[ฟิคลูกโซ่] All Fiction Fantasy

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ในที่สุดก็จะเคลียร์ปัญหาเรื่องเห็ดกันได้สักที แต่ว่ารู้สึกเหมือนภยันตรายใหม่กำลังคืบคลานเข้ามายังไงยังงั้น

    ว่าแต่ ตอนที่แล้วพวกฮายาเตะอุตส่าห์จะเติบโตขึ้นอีกขั้นกัน ไหงมาตอนนี้ กลับมาติ๊งต๊องกันเหมือนเดิมอีกแล้วได้เนี่ย (แต่อ่านแล้วก็แอบขำดี โดยเฉพาะลูกสาวตัวเอง 555+)

    วาเลียคงจะไม่กล้าสู้หน้าพวกสาว ๆ อีกนานสินะ อิอิ
  2. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    วาเลีย: "ตูทำอะไรให้พวกหล่อนรึไงฟระ ยัยพวกสาวถึกแรงเกินน้อย..."

    งานใหม่ชักมีกลิ่นตุๆ แต่ไกล...
  3. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    รายงานข่าว ศาสนจักร


    "อุบัติเหตุน่าเศร้าทางภาคเหนือ ก๊าซธรรมชาติระเบิด เจ็บห้า หายสาบสูญหนึ่ง รายละเอียดอ่านได้กระทู้ต่อไป"


    รายงานข่าว จักรวรรดิ


    "ราคาก๊าซธรรมชาติหุงต้ม คาดว่าจะราคาตกลง 20-25%ภายในต้นปีหน้า เชื่อ เห็ดมีเทนรุ่นที่ใหม่ ให้ทางเลือกสำหรับแหล่งก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่"

    (ส่วนตัว : วาเลียคงจะเฟลต่อไปอีกอย่างยาวนาน ใครๆก็ไม่รักแกแม้แต่ตัวพ่อแกเอง :pendin2: )
    TBC
  4. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    นอกหมู่บ้านกษิกรรม ลูเทลา​

    ค่ายที่พักชั่วคราว​

    เวลามาตราฐานสากล 21:54​



    กองของเห็ดสีฟ้าอ่อนชุดสุดท้ายถูกขนย้ายผ่านประตูมิติ จากกองคาราวานของสินค้าเห็ดก๊าซ ที่ลำเลียงมาจากแหล่งทดลองใกล้หมู่บ้าน ลูเทล่า ทหารในชุดปิดมิดชิด และ นักวิจัยที่เหลือต่างเร่งรีบขนย้ายอุปกรณ์การทดลองและข้อมูลที่สำคัญผ่านประตูมิติ โดยในขบวนการทั้งหมดนี้ มีคงเหลือชายหนุ่มสองนาย ยืนตรวจการทำงานอย่างใกล้ชิด


    ชายหนุ่มตาเรียวดุ ผมสั้น กับรอยยิ้มกวนประสาทในชุดเสื้อโค้ทดำ กับ ชายหนุ่มผมทอง ตาแมวสีดำพัน ในชุดสูทจีนสั่งตัดสีดำ ชายคนหนึ่งคือผู้ทีรับผิดชอบโดยตรงกับงานในครั้งนี้ ขณะที่อีกคนมาในฐานผู้สังเกตุการณ์ แต่ก็เป็นชายหนุ่มคนหลังที่เป็นผู้เปิดประตูมิติดังกล่าวให้


    "ผลงานในครั้งนี้ของเธอ นับว่ายอดเยี่ยมมาก โมริคุง ดร.ไอแซ็คคงจะภูมิใจในตัวเธอมากเมื่อได้อ่านรายงานทั้งหมดแล้ว "

    "ครับท่านโครโนส ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง"

    "แต่ดูเหมือนว่า ที่ๆเหล่าเอ็กโซซิสต์ฝึกหัดปีนี้รับผิดชอบ จะมีความก้าวหน้าที่สำคัญสินะ?"

    "ครับ ดูเหมือนว่า มีอย่างน้อยสองสามคนที่น่าจะเข้าเกณฑ์ที่บริษัทต้องการครับ"

    รับเอกสารของประวัติคร่าวๆของเอ็กโซซิสต์ฝึกหัดแต่ล่ะคนมาพิจารณา ทุกคนล้วนเป็นผู้มีความน่าสนใจไม่ใช่น้อย แม้กระทั่งหนุ่มปริศนา วินดัสเองก็มีความสามารถค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับตัวเต็งสองสามคน ตัวของอ.สาวเอง โครโนสแค่นยิ้มมุมปากเมื่อไล่ถึงข้อมูลเวลาปัจจุบันของเธอ




    "ท่านครับ?" สงสัยว่าตัวเองตาฟาดไป หรือว่าท่านโครโนสยิ้ม?

    "ไม่มีอะไร โมริ กับแมลงที่เธอเซ็ทเอาไว้ น่าจะทำงานในอีกกี่ชั่วโมงกัน?"

    "ครับ จากปริมาณก๊าซที่สะสมในโพรงถ้ำใต้หมู่บ้าน กับ แมลงที่ผมออกคำสั่งไป การเจาะโพรงน่าจะใช้เวลาไม่เกิน หนึ่งถึงสองชั่วโมงข้างหน้านี้ครับ"

    "สำนักพิมพ์ของศาสนจักรได้หัวข้อข่าวแล้วหรือไม่?"

    "อุบัติเหตุก๊าซธรรมชาติระเบิด ทำลายหมู่บ้านกษิกรรมลูเทลา เอ็กโซซิสต์ฝึกหัดบาดเจ็บและสูญหายจำนวนหนึ่ง"

    "บอกทางสำนักพิมพ์ให้ลงข่าวเผื่อว่าจะมีคนเสียชีวิตไว้ด้วย กันเอาไว้ก่อน เราไม่ต้องให้มีการซ้ำรอยเหมือนตอนที่เดบลิสครั้งก่อน"


    การกลบเกลื่อนโดยใช้คนของบริษัทที่แฝงตัวทำงานในองค์กรต่างๆ ทั้งในและนอกจักรวรรดิถือเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการปกปิดข้อมูลที่จะโยงถึงบริษัทได้ และ งานหลักๆนี้โครโนสก็เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในส่วนของบริษัท


    "เธอก็เตรียมไปดูงานในหมู่บ้านอื่นต่อได้เลย โมริ ถ้าชั้นเข้าใจไม่ผิด ยังมีแหล่งเพาะเห็ดตามแนวเทือกเขาอีกสองสามที่ ที่เธอยังไม่ได้ไปตรวจสินะ?"

    "ครับ ผมจะรีบดำเนินการโดยด่วย ตามที่ท่านสั่ง"


    อย่างที่โครโนสได้กล่าวไป ลูเทล่าเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของ สิ่งที่บริษัทได้ใช้ดินแดนแห่งนี้ในการทำการทดลองกิจการรหลายๆอย่างที่ไม่สามารถทำให้จักรวรรดิได้ หมู่บ้าน และ เขตรกร้างหลายแห่งในศาสนจักรเองก็เป็นสถานที่ทำการทดลองของบริษัท มาโดยที่เจ้าหน้าที่หรือคนในท้องที่ ปล่อยให้การทดลองดำเนินไป แลกกับ สินทรัพย์เล็กน้อยพอคุ้มค่าทุน ทั้งอาหารแปลกๆ อัญมณีสวยๆ หรือกระทั่ง อาวุธแปลกๆ ที่เหล่ามนุษย์ผู้ยังล่ะกิเลศไม่ได้ ยินดีที่จะคว้ามากินโดยไม่สนกับผลที่จะตามมา



    ไม่จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายผ่านประตูมิติไป ทิ้งไว้เพียงพื้นที่ราบเตียนโล่ง เงียบสงัดในหุบเขาลึก กับหนึ่งร่างที่ตรวจตราครั้งสุดท้ายถึงสิ่งที่อาจหลงเหลืออยู่ ที่โครโนส ตัดสินใจว่าได้เวลาไปเตรียมการสำหรับหมู่บ้านเสียที


    "ผมหวังว่านี่จะไม่น่าเบื่อจนเกินไปนะ"





    กลางหมู่บ้าน​






    ในส่วนการทำลายเห็ดนั้น การประสานระหว่างเวทย์ของ ไลอิโต้ สายลมของวินดัส และ พลังจิตของวาเลียนั้นดูเหมือนว่า ความเฟลส่วนตัวจะทำให้ปริมาณเห็ดต่อครั้ง ไม่ได้มากเท่ากับครั้งแรกนัก แต่ด้วยความพยายามไม่ลดล่ะของทุกคน เห็ดที่โตในหมู่บ้านก็สามารถเก็บกวาดได้หมด คงเหลือแต่บริเวณสวนและไร่เท่านั้น (ซึ่งกินพื้นที่มากกว่าพื้นที่หมู่บ้านหลายเท่านัก)




    สิ่งที่หางตาเธอเห็น คือชายหนุ่มผมทอง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และดึงดูด ในชุดสูทดำ แต่แววตาแมวที่สะท้อนแสงเรืองๆสีอำพันนั้น ปลุกความรู้สึกตื่นตัวของหล่อนให้พุ่งถึงระดับสูงสุด เหลือบซ้ายแลขวาว่านักเรียนของเธอจะยังไม่รู้ตัว ทว่าเป็น ทรีคที่ยกอาวุธขึ้นในท่าเตรียมพร้อม พร้อมแววตาดุร้าย ที่ทำให้คนอื่นๆหยุดมือในสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำ และ สัมพัสได้ถึงตัวตนของผู้มาเยือนหน้าใหม่


    "สวัสดีครับ เหล่าเอ็กโซซิสต์ทุกท่าน...?" ผู้มาเยือนกล่าว

    สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีต่อมา เอาตัวเองขั้นกลางระหว่างชายแปลกหน้า และ นักเรียนตน อาซึกะกระทำ ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดรอบตัว ก็ไม่ได้ใส่ใจกับคนแปลกหน้า และ นั่งเฟลคู้่กับพื้น วาเลียกระทำ อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมด้วยอาวุธและสมาธิ คือสิ่งที่คนที่เหลือกระทำ แม้ว่าวินดัสจะไม่ได้มีท่าทีกร้าวร้าวเท่ากับ ฮายาเตะและทรีคก็ตาม


    "คุณแม่ถ้าไม่รังเกียจผมว่าเราไปคุยกันที่อื่นจะดีกว่าไหม?" โครโนสกล่าวอย่างใจเย็น


    "พวกเธอจัดการกับเห็ดไป ชั้นจะรับมือเจ้าปีศาจนี่เอง" อ.สาวกล่าว ด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่เน้นทุกคำให้ซึมลึกในสมองนักเรียนของเธอ ที่แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ออกปากคัดค้านอะไรออกไป


    ยืนมองเมื่ออีกฝ่ายหายฟุ่บไปต่อหน้าต่อตา แต่ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาไกล มีเสียงของแข็งหนักๆดังขึ้นหนึ่งครา แล้วร่างของอ.สาวก็อันตระธานหายไป คงไว้เพียงรอยฝ่าเท้าทีจมดินกับที่ และ เส้นละอองของฝุ่นที่ไล่ตามการเคลื่อนไหวของเจ้าหล่อนตามไปติดๆ




    ลำธารใกล้ๆหมู่บ้าน​




    ร่างที่ดูเหมือนฟุ่บออกมาจากความว่างเปล่า แต่เป็นการเคลื่อนไหวของ อาซึกะ และ การเคลื่อนย้ายผ่ามิติอย่างเร็วเท่าความคิดของหนุ่มน้อยที่ทำให้ดูเหมือนเป็นอย่างนั้น

    ทั้งสองตอนนี้ต่างยืนกันคนล่ะฝั่งของสายลำธาร บนฝั่งที่มีก้อนกรวดเป็นคันกั้นน้ำ สายลมกลางคืนพัดผ่านพาเอาเศษใบไม้ร่วงโรยจากต้นเป็นฉากหลัง


    "ยังเร็วเหมือนเมื่อก่อนเลยนะครับคุณแม่"

    "เรื่องนี้เป็นฝีมือของเจ้าสินะ?" น้ำเสียงทางการที่ประหนึ่งจะคั้นเอาคำตอบ

    "ผมเชื่อว่าด้วยฝีมือของนักเรียนคุณแม่ พวกเขาน่าจะจัดการกับเห็ดได้ในระดับหนึ่ง แต่นั่นก็ยังไม่พอ" วาดนิ้วของตนลงที่ฝ่ามือทีล่ะข้าง ไม่รีบร้อนและไม่ลนใดๆ


    "เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ โครโนส?"

    "คุณแม่น่าจะรู้มิใช่หรือ ว่าผมจะมาก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขอันใด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมานี่ครับ" เหมือนจะไล่ย้อนความทรงจำ อาซึกะหรี่ตาลงเล็กน้อย ในตอนที่ปลอกแขนเธอเรืองแสงขึ้นมา

    "แม้จะใช้พลังจิตร่วมกับเวทย์ลม แต่นักเรียนอาจารย์ ก็ไม่ใช่จะมีความอึดพอที่จะจัดการได้ทั้งหมด คุณแม่ก็เห็นอยู่ว่า....เชี๋ย!!"



    รู้สึกถึงความร้อนที่สะกิดที่สีข้าง กรงเล็บยาวแหลมของอ.สาวเฉือนแดงเข้าที่ซี่โครงเขา แต่ตัวเขากลับชายตามองเมื่อร่างอีกฝ่ายหยุดกับที่ ห่างจากตัวเขาไปไม่กี่เมตร กับสายตาไม่สบอารมณ์ และ เศษผ้าที่ติดอยู่กับปลายกรงเล็บเพียงเล็กน้อย

    "เจ้าขี้ขลาด ความสามารถแกนี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ" อาซึกะกล่าวอย่างมีอารมณ์


    ลูบสีข้างของตน นิ่้วหน้าเมื่อแรงกดมือตนเข้ากับรอยแผลยาวบางๆใต้เสื้อ โครโนสเองก็ดูจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่ความแปลกใจได้ระบายออก ก็หลังจากที่ อีกฝ่ายรุกไล่ตนไปอีกหลายกระบวนท่า



    กรงเล็บต่อร่างเนื้อ โครโนสมองเมื่อกรงเล็บพวกนั้นแทงทะลุตัวเขาไป ราวกับผ่านความว่างเปล่า ร่างที่เป็นเสมือนมิติที่ต่างกันกับมิติปรกติ การโจมตีทางกายภาพที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะกี่กระบวนท่า ความรู้สึกก็เหมือนกับต่อยลมไปเท่านั้น เธอรู้ความสามารถควบคุมมิติของอีกฝ่ายมาก่อน รู้ด้วยว่าท่าร่างทั่วไปไม่อาจทำอันตรายใดๆได้ ทว่าอ.สาวก็พอจะยิ้มออกเมื่อเข้าสู่กระบวนท่าที่สิบ


    "คุณแม่ อย่าเสียเวลาเลย คุณแม่ก็รู้นี่ครับ ว่าการโจมตีทางกายภาพกับผมน่ะมัน โอ๊ยยยย!!" เสียงฟุ่บตามมาหลังจากเสียงร้องดังของโครโนสดังขึ้น พร้อมๆกับร่างของแกที่ไปปรากฎบนยอดต้นไม้


    "เจ็บนะคุณแม่!! อย่าบังคับให้ผมสู้นะครับ" รอยขาดทางยาวที่สีข้างพร้อมกับรอยเฉือนยาวเลือดไหลซึมจางๆ ดวงตาที่ยังเป็นมิตรตอนกลับขุ่นมัวด้วยความโกรธแทน แม้สีหน้าจะยังยิ้มอยู่ก็ตาม ใช่ ใช้พลังปราณอัดเข้ามาพร้อมกับกรงเล็บ นั่นทำให้การโจมตีกายภาพหนึ่งๆสามารถเข้ากายเนื้อตัวเขาได้ และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่ชอบเลย

    "เราไม่เคยทำเล่นกันใคร กับเจ้ายิ่งแล้วใหญ่ นอกจากว่าเจ้าจะยอมถอย จะว่ายังไง?" อาซึกะไม่ได้ลิงโลดหรือย่ามใจอันใด แม้ว่าพลังปราณของเธอจะทำร้ายอีกฝ่ายถึงตัวได้ เธอรู้ได้ ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ


    แต่เธอได้แค่ฝืนยิ้ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายล้วงเอามีดปอกผลไม้เล็กๆ ที่ดูจะไม่คมเท่าไหร่นักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เห็นท่าจะไม่ดีหากอีกฝ่ายจะใช้ความสามารถนั่น เธออัดปราณของตนเข้ากับกรงเล็บขวา ก็พอดีกับที่ร่างอีกฝ่ายหายฟุ่บไป....





    "ซ่า~~~~"



    ความเงียบเข้าปกคลุมที่ตรงนั้น มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่าน เสียงระเบิดก้อนเห็ดดังแว่วๆมาแต่ไกล เสียงสายน้ำไหลเอื่อยๆไม่ได้ทำให้ประสาทของอ.สาวทื่อลง แต่ความคมของเธอตอนนี้ เพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเธอก็สามารถจับได้


    "ทางไหนกัน ทางไหนกันเจ้าปีศาจ" พึมพำเบาๆกับตนเอง เหงื่อไหลจากหน้าผาก ค่อยๆเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่เซ็นท์ของเธอบอก


    นี่เป็นครั้งที่สองกระมัง ที่เธอทำให้เจ้าปีศาจตนนี้มาถึงจุดตรงนี้ แม้ว่าครั้งก่อนจะเสมอกันด้วยเหตุว่าอีกฝ่ายยอมเลิกราไปเองก็ตาม


    แต่ในวินาทีนั้น เสียงของใบไม้แห้งที่ถูกตัดกลางอากาศ ทำให้เธอเอี้ยวตัวหลบสายลมบางที่พัดผ่านร่างเธอไป

    ไม่มีอะไรที่ตรงนั้นนอกจากความว่างเปล่า เธอหันไปมองแต่ประกายเย็นที่ต้นคอเป็นสัญญานให้เธอกระทุ้งศอกไปด้านหลัง แล้วต่อหน้าเธอ โครโนสก็ฟุ่บออกมาตรงหน้าเธอ กับใบมีดที่เกือบจะถึงหัวไหล่เธอแล้ว

    กรงเล็บขวากระแทกกับใบมีด ปัดให้วิถีออกไปพ้น แต่วินาทีต่อมาที่ทั้งร่างอีกฝ่ายและใบมีดหายไป เธอก็รู้สึกร้อนวาบเข้าที่ไหล่ขวา

    "อึ่ก!! อุ จะ เจ้าปีศาจ" อ.สาวร้องเมื่อมีดสั้นหันไปกรีดเข้าที่ต้นขาทั้งสองข้าง กลางหลัง ข้อพัด สีข้าง ซ้ายและขวา ต่างถูกฟันในเวลาไม่ถึงนาที



    ทุกครั้งที่โครโนสฟุ่บผ่านมิติ มีดของแกจะเฉือนผ่านร่างกาย อาซึกะเข้าที่ไหนสักที่ทุึกครั้ง และการสวนกลับใดๆก็จะตามมาด้วยการต่อยลมและโดนโจมตีจากด้านอื่นพร้อมๆกัน แต่ตัวเธอก็แน่ใจว่า กรงเล็บของฉีกผ่านกายเนื้อของอีกฝ่ายได้หลายครั้งอยู่ ด้วยเสียงร้องครางแหลมของอีกฝ่ายเป็นระยะๆ


    "คุณแม่ผมโกรธแล้วนะ!!"

    "ช่องว่าง!"

    ....

    มีดสุดท้ายที่คอหอยเธอ แต่หยุดได้ทันเวลาพอดี โดยมีใบมีดจ่อติดคออ.สาวแทนที่จะเป็นการกรีดยาว รอยกรีดอื่นๆก็ไม่ได้ลึกพอจะทำอันตรายสาหัสอะไร แต่ก็ยังเป็นรอยแผลยาวกรีดมีเลือดไหลซึม แต่กรงเล็บของเธอก็ตัดเข้าที่จุดสำคัญหลายส่วนของอีกฝ่ายไปไม่ใช่น้อย รอยแทง รอยเฉือน เลือดแดงซึมจากแผลทั้งที่ลำตัว และ ท่อนแขน รอยกรีดยาวที่แก้มคนถือมีด และตำแหน่งสุดท้ายที่ที่ตรงหน้าอกของอีกฝ่าย บ่งบอกถึงการปะทะนองเลือดของทั้งสอง


    ทั้งสองจ้องตากันไม่กระพริบ ราวกับว่าเวลาจะหยุดนิ่งให้กับทั้งสองคน แต่เป็นร่างที่กำมีดที่เปิดปากพูดในที่สุด


    "คุณแม่ ผมว่าเราหยุดกันตรงนี้จะดีกว่าไหม?" โครโนสกล่าว คำถามที่คาดหวังคำตอบเอาไว้ อ.สาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ คำถามที่เธอชั่งใจยากว่าจะเลือกอย่างไหนกัน

    ....
    ...
    ..
    .



    "อย่าทำอะไรพวกนักเรียน พวกเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้" ตอบไปในสำนึกของความเป็นครู คือคำตอบที่อ.สาวกล่าวในที่สุด

    "ผมไม่ใช่ปีศาจร้ายขนาดนั้น คุณแม่ และผมก็ไม่อยากจะฆ่าคุณแม่ด้วย เอ็กโซซิสต์ที่พูดจาภาษาคนรู้เรื่อง ผมไม่ค่อยได้เจอมากนัก" โครโนสกล่าว ก่อนจะถอนมีดตนจากคออีกฝ่าย เช่นเดียวกันกับที่กรงเล็บของเจ้าหล่อนก็ถอนจากหน้าอกอีกฝ่าย

    อ.สาวถึงกับหอบยาว อีกฝ่ายก็เช่นกัน จนเมื่อร่างของแกเรืองแสง ก่อนจะค่อยๆหดเล็กลง เมื่อแสงจางลง โครโนสร่างเด็กในวัย 12กว่าๆ ยืนในสภาพล้าเต็มทน เหงื่อซึมทั่วตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นขาว แต่บาดแผลทั้งหมดกลับหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


    "ผมไม่ทำอะไรพวกเขาหรอกครับ ผมได้คุณแม่เป็นเอ็กโซซิสต์ที่บาดเจ็บแล้วนี่ครับ" กล่าวตอบพร้อมกับใบหน้าฉงนของอีกฝ่าย

    "แต่ที่ยังไม่ได้ก็คือ เอ็กโซซิสต์ที่หาบสาปสูญนี่สิครับ"


    ไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไร เสียงฟุ่บดังขึ้น และก่อนที่เธอจะทันได้ขยับตัว ความมืดมิดก็ปกคลุมร่างเธอ แต่นั่นก็เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เพราะอึดใจต่อมาเมื่อปรับสายตาเข้ากับแสงสว่างจ้าที่สาดประกายใส่ เธอก็พบว่าตัวเองนั้น อยู่บนถนนมุ่งสู่หมู่บ้าน แต่เป็นสายที่เธอและนักเรียนใช้เดินทางมาที่หมู่บ้าน และจากภูมิประเทศ เห็นชัดว่าตอนนี้ตัวเธออยู่ห่างจากหมู่บ้านราวๆ 1ชั่วโมงรถม้า....


    ...........​



    โครโนส มองเมื่อร่างของอ.สาวหายไปในประตูมิติ ที่เขาสร้างไว้บนฝ่ามือเขา เหมือนกับปัดให้อีกฝ่ายหายไปในอากาศ ประตูที่ขยายออกและปิดตัวลงพร้อมกับส่งเป้าหมายไปยังจุดหมายปลายทาง ทั้งหมดในเวลาเพียงชั่วพริบตา

    จัดแจงเสื้อผ้าตนให้เข้าที่ มองดูนาฬิกาข้อมือตน จากระยะทางที่เขาส่งเธอไป และ สปีดของเธอเอง น่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 20นาทีกว่าที่อีกฝ่ายจะมาถึงหมู่บ้าน ไม่ปล่อยให้เสียเวลามากไปกว่านี้ เสียงฟุ่บดังขึ้น แล้วร่างเจ้าตัวก็หายไปจากสถานที่ต่อสู้ตรงนั้น






    บริเวณส่วนทุ่งข้าวสาลี ใกล้ๆหมู่บ้าน​





    เป็นที่แน่ชัดว่า แม้จะลังเลต่อคำสั่งของอาจาร์ยในตอนแรก แต่เหล่านักเรียนก็มุ่งที่จะกำจัดเห็ดเพื่อไม่ให้ความคิดฟุ้งซ่านเข้ามารบกวนภารกิจของพวกเขา ปริมาณของเห็ดที่ถูกทำลาย นั้นแม้จะไม่มากในแต่ล่ะครั้ง แต่ก็คงที่ในระดับที่น่าพอใจ (หากว่าวาเลียจะทำตัวดีกว่านี้หน่อย) กระนั้น เห็ดในบริเวณเรือกสวนนั้นก็บั่นทอนกำลังของทั้ง ไลอิโต้ วินดัส และ วาเลียไปไม่ใช่น้อยๆ

    แต่กับผู้ที่ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่อย่าง ฮายาเตะ ทรีค และ อัลรอนเน่ ที่อย่างน้อยก็ช่วยทำลายเห็ดที่เหลือรอดจากการระเบิดอัด และ เห็ดที่ขึ้นตามซอกหลืบต่างๆ ก็ยังรู้สึกถึงเป้าหมายที่ใกล้เข้ามาทุกที กับการกำจัดเห็ดทีทำลายไปถึงสปอร์เห็ด จนอัตตราการฟื้นคืนของเห็ดลดน้อยลงจนอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้



    "ไม่ดีจริงๆนั้น นี่ เมื่อไหร่อาจาร์ยจะกลับมาเสียที?" ทรีคกล่าวอย่างกระวนกระวาย สัญชาติญานนักฆ่าเก่าของเธอมันกระตุ้นเธอไม่หยุด

    "ใจเย็นไว้ทรีค ในสถานการณ์แบบนี้ ความสุขุมสำคัญที่สุด เราจะมากระวนกระวายก็ไม่ได้อะไรขึ้นอยู่ดี" อัลรอนเน่กล่าว แม้ว่าใจเธอและเชื่อว่าคนอื่นๆ(แต่ไม่แน่ใจว่าวาเลียเป็นยังไง)ก็คิดแบบเดียวกัน

    "จากสัมพัสที่ผมจับได้ ปีศาจตนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ผมเชื่อว่าอาจาร์ยจะไม่เสียท่าให้ปีศาจง่ายๆเช่นกัน" ไลอิโต้กล่าว แม้ว่าคำพูดของเขา ใจเขาจะไม่เชื่อเต็มร้อยก็ตามที



    "พี่ชายก็ชมผมเกินไปนะฮะ" เสียงคุ้นๆหูดังขึ้นพร้อมกับความเงียบงันที่เข้ามาแทนที่

    "!!"

    "อะ อัลรอนเน่ ระวัง...." ฮายาเตะร้องเตือน เมื่อเห็นร่างเด็กแปลกหน้าฟุ่บปรากฏตัวจากด้านหลังของ ซิสเตอร์

    "อะไร....ฟุ่บ!" นั่นเป็นคำพูดที่ไม่จบประโยคอุท่านของ ซิสเตอร์สาว


    เหมือนกับตอนที่โครโนสจัดการกับ อ.สาว สิ่งเดียวกันที่ทุกคนเห็น คือฝ่ามือของร่างเล็กกวาดผ่านร่างอัลรอนเน่ และ ร่างของเธอก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา แม้ว่ากับสายตาของทรีคจะเห็นเป็น วงเวทย์สีดำทมิฬเล็กๆในมือของร่างนั้น ขยายใหญ่จนกลืนกินร่างอัลรอนเน่ ก่อนจะปิดตัวลงและสลายหายไป ด้วยเวลาเพียงชั่วพริบตา ก็ตามที


    ...แต่ความเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงพร้อมกับเสียงชักดาบของสาวนางหนึ่ง และ ประกายลั่นเปรี๋ยของไฟที่เข้าห่อหุ้มร่างกายคนแปลกหน้า


    แต่เสียงฟุ่บอีกครั้งร่างของคนแปลกหน้าก็ไปนั่งหอบแฮ่กอยู่บนยอดโรงสีข้าวใกล้ๆ โดยมีร่องรอยของการไหม้ปรากฎบนเสื้อผ้าจางๆ



    "แกทำอะไรกับอัลรอนเน่เจ้าปีศาจ!!" ฮายาเตะตะเบ็งเสียงใส่ ดาบของเธอชี้แน่วไปที่หน้าอีกฝ่าย


    "แค่...ส่งพี่สาวไปไว้ในที่ปลอดภัย...แค่นั้นฮะ" เด็กชายกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยหอบอย่างที่สุด



    แต่นั่นก็เป็นตอนที่พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน บางอย่างกำลังขึ้นมาจากใต้ดิน เริ่มจากเสียงก้อนดินหินแตกออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของก๊าซผวยพ่นขึ้นมาตามรอยแตก และแมลงสีดำหลายร้อยตัวที่พากันไต่ออกมารอยแตกพวกนั้น ทำเอาเหล่านักเรียนถึงกับผงะกับสิ่งที่เห็น แต่เป็นกลิ่นของก๊าซนั่นที่ทำให้ทรีคตะโกนลั่น


    "มีเทน ก๊าซมีเทน!!" กับพวยที่พุ่งขึ้นมาหลายสิบอัน ทั้งบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ และ ในบริเวณหมู่บ้าน ภายในไม่ถึงอึดใจ การหายใจของพวกเขาก็ถึงกับติดขัดทันที


    เพราะโกลาหลกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้คลาดสายตาไปจากปีศาจตรงหน้าไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อหันกลับมาจับตาอีกครั้ง เจ้าปีศาจก็ยืนอยู่ข้างๆกับแท็งค์เหล็กสูงใหญ่อันหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าโพล่งออกมาจากไหนกัน?


    "จนกว่าจะถึงเวลาการระเบิด ในอีก.....5นาทีข้างหน้านี้ผมหวังว่าพี่ๆ...นักเรียนทุกท่าน....จะช่วยอพยพออกจากหมู่บ้านไปด้วยนะฮะ" โครโนสกล่าวทั้งรอยยิ้มที่ปั้นอย่างสุดกำลัง ในตอนที่อักขระสีแดงบนแท็งค์เริ่มนับถอยหลัง.....


    ...05:00...​

    ...04:49...​

    ...04:48...​

    ...04:47...​


    "บี๊บ...บี๊บ...บี๊บ"​



    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .




    เขตบริหารส่วนกลาง โมราเรีย​

    AREA 15 : Debris​


    "ที่นี่มัน?" อัลรอนเน่กล่าวมองยังสถานที่ไม่คุ้นตารอบตัวเธอ



    ...TBC...
  5. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [Escape]

    “เดี๋ยว! ตกลงแกเอาอัลรอลเน่ไปไว้ที่ไหน ตอบมานะ!”
    ฮายาเตะยังคงตะโกนถามเรื่องของเพื่อนสาวเธออย่างไม่สนใจสถานการณ์รอบข้าง หรือแม้แต่เจ้าถังปริศนานั่น

    “เซ้าซี้จริงนะพี่สาวตัวโย่ง ก็ผมบอกแล้วไง พี่เค้าไม่เป็นไรแน่นอน เห็นแบบนี้ผมจริงใจไม่จิงโจ้ได้เหมือนกันนะฮะ”
    โครโนสยังคงยืนยันคำเดิม แต่ด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่ดูกวนประสาทอยู่ดีสำหรับเธอ ทำให้โทสะของฮายาเตะทะลักออกมายิ่งกว่าก๊าซมีเทนรอบ ๆ

    “เทเม๊!!!!!!”
    เด็กสาวถึงกับลั่นเสียงเป็นภาษาท้องถิ่นของเธอที่มีความหมายเดียวกับคำว่า “แก” พร้อมกับ “มุราซาเมะ” ในมือที่ขึ้นพร้อมจะโจมตีอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม หากไม่ใช่เพราะจู่ ๆ ก็ถูกรั้งตัวไว้โดยเพื่อน ๆ ที่เหลือ รวมถึงวินดัสที่ได้ตกกระไดพลอยโจนมาเป็นเพื่อนร่วมทีมด้วยแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    “ใจเย็นก่อน ฮายาเตะ เกิดเจ้าสิ่งนั้นเป็นระเบิดขึ้นมา พวกเราไม่เหลือซากแน่” ทรีคกล่าวเตือน
    “ใช่ ที่สำคัญตอนนี้ก็อย่างที่เจ้านั่นพูด สถานการณ์แบบนี้เราคงต้องรีบหนีก่อน” ไลติโอ้กล่าวย้ำ
    “พูดบ้า ๆ นี่จะให้ทิ้งอัลรอลเน่ แล้วก็ท่านอาจารย์ด้วยรึไง”

    “ถ้าพูดถึงคุณแม่ล่ะก็ ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวก็ได้เจอกัน ถ้าพวกคุณรีบหนีให้ทันก่อนล่ะก็นะ”
    โครโนสพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะยอมเชื่อหรือไม่ แม้จะเดาได้อยู่แล้วว่าปฏิกิริยาตอบรับเป็นดังคาด

    “ใครมันจะไปเชื่อคำพูดหมา ๆ ของปีศาจที่กล้าสวมหน้าเด็กไร้เดียงสาอย่างแก” ด้วยความโมโหที่มีอยู่แล้ว ผนวกกับการที่เจ้าปีศาจในคราบเด็กนี่กล้าเรียกอาจารย์ของตนอย่างจาบจ้วง ฮายาเตะพยายามดิ้นรนให้ทุกคนปล่อยมือ แต่อาจเป็นเพราะความอ่อนล้าจากการทุ่มกำลังจัดการพวกเห็ดไปมาก ทำให้เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอจะสลัดหลุดจากวินดัส ทรีคและไลติโอ้ ทั้งที่ปกติพวกเขามีสมรรถณะร่างกายโดยพื้นฐานด้อยกว่ามากแท้ ๆ
    “ปล่อยฉัน! ฉันจะเค้นทุกอย่างจากปากไอ้หมอนี่”
    “ไม่มีเวลาแล้วนะครับ รีบหนีกันก่อนเถอะ” ไลติโอ้พยายามออกปากเกลี้ยกล่อม
    “ใช่ครับ ถ้ามาตายตรงนี้ จะไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนคุณอีกเลยนะ” แม้แต่วินดัสที่ปกติจะเงียบและพูดน้อยยังพูดแบบเดียวกัน
    “นี่ เจ้ากาแก่ รีบมาช่วยรั้งยัยนี่หน่อยเซ่” ทรีคหันไปเรียกวาเลียที่เอาแต่ยืนเหม่อให้มาช่วย ซึ่งแม้เจ้าตัวจะยังดูเก้ ๆ กัง ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมตามน้ำมาช่วยเสริมแรงดึงตัวเด็กสาวร่างใหญ่ไว้ ในขณะที่ทรีคเองก็หาจังหวะปลดอาวุธในมือฮายาเตะแล้วยึดไว้ชั่วคราว

    “ขอโทษนะครับ ผมคงต้องขอตัวก่อน แต่ผมหวังว่าจะไม่ต้องเจอกับพวกคุณอีก ยกเว้นแต่คุณแม่ ผมหมายถึงอาจารย์ของพวกคุณ” กล่าวจบเด็กชายก็หนีไปทางประตูมิติอีกเช่นเคย

    สุดท้ายแม้จะเจ็บใจ แต่ทุกคนก็จำต้องหนีไปจากที่นี่ก่อน โดยที่ไลติโอ้จำเป็นต้องใช้เวทน้ำแข็งเพื่อแช่แขนขาฮายาเตะให้อยู่นิ่ง ๆ ก่อนที่จะช่วยพากันแบกไป พร้อมกับทนเสียงโวยวายแปดหลอดไม่มีหยุดของเธอ ชนิดที่หากไม่ใช่เพราะเกรงใจผู้เป็นอาจารย์ พวกเขาคงจะทิ้งเธอเอาไว้ทั้งอย่างนี้ไปแล้ว

    “ปล่อยชั้น! ปล่อยชั้นนะไอ้พวกบ้า! ......อัลรอลเน่!!!!!!!!!!!”

