[ฟิคลูกโซ่] All Fiction Fantasy

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 30 สิงหาคม 2010.

  1. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ในร้านเวทมนตร์ ทรีคที่กำลังเลือกหาสิ่งน่าสนใจใน ร้านก็เอ่ยปากพูดขึ้นพร้อมๆกับหันหลังมาหา


    “นี่ เจ้าต้นมะพร้าว นายคิดว่า..... อ้าว ไลติโอ้ เจ้าบ้านั่นหายไปไหนแล้วล่ะ”


    ไลติโอ้ได้แต่ตอบด้วยการส่ายหน้า เป็นคำตอบได้ว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน... เด็กหนุ่มร่างเล็กเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วบ่นเป็นหมีกินผึ้ง


    “ช่างเถอะ...”


    .......
    ............
    .....................

    ขณะที่ทรีคยังคงเลือกหาของต่อไป ท่ามกลางทางเดินสายหลักของเมืองไลท์เกรซ นักบวชหนุ่มสองคนเดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่มันจะไม่น่าผิดสังเกตเลย ถ้าหากไม่มีเด็กหนุ่มในเสื้อโค้ทสีดำเดินอยู่ข้างหน้า

    ......ในสภาพมือไพล่หลัง ถูกตรวนข้อมือด้วยกุญแจมือซึ่งประดับด้วยหินเวทมนตร์ที่ช่วยสะกดพลังเวทมนตร์ของผู้ถูกจับกุมเอาไว้ วาเลียพยายามขยับข้อมือ ทำเป็นขัดขืน แสร้งกัดฟันทำท่าแสดงความหงุดหงิด เขาเคยเผชิญกับมันมาแล้ว อย่างน้อยครั้งหนึ่ง


    “อย่าคิดดิ้นรนเลยเจ้าหนู มันเป็นชะตากรรมของเจ้า...เจ้าคนทรยศ”

    (ทรยศ? ทรยศอะไรของพวกแก เจ้าสุนัขรับใช้ไอ้พวกปีศาจ.......)


    วาเลียได้แค่ตอบกลับด้วยความคิด ผ่านแววตาอันกร้าวกราดด้วยความโกรธแค้น เขามองว่ามนุษย์สองคนนี้เป็นเพียงแค่เศษสวะที่ยอมรับใช้เหล่าปีศาจ และตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศอย่างไม่ยุติธรรม เพียงแต่เขาเผลอนึกอะไรออกได้ เลยทำได้แต่หันหลังจากสองคนนั้น


    “พวกแกนึกครึ้มอะไรถึงได้มาเป็นมือเป็นเท้าให้ราชอาณาจักรล่ะ?”


    หนุ่มน้อยเปลี่ยนท่าทีจากการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อนักบวช มาเป็นความสงบเยือกเย็น และเป็นฝ่ายเอ่ยคำถามกับสองคนนั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แม้ในใจจะรู้สึกอยากจะอาละวาดซะตรงนี่ให้รู้แล้วรู้รอดไป


    “พวกข้าพูดไป สวะอย่างแกก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก.......”

    “อ้อเรอะ.....” วาเลียตอบเชิงทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจคำพูดตรงหน้าแม้ในใจอยากจะฉีกร่างของบุรุษเจ้าของคำพูดก่อนหน้าให้เป็นชิ้นๆ

    “แต่ข้าจะบอกให้เอาบุญก็ได้.....เพราะเหล่าชนชั้นสูงได้มีความเมตตากรุณาต่อพวกเราเหล่ามนุษย์ยังไงล่ะ พวกท่านให้ที่อยู่อาศัยพวกข้า ให้การคุ้มครองพวกข้า ให้ข้าได้กินอิ่มทุกมื้อ โดยแลกเพียงแค่ด้วยความจงรักภักดีแม้ชีวิตนี้ก็ถวายให้ได้ยังไงล่ะ”

    (เมตตากรุณา.... เหอๆๆๆๆ บ้านแกสิ เมตากรุณา....)


    วาเลียทำหน้าเอือมๆ ราวกับได้ยินคำพูดนั้นจากใครบางคนมาก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้หนึ่งในสองคนนั้นบันดาลโทสะ เข้าขย้ำคอเสื้อยืดของเขาแล้วเริ่มตะคอกใส่


    “แกเคยเห็นมั้ยล่ะ ฮัซซา บาฮาดูร อัล-อิบราฮิม!? ชีวิตความเป็นอยู่อันยากจนข้นแค้นของผู้คนที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของศาสนจักร ผู้คนที่ต้องหวาดระแวงกับความหวาดกลัวด้วยความไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตรอดไปอีกนานแค่ไหนกันน่ะ ห๊ะ!?”


    วาเลียทำได้แต่เหลือบตามองไปยังรอบข้าง ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยสายตาของผู้คนในละแวกนั้น ที่ทิ่มแทงเข้าใส่นักบวชของเก๊ทั้งสอง อีกอย่างหนึ่ง ฮัซซาอะไรนั่นมันก็แค่ชื่อเก่าก็เท่านั้น


    “พอก่อนเถอะอับดุลลาห์”


    นักบวชผู้สบประมาทวาเลียเป็นฝ่ายห้ามปราม เป็นเชิงว่าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปได้ความแตกกันพอดี


    “เฮอะ....รู้แล้วล่ะน่า อับดุล-ฮามิด”


    อับดุลลาห์ปล่อยคอเสื้อของวาเลียลง


    “เมื่อกี๊พวกแกบอกว่า พวกแกจงรักภักดีต่อราชอาณาจักรใช่มั้ย?”


    วาเลียลดโทนเสียงลงเป็นเสียงต่ำ เยือกเย็น แม้ข้อความดังกล่าวจะเป็นประโยคคำถาม


    “ถึงพวกข้าไม่ได้พูดแบบนั้นตรงๆ แต่ถ้าตามความหมายก็ใช่อยู่หรอก”

    “งั้น.....”


    วาเลียหันกลับไปหาชายสองคนนั้นซึ่งมีความสูงไล่เลี่ยกับเขา เนตรสีโลหิตหรี่ลงและน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาจากริมฝีปากซึ่งขยับตามคำพูดอย่างช้าๆ


    “ปล่อยชั้นสิ”


    เกิดสูญญากาศในวงสนทนาระหว่างพวกเขาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที ราวกับอะไรบางอย่างดลใจกับอับดุลลาห์ เขาก็พูดอะไรบางอย่างซึ่งคนทั่วไปถ้าได้รับรู้สถานการณ์ของพวกเขาก็คงไม่เชื่อ คำพูดชวนขัดแย้งกันแปลกๆ แต่พวกเขากลับทำตามคำสั่งของวาเลียแต่โดยดี


    “รับทราบ”


    ว่าแล้วอับดุล-ฮามิดก็จับวาเลียหันไปข้างหน้า แล้วส่งกุญแจให้กับอับดุลลาห์ ก่อนที่เขาจะใช้มันปลดพันธนาการให้กับบุรุษผู้ถูกขนานนามว่า ฮัซซา บาฮาดูร อัล-อิบราฮิม ในขณะที่กำลำงไขกุญแจมือซึ่งต้องเสียเวลายกเลิกพลังบนหินเวทมนตร์ หนุ่มผมดำก็นึกถึงคืนหนึ่ง


    ............
    ...................
    ...........................

    “รู้อะไรมั้ย เจ้าหนู?”

    “จู่ๆก็พูดแบบนั้นผมจะไปรู้มั้ยครับรุ่นพี่”


    วาเลียเอ่ยปากขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ขณะที่เขายืนอยู่บนระเบียงดาดฟ้าด้วยแขนซ้ายเพียงข้างเดียว ในขณะที่แขนอีกข้างยกขึ้นระนาบกับพื้นเพื่อทำสมาธิในรูปแบบของผู้ใช้ฟอร์ซ


    “เอ็กโซซิสน่ะ.... ไม่ได้เป็นเพียงนักรบที่ต่อสู้กับปีศาจเพื่อความปลอดภัยของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่คอยปกปักษ์รักษาสังคมให้เป็นไปอย่างสงบสุขยังไงล่ะ”


    วลาดิเมียร์ กัลเวซ เอ่ยถึงเป้าหมายของนักเรียนในโรงเรียนที่พวกเขาเล่าเรียนให้ฟัง ขณะที่นั่งอยู่บนเสื้อที่ถูกพับเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสอย่างสบายใจเฉิบ แต่ที่มันไม่ปกติก็คือ เขากำลังนั่งอยู่บนข้าข้างขวาของหนุ่มน้อย ราวกับเป็นตัวภาระที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักที่วาเลียต้องแบกรับให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบกิโลกรัม


    “เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน...รู้ใช่มั้ย? ทำไมชั้นถึงพูดเรื่องนี้”


    เขากระโดดลงจากเสื่อผืนนั้นลงมาอยู่ตรงหน้าของหนุ่มน้อย ซึ่งบัดนี้กลับมายืนด้วยขาทั้งสองดังเดิม


    “อาจารย์แม็กซิมิเลี่ยนบอกกับชั้นไว้ว่า ถ้าการฝึกสมาธิของนายพัฒนาขึ้นจนถึงระดับที่เหมาะสม ให้ชั้นเริ่มสอนการใช้พลังในรูปแบบใหม่....”

    “และพลังที่ว่านั้น จะช่วยให้เราเหล่าว่าที่เอ็กโซซิสต์.... สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งใดๆก็ตาม โดยไม่ต้องต่อสู้กันยังไงล่ะ......”


    .........
    ...............
    .....................


    (มายด์ ทริค.....ใช้ได้ผลด้วยแฮะ.............)


    เขานึกไปก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อยู่แต่ในโลกอันมืดมิดอย่างเขา จะสามารถใช้ทักษะด้านสว่างเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ โดยไม่ต้องทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาพัวพันได้อย่างมีประสิทธิภาพจนน่าพอใจในสถานการณ์จริงเช่นนี้

    สงสัยเขาจะเคยชินกับด้านมืดจนเกินไป

    อันที่จริง เขาจะกระชากกุญแจมือทิ้งแล้วชักเรย์เซเบอร์บั่นคอของสปายสองนายนั้นให้ขาดในดาบเดียวก็คงทำได้ง่ายๆ แต่เขายังไม่อยากจะงานเข้าเป็นครั้งที่สองอีก ไหนครานี้จะมีพยานเป็นชาวบ้านตาดำๆนับสิบนับร้อย ขืนเขาทำอะไรบุ่มบ่าม.... คงไม่ดีแน่

    แม้ความเป็นจริงแล้วเขาจะเคยทำเช่นนั้นมาแล้ว... ถึงสองครั้งก็ตาม


    “เรียบร้อยล....”


    อับดุลลาห์พูดขึ้นยังไม่ทันจบ วาเลียก็ฉกเอากุญแจมือไป ก่อนที่จะใช้เทเลคิเนซิสของเขาบังคับให้กุญแจมือนั้นล๊อกเข้ากับข้อเท้าของชายทั้งสอง ไม่เพียงแค่นั้น เขายังยกมือขวาดึงเอากุญแจมืออีกอันหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในกระเป๋าของนักบวชอีกคน บังคับมันเข้าไปล๊อกกับข้อมือข้างหนึ่งของทั้งสองคน โดยไม่ลืมที่จะกระชากเอาลูกกุญแจสำหรับไขมาครอบครองไว้กับตน


    “น....นี่แก!!!”

    “ลาขาดล่ะนะ ไอ้พวกบ้า!!!!”


    วาเลียล้อเลียนเล็กน้อยพร้อมกับออกตัววิ่งหนีจากนักบวชทั้งสอง พวกเขาที่ยังลืมตัวว่าเท้าทั้งสองของตนถูกล๊อกติดกันก็ออกเท้าวิ่ง แต่ก็ล้มลงไปกองกับพื้นราวกับเด็กที่ยังเล่นเกมเดินสามขาไม่เป็น


    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!! ใครก็ได้ จับเจ้าบ้านั่นให้ที!!!!”


    อับดุล-ฮามิดตะโกนลั่นเป็นเชิงสั่งเหล่าไลท์เกรซมุง แต่อนิจจา.... ประชาชีหาได้ฟังสองคนนั้นไม่ กรรมของเวร......


    ...........
    ................
    .........................


    เขากลับออกมาจากร้านขายไอเทมเวทมนตร์ ภายหลังจากที่สามารถหนีการตามล่า(?)ของสปายทั้งสองได้สำเร็จ บัดนี้ไม่มีวี่แววของทรีคและไลติโอ้ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว


    “อะไรกันล่ะนั่น....”


    เขาคุกเข่าลงเก็บเหรียญนั้นขึ้นมา มันมีสีแดงประดับด้วยขอบสีเหลืองทอง ด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์รูปสัตว์ปีก ประมาณว่าเหยี่ยวไม่ก็อินทรี ส่วนด้านหลังมีรอยนูนต่ำเป็นรอยขีดเส้นใหญ่ๆเส้นเดียว

    จะอะไรก็ช่าง... เก็บไว้ก่อนดีกว่า เขาคิดเช่นนั้น พร้อมกับเก็บมันลงไปในกระเป๋ากางเกงราวกับเป็นเรื่องปกติ ค่อยหาเจ้าของเหรียญทีหลัง


    + + + + + + + + + +

    เปิดเทอมแล้ว ต้องสู้รบตบแปะกับเน็ตหออยู่นาน การบ้านเยอะ งานเยอะ ปัญหาชีวิตเยอะ เลยประสบปัญหาด้วยอาการเจ็บปวดทางศีรษะ ทำให้แต่งช้าไปไม่นิด ขออภัยด้วยครับ.....
  2. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เออดีแฮะ จบเรื่องได้โดยไม่ต้องสู้ แต่ให้รอเสียตั้งนานนะไพอา ^^

    เดี๋ยวต่อไป เขียนของฮายาเตะต่อดีกว่า
  3. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    แต่ก็ถือว่าไม่นานมากนะเจ้าคะ ถ้าเทียบกับที่ผ่านๆมา ตัวเรื่องดำเนินมาติดต่อกันไม่ติดขัดกันดี

    แหม..น่าเสียดายจริงๆ อัลรอลเน่อดใช้อาวุธใหม่เลย ฮ่าๆๆ

    ทีนี้ก็มานั่งคิดตอนของทางฝั่งซานโดรต่อดีกว่า Orz"
  4. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    mind trick พลังนี่มันคุ้นๆอยู่นา

    ต่อไปแบบนี้ ต้องหาวิธีรับมือพลังแบบนี้แล้วสินะ (ไพอาอย่าลืมไปอัพเด็ดความสามารถใหม่ใน โปรไฟลด้วยเน้อ กันลืมของตัวเองและคนอื่น)

    แต่นึกว่าจะนองเลือดกันกลายตลาด และ ได้หน่วยสอบสวนคนนอกรีตมา่ร่วมวงด้วยเสียอีก ฮืมมม
  5. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เกินคาดสำหรับหลายๆคนไปเลยทีเดียว
  6. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    วินดัสสังเกตดูท่าทีของเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่ง เธอเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนนั้นเล็กน้อยแต่สังเกตได้ชัด แม้ว่าเธอจะยังคงมาดเยือกเย็นกึ่งเย็นชาไว้ได้บางส่วน แต่ก็ดูรีบร้อนกว่าปกติที่เขาเคยเจอเมื่อครั้งที่ทำภารกิจร่วมกัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเอ่ยทักเท่าไรนักเพราะเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน แต่ก็อดสงสัยไมได้ว่าอะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้เช่นนี้

    "รีบเร่งผิดวิสัยเยือกเย็นปกตินะครับ" วินดัสเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพและเยือกเย็น

    ฮายาเตะยังคงจิบกาแฟของตนต่อไปอย่างไม่สนใจใยดีชายหนุ่มคู่สนทนาเท่าไรนัก จนกระทั่งเธอทนรำคาญรอยยิ้มน้อย ๆ ของเขาไม่ได้

    "เรื่องของฉัน" คำตอบนั้นออกมาจากปากของฮายาเตะสั้น ๆ ง่าย ๆ อย่างตัดรอน

    วินดัสหัวเราะน้อย ๆ ให้กับคำตอบของเด็กสาวอดีตเพื่อนร่วมภารกิจ สมองของเขานั่งคาดเดาเหตุผลต่าง ๆ ที่จะทำให้เธอรีบร้อนได้อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

    ...มีแฟน? นัดใครไว้? หรือว่าเป็นบุคลิกปกติของเธอที่ฉันไม่เคยเห็นนะ... หรืออาจจะมีแฟนก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ...

    ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบใจเป็นอย่างมากที่เขามองเธอและหัวเราะน้อย ๆ เช่นนั้น เด็กสาวซึ่งเพิ่งจะจิบกาแฟของตนหมดกระแทกถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรงพอที่เขาจะได้ยิน ก่อนที่จะกระแทกเท้าลุกขึ้นยืน และมองหน้าของเขาอย่างไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

    "ขำฉันมากหรือไง" ฮายาเตะตะคอกถามอย่างลืมตัว เสียงของเธอนั้นดังจนแทบทุกคนในร้านต่างหันมามองเป็นตาเดียว

    ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มคู่สนทนากลับไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย เขายังคงอ่านบันทึกของคุณแอเรียลต่อไปอย่างนิ่งเฉย ราวกับว่าไม่ได้ยินคำตะคอกของเธอ

    ไม่นานนักหลังจากที่เด็กสาวรู้สึกได้ว่าตนถูกคนในร้านมอง ฮายาเตะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอัลรอลเน่กำลังอยู่กับหญิงแปลกหน้าที่ร้านขายอาวุธ และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ซามูไรสาวในยามนี้จำเป็นที่จะต้องไปปกป้องดูแลเด็กสาวเพื่อนรักคนนั้นให้เร็วที่สุด เนื่องจากเธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหญิงแปลกหน้าผู้นั้นเป็นคนดีหรือไม่ มีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือเปล่า

    ทันทีที่นึกถึงอัลรอลเน่ขึ้นมาได้ ฮายาเตะรีบเดินออกจากร้านไปในทันที โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่อยู่รอบข้าง หรือแม้กระทั่งวินดัส ซึ่งเป็นชายหนุ่มคู่สนทนาของเธอเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

    ...ไม่สนใจแม้กระทั่งเงินค่ากาแฟที่ตนต้องจ่าย...

    วินดัสซึ่งเพิ่งจะจิบช็อกโกแลตร้อนของตนหมด และอ่านสมุดบันทึกของคุณแอเรียลจบ ดีดนิ้วเรียกพนักงานคนที่อยู่ใกล้ที่สุดให้มาคิดเงินค่าเครื่องดื่ม

    "ช็อกโกแลตร้อนหนึ่งแก้ว... กาแฟของคุณผู้หญิงท่านนั้น... รวมกันเป็น..." พนักงานหนุ่มบอกรายการเครื่องดื่มและราคาอย่างสุภาพ โดยเข้าใจว่าเด็กสาวซึ่งเป็นคู่สนทนาของลูกค้าเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนหรือไม่ก็ของเขา

    วินดัสพยักหน้าตอบรับอย่างนิ่งเฉย แม้เขาทราบว่าตนต้องจ่ายเงินในส่วนของฮายาเตะด้วยก็ตาม มือของชายหนุ่มล้วงเข้าไปหยิบเงินในถุงหนังเก่า ๆ ใบนั้นขึ้นมานับอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะจ่ายค่าเครื่องดื่มทั้งสองแก้ว ในครั้งนี้เขาได้รับรู้ความจริงบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ในตอนแรก...

    ...ตอนแรกเขาคำนวณเงินผิด ที่จริงเขามีเงินไม่เพียงพอที่จะจ่ายให้ฮายาเตะ แค่แก้วเดียวก็ทำให้เงินของเขาเกือบหมดแล้ว...

    "คุณครับ จ่ายด้วยครับ" พนักงานหนุ่มซึ่งยังมีกิจอื่น ๆ ให้ทำอีก เร่งรัดให้วินดัสจ่ายเงินเสียที โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้เป็นลูกค้าไม่มีเงินเพียงพอสำหรับเครื่องดื่มทั้งสอง

    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลยังคงมีสีหน้าแววตาเรียบเฉย เขาถอนมือออกจากถุงหนัง ก่อนที่จะยืนขึ้นอย่างไม่รีบเร่ง และยิ้มให้กับพนักงานตามมารยาท

    "ขอโทษนะครับ แต่ผมคงต้องอยู่ล้างถ้วยที่นี่สักพัก เพื่อชดใช้ที่ผมไม่มีเงินจ่ายคุณ" วินดัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยไร้อารมณ์ตามปกติ ก่อนที่พนักงานชายคนนั้นจะพาเขาเข้าไปในห้องครัวด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    ...ไม่คิดเลยว่า เรื่องอย่างนี้จะผูกมัดให้ฉันอยู่ที่นี่ได้...

    หลังจากที่เดินมาจนถึงห้องครัวในส่วนที่ใช้เป็นลานซักล้าง ชายหนุ่มนักเดินทางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับกองแก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ และสิ่งต่าง ๆ นับร้อยที่เขาต้องล้างเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเคยล้างจานชามอะไรมามากมายกว่านี้แล้วเพื่อหาเงินค่าเสบียงอาหารและค่าเดินทาง

    ชายหนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเด็กสาวที่ทิ้งภาระการจ่ายเงินให้กับเขาด้วยความรีบเร่ง ก่อนที่จะลงมือล้างภาชนะต่าง ๆ อย่างใจเย็น

    ...เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า แม่สาวน้อย "ดาบใต้แสงจันทร์" จะชักดาบด้วยวิธีนี้ แต่ก็เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องของฉัน...
  7. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ละ....ลูกแม๊!!!!!! กินแล้วชักดาบแบบนี้เลยเหรอค๊าาาา (สมเป็นนักดาบจริง ๆ เอ๊ยไม่ใช่ละ =[]=! )

    วินดัสนี่ ท่าจะจีบฮายาเตะจังต้องทำใจหน่อยนะ :medance.:
  8. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ว่าแต่วินดัสถังแตกขนาดนี้ยังจะเอาเงินมาจ่ายกับการนั่งจิบเครื่องดื่มอีกนะเนี่ย >_<"
  9. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เรื่องของเรื่องคือ วินดัสคำนวณเงินผิดน่ะค่ะ(ประมาณว่า คลำเหรียญแล้วคำนวณผิด ไม่ก็ดูแบงค์ผิด อะไรประมาณนี้)
  10. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    “ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบคุณมากล่ะนะ...”


    อัลรอลเน่ลุกขึ้นยืน หยิบดาบขึ้นมาสะพายหลังและโค้งคำนับให้กับอาโมเอน่า


    “ไม่เป็นไรหรอก งั้น โชคดีล่ะ ดูแลลูกของท่านดีๆด้วย”


    ซิสเตอร์สาวยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไปนอกร้านที่ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่ฮายาเตะกลับมาพอดี


    “จะกลับแล้วเหรอ?”


    ซิสเตอร์สาวไม่ตอบหากแต่พยักหน้า ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกลับไปที่โรงเรียนด้วยกัน
    ///////////////////////////////////////////////////////////
    ในขณะเดียวกัน นักบวชวัยกลางคนในชุดสีแดงเลือดหมู และนักบวชหนุ่มในชุดสีขาวปักลายดิ้นทองที่ดูงดงามในมือถือหนังสือเดินทางกับใบสัญญา ทั้งคู่ยืนอยู่ภายในมหาวิหาร


    “ต้องขอบคุณท่านมาก คาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์”


    “ท่านแน่ใจจริงๆแล้วหรือ ท่านคริสโตเฟอร์ ...ที่ที่ท่านกำลังจะไป มันเป็นถึงจักรวรรดิ...เป็นดินแดนของศัตรู..”


    คริสโตเฟอร์ยิ้มออกมาน้อยๆ แต่รอยยิ้มนั่นก็แฝงไปด้วยความเศร้า


    “ศัตรู...หรือ?”


    ฟรังซิสเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้นดี แต่เมื่อเขากำลังจะกล่าวอะไรต่อ


    “ฝั่งนั้น ฝากอะไรถึงข้าบ้างหรือเปล่า?”


    ฟรังซิสเงียบไปครู่หนึ่ง “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว...ฝ่าบาท...”


    คริสโตเฟอร์ชำเลืองตามองมาที่นักบวชวัยกลางคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “ฝ่าบาท..ได้โปรดทรง...”


    “นางเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของข้านะ ฟรังซิสเซเวียร์...ความสุขของนางก็ถือว่าเป็นความสุขของข้าเฉกเช่นเดียวกัน สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดคือการปกป้องรอยยิ้มนั่น..รอยยิ้มที่ไม่มีวันจะได้เห็นในที่นั่น”


    “แต่มัน...”


    “ข้าเข้าใจดีฟรังซิสเซเวียร์ ว่ามันคือสัญญา...แต่ว่า...ช่างมันก่อนเถอะ...สิ่งที่ข้าให้ควรให้ความสำคัญตอนนี้คือ การช่วยท่านมาเรียให้หายประชวรเสียก่อน”


    ฟรังซิสรู้สึกแปลกใจกับคำพูดนั้นของคริสโตเฟอร์ ที่ตามปกติแล้ว เขาจะเห็นความสำคัญของนางผู้นั้นมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง


    “แล้วเรื่องวัตถุดิบอื่นๆเล่า ท่านมีแผนจะส่งฝ่ายไหนไปหรือ”


    “พะยะค่ะฝ่าบาท ข้าได้เห็นสมควรว่าเรื่องนี้ ควรจะมอบให้ฝั่งกองทัพของแม่ทัพชูวครอสเป็นผู้จัดการ”


    คริสโตเฟอร์หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น


    “ไม่...ข้าไม่อนุญาตในเรื่องนี้...ฝ่ายกองทัพจะต้องไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เป็นอันขาด”


    “หมายความว่ายังไงกัน?”


    “ยังไงก็ตาม..เราเองก็ใช้เอ็กซ์โซซิสระดับสูงไปแทนเองก็ไม่ได้เช่นกัน...การเคลื่อนไหวในระดับสูง มีสิทธิ์ที่จะสร้างความสงสัยให้กับคนภายนอก และเรื่องนี้จะรั่วไหลออกไปได้ ... แค่เรื่องนี้ไปถึงหูของฝ่ายนั้นในจักรวรรดิ ถึงจะเป็นถึง ‘ผู้นั้น’ ข้าเองก็ยังไม่สบายใจมากนัก”


    “แล้วท่านจะส่งใครไปเล่า” แม้ว่าฟรังซิสจะรู้ว่าคริสโตเฟอร์พยายามเลี่ยงเรื่องของชูวครอสเต็มที่ แต่เขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ทว่าฟรังซิสกลับไม่ยอมซักไซ้ต่อเพราะในตอนนี้นั้น เขาควรแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานให้ได้

    คริสโตเฟอร์เริ่มเดินวนไปมาในห้องเพื่อใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะหวนนึกถึงการประลองในวันนั้นขึ้นมาได้


    “ถ้าหากว่า..จะใช้เอ็กซ์โซซิสฝึกหัดดี...”


    “มือใหม่ที่เข้ามาในปีนี้หรือ...ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะกระมั้ง ในการให้ผู้ที่ไร้ประสบการณ์แบบนั้นออกไปปฏิบัติภารกิจแบบนี้”


    “ท่านลองคิดดูดีๆสิ ในการประลองในคราวที่ผ่านมานั้น มีเอ็กซ์โซซิสฝึกหัดที่ฝีมือดีอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่า..เราจะไม่ได้ให้พวกเขาเข้าร่วมโดยรับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่จะส่งพวกเขาไป โดยบอกแค่ว่า นี่เป็นแค่การฝึกเท่านั้น”


    “แต่จะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ ฝั่งศัตรูเองก็เฝ้าจับตาดูพวกเราอยู่เช่นเดียวกัน”


    “เพราะมันเป็นการฝึก จึงจำเป็นที่จะต้องมีอาจารย์คอยคุมไปด้วยอยู่แล้ว อาจารย์ในแต่ละรายวิชามีฝีมือที่พอตัวดี อีกอย่าง การฝึกก็สามารถกลบเกลื่อนเรื่องทั้งหมดได้ ถ้าหากเราไม่เจาะจงในการส่งเอ็กซ์โซซิสฝึกหัดไปตามสถานที่ที่มีของที่เราต้องการ แต่จะกระจายไปรอบๆทั้งหมดด้วย”


    ฟรังซิสรู้สึกทึ่งในการวางแผนของคริสโตเฟอร์เป็นอย่างมาก เมื่อมาครุ่นคิดดูแล้ว แผนการนี่เองก็ดูน่าจะใช้ได้


    “ข้าเข้าใจแล้วฝ่าบาท...แต่เราจะทำอย่างไรกับการคัดเลือกเอ็กซ์โซซิสฝึกหัดดีเล่า”


    “นำแผนการนี้ไปให้คาร์ดินัลผู้เป็นหัวหน้าแผนประจำสายต่างๆ ให้พวกเขาพิจารณาเลือกผู้เหมาะสมเอง...แต่ท่านจงจำไว้ด้วยว่า ในเรื่องนี้นั้นมีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ให้รู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด”


    “พะยะค่ะฝ่าบาท ได้โปรดวางใจในกระหม่อม ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”


    ฟรังซิสโค้งคำนับ แต่ก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องนั้น


    “ฝ่าบาท แล้วเรื่องในใบสัญญานั้นเล่า ท่านยินยอมหรือไม่”


    “อ่า...ข้าเห็นว่ามันเป็นอะไรที่เกะกะลูกตาของข้ามาก...เชิญท่านส่งตัวเจ้าพวกนั้นไปได้เลย”


    สิ้นเสียงปิดประตูของฟรังซิส คริสโตเฟอร์ก็นั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของเขาอย่างเหนื่อยอ่อน


    “17ปีงั้นหรือ...ปีหน้าแล้วสินะ...”


