปืนใหญ่ เครื่องนุ่งห่มที่จำเป็นจากบรรดาเส้นใยจากอะไรก็ตามที่สามารถหาได้


    ทว่าความเปลี่ยนแปลงเล็กๆบางอย่างนั้นเริ่มขึ้น ในช่วงของความสงบกว่า20ปี แม้จะยังมีการปะทะประปรายกันทุกปี แต่ผลจากระดับการคุกคามที่ต่ำ ก็ส่งผลกระเทือนไปถึงระดับการตัดสินใจของผู้นำกองทัพ ระดับการเฝ้าระวังในระดับสูงที่เคยมีมาก่อนก็ลดลงจนเหลือเป็นเพียงการลาดตระเวณในระดับต่ำ และด้วยว่าไม่มีเหตุการณ์การรุกรานขนาดใหญ่ ของปีศาจมานานแล้ว แม้แต่ระดับเอ็กโซซิสต์เอง ก็ลดจากระดับแนวหน้าแล้วหันมาใช้เหล่าลูกเจี๊ยบทั้งหลายแทน แล้วเน้นผู้ชำนาญการไปยังแนวหน้าอื่นๆที่รุนแรงมากกว่านี้



    เด็กชายยืนมองจากเรือบดลำน้อย พื้นที่ริมชายฝั่งที่ทอดตัวยาวจากตะวันออกไปตะวันตก สันดอนทรายยาวหลายกิโลเข้าไปในแผ่นดิน เรือสินค้าสีสนิมใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ล่ะลำเกยกับพื้นทราย โดยมีสิ่งที่เหมือนสะพานไม้ลอยน้ำเชื่อมแต่ละลำเอาไว้ เรือบดของเขาเองก็เข้าเทียบกับท่าที่อยู่ใกล้ที่สุด ด้วยว่าระดับน้ำไม่สูงพอที่เรือบดจะผ่านไปได้

    "เฮ้อแบบนี้คงต้องเดินอย่างเดียวสินะ" ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่ตัวเขาและผู้ติดตามจะเริ่มออกเดิน ไปตามสะพานไม้

    การเดินทาง20นาทีนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเดินเที่ยวจะถูกกว่า เพราะเด็กน้อยดูสนอกสนใจเรือที่อยู่ตามริมทางไม่น้อย เรือหลายลำนั้นเห็นชัดว่ามีชุมชนสร้างขึ้น บางลำนั้นก็กลายสภาพเป็นสวนปลูกผัก บ้างก็กำลังโดนชำแหละเพื่อนำไปใช้ทำอะไรก็ตาม ควันจากปล่องไฟเหล็กของเรือคอนเทนเนอร์บ่งบอกว่ามีโรงงานย่อมๆอยู่บนซากเรือพวกนั้น หากว่ากันตามจริงส่วนของตัวเมืองเดบลิส โดยเฉพาะเขตอุตสาหกรรมนั้น ตั้งกันอยู่ในบริเวณซากเรือเหล่านี้นี่เอง โดยส่วนของเมืองที่อยู่บนฝั่งนั้นทำหน้าที่เป็นเพียงที่อยู่อาศัย กับ ซากปรักหักพังที่ใช้การอะไรไม่ได้


    ทว่าการปรากฏตัวของพวกเขานั้นใช่ว่าจะไม่ถูกจับตามองจากคนที่เห็น ยิ่งพวกเขา (ตัวเด็กชายและเด็กหนุ่มสองคน) อยู่ในชุดที่แปลกตาขัดกับชาวบ้านทั่วไปยิ่งนัก ชุดสูทสีดำทั้งตัวนั้นมิใช่ของแปลกก็จริง แต่จากสภาพที่รีดเรียบ กับรองเท้าหนังดำมันเงา และ ถุงมือดำนั้น มันพอจะดึงดูดสายตาของคนได้จำนวนหนึ่ง แต่เป้นกลุ่มของชายติดอาวุธจำนวนหนึ่งที่ เตือนให้เด็กหนุ่มก้าวออกมากันเด็กชายเอาไว้จากคนกลุ่มดังกล่าว

    "หยุดก่อนคนแปลกหน้า แจ้งจุดประสงค์การมาของพวกเจ้าด้วย" คำเตือนนั้นเรียบง่าย แต่อาวุธปืนที่เล็งมาทางเขานั้นบอกถึงความเอาจริงได้ชัด

    "พวกเรามาหาท่านเจ้าเมือง พวกท่านช่วยพาเราไปได้ไหม เรามาติดต่อเรื่อง เนื้อสด" เด็กหนุ่มตอบกลับไป

    ชายเหล่านั้นมองหน้ากันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าจะผยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงเข้าใจ

    "ก็ได้ งั้นตามมา แต่อย่าทำอะไรโง่ๆล่ะ" น้ำเสียงไม่บอกเจตนา แต่แววตานั่นเตือนไว้ล่วงหน้า เด็กชายดูจะชอบพอมนุษย์แบบนี้ไม่น้อย


    การเดินทางมายังที่ทำการของผู้ว่าการเมืองนั้น ใช้เวลาไม่นานนัก แต่เป็นสิ่งก่อสร้างอีกอย่างที่เด็กชายมักจะชอบยืนมองอยู่เสมอๆ เสาตอม่อของสะพานแขวนขนาดใหญ่ เสาที่พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมือง สิ่งที่เคยเป็นตัวรองรับ ทางหลวงข้ามทวีประหว่าง เดบลิสและโมราเลีย แต่ด้วยความสิ้นคิดของผู้นำทหารในช่วงสงคราม จึงนำมาสู่การทำลายสะพานทิ้งเพื่อไม่ให้ปีศาจใช้เป้นเส้นทางรุกราน สิ่งนั้นยังทำให้เด็กชายอารมณ์ขุนมัวได้เสมอๆที่เขามายังเมืองนี้

    "ท่านโครโนสครับ?" ผู้ติดตามของเขาเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของเขา

    "หืม? อ๋อไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ความหลังแย่ๆน่ะครับ" แม้หน้าจะยิ้ม แต่น้ำเสียงนั้นไม่ยิ้มตามไปด้วย


    อาคารที่ทำการของเมืองนั้นตั้งอยู่บริเวณ ไม่ห่างจากตัวปราการของเมืองมากนัก และอยู่เยื้ยงไปไม่ไกลจากส่วนของประตูกั้นช่องเขา ที่นี่เส้นทางหลักที่ใช้ทางด่วนในสมัยก่อน ทางด่วนทวีป M5 ที่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางด่วนข้ามทวีป แต่บัดนี้เป็นเพียงเส้นทางเดินทางตรงระหว่างเดบลิสกับเมืองหลวง และที่บนนี้นี่เอง ป้อมปราการที่ดัดแปลงจากอาคารที่ทำการในอดีตได้ตั้งอยู่ เคียงข้างกับประตูแห่งเดบลิส ทางเชื่อมที่กั้นระหว่างเมืองชายแดน กับ ช่องเขา โรรัน


    การรักษาความปลอดภัยนั้นเข้มงวด ทว่าด้วยการที่ผู้มานั้นเป็นเพียงวัยรุ่นและเด็กชาย ทำให้ทหารที่เป็นพลเรือนอาสาดูจะผ่อนท่าทีลงไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับเอ็กโซซิสต์ แม้เท่าที่เห็นจะเพียงระดับฝึกหัด ที่มีหัวหน้าเป็นผู้ชำนาญการ แต่ก็แค่ระดับทหารชายแดนเท่านั้น มิใช่พวกเชี่ยวๆแบบในเมืองหลวง กระนั้นสิ่งที่เด็กชายและผู้ติดตามทำก็แค่ยิ้มให้คนเหล่านั้น ก่อนจะเดินผ่านไปโดยไม่มีเหตุปะทะใดๆ แน่ล่ะว่าไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่า กลุ่มคน(?)ที่พึ่งเดินผ่านไปนั้นไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นท่าทีของคนที่ดูจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา ที่ออกมือห้ามมิให้คนของตนทำการวู่วาม เพราะรู้ในระดับที่ต่างกันเกินไปของอีกฝ่าย


    "ท่านโครโนสครับ คนพวกนั้น"

    "อ่าไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเขาก็แค่ทำตามหน้าที แน่ล่ะว่าผมก็มาทำตามหน้าที่เหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่ รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวคุณลุงเขาจะรอนานไป"


    กล่าวถึงตำแหน่งเจ้าเมืองเอง เจ้าเมืองคนปัจจุบันของเมือง หากจะนับกันจริงๆแล้ว ในสมัยก่อนหน้าที่แกจะมาทำงานนี้ แกนั้นเคยเป็นผู้ทำการค้าส่งทางทะเลรายใหญ่มาก่อน และด้วยตำแหน่งนั้นเองที่แกสามารถใช้เส้นสายในการส่งตัวเองขึ้นมาเป็น เทศมนตรีประจำเมืองนี้ได้ กระทั่งการมาถึงของปีศาจและหลังจากนั้น ด้วยเหตุผลไม่ค่อยโปร่งใสบางประการ แกก็ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งเดิมได้ต่อไป แม้ทางศาสนจักรจะส่งทหารและเอ็กโซซิสต์ หรือ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบมาประจำที่เมืองแล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่แกอยู่ในตำแหน่งมานาน การใช้เส้นสายหรือการติดสินบนเลยกลายเป็นวิธีประจำที่แกมักใช้เพื่อ เจ้าหน้าที่ทำเป็นหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมือง


    หลังจากการโต้ตอบระหว่างผู้นำทางกับผู้เฝ้าทาง คณะของเด็กชายก็ได้เข้าพบกับท่านเจ้าเมือง ที่สวนกอล์ฟส่วนตัวของแก ชายร่างสูงในวัย 60ปลายๆ กุลีกุจอเข้ามาป้อนรับเด็กชายอย่างออกท่าทาง ก่อนจะเชื้อเชิญให้เด็กชายและผู้ติดตาม ตามตนไปยังส่วนของห้องโถงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก


    เนื้อสดนั้นเป็นคำที่เด็กชายชอบใช้เรียก ผู้ที่ต้องการจะทำสัญญาทั้งหลาย บ้างได้ข่าวจากที่ลือกันมาอีกทอด บ้างก็ได้ข่าวจากผู้ทำสัญญาเอง แต่ส่วนใหญ่ท่านเจ้าเมืองจะให้คนของตนออกไปหาผู้สนใจในข้อเสนอโดยยอมเสี่ยงต่อการโดนศาสนจักรสอบสวน และ ทุกครั้งที่เขามาเมืองนี้ เนื้อสดเหล่านี้ก็ไม่เคยขาดมือเลยสักครั้ง คนที่มีตั้งแต่เหล่าผู้ยากไร้ในสลัม ผู้ที่ไม่ได้โอกาศ หรือ ผู้ที่เป็นส่วนเกินของสังคม เด็กกำพร้า ผู้พิการ อาชญากร คนนอกรีต กระทั่ง ผู้สูงอายุก็ไม่เว้น โดยเฉพาะผู้รู้ของโลกยุคเก่าทั้งหลาย ที่พบว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของสังคมใหม่ ว่ากันง่ายๆคนที่จะไม่มีออกตามหาหรือให้ความสนใจถ้าเกิดหายตัวไป คือเนื้อสดที่มากันไม่ขาดสาย


    "ทั้งหมด 63คน ท่านโครโนส ชาย 26 หญิง 37 เป็นเด็กเสีย 12คน พอจะรับพวกเขาไว้ได้ไหมครับ?"

