[ฟิคลูกโซ่] All Fiction Fantasy

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ไม่ใช่เปลี่ยนอาชีพขโมยใน RO นะคะท่านวิน =*=
  2. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา]

    ขณะที่รถม้าสองคันของกลุ่มนักเรียนเอกโซซิสต์ฝึกหัดของศาสนจักรที่คุมโดยอาสึกะ บลัดแฟงค์ ซึ่งถึงจะพูดว่ารถม้า ทว่าแต่ละคนนั้นห้องทั้งสองก็ดูมีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย พอจุได้ตู้ละสามคนอย่างต่ำ จึงต้องใช้ม้าพันธุ์ดีลากคันละสี่ตัวด้วยกัน แน่นอนว่าต้องแบ่งออกเป็นตู้ชายและตู้หญิงเพื่อความเหมาะสม แน่นอนในขณะที่หากมีการสอนหรือฝึกรวม กรณีอาจารย์เรียกประชุมหมู่ และอื่น ๆ จะมีการสั่งให้สารถีทั้งสองหยุดรถและลงมาทำกันนอกรถม้าแทน

    กระนั้นเนื่องจากภายในตู้ก็จัดเป็นห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พออยู่กันได้สามคน แม้จะแออัดไปบ้างก็ไม่มากนัก พอให้จัดวางข้าวของส่วนตัว และเดินไปเดินมาได้อยู่ จนเหมือนเป็นห้องพักเคลื่อนที่มากกว่ารถม้าธรรมดา บ่งบอกถึงฐานะของทางศาสนจักรได้เป็นอย่างดี (หากนับแค่ในเขตปกครองของศาสนจักรล่ะก็นะ)

    คันแรกเป็นของพวกผู้หญิง อาสึกะและอัลรอลเน่ผู้ซึ่งเก่งวิชาเทววิทยากำลังช่วยติวให้กับฮายาเตะที่ยัง แทบไม่มีแววว่าจะเรียนไปรอดไหมเนี่ย ในขณะที่คันที่สองซึ่งเป็นของพวกผู้ชายนั้น ไลติโอ้ก็ยังคงท่องตำราเวทอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะคาถาที่จำเป็นสำหรับยามฉุกเฉินเมื่อต้องออกมานอกสถานที่ ในขณะที่ฝ่ายวาเลียกับทรีคก็ยังคงมองหน้ากันไม่ติดไปพักใหญ่ เนื่องจากเหตุผลส่วนตัวของทั้งสอง

    คาร์ลอส คนขับรถม้าประจำตัวอัลรอลเน่ ผู้ได้รับเกียรติให้มาเป็นสารถีในครั้งนี้ด้วยนั้น หลังจากที่ถูกลืมไปนาน วันนี้เขาก็ได้มีโอกาสกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง เขาและคนขับอีกคนยังคงง่วนอยู่กับการคุมม้าให้เดินไปตามเส้นทางที่กำหนด และประสานงานไม่ให้หลงทางกัน ด้วยประสบการณ์ของเขาที่ยาวนานมากว่าสามสิบปี จึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรนักสำหรับเขา และดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีประสบการณ์พอกัน ดังนั้นไม่ว่าแดดร้อนหรืออะไรก็ไม่มีทางกินพวกเขาลงได้เป็นอันขาดจนกว่าจะถึงที่หมาย

    แต่เพราะสุดท้ายยังไง๊ยังไงตัวประกอบก็คือตัวประกอบวันยังค่ำ ดังนั้นเราขอจะข้ามเรื่องราวของเขาทั้งสองไป
    (คาร์ลอส + 1ไร้ชื่อ- อ้าวเฮ้ย ทำกับพวกตรูงี้ได้ไงฟระ)

    เข้าเรื่องเต๊อะ......
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ในขณะเดินทางพวกเขาต้องผ่านป่าแห่งหนึ่ง และเนื่องจากจำเป็นต้องให้ม้าพักกินหญ้ากินน้ำบ้าง อาสึกะจึงตัดสินใจสั่งให้พักกลางทางก่อน และให้เวลาพวกนักเรียนออกไปเดินเล่นทำอะไรได้ตามอัธยาศัย แต่มีข้อแม้ว่าให้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง และเมื่อครบกำหนดทุกคนต้องกลับมารวมตัวกัน และขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวเนื่องจากป่าแห่งนี้แม้จะไม่ได้รกทึบมากแต่ก็ เป็นที่ ๆ มีมอนสเตอร์อาศัยอยู่มากมาย และนางก็กำชับว่าควรไปเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม อย่าไปไกลมากนัก และขอให้กลับมาให้ทันเวลาเพื่อจะได้ไม่ต้องออกตามหาให้วุ่นวายและเสียเวลา เดินทาง

    ไลติโอ้เลือกที่จะนั่งอ่านตำราเวทเล่มโปรดในห้องพักต่อไป วาเลียกับทรีคตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก แม้ทั้งสองจะดูไม่ค่อยติดกันเท่าก่อนหน้านี้นัก แต่ด้วยคำสั่งของอาสึกะก็จำใจต้องไปด้วยกัน กระนั้นต่างฝ่ายต่างก็รักษาระยะห่างระหว่างกันพอสมควรทีเดียว

    ส่วนฮายาเตะนั้นแน่นอนว่าเธอตัดสินใจชวนอัลรอลเน่ออกมาเดินเล่นข้างนอก ซึ่งนางก็ตามมาด้วย ระหว่างทางอัลรอลเน่ถามขึ้นเนื่องจากเห็นว่าพักนี้สีหน้าของฮายาเตะดูไม่ ค่อยดี เหมือนอมทุกข์ไว้คนเดียวตามเคย
    "ฮายาเตะ พักนี้เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า"

    "หืม ทำไมเหรอ"

    "ก็...พักนี้เจ้าดูชอบทำหน้าอย่างกับอารมณ์เสียตลอดเวลา บางทีก็เหม่อลอยเหมือนไม่ค่อยฟังที่ข้าสอนเลยนี่"

    "ก...ก็ เปล่า ไม่มีอะไร" ฮายาเตะตอบแบบไม่สบตา เหมือนพยายามบ่ายเบี่ยงเล็กน้อย

    "ไม่เป็นไรแน่นะ" อัลรอลเน่ไม่ค่อยเชื่อ เพราะพอจะมองนิสัยอีกฝ่ายออก

    "อะ..อือ"

    ในเมื่อเพื่อนของเธอยืนยันคำเดิม เด็กสาวจึงไม่คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ

    แน่นอนว่าสำหรับฮายาเตะแล้ว เธอรู้สึกอายที่จะบอกว่า ตลอดช่วงนี้ ในสมองของเธอกลับนึกออกแต่หน้าของชายหนุ่มนักเดินทางนั่นเกือบตลอดเวลา นั่นทำให้เธอยิ่งรู้สึกโมโห ไม่ใช่แค่คำพูดที่แอบกัดจิกชีวิตเธอในตอนนั้น แต่ยังรวมถึงไอ้ท่าทีที่กวนประสาทเธอตั้งแต่ตอนอยู่ร้านกาแฟ ยันตอนอยู่ในร้านค้านั่นอีก ทั้งที่เธออุตส่าห์หวังว่าจะไม่ต้องได้เจอหน้าหมอนั่นอีกแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมเธอถึงยังนึกเรื่องหมอนั่นอยู่ได้อีก ทั้งที่แค่ตอนนี้ก็มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้วแท้ ๆ

    เพราะหมอนั่นคนเดียว ใช่ อย่างน้อยเธอคิดเช่นนั้น

    "เอ่อ ขอโทษนะอัลรอลเน่ ฉันขอไปทำธุระส่วนตัวนิดนึง รอตรงนี้ได้ไหม" ฮายาเตะพูดด้วยสีหน้าเขินเล็ก ๆ แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง แต่อัลรอลเน่ก็พอเข้าใจความหมาย

    "ได้สิ ระวังตัวด้วยนะ" แม้จะพูดอย่างนั้น แต่เธอก็พอมั่นใจได้ว่าอย่างฮายาเตะคงจะไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นถึงนักล่ามาก่อนนี่นา

    เมื่อร่างสูงเดินไปแล้ว อัลรอลเน่ก็ได้แต่ถอนหายใจเล็ก ๆ เพราะไอ้ครั้นจะพูดเรื่องนี้ตรง ๆ กับอีกฝ่ายก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่นักในตอนนี้

    เท่าที่ฟังจากคุณอาสึกะมา ทำให้เธอพอรู้เหตุผลที่ฮายาเตะต้องต่อสู้ แน่นอนหากมีใครมาทำอะไรพ่อหรือเพื่อน ๆ ของเธอในศาสนจักรเช่นนั้น เธอก็คงยอมไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันพอเห็นเพื่อนสนิทเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของเจ้าตัวเองเข้าสักวัน

    ยิ่งจากที่ผ่านมา ทั้งที่เคยพูดออกไปว่าจะสู้ร่วมกัน แต่เท่าที่ดูเหมือนฮายาเตะจะยังมัวคิดแต่เรื่องปกป้องเธอข้างเดียวอีกตามเคย ยิ่งทำแบบนี้ก็เท่ากับเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของเธอมากขึ้น และทำให้รายนั้นก็ยิ่งตกเป็นเป้าของพวกคนอย่างชูวครอสมากขึ้นไปอีก และก็ยิ่งอันตรายต่อรายนั้นเองมากกว่าตัวเธอเสียด้วยซ้ำ

    ว่าแต่ ชายที่ชื่อมาลิค เฟียร์เซส นั่นเป็นใครกันนะ ถึงทำให้ฮายาเตะต้องกลายเป็นคนเคร่งครัด จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได้ถึงขนาดนี้ เห็นว่าที่ฮายาเตะเกือบตายจนมาเจอเธอก็เป็นฝีมือของหมอนั่นอีกต่างหาก

    "โอ๊ย! อั้ก!"
    ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังผ่านเข้ามาในหูเด็กสาว เหมือนเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เด็กสาวก็รีบวิ่งไปตามต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลในทันที

    เบื้องหน้าเธอตอนนี้คือ ชายคนหนึ่งกำลังถูกมอนสเตอร์รุมทำร้าย พวกมันแลดูคล้ายลูกลิงกอริลล่าตัวเล็ก ๆ แต่ก็มีกันอยู่หลายตัว พากันรุมซัดคนที่ไร้ทางสู้อย่างไม่ปรานีปราศรัย ใบหน้าของแต่ละตัวดูดุร้ายและกระหายเลือดใช่เล่น

    เมื่อเห็นคนเดือดร้อน ในฐานะของผู้รับใช้พระเจ้าย่อมไม่ขออยู่เฉย อัลรอลเน่จึงตัดสินใจเปลี่ยนโฮปสร้อยกางเขนของเธอให้เป็นขวานศึกประจำตัว แล้วกระโจนเข้าไปช่วยเหลือทันที

    ด้วยฝีมือที่เพาะบ่มมานานหลายปี แถมผลการฝึกกับฮายาเตะบ่อย ๆ ทำให้เธอสามารถกวัดแกว่งมันได้อย่างคล่องแคล่วและเฉียบขาดยิ่งขึ้น คมขวานผ่าร่างของมอนสเตอร์เหล่านั้นทีละตัวสองตัว โดยไม่ปล่อยให้พวกมันกระโดดเข้ามาถึงร่างเล็กบางของเธอได้แม้เพียงปลายเล็บ

    หลังจากที่สามารถปราบพวกมันได้เกือบหมด เหลือเพียงตัวนึงที่สามารถวิ่งหนีไปได้ แต่เด็กสาวไม่ใส่ใจจะตาม เพราะเธอเป็นห่วงคนที่บาดเจ็บมากกว่า

    "ไม่เป็นไรใช่มั้ยเจ้าคะ"

    เมื่อชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงปลอดภัยดีแล้ว จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นเงยหน้าหันมาเจอคนช่วยชีวิตตน

    เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาว หน้าตาดูธรรมดาแต่ทำทรงผมสั้นตั้งๆ แหลมๆ สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำตาลเก่าๆ ที่ดูเหมือนจะขาดวิ่นมาก่อนแล้วมากกว่าเพราะถูกเล่นงานเมื่อครู่ นอกจากนี้ดูจากอุปกรณ์ที่พกพาดูเหมือนจะเป็นนักเดินทางธรรมดาคนหนึ่ง

    "เอ่อ เธอ.... เป็นช่วยชีวิตผมเหรอครับ ขอบคุณนะครับ" ชายหนุ่มรีบกล่าวขอบคุณ ในขณะที่ประหลาดใจว่าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงร่างเตี้ย แต่ในมือกลับพกพาขวานศึกขนาดใหญ่เกินตัว

    "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ว่าแต่เท่าที่ดู ท่านก็พอมีอาวุธอยู่บ้าง ทำไมถึงไม่สู้พวกมันล่ะเจ้าคะ" เด็กสาวสงสัยเมื่อเห็นมีดสั้นและปืนพกอยู่กับตัวอีกฝ่ายแท้ ๆ แต่กลับปล่อยให้ถูกเล่นงานได้

    "กะ...ก็ ผมต้องปกป้องเจ้านี่น่ะครับ" ชายหนุ่มแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา มันคือกระรอกตัวน้อย ๆ น่ารักที่ดูเหมือนจะยังเล็กอยู่

    "เอ๋ กระรอก" อัลรอลเน่ประหลาดใจเล็กน้อย ที่ชายคนนี้ยอมทนเจ็บเพียงเพื่อปกป้องเจ้าตัวน้อยนี้

    "เผอิญผมเห็นมันถูกไล่ตามมา ถึงจะฝืนกฎธรรมชาติไปบ้าง แต่ถ้าให้ทนเห็นมันถูกรุมทึ้งไปโดยไม่ทำอะไร ผมก็คงไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่น่ะครับ" ชายหนุ่มตอบอย่างถ่อมตัว ก่อนที่จะปล่อยเจ้ากระรอกน้อยให้วิ่งจากไป

    "ก่อนอื่นขอแนะนำตัว ผมชื่อวินดัส วินดัส ฮามิลตัน แล้วคุณ อะ...เอ่อ" ชายหนุ่มแนะนำตัวก่อนคนแรกอย่างสุภาพ ก่อนที่จะตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง

    "เอ่อ...ข้าชื่ออัลร.."

    "ร...ระวัง!"

    เสียงเตือนนั้นทำให้อัลรอลเน่เพิ่งหันไปสังเกตเห็นเจ้าของเงาทึบที่เข้ามา อยู่หลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันรู้ พร้อมกับของใหญ่ ๆ ที่พุ่งเข้าใส่จนเธอต้องรีบยกขวานขึ้นป้องกัน

    แม้ว่าจะทัน แต่อุ้งมือขนาดใหญ่ที่โถมเข้ามาด้วยพลกำลังมหาศาลก็ทำให้เด็กสาวถึงกับตัว ปลิว ไปชนชายหนุ่มแล้วกระเด็นไปชนต้นไม้ซ้ำ แม้เด็กสาวจะปลอดภัยเพราะตัวเขา แต่วินดัสเองก็ต้องกระอักเต็ม ๆ

    "ท่านวินดัส!" เด็กสาวตกใจ เมื่อหันไปมองผู้ลอบโจมตี ก็พบว่าหน้าตาแทบไม่ต่างอะไรนักกับพวกมอนสเตอร์ที่เธอจัดการก่อนหน้านี้ หากแต่ใบหน้าที่ดูดุร้ายกว่า และขนาดของมันที่ใหญ่โตจนบังแสงตะวันเกือบมิด

    และเจ้าตัวที่เพิ่งหนีไปเมื่อครู่เกาะอยู่บนไหล่ บ่งบอกว่าเจ้าตัวยักษ์นี่จะเป็นแม่ของมัน และพวกที่เธอฆ่าไปก่อนหน้านี้ด้วย ที่สำคัญท่าทางมันจะโกรธแค้นมากที่เห็นศพจำนวนมากของลูก ๆ ที่ต้องตายด้วยมือเธอ

    อัลรอลเน่เองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าพวกเมื่อครู่จะยังเด็ก เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยออกมาต่อสู้กับมอนสเตอร์ภายนอกจริง ๆ และดูเหมือนจะเป็นตัวที่เธอไม่เคยเปิดเจอมาก่อนในสมุดภาพเสียด้วย

    มันค่อย ๆ ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าและเสียงกระหื้นกระหือที่เปี่ยมด้วยความโกรธแค้นเข้ามา ถึงจะน่าเห็นใจแต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ เธอและชายคนนี้ก็คงไม่รอดแน่ ดาบเล่มใหม่ก็ดันลืมไว้ที่รถม้าเสียอีก

    ดูเหมือนจะมีอยู่หนทางเดียว แม้เธอจะไม่เคยใช้มันกับสัตว์มาก่อนก็จริง แต่ก็หวังว่าภาพลวงตาคงจะได้ผลกับมันไม่มากก็น้อย

    ทว่าก่อนที่ตาสองสีของเธอจะแผลงฤทธิ์ เสียงตะโกนเรียกชื่อเธอที่คุ้นเคยดีก็ดังเข้าแทรกในหู

    "อัลรอลเน่!!!!!!!!"

    ฮายาเตะนั่นเอง เจ้าของร่างสูงกระโจนเข้ามาด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่าคนอื่นในรุ่นเดียว กัน พร้อมกับเงื้อดาบคู่กายที่ชักออกจากฝักเรียบร้อยแล้ว

    ด้วยประสบการณ์การล่ามอนสเตอร์มาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขนาดใหญ่แต่เชื่องช้าและช่องโหว่เพียบซึ่งเข้าทางพอดี เพียงเธอเข้ากวัดแกว่งอย่างรวดเร็วเพียงสองเพลง เจ้าตัวคล้ายกอริลล่ายักษ์ถึงกับเสียหลักและล้มทรุดเข่าลงทันที บ่งบอกว่า เอ็นที่ข้อเท้าของมันถูกตัดขาดไปแล้ว

    "บังอาจทำร้ายอัลรอลเน่ โทษของแกมีสถานเดียว"

    ดูท่่าว่าตอนนี้คงจะไม่มีใครหยุดซามูไรสาวที่กำลังโกรธจัดได้แล้ว เธอกระโดดขึ้นสูงพอที่จะอยู่เหนือศีรษะของเจ้าสัตว์ร้ายในตอนนี้มาก ดูเหมือนว่าถึงตอนนี้จะอธิษฐานสวดภาวนาให้ แม้แต่พระเจ้าก็คงไม่ทันแล้วที่จะช่วยชีวิตของลิงยักษ์ผู้เคราะห์ร้ายจากคม ดาบของ "ดาบใต้แสงจันทร์" แม้ตอนนี้จะไม่ใช่เวลากลางคืนก็ตาม

    "村雨の技 鬼斬り!!!!" [Murasame no waza onikiri](เพลงดาบสำนักมุราซาเมะ "ดาบผ่ายักษา")

    เธอควงดาบขณะอยู่บนฟ้า ก่อนที่จะกระชับด้ามด้วยสองมือเงื้อสุดกำลัง แล้วจึงฟาดลงมาขณะที่กำลังกลับลงมา

    ตัวลูกถึงจะกระโดดหนีได้ทัน แต่ตัวแม่นี่สิ ถูกดาบอันคมกริบซึ่งผ่านการตีและดูแลรักษามาอย่างดี แถมอาบเลือดมอนสเตอร์เช่นมันมาแล้วนับไม่ถ้วน ผนวกกับพลกำลังที่เหนือกว่าเด็กสาวทั่วไปของฮายาเตะ และเสริมด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกอีกแรง ศีรษะอันใหญ่โตนั้นก็ถูกผ่ากลางอย่างง่ายดายประหนึ่งหยวก เลือดสีแดงทะลักล้นออกมาไม่ขาดสายพร้อมกับร่างที่ค่อย ๆ ล้มลงจนพื้นสะเทือน ในขณะที่หญิงสาวกระโดดหลบได้ทัน เรียกว่าเผด็จศึกในทีเดียวโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย

    อัลรอลเน่ถึงกับตกตะลึง เมื่อได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของฮายาเตะเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นการจู่โจมทีเผลอก็ตาม แต่ที่ว่าเคยมีชื่อเสียงในวงการนักล่าคงจะไม่ใช่แค่คุยซะแล้ว

    "บาดเจ็บรึเปล่า อัลรอลเน่" ฮายาเตะหันมาถามด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เก็บดาบโชกเลือดแดงสดเข้าฝักตามเดิม

    "ม...ไม่เป็นไรหรอก เป็นห่วงคน ๆ นี้ดีกว่า" อัลรอลเน่วิ่งไปช่วยพยุงนักเดินทางที่บาดเจ็บเพราะเป็นตัวรองรับเธอไม่ให้ กระแทกต้นไม้ แม้จะกะทันหันก็ตาม

    "นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย" เจ้าของร่างสูงวิ่งเข้ามาดูอาการของชายหนุ่มแปลกหน้าด้วย ทว่าทันทีที่ทั้งสองได้เห็นใบหน้าและสบตาซึ่งกันและกันอีกครั้งเท่านั้น

    "นะ..นาย!!!!!" ฮายาเตะถึงกับอุทานออกมาเสียงดังลั่น

    ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบสนองอะไร ฝีเท้าอันไวว่องของฮายาเตะก็ยกขึ้นถีบยอดหน้าวินดัสเข้าเต็ม ๆ จนเขาหมดสติไปในทันที

    "ฮายาเตะ! ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!!!!" นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยินขณะที่ชายหนุ่มเห็นเพียงแค่ความมืดเท่านั้น

    - - - - - - - - - -

    "โอย..." วินดัสค่อย ๆ รู้สึกตัวด้วยท่าทีเบลอ ๆ สติที่เลือนรางค่อย ๆ กลับมาอย่างทรมาน เหมือนนักมวยที่เพิ่งแพ้น็อคมาหมาด ๆ

    "รู้สึกตัวแล้วหรือเจ้าคะ" สุ้มเสียงที่อ่อนหวานที่ทักเขาเป็นเสียงแรกนับว่าดีที่ไม่ใช่ของยัยตัวแสบ นั่นแน่ ๆ แต่เป็นเสียงของเด็กสาวที่ช่วยชีวิตเขา และภาพที่เห็นเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก็ไม่หักหลังเขาแต่อย่างใด เด็กหญิงร่างเล็กในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินของพวกนักเรียนศาสนจักร เจ้าของใบหน้าเนียนใส เรือนผมยาวสีดำที่ยาวจนถึงน่อง ดวงตาที่แปลกดีเพราะมีคนละสี ซ้ายสีแดง ขวาสีทอง แถมทั้งคำพูดและท่าทางยังดูสุภาพเรียบร้อยจนแทบเรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่อง กับยัยม้าดีดกระโหลกที่เพิ่งทำเขาสลบเหมือดไป

    "เอ่อ ว่าแต่ ที่นี่ที่ไหนครับ" วินดัสกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ประหลาดใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาเท่านั้น

    "ในรถม้าของโรงเรียนศาสนจักรค่ะ ขอวางตรงนี้นะเจ้าคะ" เด็กสาวตอบพลางวางขนมและน้ำดื่มไว้บนโต๊ะข้าง ๆ
    "ขออภัยที่ลืมแนะนำตัวค่ะ ท่านวินดัส ข้าชื่ออัลรอลเน่ แซง-ลักซ์เชี่ยนวาเลนติโน่ แล้วก็ขอโทษแทนสหายของข้าด้วยที่เสียมารยาทกับท่าน ตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังตักเตือนให้อยู่เจ้าค่ะ"

    สหาย!? นี่ชายหนุ่มเขาคิดว่าเขาหูฝาดไปรึเปล่าเนี่ย เด็กคนนี้ กับยัยตัวป่วนคนนั้นเนี่ยนะ เป็นเพื่อนกัน ทั้งที่ดูออกไปคนละขั้วขนาดนี้

    "ขอประทานอภัย ไม่ทราบว่าท่านรู้จักกับฮายาเตะมาก่อนเหรอเจ้าคะ" เด็กสาวถาม

    "ไม่ถึงกับรู้จักหรอกครับ แต่ว่า...." แล้ววินดัสก็เล่าเรื่องทั้งหมดในมุมมองของตนให้อัลรอลเน่ฟังด้วยสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งเฉยอย่างตรงไปตรงมาและปราศจากความโกรธเคือง

    "ตายละ งั้นฮายาเตะก็เป็นฝ่ายผิดเองน่ะสิคะ ที่เบี้ยวค่ากาแฟแล้วให้ท่านรับเคราะห์แทน" อัลรอลเน่ถึงกับไม่อยากเชื่อว่าฮายาเตะจะทำเช่นนั้น

    วินดัสถอนหายใจน้อย ๆ เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงการพบปะกับฮายาเตะเมื่อก่อนหน้านี้ทั้งสองครั้ง ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ดูไม่ได้มีผลอะไรกับเขานัก
    "เขาคงไม่ตั้งใจหรอก แล้วก็... ตอนนั้นเหมือนเจ้าตัวรีบร้อนอะไรสักอย่างอยู่แล้วด้วยน่ะครับ"

    อัลรอลเน่ได้ยินเช่นนั้นก็พอเดาออกว่าเป็นไงมาไงบ้าง แต่ยังไงเธอก็คิดว่าฮายาเตะเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี
    "ขอโทษนะคะ รายนั้นอาจจะไม่ใช่คนไม่ดีอย่างที่คุณว่าก็จริง แต่นิสัยใจร้อนแล้วก็ชอบคิดมากเกินเหตุนี่แหละค่ะ ข้อเสีย ขนาดข้ายังลำบากใจเลย"

    "แต่เท่าที่ดู เขาคงเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ" วินดัสพูดเช่นนั้นเพราะสังเกตจากตอนที่รายนั้นกระโดดเข้ามาจัดการกับมอน สเตอร์ด้วยสีหน้าเดือดดาลเป็นพิเศษ เรียกว่าตอนที่มีเรื่องกับเขานั้นยังเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

