[ฟิคลูกโซ่] All Fiction Fantasy

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 30 สิงหาคม 2010.

  1. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    สนุกดี

    ปล.

    หลังจากที่เหล่าเด็กใหม่ตั้งแถมได้อย่างรวดเร็ว

    และกฎเหล็กของการประลองห้ามีการลงมือกันถึงชีวิตโดยเด็ดขาด

    แก้หน่อยน้อ
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ไหนๆไพอาก็ปั่นมาลงแล้ว ขอเร่งไฟปั่นมาลงต่อซักหน่อยท่าจะดีแฮะ >_<
  3. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    แก้เรียบร้อยแล้วครับ (สอบเสร็จแล้ว เฮ้อๆๆ แต่ต้องอยู่เคลียร์เรื่องที่หอต่อ TT^TT)

    ปล.คิดว่าคงทราบกันแล้วว่ากำลังเสริมของวาเลียเป็นใคร เหอๆ..... เจ้าของตัวละครจ๋า รีบๆมาเปิดเผยชื่อตัวละครในฟิกด้วยนะ *-*
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    All Fiction Fantasy


    "ตกลงนายใช้เวทมนต์ได้ด้วยหรืออเล็กซ์"

    เสียงพูดคุยลอดผ่านเข้ามาในโสตประสาทของวาเลีย เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นมองรอบข้างอย่างช้าๆในขณะที่ศีรษะยังคงรู้สึกหนักอึ้งด้วยความเหนื่อยอ่อนภาพที่เห็นจึงลางเลือนไม่ชัดเจนอยู่บ้าง แต่เขายังพอจำได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออเล็กซ์โดยมีชายหนุ่มในผ้าคลุมกับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนยืนอยู่ด้านหลัง

    "ไม่ใช่เวทมนต์หรอกครับ นี่เป็นวิชาปราณน่ะ"

    อเล็กซ์ตอบก่อนจะหยุดส่งพลังที่ช่วยส่งเข้าไปฟื้นฟูอาการเหนื่อยอ่อนให้คนเจ็บ จากนั้นจึงหันไปเรียกเพื่อนร่วมชั้นผู้สวมผ้าคลุมเสียมิดชิดจนดูลึกลับ

    "รบกวนช่วยดูแลต่อด้วยนะครับ"


    "เอาล่ะครับทุกท่าน! ต่อไปเป็นการประลองคู่ที่สองกระผมขอแนะนำตัวผู้เข้าแข่งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเลยนะครับ คู่แรกได้แก่ มัสก้า อาราเม่ จากสาขาศาสตราและ เบรเนส เจเนียส จากสาขามนตรา ส่วนคู่ที่สองได้แก่ ไลติโอ จากสาขามนตราและ อเล็กซ์ แอชสมิธ จากสาขาประวัติศาสตร์ครับทุกท่าน"

    พอเสียงประกาศจบลงนักเรียนอีกสองคนก็เดินมายังเวทีในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นปริศนาช่วยประคองร่างวาเลียเดินลงไปพักตรงที่นั่งคนดู

    "เมื่อกี้เพิ่งใช้พลังไปงั้นนายก็พักซะก่อนก็แล้วกันนะครับ"

    อเล็กซ์พยักหน้ารับคำก่อนจะเดินลงไปข้างเวที ส่วนคู่แข่งนั้นเป็นชายกล้ามโตที่เป็นคนโดนหามไปรักษาเป็นคนแรกในการสอบของสาขาศาสตรานั่นเอง

    "ข้าลุยก่อนนะเว้ยเบรเนส"

    ชายกล้ามโตหยิบค้อนไม้อันโตขึ้นมาควงเล่น ในขณะที่ชายหนุ่มท่าทางคงแก่เรียนยืนรอเงียบๆอยู่ข้างเวที

    "ถ้างั้นก็เริ่มการประลองได้!"

    สิ้นคำของรุ่นพี่มัสก้าก็พุ่งเข้าหาไลติโอทันทีพร้อมๆกับที่ฟาดค้อนเข้าใส่เต็มแรง ทว่าก่อนที่มันจะสัมผัสกับร่างของไลติโอมันกลับกระแทกโดนเข้ากับพลังงานไฟฟ้าที่ถูกกางขึ้นมาป้องกันไว้ก่อนแล้ว แรงปะทะทำให้มัสก้าผละถอยออกไประยะหนึ่งแต่หนุ่มร่างโตก็ไม่ได้รับผลอะไรจากกระแสไฟฟ้าเพราะอาวุธที่เขาใช้นั้นทำขึ้นมาจากไม้แถมยังอาบมนตราเอาไว้ทำให้ไม่ได้รับความเสียหายด้วย ไลติโอลอบมองไปยังคู่แข่งอีกคนหนึ่งพอเห็นเบรเนสลอบยิ้มที่มุมปากก็พอรู้ได้ว่าเป็นฝีมือการจัดการของเขานั่นเองที่น่าจะเตรียมพร้อมก่อนจะขึ้นมาต่อสู้แล้ว

    "ไลติเอ"

    ไลติโอเอ่ยขึ้นสั้นๆพลันปรากฏกระแสไฟฟ้าปะทุจากพื้นพุ่งเข้าใส่มัสก้าอย่างรวดเร็ว แม้บางส่วนจะถูกใช้ค้อนป้องกันไว้ได้แต่อีกส่วนหนึ่งกลับฝ่าการป้องกันเข้าไปเล่นงานจนคนร่างใหญ่รู้สึกชาตามร่างกาย

    "ไลติอัส"

    เด็กหนุ่มขานเวทขึ้นมาอีกบทหนึ่งก่อเกิดพลังงานไฟฟ้าล้อมรอบมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ พร้อมกันนั้นไลติโอก็ชูฝ่ามือทั้งสองข้างเล็งไปยังคู่ต่อสู้

    "ส่งสถิตประกายฟ้า กระสุนอัสนีจู่โจม"

    พลังงานไฟฟ้าที่มือทั้งสองข้างเริ่มรวมตัวกันเป็นลูกกลมๆทันทีที่เขาเริ่มขานบทร่ายเวท พอเด็กหนุ่มให้สัญญาณลูกบอลไฟฟ้านับสิบลูกที่สร้างขึ้นมาพลันพุ่งเข้าใส่เป้าหมายที่กำหนดไว้ทันที ดูเหมือนว่ามัสก้าจะเข้าตาจนเพราะเขาได้แต่กัดฟันกรอดพยายามต้านรับการโจมตีเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

    ทว่าเวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คาดเพียงแค่ไม่กี่กระบวนการต่อสู้ที่ผ่านมาก็ถึงกำหนดสามนาทีเสียแล้ว พริบตานั้นได้เกิดม่านกระแสขึ้นล้อมวนรอบร่างของมัสก้าและดูดซับพลังโจมตีจากบอลไฟฟ้าที่เหลือไปจนหมด

    "ส่งค้อนมา"

    มัสก้าโยนค้อนให้กับเบรเนสทันทีที่คู่หูออกคำสั่ง เบรเนสรับค้อนไม้นั้นไปก่อนจะเริ่มบรรจงออกคำสั่งกับเวทที่ตนลงไว้บนค้อนไม้ ทันใดนั้นพลังงานเวทมนต์ที่ถูกสะสมไว้พลังจากรับการโจมตีไปจำนวนมากก็ถูกปลดปล่อยออกมาและถูกเบรเนสดูดซับเอาไว้จนหมด ก่อนที่เบรเนสจะลงคาถาป้องกันบทใหม่แล้วส่งค้อนคืนให้กับมัสก้า

    "เวทดูดซับมนตรางั้นเหรอเนี่ย ท่าทางจะแย่แล้วนะครับไลติโอ"

    อเล็กซ์พูดขึ้นหลังเห็นกระบวนการดังกล่าว แต่กระนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใดเด็กหนุ่มเพียงแค่หันมากับไลติโอเพื่อปรึกษาแผนการกัน

    "ถ้ายังไงไลติโอช่วยหยุดการเคลื่อนไหวของมัสก้าไว้ได้มั้ยน่ะครับ แล้วระหว่างนั้นผมจะจัดการกับเบรเนสเอง"

    "นายรับมือกับเวทมนต์ได้เหรอ?"

    ไลติโอถามด้วยความสงสัยเพราะตอนที่สอบเข้าเรียนนั้นอเล็กซ์ทำได้เพียงหลบเลี่ยงเวทมนต์ของเบนิออสเท่านั้นเอง ทว่าอเล็กซ์กลับยิ้มรับพลางหยิบเอาสมุดเล่มเล็กขึ้นมาเล่มหนึ่ง

    "ถึงใช้เวทมนต์ไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้เรื่องของเวทมนต์นี่ครับ"


    "ขอวิงวอนต่อสายชล ขอนบนอบต่อท้องนที ขอรำลึกแด่พิรุณ..."

    เบรเนสเริ่มร่ายมนตราในระหว่างที่ทั้งคู่ยังปรึกษากันอยู่ส่วนมัสก้าเองก็วิ่งตรงเข้าหาเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของไลติโอกับอเล็กซ์เอาไว้

    "ไลติเอ"

    ไลติโอเรียกพลังงานไฟฟ้าปะทุขึ้นมาซัดใส่มัสก้าจากด้านข้างจนเซถอยออกไป จากนั้นเขาจึงเร่งพลังงานไฟฟ้าที่คลุมอยู่ทั้งสองมือไว้ขึ้นไปอีก

    "ไหมนภาจงถักทอ เอ่ยทำนองรำร่ายดุษฎี"

    เขาใช้มือทั้งคู่สัมผัสกับพื้นเบื้องหน้ามัสก้าพร้อมกับที่บทร่ายจบลง ทันใดนั้นเองกระแสไฟฟ้าพลันพุ่งพล่านออกมาหลายสิบสายก่อนจะเวียนวนไปมารอบร่างของมัสก้าราวกับร่ายรำขวางกั้นไม่ให้ชายร่างใหญ่สามารถออกมาจากบริเวณนั้นได้

    เบรเนสรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยที่คู่หูโดนเล่นงานซะง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจอะไรนักเพราะเขากำลังร่ายมนต์บทใหญ่สำเร็จแล้ว ด้วยอำนาจของมันเขามั่นใจว่าในกลุ่มนักเรียนด้วยกันไม่มีใครทานไหวแน่นอน

    ทว่าขณะนั้นเองที่เบรเนสสังเกตเห็นว่าอเล็กซ์กำลังทำอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มดึงเอาแผ่นกระดาษออกมาจากสมุดพกปึกใหญ่ก่อนจะโปรยมันออกมารอบกาย ส่วนมืออีกข้างนั้นกำลังจับดินสอขีดเขียนลงบนหน้ากระดาษที่เหลืออยู่ในสมุดพก

    'ตำแหน่งพร้อม รูปแบบพร้อม กระแสมนตราพร้อม'

    อเล็กซ์คิดในใจพลางมองตำแหน่งของแผ่นกระดาษทั้งหมดที่กระจัดกระจายออกไป หากสังเกตดูล่ะก็แผ่นกระดาษพวกนั้นไม่ใช่เพียงแผ่นกระดาษธรรมดาแต่มันมีลวดลายประหลาดขีดเขียนอยู่ภายในทุกแผ่น เมื่อเด็กหนุ่มตรวจสอบทุกสิ่งพร้อมสรรพมือที่ขีดเขียนลงบนสมุดก็หยุดลงพอดี

    แผ่นกระดาษอีกชุดถูกดึงออกมาโปรยไปยังตำแหน่งที่เด็กหนุ่มต้องการ และเวลานั้นเองที่เบรเนสได้ร่ายมนต์จบบทถึงแม้จะสงสัยกับการกระทำของอเล็กซ์แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดมนต์บทนี้ลง

    บนอากาศเหนือเวทีขึ้นไปพลันปรากฏมวลน้ำมหาศาลเข้ามารวมตัวกันในปริมาณที่เพียงพอจะสร้างทะเลสาบขึ้นมาได้ เพียงแค่เบรเนสให้สัญญาณมวลน้ำพวกนั้นก็ร่วงหล่นลงมาใส่พวกอเล็กซ์ราวกับน้ำหลาก ทว่าก่อนที่มวลน้ำพวกนั้นจะทำหน้าที่ของมันสำเร็จมันกลับถูกบางสิ่งขวางกั้นเอาไว้ก่อนที่กระแสการเคลื่อนไหวของมันจะปรวนแปรไม่เป็นไปตามที่เจ้าของมนต์ต้องการ

    แสงสว่างจางๆเรืองรองขึ้นมาจากหน้ากระดาษทั้งหลายซึ่งเรียงรายอยู่บนพื้น นอกจากนั้นแสงสว่างยังคงลากเชื่อมต่อกันระหว่างแผ่นต่อแผ่นจนปรากฏเป็นวงเวทให้เห็นได้อย่างชัดเจนทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีวี่แววของพลังเวทปรากฏขึ้นมาจากพวกมันแม้แต่น้อย ทำให้เบรเนสรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ชั่วครู่นั้นเองที่อเล็กซ์ฉวยโอกาสปามีดสั้นสามเล่มไปปักยังรอบๆตำแหน่งที่เบรเนสอยู่ และบนมีดสั้นทั้งสามเล่มนั้นก็มีแผ่นกระดาษซึ่งส่องแสงสว่างเรืองรองอยู่เช่นเดียวกัน

    เบรเนสราวกับจะฉุกคิดถึงเป้าหมายของอเล็กซ์ขึ้นมาได้แต่ก็สายไปเสียแล้ว แผ่นกระดาษทั้งสามนั้นสร้างเส้นแสงเชื่อมต่อกันกักตัวเบรเนสเอาไว้ภายใน พริบตานั้นกระแสของเวทมนต์ที่เชื่อมต่อกับเบรเนสอยู่ก็ถูกตัดขาดออกจนหมด เขามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ทั้งมนต์ของเขาที่ถูกแย่งชิงการควบคุมไป ทั้งกระแสเวทที่ถูกตัดขาดสิ้นเชิงจนเขาไม่สามารถร่ายมนต์แก้ไขอะไรได้อีก เบรเนสจ้องมองอเล็กซ์ด้วยแววตาสงสัยเพราะเขามั่นใจได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่มีพลังเวทมนต์แน่นอนไม่อย่างนั้นก็คงไม่สอบตกในสาขาเวทมนต์จนไปติดสาขาประวัติศาสตร์แทนอย่างที่เห็นๆกันอยู่

    "ถึงผมจะไม่มีพลังเวท แต่แค่ไอเวทที่เหลืออยู่ในบรรยากาศรอบๆรวมกับส่วนเกินของกระแสเวทที่คุณเรียกมาก็เพียงพอที่จะทำให้วงเวทของผมทำงานได้แล้วล่ะครับ"

    อเล็กซ์ตอบข้อสงสัยราวกับอ่านใจอีกฝ่ายได้พลางขยับแผ่นกระดาษในมือเพื่อควบคุมให้มวลน้ำรวมตัวกันเป็นก้อนกลมสูงขึ้นไปเหนือตำแหน่งของเบรเนสพอดิบพอดี

    "ถึงตอนนี้ผมน่าจะถามได้แล้วนะครับว่าพวกคุณจะยอมแพ้กันหรือเปล่า"

    เบรเนสมองสถานการณ์รอบด้าน มัสก้าถูกเวทของไลติโอกักตัวไว้ มนต์ขั้นสูงของเขาก็ถูกคู่แข่งควบคุมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แถมตัวเขาก็ถูกผนึกเวทไว้จนทำอะไรไม่ได้อีก เพื่อพิจารณาถึงตรงนี้เขาเองก็ต้องยอมรับว่าตัวเองได้พ่ายแพ้ไปเป็นที่แน่นอนแล้วจึงได้แต่กลั้นใจเอ่ยคำที่ไม่อยากเอ่ย

    "ก็ได้ ฉันยอมแพ้...

    ______________________________________
  5. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ร.....เร็วมวาก!!!!!

    ชักจะได้ข้อมูลการต่อสู้ของสายเวทหน่อยๆแล้วแฮะ =w=
  6. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อืมมมม การต่อสู้ของผู้ใช้เวทย์มันเป็นแบบนี้เองสินะ

    ข้าพเจ้าอ่อนด้วยเรื่องเวทย์ยิ่งนัก เช่นนั้นข้าำพเจ้าจะเน้นไปทาง พลังปีศาจแบบปะทะให้มากขึ้นในอนาคตครับ

    (หรือปืนเก่าๆ กับ กระสุนใหม่เอี่ยมอ่อง สัก สองสามกระบอกก็ดีนะ)
  7. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เข้ามาอ่านช่วงล่าสุดของแต่ละคนแล้ว รู้สึกทึ่งมาก + อ่อนใจในความอ่อนด้อยของตัวเอง ที่ตอนนี้คิดเขียนอะไรไม่ออกเลยสักนิด

    เราก็ไม่ถนัดเขียนต่อสู้ด้านเวทซะด้วย ถ้าเรื่องต่อสู้กายภาพล่ะก็อาจได้อยู่นิดหน่อยน่ะนะ
  8. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    สลัมกลางเมืองเดบลิส​


    ระยะเวลา ราวๆ 20ปีที่แล้ว​


    "ป้อมปราการของผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุด สถิติอยู่ในความรักที่ประชาชนมีต่อผู้ปกครองคนนั้นๆ"

    V.S.


    มันเป็นคลื่นรบกวนในตอนแรก แต่เมื่อได้ลองปรับคลื่นดีๆดูแล้ว เสียงตามอากาศที่ส่งผ่านมาจากอีกฝากหนึ่งของทะเล ไม่สิ เสียงตามอากาศที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงคลื่นรบกวนที่มักจะมาแทรก รายการของทางสถานีศาสนจักร ที่เปิดตามหัวเมืองชายแดนเป็นประจำเพื่อกระตุ้นให้ประชากรเหล่านั้น พึงผิงโอนอ่อนและหวาดระแวงต่อปีศาจและคนแปลกหน้าจากข้างนอกนั่น ที่ซึ่งพิธีกรมักจะใช้น้ำเสียงดุดันและการป่าวตะโกนอย่างแข็งขัน เพื่อย้อมสมองของผู้ได้ฟังให้คล้อยตามไปอยู่เนื่องๆ


    "มันแค่กลลวงของพวกปีศาจเท่านั้นล่ะน่า ไม่มีใครรอดอยู่ข้างนอกนั่นหรอก" ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านผมกล่าวเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่มีเหตุผล คำว่าสงครามสำหรับคนรุ่นผมแล้ว แม้จะเป็นความทรงจำอันเลือนลาง แต่ทุกครั้งพวกผมได้รับฟังคำบอกเล่าของสงคราม ผู้ใหญ่หลายคนจะเล่าถึงเรื่องสยดสยองจนทำเอานอนไม่หลับไปหลายวันให้ฟังทุกครั้ง


    หากจะถามว่า คลื่นแทรกที่เข้ามานั้นมีข้อความว่าอันใด ผมจะลองเปิดเทปบันทึกที่เพื่อนของผมแอบบันทึกเอาไว้ได้ให้ฟังจะดีกว่า เพราะผมเองก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คน(เข้าใจว่าน่าจะเป็นพูด) ที่กล่าวมาทางคลื่นนั้นหมายถึงอะไรกัน?