    "คัดคนที่ต้องการจะทำสัญญาออกมาด้วยครับคุณลุง ส่วนที่เหลือช่วยส่งพวกเขาไปที่ท่าเรือก่อน" เด็กชายกล่าว เขากวาดสายตามองคร่าวๆ ดูเหมือนว่างวดนี้จะเป็นคนยากไร้กับเด็กกำพร้าเป็นส่วนใหญ่ แต่มีบ้างที่ดูเหมือนจะเป็นผู้มีความรู้ยากไร้

    "แล้วสำหรับค่าตอบแทน" เด็กชายยกมือเป็นนัยให้ผู้ติดตามตน ยื่นกระเป๋าหนังดำให้อีกฝ่าย ที่รับมาด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเป็นเรื่องปรกติ

    "อย่างที่คุณลุงขอไว้คราวก่อน กาแฟและซิการ์ชั้นดีจากโมลาเรีย ของดีจากไร่บนเทือกเขา" เด็กชายสาธยายอย่างย่อ โดยมีเจ้าเมืองยิ้มแก้มปริพลางขอบคุณไม่หยุดปาก

    "ท่านโครโนสครับ เอ่อ..เรื่องนั้นไม่ทราบว่า" ท่านเจ้าเมืองชะงักคำไปเล็กน้อย เหมือนจะ

    "ไม่ต้องกังวลไปครับคุณลุง การก่อสร้างนั้นคงใช้เวลาอีกนาน แต่ที่สำคัญกว่า ข้อมูลของผุ้เข้าสอบเอ็กโซซิสต์ปีนี้ล่ะครับ"

    เกือบจะเป็นงานอดิเรกเสริมของเด็กชายไปแล้วกับการหาข้อมูลของผู้เข้าสอบในแต่ล่ะปี แม้ว่าเขาจะไม่ชอบศาสนจักร แต่ก็ไม่ปิดกั้นการหาข้อมูลของศัตรูเอาไว้เสริมความรู้ ซึ่งที่ผ่านมาเขาได้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวของเอ็กโซซิสต์หลายๆคน ที่นำไปสู่การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือ การทำให้อีกฝ่ายสมยอมหรือให้ความร่วมมือกับงานที่เขาทำในบางโอกาศ


    "นี่ครับ ผู้เข้าสอบปีนี้ก็มีไม่มากเท่าไหร่นะครับ แต่ก็มีบางคนที่ผมพยายามหาแล้วแต่กลับไปเจอเลยเหมือนกัน"

    "อืมๆ ไว้ค่อยหาทีหลังแล้วกัน" เด็กชายดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับนักเรียนที่หาประวัติไม่เจอนัก โดยเฉพาะกับวาเลีย คนที่เขาเหมือนว่าจะเคยเห็นบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อสองสามเดือนก่อน

    "จริงสิครับคุณลุง แล้วหนังสือที่ผมขอไว้ล่ะครับ?"


    ท่านเจ้าเมืองไม่รีรอที่จะนำอีกฝ่ายไปยังห้องข้างๆ ที่ซึ่งกลางห้องมีกองหนังสือกองใหญ่กองอยู่ หลายเล่มนั้นแกพยายามหามาจากห้องสมุดของเมืองหลายๆเมือง หรือจากร้านขายของเก่าต่างๆ จริงๆเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายอยากได้หนังสือแบบไหนกันแน่ เพราะแต่ล่ะครั้งที่แกมา มักจะมาเอาหนังสือหลากหลายประเภทไป และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก




    "มีหนังสือเล่มไหนถูกใจท่านบ้างครับ?"

    เด็กชายกวาดสายตาดูสองสามรอบ ก่อนจะชี้เลือกเอาหนังสือทางซีกซ้ายของเขามากองหนึ่ง

    "อะพวกนั้นมันขยะนะครับ หนังสือพวกนั้นมัน" หนังสือภูมิศาสตร์ แผนที่ภูมิศาสตร์ทั้งทางการและแบบพิมพ์เขียว ของที่ไร้ประโยชน์ ที่เขาได้มาจากร้านหนังสือเก่าในเมือง

    "ไม่ล่ะครับ ผมเอาพวกนี้ล่ะ คุณลุงครับ ผมมีเรื่องจะรบกวนอีกอย่างนะครับ" เด็กชายยิ้มกว้างแปลกๆก่อนจะซุบซิบอะไรบางอย่างกับเจ้าเมือง

    "หะ หา!! อะ ตะ แต่ว่าเรื่องแบบนั้นมัน ปกติเมื่อก่อนไม่เห็นจะ....เอื่อมแต่แบบนี้มันจะเป็นเป้ามากไปไหมครับ?" เจ้าเมืองถึงกับปาดเหงื่อเมือ่ได้ฟังคำขอของเด็กชาย

    เด็กชายยิ้มกว้างเล็กน้อยก่อนจะกระซิบเบาๆข้างหูท่านเจ้าเมือง


    "ท่านเจ้าเมืองก็ช่วยปรามๆ เอ็กโซซิสต์ในป้อมปราการด้วยแล้วกัน ว่าให้อยู่ห่างๆเรื่องนี้ไว้" กลืนน้ำลายอึกใหญ่ท่านเจ้าเมืองพยายามจะปาดเหงื่อที่ไหลเป็นสายอย่างเอาเป็นเอาตาย




    ที่ท่าเรือ การกระทำของเด็กชายนั้นถ้าจะบอกว่าไม่ดึงดูดความสนใจก็จะกล่าวน้อยไป ด้วยแถวของผู้ยากไร้จำนวนไม่น้อย หอบพะรุงพะรังด้วยทุกอย่างเท่าที่จะขนได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนมองด้วยสายตาเป็นมัน คือขบวนของเกวียนบรรทุก ของจำนวนมากที่มาออกันอยู่ที่ท่าเรือ เกวียนบรรทุกเกือบ 30เกวียน ที่ทุกเกวียนนั้นบรรจุไว้แต่ขยะ ของหลายอย่างที่คนในเมืองระบุได้อย่างง่ายดายว่าเป็นพวกขยะใช้การไม่ได้ พลาสติก ยางรถยนต์ ขยะเคมี แบตเตอรรี่ และ ที่อยู่ต่อหน้าทั้งหมดนี้ คือเรือท้องแบนขนาดใหญ่ ที่ใหญ่พอจะบรรจุกทั้งคนและสินค้าทั้งหมดนี้ได้


    การขนถ่ายสินค้านั้นทำไปอย่างเนิบช้าราวกับว่าจะไม่สนเรื่องความปลอดภัยหรือการเฝ้ามองของทหารในป้อมปราการแม้แต่น้อย หากแต่ก็ยังมีทหารและเอ็กโซซิสต์ประเภทเลือดร้อนหรือเป็นพวกเข้าใหม่บางคน ที่รี่ตรงมายังท่าเรือเมื่อเห็นการกระทำดังกล่าวของคนแปลกหน้าอย่างพวกเขา แน่ล่ะว่าไม่ใช่ทหารที่พวกเขาเป็นกังวล แต่เป็นเอ็กโซซิสต์พวกนั้นต่างหาก พวกเขาเหล่านั้นดูจากท่าทางและการชักสีหน้าแล้ว ดูจะไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรเป็นแน่



    "นี่สินะเจ้าปีศาจน้อยที่สายของเรารายงานมา?"

    "ผู้การเอ็ดมัน เราจะจัดการยังไงกับเจ้าปีศาจพวกนี้ดีครับ?"