    พระสันตะปาปาหนุ่มหลับตาลง นึกถึงคำสัญญาในเรื่องนั้น ที่เขาสามารถพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำว่า มันไม่สามารถเลี่ยงได้จริงๆ.....

    /////////////////////////////////////////////////////
    คิดอะไรออกก็แต่งมันตอนนั้นแหละ...เลยออกมาสั้นอย่างที่เห็น

    \-_-\ โยนไปแล้ว!!! ทุกคนรับนะ!!!
  11. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    แหวกทาง ให้เรื่องกระแทกกับพื้นแหลกเหลวลงไป

    สั้นอย่างที่คาเรนว่าจริงๆ แต่ก็เป็นการเปิดประเด็นถึงการเรียน(ภารกิจ)ในสนามทดสอบจริงขึ้นมาแล้วนะคร้าบ

    น่าจะช่วยเร่งขบวนการเรียนอันน่าเบื่อ แล้วมาสู่การใช้งานจริงเร็วขึ้น (แต่ให้ไปเป็นสมุนไพรมิใช่หรือ แต่ยังให้เอ็กโซซิสต์ตามประกบอีก)


    หวังว่าชูครอสจะสามารถดูออกถึงอุบายแยบคายของ คริสโตเฟอร์ออก เผื่อกระชากหน้ากากความจริงใจของแก ให้ตนได้เป็นโอกาศสู่ความยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าน่า เคี้ยกๆๆ (ยิ้มหูถึงใบหู)
  12. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ยังไม่มีมุกมาแต่งต่อเลยแฮะ >_<"


    /me โยนไปให้คนข้างๆแทน
  13. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    กรุณารอสักครู่ กำลังพยายามเขียนต่ออยู่ >.<
  14. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    “อัลรอลเน่! จะไปไหนน่ะ”
    ฮายาเตะวิ่งไล่ตามเด็กสาวที่กำลังเดินเข้าไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ ระยะทางที่ตามองเห็นชัดเจนแต่กลับดูห่างไกลจนไม่น่าเชื่อ

    “ลาก่อน....ฮายาเตะ” น้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ยังพอได้ยินเอ่ยมาจากริมฝีปากเล็ก ๆ แววตาสองสีนั้นดูเย็นชาและเศร้าสร้อยปนเปกัน

    “ดะ...เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไปนะ รอชั้นด้วย” ร่างสูงตะโกนและพยายามเร่งฝีเท้า ทว่าเหมือนกับไม่ได้ช่วยย่นระยะทางระหว่างทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
    ทันใดนั้น ในความมืดมิด เธอสังเกตเห็นเงาลักษณะคล้ายอุ้งมือจำนวนมาก กำลังโอบล้อมร่างของเด็กหญิง ราวกับจะคว้าตัวเพื่อนรักไป
    “อัลรอลเน่!!!!”

    ทันใดนั้นนักดาบสาวก็รู้สึกเหมือนถูกบางอย่างคว้าขาเธอไว้กะทันหันจนต้องล้มลง เธอพยายามขัดขืนแต่ก็มิอาจทำได้ ในขณะที่เงาร่างของเด็กสาวตรงหน้าค่อย ๆ ถูกกลืนหายไป
    ยิ่งไปกว่านั้น เสียงที่กระซิบเข้าหูเธอ พร้อมกับใบหน้าที่หันไปมองต้องตกตะลึง และเธอก็รู้จักมันเป็นอย่างดี บุรุษผู้มีใบหน้าโรคจิตและกระหายเลือดสุดจะหยั่งถึงเช่นนี้มีเพียงผู้เดียว

    “มาลงนรกด้วยกันเถอะนะ”
    “อ๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “ฮายาเตะ!”
    ดวงตาสีเขียวมรกตโพล่งขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงที่ราวกับเสียงสวรรค์ และแรงเขย่าจากเพื่อนสาวร่างเล็กที่ช่วยปลุกเธอจากฝันร้าย
    พลันทุกอย่างก็ดูสงบเงียบลงโดยพลัน เหลือเพียงห้องมืด ๆ ที่มีแสงจันทร์ส่องผ่านม่านเข้ามาทางหน้าต่าง และเด็กสาวที่ยังคงอยู่เคียงข้างเธอไม่ไปไหน
    “เจ้าเป็นอะไรมากรึเปล่า” อัลรอลเน่ถามอย่างห่วงใย
    ฮายาเตะได้แต่นิ่งเงียบสักพัก ใบหน้าของเธอดูซีดเล็กน้อยพร้อมกับเหงื่อที่แตกพลั่ก

    “ป...เปล่า แค่ฝันร้ายน่ะ” เธอลุกตัวขึ้นและยกมือปาดเหงื่อ
    “ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ”

    “ไม่เป็นไรหรอก” อัลรอลเน่ยิ้มอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเพื่อนเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก
    ทว่าเจ้าตัวหารู้ไม่ รอยยิ้มน้อย ๆ ในระยะประชิดของตน ทำให้เพื่อนของตนออกอาการเขินจนหน้าแดงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
    “เป็นอะไรไปเหรอ” อัลรอลเน่ถามเมื่อเห็นท่าทีแปลก ๆ ของรูมเมท แต่เพราะความมืดเธอจึงเห็นไม่ชัดเจนนัก

    “อะ...เอ่อ..... ฉัน....ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหม” ฮายาเตะพูดอย่างละเลิ่กละลั่กไม่เต็มเสียง ตรงกันข้ามกับอัลรอลเน่ที่พูดขึ้นอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ และเป็นมิตร

    “ให้ข้าไปเป็นเพื่อนไหม”

    “ม....ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวบ่อย ๆ อยู่แล้ว เธอหลับก่อนเถอะ” ฮายาเตะปฏิเสธ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและพรวดเดินออกไปที่ประตูอย่างรีบร้อน
    “ราตรี....สวัสดิ์” ร่างสูงทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตู

    “เฮ้อ....” ฮายาเตะถอนหายใจพร้อมกับเอนหลังพิงด้านนอกของประตู เธอยังคงไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ ว่า ทั้งที่ก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้ว แต่ทำไมตนเองถึงต้องรู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าเด็กคนนั้นด้วย (ถึงจะอายุห่างกันแค่ปีเดียว แต่เจ้าตัวรู้สึกงั้นจริง ๆ ) ทำไมเธอถึงต้องร้อนผ่าวแปลก ๆ ในอกด้วย จะว่าเพราะรอยสักประกาศิตก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเธอเองก็เคยเรียกใช้ซันริวโตมาหลายครั้งไม่เคยเป็นแบบนี้ แถมพักนี้ก็แทบไม่ได้เรียกออกมาใช้เสียด้วยซ้ำ

    เด็กสาวไม่ได้เดินไปเข้าห้องน้ำจริง ๆ แต่เพียงแค่เดินเล่นไปตามทางเดินหอพักเท่านั้น ในใจครุ่นคิดหลายต่อหลายตลบ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เย็นชากับคนอื่นที่ไม่รู้จัก แถมยังมุ่งแต่เรื่องล้างแค้นให้เหล่าคนที่ตายไปแล้วเท่านั้นอย่างเธอกันแน่

    ลองนึกดูดี ๆ นับตั้งแต่ได้พบกับเด็กคนนั้น และได้เข้ามาเป็นนักเรียนของที่นี่ จนตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเธอที่เปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการแย่งคีบเนื้อย่างกับอีตาวาเลีย หรือการเปิดเผยบุคลิกของตนอย่างตรงไปตรงมาให้อัลรอลเน่เห็นเพียงคนเดียว ทั้งที่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ไม่มีทางเป็นแบบนี้เด็ดขาด

    หรือว่า......เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เราสองคนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไอ้เรื่องแบบนั้น......

    ถึงตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วก็จริงที่เธอเป็นพวกคบหาเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน แต่ไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนผู้ชายมากนัก หรือพูดให้ถูก เด็กผู้หญิงตัวโตแถมแรงมหาศาลกว่าเด็กหญิงทั่วไปแบบเธอ เด็กผู้ชายที่ไหนกล้าเข้าใกล้แบบสนิทชิดเชื้อต่างหากถือว่าผิดปกติ แต่ทั้งหมดเป็นแค่อดีต..... เพราะคนเหล่านั้น แม้แต่อาจารย์และพี่สาวที่เธอรักมาก ก็ไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว.... มันหายไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่แผดเผาหมู่บ้านของเธอจนสิ้นซาก ก่อนที่เธอจะหันมาทุ่มทุกสิ่งไว้กับการตามล้างแค้น “มัน” เท่านั้น
    "ผู้ใดยึดมั่นในความแค้น มีชีวิตอยู่ด้วยความแค้น ผู้นั้นตายด้วยความแค้น และจะตายอย่างเจ็บปวด จำไว้ด้วย"
    อะไรกัน! ไอ้คำพูดสอนเด็กอนุบาลนั่น ทำไมเธอถึงต้องคิดถึงมันตอนนี้ด้วย
    หมอนั่น พูดยังกับทำเป็นรู้ดี ไม่เคยเจอเรื่องแบบนั้นเองแท้ ๆ
    ว่าแต่ แล้วทำไมต้องนึกถึงคนอย่างหมอนั่นตอนนี้ด้วยล่ะ
    จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง แค่เคยร่วมทางทำภารกิจฆ่ามอนสเตอร์ด้วยกันแค่หนเดียวเท่านั้นแท้ ๆ

    โธ่ว้อยยยยยยย
    เธอได้แต่ตะโกนในใจ แล้วทุบรั้วคอนกรีตแถวนั้นระบายอารมณ์เท่านั้น แต่ถึงจะเป็นคนแรงเยอะอย่างเธอก็ทำให้มันเกิดรอยแตกร้าวด้วยมือเปล่าไม่ได้หรอก ก็ยังนับว่าดีที่ไม่ต้องทำข้าวของเสียหาย

    ใช่แล้ว เพราะสายตาที่มองมาเหมือนจงใจกวนอวัยวะสำหรับเดินของหมอนั่นแท้ ๆ ทำให้ระบบความคิดอะไรต่อมิอะไรของเธอปั่นป่วนมั่วซั่วไปหมด
    เธอมาที่นี่เพื่อพยายามแข็งแกร่งขึ้น อัลรอลเน่คือเพื่อนของเธอ และต่อให้ไปมากกว่านั้นก็เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น และก็เธอต้องปกป้องนางจากคนที่คิดร้ายเป็นธรรมดาของเพื่อนหรือพี่สาว และในฐานะของนักดาบ และเพื่อนของนาง มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นอยู่แล้ว
    ที่ผิดคือเจ้ามาลิค เฟียร์เซส ตัวการร้ายที่ทำลายหมู่บ้านเธอจนพินาศ

    แล้วก็ เจ้านักเดินทางตัวแสบที่ชื่อ วินดัสอะไรสักอย่างนั่นต่างหาก ที่ดันกวนประสาทเธอจนทำให้ต้องมาคิดอะไรยุ่งเหยิงไปหมดแบบนี้
    อย่าให้เจออีกนะฮึ๋มมม

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “ฮัดเช้ยยย”
    เด็กหนุ่มคนหนึ่งลุกตื่นขึ้นมาจามกะทันหัน ดูเหมือนว่าเต้นท์และถุงนอนที่เขาพกพาไว้เผื่อหาที่พักไม่ได้และจำต้องนอนข้างถนนจะน้อยไปที่จะกันความหนาวเหน็บของยามค่ำคืน แต่จะว่าไปนี่มันก็ใช่ว่าจะหนาวมากซักหน่อย แถมจำไม่ผิดที่นี่น่าเป็นฤดูร้อนเสียด้วยซ้ำ
    แต่เขาไม่สนใจหรอกว่ามีใครแอบพูดนินทาเขารึเปล่า ตอนนี้เขาสนแค่ว่า จะทำอย่างไรต่อไปกับสภาพจนกรอบเยี่ยงนี้ ในเมื่อเงินที่ควรจะพอเข้าพักที่โรงเตี้ยม กลับหมดไปกับค่ากาแฟของยัยนักดาบสาวขี้วีน(และขี้ลืม)นั่นซะอีก

    แน่นอนฝั่งเด็กสาวไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ว่าตัวเองได้เอาคืนเด็กหนุ่มเสียสาสมไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งนานแล้ว

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “การฝึกนอกสถานที่หรือคะ” อาสึกะผู้วางมาดเคร่งขรึมจนถูกมองเป็นคนเจ้าระเบียบอยู่เสมอเลิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างสะกิดใจ เมื่อทราบเรื่องจากชายชราที่เป็นถึงคาร์ดินัลผู้ดูแลสาขาวิชาศาสตรา

    “ใช่ เบื้องบนเล็งเห็นว่าการที่ให้นักเรียนที่ผลการเรียนดี มีฝีมือ และอนาคตไกล ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์จากสถานที่ภายนอกตั้งแต่ปีที่หนึ่ง ดีกว่าให้อุดอู้อยู่แต่ในห้องเรียนที่จะเป็นการจำกัดโอกาสพัฒนาตนเอง คิดว่าอย่างคุณน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ไม่ยากนะ”

    “แต่ว่า เรื่องแบบนี้ทางเราไม่เคย...” อาสึกะคิดจะแย้ง เพราะปกติเรื่องแบบนี้จะมีแต่ในพวกชั้นปีสูง ๆ เท่านั้น ทว่าพูดไม่ทันขาดคำก็ถูกแทรกขึ้นก่อนจนเธอต้องเป็นฝ่ายยอมเงียบ

    “คุณอาสึกะ” ชายแก่ผู้ดำรงตำแหน่งสูงกว่าขึ้นเสียงเล็กน้อย ก่อนที่จะพักคอเล็กน้อยและกล่าวอย่างใจเย็น
    “คุณก็รู้ ว่าวิชาสายเราไม่ได้มีแค่ทฤษฎี หรือฝึกกับท่อนไม้เท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องสร้างเอกโซซิสต์ที่มีทั้งฝีมือและประสบการณ์แบบคุณ เพราะไม่มีใครรู้ว่า จะต้องเผชิญกับพวกปีศาจ หรือพวกนอกรีตเมื่อไหร่ ที่สำคัญพักนี้พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงควรจะฝึกให้พวกเขาเรียนรู้ประสบการณ์จริงที่ไม่แน่นอนนี้ตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นการสอนที่ช่วยให้คืบหน้าได้เร็วขึ้นหรอกหรือ”