    "ถึงใครก็ตามที่สามารถรับคลื่นนี้ได้ ชื่อของผมคือ วิคเตอร์ โซโลม่อน ผมสามารถจัดหาที่พักผิง อาหาร ยารักษาโรค และ การคุ้มครองให้กับใครก็ตามที่ต้องการ ผมจะอยู่ที่ประภาคาร ไครเมีย ทุกเที่ยงวันถึงสามโมง ถ้ามีใครรับคลื่นนี้ได้ โปรดตอบด้วย"



    ผมเชื่อว่าพวกคุณหลายๆคนคงจะสงสัยเหมือนกับผม ข้อความนี้มันเป็นแค่ ระบบการจายเสียงอัตโนมัติหรือข้อความหลอกลวงหรือไม่? ประการแรกเพราะเรารู้กันดีว่า ประภาคารไครเมียนั้นอยู่ในเขตศาสนจักร นอกเมืองปราการเดบลิสถ้าจะกล่าวให้ชัด และ ประการต่อมา เพราะข้อความนี้มักถูกส่งมาเฉพาะเวลาที่ช่องของศาสนจักรออกอากาศ ทำให้เชื่อได้ว่านี่น่าจะเป็นลูกเล่นของพวกปีศาจ


    "ประภาคารไครเมีย เจ้าหนูเพราะแผนที่บอกว่าอยู่ไม่ได้แปลว่า จะเข้าไปที่นั้นได้นะ? ไอ้ประภาคารผีสิงนั่นน่ะ?" อาจาร์ยในโรงเรียนของเรากล่าวอย่างหัวเสีย เมื่อผมถามว่า เจ้าประภาคารที่ว่านี้อยู่ที่ไหน


    ประภาคารไครเมีย สิ่งก่อสร้างที่ดูจะไม่สะทกสะท้านต่อกาลเวลาที่เปลี่ยนไป หากมองจากชายหาดจะสามารถมองเห็นได้ที่เส้นขอบฟ้า เป็นสิ่งก่อสร้างเดียวในย่านนี้นอกจากป้อมปราการที่ยังมีแสงในยามค่ำคืน ผมไม่เคยรู้หรอกนะว่าประภาคารนี่หาทางทำให้มีไฟไว้ส่องตอนกลางคืนได้อย่างไร แต่เท่าที่รู้และอย่างที่ทุกคนในเมืองว่า ประภาคารที่ว่านี้ในบางคืนที่ฝนตกหนักจะมีเสียงร้องประหลาดบางอย่างดังออกมา


    "เสียงมันเหมือนอสูรกาย เหมือนหมูกับฟ้าร้องคำรามรวมกัน โอ้ยย ลุงไม่อยากนึกถึงแล้ว" ชาวประมงประจำหมู่บ้านเล่าด้วยท่าทีหวาดหวั่นเมื่อผมเข้าไปถามแก


    "เสียงของมัน ไม่น่าเป็นไปไม่ได้ แต่เสียงนั่นไม่ผิดแน่ แต่ทำไม?" ผู้เฒ่าคนหนึ่งทำสีหน้าสับสนกับความคิดตัวเอง แกเอาแต่พร่ำบอกกับคนอื่นๆในเมือง เมื่อเสียงนั่นดังขึ้นเมื่อราวๆ 10ปีก่อนหน้านี้ ตัวแกนั้นก็ดูจะสติไม่สมประกอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่บางอย่างในน้ำเสียงแกบอกว่าเรื่องที่แกเล่านั้นไม่ใช่เรื่องแต่งทั่วๆไปแน่


    แน่ล่ะว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ มีหลายคนที่พยายามจะพิสูจน์ถึงตำนานเหล่านั้นทว่าคนส่วนใหญ่ที่พยายามจะลอง ก็ไม่เคยได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมจะมาสนเรื่องนี้ทำไมกัน ในเมื่อสิ่งที่ทำให้ผมสนใจจริงๆ ก็เป็นท่อนความในประโยคของคลื่นเสียงนั่น


    [ที่พักผิง อาหาร ยารักษาโรค และ การคุ้มครอง]



    บางคนอาจสงสัยว่า ของพวกนี้มันน่าสนใจตรงไหนกัน? ในเขตที่เหมือนสวรรค์ที่ผักพิงอย่างศาสนจักร ของเหล่านี้ก็มีให้เห็นกันอยู่แล้วมิใช่หรือ?

    สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ ที่อยู่ในเขตเมืองชั้นใน เมืองหลวง หรือ แม้แต่เขตเกษตรกรรมชั้นกลาง เมืองเล็กน้อยใหญ่ในบริเวณนั้น อาจจะคิดและได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ แต่สำหรับประชากรหัวเมืองชายแดนอย่างพวกเรา ไม่สิต้องเรียกว่า สำหรับประชากรยากไร้ทั้งหลาย แค่อาหารประทังชีวิตยังแทบจะไม่พอเลย แม้แต่คนของท่านเจ้าเมืองหรือตัวท่านเองก็ไม่ได้มีสภาพต่างจากพวกเรามากนัก แต่เป็นพวกทหารกับเอ็กโซซิสต์ต่างหากเล่า ที่ได้สิทธิพวกนั้นไปจนหมด


    เพราะยึดว่าต้องทะนุบำรุงศาสนจักรและกองกำลังป้องกันมาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งอาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า เลยถูกส่งให้คนพวกนี้เป็นสำคัญ การปันส่วนอาหารของทางการนั้นก็มีบ้าง แต่ก็เป็นแค่ของเหลือๆกับของส่วนเกิน พวกเรา ครอบครัวผม แม่ไม่เคยได้ท้องอิ่มเลยสักวัน น้องๆผมเองก็ต้องอดมื้อกินมื้อ คนข้างบ้านเราหลายคนก็มีบ้างที่ต้องออกไปหางานทำที่เมืองหลวง หลายคนต่างมีสภาพไม่ต่างกันมากนัก ด้วยงานที่พอจะหารายได้ในเมืองแบบนี้ ถ้าไม่เป้นทหารก็ต้องไปใช้แรงงานหนักให้กับทางการ


    ผมเคยสงสัยว่า เป็นทุกที่ในศาสนจักรที่เป้นแบบนี้หรือไม่ ทว่าผมกลับได้รู้ว่า มีแต่เฉพาะหัวเมืองชั้นนอกเท่านั้น ที่ประชากรต้องประสบเรื่องแบบนี้ แต่ทางการกลับเอาแต่ปกปิดเรื่องพวกนี้ แล้วจัดการกับคนที่ออกมาเรียกร้องขอในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ว่าเป็นพวกนอกรีต ศาสนจักรเอาแต่เสี้ยมสอนพวกเราอยู่เสมอว่า พวกตนนั้นเป็นผู้ให้ความคุ้มครองพวกเราจากความชั่วร้ายข้างนอกนั่น ปกป้องพวกเราจากชะตากรรมอันเลวร้ายที่ข้างนอกนั่น ย้ำนักย้ำหนาว่าให้พวกเราจงสำนึกบุญคุญภักดีเอาไว้ ย้ำนักให้พวกเราต้องทำนุบำรุงศาสนจักร แต่พอเราขอเพียงอาหารและการดูแลจากพวกเขา เดาสิครับว่าพวกเขาตอบกลับมาว่ายังไง?


    "จงสวดภาวนาผู้มีบาปหนา ความหิวโหยยากไร้ของพวกเจ้านั้นเป็นบททดสอบอีกขั้นที่ พระองค์ทรงต้องการให้พวกเจ้าอดทนผ่านไปให้ได้"


    ทหารเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก เพียงแค่ไปร้องขอเศษอาหารบ้างจากพวกเขา หลายครั้งที่ชาวบ้านที่ไปขอถูกไล่ด้วยดาบและกระบอง บางครั้งที่มีนายทหารบางคนใช้ปืนจัดการกับคนที่ทำท่าต่อต้าน


    พ่อของผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนตราหน้าว่านอกรีต เพราะออกไปชุมนุมเรียกร้องจากท่านเจ้าเมือง ว่าขออาหารและการดูแลจากส่วนกลางมากกว่านี้ได้ไหม? เพียงแค่การทำลายวิหารของกลุ่มคนขาดสติกลุ่มหนึ่ง เพราะไม่พอใจ ที่เอ็กโซซิสต์ในวิหารนั้นออกมาทุบตีชาวบ้าน เพราะขัดขวางไม่ให้พวกเขา ไปทำพิธีในป้อมปราการ ได้นำไปสู่การออกไล่ปราบปรามของเอ็กโซซิสต์และทหารในเมือง ผมเองก็โดนจับไปสอบสวนด้วย แม้ว่าพ่อผมจะพยายามขอร้องพวกเขา เพราะว่าผมยังแค่ 12ในตอนนั้น ก็ตามที


    "......" หยุดเขียนไปหลายนาที


    เอาเป็นว่านั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจลองเสี่ยงดวงกับตำนานนั้นดู พ่อผมนั้นโดนแขวนคอหมู่กับชาวบ้านอีกหลายสิบคน ส่วนตัวผมนั้นโชคดีหน่อย ที่โดนทรมานนิดหน่อย แต่ก็ต้องใช้เวลากว่าปีกว่าผมจะกลับมาเดินได้ หลังจากต้องคลานอยู่นาน แม้จะไม่เต็มที่เหมือนเดิม แต่ก็พอให้ผมได้ทำงานได้บ้าง แม่ผมนั้นเสียไปเมื่อฤดูหนาวที่แล้วจากไข้หวัดใหญ่ น้องๆของผมเองตอนนี้ก็ตามคุณแม่กับคุณพ่อไปเช่นเดียวกัน ยังดีที่ผมได้ช่วยจัดการเรื่องศพของพวกเขา เพราะโดนตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีต ทางวิหารจึงไม่อณุญาติให้ฝังในเขตวิหาร ผมเองก็ไม่มีเงินมากพอเหมือนกัน ผมจึงทำได้แค่เผาร่างพวกเขาไปเท่านั้น


    ผมที่ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยหลังจากเก็บเถ้ากระดูกของน้องๆกับคุณแม่ (ศพของพ่อทางศาสนจักรเอาไปโยนให้ปลาฉลามกินหมดพร้อมกับศพ(พวกนอกรีต)คนอื่นๆ) จัดแจงเก็บข้าวของที่จำเป็นก่อนจะรี่ตรงไปยัง ประภาคารนั่น ด้วยว่าการเดินทางไปในตอนกลางวันจะเป็นการเสี่ยงเกินไป ผมถึงต้องออกเดินทางตอนกลางคืน ในวันที่หมอกลงจัดด้วย


    อีกความน่าสงสัยของประภาคารที่ว่านี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนเหล่าทหารและเอ็กโซซิสต์จะพยายามสอบสวนใครก็ตามที่พยายามไปให้ถึงประภาคารนั่น หรือ จัดการสำเร็จโทษในฐานของพวกนอกรีต การฟังคลื่นประหลาดนั่นก็เช่นกันที่คนฟังที่โดนจับได้จะโดนลงโทษในลักษณะเดียวกัน มีหลายคนเหมือนกันที่โดนจับได้ระหว่างเดินทาง ทั้งแบบไปคนเดียว และ ไปทั้งครอบครัว ผมไม่จำเป็นต้องเล่าให้ฟังหรอกว่าคนพวกนั้นรอดกลับมาจากการสอบสวนหรือไม่?



    การฝ่าทะเลหมอกในวันที่หมอกลงจัด อาจเป็นความคิดไม่ฉลาดนัก หากแต่ด้วยการที่น้ำทะเลลดลงต่ำสุดในช่วงหมอกลงจัด ทำให้เกิดเป็นสันดอนทรายยาวหลายกิโลไปยังเกาะที่ประภาคารนั่นตั้งอยู่ ผมที่อาศัยเสียงจากประภาคารนั่นในการนำทาง ต้องใช้เวลากว่า3ชั่วโมงกว่าผมจะไปถึงเกาะนั่นได้ ระหว่างหล่างทางนั้น มีซากกระดูกมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ผุดขึ้นมาจากทราย ผลของคนที่โดนยิงทิ้งเพราะโดนจับได้ กับ ชาวประมงที่โดนฉลามฆ่าตาย ความกลัวที่แทบจะทะลุล้นออกมา ทำเอาผมขาสั่นตลอดการเดินทาง กระนั้นผมก็สามารถมาถึงเกาะนั่นจนได้


    สิ่งแรกที่ผมสังเกตุ คือกองของกระเป๋าเดินทางจำนวนมากที่กองพะเนินกันรายรอบประภาคาร และสภาพเมือกใสจำนวนมากที่ปกคลุมหลายๆส่วนของเกาะ รอยเลือดนั้นมีให้เห็นประปราย แต่ส่วนใหญ่นั้นสภาพเกาะดูทรุดโทรมจากการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา แต่เป็นแสงไฟที่ส่องมาจากหน้าต่างชั้นบนสุดของตัวประภาคารเอง ที่ทำให้ผมแทบจะลืมลมหายใจไป


    ขานั้นก้าวออกไปเอง ผมสงสัย แต่เสียงที่ผมจำได้ก็แว่วมาจากตัวอาคาร เสียงการถ่ายทอดนั่นไม่ผิดแน่ แต่ทำไมเสียงมันดูตกๆหายๆไม่เหมือนปรกติ ประตูนั้นแม้จะเป็นประตูเหล็ก แต่กลับดูใหม่เป็นอย่างมาก ผมกลั้นใจก่อนจะกระฉากประตูตรงหน้าออก ลมเย็นที่เย็นราวกับน้ำแข็งอาบตัวผมทันทีที่ผมเปิดประตู แสงสว่างจ้านั้้นเจิดจ้าจนผมต้องหรี่ตามอง แต่เป็นเสียงเอะดังลั่นจากภายในที่ทำผมขวัญกระเจิง


    "แกหลอกชั้น ไอ้ปีศาจแกหลอก จะทำอะไรน่ะ ไม่นะ ปล่อย อ้า!! ยะ ปล่อยช้าน อ้ากกก"


    เสียงกระดูกหักดังลั่นพร้อมเสียงแผดร้องเหมือนหนูโดนเหยียบอี๊ด ดังสลับกับเสียงร้องให้หยุดของอย่างน่าหวาดหวั่น ไม่นานนักบางสิ่งก็กระโจนออกมาจากประตูประภาคาร มาล้มกลิ้งต่อหน้าผม


    "ไม่นะ อรั่่กกกก กรุออออ.....หงิ๋งง...แกแคน......แก้แค้นน" เสียงโหยหวนของหมาป่าตัวใหญ่ตรงหน้าผม มันร้องด้วยเสียงหอนที่มีเสียงมนุษย์ปนอยู่ ดวงตามันอาบไปด้วยเลือด ร่างกายที่บิดเบี้ยวไปมา เหมือนครึ่งคนครึ่งสัตว์ มันหันมามองหน้าผมครู่หนึ่ง ก่อนจะกระโจนข้ามตัวผมไป จากเสียงร้องหอนที่ดังมาผมเดาว่ามันน่าจะวิ่งไปบนสันดอน ไปตามเส้นทางเข้าสู่ชายฝั่ง


    "ตัวอะไรกันนน่ะ?" ผมที่นั่งกองอยู่ตรงนั้นมิได้สังเกตุถึงอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย เป็นตอนที่ร่างนั่นมาแตะตัวผม ผมถึงได้รู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย

    "วิญญานที่หลงทางน่ะครับ แต่ว่าพี่ชายมาที่นี่ เพราะการกระจายเสียงนั่นสินะฮะ?"


    ต่อหน้าผม เด็กชายวัยน่าจะราวๆ 14จ้อมมองผมด้วยนัยต์ตาสีอำพัน แววตานั้นดูลึกลับแต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ผมที่กำลังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายถามหรือพูดมากนัก ได้แต่ผยักหน้าอย่างงงๆรับไป กว่าสติที่กระเด็นไปกลับเข้าที่เข้าทางอีกที ก็ตอนที่หนังสือสัญญาถูกยื่นมาตรงหน้าผมแล้ว


    "พี่ชาย ตกลงสิ่งที่พี่ชายต้องการ คืออะไรฮะ?"

    "สิ่งที่ต้องการหรือ?" ผมกระพริบตา ก้มลงมองหนังสือตรงหน้า หนังสือนั้นแม้จะดูโบราณไปบ้างแต่เนื้อความนั่นดึงดูดความสนใจของเขาได้มากกว่า



    สิ่งที่ผมต้องการหรือ? สิ่งที่ผมต้องการ? ต้องการล้างแค้นพวกศาสนจักรกับพวกทหารหรือ ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่ต้องการให้พรที่ผมต้องการเสียไปกับพวกสวะพวกนั้น ให้ครอบครัวผมฟื้นขึ้นมาหรือ ทุกคนตายไปหมดแล้วนี่ แต่เพื่ออะไร? เพื่อมาเผชิญสภาพการกดขี่แบบเดิม ชีวิตแบบเดิมอีกหรือ? พวกเขานั้นไปสบายแล้วเหลือแต่ผมเท่านั้น แล้วผมจะเหลืออะไรอีก? สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ (ไม่อยากให้มีคนอื่นต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก?) งั้นหรือ?


    "พี่ชายตัดสินใจได้ดีนะครับ"

    "!!" ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายในตอนที่ ลายเซ็นของผมมันประทับบนหนังสือสัญญาเป็นตัวสีทองประกาย ทั้งที่ผมไม่ได้ขยับมือเลย

    "พี่ชายรู้สึกเป็นยังไงบ้างฮะ?"

    น่าแปลกทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย ผมกลับรู้สึกสงบและยินดีอย่างน่าประหลาด แต่ความรู้สึกถึงการเคารพเชื่อฟังต่ออีกฝ่ายก็ผุดขึ้นมาในหัว และการที่ผมเผลอก้มหัวให้อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัวนี่ก็ด้วย แต่แทนที่ผมจะสับสนใจการกระทำตัวเอง ความรู้สึกแบบนั้นกลับอ่อนลงเร็วเป็นแค่ความรู้สึกเคยชินขึ้นมาแทน

    "ดีครับ(?) ว่าแต่ท่านคือ(?)"

    "จะเป็นทาสจักรวรรดิแต่อิ่มท้อง หรือ เป็นเสรีชนในศาสนจักรแล้วอดตาย นานมาแล้วมีคนแบบพี่ชายเคยพูดประโยคแบบนี้กับผมนะ"

    ผมนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าจะกล่าวคำใดออกไป กับสิ่งที่เกิดขึ้นผมมีคำถามมากมายอยากจะถาม แต่คำถามเหล่านั้นจุกอยู่คอผมเมื่อเด็กชาย ยื่นถ้วยซุปร้อนๆให้ผม กับ ผ้าคลุมเสื้อของแกให้ผมสวม


    "อย่างที่ผมบอกไป ผมวิคเตอร์ โซโลม่อน ครับ พี่ชาย แม้โมลาเลียจะไม่ใช่บ้านเกิดพี่ชาย แต่ผมหวังว่าพี่ชายและเหล่าคนก่อนหน้าพี่ชาย จะอาศัยและช่วยกันทำให้มันเป็นบ้านที่รักยิ่งของทุกๆคนนะครับ"


    รอยยิ้มของท่านโครโนส บางคนอาจจะว่ามันเป็นการตบตาของปีศาจหรืออะไรพวกนั้น แต่ใครจะว่ายังไงก็ตาม ผมกลับคิดในตอนนั้นว่า ซุปไก่ที่ท่านให้มา มันออกจะเค็มไปเสียหน่อย




    ร้อยเอก ซากามิจิ โคนัทซึ ทหารหลวง รหัสประจำตัว AZ-2025 สังกัดกองกำลังรักษาความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรโมลาเลีย

    บันทึกความทรงจำลงวันที่ 12/03/41




    เข็นออกมาน้อยๆ สำหรับบทละครนองเลือดในอนาคตอันไม่ไกลนัก

    ปล. ซับคาร์ ออกครั้งเดียวจบครับ
  9. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Nightmare of the Sword girl

    “เฮ้ย นั่นใครมานอนขวางทางรถม้าน่ะ เดี๋ยวก็โดนเหยียบตายหรอก ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!!!!”

    ชายผู้คุมรถม้าตะโกนโวยวายหลังจากที่จำต้องหยุดให้กับใครก็ไม่รู้ที่หาญกล้ามานอนกลางวันขวางทางจราจรเช่นนี้
    “แน่ะ เรียกแล้วยังไม่ลุกขึ้นอีก เฮ้ยใครก็ได้ ช่วยเอามันออกไปหน่อย”

    “เอะอะอะไรกัน” ทันใดนั้นสุ้มเสียงเล็ก ๆ อันอ่อนหวานก็ขานขึ้นพร้อมกับเปิดประตูออกมาจากข้างใน ทำให้คนขับถึงกับต้องลดเสียงลงกับท่าทีที่เปลี่ยนไป

    “เอ่อ ขอประทานอภัยขอรับ ท่านอัลรอลเน่ คือว่าเจ้าคนบ้านี่ มานอนขวางทางรถม้าน่ะขอรับ ดีไม่ดีเกิดโดนม้าเหยียบเข้าให้จะว่ายังไง”
    ตัวเขาเผลอหลุดน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นอีกครา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้ามุ่ยแสดงความไม่พอใจของซิสเตอร์ฝึกหัดตัวน้อย

    "อย่าพูดอย่างนั้นสิ ดูแบบนี้แวบเดียวก็รู้ว่าเค้าบาดเจ็บอยู่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ได้ตายแน่"

    "แต่ว่าคุณหนู..."