    "ทั้งสองคน ถอยไปก่อนนี่ไม่ใช่ปีศาจระดับทั่วไป" แม้จะพูดแบบนั้นแต่ตัวเขารู้ว่าคงจะไม่เข้าหู เจ้าพวกเลือดร้อนพวกนี้แน่



    แต่เป็นโฮปที่เรืองแสงนั้นต่างหากที่ สะกิดความกลัวให้เอ็กโซซิสต์ทั้งสอง แทนที่มันจะเรืองสีฟ้าอ่อน แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีแดงเรื่อๆ การตอบสนองต่อปีศาจระดับสูง ผู้การเองเขาก็มีประสบการณ์กับปีศาจตามเมืองชายแดนมาก็มาก แต่ตั้งแต่เขามาอยู่เมืองนี้ เรื่องแปลกๆน่าสงสัยก็เข้ามาในหัวเขาได้ไม่หยุด ทั้งความจริงทีว่า เดบลิสนั้นไม่มีประวัติของการรุกรานมากเท่ากับเมืองชายแดนอื่นๆ แต่ที่นี่กลับมาอัตราการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุสูงกว่าเมืองชายแดนใดๆทั้งหมด โดยเฉพาะกับการตายของเอ็กโซซิสต์และผู้ตรวจการจำนวนมาก ที่มักจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุประหลาดหลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงท่าทีแปลกๆที่ทหารในเมืองนี้ หรือแม้แต่ประชารเองที่มีท่าทีเหินห่างเป็นอย่างมาก


    เหมือนจะฉุกใจคิดอะไรบางอย่างได้ ผู้การตะโกนสั่งให้อีกสองคนหาที่กำบัง ทว่าทั้งสองนั้นดูจะชะล่าใจหรือเกิดตื่นตระหนกขึ้นมาถึงได้ เตรียมเข้าจัดการกับอีกฝ่ายโดยไม่สนคำเตือนของแก

    "ด้วยอำ..." (นาจของศาสตราจงเป็นหลังให้ข้าประหัติประหารมารร้ายให้สิ้น)

    "ข้าขอ...." (พลังของธาตุสถิตแห่งธรนีจงเป็นหอกให้ จัดการศัตรูของข้าด้วย)

    "เดี๋ยวก่อนท่านเอ็กโซ..." ท่านเจ้าเมืองพร้อมคนของเขาวิ่งมาเพื่อที่จะห้าม เมื่อทราบข่าว ทว่าดูเหมือนแกจะมาช้าเกินไป



    ทว่าทุกอย่างนั้นจบลงในเสี้ยววินาที ในจังหวะที่คำแรกของคาถาถูกเอ่ยขึ้น ผู้ติดตามคนหนึ่ง ผู้ที่ปรกติจะยืนเงียบๆอยู่ตลอด ก็จู่โจมเข้าใส่คนทั้งสองคน ก่อนที่ทั้งสองเอ็กโซซิสต์จะทันได้ร่ายคาถาจบ โฮปในรูปของศาสตราของทั้งสองก็ปลิวกระเด็นออกจากมือผู้ใช้ โดยที่ตัวศาสตราของผู้การเองก็ถูกดาบลำเคืองของผู้ติดตามอีกสองคน ในชุดสูทดำแว่นดำฟาดฟันเข้าใส่ ทั้งสองที่เป็นชายร่างสูง ไม่ปล่อยให้โอกาศหลุดไป หมัดซ้ายเขาที่ท้อง และ แข้งเข้าที่ซี่โครง ด้วยความสำนาญอย่างที่ทาสนักสู้ทุกคนมี เพียงแค่สามกระบวนท่า ผู้ติดตามทั้งสองก็จัดการปลดอาวุธและสติของผู้การไปพร้อมๆกัน

    เด็กชายมองเมื่อ การปะทะจบลงในเวลาที่ศาสตรากระเด็นไปจนตกกระทบพื้น สองเอ็กโซซิสต์เองไม่แม้แต่จะมีเวลาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเสียงแหลมบางอย่างฝ่าอากาศ ก่อนที่หัวของทั้งสองจะกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด้วยกระสุนจากไรเฟิลบนเรือที่ห่างออกไปเกือบกิโล ไม่แปลกนักว่าทำไมความเสียหายถึงได้เละเทะขนาดนี้ เขาไม่ชอบการลงมือด้วยตัวเองเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเขตชายแดนที่ผู้ติดตามเขาสามารถทำแทนได้




    "ท่านเจ้าเมืองครับ ช่วยส่งรายงานไปเหมือนทุกๆครั้งด้วยนะครับ" เด็กชายกล่าวเมือตอนที่ศพของเอ็กโซซิสต์ทั้งสองถูกนำไปไว้ในตึกร้างข้างเคียง ก่อนที่ผู้ติตตามของเจ้าเมืองจะใช้ระเบิดแรงสูงทำลายตึกลงมา จัดฉากให้เหมือนว่าทั้งสองนั้นตายเพราะตึกถล่ม เหมือนกับที่พวกเขากลบเกลื่อนกันมาตลอด

    "ให้ลงว่าตายในหน้าที่แบบทุกครั้งสินะครับ เอ อุบัติเหตุระหว่างการซ้อมสินะครับ"

    "ช่วยกำชับกับทหารประจำเมืองด้วยนะครับว่า ให้เสริมแนวป้องกันด้านชายฝั่งมากกว่านี้ ว่าพวกปีศาจฉลามเดินได้เริ่มออกอาละวาดแถบชายฝั่ง ฝั่งของโมลาเลียแล้ว อีกไม่นานก็คงจะมาถึงเมืองฝั่งนี้ด้วย"

    "แน่นอนครับท่านโครโนส เราจะทำอย่างดีที่สุดครับ"

    "ฝากดูแลชาวเมืองด้วยนะครับ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่องค์จักรพรรดิจะทรงละเว้นเมืองนี้จากการทำลายล้างได้" เด็กชายดูจะไม่สบายใจนักที่ต้องย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม

    เด็กชายหลังจากตกลงเรื่อง ธุระจัดหางวดหน้ากับเจ้าเมืองแล้ว แกพร้อมกับผู้ติดตามก็พากันขึ้นเรือท้องแบนพร้อมกับสินค้าของตน ออกทะเลไป ทิ้งไว้แต่เพียง ผู้การผู้ที่ได้สติหลังจากนั้นสองสามชั่วโมง ผู้การที่ขณะสลบได้ถูกผู้ติดตามเด็กชายทำการฝั่งความทรงจำใหม่ ได้สติพร้อมกับความทรงจำใหม่ เพื่อจะพบว่าการฝึกของตนนั้นทำให้เอ็กโซซิสต์ทั้งสองเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน......





    บนสะพานเดินเรือ ของเรือกลไฟที่อยู่ห่างออกไปกลางทะเล ไกลกว่าที่คนบนฝั่งจะมองเห็นได้ เรือที่ปรกติมักจะวนเรือรอบนอกเขตพลังของโฮป เพื่อรอรับสินค้าและ สิ่งจำเป็นอื่นๆจากแผ่นดินใหญ่ เด็กชายและคนของเขาได้นำสินค้าที่ได้มาขึ้นเรือพร้อมกับจัดการงานด้านเอกสารที่จำเป็น แต่เป็นเด็กชายที่ขอคุยกัปตันเรือเมื่อเขาพบว่า ยังมีธุระบางอย่างที่้ต้องสะสางที่แผ่นดินชั้นใน



    "กัปตันครับ งวดนี้ผมจะไปนานเสียหน่อย กว่าจะกลับก็คง10กว่าวัน ฝากดูแลสินค้าให้ดีๆนะครับ"

    "ครับ จะไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ" กัปตันเรือทำความเคารพพร้อมกับลูกเรือคนอื่นๆ


    ว่าเมื่องานอีกชิ้นบรรลุไปแล้ว เด็กชายผู้ที่เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องใหม่เป็นชุดสูทดำตัวใหม่ ก็กล่าวกับแวมไพร์การ์ดของตน


    "ไปกันเถอะครับ ยังมีสัญญาอีกมากให้ทำ ข้อมูลอีกมากที่ต้องรวบรวม" เด็กชายว่าแล้วก็ก้าวไปที่สะพานเดินเรือ แกนั่งยองลงกับพื้นก่อนจะใช้นิ้วของตนลากไปตามพื้น พลางพึมพำเงียบๆกับตัวเอง

    "ต้นทาง เรือสินค้าโอโรโบรอส ปลายทาง ประตูเมืองตะวันตก กราเซีย ระยะเวลาทำงาน 30วินาที"


    มิติของอากาศรอบตัวพวกเขาเริ่มบิดเบี้ยว ฉับพลันนั้นเองประตูมิติก็แยกจากมิติอากาศตรงหน้าคนทั้งสอง ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวผ่านไป และทันทีที่ประตูที่ว่านี้ปิดตัวลงใน 27วินาทีต่อมา



    กระท่อมยาม นอกประตูเมืองตะวันตก กราเซีย​



    ในกระท่อมที่ยามยังไม่มาเข้ากะกลางวันนั้น ประตูมิติได้เปิดออกพร้อมร่างในชุดสูทดำของคนก้าวเท้าออกมาจากประตู ก่อนที่ประตูจะปิดตัวลง เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของตนเข้าที่เข้าทางแล้ว ทั้งสองก็ออกจากกระท่อมก่อนจะมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง เมื่อแสงแดดแรกของวันทอแสงขึ้น ทั้งสองก็่ผ่านเข้าเมืองไปโดยไม่มีคนสังเกตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


    "พี่ชายสนใจจะทำสัญญาไหมครับ?"


    ......


    มาลงไว้สั้นๆอีกตอนของตอนที่ยังคลุมเครือโดยรวม
  21. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    ในรุ่งสางของวันถัดมา รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดเทียบท่าของหอพักผู้เข้าสอบภายในศูนย์สอบกราเซียส ประตูรถม้าทั้งสองมีสัญลักษณ์ของศาสนจักรประดับอยู่ แสดงให้เห็นว่ารถม้าคันนี้ต้องมารับบุคคลที่สำคัญอย่างแน่นอน...หาแต่ใช่เช่นนั้นไม่ เมื่อผู้ที่เปิดประตูรถม้าคือซิสเตอร์ฝึกหัดผู้หนึ่งแทน
    เช้าวันนี้ เป็นวันที่เหล่าบรรดาผู้ที่ผ่านการสอบจะต้องเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวงไลท์เกรซ สถานที่ที่ตั้งของโรงเรียนและศาสนจักร กลับกัน ผู้ที่สอบไม่ผ่านต่างก็ต้องกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตน
    รถม้าของอัลรอลเน่เริ่มเคลื่อนตัวออกไป นางเอนหลังพิงพนักพิงพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ การสอบนี้เหนื่อยกว่าที่นางคาดคิดไว้เสียอีก
    แต่ในขณะที่รถม้ากำลังจะเคลื่อนออกจากประตูเมืองนั้นเอง จู่ๆรถก็ต้องหยุดกะทันหัน อัลรอลเน่สะดุ้งก่อนที่จะเปิดผ้าม่านมองออกไปนอกหน้าต่าง
    คาร์ดินัลหนุ่มในชุดสีแดงเลือดหมูพร้อมกับหมวกประจำตำแหน่งในมือและ...รอยช้ำเล็กๆบนใบหน้าของเขากำลังยืนยิ้มอย่างสดใสและเจิดจ้าอยู่ที่ประตูเมือง อัลรอลเน่จ้องมองซานโดรด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะปิดผ้าม่าน และหันไปสั่งกับคนขับรถ

    “ไปได้แล้วท่าน ข้ายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”


    “แต่ว่า....”