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    ในที่สุดก็พ้นเขตระเบิดมาได้อย่างหวุดหวิด และการอพยพผู้คนก็ผ่านไปได้ด้วยดี จะมีแย่อยู่บ้างก็ตรงที่หมู่บ้านกสิกรรมลูเทลล่าถูกทำลายโดยระเบิดครั้งใหญ่ เกิดความเสียหายอย่างมาก โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

    “พวกเธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” อาสึกะผู้ปกติจะเยือกเย็นตลอดเวลาแต่สีหน้าในยามนี้ดูเป็นห่วงเหล่าศิษย์มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพบว่านักเรียนของเธอหายตัวไปหนึ่งคน ตามที่เจ้าปีศาจนั่นว่าไว้ไม่มีผิด

    “อาจารย์ ไม่สิ คุณอาสึกะ ทำไมคุณถึง.... เจ้าปีศาจนั่น...เจ้าปีศาจนั่น มันทำกับอัลรอลเน่ ทำไมคุณถึงไม่จัดการมัน หนีมาอยู่ที่นี่เพราะทิ้งพวกข้ารึไงกัน อั้ก”
    เพราะฮายาเตะเอาแต่โวยวาย โดยไม่เห็นหัวกระทั่งอาจารย์ที่บาดเจ็บสาหัส วิธีเบรกเพียงหนึ่งเดียวที่ครูฝึกสาวจะใช้ได้ ก็คือกระแทกต้นคอให้สลบไปก่อนเท่านั้น

    “เอาล่ะ ช่วยเล่ามาให้ละเอียดซิ ว่ามันทำอะไรพวกเธอบ้าง”

    พวกไลติโอ้เล่าทุกอย่างให้ฟัง รวมถึงทรีคที่อธิบายเหตุการณ์ที่เธอเห็นทั้งหมดตอนที่อัลรอลเน่ถูกพาตัวไป อาสึกะนั่งฟังโดยพยายามพิจารณาสถานการณ์อย่างสุขุม

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเคยต่อสู้กับหมอนั่นมาสองครั้ง ถึงมันจะเจ้าเล่ห์แค่ไหน แต่ลองมันใช้วิธีอย่างว่า เด็กคนนั้นน่าจะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
    อาสึกะไม่กล้าบอกทุกคนถึงข้อสันนิษฐานของเธอที่ลึกไปถึงขั้นที่ว่า เป็นไปได้จะไม่ได้อยู่ในเขตศาสนจักรนี้ และการรับรองความปลอดภัยก็คงไม่ได้ แถมยังเป็นรายที่ชวนให้เป็นเรื่องใหญ่เสียอีก แต่แน่นอนเพราะมันล้ำลึกมากจากข้อมูลเท่าที่เธอรับรู้ โดยเฉพาะฮายาเตะที่ลองตื่นขึ้นมาคงรับไม่ได้แน่นอนกับเรื่องนี้

    “แต่ว่า....แล้วพอจะคาดการณ์ได้ไหมครับว่าเธอไปอยู่ที่ไหน เผื่อพวกเราจะออกตามหาได้”

    “ไม่ อย่าเพิ่ง มันเสี่ยงเกินไป เรายังไม่มีข้อมูล” ทุกคนทันทีที่มองหน้าก็รู้ได้ทันทีว่า ครูฝึกสาวดูเหมือนจำใจต้องกล่าวเช่นนี้ ซึ่งก็จริงทีเดียว จากคำพูดของโครโนส หากไม่มีกรณีคนหายสาบสูญเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ พวกมันคงจะทำให้อะไร ๆ มันแย่กว่านี้แน่นอน

    สุดท้ายแล้วทุกคนก็จำใจต้องกลับไปที่รถม้า โดยอาสึกะได้สั่งให้ทรีคใช้เชือกในคลังที่เตรียมมา เลือกอันที่เหนียวที่สุดไว้จับฮายาเตะมัด เผื่อเธอตื่นขึ้นมาจะได้ไม่อาละวาดจนข้าวของเสียหายอีก

    (ยังมีต่อ แต่ขออนุญาตลงแง้ม ๆ ไว้ก่อน)

    คำศัพท์ญี่ปุ่น(หลาย)ตอนละคำ

    てめえ(เทเม้) = เป็นคำสรรพนามถึงบุคคลที่สองในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายเทียบเท่าคำว่า "แก" บางครั้งจะใช้พูดกับเพื่อนสนิท แต่โดยมากจะใช้ร่วมกับอารมณ์โกรธหรือฉุนเฉียว หรือใช้พูดกับศัตรู โดยเฉพาะการ์ตูนต่อสู้ของลูกผู้ชายจะพบได้บ่อย จัดเป็นคำหยาบเช่นเดียวกับคำว่า キサマ(คิซามะ)ซึ่งความหมายเดียวกัน
  6. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    ไลติโอ้.... เด็กน้อยที่สำเนียงการพูดและลักษณะนิสัยเปลี่ยนไปตามแต่คนแต่ง(ฮา)

    ปล. เมื่อไหร่จะสลบไปซักที่น้า.. จะได้รีบๆปล่อยรายละเอียดเกี่ยวกับความทรงจำที่หายไปซักที
  7. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [ศิษย์และอาจารย์]

    "ฮายาเตะ..... เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ"
    เสียงประหลาดที่ดังกึกก้องและทรงอำนาจ เรียกให้เด็กสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเล็กน้อยขณะควบคุมสติตัวเอง

    "ค...ใครกัน" เมื่อเธอค่อย ๆ เห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศมืดทึบที่ไม่มีอะไรเลยนั้น กลับยังมีร่างใหญ่โตที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับส่องแสงสีขาวอมทองเฉิดฉายจนเธอไม่กล้าเบิกตาเต็มที่นัก เมื่อพิจารณาจากขนาดของรูปร่างอันใหญ่โต เกล็ดที่พบได้ทั่วไปแทบทั้งตัวยกไว้เพียงบริเวณด้านหน้า ใบหน้าที่ยื่นออกมาแลดูคล้ายกิ๊งก่ายักษ์และหายใจออกมาเป็นไอคล้ายเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ และปีกคู่ใหญ่ที่กางแผ่ออกจากข้างหลังนั้น ไม่ต้องปฏิเสธเลยว่าเจ้าตัวนี้ก็คือ

    มังกร(Dragon)

    "แกเป็นใครกัน ไอ้เจ้ามังกร" สำหรับทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ ผู้เกลียดชังสิ่งที่เรียกว่ามังกรทุกชนิด ด้วยมุมมองที่ว่าพวกมันคืออสูรกายตัวร้ายที่คอยออกอาละวาดสร้างความเสียหายแก่ชีวิตมวลมนุษย์ตามอำเภอใจอยู่เสมอ และเป็นศัตรูตัวฉกาจของนักล่ามอนสเตอร์อย่างเธอเสมอมา

    แน่นอนว่า มังกรที่เธอเคยกำราบมาตลอดที่ควบฉายา [ดาบใต้แสงจันทร์] เอาไว้นั้น ก็ล้วนมีแต่พวกตัวร้ายอย่างว่าทั้งสิ้น แม้แต่ในพระคัมภีร์ของทางศาสนจักรเองก็กล่าวถึงมังกรหรืองูใหญ่ที่สื่อถึงมารร้าย และเธอก็เห็นด้วยมากทีเดียว

    "ที่นี่มันที่ไหน แกต้องการอะไรจากชั้น" เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด โดยไม่รอคำตอบของคำถามแรกก่อนเลยแม้แต่น้อย

    "อย่าเพิ่งตกใจเกินไปนัก ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า เพียงแค่ต้องการเรียกเจ้าเท่านั้น" สุ้มเสียงที่ราวกับฟ้าร้องแผดออกมาเป็นถ้อยคำ

    "ใครจะไปเชื่อ มังกรอย่างแกน่ะเหรอ แล้วคิดจะทำอะไรกับชั้นกันแน่"

    ฮายาเตะพยายามชักดาบออกมา ทว่าโชคร้ายที่เมื่อรู้ตัวอีกที ก็รู้สึกอายเมื่อพบว่าตัวเองนั้นเปลือยเปล่า แน่นอนว่าไม่มี "มุราซาเมะ" อยู่ข้างกาย จะมีก็แค่รอยสักบนหน้าอกสำหรับเรียกดาบผ่ามังกรเท่านั้น แต่มันก็เสี่ยงเกินไปที่จะเรียกออกมาต่อหน้าศัตรูที่จะมุ่งร้ายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ร่างของเธอก็ลอยอยู่ ไม่มีพื้นให้เหยียบเพื่อก้าวหลบการโจมตีด้วย จะทำอย่างไรดี

    "ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า"

    "หึ...ช่วย "ช่วย" งั้นเหรอ" ฮายาเตะแทบจะขำออกมากับการเล่นตลกของศัตรูร้ายเบื้องหน้า หรืออย่างน้อยเธอก็มองว่าเป็นเช่นนั้น
    "ถ้างั้น ช่วยตามหาอัลรอลเน่ให้หน่อยสิ เธอถูกไอ้ปีศาจนั่นทำให้หายไป เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ คนอื่นก็พึ่งพาไม่ได้เอาซะเลย เอาเซ่ ถ้าจะช่วยก็ช่วยซะ ให้ชั้นได้เห็นหน้าเธออีกครั้งแล้วจะยกแกไว้"
    แม้จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดให้เจ้ามังกรได้ยิน แต่ในเมื่ออารมณ์ตอนนี้เธอต้องการจะประชดซะอย่าง ใครจะทำไม

    "ทำแบบนั้นไม่ได้" ทว่ามังกรกลับกล่าวปฏิเสธหน้าตาเฉย ดวงตาสีแดงดุจเปลวเพลิงนั้นจ้องเธออย่างสมเพชเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกล่าวต่อ
    "เด็กคนนั้นมีชะตากรรมของตัวเองต้องเผชิญ เช่นเดียวกับเจ้า ที่มีชะตากรรมอันโหดร้ายและยากลำบากรออยู่เช่นกัน ข้ามาเพื่อช่วยชี้แนะและนำทางให้เจ้าเท่านั้น"

    "หึ เพ้อเจ้ออะไรของแกอยู่ได้ เงียบไปเลยไอ้ปีศาจ!!!!"

    มังกรสังเกตเห็นท่าทีที่ไม่ยอมฟังอะไรของเด็กสาว แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังคงกล่าวในสิ่งที่ตนต้องการจะกล่าวมิให้ขาด
    "ไม่มีทางให้เจ้าหนี ไม่มีที่ให้ซ่อนตัว มีแต่เจ้าต้องยอมรับมัน และลุกขึ้นก้าวเดินมาตามเส้นทางของตัวเจ้าเอง มิเช่นนั้นจะไม่มีอนาคตใด ๆ เหลือให้เจ้าอีกต่อไป ที่สำคัญ หากอยากช่วยเพื่อนคนสำคัญของเจ้าจริง เจ้าต้องผ่านมันให้ได้เท่านั้น"

    "หุบปากไปเลย" ทว่าเสียงเล็ก ๆ ของฮายาเตะนั้นป่วยการที่จะหยุดยั้งมังกรยักษ์

    "จงตื่นขึ้น และยอมรับชะตากรรมของเจ้าเสียเถิด ชะตากรรมที่ต้องแบกรับ "พลัง" ในตัวเจ้า"

    "หมายความว่ายังไง" เธอถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

    "พลัง...ของ...มังกร"

    "พลังมังกร พูดอะไรของแกหา" คำนั้นทำให้เธอสับสนว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ ถ้านี่เป็นฝันเธอก็อยากจะตื่นขึ้นให้ได้ทันที

    "เจ้าต้องแบกรับอนาคตของพวกเราทั้งปวง เพราะเจ้าคือ... [ธิดามังกร]"

    ทันใดนั้นก็แสงสว่างก็เปล่งวาบออกมามากขึ้น ย้อมภาพมังกรตรงหน้าเธอให้กลายเป็นสีขาวจนหมดสิ้น เธอได้แต่ร้องทั้งที่ไม่เห็นอะไรอีก
    "อ..อ๊ากกกกก!!!!!!!!"

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    เมื่อเด็กสาวสะดุ้งตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาในรถม้าของโรงเรียนศาสนจักรอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มีบางอย่างไม่ปกติ ที่สังเกตได้ชัดก็คือ ร่างของเธอถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มหนา และเชือกใหญ่ที่มัดทั้งตัวเธอไม่ให้ขยับได้อิสระ

    เธอทบทวนเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง และแน่นอนว่าเธอคิดจะทำเป็นไม่สนใจความฝันบ้า ๆ ที่ไร้สาระนั่น เธอเป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วไป อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ประเภทเดียวกับพวกตัวมีเกล็ดพ่นไฟแบบนั้นแน่ ธิดามังกรอะไรกัน

    แต่ที่เธอต้องสนใจกว่าก็คือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่จะหมดสติไป

    "รู้สึกตัวแล้วรึไง" ทันใดนั้นเสียงสตรีที่คุ้นเคยดังเข้าหูมาจากใกล้ตัว เธอพยายามฝืนขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหา และก็คาดเดาไม่ผิดเลย อาสึกะ บลัดแฟงค์ นั่นเอง ถึงจะมีทั้งพลาสเตอร์และผ้าพันแผลแทบทั้งตัว บ่งบอกว่านางก็ถูกเล่นงานมาไม่น้อยก็ตาม

    ครูฝึกสาวเดินเข้ามาพร้อมกับพูดจาจิกเล็กน้อยทั้งสีหน้าเย็นชาตามที่เห็นอยู่เสมอ โดยมิกลัวเกรงสายตาและสีหน้ากินเลือดกินเนื้อของเด็กสาว ที่สงสัยว่าจับเธอมัดไว้แบบนี้ทำไม
    "อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไปอย่างนั้นแหละดีแล้ว โทษฐานที่โวยวายอาละวาดไม่เข้าเรื่อง ทำให้คนอื่นเขาต้องลำบาก"

    "หนอย..." เด็กสาวกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะต้องถามเสียงดังอย่างลืมมารยาทหมดสิ้น
    "แล้วอัลรอลเน่ล่ะ! หาตัวเจอมั้ย เธอปลอดภัยรึเปล่า!"

    "ไอ้เป็นห่วงเพื่อนมันก็ดีอยู่หรอก แต่เสียใจด้วยนะ เราไม่พบวี่แววของนางเลย ไม่ว่าจะนอกหรือในอาณาเขตการระเบิด"

    แม้จะยอมรับว่าเธอหมั่นไส้อาจารย์ตนอยู่บ้าง แต่เด็กสาวโกรธจัดเมื่อเห็นนางแสดงท่าทางเยือกเย็นได้อยู่อีก จึงระเบิดคำพูดประชดประชันเต็มที่
    "ชิ! เอกโซซิสต์ระดับตำนานเรอะ กะอีแค่เด็กผู้หญิงคนเดียวยังช่วยไม่ได้ สุดท้ายคุณมันก็แค่ดีแต่ปาก อาจารย์ภาษาอะ..อุ๊บ"
    ทว่าเสียงโหวกเหวกของเธอต้องหยุดชะงักทันที เมื่อถูกฝ่ามือที่ยังมีแรงอยู่ไม่น้อยปะทะเข้าที่แก้มอย่างจัง เหมือนที่โดนอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้แรงกว่าที่เคย

    "อย่ามาพูดพล่อย ๆ นะ" น้ำเสียงเยือกเย็นเปลี่ยนเป็นเดือดดาลด้วยโทสะ บ่งบอกว่าเธอโกรธจริง ๆ ชนิดเทียบไม่ติดกับที่ผ่านมา

    ทว่าฮายาเตะก็ต้องประหลาดใจและแทบเปลี่ยนความคิด เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่เกรี้ยวกราดกว่าปกติของอาสึกะนั้น มีน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงเนตรสีเพลิง อย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ได้เจอหน้ากัน

    แน่นอน ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กสาวเผลอพูดในสิ่งที่ไม่สมควรอย่างที่สุด ที่เป็นการทำร้ายจิตใจของ "คมเขี้ยวปราบอสูร" เข้าอย่างจังเสียแล้ว

    "เด็กงี่เง่า ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกนะที่เสียใจ ทุกคนที่นี่ก็มีหัวใจกันหมดนั่นแหละ ถ้าเป็นไปได้ ไม่มีใครอยากให้มันลงเอยแบบนี้กันหรอก"
    ฮายาเตะถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขณะเดียวกับที่อาสึกะก็ตกใจเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอระบายอารมณ์ส่วนตัวใส่ศิษย์รัก ทั้งที่มันเป็นสิ่งไม่สมควรที่สุดในฐานะครูบาอาจารย์

    "ถ้าเธอสัญญา และเต็มใจจะรักษามัน ว่าจะไม่อาละวาดมั่วซั่วเหมือนคนไร้สติ ข้าจะปลดเชือกให้เจ้า"
    เนื่องจากอารมณ์เริ่มเย็นลงบ้างหลังจากรับรู้ถึงความเสียใจที่ไม่แพ้กัน หรืออาจยิ่งกว่าของอาจารย์ ฮายาเตะจึงพยักหน้าอย่างว่าง่ายเหมือนกับแมวเชื่อง ๆ อาสึกะจึงใช้มือของตนตัดเชือกที่หนาและเหนียวแน่นออกอย่างง่ายดายในครั้งเดียว

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    อาสึกะได้เล่าเรื่องการผจญภัยส่วนหนึ่งของตนเองอย่างคร่าว ๆ ตั้งแต่สมัยเด็กที่หนีออกจากบ้านมาเริ่มฝึกวิชาด้วยตนเอง เรื่องราวการได้พบกับมุราซาเมะ คาโอรุ ผู้เป็นอาจารย์ในสำนักดาบที่ฮายาเตะอยู่ จนได้จากกันและพบกับมาเรีย ไลท์เกรซ และได้มาเป็นเอกโซซิสต์ต่อสู้ร่วมกับคนอื่นภายใต้ร่มเงาศาสนจักรมาช้านาน รวมถึงเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นางปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ฮายาเตะจึงกล่าวขอโทษขอโพยอย่างเอาเป็นเอาตายทันทีที่รู้ตัวว่า ตนเผลอทำร้ายแผลเก่าของอาจารย์ตนเสียแล้ว
    “ขอโทษค่ะ ที่หนูพูดจาไม่ดีกับอาจารย์” ฮายาเตะกล่าวขอโทษเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่สำนึกผิด

    “ไม่เป็นไรหรอก แค่เจ้าเข้าใจข้าก็ดีใจแล้ว” นางกล่าวกับลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดที่เด็กสาวเคยได้ยินจากปากของนาง

    “จริง ๆ หนูเองแหละที่ผิด ตัวเองปกป้องเพื่อนไม่ได้แล้วก็ตีโพยตีพาย โทษคนอื่นไปทั่วรวมถึงอาจารย์เองด้วย ในฐานะนักดาบ มันช่างน่าอับอายนัก” เธอพูดอย่างรู้สึกเสียใจยิ่ง ใบหน้าที่เซื่องซึมและน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าแทบจะร้องไห้แล้ว

    “ข้าเข้าใจ ว่าเจ้ารักเพื่อนของเจ้า เจ้ารักเด็กคนนั้นมากแค่ไหน”

    “เค้า.... เค้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของหนู ตั้งแต่คนคบเพื่อนน้อยอยู่แล้วอย่างหนูสูญเสียทุกอย่างไป และทุ่มเททุกอย่างอยู่แค่การตามล้างแค้น เค้าเป็นทั้งผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้ถึงสองครั้ง ช่วยให้ได้เข้าเรียน และยังเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ใกล้ชิดที่สุดสำหรับคนที่ไม่มีใครชอบอย่างหนู”
    ฮายาเตะเว้นวรรคสักครู่ เมื่อเห็นครูฝึกสาวนั่งฟังอย่างตั้งใจจึงค่อย ๆ กล่าวต่อ
    “ถึงแม้จะมีคนอื่นที่เรียกเค้าว่าซิสเตอร์จอมโหดหรือคนเย็นชาอะไรก็ตาม แต่สำหรับหนู เค้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มีอยู่ สำหรับคนที่จำเป็นต้องทำตัวให้เยือกเย็นและแข็งกร้าวเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าอ่อนแออย่างหนู ไม่รู้ว่าทำไม แต่มีเค้าคนเดียวเท่านั้นที่หนูกล้าแสดงความเป็นกันเองให้เห็นได้ บางครั้งยังเห็นเค้าเป็นเมืองน้องสาวคนนึงเสียด้วยซ้ำ”
    “และเพราะกลัวว่าจะสูญเสียไปเนื่องจากไม่สามารถช่วยไว้ได้ เหมือนพวกที่โรงฝึกและคนในหมู่บ้าน ก็เลยอยากทำตัวเข้มแข็งให้เป็นที่ยอมรับ อย่างน้อยก็อยากให้เค้าสักคนที่ยอมรับ เพื่อจะสามารถปกป้องเค้าจากศัตรูและภยันตรายต่าง ๆ ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก หนูถึงได้พยายามมาตลอด จนต้องแสดงบุคลิกที่ชวนให้คนอื่นเกลียดขี้หน้าขึ้นไปอีก เพียงเพราะอยากแสดงให้เห็นว่าเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้สำหรับเค้าเท่านั้น”
    “แล้วก็ไม่นานนี้ก็เพิ่งปรับความเข้าใจกันได้แล้วแท้ ๆ แต่ว่า.....แต่ว่า.... ทำไม....ทำไมกัน”
    ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่สังเกตเห็นได้ชัดว่า เด็กสาวร่างสูงเพรียวผู้ห้าวหาญและกวัดแกว่งดาบใส่สัตว์ประหลาดมานับไม่ถ้วน และชอบทำตัวกร่างคิดว่าตัวเองแน่อยู่ตลอด ตอนนี้กลับร้องไห้ออกมาเฉกเช่นตอนที่ผิดใจกับอัลรอลเน่ ไม่สิ ครั้งนี้อาจจะร้องไห้มากกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ
    “ถ้าข้าแข็งแกร่งกว่านี้ นางก็คงไม่ต้อง.....”

    “พอเถอะ” อาสึกะกล่าวขึ้นพร้อมยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเด็กสาวเพื่อปลอบ สังเกตดี ๆ นางก็ยังคงน้ำตาไหลด้วยความสงสารและเห็นใจเธอเช่นกัน
    “คนเราต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน บางครั้งก็ไม่สามารถฝืนชะตาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร จะเป็นเพื่อนรักกันแค่ไหน เมื่อถึงเวลาจากก็ต้องจากกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงจะไม่มีเหตุการณ์ในวันนี้ จะช้าหรือเร็ว สักวันเจ้ากับเด็กคนนั้นก็อาจจะต้องเดินแยกไปตามเส้นทางของตัวเองอยู่ดี”
    สาวใหญ่ค่อย ๆ บรรจงเช็ดน้ำตาและลูบหัวโอ๋เด็กสาวอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน เพื่อปลอบประโลมนางที่สุดเท่าที่จะทำได้
    “แต่ใช่ว่าจะไม่มีความหวัง ในเมื่อยังไม่มีข่าวการเสียชีวิตของเด็กนั่น และอนาคตก็หาเป็นสิ่งที่แน่นอนไม่ คนเราบางครั้งเมื่อจากกันได้ ก็อาจมีวันได้พบกันอีกครั้งได้เช่นกัน ถึงมันจะไม่แน่นอนว่าเป็นไปได้หรือไม่ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ตอนเช้า อีกหลายปี หรืออาจจะเป็นโลกหน้าเลยก็ได้ แต่ข้าก็ยังเชื่อนะ ว่ายังมีความเป็นไปได้ ที่เจ้ากับนางจะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วเจ้าล่ะ ยังมีความหวังนั้นอยู่หรือเปล่า”
    ฮายาเตะพยักหน้างึก ๆ ทั้งน้ำตาเหมือนลูกแมว
    “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องตั้งใจเรียน ฝึกฝนตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจให้เก่งกล้าและเข้มแข็งขึ้นกว่านี้ ปรับปรุงตัวให้มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ยอมรับความจริง หัดคบหาคน เข้าอกเข้าใจคนรอบข้างให้มากขึ้น รู้จักการประสานงานกับพวกพ้องให้มากกว่านี้ เมื่อถึงตอนนั้น จงแสดงการเปลี่ยนแปลงของเจ้าให้ได้เห็น เพื่อให้นางไม่ต้องลำบากใจอีก ถึงมันอาจจะยาก แต่เจ้าพร้อมหรือไม่ล่ะ”

    “ค่ะ อาจารย์ แต่ว่าอย่างน้อยตอนนี้ ขอเป็นครั้งสุดท้าย.....ที่หนูจะทำตัวแบบนี้อีก” เด็กสาวหยุดประโยคไว้ ก่อนที่จะโผใบหน้าทั้งน้ำตาเข้าซบอ้อมอกของอาสึกะ แล้วร้องไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มที่เหมือนเด็กเล็ก ๆ ขี้งอแงธรรมดา

    ทางครูฝึกสาวเองก็โอบกอดร่างของศิษย์รักเอาไว้อย่างแนบแน่น โดยมิรังเกียจแม้เครื่องแบบคลุกฝุ่นของเธอจะเปื้อนคราบน้ำตาซ้ำอีก

    ที่จริงแล้ว เมื่อก่อนนี้ อาสึกะ บลัดแฟงค์ เองก็เคยปลอบโยนความเศร้าโศกของมุราซาเมะ คาโอรุ ผู้ที่นางรู้สึกเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเช่นกัน จึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะปฏิเสธศิษย์ที่ถูกฝากฝังส่งต่อมาสู่นาง และตอนนี้นางก็อยากให้ฮายาเตะร้องไห้ออกมาเท่าที่อยากจะร้อง เพื่อต่อไป จะได้เข้มแข็งขึ้นเพื่อที่จะเผชิญกับสิ่งที่เด็กคนนี้ต้องแบกรับต่อไป และถึงตอนนั้น นางก็จะบอกทุกอย่างที่ฮายาเตะควรจะรับรู้เอาไว้ เมื่อถึงเวลาเด็กสาวพร้อมที่จะยอมรับมัน

    ชะตากรรมของ “ทายาทแห่งราชามังกร” ผู้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์ที่ได้รับเลือกจากพระเจ้าให้ปกป้องคุ้มครองโลกนี้อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ที่ศาสนจักร ณ ห้องสมุดแห่งกาลเวลาในยามวิกาล

    “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นถึงขนาดนี้” หญิงชราถึงกับออกอาการเมื่อสังเกตเห็นภาพถ่ายที่ตนได้รับ เกี่ยวกับการกระทำของชายผู้นำภัยร้ายมาสู่ศาสนจักร และยังเคยเกือบทำมิดีมิร้ายบุตรสาวของท่านคาร์ดินัลฟรังซิสมาแล้ว

    “ถูกต้อง นี่เป็นหลักฐานที่มากพอจะตลบหลังคนอย่างหมอนั่นแล้ว ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ในความชั่วช้าของมันก็ตาม” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเล็ดลอดผ่านฮูดสีดำที่ปิดซ่อนใบหน้าของเขาอย่างแนบเนียน แต่ในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความคับแค้นอย่างชัดเจน

    “แต่ว่า เจ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเจ้าจะพลอยติดร่างแหไปด้วยรึ ไหนจะอาจารย์ของเจ้าอีก” นางถามอย่างเป็นห่วง ในขณะที่ตัวนางนั้นเป็นแค่ฝ่ายข้อมูลที่ทำตามหน้าที่ ไม่ได้รับผลกระทบมากนักอยู่แล้ว แต่คนที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์อย่างอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะแย่

    แต่เจ้าของร่างที่ปกคลุมด้วยเสื้อผ้าสีดำมิดชิดดูลึกลับนั้นกลับส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ
    “เจ้าชูวครอสมันก็ต้องถูกมัดตัวด้วยที่มาของหลักฐานที่มันมีเหมือนกัน แต่ข้าต้องทำเช่นนี้เพื่อปิดทางหนีมิให้เล็ดรอดไปได้อีก ที่สำคัญข้าจะไม่ยอมให้ท่านอาจารย์ต้องเดือดร้อนเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะขอรับผิดชอบด้วยตัวเอง”

    “แต่นั่นอาจทำให้เจ้าไม่เหลือชีวิตรอดอีกเลยก็ได้นะ” หญิงชราย้ำเตือนถึงความเสี่ยงที่ได้รับ ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเขาที่ต้องแบกรับมันอย่างหนักหนาสาหัสแน่นอน

    “ถึงจะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็มิอาจปล่อยให้ศัตรูของข้า ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น ศัตรูของอาจารย์และศาสนจักรของท่านมาเรีย ได้เหยียบย่ำความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่เด็ดขาด” บุรุษลึกลับยืนกรานหนักแน่น

    “แล้วเจ้าคิดหรือว่า นางจะพึงพอใจกับสิ่งที่เจ้าทำโดยพลการอย่างนี้”

    “ถึงจะต้องถูกนางเกลียดไปตลอดชีวิต ข้าก็ยินดี หากมันเป็นการทำเพื่อนางและศาสนจักรที่นางรักด้วยแล้วล่ะก็”

    เมื่อเห็นว่าไม่สามารถฉุดรั้งเขาไว้ได้อีกแล้ว หญิงชราก็ได้เพียงถอนหายใจ ก่อนที่จะกล่าวทิ้งท้าย
    “เข้าใจแล้ว แต่อย่าฝืนเกินตัวนักล่ะ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้า”

    “นั่นเหมาะกับพวกท่านมากกว่า” [นินจา]หนุ่มหันหลังกลับและเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบราวกับไม่มีใครเข้าออกตั้งแต่แรกแล้ว

    “เฮ้อ ไม่ว่าเมื่อไหร่ “อีกา” ก็ยังคงเป็น “อีกา” อยู่เสมอสินะ” นางนึกถึงสิ่งมีชีวิตจำพวกนกที่มีขนสีดำ และคอยจิกกินซากศพโดยไม่สนใจว่าจะถูกเรียกเป็นสัตว์อัปมงคล คล้ายกับเขา ที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร จะต่างไปอย่างเดียวก็คงเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” และ “ความแค้น” กระมัง

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของคน ๆ หนึ่งก็กำลังวิ่งตามหลังชายหนุ่มมาอย่างรีบร้อน
    “โครว!”
    เสียงเด็กสาวรุ่นคนหนึ่งในเครื่องแบบนักเรียนของศาสนจักร เรียกชื่อบุรุษผู้ถูกเรียกว่า “อีกา” ที่เธอต้องการจะคุยด้วย
    “สึบาเมะงั้นรึ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อเธออย่างแผ่วเบา เขารู้ดีว่าตัวจริงของนางก็อยู่ในฐานะเดียวกับเขา และเขาก็พอเดาได้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร

    “โครว ขอร้องล่ะ เลิกทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้สักทีเถอะ ทำแบบนี้ไปท่านอาจารย์กลับมารู้เข้า ท่านต้องโกรธแน่”

    แม้จะฟังดูก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงเขาแค่ไหน ทว่ามันก็ยังคงเป็นแค่ประโยคเดิม ๆ ที่นางชอบกรอกหูเขาไม่รู้กี่ครั้งอย่างไม่รู้จักเข็ด แต่เขาก็ยังคงรักษามารยาทที่สุดกับรุ่นน้อง โดยคำตอบที่ยังคงเช่นเดิม
    “เสียใจด้วย ยิ่งตอนนี้ข้าถอยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” คำพูดของเขายังคงเย็นชาดังที่เป็นอยู่เสมอเมื่อตอบคำถามประเภทนี้กับเธอ
    “ครั้งนี้ หากกำจัดเจ้าชูวครอสไม่ได้ ข้าก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไปอยู่ดี โปรดเข้าใจข้าเสียบ้างเถอะ”

    “แต่ว่า....ถ้าโครวเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันคง.....” นางกล่าวทั้งที่ก้มหน้าหลบตาทำท่าอิดออด

    “ถ้าว่างจะห่วงคนอย่างข้าล่ะก็ ห่วงตัวเองกับหน้าที่ที่ต้องทำจะดีกว่านะ”

    “แต่ว่า...”