    อาสึกะ บลัดแฟงค์ ไม่ปฏิเสธในทุกสิ่งที่หัวหน้าของเธอกล่าว เพราะมันเป็นความจริงในทุกกรณี ที่อาจารย์ประจำภาควิชาศาสตราทุกคนต้องรู้และเข้าใจมันอยู่แล้ว แต่ที่เธอสงสัยหาได้มีเพียงเท่านั้นไม่ เพราะการที่จู่ ๆ จะมีการจัดกิจกรรมฝึกที่ดูอันตรายและไม่เคยมีมาก่อนในพวกเด็กชั้นปีแรกนี่ มันต้องมีเหตุผลแอบแฝงอย่างแน่นอน

    เธอไม่ได้ถามอะไรออกไปด้วยวาจา เพียงแค่ใช้สายตาที่สุขุมเยือกเย็นและมุ่งหมายจะทราบถึงเบื้องลึกของความจริงเท่านั้นในการโต้ตอบกับท่านคาร์ดินัล แต่ดูเหมือนมันจะได้ผล
    “หึ สมกับเป็นคุณจริง ๆ ดูท่าจะไม่มีทางโกหกหรือปิดบังอะไรคุณได้จริง ๆ สินะ อย่างนี้แหละ ผมถึงได้เลือกคุณไงล่ะ” คาร์ดินัลเฒ่าหัวเราะเล็ก ๆ อย่างทึ่งในความสามารถของคนที่เขาเลือก จากหมู่อาจารย์ในภาควิชาเดียวกัน
    “ใช่ ถึงจะบอกว่าเป็นการพาพวกนักเรียนฝึกหัดไปเข้าค่ายก็จริง แต่นั่นก็เป็นแค่ฉากหน้า พ่วงกับผลพลอยได้นิด ๆ หน่อย ๆ อย่างน้อยเบื้องบนก็คงมองแบบนี้แหละนะ” ชายแก่พักช่วงกระแอมเสียง แม้เขาจะเคยเป็นเอกโซซิสต์ที่เก่งกาจด้านการใช้อาวุธมาก่อน แต่ตอนนี้ด้วยอายุที่มากแล้วเขาก็ไม่ต่างจากคนชราทั่วไป ที่ต้องหันมาทำงานนั่งโต๊ะแทน

    “หมายความว่า จะให้เอาพวกนักเรียนบังหน้า เพียงเพื่อจุดประสงค์แอบแฝงงั้นหรือคะ” อาสึกะเริ่มแสดงความไม่พอใจเล็ก ๆ ผ่านสีหน้าเรียบเฉยที่ไม่เปลี่ยนแปลง

    “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่นี่เป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของศาสนจักรเราเลยทีเดียว เพราะความผิดพลาดมันอาจหมายถึง........” ชายแก่เว้นช่วงเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงกรณีที่เลวร้ายเช่นนั้นมากนัก
    “ชีวิตของท่านมาเรีย”

    “ว่าไงนะ” ดวงตาสีดำขลับถึงขั้นเบิกโพล่งทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เพราะนางรู้ดีว่าท่านมาเรียกำลังป่วย และหากนางเป็นอะไรไปขึ้นมา ศาสนจักรอาจมีหวังได้ถึงจุดจบไม่ช้าก็เร็ว
    “ช่วยเล่าทุกอย่าง.....ให้ข้าฟังได้หรือไม่” นางถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง โดยพยายามกลับมารักษาความสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง

    “ก....ก็ได้”
    เหตุฉะนั้น คาร์ดินัลเฒ่าจึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาสามารถจะเล่าได้ให้นางฟัง ซึ่งก็มีเพียงเรื่องวัตถุดิบที่จำเป็นในการปรุงยาสำหรับรักษาท่านมาเรีย และเรื่องคำสั่งจากเบื้องบนที่ห้ามมิให้เรื่องนี้ไปถึงหูฝ่ายกองทัพโดยเด็ดขาด ซึ่งตัวอาสึกะนั้นสามารถเข้าใจเหตุผลได้ไม่ยากนัก

    แน่นอนว่า ไม่มีเรื่องที่ซานโดรเดินทางไปจักรวรรดิ เพราะคาร์ดินัลผู้นี้มิได้รู้ แต่ความจริงสายสืบของอาสึกะนั้นรายงานให้เธอฟังตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำอะไรเพราะเธอสั่งห้ามไม่ให้พูดอะไรแม้แต่ในหน่วยลับด้วยกัน และเธอก็มองว่าแม้มันจะเสี่ยงแต่ถ้าเป็นวิธีทางที่จะช่วยท่านมาเรีย เธอก็ทำได้เพียงสั่งให้จับตาเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปเท่านั้น

    “ดังนั้น.... ผมอยากจะให้คุณจัดการประสานงานกับอาจารย์ของฝ่ายอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ “คมเขี้ยวปราบอสูร” ถ้าเป็นคุณ ผมเชื่อว่าทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างปลอดภัยหายห่วงอย่างแน่นอน”
    ชายชราผู้เคยได้ชื่อว่า “จอมโหด” ทั้งสมัยออกสู้กับพวกปีศาจและพวกนอกรีต หรือแม้กระทั่งตอนเป็นครูฝึกในอดีต บัดนี้ฝากฝังหญิงสาวด้วยความคาดหวัง พร้อมทั้งยื่นเอกสารให้
    “จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยล่ะ”

    “เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะทำให้ดีที่สุด” อาสึกะรับคำพร้อมกับเอกสาร จากนั้นก็ก้มตัวคำนับตามมารยาท
    “ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัว”

    “ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณ” ชายแก่ทิ้งท้าย

    “เช่นกันค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    วันรุ่งขึ้น เหล่านักเรียนสายศาสตราก็ได้มารวมตัวกันที่ห้องเพื่อเตรียมตัวเรียนภาคทฤษฎีอีกเช่นเคย หากแต่วันนี้สิ่งที่ต่างไปจากปกติคือ แทนที่จะเป็นอาจารย์ชูวครอสมาสอน แต่กลับเป็นอาสึกะ บลัดแฟงค์ จากสาขาวิชาศาสตร์การต่อสู้แบบตะวันออกแทน สร้างความฮือฮาให้ในหมู่นักเรียน โดยเฉพาะเหล่านักเรียนสาวที่หลายคนเป็นแฟนคลับของอาจารย์หนุ่มคนนั้นถึงกับบ่นอย่างเสียดาย ในขณะที่นักเรียนชายหลายคนเองแทนที่จะทำท่าโห่ฮิ้วเมื่อมีอาจารย์หญิงมาสอน ในเมื่อแค่เห็นใบหน้าคมเข้มดูดุ ๆ ผมสีแดงเพลิง และรอยแผลกากบาทนั่นแล้ว ก็ทำเอาเหมือนต่อมฮอร์โมนของพวกนี้ฝ่อไปชั่วครู่ แต่ที่สำคัญคือ นักเรียนคนที่ลงเรียนวิชาของนางต่างพร้อมใจกันนั่งยืดอกเชิดหน้าหลังตรงกันอย่างพร้อมใจ เพราะต่างรู้ถึงกิตติศัพท์ความเข้มงวดของนางเป็นอย่างดี

    เรียกได้ว่า คนที่ได้เคยได้มีโอกาสเจอกับนางกับคนที่ไม่เคยเจอ แม้แต่มือสมัครเล่นก็สามารถแยกออกจากกันได้ด้วยตาเปล่าในทันที
    (จะมีพิเศษหน่อยคงเป็นอัลรอลเน่ เพราะตอนที่ฝึกอาวุธกันสองคนโดยมีอาจารย์ท่านนี้ช่วยดูแล จึงได้รู้วิธีการวางตัวได้ถูกกว่าตัวฮายาเตะเองซะอีก ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเพราะการทำตัวให้เรียบร้อยเป็นนิสัยปกติของเธออยู่แล้ว)
    “เงียบ!”
    หลังจากที่อาสึกะสั่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบและเป็นระเบียบด้วยคำเพียงคำเดียว แต่มีพลังอำนาจสูงขนาดหลายคนตัวสั่น
    ทว่าแม้นักเรียนสาวหลายคนจะยังสงสัยว่าทำไมไม่มีอาจารย์ชูวครอส แต่หลายคนก็กลัวอาสึกะจนตัวสั่นไม่กล้าถาม ยังดีที่มีอยู่คนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
    “เอ่อ ขอโทษค่ะ ไม่ทราบอาจารย์ชูวครอสไปอยู่ไหนคะ”

    “อาจารย์ชูวครอสติดธุระส่วนบุคคล จึงต้องให้ครูมาสอนแทน ขอให้ทุกคนเข้าใจ ณ ที่นี้ด้วยก็แล้วกัน” อาสึกะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ดูเย็นชา
    แต่ใครจะรู้ว่า ในใจของ อ.สาวนั้นอดกังวลมิได้ว่า จะมีนักเรียนในที่นี้บางคนทำให้เรื่องนี้ไปถึงหูชูวครอสจนได้ แต่ถ้าหากเธอออกปากห้ามเรื่องนี้โดยตรงก็จะมีปัญหาขึ้นไปอีก ถึงตอนนั้นคงได้แต่เพียงฝากฝังการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อย ๆ ให้กับพวกหน่วยนินจาลับของเธอที่แฝงตัวตามที่ต่าง ๆ เอาไว้ก็เท่านั้น

    ก่อนเริ่มการสอน อาสึกะได้แจ้งข่าวเรื่องการออกฝึกภาคสนามแก่นักเรียนทุกคน รวมถึงการจัดกลุ่มโดยให้ประสานงานกับนักเรียนสาขาวิชาอื่น ๆ และอาจารย์ผู้ดูแลแต่ละกลุ่ม ระหว่างนั้นดวงตาสีดำขลับนั้นก็เขม่นฉับพลันจนคนที่เห็นตะลึง

    “ฮายาเตะ... ตื่นซี่ ตื่น” อัลรอลเน่พยายามแอบกระซิบเพื่อปลุกเพื่อนเธอที่เผลอหลับคาโต๊ะ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว
    โป๊ะ! เข้าเต็มๆ กับแปรงลบกระดานที่พุ่งตรงมาซบลงบนศีรษะสีน้ำตาลของเจ้าของร่างสูงจนผงสีขาวเปื้อนเปรอะไปหมด เจ้าตัวสะดุ้งตื่นทันทีพร้อมกับอาการเจ็บหัว แถมโดนด่าอีกทอด
    “อยากหลับกรุณาไปหลับบนต้นไม้นู่น แม่นกฮูกตัวดี”
    “ข.... ขอโทษค่ะ”
    และในตอนนี้เองที่ทุกคนในห้องได้รู้ว่า คนที่สามารถสยบเจ๊ตัวโตประจำห้องได้ชะงัดที่สุด คือครูสาวหน้าเหี้ยมคนนี้นี่เอง

    หลังจากนั้น อาสึกะได้ไล่แจกใบรายชื่อกลุ่มให้แต่ละคน เพื่อบอกให้รู้ว่าแต่ละคนอยู่กลุ่มไหนบ้าง ซึ่งเธอเลือกที่จะวิธีนี้มากกว่าการติดประกาศหน้าบอร์ด ที่ผู้เกี่ยวข้องกับกองทัพอาจมาเห็นได้ และหากไปถึงหูคนบางคนโดยเฉพาะคนอย่างชูวครอสล่ะก็เรื่องใหญ่แน่

    “ทำไมชั้นต้องอยู่ทีมเดียวกับเจ้าเปรตนี่ด้วย” ทรีคบ่นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายหลังเลิกคาบ “แค่อยู่ห้องกับมันทั้งวันก็จะบ้าตายอยู่แล้ว”

    “นายสิยังดี แต่ชั้นสิ กับนายยังไม่พอ ทำไมต้องมาอยู่กับสองคนนี้ด้วยยยย” วาเลียโวยวายอย่างหัวเสีย “โดยเฉพาะยัยยักษ์เลสเบี้ยนนี่”
    ทว่าทันใดนั้น มือที่เต็มไปด้วยแรงแบบล้มควายได้ก็ตะครุบเข้าที่ไหล่ของเขาจนทำเอาขนลุกซู่ สันหลังวาบไปหมด

    “ว่าใครเป็นยักษ์เลสเบี้ยนหา.....” ฮายาเตะเริ่มหงุดหงิดกับฉายาที่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ตั้งให้โดยไม่ขอความเห็นเธอแม้แต่น้อย

    ไลติโอ้ได้แต่เหงื่อตกกับท่าทีที่สามคนนี้มีต่อกัน ส่วนอัลรอลเน่ได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา เพราะแม้แต่ฮายาเตะก็ดันไปร่วมวงกัดกันด้วย

    ขณะเดียวกัน สายตาสีดำคู่งามก็ยังคงจับจ้องเด็กนักเรียนห้าคนที่เธอได้เลือกให้อยู่กลุ่มเดียวกัน แม้จะกำหนดไว้แล้วสองคนตามภาระหน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมาย แต่อีกสามคนที่เธอเลือกมานี่สิ แ้ม้จะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่เหมือนจะดูโอเคแค่คนเดียว ส่วนอีกสองคนคือวาเลียกับทรีคนี่สิ เธออดกุมขมับไม่ได้ว่าเธอเลือกผิดหรือเปล่า

    อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันออกเดินทางแล้ว ครูสาวก็ได้แต่หวังว่าระหว่างนี้ และหลังจากนี้ อะไร ๆ จะไม่มีอะไรเลวร้ายเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น เพื่อสวัสดิภาพของเหล่าเด็ก ๆ พวกนี้

    [To Be Continued]

    กว่าจะเขียนตอนใหม่เสร็จเล่นเอาแทบแย่ แต่ทีมที่คัดมา(แบบมั่วหน่อย ๆ )นี่จะไปรอดกันไหมเนี่ย

    ส่วนเรื่องภารกิจเป็นอะไร และพวกทีม 5 คน (ที่ดันมีพวกไม่กินเส้นกันติดมาซะสามคน) กับอาจารย์สาวสุดแกร่ง จะสามารถทำภารกิจนั้นสำเร็จได้หรือไม่.....

    *ยืนให้คนที่มาแต่งต่อรับไป*
  15. ffpokemon

    ffpokemon Editor

    EXP:
    1,691
    ถูกใจที่ได้รับ:
    79
    คะแนน Trophy:
    113
    ทีม 5 คนนั่นไม่มีอเล็กซ์อยู่ด้วย...