    “เขาเป็นคาร์ดินัล เดี๋ยวก็คงจะมีคนมารับเองแหละ”


    คนขับจ้องมองไปที่ซานโดรและก้มหัวให้กับเขาก่อนที่จะเคลื่อนรถม้าออกไปอีกครั้ง
    ซานโดรจ้องไปที่ตัวรถอย่างมีเลศนัย เขากระโดดขึ้นไปเปิดประตูออก อัลรอลเน่ทำสีหน้าตกใจ และเริ่มตวาดใส่เขา


    “เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะซานโดร!!!!”


    “วันนี้คนขับรถของข้ามีธุระ ข้าขอติดรถเจ้าไปด้วยละกันนะ”


    คาร์ดินัลหนุ่มเอ่ยพลางขยิบตา


    “เจ้ามาเองได้ เจ้าก็ต้องกลับเองได้ ลงไปจากรถเดี๋ยวนี้!!!!”


    “ไม่...ข้าจะกลับกับเจ้า อย่าดื้อไปเลยน่า แค่ติดรถไปเท่านั้นไม่เสียหายมิใช่หรือ”


    “ข้าเองยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ไม่มีเวลามาเสียเวลากับคนอย่างเจ้าหรอก ลงไปเดี๋ยวนี้!!!”


    อัลรอลเน่กล่าว พลางผลักเขาลงไปจากรถ ซานโดรยังคงยืนเกาะประตูอยู่ที่เดิม


    “ข้าจะไม่ไปไหน จนกว่าเจ้าจะให้ข้าไปด้วย ถ้าเจ้าคิดจะต่อต้าน มันก็จะเสียเวลาเพิ่มมากขึ้น ถ้าให้ข้าเข้าไปนั่งเราก็ได้ไปกันต่อ ตกลงมั้ย?”


    อัลรอลเน่เถียงไม่ออก นั่งกลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง ซานโดรยิ้มอย่างดีใจเหมือนเด็กๆและไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง

    ///////////////////////////////////////

    อีกฟากหนึ่งของกราเซียส กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังจ้องมองภาพของผู้คนมากมายที่กำลังจะไปยังไลท์เกรซจากดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่ง ทุกคนในกลุ่มสวมชุดสูทสีดำดูทรงภูมิฐาน ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางซึ่งดูน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม คือเด็กหนุ่มอายุอานามไม่มากนัก สีหน้าของเขาคล้ายกับเด็กทั่วๆไปที่ดูใสซื่อ
    สายตาของเด็กหนุ่มจ้องมองไปยังรถม้าประจำศาสนจักรที่เพิ่งควบออกไปจากเมือง ผู้โดยสารของรถม้าคันนั้นสร้างความสนใจให้กับเด็กหนุ่มมากทีเดียว


    “ไลท์เกรซ..อย่างนั้นหรือฮะ...น่าสนใจทีเดียว”


    เด็กหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเขาขยับตัวเล็กน้อย


    “ท่านโครโนสครับ...อย่าบอกนะว่าท่าน...แต่นั่นไม่เป็นการเสี่ยงไปมากหรือครับ?”


    เด็กหนุ่มยิ่มอย่างไร้เดียงสามาทางผู้ตั้งคำถาม


    “กลัวหรือครับ? ไลท์เกรซเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพลังของโฮปของคุณมาเรียนี่นา...แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมคิดว่าน่าสนใจมากทีเดียว”


    “ท่านโครโนสครับ เพื่อความปลอดภัยของท่าน ข้าเกรงว่า...”


    “อย่าลืมสิครับว่าผมเป็นใคร อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่โฮปที่มีพลังมากจริงๆก็จับกลิ่นอายของผมไม่ได้หรอกครับ ...ผมแค่จะเข้าไปเดินเล่นเท่านั้นเอง ไม่ทำอะไรให้ครึกโครมแน่นอน สบายใจได้ครับ”


    เด็กหนุ่มนามว่าโครโนสกระโดดลงไปจากตึก ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้ติดตามทั้งสองของเขา ซึ่งดูเหมือนจะหยุดเจ้านายของตนเองไว้ไม่ได้อีกแล้ว

    //////////////////////////////////////////////////
    เสียงรถม้าดังอยู่บนพื้นหินสีเทาซึ่งเป็นถนนนำทางไปยังไลท์เกรซ สองข้างทางป
    ระกอบไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา อัลรอลเน่นั่งทำหน้าบูดบึ้งอยู่ในรถม้าอย่างอารมณ์เสียสุดขีด แตกต่างจากผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนางที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ


    “ดูท่าว่า กำลังจะถึงไลท์เกรซแล้วสินะ”


    ซานโดรเอ่ยขึ้น และชี้ตรงไปยังพื้นที่ทำเกษตรกรรมของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง อัลรอลเน่จ้องตามไปด้วย แต่นางก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ปริปากอะไรอยู่เหมือนเคย จนกระทั่งรถม้ามาหยุดที่ป้อมปราการเก่าๆซึ่งเป็นจุดตรวจแรกก่อนที่จะเข้าไปยังเมืองหลวง ในตอนนี้มีแค่รถม้าที่มาจากกราเซียสอยู่เพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น


    “สวัสดีซิสเตอร์อัลรอลเน่ และท่านพระคาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร หวังว่าท่านทั้งสองคงจะสบายดี”


    อัลรอลเน่นิ่งเงียบ นั่งหันหน้าไปทางอื่น ซานโดรยิ้มให้กับยามรักษาการณ์ด้วยความเป็นมิตร


    “สบายดี ท่าทางวันนี้จะเหนื่อยหน่อยนะ ขอพระเจ้าประทานพละกำลังแด่ท่านด้วย”


    ยามรักษาการณ์โค้งคำนับให้กับซานโดร ก่อนที่จะเปิดทางให้ รถม้าก็เคลื่อนตัวต่อไป
    เมื่ออัลรอลเน่ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองในไลท์เกรซที่อยู่ดีมีสุขแล้ว มันช่างแตกต่างกับสภาพความเป็นอยู่ในที่ที่นางเคยอาศัยอยู่ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ทำให้นางเกิดความคิดที่ไม่น่าให้อภัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง


    “ฝ่ายบริหารมัวแต่ทำอะไรกันอยู่นะ....”


    นางพึมพำขึ้นมา ซานโดรจ้องมองนางด้วยความสงสัย อัลรอลเน่หันไปมองเขาด้วยท่าทีลนลานว่าตนเองกำลังพูดเรื่องที่ไม่สมควรต่อหน้าฝ่ายบริหารนั้นเสียแล้ว


    “หมายความว่าอย่างไรหรือ อัลรอลเน่”


    “เปล่าหรอก...ข้าก็แค่คิดว่า ทำไมศาสนจักรถึงเอาใจใส่ดูแลแต่ผู้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆกันมาก...จนบางทีข้าก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมพวกเขาต่างก็ไม่ใส่ใจดูแลผู้คนที่อยู่ในสลัมที่เสื่อมโทรมกันบ้าง...”


    อัลรอลเน่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซานโดรจ้องมองนางด้วยแววตาที่ดูจริงจังเล็กน้อย


    “...หมายความว่าจะให้พวกเราคอยดูแลพวกคนนอกรีตอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าแบบนั้นคงจะยากจนเกินไปนะ”


    “ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? ท่านจะกล่าวว่าผู้คนที่อยู่ในสลัม หรือแหล่งเสื่อมโทรมนั้นเป็นพวกนอกรีตไปเสียหมดอย่างนั้นหรือ”


    “ใช่...เพราะพวกเขามิได้มีศรัทธาในอะไรเลยยังไงละ”


    “ท่านเอาอะไรมาเป็นหน่วยชี้วัดว่าพวกเขาทั้งหมดนั้นไม่มีความศรัทธาหรือ? ความศรัทธาในควาหมายของท่านคืออะไรกัน? การบริจาคสิ่งของเงินทองให้กับศาสนจักร? หรือว่าจะเป็นการกวาดล้างพวกนอกรีตกับปีศาจอย่างนั้นหรือ? “


    คำพูดของอัลรอลเน่นั้นทำให้ซานโดรนั่งนิ่งไปชั่วครู่ เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง


    “ถึงแล้วสินะ..ไลท์เกรซ”


    อัลรอลเน่ตั้งท่าว่าจะถกเถียงกับเขาต่อ แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของซานโดรจะทำให้นางหันไปมองด้วยเช่นเดียวกัน

    แสงอาทิตย์ได้ตกกระทบกับมหาวิหารสีขาวซึ่งตั้งอยู่บนเกาะที่รายล้อมด้วยทะเลสาบ มหาวิหารที่ทั้งหมดทำมาจากหินอ่อนสีขาวขัดมัน ภาพทั้งหมดจึงแลดูสว่างจ้า
    รถม้าค่อยๆเคลื่อนช้าลงเรื่อยๆจนมาหยุดที่ปากซุ้มโค้งของประตูเมืองที่เป็นกำแพงเก่าๆคร่ำครึ มันเป็นกำแพงที่อยู่ในสมัยอดีตกาล และพวกเขายังคงรักษามันเอาไว้อยู่
    ยามรักษาการณ์เข้ามาตรวจสอบรถม้าของอัลรอลเน่ ซานโดรจึงเปิดหน้าต่างออก เมื่อพวกเขาได้เห็นพระคาร์ดินัลรูปหนึ่งนั่งอยู่ภายใน จึงโค้งคำนับก่อนที่จะเปิดทางให้รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปภายในเมือง

    สภาพภายในตัวเมือง ตึกรามบ้านช่องทั้งหมดเป็นหินแกรนิตสีขาวขุ่น และทางเดินที่ปูด้วยอิฐสีเทาที่กว้างพอจะให้รถม้าซักห้าคันเคลื่อนไปพร้อมกันได้ ตามข้างทางมีแผงขายสินค้าเป็นจำนวนมาก ดูแล้วเป็นเมืองที่สงบสุขดีๆนี่เอง