    “อย่าให้ข้าต้องพูดอีก สึบาเมะ”

    คำพูดเย็นชานั้นเป็นการทิ้งท้าย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินหายลับไปในเงามืด ทิ้งไว้ให้นินจาสาวผู้เป็นรุ่นน้องได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนที่จะคุกเข่า แล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่าง และมันก็ไม่เพียงพอที่จะปลอบโยนเธอ

    โครว นามของเขาหมายถึงอีกา และเขาเองก็มักแต่งกายด้วยชุดสีดำไม่เว้นแม้แต่เครื่องแบบนินจาของเขาเอง เขาเป็นนินจาที่มีทั้งฝีมือและประสบการณ์ เนื่องจากเขาจัดเป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ของอาสึกะ บลัดแฟงค์ ผู้คอยฝึกฝนคนที่นางคัดเลือกเป็นพิเศษให้ทำงานในฐานะสายลับของศาสนจักร และถูกเรียกว่า “นินจา” ตามคำที่ใช้เรียกเหล่าผู้เป็นทั้งสายลับและมือสังหารชั้นยอดของดินแดนทางตะวันออก โดยปกติแล้วโครวจะเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็น นอกจากฝีมือการต่อสู้เป็นเลิศแล้ว ยังเป็นจอมวางแผนที่ชาญฉลาด เป็นรุ่นพี่ที่หลายคนนับถือ และยังจงรักภักดีต่ออาสึกะผู้มีพระคุณยิ่งชีพ ทว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาสึกะ หรือเกี่ยวกับชูวครอส วาลาเดียน่า ล่ะก็ ตัวเขาจะร้อนรนเหมือนเป็นคนละคนทีเดียว

    เท่าที่เด็กสาวเคยทราบมา ในอดีต โครวเคยเป็นนักเรียนของศาสนจักร และเป็นรุ่นน้องที่สนิทกับชูวครอส วาลาเดียน่า มากเป็นพิเศษ แต่ในอดีตเขาเคยทราบเรื่องทุจริตของชูวครอส และด้วยความผิดหวังในตัวรุ่นพี่เขาจึงนำไปรายงานให้มาเรียทราบ แม้เรื่องนั้นจะไม่ถูกป่าวประกาศโดยทั่ว แต่ก็เป็นเหตุผลให้ชูวครอสไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปา ชูวครอสก่อนที่จะลาออกไปเป็นแม่ทัพ จึงได้ใส่ร้ายว่าโครวกบฎต่อศาสนจักร และสร้างหลักฐานปลอมขึ้นจนชายหนุ่มไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้เลย

    แต่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดนั้น อาสึกะซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชูวครอสอยู่แล้วได้ช่วยเหลือเขาไว้ และให้เขามาเป็นนินจา ทำงานอยู่ในเงามืดไม่มีใครพบเห็นแทน โครวจึงซาบซึ้งบุญคุณของอาสึกะมากและสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อนาง เด็กสาวรู้มากกว่านั้นอีกว่า โครวนั้นหลงรักอาสึกะมากกว่าความเป็นศิษย์อาจารย์เสียด้วยซ้ำ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อนาง แม้ต้องฝ่าฝืนคำสั่งแม้แต่การทำเรื่องนอกรีตที่นางเกลียดนักเกลียดหนา

    ตัวอย่างล่าสุดก็คือ การที่โครวได้แอบติดต่อซื้อขายสิ่งที่เรียกว่า “กล้องถ่ายภาพ” คุณภาพดีจากบริษัทต่างชาติเดียวกับที่ชูวครอสแอบติดต่อ เพื่อแอบบันทึกภาพที่ชูวครอสแอบสั่งซื้อ “ยูคิคาเสะ” และเป็นไส้ศึกให้กับจักรวรรดิ เพื่อใช้ตลบหลัง แถมยังใช้เครื่องคัดลอก(เครื่องถ่ายเอกสาร)ขนาดพกพาจากเจ้าเดียวกัน เพื่อให้เป็นหลักฐานมัดตัวเผื่อไว้เป็นจำนวนมากด้วย เพื่อการล้างแค้นของเขา โดยมีความปลอดภัยและสงบสุขของศาสนจักรพ่วงมาเป็นของแถม และตอนนี้มันก็ถึงมือทั้งฝ่ายห้องสมุด ฝ่ายคาร์ดินัลผู้ไต่สวน และฝ่ายมาเรียแล้ว

    แต่ไม่ว่าผลสรุปจะออกมาอย่างไร ก็ไม่แคล้วว่าโครวต้องถูกสอบสวนเรื่องที่มาของภาพแน่นอน และหากเรื่องการแอบติดต่อกับ [บริษัท] นั้นถูกเปิดโปง ตัวเขาก็ต้องซวยไปด้วยแน่ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ตัวเขาก็ต้องถูกลงโทษหนัก เลวร้ายที่สุดก็อาจเป็นการประหารชีวิต แค่คิดเด็กสาวก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับแทนเขาแล้ว

    เพราะตัวเธอนั้น “รัก” เขามากเช่นกัน ทว่าถึงจะเป็นห่วงเป็นใยเขาแค่ไหน เขาจะไม่เคยตอบสนองความต้องการของเธอเลย

    “ขอโทษด้วยนะ สึบาเมะ แต่ในใจของข้า มีแต่นาง.... แล้วก็ การล้างแค้นไอ้หมอนั่นเท่านั้น และข้าก็พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านั้น โดยไม่ยอมให้เปื้อนมือนางแม้แต่น้อย”
    ชายหนุ่มรำพึงอยู่เพียงลำพัง พลางมองชมพระจันทร์ยามค่ำคืน ที่เขาอาจจะเห็นมันได้อีกไม่กี่ครั้งเท่านั้น

    [To Be Continued]

    ในที่สุดตัวรองกลุ่มใหม่ก็เผยโฉมแล้ว พวกเขาจะมีผลต่อเรื่องวุ่นวายในศาสนจักรอย่างไร โปรดติดตาม.....ตามคนเขียนคนถัดไป

    ปล.ทำไมพอเอาพวกนี้ออกมาแล้ว อาสึกะดูเป็นนางเอกแทนฮายาเตะไปทันตาซะอย่างนั้น >_<
  8. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    หลักฐานดีแค่ไหน ระวังเรื่องข้อกฏหมายด้วยเน้อ ประเดี๋ยวจะเจอเดจาวูกันอีกรอบ

    (สองรอบก็พอแล้วนะ ผิดหมดแต่ข้อกฎหมายทำให้รอดตัว :hsunglass: )


    บริษัท - เราควรจะบอกเรื่องนี้กับ ชูครีมไหม?

    จักรวรรดิ - ...ปล่อยให้มันหัวหมุนไปก่อน

    โครโนส - เอาคุณหมาป่ามาผมจะเชือดมันเอง

    :penwhat:
  9. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    สถานการณ์ปัจจุบันของครอบครัวนี้

    โครว - ไหน ๆ ข้าก็ต้องตายอยู่แล้ว ถ้าถึงที่สุดจริง ๆ อย่างน้อย ไอ้หมอนั่นต้องลงนรกไปด้วยกัน

    สึบาเมะ - โครว เลิกซะทีเถอะ ท่านกำลังจะสร้างปัญหาให้ท่านอาจารย์เสียเองนะ

    กล่าวฝ่ายอาจารย์สาว
    อาสึกะ - สังหรณ์ใจไม่ดีเลยแฮะ หวังว่านายคงไม่ทำเรื่องบ้า ๆ อีกนะ โครว

    ฮายาเตะ - ตกลงชั้นเป็นนางเอกใช่ไหม

    มาลิค(งอกมาจากไหนฟระ) - ข้าว่าไม่ใช่ว่ะ

    เทพมังกร - ....(เฝ้าดูอย่างเดียวยังไม่ทำอะไรทั้งสิ้น)
  10. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ขณะเดียวกัน​

    ค่ายทหารแห่งหนึ่งไม่ระบุที่ตั้ง ใกล้ไลท์เกรซ​


    ค่ายที่ซ่อนตัวอยู่ในจุดแวะพักร้าง ที่นี่ กึ่งกลางระหว่างไลท์เกรซ และ ชายฝั่งทะเล เป็นที่ตั้งของค่ายทหาร หนึ่งในหลายๆค่ายที่ตั้งอยู่รอบๆไลท์เกรซ ในฐานของ จุดตรวจตราชั้นใน นอกเหนือไปจากบรรดาหัวเมืองชายขอบเขตศาสนจักร


    แต่เป็นที่นี่ ที่ ซานโดร คาร์ดินัลจอมทะเล้น และ องค์ประมุขสูงสุดของศาสนจักร ถูกขุมขังเอาไว้ จริงๆคำว่ากักตัวไว้น่าจะถูกกว่า แต่ด้วยสภาพที่สองมือถูกมัดรั้งให้เจ้าตัวต้องยืนในท่า ปลายนิ้วเท้าแตะกับพื้น และ อาภรณ์ใดๆที่มีถูกแทนที่ด้วยเศษผ้าและเครื่องพันธนาการแทน ร่องรอยเฆี่ยนตีเห็นได้อย่างชัดเจนตามร่างกาย ลมหายใจอดกลั้นต่อความเจ็บปวดกระเพื่อมเป้นระยะๆ

    เขาน่าจะสามารถดิ้นรนหลุดจากสายโซ่ที่มัดมือเขาได้ไม่ยากนัก แต่เมื่อโฮปของเขาไม่อยู่กับตัว และ ความรู้สึกที่ว่าร่างกายอ่อนล้าอย่างแรงจนน่าประหลาด นี่คงเป็นมาตราการที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้กับเขากระมัง?


    "นี่มันกี่วันแล้วกัน?" เพราะไม่ได้เห็นแสงตะวันใดๆหลังถูกคร่ากุมมา สัมพัสเวลาจึงออกจะเพี้ยนไปบ้าง


    ทว่าแม้จะถูกทรมาน แต่คนที่ดูจะทรมานมากที่สุด กลับเป็นหนุ่มแว่นผมเงินยาวที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง กับเสื้อผ้ายับหลุดลุ่ย รอยคล้ำใต้ตา และ อาการกระสังกระส่าย กับกองเอกสารภาพถ่ายที่ร่วงหล่นบนพื้น


    "ใครกัน? ฝีมือใครกัน?" ชูครอสพีมพำกับตัวเองมาครึ่งค่อนวันแล้ว


    ภาพถ่ายและจดหมายข่มขู่ นั่นคือสิ่งที่เขาได้รับเมื่อวันก่อนหน้านี้ พยายามจะสืบว่าใครเป็นตัวการทำเรื่องนี้ แต่คนของเขาที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่พบความผิดปรกติใดๆ แต่เป็นคนของเขาที่จับตาหอสมุดแห่งความรู้ ที่ให้ข้อมูลถึงแหล่งข่าวไม่ทราบนาม ที่เป็นตัวการนำเรื่องของเขาไปแฉให้ฝากของหอสมุดรับทราบ

    อาซึกะรึ? ไม่ๆ ไม่ใช่เจ้านั่นแน่ พื้นเพของคนอย่างมันไม่มีทางลดตัวมาทำเรื่องต่ำๆอย่างนี้แน่ รึจะเป็นพวกหอสมุด ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ พวกนั้นนอกจากหมกตัวอยู่กับหนังสือแล้ว ไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้ รึจะเป็นพวกบริษัท ถึงน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่จดหมายที่ขู่ให้เปิดเผยความจริงเอง ก็ไม่น่าจะมาจากบริษัทได้อีกนั่นแหละ

    ตอนแรกที่เขาคิดจะนำตัวซานโดรขึ้นศาลเพื่อประจานและแก้แค้นในเวลาเดียวกัน แต่ในเมือเป็นแบบนี้แล้ว หากรั้งจะแก้แค้นและทำในสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมานาน ตัวเขาคงไม่พ้นตะแลงแกงอีกคนแน่ ไม่ใช่ตอน อำนาจของเขายังไม่มั่นคงดีพอ จะบุ่มบ่ามเสี่ยงขนาดนั้นไม่ได้ สิ่งที่เขาสร้างสมมา เกียรติของวงตระกูลจะมาพินาสด้วยมือเขาไม่ได้เด็ดขาด


    ไม่สิ เขามีซานโดรในมือ เขาจะใช้มันนี่แหละต่อรองเพื่ออำนาจและตำแหน่งที่เขาใฝ่ฝันถึง ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ได้ เจ้าพวกนั้นจะเอาภาพไปแฉ จบสิ้นกัน ไม่นะ ต้องเอามันไปประจาน แต่เราจะจบสิ้น ไม่นะ ไม่นะ แต่หลักฐานพวกนั้นก็แค่ภาพถ่าย อาจทำปลอมก็ได้ ใช่เราจะให้การว่านั่นเป็นการใส่ร้าย เป็นแผนชั่วของพวกนอกรีต ใช่ ใช่ เขาจะแพะมาสักคน ที่มารับสารภาพ กำจัดเมื่อใช้งานเสร็จ ใช่ๆ ใช่ ใช่


    เหม่อมองคนที่ถูกแขวนไว้ ชูครีมยิ้มระรื่น ก่อนจะกลับไปบึ้งตึงอีกครา


    ไม่ได้ แต่เจ้าซานโดรมันรู้ความลับเราแล้ว น้ำหนักคำพูดของมันหนักกว่าเขาเราแน่ๆ ถ้ามันบอกว่าเราเป็นคนจัดฉากล่ะ? จะกำจัดมันทิ้งยังไงดี ต้องกำจัด ถึงไม่ได้ตำแหน่ง แต่เรายังสามารถจัดแจงตั้งหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคำสั่งเราได้ ใช่ๆ ใช่ ใช่ เอาแบบนี้แหละ ต้องกำจัดมันออกไปเสีย แต่ยังไงล่ะ?


    "บอกชั้นทีสิ ซานโดร ชั้นควรจะทำยังไงกับแกดี? ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ชั้นคงจะเอาแกขึ้นศาลไม่ได้แล้ว แต่ชั้นก็คงจะปล่อยแกไว้ไม่ได้เหมือนกัน?"

    ใช้แส้ของตนฟาดเหมือนเค้นหาคำตอบจากคนตรงหน้า ชูครอสฟาดไม่ยั้ง เพื่อคลายอารมณ์่ของเขาออกบ้าง


    หากแต่ซานโดรกลับนิ่งเฉย และมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาแทน ไม่สิ ไม่ใช่เย็น สายตาดูถูก สมเพศ!!


    "อย่ามองชั้นด้วยสายตาแบบนั้นนะแก ร้องห่มร้องไห้ ร้องขอชีวิตสิ ชั้นจะฆ่าแก แกไม่กลัวบ้างหรือไง?"

    อย่างไรก็ตาม ชูครอสได้แต่หงุดหงิดเป็นทวีคูณที่เห็นใบหน้าอีกฝ่าย ไม่ออกอาการหวาดกลัวต่อคำขู่แต่อย่างใด หรือเขาควรใช้ดาบน้ำแข็งจัดการเลยดี?


    ความจริงที่ว่าเขาแอบพาตัวอีกฝ่ายมาที่นี่เพียงลำพัดสองคนนั้นเป็นที่ทราบกันเฉพาะคนสนิทของเขา แต่เรื่องที่เขาติดต่อกับบริษัทและเจ้าการ์เดี้ยนนั้นมีแต่เขาที่รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก แต่กำหนดการให้การขึ้นศาลทหารนั้นก็เป็นตัวเร่งรัดให้เขาสติแตกมากขึ้นไปอีก

    !!


    ใช่แล้ว นี่แหละ เอาวิธีแบบนี้ก็ได้ จะได้กำจัดพวกน่ารำคาญไปได้ในคราวเดียวกัน ยิ้มกว้างให้กับความคิดอันบรรเจิดของตน ชูครีมคิด

    "ยินดีด้วยนะซานโดร ชั้นคิดหาวิธีเด็ดๆเพื่อกำจัดแกและเอื้อประโยชน์ให้ชั้นได้ด้วยล่ะ" แกกล่าว พร้อมกับของในมือที่เขามุบมิบอะไรบางอย่างอยู่

    "ไหนๆนี่อาจะเป้นครั้งสุดท้ายแล้วที่แกจะได้เจอหน้าชั้นและนังเด็กผู้หญิงน่ารำคาญนั่นด้วย" ซานโดรถลึงตาทันทีที่อีกฝ่ายพูดถึงอัลรอนเน่ แต่สติของเขาก็อยู่ได้ไม่นานนักเมื่อ กลิ่นหวานๆของผ้าที่อีกฝ่ายนำมาโปะหน้าเขา ชิงเอาสติของเขาไป



    ....
    ...
    ..
    .





    "ท่านผบ?"

    "อะ อ่อ อืมมม" ไม่แน่ใจว่าเหงื่อแตกไปกี่เม็ดแล้ว แต่เท่าที่เขารู้ หวังว่าฤทธิยาที่เขาฉีดให้ซานโดรจะไม่หมดฤทธิ์เสียก่อน แม้ว่าจะแก้ต่างไปว่าเป็นอาการมนต์ดำของพวกปีศาจใช้ปิดปากไม่ให้อีกฝ่าย แพร่งพรายความลับก็ตามที แต่เขาไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าจะกลบเกลื่อนไปได้นานแค่ไหนกัน


    ฉายภาพนิ่งที่บนสไลด์ให้ คณะศาลได้รับชม ภาพที่เลือกอย่างดีให้ดูเหมือนว่า ซานโดรและปีศาจตัวดำพวกนั้น ได้โจมตีเรือลาดตระเวณ และ ซานโดรพยายามจะฆ่าท่านผบอย่างเลือดเย็น ก่อนจะจบด้วยการคร่ากุมตัวแก และ ยิงเรือของพวกปีศาจจมลง


    "จำเลยมีอะไรจะแก้ต่างไหม?"

    "...." ซานโดรในชุดนักโทษไม่ได้กล่าวอะไร แววตาแกเหมือนคนเมายาหน่อยๆ


    "เชิญท่านผบนำเสนอหลักฐานต่อ"


    ชูครอสยิ้มบางๆ ยา และ มนต์ดำ สองอย่างที่ไม่เหมือนกันเลยแต่คล้ายกันมากในหลายๆทาง ใช้ยาแล้วอ้างว่ามนต์ดำ หรือใช้มนต์ดำแต่บอกว่าเป็นเพราะยา เขาคิดถูกที่จัดการใส่ยา ที่เขามักใช้กับพวกปีศาจ เพื่อให้พวกมันคายความลับใดๆที่มี แม้ว่ากับซานโดรจะทำได้แค่ปิดปากไม่ให้แกคิดหรือพูดอะไรออกมาก็ตาม จริงๆต้องใช้พลังของเขาเข้าลดทอนและกดดันร่างกายแกด้วย ว่าเพราะยาอย่างเดียวมันเอาไม่อยู่จริง มาคิดอีกที เขาก็ใช้ทั้งมนต์ดำและยาจริงด้วยสินะ?


    ภาพที่ซานโดรแอบตกลงอะไรบางอย่างกับ เด็กชายผมทองเองเขาเสียดายว่าไม่สามารถหามาได้ และการเอาสำเนาใบสัญญาที่ซานโดรทำกับโครโนสมาแสดง ยิ่งเป็นไปไม่ได้อีก แกจึงมาจบลงที่รายงานสายของแกใกล้กับเดบลิส ถึงกิจกรรมแปลกๆของคนแปลกหน้าในเมืองดังกล่าว พร้อมกับหลักฐานที่เขา(แอบทำปลอมขึ้นมา)หามาได้จากการไต่สวนพวกชาวบ้านใกล้เคียง ถึงการอ้างอิงหนังสือสัญญาที่ ตัวซานโดรทำไว้กับปีศาจ ทำให้พวกเขาได้รับความเดือนร้อนจากการรุกรานของพวกปีศาจ (ชาวบ้านผู้ที่เคยเป็นชนชันปกครองในเมืองมาก่อน)


    แม้จะต้องอธิบายค่อนข้างยาว แต่เมื่อจบการอธิบาย สีหน้าเขม่นปรากฏบนใบหน้าของศาลแทบจะทุกคน ทำให้เขามั่นใจถึงหลักฐานชิ้นนี้มากขึ้นไปอีก

    การซักไซร้ไล่ความยังดำเนินต่อไปอีกหลายชั่วโมง ทว่าซานโดรที่ชูครอสกล่าวอ้างว่า โดนมนต์ดำของพวกปีศาจจัดการปิดปาก ก็ไม่สามารถโต้แย้งสิ่งใดได้ ขณะที่ชูครอสระดมใส่หลักฐานที่แกหามาได้ให้ศาลรับรู้แต่เพียงฝ่ายเดียว จนกระทั่งมาถึงการปิดคดีของทั้งสองฝ่าย



    "ศาลที่เคารพ ผมเสนอว่าเราควรจะลงโทษคาร์ดินัลคนนี้ให้หนัก จากความผิดที่แกก่อไว้ หากปล่อยเอาไว้จะเป็นเยี่ยงอย่างให้กับคนอื่น และที่สำคัญเราต้องรักษาสถานภาพอันน่าเคารพ และ ศักดิ์สิทธ์ของศาสนจักร ไม่ให้แปดเปื้อนโดยคนเช่นนี้ขอรับ"


    "จำเลยมีอะไรจะแก้ต่างเพิ่มเติมอีกไหม?" หัวหน้านายทหารกล่าวถามอีกครั้ง


    "....." แน่ล่ะว่าไม่มีอะไรออกมาจากปากของจำเลย นอกจากเสียงครืดๆอีกครา


    "ถ้าเช่นนั้นคงไม่ต้องใช้หลักฐานอื่นอันใดแล้วสินะ?" การผยักหน้าของนายทหารทั้งหลายเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยให้ตัวเขาเบาใจขึ้น


    "คาร์ดินัล ซานโดร เบอร์เนเด็ตโต้ ด้วยกาลปรากฏแล้วว่าท่านได้สมคบคิดกับปีศาจ ในการวางแผนรุกรานศาสนจักร ซ้ำยังใช้ตำแหน่งของตนค้าขายทาสกับพวกปีศาจอีก ศาลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดสินให้ประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น ขอให้พระเจ้าอภัยให้กับบาปที่ท่านก่อด้วยเถิด เลิกศาล!!"

    สิ้นคำสั่งของศาล ชูครีมแทนที่จะลิงโลดด้วยความยินดี แกกลับถอนหายใจยาว ใบหน้าแลดูแก่ไปหลายปี ความโล่งอกเข้ามาแทนที่ แม้ว่าความกังวลจะยังไม่จางหาย จนกว่าเขาได้เห็นอีกฝ่าย โดนเผาจนเกรียมก็ตาม


    กลับกัน ทางด้านตัวของ ซานโดรเอง เพราะด้วยฤทธิ์ยาและพลังที่ลดทอนจากการควบคุมของชูครอส ทำให้ไม่อาจตอบโต้อะไรได้มากนัก สติของเขาดูจะไม่อยู่กับตัวด้วยซ้ำ


    "เอาตัวนักโทษไปประหารเดี๋ยวนี้" ชูครอสออกคำสั่ง ทันทีที่ทหารของแกหิ้วปีกซานโดรออกนอกห้องไป อ่าใช่การประหารอีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียว คุๆๆ



    แน่นอนว่าผลการตัดสินออกมาในรูปนี้ ต้องขอบคุณที่ว่าเขามีเส้นสายมากพอที่จะ ให้สินบนกับคณะผู้ตัดสินให้ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า หลักฐานที่เขาเอามาแสดงให้ดูนั้น ได้มาอย่างไร แม้จะมีข้อข้องใจถึงความเหมาะเจาะที่พอดีเกินไปของหลักฐาน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงว่า ตัวของ ซานโดรนั้น โดยสารมากับเรือของพวกปีศาจ และ ภายนอกเขตของศาสนจักรอีกด้วย แค่นี้ก็เป็นหลักฐานเกินพอที่จะประหารแกแล้ว




    การประหารทำกันแบบลับๆ นั่นเป็นข้อหนึ่งที่แกเสียดาย แกหวังว่าจะได้ประหารอีกฝ่ายต่อหน้าสาธารณชน ต่อหน้ามาเรีย และ ต่อหน้านังหนูอัลรอนเน่ แต่หากเรื่องนี้ถึงหูประชาชนเมื่อไหร่ นั่นคงไม่พ้นจลาจล อีกอย่าง สภาพตอนนี้ของซานโดร ถึงไฟเผาตัวแก แกก็คงไม่รู้สึกหรือร้องอะไร อาจจะตายไปไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แน่ล่ะว่าชีวิตจริงมันไม่ได้อย่างที่ต้องการทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถกำจัดเสี้ยนหนามนี้ได้เสียที


    กองฟืนและเสาหลักถูกขนมากองกันที่ลานกว้างของศาล เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกสั่งห้ามเข้ารับชมการประหาร มีเพียงแม่ทัพนายกองศาสนจักรเท่านั้นที่เขาร่วมการประหารได้ (ส่วนเหล่าคนของฝ่ากของโบสถ์นั้น ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือรับทราบกับเรื่องนี้ ด้วยว่าเป็นศาลทหาร ไม่ใช่ ศาลศาสนา)


    "อ่า~~~ อ่า" กับคนที่จะถูกเผาในไม่กี่นาที ซานโดรดูสงบมาก ผิดกับ อีกคนหนึ่งที่แทบจะเลือดตากระเด็นจากแรงกดดันที่กดลงมา

    "(ว้อยยยย เมื่อไหร่จะเผาเสียทีฟระ? ไม่มีเวลาแล้ว รีบๆเผาสิ ชั้นไม่ได้มีพลังจะกดไว้ได้ทั้งวันนะ)" ความคิดในใจของชูครอสดูจะติดอยู่ที่ลำคอเท่านั้น หาได้กล่าวออกมาแต่อย่างใด การใช้พลังลดทอนสติและพลังเวทย์ของซานโดร ต้องใช้มากกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก



    นั่งคิดอยู่นานจนกระทั่งการเตรียมการเสร็จสิ้น ต่อหน้าเขา กองฟืนถูกสุมกัน โดยมีซานโดรถูกมัดติดกับเสาไม้อยู่ตรงกลาง โดยมีเหล่านายทหารที่ตัดสินคดียืนมองเป็นวงรอบ แล้วด้วยว่าเขาเป้นโจทย์ยื่นฟ้อง การจุดเพลิงจึงให้เขาเป็นคนจุด



    "คึๆๆ มีอะไรจะสั่งเสียไหมซานโดร?" เขายิ้มเหี้ยมก่อนจะจุดไฟที่คบเพลิง ในที่สุดเวลาที่เขารอคอยก็มาถึง

    "..อัล...อัลรอนเน่ ...เน่" ถลึงตามองเมื่อได้ยินคำกล่าวลอยๆเหมือนละเมอของอีกฝ่าย ยิ่งทำให้คนถือคบไฟขุ่นเคืองถึงที่สุด

    "ไม่คิดจะขอชีวิตจนวินาทีสุดท้ายสินะ" ส่งสัญญานให้คนของตน เอาน้ำมันพืชราดใส่ทั้งกองฟืนและร่างกายคนบนหลัก


    จ่อเปลวไฟเข้ากับกองฟืน ห่างไม่กี่นิ้วก็จะลุกติดไฟ เขาลุ้นระทึก


    "จบกันแค่นี้ล่ะ คริสโตเฟอร์"

    จบคำคบเพลิงก็ทิ่มเข้าที่กองฟืน



    TCB....
  11. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    [Scar of Revenger]
    ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด

    แต่สำหรับแม่ทัพแห่งตระกูลวาลาเดียน่าแล้ว ถือเป็นการถูกขัดขวางที่น่าเจ็บใจและแค้นเคืองที่สุดในชีวิต เมื่อหยดน้ำเล็ก ๆ ตกลงมาสัมผัสปลายจมูกของเขา และไม่ได้มีเพียงเท่านั้น

    จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมา ไฟที่กำลังเริ่มจะลุกก็ถูกหยดน้ำที่ค่อย ๆ ลงมาเรื่อย ๆ คอยดับ แม้เปลวเพลิงที่เปรียบดังความแค้นที่สุมอกใครบางคนอยู่นั้นจะพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายที่จะไหม้ต่อ แต่แล้วก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความเสียเปรียบทางธรรมชาติ

    เนื่องจากเขามัวแต่คะยั้นคะยอให้เกิดการประหารขึ้น จนไม่ทันได้สังเกตว่าเมฆบนท้องฟ้าก่อตัวและมืดครึ้มแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งที่นี่ไม่ใช่หน้าฝน แต่ดูเหมือนจะเป็นฝนหลงฤดูที่นับเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ แต่มันก็จัดว่าเหนือความคาดหมายของใคร ๆ อยู่ดี

    “ชิ! ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้” ชูวครอสสบถเบา ๆ ด้วยความเจ็บใจ
    “ช่วยไม่ได้” เขาจึงตัดสินใจชักดาบออกมาหมายจะสำเร็จโทษด้วยตนเอง ทว่าทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

    “ช้าก่อน ท่านผบ.” เจ้าของเสียงที่แห้งแหบตามวัย แต่ก็ยังดูทรงอำนาจเพียงพอดังมาจากคณะผู้ตัดสิน แม้ว่าเขาจะสวมชุดคาร์ดินัลที่ไม่ควรจะปรากฎที่นี่ ณ ตอนนี้แท้ ๆ แต่นั่นไม่อาจเป็นข้ออ้าง เพราะคนในกองทัพต่างก็จำชายแก่ผู้นี้ได้ดีพอ
    “จอมโหด” เซรอส เฟอร์นัลโด้ อดีตเอกโซซิสต์ ครูฝึกทหารเก่า และนักรบผู้สร้างผลงานการไล่ล่าปีศาจและพวกนอกรีตจนเป็นที่เลื่องลือในอดีต แม้ปัจจุบันจะผันตัวเองมาเป็นคาร์ดินัลแล้ว แต่ก็ยังคงมีทั้งบารมีและเส้นสายในกองทัพพอที่จะทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมหรือก้าวก่ายงานของพวกทหารได้ นอกจากนี้การที่เขาเป็นหัวหน้าภาควิชาศาสตราและยังได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ผู้ดูแลของ อาสึกะ บลัดแฟงค์ มาก่อนด้วย ทำให้แม้แต่ชั้นนายทหารหลายคนก็ยังต้องเกรงใจเขาอยู่เสมอ

    “ท่านเซรอส ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงของชูวครอสบ่งบอกถึงความไม่พอใจที่มีตัวขัดขวางโผล่ออกมา แต่เขาก็ไม่อาจแสดงท่าทีก้าวร้าวออกนอกหน้าได้เกินไปนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้ถือว่าอาวุโสกว่า ในฐานะที่เคยเป็นทหารรุ่นพี่มาก่อน

    “จริงอยู่ที่ความผิดของคาร์ดินัลอเลกซานโดรนั้นไม่น่าให้อภัย แต่เมื่อข้าตรวจดูและพิจารณาคดีนี้ ข้าเล็งเห็นว่ายังมีข้อบกพร่องในขั้นตอนของการสืบสวนและการตัดสินคดีความอยู่ ข้าจึงอยากให้ละชีวิตของนักโทษเอาไว้ก่อน จนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์เพียงพอตามกระบวนการ” ชายแก่กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง ยังคงดูน่าเกรงขามไม่ด้อยไปกว่าเมื่อหลายปีก่อนเลย

    “แต่ก็เห็น ๆ ว่าไอ้หมอนี่มันผิดอยู่โต้ง ๆ หลักฐานภาพถ่ายนี่ก็ทนโท่ แล้วยังจะต้องการอะไรกันอีก ที่สำคัญท่านก็แก่ปูนนี้แล้ว แถมยังบวชไปแล้วด้วย มายุ่งอะไรกับการดำเนินการของพวกข้าอีก” แม่ทัพหนุ่มยังคงพยายามเร่งเร้า แต่ก็กลายเป็นแค่การขึ้นเสียงต่อผู้อาวุโสกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของคณะศาลที่ล้วนเป็นคนเฒ่าคนแก่มาด้วยกันกับคาร์ดินัลเฒ่าคนนี้ ที่แม้จะลาออกจากกองทัพไปแล้วก็ยังถือเป็นบุคคลสำคัญ และยังได้รับความนับถืออยู่ไม่น้อย

    “ท่านชูวครอส” สุ้มเสียงอันหนักแน่นนั้นสุขุมเยือกเย็นแต่น่าเกรงขาม “จากที่ข้าสังเกต จำเลยยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย และข้ายังรู้สึกว่ามีความบกพร่องอยู่มากในขั้นตอนการดำเนินคดี”
    “เช่น ท่าทีแปลก ๆ ของจำเลยเหมือนไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะแก้ต่าง หรือว่า....ที่มาของหลักฐาน” ทันทีที่สายตาใต้คิ้วที่เหี่ยวย่นนั้นหันไปมองหน้าเหล่าผู้พิจารณาคดี แม้สายฝนที่ค่อย ๆ เทลงมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ก็มิอาจกั้นขวางมิให้สื่อไปถึงพวกเขา ทำเอาพวกเขาถึงกับผุดเม็ดเหงื่อขึ้นบนใบหน้ากลมกลืนไปกับฝนทีเดียว

    เพราะพวกเขารู้จักนิสัยอันเถรตรงของชายแก่นี้ดี ลองรู้ว่ามีเรื่องทุจริตคิดไม่ซื่อขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็ไม่เคยละเว้นที่จะเอาเรื่องอย่างถึงที่สุด นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงยังเป็นที่ยำเกรงทั้งในกองทัพและศาสนจักรอยู่เสมอ จนนอกจากฉายา “จอมโหด” แล้ว ยังเคยมีคนขนานนามเขาว่า “ไม้บรรทัดไร้พ่าย” อีกด้วย

    สักพักเขาก็หันกลับมากล่าวต่อผบ.หนุ่มอีกครั้ง
    “ท่านผบ.ชูวครอส ฝนนี่คงเป็นคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้า แม้ตอนนี้หลักฐานที่มีจะชี้ชัดว่าเขาผิดจริง แต่หากทำสิ่งใดไม่ให้ถูกต้องครบถ้วนและชัดเจนเพียงพอแล้วประหารเลย เกรงว่าจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของทั้งกองทัพและศาสนจักรไปด้วยกัน พระองค์ท่านคงอยากให้เราทำให้ถูกต้องเรียบร้อยเสียก่อนแล้วจึงค่อยตัดสิน หรือท่านจะเถียงว่าเป็นอย่างอื่นเล่า”

    ชูวครอสได้แต่แอบกัดฟันกรอด ๆ โดยอาศัยฝนที่ตกลงมากำบังริมฝีปาก ไอ้ครั้นจะพูดอะไรอย่างเขาไม่เชื่อพระเจ้า ก็มีหวังได้ส่งผลต่อตำแหน่งที่ยืนอยู่ และอนาคตของเขาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะความหวังที่จะได้เป็นใหญ่ในศาสนจักรแทนมาเรียและซานโดร
    “ก็ได้ ตกลงตามนั้น” เขาหันไปสั่งทหารอย่างหัวเสีย
    “ปล่อยหมอนั่นลงมาก่อน แล้วพาไปขังไว้ แล้วพอทุกอย่างเรียบร้อยค่อยฆ่ามัน”

    ‘รอดไปได้นะแก ไอ้ซานโดร’ ตอนนี้เขาทำได้เพียงสบถในใจ ท่ามกลางสายฝนที่ดูเหมือนพยายามจะล้อเลียนเขา

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    หลังจากเปลี่ยนชุดเป็นผ้าแห้งแล้ว ด้วยความไม่สบอารมณ์ ชูวครอสจึงเข้ามาหาซานโดรในที่คุมขังอีกครั้ง แน่นอนไม่ใช่การมาเยี่ยม แต่เพื่อระบายแค้นต่างหาก เพราะฝนเฮงซวยทำให้เขาอดได้เห็นหมอนี่ไหม้เป็นจุล

    “นี่แน่ะ อย่างแกต้องเจอยังงี้!” ผบ.หนุ่มลงมือซ้อมนักโทษอย่างไม่รู้สาแก่ใจอีกครา ไม่ว่าจะเตะ หรือฟาดด้วยแส้ อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ตอบอะไรนอกจากเสียงกระอักเลือดเท่านั้น
    “ให้ตายสิ พูดอะไรบ้างเซ่ ร้องขอชีวิตเซ่ ไม่งั้น ยัยเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงแกคงรู้นะว้อยยยย”
    ชูวครอสบันดาลโทสะไปอย่างเต็มที่ ทว่าหลังจากที่เริ่มเหนื่อยและหยุดมือ อีกฝ่ายก็ยังคงนั่งนิ่งไร้การตอบสนอง ราวกับเป็นศพไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะยังมีการหายใจอย่างแผ่วเบาอยู่
    “เชอะ สงสัยฤทธิ์ยาคงจะแรงไป แต่ช่างเถอะ ลองมีหลักฐานขนาดนี้ ยังไงแกก็ไม่รอดอยู่ดี”
    ชูวครอสแค่นเสียงอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปโดยไม่ใยดีซากไร้วิญญาณของคาร์ดินัลซานโดร ที่ยังคงไม่มีเสียงพูดใด ๆ ที่เป็นคำเล็ดรอดออกมาอีก

    หรือจริง ๆ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะว่า.......