    อัลรอลเน่ไม่ตอบอะไรกับคำพูดนั้น แต่เธอลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว
    "เดี๋ยวข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ แล้วจะบอกให้รายนั้นมาขอโทษท่านให้ได้เจ้าค่ะ"

    ชายหนุ่มมองตามเด็กสาวร่างเล็กผู้นั้นอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มน้อย ๆ อย่างชื่นชมว่าเธอเป็นคนดี แต่อย่างไรก็ตาม เธอไม่ใช่คนที่เขาจะรู้สึกอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่านี้ เนื่องจากในใจของเขานั้นมีอยู่แล้วคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้วก็ตาม

    ...คุณอัลรอลเน่ ผมมั่นใจว่าคุณทำให้ฮายาเตะเติบโตขึ้นได้ เหมือนที่คน ๆ นั้นเคยทำให้ผม... เด็กหนุ่มคิดในใจ
    - - - - - - - - - -

    หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดจากปากอัลรอลเน่อีกที ฮายาเตะก็ได้เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองลืมจริง ๆ เสียด้วย ว่าแล้วก็โดนอัลรอลเน่เทศนาซะยกใหญ่ หลังจากที่โดนอาสึกะว่ามาซะบานตะเกียงแล้วรอบหนึ่ง แต่ด้วยยังรู้จักสำนึกผิดเป็นเจ้าตัวก็เลยได้แต่ยอมก้มรับแต่โดยดี

    กลับมาทางวินดัส ซึ่งเขายังไม่ได้แตะของหวานในจานเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาไม่หิว แต่ก็จิบน้ำไปเล็กน้อยพอแก้กระหาย

    ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

    "โทษที ขอเข้าไปได้มั้ย"

    เสียงนั่นเขาจำได้ ยัยร็อตไวเลอร์นั่นนี่นา แต่ไหงน้ำเสียงดูอ่อนลงแปลก ๆ แม้จะไม่ค่อยปักใจเชื่อ แต่ไอ้ครั้นจะปฏิเสธเดี๋ยวก็กลัวเป็นเรื่องอีก เขาจึงตอบไปอย่างง่าย ๆ
    "อือ เข้ามาสิ"

    ไม่ผิดเลย ผมบ็อบสั้นสีน้ำตาล รูปร่างเพรียวแต่ไม่ค่อยมีสเน่ห์แบบผู้หญิงเท่าที่ควร แถมส่วนสูงก็ยังกับผู้ชาย ใช่ยัยตัวป่วนนี่จริง ๆ ด้วย แต่เจ้าตัวกลับกุมมืออิดออดพร้อมอะไรบางอย่างในมือเดินเข้ามา แถมสีหน้ายังดูสำนึกผิดนั่น มันออกจะผิดธรรมชาติไปรึเปล่า ให้ตายเขาก็ไม่คิดจะหลงกลหรอก

    ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย เพื่อรอดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

    "เอ่อ....คือ..." ฮายาเตะผู้สำนึกผิดถึงกับแทบพูดอะไรไม่ออก

    บรรยากาศในห้องเงียบไปสักพัก ฝ่ายหนึ่งก็ยังคงนิ่งเฉยอย่างไม่สนใจเป็นพิเศษเท่าไรนัก ในขณะที่อีกฝ่ายที่เข้ามาหาเองถึงที่กลับทำท่าไม่กล้าสู้หน้า

    "เอ่อ.... ดูท่านายอาจจะไม่ชอบของหวาน แต่ดูท่าทางนายจะหิว"
    ในที่สุดเด็กสาวก็เป็นฝ่ายเริ่ม แล้วก็ยื่นของในมือให้ มันคือข้าวกล่องที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ส่วนยี่ห้อบ่งบอกว่าซื้อมาจากเมืองหลวง ร้านที่เคยเจอกันแล้วเธอก็วีนใส่เขาอย่างไม่มีเหตุผลนั่นเอง
    "งั้น ฉันวางตรงนี้นะ" เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย แม้ลึก ๆ จะไม่ชอบใจกับท่าทีอีกฝ่าย แต่ด้วยเรื่องความผิดของตัวเองที่ค้ำคอทำให้เธอจำต้องยอมอีกฝ่ายไปก่อน

    "...เอ่อ เรื่องนั้น ฉันต้องขอโทษด้วย ขอโทษจริง ๆ ฉันเป็นฝ่ายลืมจ่ายค่ากาแฟเอง ทำให้นายต้องเดือดร้อน....."

    วินดัสยิ้มน้อย ๆ ให้กับฮายาเตะตามมารยาท ในใจก็แทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ถึงจะเป็นเพราะเด็กคนนั้นช่วยพูดให้ก็เถอะ แต่คนอย่างยัยหมาดุเนี่ยนะจะมาเป็นฝ่ายขอโทษเขาด้วยตัวเอง

    ทั้งที่ถ้าไม่อยากขอโทษ ก็ไม่เห็นต้องฝืนเลยแท้ ๆ

    "นายจะไม่ยกโทษให้ ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ... แต่ว่าอย่างน้อยก็แค่อยากบอกให้รู้ไว้ว่า ฉันขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้นายเดือดร้อนโดยไม่ได้ตั้งใจ"
    เด็กสาวยังคงก้มหน้าหลบตาและพูดไม่เต็มเสียง แต่พอวินดัสได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับอดประหลาดใจไม่ได้ หากยังคงมาดนิ่งเฉยเอาไว้ เพราะจะมองว่าภาพที่เห็นเป็นการเสแสร้ง มันคงยากเกินไปหากพูดตามมาตรฐานของคนแบบยัยนี่ ที่บทจะวีนก็วีนออกมาหน้าตาเฉยไม่เกรงใจชาวบ้าน ดู ๆ แล้วคงเป็นพวกเซ้นซิทิฟแล้วก็แสดงออกในสิ่งที่คิดมามากเกินกว่าจะเสแสร้ง เป็น

    "อย่างน้อย ถ้านายหิว ก็กินข้าวกล่องนั่นได้นะ ถ้ามันแทนคำขอโทษของฉันต่อนายได้"

    วินดัสแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เอาเข้าจริง ๆ ผู้หญิงที่เขาเรียกว่ายัยตัวป่วนมาตลอด พอบทจะสำนึกผิดจริง ๆ ก็พูดออกมาได้ขนาดนี้ แม้เจ้าตัวจะดูอาย ๆ ไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็อดรู้สึกดีไม่ได้ที่ได้ยินคำขอโทษจากปากของเธอ
    จะว่าไปท้องเขาเองก็เรียกร้องเข้าจริง ๆ เสียแล้ว ชายหนุ่มจึงแกะห่อข้าวกล่องแล้วเอาช้อนที่พ่วงมาด้วยตักกินทีละคำ และตามด้วยสองสามคำถัดมา
    “รสชาติไม่เลวนะ” แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นของสะดวกซื้อ แต่เขาก็พยายามพูดเพื่อรักษาน้ำใจของเด็กสาว

    “อือ นายกินได้ก็ดีแล้ว” ฮายาเตะยังคงพูดทั้งที่ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย แต่ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเขินหมอนี่ด้วย แต่ก็ไม่กล้าพูดอยู่ดีว่า เธออุตส่าห์ยอมให้ข้าวกล่องกล่องหนึ่งของตัวเอง โดยยอมอดไปหนึ่งมื้อเป็นการไถ่โทษโดยเฉพาะ และนี่ก็ไม่ใช่คำสั่งของอาสึกะหรืออัลรอลเน่ แต่เป็นความตั้งใจของเธอเองด้วยซ้ำ

    “ขอบใจนะ” วินดัสเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรขึ้นมาจากเดิมเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าในครั้งนี้... ฮายาเตะรู้สึกได้ว่าไม่ใช่เพียงแค่การยิ้มตามมารยาท แต่มันทั้งแลดูจริงใจ และอบอุ่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

    ว่าแต่เขาก็ยังสงสัยไม่หาย ว่าตกลงยัยนี่วีนเขาเรื่องอะไรกันแน่ ดังนั้นคงเป็นโอกาสดีที่จะถาม
    "ว่าแต่ ก่อนหน้านี้ ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจขนาดนั้นเลยหรือ"

    "เรื่องนั้น....ช่างมันเถอะ" แม้ในใจลึก ๆ เด็กสาวจะแอบเคืองอยู่บ้างที่อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่รู้ แต่คิด ๆ ไปก็อาจจะไม่รู้ตัวจริง ๆ ก็ได้ เอาเข้าจริง ๆ รายนี้ก็ใช่ว่าจะรู้จักเธอนัก จะพูดอะไรไม่รู้ว่าเธอจะคิดยังไงบ้างก็ไม่เห็นแปลก ถึงแม้เธอจะยังเคืองเรื่องที่ทำเป็นเงียบเฉยเวลาเธอพูดบ้าง แต่นั่นไม่เท่ากับที่เธอเผลอทำผิดต่อเขา ทั้งเรื่องค่ากาแฟ และที่ไปเผลอถีบใส่หน้าเขา

    "หมายความว่ายังไง" วินดัสถามโดยคงท่าทีสงบนิ่งไว้อยู่

    "หนวกหูน่า! บอกว่าแล้วก็แล้วไปสิ กินไปอย่าเซ้าซี้จะได้มั้ย" เด็กสาวเริ่มวีนแตกออกมา แต่สีหน้าก็ยังไม่แคล้วความรู้สึกผิดอยู่ดี
    "ถ้างั้น ฉันขอตัวล่ะ" เด็กสาวหันหลังแล้วตรงรี่กลับไปทางประตูอย่างขวยเขิน ก่อนที่จะหันมาพูดอีกเล็กน้อย

    "อ้อ ห้องนี้มีผู้ชายอยู่อีกสามคน คนนึงหลบไปอ่านหนังสือข้างนอก แล้วก็มีอีกสองคนเดี๋ยวก็คงกลับมาเมื่อหมดเวลาพัก เดี๋ยวพวกชั้นจะเดินทางต่อ ว่าแต่นายกำลังจะไปหรือผ่านเมืองลูเทลลารึเปล่าล่ะ"

    "จะว่าไป ฉันเองก็กำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน" วินดัสตอบอย่างขรึม ๆ แต่ในใจก็แอบสงสัยไม่ได้ว่า ไหงจุดหมายปลายทางดันเป็นที่เดียวกันอีกไปได้ฟระเนี่ย

    "งั้นก็ดีแล้ว ชั้นจะได้บอกท่านอาจารย์ด้วย" พูดจบฮายาเตะก็รี่เดินออกไปเปิดประตู แล้วยังปิดเสียงดังปัง! โดยไม่กลัวประตูจะเสียสักนิด

    "เฮ้อ..." วินดัสถอนหายใจ เขาสงสัยอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเด็กสาวคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่นะ อีกอย่างก็คือทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับเขาบ่อยขนาดนี้ไปได้

    [To Be Continued]

    เขียนไปเขียนมา ทำไมรู้สึกว่าตอนใหม่นี้ "เลิฟเกาหลีมวากกก" =[]=!

    ฮายาเตะได้แสดงฝีมือกะเค้าบ้างซะที (ถึงจะออกเป็นการขโมยซีนไปหน่อยก็เถอะ) แต่อย่างน้อยก็โชว์บทโดนยำคนเดียวมาหลายตอนแล้วน่ะนะ

    (ปล. ใจจริงอยากแทนคำว่า หนวกหูน่า ว่า "อุรุไซ" /me โดนเหวี่ยงลงท่อ)

    ปล.2 ขอบคุณท่านซาลที่ช่วยติและแก้ไขจุดผิดพลาดให้ค่ะ
  3. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตั้งชื่อตอนซะเป็นเกาหลีัซี่รี่เชียว
  4. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    พยากรณ์สภาพอาการ ลูเทลลาวันพรุ่งนี้

    โปรดระวังเห็ดพิษให้มาก เพราะกลิ่นของมันอาจจะแรงไปเสียหน่อย
  5. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    อัลรอลเน่ใช้คำว่าเจ้าคะ เจ้าค่ะ...เอิ่ม...ผิดCharacterไปซักนิดนะท่าน

    ตอนของซานโดรเริ่มคิดออกแล้ว ยังไม่ได้ลงมือพิมพ์ อาทิตย์หน้าติดสอบทั้งอาทิตย์ คงอีกนาน-*-
  6. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เกาหลีแต่หัววันเลยทีเดียว =w=
  7. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ศาสนจักร​

    เทือกเขาด้านเหนือ​




    ลูเทลลา หมู่บ้านกลางหุบเขาเล็กๆ ประชากรราวๆ 100คน อาชีพส่วนใหญ่ของชาวบ้านคือการทำไร่ข้าวสาลี ผลิตผลหลักของหมู่บ้านคือ เบียร์ และ ขนมปังกรอบ ทว่าเมื่อฤดูหนาวที่แล้ว เห็ดหน้าตาประหลาดกลุ่มหนึ่งถูกพบ ในโรงสีข้าวท้ายหมู่บ้าน จากปากคำของเจ้าของโรงสี


    "ครับ เห็ดพวกนั้นมันขึ้นข้าวที่กำลังจะรอสี ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามันมายังไง เท่าที่ดูก็ไม่ใช่เห็ดท้องถิ่นเหมือนที่ผมเคยเห็น"


    แต่เมื่อเจ้าของพยายามที่จะกำจัดเห็ดเหล่านั้น เขากลับเกิดอาการป่วยอย่างประหลาด คลื่นไส้ อาเจียน และ หมดสติไปในที่สุด ต้องใช้คนงานหลายชุดกว่าที่จะกำจัดเห็ดพวกนั้นได้ในที่สุด แต่ทุกคนต่างออกอาการลักษณะเดียวกันหมด ส่วนเห็ดตัวปัญหาเอง หลังจากจัดการถอนไปแล้ว ต่างก็เฉาตายไปในเวลาไม่นานนัก

    "ตอนนั้นผมคิดว่าเรื่องน่าจะจบลงแล้ว เลยไม่ได้ส่งเรื่องนี้ให้กับทางเจ้าหน้าที่น่ะครับ"

    ผู้ใหญ่บ้านกล่าว แต่เพียงฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา เห็ดชุดเดิมก็กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง แต่คราวนี้การขยายตัวของเห็ดกลับรวดเร็วชนิทที่ว่า ไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน เริ่มจากเพียงในไร่ที่เตรียมสำหรับปลูกข้าว กลับขยายาตัวจนกลืนกินพื้นที่ทำไร่ไปกว่าครึ่งในเวลาไม่กี่วัน กับกลิ่นเหม็นที่ยังจางๆอยู่ในตอนแรก แต่เมื่อเห็ดมีจำนวนหลายพันดอก กลิ่นก็รุนแรงจนคนในหมู่บ้านยังสามารถได้กลิ่น


    "เด็ก และ คนแก่หลายคนในหมู่บ้านต่างล้มป่วยลง คนที่ยังมีกำลังต่างก็ย้ายหนีออกจากหมู่บ้านไปกันหมด หากไม่ทำอะไรหมู่บ้านนี้คงถึงกาลล่มสลายแน่"


    ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างหมดหวัง กับเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางผู้ถูกส่งมารับฟังปัญหาเรื่องที่เกิดขึ้น การฝึกนอกห้องเรียน ภารกิจเก็บกวาดเห็ดประหลาดที่คุกคามหมู่บ้านเงียบสงบแห่งนี้ คือหัวข้อในการเรียนการสอนครั้งนี้ พิจารณาจากระดับความอันตราย กับ สิ่งที่น่าจะเรียนรู้แล้ว เธอถึงได้เลือกที่รับหัวข้อนี้จากส่วนกลางที่ส่งมาให้เลือก เช่นเดียวกับภารกิจลับที่ต้องหาสมุนไพร ห้าอย่างจากพื้นที่แถบนี้ด้วย


    กำหนดการแล้วกว่าเหล่าเอ็กโซซิสต์จะมาถึง น่าจะไม่เกินภายใน สองถึงสามวันข้างหน้านี้ ทว่า ในช่วงของการรอนั่นเอง ที่จู่ก็มีชายลึกลับมาเคาะประตูบ้านผู้ใหญ่บ้านขึ้น

    สิ่งที่คนแปลกหน้ามาเยือนต้อนการนั้น มิใช่สิ่งที่แกต้องการจากหมู่บ้าน หากแต่เป็นการได้มีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาของหมู่บ้าน ในเงื่อนไขที่ว่า เอ็กโซซิสต์จะต้องไม่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องที่เกิดขึ้น

    แน่ล่ะว่าชายแปลกหน้าไม่ได้พูดตรงๆแบบนี้ แต่จากที่ผู้ใหญ่บ้านจับใจความได้ ก็ได้ออกมาประมาณนี้ ตอนนั้นแกก็ชั่งใจไม่น้อยว่าจะทำอย่างไรดี ชายแปลกหน้าเสนอถึงข้อเสนอแปลกๆหลายอย่าง และ คำสัญญาถึงปัญหาที่จะหมดไปภายในไม่กี่วัน หากยอมให้ชายดังกล่าวรับงานนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่บ้านอึดอัดที่สุด น่าจะเป็นใบหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้ายิ้มเหมือนสวมหน้ากาก ไม่ว่าจะถามอะไร หรือ ตอบอย่างไร รอยยิ้มพวกนั้นก็ไม่จางจากหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด ราวกับหุ่นกระบอกหรึอกระไรนี่


    แต่จนถึงที่สุดแล้ว หลังจากเจรจากันนานความ ก็ตกลงรับความช่วยเหลือชายแปลกหน้า แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าเอ็กโซซิสต์ที่ขอให้มา จะยังคงมาเช่นเดิม (ไม่สามารถหาเหตุผลดีๆได้ว่า มีปัญหาใหญ่แบบนี้ทำไมถึงจะบอกยกเลิกได้กัน) แต่ชายแปลกหน้าจะรับหน้าที่จัดการเห็ดที่โตในบริเวณนอกหมู่บ้านแทน (ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก แต่ก็ไกลพอที่คนมาตามถนนหลักจะไม่สังเกตุเห็นได้) และ เอ็กโซซิสต์จะรับหน้าที่จัดการเห็ดที่โตในบริเวณหมู่บ้านต่อไป


    "ไม่ต้องกังวลไปดอกท่านผู้ใหญ่ งานของกระผมนั้นผมจะไม่เสนอ รับงานที่ทำไม่ได้ นั่นเป็นวิถีของกระผม" ชายหนุ่มลึกลับกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียว พลางหยิบเอาขวดไวน์ขึ้นมารินให้ผู้ใหญ่แก้วใหญ่

    "ดูเธอจะมั่นใจมากเลยนะพ่อหนุ่ม เพราะมันรุนแรงขนาดนี้หรอกนะชั้นถึงรับคำขอของเธอหนะ"

    "ดื่มเพื่ออวยชัยสำหรับงานในครั้งนี้ ท่านผู้ใหญ่" ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะชูแก้วขึ้น

    "แต่บอกอีกทีสิว่าเธอมาจากไหนน่ะพ่อหนุ่ม ตัวชั้นอยู่มาก็นานแล้วแต่ไอ้ที่ๆเธอบอกชั้นไม่คุ้นหูเลยนะ?"

    "เมืองท่าเดบลิส ท่านผู้ใหญ่ เมืองชายฝั่งเล็กๆเมืองหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของ ไลท์เกรซ"





    ชายหนุ่มจากเดบลิส นั่นคือชื่อที่เขาใช้เรียกหนุ่มปริศนาคนนี้ ไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นคืออะไร เพราะว่าทำงานส่วนใหญ่อยู่นอกเขตหมู่บ้าน ลูกบ้านเองก็โดนปัดไม่ให้เข้าดูการทำงานของอีกฝ่าย จนแล้วจนรอดเมื่อถึงวันที่เหล่าเอ็กโซซิสต์จะมาถึง เมื่อตัวเขาต้องออกไปรับเหล่าผู้เดินทางมาไกลทั้งหมด


    ขบวนรถลากนั้นมาถึงที่หมู่บ้านในยามที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ด้วยว่าถึงจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ลมหนาวจากเทือกเขาตอนเหนือก็ยังปกคลุมย่านนี้อยู่ ทำให้ทั้งผู้ต้อนรับและผู้มาเยือน ต่างย้ายสถานที่ทักทายไปอยู่ในที่ทำการหมู่บ้านกันโดยเร็ว ที่ตรงนั้นเองที่กลุ่มผู้มาเยือนถึงได้มีโอกาศแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

    ทว่าแค่ใช้สายตามองกวาดๆ บางอย่างก็บอกว่าในกลุ่มของเอ็กโซซิสต์ฝึกหัดพวกนี้ มีการแบ่งกลุ่มกันอย่างชัดเจน กลุ่ีมที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำ เด็กชายผู้ที่มีท่าทางสุขุม กับเด็กหนุ่มหน้านิ่งๆอีกคน กลุ่มพวกจิตตก หนึ่งหน่อที่ดูเหมือนจะมีเมฆฝนดำๆทะมึนปกคลุมหน้าตาตลอดเวลา สองสาวที่หนึ่งนางที่ดูโตเกินวัยใบหน้าจริงจัง ท่าทางเหมือนนักรบมากว่านักเรียน กับ หนึ่งนางแลดูรุงรังเหมือนผ่านศึกมาก็ไม่ปาน กับไอพาวเวอร์ที่ดูจะล้นปรี่ออกมาจากตัวเด็กสาว และ อีกหนึ่งหนุ่มที่ทำตัวเหมือนไม่สนใจอะไรมากนัก กับเครื่องแต่งกายที่แปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด


    "สถานการณ์โดยรวมเป็นเช่นไร ท่านผู้ใหญ่บ้าน?" น้ำเสียงของอ.สาวเรียกสติของผู้ใหญ่บ้านกลับเข้าร่างจากการสังเกตุบรรดาลูกศิษย์ของเธอ

    "อะ เอ่อครับ สองในสามของหมู่บ้าน และ พื้นที่เรือกสวนไร่นาทั้งหมด ถูกปกคลุมด้วยเห็ด ซ้ำดูท่าว่าสายลำธารข้างหมู่บ้านอาจจะโดนปกคลุมในไม่กี่วันข้างหน้านี้ด้วยครับ"

    "ความพยายามในการกำจัด ที่ได้ผลบ้าง?"

    "นอกจากการเด็ดดึงทำลายถึงรากเห็ดแล้ว วิธีอื่นไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ และแม้จะดึงไปได้ แต่พวกเห็ดกลับเติบโตมาทดแทนของเก่าในไม่กี่ชั่วโมงอีกน่ะครับ"

    "จุดที่เริ่มระบาดครั้งแรก?"

    "ไร่องุ่นของอารามประจำหมู่บ้าน เราเจอพวกมันครั้งแรกพร้อมกับฝนแรกของฤดู"

    "ขอดูตัวอย่างเห็ดด้วยท่านผู้ใหญ่"


    เห็ดนั้นดูด้วยตาเปล่าก็ไม่ต่างจากเห็ดทั่วไปเท่าไหร่นัก จะแปลกก็แค่หมวกเห็ดที่ค่อนข้างบาง และบานออกเป็นรูปจานบางๆ กับโคนต้นที่ค่อนข้างลีบผอมเหมือนก้านไม้ แต่กลิ่นฉุนที่ทำให้มึนหัวแม้จะเพียงเล็กน้อย กลับฟุ้งจากเห็ดต้นน้อยบนโต๊ะจนแม้แต่ คนที่นั่งห่างออกไปพอควรยังได้กลิ่นจางๆ มีแต่เด็กหนุ่มท่าทางสุขุม และ อาจาร์ยสาวที่ทำสายตาเป็นประกาย


    "คนในหมู่บ้านที่พยายามจะเด็ดถอนเห็ดเหล่านี้ เมื่อได้กลิ่นนี้เข้าไปก็ต่างหน้ามืด อาเจียน ล้มป่วยลงกันไปหมด หรือว่านี่จะเป็นไอปีศาจกันครับ?" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างขวัญเสีย เขาก็เกิดอาการคลื่นเหี้ยนไม่น้อยกับกลิ่นที่ว่าเหมือนกัน


    "กลิ่นนี่มัน?" อาจาร์ยสาวนิ่วหน้าเมื่อได้กลิ่นแรกของเห็ด

    "เป็นอย่างอื่นไม่ได้แน่นอน ก๊าซมีเทน" เด็กหนุ่มท่าทางสุขุมกล่าวขึ้น

    "เธอแน่ใจหรือ ทรีค" อาจาร์ยสาวเอ่ย?

    "จากกลิ่นลักษณะแบบนี้ ไม่ผิดแน่ แต่เห็ดนี่มีบางอย่างไม่ปรกติเกี่ยวกับมัน" เด็กหนุ่ม(?)ที่ดูนิ่งๆอีกคนกล่าว


    ไม่ต้องให้เดากันมากว่าที่ดูไม่ถูกต้องเป็นเพราะอะไร ไม่มีเห็ดชนิทไหนที่เธอหรือคนของหอการแพทย์รู้ว่าสามารถปล่อยก๊าซชนิทนี้ได้ แต่เป็นเพราะโฮปของเธอไม่มีปฎิกริยาตอบสนองถึงไอปีศาจ หรือ พลังด้านมืดอะไรพวกนั้น เธอจึงคลายท่าทีความกังวลลงเหลือไว้เป็นเพียง ความหนักใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี?


    "ยังไงก็ตาม เมื่อปรากฏชัดแล้วว่าสาเหตุของอาการป่วยมาจากก๊าซที่ว่านี้ ทางเราคงต้องขอให้ท่านผู้ใหญ่บ้าน ย้ายชาวบ้านที่เหลือออกไปจากเขตหมู่บ้านเป็นการชั่วคราว จนกว่าเรื่องนี้จะสามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้"

    "แปลว่าพวกท่าน ยังไม่มีวิธีจัดการเช่นนั้นหรือ?"