    "ถ้าเรื่องมากนัก ฉันจะลงไปดูเอง" ร่างเล็กบางดูน่าทะนุถนอมในชุดซิสเตอร์ฝึกหัดสีน้ำเงินโดดลงจากรถม้าโดยไม่ฟังคำทัดทานใด ๆ แล้วรีบวิ่งไปดูร่างของนักเดินทางปริศนาขึ้นมา

    แม้จะเห็น ๆ ว่าสิ่งที่สะพายอยู่ข้างเอวนั้นเป็นอาวุธดาบ แต่เด็กสาวก็ดูไม่ได้หวั่นใจอะไรกับสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรถ้านักเดินทางจะพกพาอะไรไว้เพื่อป้องกันตัว

    "เป็นอะไรมากหรือเปล่า อ๊ะ" สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็มิใช่อะไร นอกจากเมื่อตอนที่เธอพยุงนักเดินทางร่างสูงขึ้นมา ฮูดที่เผอิญหลุดไปทางด้านหลังพอดีเผยให้เห็นทรงผมบ็อบสั้นสีน้ำตาล และรูปร่างหน้าตาที่เธอรับรู้ได้ทันทีว่าเป็น "ผู้หญิง"

    เธอคนนี้เป็นนักดาบหญิงงั้นเหรอ แม้ว่าดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบเจ็ดปี ส่วนสูงก็สูงพอ ๆ กับพวกผู้ชาย อาวุธที่พกพาหากไม่นับอาวุธลับที่เห็นซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม ก็คือดาบที่มีรูปทรงในแบบตะวันออก

    ทว่าแม้ภายนอกจะดูไม่มีบาดแผลอะไร แต่ซิสเตอร์ฝึกหัดอย่างเธอก็ยังพอดูออกได้จากลมหายใจที่แผ่วเบา ว่าอาการของนักดาบสาวกำลังสาหัส และต้องเป็นมากกว่าการไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแน่ ๆ หากปล่อยไว้แบบนี้มีหวังได้ตายกันจริง ๆ พอดี

    "คาร์ลอส มาช่วยที ชั้นจะพาเค้าคนนี้ไปรักษาที่โรงเรียนศาสนจักรด้วย"

    “ตะ...แต่ว่า คุณหนู”

    “ในฐานะคนของศาสนจักร ไม่สิ คนที่อุทิศตนแก่พระเจ้าแล้ว ฉันปล่อยให้เค้าตายไม่ได้ เร็วเข้า”

    “ข...ขอรับ”
    สุดท้ายเมื่อไม่อาจเถียงบุตรสาวของคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ได้ ชายหนุ่มผู้ขับรถม้าก็จำต้องช่วยเหลือตามคำสั่งของท่านหญิงน้อย

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    “ในที่สุด ฉันก็ตามหาแกเจอจนได้”

    หญิงสาวร่างสูงเพรียวกระชับดาบคาตะนะในมือแน่น ในขณะที่พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมจังหวะการหายใจให้เป็นปกติ ซึ่งเป็นการยากเมื่ออยู่ต่อหน้าแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากบุรุษเกราะสีดำ ชายที่เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเธอมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น

    “โฮ่ ก็คุ้น ๆ อยู่ว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง”
    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเผยดวงตาสีแดงที่แลดูเหมือนเลือด ท่าทางการทักทายที่ดูเป็นธรรมชาติเหมือนไม่คิดอะไรนั้น ช่างขัดแย้งกับศีรษะเหยื่อเคราะห์ร้ายที่อยู่ในมือ ไม่สิ ไม่เพียงเท่านั้น พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยแอ่งโลหิตและซากศพของเหยื่อจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาด ทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนที่จับอาวุธขึ้นสู้และคนที่พยายามหลบหนี หรือพูดง่าย ๆ คือ ทุกคนในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อต้องตกเป็นเหยื่อของปีศาจร้ายในคราบคน ผู้สวมใส่ชุดเกราะมังกรและผ้าคลุมสีดำทะมึน
    แม้นี่จะเป็นยามกลางคืน แต่บรรยากาศมันก็ดูมืดมนและสยดสยองมากเกินกว่าจะเรียกว่าปกติได้ คงเป็นเพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากฆาตกรโฉดผู้นี้นี่เอง ไม่สิ เรียกอย่างนั้นอาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
    “ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะ ตั้งแต่วันนั้นแล้วสิ”

    “หุบปาก!” เด็กสาวที่อายุเพียง 17 แม้จะมีส่วนสูงเหมือนผู้ชายมากกว่านั้นตะโกนลั่น แม้เพียงนี้ยังเหมือนแทบจะฝืนลำคอ ไม่ใช่แค่เพราะสภาพอากาศที่เย็นเยียบชวนขนลุกเท่านั้น แต่เป็นเพราะแรงกดดันของอีกฝ่ายตรงหน้าที่ทำให้ขนาดแค่หายใจยังลำบาก
    “จากที่เมืองของชั้นแล้วยังเป็นที่นี่ ไม่สิ ก่อนหน้านี้ก็อีกตั้งมากมาย ทำไมกัน....คนพวกนี้ไปทำอะไรให้แกรึไง” สุ้มเสียงอันแข็งกร้าวสำหรับผู้หญิงนั้นผสมไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยวและแค้นเคือง

    “ก็แค่พวกมนุษย์ชั้นต่ำพวกนี้บังอาจทำให้คนอย่างฉันหงุดหงิด ก็เลยต้องเอาคืนพวกมันนิดหน่อยเท่านั้นเอง หึหึหึ”
    นอกจากไม่ได้มีท่าทีสำนึกในใจแม้แต่น้อยแล้ว บุรุษเจ้าของผมสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ และดวงตาสีแดงก่ำ พูดอย่างภาคภูมิใจราวกับตัวเขาเพิ่งเทยาฆ่าปลวกลงในรังอย่างไม่รู้สึกอะไรเท่านั้น

    "นิดหน่อย....นิดหน่อยงั้นเหรอ" น้ำเสียงของเด็กสาวสั่นเล็กน้อย เช่นเดียวกับแขนที่กุมดาบแน่น เธอไม่ได้สั่นเพราะกลัว ตรงกันข้าม เธอโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด เพราะเท่าที่เดินทางผ่านที่โน่นที่นี่ทีมา พบเห็นคนทั้งดีและเลวปะปนกันไปมาพอสมควร แต่ก็ไม่เคยเห็นคนที่เลวทรามและต่ำช้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

    "โฮ่ จะเอารึ ว่าแต่ทำเพื่ออะไรล่ะ เพื่อแก้แค้นฉัน หรือว่าทำเพื่อเศษหนอนแมลงพวกนี้"

    "เงียบไปเลย!!!!" นักเดินทางสาวเริ่มออกเท้าวิ่งเข้าหาพร้อมกับเงื้อดาบในมือเข้าฟาดฟันอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ประกายอันคมกริบของ "มุราซาเมะ" ส่องวิบวาบพร้อมกับเพลิงแ้ค้น

    แกร๊ง!
    ทว่า เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ "เพนบริงเกอร์" ดาบมารสีดำปรากฎขึ้นในมือของบุรุษลึกลับจากความว่างเปล่า แม้จะดูเป็นดาบใหญ่แต่กลับถูกถือด้วยมือข้างเดียว และยังใช้ปัดป้องดาบของหญิงสาวอย่างง่ายดาย
    "เธอสู้ฉันไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันข้างหน้า"

    "ลิ้นโอหังนั่น ชั้นจะสับเป็นท่อน ๆ ให้ดู!!!!"

    เสียงปะทะกันระหว่างดาบทั้งสองเล่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทว่าฝ่ายชายหนุ่มดูท่าทางเหมือนกำลังหยอกเหย้าอีกฝ่ายเล่นเสียมากกว่า ตรงข้ามกับเด็กสาวที่ไม่ว่าจะโถมตัวเข้าฟาดฟันอย่างจริงจังเท่าใด ก็มิอาจทำอะไรคู่ต่อสู้ได้แม้แต่น้อย

    "แรงใช้ได้นี่..... สำหรับเศษสวะล่ะก็นะ"

    ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายเอาแต่ดูถูกเธออยู่ได้ แต่นั่นแหละที่เธอสังเกตเห็นช่องว่าง และฟาดดาบลงในแนวดิ่ง กะว่าอย่างน้อยก็ขอใบหูของคนโฉดก่อนสำหรับดาบแรก

    แกร๊ง!!!

    ทว่าสิ้นเสียงเหล็กกระทบชั่วเสี้ยววินาทีนั้น กลับเป็นฝ่ายดาบที่เด็กสาวเชื่อมั่นเองที่ปลิวเคว้งอยู่ในอากาศ ก่อนที่จะตกลงสู่พื้นข้าง ๆ หนึ่งในซากศพเคราะห์ร้าย

    ทว่าเธอไม่มีเวลามัวตกตะลึง สัญชาตญาณเอาตัวรอดพาให้เธอรีบดึงตัวหลบคมดาบอันรวดเร็วชนิดมองแทบไม่ทันก่อนจะถึงตัว และต้องรีบกระโดดถอยห่างออกมาเพื่อเลี่ยงการจู่โจมต่อเนื่อง

    "หึ ขนาดไม่เอาจริงแต่หลบได้ขนาดนี้ก็ดีนะ แต่ว่ารอยสักนั่นน่ะ"
    เด็กสาวได้ยินจึงรู้ตัวว่า แม้เธอจะหลบได้ แต่อกเสื้อของเธอก็ถูกฟันเป็นรอยขาดเข้าพอดี ด้วยสัญชาตญาณจึงรีบเอามือปิด แต่นั่นเท่ากับว่าถูกหมอนั่นเห็น “รอยสัก” เข้าแล้ว

    “รู้สึกว่าฉันเองก็เคยได้ยินถึงมันเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เห็นเป็นบุญตาสักที ถ้าอย่างนั้น ใช้ “มัน” ซะสิ”
    สีหน้ายิ้มเยาะอย่างโรคจิต รวมถึงแววตาที่ดูกระหายเลือดมากกว่าหื่นกามนั้น ยิ่งทำให้อารมณ์ฉุนขาดของเด็กสาวเพิ่มเป็นทวีคูณ ไม่ใช่แค่เพราะความอาย แต่เป็นเพราะ “หมอนี่เท่านั้น” ที่ยังไงก็ไม่มีวันให้อภัย
    “เอ้า ใช้มันซะสิ เธอมีไว้เพื่อการนั้นเองไม่ใช่เหรอไง”

    แต่ในฐานะนักดาบ แม้จะแค้นเคืองแค่ไหนก็ตาม เธอก็ยังพอฉุกคิดได้ว่าอย่าหลงกลมันเด็ดขาด เพราะหากเผลอนิดเดียวอาจหมายถึงชีวิต

    “หึ ถ้าอย่างนั้น เอางี้ ในฐานะที่เราก็คนเก่าคนแก่ที่รู้จักกันมานาน จากวินาทีนี้จนกว่าจะรู้ผล ฉันจะไม่ขอขยับจากตรงนี้แม้แต่ก้าวเดียว และจะไม่ขอชิงลงมือก่อนเด็ดขาด”

    แม้ว่าเด็กสาวจะพยายามชั่งใจไว้ไม่ให้หลงเชื่อคำพูดแบบนั้น แต่ทางนั้นเองก็ยังคงพูดยั่วไม่มีหยุด
    “ไม่เชื่อชั้นงั้นหรือ ถ้างั้นพูดตามตรงนะ เธอในตอนนี้ต่อให้คิดจะไปเก็บดาบเล่มเดิมนั่นมาใช้อีกทีก็ไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก นอกจากนั้นหากฉันจะฉวยโอกาสฆ่าเธอขณะที่เป็นเป้านิ่งแบบนั้น ฉันคงทำตั้งแต่เธอไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ แล้วก็ ฉันก็อยากเห็นอาวุธเวทของเธอเหมือนกัน ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ถ้าเธอไม่ทำ ฉันคงต้องปลิดชีพเธอทั้งแบบนี้แล้วล่ะนะ”
    “เอ้า เรียกมันออกมาซี่ หรือว่าไม่อยากแก้แค้นฉันแล้ว หรือเพราะเธอเลิกล้มที่จะล้างแค้นให้หนอนแมลงพวกนั้นแล้วกันล่ะ”

    “ชิ ก็ได้ แต่แบบนั้นแกจะต้องเสียใจ”
    เมื่อโดนยั่วโมโหมากขนาดนี้ ประกอบกับความจริงที่ว่าเธอคงไม่มีวิธีอื่นที่จะเอาชนะหมอนี่ได้ แถมต่อให้ที่นี่จะเป็นซากหมู่บ้านที่มีศพกองพะเนิน แต่จะให้ซ่อนตัวก่อนจากสภาพตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอก็ได้แต่ต้องจำยอมที่จะรับคำท้าของมัน อีกอย่างถ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของมันดี ๆ ก็น่าจะยังมีโอกาสหลบเลี่ยงทัน
    เด็กสาวถอดผ้าคลุมไหล่ของตนโยนทิ้งไป และปล่อยมือออกจากอกแต่ยังคงไว้ตรงหน้า พร้อมกับมืออีกข้างที่มาทำท่ารวบรวมพลังเวทที่ระดับอก ทันทีที่เธอเริ่มเอ่ยปากร่ายบทคาถา พลันรอยสักอาคมบนเนินอกที่เผยให้เห็นเป็นรูปร่างคล้ายดาบก็เริ่มเปล่งแสงสว่างวาบ

    “คมเขี้ยวที่ผงาดขึ้นเย้นภูผาสวรรค์ สายฟ้าพิพากษาเสด็จลงจากเบื้องบน มอบความกลัว สิ้นหวัง และฉุดสัตว์ร้ายแห่งผืนโลกลงสู่ห้วงอเวจีในพลัน ในฐานะของคมดาบแห่งข้า ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ คนนี้!!!”

    แม้สิ้นคำพูด แต่การรวบรวมกลุ่มก้อนพลังเวทยังคงดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันเธอก็ยังคงไม่ลืมที่จะจับผิดการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม น่าแปลกที่คนอย่างมันทำตามที่พูดง่าย ๆ ไม่ได้มีท่าทีแม้แต่จะขยับปลายนิ้วก้อย ดาบในมือยังคงปลายจรดดินอยู่อย่างนั้นราวกับไม่คิดจะเตรียมตั้งรับอะไรเลย

    แต่แล้วเป็นไง สุดท้ายมันเองที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจภายหลัง ถ้าหากมันคิดจะรอให้การอัญเชิญสิ่งนี้สำเร็จจริง ๆ

    ผ่านไปราวหนึ่งนาทีกว่า ๆ น่าประหลาดที่หมอนั่นเอาแต่ยิ้มเยาะเหมือนคิดดูถูก โดยไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นจนคิดจะเปลี่ยนใจจากที่ตกลงกับเธอเลย แต่นั่นแหละ ที่ทุกอย่างเรียบร้อยพอดี
    "ปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความว่างเปล่า ด้วยนามของเจ้าที่จะฟาดฟันแม้แต่มังกรร้าย ซันริวโต"

    กลุ่มก้อนพลังเวทที่หลอมรวมกันได้กลายเป็นแท่งใหญ่ และเริ่มมีรูปทรงที่ชัดเจนขึ้น เมื่อได้ทีแล้ว มือทั้งสองของเด็กสาวยื่นจับส่วนที่ดูเป็นด้ามเอาไว้ในทันที และแสงที่ห่อหุ้มก็สลัดออกในพริบตา เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของ “ศาสตราเวท” ที่เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ

    “โฮ่ นั่นเหรอ ไพ่ตายของเธอ” ใบหน้าที่ดูหัวเราะอย่างโรคจิตนั้นดูเหมือนแทบไม่ซีเรียสอะไรกับสิ่งที่อยู่ในมือเธอเรียบร้อย ณ บัดนี้เลย

    “แกได้เสียใจไปจนตายแน่ ที่รอให้ชั้นได้ใช้มันจนถึงตอนนี้”
    ดาบที่ทสึกึคาเงะ ฮายาเตะ เจ้าของสมญา “ดาบใต้แสงจันทร์” เรียกออกมานั้น มีความยาวโดยรวมถึง 7 ศอก หากนับเฉพาะใบดาบที่กว้างและใหญ่โตกว่าปกติมากนั้นก็ยาวถึง 3 เมตรแล้ว นอกจากนี้ลักษณะของคมดาบยังเป็นฟันฉลาม เรียกว่าไม่เกินความจริงเลยที่เธอเคยใช้มันโค่นมังกรตัวยักษ์ใหญ่ได้ในดาบเดียวมาแล้ว

    “ถึงจะสำนึกผิดและร้องขอชีวิตตอนนี้ก็สายไปซะแล้ว มาลิค เฟียร์เซส” ดวงตาสีเขียวอ่อนเบิกขึ้นอย่างเย็นเยียบและดุดันในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นก็ราวกับมีึคลื่นพลังมหาศาลแผ่ออกจากร่างของเด็กสาวที่กระชับด้ามดาบเล่มยักษ์ด้วยสองมือ ซึ่งรุนแรงถึงขนาดทำให้พื้นดินรอบ ๆ และสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเลือดหรือซากศพของชาวบ้านล้วนปลิวกระเด็นออกไป

    แม้เด็กสาวจะถอยห่างออกจากตัวมาลิคมาค่อนข้างไกล แต่คลื่นพลังนั้นยังส่งมาทำให้ผมเผ้าสีน้ำเงินเ้ข้มนั้นสั่นไหว แต่ทว่าท่าทีของเขากลับยังมีเพียงรอยยิ้มแสยะ และดวงตาที่เบิกกว้างจนเห็นเส้นเลือดได้

    "รับการลงทัณฑ์ไปซะ!!!"
    เด็กสาวเจ้าของผมบ็อบสั้นสีน้ำตาลเข้มขณะนี้ทุ่มกำลังทั้งหมด เงื้อดาบที่ทั้งใหญ่และหนักเกินกว่าคนทั่วไปจะถือได้ขึ้นไปด้านหลัง พร้อมกับกระโดดขึ้นฟ้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ

    "ริวโอซัน" 「竜王斬」 (เพลงดาบผ่ามังกรราชันย์)

    คมดาบขนาดยักษ์ฟาดแหวกอากาศลงเข้าสู่เป้าหมาย ที่ดูเหมือนจะยังยืนกรานว่าจะไม่ก้าวหลบไปไหน รอรับการโจมตีที่รุนแรงและหนักหน่วงหมายเผด็จศึกในดาบเดียว

    ทว่า ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

    "บ....บ้าน่า"
    เด็กสาวถึงกับกระอักเลือดออกทางปาก เรี่ยวแรงทั้งหมดถึงกับหดหายไปเพียงพริบตาเดียว ร่างสูงสะองที่ลอยอยู่กลางอากาศถึงกับร่วงหล่น โดยที่ไม่อาจแข็งใจกุมดาบในมือไว้ได้อีก และกระทบพื้นอย่างรุนแรง

    สาเหตุอาจอยู่ที่ตัวดาบ "ซันริวโต" ที่เธอใช้ทั้งความพยายามและความมุ่งมั่นที่จะล้างแค้นสร้างมันออกมาด้วยพลังเวทที่มีอยู่ไม่มากนักสำหรับพวกนักรบอย่างเธอ บัดนี้ใบดาบที่ดูหนาและแข็งแกร่งกว่าอาวุธที่คนทั่วไปจะใช้งานได้ถึงกับถูกฟันขาดช่วงกึ่งกลาง แยกออกเป็นสองท่อน และค่อย ๆ สลายกลายเป็นสะเก็ดแสง
    เนื่องจากเป็นศาสตราเวทแบบเก่าแก่ที่อาศัยพลังเวทและพลังชีวิตส่วนหนึ่งของเจ้าของสร้างขึ้นมา หากมันได้รับความเสียหายอย่างหนัก ผลกระทบนั้นจะส่งถึงตัวผู้ครอบครองด้วยนั่นเอง

    ในขณะที่มาลิค เฟียร์เซส ฆาตกรชั่วที่ไม่ได้ขยับไปไหนสักก้าวเดียว ทำท่าเหมือนเพียงกวัดแกว่ง "เพนบริงเกอร์" ครั้งเดียวเท่านั้น ดาบมารที่ดูขนาดต่างจากดาบยาวทั่วไปสักเท่าไหร่นั้นกลับสามารถทำลายอาวุธขนาดใหญ่ได้โดยง่าย บ่งบอกว่าทั้งตัวดาบและผู้ถือครองเองนั้นก็ไม่ธรรมดา แถมยังดูก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปไกลกว่าเด็กสาวอยู่หลายขุมทีเดียว

    สติของจอมดาบสาวเริ่มเลือนราง ภาพสุดท้ายและเสียงที่เธอได้ยินก่อนจะสิ้นสติไปนั้น มีเพียงใบหน้าที่ยิ้มเยาะเย้ยและแววตาอันน่าสะพรึงกลัวที่มองอย่างดูแคลน ที่เดินจากไปโดยไม่คิดจะปลิดชีพเธอตามชาวบ้านคนอื่น ๆ ไปอย่างที่มันทำในอดีตแม้แต่น้อย

    ทว่าเวลานี้แม้แต่นักดาบที่อาจไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนักอย่างเธอก็รู้ได้ ว่าที่หมอนั่นทำ ไม่ใช่เพราะสงสารหรือเห็นใจ

    แต่เป็น การดูถูกเหยียดหยามเกียรติของนักรบอย่างที่สุด ว่าคนอย่างเธออ่อนแอขนาดไม่มีค่าพอจะเสียแรงลงดาบต่างหาก

    โธ่เอ๊ย ขอแค่ร่างกายของเธอยังมีเรี่ยวแรงพอจะทำตามคำสั่งของจิตใจล่ะก็.....