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    “อะ...อึ๊ก” ชายหนุ่มยังคงส่งเสียงอย่างทรมานแม้จะได้สติแล้ว ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นเพื่อหยุดฝันร้าย
    ทว่าเมื่อรู้สึกตัว เขากลับมาอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ดูจากหลังคาด้านบนเหมือนจะเป็นกระท่อม และแสงที่เล็ดรอดผ่านมาได้บ้างและโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ยังแสดงให้เห็นสภาพรอบตัวที่จัดไว้เป็นที่พักอาศัยโดยเฉพาะ

    “ดูเหมือนว่าจะรู้สึกตัวแล้วสินะ ท่านคาร์ดินัลซานโดร หรือจะให้เรียกว่า ท่านสันตะปาปาคริสโตเฟอร์ กันล่ะ”
    ผู้ที่เรียกชื่อเขานั้น คือบุรุษลึกลับที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีดำติดเกราะเล็ก ๆ ไว้บางส่วนของร่างกาย ชุดตัวรองลายตาข่าย แม้ใบหน้าของเขาก็ถูกบดบังด้วยเงาของฮูดนินจาที่สวมอยู่ แต่แสงของโคมไฟกลับยังคงให้เห็นแผลเป็น ณ ตาซ้ายข้างที่บอด

    “จ....เจ้าเป็นใครกัน แล้วที่นี่คือที่ไหน” ชายหนุ่มถามด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เนื่องจากการที่จู่ ๆ ต้องมาปรากฏตัวในที่ ๆ ไม่รู้จัก

    “ขออภัยที่เสียมารยาท ที่นี่คือที่ซ่อนลับของข้า ส่วนชื่อนั้น ข้าทิ้งไปนานแล้ว” บุรุษลึกลับกล่าวตอบ

    “แล้ว เจ้าต้องการอะไรจากข้ากั....”
    ไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูก็แทรกขึ้นขัดบทสนทนาระหว่างเขาและชายลึกลับ

    “เข้ามา” ชายปริศนาพูดอย่างง่ายดาย ราวกับเขารู้จากรหัสการเคาะประตูว่าเป็นใคร

    ร่างเพรียวบางในชุดเครื่องแบบของศาสนจักรก้าวเข้ามาในห้อง สาวรุ่นเจ้าของผมสีแดง สึบาเมะนั่นเอง แต่แม้เธอจะพยายามปิดบังท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ อย่างไร ก็ไม่พอที่จะปิดบังสายตาของ “อีกา” ไปได้
    “โครว....ค....คือ”
    ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มก็เข้ามาดึงคอเสื้อเธอไว้ แล้วกระชากมาติดกับแพง เธอถึงกับครางเบา ๆ ด้วยความเจ็บ
    “ข้ายังไม่ได้บอกหรือ ว่าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง รู้หรือไม่ว่าจดหมายขู่ที่เจ้าแอบส่งไปหาหมอนั่น ทำข้าเดือดร้อนแค่ไหน”
    แม้ว่าปกติดวงตาข้างขวาที่เหลืออยู่นั่นจะดูน่ากลัวอยู่แล้ว แต่ยามนี้ยิ่งมากเป็นพิเศษ ความโกรธเกรี้ยวถูกสะท้อนออกมาจนเด็กสาวกลัวตัวสั่น

    “ก....ก็ฉัน.....”

    “รู้หรือไม่ การกระทำของเจ้า เกือบทำให้หมดทางช่วยเหลือพระสันตะปาปาคนสำคัญของที่นี่ไปแล้ว เป็นนินจาแท้ ๆ หัดคิดอะไรให้ถ่องแท้กว่านี้จะได้มั้ย” เสียงของโครวดุดันจนน่ากลัวมาก จนซานโดรเริ่มทนดูไม่ได้

    “ช้าก่อน ท่านนินจา” เจ้าของนาม [สันตะปาปาคริสโตเฟอร์] พยายามห้าม
    “โปรดอภัยให้นางเถิด อย่างน้อยนางก็คงไม่ได้เจตนาให้เรื่องเป็นแบบนี้”

    เมื่อเป็นคำพูดของผู้มีอำนาจ และเป็นผู้ที่อาจารย์ของตนให้ความเคารพยำเกรง อีกาหนุ่มจึงหยุดมือไว้ และยอมปล่อยคอเสื้อ เด็กสาวถึงกับทรุดลงข้างผนังอย่างเข่าอ่อน
    “ขอประทานอภัย ท่านคริสโตเฟอร์” ชายหนุ่มกลับมานั่งประจำที่ แล้วค่อย ๆ ถอดหน้ากากของตนออก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ทำบ่อยนัก

    คริสโตเฟอร์จ้องมองชายหนุ่มผมสีดำสนิท ผู้ที่ตาบอดข้างซ้ายและประดับด้วยรอยแผลถูกฟันด้วยดาบ ด้วยใจที่สั่นระรัว เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแค้นเคืองที่แผ่ออกมา แม้จะรู้ว่าไม่ได้พุ่งมายังเขาก็ตาม
    “ถึงท่านจะเป็นบุคคลสำคัญ แต่ท่านก็คงรู้ว่า คนอย่างข้าไม่ได้ช่วยท่านฟรี ๆ แต่ต้องการให้ท่านร่วมมือด้วย”

    การต่อรองอีกแล้ว ซานโดรอดไม่ได้ที่จะเริ่มอยากโทษพระผู้เป็นเจ้า ที่ทำให้คนอย่างเขาต้องเจอกับการต่อรองที่มิใช่ว่าอยากจะทำเท่าใดนักมาไม่รู้กี่หน ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้
    “ยังไงตอนนี้ ท่านกับข้าก็มีศัตรูคนเดียวกัน คือเจ้าแม่ทัพนรกส่งมาเกิดอย่าง ชูวครอส วาลาเดียน่า หากยอมร่วมมือกับข้าแต่โดยดี ข้าสัญญาว่า จะให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตท่านและเด็กสาวคนสำคัญของท่านอย่างแน่นอน”

    โครวสั่งให้สึบาเมะเอาน้ำชามาเสิร์ฟ จากนั้นจึงเล่าทุกอย่างให้ซานโดรฟัง ไม่เพียงแค่เรื่องที่เขาแอบใช้อุปกรณ์เวทมนตร์จากร้านในเมืองอย่าง “ตุ๊กตาเวทมนตร์” ที่ลอกเลียนลักษณะของซานโดรและกำหนดกิริยาที่ตายตัวไว้ตบตาพวกนั้นได้ไปไว้แทนที่ในคุก ไปจนถึงเรื่องที่เขาแพร่งพรายเรื่องของชูวครอสให้เหล่าผู้มีอำนาจในศาสนจักรล่วงรู้กันแล้ว รวมไปถึงที่เขาเพิ่งทำไปล่าสุด คือป้ายประกาศพร้อมภาพถ่ายติดทั่วเมือง รวมถึงข้อความที่ประจานว่าทางกองทัพภายใต้การนำของชูวครอสเร่งการประหารสันตะปาปาคริสโตเฟอร์โดยการใส่ร้าย
    “แต่ว่า.... การที่เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้ทุกอย่างยิ่งวุ่นวายมากขึ้นรึไงกัน” ซานโดรแย้งการกระทำของนินจาหนุ่ม

    “การจะกำจัดคนอย่างนั้นไปจากศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน บางครั้งก็ต้องยอมเสียสละหรือทำอะไรแบบนี้บ้าง มิใช่หรือไร” ชายหนุ่มตอบอย่างหน้าตาเฉย ราวกับว่าเขาไม่สนใจอยู่แล้วแต่ต้นว่าอะไรจะเกิดขึ้น นอกจากการตายของศัตรูทั้งชีวิตของเขา
    “นับเป็นโอกาสดีที่อาจารย์ของข้าไม่อยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่างน้อยนางก็จะรับมือได้ โดยอ้างได้ว่านางไม่อยู่จึงไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

    “แต่ว่า..... เพียงแค่นี้ เอาผิดชายคนนั้นไม่ได้หรอก มันมีอำนาจและเส้นสายหนุนหลังมากเกินไป ไม่ว่าในกองทัพหรือศาสนจักร ข้าเกรงว่า...” ทว่าซานโดรพูดไม่ทันขาดคำก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

    “อย่างน้อยขอแค่ทำให้เกิดความเคลือบแคลงในตัวมัน ก็ย่อมให้เกิดชนวนมากมายสำหรับจุดระเบิดใส่มันได้ ที่สำคัญ ใครก็ตามที่เข้าข้างมัน ก็เป็นศัตรูกับข้าเหมือนกัน”

    ซานโดรรู้สึกไม่ชอบใจยิ่งนักกับสิ่งที่โครวทำ ตั้งแต่การติดต่อกับบริษัทแบบเดียวกับหมอนั่นแล้ว แต่เขาในตอนนี้กลับไม่อยู่ในฐานะที่จะว่าอะไรชายคนนี้ได้เสียแล้ว
    “เสียใจด้วยท่านคริสโตเฟอร์ แต่ข้าไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้า ทุกอย่างของข้านอกจากความภักดีต่ออาจารย์แล้ว มีแต่ความแค้นที่ต้องสะสางให้ได้ทุกวิถีทางเท่านั้น”
    “แล้วก็นะ ท่านจงคิดให้ดี การที่ท่านได้ตำแหน่งมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าช่วยเปิดโปงเจ้าหมอนั่นให้ โดยแลกกับแผลข้างนี้” ชายหนุ่มชี้แผลบนตาซ้ายที่สูญเสียไปของตนเป็นการเน้นย้ำ พร้อมกับน้ำเสียงอันคับแค้น เพื่อบีบคั้นให้อีกฝ่ายยอมหาวิธีช่วยเหลืออีกทาง
    “หวังว่าข้ากลับมา ท่านคงจะคิดวิธีดี ๆ ที่จะช่วยข้ากำจัดมันได้นะ ท่านคริสโตเฟอร์ อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”
    กล่าวจบโครวก็ลุกขึ้นและจะเดินออกไปข้างนอก โดยไม่ลืมที่จะสั่งรุ่นน้องสาว โดยไม่สนใจใบหน้าที่เซื่องซึมของนาง
    “ถ้าเจ้าอยากช่วยข้าจริง จงดูแลท่านคริสโตเฟอร์ไว้อย่าให้ห่าง อย่าลืมว่านี่ส่งผลถึงความมั่นคงของศาสนจักร หากท่านผู้นี้เป็นอะไรไปขึ้นมา เตรียมคำแก้ตัวกับท่านอาจารย์ไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

    ประตูกระท่อมถูกปิดลง ทิ้งไว้เพียงนินจาสาวในคราบนักเรียนของศาสนจักร กับชายหนุ่มผู้เคยควบสองไว้ถึงสองตำแหน่งแล้ว ยังเพิ่งได้ตำแหน่งที่สามอย่าง [นักโทษ] มาอีกด้วย

    “คอยดูเถอะ ชูวครอส วาลาเดียน่า เรื่องแผลนี่ ข้าจะเอาคืนให้มากกว่าเป็นล้านเท่า ชนิดแกจะไม่มีตัวตนเหลืออีกเลย”
    [To Be Continued]

    [ของแถม]Chibi Characters behind the scene
    Rules: เขตปลอดชื่อจริงตัวละคร / ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- นี่ๆ xัลรxลเx่
    [เด็กสาวร่างเล็กผู้เย็นชา]- ไหนบอกว่าจะไม่พูดชื่อจริงในนี้ไง
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- ขอโทษ แต่ถ้าจำไม่ผิด ชั้นก็จัดเป็นตัวละครหลักตัวนึงใช่ปะ
    [เด็กสาวร่างเล็กผู้เย็นชา]- อืม คงใช่ แล้วไง
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- แล้วก็ เคยผจญภัยเป็นนักล่ามอนสเตอร์ด้วยไม่ใช่เหรอ ชั้นน่ะ
    [เด็กสาวร่างเล็กผู้เย็นชา]- อือ ก็เจ้าของเธอเขาว่างั้นนี่
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- แล้วทำไม นับวันฉันถึงค่อย ๆ ดูจืดเป็นตัวประกอบแบบนี้ล่ะ
    [เด็กสาวร่างเล็กผู้เย็นชา]- ไม่รู้สิ ต้องถามพวกคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายแล้วล่ะมั้ง
    [ครูสาวใจดี]- ฉันว่านะบางที อาจเป็นเพราะแกมัน “กาก” เกินไปก็ได้ล่ะมั้ง
    [เด็กสาวร่างเล็กผู้เย็นชา /เด็กหนุ่มจิตตก / เด็กหนุ่มหน้าหวาน / เด็กหนุ่มนักเวท]- ก็ว่างั้น
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- !?
  12. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ความโกลาหลในศาสนจักร อืมมมม

    นักโทษโดนเปลี่ยนตัว อืมมมม

    ฝนตกเลยรอดตัว อืมมมม

    ...........

    นินจาที่การล้างแค้นมาก่อนเหตุผล อืมมมม


    ฮึๆๆๆๆ แบบนี้สิดี

    (ปล.ตกลงซานโดรโดนจับขังคุกอยู่สินะ (ถึงจะคนล่ะคุกก็ตามม)
  13. ladykaren

    ladykaren อัลปาก้าที่อยู่ในฟูก

    EXP:
    906
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    ^
    .......แล้วฮาร์ทมานคาเรนล่ะ?????

    นี่คือผลของการเอาลงช้าสินะ สินะ สินะ...!!!
  14. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    [ภาคต่อ]Chibi Characters behind the scene

    [เด็กหนุ่มนักเดินทาง]- เธอเป็นใคร
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- นาย!! จำฉันไม่ได้รึไงยะ
    [เด็กหนุ่มนักเดินทาง]- พวกเราเคยเจอกันด้วยเหรอ
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- ก็เคยสิยะ
    [เด็กหนุ่มนักเดินทาง]- ตอนไหนเหรอ ไม่เห็นจำได้
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- อย่างน้อยพวกเราก็เคยทำภารกิจด้วยกันนี่ยะ
    [เด็กหนุ่มนักเดินทาง]- ภารกิจ? อะไรยังไงที่ไหนเมื่อไรยังไง
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- ไอ้ปลาทอง!! อย่ามาทำลืมฉันอย่างนี้สิย๊าาาาาาาา!!
    [เด็กหนุ่มนักเดินทาง]- (ใช้พลังสายลมเป่าเด็กสาวตัวสูงไปติดเพดาน)
    [เด็กสาวตัวสูงแต่หัวทึบ]- กรี๊ดดดดดด ลางไม่ดีอีกแล้ว!!
  15. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    see above
  16. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ไลท์เกรซ​

    จตุรัสกลางเมือง​



    "โครม!!"

    เสียงของเก้าอี้ปะทะกับหน้าต่างร้านกาแฟดังขึ้น พร้อมๆกับการปะทะกันอย่างรุนแรงของคนกลุ่มใหญ่


    "กำจัดพวกลักธิบูชาอิฐปูน กำจัดพวกทรราชผ้าขาว โอ้~~~~" เสียงโห่ร้องของฝูงชน ดังขึ้นพร้อมๆกับ คำตวาดแหวจากฝั่งตรงข้าม

    "กำจัดพวกนอกรีต ปกป้องศาสนจักรจากพวกนอกรีต ฆ่าม้านนนน" เสียงโห่ที่ตามมาด้วย การตะลุมบอนของฝูงชนทั้งสอง


    การจลาจลย่อยๆตั้งแต่ที่ใบประกาศและภาพถ่ายลึกลับปรากฏตามจุดต่างๆในเมืองหลวง ได้ลุกลามขยายไปยังชั้นส่วนของสังคมเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ข่าวลือสะพัดถึง ตัวจริงของสันตะปาปาว่าเป็นใคร ความสัมพันธ์ภายในระหว่างกองทัพและศาสนจักร และ ประเด็นภาพถ่ายที่ถกเถียงว่าเป็นของจริงหรือของปลอม

    ยังไม่ถึงสัปดาห์หลังการเข้ามาขวางการประหาร คาร์ดินัล ซานโดร แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น กลับส่งคลื่นใต้น้ำมายังตัวผู้ก่อประเด็นอย่างคาดไม่ถึง....





    ศูนย์บัญชาการทหารสูงสุด

    ห้องประชุม 1


    "สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร?"

    "นอกจาก โบชถ์สามแห่ง กับ ตลาดสดกลางเมืองแล้ว สถานที่ที่ถูกเผาทำลายได้รับความเสียหายก็จัดกัดอยู่ที่สามแห่งที่ว่าครับ"

    "แล้วเรื่องป้ายพวกนั้น?"

    "การจัดฉากของพวกนอกรีต ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนภายใน ประชาชนส่วนมากไม่เคยได้เห็นหน้าจริงๆขององค์ประมุขกันอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงพอจะกลบเกลื่อนกันไปได้สักพักหนึ่ง" โฆษกกองทัพกล่าว

    "แล้วเจ้าพวกที่ก่อความวุ่นวายนี่?"

    "พวกนอกรีตท่านผบ มาผสมโรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าน่าจะใช้เวลาปราบปรามได้ก่อนเย็นวันนี้"

    "ดี จัดการให้แน่ใจด้วยว่า ภาพถ่ายของเจ้าซานโดรนี่ กระจายไปตามแหล่งกบดานพวกนอกรีตอย่างทั่วถึงด้วย เราจะให้วิกฤิตครั้งนี้ให้เป็นโอกาศ ลดทอนคะแนนนิยมของพวกมันและกำจัดพวกนอกรีตไปในตัวด้วย"



    การประชุมของเหล่านายทหารคนสนิทถูกจัดขึ้นอีกครั้ง จากหลายๆครั้งที่ผ่านมา ภายหลังการประหารที่ถูกขัดจังหวะ กับปัญหาหลายอย่างที่ประดังเข้ามา ไม่ว่าจากฝากของ หน่วยต่างๆในศาสนจักร รวมไปถึงในกองทัพเอง ถึงข้อสงสัยในความโปร่งใสของตัว ผบ.สูงสุดกับคดีที่เกิดขึ้น รวมไปถึงข่าวลือไม่ดีบางอย่างกับตัวแก ที่ไปเข้าหูใครหลายคนที่อำนาจ และไม่ชอบแกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย


    แต่ว่าแทนที่วันนี้จะจบการประชุมด้วยรายงานสรุปอย่างทุกๆวัน กับเอกสารกองโตที่ต้องทำส่งเหล่า คาร์ดินัลหน่วยต่างๆแล้ว การมาถึงเสียงคู่สายด่วนผ่านโทรศัพท์สายด่วน ก็ ทำให้ ผบ.ท่านนี้ ถึงกับเลือดขึ้นหน้า ก้าวโครมครามออกจากห้องประชุมไปในทันที ท่ามกลางความงุนงันของผู้เข้าร่วมทุกคน





    คุกทหาร

    ห้องขัง VIP


    ภายในห้องที่เป็นเหมือนห้องพักเดี่ยวทั่วๆไป ร่างแน่นิ่งของซานโดร นอนอยู่กับพื้น แต่ที่ข้างๆกันนั้นมีมีดสั้นวางอยู่ พร้อมกับของเหลวสีขาวที่เปรอะคมมีด เช่นเดียวกับ ที่ต้นคอของร่างบนพื้น ที่มีรอยโดนเฉือนพร้อมกับของเหลวสีขาวไหลซึมออกมา

    ผู้คุมทั้งหลายต่างพากันก้มหน้า ไม่มีใครพูดอะไรก่อนกัน จะมีก็แต่ท่านผบที่ยืนตัวสั่น กัดฟันกรอดๆ กับสิ่งที่เขาได้ค้นพบ



    "ตุ๊กตาเวทย์มนต์!! นี่มันฝึมือของใครกัน?" เสียงตวาดลั่นคุก ชูครอสที่ดูเหมือนจะมีไฟพ่นออกมาหูแก กล่าวพลางชี้หน้าเหล่าผู้คุมทั้งหลายอย่างกราดเกรี้ยว

    "ขออภัยด้วยครับ เมื่อเช้าตอนเข้ามาให้อาหารนักโทษตามปรกติ เราก็พบเพียงตุ๊กตาเวทย์นอนอยู่ในชุดนักโทษแล้วครับ" ผู้คุมคนหนึ่งกล่าว

    "ตอนลากลงมาจากหลักประหาร ทำไมไม่มีใครเห็นอะไรบ้างหา!!"

    "ขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับ!" เสียงสั่นพร่าด้วยความกลัวของเหล่าผู้คุม ดูจะไม่ได้ช่วยลดทอนความเดือดดาลของ ท่านผบ.หนุ่มเท่าไหร่นัก



    "ฮึ่ย ไม่ได้เรื่อง ไสหัวไปเลย ไป!!" ตวาดอีกครั้ง ก่อนที่เหล่าผู้คุยจะรีบพากันออกไปจากห้องขังไวเท่าสายลม


    "โดนเล่นเสียหมดรูปเลยนะฮะ ชูครอส?" เสียงหวานๆ พลันดังขึ้น


    ชำเลืองมองที่หางตา เด็กน้อยผมทองในชุดผ้าเก่าๆ เหมือนชุดของเด็กรับใช้ยืนที่ประตูทางเข้าห้องขัง ชูครอสมองพร้อมกับรอยเบะปากอย่างรังเกียจ


    "โครโนส...แกมาทำไม?" เหมือนจะไม่ถนอมน้ำใจกันนัก ถึงได้กล่าวออกไปห้วนๆชูครอสกระทำ


    "แค่มาตรวจสอบการลงทุนของผมน่ะฮะ" ตอบราวกับไม่มีเรื่องน่ากังวลอันใดที่ข้างนอกนั่น เด็กน้อยกระทำ

    "เฮอะ ขอโทษทีนะ แต่ตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ดีมากๆอยู่ด้วย ถ้ายังไง แกค่อยมา...." กล่าวไม่มองหน้า เขาไม่มีอารมณ์จะมาต่อคำกับเจ้าปีศาจนี่นัก


    "นั่งลง!! ชูครอส" น้ำเสียงสั่งการ ทำเอาตัวชายร่างสูงกว่ากระทำตามคำสั่งของคนตัวเล็กกว่าอย่างไม่รู้ตัว




    "ตามแผนที่คุณเคยเสนอให้ผม คุณบอกว่าจะหาทางกำจัด สันตะปาปา กับ มาเรีย ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพใช่ไหมครับ?"

    "แล้วไง?"

    "ชูครอส คุณว่ามีใครในที่นี่ที่คิดแตกต่างไหม?"

    "คุณว่า มีใครในที่นี้ไหม ที่ต่อหน้าแสดงออกอย่างหนึ่ง แต่ลับหลังกลับวางแผนคิดทรยศ?"

    สุ่มเสียงที่ลดอุณหภูมิในห้องลงอีกหลายองศา ไม่ใช่คำพูดน่ารังเกียจเสแสร้งแบบเด็กๆที่เขาเคยได้ยินมาก่อน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในคำพูดอีกฝ่าย หากจำเป็นเขาอาจจะต้องจัดการอีกฝ่ายก่อนที่ตัวเขาจะ....

    .......

    "คิดอะไรไม่ดีอยู่หรือฮะ?"

    .......

    "!! ฮึก อ้ากกกกกกก" แผดเสียงกรีดร้อง ชูครอสกระทำ

    รู้สึกเหมือนมีเข็มพันเล่มในร่างกายเขา อาการเกร็งจากหัวสู่ลำตัว ความเจ็บปวดที่แล่นจากสมองสู่ร่างกายส่วนต่างๆ น้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด ผบ.หนุ่มได้แต่ร้องโหยยาว

    "อ้อกก อ้ากกก อะไรกัน อาร้ายกัน อ๊าาา"

    ดิ้นทุรนทุรายกับพื้น ไม่เลยสง่าเค้าของผบ.สูงสุดแต่อย่างใด ทว่าเด็กน้อยกลับหัวเราะน้อยๆพลางใช้เท้าเขี่ยให้คนบนพื้นแหงนหน้าขึ้นมอง


    "ฮึๆ เฮ้ออ ทำไมกันน้า คน...มนุษย์แบบพี่ชายเหมือนกันไปหมดเสียทุกคน ทั้งที่รู้ว่าเป็นสัญญาสำคัญแต่กลับไม่เคยคิดอ่านให้ละเอียดกันเลย"


    "กะ แกกก แกทำอะไร อึ่ก อ้าาาาา" ใบหน้าส่อแววอาฆาตสลายเป็นใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างทรมาน

    "จริงๆมันเป็นเงื่อนไขแรกเลยนะครับ ที่ว่า ห้ามทำอันตรายการ์เดี้ยนผู้ออกหนังสือ และ การ์เดี้ยนคนอื่นๆ น่ะครับ" เด็กน้อยกล่าว พร้อมกับเขี่ยให้อีกฝ่ายกลิ้งไปบนพื้นเหมือนม้วนผ้า

    รู้สึกเหมือนบางอย่างมาจุกที่คอ เมื่อเสียงกรีดร้องไม่ออกมา มีแต่สายตาแปลกพิกล ไม่แน่ใจว่าตกใจ โกรธเคือง หรือ แค้นฝั่งหุ่นในแววตาของชูครอสที่เพ็งใส่อีกฝ่าย


    "พี่ชายคงไม่คิดว่า ผมจะออกหนังสือโดยไม่มีหลักประกันหรอกนะครับ ปรกติการป้องกันคือการทำให้ผู้ทำสัญญาหมดสติไป แต่กับเศษมนุษย์อย่างพี่ชายน่ะครับแค่หมดสติคงไม่พอสินะครับ?"


    "แก แก็กกกก ชั้นจะฆ่าแกกก...เป๊าะ!!" ได้ยินเสียงดังกระดูกหักเมื่อ แขนซ้ายที่เขาหมายจะบีบคอคนตรงหน้า แต่ตอนที่เขาคิดแขนซ้ายของเขาก็หักเสมอท่อนที่ตรงกลางศอกพอดี


    "พยายามล่ะความคิดจะฆ่าผมลงบ้างก็ดีนะครับ ชูครอส ยิ่งคิดมากผลสะท้อนกลับจะยิ่งรุนแรงนะครับ"

    จริงอย่างที่โครโนสว่า ไม่เฉพาะแขนเท่านั้น เพียงไม่กี่นาที เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดปนความแค้นที่ดังในตอนแรก ก็เงียบลงเป็นเสียงครางต่ำเหมือนสัตว์บาดเจ็บตัวหนึ่ง


    "ผมคงไม่ต้องเตือนมากนะฮับชูครอส ว่าถ้าคุณคิดจะทำอะไรโดยไม่รายงานบริษัท หรือ คิดทรยศอีกสักครั้ง ผลจะเป็นยังไง?"

    "ฮึก...อึ่ก...แก...ชั้น จะไม่....แกหลอก แกหลอกช้านนน ฮืออ" ชูครอสครางด้วยความแค้น แต่เด็กน้อยจับความกลัวที่แฝงในน้ำเสียงนั่นได้

    "อ่า แกหลอกช้าน แกหลอกช้าน ทำไมกันน้า ทุกคนที่เป็นแบบพี่ชาย ร้องครวญครางแบบนี้กันทุกคนเลย? นี่เป็นสันดานหรือว่ากรรมพันธ์กันแน่ะฮะ?"


    คนบนพื้นไม่ตอบ เขาได้แต่ร้องครวญคราง ไม่แน่ใจว่าจะตั้งใจให้ใครโพล่มาช่วยกันแน่ เพราะแกเป็นคนไล่ให้เหล่าผู้คุมทั้งหลายออกไปเอง

    เห็นสมควรแก่เวลา และอย่างเคย ถึงจะไม่ชอบใจนัก กระปุกยาสีขาวอันเดิม วางแปะไว้หน้าคนบนพื้น มองด้วยสายตาเย็นชา มองเมื่ออีกฝ่ายหยิบขวดยาขึ้นมา แต่ก่อนที่แกจะได้ดื่มยานั่น เด็กน้อยก็ย่อตัวลงตรงหน้าอีกฝ่าย


    "คิดทำอะไรลับหลังอีกครั้ง ชั้นจะทำให้แกร้องขอให้ช่วยฆ่าไวๆ ชูครอส ..... แล้วจะส่งบิลค่ายามาให้ภายหลัง สำหรับวันนี้โชคดีนะฮะพี่ชาย ....เพราะพี่ต้องใช้มันเยอะๆ แน่เลย" ย้ำประโยคชัดถ้อยชัดคำ เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้น


    แต่ก็เป็นช่วงเวลาพอดีกับที่ เหล่านายทหารคนสนิทของชูครอส วิ่งตาตื่นเข้ามาในห้องขัง พวกเขาเหล่านั้นทำตาพิกลเมื่อเห็นสภาพตรงหน้า แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรก็ตาม แต่เป็นชูครอสที่ตวาดร้องก่นด่าออกมา


    "พวก พวกแกหายไปไหนมา ทำไมไม่มาช่วยชั้น อั่กกก" ร้องโหย ก่อนจะร้องครางเพราะตะเบ็งเสียงร้องดังไป

    "ดูแล หัวหน้าพวกคุณให้ดีๆด้วย อย่าให้แกตายเชียวล่ะฮะ" โครโนสกล่าว ก่อนจะเดินลับหายไปจากสายของทุกคนในห้อง ทุกคนที่ช่วยกันไปรุมล้อมนายของตนที่นอนหมดสภาพบนพื้น อย่างทุลักทุเล






    ขณะเดียวกัน ที่อื่น เวลาใกล้เคียงกัน​

    กระท่อมไม่ระบุที่ตั้ง​



    ซานโดรที่ม่อยหลับไปหลังผ่านเหตุการณ์วุ่นวายมาทั้งสัปดาห์ ยังคงไม่รู้สึกตัวดีนัก แต่ไม่ใช่กับนินจาสาว ผู้ที่ทุกวันเธอจะคอยมาดูแล คาร์ดินัล และ องค์ประมุขหนุ่มอยู่ไม่ให้ขาด แม้ว่าโครวจะออกไปเพื่อปั่นป่วนไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ทัน แต่ดูเหมือนเนื้อที่่ข่าวสารที่อีกฝ่ายครอบครอง จะเป็นชัยในศึกส่วนใหญ่ ที่โครวพยายามจะใช้การแพร่งพราย หลักฐานและรูปถ่ายที่ โครวพยายามอย่างที่สุด ที่จะใช้ทำลายอีกฝ่ายให้จงได้




    ทว่าวันนี้ไม่รู้อย่างไร เธอรู้สึกว่า คิ้วขวากระตุกมาตั้งแต่เช้า เหมือนมีลางว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง เรื่องอย่าง...


    " บะคู้มมมมมมม!!!" เสียงกัมปนาทประหลาดที่ส่งประตูไม้อันน้อย กระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


    ที่เดินตามเข้ามาหลังฝุ่นและควันไฟเริ่มจางลง ร่างสูงดำย่างสามขุมมายังคนทั้งสอง พร้อมกับกล่าวว่า


    "สนใจประกันชีวิตไหมแม่หนู?" ร่างสูงกล่าว

    "ท่านคาร์ดินัล ฟรังซิส!?" นินจาสาวตอบ



    ^3^....^3O...O[]O!!




    TBC....(บวมๆ)
  17. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ไลท์เกรซ​

    มหาวิหารหลวง​



    บนเตียงกำมะหยี่แดง กับห้องที่เล็กหรือใหญ่เกินไปนัก ร่างที่อ่อนล้าของคริสโตเฟอร์ ในชุดนอนยาวสีขาว กำลังหลับลึกอยู่บนเตียง หลังจากเหตุการณ์สองสามวันที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนว่ายาที่ชูครอสใช้จะยังมีผลตกค้างอีกสักระยะหนึ่ง แต่จากที่ดูตอนนี้อาการทั่วไปของชายหนุ่มดูจะดีขึ้นมากจากตอนแรกที่ตัวเขาได้ไปช่วยเอาไว้


    คาร์ดินัล ฟรังซิส ก้มลงจัดการกับงานเอกสารของตนต่อไป ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องวุ่นวายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าการเคลื่อนไหวของชูครอส ตัวท่านจะระแคะระคายมาบ้าง แต่ความวุ่นวายที่เกิดจากเอกสารและภาพถ่ายพวกนั้น โดยเฉพาะ โครว เรื่องเมื่อตอนนั้น อดีตของความขัดแย้งระหว่างบุคคลที่ตามมาสร้างความปั่นป่วนถึงปัจจุบัน เรื่องที่ทำให้เจ้าตัวส่ายหน้าอย่างระอา


    ในตอนนั้น ในกระท่อมแห่งนั้น การที่เขาเจรจาความกับนินจาสาว สึบาเมะ แม้ว่านินจาสาวจะมีใจให้รุ่นพี่ของตน แต่ด้วยการใช้เหตุผลอย่างรอบคอบ จึงใช้เวลาไม่นานนัก ก็สามารถชิ้นำให้เธอคล้อยตามในประเด็นที่เขาต้องการจะสื่อได้


    "ถ้าแม่หนูเป็นห่วงเขาจริงๆ แม้จะขัดความตั้งใจของเขาแต่หากเป็นสิ่งที่ผิดแล้ว แม่หนูก็ควรขัดขวางการกระทำนั้นอย่างถึงที่สุด มิใช่หรือ?"