    "เราขอปรึกษากับ นักเรียนของเราก่อน แม้จะไม่ใช่เรื่องที่มีปีศาจเข้ามาเกี่ยว แต่สถานการณ์ก็ยังถือว่าร้ายแรงอยู่ นี่เพื่อสวัสดิภาพของตัวท่านและชาวบ้านด้วย"


    ผู้ใหญ่บ้านถึงกับเอามือกุมหน้า พูดอะไรไม่ออกได้แต่เชิญให้เหล่าเอ็กโซซิสต์ทั้งหลาย ไปพักผ่อนตามอธยาศัย เมื่อไม่ทราบว่าจะซักถามอะไรได้อีก คืนนั้นทั้งคืน ตัวแกเอาแต่นั่งคิดอยู่คนเดียวในห้อง พร้อมกับจ้องมองเห็ดเจ้าปัญหา ที่เขาพบว่าสามารถใช้แทน ฟืนไม้ ได้ดีเท่ากับถ่านไฟ ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในเตาผิง ห้วนนึกถึงคำของหนุ่มปริศนาคนดังกล่าว ที่กล่าวตอนที่แกมายังหมู่บ้านครั้งแรก


    "ผมสามารถแก้ปัญหาหนักอกของท่านผู้ใหญ่ได้ แต่ผมขอเห็ดทั้งหมดที่ผมจัดการได้เป็นค่าตอบแทนเท่านั้นพอ"

    [ของแบบนี้ เฮอะ มาเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว เธอคิดจะเอาไปทำอะไรกันแน่ เจ้าหนุ่ม?] เขาคิดกับตัวเอง ถ้าเห็ดแบบนี้มาก่อนหน้านี่สักร้อยปี เขาคงจะเป็นเศรษฐีเงินล้านไปแล้ว แต่ตอนนี้มันก็เป็นได้เพียงปัญหาที่ต้องกำจัดไปเพียงเท่านั้น
  8. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ทุ่งระเบิดขนาด... ย่อมหรือใหญ่ดี รึไงกัน - -"
  9. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    กว่าจะได้แต่งต่ออีกทีคงหลังสอบมิดเทอม ขออภัยมา ณ ที่นี้

    (_ _")
  10. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    เสียงผ้าคลุมปลิวสะบัดต้องปะทะกับสายลมริมชายฝั่ง ร่างสูงกระชากผ้าคลุมสีน้ำตาลที่มีกลิ่นตุๆนั่นออก รอยยิ้มที่ซุกซนผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อพบเห็นกับทิวทิศน์ของเมืองตรงหน้า

    หลังจากนั่งๆนอนๆและเดินเล่นไปมาบนเรือขนส่งสินค้าที่ตรงมาจากเดบลิสหลายชั่วโมง คาร์ดินัลอเล็กซานโดร ก็มาถึงราชอาณาจักรโมราเรียภายในอาณาเขตของอาณาจักรอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน เพียงแค่เขาเปิดหนังสือเดินทางให้กับทหารที่คุมท่าเรือซึ่งทำท่าจะถล่มปืนกลใส่ดู เมื่อเขาบอกว่าอยากจะขอโดยสารไปยังจักวรรดิกับพวกเขาด้วย
    แต่นี่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นก้าวหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อถึงแม้ว่าตามข้อมูลจะกล่าวไว้ว่า ไวท์แอมโบรเซียเบ่งบานอยู่ในจักรวรรดิ แต่มันอยู่ส่วนไหนของจักรวรรดิกันล่ะ เมื่อคิดดังนั้นก็อดจะหัวเราะในความสะเพราของตัวเองไม่ได้


    “ลองไปดูที่ร้านขายยาดูดีมั้ยนะ”


    แล้วเขาก็เดินออกไปจากท่าเรือในยามที่พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า ตรงไปตามริมฟุตบาทของถนน
    ราชอาณาจักรโมราเรียนั้น ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองของจักรวรรดิ เมืองของพวกปีศาจ...เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงจะจินตนาการถึงสภาพเมืองอันแสนจะน่าเวทนาและย่ำแย่เกินกว่าจะคิดไว้
    ทว่า ราชอาณาจักรโมราเรียตรงหน้าของซานโดรในตอนนี้ คือเมืองที่ดูสงบสุขซะจนคงไม่มีใครคาดคิดว่ามันคือเมืองของปีศาจ สภาพบ้านเรือนและร้านรวงที่เขาเดินผ่านไปนั้นแลดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา พาหนะที่เพิ่งจะขับผ่านตรงหน้าเขาไปก็คือรถจักรยาน แสดงถึงความสงบอย่างเห็นได้ชัด และต่างกับไลท์เกรซที่เต็มไปด้วยรถม้า
    ในระหว่างที่เขาเดินไปนั้น ก็สังเกตถึงสายตาของชาวเมืองที่ผ่านไปผ่านมาจ้องมาที่เขาอย่างตกตะลึงบ้าง หวาดกลัวบ้าง และหันไปซุบซิบกัน ยิ่งมีมากขึ้น เขาก็ยิ่งสงสัยจนต้องก้มลงมองตัวเองบ่อยครั้ง


    “หื้ม...ข้าว่าข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นพิรุธแล้วนะ ทำไมผู้คนถึงมองข้าแบบนั้นล่ะ”


    ชุดที่สวมใส่อยู่นั้นคือชุดสีแดงเลือดหมู หรือชุดประจำตำแหน่งพระคาร์ดินัลแห่งศาสนจักรนั่นเอง แต่ดูเหมือนซานโดรจะคิดว่ามันปกติสำหรับเขา แต่มันไม่ปกติเอาเสียเลยในจักรวรรดิแบบนี้


    “หรือเพราะว่าข้าจะหล่อเกินไป...มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”


    รอยยิ้มร่าเริงราวกับเด็กๆก็ยิ้มร่า และเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย สายตามองไปตามป้ายร้านที่แขวนออกมากับกระจกหน้าร้าน แต่ร้านรวงที่มีจำนวนมากเกินไป ประกอบกับผู้คนที่เบียดเสียดกันบนถนน ทำให้การเดินทางเป็นอย่างยากลำบาก
    เมื่อเห็นทีว่าจะหาไม่ได้ง่ายๆ เขาจึงใช้วิธีถามทางแทน ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็คือฝ่ายผู้ถูกถามปิดประตูใส่หน้าบ้าง และเดินหนีเขาอย่างเร็วบ้าง

    “เฮ้อ...จะทำยังไงดีน้า...”


    ระหว่างที่นั่งพักที่ม้านั่งข้างทาง เขาก็พบกับกลุ่มของหญิงสาวที่แต่งตัวราวกับผู้ดีชั้นราชวงศ์ยืนจับกลุ่มกันมองมาที่เขาและใช้มือป้องปากกระซิบกระซาบหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นเขาสบตา ก็ยิ่งวี้ดว้ายกันมากขึ้น


    “ขอโทษนะครับท่านสุภาพสตรี ท่านพอจะช่วยข้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”


    ซานโดรใช้เฮสท์ไปปรากฏข้างๆกลุ่มของหญิงสาวภายในพริบตา เหล่าสาวเจ้าดูจะตกใจ แต่ก็ยิ้มกลับมาอย่างสุภาพ


    “ท่านมีอะไรจะให้พวกเราช่วยหรือท่านพระคาร์ดินัล”


    “ท่านพอจะทราบว่าแถวนี้พอจะมีร้านขายยาใหญ่ๆบ้างหรือไม่”


    “ร้านขายยาหรือ...ท่านเดินไปตามทางนี้แหละ และเลี้ยวไปทางขวามือ ท่านก็จะเจอร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่แล้วล่ะ...น่าแปลกจริงๆที่คนอย่างท่านถามถึงสถานที่แบบนั้น”


    “ต้องขอบพระคุณท่านผู้หญิงมากครับ”


    ซานโดรเอ่ยอย่างร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้มที่แทบจะละลายใจของกลุ่มของหญิงสาวเหล่านั้น


    “อ่า จริงสินี่น่าจะแทนคำขอบคุณของข้าได้นะครับ มายเลดี้”


    ร่างสูงโค้งตัวพร้อมกับดึงมือของหญิงสาวมาจุมพิต ก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้เธอยืนเพ้ออยู่คนเดียวท่ามกลางความอิจฉาของสตรีอีกหลายๆนางตรงนั้น
    เมื่อเดินมาตามทางที่ได้ข้อมูลมา พระคาร์ดินัลหนุ่มก็มาถึงร้านขายยาที่ตามหา เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นสมุนไพรและกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคฝุ้งกระจายไปทั่ว ภายในร้านไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงเจ้าของร้านที่เป็นชายวัยกลางคนเท่านั้น


    “มีอะไรให้รับใช้หรือครับ...หื้อ...”


    ชายวัยกลางคนจ้องมองอาภรณ์ที่ผู้มาเยือนใส่มาอย่างประหลาดใจ


    “สวัสดีครับ ข้ากำลังตามหาสมุนไพรอยู่ตัวหนึ่ง ท่านพอจะมีมันขายหรือไม่”


    “คุณ..ลูกค้า ต้องการอะไรหรือครับ”


    “สมุนไพรตัวนั้นมีชื่อว่า ไวท์แอมโบรเซีย น่ะครับ”


    “หื้อ...ท่านจะเอาเกรดไหนน่ะ”


    “เอ๊ะ สมุนไพรตัวนี้มีเกรดด้วยหรือครับ”


    “อ่า..ใช่แล้ว ไวท์แอมโบรเซียที่มีขึ้นแต่ในจักรวรรดิแห่งนี้แบ่งเป็นหลายเกรดนะ ที่ข้ามีให้ก็...มีเพียงตั้งแต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับกลางเท่านั้นแหละ ระดับสูงมันหาขึ้นยากแล้ว และถึงจะหาได้ ก็กลายเป็นของที่คนชนชั้นสูงเก็บไปแล้วทั้งนั้น”


    “งั้นหรือ...แล้วข้าจะไปหาเกรดสูงๆแบบนั้นจากที่ไหนกันได้อีกล่ะ”


    “ดูเหมือนท่านจะต้องไปตามหาจากบ้านของการ์เดี้ยนของโมราเรียแล้วล่ะ”


    “การ์เดี้ยนของโมราเรีย....” สีหน้าของซานโดรเปลี่ยนไป ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ..”


    “ข้าพอจะได้ยินมาว่า ท่านการ์เดี้ยนมีงานอดิเรกในการปลูกต้นไม้พันธุ์หายากมากมาย แต่ท่านจะต้องกระเป๋าหนักมิใช่เล่นเลยนะ ถ้าคิดจะไปติดต่อค้าขายไวท์แอมโบรเซียระดับสูงนั่นน่ะ”


    “อืม ถ้าเช่นนั้น ต้องขอบคุณท่านสำหรับข้อมูลด้วย”


    ซานโดรเดินไปตามทาง ภายในหัวคิดถึงแต่คำพูดของชายวัยกลางคนเจ้าของร้านขายยาแห่งนั้น


    “การ์เดี้ยนแห่งโมราเรียอย่างนั้นหรือ...หึหึหึ...น่าสนใจดีนี่นา...”


    เมื่อคิดถึงลูกแกะน้อยตัวนั้นขึ้นมา เขาก็นึกอยากจะพบหน้าอีกครั้งเสียจริงๆ รอยยิ้มที่ซุกซนผุดขึ้นเมื่อเขามาหยุดยืนอยู่ยังหน้าคฤหาสน์ที่อยู่ด้านบนสุดของเมือง มีธงจักรวรรดิติดอยู่รายล้อมกำแพง กับตราสัญลักษณ์ที่ดูคุ้นตา มันคือสัญลักษณ์ของกลุ่มโซโลมอนที่มีอยู่ทั่วไปในเดบลิสนั่นเอง
    คาร์ดินัลหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม ที่พบก็มีเพียงเหรียญไม่กี่เหรียญ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ


    “เฮ้อ...ไม่นึกว่าจะต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เลย...”


    มองไปรอบๆก็มีเพียงชายสวมชุดสูทสีดำยืนอยู่รอบๆอาณาเขตของคฤหาสน์ ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย ซานโดรเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเดินหลบเข้าไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ข้างๆ ดึงโฮปที่ส่องสว่างวาบอยู่ตลอดเวลาออกมาจ้อง


    “หวังว่ามันจะคงใช้งานได้ดีอยู่นะ”


    โฮปเปล่งแสงออกมาเล็กน้อยก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะหายวับไปจากตรงนั้น พุ่งผ่านหมู่แมกไม้ด้วยความเร็วแสงจนถึงกำแพงตรงส่วนปีกตะวันออกของคฤหาสน์ก่อนที่จะพุ่งกระโดดขึ้นไปบนกำแพงตรงหน้าขององครักษ์คนหนึ่งพอดิบพอดีโดยที่เขามีเพียงรู้สึกราบกับว่ามีอะไรพุ่งผ่านไปเท่านั้น
    ซานโดรร่อนลงตรงสวนภายในคฤหาสน์ องครักษ์คนหนึ่งเดินผ่านไป ร่างสูงยืนอยู่หลังต้นไม้อย่างเงียบเชียบ เมื่อพบว่าชายคนนั้นเดินจนลับสายตาไปแล้ว ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังประตูด้านข้างที่ไร้คนคุมอยู่
    ภายในคฤหาสน์เงียบเชียบและร้างผู้คน แค่เพียงเสียงปิดประตูก็ราวกับว่าเสียงนั้นดังก้องไปทั้งคฤหาสน์
    ซานโดรมองไปรอบๆห้องโถงที่ไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแสงไฟจากโคมระย้าที่ห้อยอยู่ตรงกลางเท่านั้น


    “ดูสมกับเป็นเธอดีนะเนี่ย...”


    ชายหนุ่มยิ้มอย่างซุกซนก่อนที่จะเดินอย่างไม่เกรงกลัวขึ้นบันไดไปยังอีกชั้น เดินมาลึกขนาดนี้ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน แม้แต่กลิ่นอายปีศาจในระยะภายในตัวคฤหาสน์นั้นโฮปเองก็ยังจับไม่ได้


    “นึกว่าจะมีอะไรสนุกกว่านี้ซะอีก”


    ทันใดนั้นโฮปก็สว่างวาบขึ้น ซานโดรหยุดเดินไปกึกหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง


    “พี่ชาย...มาทำอะไรในบ้านของผมน่ะฮะ”


    เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น ซานโดรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วก็หันไป โครโนสยืนยิ้มร่าอยู่ตรงนั้นพลางเอียงคอสงสัย


    “ข้าก็มาตามหาเจ้านี่แหละ โครโนส...ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูเจ้าก็ยังไม่โตขึ้นเลยนะ”


    “อะไรกัน พี่ชาย นานๆทีได้พบกันกลับพูดแบบนั้น”


    ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูสลดลงทันที ซานโดรหัวเราะเบาๆ


    “ข้ามาที่นี่ เพราะอยากได้ของสิ่งหนึ่ง”


    “ไวท์แอมโบรเซียสินะฮะ ถ้าเป็นของแบบนั้นน่ะ อยู่ในห้องของผมเอง”


    ทันใดนั้น ภาพทิวทัศน์ทั้งหมดก็เปลี่ยนไปซานโดรถูกส่งให้เข้ามาอยู่ในห้องโล่งๆ ที่มีเพียงโต๊ะทำงานกับเก้าอี้ ตู้แช่เครื่องดื่มที่วางไว้ข้างๆ และซุ้มประตูโค้งที่เป็นทางเชื่อมไปยังห้องนอนที่มีแต่เตียวสีขาวตั้งอยู่เพียงตัวเดียว


    “เจ้าอยู่คนเดียวหรือ”


    “นี่มันบ้านของผมนะฮะ...ผมก็ต้องอยู่คนเดียวสิ อ่ะ นี่คือสิ่งที่พี่ชายกำลังตามหาอยู่ใช่มั้ยละฮะ”


    สิ่งที่โครโนสชูขึ้นมาคือช่อดอกไม้สีขาวพันด้วยริบบิ้นสีแดง ที่ดอกไม้ทั้งหมดเป็นไวท์แอมโบรเซียสีขาวบริสุทธิ์และมีแสงสีส้มส่องประกายออกมาจากเกสร
    เด็กหนุ่มยื่นช่อดอกไม้นั่นให้กับร่างสูง ที่ยืนมองอย่างไม่แน่ใจ


    “ทำไมล่ะฮะ...ไม่เอาหรือ”


    “เจ้าจะให้ข้าเปล่าๆแบบนี้เลยหรือ...”


    “เอ๊ะ?”


    “ข้านึกว่าเจ้าจะให้ข้าเซ็นสัญญาอะไรซะอีก”


    “ถือซะว่า เป็นของขวัญจากผมก็แล้วกันฮะ”


    “เนื่องในวโรกาสอันใดเล่าเจ้าลูกแกะน้อย”


    “เนื่องในวันที่เราได้มาพบกันอีกครั้งยังไงล่ะฮะคุณหมาป่า”


    ซานโดรดึงช่อดอกไม้ออกมาจากมือเล็กๆนั่น สายตายังคงจ้องมองตาของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นตุกติกอะไรอีก แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างสูงก็โค้งให้กับเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะหันหลังกลับไปที่ประตู


    “จะไปแล้วเหรอ”


    น้ำเสียงนั้นฟังดูเศร้าหมองและดูออดอ้อน ซานโดรยิ้ม เขานึกอยากจะแกล้งลูกแกะตัวนี้เสียจริงๆ


    “ข้าก็ได้ของที่ต้องการแล้วนี่ ธุระของข้ามีเพียงเท่านี้แหละ”


    พลันร่างสูงก็ถูกกระชากอย่างแรงให้ถอยห่างจากประตูด้วยแรงจากแขนเล็กๆคู่นั้น


    “อยู่กับผมก่อนสิฮะพี่ชาย”


    “เฮ้ อย่าดึงแบบนั้นสิ เข้าใจแล้วๆ ...ข้าบอกว่าอย่าดึงแรง..ว้ากก!!”


    ซานโดรก้าวพลาดไปเหยียบใส่ผ้าคลุมของตนเอง มือของเขาพยายามคว้าหาอะไรบางอย่างที่น่าจะยึดเกาะได้ แต่ตัวเขาก็คว้าร่างของเด็กหนุ่มลงไปนอนกับพื้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตกตะลึงไม่ใช่เรื่องนั้น หากแต่ปากของทั้งคู่จะไม่ประกบกันแบบนี้...


    “อะ...อื้อ!!! อื้อ!!!”


    ร่างเล็กผลักร่างสูงให้พ้นออกไป


    “พะ...พี่ชาย!!!”


    “จูบแรกของเจ้าสินะ..ลูกแกะน้อย”


    โครโนสทำหน้าเลิกลั่ก ใบหน้าแดงก่ำ ก่อนที่จะกัดฟันและผลักร่างสูงอย่างแรงจนติดกำแพง


    “พี่ชายต้องชดใช้!!!!”


    โครโนสพยายามจะติดต่อองครักษ์ที่อยู่ด้านล่าง ซานโดรจึงเข้าไปล็อกแขนเอาไว้ทันที


    “ปล่อยผมนะ!!!”


    “ข้าคงปล่อยไม่ได้หรอกโครโนส...ก่อนอื่นจะต้องจัดการให้เจ้าอยู่นิ่งๆเสียก่อนสินะ...”


    ซานโดรเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน ก็พบเชือกเก่าๆอยู่กลุ่มหนึ่ง เขาคลายมันออกมาและใช้แรงมหาศาลนั่นใช้เชือกพันตัวเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริงไปด้วย
    แต่เมื่อกำลังจะผูกเชือก เขาก็พบว่าโครโนสเคลื่อนย้ายตนเองออกไปทันเวลา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เมื่อซานโดรไปปรากฏตัวด้านหลังร่างเล็ก โฮปก็เปล่งแสงขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในอาณาเขตจักรวรรดิแต่ก็ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพของมันจะยังใช้งานได้ดี


    “เอาล่ะ ทีนี้ก็เรียบร้อยแล้วล่ะนะ”


    ซานโดรลุกขึ้นยืน มองร่างเล็กที่นอนขดอยู่บนพื้น ร่างถูกพันธนาการด้วยเชือกและปากก็ถูกอุดด้วยเศษผ้าคลุมที่ซานโดรฉีกออกมา


    “นี่คือส่วนที่เจ้าทำไว้กับข้านะโครโนส...”


    ร่างสูงยิ่มอย่างซุกซนอีกครั้ง ก่อนที่จะช้อนร่างเล็กขึ้นมาและวางไว้บนเตียงสีขาวนั้นอย่างนุ่มนวล เด็กหนุ่มจ้อมงอหน้าของซานโดรอย่างหวาดหวั่น ดวงตามีน้ำตาคลอเบ้า และส่ายหน้าอย่างรุนแรง


    “ข้าไม่ทำอะไรเจ้าแบบนั้นหรอกน่า”


    แต่ใบหน้าของเขาก็โน้มเข้ามาหาแก้มของเด็กหนุ่ม


    “ส่วนนี้ แทนส่วนของเดบลิสนะ♥”


    ด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ซานโดรก็ใช้เฮสท์หายตัวออกไปจากห้องทันที

    เมื่อคาร์ดินัลหนุ่มออกมาจากตัวคฤหาสน์ได้แล้ว ก็เริ่มต้นเดินทอดน่องไปตามท้องถนนกับช่อดอกไม้อีกหนึ่งช่อ พร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ทว่า เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวจากด้านหลังที่มีจำนวนมาก เมื่อหันไปก็พบกับกลุ่มคนในเครื่องแบบสีดำแลดูเป็นทางการขี่รถจักรยานตรงมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง


    “คาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร!!! เราขอจับกุมท่าน ในข้อหาบุกรุกสถานที่สำคัญ และทำอันตรายต่อการ์เดี้ยน!!!”


    เสียงของหนึ่งในกลุ่มนั้นดังแว่วมา ซานโดรหันไปยิ้มให้กับพวกเขา


    “ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ขอโทษด้วยนะ”


    และเขาก็ใช้เฮสท์พุ่งออกไปทันที
    แต่ดูเหมือนว่าพลังโฮปของเขาจะเริ่มหมดลง เพราะไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของศาสนจักร เฮสท์จึงเริ่มสิ้นพลัง เขาจึงใช้วิธีมาวิ่งแทน ทว่า ทหารเหล่านั้นก็ยังตามเขามาอย่างไม่ลดละ แม้ว่าจะพยายามปะปนตัวในฝูงชนแล้วก็ตาม แต่เพราะชุดที่ดูเป็นเอกลักษณ์มากเกินไป ไม่นานนักเขาก็ถูกตามล่าอีก


    “ให้ตายเถอะ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ขออนุญาตล่ะครับ”


    ซานโดรที่วิ่งผ่านจุดจอดรถจักรยานสบถเบาๆ ก่อนที่จะกระโจนขึ้นไปขี่จักรยานคันหนึ่งอย่างวิสาสะ และปั่นอย่างไม่คิดชีวิต เข้าไปยังซอยเล็กๆข้างๆกันนั้น ขี่หลบซิกแซกไปมาเพื่อหลบของที่กีดขวางเอาไว้ และตรงไปตามหาจนกระทั่งพ้นออกจากซอย พุ่งกระโจนลงมาจากบันได เลี้ยวเข้าตรงไปยังสวนหน้าบ้านของใครบางคน ชายหนุ่มแทบจะเบรกไม่อยู่เมื่อพบกับฝูงไก่วิ่งผ่านตัดหน้ารถไปมา เขาหอบหายใจถี่แรงเมื่อได้หยุดพัก หันหลังไป ก็ยังพบกลุ่มทหารปั่นจักรยานตามมาเรื่อยๆ การหยุดพักคงจะทำไม่ได้เป็นแน่แท้ คิดได้ดังนั้นซานโดรก็ปั่นต่อไปทันที

    เลยออกไปจากย่านการค้า ไปถึงย่านชุมชนที่เริ่มไม่คุ้นตามากขึ้น แต่การไล่ล่าก็ยังคงไม่ลดล่ะ คาร์ดินัลหนุ่มเหนื่อยสายตัวแทบขาดนึกอยากจะให้มันหยุดเสียที
    และแล้วเสียงเบรกดังสนั่นก็ดังขึ้นพร้อมกัน ด้วยความสงสัย ซานโดรจึงหันไปมอง ก็พบว่าทหารทั้งหมดได้หยุดรถจ้องมองเขาดุจจะกินเลือดกินเนื้อ ซานโดรจึงจอดจักรยานไว้ข้างทาง เขาสังเกตเห็นป้ายที่เพิ่งขับผ่านมา มันคือป้ายแสดงบอกเขตใหม่ที่กลุ่มทหารไม่สามารถข้ามเขตเข้ามายังหมู่บ้านนี้ เพราะไม่ใช่พื้นที่ในความรับผิดชอบของตนแล้ว
    รอยยิ้มด้วยความยินดีผุดขึ้นบนใบหน้า เขาโบกมืออย่างร่าเริงให้กับเหล่าทหาร และเดินทิ้งพวกเขาที่อยากจะฆ่าแกงเขาเต็มทนไว้ด้านหลัง

    ในหมู่บ้านที่เขาเข้ามานี่ ดูเป็นหมู่บ้านที่เงียบเสียจนวังเวงแลดูน่ากลัว มีเสียงเสียงสุนัขเห่าดังแว่วๆมา กับไฟถนนที่อยู่เป็นเพื่อนกับซานโดรในยามวิกาลเช่นนี้


    “แตกต่างจากเขตเมื่อครู่นี่เลยแหะ...หือ...”


    กลุ่มคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหน้า จากการแต่งกายพวกเขาคงจะเป็นคนในหมู่บ้านนี่เอง เมื่อชายหนุ่มจ้องมองไปที่พวกเขา ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น


    “คนของศาสนจักรล่ะ...”


    “ดูท่าทางจะเป็นคาร์ดินัลด้วยสินะ”


    “เราจะทำยังไงกับมันดีล่ะ...”