    ตัวรถม้าเคลื่อนจนมาหยุดอยู่ที่เป้าหมายของอัลรอลเน่ นั่นก็คือโบสถ์เซซีลีอา ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเขตชุมชน เป็นโบสถ์ที่ดูใหญ่สะดุดตาเพราะสร้างมาจากหินแกรนิตสีขาวล้วน
    ซานโดรเปิดประตูให้อัลรอลเน่ก้าวลงจากรถ ตามด้วยตัวของเขาเอง ที่หน้าประตูโบสถ์นั้นพระคาร์ดินัลฟรังซิสกำลังยืนต้อนรับผู้มาเยือน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อพบกับซานโดร


    “ยินดีที่ได้พบกัน พระคาร์ดินัลฟรังซิส”


    “ยินดีเช่นกัน พระคาร์ดินัลซานโดร...ข้ารู้สึกแปลกใจทีเดียว ที่พบท่านในวันนี้”


    ซานโดรยิ้มเหมือนเด็กๆ ฟรังซิสหันหาอัลรอลเน่ที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ซักเท่าไหร่


    “คงจะเดินทางมาเหนื่อย เข้าไปพักผ่อนดื่มชากันก่อนดีมั้ย”


    “ขอบพระคุณค่ะท่านพ่อ แต่ว่าลูกจะต้องไปรายงานตัวที่โรงเรียน และเอาของไปเก็บที่หอพักด้วย”


    “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”


    ซานโดรเอ่ยขึ้น เส้นเลือดเริ่มปรากฏที่หน้าผากของอัลรอลเน่ ฟรังซิสมองใบหน้าของคาร์ดินัลหนุ่มแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ


    “ท่านคริส...อ่า..พระคาร์ดินัลซานโดร ข้าเกรงว่าท่านยังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย องค์พระสันตะปาปาเพิ่งจะนำงานมามอบไว้ที่โต๊ะทำงานของท่านเมื่อครู่นี่เอง”


    ซานโดรสบตากับฟรังซิส ก่อนที่จะทำสีหน้าเหมือนกับเด็กที่ดื้อรั้นออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อฟรังซิสทำตาเขียวใส่เขา คาร์ดินัลหนุ่มก็นิ่งเงียบไปทันทีและเดินไปยังประตูโบสถ์


    “น่าเสียดายจริงๆเลยนะอัลรอลเน่ ไว้ว่างๆข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าอีกนะ”


    “ไม่ต้องมาเลยยิ่งดี...”


    อัลรอลเน่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้เยื่อใย ก่อนที่จะขึ้นไปบนรถม้าอีกครั้ง

    หลังจากที่รถม้าของอัลรอลเน่เคลื่อนหายไป ฟรังซิสก็นำตัวซานโดรขึ้นไปที่ห้องทำงานของตัวเอง และหันมาประจันหน้ากับเขา


    “ท่านคริสโตเฟอร์ ข้าพระองค์เกรงว่า หากท่านยังทำตัวแบบนี้อีก ข้าคงจะต้องรายงานกับท่านมาเรียต่อความบกพร่องในหน้าที่ของท่านเสียแล้ว”


    “อย่าเครียดไปเลยพระคาร์ดินัลฟรังซิส ...งานที่มีอยู่นั้นข้าก็ได้ให้พระคาร์ดินัลองค์อื่นๆจัดการตามหน้าที่ของพวกเขาแล้ว จะมีงานอะไรที่ต้องสะสางอีกเล่า...อีกอย่าง ข้าเองก็รู้สึกเบื่อที่จะนั่งอยู่เฉยๆในมหาวิหารหรอกนะ”


    สิ้นเสียงซานโดร เอกสารชุดหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้าของเขา สีหน้าของฟรังซิสจริงจังเสียยิ่งกว่าแต่ก่อน บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นความเครียดโดยฉับพลัน ซานโดรรับเอกสารที่อยู่ตรงหน้ามาเปิดอ่าน เขาก็ขมวดคิ้วทันที...


    “นี่มัน..ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...”


    “เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้าง...ไม่สิ...แย่มากทีเดียว และข้อมูลส่วนนี้ยังเป็นข้อมูลปกปิด ยังไม่มีการเผยแพร่ไปยังหน่วยอื่นๆ”


    ซานโดรอ่านข้อความในเอกสารนั้นซ้ำอีกครั้งเหมือนกับจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง ภายในนั้นเขียนด้วยลายมือของมาเรีย เป็นการกล่าวถึงสภาพของวงโฮปในปัจจุบันที่กำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆจากอาการป่วยของมาเรียเอง และการปรากฏตัวของปีศาจที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในเมืองใหญ่ๆ และที่ผ่านมามีผู้พบเห็นปีศาจจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นที่กราเซียส ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับไลท์เกรซนี่เอง


    “เรากำลังรอคำสั่งจากท่าน..องค์พระสันตะปาปา”


    ฟรังซิสโค้งคำนับพร้อมกับเอามือขวามาวางไว้บนอกด้านซ้ายแสดงถึงความเคารพต่อผู้ที่อยู่ตรงหน้า

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////

    อเล็กซ์ซานโดรเดินทอดน่องไปตามริมทะเลสาบฝั่งตรงข้ามกับมหาวิหาร สถานที่ตรงนี้ถูกสร้างเป็นสวนส่วนตัวหนึ่งในพื้นที่ของมหาวิหารเช่นเดียวกัน เขายังคงครุ่นคิดถึงเอกสารที่ได้รับมาเมื่อครู่


    “...อาการป่วยของท่านมาเรียคงไม่ดีขึ้นภายในเร็ววันแน่ๆ..จะทำเช่นไรดี...”


    ในขณะนั้นเองที่ร่างของใครบางคนกำลังลอบจ้องมองซานโดรจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งภายในสวนนั้น
    ซานโดรหยุดเดิน พลางถอนหายใจเบาๆ


    “อย่าแอบจ้องข้าแบบนั้นสิ...ออกมาเถอะ”


    ร่างที่อยู่หลังต้นไม้ขยับเล็กน้อย ก่อนที่ก้าวออกมา เขาคือเด็กหนุ่มในชุดสูทสีดำที่ดูทรงภูมิ สัมผัสที่ซานโดรจับได้นั้นเป็นสัมผัสของเด็กทั่วๆไป แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ซานโดรยังจับอะไรบางอย่างในตัวของเขาได้ ทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบ จนกระทั่งซานโดรหันมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม


    “เจ้าเป็นใครกันเด็กน้อย ท่าทางดูแล้วจะไม่ได้หลงทางเข้ามาสินะ”


    “สวัสดีครับ พี่ชาย ผมชื่อโครโนสครับ ผมน่ะ กำลังตามหาหมาป่าตัวหนึ่งอยู่ เป็นคุณหมาป่าที่น่าสนใจมากเลยครับ ไม่ทราบว่าพี่ชายเห็นหมาป่าตัวนั้นหรือเปล่า”


    “หมาป่าตัวนั้น ก็อยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่หรือไงลูกแกะน้อย”


    ชั่วพริบตา ซานโดรก็ไปหยุดยืนอยู่หน้าของโครโนส เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ


    “ว่าแล้วเชียว พี่ชายมีอะไรที่น่าสนใจกว่าที่ผมคิดเยอะเลย....ดูท่าทางตอนนี้พี่ชายกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากเลยใช่มั้ยฮะ...ผมพอจะช่วยอะไรพี่ชายได้บ้างละ”
    “เจ้าอย่ารู้เลยดีกว่า มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กอย่างเจ้าไม่รู้อะไรหรอก”


    “ถ้าผมจะบอกว่า ผมรู้สิ่งที่ทำให้อาการของท่านมาเรียดีขึ้นละฮะ”


    คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้คาร์ดินัลหนุ่มหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะกลับมายิ้มอย่างซุกซนอีกครั้ง


    “เจ้าช่างเป็นเด็กที่แสนรู้เสียจริงๆ เจ้ารู้อะไรบ้างละ เจ้าลูกแกะน้อย”


    “ของแบบนี้ให้บอกฟรีๆไม่ได้หรอกฮะ ผมน่ะ...เห็นเรื่องการแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งสำคัญเลยนะฮะ”


    โครโนสกระโดดถอยห่างจากซานโดรไปสองสามก้าว ก่อนจะยิ้มอย่างไร้เดียงสา แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงความได้เปรียบอยู่นิดๆ ซานโดรหัวเราะในลำคอเล็กน้อย


    “แล้วเจ้าต้องการอะไรในการแลกเปลี่ยนละ ....พลังของข้า ร่างกายของข้า...หรือจะเป็น..ชีวิตของข้า”


    ซานโดรกระซิบข้างหูของโครโนส เขาใช้เฮสท์มาอยู่ข้างๆตัวเด็กหนุ่มอีกครั้ง


    “อะไรก็ได้ ที่พี่ชายต้องการจะแลกเปลี่ยนฮะ”


    “ข้าอยากให้เจ้ายื่นข้อเสนอนั้นมามากกว่านะ”


    “ก็ได้ฮะ...งั้น...ถ้าท่านจะลงนามในใบอนุญาตด้วยลายมือของท่านเอง เพื่อให้คนของผมได้เข้าไปทำการค้าขายแลกเปลี่ยนที่เมืองท่าอย่าง เดบลิสเพื่อฟื้นฟูเมืองและผู้คน นั่นเป็นจุดประสงค์ของศาสนจักรอยู่แล้วนี่ฮะ?”


    “เจ้าจะทำการค้าขายอะไรกันหรือ”


    “พี่ชายมีสิทธิ์แค่ลงนามอนุญาต แต่ไม่มีสิทธิ์ให้ถาม ถ้าพี่ชายอยากรู้ พี่ชายก็ต้องแลกเปลี่ยนกับผมอีกนะฮะ”


    “เจ้านี่ชอบการแลกเปลี่ยนเสียจริงนะ...เอาเถอะ ถ้ามันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรมาก ข้าก็จะลงนาม แต่..ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องบอกสิ่งที่ข้ากำลังตามหาอยู่มาเสียก่อน”
    “ย่อมได้ฮะ”


    โครโนสกระซิบคำตอบที่ข้างหูของซานโดร จากใบหน้าที่ยิ้มอย่างซุกซนนั้นแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


    “ต้องใช้สิ่งนั้นเชียวหรือ...”