    แน่ล่ะว่า นินจาสาวเธอไม่ได้ตอบอะไรในตอนแรก แต่จากการกระทำที่เธอช่วยตัวเขานำคริสโตเฟอร์มาถึงยัง มหาวิหาร ชั้นใน จนถึงส่วนพี่พักของเขา การกระทำที่ชัดเจนกว่าคำพูด นั่นก็ทำให้ตัวเขาคลายกังวลลงได้ระดับหนึ่ง หากว่าเป็นตัวผู้ต้องการล้างแค้น ที่เขาหนักใจมากกว่า


    นับตั้งแต่ตอนที่เขาได้นำตัวคริสโตเฟอร์กลับมายังมหาวิหาร นั่นก็ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว แต่วี่แววของโครว แม้ว่าตัวเขาจะได้ขอความร่วมมือไปกับ หน่วยต้นสังกัดของนินจาหนุ่มแล้วก็ตาม แต่ด้วยที่ผู้รับผิดชอบหลัก ยังอยู่ในระหว่างการฝึกสอนนอกสถานที่ การดำเนินการจึงไม่เดินหน้าไปอย่างที่ตัวเขาต้องการนัก


    สิ่งที่เขากลัวจริงๆ ไม่ใช่ว่าทางฝากของนินจาหนุ่มจะทำอะไรที่ไม่ควรทำอีกหรือไม่ หากแต่เป็นทางฝากของเป้าหมายการล้างแค้นของนินจาหนุ่ม จนถึงตอนนี้ เป็นไปได้มากกว่าอีกฝ่ายจะระแคะระคายถึงต้นตอข่าวปล่อยที่ออกมา ซึ่งหากสืบสาวเอาเรื่องกันจริงๆ และ ชูครอส ไม่ใช่คนที่ปล่อยให้เศษเสี้ยวใดๆที่เป็นภัยกับตนเล็ดรอดไปได้เป็นอันขาด เขารู้นิสัยอีกฝ่ายดีพอๆกับวิธีการที่อีกฝ่ายเลือกที่จะใช้ด้วยอีก


    ตัวของนินจาสาว สึบาเมะ เจ้าหล่อนที่ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อขาดการติดต่อกับรุ่นพี่ของตน และ การเกลี่ยกล่อมของคาร์ดินัลชรา เธอเลือกที่จะติดตามอีกฝ่าย ด้วยเหตุผลว่า การอยู่ใกล้กับชายชรา น่าจะสามารถหาข่าวสารจากวงในได้บ้าง ว่าข่าวสารของรุ่นพี่ตนเองก็มีคนจำนวนหนึ่งทั้งในกองทัพและศาสนจักรที่ รวบรวมกันภายหลังเรื่องที่มีการสับเปลี่ยนตัวนักโทษแดงขึ้นมา


    ความคิดหลายอย่างเข้ามาในหัวเธอ ความกังวลหลายอย่างที่ก่อเกิดเป็นความกระวนกระวาย แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ผ่านเข้าระยะหนึ่ง เธอกลับมาตั้งสติกับสิ่งที่จะเกิดในวันนี้แทน เพราะการกระจายข่าวของเธอ ทำให้เกิดคลื่นของความขัดแย้งในหมู่ประชาชนแห่งไลท์เกรซ ทั้งฝ่ายสนับสนุนกองทัพ ฝ่ายศาสนจักร กระทั่งฝ่ายนอกรีตที่เข้ามาผสมโรงกับความวุ่นวายนี่อีก และด้วยเหตุที่ตัวของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต่างเก็บตัวเงียบ ไม่ออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกับ ประชาชน ที่สุดแล้ว สถานการณ์ก็ดูจะเข้าสู่ภาวะความไม่สงบย่อยๆไป



    เขตเมืองชั้นใน ไลท์เกรซ​

    จตุรัส Saint Maria​


    คาร์ดินัล ฟรังซิส ด้วยการขอร้องจากเจ้าหน้้าที่ประจำเมือง จึงจำเป็นต้องออกมาเจรจาความกับเหล่าผู้ชุมนุม แม้จะมีความสงสัยต่อความสามารถอันใดที่ ผู้ช่วยองค์ประมุขสูงวัยผู้นี้จะมีเพื่อใช้จัดการกับเรื่องนี้ แต่เมื่อท่านมาถึงยังลานกว้างของเมือง ที่ซึ่งกำลังเกิดการปะทะอีกครั้งของเหล่าผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างแต่



    "ประชาชนแห่งไลท์เกรซ กรุณาอยู่ในความสงบ!!"



    เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างมองมาที่ตัวชายชราด้วยแววตาเดียวกัน ถ้าบอกให้สงบแล้วมันสงบได้พวกเขาคงไม่ต้องขอให้ท่านมาชี้แจงเรื่องนี้ดอก แต่เป็นความเงียบที่เข้าปกคลุมลานกว้าง กับสายตาของกลุ่มคน ผู้ที่เมื่อสักครู่ยังขว้างปาสิ่งของตะลุมบอนเข้าหากันอยู่ กลุ่มคนที่หากไม่นับเหล่าเจ้าหน้าที่ ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 2,000คน แต่ตอนนี้กลับยืนนิ่งจ้องมองผู้ยืนกล่าวเป็นสายตาเดียวกัน

    ไม่ใช่การล้างสมองหรือ mindtrick เพราะเหล่าประชาชนแม้จะหยุดใช้ความรุนแรงแล้ว แต่สีหน้าของแต่ล่ะคนยังบ่งบอกถึงความสงสัยและความอดกลั้นของแต่ล่ะคน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสงบสติอารมณ์กันได้เพียง คำกล่าวเรียบๆของคาร์ดินัลท่านนี้


    "กับข่าวสารหรือภาพถ่ายที่พวกท่านบางคนหรือบางส่วนได้รับรู้นั้น ทางโบชถ์ขอยืนยันว่าเป็นการบิดเบือนและจงใจสร้างความแตกแยกภายใน ของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง ข้าไคร่ขอร้องทุกท่านว่าขอให้อยู่ในความสงบ และให้ศาสนจักรได้ทำการตรวจสอบเรื่องในครั้งนี้ให้แน่ชัดก่อน ข้าขอมิใช่ในฐานของผู้ช่วยองค์สันตะปาปา หรือ ฐานคนของศาสนจักร แต่ข้าขอในฐานของพลเมืองแห่งไลท์เกรซและศาสนจักร ว่าอย่าได้ทำร้ายคนรอบตัวท่าน ด้วยเรื่องในครั้งนี้อีกต่อไปเถิด"


    สิ้่นคำประกาศ ความเงียบงันก็ยังคงอยู่ แต่ท่าทีของประชาชน กลับแตกต่างจากตอนแรกมากนัก แม้จะมีความสงสัยในแววตาเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่ก็เริ่มเก็บกวาดขยะ และ เก็บข้าวของกลับบ้านช่องของตนกันอย่างเงียบๆ ช่วยกันแบกหามคนเจ็บ หรือ เพียงแค่แยกย้ายกันเดินไปคนล่ะทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    ความแปลกใจระคนสงสัยนั้นมีแว่บเข้ามาในหัวของนินจาสาวอยู่ครู่หนึ่ง แต่เป็นความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่ทำให้อารมณ์ของเธอลดลงในระดับสงบเสงี่ยม กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า


    "Vocie of peace น่าประทับใจไม่เปลี่ยนเลยนะ ท่านคาร์ดินัล"


    เสียงน่าแหลมน่ารังเกียจที่นินจาสาวจำได้ดังขึ้น แต่เป็นมือของคาร์ดินัลบนบ่าของเธอ ที่ยั้งไม่ให้เธอชักอาวุธขึ้นมา


    "ผมเองก็อิจฉานะบางครั้ง กับโฮปที่สามารถเสริมการพูดได้แบบนี้ ทำให้ผู้ฟังอยู่ในภาวะสงบเสงี่ยมไม่ว่าสิ่งที่พูดออกมาจะเข้าหูหรือไม่ก็ตาม หรือจะปลิ้นปล้อนได้แค่ไหนก็ช่าง" ตกใจกับความไร้มารยาทของท่านผบ ต่อ คาร์ดินัล คือที่ทหารรอบๆทั้งสองออกอาการไม่เว้นแม่แต่นินจาสาว


    "...ท่านผบ ต้องรบกวนให้ท่านสอบสวนเรื่องในครั้งนี้ให้กระจ่างด้วยล่ะนะ" ฟรังซิสกล่าว เขาไม่ประสงค์จะสนทนาอะไรกับคนๆนี้มากนัก

    "โอ้แน่นอนท่านคาร์ดินัล ผมจวนจะรู้แล้วไอ้คนที่ปล่อยข่าวนี่มันเป็นใครกัน รวมถึงข่าวปล่อยปลอมๆที่พวกท่านๆได้รับกันด้วยน่ะ"


    นินจาสาวถึงตอนนี้ จ้องตาชูครอสไม่กระพริบ แต่คงเพราะแกกำลังมีสมาธิอยู่กับชายชราจึงไม่ได้สังเกตุถึง


    ชูครอสเหมือนว่าพึ่งจะสังเกตุเห็นตัวนินจาสาว ก็ทำหน้าฉงนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจระคนสงสัย


    "หืม? นี่อะไรครับท่านคาร์ดินัล นินจาสาวสวยนางนี้น่ะ?"


    แต่เป็นคำอธิบายของตัวคาร์ดินัลไม่ใช่จากปากของนินจาสาว ที่ตอบข้อสงสัยอีกฝ่าย

    "ซิสเตอร์ในสังกัดของข้าพเจ้า ท่านผบ สึบามะ ทำความเคารพท่านผบสิ"


    แน่ล่ะว่านินจาสาวดูจะลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ที่สุดเธอก็ค่อยๆก้มหัวทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก ภายใต้สายตาฉงนสงสัยของอีกฝ่าย ผู้ที่ยังลังเลว่าคำกล่าวของ ตัวคาร์ดินัลเชื่อถือได้เพียงใด เมื่อเทียบกับรายงานถึงคนที่ปล่อยข่าว กับภาพร่างใบหน้าคร่าวๆ ที่เขามีในครอบครอง


    "อะ....อื้มมม ไม่ทราบว่าซิสเตอร์นางนี้ มีที่มาจากแห่งหนตำบลใด ท่านคาร์ดินัล?" ลองเพื่อว่าอีกฝ่ายจะออกพิรุธใด ชูครอสคาดหวังเอาไว้

    "นั่นไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวลท่านผบ ที่จริงท่านมีเรื่องน่ากังวลมากกว่านั้นมิใช่หรือ? เรื่องอย่าง การเร่งดำเนินคดีกับคาร์ดินัลซานโดรนั่นน่ะนะ"


    ถึงตรงนี้เป็นตัวชูํครอส ที่ทำหน้าสงสัยในเจตนาคำพูดของอีกฝ่ายแทน เช่นเดียวกับนินจาผู้ที่ทำสายตาพิกลกับคำพูดดังกล่าว


    "อ่าใช่....กับเรื่องคดีนั้น ข้าได้รายงานให้ มาเรีย ได้รับทราบแล้ว แล้วท่านก็ไม่ขัดค้านหรือเห็นแย้งกับเรื่องนี้แต่ประการใด ท่านก็จัดการตามสมควรไปเลยแล้วกัน เรื่องจะได้เข้าที่เข้าทางเสียที"


    ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า คนที่รู้ดีพอๆกับตัวเขาว่า คาร์ดินัลซานโดร กับ สันตะปาปาคริสโตเฟอร์ ก็คือคนๆเดียวกัน มีอะไรซุกไว้ก้นหีบถึุงได้ออกปากเรื่องแบบนี้ออกมาได้ แต่เป็นคนของเขาที่เดินมาหาตัวเขาด้วยท่าทีร้อนรน พร้อมกับแจ้งข่าวภายในให้เขาได้ทราบ ที่ทำให้ความสงสัยเดิมแทนที่ด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีขึ้นมาแทน


    "ดูเหมือนท่านผบ. คงไม่จำเป็นต้องสืบเอาความอะไรกับ ซิสเตอร์นางนี้แล้วกระมัง?"


    "...พูดได้ดีน่ะท่านคาร์ดินัล ราวกับอ่านใจข้าได้เช่นนั้นแล เอาเถอะข้ามีหนูตัวใหญ่ที่ต้องรีบไปจัดการก่อน แล้วไว้เจอกัน"

    ชูครอสกล่าวจบก็เดินนำหน้าผู้ติดตามของตนไปอย่างรีบเร่ง โดยอดกลั้นไม่ให้รอยยิ้มผุดจากใบหน้ามากเกินไป



    "ท่านคาร์ดินัล ที่เจ้าชูครอสพูดเมื่อสักครู่นี้หมายความว่าอย่างไรค่ะ?"

    แต่เป็นแววตาที่เหมือนจะเห็นถึงเรื่องบางอย่างที่จะเกิดขึ้น ในแววตาของฟรังซิส ที่ทำให้นินจาสาวไม่เอ่ยปากถามอันใดอีก กับแววตาของผู้ติดตามที่ส่งข่าวให้ชูครอส ที่หันมาสบตาของคาร์ดินัลเพียงแว่บเดียว ก่อนจะรีบก้าวเดินตามนายของตนไปติดๆ


    "นี่คือคำตอบของเจ้าสินะ โครว"



    ...
    ..
    .





    ห้องขังเดี่ยว​



    กระหืดกระหอบมายังห้องขังทันที่ที่ คนของตนบอกข่าวน่าตกใจกับตน ชูครอสกระทำ นักโทษซานโดรกลับมาอยู่ในห้องขังแล้ว ต้องดูด้วยตาตัวเองถึงจะเชื่อ กับคนที่หายไปไร้ร่องรอย จะกลับมาเองได้อย่างไร?


    แต่จากสายตาของเขาเอง ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องนั่น เป็นซานโดรมิผิดเพี้ยนแน่ และเป็นร่างเนื้อตัวเป็นๆ ที่หายใจเข้าออกได้ด้วย แต่จากสภาพที่ดูเหมือนจะถูกซ้อมมา และเลือดที่เปรอะหน้า แต่จากทรงผมและโครงหน้านั่น เขาเชื่อว่าน่าจะใช่ตัวจริง


    "ไปได้ตัวมายังไง?" ชูครอสเอ่ยปากถาม ผู้คุมอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้องขัง

    "..." แต่ความเงียบกลับเป็นคำตอบพวกนั้น

    "เจ้าหน้าที่ ชั้นถามว่าไปได้ตัวเจ้าหมอนี้มาได้ยังไง?

    หากแต่ความเงียบงั้นยังเป็นคำตอบเดิมของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ชูครอสเริ่มเดือดปุดๆกับท่าทีดังกล่าว


    "หูหนวกหรือไง? ชั้นถามว่า...!!" สะดุ้งเมื่อตอนที่มือของตนไปสะกิดกับเจ้าหน้าที่นายนั้น และร่างดังกล่าวล้มลงกับพื้นพร้อมกับหัวที่กลิ้งหมุนไปกับพื้น


    เห็นว่าผิดท่า กับไอเย็นที่สะสมในมือตน ชูครอสรู้สึกร้อนวาบที่สีข้าง เร็วเท่าความคิดที่ปลายมีดสั้นปะทะกับฟักดาบของตน พร้อมกับการฟาดฟันอีกสองสามครั้ง


    "คิดจะทำอะไรน่ะ พลทหาร?" ชักดาบน้ำแข็งของตนออกมาในท่าร่างเตรียมพร้อม แต่นายทหารผู้ที่เป็นคนส่งข่าวและติดตามเขามายังห้องขัง กลับแสยะยิ้มให้ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงทีทำเอาชูครอสถึงกับขนลุกเกรียว


    "แก้แค้นไง ชูครอส อย่าบอกนะว่าจำเพื่อนเก่าคนนี้ไม่ได้น่ะ?" โครวที่บรรจงกระชากหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากหน้าตน ค่อยๆเดินอย่างช้าๆพร้อมกับมีดสั้นของตนเข้าหาอีกฝ่าย

    "เป็นแกเองรึ? เรื่องทั้งหมดนี้มันฝึมือแกเองสินะ?" สาดประกายใส่อีกฝ่าย ต้องโจมตีเดี๋ยวนี้ แต่อีกฝ่ายก็คิดได้แบบเดียวกัน


    ดาบน้ำแข็งสามารถกั้นมีดสั้นที่ขว้างมาได้ก็จริง แต่เมื่อการปะทะระยะประชิดระหว่างดาบยาวและมีดสั้น และ ขนาดของห้องที่ไม่กว้างมากนัก การอออกท่วงท่าของผู้ใช้ดาบจึงจำกัดมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ชูครอสกัดฟันกรอดๆ หากใช้ท่ามากไปน้ำแข็งอาจทำร้ายตัวเขาเองได้ จึงได้แค่ปัดป้องการโจมตีส่วนใหญ่แทน


    "แล้วเจ้าซานโดรในกรงนั่นมันใครกัน? คนของแกรึ?" ตวาดถามแม้ว่า ศรน้ำแข็งของเขาจะสกัดมีดบิน ที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดไปได้อีกชุด ในใจพลางนึกทหารคนอื่นๆไปไหนกันหมด?

    "ก็แค่ทหารแถวๆนี้ ยา กับ หน้ากากหนังช่วยตบตาแกได้ดีสินะ?" เขวี้ยงมีดบินอีกครั้ง แต่ครานี้กลับมียันต์ลงอักขระพ่วงติดกับมีดไปด้วย


    สายเกินกว่าจะหลบ ได้แต่ยกการ์ดน้ำแข็งของตนขึ้นบัง แต่การระเบิดย่อยๆ ส่งทั้งน้ำแข็งและร่างชูครอส เข้ากระแทกกับกำแพงหินอย่างจัง และอย่างเร็วโดยไม่ให้ตั้งตัว มีดสั้นบินก็ปักทะลุฝ่า ตรึงให้แขนขวาชูครอสปักเข้ากับกำแพงหินเหนือหัว


    "ฮึ่ อ้ากกก" แหวเสียงร้องออกมา กับความรู้สึกวาบที่ฝ่ามือตนและเลือดอุ่นๆที่ไหลอาบแขนตน ชูครองเขม็งตามองอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าแผลเก่าเขาจะเปิดสองสามจุด ตรงไหนสักแห่งหนึ่งด้วย

    "ฮี่~~~~ จะเอาตรงไหนดีก่อนน้า หน้า หรือว่า แขนขาแกดี?" โครวยิ้มกว้าง พลางนึกไปว่าจะทำอย่างไรกับเหยื่อของตนดี

    เชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าการแก้แค้นของตนนั้นในที่สุดก็มาถึงในจุดแกเฝ้ารอมาหลายปี แม้จะผิดแผนไปบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็จะได้จัดการเจ้าปีศาจนี่ด้วยมือของเขาเอง นั่นคือที่เขาคิดตอนที่มืดสั้นของเขาจ่อเข้ากับต้นคออีกฝ่าย


    "มีอะไรจะสั่งเสียไหม ชูครอส ในตอนที่ยังแรงให้สั่งหน่ะ?" เหมือนจะเห็นแววตาหวาดหวั่นของอีกฝ่ายในสายตาเขา แต่นั่นก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น





    "เปรี้ยงงงง!!"





    "ฮึ่ก เจ้า เจ้าขี้ขลาด อะ อุ่ก" โครวพูดได้แค่นั้น แกก็ทรุดลงกับพื้น มือข้างหนึ่งกุมปากแผลของตนไว้ ส่วนอีกข้างยันกายไม่ให้ล้มลงกับพื้น


    สิ้นเสียงที่ก้องไปถึงด้านนอกอาคาร บรรดาทหารลาดตระเวณก็กรูเข้ามาในคุก กับภาพที่เห็นท่าน ผบอยู่ในสภาพบาดเจ็บหนัก กับถือปืนลูกโม่ที่ยังมีควันโฉยจากปลายกระบอก กับร่องรอยการต่อสู้ที่ปรากฎให้เห็น ทั้งเพดาน พื้น กำแพง และ ซี่กรงที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

    "ท่านผบ นี่มันเกิดเรื่องอันใดกันครับท่าน?"

    ดึงมีดที่ปักมือตนออกอย่างยากลำบาก แต่ฝืนยิ้มเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ผลิกพัน ก่อนจะใช้ปืนของตนยิงมือข้างที่ยันพื้นของโครวไปอีกนัด ส่งเลือดและเสียงแผดร้องของนินจาหนุ่มดังไปทั้งห้องอีกครั้ง

    "เจ้านินจานี่พยายามจะลอบสังหารเรา กุมตัวมันไว้ทหาร ชั้นมีเรื่องที่ต้องสอบกับมันอีกมาก" กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปิดการเย้ยหยันไว้ไม่มิด


    ไม่ต้องให้สาวความมากไปกว่านี้ เหล่าทหารช่วยกันแบกหามผบของตนออกจากห้องขัง และ ฉุดกระฉากมือสังหารอย่างไร้ความปราณีตามไปติดๆ ทว่าโครวถึงตอนนี้ กลับยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า และเริ่มที่จะหัวเราะแห้งๆของตนออกมา

    "ฮึๆๆๆๆ แกคิดว่าตัวเองชนะแล้วสินะ ฮึๆๆๆๆ"


    ไม่สบายใจกับรำคาญอย่างที่สุด ชูครอสผละจากการแบกหามของทหาร แล้วสาวเท้าเข้าหา นินจาหนุ่ม ในแววตาที่สื่อถึงกันนั้น เขายังไม่รู้ว่าลูกไก่ตัวนี้คิดอะไรในหัวถึงยังยิ้มสำราญแบบนี้ได้ ทั้งที่ต่อไปนี้เขาจะรีดทุกหยดทุกข้อมูลที่เจ้านี่มี และใช่ นินจาสาวนางนั้น เขาต้องลากนังผู้หญิงนั่นมาทรมานต่อหน้าเจ้านี่ ให้มันได้รวดร้าวแสนสาหัส และใช่ ยัยอาสึกะนั่น ด้วยเรื่องนี้ เขาจะสามารถลากหล่อนลงจากตำแหน่งได้ไม่ยาก และ เส้นทางสู่อำนาจของเขาก็จะไม่มีใครขวางได้อีก


    "อยากเห่าหอนอะไรก็เห่าไป เพราะแกจะได้เห่าเสียงหวานแหลมแน่ เมื่อชั้นใช้ของเล่นกับแก" กระซิบข้างหูนินจาหนุ่ม หวังว่าจะได้ยินคำขอชีวิต หรือ คำร้องอย่างสิ้นหวัง


    "ฮึๆๆๆๆ ยังหยิ่งยโสเหมือนเดิมนะแก ฮึถ้าชั้นจะตาย แกคิดว่าชั้นจะไปคนเดียวรึ ฮึๆๆๆๆๆ"

    [...ขอโทษนะ สึบาเมะ แต่รุ่นพี่คนนี้ขอไปก่อนล่ะ...]

    [...อาสึกะ ข้าจะพาเจ้าปีศาจนี้ไปกับข้าด้วย...]


    "กะ แก ฮึ่ก อุ ว้ากกกกกก" ร้องเสียงหลงพลางชักเท้ารี่ตรงไปยังทางออกของชูครอส โดยที่ทหารคนอื่นได้แต่ตะลึงกับกริยาของผบตน แม้ทหารบางคนจะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่รอยยิ้มสุดท้ายของมือสังหาร และ เสียงฉนวนที่ดังซี่ๆออกจากปากแก ก็ไม่ทำให้ชะตาของพวกเขาเปลี่ยนไปมากนัก



    "พรึ่บ ฟู่~~~~~~~~!!"



    จากภายนอกอาคาร สิ่งที่ทหารยามเห็นในตอนนั้น คือลูกไฟลูกใหญ่พวยพุ่งออกจากประตูคุก ที่โดนแรงของลูกไฟทำลายกระเด็นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมๆกับ ลูกไฟอีกจำนวนหนึ่งที่พุ่งออกจากหน้าต่างของอาคาร พร้อมกับเสียงที่ฟังดูเหมือนเวลาช่างตีเหล็กปั้มลมใส่เตาเพื่อหลอมเหล็ก ไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่เสียงร้องโหยหวนแผ่วๆที่ดังออกจากกลางกองไฟที่ปากประตูทางเข้า พร้อมกับร่างลุกติดไฟที่วิ่งร้องเสียงหลงออกมาร่างหนึ่ง

    ด้วยความสยดสยอง แต่เมื่อสติกลับคืนมา การช่วยร่างที่ติดไฟนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อเพลิงบนตัวร่างนั้นสงบลง พิจารณาจากเศษผ้าที่เหลือ บนร่างกาย หากไม่ใช่บั้งทองเหลืองที่ละลายติดกับหัวไหล่ร่างนั้น คงจะไม่มีใครทราบว่า ร่างที่ดำเป็นถ่านนี่คือใครกัน แต่ที่น่าทึ่งมากกว่าก็คือเมื่อไฟสงบร่างดังกล่าวยังมีลมหายใจอยู่ และด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเกินจะนึกออก ทำเอาทหารบางคนถึงกับคลื่นไส้ไปตามๆกัน









    ภายหลังจากนั้น1สัปดาห์ การสอบสวนภายในที่ดำเนินการอย่างลับๆ ได้ลงความเห็นว่า คาร์ดินัล ซานโดร เลือกที่จะฆ่าตัวตายไปพร้อมๆกับเหล่าผู้คุม เพื่อเป็นการหลบหนีความผิดและแก้แค้นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ทำให้ตนได้รับความอับอาย มีผู้คุมอย่างน้อย 9คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทั้งนี้ผบ ชูครอส ผู้ที่อยู่คุกด้วยในวันนั้น ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพักรักษาตัว ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยต่อเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องหลายคน

    แน่นอนว่าการดำเนินการส่วนใหญ่ถูกปิดเป็นความลับ และ สิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณะ ก็มีเพียงข่าวว่านักโทษจุดไฟเผาฆ่าตัวตายและ ผบสูงสุดสละตำแหน่งของตนด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ พร้อมกับการแต่งตั้ง อดีตเสธ เซรอสให้ดำรงตำแหน่ง ผบสูงสุดแทน หากแต่เรื่องของนินจาโครว กลับมิได้มีการกล่าวถึงแม้แต่คำเดียว หรือ พล็อตการทำลายล้างของชูครอสและสันตะปาปาคริสโตเฟอร์ ก็กลืนหายไปกับกระแสข่าวหลักที่ออกมาเสียสิ้น


    แม้ภายหลังเสร็จภารกิจฝึกสอน อ.อาซึกะจะมาเค้นถามกับตัว คาร์ดินัล ฟรังซิสถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของโครว และ สึบาเมะ ที่บัดนี้เร้นกายหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยเฉพาะเรื่องของชูครอส ผู้ที่บัดนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ในห้องพักฟื้น แต่ก็ไม่มีคำตอบที่น่าพอใจอันใดออกจากปากของ ท่านคาร์ดินัล ที่ทำให้ข้อสงสัยของ อาซึกะกระจ่างแต่อย่างใด


    "ท่านจะขอให้เรา วางเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ?"

    "ข้าไม่ได้ขอให้เธอวางเฉย อาสึกะ แต่ภาพรวมที่ใหญ่กว่านั้น ความสงบสุขกับสเถียรภาพรวมของศาสนจักร เรื่องที่เกิดไปแล้วก็อย่าไปรื้อฟื้นอะไรอีกเลย และในเมื่อเรื่องบุญคุณความแค้นใดๆที่มี ก็สิ้นสุดกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ข้าขอให้เรื่องนี้จบลงแค่นี้เถอะ อาซึกะ"


    "ท่านรู้ใช่ไหมว่า เจ้าชูครอสมันไม่ยอมหยุดเพราะเรื่องแค่นี้แน่?"


    "หากเขายังดื้อรันที่จะเดินไปในหนทางที่เขาเลือก จุดจบที่เขาจะได้รับย่อมไม่อาจหลีกหนีพ้นอาซึกะ" กล่าวราวกับจะเห็นถึงสิ่งทียังไม่ได้เกิดขึ้น


    แม้ว่าอาซึกะจะคิดว่าชายตรงหน้าเธอเพียงแค่เอ่ยคำกล่าวให้เธอรู้สึกคลายกังวล แต่คำพูดของคาร์ดินัลท่านนี้กลับเป็นจริงอย่างที่สุด ไม่ใช่ในตอนนี้ แต่เป็นอีกไม่กี่เดือนให้หลัง เมื่อความกล่าวที่ว่านี้แสดงความหมายของมันออกมาอย่างเด่นชัด ในเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้น ณ เมืองชายฝั่งทะเลทางตะวันตกแห่งหนึ่ง.....





    [Fin]



    สถานะตัวละคร


    พระคาร์ดินัล ฟรังซิส เซเวียร์ : ยังทำงานในตำแหน่งผู้ช่วย ยังครบ 32ส่วน

    องค์ประมุข คริสโตเฟอร์ เบเนเด็ตโต้ : อยู่ในระหว่างการพักฟื้น ณ ที่พักคาร์ดินัล ฟรังซิส

    ผบ. ชูวครอส วาลาเดียน่า : บาดเจ็บสาหัส อยู่ในระหว่างการพักฟื้น (ตำแหน่งปัจจุบันตกเป็นของ อดีตเสนาธิการ เซรอส)

    นินจา โครว : เสียชีวิต (ฆ่าตัวตายพร้อมกับผู้คุม 9คน)

    นินจา สึบาเมะ : หายสาบสูญ (แต่เชื่อว่าไปเป็นนางชี ณ สำนักนางชีแห่งหนึ่ง ใกล้พรมแดนตอนเหนือ)

    อาสึกะ บลัดแฟงค์ : อยู่ระหว่างการเตรียมออกค้นหา นักเรียนที่สาบสูญของเธอ (อัลรอนเน่)

    เอ็กโซซิสต์ฝึกหัด อัลรอลเน่ แซง-ลักซ์เชี่ยนวาเลนติโน่ : พำนักอยู่ในวิหารท้องถิ่นแห่งหนึ่ง (กลางตัวเมืองเดบลิส)
  18. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    กลายเป็นว่ามีแค่วินมานั่งแต่งอยู่คนเดียวแล้วแฮะ

    ปล. นั่งบิ๊วด์อารมณ์
  19. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เนื้อเรื่องการเมืองจบแล้วสินะ...