    “นั่นสินะ จับเผาทั้งเป็นเลยดีมั้ย”


    “หรือว่าจะจับหั่นเป็นชิ้นๆดีล่ะ”


    การสนทนาเริ่มไม่น่าไว้วางใจมากยิ่งขึ้น ซานโดรยิ้มออกมาให้กับพวกเขา


    “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะพอบอกทางไปท่าเรือให้กับข้าได้หรือไม่”


    สิ้นคำถาม ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมากระแทกบาเรียที่ซานโดรกางไว้ตั้งแต่แรกเริ่มอย่างรุนแรง โฮปที่เริ่มอ่อนแรงทำให้บาเรียนั่นไม่แข็งแรงพอจะต้านและแตกกระจายไปทันที


    “พูดกันดีๆไม่ได้แล้วสินะ”


    ซานโดรกัดฟันวิ่งอีกครั้ง ก่อนที่จะตกตะลึงเมื่อพบว่าตัวเขากำลังถูกล้อมอยู่ โดยรอบทิศเต็มไปด้วยคนในหมู่บ้านในอาวุธครบมือ ทั้งชายและหญิงเริ่มจะบีบวงแคบเข้ามาเรื่อยๆ เฮสท์ก็ใช้ไม่ได้แล้ว บาเรียเองก็ดูท่าจะต้านไม่ไหว สถานการณ์ตอนนี้บีบคั้นเขามากเหลือเกิน


    “ช่วยไม่ได้แล้วสินะ...ไม่ได้อยากจะใช้วิธีนี้หรอก”


    มีแสงสีแดงส่องเรืองรองออกมาจากอกของซานโดร ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม มีลมหมุนวนใต้เท้าของเขาเบาๆ อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นรอบๆตัวเขา มันคือดาบจำนวนนับร้อยเล่ม ซานโดรหลับตาลงช้าๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นอย่างเร็ว และกวาดสายตามองรอบๆ

    เพียงแค่สายลมพัดผ่าน หัวของชาวบ้านนับสิบถูกตัดจนกระเด็นไป ตามด้วยร่างที่ถูกตัดออกเป็นสองท่อน ซานโดรมองไปยังเหยื่อคนไหน พวกเขาก็จะถูกสังหารเสียจนสิ้น
    ศรเวทย์ถูกยิงออกมาจากกลุ่มนักเวทย์พุ่งตรงมาที่ซานโดร ที่แค่หรี่ตามองไปด้านข้าง ดาบนับสิบก็พุ่งมารวมกันเป็นโล่สลายเวทย์ทั้งหมดที่โจมตีมา พร้อมกับน้ำพุเลือดจากร่างที่ถูกตัดออกเป็นท่อนๆของนักเวทย์เหล่านั้น

    พวกชาวบ้านเริ่มล่าถอย ซานโดรเองก็เริ่มรู้สึกผิดมากขึ้นเมื่อมองเห็นกองซากศพที่นอนจมกองเลือดที่อยู่ตรงหน้ามากมาย เขาจึงวิ่งหนีออกไปจากถนนเส้นนั้น จนแน่ใจแล้วว่าไม่ถูกไล่ตาม แสงสีแดงบนหน้าอกก็เลือนหายไป ดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นเช่นเดิม


    “พระผู้เป็นเจ้า โปรดอภัยให้ข้าด้วย...”


    ซานโดรทำเครื่องหมายมหากางเขน ก้มลงมองช่อดอกไม้ที่ถือมา ก็พบว่าส่วนช่อเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ดอกไวท์แอมโบรเซียกลับปลอดภัยดี เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และเขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองเขามาตั้งแต่การต่อสู้เมื่อครู่นี่แล้ว จึงกวาดสายตามองไปรอบๆ
    และแล้วก็มีการเคลื่อนไหวในความมืดเล็กน้อย เผยให้เห็นชายผิวสีหมึก ผมสีขาว ดวงตาเรียวเล็กสีเทาหลบอยู่ตรงซอกตึกนั้น


    “นั่น...ท่านคริสโตเฟอร์หรือ...”


    ซานโดรเอียงคอสงสัยเล็กน้อย ชายคนนั้นจึงเผยตัวออกมา เขาคือดาร์คเอลฟ์ เผ่าพันธุ์อีกเผ่าที่อยู่ในจักรวรรดินั่นเอง


    “เจ้าคือ...ฮาร์ทมาน...”


    เขายังจำได้ดีราวกับมันเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ดาร์คเอลฟ์หนุ่มผู้นี้ เคยเป็นสหายของซานโดรมาก่อน ในช่วงที่ซานโดรยังอยู่ในที่แห่งนี้...


    “ข้านึกว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วเสียอีก...ท่านมาทำอะไรที่นี่”


    “เกิดเรื่องนิดหน่อยของฝั่งนู่น ข้าเลยมาทำธุระที่นี่ แต่...อย่างที่เจ้าเห็น”


    ฮาร์ทมานมองไปที่ชุดของซานโดรที่กลายเป็นสีเลือดจริงๆ พระคาร์ดินัลหนุ่มหัวเราะแห้งๆ


    “ถ้าเช่นนั้นมากับข้าเถอะ ข้าจะพาท่านไปยังอาณาจักรของพวกเรา”


    “จะดีหรือ รับคนของศาสนจักรเข้าไปน่ะ”


    “ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าท่านเป็นสหายของข้า”


    ฮาร์ทมานกับซานโดรยิ้มให้กันเล็กน้อย และทั้งคู่จึงออกเดินไปตามทางเพื่อออกจากหมู่บ้าน


    “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่หมู่บ้านป่าเถื่อนแบบนี้ล่ะฮาร์ทมาน”


    “ข้าหลงเข้ามาน่ะ แล้วได้ยินเสียงต่อสู้ เลยเข้ามาดูเสียหน่อย ไม่นึกว่าจะเป็นท่านนะคริสโตเฟอร์”


    ทว่าคู่สนทนาหยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว


    “คริสโตเฟอร์?”


    “รอข้าอยู่ที่นี่ซักครู่นะ”


    ซานโดรวิ่งอย่างรวดเร็วพุ่งตรงไปที่ถนนอีกเส้นที่อยู่ใกล้ๆกันนั้น สัมผัสแปลกประหลาดนี่คืออะไรกันแน่...
    และเขาก็เห็นชายคนหนึ่งยืนเฝ้ามองมาจากหัวมุมถนน เสื้อคลุมสีขาวที่ชายคนนั้นใส่ดูตัดกับสภาพแวดล้อมที่มืดสนิท เมื่อซานโดรสบตากับเขา ความคุ้นเคยอันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นจนต้องหันกลับไปมองอีก


    ใช่แล้ว...สัมผัสนี่...ข้าจำมันได้....


    ซานโดรยืนนิ่ง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและร่าเริงเมื่อครู่ได้หายไป กลายเป็นสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองคนแปลกหน้าอย่างไม่ละสายตา


    “ยินดีต้อนรับกลับมายังจักรวรรดินะ...คริสโตเฟอร์”


    เสียงที่แลดูไร้อารมณ์ แต่ก็ไม่เยือกเย็น น้ำเสียงแปลกประหลาดที่เหมือนไร้จิตวิญญาณแต่แฝงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่ที่ผู้ที่อยู่ตรงหน้ายังหวาดหวั่น


    “ข้าก็ไม่ได้อยากกลับมานักหรอก...ก็นะ...”


    เขายกช่อดอกไม้ชูขึ้น ร่างนั้นไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ


    “ต้องขอโทษท่านด้วย...ในเรื่องที่ข้าทำลงไป”


    “เจ้าจะทำอะไรก็ตามสบาย...”


    “แปลกนะ ที่คนอย่างท่านเอ่ยเช่นนี้”


    ซานโดรยักไหล่ และเริ่มต้นออกเดินกลับไปยังเส้นทางเก่า


    “เจ้าจะต้องกลับมายังที่นี่แน่นอน คริสโตเฟอร์”


    คาร์ดินัลหนุ่มหันกลับไป


    “เจ้าหลีกหนีชะตาตัวเองไม่ได้หรอก...ถึงอย่างไร เจ้าก็ต้องมาที่นี่ เพราะเจ้าเลือกที่จะมาเอง...”


    “หมายความว่าอย่างไรกัน”


    “เพราะคนสำคัญของเจ้าอย่างไรล่ะ...เซซีลีอาคงสบายดีสินะ”


    “ท่านทราบ..ได้อย่างไรกัน....”


    “มีบิดาคนไหนจะไม่รู้เรื่องบุตรของตนเองบ้างเล่า คริสโตเฟอร์”


    ซานโดรยิ้มมุมปากและหัวเราะในลำคอ โบกมือลาชายตรงหน้าและเดินกลับไปอีกครั้ง


    “ไปไหนมาน่ะ”


    “เปล่าหรอก ก็แค่ไปเก็บของที่ตกน่ะ ไปกันต่อเถอะอย่าเสียเวลาเลย”


    ซานโดรหันกลับไปมองเส้นทางที่เขาได้พบกับชายคนนั้นอีกครั้ง คำพูดของเขายังคงรบกวนชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา...เพราะคนสำคัญ...ของเขา...ถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาอย่างนั้นหรือ...ไม่มีทางที่จะเลี่ยงได้จริงๆอย่างนั้นหรือ...

    ======================================================
    ตอนใหม่...แต่งแบบเก็บกด..อะไรที่กั๊กไว้ไหลออกมาหมด เพราะงั้นช่วยๆทนอ่านหน่อยนะงิ /meโดนตบตี
    ตอนใหม่...ถ้าวายไปจนเกินจะรับได้ บอกได้นะคะ จะรื้อทันที
    ตอนใหม่...รั่วได้อีก มันมีมั้ยเนี่ย คาร์ดินัลขี่จักรยาน
    ตอนใหม่...เสร็จในเวลา 1.54น. ใช้เวลาทั้งสิ้นเกือบๆ3ชั่วโมง

    ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกท่าน.....
  11. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เข้ามาอ่านแล้ว ซานโดรเก่งกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย

    ปล.ภารกิจเก็บเห็ด เอาไงดีหว่า...
  12. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    อัพเดทข้อมูลในส่วนของพลังของซานโดร และตัวละครใหม่ ในกระทู้ข้อมูลแล้วนะคะ♥
  13. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Father : you will pay sandro!!

    chronos : you will be dead man soon!!
  14. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ศาสนจักร​

    ไลท์เกรซ​



    ก้าวเท้าของตนไปตามห้องโถงสูงของอารามหลวง ชูวครอส วาลาเดียน่า ผู้บัญชาการกองทัพศาสนจักร เร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อก้มมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือตน วันนี้เป็นอีกวันที่การประชุมระหว่างทางกองทัพและเหล่าคาร์ดินัลได้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่องค์ประมุขได้เก็บตัวเงียบอยู่ในอารามส่วนตน....อีกครั้งหนึ่ง

    แม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่เจ้าหนุ่มหลักลอยนั่นไม่มีทางทำตัวสงบเสงี่ยมได้แน่ การประชุมในห้วข้อซ้ำซากเดิม การป้องกันชายแดน ปัญญาความมั่นคงภายใน การฝึกกำลังพล และ หัวข้อเดิมอีกอันหนึ่ง กับกรณีเมืองท่าเดบลิส ในกรณีเดิมๆที่เขาได้ยินมาก็ไม่ใช่น้อย แต่เริ่มจะถี่ขึ้นมากในช่วงหลังนี้

    ทุกครั้งที่รายงานการสืบสวนการหายตัวหรือตายปริศนาของเอ็กโซซิสต์ที่ส่งไปตรวจสอบที่เมืองดังกล่าวกลับมายังเมืองหลวง ยิ่งในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นว่าการรุกรานของบริษัทจะยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน ใช่พวกบริษัท เขาเคยคิดว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดคือการที่มีปีศาจกระหายเลือดจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ มนุษย์ที่นอกเขตโฮปนั่น แต่การมาถึงของเจ้าเด็ก .....ไม่ใช่สิ เจ้าการ์เดี้ยนโครโนสนั่น พร้อมกับข้อสัญญาที่ต้องมานั่งปวดหัวจวนระเบิดกับผลที่ตามมา


    "ชูครอส นี่ท่านฟังคำถามของพวกเราอยู่หรือไม่?"

    เสียงเรียกถามที่ดึงเอาสติของเขากลับเข้าร่าง ทำไมคนระดับเขาต้องมานั่งตอบคำถามอะไรแบบนี้ ทั้งที่ความจริงเขาควรจะได้เป็นคนออกคำสั่งใส่พวกตาแก่พวกนี้ถึงจะถูก

    "ผมเคยเรียนไปหลายครั้งแล้วอย่างไร ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพจะเข้าไปจัดการ รายงานจากฝ่ายปกครองที่นั่นก็ไม่พบสิ่งปรกติอันใด เอกสารเองก็ไม่ได้มีการปลอมแปลงหรือดัดแปลง เรื่องที่คนของพวกท่านๆหายตัวไปก็มีเอกสารระบุมาชัดแล้วว่าพวกเขาเหล่านั้น เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ แล้วพวกท่านจะดึงดันให้กองทัพเข้าไปสอบสวนด้วยเช่นนั้นหรือ?"

    เขาตอบด้วยแววตาและใบหน้าเย็นชา เหมือนทุกครั้งที่ตอบคำถามนี้ แทบจะเป็นประโยคต่อประโยค บรรดานายทหารที่อยู่ฝากเขาก็มีท่าทีไม่ผิดไปจากเขามากนัก ผิดกับสายตาการขุนเคืองกับความไม่ไว้ใจของฝ่ายคาร์ดินัลทั้งหลาย

    แน่ล่ะว่าจากกรณีเมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างตัวเขากับคาร์ดิกับอาซึกะ แม้จะไม่ถึงการสอบสวนแต่ก็เพิ่มกระแสการกดดัน ที่ฝากของคาร์ดินัลมีต่อตัวเขามากขึ้นไปอีก ว่าด้วยธรรมชาติที่ทั้งสองฝ่ายไม่ถูกกันมาหลายสิบปี จากความจริงที่ว่า แม้งานของทั้งสองฝ่ายจะเป็นการปกป้องคุ้มครองประชาชนจากปีศาจ แต่ฝ่ายได้รับการเชิดหน้าชูตากลับเป็นเหล่าเอ็กโซซิสต์เสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ฝากกองทัพหรือผู้ที่ไม่สามารถใช้เวทย์ได้ กลับเสมือนหนึ่งตกอยู่ในเงาที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น


    การประชุมเมื่อไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ จึงจบลงเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา กับการที่ทั้งสองฝ่ายตั้งแง่ใส่กันจนไม่อาจตกลงเรื่องใดกันได้อีกตามเคย


    กระนั้นเรื่องที่เดบลิสเองก็เป็นปัญหาที่แม้แต่ทางกองทัพก็ไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปได้ เพียงแต่ด้วยจุดยืนที่ต่างกันเรื่องวิธีการ ทำให้ทั้งสองฝ่ายยากที่จะหาข้อตกลงร่วมกันได้ในหลายๆเรื่อง




    ภายหลังการประชุม ด้วยใช้เหตุว่าต้องการพักผ่อนจากเรื่องเครียดที่เจอ ตัวเขาหลบฉากจากอาคารสภาไปยังบริเวณที่พักส่วนตน ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำการของกองทัพมากนัก ที่อีกฝากของเมืองใกล้ๆกับประตูเมืองหลัก

    อันว่าที่ทำการของเอ็กโซซิสต์นั้นอยู่ร่วมในส่วนแยกต่างหากของเมืองหลวง ไม่เหมือนกับอาคารของกองทัพที่สร้างขึ้นในภายหลัง ด้วยลักษณะค่ายทหารชั่วคราวที่ดัดแปลงต่อเติมจนกลายเป็นค่ายทหารถาวร จนถึงทุกวันนี้แม้แต่อาวุธของทหารก็ยังเป็นอาวุธเก่าเก็บตั้งแต่ก่อนสมัยสงคราม อาวุธจำนวนไม่น้อยที่หมดสภาพไปจากการเวลา และ การขาดแคลนการซ่อมบำรุง ผิดกันกับศาสตราเวทย์ทั้งหลายที่เข้ามาแทนที่อาวุธมาตราฐานไปเป็นส่วนใหญ่

    แม้แต่อาวุธประจำกายของเขา อาวุธที่เขาไม่ค่อยได้ใช้ต่อหน้าคนอื่นมากนัก ไม่แม้แต่ตอนที่เขาโดนเจ้าผู้หญิงแรงช้างอาซึกะนั้นซัดเอา ไพ่ตายของเขาก็ต้องเก็บไว้ใช้ยามขับขัน แม้จะพลาดจากตำแหน่งองค์ประมุัขไปให้กับเจ้าหน้าล่ะอ่อนสมองกลวง แต่โฮปของเขา อาวุธที่เขาครอบครอง


    ยืนอยู่คนเดียวกลางสวน ใต้ร่มไม้และผนังสวนสีเขียว ต่อหน้าเขาหุ่นกระบอกไม้จำนวนหนึ่งถูกวางเรียงรายไว้ ทุกอันล้วนแต่มีภาพถ่ายของ องค์ประมุขคนปัจจุบันประดับที่ส่วนหัวของหุ่น ริมฝีปากเขาเริ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ บรรยากาศที่เกิดเย็นยะเยือกขึ้นกระทันหัน ชูมือซ้ายขึ้นเหนือหัว ก่อนที่ประกายแสงสะท้อนจะส่องจากเหนือตัวเขา ในพริบตาที่ผลึกน้ำแข็งก่อตัวเป็นรูปร่าง ใช้มือคว้าสิ่งที่อยู่ภายในออกมา ดาบฝักสีน้ำเงินทะเลกับด้ามสีขาวไข่มุก ประดับด้วยตราอักขระที่ก้นสันดาบสีแดงทับทิม

    จ้องตาเป็นแนวไปยังเป้าหมายตน ไวเท่ากระพริบตา คลื่นของปลายดาบตวัดผ่านช่องว่างอากาศ เป็นเปลวประหนึ่งสายฟ้าก่อนที่ดาบจะคืนสู่ฝัก พร้อมๆกันนั้น เหล่าหุ่นที่ตั้งอยู่ต่างก็ถูกทำลายย่อยยับลงเป็นเศษไม้ชิ้นน้อยเคลือกน้ำแข็ง เหลือไว้เพียงตัวเดียวที่ยังไม่ถูกสัมพัศ แต่นั่นก็ไม่นานนัก


    ตวัดดาบในมือให้อยู่ในท่าชี้ตรงไปยังเป้าหมายที่ยังเหลืออยู่ แล้วดาบน้ำแข็งเล่มโตที่ก่อตัวรอบดาบก็พุ่งออกไปราวกับจรวดไปยังเป้าหมาย ก่อนจะแช่แข็งทั้งตัวหุ่นเป้าหมายให้อยู่ในคุกน้ำแข็งก้อนโต

    "ฮึๆ" ใบหน้าเย็นชาอาบบนหน้าตน แต่เสียงยิ้มเหยาะก็ยังคงลอดออกมาจากลำคอเจ้าตัว


    "อาวุธลึกลับที่สืบตกทอดมาหลายยุคสมัย หนึ่งในอาวุธที่ใช้ในการต่อกรกับเหล่าปีศาจในระดับตำนาน Yukikaze ดาบน้ำแข็งที่สามารถทำให้ผู้ครอบครองสามารถควบคุมละลองน้ำแข็งและไอเย็นได้ตามใจนึก ปรากฎครั้งแรกภายหลังการปรากฏของโฮปต้นกำเนิด พร้อมๆกับเศษเสี้ยวของโฮปชุดแรก ผมกล่าวถูกต้องไหมครับ ชูครอส?"

    แม้เสียงปริศนาจะปรากฏจากที่ใดไม่ปรากฏ แต่ด้วยความเยือกเย็น เจ้าตัวเลือกที่จะตอบกลับไปโดยไม่เสียเวลาหาต้นตอของเสียง ซึ่งดูเหมือนเหตุผลนั้นจะมาจากตัวเสียงปริศนาเอง

    "อย่ามาทำเป็นอวดรู้ดีเลยเจ้าพวกปีศาจ พวกแกต้องการอะไรจากข้าอีกกัน?"

    "ไม่ทราบว่าท่านทราบข่าวคราวของ องค์ประมุขบ้างหรือไม่ ท่านทราบหรือไม่ว่าขณะนี้แกอยู่ที่ใดกัน ท่านตามืดบอกเพียงใดถึงได้ละเลยเคลื่อนไหวนี้ไปได้กัน?"

    "ไอ้เจ้าซานโดรนั่น มันปกปิดการเคลื่อนไหวได้ดี ร่องรอยใดที่น่าจะเหลืออยู่คนของมันก็ช่วยกันปกปิด นอกจากเรื่องที่บรรดาเอ็กโซซิสต์ฝึกหัดออกไปทำภารกิจภาคสนามแล้ว ข้าก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรน่าสงสัยนี่?"


    ทว่าท่าทางไม่แยแสของแกกลับเปลี่ยนเป็นความยินดีจนเก็บอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อแกรับเอาเอกสารภาพถ่ายชุดหนึ่งจากคนตรงหน้า

    "นี่มัน!! หึๆ หึๆๆ ภาพนี้เป็นของจริงใช่ไหม?"

    "ถ่ายได้เมื่อสองวันก่อน ระหว่างการไล่ติดตามข้ามเขต จากชุดและรูปพรรณสันฐานแล้ว เชื่อได้กว่า 90%ว่าไม่ผิดคนแน่"

    "แล้วตอนนี้เจ้านั่นล่ะ เป็นอย่างไร?"

    "หน่วยวิเคราะห์ของเราคาดว่า พระองค์พร้อมผู้ให้ความช่วยเหลือน่าจะใช้เส้นทางน้ำที่ไม่มีคนสัญจรในการกลับสู่ศาสนจักร" กล่าวพร้อมยื่นจุดพิกัดตำแหน่งที่น่าจะเป็นของการขึ้นฝั่งให้ ชายผู้แววตาเป็นมันราวกับได้ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า

    "ดีๆๆ ใช่ คราวนี้แหละแก แกจะได้ตายคามือชั้นแน่ ฮึๆๆ" ชูครอสกล่าวพลางหัวเราะเสียงต่ำยาวนาน แทบจะหลุดไปอยู่ในความคิดของตนโดยสมบูรณ์

    "ขอแนะนำให้ท่านเร่งเตรียมการจัดคนให้พร้อม หากโชคดีท่านอาจจะได้จับตัวองค์ประมุขด้วยตัวของท่านเอง ท่านนายพล"






    "สำหรับค่าตอบแทนในครั้งนี้"


    เมื่อถึงบทสนทนานี้ ผู้ที่มากรอยยิ้มเมื่อสักครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ก็หุบยิ้มลงเป็นใบหน้าเย็นชาตามเดิม แกจ้องตาอีกฝ่ายราวกับสุนัขที่รอจังหวะที่จะขย้ำเหยื่อ

    "ไว้ให้จับตัวได้แล้วค่อยมาคิดราคากันจะดีกว่าม้าง? ค่าของข่าวที่พวกแกเสนอมาแต่ล่ะที ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ" ชูครอสกล่าวตอบอย่างไม่พอใจนัก พลางลูบคลำดาบของตนไปมา

    "สิทธิที่จะส่งคนของเราเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ภายในเมืองหลวง ไลท์เกรซแห่งนี้ นั่นเป็นราคาสำหรับข่าวในครั้งนี้ ท่านนายพล" ผู้แทนบริษัท เสนอพร้อมกับหนังสือสัญญาสีขาวพื้นๆให้อีกฝ่ายพร้อมกับปากกาให้เซ็น

    "แล้วถ้าข้าเสนอว่า ข่าวชิ้นนี้แลกกับชีวิตของตัวแกเอง เจ้าจะคิดยังไง?" ชูครอสกล่าวในท่าทีถ้าเป็นคนปรกติ คงจะหน้าซีดขาสั่นไปแล้ว


    "ถึงผมตายไป บริษัทก็จะส่งคนอื่นมาทวงสัญญากับท่านอยู่ดีท่านนายพล โดยเฉพาะสัญญาทาสที่ท่านทำไว้กับเรา"

    "อย่ามาเรียกข้าว่าทาสนะ ไอ้ปีศาจสถุล!!" ชูครอส ตอบอย่างเกรี้ยวกราด และ แทงดาบของตนลงพื้น ดาบน้ำแข็งที่แตกสาขาทางน้ำแข็งพุ่งตรงไปยังอีกฝ่าย


    เสาน้ำแข็งที่พุ่งขึ้นจากด้านหลังผู้แทนบริษัท นับว่าน่าประทับใจในเรื่องระยะทางและความร้ายกาจ ทว่าตัวผู้แทนเองก็สามารถบล็อคการโจมตีที่ว่าได้ไม่ยากนัก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ผู้แทนเองก็ ซัดมีดเขี้ยวบินใส่อีกฝ่ายเช่นกัน มีดที่ไม่ได้ประสงค์ชีวิตเพียงแค่หยั่งเชิงดู จึงปักลงบนพื้นใกล้ๆกับขาของชูครอส

    "ดูท่าท่านจะเป็นทาสที่อารมณ์ร้อนไม่ใช่น้อยนะ เห็นทีผมคงจะต้องสั่งสอนเบาะเสียหน่อยกระมัง?"