    ............
    หลังจากที่ฝันร้ายที่ฉายภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานได้แทบมิผิดเพี้ยน เด็กสาวสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ดวงตาที่ลุกโพลงกระทันหันฉายภาพของเพดานสีขาวในห้อง ๆ หนึ่ง ที่เธออยู่ตอนนี้

    เธอพยายามฝืนตัวลุกขึ้น แม้ร่างกายจะยังไม่ค่อยมีแรงเท่าที่ควร เท่าที่สำรวจตัวเองดูพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงพยาบาล แสดงว่าที่นี่ต้องเป็นห้องพยาบาลแน่ ๆ และใครบางคนเปลี่ยนชุดให้เธอเป็นชุดผู้ป่วยหลวม ๆ สบายตัวให้

    เท่าที่พอนึกออก หลังจากที่พ่ายแพ้ จำไม่ผิดน่าจะไม่เกินเมื่อวันวาน เธอได้แต่ระหกระเหินเร่ร่อนจนมาถึงเมือง ๆ หนึ่ง ด้วยความอ่อนล้า และผลกระทบจากการที่ศาสตราเวทที่อาศัยทั้งพลังเวทและพลังชีวิตส่วนหนึ่งของเธอในการสร้างไปด้วยนั้นถูกทำลายลงง่าย ๆ เพียงแค่ “ชายผู้นั้น” ลงมือทีเดียว ทำให้เธอแทบจะตายมันตรงนั้นทันทีแล้วแท้ ๆ

    แล้วใครล่ะ ที่พาเธอมาที่นี่ แล้วที่นี่มันเป็นที่ไหนกันแน่

    “รู้สึกตัวแล้วเหรอเจ้าคะ”
    ทันใดนั้นสุ้มเสียงอ่อนหวานก็ลอดผ่านหูเธอ เมื่อหันไปหาเจ้าของเสียง พบว่าเป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็ก แต่มีผมสีดำยาวถึงน่อง และตาสองข้างที่สีไม่เหมือนกัน แดงข้างหนึ่ง ทองข้างหนึ่ง ในเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนจะเป็นซิสเตอร์

    อาจเป็นจะด่วนสรุปเร็วไปหน่อย แต่หญิงสาวก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ที่นี่อาจจะใช่โรงเรียนศาสนจักรที่เธอตามหา

    หากเป็นเช่นนั้นก็ดี เพราะครั้งหนึ่งเธอเองก็อยากเข้ามาเรียนที่นี่ เพราะได้ยินว่ามีคนดีมีฝีมือเก่งกาจอยู่มากมาย และอาจจะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่สักวัน..... เธอจะต้องล้างแค้นให้พี่สาว อาจารย์ และทุกคนที่ต้องตายด้วยมือของหมอนั่น

    “ว่าแต่ที่นี่คือ....” ฮายาเตะถามเด็กหญิงอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าลางสังหรณ์ของเธอถูกต้องหรือไม่
  10. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ราวกับถูกสูบพลังชีวิตไปเลยทีเดียว อ่านตอนยาวๆสองตอนรวด ฉลองเน็ตหอพักใช้ได้เนี่ย.... OTL
  11. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เพื่อไม่ให้สับสนเรื่อง timeline (เนื่องจากอัลรอลเน่ไปถึงเมืองหลวงก่อนหน้าตอนนี้แล้ว) เพราะงั้นขอกำหนดให้เนื้อเรื่องตรงนี้เป็นก่อนที่อัลรอลเน่จะเข้าไปถึงเมืองหลวงแทนนะคับ (แปลว่าปัจจุบันฮายาเตะก็ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นแล้วนั่นล่ะ)
  12. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    ซิสเตอร์สาวในชุดฝึกหัดสีน้ำเงินนั่งอยู่ข้างๆกับเตียงผู้ป่วยภายในห้องพยาบาลของโรงเรียน ที่นั่งอยู่บนนั้นคือเด็กสาวผมบ็อบสั้นสีน้ำตาลซึ่งกำลังกินบะหมี่ถ้วยที่สามอย่างหิวโหย อัลรอลเน่กำลังนึกถึงเมื่อตอนที่นำตัวเด็กสาวผู้นี้มาตอนแรกนั้น แม้ว่าบาดแผลภายนอกจะไม่มีเลยก็ตาม แต่บาดแผลภายในร่างกายนั้นบอบช้ำเสียจนน่าประหลาดใจที่นางทนเดินทางมาถึงเมืองหลวงแห่งนี้ได้โดยปลอดภัย

    หลังจากที่จัดการกับบะหมี่ถ้วยที่สี่เสร็จ เด็กสาวผู้นั้นก็หันมาทางอัลรอลเน่ที่นั่งจ้องมองนางอย่างสงบมาตั้งแต่นางตื่นจนถึงปัจจุบัน


    “เรื่องเมื่อครู่นี้.....”เธอเกริ่นขึ้นมาก่อน อัลรอลเน่เอียงคอเล็กน้อย “ขอบคุณมากนะ”


    อัลรอลเน่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เด็กสาวอดรู้สึกสงสัยในความเงียบเชียบของซิสเตอร์คนนี้ไม่ได้


    “ฉันชื่อว่า ทสิกิคาเงะ ฮายาเตะ ...แล้วเธอล่ะ...”


    “อัลรอลเน่...อัลรอลเน่ แซงค์ลุกซ์เชี่ยนวาเลนติโน่”


    ....และดูเหมือนจะจบบทสนทนาเพียงเท่านี้....


    “เจ้าเองก็ดูแข็งแรงขึ้นมามากแล้ว รวมถึงข้าเองก็มีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปทำ คงต้องขอตัวก่อน เจ้าพักผ่อนจนกว่าจะค่อยยังชั่วขึ้น แล้วค่อยออกเดินทางต่อไปก็แล้วกัน”


    อัลรอลเน่กล่าว นางลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวน้อยๆ


    “เดี๋ยวก่อน อัลรอลเน่!!!” ใช่แล้ว..เธอมีเรื่องอยากจะถาม....เรื่องสำคัญจริงๆ ถ้าเป็นคนๆนี้ละก็....


    “อัลรอลเน่เธอน่ะ... เป็นนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ใช่มั้ย”


    อัลรอลเน่พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงยอมรับ


    “ถ้าจะไม่เป็นการรบกวน...ฉันเองก็อยากจะเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ด้วย!” ฮายาเตะกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง อัลรอลเน่เบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจ


    “โรงเรียนของเราได้มีการสอบคัดเลือกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะเข้า...คงจะต้องรอปีหน้าเสียแล้วล่ะ”


    “แต่ว่า...ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อที่จะมาเข้าโรงเรียนแห่งนี้!” ฮายาเตะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เธอรู้ว่าการขอร้องผู้อื่นให้ช่วยแบบนี้..และยิ่งเป็นผู้ที่มีพระคุณกับเธอแบบนี้อีก อาจจะเป็นการเสียเกียรติ แต่ว่า...เธอกลับรู้สึกว่า เธอน่าจะไว้ใจในตัวของซิสเตอร์ผู้นี้ได้


    “...ข้ารู้สึกชอบใจความมุ่งมั่นของเจ้าดี...ถ้าเช่นนั้นละก็...” นางทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าพอจะนึกวิธีอยู่วิธีหนึ่งได้แล้วล่ะ”


    ////////////////////////////////////////////

    หลังจากขอตัวออกมาจากห้องพยาบาลแล้ว อัลรอลเน่ก็ก้าวฉับๆไปตามระเบียงทางเดิน มุ่งหน้าเข้าไปอีกเส้นทางหนึ่งก่อนที่จะลงบันไดไปอีกชั้น และเดินไปจนสุดทางเดิน นางค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่ ก็เพราะว่าคาร์ดินัลฟรังซิสมักจะพานางมาช่วยทำงานที่นี่บ่อยครั้งเช่นกัน
    ตรงสุดทางเดินนั้นเอง มีห้องขนาดเล็กอยู่เรียงรายและมีอาจารย์เดินกันควักไคว่ สถานที่แห่งนี้คือห้องพักของอาจารย์นั่นเอง ที่นี่จะพิเศษกว่าที่อื่นๆตรงที่ว่า ห้องพักของอาจารย์แต่ละคนจะถูกทำให้แยกเป็นห้องๆรายคนไปตามแผนกต่างๆอีกทีหนึ่ง

    อัลรอลเน่เดินเข้าไปยังแผนกสาขาวิชาเวทมนต์ และมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่งที่ประตูกำลังแง้ม พอมองลอดเข้าไปได้ เจ้าของห้องกำลังนั่งขัดดาบขนาดใหญ่อยู่ภายในห้อง ซิสเตอร์สาวจึงผลักประตูเปิดเข้าไป

    ภายในห้องมีโต๊ะทำงานเก่าๆที่มีเอกสารกระจัดกระจายเรียงกันไม่เป็นระเบียบ และตลับใส่น้ำมันสำรับขัดมันอาวุธวางอยู่เกลื่อนกลาด ตู้หนังสือที่มีใยแมงมุมขึ้นเกาะอยู่ทั่วและเต็มไปด้วยฝุ่นอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่มุมห้องข้างๆกับโต๊ะทำงาน และมีหนังสือไม่ถึงสิบเล่มวางอยู่บนนั้น เก้าอี้กับโต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่ข้างๆก็ดูทรุดโทรมใกล้พังเต็มทน และตามกำแพงก็มีอาวุธระดับสูงๆแขวนโชว์อย่างสวยงาม ราวกับจะตั้งขู่ผู้มาเยือน


    “สวัสดี...ท่านเบนิออส”


    อัลรอลเน่กล่าวทักทายเจ้าของห้อง ซึ่งก็คือผู้คุมสอบสุดโหดประจำโรงเรียนนั่นเอง


    “ว่าอย่างไร ท่านซิสเตอร์เซซีลีอา มีปัญหาอะไรในโรงเรียนหรือ?”


    เบนิออสถามขึ้น พลางลุกขึ้นยืนและนำดาบเข้าไปเก็บไว้ในที่ตั้งโชว์บนกำแพงด้านหลังเก้าอี้ของเขา


    “ข้าแค่อยากจะมาสอบถามเล็กน้อย เกี่ยวกับการนำเด็กใหม่เข้ามาเป็นนักเรียนของที่นี่คนหนึ่งน่ะ”


    เบนิออสหันกลับมาด้วยสีหน้าดุดัน แต่ก็ยังไม่ทำอัลรอลเน่หวาดกลัวไปได้


    “เด็กใหม่อย่างนั้นหรือ!!? ทางโรงเรียนเราไม่มีกฎรับเด็กใหม่หลังสอบแบบนี้มาก่อนนะ!?”


    “ข้าทราบกฎนั้นดีท่านเบนิออส...แต่คนๆนี้ข้าอยากจะขอไว้คนหนึ่ง..แค่แก้ไขอะไรนิดหน่อยในแฟ้มเอกสารข้อมูลการรับสมัครนักเรียนและรายชื่อนักเรียนที่สอบผ่านเท่านั้น...”


    “ท่านพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายอย่างนั้นล่ะ!! จำนวนนักเรียนที่สอบผ่านแต่ละสาขาถูกส่งไปหมดแล้ว ข้าแก้ไขอะไรไม่ได้ และถึงมี ข้าก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน!!!”


    อัลรอลเน่ถอนหายใจ...ถึงแม้ว่านางจะรู้ดีว่าสิ่งที่นางกำลังจะทำเป็นเรื่องที่ผิด แต่นางก็กลับมีความรู้สึกที่ไม่อยากจะยอมแพ้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำไมนางถึงอยากจะให้ฮายาเตะเข้าโรงเรียนถึงขนาดนั้น? คงจะเป็นเพราะเด็กสาวผู้นั้นมีลักษณะคล้ายกับนางในบางเรื่องกระมั้ง?


    “น่าเสียดายจริงๆ...เด็กคนนี้น่ะพระคาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดรฝากฝังข้ามาอีกทีหนึ่ง...ท่าทางท่านคงจะผิดหวังอยู่ไม่น้อย”


    ขอโทษนะ...ซานโดร...อัลรอลเน่ยิ้มกริ่มภายในใจ แต่ใบหน้าก็ยังคงนิ่งสงบเช่นเคย


    “ท่านอเล็กซ์ซานโดร!? เลขานุการประจำพระสันตะปาปานั้นน่ะหรือ!?”


    เมื่อเบนิออสได้ยินนามของพระคาร์ดินัลที่มีหน้าที่สำคัญแบบนั้น ท่าทีก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


    “ใช่ พระคาร์ดินัลผู้นั้นล่ะ ท่านไปพบกับเด็กคนนี้มาเมื่อวันก่อน นางมาสอบไม่ทันภายในศูนย์สอบทั้งหมด และนางดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ที่ดีมาก ท่านจึงสนใจและอยากจะให้เข้ามาเรียนที่นี่น่ะ”


    อัลรอลเน่กำลังคิดวางแผนว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วนางควรจะเข้าไปสารภาพบาปเป็นการใหญ่อย่างแน่นอน...


    “ถ้าเป็นท่านผู้นั้นฝากฝังมา ข้าคงจะปฏิเสธไม่ได้...ถ้าเช่นนั้น....ข้าจะลองจัดการตามที่ข้าพอจะทำได้ก็แล้วกัน...”


    “ขอบคุณท่านมาก ท่านเบนิออส”


    “แต่...ถึงพระคาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดรจะฝากฝังมา...แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นฝีมือของเด็กคนนั้นมาก่อน...เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะมีการทดสอบเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น ข้ามีเงื่อนไขว่าถ้าเด็กคนนั้นชนะในการทดสอบนั้น ข้าก็จะบรรจุรายชื่อนางลงไปในบรรดาผู้สอบผ่านทันที..แต่ถ้าไม่ผ่านการทดสอบ ข้าเกรงว่า...จะไม่ได้...”


    “ข้อเสนอของท่านน่าสนใจดี...ตกลง...ข้ายอมรับข้อเสนอของท่าน...ขอบคุณมาก”


    อัลรอลเน่กล่าวพร้อมกับโค้งคำนับแล้วเดินออกไปจากห้องของเบนิออส

    ////////////////////////////////////////////

    “ตอนนี้ เราได้ชมการต่อสู้ของบรรดานักเรียนจากโรงเรียนของเราไปก็มากมายแล้ว ถึงเวลาเข้าสู่ช่วยสุดท้ายของการประลองแล้วล่ะครับ!!! กับคู่สุดท้าย ซิสเตอร์อัลรอลเน่ แซงค์-ลุกซ์เชี่ยนวาเลนติโน่ กับคู่หูของนาง ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ จากสาขาศาสตรา และ เฮนริเอ็ตต้า จูลีเอต จากสาขาศาสตราเวทย์ กับคู่หู เพทรูชก้า ฟอร์เนสต้า จากสาขาศาสตราครับ!!!”


    สิ้นเสียงประกาศ ก็ได้ยินเสียงดังอื้ออึงมาจากที่นั่งของผู้ชมแทบจะทันทีนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าชื่อของอัลรอลเน่ถูกประกาศขึ้นก็เป็นได้


    ในขณะนั้น ที่พักของผู้ประลอง อัลรอลเน่กับฮายาเตะลุกขึ้นยืน ทั้งสองเตรียมตัวมาเต็มที่


    “เจ้าไหวนะ? ฮายาเตะ”


    “สบายมาก...พลังจากโฮปช่วยให้ฉันฟื้นพลังได้ขึ้นมาเยอะเลย”


    “ต้องขอโทษด้วย...กับเงื่อนไขแปลกๆนี้น่ะ”


    “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนินา! ไม่มีเรื่องอะไรที่ได้มาง่ายๆอยู่แล้วนินา! และการประลองแบบนี้ล่ะ ที่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าฉันสามารถเข้าโรงเรียนแห่งนี้ได้แน่นอน!!!”


    ฮายาเตะพูดอย่างหนักแน่น อัลรอลเน่อมยิ้มน้อยๆ นางรู้สึกชอบใจกับสปิริตของเด็กสาวร่างสูงผู้นี้


    หลังจากการสนทนาจบลง ทั้งคู่ก็เดินออกไปยังลานประลอง อีกฟากของลานนั้นคือเด็กสาวสองคน คนหนึ่งมีผมสีบลอนด์สั้นมือถือคันธนูสีน้ำตาลที่มีขนาดยาวกว่าตัวของนาง กับ เด็กสาวผมสีแดงเพลิง ที่มีดาบคู่สีแดงอยู่ในมือ


    “ยินดีที่ได้พบกับท่าน...ท่านอัลรอลเน่...ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ไม่นึกว่าจะได้มาร่วมประลองกันในวันนี้”


    อัลรอลเน่มิกล่าวอะไร ในขณะที่ฮายาเตะก้าวเท้าขวาลงไปหนึ่งก้าว มือของนางกุมด้ามดาบเตรียมพร้อมเอาไว้


    “เริ่มการประลองได้!!!!”


    เมื่อสิ้นเสียง เสียงดาบก็กระทบกันทันที ฮายาเตะกับเพทรูชก้าพุ่งตัวไปอยู่ถึงกลางสนาม ในชณะที่เฮนริเอ็ตต้ากับบริกรรมคาถาลงไปยังธนูที่ไร้ลูกธนู นางค่อยๆง้างคันธนูออก มีสายลมก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างที่ปลอยของธนูนั้นเอง


    “สายลมเอ๋ย...จงมาเป็นพลังให้แก่ข้า ปัดเป่าศัตรูให้สิ้นไป...”


    ผู้ใช้อาวุธเวทย์อย่างนั้นหรือ....อัลรอลเน่คิดขึ้นในใจ โรซารี่ที่อกของนางเปล่งแสงขึ้น และกลับกลายมาเป็นขวานเล่มยาวสีขาวบริสุทธิ์ เป็นเวลาเดียวกันที่ฝ่ายตรงข้ามยิงลูกธนูที่ก่อตัวขึ้นมาจากเวทย์มนตร์พอดิบพอดี


    ตูมมมมม!!!!


    ในขณะนั้น การประลองดาบระหว่างฮายาเตะและเพทรูชก้าก็ยังคงดำเนินต่อไป ฝ่ายผู้ใช้ดาบคู่มีการฟันที่รวดเร็วและฉับไวมาก จากสายตาของผู้ชม นางแทบจะกลายเป็นเส้นสีขาวพาดผ่านอากาศพุ่งเข้าไปโจมตีผู้ใช้ดาบคาตานะที่กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ


    “ว่าอย่างไรเล่า...เห็นพลังของข้าก็ถึงกับหน้าถอดสีเชียวหรือ...ฮ่าๆๆ”


    พลางวาดดาบทั้งสองให้กวาดไปด้านหน้า ฮายาเตะใช้คาตานะกั้นเอาไว้ก่อนที่จะดีดกลับออกไป


    “ได้เพียงแค่นี้เองหรือ....”


    คำพูดนั้นของฮายาเตะทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะยัวะหนัก ก่อนที่จะกระหน่ำพายุคมดาบมาอีกเรื่อยๆ


    “ความเร็วของเธอน่ะใช้ได้นะ..แต่พลังโจมตีของเธอน่ะ....”