    /me สอบเสร็จเริ่มแต่งมั่่งดีกว่าเรา
  20. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88


    แต่ถ้าวาเลียโพล่มาเฟลอีก บางอย่างอาจโพล่มาลากวาเลียลงหลุมได้เน้อ
  21. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    อนึ่ง ขอยืมพื้นที่ลงเนื้อเรื่องเปิดตัวตัวละครหลักคนใหม่สัก 3 รีพลายไม่ว่ากันนะ (แบ่งส่วนเพื่อจะได้อ่านง่าย)

    หมายเหตุ - ข้อมูลเกี่ยวกับในจักรวรรดิ เอื้อเฟื้อโดยท่านวินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    New Character Debut : Outlaw Hero

    Pt.1 Wandering Rider


    ความเงียบสงบของผืนดินอันเวิ้งว้างถูกทำลายลง ด้วยเสียงที่ดังมาจากสองสิ่งที่กำลังไล่ล่าตามกันมาอย่างดุเดือด

    หนึ่ง ผู้มีรูปร่างแลดูเป็นมนุษย์ กำลังขับเคลื่อนพาหนะที่มีสองล้อ แม้เสียงเครื่องยนต์จะถือว่าเงียบเชียบกว่ารุ่นทั่วไปในปัจจุบันแต่ก็ดังกระหึ่มพอจะบ่งบอกว่ากำลังเร่งเครื่องเต็มที่ เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกไล่ตามในฐานะผู้ถูกล่า

    หนึ่ง เร้นกายแฝงตัวมิให้ถูกเห็น แต่ร่องรอยของดินที่ถูกยกขึ้นเป็นทางยาวทิ้งท้ายทุกการเคลื่อนไหว จากขนาดบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่โต กำลังตามจี้ติด ๆ ตามวิสัยของผู้ล่า

    ระยะห่างค่อย ๆ กระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าผู้ถูกตามเริ่มถึงขีดสุด หรือไม่ก็เกิดท้อขึ้นมาทันทีที่เห็นภูเขาหินยักษ์ที่สูงชันตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า ฝ่ายผู้ไล่ล่าก็ดูเหมือนกำลังจะเร่งความเร็วขึ้นด้วยความดีใจ ว่ากำลังจะได้ลิ้มรสมื้อเที่ยงสักที

    ใช่.... ปกติมันน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทว่ากรณีนี้กลับต่างออกไป

    เจ้าของผู้ขับขี่มอเตอไซค์สีดำสนิทกดปุ่มบางอย่างข้าง ๆ คันเร่งที่มือ ส่งผลให้ท่อไอเสียทั้งสองข้างด้านหลังที่เดิมไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลยแต่ต้น ค่อย ๆ จุดประกายเปลวไฟขึ้นจากภายใน พริบตานั้นเองเขาก็ยกล้อขึ้น ตัวของรถอยู่ในสภาพเชิดหัวเอียง แม้จะทำให้ความเร็วลดลงจนศัตรูเข้ามาใกล้มากขึ้น ทว่าก็เท่านั้น

    พริบตาที่ประกายไฟพุ่งปะทะกับพื้น ด้วยแรงส่งจากท่อไอเสีย หรือควรจะเรียกว่าไอพ่นมากกว่านั้น ก็มากพอที่จะพาทั้งตัวรถและผู้ขี่ขึ้นสู่ฟ้าในพริบตา ภาพของเขาที่เหินขึ้นตัดแสงอาทิตย์นั้นทั้งสง่างามและเท่ระเบิด ตรงข้ามกับผู้ล่าตัวเป้งที่คงไม่รู้เรื่อง แต่ครั้นจะสงสัยว่าทำไมไม่ถึงตัวเหยื่อสักทีก็สายเกินไป ว่าแล้วก็
    โครมมม
    เสียงปะทะของร่างยักษ์ที่อยู่ใต้ดินกับโขดหินก็ดังสนั่นตามมา ราวกับเสียงระฆังจบการแข่งขันที่อาจจะดูเถื่อนและแหวกแนวไปสักหน่อย แต่ก็ชี้ชัดผู้แพ้ผู้ชนะได้ชัดเจนที่สุด

    มอนสเตอร์ที่มีค่าหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ แต่ด้วยความน่าสะพรึงกลัวของมันมากพอจนไม่มีใครกล้าเสี่ยงมาล่า หนอนยักษ์ผู้ปกครองทะเลทราย “ไจแอนท์เดเซิร์ทเวิร์ม” ซึ่งได้ชื่อว่าอยู่ ณ จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารบริเวณนี้ ไม่ว่าจะนักล่าหรือนักเดินทางคนใดยามที่ตกเป็นเหยื่อ แม้วาระสุดท้ายก็ยังไม่มีโอกาสได้ทันเห็นรูปร่างหน้าตาของมัน ด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ใต้ดินที่เร็วสุด ๆ ชนิดที่ว่าใครก็ตามที่เห็นพื้นดินยกขึ้นเป็นขบวนรูปหนอนเมื่อใดก็จบชีวิตเมื่อนั้น

    แต่วันนี้ ฝ่ายที่ต้องไปสวรรค์ไม่ก็นรกนั้น กลับเป็นมันเสียเอง มันคงไม่รู้หรอกว่าเหยื่อที่มันไล่จี้ในวันนี้นั้น “ไม่ธรรมดา”

    ส่วนบุคคลคนนั้นเอง หลังจากที่พ้นจากอันตรายมาได้ ทันทีที่ล้อสัมผัสกับผิวของภูเขาหิน เขาก็ไม่รอช้าที่จะบิดคันเร่งเต็มพิกัดก่อนจะร่วง แล้วไต่ระดับขึ้นไปจนถึงยอดในเวลาไม่นาน ซึ่งก็นับเป็นโชคดีที่ยอดเขามีลักษณะเป็นที่ราบแคบ ๆ แต่ก็เพียงพอจะหยุดพักได้

    เขาจอดรถไว้ชั่วคราว ก่อนที่จะดับเครื่องแล้วค่อย ๆ ถอดหมวกกันน็อคออก เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มที่ชุ่มเหงื่อของชายหนุ่มเจ้าของผมทรงตั้งสีบลอนด์ เขาเปิดที่เก็บของออกก่อนที่จะหยิบกระติกน้ำขึ้นมาเปิดและดื่ม นั่นทำให้เขารู้ว่านี่เป็นอึกสุดท้ายแล้ว

    ดวงตาสีเขียวมรกตกวาดมองไปรอบ ๆ จากที่สูงเพื่อหาที่พักเติมเสบียง ทว่าเขาก็ต้องหรี่ตาด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย ในเมื่อท่ามกลางทะเลทรายสุดลูกหูลูกตานี้ มีสิ่งที่แสดงถึง “อารยธรรม” อยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ

    สาธารณรัฐแห่งทะเลทราย “Babylon” ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเสาหลักของกองกำลังทางทหารของจักรวรรดิ แม้จะแปลกทั้งที่เป็นเมืองป้อมปราการ แต่กลับไม่มีกำแพงเมืองขนาดยักษ์ ทว่าก็ทดแทนด้วยป้อมปืนใหญ่และป้อมทหารยามที่รายล้อมซึ่งแสดงถึงแสนยานุภาพของอาวุธได้เป็นอย่างดี นี่ยังไม่นับทุ่นระเบิดที่วางซ่อนอยู่ใต้พื้นทรายอีกจำนวนมากสำหรับป้องกันตัวจากผู้บุกรุก ดู ๆ ไปก็เหมือนฐานทัพทหารเสียมากกว่า แค่มีพื้นที่สนามทรายกว้างมากพอที่จะตั้งเมืองให้ประชากรอาศัยอยู่ได้เท่านั้น

    แม้ว่าปกติในเขตปกครองของจักรวรรดิ หากมองผ่านสายตาของเขา ก็พาลให้หงุดหงิดอยู่เสมออยู่แล้วก็ตาม แต่จะให้คนอย่างเขาทำใจให้ชอบก็คงยาก ไม่ว่าจะระบบทาส หรือการไม่เห็นคุณค่าของมนุษย์ที่เป็นทาสชั้นต่ำ ไหนจะมาตรฐานชีวิตที่พวกปีศาจมีสิทธิ์เหนือชีวิตมนุษย์แทบทุกกรณี แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้แต่อดทน เพราะกำลังของเขาเพียงลำพังย่อมเปลี่ยนแปลงอะไรมิได้อยู่แล้ว

    ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายลมที่กระทบหน้าเขาโดยพลัน ราวกับกำลังแจ้งเตือนว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลรอเขาอยู่ที่นั่นอีกแล้ว

    แต่ชายหนุ่มก็เพียงแค่ถอนหายใจอย่างเสียมิได้ เพราะไม่ว่ามันจะดูแย่สำหรับเขาแค่ไหน หรือจะต้องเจอกับเรื่องอะไรก็ตาม สำหรับเขาก็ไม่คิดว่ามันแปลกอยู่แล้ว ที่สำคัญ บริเวณนี้มันเป็นสถานที่เดียว ที่เขาจะสามารถหาเสบียงมาเติมสำหรับยังชีพในการเดินทางครั้งต่อไปได้

    เมื่อแน่ใจว่าพักเครื่องได้พอสมควรแล้ว เขาสวมหมวกกันน็อคเข้าดังเดิม และสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเล็กน้อยก่อนจะเริ่มออกวิ่งลงเขา และมุ่งหน้าไปยังถนนดินเส้นเล็ก ๆ ที่ทอดเข้าสู่ตัวเมือง โดยที่หวังว่าจะไม่จำเป็นต้องพักอยู่ที่นั่นนานเกินไปนัก

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “หนังสือเดินทาง” น้ำเสียงขึงขังแต่แหบเล็กน้อยนั้นมาจากหนึ่งในสองทหารยามในเครื่องแบบชนิดป้องกันฝุ่นทราย พร้อมกับยื่นมือขอดูหลักฐานที่ต้องการ ในขณะที่มือขวากระชับด้ามปืนอาก้าไว้พร้อมสรรพ

    นักเดินทางหนุ่มบนพาหนะสองล้อหยิบออกมาให้ดูอย่างว่าง่าย เมื่อเจ้าหน้าที่รับมาเปิดดูเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยื่นคืนให้
    “ไปได้”

    เขาเพียงพยักหน้าและรับหนังสือเดินทางที่ปลอมได้อย่างแนบเนียนคืนมา แล้วขับรถผ่านด่านทันทีที่ไม้กั้นถูกยกขึ้นเปิดทางให้

    “พวกจากในเมืองนี่ไฮโซกันดีนะ ขนาดมอเตอร์ไซค์ยังไม่มีควันออกจากท่อไอเสียเลย” ทหารอีกคนเอ่ยวิจารณ์พาหนะของนักเดินทาง

    “นั่นสิ ผลิตภัณฑ์ใหม่จากโมราเลียล่ะมั้ง แต่ชั้นอยากได้เป็นรถหุ้มเกราะมากกว่า แต่อย่างพวกเราคงอีกนานแหละกว่าจะได้ขับ” ทหารคนแรกบ่นอย่างเสียดายเล็ก ๆ

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ชายหนุ่มจอดมอเตอร์ไซค์คู่ชีพไว้บริเวณมุมตึกที่เขาเห็นว่าน่าจะปลอดภัยและมีคนมาพบได้ยากที่สุด เนื่องจากมันคงดูเหมือนของแปลกใหม่สำหรับที่นี่ ต่อให้มั่นใจแค่ไหนก็ต้องระวังเอาไว้ก่อน

    ต่อไป เขาก็คงต้องเดินเข้าตลาด อย่างน้อยก็ควรหาซื้อเสบียง แล้วก็คงต้องหาที่พักอย่างน้อยสักหนึ่งคืน เพื่อฟื้นฟูทั้งแรงกายและพลังเวทของเขาสำหรับเดินทางต่อพรุ่งนี้ โดยหวังว่าจะไม่ต้องเจออะไรวุ่นวายเสียก่อน

    ทว่าก็ทำได้แค่คิด....

    “กรี๊ดดดด ช่วยด้ว... อุ๊บ”
    “ฮ่าๆ มานี่เลยน้องสาว พวกพี่ ๆ เค้ารออยู่”
    เสียงโหวกเหวกที่ผ่านเข้ามาให้ได้ยินนั้น เรียกให้เขาต้องหันไปทางต้นเสียง แล้วก็เป็นดังคาด เขาเห็นสาวรุ่นร่างบางคนหนึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์สองสามคนอุ้มตัวไปยังซอกอาคารที่ดูเปลี่ยว ทั้งกลางวันแสก ๆ แต่กลับไม่มีคนสนใจจะช่วยเหลือ ไม่ว่าจะชาวบ้านที่ต่างพากันแสดงความกลัวและรีบถอยห่าง รวมไปถึงเหล่าทหารยามที่แค่หันไปมองเล็กน้อยก่อนจะทำไม่สนใจ

    ไม่ต้องเดาเขาก็ยังมองออก ว่าอะไรเป็นอะไร จริงอย่างที่สายลมบอกกับเขาไว้เลย ไม่สิ ไม่ว่าไปที่ไหน เรื่องพรรค์นี้นับเป็นเรื่องที่พบได้เสมอในดินแดนของจักรวรรดิทุกที่ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเรื่องแบบนี้ จะว่าไปก็พบเห็นมาหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

    แต่.....นิสัยเสียของเขาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เลิกกันไม่ได้ ชายหนุ่มถอดหมวกออกเก็บไว้ที่รถ ก่อนที่จะเดินตามไปอย่างไม่รอช้า

    “เฮ้ ไอ้หนูมนุษย์ ไปยุ่งเรื่องคนอื่นเค้ามันไม่ดีนา” ทหารยามคนหนึ่งแซว ฟังจากน้ำเสียงและวิธีการพูดก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นพวกปีศาจ

    “เห็นมีสาวสวย ก็เลยคิดอยากไปร่วมสนุกด้วย ผิดหรือ” เขาตอบกลับไป ทว่าน้ำเสียงยังคงเรียบ ๆ และเย็นชา

    “โฮ่ เห็นติ๋ม ๆ แบบนี้ ร้ายไม่เบาเหมือนกันนะไอ้หนู ฮ่าๆๆ”

    เขารีบเดินไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะหัวเราะแซวอย่างไร

    “เฮ้ จะดีรึปล่อยมันไปแบบนั้นน่ะ” ทหารอีกคนถามเพื่อนของตน

    “ไม่ต้องห่วงร้อก เด็กมันกำลังวัยกลัดมันก็ให้มันไปร่วมหน่อยจะเป็นไร แต่ถึงมันคิดจะทำตัวเป็นฮีโร่ซะเอง ผลจะเป็นไงมันก็รู้ ๆ อยู่”

    “นั่นสินะ เป็นแค่มนุษย์จะสู้พวกเราได้ยังไง้”

    “ว่าแต่ แล้วพวกเราจะไปร่วมด้วยดีมั้ย”

    “ก็อยากอยู่ แต่ขืนโดดงานเดี๋ยวเจ้านายเอาตายพอดี”

    “นั่นน่ะสิ ว้า เสียดายจัง”
    พวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่า พวกเขาโชคดีที่สุดแล้วที่เลือกรักษาหน้าที่ของตนไว้

    ความคิดของพวกเขาคงจะถูก ถ้านั่นเป็น “มนุษย์” ทั่ว ๆ ไปล่ะก็นะ

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    เด็กสาวถูกพาเข้ามาในห้องทึบที่ถูกกั้นแสงจากภายนอก ยิ่งทำให้เธอเสียขวัญมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผิดกับพวกปีศาจที่ดูเหมือนจะมีความสามารถในการมองเห็นในที่อับแสงชัดเจนกว่ามาก

    “ข...ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ” เธอร้องขอชีวิตตัวสั่น แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความเห็นใจใด ๆ จากพวกมัน

    “แหม เสียใจด้วยนะน้องสาว พวกพี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
    “ช่าย พวกพี่กำลังมีอารมณ์จัดเลย”
    “ที่สำคัญ ทาสไร้นายแบบเธอ ต่อให้ตะโกนร้องปากฉีก ก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก”
    “ช่าย ๆ คิๆๆ”
    เสียงพูดสอดประสานกันจนดูน่ารังเกียจของพวกมันช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก แต่ทำให้เธอรู้สึกหมดหวังจะรอดไปจากที่นี่เสียแล้ว คงทำอะไรไม่ได้นอกจากสาปแช่งโชคชะตาของตัวเอง

    เธอคิดว่าพระเจ้าช่างโหดร้ายกับเธอและน้องสาวที่รออยู่ที่บ้านเสียจริง

    “มา ข้าขอเริ่มเป็นคนแรก” ปีศาจตนหนึ่งในพวกมันเริ่มออกอาการจนกลั้นน้ำลายไว้ไม่อยู่ ทว่าในช่วงที่เธอหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวนั้นเอง
    “โอ้ยยยย” เสียงร้องของมันเองกลับดังขึ้น

    “ค...ใครกัน!” พวกมันที่เหลือต่างรู้สึกโมโหที่ถูกขัดความสุข เมื่อบางส่วนชำเลืองดูวัตถุบนพื้นที่เพิ่งกระแทกใบหน้าเพื่อนของมันไปหยก ๆ มันคือเหรียญเงินจำนวนเพียงสิบเบรีเท่านั้น

    “หวังว่าเท่านั้นคงพอ” สุ้มเสียงที่แทรกขึ้นแลดูเยือกเย็นและเงียบเชียบผิดกับเสียงหื่นกระหายของปีศาจพวกนี้ ตามด้วยเสียงฝีเท้ากระทบพื้นคอนกรีตดังก้องเข้ามาช้า ๆ แต่หนักแน่น ทั้งที่เป็นรองเท้าหนังแต่กลับเหมือนมีโลหะอยู่ภายใน

    แสงอาทิตย์ที่เล็ดรอดเข้ามาจากประตูด้านหลังฉายให้เห็นภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงที่แต่งตัวเหมือนนักซิ่ง แม้จะถือว่าเล็กบางเมื่อเทียบกับพวกมัน แต่กลับแลดูใหญ่โตเมื่อเข้าใกล้ บริเวณซิปกระเป๋ากางเกงข้างขวาถูกเปิดค้างไว้บ่งบอกว่าเขาเพิ่งหยิบเหรียญออกมาจากในนั้น ส่วนข้างซ้ายเขาใช้มือล้วงอยู่

    “อะไรของแกวะ” ปีศาจร่างอ้วนตัวหนึ่งกระโจนเข้าหาด้วยความหมั่นไส้ พร้อมเงื้อกรงเล็บใส่เขา ทว่าตอนที่ดีใจเมื่อคิดว่าตะปบโดนแล้วนั้น กลับเป็นแค่ภาพติดตา ส่วนตัวจริงที่เบี่ยงตัวหลบเพียงสั้น ๆ ก็เพียงใช้เท้าขัดขาจนร่างท้วมนั้นเสียหลักกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง

    และหากมองดูที่ประตูดี ๆ แสงเพียงเล็กน้อยนั้นฉายให้พอเห็นว่า ยามที่พวกมันสั่งให้ดูต้นทางนั้น อยู่ในสภาพนอนแอ้งแม้งคอหักตายคาที่ไปแล้ว

    “เฮ้ยนี่แก ใหญ่มาจากไหนวะ”
    “นั่นสิ คิดทำตัวเป็นฮีโร่ระวังไม่ตายดีนะไอ้หนู”

    “อ้าว ก็จ่ายให้ไปแล้วนี่ ยังจะโวยวายอะไรอีก” เสียงทุ้มต่ำของเขากล่าวอย่างเรียบเฉย

    “โฮ่ เปรี้ยวนี่หว่า กล้ามาจ่ายเงินซื้อตัวเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงที่เลย ถูกใจแม่นี่มาจากไหนรึไง”
    เด็กสาวยังคงตัวสั่นไม่อยากรับรู้อะไร ดวงตาสีเขียวมรกตหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับมาหาตัวที่เหมือนหัวโจกของพวกมันโดยไม่พูดอะไร

    “นี่ ถึงไอ้ที่แกจ่ายมานั่นจะเกินพอกับยัยเด็กนี่ แต่ข้อแรก พวกข้าเพิ่งได้มา ก็อยากลองก่อน แล้วจะส่งให้แกเอง แต่คงยาก”
    ว่าแล้วพวกมันก็พร้อมใจกันชักทั้งอาวุธและเขี้ยวเล็บของแต่ละตัวออกมา รวมถึงตัวที่เพิ่งลุกขึ้นมาด้วย และล้อมกรอบชายหนุ่มเอาไว้
    “เพราะกับชีวิตคนของข้า มันไม่พอเว้ยยยย”

    ว่าแล้วพวกมันก็พร้อมใจกันบุกเข้าใส่ในทันที แต่ทว่านอกจากสายตาของเด็กหนุ่มยังคงนิ่งไม่แสดงความหวาดหวั่นสักนิดแล้ว เขาก้มตัวแล้วกระทุ้งศอกใส่ตัวที่ดูบางที่สุดจนกระเด็นออกไป พร้อมกับเล็ดรอดออกจากกลางวงอย่างง่ายดาย

    “ขอยืมหน่อยนะ” เขาฉวยโอกาสที่มันชะงักแย่งอาวุธมีดสั้นคู่ของมันออกมา แล้วใช้หนึ่งในสองเล่มปาดคอมันจนเลือดพุ่งกระฉูดในพริบตา
    “เดี๋ยวฝากเพื่อนแกคืนให้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเลือดเย็น ก่อนที่จะปามีดทั้งสองออกไปปักศีรษะของพวกมันอีกสองตัวอย่างแม่นยำ หนึ่งในนั้นคือเจ้าตัวอ้วนตัวแรกนั่นด้วย

    ตอนแรกเขาเห็นมีอยู่หก ตอนนี้ก็เหลืออีกสาม หากไม่นับยามที่เขาจัดการไปคนแรกล่ะก็นะ

    “หนอยแก” เจ้าตัวหนึ่งชักปืนออกมายิง ทว่าก่อนหน้าเสี้ยววินาที เป้าหมายไหวตัวทันและกระโดดหลบอย่างง่ายดาย แล้วตีลังกาเตะแสกหน้าเจ้าตัวที่ยิงจนกระเด็นไปติดกำแพง

    แทนที่เจ้าตัวหัวหน้าที่มีปืนอยู่เช่นกันจะกล้ายิงก็ถึงกับตัวสั่นจนลั่นไม่ออกเลยทีเดียว
    “อะ....อะไรกัน นี่แก.....” มันยอมลดปืนลง แล้วหันมาทำท่าเจรจาเสียงสั่น
    “อ...โอเค ก็ได้ ชั้นยอมให้แกซื้อนังนั่นไปก็ได้” มันพูด ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงเจ้าเล่ห์ “แต่....ถ้าแกรอดน่ะนะ”

    ปังๆๆๆ ทว่าสมุนตัวสุดท้ายที่คิดจะใช้กรงเล็บปลิดชีพเขาจากด้านหลัง ก็ถูกปืนที่เขาแย่งจากตัวเมื่อกี๊ได้ ยิงย้อนใส่จนพรุนในทันที พร้อมกับสีหน้าของหัวโจกที่กลับมาตาโพลงด้วยความตกตะลึง
    “รอดแล้ว...มันทำไมรึ”
    สีหน้าของเขาไม่ฉายแววปรานีต่อปีศาจอันธพาลตรงหน้าแม้เพียงเล็กน้อย ราวกับยมทูตก็มิปาน
    “แกคงเข้าใจผิดอะไรอย่างนะ”
    เขาเดินเข้าใกล้อีกฝ่ายที่ยกปืนขึ้นมาทำท่าจะยิงโต้ตอบ โดยไม่มีความกลัวเลย ผิดกับอีกฝ่ายที่เพียงมองสายตาอันเกรี้ยวกราดและเลือดเย็นนั่น ก็รับรู้ด้วยสัญชาตญาณทันที ว่าสายไปแล้วที่มันจะหนีพ้นจากเคียวของเทพมรณะ
    “ที่ชั้นจ่ายให้น่ะ คือค่าชีวิตของพวกแกต่างหาก”

    “วะ เหวอ!!!!”

    ปุๆๆๆๆ ปืนพร้อมที่เก็บเสียงลั่นอย่างบ้าคลั่ง.......
    พร้อมกับเสียงร้อง........ของผู้ที่ยิงเอง ซึ่งถูกบดขยี้ใบหน้าไม่เหลือซากดับอนาถ ด้วยกำปั้นขวาอันแข็งแกร่งและทรงพลังเกินกว่าจะเป็นของมนุษย์ทั่วไป ในขณะที่เพชฌฆาตไม่ได้ต้องคมกระสุนแม้เพียงเสี้ยว

    ตอนนี้ในห้องมืดทึบที่เต็มไปด้วยซากศพ เหลืออยู่เพียงสองชีวิต คือเขา และเธอที่นั่งขดตัวอย่างขวัญเสีย
    “อะ....อือ” เด็กสาวครางโดยมิกล้าลืมตา แต่สักพักเธอก็รู้สึกได้ว่าถูกโอบและพยุงตัวขึ้นยืน ด้วยสัมผัสของอ้อมแขนของชายแปลกหน้าที่โชกเลือด แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยแฝงอยู่ด้วยอย่างน่าประหลาด

    “รีบไปจากที่นี่เถอะ” เสียงของเขาเปลี่ยนมาเป็นดูเรียบ ๆ แต่ดูอ่อนโยนผิดกับที่แสดงต่อพวกคนร้าย เมื่อเธอลืมตาขึ้นช้า ๆ ก็ค่อย ๆ เห็นใบหน้าของเขา แม้แสงจากทางประตูจะน้อยแต่ก็พอให้เห็นว่าเขาดูเป็นมนุษย์เหมือนเธอ แม้ว่ามันจะดูเหลือเชื่อมากก็ตาม

    เด็กสาวพยักหน้าตอบรับ เธอรู้สึกประหลาดใจกับชายแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็เข้ามาช่วยชีวิตเธอ มือข้างขวาของเขาดูเย็นเฉียบเหมือนโลหะ ในขณะอ้อมแขนซ้ายของเขาดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่อย่างน้อยมันกลับทำให้เธอคลายความกลัวลงได้มากทีเดียว

    “งั้นฉันขอตัว”
    ชายหนุ่มปล่อยตัวเธอเมื่อเห็นว่าลุกขึ้นเดินได้แล้ว แล้วกำลังจะเดินออกไป แต่เด็กสาวก็คว้ามือซ้ายของเขาไว้ก่อน
    “เอ่อ.....คือ....เปื้อนเลือดแบบนั้น ขืนออกไปในเมืองทั้งแบบนี้มันคงอันตรายสำหรับคุณ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปพักที่บ้านได้ไหมคะ แล้ว....จะซักเสื้อให้ด้วย” แม้จะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยเธอก็รอดมาได้เพราะเขา เธอจึงอยากจะตอบแทนเขาบ้างสักนิดก็ยังดี

    เด็กหนุ่มมองสบตาเธอเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อย ๆ ยิ้มเล็ก ๆ แต่แลดูอ่อนโยน ทำให้เด็กสาวรู้สึกชื่นใจขึ้นมาก
    “งั้นขอรบกวนหน่อยนะครับ คุณผู้หญิง”

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “พี่คะ กลับมาแล้วเหรอ” เด็กหญิงวัยสิบสามเจ้าของผมและตาสีน้ำตาลอ่อนวิ่งเข้าหาพี่สาวที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าร้อนรน

    ผู้เป็นพี่สาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันรับเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วปลอบขวัญเธออย่างอ่อนโยน
    “จ้า ฟิน่า เป็นเด็กดีรึเปล่า”
    ทว่าเด็กหญิงตกใจกับเสื้อผ้าของผู้พี่ที่ดูมอมแมมผิดปกติจนลืมตอบคำถามนั้น
    “พี่คะ! พี่ไปโดนอะไรมา!” เธอถามพี่สาวกลับด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ จนหญิงสาวต้องลูบหัวเธอเบา ๆ ให้สงบใจลง

    “ไม่เป็นไรจ๊ะ พี่ปลอดภัยดี ทุกอย่างเรียบร้อยไม่ต้องห่วง”
    สาวน้อยยังคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้กอดพี่สาวอย่างแนบแน่น ด้วยความดีใจที่ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเธอปลอดภัย
    “โอ๋ ๆ อย่าร้องนะคนดี” หญิงสาวเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นน้อง ก่อนที่จะแนะนำชายหนุ่มที่ตามเข้ามา
    “ต้องขอบคุณพี่คนนี้ เพราะเค้าช่วยชีวิตพี่เอาไว้”

    “เอ๋” เด็กสาวหันไปมองชายแปลกหน้าที่เธอไม่คุ้นตา ด้วยท่าทางมือล้วงกระเป๋ากับชุดรัดรูปเหมือนแก๊งซิ่งที่เธอเคยเห็นในจากหนังสือ ยิ่งสังเกตเห็นรอยเปื้อนเลือดบนตัวเขาแล้ว ทำให้เธอรู้สึกกลัวจนตัวสั่น มือเกาะเสื้อพี่สาวแน่นแล้วรีบซุกตัวหลบ

    ตัวเขาแม้จะเห็นท่าทีของเด็กน้อยแต่ก็มิได้ถือสาอะไร ตรงกันข้ามมันคงเป็นเรื่องแปลก หากภาพพจน์ของคนอย่างเขาจะทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง

    “เอ่อ ขอโทษค่ะ เด็กคนนี้ออกจะไม่ถูกกับคนแปลกหน้าสักหน่อย แต่ก็เป็นเด็กดีมากนะคะ” ผู้เป็นพี่สาวกล่าวขอโทษ ก่อนที่จะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนำตัว
    “อาจจะช้าไปนิด แต่ดิฉันชื่อฟิโอ แล้วนี่ฟิน่าน้องสาวดิฉันเอง เอ่อ แล้วคุณ....”

    “ไอนส์” เขาตอบชื่อตัวเองสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พลางชำเลืองดูสองสาวพี่น้องด้วยสายตาเยือกเย็นชวนให้เสียวสันหลังวาบ ก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อย
    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ถ้างั้นผมคงต้องขอตัวดีกว่า” ชายหนุ่มกล่าวขอโทษก่อนที่จะหันหลังกลับ แต่ก่อนหน้านั้น

    “ดะ...เดี๋ยวสิคะ” นั่นคือคำพูดที่ฟิโอต้องการจะเอ่ย แต่ฟิน่ากลับแย่งกล่าวก่อน หลังจากที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะไล่คนที่ช่วยพี่สาวของตนไปโดยไม่ตั้งใจ
    “พี่ชาย.... ถึงหนูจะไม่รู้ว่าเป็นไงมาไง แต่ถ้าพี่ชายช่วยพี่สาวหนูไว้จริง หนูก็....หนูก็” เธอติดอ่างไปเล็กน้อยก่อนจะทำใจให้กล้าพอเปล่งเสียงออกมาได้
    “ถ้าไม่รังเกียจ อยากให้พี่ช่วยพักที่นี่สักหน่อยได้ไหมคะ”

    เขาหันกลับมาก่อนจะถามเด็กสาวให้แน่ใจอีกครั้ง
    “จะดีหรือ ไม่กลัวฉันรึไง” น้ำเสียงนั้นดูเรียบเชียบไม่เปลี่ยนแปลง

    “ก็.....นิดหน่อย” ฟิน่าตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบาและลังเลเล็กน้อย
    “แต่ว่า.... ขืนพี่ออกไปแบบนั้น พวกคนที่น่ากลัวกว่าที่เดินเกลื่อน จะทำอะไรพี่บ้างก็ไม่รู้ อย่างน้อยซักผ้าที่นี่ก่อนก็น่าจะดีนี่คะ”

    “นั่นน่ะสิคะ คุณเป็นผู้มีพระคุณของพวกฉัน จะให้ไปเสี่ยงทั้งแบบนั้นมันก็ไม่ดี” หญิงสาวนามฟิโอชักชวนเขาโดยย้ำเหตุผลเดิม

    ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะตอบ ด้วยสีหน้าที่เริ่มยิ้มเล็ก ๆ และแววตาที่อ่อนโยน
    “ขอบคุณ ถ้างั้น คงต้องขอรบกวนอีกครั้ง”
    คำพูดและสีหน้าแสดงความขอบคุณของเขา ทำให้สองสาวพี่น้องเริ่มใจชื่นขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้ายอะไร อย่างน้อยพวกเธอก็รู้สึกว่าเชื่อใจเขาได้มากกว่าพวกทหารและคนในเมืองเสียอีก

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    หลังจากที่ยื่นชุดให้หญิงสาวนำไปซัก เด็กหนุ่มตอนนี้สวมเพียงชุดลำลองอันประกอบด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ ที่เขาใส่ไว้ใต้ชุดนักแข่งเสมอ แต่ที่ดูแปลกตาสักหน่อยก็คือ ทั้งที่ข้างซ้ายเป็นแขนกุด แต่แขนเสื้อด้านขวากลับยาวตลอดท่อนแขน และยังสวมถุงมือชั้นในสีดำสนิทไว้อีกชั้นหนึ่ง เขาเอนตัวลงนั่งพักบนเตียงนอนของห้องที่ฟิน่าแนะนำให้เขา เหมือนเป็นโชคดีที่ฟ้ายังเมตตาให้เขาได้มีที่พักดี ๆ ท่ามกลางทะเลทรายแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจมากนักในเมื่อรู้ดีว่าแค่ชั่วคราวเท่านั้น

    ในบ้านที่มีเพียงเด็กสาวสองพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังนั้น แม้มันจะดูสะอาดบ่งบอกถึงการเอาใจใส่ที่ดี แต่ก็มิได้เลิศหรู เป็นเพียงบ้านชั้นเดียวเก่า ๆ ซอมซ่อ ที่มีเพียงของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ประกอบกับการที่เสื้อผ้าของทั้งสองมีรอยปะเย็บซ่อมอยู่เสมอ และเรื่องที่เกิดขึ้นก็พอทำให้เขาเข้าใจได้ทันที ว่าเมืองนี้ตีค่าพวกเธออยู่ในระดับไหน

    จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมไม่ว่าที่ไหน ๆ ในโลก ก็ต้องมีแต่สิ่งที่น่าเศร้าให้เห็นอยู่ร่ำไป และไม่เคยมีผู้ใดแก้ไขมันได้เลยหรือไรกัน หรือว่าทำได้...... แต่กลับไม่คิดจะทำกัน

    ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
    “ขออนุญาตค่ะ”
    เด็กหญิงเปิดประตูเดินเข้ามาเงียบ ๆ อย่างสุภาพที่สุด พร้อมกับถือของว่างมาให้เขา
    “เอ่อ....ไม่ทราบว่า หิวหรือเปล่าคะ เผอิญมีเค้ก....” ฟิน่ากล่าวกับเขาอย่างถ่อมตัว จนน้ำเสียงเธอดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ที่นี่บ้านเธอนี่” ไอนส์หันมาพูดกับเธออย่างเรียบง่าย ทั้งที่สีหน้ายังคงดูไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

    “เอ่อ....ค่ะ” เด็กหญิงหยิบจานเค้กและแก้วใส่น้ำวางไว้บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้าง ๆ เตียงที่เขานอนอยู่อย่างช้า ๆ และนุ่มนวลดูมีมารยาทมาก
    “เตียงออกจะสกปรกไปนิด ขออภัยด้วยนะคะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก เท่านี้ฉันก็ต้องขอบคุณเธอกับพี่สาวมากแล้วล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มเล็ก ๆ ให้กับเธอ อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่เขาต้องเห็นเธอกลัวเขามากจนเกินไป

    “อ่ะ ค่ะ” เด็กสาวตอบรับด้วยท่าทางเขินเล็ก ๆ

    “ว่าแต่ พวกเธออยู่กันตามลำพังสองคนเองงั้นเหรอ” ชายหนุ่มถาม เนื่องจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นเรื่องยากมากที่ผู้หญิงเพียงสองคนจะอาศัยอยู่กันเพียงลำพังมาได้นาน

    “ค่ะ” เด็กสาวพยักหน้าตอบ แต่สีหน้านั้นจู่ ๆ ก็แลดูเซื่องซึมลงจนเขาเห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรแน่

    “แล้ว.... พ่อแม่ของพวกเธอล่ะ” แม้จะรู้ว่าคำถามอาจจะไปกระทบจิตใจอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่เขาจำเป็นต้องรู้อะไรบ้างเผื่อไว้ก่อนอยู่ดี

    “คือว่า...... พวกท่าน เสียไปหมดแล้วล่ะค่ะ” เด็กสาวเหมือนจะเริ่มคิดว่าตัวเองเสียมารยาท จึงพยายามฝืนยิ้มเวลาตอบคำถามเขา แต่เขาก็ดูออกไม่ยากนัก
    เธอนั่งลงบนพื้นเตียงข้าง ๆ เขา ก่อนที่จะสูดหายใจลึก ๆ แล้วหายใจออกเบา ๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดต่อ
    “ตั้งแต่คุณแม่เสียไป คุณพ่อที่เป็นทหารก็หันไปติดเหล้า จนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เวลาอารมณ์ไม่ดีกลับมาก็ชอบซ้อมหนูกับพี่บ่อย ๆ พี่ฟิโอก็เลยจำเป็นต้องดูแลหนูเพียงคนเดียวมาโดยตลอด แล้วไม่นานนี้ เพิ่งมีข่าวว่าคุณพ่อหายสาบสูญในระหว่างปฏิบัติงานของพวกทหาร พวกหนูพอขาดคนรับรองก็เลยต้องตกมาอยู่ในฐานะทาสชั้นต่ำแบบนี้แหละค่ะ”

    ชายหนุ่มนั่งฟังเรื่องที่เด็กสาวเล่าอย่างตั้งใจ ในใจเขายิ่งตำหนิระบบสังคมของจักรวรรดิยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็ต้องพบเห็นหรือได้ยินเรื่องทำนองนี้อยู่เสมอ เรียกว่า ที่ ๆ เขาเรียกว่า บ้าน ที่เขาจากมานั้นเป็นสถานที่ที่น่ายินดีจะอยู่ที่สุดแล้ว ถึงการกลับไปยังที่นั่นจะเป็นไปไม่ได้แล้วก็ตาม

    “เอ่อ ขอโทษนะคะ ที่เล่าเรื่องน่าเบื่อให้ฟัง” เด็กสาวก้มหน้าลงเหมือนรู้สึกผิด สังเกตดี ๆ น้ำตาของเธอเริ่มอาบแก้มตั้งแต่ระหว่างเล่าเรื่องของตนให้ฟังแล้ว
    “เหมือนคุณจะเดินทางมาไกล แต่ต้องมาพักอยู่กับพวกคนไร้ค่าแบบพวกหนู คงจะลำบากใจสินะคะ ขอโทษจริง ๆ ”