    ผู้แทนกล่าวจบ ก็พร้อมกับตอนที่อีกฝ่าย พุ่งตัวเตรียมฝักดาบของตนในท่าโจมตีด้วยศรน้ำแข็ง ทว่าสายโซ่บางๆระหว่างตัวผู้แทนกับมีดบินในตอนแรกนั้น กลับดึงรั้งกลับอย่างเร็ว พร้อมๆกับร่างของผู้แทนที่พุ่งใส่ชูครอสในพริบตานั้น

    ชูครอสดูจะไม่แยแสนัก เมื่อความสามารถของแกทำงานขึ้น ด้วยตัวผู้แทนที่การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นสิ่งบ่งบอกของความสามารถชูครอสอีกประการ


    "ลืมแล้วหรือเจ้าปีศาจ ว่าข้าทำสัญญาอะไรเอาไว้น่ะ?" กล่าวพร้อมรอยยิ้มเหี้ยม ใช้สันดาบตนฟาดใส่หน้าของอีกฝ่ายจนตัวเสียหลักจะล้มลง

    "ผมถึงบอกไงท่านนายพลว่านี่ แค่เบาะๆ" ชูครอสทำตาฉงนพิกล เมื่ออีกฝ่ายยังตอบอย่างใจเย็น แต่กาลกลับเป็นว่าที่อีกฝ่ายเสียหลักนั้นกลับเป็นการจงใจ เพื่อลดแรงฟาดของตัวเขาลง แล้วตอนนั้นเองที่ตัวผู้แทนหมุนตัวในท่าตะแคงพลางส่งลูกเตะใส่ช่องท้องอีกฝ่าย


    "เหอะ กะอีกแค่ลูกเตะ......อ้ออออก!!" แกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่คิดว่าลูกเตะอีกฝ่ายก็ดูไม่เร็วนัก และ พลังของเขานั่นน่าจะดึงพลังของอีกฝ่ายมาได้มากโขแล้ว แต่...


    เป็นแค่ลูกเตะตวัดพื้นๆ แต่ร่างของชูครอสกลับงอเป็นกุ้ง ลอยไปกระแทกกับกำแพงอิฐที่อยู่อีกฝั่งของสนาม โดยที่ตัวดาบของแกกระเด็นขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะปักลงไม่ไกลจากจุดที่แกกระแทกนัก ก่อนจะล้มกองกับพื้นราวกับก้อนดินน้ำมันเละๆ


    "โคร่กกก อะ อะ ทะ ทำไม?" น้ำหูน้ำตาไหลท่วมน้ำพร้อมๆกับเศษของอาหารเมื่อเช้าอีกจำนวนหนึ่ง ร่างกายยังชาจากความเจ็บปวดที่ช่องท้อง กับ กระดูกที่เหมือนจะหักตรงไหนสักแห่งที่ชายโครงแก


    "ท่านนายพลใช้พลังได้น่าประทับใจนะ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะสามารถทอนพลังเตะผมได้มากขนาดนี้นะ เอาเถอะผมบอกว่าจะเบาะๆ แต่เมื่อสักครู่เห็นท่านเอาจริงผมเลยกะเอาตายเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะ ท่านนายพล" ผู้แทนก้าวมาเชิดคางคนบนพื้น พร้อมกล่าวขอโทษด้วยใบหน้ายิ้มเยาะน้อยๆ

    "กะ แกกก อ้อออก" ดูเหมือนอาการจะหนักไม่เบา ว่าอาหารเก่าอีกชุดไหลออกมาอีกครั้ง ภายใต้สายตาของคนที่เหนือกว่า

    "อย่าคิดลองดีกับบริษัท ท่านนายพล ผมขอเตือนเอาไว้ กับปีศาจหรืออสูรที่อวดอ้างว่าเป็นจอมอสูร หรือจ้าวโลก บริษัทของเราก็เชือดปีศาจพวกนั้นทิ้ง ปีหนึ่งๆไม่รู้ตั้งกี่สิบตัว ท่าน....ท่านโชคดีนะว่าทำสัญญากับท่านโครโนสเอาไว้ ถ้าเป็นการเดี้ยนท่านอื่น" ไม่ต่อคำจบแต่ ก็ทำให้สายตาดุดันของคนบนพื้น ฉายแววประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาได้

    "ดีครับสายตาแบบนั้นแสดงว่าเข้าใจที่ผมพูดแล้วสินะท่านนายพล เช่นนั้นแล้วเรื่องค่าตอบแทน เอาไว้หลังจับตัวองค์ประมุขได้แล้ว ผมหวังว่าท่านจะไม่เบี้ยวเอาดื้อๆนะครับ" ท่าทางใบ้รับประทานของคนบนพื้นดูจะเป็นคำตอบที่ผู้แทนคาดหวังเอาไว้


    ผู้แทนใช้มือลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหยิบกระปุกกระเบี้องเคลือบสีขาวอันน้อย ที่มีจุกผ้าสีแดงอุดไว้ขึ้นมา แล้ววางลงตรงหน้าอีกฝ่าย ที่จ้องกลับมาที่ตัวแกด้วยสายตาอยากจะกินเลือดกินเนื้อ


    "aque cure สูตรพกพาท่านนายพล สกัดจากไวท์แอมโบรเซียเข้มข้น กับ ตัวยาอีกจำนวนหนึ่ง ปริมาณนี้น่าจะเพียงพอให้ท่านฟื้นตัวจนเป็นปรกตินะครับ อ๋อยากินนะครับไม่ใช่ยาทา" ผู้แทนกล่าว ก่อนที่เขาจะล่าถอยหายไปในเงามืดของแดดยามเที่ยงวัน ทิ้งให้คนบนพื้น ลากสังขารที่แตกยับของตนไปหาขวดยาที่ว่า


    ยานั้น ช่วยชูครอสไว้ได้มาก ไม่ถึง2ชั่วโมงหลังกินเข้าไป ร่างกายแกก็ฟื้นฟูไปถึงจุัดที่พอจะเดินเหินได้บ้าง แม้กระดูกจะยังไม่สมานกันสนิทนักก็ตาม แต่เป็นคำพูดเพ้อพร่ำของแกที่ออกมาจากปาก เมื่อแกพอจะสามารถเปล่งเสียงได้บ้าง



    "บัดซบ บัดซบ บัดซบ แก อ้ออกกก แกไอ้พวกปีศาจ ซานโดร แล้วแกด้วยมาเรีย พวกแกต้องชดใช้" ชูครอสกล่าว ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมน้ำตาที่แทบจะไหลเป็นสายเลือดของแก


    ความเจ็บแค้นในครั้งนี้เขาจะไม่มีวันลืมเลย ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเขาพ่ายแพ้ให้กับคนของบริษัทเท่านั้น แต่การโดนคนอื่นกดหัวให้ยอมจำนนด้วยพลังที่เหนือกว่า มันทำให้แกกระหายพลังอำนาจเพื่อใช้ต่อกรกับพลังพวกนั้นยิ่งขึ้นไปอีก



    หมายเหตุ

    ผู้แทนบริษัท - นายหน้าของบริษัทที่ทำหน้าที่เจรจาความและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อ เจ้าหน้าที่บรรษัทภาคสนามที่ประจำการอยู่ใน เขตอิทธิพลของบรรษัท และ เจรจาความธุรกิจกับเหล่าผู้รับผลประโยชน์ของบริษัทในต่างแดน (มีใบอณุญาติให้ฆ่าได้หากจำเป็น)

    Aque cure - ผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อให้กับตัวบริษัท ในฐานของยารักษาอาการบาดเจ็บประสิทธิภาพสูง ที่สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บปานกลางถึงสาหัส ให้หายดีได้ภายในเวลาไม่เกิน 24ชั่วโมง (แต่ไม่น้อยกว่า 1ชั่วโมงตามค่าเฉลี่ยปรกิติ) ใช้กันมากในหมู่พนักงานบริษัท และ พื้นที่ชายฝั่งทะเลไครเมียของจักรวรรดิ ( โมราเรีย บาลิล่อน )

    ทั้งนี้สามารถใช้รักษาอาการเจ็บปวดไม่สาหัสได้ระดับหนึ่ง แต่หากเป็นโรคร้ายแรงต้องใช้โดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

    **คำเตือน : เป็นพิษร้ายแรงกับประชากรเผ่าปีศาจระดับกลางถึงระดับสูง ออกแบบให้ใช้ได้เกับมนุษย์เท่านั้น**

    Yukikaze - ศาสตราวุธที่เชื่อกันว่า สามารถทำให้ผู้ครอบครอง ควบคุมและก่อร่างสร้างน้ำแข็งจากไอเย็นของดาบ ให้กลายเป็นเกราะหรืออาวุธคุ้มกายผู้ใช้ได้ เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นโดยนักสร้างอาวุธแห่งจักรวรรดิ ในช่วงราวๆ 150ปีก่อนหน้าเหตุการณ์แพนโดร่า ปัจจุบันอยู่ในการครอบครองของตระกูล วาลาเดียน่า โดยมี ชูครอส วาลาเดียน่า เป็นผู้ใช้คนปัจจุบัน

    บริษัท - องค์กรที่แสวงหาผลกำไรและอำนาจหนึ่งเดียวที่ยังสามารถคงสถานะภาพของตนไว้ได้เทียบเท่ากับ ก่อนเหตุการณ์แพนโดร่า เสาหลักต้นที่สองจากสามเสาหลักที่เป็นรากฐานสำคัญของจักรวรรดิ รองจาก กองทัพ และ ตัว จักรพรรดิเอง
  15. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    อาวุธใหม่ของชูวครอส ท่าทางจะน่ากลัวนะเนี่ย แต่ก็ยังสู้พวกปีศาจไม่ได้ (ก็มนุษย์...นี่นะ (เอ...ลืมใครไปรึเปล่าหว่า))

    รอคนมาต่อฉากเก็บเห็ด เพราะสารภาพ เรายังไม่มีไอเดียจริงๆ

    (รอท่านซาลหรือใครที่เขียนฉากแนว Tactics พิเศษแบบนี้มาต่อก่อนดีกว่า)
  16. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    โอ้ว...ชูวครอสลูกแม่...ช่าง...

    ท่านวินเจ้าค่ะ...คาเรนอนุญาติให้ท่านแกล้งหนักกว่านี้ได้งิ เพราะคาเรนยังไม่สะใจแปลกๆ;w;
  17. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ประมาทเกินไปซะแล้วนะชูครอสเอ๋ย >_<"


    ปล. ด้วยเงื่อนไขของโฮป เพราะงั้นชูครอสจึงไม่สามารถมีหรือใช้โฮปได้ในปัจจุบันนะครับ (ดังนั้น Yukikaze ก็จะไม่ใช่โฮป)
  18. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่แล้วครับ

    (ของ made in empire ถึงจะอยู่นอกเขตก็ยังใช้ได้)
  19. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113

    โฮปไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตก็ใช้ได้เพราะมันโฮปคนละชิ้นกันนะ เพียงแต่โฮปของมาเรียมันมีพลังสร้างอาณาเขตเท่านั้นเอง

    ปล. ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มแต่งตอนใหม่ไปได้นิดหน่อย
  20. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    All Fiction Fantasy


    คืนวันนั้นบรรดาเอ็กโซซิสต์ฝึกหัดทั้งห้าก็ได้มานั่งประชุมกันโดยมีอาสึกะที่นั่งอยู่ห่างๆคอยให้ข้อเสนอแนะเป็นระยะ แม้ภารกิจนี้จะดูเหมือนไม่ยากเย็นแต่ในทางปฏิบัติก็ค่อนข้างซับซ้อนและนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อาสึกะคิดว่าภารกิจนี้เหมาะจะช่วยฝึกฝนคนทั้งห้านี้ เพราะหากดูเผินๆแล้วพวกเขาต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้ค่อนข้างสูงแต่สิ่งที่บางคนยังขาดไปนั้นคือประสบการณ์ซึ่งเห็นได้ชัดจากเนื้อหาการประชุมในขณะนี้

    ไลติโอนั้นถือได้ว่าสอบผ่านเพราะเขาจะคอยพิจารณารายละเอียดต่างๆอย่างรอบคอบรวมถึงคอยดึงบทสนทนาที่หลุดประเด็นไปให้กลับมาเป็นระยะ ส่วนอัลรอลเน่นั้นถึงจะขาดประสบการณ์อยู่บ้างแต่เธอก็ยังคงมีความตั้งใจที่จะคิดวิเคราะห์สถานการณ์ออกมา ผิดกับฮายาเตะที่แม้จะเคยมีประสบการณ์ออกผจญภัยมาแล้วแต่กลับไม่ค่อยคิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวไปมากกว่าการถอนรากถอนโคนพวกเห็ดนั่นโดยอาศัยแรงเข้าว่า

    แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงจะเป็นวาเลีย จากที่อาสึกะเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนมานั้นเด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างขาดความมั่นใจในตัวเองอีกทั้งยังไม่ค่อยมีความสนใจที่จะร่วมมือกับคนในกลุ่มเท่าไหร่นักทั้งที่เธอประเมินจากเนื้อหาภารกิจแล้วพลังจิตของเขาน่าจะมีประโยชน์ที่สุดในกลุ่มด้วยซ้ำ

    ทว่าที่ทำได้ยอดเยี่ยมผิดคาดที่สุดในกลุ่มก็คือทรีค เด็กคนนี้สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ถึงลักษณะพิเศษของเห็ดออกมาได้โดยอาศัยเพียงตัวอย่างที่ได้มาจากผู้ใหญ่บ้าน อีกทั้งยังแจกแจงถึงจุดที่พวกเขาต้องพึงระวังได้เป็นอย่างดีบ่งบอกถึงประสบการณ์ในการจัดการปัญหาที่มากกว่าคนอื่นๆในกลุ่ม แม้ว่าจะชอบเผลอถกเถียงกับวาเลียจนหลุดหัวข้อการประชุมไปอยู่บ่อยๆก็ตามที

    สุดท้ายแล้วเมื่อจบการประชุมพวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะออกสำรวจพื้นที่ในรุ่งเช้าเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการประชุมในคืนนี้มาวางมาตรการป้องกันตัวและจุดที่ต้องการตรวจสอบเป็นพิเศษ ถึงการประชุมจะขลุกขลักไปบ้างแต่ในความเห็นของผู้ฝึกสอนสาวก็พอจะตีค่าให้ผ่านการประเมินได้แบบเฉียดฉิว แต่อย่างไรก็ตามการปฏิบัติการกิจจริงๆในวันพรุ่งนี้จะเป็นตัวพิสูจน์ความสามารถของพวกเขา

    "เอาล่ะ พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเสียก่อน..."

    ขณะที่อาสึกะกำลังจะบอกให้ทั้งห้าไปพักผ่อนนั้นเองเสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเรียกของผู้ใหญ่บ้าน

    "แย่แล้วขอรับท่านเอ็กโซซิสต์ มัน.. มัน..."

    ผู้ใหญ่บ้านปรากฏตัวด้วยท่าทีเร่งร้อนผิดปกติพร้อมกันนั้นเสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นจากภายนอก ภาพที่เห็นนั้นคือชาวบ้านกำลังหอบข้าวของวิ่งกันจ้าละหวั่นในขณะนั้นเองพวกเขาก็เริ่มสัมผัสถึงกลิ่นจางๆลอยมาตามลม และภาพของเนินเขาซึ่งมีเห็ดประหลาดนั่นขึ้นอยู่แทบจะทั่วทุกตารางนิ้ว อีกทั้งยังมีทีท่าว่าการแพร่กระจายของเห็ดจะลุกลามมาถึงบริเวณที่พวกเขาอยู่อีกด้วย

    "รีบช่วยชาวบ้านอพยพก่อนครับ!"

    คนแรกที่ตั้งสติได้คือไลติโอ เขาร้องเตือนเพื่อนๆพร้อมกับเริ่มขานชื่อมนต์บทหนึ่งออกมาพลันปรากฏคลื่นความเย็นพวยพุ่งไปยังเป้าหมาย เมื่อไอเย็นนั้นสัมผัสกับวัตถุใดก็จะเกิดน้ำแข็งเกาะกุมสิ่งนั้นไว้ซึ่งนั่นรวมถึงพวกเห็ดที่เป็นเป้าหมายของเขา

    "คงถ่วงเวลาได้ไม่นาน รีบพาชาวบ้านหนีไปให้พ้นจากแถวนี้ก่อนเถอะครับ"

    ไลติโอร้องบอกอีกรอบหนึ่งพลางร่ายเวทบทเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาขวางทิศทางการไหลผ่านของแก๊สเอาไว้ ในขณะเดียวกันคนอื่นๆที่เหลือก็อาศัยจังหวะนี้รีบพาชาวบ้านที่เหลืออยู่หนีออกไป

    ช่วงเวลานั้นเองอาสึกะซึ่งช่วยชาวบ้านบางส่วนหลบหนีออกมาก่อนได้แล้วยืนดูการปฎิบัติงานของเหล่าลูกศิษฐ์ด้วยความคาดหวังกับภารกิจแรกของพวกเขา

    ______________________________________


    แต่งมาลงสั้นๆให้ต่อเข้าเหตุการณ์กู้สถานการณ์ก่อนละกันครับ จริงๆอยากแต่งยาวกว่านี้แต่กว่าจะเสร็จไม่รู้อีกนานแค่ไหน >_<"

    ปล. หลังจากนี้ผมคงพักช่วงยาวน่ะนะ เพราะอยากจัดเวลาแต่งฟิคออริของตัวเองให้ลงตัวด้วย (ยังไงซะทางนั้นก็ต้องมาก่อน) แต่ถ้าว่างๆจะมาช่วยแต่งต่อล่ะนะ
  21. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อืมมม สถานการณ์ปัจจุบัน หมอกแก๊ซเข้าปกคลุมหมู่บ้าน และ เหล่าพลพรรคเด็กฝึกหัดก็มีแค่มือเปล่าและสมองในการต่อกรกับเห็ดทั้งหลาย

    เฝ้าดูสถานการณ์ไปสักพัก รอจนหาช่องจะลงได้นะครับ แต่ผิดคาดคนที่ดูจะไร้ประโยชน์ที่สุดในกลุ่มกลับไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ตอนแรก อืมๆๆๆ
  22. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    หลังจากเดินทางผ่านหมู่บ้านนั้นออกมา ทั้งคู่ก็นั่งสุมไฟอยู่ระหว่างเส้นทางที่รกชันด้วยหญ้าในยามค่ำคืน ฮาร์ทมานโยนผ้าคลุมสีดำมาให้ซานโดรเอาไว้ใส่ เพื่อไม่ให้สะดุดตาจนเกินไป

    “คริสโตเฟอร์...เจ้ายังจำสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าได้หรือไม่?”


    “อ่า...สัญญาอย่างนั้นหรือ”


    และซานโดรก็หวนนึกถึงวันวานในวัยเด็กของตนกับฮาร์ทมานในทุ่งหญ้าสีเขียวขจีของอาณาจักรที่ตัวเขาเคยดำรงอยู่ ทั้งคู่วิ่งเล่นซนกันตามประสาเด็กผู้ชาย เมื่อเล่นจนเหนื่อยล้า ทั้งคู่ก็ทอดกายลงบนพื้นทุ่งหญ้านั่น จ้องมองก้อนเมฆที่ลอยผ่านไปเอื่อยๆ พลันฮาร์ทมานก็หันไปมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม


    “คริสโตเฟอร์”


    “หื้อ มีอะไรหรือ”


    “ให้สัญญากับข้าหน่อยสิ”


    “สัญญา...?”


    “โตขึ้น..แต่งงานกับข้าเถอะนะ คริสโตเฟอร์”


    สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านไป ฮาร์ทมานกุมมือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่ม ก่อนที่มือน้อยๆอีกข้างของเขาจะยกขึ้นมากุมตอบ


    “ได้สิ ข้าจะแต่งงานกับเจ้านะ ฮาร์ทมาน!”


    ซานโดรหัวเราะพรืดออกมาเมื่อหวนนึกถึงอดีต


    “นี่เจ้าเอาจริงเรอะ ฮาร์ทมาน ให้ข้าแต่งงานกับเจ้าเนี่ยนะ”


    “ใช่..การแต่งงานของดาร์คเอลฟ์ที่มีความหมายว่าเจ้าจะต้องมาเป็นทาสข้าชั่วชีวิต..ข้ายังจำได้อยู่นะ”


    “เฮ้อ...ช่วยไม่ได้ละนะ ถ้าเจ้าช่วยข้าไว้แบบนี้ ข้าก็ต้องตอบแทนบุญคุณเจ้าสินะ...”


    ทั้งคู่จ้องหน้ากันครู่หนึ่ง และระเบิดหัวเราะออกมา


    “ข้าล้อเล่นน่าคริสโตรเฟอร์ ข้าว่าเจ้าอ่อนปวกเปียกเกินไปที่จะมาเป็นทาสข้านะ”


    “เห..อย่าดูถูกข้าแบบนั้นสิ..”


    แม้จะดึกมากแล้วแต่ทั้งคู่ก็สนทนากันจนถึงรุ่งเช้า หรือเพราะที่แห่งนี้คือจักรวรรดิทำให้ซานโดรยากที่จะข่มตานอนได้ เมื่อเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว ทั้งคู่ก็ออกเดินทางกันต่อไป


    “พวกเขาคิดยังไงถึงส่งท่านมาที่นี่เล่าคริสโตเฟอร์ ตำแหน่งของท่านก็ดูสูงเกินกว่าจะมาทำอะไรแบบนี้นะ”


    “ข้าสมัครใจมาเองต่างหากล่ะ”


    “เอาเถอะ ถ้ากลับไปให้ท่านพ่อของข้าดูหน้าท่านซักนิด ท่านก็ควรจะรีบออกไปได้แล้วล่ะข้ามีเรือไว้ให้ท่านด้วย”


    “ขอบคุณเจ้ามาก ถ้าไม่ได้เจ้าข้าคงแย่แน่ๆ”


    เมื่อเดินไปซักพัก จนเข้าเขตที่เริ่มแห้งแล้ง แม้แต่ต้นหญ้ายังไม่มีให้เห็น และเต็มไปด้วยหุบเขาสูงต่ำมากมาย อากาศรอบข้างเริ่มหนาวเย็นลง เริ่มปรากฏบ้านเรือนให้เห็นตามทางและทางเดินที่ปูด้วยอิฐสีดำ มุ่งหน้าไปสู่ตัวเมืองใหญ่
    จากระยะตรงนี้ ซานโดรได้มองเห็นหุบเขาที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนัก ภายในหุบเขานั้นมีปลายยอดวิหารสีดำตั้งตระหง่านอยู่ แต่ที่เด่นที่สุด คงจะเป็นท้องฟ้าเหนือเมืองนั้นที่เป็นสีแดงฉานและหมุนวนราวกับจะเกิดพายุพร้อมกับมีเส้นพลังสีแดงเชื่อมระหว่างบนท้องฟ้านั้นกับปลายยอดวิหาร


    “พวกเจ้าทำได้ถึงขนาดนี้กันแล้วหรือ”


    “อ่าใช่...นั่นคือสิ่งที่ข้าเคยบอกกับท่านเอาไว้ สิ่งนั้นคือพลังแห่งความมืดที่เราดึงมาจากมิติอื่นซึ่งพวกเราได้ควบคุมมันไม่ให้ดูดกลืนสิ่งรอบข้างเข้าไปและคงอยู่อย่างนั้น เพื่อที่พวกเราจะได้ใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่”


    “เจ้ายังคงจะทำสงครามต่อเนื่องไปอีกหรือ”


    “ความแค้นของที่เจ้าเอลฟ์ปัญญาอ่อนพวกนั้นหย่ามพวกเราไว้มากนั้น เราลืมมันลงไม่ได้....และนอกจากนี้...พวกเราได้ถวายตัวต่อจักรพรรดิแล้ว...พลังที่พวกเราใฝ่หามาได้นั้น จะเป็นประโยชน์ให้กับจักรพรรดิอย่างแน่นอน”


    และพวกเขาก็มาถึงประตูเมืองสีดำ มีทหารองครักษ์นับสิบยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า พวกเขาโค้งทำความเคารพเมื่อฮาร์ทมานปรากฏตัว


    “ยินดีต้อนรับกลับท่านฮาร์ทมาน....และท่านผู้นั้นคือ...?”


    “นี่คือสหายคนสำคัญของข้า ให้เขาเข้าไปกับเราด้วย”


    “แต่ตามกฎแล้ว....”


    “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าเอ่ยหรือ...”


    “ขออภัยขอรับ...ท่านฮาร์ทมาน...ทหาร!!! เปิดประตูได้!!!”


    สิ้นเสียงของเขา ประตูเหล็กขนาดใหญ่ก็เปิดออก เผยให้เห็นทางเข้าที่เป็นพื้นที่วงกลมขนาดใหญ่ มีน้ำพุขนาดยักษ์ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นรูปปั้นของดาร์คเอลฟ์หญิงถือคบไฟที่มีน้ำพุ่งออกมาแทน รอบๆพื้นที่วงกลมนั้นเป็นทางเดินที่ประดับไปด้วยเสาต้นมหึมา ฮาร์ทมานนำหน้าซานโดรเข้าไปยังเขตพื้นที่ชุมชน ที่ไม่ต่างอะไรมากกับย่านร้านค้าในไลท์เกรซ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
    ถึงซานโดรจะสวมผ้าคลุมปิดบังชุดของตนเองเอาไว้ แต่ด้วยสีผิวที่ไม่เหมือนกับทุกคนในนี้ เหล่าดาร์คเอลฟ์ที่สัญจรผ่านไปมาก็มองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเมื่อได้มองเห็นฮาร์ทมานที่เดินอยู่ข้างๆ พวกเขาก็หลบสายตาไปทันที


    “หวังว่าพ่อของเจ้าจะไม่นำข้าไปที่คุกใต้ดินหรอกนะ”


    “พวกเรามีกฎว่าหากใครไม่มายุ่งกับเรา เราก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับเขา เพราะฉะนั้น ศาสนจักรไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพวกเราอยู่แล้ว ท่านอย่าได้หวาดกลัวเลย”


    “แต่เอลฟ์เป็นพันธมิตรกับทางศาสนจักรของเรานะ”


    “นั่นเป็นศาสนจักร ไม่ใช่ตัวท่านนี่...อย่าบอกนะว่า ท่านก็คบค้า...”