    “มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะช่วยท่านมาเรียได้ฮะ ...เอาละ...ผมได้บอกสิ่งที่พี่ชายกำลังตามหาไปแล้ว ทีนี้ ตาพี่ชายบ้างละฮะ”


    ซานโดรหยิบกระดาษกับปากกาขนนกพร้อมกับหมึกแบบพกพาออกมาจากเสื้อคลุม เขาเริ่มร่างใบอนุญาตก่อนที่จะเซ็นชื่อของตนเองกำกับท้ายลงไป และยื่นให้กับโครโนส
    เมื่อเด็กหนุ่มอ่านใบอนุญาตเสร็จก็ยิ้มอย่างเด็กหนุ่มที่ใสซื่อธรรมดาทั่วๆไป ก่อนที่จะพับใบสัญญานั้นลงไปในกระเป๋าด้านในสูทของตัวเอง


    “ขอบคุณที่ใช้บริการฮะ ผมหวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะฮะ พี่ชาย”


    เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในพุ่มไม้ใกล้ๆ ก่อนที่กลิ่นอายของเด็กหนุ่มจะหายลับไป ซานโดรยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กำมือของตนเองแน่น สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่เขาคิดเอาไว้นัก สิ่งที่เขาคิดตอนนี้ มีเพียงคำตอบของโครโนสเท่านั้น ที่ดังก้องอยู่ในหัว

    "สิ่งนั้นน่ะ เป็นตัวยาแอนติโดธ ที่มีวิตถุดิบเป็นรากของดอกแอมโบรเซียที่จะขึ้นได้ในเฉพาะจักรวรรดิเท่านั้นยังไงละฮะ ตอนนี้ยานั่นก็มีอยู่แต่ในจักรวรรดิเท่านั้นเองด้วย ในอาณาเขตของศาสนจักรนี่ไม่มีให้เห็นหรอกฮะ!"
  22. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ที่เดบริสโดนรุกหนักแล้วแฮะ
  23. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    เราเข้าโหมดจริงจังเล็กน้อยแล้ว _(- -)_

    ไปบุกตะลุยแดนจักรวรรดิกันโลด~ :hwhip:
  24. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    เดบริสโดนรุกหนักเพราะความอ่อนแอของศาสนจักรโดยรวมล่ะนะ

    สงสัยจะมีงานพิเศษให้นักเรียนใหม่ปีนี้ทำแล้วสิะ
  25. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ในเวลาไล่เลี่ยกันกับทางศาสนจักร ระหว่างที่อเล็กซานโดรกำลังเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มในชุดดำ โครโนส

    ณ โรงเรียนฝึกสอนเอ็กโซซิสต์ฝึกหัด “แซงก์ทัส ครูซิส” , ไลท์เกรซ

    “เฮ้อ.....”

    เป็นครั้งที่ยี่สิบสามได้แล้วที่เสียงถอนหายใจดังขึ้นออกมาจากปากของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่น่าจะ “อาวุโส” ที่สุดในหมู่ว่าที่นักเรียนใหม่ ซึ่งกำลังยืนเป็นหน้ากระดานเรียงสามสิบบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ชุดที่เขาสวมใส่ไม่ใช่เสื้อโค้ทสีดำอย่างปกติ แต่กลับเป็นเสื้อเบลเซอร์สีขาว ที่อกซ้ายมีกระเป๋าเสื้อซึ่งปักตรากางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนแห่งนี้ ผูกด้วยเนคไทสีแดงซึ่งทับเสื้อเชิ้ตสีดำชั้นในสุด กางเกงเป็นกางเกงสแล็กสีขาว จะมีแต่รองเท้าบู้ทหนังหุ้มเหล็กสีดำเท่านั้นที่ยังไม่ถูกเปลี่ยนจากสไตล์การแต่งตัวดั้งเดิมของเขา
    เด็กหนุ่มสาวทั้งหลายที่กำลังเข้ารับการปฐมนิเทศท่ามกลางทุ่งหญ้า ตอนนี้ดูราวกับกำลังจะถูกทำให้เป็นมนุษย์ตากแห้งพร้อมเสิร์ฟเป็นกับแกล้มสุราชั้นดี ด้วยอากาศร้อนๆชวนอึดอัดเพราะพื้นที่ของโรงเรียนในไลท์เกรซตั้งอยู่ในภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง แถมอาการปวดที่คนเราเรียกกันว่า เหน็บชา ก็เริ่มถามหาคนที่ถูกจับให้มายืนฟังการกล่างสุนทรพจน์อันแสนจะยาวเหยียดของชายชราผู้ที่น่าจะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งวาเลียไม่คิดว่าเขาจะจำได้ว่าชื่ออะไร เรื่องยุ่งยากพรรค์นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ถนัดเอาซะเลย

    “เฮ้อ.....”

    ครั้งที่ยี่สิบสี่ดังขึ้นเมื่อตาแก่คนนั้นเริ่มพูดถึงเรื่องศาสนจักรเอย เรื่องพระเจ้าเอย.... ขณะที่กำลังทำท่าจะถอนหายใจเป็นครั้งที่ยี่สิบห้า เขาก็ถูกใครบางคนเตะเข้าที่ข้อเท้า แม้มันจะเจ็บราวกับกระดูกแทบหักแต่เขาก็แสดงอาการใดๆออกมาไม่ได้
    เขามองหาตัวการที่ลอบทำร้ายเขาได้อย่างเจ็บแสบ ไม่ใช่ใคร....

    “มาทำผมทำไมครับ? คุณอัลรอลเน่”
    “หัดใช้สมองเมล็ดถั่วนั่นคิดเองสิ เจ้านี่....”
    (หา?)

    หนุ่มผมดำได้แต่ทำหน้างงๆ พลางเกาคางด้วยความไม่เข้าใจ ฉันทำอะไรผิด เขามองมาที่เด็กสาวร่างเล็กในชุดกะลาสีสีดำมีลายเส้นสีขาวประดับพองาม กระโปรงสีเดียวกันกับเสื้อซึ่งถ้าเทียบกับนักเรียนหญิงคนอื่นแล้วกระโปรงของเธอค่อนข้างยาวกว่าคนอื่นๆ

    ..........
    ..................
    ..........................

    หลังจากการปฐมนิเทศดำเนินไปอย่างน่าเบื่อตลอดสามชั่วโมงจบลง นักเรียนทุกคนก็ได้รับคำสั่งให้แยกย้ายกลับไปยังที่พักของตนโดยมีรุ่นพี่ปีสองเป็นผู้นำทางไปยังหอพัก ซึ่งแบ่งแยกชายหญิงเป็นสองฟากอย่างชัดเจน ในระหว่างที่เดินอยู่บนทางเดินในอาคารที่พัก เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มของนักเรียนใหม่ที่เป็นผู้ชายซึ่งกำลังเดินตามหลังผู้เป็นว่าที่รุ่นพี่ก็เอ่ยปากถามขึ้น

    “เอ่อ.... จากนี้ไปพวกเราต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ?”

    วาเลียหันไปหาเจ้าของเสียงดังกล่าว... ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะชื่อ อเล็กซ์ เด็กหนุ่มที่ถูกสาวน้อยสองคนเลคเชอร์เข้าให้ในวันรับสมัคร เขายังจำบทพูดที่เด็กสาวสองคนนั้นซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออัลรอลเน่ ได้ฝากคำคมเด็ดๆอะไรบาดใจของอเล็กซ์ไว้บ้าง ขณะที่นึกถึงความหลังของคนอื่น เท้าของเขาก็ยังออกเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆโดยไม่มีหยุด

    “ทางอาจารย์เขาบอกว่า รุ่นของน้องมีอะไรน่าสนใจมากเป็นพิเศษ เลยอยากจะจัดการสอบก่อนเปิดเทอมนิดหน่อยน่ะ พูดตรงๆนะ พวกพี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาจารย์ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่”

    รุ่นพี่คนนั้นตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ ราวกับได้รับคำสั่งมาแค่นั้น

    “แล้วทำไมต้องมีการสอบอะไรแบบนั้นด้วยล่ะครับ?”
    “พี่ไม่รู้เหมือนกันแฮะ... จนปัญญาเหมือนกัน ตอนพี่เข้ามาก็ไม่เห็นจะมีเรื่องแบบนี้เลยแท้ๆน้า....”
    (เป็นเพราะตูรึเปล่าหว่า...)

    หนุ่มผมดำออกอาการหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด เมื่อลองนึกถึงวีรกรรมของตัวเองที่ได้ทำมา หั่นโอริฮาร์ก้อนด้วยมีดเอย ขยี้ปีศาจปลาหมึกเอย...

    (อย่าบอกนะว่าแหวนอำพรางของเราพังซะแล้ว.... บ้าน่า เป็นไปได้ยังไง.........)

    วาเลียบ่นกับตัวเองในใจด้วยความหวาดระแวง แต่ก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปกว่านี้ เสียงก้าวเท้าของเหล่านักเรียนชายก็หยุดลง ทำเอาเขาเองก็ต้องเบรกเท้าเหมือนกันไม่งั้นคงได้ไปชนคนที่อยู่ข้างหน้าแน่ๆ

    “ทุกคนมีกุญแจที่ได้รับตอนลงจากรถแล้วใช่มั้ย? จับหารูมเมทของตัวเองซะ แล้วไปเปลี่ยนชุดนักเรียนตามห้องของตัวเอง เรามีเวลา 10 นาทีเท่านั้นที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะให้น้องๆรับการทดสอบที่ลานประลองนะ ส่วนเรื่องสัมภาระไม่ต้องห่วง เราใช้งานพี่ปีสามมายกของเก็บไว้ในห้องของน้องๆทุกคนแล้ว เอาล่ะ แยกย้ายได้!!!”

    สิ้นเสียงของรุ่นพี่คนนั้น เหล่าเด็กใหม่ก็เริ่มมองหาคู่หูที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันอีกหลายปี ก่อนที่จะเริ่มเดินไขประตูเข้าห้องของตัวเอง ส่วนวาเลียที่หารูมเมทของตัวเองไม่เจอซักทีก็ได้แต่ถอนหายใจในสภาพเดินคอตก

    (นี่เราไปทำอะไรให้ใครรึไง ถึงต้องเป็นแบบนี้.....)