    อเล็กซ์ นายเป็นพระเอกจริงรึเปล่าเนี่ย จืดจางจริงๆ :E
  16. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อเล็กจะได้จับกลุ่มไป เมืองชายฝั่งครับ นั่นคือที่เราตั้งใจไว้

    ว่าแต่นินจากของอาซึกะ ดูเหมือนจะต้องจัดการทำอะไรบางอย่างก่อนการเดินทางของซานโดรแล้วกระมัง?
  17. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88


    1 จักรวรรดิ

    3 เขตบริหารส่วนกลาง

    5 มณฑลส่วนภูมิภาค

    ครอบคลุม 2ทวีปใหญ่ ปกครองประชากรร่วม 130ล้าน และ ยังเหล่าปีศาจอีกนับล้านที่อยู่ใต้อาณัติการปกครองของจักรวรรดิ

    ครอบคลุมผืนป่าอุดมสมบูรณ์ 2 ใน 3 ของผืนป่าที่หลงเหลืออยู่บนดาว

    ครอบคลุม 3มหาสมุทร กับอีก 4ทะเล

    ครอบคลุมแนวเทือกเขาจากเหนือจรดใต้ 3แนว

    มีเมืองน้อยใหญ่กว่า 2,300เมืองทั้งจักรวรรดิ

    กับระบบรางรถไฟรวมกันมากกว่า 1แสนกิโลเมตร

    เมืองท่าหลักสำคัญมีทั้งสิ้น 10เมือง

    ปกป้องโดยทหารกองทัพจักรวรรดิ 15ล้านนาย และ กำลังเสริมอีกร่วม 40ล้านนาย

    ครอบครองอาวุธสงครามทั้งก่อนและหลังการเปิดหีบ ทั้งโดยเครื่องจักรและเวทย์มนต์

    ค่าเฉลี่ยอายุประชากร ระหว่าง 15 - 22ปี

    กับภาษาราชการมากถึง 5ภาษา ระบบความเชื่อและการบูชา มากกว่า 20ระบบ ความหลากหลายด้านเผ่าพันธ์อีกจำนวนนับไม่ถ้วน (ข้อมูลปีล่าสุดระบุไว้ที่ : 24สายพันธ์) ทำให้จักรวรรดิเป็นเสมือนเบ้าหลอมวัฒนธรรมขนาดใหญ่

    ระบบชนชั้น ระบบทาส สองระบบที่เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งจักรวรรดิใหม่ๆ แต่ด้วยความพยายามของ นักปกครอง ผู้นำในภาคส่วนสำคัญๆของจักรวรรดิ ที่จะปฎิรูประบบทั้งสองเสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ ระบบระดับชั้นพลเมือง จึงถูกนำเสนอและปรับใช้กับหลายเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้​

    จากหนังสือ ศตวรรษแห่งการรบ : นักประวัติศาสตร์ นาโอโตะ เคน​



    การสังหารหมู่ทุ่งเมกิโด้ : Massacre of Megiddo Field

    จากจุดเริ่มต้น

    สงครามกลางเมืองจักรวรรดิ

    ความพยายามในการปฎิรูประบบทาส และ ชนชั้น ได้จุดฉนวนความขัดแย้งขึ้นในหมู่ขุนนางและนักปกครองสายทาส หรือ อดีตทาสที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในจักรวรรดิ ด้วยความต้องการที่จะปลดแอกเผ่าพันธ์ของตนออกจากการควบคุมของจักรวรรดิ ได้นำไปสู่การก่อกบฎของอดีตผู้ปกครองมนุษย์ สองคน ผู้ที่นำประชากรของอาณาจักรตนเองเข้าท้าทายอำนาจส่วนกลาง ยุยงให้พลเมืองของตนทำลายและปล้นสดมเมืองต่างๆของจักรวรรดิ ซ่องซุมกำลังพลและสเบียงกรัง หมายที่จะทำสงครามกองโจรยืดเยื้อกับจักรวรรดิ


    Megiddo

    หนึ่งในสมรภูมินองเลือดที่สุดในสงครามกลางเมือง ระหว่างกลุ่มกบฎนำโดยผู้ปกครองอาณาจักร south secilia และ Albilon กับ ผู้ปกครองเขตบริหารส่วนกลาง Moraria ในศึกที่ฝ่ายกบฏหมายที่จะช่วงชิงเอาทาสในเขตดังกล่าวมาเป็นพวกของตน และ โจมตีเขตเศรษฐกิจหลักของจักรวรรดิไปในเวลาเดียวกัน

    ด้วยกองกำลังที่ต่างกันถึง 1:200,000 (กองกำลังกบฏในศึกดังกล่าวอยู่ระหว่าง 5 ถึง 6หกแสนนาย ในขณะที่ฝ่ายตั้งรับกลับมีเพียง การ์เดี้ยนและผู้ติดตามอีกสองสามคนเท่านั้น (ทาสนักสู้ของ moraria ไม่ประสงค์จะออกรบกับประชากรเผ่าพันธ์เดียวกัน และ ก็ถูกคัดค้านไม่ให้ออกรบด้วยตัวการ์เดี้ยนเองอีกด้วย)) ทำให้เชื่อว่าผลของการรบน่าจะออกมาด้วยชัยชนะของกองกำลังกบฎ (แม้จะเป็นทาสก็ตาม แต่อาวุธส่วนใหญ่นั้นปล้นชิงมาจากทหารจักรวรรดิ และ หัวเมืองจักรวรรดิอื่นๆ)

    กระนั้น ข้อเสนอการเจรจาโดยการ์เดี้ยนประจำเขต ต่อหัวหน้ากบฎ ในเรื่องของการวางอาวุธ การไม่เอาผิดใดๆกับ คนใต้บังคับบัญชาของพวกเขา และ การเนรเทสออกนอกจักรวรรดิแทนโทษประหาร ก็ถูกนำเสนอก่อนหน้าการปะทะกันไม่นานนัก แต่การยิงปืนใหญ่ของฝ่ายกบฏ ได้นำไปสู่การสังหารหมู่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


    ........ [ จากบันทึกความทรงจำของ การ์เดี้ยนโครโนส ยืนยันการแชร์ความฝันร่วม ].......​



    ที่หลุมการระเบิดของปืนใหญ่จำนวนไม่น้อยก่อขึ้น ร่างที่กระเสือกกระสนอยู่ก้นหลุมนั้น สำรอกเลือดออกมาทุกครั้ง ที่ร่างนั้นขยับตัว เขาน่าจะรู้่ว่า กระสุนปืนใหญ่เวทย์คือสิ่งที่พวกกบฎจะใช้กับเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นกระสุนเวทย์หรือไม่ การที่อีกฝ่ายถล่มค่ายเจรจาที่เขาและผู้เจรจาอีกฝ่ายกำลังตกลงกันนั้น ก็เกินกว่าที่เขาจะคาดถึงนัก

    แต่นั่นก็เพียงแค่ความคิดเพียงวูบหนึ่ง เพราะวินาทีต่อมา ห่ากระสุนปืนใหญ่อีกหลายร้อยนัดก็ตกลงที่จุดเดิมก่อนหน้า ส่งร่างน้อยๆของการ์เดี้ยนคนดังกล่าวกระเด็นกระดอนไปตามแรงระเบิด ยิ่งหลายลูกเข้าร่างนั่นก็ย่อยยับลงไปทีละมาก จนถึงจุดที่ร่างนั้นกรีดร้องเสียงสูง กับการชุดการระเบิดชุดสุดท้าย ที่กลบเสียงร้องนั่นไป แล้วทิ้งไว้เพียงความเงียบสงัดที่ทำให้ฝ่ายกบฏรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา


    การเข้ามาสำรวจเป้าหมายว่าถูกจัดการไปหรือยัง ถูกยืนยันจากหน่วยหน้าของกองทัพกบฏ เพื่อยืนยันด้วยตาตนเอง หัวหน้ากบฏจึงรุดมาตรวจสอบด้วยตัวเอง แม้ว่าทหารของตนจะบอกว่าเป้าหมายถูกจัดการแล้ว แต่จากที่รู้จักอีกฝ่ายมาจากวงใน การที่เห็นว่าร่างที่นอนแทบเท้าตนนั้น แหลกเหลวลงไปถึงขนาดกระดูกหลายจุดโพล่ออกมา เนื้อหนังหลายส่วนเกรียมหรือฉีกกระจาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง อกที่ยังหายใจไม่เป็นจังหวะขึ้นลง กับ สภาพใบหน้าเปื้อนทั้งดินปืน เลือด และ น้ำตาที่จ้องมองมายังตัวหัวหน้ากบฎ ด้วยสายตาเพียงข้างเดียว กับแววตาของการวิงวอน ถึงบางอย่าง ระหว่างชีวิตของร่างนั้น หรือ ชีวิตของตัวเขาเองกันแน่


    "ทะ...อ้อกก..ทำไม?" (ทำไมคุณลุงถึงได้?) นั่นคือสิ่งที่ร่างตรงเท้าคิด

    "ตายเสียเถอะเจ้าปีศาจ" เงื้อมือขึ้น ก่อนจะแทงดาบยาวของตนเข้ากลางอกร่างตรงเท้าเขา


    "อ๊าาาาาาาาา" เสียงร้องดังขึ้นพร้อมเลือดสายใหญ่จากปากร่างนั้น เมื่อปลายดาบแทงผ่านทรวงอก ทะลุแผ่นหลังปักลึกลงไปในดิน ตรึงร่างดังกล่าวไว้ในสภาพเหมือนผีเสื้อในกล่องสะสม


    พยายามจะยันเอาดาบเล่มโตออกจากร่างกายตนอย่างไม่เป็นผล ร่างนั้นยับเยินทั้งร่างกายและจิตใจ ในสายตาที่พร่ามัวจากเลือดที่เสียไป หัวหน้ากบฏกลับทำสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ด้วยความทนงตนและความอยากที่จะแสดงอำนาจต่อผู้ที่ตนคิดว่าได้ปราชัยแล้ว หัวหน้ากบฏจึงเลือกที่จะย่อตัวลงข้างร่างนั้น ก่อนจะใช้มือขยุ้มผมร่างนั้น ก่อนจะดึงให้หัวอีกฝ่ายและร่างนั้นขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับตน

    "ไม่ต้องห่วงเจ้าปีศาจ สัตว์เลี้ยงข้าทาสของแกข้าจะส่งพวกนั้นตามเจ้าไปติดๆ แต่นั่นก็หลังจากที่เด็กๆของข้าได้ลิ้มรสชาติเด็กๆของแกแล้วล่ะนะ"

    "ยะ....ฮึกกก"

    "ให้ตายสิเจ้าปีศาจตัวน้อยนี่ กลัวตายจนบ่อน้ำตาแตกเลยเชียวรึ?" ยิ้มเย้ยหยันออกหน้าออกตา พร้อมๆกับเสียงหัวเราะคลอของคนตัวเอง


    แต่ตอนนั้นเองที่หัวหน้ากบฏสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่เป็นพื้นสีดำทมิฬที่แผ่มาจากใต้ร่างปีศาจตรงหน้าเขา กับ ริมฝีปากบุ้ยใบของร่างนั่น ที่ทำให้เขาถึงกับหน้าซีดเผือกไปถนัดตา


    "รีบฆ่ามันเร็วเข้า ฆ่ามัน ฆ่ามัน" เจ้าตัวชี้นิ้วไล่แผดร้องสั่งให้คนของตนรีบจัดการร่างตรงพื้นนั่น ทว่า....


    ".................."

    "อ้ากกกกก ขะ ขาช้าน อร้ากกก" เสียงร้องโหยไม่ใช่ของใครอื่นแต่เป็นหัวหน้ากบฎ ก้มลงมองขาของตนที่ค่อยๆจมหายลงไปในเงามืด เช่นเดียวกับคนของเขาที่ออกอาการทุรนทุรายไม่ต่างกัน ความรู้สึกเหมือนว่าขาตัวเองนั้นร้อนจนระเบิดออกแล่นตรงเข้าสมองจน ทำได้แค่ส่งเสียงร้องอย่างเดียว





    "ฮึ่ย อย่าเกาะชั้น อย่าเกาะ อ้ากกกกก"

    "ช่วยด้วย ช่วยชั้นด้วย อย่าปล่อย โอ้ววว "

    "ใครก็ได้ อั่ก อั่ก อ๊าาา"

    "ขาผม อ้ากกก แม่ แม่จ๋า ช่วยด้วย...."

    "ออกห่างจากพื้นดำนั่น ทุกคนถอย นี่เป็นคำสั่ง ถอยห่างออกมาเดี๋ยวนี้ ย้ำให้ทุกคนถอ...มะ อ้ากกกก"


    ไกลออกไปที่แนวประจำการของกองกำลังกบฏ สภาพนรกแตกเดียวกันก็เกิดขึ้นพร้อมๆกัน เมื่อรัศมีพื้นสีดำทมิฬแผ่ครอบคลุมใต้พื้นที่คนเหล่านี้ยืนอยู่ เสียงโหยหวนของคน 2ล้านชีวิตดังประสานกัน ทั้งเสียงของคนที่พยายามเอาชีวิตรอด เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงของคนที่กำลังจะตาย เหล่าคนที่สามารถหาที่สูง หรือ ไหวตัวทันหาอะไรก็ได้สูงๆเกาะไว้ ก็โดนคนที่ถูกพื้นสีดำสูบเกาะลากให้ตกตามลงไป


    มีกองกำลังกบฏบางส่วนที่สามารถวิ่งข้ามรัศมีการกลืนกินไปจนถึงเขตรั้วชายแดนฝั่งโมราเรียได้ แต่ก็ได้แค่นั้น ด้วยแนวรั้วที่สูงเกินไป ทำให้เหล่าผู้รอดชีวิตได้แต่พยายามตะกายปีนข้ามรั้วพวกนั้นไป แต่ก็โดนกระสุนสังหารของ ทาสนักสู้ที่ฝั่งของแนวรั้วเด็ดให้ร่วงหลนลงสู่พื้นสีดำเบื้องล่าง


    แนวรัศมีเคลื่อนผ่านด้วยความเร็วไม่สูงนัก แต่ก็มากพอที่จะกลืนกินไปหลายชีวิตที่หนีไม่ทัน และ อีกหลายชีวิตที่แตกตื่นวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ที่ค่อยๆโดนกลืนกินไปทีล่ะคน บ้างก็เหยียบกันตายไปไม่น้อย แต่ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆเงียบลง เงียบลง จนในที่สุด ก็เหลือแต่ความเงียบสงัด ไว้เพียงอย่างเดียว


    ไม่มีรอยเลือด รอยกระสุน ซากศพ ไม่มีซากอาวุธที่คนหนีตายทิ้งเอาไว้ ไม่มีที่พักชั่วคราวที่สร้างกันไว้เพื่อหลับนอน ไม่มีหลักฐานของการรบที่เกิดขึ้นหลงเหลืออยู่บนทุ่งราบนั่น แม้แต่พื้นดินเองก็ราบเรียบเป็นสีดำสนิท เรียบสนิทชนิทที่เหมือนโดนตราประทับขนาดใหญ่บดทับจนพื้นเรียบ ในรัศมี 5กิโลเมตร จนกระทั่งที่เงามืดนั่นแตกสลายอย่างฉับพลัน ทุกอย่างก็คืนสู่สภาพปรกติ โดยทิ้งไว้เพียง พื้นปรับราบทรงกลมขนาดใหญ่ประดับไว้บนทุ่งเมกิโด้