    “ไม่ ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น ข้าไม่มีสหายคนใดเป็นเอลฟ์เลย”


    ซานโดรรีบกล่าว เมื่อเห็นฮาร์ทมานหยุดเดินและจับฝักดาบที่อยู่ด้านข้างไว้ในท่าเตรียมพร้อม คาร์ดินัลหนุ่มจ้องอย่างหวาดๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง

    อูวเบ็ม ซาครา เทเนโบรซ่า หรืออีกชื่อคือ อาณาจักรเทเนโบรซ่า เป็นอาณาจักรแห่งความมืดอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่พลังที่พวกเขาทั้งหมดใช้หรือสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่สภาพบ้านเมืองก็ถูกสร้างให้เป็นสีดำทั้งเมือง ทุกบ้านเรือนประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมที่หรูหรา แสดงสถานภาพของคนทั้งเมืองได้เป็นอย่างดี

    ปราสาทที่ตั้งอยู่ด้านบนสุดของเมือง นั่นเป็นที่อาศัยของการ์เดี้ยนผู้ปกครองเมืองและเป็นหัวหน้าเผ่าของดาร์คเอลฟ์
    ประตูปราสาทเปิดกว้างออก เผยให้เห็นห้องโถงที่ปูพรมสีแดงต้อนรับผู้มาเยือนและบันไดขึ้นไปอีกชั้น กำแพงตรงกลางระหว่างบันได มีสัญลักษณ์ของจักรพรรดิติดเอาไว้ พร้อมกับปรากฏร่างของชายผู้มีผมสีเงินยวง ใบหน้าที่ดูเข้มงวดและดูนุ่มแน่น สวมอาภรณ์สีดำปักดิ้นทองเดินลงมาจากบันได ดวงตาสีเทาจ้องมายังลูกชายของตน


    “ยินดีต้อนรับกลับ ฮาร์ทมาน ...เจ้าไปไหนไม่เคยบอกข้าเอาไว้ก่อนเลย”


    “ต้องขออภัยด้วยครับท่านพ่อ แต่การกลับมาครั้งนี้ ข้าได้พบกับคนๆหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ”


    “ใครหรือ...”


    ฮาร์ทมานผายมือไปยังคริสโตเฟอร์ที่ปลดผ้าคลุมออก และโค้งคำนับช้าๆให้กับเขา


    “คริสโตเฟอร์....เจ้าคือคริสโตเฟอร์ใช่มั้ย...”


    “ไม่ได้พบกันเสียนานท่านอัลฟองโซ่ หวังว่าท่านคงจะสุขสบายดี”


    “มานี่ก่อนสิคริสโตเฟอร์ มาให้ข้าเห็นใบหน้าของเจ้าชัดๆสิ”


    อัลฟองโซ่ดึงตัวคริสโตเฟอร์เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับที่ภาพของคริสโตเฟอร์ในวัยเด็กก็หวนกลับมาอีกครั้ง และภาพใบหน้าของชายผู้หนึ่งก็ซ้อนทับกับใบหน้าของคริสโตเฟอร์


    “เหมือนมาก...เจ้าเหมือนกับพ่อของเจ้าจริงๆคริสโตเฟอร์...กี่ปีแล้วนะที่เราไม่ได้พบกัน เจ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่ ราวกับว่าสหายของข้าได้กลับมาหาข้าอีกครั้ง...”


    “ท่านกล่าวเกินไปแล้วครับท่านฮิลเชอร์ ข้าคงเทียบกับพ่อของข้าไม่ติดหรอก...”


    ภาพความทรงจำในอดีตที่แสนจะปวดร้าวก็ผุดขึ้นมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นก็เหมือนกับจะตึงเครียดขึ้นในทันที


    “ท่านพ่อขอรับ ข้าว่าเราควรจะพาคริสโตเฟอร์ไปนั่งที่ห้องรับแขกเสียก่อน เขาเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว”


    ฮาร์ทมานที่สังเกตเห็นถึงสีหน้าของซานโดรเอ่ยขึ้น ทั้งสามจึงย้ายจากห้องโถง เข้าไปนั่งที่ห้องรับแขกที่สุดจะมืดมนและชวนให้น่าอึดอัดแทน


    “อย่างนั้นหรือ...เจ้ามาทำภารกิจที่นี่แล้วถูกพวกทหารของการ์เดี้ยนโครโนสไล่ตามมาอย่างนั้นหรือ”


    “ข้าเองก็ต้องขออภัยท่านด้วยที่ได้มายังอาณาจักรของท่าน ข้ามิควรเลย...”


    “เปล่าเลย ถึงแม้เจ้าจะมีค่าหัวติดอยู่ที่โมราเรียก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ที่นี่...ที่นี่คือเทเนโบรซ่านะ และตอนนี้เจ้าก็เป็นเสมือนกับแขกของข้า ถ้าหากพวกเขามีหมายเรียกมาก เราก็มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไป...”


    “แต่....”


    “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกคริสโตเฟอร์ ท่านควรจะห่วงตัวของท่านเองดีกว่า ท่านรีบนำสิ่งนั้นกลับไปไม่ใช่หรือ”


    สิ่งนั้นที่ว่าคือไวท์แอมโบรเซียที่ซานโดรถือติดตัวไปทุกที่ด้วยความทะนุถนอมตอนนี้มันวางอยู่ข้างๆตัวของเขา


    “อ่า..ถ้าเจ้ากำลังรีบ ข้าจะให้เจ้ายืมเรือของทางเราไปขึ้นฝั่งของศาสนจักรได้”


    “เป็นความกรุณาอย่างสูง ข้าขอขอบคุณอย่างใจจริง...”


    “ไปกันเสียก่อนที่จะค่ำมืดเถอะ...ฮาร์ทมาน เจ้าช่วยพาคริสโตเฟอร์ขึ้นฝั่งให้ปลอดภัยที่สุดด้วย”


    “ขอรับท่านพ่อ”


    หลังจากล่ำลากันพอเป็นพิธี ซานโดรก็ตามฮาร์ทมานไปยังท่าเรือของเผ่าดาร์คเอลฟ์ที่มีเรือไม้ขัดมันสีดำลำมหึมาจอดเทียบท่าอยู่ ฮาร์ทมานเข้าไปพูดคุยกับกัปตันเรือเพื่อแจ้งจุดหมายให้ทราบ


    “ข้าจะไปส่งท่านที่ชายหาดที่ไกลจากเดบลิส เพราะข้าคิดว่าหลังจากที่ท่านเข้าไปป่วนที่โมราเลียแล้ว พวกนั้นคงไม่ยอมให้เราเทียบท่า ข้าเองก็ไม่อยากมีปัญหามากด้วย”


    “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าเองก็รบกวนเจ้ามามาก”


    ฮาร์ทมานเอ่ย ขณะที่ทั้งคู่อยู่บนเรือมองเรือแล่นออกจากท่าอย่างเงียบๆ
    หลังจากที่เรือแล่นไปได้ซักพักจนมองเห็นชายหาดทางดินแดนของศาสนจักรแล้ว ด้วยสายตาที่เฉียบคมของดาร์คเอลฟ์ ต้นหนเรือที่อยู่บนยอดเสากระโดงก็สังเกตเห็นความผิดปกติในน่านน้ำใกล้ๆนี่


    “ท่านฮาร์ทมาน ข้าเห็นกองทัพเรือไม่ทราบฝ่ายกำลังแล่นเรือมาทางนี้ขอรับ”


    “ว่ายังไงนะ”


    ซานโดรใช้พลังจากโฮปเพิ่มระยะการมองเห็นของฮาร์ทมาน เขาจึงเห็นตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรบนเรือเหล่านั้น


    “อะไรน่ะ...ศาสนจักร...หรือว่า!!???”


    ตูมมม!!!


    ไม่ทันสิ้นเสียงของฮาร์ทมาน เรือของพวกเขาก็พังราบไปซีกหนึ่งด้วยแรงจากปืนใหญ่ที่รวบรวบพลังเวทย์ยิงออกมา ท่ามกลางความตื่นตะลึงของซานโดร ใช่..เรือเหล่านี้จะเอาออกมาลาดตระเวนแบบนี้ไม่ได้..ถ้าไม่ได้คำสั่งของแม่ทัพ..หรือว่า...
    เหล่าดาร์คเอลฟ์คิดจะใช้ปืนใหญ่ของตนในการยิงโต้ตอบกลับ หากแต่ฮาร์ทมานตะโกนห้ามเสียก่อน


    “นั่นแหละ..มันต้องทำแบบนั้นอยู่แล้วนี่เนอะ รัชทายาทแห่งเทเนโบรซ่า ฮาร์ทมาน ลูเธอรัน...”


    เรือลำหนึ่งที่แล่นมาใกล้ๆปรากฏร่างของชายผู้มีผมสีเงินยาวและรวบไว้ด้านหลังกับชุดเครื่องแบบคุ้นตา


    “ชูวครอส วาลาเดียน่า...”


    ซานโดรเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระซิบ ฮาร์ทมานชักดาบโค้งด้ามสีม่วงเข้มออกมาจากฝักและชี้ไปเบื้องหน้า


    “มีการปกป้องกันด้วยหรือนี่...งั้นแสดงว่ารายงานที่ข้าได้รับมาคงจะเป็นจริงสินะ”


    “รายงาน?”


    “ที่ว่าท่านกำลังคบค้าสมาคมกับจักรวรรดิอยู่อย่างไรเล่า ท่านคาร์ดินัลอเล็กซ์ซานโดร เอ๊ะ..ไม่ใช่นินา...”


    ชูวครอสเอ่ยประโยคหลังด้วยเสียงกระซิบ


    “พระสันตะปาปาคริสโตเฟอร์?”


    “ที่ข้ามาที่นี่นั้นเพราะข้ามีเหตุผล..นั่นคือการรักษาอาการของท่านมาเรีย ถึงต้องมาตามหาสิ่งของรักษายังไงเล่า”


    “งั้นหรือ...แต่ทำไมถึงได้รับการช่วยเหลือจากดาร์คเอลฟ์เล่า...ท่านนี่หาเหตุผลที่ไม่ดีเอาเสียเลยนะ”


    “หุบปากเน่าๆของแกได้แล้ว!!!”


    ฮาร์ทมานที่ใจร้อนพุ่งเข้ามาหาชูวครอส ที่เพียงแค่ยิ้มและชักดาบน้ำแข็งออกมาจากฝักเช่นกัน ดาบทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง ก่อนที่น้ำแข็งส่วนหนึ่งจะกลืนกินดาบของฮาร์ทมานจนแตกละเอียดไป


    “บ้าจริง!! อั๊ก!!!”


    ร่างของฮาร์ทมานถูกเตะจนไปกระแทกกับเสาเรือ เขาชักมีดที่ซ่อนอยู่ออกมาและยันตัวขึ้น ทว่าทหารศาสนจักรคนหนึ่งเดินเข้ามาเหยียบหลังของเขาไว้และใช้ดาบจี้คอ ลูกเรือคนอื่นๆเองก็ถูกคุมตัว
    ซานโดรหันไปมองชูวครอส ก่อนที่ตาของเขาจะเปล่งเป็นสีทองอีกครั้ง ทว่าจู่ๆร่างก็ทรุดฮวบลงไปทันทีเมื่อชูวครอสกางมือมาเบื้องหน้าและร่ายเวทย์ลดพลังของเขา


    “เอาล่ะ...ทีนี้ก็จับกันง่ายๆหน่อยละนะ...”


    “เฮอะ เจ้าโง่..”


    ซานโดรเอ่ยออกมาเบาๆ ชูวครอสเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังสนั่น


    “ฮ่าๆๆๆ พวกเจ้าดูคนทรยศผู้นี้สิ ตอนนี้ก็มีสภาพไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบในกำมือข้า กลับมาด่าข้าว่าเจ้าโง่อย่างนั้นหรือ!!!??? คนที่โง่น่ะมันเจ้าต่างหากคริสโตเฟอร์!!!”


    ชูวครอสตวัดดาบฟาดไปยังอกของซานโดร เมื่อเขาเสียการทรงตัวก็ฟาดซ้ำลงไป เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วหากแต่ฝั่งที่โดนทำร้ายไม่ส่งเสียงร้องซักแอะเดียว
    เมื่อร่างสูงทรมานฝ่ายตรงข้ามสะใจแล้วก็เหยียบร่างนั้นด้วยบูทสีขาว และก้มหยิบช่อดอกแอมโบรเซียที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา


    “ของแบบนี้น่ะ มันไม่จำเป็นแล้วล่ะนะท่านพระสันตะปาปา....”


    ชูวครอสจิกหัวซานโดรขึ้นมา พลางกระซิบข้างหู “เพราะมาเรียจะไม่มีวันได้ยารักษาทันเวลาแน่นอน...หึ..ฮ่าๆๆๆ”


    แต่ฉับพลันนั้นเองที่ซานโดรพึมพำร่ายเวทย์ โฮปที่อยู่ในเสื้อคลุมก็ส่องแสงสว่างวาบขึ้นมา เวทย์ลดพลังที่ชูวครอสร่ายไว้ก็เสื่อมฤทธิ์ ฮาร์ทมานสบโอกาสที่ทหารเผลอคว้ากริชขึ้นมาปาดคอฝ่ายตรงข้ามเสีย พร้อมกับลูกเรือทั้งหมดที่เริ่มฟื้นตัว พวกเขาก็กลับมาได้เปรียบอีกครั้ง
    ซานโดรรวบรวมแรงที่เหลือใช้ขากวาดให้ชูวครอสล้มลง พลางดึงช่อดอกแอมโบรเซียออกมาจากมือของเขา


    “ทีนี้ ก็ลาขาดกับเจ้าชั่วกัลปาวสานละนะ...ข้าจะแจ้งเรื่องให้กับทางศาสนจักรว่าเจ้าเสียชีวิตในหน้าที่จากการต่อสู้กับทหารจักรวรรดิที่บุกผ่านน่านน้ำมา”


    ซานโดรอัดลูกเตะเข้าใส่ท้องของชูวครอสที่กำลังตกใจจนตัวของเขาปลิวไปยังอีกฟากของเรือ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของเขาขึ้นมา ตั้งใจจะเขวี้ยงเจ้าแว่นนี่ลงทะเล


    “อะ...อั๊ก...”


    ร่างกายของซานโดรและฮาร์ทมานเย็นเฉียบ และขยับตัวไม่ได้ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเรือทั้งลำพร้อมกับลูกเรือรวมไปถึงทหารเองก็ถูกแช่แข็งทั้งหมด ชูวครอสยันตัวเองขึ้นช้าๆและสะบัดเรือนผมสีขาวเงินที่หลุดลุ่ยไปด้านหลัง ดาบน้ำแข็งปักอยู่บนพื้นเรือ


    “อย่าดูถูกข้าสิ คริสโตเฟอร์...”


    ฝ่ามือของชูวครอสปิดใบหน้าของคริสโตเฟอร์ เวทย์ลดพลังทำให้สมองของซานโดรเบลอเสียจนร่ายเวทย์ไม่ได้


    “ยอมไปกับข้าเสียโดยดีเถอะ...มิฉะนั้น นางผู้นั้นที่ออกไปทำภารกิจจะโดนอะไรข้าเองก็ไม่รับประกันนะ..หึหึ”


    หัวใจของซานโดรกระตุกวูบ เขาไม่ยอมเด็ดขาด..นางเพียงผู้เดียวเท่านั้น...ที่เขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้อง...


    “ไอ้คนสกปรก....”


    “ข้าชอบทีเดียวล่ะชื่อนั้น เอาละ มากับข้าได้แล้ว!!!”


    ชูวครอสจิกผมของซานโดร และลากร่างของเขาขึ้นไปยังเรือของศาสนจักรที่จอดเทียบใกล้ๆ


    “ท่านแม่ทัพ..และจะทำอย่างไรต่อไปกับเรือของฝั่งจักรวรรดิขอรับ?”


    ชูวครอสแสยะยิ้ม “จมเรือทิ้งซะ...อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”


    ซานโดรหันไปมองร่างของฮาร์ทมานที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ด้วยสีหน้าสำนึกผิด ก่อนที่จะถูกชูวครอสพาตัวไปยังห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเขาในเรือ ที่ตกแต่งได้หรูหราไม่แพ้ห้องทำงานของเขา และโยนร่างที่บอบช้ำนั่นบนพรมหน้าเตาผิงไฟ
    ร่างที่นอนอยู่มองฝ่ายตรงข้ามโยนโฮปของเขาเล่นไปมาก่อนที่จะวางบนโต๊ะ ในขณะที่ช่อดอกไวท์แอมโบรเซียก็อยู่ในมือของเขาเช่นกัน


    “เจ้า..ทำแบบนี้ไป..เพื่ออะไรกัน...”


    “แน่นอน...แก้แค้นที่ถูกเจ้าหักหน้าไปยังไงละ”


    ชูวครอสจิบไวน์องุ่นที่เพิ่งรินบนเก้าอี้โซฟาผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนกหน้าเตาผิง เขากำลังพินิจพิเคราะห์ช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือ ในขณะที่ซานโดรซึ่งหายใจรวยรินเต็มทีจ้องมองด้วยสายตาแข็งกร้าว


    “ท่าทางจะราคาแพงอยู่ หากนำมันไปขายในศาสนจักร....แต่ว่า...ข้าน่ะ ชอบมากทีเดียวกับการที่เห็นความหวังและความพยายามของคนๆหนึ่งสูญสลายลงตรงหน้า”


    ช่อดอกไวท์แอมโบรเซียถูกโยนลงไปในเตาผิง เสียงหัวเราะของชูวครอสดังก้องขึ้นทั่วห้อง ก่อนที่ช่อดอกนั้นจะค่อยๆไหม้จนกลายเป็นผุยผง และเสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้นใกล้ๆนี่


    “หึ....ทีนี้...ข้าก็เป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์แบบ หลักฐานทุกอย่างมัดตัวเจ้าหมด เจ้าไม่มีสิทธิ์หนีรอดอีกแล้ว รวมถึง...มาเรียเองก็ไม่มีทางรักษาแน่นอน ถ้าหากไร้ซึ่งไวท์แอมโบรเซีย...หึหึ...ฮ่าๆๆ!!!”


    ซานโดรจ้องมองเปลวควันที่พวยพุ่งออกมาจากเรือของฝั่งดาร์คเอลฟ์ที่ถูกระเบิดไปเมื่อครู่ ก่อนที่จะยิ้มแสยะออกมา


    “ฝากด้วยนะ...ฮาร์ทมาน....”

    ในขณะที่บนฝั่งใกล้ๆกันนั้นเอง ดาร์คเอลฟ์หนุ่มผู้หนึ่งพร้อมกับเหล่าลูกเรือทั้งหมดยืนมองเรือของตนเองจมลงไปช้าๆ ในมือของเขาคือช่อดอกไวท์แอมโบรเซียที่แท้จริง


    ฉลาด..สมกับเป็นเจ้านะ คริสโตเฟอร์....


    ก่อนออกเดินทาง ซานโดรได้ทำช่อดอกไวท์แอมโบรเซียปลอมขึ้นมาอีกช่อเพื่อนำติดไว้กับตัว ส่วนอีกช่อนั้นมอบให้ฮาร์ทมานดูแลเอาไว้


    “เจ้าทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน”


    “ข้ารู้ตัวว่า ข้าอาจจะโดนจับที่ชายฝั่งอย่างแน่นอน...แม้ว่าจะหนีขึ้นไปอีกฝั่งแล้วก็ตาม ถึงตอนนั้นข้าก็มีเรื่องจะขอร้องเจ้า...ช่วยนำไวท์แอมโบรเซียนี่ ไปมอบให้กับท่านมาเรียในมหาวิหาร...มอบให้ถึงมือท่านทันที ห้ามมอบผ่านใครเป็นอันขาด”


    “เจ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ”


    “....ก็เจ้าเป็นสหายของข้านี่นา ฮาร์ทมาน”



    “ท่านฮาร์ทมาน...คำสั่งต่อไปคือ...”


    “พวกเจ้าใช้เรือเล็กนี่พายกลับไปเทเนโบรซ่าเสียเถอะ”


    “ท่านฮาร์ทมาน!!???”


    “ข้ายังมีภารกิจที่จะต้องทำ...”


    คริสโตเฟอร์...ข้าจะตอบแทนความไว้วางใจของเจ้า ด้วยการทำคำขอร้องของเจ้าให้สำเร็จจงได้!!!

    ====================================================

    แต่งแบบเบลอๆเพราะพิษไข้ ถ้าผิดตรงไหนหรือมีตรงไหนตะกุกตะกักไปบ้างก็ขออภัยเจ้าค่ะ

    ปล.ปวดแขนตรงที่เขาเจาะเลือดไปมาก พอก่อนล่ะ= =;;
    ปลล. พักยาวๆซักระยะนะคะ และจะกลับมาแต่งอัลรอลเน่กับฮาร์ทมานต่อ
  23. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    :hsunglass: ซานโดรเอ่ยงานนี้เจ้าไม่รอดแน่ มูวะฮ่าๆๆๆๆ

    กำลังสงสัยว่า ชูครีมจะย่ามใจมากไปจนไม่ทันสังเกตุเรื่องที่สลับดอกแอมโบรเซียไหมน่า?

    ดาร์คเอลฟ์ ขอรับโจทย์ของท่านไปสานต่อนะครับ :hrian: น่าจะมีบทบาทในระยะต่อไปไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

    มิตรภาพของลูกผู้ชาย(?)ช่างแน่นแฟ้นจริงๆ XD
  24. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [Rescue Mission! สายลมแห่งความร่วมแรงร่วมใจ]

    ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้หลายชั่วโมง

    “ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับเจ้าอีกอย่าง” อาสึกะ บลัดแฟงค์ ครูฝึกผู้รับผิดชอบการดำเนินภารกิจครั้งนี้ กล่าวกับทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ ลูกศิษย์ที่นางเพิ่งเทศนาจบไปหนึ่งเรื่อง
    “ทั้งที่เจ้าสัญญากับลูกสาวท่านคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ ว่าจะต่อสู้ร่วมกันในฐานะพวกพ้อง แต่จากที่ข้าสังเกตมาตลอด เจ้ายังทำตัวคิดแต่ปกป้องเด็กคนนั้นฝ่ายเดียวอย่างเกินเหตุอยู่อีก จนทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย ไม่ละอายบ้างเลยรึไง”

    “ร...เรื่องนั้น” แม้เด็กสาวอยากจะเถียง ทว่าก็มิอาจสู้น้ำเสียงที่เปี่ยมอำนาจกว่าตัวเอง ที่ไม่เปิดโอกาสให้เธอเลยแม้แต่น้อย

    “ข้าจะย้ำอีกครั้ง การกระทำของเจ้าไม่ต่างอะไรกับหมาโง่ขี้ระแวง หาใช่ซามูไรไม่ จริงอยู่ที่ซามูไรจะต้องต่อสู้เพื่อปกป้อง แต่ก็ต้องรู้จักการวางตัวที่เหมาะสม และความสุขุมเยือกเย็นที่จะตัดสินใจพูดหรือทำอะไรลงไปด้วย ที่สำคัญ นางประกาศตัวว่าเป็นสหายร่วมรบ ไม่ใช่เจ้าหญิงอ่อนแอ เจ้าต้องหัดเข้าใจนาง ไม่สิ หัดเข้าใจความรู้สึกคนอื่นให้มากกว่านี้”

    คำเทศนาเหล่านั้นไม่เหลือช่องใด ๆ ให้เธอแทรกหรือคัดค้านแม้แต่น้อย สุดท้ายเธอก็ได้แต่พยักหน้างก ๆ พร้อมกล่าวขอโทษตามมารยาท และมานั่งขุ่นใจว่าเธอทำผิดตรงไหน การเป็นห่วงเพื่อนสนิทของตนมันผิดด้วยหรือไงกัน

    อันที่จริงคนแบบเธอก็น่าจะถามอัลรอลเน่ตรง ๆ ว่ารายนั้นคิดยังไงกันแน่ แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อวันนั้นแล้ว ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไร เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียมากไปกว่านี้ เพราะแค่ที่เป็นอยู่นี่ก็แย่พอแล้ว

    แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจ ว่าการที่คนอย่างเธออยากจะปกป้องเพื่อนสนิท ไม่อยากให้ได้รับอันตราย มันผิดตรงไหนกัน ยิ่งเมื่อคิดว่าต้องต่อสู้กับคนอย่างเจ้าชูวครอสแล้ว เธอก็ยิ่งจะต้องแข็งแกร่งในฐานะซามูไรให้มากที่สุดไม่ใช่หรือไงกัน

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    กลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน

    เนื่องจากพวกกองทัพเห็ดแพร่พันธุ์อย่างกะทันหัน แม้พวกมันจะไม่ใช่ปีศาจ แต่เหล่าเอกโซซิสต์ฝึกหัดปีหนึ่งทั้งห้าคนก็จำต้องรีบช่วยอพยพพวกชาวบ้านโดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะพักผ่อน

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    วินดัสซึ่งนั่งโดยสารมากับขบวนรถม้าของอาสึกะมาด้วยมองดูวิธีการรับมือกับเห็ดแก๊สของไลติโอ้อย่างชื่นชม เขานั่งวางแผนอยู่ครู่หนึ่งว่าจะช่วยทุกคนรับมือกับเห็ดประหลาดได้อย่างไร

    ในที่สุดตอนนี้ ชายหนุ่มเลือกที่จะช่วยพาผู้คนอพยพออกจากหมู่บ้านเช่นเดียวกับเอ็กโซซิสต์ฝึกหัดทั้งหลายก่อน เนื่องจากการเรียกพลังสายลมในเวลาเช่นนี้อาจทำให้ผู้คนแตกตื่น และที่สำคัญ ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวายเช่นนี้ การใช้พลังสายลมปัดเป่าหมอกมีเทนอาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งยังอาจเป็นการทำให้สปอร์ยิ่งพัดไปไกลและทำให้เห็ดเหล่านี้เพาะพันธุ์มากขึ้นอีกด้วย