    ทว่านิ้วชี้ในมือซ้ายของเขาที่มิได้สวมถุงมือกลับยกขึ้นปาดน้ำตาให้กับฟิน่า
    “อย่าพูดอย่างนั้นสิ” ไอนส์กล่าวด้วยสีหน้านิ่ง ๆ มิเปลี่ยนแปลง แต่ครั้งนี้เธอกลับสัมผัสได้ถึงแววตาที่ดูอ่อนโยนอย่างชัดเจนในระยะประชิด
    “ในโลกนี้น่ะ ไม่มีชีวิตของใครที่ไร้ค่า แม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือพี่สาว หรือใครก็ตาม”
    “ลองคิดดูสิ หากแม้แต่แมลงตัวเล็ก ๆ ยังมีความสำคัญต่อโลก แล้วมนุษย์อย่างเธอ ควรจะมีค่ามากกว่านั้นสักเท่าไหร่กัน”

    ทั้งคำพูด และรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ชัดเจนมากขึ้นของไอนส์ ทำให้เด็กสาวประหลาดใจ แต่เธอก็รู้สึกซาบซึ้งในคำพูดเหล่านั้น เพราะนอกจากพี่สาวของตน นี่ก็นับว่าหลายปีแล้ว ที่ไม่มีใครพูดกับเธอเช่นนี้เลย

    ชายหนุ่มพูดจบก็เริ่มที่จะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาเพื่อดื่มแก้คอแห้งก่อนรับประทานเค้ก

    Pt2. Escape

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในยามเช้าบนเตียงเก่า ๆ แต่ก็พอนุ่ม พร้อมกับแสงอรุณอันอบอุ่นที่ส่องผ่านทางหน้าต่าง เสื้อนักแข่งที่แขวนอยู่ที่เสาข้างตัว ใช่ มันควรจะมีเพียงแค่นั้น...... แต่ความเป็นจริงกลับแถมปากกระบอกปืนจำนวนมากรายล้อมเขาไว้พร้อมเสียงประสานดังกริ๊ก
    “ลาก่อน ไอ้หนู”
    เสียงปืนลั่นจ่อกลางศีรษะในพริบตา ก่อนเปลี่ยนเป็นเสียงดังป๊าบ!
    “เอ้า ตื่นได้แล้วว้อย”
    ชายหนุ่มที่เพิ่งตื่นรีบคลายความเซาไปพร้อมกับความเจ็บ ทว่าไม่ทันตั้งตัวกับเสียงทุ้มห้วน ๆ อันผิดแผกนั่น ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมา ปากกระบอกปืนเป็นฝูงก็รายล้อมเขาเหมือนกับฝันร้ายไม่กี่วินาทีนี้

    “ลุกขึ้น! ไอ้หนู เที่ยงแล้วอย่ามัวสำออย” ตัวเขาถูกกระชากคอเสื้อซ้ำโดยชายแปลกหน้าในชุดทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วย ลมหายใจที่อบอวลด้วยกลิ่นเหล้าและหนวดแหลม ๆ ดูเจ้าเล่ห์และน่ารังเกียจผสานกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในระยะเผาขน

    ตัวเขาพยายามขัดขืน ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวต่อเหล่ามัจจุราชที่รายล้อม แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาขยับไม่ได้ดั่งใจไปด้วย เขาตกตะลึงว่ามันเกิดอะไรขึ้น
    “เดินทางมาไกลแล้วยังกล้าก่อเรื่อง แถมฆ่าพลเมืองของบาบิลอนไปถึงหกชีวิตด้วยกัน ช่างกล้านักนะ ไอนส์ รัชฟอร์ด นักโทษหลบหนีจากโมราเลีย ข้อหาฆาตกรรมหมู่ไม่ต่ำกว่า 50 นายในคืนเดียว”

    อีกแล้วกับข่าวลือที่เกิดจากการบิดเบือนข่าวสารโดยพวกบริษัทนรกนั่น เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนนั้นคงมีคนตายไม่น้อย โดยเฉพาะพวกปีศาจ แต่จำนวนนั้นไม่แน่ใจ ยังไงก็เถอะเล่นแจ้งประวัติกันผิด ๆ แบบนี้มันน่านัก
    “กล้ามากนะที่มาหลบซ่อนถึงที่นี่ หากไม่ได้รับแจ้งคงไม่เจอตัวแน่ ๆ ”
    ที่น่าตกใจกว่าก็คือ ฟิโอและฟิน่า สองคนนั่นเดินตามหลังเจ้าหมอนี่และพวกทหารมา

    ดูเหมือนสองคนนั่นจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของไอนส์ที่เหมือนจะถามพวกเธอว่าขายเขาให้กับพวกนี้งั้นหรือ คนพี่โอบปกป้องคนน้องเต็มที่ ราวกับเห็นเขาเป็นตัวอันตราย ทว่าคนน้องกลับมองด้วยสายตาเหมือนต้องการขอโทษมากกว่า

    “ว่ายังไงหา ไอ้หนูฆาตกรโฉดชั่ว” นายกองดึงตัวเขามาจ่อหน้าและลมปากเหม็น ๆ อย่างดูถูกดูแคลน แต่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นโมโหเมื่อเห็นสีหน้าที่กลับมานิ่งเหมือนเดิมและจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว
    “ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนอยู่อีกรึเปล่าหา!” เด็กหนุ่มถูกชกจนล้มลงไปกลิ้งกองกับพื้น

    “คุณพ่อ! พอเถอะค่ะ”
    คุณพ่อ!? หมายความว่าเจ้าหมอนี่คือพ่อของพวกเธองั้นหรือ แต่ทำไม

    ฟิน่าผละจากพี่สาวเข้ามาพยายามห้ามนายกองที่เธอเรียกว่าพ่อ แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็น การถูกตบหน้าจนปลิวล้มลงต่อหน้าเขา

    “คุณพ่อคะ.. กรี๊ดดดด” ฟิโอพยายามเข้ามาขวางอีกคนแต่ก็ถูกทหารคนหนึ่งจับกดกับพื้น แถมยังถูกคนที่เธอเรียกพ่อแท้ ๆ เหยียบมืออันบอบบางนั้นด้วยรองเท้าบู้ทอย่างโหดร้าย

    “หนวกหู! ใครเป็นพ่อแก” แถมมันยังพูดจาตัดรอนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
    “นังเด็กโง่หลอกง่ายอย่างพวกแกมันไม่ใช่ลูกชั้นหรอก ก็แค่เศษเดนที่ติดจากนังโสเภณีสวะนั่นเท่านั้นเองแหละวะ”

    ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้สีหน้าของชายหนุ่มกัดฟันด้วยความฉุนขาด หากไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกพวกทหารพวกนี้จับล็อคติดพื้นในสภาพนี้ ไหนยังจะถูกปืนของพวกมันพร้อมเอาชีวิตได้ทุกเมื่ออีก และจำนวนของพวกมันแค่ในห้องนี้ก็นับว่ามีมากเกินไป

    แต่เขาก็หาจังหวะดีดนิ้วเล็ก ๆ จากมุมอับของเตียงที่พวกทหารไม่ทันสังเกตเห็นเท่านั้น

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “เอ้า ขนไปดี ๆ หน่อย รุ่นใหม่ซะด้วยนะนั่น” ทหารที่อยู่ข้างนอกกำลังเตรียมนำรถมอเตอร์ไซค์ที่เขายึดได้ขึ้นรถขนส่ง

    “แหม น่าเสียดายจริง ๆ ของดีแบบนี้ ต้องมาอยู่ในมือนักโทษพเนจร”
    “นั่นสิ ว่าแต่ ไม่ล็อคล้อไว้จะดีเร้อ”
    “ทำทำไมล่ะ ในเมื่อยังไงเจ้าหมอนั่นก็คงถูกหัวหน้าจับแล้ว เผลอ ๆ อาจถูกยิงทิ้งไปแล้วก็ได้มั้ง ฮ่าๆ”
    “เฮ้ นี่แกได้ยินเสียงอะไรรึเปล่าวะ”
    “เสียงเครื่องยนต์ เห เดี๋ยวสิ” หนึ่งในนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงรถขนส่งของพวกเขา แต่เป็นเสียงที่ดังแทรกขึ้นมา

    และยิ่งกว่านั้นก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ชายชาติทหารอย่างพวกเขาถึงกับร้องเสียงหลง
    “วะ...เหวอ!!!!! แว้กกกก!!!!!!”

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “ต้องใส่กุญแจมือเจ้าหมอนี่ไหมครับ” ทหารนายหนึ่งถามผู้บังคับบัญชา

    “ไม่ต้อง มันถูกยาพิษเข้าไป คงไม่มีทางลุกขึ้นมาได้อยู่แล้ว” นายกองหนวดแหลมยิ้มกระหยิ่มอย่างมั่นใจในชัยชนะของตน พลางเปลี่ยนที่เหยียบจากเท้าไปเป็นหน้าของอดีตบุตรสาวแท้ ๆ พร้อมฟังเสียงร้องของเธอและน้องสาวอย่างสาแก่ใจ
    “หึ รู้มั้ย เพราะพวกแก ชั้นถึงต้องแกล้งทำเป็นหายสาบสูญ แล้วต้องหลบซ่อนตัวอยู่นาน จนกว่าจะจีบลูกสาวท่านผู้พันติด เพื่อจะได้เลื่อนขั้นอย่างที่ชั้นใฝ่ฝัน แต่ตราบที่พวกแกยังอยู่ ชั้นก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพ่อม่ายลูกติด แล้วก็ไม่ได้เจริญไปถึงไหนสักที ทั้งหมดเป็นเพราะพวกแก พวกแกสองคนเท่านั้น แค่ต้องมาเห็นหน้าพวกแกเพื่อหลอกใช้ตามตัวนักโทษ ชั้นก็รู้สึกแย่พออยู่แล้ว ถึงจะช่วยงานเจ้าหน้าที่ แต่สวะก็คือสวะ เป็นแค่พวกเศษเดนชั้นต่ำริอยากเป็นอิสระ มันต้องโดนแบบนี้แหละ”

    “พ่อคะ หยุดเถอะ โอ้ยย” ฟิน่าพยายามขอร้องแต่ก็ถูกทหารลูกน้องตีด้วยปืนเป็นการตอกย้ำ

    “หึหึหึ นี่แหละเจ้าหนู สิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” โลกเราก็เป็นแบบนี้แหละ” เจ้าคนเลวหันมายิ้มเยาะใส่เด็กหนุ่มที่แสดงสีหน้าเจ็บใจให้เห็น
    “ได้ยินว่าแกต่อต้านระบบน่าดูเลยนี่ แต่นี่แหละผลที่แกได้รับ ไม่ว่ายังไง สวะก็คือสวะ ชั้นต่ำก็คือชั้นต่ำ ไม่มีทางเอาชนะผู้ที่ถูกเลือกแล้วได้หรอก ตรงกันข้าม กับพวกชั้นต่ำ พวกข้าจะทำอะไรก็ได้ เช่นแบบนี้”

    บิดาผู้โฉดชั่วดึงตัวบุตรสาวคนโตขึ้นมา ราวกับยังไม่สาแก่ใจที่เห็นน้ำตาและใบหน้าที่บวมฉึ่งของเธอ ทั้งยังฉีกอาภรณ์เก่า ๆ ของเธอออกจนเห็นชั้นใน
    “อ๊า!!!”
    “ฮ่าๆๆๆ รูปร่างดีแบบนี้ ส่งไปขายตลาดมืดคงจะได้เงินดี อย่างนี้ต้องเก็บให้ยืดอายุไปอีกสักหน่อย”

    “พี่คะ” ฟิน่าร้องเรียกพี่สาวทั้งน้ำตา

    “ฮึ แต่ก่อนอื่น ต้องทดสอบการใช้งานสักเล็กน้อย อันที่จริงต้องเป็นของเจ้าปีศาจทั้งหกคนนั่น แต่กลับพลาดซะก่อน แต่ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งกับสายเลือดของยัยนั่นมากไปกว่านี้ ดังนั้น จัดการเลย พลทหาร”

    “ขอบคุณมากครับผู้กอง” ทหารอีกคนขานรับ ก่อนที่จะหันมามองเรือนร่างของเธอด้วยสีหน้าวิปริต

    “ม...ไม่ อย่านะ....”

    “พี่คะ”

    สภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ความโกรธของไอนส์ รัชฟอร์ด สูงถึงขีดสุดจนทนดูต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
    “แบล็คเพกาซัส!!!!!”

    ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังลั่นมาจากนอกห้อง ก่อนที่ทหารนายหนึ่งจะวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
    “ย...แย่แล้วครับผู้กอง”

    “หือ? อะไร”

    “คือว่า แว้กกกกกกกกก”
    ทันใดนั้นก็ปรากฏมอเตอไซค์สีดำสนิทพุ่งแหวกดงทหารเข้ามาพร้อมกับคนรายงานผู้เคราะห์ร้ายด้วย แล้วพุ่งเข้ามาจู่โจมใส่ทุกคนในห้อง ทั้งที่ไร้คนขับ
    “อะ...อะไรกัน เหวอ!!!” ตัวนายกองถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นทหารที่จับฟิน่าไว้ถูกมอเตอไซค์ชนจนกระเด็นไปติดผนัง แถมยังไล่ไปถึงพวกที่เหลือเกินครึ่งในห้องจนล้มระเนระนาดกันหมด

    “อ๊ากกก” ทหารคนที่กำลังจะลวนลามฟิโอ ก็ถูกชายหนุ่มลุกมาเตะเข้าที่ท้องอย่างรุนแรงจนจุก แล้วจับตัวขึ้นโยนใส่ตัวหัวหน้าเองจนเสียหลักล้มลง

    ฟิโอยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไอนส์ก็หยิบชุดนักแข่งของเขาที่ราวใกล้ตัวมาให้เธอสวมเพื่อปกปิดร่างกายแทน ชุดที่เธอซักให้เขาด้วยมือตนเอง

    “พ...พี่ชาย” ฟิน่าเรียกเขาเมื่อเขากุมมือเธอ และช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น

    “ปลอดภัยแล้วนะ พวกเธอสองคน” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะชวนทั้งสองซ้อนท้ายมอเตอไซค์ของเขา แม้ทั้งสองจะยังคงลังเลอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยอมขึ้นซ้อน

    “อ....อะไรกัน ทำไมแกถึง.....”ชายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพ่อของสองพี่น้องสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้

    “ต้องขอบคุณลูกสาวของแก ที่ช่วยให้ชั้นรอดมาได้ไงล่ะ” ไอนส์ตอบด้วยสีหน้ามั่นใจในชัยชนะของตนบ้าง
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ขณะนั้นเขาคิดจะดื่มน้ำแก้คอแห้งก่อนเริ่มทานเค้ก แต่ทว่าทันทีที่เขาเริ่มจะยกแก้วนั้น ก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อถูกเด็กสาวพุ่งเข้ามาเกาะที่แขนเพื่อห้ามเขาก่อน
    “ไม่ได้นะคะ!”
    ไอนส์เลิกตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ ฟิน่าจึงรีบบอกเหตุผลด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
    “ในนั้นน่ะ มียานอนหลับ แล้วก็ ในเค้ก......” เด็กสาวก้มหน้าหลบตาอย่างรู้สึกผิดมากขึ้น “มันมียาพิษ”

    พลัน ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งห้องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เด็กหนุ่มยังคงจ้องมองเด็กสาวที่ร้องไห้ออกมายิ่งกว่าเดิมอย่างไม่วางตา
    “ขอโทษนะคะ ขอโทษจริง ๆ ” เด็กหญิงกล่าวขอโทษแทบเสียสติ แต่มือทั้งสองของชายหนุ่มที่แตะบ่าเธอเบา ๆ ก็พอช่วยดึงสติไว้ได้อยู่

    “ใจเย็นๆ ช่วยบอกหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
    ถึงเขาจะตกใจที่ถูกเธอและพี่สาวลอบวางยา แต่การที่ผู้เป็นน้องมาช่วยห้ามเขาไว้ทันนั้น ก็พอจะให้เขาเข้าใจได้ว่าพวกเธอไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ตรงกันข้าม เขาอยากรู้สาเหตุที่ทำให้พวกเธอต้องทำเช่นนี้มากกว่า

    “คือว่า...... พ่อของพวกเรา หรืออย่างน้อยก็คนที่เคยได้ชื่อว่าอย่างนั้น วันนี้เขากลับมาพบกับพี่ฟิโอ แล้วบอกว่าจะช่วยให้เป็นอิสระจากสภาพที่เป็นนี้ หากพวกเรายอมให้ความร่วมมือในการจับตัวท่านพี่ พวกเขาเรียกท่านพี่ว่านักโทษแหกคุก เป็นฆาตกรที่โหดร้าย แต่ว่า....หนูไม่เชื่อหรอก เพราะพี่ช่วยชีวิตพี่สาวหนูไว้จากพวกคนเลว ไม่สิ ปีศาจเลว ๆ พวกนั้น ใช่ไหมคะ”

    เด็กสาวเล่าเหตุผลทั้งหมดให้ฟัง ไอนส์จึงสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ทันที เขามิได้โกรธเคืองทั้งสอง แต่ได้ขอความร่วมมือจากพวกเธอเพื่อให้หนีรอดจากเมืองที่ไม่มีที่ให้พวกเธออยู่เช่นที่แบบนี้

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    “เพราะอย่างนั้น ชั้นก็เลยทำเป็นเล่นละครว่าถูกวางยาตามแผนของพวกแก แล้วก็เป็นตามที่คิดว่าพวกแกประมาท แต่ถึงจะใช้กุญแจมือ ก็หยุดชั้นไม่ได้อยู่ดีล่ะนะ”
    ทั้งหมดจึงเป็นแผนที่เขาเตี้ยมกับฟิโอและฟิน่าเพื่อซ้อนแผนการจับกุมเขาอยู่แล้วอีกทีนั่นเอง
    “แกน่าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ถ้ายิงชั้นซะตอนที่มีโอกาสก็จบแล้ว” เขากล่าวขณะที่สวมหมวกกันน็อค

    “น....หนอย.... นังลูกทรยศ”
    ทว่าเสียงสบถนั่นทำให้ชายหนุ่มตอบด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ทั้งที่ล้อจ่อตรงหน้า ทำให้นายกองจอมเจ้าเล่ห์ถึงกับร้องเหวอ

    ในโลกนี้ ไม่มีคนที่ไร้ค่า แม้แต่คนเดียว แต่คนอย่างแกที่เลือกทิ้งขว้างกระทั่งลูกตัวเอง ไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว”
    ชายหนุ่มทิ้งท้ายด้วยสายตาที่เย็นชาและเกรี้ยวกราดไปพร้อมกัน แต่แทนที่เขาจะเร่งเครื่องเหยียบชายผู้นี้จนตาย เขาเลือกที่จะหันรถกลับแทนอย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้สองสาวเห็นภาพน่าสยดสยองไปกว่านี้ แล้วยังเปิดระบบบาเรียสีเขียวล้อมรอบตัวรถและพวกเขาทั้งสามไว้ด้วย

    และก็ตามที่เขาคาด พวกทหารที่ไล่ตามมาถึงตรงหน้าประตู แถมด้วยพวกจากทางหน้าต่าง เมื่อมาถึงก็ลั่นกระสุนปืนกลใส่เป็นชุด แต่ด้วยสนามพลัง “Aura Shield” ที่เขากางไว้ก่อนแล้วสามารถป้องกันห่ากระสุนเหล่านั้นได้ระดับหนึ่ง ที่เหลือเขาจึงตัดสินใจแหวกฝ่าออกไป
    “เกาะให้แน่น ๆ ห้ามปล่อยมือเด็ดขาดนะ”
    สองสาวส่งเสียงร้องนิด ๆ แต่ก็รีบทำตามคำสั่งทันทีที่เขาออกตัว ควบมอเตอไซค์สีดำนาม “แบล็คเพกาซัส” พุ่งใส่พวกทหารจนต้องพากันหลบแทบไม่ทัน

    ชายหนุ่มไม่สนใจมารยาทหรือกฎจราจรใด ๆ อีกแล้ว มีแต่ต้องฝ่าวงล้อมหนีออกนอกเมืองให้ได้โดยเร็ว และต้องไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด นับว่าโชคดีที่ประชาชนตามทางพอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ก็ยังรู้จักไหวตัวหลบเลี่ยงกันเป็น ผิดกับพวกทหารที่พยายามเข้ามาขวาง

    ชายหนุ่มไม่คิดจะยอมเสียพลังป้องกันของออร่าชิลด์มากไปกว่านี้ เพื่อความปลอดภัยของคนซ้อนทั้งสองด้วย เขาพยายามเลี่ยงหลบกระสุนด้วยการวิ่งแบบซิกแซก พร้อมกับบิดเต็มแรงเพื่อแหวกฝ่าด่านรอบเมืองออกไปให้ได้

    “หยุดเดี๋ยวนี้ หวา!!!!!” เป็นที่แน่นอนว่า ด่านกั้นรอบเมืองนั้นไม่เพียงพอที่จะหยุดเขา แม้แต่ทุ่นระเบิด เขาก็สามารถตรวจสอบผ่านระบบพิเศษของหมวกกันน็อค จากนั้นจึงเลือกวิ่งในเส้นทางที่เสี่ยงต่อระเบิดน้อย และเลี้ยวหลบได้ง่ายที่สุดไป

    “เตรียมยิงปืนใหญ่ เร็วเข้า อย่าให้มันหนีรอดไปได้”

    ว่าแล้วปืนใหญ่ที่พวกมันตั้งไว้รอบเมืองกระบอกหนึ่งก็เล็งดักทางพวกเขาและบรรจุกระสุนพร้อมยิง

    “หลับตา ห้ามลืมตาหรือปล่อยมือเด็ดขาดจนกว่าชั้นจะบอก” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองสาวก็พยายามกัดฟันอดทนและทำตามที่เขาสั่งอย่างเคร่งครัดแม้จะกลัวไปบ้าง

    กระสุนปืนใหญ่ถูกยิงและจากการคำนวณวิถีก็พร้อมที่จะโดนพวกเขาเต็ม ๆ

    แต่ชายหนุ่มไม่คิดจะยอมให้เป็นเช่นนั้น เขายกล้อขึ้น พร้อมกับพลังงานที่ชาร์จไว้เต็ม ณ ท่อไอพ่น และรอจังหวะอยู่นานแล้ว
    Booster Jump!
    เขาอาศัยแรงจากไอพ่นข้างหลังถีบตัวรถและพวกเขาที่นั่งอยู่ขึ้นสู่ฟ้าในพริบตา ทำให้หลบจากกระสุนและแรงระเบิดของมันได้โดยหวุดหวิด

    สองสาวแม้จะรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องไม่ธรรมดากับพวกเธอ เมื่อลืมตาขึ้นต่างก็ตกใจ แต่ทว่านับว่าโชคดีที่ฟิโอซึ่งนั่งท้ายตั้งสติได้ทันพอดี ส่วนฟิน่านั้นนั่งกลางระหว่างทั้งสองแม้จะตกอกตกใจไปบ้าง แต่ก็เช่นเดียวกับพี่สาวก็คือ แผ่นหลังของชายหนุ่มผู้มีพระคุณของพวกเธอนั้นดูยิ่งใหญ่และอบอุ่นพอที่จะสลายความกลัวจากพวกเธอไปสิ้น แม้จะลอยอยู่กลางอากาศก็ตาม

    จนกระทั่งล้อรถร่อนลงสัมผัสพื้นทรายอย่างเรียบร้อยและปลอดภัย แต่ก็ยังคงวิ่งต่อไปด้วยความเร็วที่ลดลงบ้าง ซึ่งเขาตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นเพื่อทั้งสองด้วย

    “เอ่อ....คุณไอนส์คะ” ฟิโอถามด้วยอาการเขินเล็ก ๆ ระคนเกรงใจ “จะดีเหรอคะที่ช่วยพวกเรา ทั้งที่พวกเราคิดหักหลังคุณแบบนั้น”
    “พี่ชายคะ.....” ฟิน่าเอ่ยตามด้วยท่าทีแผ่วเบาเมื่อเห็นเขาเงียบ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเริ่มตอบคำถาม
    “พวกเธอเพียงแค่ทำไปเพื่ออิสรภาพ สวัสดิภาพ และความสุขของครอบครัวเท่านั้น ที่สำคัญฉันก็เป็นคนที่ถูกตามล่าตัวอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเธอไม่ผิดหรอก แต่ที่ฉันทนไม่ได้ที่สุด ก็คือ เจ้าพวกคนชั่วเหล่านั้นที่กล้าหลอกใช้และเหยียบย่ำความรู้สึกของพวกเธอต่างหาก”

    “คุณไอนส์...” “พี่ชาย....”
    สองสาวถึงกับซาบซึ้งในตัวเขา เพราะที่ผ่านมาแม้แต่พ่อแท้ ๆ ยังหักหลังพวกเธอได้ลงคอแล้ว ทาสชั้นต่ำอย่างพวกเธอไม่คิดว่าจะยังได้รับความช่วยเหลือและความเมตตาจากคนอื่นเช่นนี้อีกเลยจนกระทั่งมาพบกับเขาคนนี้ ราวกับฟ้ายังปรานีส่งเขามาช่วยพวกเธอก็มิปาน
  22. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Pt3. Cyborg in Black

    “เอ่อ ขอโทษนะคะ คือที่พวกนั้นเรียกพี่ชายว่าฆาตกรน่ะ จริงรึเปล่า”
    ฟิน่าถามเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ฟิโอพยายามตักเตือนน้องสาวเบา ๆ ส่วนชายหนุ่มแม้ได้ยินแต่เขาก็นิ่งไปสักพัก ทว่าดูเหมือนจะไม่มีเวลาให้คิดซะแล้ว
    “ระวัง!” เขาเตือน พร้อมกับรีบเบี่ยงทิศทางรถอย่างฉับพลัน สองสาวถึงกับเกาะตัวเขาไว้แทบไม่ทัน

    พอดีกับที่จู่ ๆ พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น แม้แต่ตัวเด็กหนุ่มก็แทบคุมรถได้ลำบาก ทว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะบริเวณพื้นที่ทะเลทรายว่างเปล่าตรงหน้าที่เขาเลือกจะหลีกเลี่ยงนั้น ก็ถูกยกขึ้นพร้อมกับบางอย่างที่ผุดออกมาไม่ให้ตั้งตัว

    มอนสเตอร์งั้นหรือ ไม่สิ มันไม่ใช่แค่นั้น รูปร่างมันห่อหุ้มด้วยเกราะเหล็ก ขนาดก็ใหญ่โต ไหนป้อมปืนและล้อที่เป็นตีนตะขาบ มันคือรถถัง! แถมยังเป็นรถถังที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึงสิบเท่าเห็นจะได้

    หากเขาหลบช้ากว่านี้อีกนิดเดียว คงได้ชนประสานงากับมันอย่างแน่นอน แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะพ้นขีดอันตราย เพราะดูเหมือนว่ามันรอพร้อมจะจัดการกับเขาอยู่แล้วโดยเฉพาะ

    “อ๊า!!!” ฟิน่าร้องตกใจ
    “น.....นี่มันอะไรกัน....” ฟิโอตัวสั่นด้วยความกลัวไม่แพ้น้องสาว
    “ชิ” ชายหนุ่มแค่นเสียงด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะพาพวกเธอหนีจากเจ้าสิ่งนี้พ้นง่าย ๆ

    ตัวเขาบิดคันเร่งเต็มที่เพื่อหนีออกจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด ทว่าดูเหมือนจะยังช้าเกินไป เพราะปืนใหญ่ขนาดยักษ์นั่นกำลังเล็งมาทางพวกเขา

    ทันทีมันก็ยิงกระสุนลูกโตออกมาดังกระหึ่ม แม้ชายหนุ่มพยายามจะเร่งเต็มที่และเบี่ยงเส้นทางให้หนีพ้น ทว่าทันทีที่กระสุนตกสู่พื้น แรงกระแทกที่สูงพอก็ทำให้ทั้งรถทั้งพวกเขาและเธอถึงกับกระเด็นลอยไปเลยทีเดียว

    “กรี๊ดดดด” ฟิโอที่ทนแรงกระแทกไม่ไหวถึงกับตกจากรถปลิวไป ทว่าแม้แต่ฟิน่าเองก็ยังตัวลอยหลุดจากที่นั่งเช่นกัน
    “พี่คะ อ๊ายยยย”
    ไอนส์เห็นว่าสองพี่น้องปลิวไปคนละทาง แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์แล้ว เขาตัดสินใจเลือกที่จะกระโดดถีบตัวจากรถอย่างไม่รอช้า พุ่งเข้าไปรับตัวฟิน่าไว้ได้ทันท่วงทีก่อน แล้วใช้แขนขวาของตนรับแรงกระแทกขณะตกและไถตัวไปกับพื้น

    ฟิโอเองก็กระเด็นไปตกกลิ้งกับพื้นอีกทาง แต่เคราะห์ดีที่ไอนส์สั่งให้เธอใส่ชุดนักบิดของเขาอยู่ก่อนแล้ว มันทำจากใยชนิดพิเศษจึงน่าจะช่วยลดแรงกระแทกให้ได้บ้าง

    “พี่คะ.....” ฟิน่าเรียกพี่สาวของตนอย่างเป็นห่วง ก่อนที่เสียงแปล๊บปล๊าบแปลก ๆ จะเบนความสนใจเธอ
    “พ...พี่ชาย!” เธอตกใจเมื่อเห็นแขนขวาของชายหนุ่มที่ถลอกจากการเอาตัวชนพื้นแทนเธอนั้น ปลอกแขนที่สวมอยู่ถึงกับถลอกเผยให้เห็นส่วนที่หาใช่ผิวหนังของมนุษย์ไม่ แต่เป็นเครื่องจักรแทน แถมยังดูเหมือนได้รับความเสียหายจนเกราะหุ้มแตกออกไปจนเห็นกระแสไฟวิ่ง

    “พ.....พี่สาวเธอเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มเลือกที่จะให้เธอสนใจสิ่งที่สำคัญกว่า
    เด็กสาวพูดอะไรไม่ออก แต่เมื่อเห็นไอนส์ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาพี่สาวเธอ เธอก็พยายามวิ่งตามไปด้วย

    ทั้งสองวิ่งมาถึงร่างที่นอนนิ่งของหญิงสาว ฟิน่าถึงกับตกใจตื่น แต่ชายหนุ่มตั้งสติและตรวจชีพจรของเธอ เคราะห์ยังดีที่แค่หมดสติไปเพราะแรงกระแทกเท่านั้น แต่หากไม่ใช่เพราะชุดที่เขาให้ยืมก็ไม่แน่
    “ไม่ต้องห่วง แค่สลบไป ร ระวัง!”

    ทว่าเหมือนจะไม่มีเวลาให้คิด รถถังคันนั้นกำลังจะหันปืนใหญ่มาทางพวกเขาแล้ว

    “ฟิโอ ฟิน่า ขอโทษนะที่พาพวกเธอมาเดือดร้อนกับฉันไปด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อของทั้งสองคนเป็นครั้งแรก

    “พี่ชาย....” เด็กสาวพยายามจะปฏิเสธว่ามิใช่อย่างนั้น แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่มีเวลาฟัง

    “รีบพาพี่เธอหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนชั้น จะล่อมันให้เอง เพราะเป้าหมายของพวกมันน่าจะเป็นชั้น”

    “เดี๋ยวค่ะ พี่ชาย หยุดก่อน” เธอพยายามห้าม แต่เขากลับรีบออกตัววิ่งไปจากเธอในทันที
    “พี่ชายยยยย” เธอพยายามเรียกแต่เสียงก็ตามไปไม่ทันฝีเท้าที่เร็วดุจเสือชีต้าร์ของเขา

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ภายในห้องควบคุมของรถถังยักษ์
    “ท่านครับ เป้าหมายแยกตัวจากกลุ่มแล้วกำลังวิ่งมาหาเราแล้วครับ” ทหารผู้ควบคุมคนหนึ่งรายงานผู้บังคับบัญชา

    “หึ คิดจะทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยสาวงั้นรึ แสดงให้มันเห็นความงี่เง่าของตัวเองซะหน่อยดีกว่า” ชายแก่ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยรถถังแสยะยิ้มเล็ก ๆ
    “เล็งไปที่นังหนูสองคนนั่น”

    “เอ่อ....จะดีเหรอครับ” ทหารคนเดิมถามด้วยท่าทีไม่มั่นใจ อาจเพราะเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ได้พ้นจากการเป็นทาสด้วยการเข้ากองทัพ ต่างจากหัวหน้าของเขาที่เป็นเผ่าปีศาจโดยกำเนิด

    “ถ้าแกไม่อยากกลับไปเป็นทาสชั้นต่ำอีก ก็ทำซะ เจ้ามนุษย์” สุ้มเสียงอันน่ากลัวนั้นขู่เขาด้วยความเด็ดขาด

    “ข...ขออภัยครับ” สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง หรืออาจรวมถึงคนในนี้ที่เป็นมนุษย์ทั้งหมด เขาจึงต้องทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    กระบอกปืนกลับหันเหไปจากทางเขาทำให้เด็กหนุ่มประหลาดใจ แต่ที่แย่กว่าคือเมื่อเขารู้ว่า พวกมันหันไปเล็งที่สองพี่น้องนั่นแทน

    พวกมันยังเป็นมนุ..... ไม่สิ ยังมีความเป็นทหารอยู่อีกหรือนี่ แต่ว่าสำหรับในจักรวรรดิ การข่มเหงผู้อ่อนแอกว่าคงเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ แย่งชิงอิสรภาพ แล้วยังคิดช่วงชิงชีวิต เพียงเพื่อแสดงอำนาจความยิ่งใหญ่ของพวกตน

    ไม่ว่าพวกมันจะเห็นเป็นเรื่องปกติหรืออย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่พวกมันทำ ได้ทำให้ ไอนส์ รัชฟอร์ด คนนี้ โกรธถึงขีดสุดแล้ว

    ตัวเขารีบหันกลับเพื่อไปช่วยสองคนนั่น ทว่า
    ปังๆๆๆ
    ห่าฝนกระสุนจากหน่วยปืนกลเล็กบนรถถังยิงกราดมาทางเขา แม้ฝีเท้าของเขาจะไวพอที่จะหลบพวกมันได้ แต่ก็มากพอที่จะถ่วงเวลาไม่ให้เขาไปช่วยพวกเธอได้ทัน ไม่สิ ตามความคิดของพวกมันเอง พวกมันคงจะใช้ปืนใหญ่ที่ถ้าหากเขาเข้าไปก็มีแต่ตายกันหมด

    ไม่สบอารมณ์เลยจริง ๆ เขาคิด

    “บรรจุกระสุน พร้อม”

    “Black Pegasus Synchro Equip!!!!!” ไอนส์ขานเสียงกู่ก้องพร้อมกับดีดนิ้ว
    ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็เปล่งประกายแสงสีเขียวอมฟ้าเรืองรองพร้อมกับฝีเท้าที่เร็วยิ่งขึ้น แม้ครึ่งหนึ่งจะเป็นมนุษย์ แต่อีกครึ่งคือเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วย มานา หรือพลังเวทมนตร์ หรือถ้าจะสรุปให้ชัดเจน ร่างกายของเขานี้คือ MTS [MagiTech Soldier] นักรบไซบอร์กซึ่งหลอมรวม ชีวิต เวทมนตร์ และวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน และส่วนประกอบสำคัญอีกหนึ่งก็คือ รถมอเตอไซค์สีดำของเขาที่ส่องแสงแบบเดียวกัน ราวกับกำลังจูนระบบเชื่อมต่อเข้ากับคลื่นสมองของผู้ควบคุม จากนั้นมันก็แยกชิ้นส่วนออกมาและพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วสูงประหนึ่งฝูงดาวตก

    ร่างกายส่วนที่เป็นโลหะตั้งแต่แขนขวาไปจนจรดเท้าก็เปิดเผยให้เห็นร่างกายของจักรกลเวท และส่องแสงวิบวาบราวกับตอบรับชิ้นส่วนของพาหนะคู่ชีพของตนให้เข้ามาประกอบกัน ทีละส่วนจนกลายเป็นสภาพชุดเกราะนักรบเหล็กสีดำประดุจผลึกโอนิกซ์

    เนื่องจากเขาเป็นไซบอร์กรุ่นต้นแบบ ในสภาพนี้ยังไม่มีชื่อเรียกที่แน่นอน แต่ผู้คนต่างตั้งชื่อและเรียกเขาหลากหลายไป แต่ชื่อที่เขายอมรับที่สุดก็คือ

    Schwarz Eisen!