    แรกนั่นยังไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจสอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งทหารของจักรวรรดิที่ เมื่อทราบข่าวการโจมตีโมราเรีย จึงได้รีบรุดมาเพื่อเสริมกำลัง แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า กับ สภาพภูมิประเทศใหม่กลางทุ่งราบ หรือ ทหารของโมลาเลียเองที่ก็ชั่งใจว่าจะเข้าไปสำรวจดีหรือไม่ ด้วยจากเกรงว่าจะเข้าไปติดพันกับการสู้รบ และด้วยคำสั่งเด็ดขาดของท่านการ์เดี้ยนที่ห้ามมิให้ใครเข้าไปแทรกแทรงการสู้เป็นอันขาด


    แต่เมื่อผ่านไปสามวันเต็มๆ โดยไม่มีวี่แววของการเปลี่ยนแปลงอื่นอีก และ ภายหลังจากการยอมจำนนของอาณาจักรที่ก่อการกบฎทั้งสอง (ที่รีบยอมจำนนต่อจักรวรรดิในเวลาไม่นานหลังทราบข่าวหายนะที่เกิดขึ้นกับกองกำลังของตน) คณะผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิ นำโดยผู้แทนขององค์จักรพรรดิ จึงได้เข้าสำรวจสภาพพื้นที่อย่างละเอียด ที่จุดศูนย์กลางของที่ราบนั้น เสียงคร่ำครวญราวกับวิญญานที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ สามารถได้ยินมาแต่ไกล และที่สามารถมองเห็นได้ คือแอ่งทะเลเลือดขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางนั่น โดยมีร่างๆหนึ่งจมอยู่ในทะเลนั่นครึ่งตัว และ เป็นร่างดังกล่าวที่ส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมา

    "ท่านโ...... [[Data Error Connection Terminate]]



    ...... [ยืนยันสิ้นสุดการแชร์ความฝันร่วม กรุณาระบุชั้นความลับของท่านใหม่ ระดับชั้นความลับปัจจุบันไม่สามารถดำเนินการต่อได้]......​


    ผลสืบเนื่องภายหลังการรบ


    ด้วยว่าการก่อกบฎในครั้งนี้ของเหล่าบรรดาทาส ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกี่ยวกับระบบทาสและระบบชนชั้น แทนที่ความกลัวของเหล่าชนชั้นปกครองต่อทาสของตน กระบวนวิธีสลายความรู้สึกต่อต้านและสร้างความรู้สึกจำยอมระหว่าง นายทาสกับตัวทาส ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระบบ แล้วจากความจริงที่ว่า ผู้ปกครองที่สนับสนุนการปฎิรูประบบทาส การ์เดี้ยน [โครโนส] ผู้ที่สร้างผลงานในการปราบปรามและสำเร็จโทษกลุ่มแกนนำสำคัญของกบฏลงด้วยตนเอง ทำให้มีเสียงคัดค้านเพียงเล็กน้อยจาก เหล่านักปกครองอื่นในจักรวรรดิ ถึงแนวนโยบายดังกล่าว และจากระดับการนองเลือดที่เจ้าตัวได้ใช้ระหว่างการปราบปราม ก็เสมือนหนึ่งเป็นการส่งคำเตือนไปยังเหล่าผู้ปกครองและทาสทั้งหลาย ว่าอย่าได้ริอาจหาญกล้าขัดขืนจักรวรรดิเป็นอันขาด


    การตามล่าแกนนำเดนตาย


    แม้แกนนำและระดับหัวหน้าของกลุ่มกบฏจะถูกกำจัดไปในช่วงการสังหารหมู่ กระนั้นก็ยังมีระดับรองลงมาบางส่วนที่สามารถหลบลี้ไปก่อนที่ทางการจะไปถึงตัว ไม่ว่าจะด้วยการที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับกองกำลังหลัก หรือใช้เส้นสายในการเอาตัวรอดจากการกวาดล้างก็ตาม แต่ความจริงที่ว่ามีตัวการระดับแกนนำถึง 4คนสามารถหลบรอดการตรวจจับของจักรวรรดิ และ ลี้ภัยไปอยู่ยังศาสนจักรได้นั้น ได้จุดฉนวนของการเริ่มสงครามกับศาสนจักรอย่างเต็มรูปแบบ ของบรรดาผู้ปกครองอาณาจักรที่ถูกโจมตีโดยกองกำลังกบฏในช่วงสงคราม กระนั้นการปะทะนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ด้วยว่ากับข่าวที่ได้รับการยืนยันจากสายของจักรวรรดิในศาสนจักร ถึงการสิ้นชีพของแกนนำทั้งสี่คน จากฝีมือเจ้าหน้าที่ศาสนจักรเอง ทำให้ความตึงเครียดที่ก่อขึ้นลดลงไปได้มาก แต่ักับกระแสข่าวลือที่ว่า การตายของแกนนำทั้งสี่นั้นเป็นการจัดฉากระหว่างเจ้าหน้าที่ศาสนจักรกับตัวแกนนำเหล่านั้นเอง กระนั้นข่าวลือที่ว่านี้ก็ไม่เคยได้รับการยืนยันหรือพิสูจน์แต่อย่างใด


    ความเปลี่ยนแปลง

    การผนวกเอาอาณาจักรที่ก่อการกบฏทั้งสอง ให้เป็นส่วนปกครองของราชอาณาจักรโมราเรีย จากเดิมระหว่างนายค้าทาสเอกชนกับผู้ซื้อเอกชน มาเป็นลักษณะ ระหว่างรัฐบาลกับสัญญาเช่ากับเอกชนแทน (เพื่อการตรวจสอบ และ ป้องกันการก่อเหตุดั่งเช่นกรณีที่ผ่านมา) การออกบทลงโทษรุนแรงต่อทั้ง เจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิ และ ตัวผู้เช่าทาส ที่มีพฤติกรรมส่อไปในทาง ฉ้อโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือ พยายามต่อต้านจักรวรรดิ

    และด้วยการควบรวมสองอาณาจักรที่ก่อการ ทำให้พื้นที่ของราชอาณาจักรโมราเรีย ขยายใหญ่กว่าเท่าตัว และได้ยกระดับจาก มณฑลส่วนภูมิภาค ไปเป็น เขตบริหารส่วนกลาง เทียบเท่ากับ Babylon และ zenieth (ก่อนหน้าสงครามดังกล่าว โมราเรียยังถูกจัดเป็นมณฑลส่วนภูมิภาค อันดับ1 ยังต้องมีผู้ว่าการจากส่วนกลางไปประจำการ) ที่ได้รับสิทธิการปกครองและการออกกฎหมายของตน โดยไม่ต้องขึ้นกับตัวรัฐบาลกลางแต่อย่างใด (ยกเว้นเรื่องการทหาร และ ราชการระหว่างประเทศ)

    ทางด้านอดีตอาณาจักร South Secilia และ Albilon ภายหลังการผนวกดินแดน ได้ถูกแปลงชื่อใหม่ไปเป็น East Moraria และ Britania ตามลำดับ แต่ความเปลี่ยนแปลงหลักต่อสองอาณาจักรที่ว่านี่ มาในรูปแบบของการปกครองจากรัฐบาลเอกชนโมราเรีย ที่ในระยะเวลาเพียงครึ่งปี ก็สามารถครองใจอดีตประชาชนของอาณาจักรทั้งสองไว้ได้ ทั้งจากนโยบายที่ดี และ ระบบการประชาสัมพันธ์ที่ทำกันอย่างต่อเนื่อง



    ภาคผนวก : (มุมมองจักรวรรดิ)


    Pandora - ชื่อที่กล่าวถึงช่วงสมัยหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ถึงการรุกรานของปีศาจต่อโลกมนุษย์ ที่จบลงด้วยชัยชนะของปีศาจ และ การแตกซ่านของมนุษย์ไปรวมตัวกันในเขตปลอดภัยที่เหลือเพียงเล็กน้อย ทั้งบนดินและบททะเล กล่าวกันว่าต้นเหตุของเหตุการณ์ที่ว่า เกิดขึ้นจากการเปิดกล่องลึกลับในทะเลทรายแห่งหนึ่ง โดยคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะไขความลับของกล่องที่ว่า


    Zenith Empire - ดินแดนปกครองที่นำโดยองค์จักรพรรดิ จีนัสที่ 5 ผู้ที่สามารถนำพาประเทศของตนผ่านช่วงกลียุคที่เกิดจากกรณี แพนโดร่ามาได้ในสภาพที่แทบจะได้ไร้รอยขีดข่วน (จากความจริงที่ว่าก่อนหน้าเหตุการณ์ดังกล่าว จักรวรรดิก็เป็นประเทศปิดจากโลกภายนอกมาตลอด) ก่อนที่จะรวบรวมเอาอาณาจักรใกล้เคียงและผู้คนเข้าอยู่ร่วมใต้ธงเดียวกัน และ แผ่ขยายการปกครองไปไกลจากทะเลจรดทะเล จากทิศเหนือสู่ทิศใต้


    babylon - อดีตรัฐที่ร่ำรวยจากการค้าเชื้อเพลิงเหลวและเชื้อเพลิงอากาศ แต่จากกรณีแพนโดร่าทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่กลายสภาพเป็นเขตรกร้างว่างเปล่า ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสามเขตบริหารส่วนกลาง ปกครองโดย การ์เดี้ยน King Baroq ผู้ที่ผันตัวจากผู้ปกครองชุมชุนทหารเล็กๆ มาสู่การเป็นนายทหารคนสำคัญของจักรวรรดิ พร้อมกับการก่อตั้งรัฐทหารในปัจจุบัน


    Republic of South Secilia ( Area 9 : East Moraria ) - อดีตอาณาจักรของมนุษย์ที่ยอมอยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิเพื่อความคุ้มครองในช่วง pandora ทว่าภายหลังเหตุการณ์สงบลง ได้ร่วมมือกับ Albilon ในการก่อการกบฏเพื่อแยกตนเป็นเอกราชจากจักรวรรดิ แต่จากการสูญเสียพันธมิตรหลักอย่าง Albilon ไปภายหลังการสังหารหมู่แห่งทุ่งเมกิโด้ ทำให้อาณาจักรดังกล่าวปราชัยให้กับกองทัพจักรวรรดิในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ปัจจุบันถูกผนวกกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ราชอาณาจักร โมราเรีย

    ** ข่าวลือที่ว่า ครอบครัวของผู้ปกครองอาณาจักร ได้หลบลี้ไปอยู่ในศาสนจักร ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ**


    Union of Albilon ( Area 11 : Britania ) - ตัวตั้งตัวตีในการก่อกบฎต่อจักรวรรดิ อัลบีลอน รัฐในอารักขาของจักรวรรดิ เฉกเช่นเดียวกับอาณาจักรอื่นๆที่พึ่งพาจักรวรรดิในช่วงเหตุการณ์ Pandora แต่ภายหลังการขึ้นครองอำนาจของผู้ปกครองนาม เนโร แผนการก่อกบฏของตัวผู้นำ ได้ชักนำให้อาณาจักรแห่งนี้เข้าสู่การปะทะแตกหักกับทางจักรวรรดิ และจบลงด้วยการผ่ายแพ้อย่างสาหัสของอาณาจักร จนถูกผนวกรวมเข้ากับ ราชอาณาจักรโมราเรีย

    **ข่าวลือที่ว่า องค์ชายของอาณาจักรที่ว่านี้ ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในศาสนจักร และได้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในศาสนจักร แม้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง แต่จากเอกสารที่รวบรวมมาในช่วงหลายปีนี้ พอจะยืนยันถึงการมีชีวิตอยู่ขององค์ชายที่ว่านี้ได้**


    Kingdom of Moraria - อดีตนครรัฐที่สร้างฐานของตนขึ้นมาจากการค้าขาย และ แม้จะผ่านมาสู่ใต้การอารักขาของจักรวรรดิ กับการแปรเปลี่ยนไปของสภาพการค้า แต่อาณาจักรแห่งนี้ก็ยังยืนหยัดปรับตัวเองเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปกครองโดย การ์เดี้ยน โครโนส และ บรรษัท โซโลม่อน ที่ทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าคอยดูแลอาณาจักรให้กับการ์เดี้ยน ยามที่เจ้าตัวต้องออกงานต่างแดน หรือ ในยามศึกสงคราม


    Megiddos Plain - ที่ราบขนาดใหญ่ระหว่างแนวเทือกเขาสองแนว ที่ทอดตัวจากทิศเหนือลงสู่ปากอ่าว เอเดน แนวพรมแดนธรรมชาติระหว่างราชอาณาจักรโมราเรียทางตะวันตก และ สหภาพ อัลบีล่อน ทางตะวันออก (และ สาธารณรัฐ ซีซีลเลียใต้ ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือ) ปรกติที่ราบที่ว่าเป็นเขตกษิกรรมขนาดใหญ่ของ ดินแดนบนทวีปไอเจี่ยน ซ้ำยังเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญให้กับจักรวรรดิด้วย


    The Church - ศาสนจักรผู้ที่ปฎิเสธการคงอยู่ของปีศาจ และ อ้างอิงความผูกพันกับ Hope ผลึกแก้วสีใส ในการดำรงชีวิต มากกว่าที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (จักรวรรดิ เองก็มีสัตว์อสูร เผ่าปีศาจ และ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาลักษณะอื่นๆอาศัยร่วมกันใต้ธงจักรวรรดิ มากกว่า 30ล้านชีวิต) ไม้เบื่อไม้เมา กับบรรดา มณฑลส่วนภูมิภาค และ ดินแดนที่ใกล้เคียงกับอาณาจักรดังกล่าว

    ในปีหลังๆมานี้ เชื่อกันว่า ด้วยสุขภาพของ มาเรีย ผู้ครอบครองโฮป ที่เริ่มเสื่อมลงในอัตราน่าเป็นกังวล ความไม่แน่นอนด้านการเมืองภายใน และ การรุกรานจากปีศาจระดับกลางตามชายแดนด้านใต้ของศาสนจักร อาจส่งคลื่นความโกลาหลมาถึงจักรวรรดิ และ อาจจุดฉนวนความตื่นตระหนกครั้งใหม่ให้กับบรรดาเอ็กโซซิสต์ด้วย

    กับกรณีที่เชื่อกันว่า ทางศาสนจักรได้ให้ที่พักผิงกับ แกนนำก่อกบฎ ศาสนสถานของศาสนจักร ประจำเมืองหลวง เขตบริหารส่วนกลาง โมราเรีย ได้ให้คำตอบไว้เมื่อครั้งมีการตามล่าเมื่อครั้งอดีตไว้ว่า

    "ทางเราไม่ขอมีส่วนร่วมในเหตุกิจการภายในของจักรวรรดิ ทางเราจะไม่ส่งเสริมหรือให้ที่พักผิงอาชญากรไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ตามที"

    ด้วยเหตุนั้น ประกอบการสงวนท่าทีของทาง การ์เดี้ยนโครโนส และ การ์เดี้ยนบาร็อค จึงเป็นประหนึ่งการส่งสัญญานเงียบว่าอย่าได้รื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก


    .........
  18. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    อ่านตอนใหม่นี่แล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลย...