    เมื่อคมดาบทั้งคู่ของเพทรูชก้ามาสัมผัสถึงตัวดาบของฮายาเตะอีกครั้ง นางก็สะบัดดาบเต็มแรง ก่อนที่ทั้งคนทั้งดาบจะพุ่งกระเด็นไปติดกับกำแพงด้านล่างที่นั่งของคนดูทันที


    “แถมการตั้งรับต่อการสวนกลับยังอ่อนด้อยนัก...”


    เปรี้ยง!!!!


    อัลรอลเน่มองดูเวทย์ที่พุ่งเข้ามากระทบกับขวานที่ตั้งเอาไว้ ด้วยพลังของขวานที่รังสรรค์มาจากโฮปที่คาร์ดินัลฟรังซิสมอบให้ ขวานของนางสัมผัสเข้ากับเวทย์ราวกับว่ามันคือวัตถุจับต้องได้ ก่อนที่จะซัดพลังนั้นกลับไป แต่ก่อนที่พลังเวทย์จะพุ่งกลับไปหาเจ้าของ เฮนริเอ็ตต้าก็ได้ขับขานเวทย์ขึ้นมาอีกครั้งและยิงธนูออกไปด้วยความเร็วสูง


    ตูมมมมม!!!


    พลังเวทย์พุ่งไปปะทะกันและระเบิดกันกลางอากาศ อัลรอลเน่ใช้โอกาสนี้ วิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปประชิดตัวนักธนูเวทย์ทันทีก่อนที่จะตวัดคมขวานไปที่คอ แต่ฉับพลันนั้นเอง เฮนริเอ็ตต้ากลับกระโดดถอยหลังหลบคมขวานนั้นได้ ก่อนที่จะยิงลูกธนูเวทย์ออกมาอีกสามดอก และเริ่มร่ายคาถาชุดใหม่เตรียมต่อทันที
    อัลรอลเน่พุ่งตัวกระโดดขึ้นด้านบนและตีลังกากลางอากาศ ในขณะที่ลอยอยู่บนนั้นก็ใช้เท้าสัมผัสกับอากาศและพุ่งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว


    เปรี้ยง!!!!


    ลูกธนูเวทย์เสยเข้าเต็มคางของอัลรอลเน่จนล้มลงไป นางไม่เคยต่อสู้กับผู้ที่ใช้อาวุธระยะไกลแถมยังชำนาญแบบนี้มาก่อน

    มีแต่ต้องใช้มันหรือ....เอาเถอะ...ขอแค่ชะงักก็ยังดี

    อัลรอลเน่กำลังลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เฮนริเอ็ตต้ากลับนำธนูมาจ่อตรงหน้าก่อนที่นิ้วจะปล่อยสายธนู อัลรอลเน่ก็ถีบตัวพุ่งจากพื้นและใช้เท้าถีบเฮนริเอ็ตต้าจนเซไปทันที ก่อนที่จะใช้สันขวานกวาดเข้าที่ท้องของนางเต็มๆจนทรุดลงไป
    ฝ่ายของฮายาเตะ คู่ต่อสู้กลับถีบตัวออกมาจากกำแพงตรงไปที่นางอีกครั้ง ฮายาเตะเก็บดาบเข้าฝักอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะชักมันออกมาด้วยความเร็วสูง


    “วิชาดาบ อิไอ...”


    เปรี้ยง!!!!


    แต่ทว่าคราวนี้กลับเป็นฮายาเตะเองที่ถูกดีดจนไถลครูดไปตามพื้น นางกำลังตกตะลึง

    ดีดกลับแรงของเรามางั้นหรือ บ้าน่า....ยัยนี่เก่งใช่ย่อยแหะ....

    เฮนริเอ็ตต้าจับธนูขึ้นมาอีกครั้งแล้วเล็งยิงไปที่อัลรอลเน่อีกครั้ง พลังเวทย์มหาศาลไหลออกมาเป็นลูกธนูขนาดใหญ่ที่มีจำนวนมหาศาลอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะยิงออกไปนั่นนางก็หันไปสบตาของอัลรอลเน่ที่ยืนจ้องมองอยู่แว่บหนึ่งและปล่อยมือจากสายธนู
    อัลรอลเน่สูดลมหายใจเข้า ก่อนที่จะพุ่งออกไปเข้าหาเวทย์นั้น


    “บ้าบิ่นดีจัง...แต่...คิดจะฝ่ามาน่ะ ไม่ง่ายหรอกนะ...”


    ตูมมม!!! อัลรอลเน่รวบรวมพลังจับขวานก่อนที่จะผ่าลูกธนูเวทย์ขนาดใหญ่ทั้งหมดนั้นเป็นสองซีก เฮนริเอ็ตต้าตกตะลึงในแรงของนางที่ทำลายเวทย์ระดับสูงของนางทิ้ง ตอนนั้นเองที่ตาสีทองของอัลรอลเน่ก็เปล่งแสงขึ้น และคมขวานก็กวาดเข้ามาที่คอ

    ราวกับโลกทั้งโลกหมุนคว้าง เฮนริเอ็ตต้าพบว่าหัวของตัวเองกำลังลอยห่างจากร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น โดยมีอัลรอลเน่ยืนถือขวานไว้และจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาโหดเหี้ยม


    “อะ...อะไรกัน....”


    เฮนริเอ็ตต้ากระพริบตาอีกครั้งภาพทั้งหมดก็กลับเข้าสู่ปกติ หัวของนางยังคงติดอยู่กับตัว เมื่อนางกำลังเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาคู่ต่อสู้ อะไรหนักๆก็ฟาดเข้าที่ต้นคอ

    "...อะ...เสร็จ...กัน..."

    เฮนริเอ็ตต้าล้มลงไปนอนสลบอยู่กับพื้นทันที


    ฮายาเตะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มที่จะเอาจริง

    ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะครุ่นคิดถึงอะไรต่ออีก เพทรูชก้าก็พุ่งตัวมาพร้อมกับดาบคู่อีกครั้ง ฮายาเตะเอียงตัวไปด้านหลังหลบระยะฟันของดาบ เพทรูชก้าหมุนตัวและเล็งไปที่ท้องของฮายาเตะ เด็กสาวรู้ตัวก่อนที่จะกระโดดตีลังกาหลบไป เมื่อเท้าของนางแตะพื้นอีกครั้ง นางก็พุ่งตัวไปหาเด็กสาวผมสีแดงเพลิงผู้นั้น ดาบทั้งสองปะทะกัน เพทรูชก้าพยายามทุ่มแรงเพื่อจะปัดดาบของฮายาเตะออกไป

    เพทรูชก้าปัดดาบออกไปได้สำเร็จและกำลังจะเริ่มกระบวนท่า แต่ทว่าฮายาเตะอาศัยจังหวะนั้นฟันดาบเข้าไปที่หน้าของนาง เกิดแผลขึ้นที่แก้มของเพทรูชก้า การต่อสู้ชะงักไปชั่วครู่ เด็กสาวผมแดงสัมผัสที่หน้าของตน นางเริ่มยัวะขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะถีบตัวเองไปด้านหลังเพื่อตั้งหลัก ไม่ทันที่เท้าจะแตะพื้นด้านหลังนั้น นางก็พุ่งตัวเข้าไปหาฮายาเตะอีกครั้ง พอดีกับที่ฮายาเตะรู้ตัวทัน นางชี้ดาบไปเบื้องหน้า ปลายดาบของทั้งคู่กระทบกันพอดิบพอดี


    กิ้ง!! เพล้ง!!!


    ดาบขวามือของเพทรูชก้าแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ โดยที่คาตานะของฮายาเตะยังอยู่เหมือนเดิม


    “ดาบของข้า!!! แกนะแก!!!”เพทรูชก้ากุมดาบที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว ก่อนที่จะบุกเข้าไปหาฮายาเตะ ตอนนี้เด็กสาวผมแดงขาดสติไปชั่วครู่ ฮายาเตะยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะหลบไปด้านล่าง ก่อนที่จะกวาดดาบไปที่ข้อเท้าของเพทรูชก้า เด็กสาวล้มคะมำไปด้านหน้า ฮายาเตะตัดเส้นเอ็นที่ข้อเท้าของนางไปแล้วนั่นเอง


    “ฟู่...ขอบคุณฉันด้วยล่ะที่ออมแรงไว้ให้ ไม่งั้นเท้าคู่นั้นคงจะกระเด็นออกมาแน่”


    “อึก...อุก...ทำไมกัน...”


    อัลรอลเน่เดินเข้ามาสมทบกับฮายาเตะ พร้อมกับจ้องมองไปที่เพทรูชก้าซึ่งตอนนี้หน้าของนางแดงก่ำไปทั้งความแค้นและความอับอาย


    “ยอมซะเถอะนะ...เจ้าแพ้แล้ว”


    เพทรูชก้าหันไปมองร่างของเฮนริเอ็ตต้าที่อีกฟากของสนามซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับกัดฟันไปด้วย


    “คึ....ก็ได้..ข้าแพ้แล้ว!!!”


    ////////////////////////////////////////////////////
    อัลรอลเน่กับฮายาเตะนั่งอยู่ภายในห้องพยาบาล ทั้งคู่ถึงจะไม่มีบาดแผลฉกรรจ์มาก แต่ก็ถูกหน่วยพยาบาลของโรงเรียนยืนกรานว่าจะรักษาแผลถลอกเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ให้


    “พอแล้วล่ะ แผลพวกนี้เดี๋ยวก็หายเอง เจ้าไปดูแลคนอื่นๆเถอะ”


    “แต่ว่า....”


    อัลรอลเน่ใช้หางตาจ้องมองไปที่หน่วยพยาบาลคนนั้น เขาทำท่าลุกลี้ลุกลนขอโทษขอโพยและวิ่งหนีไปทันที
    ซิสเตอร์สาวถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปหาเด็กสาวร่างสูงที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันนั้น และนั่งลงข้างๆ


    “เป็นยังไงบ้าง...”


    “สนุกมากเลยล่ะ!!”


    “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...หมายถึง...เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย”


    “บาดแผลแค่นี้สบายมาก!!! เธอเองก็เถอะ โดนไปเยอะไม่ใช่เหรอ”


    อัลรอลเน่ยิ้มให้กับท่าทางของฮายาเตะ นางไม่เคยพบเด็กสาวที่ดูร่าเริงและตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน


    “เจ้าชนะการประลองนี้แล้ว...ก็ถือว่าเจ้าสอบผ่าน...ต่อไปนี้เจ้าเป็นนักเรียนของแซงค์ทัส ครูซิสแล้วนะ”


    “ต่อไปนี้ ฉันก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!” ฮายาเตะยื่นมือออกมา อัลรอลเน่จ้องมองมือนั้น นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่นางยอมจับมือกับคนอื่นนอกจากท่านพ่อของตนเอง...นางเริ่มรู้สึกว่า ตนเองเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว ...ก่อนที่จะถอดถุงมือสีขาวนั้นออกและจับตอบกับมือของฮายาเตะ


    “อ่า...ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”


    พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน....
  13. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ม่วงสามารถเห็นได้ลางๆ

    แอบอ้าง ใช้เส้น แต่ก็เข้ามาจนได้ล่ะนะ ซานโดรมึน เมื่อเอกสารรับสมัครส่งมาถึงมือ

    ต่อไปก็น นอนห้องเดียวกันสินะ คุๆๆ
  14. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ได้สัมผัสยูริแต่หัววัน.... OTL
  15. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [Sister & Samurai Girl]

    ร่างสูงโปร่งของฮายาเตะทุ่มตัวลงสู่เตียงราวกับทิ้งระเบิด ก่อนที่จะนอนแผ่ด้วยท่าทางอิ่มแปล้ จนเหมือนไม่ได้ยินที่อัลรอลเน่พูดเตือนว่าเดี๋ยวเตียงก็ได้พังกันพอดี
    เด็กสาวร่างเล็กได้แต่ถอนหายใจกับการแสดงออกของเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ แต่จะว่าไปส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอเอง เนื่องจากตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนเพิ่งผ่านการประลองเมื่อกลางวัน เธอไม่ได้ให้ฮายาเตะกินอะไรดี ๆ มากไปกว่าบะหมี่ถ้วยอย่างเดียว จนเพิ่งมาเลี้ยงอาหารดี ๆ เมื่อตอนเย็น อัลรอลเน่ถึงกับต้องรีบสอนมารยาทการกินให้ใหม่ก่อนที่สายตาคนรอบข้างจะจดจำภาพที่ไม่ค่อยน่าดูนักสำหรับโรงเรียนผู้ดีแบบนี้ หรือมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้

    “เอ้อ ขอบใจมากนะ อัลรอลเน่ หากไม่ได้เธอชั้นก็คงต้องรอถึงปีหน้า กว่าจะได้นอนเตียงดี ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก”
    เด็กสาวยิ้มเล็ก ๆ อย่างดีใจที่อีกฝ่ายไม่ลืมที่จะขอบคุณ แต่ก็ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ ที่ยังอ่อนหวานและถ่อมตัว
    “ไม่หรอก ในงานประลอง เธอเองก็ทำได้ดีเหมือนกันนี่นา” เธอกล่าวชมเชยความสามารถของฮายาเตะ ที่บ่งบอกว่าเคยผ่านการต่อสู้มาไม่มากก็น้อย
    “ว่าแต่ฮายาเตะ เธอฝึกดาบมาจากไหนเหรอ” อัลรอลเน่ถามอย่างสนอกสนใจ

    “ก็เริ่มฝึกที่โดโจตั้งแต่เล็ก ๆ น่ะ”
    คำพูดของหญิงสาวทำเอาอัลรอลเน่ถึงกับกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงงกับคำศัพท์ใหม่ที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
    “เอ่อ ถ้าพูดให้คนทั่วไปเข้าใจ ก็หมายถึง โรงฝึกล่ะมั้ง แต่ถึงจะพูดแบบนั้น จริง ๆ ชั้นก็แค่แอบดูพวกรุ่นพี่ฝึกแล้วเอามาเลียนแบบ พอได้สิบขวบก็เริ่มฝึกร่างกายด้วยงานบ้านงานจิปาถะ ตักน้ำ ถูบ้าน อะไรพวกนี้ นานเหมือนกันกว่าจะได้เริ่มฝึกเป็นจริงเป็นจัง”

    “ท่าทางน่าสนุกดีนะ ว่าแต่ฉันเคยได้ยินว่า พวกสำนักดาบตะวันออก ส่วนใหญ่เขารับแต่ผู้ชาย ไม่เอาผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

    “คิดว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนน่ะ ถึงจะเคยได้ยินว่ามีบางที่ยึดถือธรรมเนียมคร่ำครึแบบนั้นอยู่อีก แต่ที่หมู่บ้านฉันเขายอมรับกันตั้งนานแล้ว ที่สำคัญ เจ้าสำนักที่เคยฝึกให้ฉันก็เป็นนักดาบหญิงด้วย”
    ฮายาเตะลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปหยิบดาบคู่กายมาไว้ในมือ ลักษณะด้ามบ่งบอกว่าเป็นรูปแบบดาบตะวันออกตามตำรา หากแต่ลวดลายที่เป็นเส้นตัดไปตัดมาแบบตาข่ายนั้นมีสีฟ้าอมม่วงแลดูคล้ายดอกไม้เล็ก ๆ จำนวนมากมาเรียงรายกัน แม้แต่ฝักดาบที่ใช้ผนึกเขี้ยวเล็บของมันก็ยังมีรูปดอกซากุระสีชมพูตามคำเล่าลือบนพื้นสีดำที่ดูตัดกันแต่ผสานได้อย่างลงตัว
    “ใช่.... แล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของดาบเล่มนี้ด้วย”

    อัลรองเน่รู้สึกทึ่งในดาบของอีกฝ่ายที่ดูเป็นของแปลกใหม่จึงอยากเห็นชัด ๆ แต่ก่อนที่จะได้พูดขอดู ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นสีหน้าของรูมเมทคนใหม่ ที่เอาแต่มองอาวุธประจำตัวด้วยแววตาที่ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น
    “ดาบเล่มนี้อาจจะช่วยฉันมามากก็จริง แต่คงจะดีกว่านี้ หากทั้งเซนเซย์ ท่านพี่ แล้วก็ทุกคนยังอยู่ด้วยกัน”

    อัลรอลเน่เพ่งมองใบหน้าอันหดหู่ของเพื่อนใหม่ที่ยังเอาแต่มองดาบอย่างอาลัยอาวรณ์ โดยลืมเรื่องคำศัพท์ใหม่ที่งอกมาอีกคำ ทว่าก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาชิงพูดตัดหน้า
    “ก....ก็ไม่มีอะไรหรอก เรื่องในอดีตน่ะ” ฮายาเตะยิ้มให้ แต่ก็ไม่เนียนพอที่จะโกหกคนอย่างอัลรอลเน่ ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ชัดเจนว่าเจ้าตัวฝืนเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เผลอหลุดปากออกมาเท่านั้น

    ในฐานะที่เพิ่งได้รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เด็กสาวจึงรู้ดีว่ายังไม่ควรซักไซ้อะไรมากไปกว่านี้ เธอจึงพยายามดึงเนื้อหากลับมาที่จุดเริ่มต้นก่อนที่บทสนทนาจะกร่อย แม้ว่าจริง ๆ จะเป็นเพราะอีกฝ่ายเผลอหลุดปากมาเองก็ตาม
    “แล้ว..... ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่เมืองนี้ได้ละ”

    ฮายาเตะเริ่มเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนที่จะทำท่าเหมือนครุ่นคิดสักนิดแล้วจึงตอบ
    “ก็ มีเรื่องนิดหน่อยทำให้ฉันต้องออกเดินทางพร้อมกับดาบเล่มนี้น่ะ แล้วก็ช่วงที่ร่อนเร่ไปทั่วก็ต้องล่าค่าหัวมอนสเตอร์เลี้ยงชีพไปวัน ๆ แล้วมีวันนึงเจอพวกเขี้ยว ๆ หน่อย เล่นเอาซะย่ำแย่ ตอนแรกก็ไม่นึกว่าจะมีชีวิตรอดแล้วนะเนี่ย ต้องขอบคุณเธอด้วยซ้ำ”

    “โอ้โห นี่เธอเคยต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์มาแล้วเหรอเนี่ย” อัลรอลเน่ถึงกับตกใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้างั้นทำไมต้องถ่อมาเข้าเรียนที่นี่อีกทั้งที่ก็มีประสบการณ์จริงอยู่แล้ว

    “ก็....ไม่ขนาดนั้นหรอก ฆ่าได้แค่พวกกระจอก ๆ เท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ เพราะเคยเอาตัวแทบไม่รอดมาไม่รู้กี่ครั้ง จึงรู้สึกว่าหากตัวเองไม่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ก็คงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน นั่นแหละฉันถึงอยากเรียนที่นี่เพิ่มเติม แล้วก็ จะได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ไปด้วยน่ะ”

    แท้ที่จริงแล้วฮายาเตะไม่อยากจะพูดถึงความจริงที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก เพราะอย่างที่รู้ว่าที่นี่อยู่ในเครือศาสนจักร คงไม่เหมาะเท่าไหร่หากจะพูดว่าเหตุผลที่แท้จริงของตนคือการแก้แค้น แถมเธอก็เคยได้ยินมาว่าคนที่เธอตามล่านั้นมีรายชื่ออยู่ในแบล็คลิสต์ของศาสนจักรด้วย การจะพูดว่าตนเองมีความเกี่ยวข้องกับฆาตกรชื่อก้องแบบนั้นคงไม่ดีนัก อีกอย่างถึงจะพูดไป ถึงอีกฝ่ายจะเป็นถึงลูกสาวของสังฆราชแต่ก็เป็นนักเรียนคนหนึ่ง คงไม่รู้เรื่องอะไรมาก ดังนั้นเงียบไว้อาจจะเป็นการดีที่สุดก็ได้

    “ว่าแต่ ฉันมีเรื่องอยากจะถามอีกอย่าง ได้ไหม” อัลรอลเน่เริ่มคำถามใหม่ ฮายาเตะก็เพียงพยักหน้าอย่างเรียบง่าย
    “ขอโทษนะ คือว่าตอนที่ฉันเปลี่ยนเสื้อให้เธอ ฉันเห็น....เอ่อ รอยสักบนหน้าอกเธอน่ะ มันคืออะไรเหรอ” อัลรอลเน่ถามด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและสุ้มเสียงที่แผ่ว ๆ อาย ๆ

    ฮายาเตะรีบทำท่าปกป้องตัวเองเหมือนปฏิกิริยาตอบโต้ฉับพลัน ก่อนที่จะตอบด้วยสภาพที่ไม่แตกต่างกัน
    “เรื่องนั้น...... มันออกจะยาวน่ะ”

    “ถ้าให้ฉันเดา มันคือ “รอยสักประกาศิต” ใช่หรือเปล่า ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือน่ะ แล้วก็ถ้าให้คิดแล้ว สำหรับนักดาบอย่างเธอ ก็น่าจะเป็นไปได้แค่นี้เท่านั้น”
    นักดาบสาวถึงกับอึ้งกิมกี่ทันทีที่โดนเดาถูก
    “ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะซักไซ้อะไรหรอก เพียงแค่ถ้าฉันเดาถูก ก็อยากให้ระมัดระวังในการใช้มันหน่อย..... ไม่งั้นฉันกลัวว่า ถึงจะเป็นคนที่แข็งแรงแบบเธอ แต่ถ้าพลังเวทน้อยก็อาจจะ.....”