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “ทางนี้ค่ะทางนี้” เด็กสาวเจ้าของร่างเล็กบางเองก็กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น
    “เอ่อ แม่หนูจ๊ะ แม่หนูใช่คนจากทางศาสนจักรที่มาช่วยพวกเราใช่หรือเปล่า” ทันใดนั้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งตรงรี่เข้ามาอย่างร้อนรน

    “ใช่ค่ะ มีอะไรหรือคะท่านยาย” อัลรอลเน่สังเกตเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นแลดูซีดเผือกและเป็นกังวลมาก ยิ่งมองจากสภาพการณ์ก็พอเดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่

    “หลานยาย.... หลานชายของยาย ยังติดอยู่ในบ้าน เค้าขาพิการเดินไม่ได้ ไหนจะคนเยอะ ยายกลับไปรับเค้าไม่ไหว” ยายแก่อ้อนวอนอย่างสุดชีวิต น้ำตาไหลปนกับเหงื่อบ่งบอกว่าไม่มีใครคิดช่วยหลานชายเลย

    “เข้าใจแล้วค่ะ ท่านยายรีบหนีไปก่อน ไว้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
    อัลรอลเน่ตอบตกลง ที่จริงเธอก็ใช่ว่าจะจำไม่ได้ ที่อาสึกะบอกไว้เสมอว่าอย่าทำอะไรเพียงตัวคนเดียว แต่ทันทีที่หันไปมองฮายาเตะที่อยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้แล้ว

    “ขอโทษนะ ฮายาเตะ แต่ข้าก็ต้องการจะเป็นเอกโซซิสต์ ไม่ใช่อยากเป็นภาระให้ใครฝ่ายเดียว” นางพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะถามลักษณะบ้านที่เป็นจุดหมาย
    “บ้านหลังไหนคะท่านยาย”

    “บ้านหลังที่หลังคาสีแดง อยู่ถัดจากโรงแรมน่ะจ๊ะ”

    “ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”
    อัลรอลเน่ตัดสินใจรีบรุดหน้าไปทันที แม้ตรงนั้นดูเหมือนจะเป็นเขตที่พวกเห็ดและกลุ่มก๊าซน่าจะลุกลามแล้วก็ตาม แต่นั่นแหละที่เธอยิ่งต้องรีบ

    ขอเพียงมีดาบเล่มนี้ อาวุธใหม่ที่เพิ่งได้มา เชื่อว่าอย่างน้อยต้องทำอะไรได้บ้างแหละน่า

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “ช่วยด้วย กระปุกของข้า เงินของข้าติดอยู่ในบ้าน”

    “ไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือ รีบไปซะ”
    ฮายาเตะกำลังจะไล่ชายคนที่มาขอให้ช่วยกลับไปเอาเงินเก็บที่ลืมเอาออกมา ด้วยมองว่ามันไม่สำคัญไปกว่าการเอาชีวิตรอดก่อนสักหน่อย แต่พอถูกตื้อมากก็เริ่มทนไม่ไหว
    “ชิ คนแบบนี้น่ารำคาญจังนะ อัลรอล.....เน่” เด็กสาวเพิ่งรู้ตัวว่า เพื่อนเธอที่น่าจะอยู่ใกล้ที่สุดตรงนี้หายไป แต่จริง ๆ มันไม่น่าจะแปลก เพราะคนเยอะขนาดนี้ละสายตาไปก็ไม่เห็นเป็นไร

    ทว่า ความคิดที่ดูมีเหตุผลพอนั้น กลับพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกขี้กังวล และเป็นห่วงเกินเหตุตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    กลับมาที่วินดัสที่กำลังช่วยอพยพชาวบ้านเช่นกัน ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นเด็กสาวหน้าตาคุ้น ๆ คนหนึ่งกำลังแหวกฝ่าฝูงชนไปอย่างคล่องแคล่ว ด้วยแรงที่ดูจะมีมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกทำให้เธอไม่ถูกเบียดหรือผลักจนล้มหรือถูกเหยียบจนแบน

    เขาจำชื่อของนางได้ อัลรอลเน่นั่นเอง แต่ท่าทางดูรีบร้อนชอบกล ไม่เหมือนกำลังช่วยอพยพชาวบ้านตามปกติเลย แต่ทีแรกเขาก็ไม่สนใจ และยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไป

    ทว่าทันใดนั้นก็มีใครบางคนวิ่งมาชนเขาอย่างแรงจนล้มลง
    โครม!!!
    “โอ้ย เจ้าบ้าอย่ามาขวางสิ อะ อ๊ะ”
    เด็กหนุ่มจำเสียงนี้ได้ และพอลืมตาดูก็รู้เลยว่าใช่แน่ แต่สีหน้าของเด็กสาวร่างใหญ่ที่มึน ๆ สักพักเช่นกัน ก่อนที่จะทำสีหน้าตะลึงทันทีเมื่อเห็นเขา และหน้าตาดูแดงก่ำผิดปกติ

    ก็น่าอยู่หรอก เพราะตอนนี้เธอกำลังคร่อมตัวเขาอยู่นี่นา

    กรี๊ดดดด อีตาบ้า!” พลั่ก!
    และแล้วก็เป็นเขาอีกเช่นเคยที่โดนหมัดเสยเข้าเต็มแก้ม แต่ที่จริงคนที่ผิดมันคุณเธอเองไม่ใช่รึ แล้วทำไมต้องเป็นเขาที่โดนซัดอีกล่ะเนี่ย

    “นายอีกแล้ว เมื่อไหร่จะรีบไปให้พ้น ๆ หน้าชั้นซะทีหา”
    “ว่าแต่ นายเห็นอัลรอลเน่มั้ย เพื่อนชั้นน่ะ” เด็กสาวลุกขึ้นยืนกอดอกแล้วถามทั้งที่เชิดหน้าหนี

    “เอ่อ เห็นวิ่งไปทางนู้น” เขารีบชี้ตอบตรง ๆ ก่อนที่จะโดนอีกชุด อย่างน้อยก็ดีกว่ามีเรื่องทะเลาะกับคนแบบยัยนี่อีก

    “จะไปรู้เรอะ ไม่เกี่ยวกับนายนี่ แต่ก็ขอบใจที่บอก”
    ฮายาเตะพูดขอบคุณเหมือนไม่เต็มใจเท่าไหร่ ก่อนที่จะรีบมุ่งหน้าตามอัลรอลเน่ไป ด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าคนทั่วไป และพลกำลังที่มากพอแหวกฝ่าฝูงชนโดยที่พวกนั้นมิอาจขัดขืนได้

    วินดัสลูบแก้มที่เจ็บเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ที่จริงหากเป็นปกติเขาคงไม่อยากยุ่งอะไรด้วยอีกแล้ว โดยเฉพาะกับยัยม้าดีดกระโหลกพรรค์นี้ แต่น่าแปลกที่ลางสังหรณ์ของเขากลับบอกว่า เรื่องนี้ต้องการเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยังไงยังงั้น

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ในที่สุดอัลรอลเน่ก็แหวกฝ่าฝูงชนมาได้ เบื้องหน้าของเธอตอนนี้ก็คือบ้านหลังที่ว่านั่น หากแต่เส้นทางกลับถูกขัดขวางด้วยเห็ดจำนวนมากที่งอกอย่างรวดเร็ว และหมอกก๊าซมีเทนที่แน่นหนา

    “อัลรอลเน่!”
    ทันใดนั้น ฮายาเตะก็วิ่งตามมาพอดี อัลรอลเน่ตกใจที่ฮายาเตะรู้แถมยังตามเธอทันอีกต่างหาก
    “นี่ เธอมามัวทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ”

    “เจ้าต่างหาก ทำไมไม่ช่วยอพยพพวกชาวบ้าน” เด็กสาวย้อนด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

    “จู่ ๆ เล่นหายตัวมาแบบนี้มันหมายความว่ายังไง”

    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

    “พูดบ้า ๆ เกิดเธอเป็นอะไรไปขึ้นมา...”

    “พอซะทีเถอะ!!!!”
    อัลรอลเน่ถึงกับตบหน้าฮายาเตะอย่างแรง ที่ปกติแทบไม่มีทางได้เห็นสำหรับคนมารยาทดีเด่นอย่างนาง แม้ฮายาเตะจะไม่ได้บาดเจ็บมากนักแต่ก็ถึงกับเซ แต่ที่ยิ่งกว่าคือเธอตกใจจนตาเหลือก ที่ถูกอัลรอลเน่ตบหน้าอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้โดนมานาน
    “ข้าก็มีเรื่องที่ข้าต้องการจะทำเหมือนกัน ทำไมเจ้าต้องตามติด และยุ่งกับข้าไปเสียทุกเรื่องเลย” น้ำเสียงของเด็กสาวร่างเล็กบ่งบอกว่าเหลืออดยิ่งนัก

    “ตะ...แต่ว่า” ฮายาเตะยังคงพยายามขยับตัวเข้าหา แต่ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกคมดาบเล่มใหม่ของนางจ่อเข้าที่ตรงหน้า

    “เมื่อตอนนั้น พวกเราสัญญากันแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าเราจะไม่ได้เป็นซามูไรหรือเจ้าหญิงฝ่ายเดียว แต่จะเป็นสหายกัน จะเชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่แล้วทำไมล่ะ ทั้งที่พวกเราก็ฝึกมาด้วยกันแท้ ๆ ทำไมเจ้าถึงยังทำตัวเหมือนเดิม คิดเอาแต่จะแบกรับภาระการต่อสู้และปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจเลยว่าข้ารู้สึกยังไง เจ้าทำเช่นนี้ได้ยังไงกัน”

    “อ....เอ่อ....” ฮายาเตะถึงกับได้แต่อ้ำอึ้งแก้ตัวไม่ออก

    “รู้ว่าเจ้าน่ะมีฝีมือ แต่ยังไง ก็อย่าดูถูกดูแคลนคนอื่นมากนักสิ”

    "ม...ไม่ใช่นะ"

    "ไม่ใช่แล้วทำไมล่ะ ข้าเองก็อยากสู้ด้วยเหมือนกัน อยากปกป้องเจ้าและคนอื่น ๆ เหมือนกันนี่นา"

    - - - - - - - - - - - - - - -

    พลัน ภาพหนึ่งก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งในหัวของนักดาบสาว เธอเห็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก แม้จะอายุมากกว่าเธอก็ตาม ทว่าใบหน้านั้นกลับดูเศร้าหมองทั้งน้ำตา

    "พี่เองก็อยากต่อสู้ร่วมกับทุกคนเหมือนกันนี่นา ทำไมเธอไม่ยอมเข้าใจพี่บ้างเลย"

    - - - - - - - - - - - - - - -

    "ตอบมาสิฮายาเตะ ทำไม ทำไมเจ้าถึง..." อัลรอลเน่ยังคงโวยวายกับเธอไม่หยุด ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก แต่ก็พอที่จะดึงฮายาเตะกลับสู่ความเป็นจริง

    "อยากปกป้อง...." คำตอบนั้นแผ่วเบาแต่ก็ยังพอได้ยิน น้ำเสียงปนกับเสียงสะอื้นเล็ก ๆ
    "แค่ไม่อยาก... ให้คนสำคัญคนไหนต้องตาย ต้องเป็นอะไรไปอีกแล้วเท่านั้น ฉันก็เลย.. อยากจะเข้มแข็ง แล้วก็อยากให้ทุกคนยอมรับว่าฉันสามารถสู้เพื่อปกป้องได้เท่านั้น ฉันก็เลยร้อนใจอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะทำยังไงดี ก็เลยเผลอทำตัวแบบนั้นออกไป"
    "ขอโทษนะ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะให้เธอลำบากเลยจริง ๆ "

    อัลรอลเน่เริ่มใจอ่อนลงเล็กน้อย เมื่อสังเกตเห็นน้ำตาไหลลงอาบแก้มขาวเนียนของร่างสูง และเธอรู้ดีว่ารายนี้ไม่มีทางเสแสร้งได้ลงคอเด็ดขาด
    "เรื่องของเจ้า ข้าได้ยินจากท่านอาสึกะแล้วล่ะ ไอ้เรื่องปกป้องน่ะก็อยากขอบใจอยู่หรอก แต่ข้า...อยากได้เพื่อนที่เข้าใจ และเชื่อมั่นในตัวข้ามากกว่า สักนิดก็ยังดี"
    มือเล็กบางลดดาบลง ก่อนที่จะยกอีกข้างขึ้นปาดน้ำตาให้เพื่อนสนิทอย่างอ่อนโยน
    "ดังนั้น ขอร้องล่ะ อย่าทำตัวเหมือนแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวอีกเลย เชื่อใจคนอื่น และมองโลกในแง่ดีบ้าง เท่านี้คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม"

    ฮายาเตะพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนที่จะค่อย ๆ ยิ้มออกมาเล็ก ๆ ไม่ใช่การฝืน แต่เพราะเธอซาบซึ้งน้ำใจเด็กสาวคนนี้มากขึ้นไปอีก และเข้าใจแล้วว่าจากนี้ไปเธอควรจะทำอย่างไรต่อ ไม่ให้ผิดพลาดเป็นหนที่สองหรือสามเหมือนก่อนหน้านี้
    "ได้สิ"

    "นะ อ๊ะ แย่ล่ะสิ" อัลรอลเน่ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอมาทำอะไร

    "อะไรรึ" ฮายาเตะทำหน้างง อัลรอลเน่จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
    "หา! แย่ล่ะสิถ้างั้น!"

    "ตอนนี้ยังทัน รีบไปเร็วเข้าเถอะ" เด็กสาวเร่งเร้า

    "แต่ว่า..." ฮายาเตะหันกลับไปยังทางข้างหน้า บ้านหลังที่เป็นเป้าหมายตอนนี้ถูกเห็ดจำนวนมากปกคลุมโดยรอบ ไหนจะหมอกก๊าซหนาแน่นที่ปกคลุม แล้วมันกำลังแพร่มาทางนี้เรื่อย ๆ อีกต่างหาก เรียกว่าตอนนี้เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว

    จริงอยู่ที่ฮายาเตะมีเพลงดาบที่โจมตีด้วยลมได้ แต่ปริมาณขนาดนี้เธอคนเดียวคงไม่ไหว

    "ไม่ต้องเป็นห่วง คอยดูฝีมือข้าให้ดี" อัลรอลเน่หยิบดาบเล่มใหม่ของเธอ ดาบเงินที่แกะสลักลายสีทอง และอัญมณีประดับอยู่ตรงด้ามดูสวยงาม แต่ฮายาเตะพอมองออกว่ามันไม่ใช่อาวุธธรรมดาอย่างแน่นอน
    เพียงซิสเตอร์สาวกระชับดาบในมือน้อยๆ และสะบัดข้อมือเพียงเบา ๆ ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมที่ก่อตัวและไหลเวียนขึ้นเล็กน้อย และค่อย ๆ แรงขึ้นตามความเร็วในการแกว่งของนาง กลุ่มก๊าซและกลิ่นเหม็นหืนค่อย ๆ ถูกพัดไล่ออกไปจากรอบ ๆ ทั้งสอง
    “แบบนี้ใช้ได้มั้ย”

    “อือ” ฮายาเตะเริ่มรู้สึกมั่นใจในตัวเพื่อนของตนขึ้นมาบ้างแล้ว เธอมั่นใจว่าแบบนี้ ภารกิจกู้ภัยย่อย ๆ กระทันหันนี้คงเสร็จได้ในไม่ช้า

    “แต่คงต้องออกแรงอีกหน่อย ถ้าจะฝ่าเห็ดพวกนี้ไปได้”

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
    ฮายาเตะชักดาบ “มุราซาเมะ” จากฝักข้างเอวออกมาเช่นกัน แล้วตั้งท่าเล็งดาบในแนวระนาบ สายตามุ่งไปยังเส้นทางตรงหน้า จุดหมายคือบ้านหลังที่ได้ยินมา ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกก๊าซและฝูงเห็ด

    อัลรอลเน่ที่กำลังควบคุมแรงลมรอบ ๆ ตัวด้วยดาบเล่มใหม่ที่กำลังชอบใจกับมัน ก็พร้อมเช่นเดียวกัน
    “ควบคุมดี ๆ อย่าเผลอเป่าบ้านเค้าพังล่ะ”

    “อือ” ฮายาเตะตอบสั้น ๆ ขณะที่อาศัยการควบคุมพลัง “ปราณ” ที่อาสึกะสอนให้ ร่วมกับการผสานจิตเข้ากับดาบ และอากาศรอบตัว เพื่อแปรเปลี่ยนมันเป็นพายุขนาดย่อม
    อัลรอลเน่ฟาดดาบออกไปข้างหน้าด้วยแรงประมาณพอดี พร้อมกับฮายาเตะที่แทงดาบพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วในทิศทางเดียวกัน
    สายลมของทั้งสองที่เกิดจากการออกดาบด้วยความเร็วสูง วนเวียนผสานกันเป็นพายุหมุนขนาดย่อม เนื่องจากทั้งสองออมแรงไว้จึงไม่มากขนาดจะพัดบ้านทั้งหลังไปได้ แต่ก็เกินพอที่จะแหวกพื้นให้เป็นรอย เจ้าพวกเห็ดตัวร้าย และหมอกที่เต็มไปด้วยก๊าซและสปอร์ของพวกมันจึงถูกพัดกระจายออกไปด้านข้างจนหมดในพริบตา รวมถึงที่ขวางทางเข้าประตูบ้านหลังนั้นด้วย
    แน่นอนว่าหากเพียงแค่กำลังของคนใดคนหนึ่ง อาจทำไม่ได้ขนาดนี้ แม้แต่ฮายาเตะเองยังรู้ว่าลำพังตัวเองอย่างเก่งก็คงทำได้แค่ปัดเป่าหมอกไปได้แค่นิดเดียวเท่านั้น แต่เพราะการร่วมแรงร่วมใจกัน หนทางจึงเปิดออกแก่ทั้งสอง

    “เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ” ฮายาเตะกล่าว
    อัลรอลเน่เพียงแค่พยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็รีบออกวิ่งพร้อมกัน

    ด้วยเนื่องจากช่วงขาที่ยาว และกำลังขาที่เหนือกว่า ฮายาเตะจึงวิ่งมาถึงก่อน เธอไม่คิดจะเหยียบเบรกลง ตรงกันข้าม เธอกระโดดแล้วถีบประตูเข้าอย่างแรงจนพัง หากเป็นปกติคงได้โดนด่า แต่สถานการณ์แบบนี้แน่นอนมันไม่สำคัญเท่าชีวิตที่ต้องช่วย

    “อุ๊บ! แค่ก ๆ ” ทว่าในบ้านกลับเต็มไปด้วยก๊าซที่ขังอยู่ภายใน แม้แต่ฮายาเตะเองก็ถึงกับแทบสำลัก แต่โชคดีที่อัลรอลเน่ใช้ดาบสร้างลมพัดมาปัดเป่ามันออกไป

    “เป็นอะไรรึเปล่า” ซิสเตอร์สาวตามเข้ามาถาม

    “ไม่เป็นไร รีบตามหาเด็กเร็วเข้า เธอหาดูรอบ ๆ นะ ชั้นจะหาที่ชั้นบน”
    ทั้งสองรีบแยกกันตามหา อัลรอลเน่ใช้ดาบสร้างสายลมพัดหมอกออกไป ส่วนฮายาเตะซึ่งมั่นใจในความอึดด้านการกลั้นหายใจของตนเองก็รีบวิ่งขึ้นบันได และใช้ “มุราซาเมะ” อันคมกริบหั่นประตูแรกที่พบออกเป็นสี่ส่วนอย่างไม่รอช้า

    “มีใครอยู่ม.. อ๊ะ!” ไม่ทันต้องรอคำตอบ สายตาของเธอได้เห็นเด็กชายคนหนึ่งล้มนอนอยู่กับพื้น ข้าง ๆ มีรถเข็นสำหรับคนพิการ แต่เธอไม่คิดจะสนใจอะไรมากไปกว่าเข้าไปกู้ภัยเด็กคนนี้ก่อน

    มือขวากระชับ “มุราซาเมะ” แน่น พร้อมกับรวบรวมพลังปราณผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับดาบในระยะเวลาอันสั้น
    “ฮ่า!!!!”
    เธอปลดปล่อยคลื่นพลังปราณขั้นต้นออกมาอย่างรุนแรงผ่านทางดาบ เพื่อปัดเป่าหมอกก๊าซรอบ ๆ ให้กระจายไปติดขอบห้องชั่วขณะ จากนั้นจึงรีบเข้าไปอุ้มร่างของเด็กชายขึ้นมา

    “อา... โชคดีที่ยังทัน” ฮายาเตะพอจำวิธีการตรวจชีพจรและอะไรจากอาสึกะได้อยู่บ้าง เด็กคนนี้สูดก๊าซเข้าไปมากจนหมดสติ แต่ถ้ารีบช่วยตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป

    “เป็นยังไง เจอมั้ย” อัลรอลเน่ตะโกนถาม ก่อนที่จะโล่งใจเมื่อเห็นเพื่อนวิ่งถลาลงมาตรงทางลาดขึ้นชั้นสองสำหรับรถเข็น พร้อมกับแบกเด็กคนหนึ่งไว้บนหลัง ซึ่งนางมั่นใจว่าใช่คนนี้แน่นอน
    “มีคนอื่นอีกรึเปล่า” เด็กสาวถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ

    “ข้างบนมีแค่ห้องเดียว ดูแล้วไม่น่ามีคนอื่น เธอล่ะ” ฮายาเตะรายงานและย้ำคำถามเดียวกัน ซึ่งอัลรอลเน่ก็เพียงแค่ส่ายหน้าตอบเช่นเคย
    “รีบออกไปกันเถอะ”

    “อ๊ะแย่ล่ะสิ” อัลรอลเน่เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ และมันก็ไม่ใช่เรื่องโสภานักเสียด้วยสิ

    “ทำไม”

    “เห็ดพวกนี้แพร่เร็วมาก เกิดพวกเราพัดเห็ดออกไปอีก หมอกมีหวังไปทางที่ทุกคนอยู่แน่”

    ฮายาเตะถึงกับสะดุ้งเฮือก ขนาดอัลรอลเน่ยังเผลอลืมข้อนี้ได้ มีหรือเธอจะคิดออก
    “แต่ยังไงพวกเราต้องออกไปข้างนอกก่อน”
    ในเมื่อมันก็จริง ซิสเตอร์สาวจึงไม่เถียง แต่หันกลับไปใช้ดาบร่วมกับกระแสลมปัดเป่าหมอกหน้าประตูบ้านออกไปก่อน

    ทั้งสองรีบพาร่างเด็กชายออกมาข้างนอก ทว่ากลับผิดไปจากที่พวกเขากลัวนิดหน่อย แทนที่หมอกและฝูงเห็ดจะพยายามกลับมาขวางทางพวกตน แต่ทางหนีกลับเปิดโล่งเหมือนตอนขามา และยังสัมผัสได้ถึงกระแสลมที่พัดโชยเข้ามา

    เบื้องหน้านั้นคือชายหนุ่มที่ทั้งสองยังจำหน้าได้ดี วินดัสนั่นเอง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนร่ายเวทสร้างกระแสลมพวกนี้เพื่อสกัดกั้นพวกเห็ดและหมอกก๊าซไว้ เพื่อเปิดทางกลับออกไปให้
    “พวกเธอทั้งสองเร็วเข้า”

    “หมอนั่น.... ทำไมถึงได้” ฮายาเตะประหลาดใจที่นักเดินทางแปลกหน้าคนนี้มาช่วยพวกตนด้วย

    “ฮายาเตะ อย่ามัวชักช้า” อัลรอลเน่เตือนสติฮายาเตะให้กลับมาเรื่องภารกิจก่อนเป็นอย่างแรก

    ในเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นใจ ทั้งสองจึงวิ่งสุดฝีเท้าพร้อมกับแบกร่างเด็กน้อยผู้ประสบภัยกลับมาด้วย เมื่อวินดัสเห็นทั้งสองผ่านไปอย่างรวดเร็วจึงวิ่งกลับออกมาด้วย พร้อมกับค่อย ๆ หยุดพลังสายลมลงจนหมด

    ในที่สุดทั้งหมดก็หนีกลุ่มหมอกกลับมายังจุดช่วยผู้อพยพได้อย่างปลอดภัย

    - - - - - - - - - - - - - - -

    “โอ้ หลานรักของยาย เป็นยังไงบ้าง” หญิงชรารีบเข้ามาดูอาการของหลานชายด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก

    “ดูเหมือนจะต้องพาไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนน่ะค่ะ” อัลรอลเน่กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะถ้าหากพวกตนไปถึงไวกว่านี้ก็คงจะดี

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ได้โปรด ช่วยหลานของยายด้วย” หญิงแก่คร่ำครวญ

    “เป็นเพราะฉันเอง ขอโทษนะอัลรอลเน่ ที่ทำให้เธอเสียเวลาแบบนี้” ฮายาเตะกล่าวขอโทษ แต่อัลรอลเน่ส่ายหน้า

    “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวข้าจะพาเค้าไปให้ทรีคช่วยปฐมพยาบาล ส่วนเจ้าไปช่วยอพยพผู้คนและฝากที่เหลือด้วย”

    “ข....เข้าใจแล้ว” ฮายาเตะรับปาก ก่อนที่จะรีบไปทำหน้าที่ต่อ
    “เร็วเข้าสินาย” ก่อนไป เธอก็เรียกวินดัสให้ไปช่วยอีกแรง
    “ขืนมัวชักช้า เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”

    วินดัสเพียงแค่พยักหน้า ก่อนที่จะตามฮายาเตะไป ส่วนอัลรอลเน่ก็รีบพาหลานของคุณยายไปให้ทรีคช่วยเหลืออีกแรง

    “ฝากด้วยนะ อัลรอลเน่ แล้วก็ ทุกคน”
    วันนี้ ฮายาเตะ ได้เรียนรู้ถึงข้อเสียและความอ่อนด้อยของตน และได้เรียนรู้แล้วว่า การเชื่อใจพวกพ้องคนอื่นนอกจากตัวเองนั้น มีความสำคัญแค่ไหน และเธอก็พอเข้าใจบ้างแล้วด้วย ว่าอาจารย์ต้องการจะบอกอะไรกับตน

    ขณะเดียวกัน อาสึกะได้เฝ้าสังเกตปฏิบัติงานทุกอย่างของลูกศิษย์โดยตลอด แม้จะมีคนแปลกหน้ามาปนด้วยหนึ่งคน แต่ก็ต้องถือว่าเธอคิดถูกที่พาเด็กพวกนี้ออกมาเรียนรู้ประสบการณ์ภายนอก

    ภายใต้ใบหน้าที่เยือกเย็นและดูเรียบเฉยนั้น ในใจอดปลื้มปิติไม่ได้ กับการที่ลูกศิษย์ของตนต่างก็ได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้นไปอีกขั้น แม้แต่ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ ที่เธอเคยคิดว่าน่าหนักใจมาโดยตลอด

    ตอนนี้ ที่น่าห่วงก็คงมีแค่คนเดียว

    [วาเลีย ครูส เพอร์ดิเทีย]

    ทั้งที่ความสามารถของหมอนี่น่าจะพึ่งพาได้ที่สุดในกลุ่มแท้ ๆ แต่กลับดูไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าที่ควรเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป คงยากที่ภารกิจนี้จะสำเร็จลงได้ด้วยดี

    [To Be Continued]

    ในที่สุดก็คลอดตอนใหม่ออกมาได้ซะที เฮ้อ ไม่ได้เขียนมานานดูฝีมือตกไปเยอะเลยนะเนี่ย

    ตอนนี้เน้นไปที่สองสาวแฮะ ก็นะ อยากหาทางอัพเกรดฮายาเตะให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เพราะดูแล้วจากนี้ไป หากยังทำตัวแบบเด็ก ๆ คงท่าจะรอดยาก -*-

    ปล.สีน้ำเงินนั่น Credit by Arcwind K.Earannos [ท่านปอม] เน้อ

    ไว้ว่าง ๆ คงต้องอัพเดทโปรไฟล์ตัวละคร + คิดตัวละครเสริมเพิ่มได้แล้ว แต่จะมีบทอย่างไรโปรดติดตามต่อไป
  25. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    ห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองไลท์เกรซนัก มีภูเขาลูกเล็กๆอยู่ลูกหนึ่งซึ่งอุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ แม้กฎหมายของไลท์เกรซจะมีข้อห้ามเรื่องการเข้าครอบครองภูเขาที่มีป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์แบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลแอนดอสและตระกูลคาโทเกสเข้ามาครอบครองบริเวณโดยรอบจนภูเขาลูกนี้แทบจะตกเป็นของทั้งสองตระกูลไปโดยปริยาย

    หากมีใครซักคนเดินลึกเข้าไปบนภูเขาลูกนี้ จะได้เจอถ้ำเล็กๆอยู่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นเพียงถ้ำตันที่สามารถเข้าลึกไปได้เพียงเล็กน้อย ชาวบ้านที่ขึ้นเขามาหาของป่าต่างก็อาศัยถ้ำแห่งนี้เป็นที่พักพิงยามลงจากเขาไม่ทันพระอาทิตย์ตก ทว่า ไม่มีใครรู้ความลับของถ้ำแห่งนี้เลยซักคน

    ................