    เขาเดินไปหารุ่นพี่ที่นั่งรอบนม้านั่งแถวๆนั้น หลังจากที่นักเรียนชายคนอื่นกระจัดกระจาย หายไปราวกับห้องโถงใหญ่นี้ไม่เคยมีใครอยู่เลย

    “เอ่อ... รุ่นพี่ครับ ผม... แบบว่า............”

    แต่ดูเหมือนว่ารุ่นพี่จะไม่ได้ฟังที่เขาเรียกเลย ราวกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

    “ช่างเถอะ....”

    วาเลียเปลี่ยนใจพร้อมกับมือที่ตกลงไปจากระดับสายตา พลางเดินคอตกเข้าไปในห้อง 207 ซึ่งคาดว่าเป็นห้องพักของตัวเองอย่างเนือยๆ ภายในห้องไม่มีอะไรที่ชวนสะดุดตาเป็นพิเศษ เตียงสองชั้นทำจากไม้ถูกติดตั้งอยู่ทางซ้ายของเขาซึ่งถัดจากห้องน้ำออกไป ด้านตรงกันข้ามนั้นมีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ สุดทางข้างหน้าเป็นหน้าต่างที่มีโต๊ะเรียนตั้งอยู่สองตัว ข้างหน้าตัวเขานั้นไม่มีอะไรวางไว้อยู่เลยนอกจากกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆโทรมๆ

    เขาเผลอหัวเราะแห้งๆออกมาอย่างเบื่อหน่าย พลางเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับถอดเสื้อเบลเซอร์สีขาวที่สวมอยู่ออก แล้วโยนมันลงบนเตียง ก่อนที่จะจัดแจงเปลี่ยนเสื้อนอก เป็นเสื้อโค้ทสีดำตัวเก่ง พอเขาเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงสีดำของเขาเอง ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าที่สามารถใส่ชุดนักเรียนที่น่าจะเป็นของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

    “สงสัยจะเป็นตอนตรวจวัดร่างกายก่อนจะเข้าไลท์เกรซล่ะมั้ง...”

    เขาตอบข้อสงสัยข้อนั้นด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้คิดอะไรมากจนเกินไป ว่าแล้วเขาก็หยิบเอาเรย์เซเบอร์มาคาดไว้ที่เอวข้างขวา ก่อนที่จะเดินออกไปข้างนอก ไปรวมตัวกับเด็กใหม่คนอื่นๆอย่างสงบปากสงบคำ

    ..........
    ..................
    .........................

    หลังจากที่เหล่าเด็กใหม่ตั้งแถวได้อย่างรวดเร็ว รุ่นพี่ก็พาพวกเขามาถึงลานประลอง ซึ่งก่อสร้างด้วยอิฐบล๊อก ลักษณะเป็นวงกลมหากมองลงมาจากข้างบน ฝั่งซ้ายขวาแบ่งเพศของนักเรียนในโรงเรียนนี้อย่างชัดเจน เหล่าเด็กหนุ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจบ้าง ตื่นตระหนกบ้าง ที่เหล่านักเรียนชั้นอื่นๆ คณาจารย์ในโรงเรียน รวมทั้งบุคลากรอื่นๆในโรงเรียนนี้ต่างมานั่งรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ราวกับว่าการทดสอบครั้งนี้ประหนึ่งเป็นเทศกาลของโรงเรียนเลยทีเดียว

    (เฮอะ... อะไรจะเวอร์ปานนั้น)

    วาเลียบ่นกับตัวเองในใจ เท้าทั้งสองของเขายังถูกบังคับให้เดินตามเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆไปเรื่อยๆ จนมาถึงลานประลองฝั่งตะวันออก ซึ่งมีรุ่นพี่ที่เป็นผู้ชายนั่งอยู่กันเต็มที่นั่ง พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้นั่งในที่นั่งริมขอบสนามซึ่งจัดเตรียมไว้ให้ด้วยเหตุผลว่า “ง่ายแก่การลงไปประลอง”

    ชายชราคนเดิมขึ้นมากล่าวเปิดการประลองทดสอบก่อนเข้าเรียนของนักเรียนเอ็กโซซิสต์ฝึกหัด ซึ่งการประลองครั้งนี้จะให้นักเรียนปีหนึ่งมาต่อสู้กันเองในระยะเวลาที่กำหนด 10 นาที มีกฎพิเศษที่จะบังคับใช้ในแต่ละแมตช์ต่างกัน และกฎเหล็กของการประลอง ห้ามมีการลงมือกันถึงชีวิตโดยเด็ดขาด การแข่งขันจะเป็นรูปแบบของทีมประกอบด้วยนักเรียนใหม่สองคน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่พักในหอพักนั้นต้องจับคู่ร่วมกันต่อสู้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น

    แต่เขาล่ะ.....

    “เฮ้อ...... ตูล่ะหน่าย”

    เขาก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกขุ่นมัวในใจ งานนี้เขาท่าจะเจองานหนักเสียแล้ว... ยิ่งพลังของสายเลือดครึ่งหนึ่งที่ถูกกดทับด้วยพลังจากโฮปของมาเรีย ไลท์เกรซรุ่นที่สาม และความต้องการที่จะปิดบังขีดความสามารถของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยในหมู่นักเรียน ครูอาจารย์ รวมทั้งผู้ตำแหน่งระดับสูงของศาสนจักร และไม่ให้ใครล่วงรู้ตัวจริงของเขาด้วย
    ดูเหมือนหนทางที่ถูกปูด้วยแรงจูงใจบางอย่างของเขา อาจจะต้องมาจบลง ณ ตรงนี้....

    ขณะเดียวกันที่วาเลียเริ่มเข้าสภาวะจิตตก การกล่าวเปิดงานของผู้อำนวยการสถานศึกษาก็ได้จบลง ก็มีเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงยาวระดับกลางหลังในชุดนักเรียนสีขาว ที่พิเศษกว่านักเรียนทั่วไปคือชายเสื้อของเขายาวลงไปถึงหัวเข่า ดูละม้ายคล้ายเสื้อโค้ทมากกว่าปรากฏตัวขึ้นบริเวณทางเข้าทางเหนือ ระหว่างที่นั่งของเหล่าบุคลากรในโรงเรียนแห่งนี้

    “สวัสดี จากนี้ไปกระผม วลาดิเมียร์ กัลเวซ ในฐานะประธานนักเรียนชั้นปีที่สี่ของโรงเรียนฝึกสอนเอ็กโซซิสต์ฝึกหัด แซงก์ทัส ครูซิส จะขอทำหน้าที่เป็นพิธีกรในการประลองครั้งนี้นะครับ”

    ชายคนนั้นประกาศเสียงดังลั่นผ่านไมโครโฟนที่ไม่รู้ไปเอาพลังงานมาจากไหน สร้างความเร้าใจให้กับเหล่านักเรียนทุกชั้นปี ทั้งชายและหญิง แต่ดูเหมือนว่าจะได้คะแนนจากนักเรียนหญิงมากเป็นพิเศษ... เจริญล่ะ

    “ก็... สำหรับกฎกติกาต่างๆในการประลองครั้งนี้ ท่านผู้อำนวยการได้อธิบายไปแล้ว แต่กระผมจะขอประกาศคำเตือนข้อสำคัญอีกครั้งหนึ่ง.... ห้าม!!! เอากันถึงตายนะครับ ขอให้น้องใหม่ทุกคนรับทราบไว้ด้วยนะครับ ห้าม!!! เอากันถึงตายนะครับ โอเคนะครับ?”
    (ท่านประธานที่เคารพ ผมขอประท้วงครับ จะย้ำทำไมหลายรอบครับรอบเดียวก็พอแล้ว)

    ในขณะที่วาเลียยังมองไปทางประธานนักเรียนคนนั้น คำบ่นเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นมาทางสีหน้าเรียบร้อยแล้ว สร้างความหวาดหวั่นระคนแปลกใจให้กับนักเรียนคนอื่นรอบข้าง เจ้าหมอนี่มันจะบ่นอะไรนักหนา

    “เกริ่นมาซะยาวยืดแล้ว นับแต่บัดนี้ไปจะขอประกาศคู่เปิดสนามในวันนี้นะครับ! กฎที่เราจะใช้ในการแข่งขันครั้งนี้คือกฎ Reinforcement ซึ่งแต่ละฝ่ายจะต้องทำการต่อสู้ตัวต่อตัว หลังจากนั้นทุกๆสามนาที เพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่งถึงจะสามารถเข้าช่วยเหลือในฐานะกำลังเสริมได้ เอาล่ะครับ! ขอเชิญนักเรียนใหม่ วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย และอิลฟา ไมเยอร์ส เข้าสู่ลานประลองด้วยครับ”

    (ฉิบ....)

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มผิวคล้ำที่ดำอยู่แล้วนั้นก็ดูดำยิ่งขึ้นราวกับภาพขาวดำเมื่อชื่อของเขาถูกประกาศ ทำไมซื้อหวยถูกแบบนี้มั่งหนอ วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทียเอ๊ย...

    ..............
    ....................
    ...........................

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!”

    เสียงอุทานขึ้นบ่งบอกความเจ็บปวดจากการถูกช๊อตด้วยมหาเวทย์สายฟ้าของเด็กหนุ่มดังลั่นกลางสนาม ระหว่างการประลองคู่เปิดสนามระหว่าง วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย กับ อิลฟา ไมเยอร์ส และ อาเรีย เมลนิส ซึ่งดำเนินมาถึงนาทีที่แปด

    อาเรีย เมลนิส... เด็กสาวผมแดงในผ้าคลุมสีแดงตามแบบฉบับของแม่มดซึ่งเป็นกำลังเสริมที่ออกมาช่วยเหลืออิลฟา เด็กสาวผมสีน้ำเงินในชุดเกราะเบาสีเงิน เพื่อนร่วมทีมของตนตั้งแต่นาทีที่สาม เป็นผู้บรรเลงวงเวทย์ทรมานหนุ่มชุดดำ หมายจะให้เขาประกาศยอมแพ้ ราวกับรู้ถึงจุดอ่อนประการหนึ่งของเขา

    แต่มันยังไม่เป็นเช่นนั้น.... วาเลียที่เข้าตาจน ไม่เพียงแค่คู่ต่อสู้ทั้งสองที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่ด้วยสภาพทีมที่มีเพียงเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ประกอบกับสภาวะจิตตกเฟลแตกที่ผู้คนทั่วไปยังไงก็เอือมระอากับพฤติกรรมดังกล่าว ไม่อาจผลักดันให้เขาทำอะไรได้ แม้แต่การป้องกันตัวเองจากการโจมตีของสองสาว

    ตึง!!!