    ในเมื่อรู้ตัวว่าคงหลอกเด็กหญิงที่เอาเข้าจริง ๆ ไม่ธรรมดาเลยอย่างอัลรอลเน่ไม่ได้แน่ ฮายาเตะจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ก่อนที่จะกล่าว
    “ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ใช้มันพร่ำเพรื่อ จนต้องตายเพราะมันอย่างแน่นอน”

    “ได้สิ สัญญานะว่าจะใช้อาวุธอาคมของเธอเฉพาะเวลาจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น” อัลรอลเน่ยกนิ้วก้อยให้ ทำให้หญิงสาวทำหน้างง
    “เป็นธรรมเนียม เอ่อ อย่างน้อยก็สำหรับคนแถวนี้น่ะ ที่การเกี่ยวก้อยถือเป็นสัญญาระหว่างเพื่อน หวังว่าเธอคงไม่รังเกียจนะ”

    ฮายาเตะได้แต่นิ่งเล็กน้อยขณะที่ยังหน้าแดงไม่หาย ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ เด็กสาวก็ไม่เข้าใจตัวเองมาตั้งแต่ต้นเหมือนกัน ว่าทำไมทั้งที่ตัวเองเป็นผู้หญิง แต่กลับสตรีเพศด้วยกันกลับชอบมีท่าทีเขินอายทั้งที่ปกติต้องเกิดกรณีที่อีกฝ่ายเป็นเพศชายนี่นา แต่จะให้พูดเรื่องนี้ก็กระไร ยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงลูกสาวของคาร์ดินัลด้วยแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ดูเหมาะสมเอาเสียเลย แต่ครั้นจะไม่ทำตามก็กลัวว่าจะเป็นการหักหาญน้ำใจของเด็กสาว ถึงตอนนี้มือขาวนวลเล็ก ๆ นี้ก็ไม่ได้สวมถุงมือ

    แต่ทีเมื่อตอนกลางวันยังจับมือมาแล้ว ที่สำคัญมันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดมากเลย และยิ่งตอนนี้เธอก็ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ ควรจะเลิกฟุ้งซ่านไม่เป็นเรื่องเสียที ฉะนั้น แค่เกี่ยวก้อย ในที่สุด ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ ก็ยอมให้สัญญากับอัลรอลเน่ ว่าตนจะระมัดระวังในการใช้มัน

    จนกว่าจะได้เจอหมอนั่นอีกครั้ง....... ต่อให้นานสักแค่ไหนก็ตาม....... และเธอก็จะต้องไม่แพ้อีก

    [To be continued]

    *หมายเหตุ- เพิ่มศัพท์ "รอยสักประกาศิต" ใช้เรียกรอยสักที่ใช้เรียก Mystic Weapon (แต่ถือเป็นคนละอย่างกับโฮป)
    言葉[kotoba](คำศัพท์)- 
    道場[doujou]- โรงฝึกวิชาการต่อสู้ (เช่นโรงฝึกดาบ โรงฝึกคาราเต้ ฯลฯ)
    先生[sensei]- อาจารย์
  16. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    กลิ่นลาเวนเดอร์หอมชื่นใจๆ
  17. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    “ถ้าเช่นนั้น...ก็ขอฝากศาสนจักรไว้กับเจ้าด้วย...คริสโตเฟอร์”


    เสียงอันอ่อนโยนที่ดังแผ่วเบาออกมาจากปากของร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงให้แก่ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่ตอบอะไรกับคำพูดนั้น ก่อนที่จะโค้งคำนับต่อผู้นำสูงสุดของศาสนจักร และปลีกตัวออกมา


    “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


    “อาการไม่สู้ดีเท่าใดนัก...”


    สันตะปาปาหนุ่มเอ่ยขึ้น รอยยิ้มที่ดูซุกซนนั้นหายไปจากใบหน้า...มีเพียงฟรังซิสเท่านั้นที่สังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้


    “ข้าได้รวบรวมรายชื่อของนักรบฝีมือดีภายในศาสนจักรมาแล้ว...พวกเขายอมที่จะไปนำดอกแอมโบรเซียสีขาวจากภายในจักรวรรดิ...เพียงแต่ท่านรับสั่งเท่านั้น...”


    “ไม่จำเป็น...”


    ฟรังซิสจ้องมองคริสโตเฟอร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม


    “ข้าจะจัดการประชุมขึ้นมาในเย็นนี้ ข้าวานให้ท่านช่วยแจ้งกับคาร์ดินัลคนอื่นๆด้วย”


    คริสโตเฟอร์เอ่ยเช่นนั้น และก็ใช้เฮสท์หายวับไป นั่นเป็นการสร้างความสงสัยให้กับฟรังซิสมากยิ่งขึ้น

    ///////////////////////////////////////////////

    คริสโตเฟอร์ล็อคประตูห้องทำงานของตัวเองอย่างแน่นหนา ก่อนที่จะถอดหน้ากากกับหมวกของตนเองวางไว้ที่โต๊ะรับแขกเล็กๆ และทรุดลงไปนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน


    “ถ้าเช่นนั้น...ก็ขอฝากศาสนจักรไว้กับเจ้าด้วย...คริสโตเฟอร์”


    คำพูดของมาเรียยังคงสะท้อนก้องอยู่ภายในหัวของคริสโตเฟอร์ เขากัดปากของตัวเอง ก่อนที่จะย้อนไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา กับเด็กหนุ่มที่มีนามว่าโครโนสนั้น...ทำให้เขาคิดว่า เขาคิดผิดพลาดไปจริงๆ...ข้อมูลพวกนั้นเขาสามารถไปพลิกหาจากตำราที่อยู่ในห้องสมุดของมหาวิหารได้ แต่ทำไม.......
    กับสิ่งที่เสียไปนั้นมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย....

    หลังจากที่คริสโตเฟอร์ทำสัญญากับเด็กหนุ่มโครโนสคนนั้น เขาก็ได้รับเอกสารลับมาจากหนึ่งในเอ็กซ์โซซิสฝีมือระดับยอดเยี่ยมของศาสนจักรที่เขาส่งไปให้เฝ้าดูสถานการณ์ของเดบลิส...ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่เขาคิดจริงๆ

    เด็กหนุ่มผู้นั้น...มีความเกี่ยวข้องกับจักวรรดิเป็นอย่างมากทีเดียว
    จากรายงาน มีการส่งกองทัพจากจักวรรดิรวมถึงทาสบางส่วนเข้าไปประจำที่เดบลิส ส่วนเอ็กซ์โซซิสที่ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่นั้นอยู่แล้ว กลับหายสาบสูญ เมื่อสอบถามจากคนในหมู่บ้านก็กลับได้คำตอบเป็นสายตาที่ดูถูกและเกลียดชัง
    และจากนโยบายของโครโนส ที่มีที่อยู่อาศัย อาหาร และน้ำดื่มที่ดีให้แก่ผู้ที่หาเขา ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่คิดมาเพื่อดึงผู้คนจากศาสนจักรเข้าไปเป็นประชากรของพวกมัน


    “ข้า...ทำอะไรลงไป...”


    คริสโตเฟอร์เอ่ยด้วยเสียงกระซิบที่สั่นเครือก่อนที่จะซบหน้าลงกับฝ่ามือ

    /////////////////////////////////////////////////////////////

    อเล็กซ์ลืมตาขึ้นมาบนเตียงนอนภายในหอพักของโรงเรียน สายตาของเขากระพริบถี่เพื่อปรับแสงที่ส่องมาให้เข้าที่ ก่อนที่จะลุกขึ้นนั่ง ไลติโอกระชากผ้าม่านให้เปิดออก และหันมามองเพื่อนร่วมห้องของตนเอง


    “อรุณสวัสดิ์...”


    “อื้อ...อรุณสวัสดิ์...นี่กี่โมงแล้วน่ะ..”


    ไลติโอทำสีหน้าเครียดใส่อเล็กซ์เล็กน้อย....”8โมงครึ่ง...”


    “...8โมงครึ่ง....อื้อ...หะ...ห๊า!!!! วิชาแรกเข้า9โมงนินา!!!”


    โดยไม่รอช้า อเล็กซ์ก็กระโดดลงจากเตียงและพุ่งเข้าห้องน้ำไปทันที ปล่อยให้ไลติโอ้เปิดประตูตู้เสื้อผ้า และดึงชุดนักเรียนออกมา

    ///////////////////////////////////////////////////////////

    ฝั่งของอัลรอลเน่กับฮายาเตะ ทั้งคู่ตื่นตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะอัลรอลเน่ที่ตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปสวดมนตร์ที่โบสถ์เซซีลีอาและเข้าไปเยี่ยมฟรังซิส แต่ทว่า...นางกลับได้พบกับนักบวชหนุ่มผู้ดูแลโบสถ์ ซึ่งเขาบอกว่า ฟรังซิสไปที่มหาวิหารตั้งแต่เมื่อคืนวานและยังไม่กลับจนกว่างานจะเสร็จ ทำให้ซิสเตอร์สาวมีอาการเซื่องซึมตั้งแต่เช้า


    “ทำไมเธอกินน้อยแบบนั้นล่ะ รู้มั้ยว่าอาหารเช้าสำคัญมากๆเลยนะ แล้วยิ่งวันนี้เรามีเรียนภาคปฏิบัติด้วยมันยิ่งสำคัญนะ”


    อัลรอลเน่จ้องมองซุปที่เต็มถ้วยกับขนมปังหนึ่งก่อนที่วางอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย


    “ปกติข้าก็กินแบบนี้อยู่แล้วน่ะ”


    ฮายาเตะส่ายหัวให้กับอัลรอลเน่ ก่อนที่จะบ่นเรื่องอาหารเช้าพลางหยิบขนมปังของตนเองมาวางไว้ตรงหน้าอัลรอลเน่เพิ่มอีกสองก้อนและตักโยเกิร์ตแบ่งจากถ้วยของตัวเองให้อีก ซิสเตอร์สาวพยายามจะห้ามฮายาเตะแต่ดูเหมือนจะช้าไป...และดูเหมือนนางต้องทานทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้านี้ให้หมดด้วย...

    ในขณะที่ทั้งคู่กำลังทานอาหารเช้ากันอยู่นั้น อเล็กซ์กับไลติโอ้ก็วิ่งเข้ามาในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยนักเรียนนั่งอยู่ตามโต๊ะสีเหลี่ยมตัวยาว
    ปูด้วยผ้าปูสีขาวปักเลื่อมทอง และมีเก้าอี้บุด้วยเบาะขนสัตว์ที่นุ่มนิ่มอยู่ตามโต๊ะละหกตัว
    เด็กหนุ่มทั้งสองรีบวิ่งไปหยิบอาหารที่จัดวางอยู่บนโต๊ะตัวยาว มีทั้งหม้อซุปซึ่งมีหลากหลายรสชาติให้เลือก ขนมปัง โยเกิร์ต ผลไม้นานาชนิด และเครื่องดื่มทั้งชา น้ำผลไม้ นมสด หรือกาแฟก็ล้วนแต่มีให้เลือกทั้งสิ้น เมื่อทั้งคู่กำลังเลือกหยิบอาหารเด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าพวกเขา


    “อย่ารีบร้อนไปสิ..ดูสิ ตักซุปเลอะเทอะไปหมดเลยนายเนี่ย”


    เด็กสาวผู้นั้นก็คือเวิร์ด โครนิเชียลนั่นเอง นางจ้องมองทั้งคู่ด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้นิ้วขยับแว่นตาของตัวเอง
    แต่แล้วเด็กสาวก็หันไปเห็นซิสเตอร์สาวกำลังนั่งกล้ำกลืนเคี้ยวขนมปังที่อยู่ตรงหน้าอย่างยากลำบาก ก่อนที่จะฉุดมืออเล็กซ์ให้เดินตรงไปหานาง


    “อรุณสวัสดิ์อัลรอลเน่”


    ซิสเตอร์สาวกับนักรบสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนอย่างฉงน “ขอเรานั่งด้วยคนได้หรือเปล่า?”


    อัลรอลเน่หยักหน้าเบาๆ ทั้งสามคนจึงได้เข้ามาร่วมโต๊ะๆเดียวกัน ดูเหมือนว่ามีคนเยอะก็จะสร้างความครึกครื้นได้มาก แต่ทว่า...ทั้งโต๊ะกลับมีแต่ความเงียบที่ชวนดูอึดอัด ทั้งฮายาเตะที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร อัลรอลเน่ที่ยังคงความเงียบสงบ เวิร์ดที่ดูเคร่งขรึม และอีกสองหนุ่มที่รีบจัดการอาหารเช้าอย่างร้อนรน

    และแล้ว เสียงระฆังก็ดังก้องกังวานขึ้นบอกเวลาเข้าเรียนในรายวิชาแรก กลุ่มเด็กนักเรียนในโรงอาหารต่างพากันทยอยวิ่งออกไปเพื่อนไปเข้าห้องเรียนในวันแรกให้ตรงเวลา


    “ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงต้องขอตัวก่อน โชคดีนะทุกๆคน!”


    เวิร์ดโบกมือกล่าวอำลากับทุกคน และเดินปลีกออกจากกลุ่มไปพร้อมกับกองหนังสือที่สูงจนท่วมหัว เหลือแค่กลุ่มนักเรียนอีก4คนที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงอาหาร


    “เจ้าตัดสินใจเข้ามาเรียนที่นี่ได้แล้วสินะอเล็กซ์...”อัลรอลเน่กล่าวขึ้น และมองตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ดูภายนอกเหมือนเจ้าจะอยู่สายศาสตรามากกว่าเสียอีกนะ”


    “ก็มีแต่คนกล่าวเช่นนั้นครับ...แต่ว่า..คุณเองก็ดูไม่เหมือนคนที่จะใช้ศาสตราได้เช่นเดียวกันนะครับ” อเล็กซ์จ้องมองเด็กสาวที่มีส่วนสูงค่อนข้างเตี้ยกับตัวที่ดูบอบบางนั้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อย


    “ดูถูกกันไปแล้วล่ะมั้ง...” เสียงของฮายาเตะเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มออกเดินไปทางตึกของสายศาสตรา


    “ต้องขออภัยให้กับการเสียมารยาทของเพื่อนของข้าด้วย...”


    “ไม่เป็นหรอกครับ ผมเองรู้สึกชินแล้วน่ะ....อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้คิดจะดูถูกคุณนะ การต่อสู้ของคุณวิเศษจริงๆน่ะแหละ เหนือความคาดหมายมากเลย”


    ไลติโอ้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยอยู่ด้านหลัง อัลรอลเน่ยิ้มนิดๆ แต่ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้มตามมารยาทเสียมากกว่า


    “นี่ก็เลยเวลาเข้าเรียนมามากแล้ว ข้าต้องขอตัว หวังว่าคงได้พบกันอีก”


    ซิสเตอร์สาวก้าวฉับๆอย่างรวดเร็วตามเพื่อนสาวของตนเองไป โดยที่อเล็กซ์กับไลติโอ้ก็เดินแยกไปอีกทางเพื่อไปเข้าเรียนสาขาของตนเอง

    /////////////////////////////////////////////////////

    “สวัสดีนักเรียนที่รักทุกคน ข้ามีนามว่า ชูวครอส ยินดีที่ได้พบกัน”

    เสียงอันดูนุ่มนวลดังขึ้นภายในสนามหญ้าของโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ฝึกของสายศาสตราและเต็มไปด้วยนักเรียนในชุดเครื่องแบบยืนตากแดดอยู่ที่นั่น ผู้พูดเป็นชายหนุ่มผมสีเงิน ดวงตาเรียวสีเทา และสวมชุดทหารสีน้ำเงินเข้ม พร้อมกับยศที่ติดอยู่บนอกนั้นแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองน่าจะมีฝีมืออยู่ในเกณฑ์ดี ไม่สิ...ต้องเรียกว่า ยอดเยี่ยมเลยด้วยซ้ำไป เพราะยศที่เขามีอยู่ก็อยู่ระดับผู้บังคับบัญชาแล้ว


    “สำหรับพื้นฐานการต่อสู้...ข้าก็คงจะขอข้ามไปเลยแล้วกันนะ...เพราะการที่พวกเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเจ้าได้ผ่านขั้นนั้นมาแล้ว...”


    ชูวครอสใช้ดวงตาเรียวๆมองไปรอบๆก่อนที่จะมาหยุดที่อัลรอลเน่ซึ่งจ้องมองกลับมาด้วยความไม่หวั่นเกรง


    “เอาล่ะ เรามาเริ่มบทเรียนกันเลยดีกว่า บทเรียนแรกสำหรับสายศาสตรานี่ คือการ...รู้จักควบคุมอาวุธ
    แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหมดใช้อาวุธเป็นแล้ว แต่ทว่า ...พวกเจ้ารู้จักการใช้แต่ไร้ซึ่งการควบคุมมันในทางที่ดี...ในการประลองที่ผ่านมา จากที่ข้าเห็น ข้าไม่พึงพอใจใครเลย...แม้แต่คนเดียว..”