    แสงสว่างจากคบเพลิงนับสิบอัน ทำให้โพรงถ้ำที่น่าจะมืดมิดสว่างไสว วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของคาวินนั้นเต็มไปด้วยอักขระโบราณ แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่าลูกแก้วที่ตั้งอยู่บนแท่งหินที่อยู่กึ่งกลางของวงเวทย์นั้น ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่จ้องมองลูกแก้วที่ดูหม่นหมองเล็กน้อยนั้นฉายแววกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด

    “เจ้ายังมีอารมณ์มายืนจ้องมองสิ่งนั้นอยู่อีกหรือ? ท่าทางจะว่างงานมากสินะเนี่ย?” เสียงอันคุ้นเคยทักขึ้นมาจากซอกเล็กๆที่น่าจะเป็นอุโมงค์ทางเข้ามาสู้ถ้ำแห่งนี้ ทำให้คาวินผ่อนคลายลงไปได้บ้าง เขาหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่สุดของตนกำลังเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี

    “แล้วเจ้าไม่ได้มาทำอย่างเดียวกับเราหรอกหรือ?” คาวินย้อนถาม

    “ข้าน่ะรึจะมาว่างทำอารมณ์สุนทรีอย่างเจ้า” เบนิออสโต้ตอบกลับอย่างขำๆ ก่อนที่จะเดินมายืนมาอยู่ข้างๆเพื่อนสนิท ”รู้สึกว่ามันจะหม่นลงกว่าก่อนหน้านี้นะ”

    “ใช่.. โฮปที่ไม่มีคนใช้ ย่อมต้องสูญเสียพลังลงไปเรื่อยๆ” คาวินตอบด้วยสายตาและสีหน้าที่แสดงถึงความกังวลขึ้นมาอีกเมื่อหันมามองโฮปลูกนั้น

    “ถ้าเจ้าแจ้งเรื่องนี้ให้พระสันตะปาปาทรงทราบ ข้าว่าเจ้าก็น่าจะเอามันออกมาใช้ได้อยู่นา” เบนิออสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทแย่ลง

    “เจ้าก็น่าจะรู้นี่.. เมื่อเราถูกปลดออกจากการเป็นไฮพรีสแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องสิ่งนี้อีก” คาวินตอบ

    “ก็นะ” เบนิออสพูดพลางถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่ เจ้าเด็กน้อยไลติโอ้ออกเดินทางไปทำภารกิจนี่นา”

    “อืม.. เราได้ยินข่าวนั้นแล้ว” คาวินหันมาตอบ “ได้ยินว่าอาซึกะเป็นคนพาไป คงเจอเรื่องแย่ๆแน่นอน”

    เบนิออสสังเกตสีหน้าของคาวินเวลาพูดคุยเรื่องของไลติโอ้ดูผ่อนคลายลงจึงชวนคุยต่อ “แล้วเจ้าให้อะไรเป็นของขวัญการออกทำภารกิจครั้งแรกของเจ้าหนูนั่นล่ะ”

    “อ้อ ก็สอนเวทย์เล็กๆน้อยๆไปนิดหน่อย” คาวินตอบกลับ

    “เฮ้ย! นั่นมันก็เหมือนกับข้าเลยนี่!!” เบนิออสทักท้วงขึ้น กลับกลายเป็นว่าของขวัญอันแสนเซอร์ไพรส์ของเขา ดันเหมือนกับเพื่อนสนิทไปซะได้ “ว่าแต่ เจ้าสอนเวทย์อะไรไปรึ?”

    “ก็เวทย์ที่เราคิดค้นดัดแปลงขึ้นมาเองนั่นแหละ เห็นว่าตอนอยู่ที่ทวินเกล ดูเหมือนจะเข้าใจผิดซะขนาดนั้น เลยอธิบายและสอนไปซะเลย”

    “เวรและกรรม ดันสอนเวทย์ที่คิดค้นขึ้นเองเหมือนกันซะอีก” เบนิออสบ่นออกมาอย่างขำๆ

    “ก็เรามันเป็นพวกเดียวกันนี่นา” คาวินแซว ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะร่าออกมา

    ................

    หมู่บ้านลูเทลล่าในขณะนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกพิษเต็มไปหมด หลังจากเหล่าเอ็กโซซิสต์อพยพชาวบ้านออกจากหมู่บ้านไปแล้ว ทั้งเจ็ดก็นั่งล้อมวงปรึกษาหารือกัน

    “ให้ไลติโอ้ใช้เวทย์ไฟเผาไปเลยสิ แบบนั้นแค่แป๊บเดียวก็เกลี้ยงแล้ว” ฮายาเตะเสนอขึ้นมา

    “อันนั้นทำไม่ได้..” ทรีคแย้งขึ้นทันทีพร้อมกับส่ายหน้า

    “ทำไมล่ะ? เผาซะก็เรียบร้อ.. โอ้ย!!” ฮายาเตะร้องขึ้นทั้งๆที่ยังเถียงทรีคไม่จบ ส่วนสาเหตุน่ะหรือ ก็มาจากผ่ามือของอาซึกะที่ผ่าลงมากลางกระหม่อมของฮายาเตะนั่นเอง

    “ขืนใช้เวทย์ไฟใส่ มันก็ระเบิดน่ะสิครับ” ไลติโอ้เงยหน้าขึ้นมาบอก ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป ทำให้ฮายาเตะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกขึ้นมาตงิดๆ

    “งั้นแกก็เสนอความคิดหน่อยสิ เจ้านุ.. อุ๊บ!!” เสียงของฮายาเตะที่กำลังจะโวยขาดหายไปทันทีที่กำปั้นของครูสาวตรงเข้าอุดที่ปากของฮายาเตะ ก่อนที่จะหันหน้าที่มีเส้นเลือดเล็กๆปูดขึ้นมามองสาวโย่งที่หน้าเริ่มถอดสี

    “จะหุบปากดีๆ หรือจะงีบหลับไปซักพัก..” เสียงเหี้ยมลอยออกมา ทำให้ฮายาเตะเงียบลงไปในทันที

    อัลรอลเน่หันไปมองวินดัสที่แอบทำหน้าสะใจเล็กๆภายใต้สีหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “คุณวินดัสคะ จะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าคุณจะใช้เวทย์ลมของคุณพัดหมอกเหล่านี้ออกไป ก่อนที่จะลงมือทำลายเห็ดเหล่านี้”

    “เป็นไปได้อยู่.. แต่คิดว่าคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ ดีไม่ดีนั่นอาจจะทำให้สปอร์ของเห็ดพวกนี้ปลิวไปเกิดที่อื่นซะอีก” วินดัสตอบหลังจากหันมามองซิสเตอร์สาว

    “นั่นสินะ” อัลรอลเน่ครุ่นคิดพร้อมถอนหายใจเบาๆ

    “แล้ว.. ถ้าใช้เวทย์ลมห่อหุ้มหมอกไว้ล่ะครับ?” ไลติโอ้ถามขึ้น เขาปิดหนังสือลงหลังจากได้ยินที่วินดัสกับอัลรอลเน่พูดคุยกัน

    “ไม่เคยลองนะ” วินดัสตอบ

    “ถ้างั้น เรามาลองกันซักหน่อยดีกว่า” ไลติโอ้ปิดประเด็น ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินไปทางบริเวณที่มีปัญหาทันที ทำให้ทั้งหกต้องลุกตามไปอย่างช่วยไม่ได้

    ................

    “ด้วยอำนาจแห่งแผ่นดิน โปรดฟังคำข้า ข้าขอหยิบยืมพลังอันเล็กน้อยของท่าน เพื่อปรับเปลี่ยนแรงดึงดูดของสิ่งที่ข้าต้องการ ให้เป็นดั่งใจข้า....” ไลติโอ้ร่ายบทเวทย์ยาวเหยียดชนิดที่ไม่มีใครเคยได้ยินในโรงเรียนออกมา ถ้าไม่ติดว่าสายตาของเขาเพ่งมองลงไปในหนังสือที่ใช้มือขวาถือเอาไว้ ทุกคนคงคิดว่าไลติโอ้น่าจะเรียนวิชาเวทย์ระดับสูงมาแล้วเป็นแน่

    “กราวิทราน!!” ไลติโอ้ตะโกนชื่อเวทย์ออกมา เห็ดบริเวณตรงหน้าของไลติโอ้ก็หลุดลอยขึ้นมาราวๆยี่สิบถึงสามสิบดอก ก่อนจะถูกบีบอัดรวมกันเป็นก้อนกลมๆ “ตอนนี้แหละครับ คุณวินดัส”

    “เอ้า เอาก็เอา” วินดัสพึมพำ ก่อนจะชี้นิ้วชี้ไปทางกลุ่มเห็ดที่ไลติโอ้ยกขึ้นมา “กระแสลมเป็นพลัง ส่งเสริมเกื้อหนุน ห่อหุ้มสิ่งที่ข้าต้องการไว้” ได้ผล กระแสลมเบาๆ ห่อหุ้มกลุ่มก๊าซมีเทนที่อยู่รอบๆกลุ่มเห็ดที่ไลติโอ้ยกขึ้นมาไว้ แถมยังพัดหมอกก๊าซที่อยู่บริเวณรอบๆกลุ่มเห็ดนั้นให้ออกห่างไปอีกด้วย

    “คุณทรีค ฝากหนังสือหน่อยครับ” ไลติโอ้หันไปเรียกทรีคที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดพร้อมทั้งยื่นหนังสือให้ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นแล้วกางมือหันไปทางก้อนเห็ดนั้น “ฟิเรโอ้!!”

    ตู๊ม!! เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมๆกับก้อนเห็ดสลายหายไป ท่ามกลางสายตาของทั้งเจ็ดคน

    “ได้ผลแฮะ” วาเลียทักขึ้นพรางตบมือเบาๆ

    “แต่ก็นะ คิดว่าจะใช้เวลาซักกี่เดือนกว่าจะเคลียร์หมดหมู่บ้านล่ะ” อาซึกะถามไลติโอ้ ความจริงเธอก็อยากจะชมเด็กน้อยที่คิดวิธีนี้ได้ แต่ถ้าจะใช้วิธีนี้แก้ปัญหา ก็คงกินเวลาหลายเดือนเป็นแน่

    ไลติโอ้หันหน้ามาหาอาซึกะ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้งๆ แสดงให้เห็นถึงการฝืนอย่างชัดเจน “ครับ ผมกำลังคิดว่า ถ้า..”

    “โอ้ย” เสียงทรีคดังขึ้น ตามด้วยเสียงบางอย่างตกลงบนพื้น ทำให้ทุกคนหันไปมองทางทรีคที่มีท่าทีเจ็บปวด ฝ่ามือมีรอยแดงปรากฏขึ้นมาเป็นรอยสันหนังสือ

    “อ๊ะ ขอโทษครับ ผมลืมบอกไป” ไลติโอ้พูดขึ้นขณะรีบเข้าไปหาทรีคพร้อมๆกับคนอื่น แต่ในขณะที่ทุกคนไปดูอาการของทรีค ไลติโอ้กลับเดินไปหยิบหนังสือที่ตกอยู่ขึ้นมาถือไว้ ทำให้ทรีครู้สึกฉุนไลติโอ้ขึ้นมาเล็กน้อย “ผมไม่ทราบว่าคุณทรีคถูกผนึกพลังเวทย์ไว้ เลยได้รับผลกระทบจากหนังสือเล่มนี้”

    “เธอถูกผนึกพลังเวทย์ไว้รึ” อาซึกะถามทรีค

    “ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ..ครับ อยู่ๆผมก็ใช้เวทย์ไม่ได้ขึ้นมา ทั้งๆที่แต่ก่อนก็พอใช้ได้ จึงเข้ามาศึกษาที่นี่เผื่อจะหาทางแก้น่ะครับ” ทรีคตอบพร้อมลูบฝ่ามือที่บวมแดงเบาๆ

    “แล้ว นั่นหนังสืออะไรรึ ไลติโอ้” อาซึกะหันมาถามไลติโอ้ซึ่งกำลังปัดเศษดินที่ติดอยู่บนหนังสือออก

    “เป็นหนังสือเวทย์ของคุณเบนิออสครับ ในแต่ละแผ่นจะผนึกคาถาไว้ ถ้ามีพลังเวทย์เพียงพอ แค่อ่านตามที่เขียนไว้ก็พอจะร่ายเวทย์ที่ระบุไว้ได้ครับ” ไลติโอ้ตอบ “แต่ว่าเวลาถือ หนังสือจะสูบพลังเวทย์ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่สามารถสูบพลังเวทย์ได้ ก็จะสูบพลังชีวิตแทน คุณเบนิออสบอกให้ผมถือไว้เพื่อฝึกฝนเพิ่มพลังเวทย์ในตัวให้สูงๆครับ”

    “อืม ว่าแต่ เมื่อตะกี้เธอจะบอกว่าอะไรนะ” อาซึกะเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่ค้างต่อ

    “อ๋อ ผมกำลังคิดว่า ถ้าให้คุณวาเลียใช้พลังจิตของเขาดึงเห็ดขึ้นมาเรื่อยๆ ก็น่าจะเสร็จเร็วกว่านี้น่ะครับ”

    “หา? ฉะ.. ฉันเนี่ยนะ” วาเลียร้องขึ้นอย่างตกใจพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

    “ครับ ก็ผมเคยได้ยินคุณอัลรอลเน่บอกว่าคุณควบคุมเรย์เซเบอร์จากระยะไกลได้ แค่นี้น่าจะไม่ยาก” ไลติโอ้พูดขึ้น ทำให้วาเลียหันขวับไปทางอัลรอลเน่ทันที จนอัลรอลเน่สะดุ้งเฮือก

    “อะ.. อะไรล่ะ ก็ตอนนั้นนายบอกอย่างงั้นไม่ใช่เหรอ” อัลรอลเน่พูดขึ้น

    “ตอนไหน?” วาเลียถามเสียงขุ่น

    “ก็ตอนที่เจอกันในห้องน้ำ.. เอ่อ” เรื่องที่ไม่น่าพิสมัยปรากฏขึ้นในหัวของอัลรอลเน่ทำให้คำพูดขาดหายไปในทันที

    “อะไรนะ! ในห้องน้ำ!!” ฮายาเตะโวยอย่างตกใจ ก่อนจะหันหน้ามาทำสีหน้ากินเลือดกินเนื้อใส่วาเลีย “นี่นายแอบเข้าห้องน้ำหญิงไปถ้ำมองอัลรอลเน่เชียวรึ”

    “เฮ้ย! ไม่ใช่นะ ทางโน้นต่างหากที่พังประตูเข้ามาในห้องน้ำชาย ตอนที่ฉันทำธุระ อุ๊บ!” เสียงของวาเลียขาดหายไปทันทีที่กำปั้นของอัลรอลเน่ถูกยัดเข้าไปในปากของวาเลียอย่างแม่นยำ

    “หุบปากไปเลย!!”

    อาซึกะได้แต่เอามือจับขมับแล้วส่ายหน้าไปมา คิดผิดจริงๆสินะที่เลือกพวกนี้มารวมกลุ่มกัน

    ................

    ห่างออกไปจนถึงบริเวณเนินเขานอกหมู่บ้าน ชายหนุ่มจากเดบลิสเฝ้าดูกลุ่มเอ็กโซซิสต์จัดการกับเห็ดในบริเวณหมู่บ้านอย่างทุลักทุเลผ่านทางกล้องส่องทางไกลอันเล็กๆในมือเขา ส่วนตัวเขานั้นสามารถจัดการกับเหล่าเห็ดปริศนาตามลำพังได้อย่างง่ายดาย น่าแปลกที่ว่าพื้นที่ที่เขาเคลียร์เห็ดเหล่านั้นไป กลับไม่มีเห็ดโผล่ออกมาอีก แต่ปริมาณที่เก็บมาได้ ก็มากมายหลายเกวียนแล้ว

    “เฮ้อ คราวนี้เป็นกลุ่มเด็กกะโปโลหรอกรึ” ชายลึกลับคนนั้นพึมพำพร้อมลดกล้องในมือลงแล้วยักไหล่ “ช่างเถอะ ก็ได้มาเยอะพอแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ทำลายที่นี่ทิ้งไปด้วยเลยดีกว่า จะได้มีลูกค้าเพิ่มที่เดบลิสด้วย”

    ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบริเวณดงเห็ดที่ยังไม่ได้เก็บถอนแล้วย่อตัวลงแนบมือกับผืนดิน ซักครู่ก็ถอนมือออกแล้วเดินกลับไปยังเกวียนของตน

    “ขอให้สนุกนะ ฮึๆ” ชายหนุ่มพึมพำขึ้นเบาๆอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกให้เกวียนของตนค่อยๆเคลื่อนตามเขาหายไปในความมืด

    ................

    การทะเลาะเบาะแว้งของเด็กๆจบลงด้วยฝ่ามือพิฆาตของอาซึกะ ซึ่งคราวนี้อัลรอลเน่ก็พลอยโดนโทษนี้ไปด้วย

    “ผมว่า ลองมาทดสอบกันก่อนดีกว่าไหมครับคุณวาเลีย” ไลติโอ้ถามวาเลียซึ่งตอนนี้กำลังลูบหัวที่โดนฟาด

    “ลองดูก็ได้” วาเลียพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปยังบริเวณที่เห็ดงอกขึ้นมา ก่อนจะหลับตาลงและนึกถึงหลักการใช้ฟรอร์ซที่อาจารย์แม็กซิมิเลี่ยนถ่ายทอดมาสดๆร้อนๆก่อนจะออกเดินทางไม่กี่วัน

    ................

    ‘เอาล่ะ วาลคุง เดินมาตรงนี้’ แม็กซิมิเลี่ยนเรียกวาเลียให้เดินมาหาตนที่ข้างหน้าต่าง ซึ่งวาเลียก็ยอมเดินไปตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ‘ทีนี้ ลองหลับตาซิ’ วาเลียหลับตาลง ‘จ้องมองออกไปข้างหน้า เห็นอะไรบ้าง?’

    ‘ไม่เห็นอะไรเลยครับ อาจารย์’ วาเลียตอบกลับทั้งที่หลับตาอยู่ นั่นสิ มันจะเห็นอะไรได้ แม้แสงจะพอทะลุเปลือกตาเข้ามาได้ มันก็ไม่ช่วยให้เขาเห็นอะไรอยู่ดี

    ‘เฮ้อ.. ไม่ไหวๆ เอ้า ลืมตาขึ้น’ วาเลียลืมตาขึ้นมาแล้วมองมาทางแม็กซิมิเลี่ยนซึ่งตอนนี้กำลังหลับตาและชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นกีฬาอยู่ในสนาม ก่อนที่จะตวัดนิ้วลง ทำให้กางเกงวอร์มของเด็กหนุ่มคนนั้นหลุดลงมากองอยู่ที่พื้น

    ‘เฮ้ย!!’ วาเลียตะโกนขึ้นมาในขณะที่เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายรีบร้อนดึงกางเกงวอร์มของตนขึ้นมาใส่ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆในสนาม ก่อนจะหันกลับมาหาแม็กซิมิเลี่ยน ‘ทำอะไรน่ะ อาจารย์’

    ‘ก็สอนฟอร์ซใหม่ๆให้เจ้าไง วันนี้จะสอนเรื่องไซโครกิเนซิสนี่แหละ’

    ‘ไม่ใช่ครับ ที่ผมจะถามน่ะคือ ทำไมต้องสอนด้วยการดึงกางเกงคนอื่นเล่นด้วยเล่า’

    ‘อ้าว เจ้าอยากดึงกระโปรงแทนหรอกรึ? ลามกจริงเลยนะเรา’

    ‘ไม่ใช่ครับ!!’

    ................

    วาเลียสะบัดหัวไปมาไล่เรื่องไร้สาระออกจากหัว ก่อนจะเพ่งสายตาผ่านความมืดออกไปค้นหาเห็ดที่อยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มในชุดดำเพ่งกระแสจิตอย่างเต็มที่อยู่ซักพัก แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “เจ้ากาแก่ทำอะไรของมัน..” ทรีคเริ่มบ่นอย่างเสียมิได้ แต่อาซึกะก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ เมื่อบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น

    เห็ดจำนวนมากมายหลายพันดอกถูกยกขึ้นมาด้วยอำนาจจิตของวาเลีย ก๊าซและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เริ่มโชยออกมา แต่วินดัสก็รู้งาน เขาแอบร่ายเวทย์ลมไว้คอยท่านานแล้ว จึงไม่มีปัญหากับเรื่องกลิ่นเลย

    “กราวิทราน!!” ไลติโอ้ตะโกนเวทย์แรงดึงดูดออกมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่จำเป็นต้องมานั่งถอนเห็ดเองจึงประหยัดแรงไปได้เยอะ ก่อนจะหันไปหาอัลรอลเน่แล้วยื่นหนังสือให้ “รบกวนฝากหนังสือด้วยครับ”

    เห็ดหลายพันดอกถูกบีบอัดเข้ามาเป็นก้อนขนาดใหญ่ วินดัสรู้สิ่งที่ไลติโอ้ต้องการ เขาเปลี่ยนเวทย์ลมในทันทีเพื่อสร้างกระแสลมหุ้มไว้เหมือนครั้งที่แล้ว และก็เช่นเดิม ด้วยฟิเรโอ้ ก้อนเห็ดก็ระเบิดหายไปในพริบตา

    วาเลียค่อยๆลืมตาขึ้น ‘ทำได้แฮะ’ วาเลียคิดในใจ ตัวเขาเองยังไม่เชื่อเลยว่าจะทำได้ ทั้งยังไม่เปลืองแรงอะไรมากมายอีกด้วย วาเลียหันกลับมาที่กลุ่มอย่างผู้มีชัย แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรอย่าง’เห็นไหมล่ะ’ก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมาก่อน

    “นี่นายคงไม่คิดจะใช้พลังบ้าๆนี่มาเปลื้องผ้าของพวกผู้หญิงหรอกนะ เจ้ากาเปรตลามก” ทรีคพูดขึ้นมา

    สิ่งที่วาเลียเห็นคือ สองสาวอัลรอลเน่และฮายาเตะระมัดระวังเสื้อผ้าของตนอย่างเต็มที่ ทำเอาความรู้สึกฮึกเหิมแทบลดเป็นศูนย์ไปเลยทีเดียว

    ................

    ไหลไปเรื่อย.. ตอนนี้ให้วาเลียได้โชว์เท่ห์(กระมัง)บ้าง หลังจากทำเป็นซุ่มมาหลายตอนละ

Share This Page