    เข่าทั้งสองทรุดลงกับพื้น พร้อมกับผิวกายที่ส่งกลิ่นไหม้เกรียม คละคลุ้งมาจากร่างคล้ำนั่น ศีรษะของเขาก้มลงหาพื้น เนตรสีแดงหม่นของเขาเริ่มมองอะไรไม่ค่อยเห็น สภาพไม่ต่างกับสุนัขจนตรอกที่ถูกไล่ต้อนจนมุม

    “แฮ่ก.... แฮ่ก..... แฮ่ก....... แฮ่ก..............”

    เสียงหายใจทางปากดังขึ้นไม่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกันกับร่างกายที่ยังมีการกระตุกเล็กน้อยจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามาในตัวนับแสนโวลต์

    “ฮึบ....... อั่ก!!”

    เขาพยายามออกแรงดันตัวลุกขึ้นมาจากท่าคุกเข่า แต่ก็ทรุดลงไปอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับเลือดที่สำลักออกมา เขารู้สึกพะอืดพะอมกับรสชาติขมๆราวกับมีถ่านเคลือบเอาไว้ในลำคอ ทว่าแม้จะรู้สึกเช่นนั้น แต่เขาก็ยังพยายามฝืนที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

    “รีบๆยอมแพ้ซะทีเถอะน่า!!!”

    สาวน้อยในชุดเกราะตวาดขึ้นเสียงดัง พลางพุ่งเข้าใส่วาเลียอีกครั้งหนึ่ง ทว่าเวลานั้นเอง.....

    เสียงปะทะโลหะสองชิ้นดังขึ้นกลางสนาม ตามด้วยเสียงกระแทกลงบนชุดเกราะด้วยอะไรบางอย่าง อิลฟาถึงกับลอยไปไกลราวๆเกือบสิบเมตรจากการเข้ามาขัดจังหวะด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบของคนๆหนึ่ง ซึ่งปิดบังร่างกายด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้ม

    “เหลือเวลาอีกนาทีเดียวครับทุกท่าน!!! ในที่สุดกำลังเสริมของวาเลียก็มาถึงแล้วเหรอครับนี่!?!?!?!”

    เสียงพากย์การต่อสู้ของประธานนักเรียนหนุ่มดังขึ้นทำลายความเงียบของลานประลอง ก่อนที่เสียงเฮจากนักเรียนคนอื่นๆจะดังขึ้นทั้งสนาม

    บุคคลผู้เร้นกายที่น่าจะเป็นกำลังเสริมของวาเลียนั้นมีรูปร่างค่อนข้างเล็กหากเทียบกับเขาที่สูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตร อาวุธบนมือของเขาเป็นมีดคู่ จากที่ได้เห็นผ่านดวงตาที่ยังไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ชัดเจนดังเดิม หากเขาคาดการณ์ไม่ผิด นั่นไม่ใช่วิธีการต่อสู้ของนักดาบที่ใช้อาวุธทั้งสองมือ

    มันเหมือนกับวิธีต่อสู้ของมือสังหารเสียมากกว่า

    “ขอโทษที่มาช้านะ”
    “นาย.... เป็นใคร?”
    “เรื่องแนะนำตัวน่ะไว้ทีหลังเถอะ.... ก่อนอื่นเรามาจัดการสองคนนี้กันดีกว่านะ”
    “อา.... ก็.... ว่างั้น”

    แม้ผู้ร่วมการประลองตอนนี้จะอยู่กันครบแล้ว แต่เวลาที่เหลือไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ยังทำให้วาเลียตระหนกกับสถานการณ์เบื้องหน้าไม่น้อย

    “ชั้นจะสู้กับจอมเวท.... นายจัดการอัศวินนั่นไป”
    “หา?.... อ....เออ”

    เมื่อการตกลงกันในทีมของวาเลียจบลง อิลฟาที่พอจะตั้งตัวจากลูกถีบเมื่อครู่ได้แล้วก็พุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มปริศนาอย่างรวดเร็ว ทว่าเท้าซ้ายของเขากลับกระแทกพื้นตามสัญชาตญาณ หลบฉากจากการเข้าปะทะของอัศวินหญิง ปล่อยให้เธอรับมือกับวาเลียที่เริ่มจะฟื้นฟูร่างกายทัน ในขณะที่เป้าหมายของเขามีเพียงอาเรียที่กระหน่ำด้วยเวทกระสุนสายฟ้าความเร็วสูง พร้อมกับวงเวทสายฟ้ารัศมีราวๆห้าเมตรที่เธอพยายามวาด และร่ายมันเพื่อใช้รับมือกับอีกฝ่าย

    อีกด้านหนึ่ง อิลฟาที่พุ่งใส่วาเลียอย่างบ้าเลือดก็ตั้งดาบของตนแทงเข้าใส่ก็ถูกวาเลียกระแทกเท้าขวา หมุนตัวปัดดาบของเธอให้พ้นจากรัศมีหวังผล แม้เธอจะหันกลับมาฟันใส่หนุ่มผมดำเท่าใด เขาก็สามารถหลบมันได้อย่างทันท่วงทีเสียทุกครั้ง

    ขณะที่กลับมายังเด็กหนุ่มปริศนาซึ่งวิ่งซิกแซกไปมา ด้วยความพยายามที่จะทำลายสมาธิของจอมเวทชุดแดงที่พยายามสาดกระสุนสายฟ้า พร้อมๆกับบริกรรมคาถาชุดใหญ่ ท่าทีของเด็กหนุ่มปริศนาก็เปลี่ยนไปซึ่งแม้แต่คนดูก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไร

    ไม่รอช้า เขาวาดมีดบนมือขวาขึ้นในลักษณะเฉียงขึ้นไปทางซ้ายกลางเพียงชั่วพริบตา แล้วตวัดมีดฟันลงอย่างรวดเร็วในทิศทางตรงกันข้ามกับเมื่อครู่นั้นอีกครั้งหนึ่ง การกระทำแปลกๆของเขาซึ่งอยู่กลางวงเวทที่ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด ก็ทำให้พลังงานเวทที่ไหลเวียนในพื้นที่นั้นแตกกระจายราวกับการระเบิด อาเรียที่เห็นพลังเวทของตนถูกทำลายลงกับตาก็ถึงกับตาค้างในวิชาหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่อีกฝ่ายทำให้พลังเวทที่ตนพยายามรวบรวมมาใช้ในเวทเผด็จศึกต้องสูญเปล่า เธอไม่เข้าใจว่าเขาทำได้ยังไง แต่เมื่อหนุ่มปริศนาเห็นช่องว่าง เขาก็กัดไม่ปล่อย ด้วยกากระแทกเท้าพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ก่อนที่จะต่อยเข้ากลางท้องทำให้อีกฝ่ายถึงกับหมดสติในหมัดเดียว

    ในเวลาเดียวกันอิลฟาที่พยายามฟันเข้าใส่วาเลียอย่างไม่คิดชีวิตในเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบวินาที เมื่อเธอเห็นอาเรียถูกเพื่อนร่วมทีมของวาเลียซัดจนลงไปกองกับพื้น ก็แสดงอาการอึ้งไปไม่ถึงชั่วอึดใจ แต่นั่นคือความผิดมหันต์ ที่เธอต้องจ่ายมันด้วยบทลงโทษที่เรียกว่าความพ่ายแพ้

    “ฮึบ!!!”

    แม้แรงฟาดลงบนดาบจะพุ่งลงมาที่บ่าของวาเลียโดยเหนือการสั่งการของอิลฟาที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปชั่วพริบตาหนึ่ง แต่วาเลียก็ยกมือซ้ายเข้าจับบรอดซอร์ดเล่มนั้นด้วยมือข้างเดียวได้อย่างน่าอัศจรรย์ ขณะเดียวกันนั้นเองกระแสอากาศที่แปรปรวนอย่างผิดปกติก็จับตัวกันบนมือขวาซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำของเขา

    “ขอโทษนะครับ.....”
    ตูม!!!!!!!!

    มือซึ่งหุ้มด้วยผ้าหนังที่สร้างลูกบอลกระแสอากาศ ก็ถูกยัดลงกลางท้องของอัศวินสาวพร้อมกับมืออีกข้างที่ปล่อยดาบของเธอลง ระเบิดแรงกระแทกจากคลื่นอากาศระยะประชิด ส่งร่างเล็กๆใต้ชุดเกราะนั้นเข้าชนกับกำแพงในลาบประลองยุบไปส่วนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่เสียงร้องของเธอซักแอะ

    พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ....

    วาเลียเชื่อว่าเขาได้คำตอบเช่นนั้นแม้จะไม่ได้ยินเสียงประกาศผลการแข่งขันครั้งนี้จากวลาดิเมียร์ เขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้นราวกับหุ่นยนต์ที่แบตเตอรี่หมด ทัศนียภาพผ่านดวงเนตรสีแดงมืดนั้นเริ่มมืดลงเรื่อยๆ มืดจนไม่เห็นอะไรเลยในที่สุด

    (เอ๋..... ทำไมร่างกาย..... มันหนักๆ.......)
    (ยังไม่ได้ถามเลยแฮะ..... ว่าหมอนั่น............ ชื่อ.... อะไร.........)
    (เฮ้อ................)

    + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

    ยอมรับว่าตันครับ!!! เชิญเผาตามสบาย ผมขอตัวก่อนล่ะ เตรียมสอบตอนบ่ายต่อ ฮือๆๆๆๆ TT^TT

Share This Page