    แต่ครอบครัวของผู้ปกครองกับองค์ชายนี่มันคุ้นๆอยู่..เอ..ใครหว่า..หึหึหึ

    ตอนต่อไปจะรีบเข็นออกมาเจ้าค่ะ;w;//
  19. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    วันเวลาไม่กี่วันอันไร้ซึ่งอิสรภาพที่เกิดขึ้นจากหนี้ค่ากาแฟที่เขาไม่ได้ก่อ แต่ผู้ที่ก่อคือเด็กสาวเจ้าของนามฮายาเตะ ได้ผ่านพ้นไปอย่างน่าพึงพอใจสำหรับวินดัส เนื่องจากเจ้าของร้านกาแฟพึงพอใจกับการทำงานอย่างขันแข็งเพื่อใช้หนี้ของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก เขาจึงสามารถชดใช้หนี้ทั้งหมดได้ และมีอิสรภาพที่จะเดินทางต่อตามใจชอบเสียที

    วินดัสก้มหน้าพิจารณาแผนที่เพื่อมองหาจุดหมายใหม่ที่ตนจะไป มีหลายสานที่ที่ดูน่าสนใจ หากมีสถานที่หนึ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือ "เมืองลูเทลลา" เมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญและไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปา ทั้งยังไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวใด ๆ ซึ่งไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนั้นเท่าไรนัก และเป็นเมืองที่เขาพอจะเคยได้ยินนักเรียนของศาสนจักรบางส่วนกล่าวถึง

    ...เมืองนั้นมันมีอะไรนะ ทั้งที่ดูไม่มีอะไร แต่ทำไมเด็ก ๆ เหล่านั้นถึงดูตื่นเต้นกันจัง...

    ชายหนุ่มหยิบสมุดบันทึกการเดินทางของคุณแอเรียลขึ้นมาอ่านผ่าน ๆ ครั้งหนึ่ง โดยหวังว่าจะมีข้อมูลที่น่าสนใจหรือที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเมืองลูเทลลาบ้าง แต่ก็ไม่พบสิ่งที่เขาต้องการเลย เนื่องจากคุณแอเรียลไม่เคยเดินทางมายังบริเวณนี้มาก่อน รวมถึงเมืองหลวงแห่งนี้ด้วยที่เธอก็คงจะไม่รู้จัก

    วินดัสเก็บสมุดบันทึกการเดินทางของคุณแอเรียลกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาเดินไปยังร้านขายของชำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากศาสนจักร ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยแม่บ้านและบรรดานักเรียนชายหญิง(ซึ่งน่าจะมาจากศาสนจักร) ที่มาซื้อเสบียงและข้าวของจำเป็น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มใคร่จะสนใจเท่าไรนัก

    ในขณะที่เขากำลังเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอยู่นั้น บุคคลผู้หนึ่งเดินเข้ามาชนเข้าที่หัวไหล่ของเขาอย่างจังโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ข้าวของต่าง ๆ แทบหลุดมือของทั้งสองฝ่าย แต่ดููเหมือนว่าวินดัสจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก นี่เป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับเขา แต่ทว่า...

    "ขอโทษ... น...นายนี่เอง ยืนเกะกะขวางทางเป็นถังขยะทำไมยะ" น้ำเสียงไม่เป็นมิตรซึ่งบ่งบอกถึงความรีบเร่งและความหงุดหงิดที่เขาคุ้นเคย หลุดออกมาจากปากของผู้ที่เดินชนไหล่ ซึ่งนั่นก็คือฮายาเตะ เด็กสาวผู้เป็นอดีตเพื่อนร่วมภารกิจของเขา ที่เคยก่อหนี้ให้กับเขานั่นเอง

    วินดัสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ตนต้องเจอกับเด็กสาวที่น่าปวดหัวผู้นี้ ก่อนที่จะเลือกซื้อสินค้าต่อไปอย่างไม่สนใจเธอเท่าไรนัก

    "อะไรกัน นายผิดชัดๆ แล้วไม่มีขอโทษอีกเรอะ หน้านายทำจากอะไรกัน" ฮายาเตะไม่ยอมลดละความโกรธเคืองและความรำคาญใจ เธอต่อว่ากึ่งตวาดวินดัสอย่างโกรธเกรี้ยว

    อย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้วินดัสสนใจหรืออะไรเธอเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเฉยเมยและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่จะจ่ายเงินและเดินออกจากร้านด้วยท่าทีราวกับว่าฮายาเตะเป็นเพียงอากาศธาตุ ทำให้เธอไม่พึงพอใจมากยิ่งขึ้น

    "ฮึ่ย... อย่าให้เจออีกนะ เดี๋ยวจะตั๊นหน้าให้เละเป็นโจ๊ก" เด็กสาวตะโกนไล่หลังวินดัสอย่างเหลืออด มือของเธอกำหมัดแน่น ก่อนที่จะจ่ายเงินและเดินออกจากร้านไปอย่างไม่สบอารมณ์

    ...เอาเถอะ ที่ฉันไม่ตั๊นหน้านาย เพราะฉันเห็นแก่หน้าของเพื่อนคนสำคัญของฉันหรอกนะ...

    อย่างไรก็ตาม วินดัสยังคงเดินต่อไป อย่างไม่ได้ใส่ใจในคำพูดนั้นเท่าไรนัก

    ---

    วินดัสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย การเตรียมพร้อมของเขาที่จะเดินทางไปยังเมืองลูเทลลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาได้แต่หวังว่าจะเป็นสถานที่ที่น่าสนใจ สงบสุข และคงจะไม่พบกับอะไรน่าปวดหัว หรือใครก็ตามที่จะก่อปัญหากับเขา

    ...โดยเฉพาะ ฮายาเตะจอมป่วน หวังว่านั่นคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน...

    เขาทราบดีว่าหากจะมีสักวันที่เขาจำเป็นต้องปะทะกับเธอ เพียงแค่ความสามารถด้านการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าพอจะป้องกันตัวจากสัตว์ใหญ่ได้เล็กน้อย หรืออย่างดีก็พลังควบคุมสายลมของเขาคงไม่สามารถต่อกรกับฝีมือดาบของเธอได้ และเขาคงจะทนรำคาญและทนปวดหัวเพราะเธอได้ไม่นานนัก เขาจึงอยากเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเธอให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
  20. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    หุๆๆ ตอนใหม่อีเวนท์สั้น ๆ นี่....

    หน้าแรกเริ่มของว่าที่ึคู่บุพเพอาละวาดสินะคะ 555+

    อยากเห็นวินดัสมาพบกับก๊วนหลักคนอื่น ๆ มั่ง
  21. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    นี่มันไม่ขำเลยนะเนี่ย..... คนที่ได้ชื่อว่านักเรียนที่ห่วยที่สุดในชั้นเรียนอย่างเรา ต้องมา.........

    “เฮ้อ.....”

    วาเลียถอนหายใจเสียงดังอยู่คนเดียวบนชั้นดาดฟ้าของหอพักนักเรียนชาย แน่นอนว่าไอ้สรรพคุณว่าห่วยที่สุด ย่อมมาจากคำสบประมาทของอาจารย์ชูวครอส วาลาเดียน่า ซึ่งบัดนี้ไม่รู้หาย(หัว)ไปไหน ถึงได้ให้อาจารย์อาสึกะ บลัดแฟงค์ มาสอนวิชาของนักเรียนสายศาสตราแทน

    ไอ้แบบนี้เขาเรียกว่าหนีผีเจอะหมีแพนด้า... ไม่สิ หนีเสือปะจระเข้รึเปล่านะ

    “เฮ้อออออ.......”

    มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่ต้องมาฝึกปฏิบัติร่วมกับคนบางคน โดยเฉพาะอัลรอลเน่ และฮายาเตะ พอพูดถึงคู่ยูริคู่นั้นเขาก็นึกได้ว่ามันน่าแปลก... เด็กหนุ่มในตอนนี้ไม่รู้สึกหวาดกลัวอัลรอลเน่อีกต่อไป คงเพราะไม่ได้เจอกันบ่อยๆล่ะมั้ง เขาคิดเองเออเอง หาคำตอบให้ตัวเองทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลยแม้แต่นิด
    บางทีคงเป็นเพราะความหดหู่ใจในความตรงกันข้ามของเจ้าห่วยกับนักเรียนดีเด่นซะมากกว่าล่ะมั้ง เขาคิด
    ราวกับนึกอะไรออก หนุ่มน้อยล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญสีแดงที่เก็บได้เมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา พลางนึกถึงเรื่องที่เขาไปหาอเล็กซ์ถึงห้องหลังเลิกเรียน

    ........
    .............

    “มีอะไรเหรอครับ คุณวาเลีย?”

    “คุณอเล็กซ์.... เอ่อ.... สะดวกรึเปล่าครับ? ตอนนี้”

    วาเลียทำท่าทำทางลำบากใจ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังรบกวนการอ่านหนังสือยามเย็นของหนุ่มผมน้ำตาลเข้มเสียอย่างช่วยไม่ได้ ทางอเล็กซ์เองก็ทำหน้างงๆเหมือนกัน ว่าทำไมวาเลียถึงได้มาหาเขา ทั้งๆที่ไม่น่าจะมีจุดร่วมใดๆ นอกจากรูมเมทของอีกฝ่ายนั้นมายืมหนังสือที่ห้องของเขาอ่านอยู่บ่อยๆ

    “คือ.... มีเรื่องอยากจะถาม เกี่ยวกับเจ้าเหรียญนี่น่ะ......”

    เด็กหนุ่มผมดำชูเหรียญซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเหรียญเงินซึ่งใช้แลกเปลี่ยนการค้าทั่วไป ไม่เพียงแค่นั้น มันยังมีสีแดง และมีตราสัญลักษณ์รูปเหยี่ยวประทับอยู่ด้านหนึ่งให้อเล็กซ์เห็น

    “ผม.... ไม่เคยเห็นเหรียญแบบนี้มาก่อนเลยนะครับนี่ คุณวาเลียได้มายังไงเหรอครับ?”

    “ได้มายังไงเหรอ? เอ..... รู้สึกว่าจะเห็นตกอยู่หน้าร้านไอเทมเวทมนตร์ที่ไปกับพวกทรีคเมื่อคราวนั้นน่ะครับ”

    เด็กหนุ่มผู้มั่นใจในความรู้ที่พอกพูนจากการอ่านหนังสือมานับร้อยเล่มยังถึงกับแสดงสีหน้าตกใจเหมือนไม่เชื่อในคำพูดของวาเลียเล็กน้อย

    “งั้นเหรอ..... ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก แล้วก็ขออภัยด้วยที่รบกวน”

    วาเลียโค้งคำนับให้ก่อนจะเดินออกจากห้องของอเล็กซ์ด้วยอาการคอตก

    “ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะลองหาข้อมูลให้แล้วกันนะครับคุณวาเลีย ได้เรื่องยังไงจะไปเยี่ยมที่ห้องนะครับ... จะได้มาทวงหนังสือที่คุณทรีคยืมผมไปด้วยเลย”

    “แหะๆ.... ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้แต่ก็ขอบคุณมากครับ”

    ........
    .............

    ขนาดอเล็กซ์ยังไม่รู้ แล้วเขาจะไปหาข้อมูลจากที่ไหน.... ไปหาในหอสมุดเองนี่เลิกหวัง วาเลียไม่ใช่คนที่สืบค้นข้อมูลเก่งขนาดนั้น

    หรือว่า.....!?

    ทันทีที่ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว มือซ้ายก็พลันล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อโค้ท หยิบเอาวัตถุอะไรบางอย่างออกมา มันมีรูปร่างคล้ายปริซึ่มสีเหลี่ยมผืนผ้า แต่ด้านปลายทั้งสองด้านมีส่วนโค้งมน เป็นวัตถุแกะสลักหินเก่าๆ ที่เขาเก็บเอาไว้กับตัวตลอดเวลา และน่าแปลกที่มันมีความแข็งแรงคนทนมาก มากเสียราวกับว่าภาพที่เห็นเป็นก้อนหินนั้นเป็นแค่มายาลวงตา

    “ไว้คราวหลังก็ยังไม่สายแฮะ.... กลับห้องนอนดีกว่า”

    หนุ่มน้อยเกิดอดเปรี้ยวกินหวานขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาตัดสินใจเก็บหินแกะสลักนั่นไว้ในกระเป๋าเสื้อตามเดิม ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วทิ้งตัวลงเกาะขอบหลังคา เคลื่อนตัวไปตามองค์ประกอบต่างๆของหอพักชาย ที่เขาสามารถพาร่างของตัวเองไปได้ กลับลงมายังหน้าต่างในห้องของตนเองอย่างระมัดระวัง แต่ระหว่างที่กำลังเข้าใกล้ช่องหน้าต่าง เขาก็ได้ยินเสียงใสๆก้องกังวาลในห้องพัก วาเลียไม่หูหนวกเกินกว่าจะฟังไม่ออกว่าเสียงนั้นมาจากห้องน้ำในห้อง แต่เจ้าของเสียงนั่นมัน.... ทรีค???

    เขาตกใจจนเผลอปล่อยมือทั้งสองลง แต่ก็ยังจิกนิ้วลงบนคานไม้ได้อย่างทันท่วงที ไม่งั้นคงโดนบี้ด้วยแรงโน้มถ่วงลาโลกไปซะก่อน เด็กหนุ่มผิวคล้ำผิวปากด้วยความโล่งอก ว่า
    แล้วเขาก็เคลื่อนตัวลงมาเกาะบนกำแพงซึ่งพอมีอิฐบล๊อกบางตัวยื่นโผล่ออกมาให้เขาได้ปีนป่ายอย่างสะดวกใจ

    ยิ่งเข้าใกล้ต้นเสียงเขาก็ยิ่งตื่นตระหนก.... ถึงทรีคจะมีโทนเสียงที่ค่อนข้างสูงกว่าผู้ชายทั่วไป และมักจะใช้ข้ออ้างว่าเด็กก็เสียงสูงอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แต่สูงขนาดนี้ โดยเฉพาะในลักษณะท่วงทำนองที่ใช้ในการร้องเพลงแล้ว.....