    ชูวครอสเดินผ่านนักเรียนทีละคนๆพลางกรีดสายตามองพวกเขา และมาหยุดยืนที่อัลรอลเน่


    “ยกเว้น...เจ้า...อัลรอลเน่ แซงค์ ลักซ์เชี่ยนวาเลนติโน่...เจ้าทำให้ข้าพึงพอใจกับการควบคุมอาวุธของเจ้ามาก รวมถึงพลังของเจ้าด้วย”


    “มันก็ไม่ได้มากกว่าคนอื่นซักเท่าไหร่นักหรอก...ก็แค่ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเท่านั้น และที่สำคัญ ข้าไม่ได้รอดมาเพราะการใช้ขวานของข้าเลย แต่ข้ารอดมาเพราะพลังของข้า...เพราะฉะนั้น...หากท่านจะกล่าวว่าข้ามีฝีมือที่ยอดเยี่ยมกว่าคนอื่น ได้โปรดพิจารณาความคิดนั้นใหม่ด้วย”


    อัลรอลเน่ตอกกลับด้วยใบหน้าที่นิ่งราวกับรูปแกะสลัก ชูวครอสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ฮายาเตะจ้องมองเข้าด้วยสายตามไม่พอใจ ในขณะที่คนอื่นๆ(โดยเฉพาะนักเรียนหญิง)จ้องมองมาที่อัลรอลเน่อย่างอิจฉาริษยาอย่างเห็นได้ชัด


    “กลับเข้าสู่บทเรียนของเรากันดีกว่า...การควบคุมอาวุธขั้นสูงนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การจับอาวุธเหวี่ยงไปมา แต่อยู่ที่ความรู้สึกและสัมผัสที่รับรู้ต่างหาก...เอาอาวุธของทุกคนออกมาเสีย”


    สิ้นเสียงคำสั่ง ทุกคนก็นำอาวุธของตนเองออกมาถือไว้ในมือทันที ก่อนที่ชูวครอสจะไปหยุดที่นักเรียนหญิงคนหนึ่งและโน้มตัวจากทางด้านหลังของเธอมากุมมือที่ถือดาบของนางเอาไว้ เด็กสาวคนนั้นหน้าแดงราวกับลูกตำลึง


    “ใช้สายตาของพวกเธอจดจำอาวุธ ...ใช้สัมผัสในมือของพวกเธอจดจำแรงที่เหวี่ยงออกไป หลอมรวมตัวของพวกเธอ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน....” ตอนนี้เองที่เขาเลื่อนใบหน้าของตนเองมาที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น “กับอาวุธ..” เสียงกระซิบของเขายิ่งทำให้เด็กสาวอ่อนระทวยจนจับดาบแทบจะไม่อยู่

    แต่ทว่า สายตาของชูวครอสกลับหันมามองอัลรอลเน่อย่างมีเลศนัย นางจ้องกลับดวงตานั้นด้วยสายตาแข็งกร้าว

    ชูวครอสผละออกไปจากนักเรียนผู้โชคดีคนนั้น เดินไปหยุดยืนหน้าแถว และดีดนิ้ว ท่อนไม้ขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุออกมาจากพื้นปรากฏแก่สายตาทุกคน


    “ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคน ใช้อาวุธนั้นฟันไม้นี่ออกเป็นสองท่อนให้ได้ หากใครไม่ผ่านก็สามารถทำได้เรื่อยๆจนกว่าจะผ่าน แต่หากหมดชั่วโมงแล้วยังทำไม่ผ่านอีกซักครั้ง...ข้าก็มีบทลงโทษเตรียมเอาไว้แล้ว”


    ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปเรียงแถวเพื่อฟันท่อนไม้ยักษ์ ซึ่งดูค่อนข้างเก่าแก่และเปราะบาง แต่จากสายตาของอัลรอลเน่กับฮายาเตะ ท่อนไม้นี่ต้องถูกชูวครอสร่ายมนต์กำกับไว้แล้วเป็นแน่แท้

    ครึ่งชั่วโมงผ่านไป บรรดานักเรียนต่างก็สะบักสะบอมกันถ้วนหน้า บางคนก็หักท่อนไม้ออกเป็นสองซีกได้สำเร็จภายในครั้งแรกที่ทำ แต่บางคนใช้เวลาผ่านไปหลากหลายครั้งก็ทำไม่ได้ รวมถึงท่อนไม้นี่มีความพิเศษอยู่ตรงที่ว่า หากใครไม่ตั้งใจฟันลงไปจริงๆ มันจะสะท้อนแรงของคนๆนั้นกลับมา สร้างบาดแผลให้กับทุกคนถ้วนหน้า

    เมื่อถึงคราวของฮายาเตะ เด็กสาวก็ผ่านบททดสอบนี่ไปได้ฉลุย ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ท่อนไม้นั่นแยกออกเป็นห้าท่อนอย่างสวยงามโดยไม่ต้องใช้พลังอะไรเลย สร้างความพอใจให้กับชูวครอสไม่มากก็น้อย

    แต่เมื่อถึงคราวของอัลรอลเน่ เมื่อนางเปลี่ยนไม้กางเขนของนางไปเป็นขวานเล่มยาวสีขาวบริสุทธิ์ แน่นอนว่าขวานของนางไม่ว่าอะไรก็ตัดไม่ขาดแน่นอน อัลรอลเน่เงื้อขวานและฟาดมันลงไปอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นเองที่สายตาของฮายาเตะหันไปเห็นชูวครอสเอ่ยอะไรซักอย่างด้วยเสียงกระซิบ


    กิ้ง!!!!


    เสียงขวานของอัลรอลเน่กระทบกับอะไรบางอย่างมองไม่เห็น ก่อนที่จะรู้สึกตัวนางก็กระเด็นปลิวไปไกลแล้วหลายเมตร และตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง


    “นายทำอะไรของนายน่ะ!!!”


    ฮายาเตะตะโกนใส่ชูวครอสซึ่งยืนหัวเราะอยู่เงียบๆ เขาหันมาหาเด็กสาวร่างสูงนั้น


    “ข้าทำอะไรลงไปหรือ? เจ้าก็น่าจะรู้ดีนี่นา...ว่าถ้าไม่ตั้งใจจริงๆ มันจะสะท้อนแรงกลับมาหมดน่ะ”


    ฮายาเตะกัดฟัน นางรู้ดีว่าอัลรอลเน่มีฝีมือระดับไหนแล้ว กะอีแค่ท่อนไม้นี่ ก็น่าจะฟันขาดภายในครั้งเดียวได้ ก่อนที่จะสงสัยอะไรต่อ ซิสเตอร์สาวก็เดินดุ่มๆเข้าไปที่ท่อนไม้นั่นอีกครั้ง ก่อนที่จะฟันมันลงไปอีกอย่างไม่ลังเล
    แต่ก็เช่นเดิม นางถูกแรงสะท้อนทั้งหมดส่งตัวนางให้ลอยไปตกที่พื้นด้านหลังของชูวครอส โดยเฉี่ยวตัวเขาไปไม่กี่มิล


    “อ่าวๆ..เป็นอะไรหรือครับ คุณอัลรอลเน่...หรือว่าไม่มีจิตสังหารจากฝ่ายศัตรูเลยไม่มีกะจิตกะใจเลยงั้นหรือ”


    อัลรอลเน่ไม่ตอบ นางแทบจะไม่สนใจคำถากถางของชายหนุ่มที่น่ารังเกียจตรงหน้าเลย ซิสเตอร์สาวลุกขึ้นยืนและพุ่งไปที่ท่อนไม้นั้นอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์อยู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ทว่า...นางกลับแตะต้องท่อนไม้นั้นไม่ได้เลย ซ้ำร้าย ตัวของนางก็สะบักสะบอมไปหมดจากการกระแทกกับพื้น
    และแล้วเสียงระฆังก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณหมดชั่วโมง ดูเหมือนนักเรียนทุกคนจะฟันท่อนไม้เหล่านั้นได้ทั้งหมด ยกเว้นแต่...


    “คุณอัลรอลเน่ครับ...ข้าเกรงว่าท่านจะต้องสละเวลาอันมีค่ามาพบกับข้าหลังเลิกเรียนตอนเย็นที่ห้องทำงานของข้าเสียแล้ว....เพราะดูเหมือนฝีมือของท่าน...น่าเป็นห่วงเสียจริงๆ”


    น้ำเสียงที่ฟังยังไงก็ดูเสแสร้งนั้น ทำให้ฮายาเตะแทบจะเข้าไปต่อยหน้าเขา แต่อัลรอลเน่กลับรั้งมือของนางไว้ ก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับชูวครอสและลากฮายาเตะเข้าไปยังตึกเรียน


    “เจ้าบ้านั่น!!! ถ้าฉันมีโอกาสนะ ฉันจะฆ่ามัน!!! ทำไมเธอถึงห้ามฉันละอัลรอลเน่! เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันเล่นตุกติกกับท่อนไม้นั่น!!!”


    อัลรอลเน่ส่ายหน้า ไม่ใช่เพราะว่านางไม่รู้


    “ข้ารู้...แต่ข้าไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย...ยิ่งกับเจ้านั่นด้วยแล้ว อย่ามีเรื่องเลยจะดีที่สุด”


    “มันเป็นใครกันแน่!”


    “ชูวครอส เป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาเหล่าทหารของศาสนจักร เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีความสามารถสูงมาก เขาเคยเป็นนักบวชระดับคาร์ดินัลมาก่อนและเคยถูกเสนอชื่อเข้าเป็นพระสันตะปาปาด้วยเช่นกัน แต่ทว่า...พระสันตะปาปาคริสโตเฟอร์ก็ได้ขึ้นเป็นแทน...แต่ถึงแม้จะออกจากการเป้นคาร์ดินัลมาเป็นแม่ทัพ แต่อำนาจของเขาก็ยังไม่ลดต่ำลงเลย”


    อัลรอลเน่อธิบายให้กับฮายาเตะเข้าใจ ซึ่งนางก็ยิ่งปั้นหน้าเครียดเข้าไปใหญ่ ก่อนที่ทั้งคู่จะตัดเข้าสู่บทสนทนาในเรื่องทั่วไป และแยกย้ายกันไปเรียนวิชาภาคทฤษฏีตามสายที่ลงทะเบียนเรียนเอาไว้

    ซิสเตอร์สาวก้าวเข้าสู่ห้องเรียนสายเทววิทยา ภายในนี้มีแต่นักเรียนซึ่งเป็นนักบวชกันอยู่เป็นจำนวนมาก และดูเหมือนจะมีนางเพียงคนเดียวที่อยู่สาขาศาสตรา
    อาจารย์ประจำวิชายังไม่เข้ามายังห้องเรียน อัลรอลเน่เลือกนั่งอยู่ด้านหน้าสุดตรงริมหน้าต่างที่มองเห็นมหาวิหารอยู่ลิบๆ นางกำลังคิดถึงฟรังซิสที่ตอนนี้ไม่มีนางคอยช่วยงาน เขาคงจะทำงานจนหัวปั่นเลยทีเดียว

    และแล้วประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เสียงพูดคุยกันภายในห้องเรียนก็เงียบลง อาจารย์คงจะมาแล้วสินะ อัลรอลเน่จึงละสายตาจากวิวด้านนอก หันมามองผู้ที่เข้ามา ก่อนที่จะเบิ่งตาโต...


    “.........ซานโดร?”


    ชายหนุ่มเจ้าของชื่อโบกมือให้กับอัลรอลเน่พร้อมกับรอยยิ้มที่เจิดจ้า ก่อนที่จะหันไปมองรอบๆห้องอย่างเบิกบาน


    “สวัสดีนักเรียนทุกๆคน คงจะรู้จักข้าแล้วละมั้ง...จะมีใครหล่อเหลาไปกว่าข้าอีกละ ...อะ...ล้อเล่นน่า ข้า..คาร์ดินัล อเล็กซ์ซานโดร เบเนเด็ตโต้ ยินดีที่ได้พบกับทุกท่าน”


    เมื่อสิ้นสุดการแนะนำตัว ก็เข้าสู่ช่วงการสอนเกี่ยวกับคำสอนในพระคัมภีร์...แม้ว่าอัลรอลเน่จะรู้สึกเอือมกับคำพูดของเขาที่ต้องชมตัวเองทุกประโยค แต่นางก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าซานโดรสอนเก่งทีเดียว

    เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น อัลรอลเน่รีบกวาดของเข้าอ้อมแขนของตัวเองและชิ่งออกไปจากห้องด้วยความเร็วสูง แต่ก็ไม่ทันซานโดรผู้ใช้เฮสท์เข้ามาเดินอยู่เคียงข้างกับนาง


    “เป็นยังไงบ้างกับวันแรกของการเป็นนักเรียน? สนุกดีใช่มั้ยล่ะ?”


    “ก็ดี...”


    “แล้วข้าสอนเป็นยังไงบ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาสอนเลยนะ”


    “ก็ดี....”


    คำพูดนั้นของอัลรอลเน่ทำให้ซานโดรสลดไปมากทีเดียว


    “ซานโดร...”


    “มีอะไรหรืออัลรอลเน่...เจ้ากำลังจะบอกรักข้าใช่มั้ย...ได้สิ..งั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานแต่งงานขึ้นอย่าง...”


    “คุณพ่อ...เป็นอย่างไรบ้าง..”


    คำถามนั้นของอัลรอลเน่ ทำให้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างเด็กๆของซานโดรหายไปทันที เปลี่ยนมาเป้นใบหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่ออัลรอลเน่หันมามองเขา ซานโดรก็รีบกลับไปยิ้มเหมือนเดิมทันที

    “งานของคาร์ดินัลฟรังซิสก็ยุ่งเหมือนเคยแหละ แต่สบายใจได้ ท่านยังได้งานที่สบายกว่างานของข้าอีกตั้งเยอะ”


    ซานโดรพูดติดตลกนั่นทำให้อัลรอลเน่คลายความกังวัลลงไปบ้าง


    “...ถ้าเช่นนั้น..ข้าต้องขอฝากให้เจ้าดูแลท่านพ่อด้วย...”


    ซานโดรค้างไปชั่วครู่ โดยที่อัลรอลเน่หันไปมองทางอื่นและพยายามจะเร่งฝีเท้าเดินหนีเขา


    “เห...เดี๋ยวก่อนๆ..เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ...เจ้ากำลังฝากคนสำคัญของเจ้าไว้ให้กับข้า...นี่เจ้า...”


    “อย่าเข้าใจผิด คาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร ข้าก็แค่...แค่..คิดว่าเจ้าเป็นคนใกล้ตัวท่านพ่อมากที่สุดคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง”


    “ซิสเตอร์เซซีลีอา....พระเจ้าท่านสอนไว้ว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะ...”


    บทสนทนาที่มีแต่การเถียงกันไปมาของอัลรอลเน่และซานโดรดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสิ้นสุด เมื่อใครบางคนปรากฏตรงหน้าของพวกเขา


    “ดูท่าทางจะคุยสนุกกันมากเลยนะครับ ...แต่ทว่า...ท่านควรจะดูเวลาเสียหน่อย นี่เป็นเวลาที่คุณอัลรอลเน่ควรจะเข้าห้องเรียนไปแล้วมิใช่หรือครับ...คาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร?”


    ชูวครอสขยับแว่นตาของเขาเล็กน้อย และเดินเข้ามาใกล้ๆทั้งคู่ ซานโดรนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด


    “ข้าก็กำลังไปส่งนางอยู่นี่ยังไงล่ะ ท่านชูวครอส ว่าแต่ท่านเล่า ....พระสันตะปาปาเองก็มอบหมายงานมาให้ท่านทำแล้วมิใช่หรือ? ท่านควรจะเอาเวลามาติเตียนข้าแบบนี้ไปทำงานน่าจะสมควรกว่ามาก”


    ชูวครอสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย


    “ถ้าเช่นนั้น...ข้าก็ต้องขอตัวไปทำงานที่...พระสันตะปาปา...มอบหมายมาให้แล้ว...ขออภัยที่มารบกวนเวลาส่วนตัวของท่านทั้งสองด้วย”


    ชูวครอสโค้งคำนับให้กับซานโดร แต่ก่อนที่เขาจะจากไปนั่น ก็หันมามองอัลรอลเน่ “อย่าลืมนะครับคุณอัลรอลเน่...เรามีนัดกันเย็นนี้ที่ห้องทำงาน กรุณาอย่าไปสายด้วยนะครับ”
    เมื่อชายหนุ่มผมเงินเดินจากไป ซานโดรก็หันควับมาหาอัลรอลเน่


    “หมายความว่ายังไงกันแน่? เจ้ามีนัดกับมัน...ไม่สิ..ชูวครอสหรือ?”


    อัลรอลเน่ถอนหายใจเบาๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับซานโดร...แม้ว่าอาจจะดูเหมือนฟ้องแต่ไม่ใช่เลย ซานโดรไม่ได้มีอำนาจเข้าไปยุ่งกับฝ่ายการทหารได้ด้วยซ้ำ...นั่นเป็นสิ่งที่อัลรอลเน่คิด แต่มันเป็นเรื่องที่ผิดถนัด เพราะซานโดรหรือคริสโตเฟอร์ แค่ลงนามในใบถอดถอนตำแหน่งเท่านั้น...ชูวครอสก็มีสิทธิ์ไปเดินอยู่ข้างถนนได้ง่ายๆ แถมยังลิดรอนสิทธิของเขาภายในเมืองนี้ได้อีกต่างหาก

    เมื่อซานโดรได้ฟังเรื่องราวที่อัลรอลเน่กล่าวมา ก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างปะทุขึ้นในอกของเขา แต่กลับแสดงออกมาภานอกไม่ได้ ชายหนุ่มจับแขนของอัลรอลเน่ไว้


    “เย็นนี้...ข้าจะไปกับเจ้าด้วย..”


    “มันไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า...เจ้าเองก็มีงานต้องทำมิใช่หรือ?”


    “ข้าเองก็ได้รับฝากจากคาร์ดินัลฟรังซิสให้มาดูแลเจ้าเช่นกัน..ถ้าไม่เป็นห่วงตัวเอง ก็ช่วยห่วงความรู้สึกของคนอื่นหน่อยดีกว่า”


    คำพูดของซานโดรทำให้อัลรอลเน่ฉุกคิดขึ้นมาทันที....

    ///////////////////////////////////////////////

    ชูวครอสก้าวตรงไปยังห้องทำงานของตนเองที่ตั้งแยกออกมาจากห้องทำงานของอาจารย์คนอื่นๆ ณ ที่นี่ปราศจากเสียงรบกวน และยังเป็นทางที่ไม่มีห้องอะไรนอกจากห้องของเขา จึงไม่มีใครเดินผ่านเข้ามาที่นี่นอกเสียจากว่าจะหลงทางเท่านั้น....
    ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราสไตล์วิคตอเรียนด้วยเครื่องไม้เก่า เขาก้าวไปหาโต๊ะทำงานและวางหนังสือพร้อมกับถอดแว่นตาออกมาวางไว้บนนั้น


    “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง...”


    ชูวครอสเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีดำซึ่งปรากฏตัวเมื่อใดไม่มีใครรู้เลย ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆชูวครอสก่อนที่จะกระซิบกระซาบอะไรกับเขา ชูวครอสยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบกลับไป


    “สถานการณ์ทางนี้ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก...แต่ข้าเองก็พยายามที่จะหาทางตัดกำลังฝ่ายให้ความช่วยเหลือของฝั่งนี้ให้มากที่สุดบอกท่านด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง...มาเรียจะไม่มีวันได้รับยารักษาทันเวลาแน่นอน...”


    ชายหนุ่มหยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบ แต่ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่ประตูนั้น


    “อ้อ...ฝากบอกกับท่านโครโนสด้วยว่า พระสันตะปาปาคริสโตเฟอร์ยังคงสบายดี...นี่น่าจะเป็นข่าวดีกับท่านมากกว่านะ”



    ==================================================================

    นี่ตกลง Main Characterคาเรนมีกี่ตัวเนี่ย=_=;; แต่รับรองว่าออกมาจืดจางกว่าทุกคนแน่นอน ฮ่าๆๆๆ เชิญติเลยงิ=A=!!
  18. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ชูวครอสนี่ท่าทางจะตัวแสบเลยสินะคะ ภายภาคหน้าอาจจะได้สู้กับฮายาเตะ (ถ้าเจ๊แกสู้ไหวนะ ดูฝีมือยังต่างกันเยอะเลย)
  19. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    สถานการณ์ลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางพวกตัวเอกจะไม่ได้เรียนกันอย่างสงบสุขเสียแล้ว
  20. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ชูวครีมไส้ศึกขิงๆ =[]=!!!!

    ฝุ่นจัง รีบๆเอามาลงซะทีเด้ TT^TT
  21. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    มองแล้วค่ะ ขอโทษที่ช้าแถมสั้นอีกต่างหาก TwT

    + + + + + + + + + + + +


    ...หนักๆหัวจังแฮะ...

    ทุกอย่างมืดสนิท วาเลียรู้ได้ว่าตนหลับตาอยู่จึงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ พบกับแสงแยงตาทำให้เผลอหรี่ตากะพริบๆเพื่อปรับสายตาให้ชิน

    “ที่นี่....ที่ไหน?”

    “ห้องพยาบาล”

    มีเสียงแปลกๆฟังคุ้นหูดังตอบคำถามของเขา ร่างบนเตียงกลางกลิ่นอายของยาในห้องพยาบาลกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วก็หยุดที่ร่างซึ่งปกคลุมด้วยสีดำอันตัดจากสีห้องโดยสิ้นเชิง วาเลียกะพริบตาอีกครั้งจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ร่างนั้นสวมหมวกปิดแทบทั้งศีรษะทำให้เห็นแค่ผมสีบลอนด์ทองที่เกินมาปรกหน้าผาก เสื้อเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำและสวมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาว ดวงตาเป็นสีฟ้าอมเขียวดูดุจริงจังชวนไม่กล้าเข้าใกล้ สายตามองไปที่หนังสือโดยมีมือเปลือยเปล่าคอยจับไว้และพลิกหน้ากระดาษ ดูท่าทางจะอ่านหนังสืออยู่โดยไม่สนใจมองเขาเลย

    “นาย....” คำต่อมาที่ว่านายเป็นใครถูกเก็บลงคอทันทีที่วาเลียนึกได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นใคร ถึงตอนนั้นจะสวมชุดคลุมสีน้ำตาลเสียมิดชิด แต่เขายังจำเสียงที่แปลกไม่เหมือนใครได้ดี เด็กหนุ่มคนนี้เป็นรูมเมทของเขาและมาช่วยเขาไว้ ถึงจะมาช้าไปหน่อยก็เถอะนะ...