    ยิ่งไม่อยากเชื่อความจริงตรงหน้าก็ยิ่งช๊อกเขายิ่งขึ้น ว่าแล้วพอถึงช่องหน้าต่าง เขาก็ออกแรงกระทืบเท้ากับผนังพอให้มีแรงเหวี่ยง ก่อนที่จะปล่อยตัวลอดเข้าไปในห้อง และลงจอดอย่างนิ่มๆ ดูๆไปก็เท่ดี แต่เผอิญห้องนี้ไม่มีใครเก๊กไปก็เท่านั้น มันคงจะไม่ใช่เรื่องตลก ถ้าเกิดเจ้าของเสียงใสราวกับเด็กสาวนั้นไม่ได้เปิดประตู แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำเสียถูกจังหวะพอดิบพอดี

    เรือนผมสีบลอนด์ยาวยังไม่แห้งสนิทดีตามวิสัยคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ รูปร่างดูเล็กราวกับเด็กก็จริง แต่ภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำสีขาวนั้นก็พอจะมีร่องรอยของวัยเจริญพันธุ์ ปรากฏส่วนโค้งเว้าที่เด็กสาววัยแรกแย้มเริ่มมีกัน

    ยังไงไอ้ที่เห็นมันไม่ใช่ผู้ชายแน่ๆ.... ค้อนเหล็กที่ชื่อว่า “ความจริง” ยังคงทุบใส่ข้ออ้างที่วาเลียพยายามยกขึ้นมาโกหกตัวเองอย่างต่อเนื่อง

    “อ.... ไอ้ท่าแบบนั้นมันอะไรกันเจ้ากาแก่สมองเสื่อม”

    แม้เนื้อความจะยังคงคุณภาพฟาร์มสุนัขไว้อย่างคับแก้ว แต่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มร่างเล็กกลับไม่ได้แสดงออกมาเช่นนั้น ยิ่งประกอบกับการผงะเล็กน้อยทันทีที่เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งฟ้องว่าเป็นการเซอร์ไพรส์ที่ไม่ตลกเอาเสียเลย วาเลียเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขายังไม่ลุกขึ้นจากท่านั่งยองๆ ก็เกาคางขึ้นเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น

    “ป.... เปล่า...... แค่ฝึกยิมนาสติกในท่าลงจอดน่ะ ว่าแต่เมื่อกี๊เสียงนายเหรอ เพราะดีนี่นา..... เหมือนผู้หญิงเลย”

    วลีในประโยคคำพูดเมื่อครู่ว่า เหมือนผู้หญิงเลย ที่ถูกเด็กหนุ่มเน้นเสียงขึ้นราวกับจงใจนั้น ก็พลันสำแดงอำนาจในการขวัญอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เพียงแต่สิ่งที่ใช้ข่มนั้นคือ “ความจริง” มิใช่พละกำลัง เงินตรา หรืออะไรเทือกนั้นแต่อย่างใด

    “ห...หา??? ก....แกพูดอะไรของแกน่ะไอ้บ้า ย......อย่ามาพูดพล่อยๆนะยะ!!!!”

    “ยะ?”

    วาเลียทวนคำพูดเฉพาะส่วนหางเสียงที่อีกฝ่ายใช้ด่า อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรีครีบปิดปากของตัวเองด้วยมือเล็กๆคู่นั้นโดยอัตโนมัติเมื่อพูดจบ แม้จะเป็นความช่างสังเกตที่ใช้ได้ไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย แต่วาเลียกลับจับความลนลานผิดปกติราวกับมีชนักติดหลังของทรีคได้อย่างอยู่หมัด ราวกับสุนัขบ้าที่กัดอะไรแล้วก็จะกัดไม่ปล่อย น่านับถือจริงๆ

    อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าถ้าเจ้าพุ่มไม้ตรงหน้าเป็นผู้หญิงจริงๆล่ะก็ จริงอยู่ที่แต่ละคนย่อมมีสิ่งที่เรียกว่าเหตุผลส่วนตัว กันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีเวลาว่าง สงสัยเขาคงต้องไปสืบหาความจริงกับผู้มีอำนาจระดับสูงของโรงเรียนแห่งนี้เสียแล้วว่าเรื่องแบบนี้ปล่อยเอาไว้ได้ยังไง?

    หรือนี่เป็นการจงใจ? ดูถูกกันใช่มั้ย? คิดว่าชั้นเป็นเจ้าห่วยประจำคลาสของไอ้คุณชูวครีมอะไรนั่นแล้วจะมาหยามว่าเป็นผู้ชายไร้นำยาไม่กล้าทำอะไรรูมเมทที่เป็นผู้หญิงงั้นสินะ? ไม่ว่าจะเป็นไอ้เจ้าคุณท่านชูวครีม หรือจะยัยยักษ์เลสเบี้ยนนั่น ไม่ว่าหน้าไหน....

    คิดแล้วมันฉุนขาด... ฉับพลันนั้น ความคิดด้านมืดอันเกิดจากการได้รับคำดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่นก็ผุดขึ้นมาจิตใจ และครอบงำตัววาเลียซึ่งปกติแล้วเป็นคนที่โกรธยากเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาทันตาเห็น

    หรือจะเป็นเพราะสิ่งที่มนุษย์เพศผู้เรียกกันว่า ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย กันหนอ..... ถึงจะมาผิดที่ผิดเวลาไปหน่อยนะก็เถอะ

    “น.... หนวกหูๆๆ!!! ทำไมต้องมาจับผิดอะไรชั้นนักหนาด้วยล่ะเจ้าบ้า! เป็นแค่กาแก่แท้ๆคิดจะมาจับผิดชั้นคนนี้งั้นเหรอ? ชั้นจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงมันหนักหัวนายรึไงกัน? นายเป็นพ.... เหวออออออ!!!!!”

    โครม!!!!

    ทรีคล้มลงไปทับวาเลียซึ่งถูกตนเองรุกรานด้วยการเดินตวาดใส่ราวกับอันธพาล ในขณะที่ยังพูดไม่จบ ดูเหมือนว่าเธอจะเผลอเหยียบชายเสื้อคลุมสีขาวนั้นแล้วล้มลงไปเอง แต่กลับเกิดปรากฏการณ์โดมิโน่ ทำให้วาเลียต้องพลอยมารับเคราะห์ไปด้วย

    “อึก....อูยยยยยย เจ็บๆๆๆๆๆๆ...... หืม?”

    หนุ่มผมดำอุทานขึ้นขณะที่สัมผัสอะไรบางอย่างที่นุ่มผิดปกติ..... เขารู้สึกได้ว่ามือขวาซึ่งสวมถุงมือหนังอยู่ได้สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างนุ่มๆ ถึงจะเล็กเกินไปสำหรับเขา เขามองไล่ไปตามท่อนแขนจนพบคำตอบอันน่าตกตะลึง

    “ห๊ะ!!!”

    เพียะ!!!!!

    ........
    .............

    เช้าวันต่อมา...

    ในบริเวณประตูหน้าอันเป็นทางเข้า-ออกของโรงเรียนแซงก์ทัส อาสึกะ และนักเรียนหญิงอีกสองคนยืนรอใครบางคนอยู่ และเมื่อถึงเวลานัด

    “ขออภัยที่สามายครับ อาจารย์อาสึกะ”

    วาเลียหยุดวิ่งแล้วโค้งคำนับแสดงการขอโทษตามมารยาท เพราะความเป็นจริงแล้วเขา ไลติโอ้ และทรีคมาตามนัดหมายตรงต่อเวลาไม่บิดพลิ้วแม้แต่วินาทีเดียว ฝั่งของคนที่มารอต่างหากที่มาเร็วเกินไป

    แต่ยังไม่ทันที่อาสึกะจะพูดอะไรอะไร เด็กสาวร่างยักษ์ก็ตรงเข้าไปขย้ำคอเสื้อโค้ทของเขาอย่างทันทีทันใด

    “พวกนายมาสาย!! รู้มั้ยว่าชั้นกับคุณน.... อัลรอลเน่ต้องรอนานเท่าไหร่กัน ห๊ะ!? เป็นผู้ชายก็ช่วยมาให้เร็วกว่าที่เขานัดกันหน่อยจะได้มั้ย เจ้าคนไม่ได้เรื่อง”

    “ครับๆ... ผมผิดไปแล้วครับ”

    ทันที่ที่วาเลียรับผิดอย่างจำใจเพราะไม่อยากมีเรื่อง ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่เข้าหูฮายาเตะเอาเสียเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้แรงยกของฮายาเตะมีมากขึ้นจนสามารถเริ่มยกน้ำหนักแปดสิบกว่ากิโลกรัมของอีกฝ่ายให้ลอยขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะร้ายแรงไปกว่านั้น มือขวาของอาสึกะก็สับเข้ากลางกระหม่อมฮายาเตะ ทำให้มือขวาที่กำคอเสื้ออยู่นั้นคลายออกมาในทันใด

    “เลิกบ้าซักทีได้รึยัง?”

    “อูย.... ขอโทษค่ะ”

    อัลรอลเน่ได้แต่ยืนเงียบด้วยท่าทีเอือมระอากับคนในกลุ่มสองคน ส่วนทรีคยังคงไม่หายหงุดหงิดหลังจากเมื่อคืนได้ยำใหญ่ใส่ไขต้มหนุ่มน้อยที่ไม่มีทางสู้ (หรือไม่ก็ไม่สู้ เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง) ไลติโอ้เหรอ... ยังคงความเงียบระดับไลติโอ้ควอลิตี้เหมือนเดิม

    วาเลียมองเห็นท่าทีของคนในกลุ่มเหล่านั้นก็พาลทำให้เขารู้สึกละเหี่ยใจ... แต่ละคนก็ผลการเรียนดีๆทั้งนั้น เมื่อเทียบกับเขาที่ไม่ได้เรื่องซักอย่าง หรือนี่จะเป็นเพราะอาจารย์แม็กซิมิเลี่ยนหรือรุ่นพี่วลาดิเมียร์ไปเป่าหูอะไรอาจารย์อาสึกะรึเปล่า เขาไม่อยากรู้ ว่าแล้วก็สวมฮู้ดหนังสีดำซึ่งเย็บติดมากับเสื้อโค้ทขึ้นคลุมศีรษะ ใบหน้าซีกซ้ายของวาเลียยังรู้สึกชาหลังจากที่โดนตบทั้งที่คนผิดคือทรีคที่ซุ่มซ่ามเองซะมากกว่า

    โลกมันก็ไม่ยุติธรรมซะแบบนี้นี่นะ..... เขาหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง แม้ไม่ปฏิเสธความผิดข้อหาล่วงละเมิดทางเพศที่ไปล่วงเกินรูมเมทแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังไงเขาก็ผิดส่วนนึงอยู่ดี

    “เฮ้อ......”

    “เป็นอะไรของแกอีกล่ะไอ้กาหื่นกาม”

    “เงียบไปเลยเจ้าเม็ดถั่ว.....”

    ไหนๆก็ไหนๆแล้ว นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่ใช้ฟอร์ซ จะไม่ใช้เรย์เซเบอร์ จะไม่ใช้อะไรพลิกแพลงนอกจากหมัดและเท้าลุ่นๆที่มี จะขอเป็นแค่เจ้าห่วยไม่มีอะไรดีเด่นให้อาจารย์อาสึกะเขาถีบออกจากกลุ่มแล้วกัน สรุปสั้นๆ เขาจะจงใจทำตัวจืดจางให้ต้องกลับไปนั่งเรียนในห้องเรียน ไม่ต้องมาร่วมงานกับคนอื่น... โดยเฉพาะอัลรอลเน่และฮายาเตะ

    ในขณะที่วาเลียยังจมอยู่กับความหดหู่ที่ต้องอยู่กับกลุ่มคนที่เขารู้สึกอึดอัดด้วย เบื้องหลังของพวกเขา มีนักบวชสองคนซึ่งเคยเสียท่าให้วาเลียด้วยการใช้มายด์ทริค พ่วงด้วยล๊อกข้อมือและข้อเท้ายืนจับสายตามองมาที่เขาอยู่

    “ไม่ผิดแน่.... ทากะเมดัลต้องอยู่กับมันแน่ๆ”

    “กรอด...... เป็นแค่สวะแท้ๆ แต่ทำกับพวกเขาได้ถึงขนาดนี้ ข้าผิดเองแหละที่ทำให้มันชิงคอร์เมดัลที่เบื้องบนมอบมา”

    “ไม่ใช่เวลาจะมาโทษตัวเองหรอกนะ... อับดุลลาห์ ติดต่อหัวหน้า ให้เรียกหน่วยเมดัลเลี่ยนไล่ล่ามันซะ”

    “จะดีเรอะ!? ข้าเกรงว่า ถึงจะเป็นพวกนั้นก็เถอะ เราอาจเสียคอร์เมดัลเหรียญอื่นๆให้เจ้านักโทษนั่นก็เป็นได้นะ!!”

    “นี่เจ้ากล้าดูถูกหนึ่งในกลุ่มนักรบที่ได้รับพลังมาจากชนเผ่ากรีดอันรุ่งเรืองของอาราบิซาเรียงั้นรึ?”

    “ข้า.... ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่......”

    “ไม่มีแต่! มันก็แค่ครึ่งมนุษย์ที่อาจหาญมาต่อกรกับราชอาณาจักรของพวกเราเท่านั้น รีบๆติดต่อหัวหน้าซะ”

    “ร... รู้แล้วล่ะน่า...... จะให้มันปลดผนึกบนตราผนึกที่มันชิงไปจากแผ่นดินแม่ของพวกเราไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วล่ะน่า”

    “ถ้ารู้ก็ดีแล้ว....”

    ดูเหมือนว่าการฝึกภาคปฏิบัติของนักเรียนในสังกัดของอาสึกะ บลัดแฟงค์ จะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว.....

    + + + + + + + + + +

    งานเยอะ ปัญหาชีวิตเยอะ รู้สึกว่าเผา+แต่งได้เน่ามาก ขออภัยด้วยครับ ซิกๆ.... OTL
  22. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    หุๆ มาอ่านตอนใหม่นี้แล้ว รู้สึกว่านักเรียนกลุ่มของอาสึกะ มีแต่พวกน่ารัก(!?)ในตัวทั้งนั้น โดยเฉพาะสามสหาย(เรอะ!?)

    อีเวนท์วาเลียกับทรีคนี่ พบได้ทั่วไปในแนวแบบนี้สินะ หึๆ

    ตอนต่อไปจะเป็นใครเนี่ย (ส่วนเราขอเวลาคิดพล็อตก่อน ว่าจะเอาไงต่อดี)
  23. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    จริงๆแล้ว ทรีคคงไม่ตบ



    ...แต่ต่อยเลย

    :penwing:
  24. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ในที่สุดก็จะได้เริ่มทำภารกิจกันสักที
  25. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    สนใจภารกิจเก็บเห็ดบ้างไหมเอ่ย?

Share This Page