    ความเงียบก่อตัวขึ้นในห้องชั่วขณะหนึ่ง วาเลียที่คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงการทดสอบที่ผ่านมาก็พลันนึกขึ้นได้

    “จริงสิ นาย...” เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองผู้พูดเล็กน้อย “...บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

    คำถามนี้ทำให้ดวงตาดุๆนั้นพลันแสดงความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เจ้าของดวงตาละจากหนังสือบนตักโดยสิ้นเชิง ศีรษะเงยขึ้นมาในระดับปกติ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวสบตากับนัยน์ตาสีแดงเต็มๆตา แล้วก็พลันหรี่ตาเหมือนคิดพิจารณา

    ระ..เราพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ?... วาเลียเผลอคิดเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงมีท่าทีเปลี่ยนไป แต่เขาก็หายเกร็งเมื่อเด็กหนุ่มเผยยิ้มออกมา หน้าตาที่ดูดุท่าจะคบยากกลับกลายเป็นใบหน้าเกเรซุกซนแทน ตามด้วยคำพูดตอบกลับมา “นายนี่แปลกดีแฮะ”

    วาเลียเผลอร้องออกมาเบาๆด้วยความงงงวย “หา..??” แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มชุดสีดำนี้ได้ยิน นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวนั้นส่องประกายขบขัน ใบหน้าเผยยิ้มกว้างกว่าเดิม “เอ้า ลุกขึ้นมานั่งสิเจ้ารูมเมท จะได้แนะนำตัวกันดีๆ”

    ร่างบนเตียงยันกายที่ยังรู้สึกหนักๆของตัวเองให้ขึ้นมานั่ง เมื่อจัดแจงนั่งเรียบร้อยก็เห็นเด็กหนุ่มยื่นมือออกมา

    “ฉันชื่อทรีค 17ปี สายมนตรา”

    ...สายมนตรางั้นหรือ คิดว่าอยู่สายต่อสู้ซะอีกแฮะ...

    “ฉัน วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย 18ปี สายต่อสู้ประชิด ยินดีที่รู้จัก” ทั้งสองจับมือกันเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย แล้วเด็กหนุ่มนามว่า ‘ทรีค’ ก็ทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง เอามือเท้าสะเอว สายตามองวาเลียอย่างพิจารณา

    จากนั้นเจ้าตัวก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรออกแล้วเลิกเท้าสะเอว มายืนในท่าปกติ แล้วทรีคก็พูดโพล่งขึ้น

    “ที่นี้จะเอาไงต่อล่ะ เจ้ากาแก่ จะไปเรียนไหมวันนี้”

    “ก็คงจะไปเรียนแหละ ร่างกายก็โอเคแล้-” วาเลียชะงักไปครูหนึ่ง “ตะกี้...นายว่าอะไรนะ?”

    “เจ้า-กา-แก่-ตก-ลง-ไป-เรียน-ไหม”

    ...หา!?

    “นายเรียกฉัน...ว่า ‘กาแก่’ เรอะ..?” น้ำเสียงของวาเลียทะมึนขึ้นทันที

    “เออ ก็ดูจากตัวนายแล้ว กาชัดๆ แถมยังแก่อีกต่างหาก”

    ...หมอนี่นิสัยเสียชะมัด...

    “นั่นเขาเรียกว่าอาวุโสกว่าเฟ้ย” วาเลียเริ่มหลุดหยาบ

    “มันก็คือแก่นั่นล่ะ”

    “ฉันอายุมากกว่านายแค่ปีเดียวเองนะ”

    “ตั้งปีนึง ก็แก่กว่าชาวบ้านรุ่นเดียวกันอยู่ดี”

    ...ทำไมมันกวนโอ๊ยแบบนี้!!...

    วาเลียลุกขึ้นจากเตียงมายืนข้างทรีค ทั้งสองมองหน้ากัน ห่างกันปีเดียวแต่ทรีคกลับดูตัวเล็กกว่า “แต่แกก็ไม่ต้องเรียกแบบนั้นเลย เจ้าเตี้ย”

    ทรีคที่ตอนแรกหน้าดูซุกซนสนุกก็ขมวดคิ้ว

    “แกหาว่าฉันเตี้ยเรอะ?”

    “ปกติอายุ17มันสูงกว่านี้นี่หว่า”

    “อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับแกสิ เจ้าเปรตกาแก่”

    “ชื่อฉันมันยาวขึ้นอีกแล้วนะ”

    “ไอ้กางี่เง่าเอ๊ย”

    “เจ้าตัวเตี้ยมาสาย”

    มาถึงตรงนี้ทรีคถอนหายใจ “เรื่องนั้นช่างมันเหอะน่า” แล้วทรีคก็หยุดไปครู่หนึ่ง วาเลียอ้าปากจะถามต่อแต่ร่างที่เล็กกว่าก็โพล่งขึ้นมา “ตกลงนายจะไปเรียนไหมวันนี้ นายเล่นหลับข้ามวันแบบนี้”

    ร่างสูงที่ตั้งใจจะเถียงก็หยุดคำพูดตัวเองแล้วตอบกลับ “ก็คงไปเรียนล่ะ ร่างกายก็ไม่เป็นไรมากแล้ว ถ้าตอนนี้ยังมีอะไรให้เรียนอยู่ล่ะก็นะ” วาเลียพูดเสร็จก็ถอนหายใจบ้าง .....นี่เขาหลับไปข้ามวันเชียวหรือนี่

    เรื่องคงจบกันได้ซะที แต่ทว่า

    “อ่อนจริง โดนเล่นงานซะเยินแบบนั้น หลับอุตุอีกต่างหาก” ทรีคก็ยังเหน็บแหนมใส่จนได้

    “ก็แกมาช้านี่หว่า ฉันโดนรุมนะเจ้าถั่ว”

    “อย่ามาหาว่าฉันเป็นถั่วนะเจ้ากาเปรต”

    “....”

    “....”

    “ไสก้นไปได้แล้ว ฉันเองก็มีเรียนนะ”

    “ไม่ต้องบอกก็รู้เฟ้ย”

    แล้วรูมเมทสองหน่อก็แยกกันไปตามสายของตัวเอง


    + + + + + + + + + + + +

    จบแบบ...สั้นๆ

    ขออภัยด้วยนะทุกคน....
  22. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    สั้นจริง ๆ แต่อ่านแล้วขดขำกับฉายาใหม่วาเลียไม่ได้ค่ะ อิอิ

    เป็นคู่ที่ดูขวางกัน ผิดกับฝั่งหอหญิงเลยนะคะเนี่ย แต่ได้อารมณ์ไปอีกแบบ 555+
  23. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ปากยังงี้ เปลี่ยนนิสัยเป็นยัยซึนเดเระคงจะเปรมวาเลียน่าดูล่ะ TT^TT
  24. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    การเรียนการสอนของสายมนตรามันช่างน่าเบื่อยิ่งกว่าที่คิด....


    ไลติโอ้นั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะติดหน้าต่างแถวหลังสุดของห้องเรียน หนังสือที่วางอยู่ตรงหน้ามีตัวอักษรระบุไว้ว่า’วิชามนตราขั้นพื้นฐาน’ แต่ทว่า สิ่งที่ชายแก่ผมขาวสวมแว่นตากรอบวงกลมหนาเตอะซึ่งยืนอยู่ตรงหน้ากระดานดำกำลังพล่ามออกมานั้น กลับไม่เกี่ยวข้องกับวิชาในหนังสือเลย

    “นายว่าอาจารย์เขาสอนผิดวิชาไหม?” เด็กหนุ่มผมบลอนด์ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆหันมาถามไลติโอ้ “ฉันว่า ที่เขาสอนอยู่นั่นน่ะมันวิชา’ประวัติศาสตร์เวทมนต์ในยุคอดีต’นะ”

    “ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่” ไลติโอ้ตอบ ซึ่งมันก็สมควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะไม่เคยมีใครสอนเรื่องพวกนี้ให้กับเขา หรือต่อให้มี เขาก็คงจะจำไม่ได้

    “งั้นหรือ? แต่ตอนประลอง นายออกจะเก่งนะ โดยเฉพาะเวทย์ประเภท..”

    “พวกเจ้าสองคนคุยอะไรกัน!!” เสียงตะคอกดังลั่น ทำให้ทั้งสองหันหน้ามาจ๊ะเอ๋กับชายแก่ที่ไม่มีใครรู้ว่ามายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน “กล้ามากทีเดียวนะที่มานั่งคุยกันโดยไม่ฟังการสอนของข้า!!” ชายแก่โวยใส่ ก่อนจะก้าวเท้าถอยหลัง แต่แค่พริบตาเดียว ก็กลับไปอยู่ที่หน้าชั้นเรียนแล้ว แสดงว่ามีการร่ายเวทย์เฮสเอาไว้ก่อน

    “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนออกมาตรงนี้..” ไลติโอ้ได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกไป แต่ทว่า เด็กหนุ่มผมบลอนด์กลับนั่งตัวสั่นงกๆ

    “ยังไม่รีบออกมาอีก!!” ชายแก่ตะคอกใส่อีกวาระ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นสั่นหนักเข้าไปอีก “ดีล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเดินออกมา ข้าก็จะเชิญเจ้าออกมาเอง” กล่าวจบ ชายแก่ก็พูดพึมพำอะไรเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดมือซึ่งเปล่งประกายสีเขียวอ่อนๆไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น

    “หวา!” เสียงอุทานดังขึ้น เมื่ออยู่ๆก็มีรากไม้งอกขึ้นมาจากพื้นก่อนที่จะมัดตัวและกระชากเด็กหนุ่มขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วลากออกไปที่หน้าชั้นเรียน หลังจากนั้นก็สลายกลายเป็นไอสีเขียวและค่อยๆจางหายไป

    “เอ.. พวกเจ้าชื่ออะไรนะ..” ชายแก่มองหน้าทั้งสอง ก่อนจะเปิดสมุดประจำชั้นเพื่อค้นหารายชื่อ

    ไลติโอ้เห็นชายแก่หาซักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอ จึงบอกชื่อของตนออกไป “ไลติโอ้ค..”

    “ข้าไม่ได้ถาม!!” ชายแก่หันมาตะคอกใส่อีกครา ก่อนจะหันกลับไปหารายชื่อของทั้งสองต่อ ซึ่งก็เจอพอดี “อ้า เจอละ ไลติโอ้ กับ เดมอส ฟลาเรส สินะ” ชายแก่มองมาที่ทั้งสอง ไลติโอ้ยืนพยักหน้ารับ ในขณะที่เดมอสนั้นไม่รู้ว่าสั่นจนหัวขยับหรือพยักหน้ารับกันแน่

    “เอาล่ะ เมื่อซักครู่พวกเจ้าคุยกันเรื่องอะไร? มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องที่ข้าสอนอีกเรอะ” ชายแก่เริ่มทำเสียงกร้าวใส่ “เอ้า! ตอบมาสิ!”

    เดมอสยังคงตัวสั่นระริก ทั้งจากการที่อยู่ๆก็โผล่มาตะคอกตรงหน้า ทั้งจากการร่ายเวทย์ธาตุไม้กระชากเขาออกมาจากโต๊ะ เขาไม่เคยเจอครูคนไหนโหดขนาดนี้มาก่อน อย่างน้อยก็จนถึงเมื่อซักครู่นี้แหละนะ

    “พวกผมกำลังคุยกันว่า อาจารย์น่าจะสอนผิดวิชาครับ” ไลติโอ้ตอบกลับเสียงเรียบอย่างไม่สะทกสะท้าน จนเหล่านักเรียนรวมทั้งเดมอสแอบทึ่งกันทั้งห้อง

    “อะไรนะ?” ชายแก่เอ่ยขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองที่ตารางสอนในสมุดประจำชั้น “อ้าว วิชามนตราขั้นพื้นฐานหรอกเรอะ”

    ...............

    อเล็กซ์และอีกหลายๆคนในสาขาประวัติศาสตร์กำลังเจอกับปัญหาใหญ่ในวิชาที่สองของวันนี้ ใครจะไปคาดคิดว่าวิชา’การจัดการห้องสมุด’จะเป็นการมานั่งจัดกองหนังสือสูงท่วมหัวให้เข้าที่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันสมควรจะอยู่ตรงไหนของห้องสมุดขนาดใหญ่ยักษ์แห่งนี้

    “เอ้า เด็กๆ เหลือเวลาอีกแค่55นาที46วินาที368ไมโครวินาทีนะจ๊ะ รีบๆจัดการเก็บหนังสือในห้องสมุดให้เข้าที่เร็วๆเข้าสิ” เสียงแจ้วๆของสาวน้อยผมยาวสีดำที่ใส่ชุดคลุมสีขาวตลอดตัวเร่งให้นักเรียนทุกคนรีบจัดการเก็บหนังสือให้เข้าที่ ในขณะที่ตนเองนอนเอนตัวอยู่บนเตียงพับที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน

    “แม่นี่เป็นอาจารย์จริงๆหรือเนี่ย” เด็กหนุ่มผมทองที่กำลังง่วนอยู่กับการหาหมวดหมู่ในชั้นหนังสือกลุ่มอักษรศาสตร์ บ่นพึมพำใกล้ๆอเล็กซ์ซึ่งกำลังหาหมวดหมู่อักษรทวีปมูในชั้นหนังสือแถวนั้นพอดี

    “บ่นอะไรหรือจ๊ะ? รีบิว คาริอัส แหม ท่าจะว่างมาก งั้นเธอก็รับผิดชอบเพิ่มอีก100เล่มนะจ๊ะ” เสียงแจ้วๆดังขึ้นมาอีก แต่นั่นก็พอจะทำให้รีบิวหน้าซีดลงไปได้มากทีเดียว

    ‘ไม่ไหวละ อย่างนี้จนหมดเวลาก็ไม่เสร็จแน่’ อเล็กซ์คิดในใจ ก่อนจะหยิบหนังสือที่เขาได้ติดตัวตั้งแต่เข้าเรียนขึ้นมา เขากางหนังสือออกถึงหน้ากึ่งกลาง หน้ากระดาษว่างเปล่า แต่ก็เพียงไม่นาน หลังจากที่อเล็กซ์วางมือลงบนหน้าหนังสือ ก็ปรากฏข้อมูลการจัดเก็บหนังสือของห้องสมุดนี้อย่างละเอียดบนหน้ากระดาษนั้น “ยังดีนะที่ข้อมูลนี้ไม่ใช่ความลับ” อเล็กซ์พูดพึมพำ ก่อนที่จะนำหนังสือวิชาภาษามูไปเก็บที่ชั้นหนังสือ

    หลังจากเขาได้รายละเอียดของห้องสมุดนี้แล้ว การจัดการกับกองหนังสือจำนวนมากก็ทำได้เร็วขึ้น และเขายังแนะนำวิธีนี้ให้คนอื่นๆต่ออีกด้วย

    ‘ไม่เลว มีแววที่ดี’ สาวน้อยคิดในใจขณะมองไปที่อเล็กซ์ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำทรงสูงที่มีน้ำส้มเต็มแก้วขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มาดื่ม

    “เมรอส หลานอย่ารังแกเด็กสิ” หญิงชราคนหนึ่งพูดขึ้นขณะเดินเข้ามาในห้องสมุด “แล้วก็.. ห้ามรับประทานอาหารในห้องสมุดด้วย”

    “หนูก็ไม่ได้แกล้งนี่คะ นี่ถือเป็นการสอนอย่างนึงนะ” เมรอสส่งเสียงหวานตอบหญิงชรา “จริงไหมคะ? ท่านยายเมลานี่”

    “เฮ่อ ขี้แกล้งจริงๆเลยนะเรานี่..” เมลานี่ถอนหายใจ ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องผู้อำนวยการห้องสมุด

    ...............

    คาบเรียนยามบ่ายเริ่มต้นขึ้น กลุ่มเด็กปีหนึ่งสายมนตราถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่สนามหญ้าข้างอาคารเรียนโดยเบนิออส ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ส่ายหน้าไปตามๆกัน เพราะได้ยินเรื่องความโหดในการสอนของอาจารย์คนนี้มาจากรุ่นพี่มากมาย

    “เอาล่ะ วันนี้เราจะมาเรียนภาคปฏิบัติเกี่ยวกับเวทมนต์พื้นฐานกัน” เสียงของเบนิออสดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครเห็นร่างของเบนิออสเลยซักคน จนซักพักถึงมีนักเรียนคนหนึ่งสังเกตเห็นเงาๆหนึ่งบนพื้นเลยเงยหน้ามองขึ้นไป จึงพบว่าเบนิออสซึ่งกางร่มกันแดดไว้กำลังค่อยๆลอยลงมาจากบนฟ้า

    “ก่อนอื่น ขอนับจำนวนคนก่อนนะว่าครบหรือเปล่า?” เบนิออสเอ่ยขึ้นหลังจากเท้าของเขาสัมผัสพื้น ร่มสีขาวขนาดเล็กทำหน้าที่ลอยบังแดดให้เบนิออสได้เป็นอย่างดีแม้ไม่ได้ถือไว้ “เอ หายไปคนนึงนี่..”

    “มาแล้วครับๆ” เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วในขณะที่เบนิออสกำลังเอ่ยถามขึ้นพอดี “ขอโทษครับที่มาสาย”

    “ทรีคสินะ แล้วเด็กหนุ่มคนนั้น.. วาเลียหายดีแล้วหรือ?” เบนิออสเอ่ยถาม

    “เจ้ากะ เอ้ย วาเลียหายดีแล้วล่ะครับ และเขาก็แยกตัวไปเรียนแล้ว” ทรีคตอบ

    “ก็ดี งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเถอะ”

    ...............

    ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง การสอนของเบนิออสเรื่องเวทมนต์พื้นฐานดำเนินไปอย่างรวดเร็วแต่เข้าใจง่าย หลักการของ5ธาตุและหยินหยางถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่ติดขัดจนนักเรียนส่วนใหญ่เริ่มคิดว่าเรื่องที่รุ่นพี่พูดให้ฟังนั้นเป็นแค่คำขู่

    จนกระทั่ง..

    “เอาล่ะ หลักๆก็มีเท่านี้แหละ ต่อไปเป็นการทดสอบสนุกๆ” นักเรียนบางคนโดยเฉพาะกลุ่มที่สอบผ่านมาจากกราเซียสเริ่มรู้สึกถึงอะไรที่ไม่น่าหรรษาบางอย่าง

    เบนิออสเดินมากลางสนามหญ้าพร้อมทั้งมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่จุดๆนึง “ตรงนี้ละกัน” เบนิออสพูดขึ้นก่อนจะชี้นิ้วไปรอบๆประมาณสิบกว่าจุด

    “วิญญาณแห่งเปลวเพลิงที่อยู่รายล้อมรอบกายข้า ข้าขอมอบพลังของข้าให้แก่ท่าน จงสร้างเสาแห่งเพลิงขึ้นมาตรงจุดที่ข้าร้องขอด้วย” เบนิออสร่ายบทกำกับคาถาที่ฟังแล้วแปลกหู แต่นั่นไม่ใช่กับไลติโอ้

    “ฟิเรเอ้ โพอิน พิลาร่า!!”

    เสาเพลิงจำนวนสิบกว่าต้นพุ่งขึ้นมาจากพื้นอย่างพร้อมเพรียง ขนาดของเสาถือว่าใหญ่ใช่เล่น แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่า..

    “เอาล่ะ การทดสอบก็แค่ง่ายๆ จนกว่าจะหมดเวลาเรียน ให้ร่ายเวทย์น้ำแข็งด้วยศาสตร์ไหนก็ได้เพื่อแช่แข็งเสาเพลิงพวกนี้ ถ้าใครทำได้ก็ผ่านการทดสอบ จะร่วมมือกันก็ได้ แช่แข็งแค่ต้นเดียวก็ได้ แต่ถ้าใครไม่ลงมือ ครูขอแค่ลบหนึ่งคะแนนคนนั้นละกัน” เบนิออสอธิบายอย่างสบายอารมณ์ “อ้อ ห้ามทำไฟดับนะ ถ้าเสาเพลิงดับลงหนึ่งต้น ก็ลบหนึ่งคะแนนทั้งชั้นเรียน”

    เหล่านักเรียนส่วนใหญ่เริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่าสอนโหดของเบนิออสที่รุ่นพี่พูดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะกับทรีค..

    นี่มันซวยทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะเนี่ย

    ...............

    รู้ตัวว่าเผา แถมสั้นอีกต่างหาก ก็แหม มันก็ต้องมีตันกันบ้างสิ -*-
  25. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    มาถึงทรีคก็เจอดักทางซะงั้น งานนี้จะแช่แข็งเสาเพลิงยังไงก็ต้องดูกันไป

Share This Page