    “ยิงได้!“ คำสั่งเด็ดขาดของผู้บัญชาการรถถังเป็นดุจไกปืนที่ลั่นกระสุนมรณะขนาดยักษ์ออกมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่หญิงสาวทั้งสองผู้ตกเป็นเหยื่อ ที่คนน้องทำได้เพียงกอดร่างที่หมดสติของพี่สาวอย่างกลัวความตาย

    “หยุดเดี๋ยวนี้!!!!” ไอนส์ในสภาพนักรบเหล็กไหลสีดำพุ่งกระโจนเข้าหาด้วยความเร็วสูงที่เกิดจากบูสเตอร์บนหลังที่เร่งความเร็วเต็มที่ พร้อมกับล้อหน้าและล้อหลังที่ทำหน้าที่คล้ายใบพัดโฮเวอร์ ทั้งหมดล้วนขับเคลื่อนด้วย “พลังเวท” และ “พลังปราณ”ที่จุในตัวเขาและชุดเกราะอย่างล้นเหลือกว่ามนุษย์ธรรมดา

    กำปั้นขวาของเขาติดตั้งสนับเหล็กอันแข็งแกร่ง และรวบรวมพลังในรูปของปราณไว้ที่กำปั้นอย่างไม่รอช้า ก่อนจะชกออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วเหนือเสียง
    “Sonic Shoot!!!!”
    ด้วยความเร็วและพลังในการชกที่สูงมากกว่า 10 เท่าของคนทั่วไป ตามด้วยพลังปราณที่อัดแน่น ปลดปล่อยออกไปในรูปคลื่นโซนิคที่แหวกผ่าอากาศด้วยความเร็วสูงจนเกิดเสียงดังกระหึ่ม ประดุจเครื่องบินเจ็ตที่ถูกบันทึกไว้เพียงตำนาน

    คลื่นสุญญากาศพุ่งตรงเข้ากระแทกใส่กระสุนปืนใหญ่อย่างรุนแรงและแม่นยำ แม้จะไม่ถึงกับสกัดกั้นได้เด็ดขาด แต่ก็มากพอที่จะเบี่ยงวิถีของมันให้เบนไปตกไกลจากพวกเธอทั้งสองจนไม่เป็นอันตราย

    “อะ....อะไรกัน!!!”
    ทุกคนในรถถังต่างตกตะลึงกับผลที่เห็นตรงหน้า พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีมนุษย์คนใดสามารถเบี่ยงวิธีกระสุนของพวกเขาได้ หรือต่อให้เป็นพวกปีศาจที่แข็งแกร่งก็ตาม

    แต่ที่ชวนให้ตกตะลึงยิ่งกว่าคือ ร่างของ “นักรบสีดำ” ที่เหยียบลงพื้นอย่างเงียบเชียบ แต่กำลังมองมายังพวกเขาพร้อมกับรังสีอำมหิตอันเกรี้ยวกราด

    ไอนส์มองรถถังคันยักษ์กลับผ่านกระจกเฮลเม็ทสีเขียวเข้ม ซึ่งปรากฏข้อความและแผนภาพข้อมูลของเป้าหมายรวมถึงโครงสร้างให้เห็นชัดเจน แน่นอนเขามองเห็นแล้วว่าห้องควบคุมของมันอยู่ตำแหน่งไหน
    “นะ...หนอย..... ปล่อยมิซไซล์ทุกลูก หน่วยปืนกลเตรียมรับมือ ฆ่ามันให้ได้!!!!!” แม้แต่ผู้บัญชาการรถถังเองยังออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว

    มิซไซล์ลูกโตจำนวนมากถูกยิงเข้าหาเป้าหมายที่ยืนนิ่ง แต่นอกจากไม่มีอาการกลัวเกรงแม้เพียงนิดแล้ว ไอนส์ยังสามารถกระโดดสูงและไต่ผ่านฝูงมิซไซล์จำนวนมากได้ กลายเป็นว่ามิซไซล์ที่ผ่านไปและระเบิดที่พื้นนั้น ไม่มีแม้แต่ลูกเดียวที่ทำอันตรายเขาได้

    และที่ลูกสุดท้าย เขาตัดสินใจใช้บูสเตอร์จัมป์อีกครั้ง เมื่อมิซไซล์ถูกประกายไฟจากไอพ่นก็ระเบิด แต่เขากลับอาศัยแรงผลักที่เพิ่มขึ้นหลายเท่านั้นเองยกตัวขึ้นสู่ฟ้าสูง โดยที่หน่วยปืนกลไม่อาจยิงแม้แต่ถูกเขาสักนัด

    ร่างของไอนส์ตอนนี้อยู่เหนือรถถังขนาดยักษ์โดยมีดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง ก่อนที่จะหมุนตัวตีลังกา แล้วเตะพุ่งลงมายังเป้าหมายขนาดยักษ์
    “Meteor Smash!!!”
    “วะ...หวา!!!!” พลทหารปืนกลร้องเสียงหลงหลังจากที่ลูกเตะกระชากร่างของเขาราวกับกระดาษ พร้อมกับที่ทะลุหลังคารถถังเข้าไป

    ไอนส์บุกเข้ามาถึงห้องควบคุมในตัวรถถัง ซึ่งข้างในทำได้เพียงแตกตื่นกับการปรากฎตัวของเขา
    “เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วสินะ พวกแก!!!” ยามนี้เขาโกรธเกรี้ยวเกินกว่าจะให้อภัยใครก็ตามที่สวมเครื่องแบบของบาบิลอนเสียแล้ว และสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดก็คงเป็น กำปั้นขวาของเขาที่กำลังถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นพลัง
    “หนึ่งเคล็ดลับ สุดยอดวิชาหมัดแห่งตะวันออก 爆裂拳!!!!” [Bakuretsuken = Exploding Fist]
    หมัดขวานั้นถูกชกใส่พื้นด้วยความรุนแรง เกิดระเบิดเป็นคลื่นกระจายรูปวงกลมรอบทิศทางเหมือนผิวน้ำที่ถูกตกกระทบ แต่พลังทำลายนั้นทำให้ห้องควบคุมและเหล่าทหารรอบ ๆ ถูกจัดการพร้อมกันในพริบตา

    รถถังขนาดยักษ์ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาลเพื่อให้ได้ความแข็งแกร่งสมฉายา “มือปราบเงาแห่งทะเลทราย” บัดนี้ค่อย ๆ เกิดระเบิดขึ้นทีละส่วน ในขณะที่ตัวการนั้นเดินจากออกมาไกลขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสงบเยือกเย็น โดยไม่คิดหันกลับไปมองการระเบิดครั้งใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ดังสนั่นตามเขามาแม้แต่น้อย

    ตัวเขามิได้สู้หรือสังหารเพราะเห็นชีวิตศัตรูไร้ค่า เพียงแต่เขาทำเพื่อปกป้องชีวิตเล็ก ๆ ที่สมควรให้ความสำคัญมากกว่าเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่เขาย้ำเตือนตัวเองเสมอมา

    แม้ตัวเขาใช่ว่าจะปรารถนาร่างกายที่ผิดมนุษย์และเปลี่ยนตัวเขาจากที่เคยเป็นไปตลอดกาล แต่แม้สิ่งที่ผ่านมาจะโหดร้ายแค่ไหน และเขาจะต้องเดินในหนทางที่ยากลำบากเพียงใด แต่ตราบที่มีชีวิตที่เขาต้องช่วยเหลือ หากฝีมือ พละกำลัง และความปรารถนาของเขาสามารถช่วยให้ได้สักคนหนึ่งล่ะก็ เขาก็จะสู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง เพื่อมิให้ตนเองต้องถูกกลืนกินด้วยความกระหายอันป่าเถื่อนไปกับการต่อสู้ที่โหดร้าย หรือแม้แต่ความเฉยชาต่อสิ่งเลวร้ายของสังคม

    นั่นคือหนทางเดียว ที่เขาจะสามารถสืบทอดสิ่งที่เขาได้รับการสอนจากศาสนจักร เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำเพื่อพระเจ้าได้หรือเปล่า ทำเพื่อผองเพื่อนที่ต้องจากไปได้หรือไม่ แต่อย่างน้อย เพื่อไม่ให้ “นาง” ต้องผิดหวัง นางผู้เป็นเหมือนแสงสว่างของเขาจนบัดนี้

    “พี่ชายคะ”
    เสียงของฟิน่าเรียกเขาให้หันไปมอง เขารู้สึกโล่งใจที่ทั้งสองตรงหน้าเขาปลอดภัยดี

    “อืม ไม่ต้องห่วง พวกเธอปลอดภัย แล้วก็ ได้เป็นอิสระแล้วนะ” เขาถอดหมวกแล้วยิ้มให้กับพวกเธอ

    “เอ่อ... ขอโทษด้วยนะคะ คือว่า” ทว่าฟิโอที่ได้สติแล้วกลับมีท่าทีแปลก ๆ โดยเฉพาะกับคำว่า “อิสระ” ที่ได้ยิน ซึ่งเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเท่าใดนัก

    “หือ” ชายหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง เพราะเขาเพิ่งสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่หนึ่งยืนตระหง่านอยู่ข้าง ๆ สองพี่น้องทั้งสอง แถมด้วยชายอีกคนอยู่เคียงร่างนั้น และก็ไม่ใช่คนที่เขาไม่รู้จักเสียด้วย
    “พ....พวกแก!”

    “นี่ ต่อหน้าท่านผู้นี้ กล้าเรียกหยาบคายเชียวรึ” ชายหนุ่มร่างเล็กแสดงความฉุนเฉียว ทว่าถูกแขนที่ดูทรงอำนาจกว่าห้ามไว้
    “ใจเย็น ๆ โครโนส ให้ข้าจัดการเอง” เสียงวาจาของบุรุษผู้สูงศักดิ์นั้นแม้จะเรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกทรงอำนาจเกินกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด
    “ไม่เปลี่ยนเลยนะ ไอนส์ รัชฟอร์ด หรือจะต้องเรียกว่า ไอนส์ วานสไตน์ ดีล่ะ”

    “ท....ทำไม..... แกถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่าทีสุขุมเยือกเย็นของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสั่นเครือด้วยความหวาดหวั่นอย่างมิอาจฝืน

    “ก็เผอิญขบวนรถของพวกข้าผ่านมาใกล้ ๆ นี่ แล้วเผอิญเห็นเจ้ามีเรื่องอะไรอีกแล้ว ก็เลยอยากมาเห็นสักหน่อย คงไม่ว่ากันใช่ไหม” บุรุษในชุดเต็มยศอันสูงศักดิ์เกินจะกล่าวถึงนั้นไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับท่าทีไร้มารยาทของอีกฝ่าย ตรงข้ามกับคนติดตามของเขาที่ทำหน้าจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายให้ได้
    “ว่าแต่ เจ้าจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทั้ง ๆ ที่ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงเสียคน ๆ เดียวก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่แล้ว”

    “ในโลกนี้ไม่มีคนที่ไร้ค่า แม้แต่คนเดียว หากแกไม่ยอมเข้าใจเรื่องนั้น ชั้นก็จะไม่มีวันหยุด” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดและร้อนรน ราวกับพยายามข่มความกลัวเอาไว้ ทั้งที่มือและเท้าใต้ชุดเกราะนั้นเก็บอาการสั่นไว้แทบไม่อยู่

    “ก็ไม่ไร้ค่าเสียทีเดียวหรอก เอาเถอะ เห็นแก่ความพยายาม เอาอย่างงี้ สองคนนี้หากติดตามเจ้าไป ทั้งเจ้าและพวกนางก็คงจะลำบาก ทำไมไม่ฝากเอาไว้กับข้าล่ะ รับรองนางจะได้อยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุขกว่าที่นั่นอย่างแน่นอน”
    ริมฝีปากของ “ผู้เกินกว่าจะเอ่ยนาม” ยิ้มอย่างใจดีขณะยื่นข้อเสนอ ก่อนที่จะค่อย ๆ หุบยิ้มลงและกลับมาดูเย็นชาดังเดิม
    “แต่ถ้าไม่ คงรู้นะ ว่าจะเป็นยังไง”

    “อึ้ก” ไอนส์ รัชฟอร์ด ถึงกับกลืนน้ำลายตัวสั่นงึก มองอีกฝ่ายผ่านกระจกหมวกด้วยสายตาที่โกรธแค้น ทว่าทั้งร่างกายและจิตสำนึกของเขากลับรู้ตัวดีเกินไป ว่าไม่มีทางเลือกอื่นให้เขาเลยต่อหน้าชายคนนี้

    แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็เท่ากับว่าเขา.......

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ชาย ขอบคุณสำหรับทุก ๆ สิ่ง” เสียงน้อย ๆ ของฟิน่าที่กล่าวกับเขานั้น แม้จะมีเจตนาให้เขาสบายใจขึ้น ทว่าผลจริง ๆ แล้วมันกลับตรงกันข้าม

    “คุณไอนส์ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกค่ะ อย่างน้อยเพียงแค่นี้ พวกเขาก็เป็นหนี้บุญคุณคุณมากพออยู่แล้ว” แม้แต่ฟิโอเองก็ยังคงทำแบบเดียวกับเขา

    “ว่ายังไงล่ะ คุณไอนส์ ผมคิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่คุณทำได้แล้วนะ” เสียงที่ฟังแล้วน่าหมั่นไส้ของชายหนุ่ม หรือพูดให้ถูกเขาคือ การ์เดี้ยนโครโนส ในร่างผู้ใหญ่นั่นเอง แม้จะทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บใจ แต่ถ้าคำนึงถึงคนที่เขาควรจะให้ความสำคัญมากกว่าในตอนนี้แล้ว

    “เข้าใจแล้ว ดูแลพวกเธอให้ดี ๆ ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มฝืนตอบอย่างกล้ำกลืนและแผ่วเบา แม้ร่างกายจะแสดงออกได้เพียงกำหมัดด้วยความเจ็บใจก็ตาม

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ไอนส์ รัชฟอร์ด ยังคงเดินทางต่อไปพร้อมกับ แบล็คเพกาซัส ของเขา

    แสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าที่ค่อย ๆ ถูกย้อมจากสีแดงส้มเป็นสีน้ำเงินเข้ม สายลมที่พัดผ่าน เสียงเครื่องยนต์ที่แผ่วเบา และเสียงล้อกระทบกับก้อนหินริมทางเป็นระยะ ๆ ราวกับจะสะท้อนถึงความทุกข์ในจิตใจของเขา

    ไม่ว่าจะเป็นการเล่นตลกของชะตากรรมมากมาย หรือแม้การที่ได้รับพลังดุจซูเปอร์ฮีโร่มาอยู่ในมือ แต่โลกนี้ก็ยังคงมีกำแพงที่เขามิอาจก้าวข้ามได้อยู่ดี แม้จะทำได้เพียงพยายามให้ผลลัพธ์ดีที่สุด..... แต่มันก็ยังไม่ที่สุดอยู่ดีสำหรับเขา

    แม้ตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงหนึ่งเดียว

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    “ทำไมคุณไม่ลองแวะไปที่เดบลิสอีกสักครั้งล่ะครับ”

    ทำไมเขาต้องกลับไปยังที่ ๆ มีแต่ความทรงจำไม่น่ายินดีอย่างที่นั่นด้วย ในเมื่อการที่เขาเสื่อมศรัทธาในพวกพ้องเอกโซซิสต์ด้วยกัน หรือแม้แต่ในพระผู้เป็นเจ้าที่เคยได้ยินเสมอแต่ไม่เคยได้เห็น ก็เพราะที่นั่นแท้ ๆ

    “ไม่มีการบังคับ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของคุณ ในเมื่อคุณไม่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพียงแต่..... ผมไม่คิดว่า “คุณแม่” จะคิดอย่างนั้น”

    “คุณแม่!?” ไม่ผิดแน่ ที่เจ้าโครโนสมันพูดถึง จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนางเพียงผู้เดียว........

    อาสึกะ บลัดแฟงค์ อาจารย์ผู้มีพระคุณและเป็นดั่งแม่ที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ ไม่เหมือนพ่อแม่แท้ ๆ ที่เคยทอดทิ้งเขาตั้งแต่เด็กได้ลงคอ

    นางเป็นหนึ่งในคนเพียงบางคน ไม่สิ จริง ๆ ก็หลายคนอยู่ ที่ทำให้เขายังคงเหลืออาวรณ์ต่อสถานที่ ๆ เรียกว่า “ศาสนจักร” แต่ถ้าสำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คงเป็นนางนั่นแหละ

    “เห็นว่าคุณแม่ต้องการตามหานักเรียนของเค้าที่หายสาบสูญไปน่ะครับ แล้วเหมือนเค้าจะได้เบาะแสจากที่นั่น แต่ก็อย่างที่คุณไอนส์รู้นั่นแหละ ว่าตอนนี้ที่นั่นตกเป็นของจักรวรรดิเราแล้ว แถมคนที่นั่นก็เกลียดเอกโซซิสต์กับศาสนจักรมากด้วย คุณคิดว่าควรจะทำยังไงดีล่ะครับ”

    กับเจ้าพวกปีศาจที่ต้องการจะบุกจู่โจมศาสนจักรโดยใช้ที่นั่นเป็นทางผ่านอยู่แล้ว พวกมันคิดยังไงถึงบอกเรื่องนี้กับเขาง่าย ๆ กันแน่นะ

    แต่ว่าตัวเขาตอนนี้เองก็ถือว่าแย่ไม่เบา ไม่เพียงแต่ได้ชื่อว่าบุคคลสาบสูญอย่างเดียว แต่ตัวเขายังไม่รู้ว่าตัวเองจะมีค่าพอกลับไปสู้หน้าอาจารย์ที่เคารพ และผองเพื่อนเก่ารวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องพวกนั้นได้อีกหรือเปล่านี่สิ และพวกเขาจะคิดยังไง หากรู้สถานะของเขาในขณะนี้

    เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักพักจึงถอนหายใจ และเตือนสติอีกครั้งว่า คิดเรื่องที่ผ่านไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เขามีแต่ต้องจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องหวังว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรอีกเลย

    นับเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ เพราะท่ามกลางบรรยากาศมืดทึบแห่งรัตติกาลมีเพียงแสงของพระจันทร์บนท้องฟ้าเท่านั้นที่ยังคงสว่าง พอดีกับที่เขาแล่นมาถึงที่นี่

    สะพานแขวนเพียงหนึ่งเดียวเชื่อมต่อระหว่างเดบลิสกับฟากแผ่นดินใหญ่ของจักรวรรดิ ซึ่งถูกทำลายลงในสงครามเมื่อ 40 กว่าปีก่อน จนตอนนี้ก็ยังมีพวกคนงานของจักรวรรดิที่ได้รับคำสั่งให้ซ่อมแซมมันอยู่ ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อไหร่ก็คงคิดจะเริ่มรุกรานอย่างแน่นอน และระบบรักษาความปลอดภัยก็คงจะเข้มงวดพอสมควรแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนก็ตาม

    “เฮ้ ใครน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้”
    ตามที่เขาคาด ทว่าเพราะคิดไว้อยู่แล้วเขาจึงเลือกที่จะไม่เปิดไฟหน้ารถ เพราะยังไงแค่แสงจันทร์ก็ไม่เพียงพอที่พวกนั้นจะเห็นหน้าเขาได้ชัดเจน

    มอเตอร์ไซค์ของเขาเร่งเต็มกำลังและพุ่งชนด่านกั้นจนแหลกกระจุย พวกทหารนั้นก็ยังฉลาดพอที่จะรู้จักกระโดดหลบ

    จริงอยู่ที่การขับรถในค่ำคืนที่มีเพียงพระจันทร์ที่ส่องแสงจากบนฟ้าแบบนี้มันอันตรายสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรเลย หากเทียบกับเรื่องที่เขาเจออยู่บ่อย ๆ

    “มันพุ่งตรงไปที่สะพาน”
    “บ้ารึเปล่า ทำแบบนั้นเดี๋ยวได้ตกทะเลกันพอดี”
    เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกมันไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนพวกมันจะไม่ค่อยเต็มที่กับการไล่ตามเขา คงเพราะคิดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องโง่

    เมื่อมาถึงตรงที่สะพานขาด ซึ่งระยะห่างระหว่างสองฟากนั้นก็นับว่ากว้าง แต่ชายหนุ่มใช้ท่าหากินแบบเดิม และมันเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก
    Booster Jump!
    ไอนส์ รัชฟอร์ดควบมอเตอร์ไซค์คู่ชีพกระโดดข้ามผ่านท้องฟ้ายามวิกาล ตัดผ่านแสงจันทร์อย่างงดงาม ก่อนที่จะลงถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย และมุ่งหน้าสู่จุดหมายท่ามกลางความตกตะลึงจนพูดไม่ออกของเหล่าทหารและคนงานที่ตื่นมาเห็นและได้แต่พากันงงงวยกับภาพที่เห็น บ้างก็คิดว่าพวกเขาฝันไป

    “เดบลิส” เมืองที่ตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะเหล่าขุนนางชั่วและเอกโซซิสต์นิสัยเลวอันเป็นจุดด่างพร้อยของศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดก็ถูกแทรกแซงจากฝ่ายจักรวรรดิจนตกเป็นของพวกมันไปในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

    เขาจำต้องยอมวางความรู้สึกอึดอัดและรังเกียจที่นี่เพราะเรื่องเก่า ๆ เอาไว้ก่อน เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ เขาต้องแน่ใจให้ได้ว่า อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาจะปลอดภัยดี

    [To Be Continued at Deblis]

    ตัวละครใหม่นี้เตรียมจะอัพเดทลงโปรไฟล์ในไ่ม่ช้า

    ขอฝากตัวละครแนวนักรบเหล็กไหลชีวิตมืดมนนี้ด้วยนะคะทุกท่าน
  23. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    เขตบริหารส่วนกลาง โมราเรีย​

    AREA 15 : Debris​



    "หืม ...ที่นี่คือ?"


    สิ่งแรกที่เอ็กโซซิสต์ฝึกหัดพยายามจะสังเกตุ กับความจำที่ยังสับสนว่าเธอเมื่อสักครู่ยังอยู่ที่หมู่บ้านลูเทล่า แต่จู่ๆทำไมสภาพแวดล้อมรอบตัวถึงได้เปลี่ยนไปกระทันหัน

    หมอกหนานั่นคือสิ่งที่แรกที่เธอรับรู้ กลิ่นชื้นเย็นในอากาศ กับแสงสว่าสีฟ้าอ่อนๆรอบตัว กับพื้นที่เธอยืนนั้นเป็นถนนปูอิฐไม่ผิดแน่ แต่ด้วยระยะสายตาที่จำกัดไม่กี่เมตร จึงยากที่เธอจะรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหนกัน


    "...ความรู้สึกแบบนี้มัน?"


    ไม่ใช่กลิ่นเย็นชื้นในอากาศอย่างเดียว กลิ่นของเกลือ ทะเล ไม่ผิดแน่ แต่กับความรู้สึกที่เหมือนอะไรบางอย่างในอดีตแบบนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ ที่นั่นห่างจากหมู่บ้านลูเทล่าเกือบครึ่งแผ่นดิน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมตัวเธอถึงได้?


    ตัดสินใจได้ว่าคงจะไม่ได้คำตอบอะไรหายยังยืนอยู่กับที่ อย่างน้อยที่สุดการเดินค้นหาในหมอกหนานี่น่าจะทำให้ได้อะไรขึ้นมาบ้าง

    แต่แม้จะตั้งใจเช่นนั้น หมอกที่หนาก็ทำให้ยากที่เธอจะสังเกตุสิ่งที่อยู่รอบตัวได้ถนัดตานัก แต่เมื่อเงาดำขนาดใหญ่ค่อยๆชัดขึ้นเมื่อเธอเดินไปตามทางได้สักระยะหนึ่ง เธอถึงได้เห็นว่าเงาดำนั้นแท้จริงคือหอส่งน้ำ จากรูปลักษณ์ของมัน และ ตำหนิเอกลักษณ์เฉพาะตัว เธอถึงได้มั่นใจแล้วว่าที่นี่คือเดบลิส และความรู้สึกโหยหาแปลกๆตั้งแต่เมื่อครู่ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพราะที่นี่คือที่ๆเธอและบิดาบุญธรรมได้พบกันเป็นครั้งแรก


    "เดบลิส ยังหมอกหนาไม่เปลี่ยนเลยสินะ?"


    ราวกับจะเป็นเรื่องบังเอิญ ว่าวันนั้นที่ได้พบกับบิดาบุญธรรม หมอกก็ลงจัดแบบนี้เหมือนกัน เดบลิสในวันนั้นและวันนี้ ไม่ว่าจะวันไหนก็ร้างราผู้คนไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่ซากอาคารและสิ่งปลูกสร้างร้าง ที่เป็นเสมือนเพื่อนใกล้ตัวสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง


    "แต่แปลกจริง พวกทหารประจำเมืองหายไปไหนกันหมดกัน? ปรกติจะต้องออกมาเดินตรวจตราแท้ๆ"


    แปลกอย่างที่เธอคิดจริงๆ ที่นี่แม้คนจะร้างตา แต่เท่าที่เธอจำความได้ แม้จะร้างแค่ไหน แต่ทหารประจำเมืองก็ต้องออกตรวจตราในเมืองเป็นประจำ แต่ตั้งแต่ที่เธอเดินมา เธอยังไม่เห็นเงาแม้แต่คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นความเงียบที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นแบบนี้มันคืออะไร เสียงเมามายของทหารในป้อมปราการหายไปไหน เสียงภาวนาและระฆังประจำชั่วโมงก็ไม่มี นอกจากเสียงของลมแล้ว บางอย่างไม่ถูกต้องกับสภาพแบบนี้


    ลานกว้างประจำเมือง ที่นั่นเท่าที่เธอจำได้ และด้วยว่าเธอเคยติดตามพ่อบุญธรรมมาที่เมืองนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ที่นั่นมักจะมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชาวเมือง และ กองคาราวานสินค้าเป็นประจำ ลานกว้างที่มีหอนาฬิกาใหญ่ซึ่งเพียงไม่นาน หลังผ่านกลุ่มซากอาคารร้างไปหลายหลัง เธอก็เห็นยอดหอนาฬิกาลางๆ แต่เป็นแสงไฟสีเหลืองนวลลางๆที่สะดุดความสนใจของเธอ เมื่อเดินเข้ามาถึงบริเวณลานกว้าง


    แสงสว่างที่ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ต้นแสงนั้นมาจากฐานของหอนาฬิกา ที่ตรงนั้น ที่นั่งกันอยู่บนขั้นบันได คู่ของชายสูงวัยกับหญิงชรา ทั้งสองอยู่ในชุดสีหม่น ชุดแบบที่ไม่คุ้นตาเธอนัก จากสภาพที่ดูเหมือนจะเก่าพอกับผู้สวมใส่ ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตุการมาถึงของตัวเธอเท่าไหร่นัก



    "แม่หนูดูไมุ่ึคุ้นหน้าเลย...แม่หนูก็มารอด้วยรึ?" ชายชราออกปากถาม ในตอนที่เธอไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเรื่องอะไร


    "รอ? ท่านลุงหมายถึงเรื่องอันใด?....อ๊ะ!!"



    เมื่อกระแสลมเกิดพัดอ่อนๆขึ้นมา สภาพหมอกหนาที่ปกคลุมก็ค่อยๆจางลง และนั่นคือสิ่งที่ อัลรอนเน่พึ่งตระหนักว่าเธอไม่ได้อยู่ตามลำพัง ห่างออกไป แต่ไม่ไกลจากลานกว้างภาพรางๆของคนมากหน้าหลายตา ในเสื้อผ้าแบบใกล้เคียงกัน บางคนนั่งอยู่กับพื้น บ้างก็ยืนอยู่ ทีล่ะคนสองคน ค่อยๆปรากฏจากหมอกที่ถูกพัดพาออกไป เท่าที่ดูด้วยสายตาแล้ว ที่นั่งกันอยู่ในลานกว้างนั่น น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 100คน แต่แปลกที่เหมือนกับว่าทุกคนกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่


    บางอย่างไม่ถูกต้องการสถานการณ์นี้ เธอบอกไม่ได้ว่ามันเป็นอะไร ไม่มีไอปีศาจ หรือ สิ่งบ่งชี้ลักษณะแบบนั้น แต่คนพวกนี้เป็นใคร? แล้วที่มารวมตัวกันที่นี่ด้วยเหตุผลอันใด?


    ฉับพลันที่เธอพยายามปะติปะต่อเหตุการณ์รอบตัวอยู่นั่นเอง สายตาของสองผู้อาวุโสทั้งสองต่อหน้าเธอ ก็เปล่งประกายพลางมองผ่านไปที่ด้านหลังตัวเธอ เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ที่ต่างก็เริ่มมีการขยับตัวแทบจะพร้อมๆกัน กับเสียงลากกระเป๋า



    "ตามเรามา"


    เสียงที่ดังจากด้านหลังเธอนั้นทั้งห้วนและกระด้าง หันหน้าไปมองอย่างช้าๆ แต่ในมือนั้นเลื่อนไปแต่ฟักดาบหากเกิดเหตุใดขึ้น จนเธอหันมาประจันหน้ากับผู้เอ่ยปากเมื่อสักครู่ เธอเพื่อไว้หากเกิดอะไรขึ้นอย่างน้อยเธอ


    ชายในชุดนายตรวจตั๋ว เครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม ในมือข้างหนึ่งตะเกียงน้ำมัน ส่วนอีกข้างถืออุปกรณ์ลักษณะเหมือนที่หนีบอะไรบางอย่าง แต่ชายคนนั้นก็ไม่อยู่เฉยนานนัก มองซ้ายมองขวาเหมือนจะตรวจตราอะไรบางอย่าง ก่อนจะมาสะดุดที่ตัวเธอ กับแววตาดูสงสัยเหมือนกับเห็นอะไรที่เป็นส่วนเกิน ชายคนนั้นพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น


    "ไม่เคยเห็นหน้าเลย แล้วชุดแบบนั้น เอ็กโซซิสต์ฝึกหัดรึแม่หนู แปลกจริงนึกว่าพวกบริษัทจัดการเรื่องนี้แล้วเสียอีก?"


    "คุณหมายความว่าอย่างไร?" น้ำเสียงที่พยายามสะกดความรู้สึกไม่ดีที่ก่อตัวขึ้น เด็กสาวกล่าวถามพร้อมกับมือที่เลื่อนไปติดฟักดาบอีกครั้ง


    "เอาเถอะนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับตอนนี้ ว่าแต่แม่หนูมีตราประทับหรือไม่ล่ะ?"


    "ตราประทับอะไร คุณ...!!" ชักดาบของเธอออกมาในตอนนี้ พร้อมกับส่ายตามองไปยังกลุ่มเงาที่ค่อยๆชัดขึ้นด้านหลังชายตรงหน้า


    ที่นึกว่ามีเพียงคนเดียว แต่ที่ออกมาจากสายหมอก คือกลุ่มคนในชุดแบบเดียวกันกับคนตรงหน้าจำนวนหนึ่ง ทว่าคนเหล่านั้นดูเหมือนจะมองเห็นเธอและอาวุธในมือเป็นเสมือนอากาศธาตุ ว่าคนพวกนั้นกลับเดินตรงมาที่เธออย่างไม่คิดอะไรเลย แต่คนเหล่านั้นก็กลับเดินผ่านเธอไปโดยไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่เธอคิดเอาไว้ในตอนแรก


    "หืม...ตราประทับนี่ แม่หนูดูจะเป็นคนพิเศษสินะ?" หันขวับมามองเมื่อเห็นชายคนเดิม ทำหน้าสนใจพลางขยุกขยิกใส่แผ่นลิสในมือตน ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นกระดาษ ไม่สิตั๋วอะไรบางอย่างให้


    "เอาตั๋วนี่ให้กับนายสถานีคนนั้น หนูจะออกเดินทางพร้อมกับกลุ่ม A1 วิกเตอร์!!"

    สิ้นเสียงคำสั่ง เด็กผมทองอีกคนก็วิ่งรี่ตรงมายังตัวเธอ เด็กผมทองตาสีทอง ที่ในตอนแรกไม่มีอะไรน่าสงสัยนักในแววตาคู่นั้น แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่บอกเธอให้ระวังเด็กคนนี้ให้ดี


    "ทางนี้ครับพี่สาว" เด็กชายกล่าวพลางจูงมือเด็กสาวให้ตามตนไป


    ไม่ใช่ความตั้งใจที่จะเกมของอีกฝ่ายในตอนแรก แต่ด้วยเด็กเล็กและสตรีจำนวนไม่ใช่น้อยที่ ดูเหมือนจะเดินตามกันเป็นขบวน รอบๆตัวเธอที่ทำให้ใจหนึ่งของเธอคิดที่ปกป้องผู้บริสุทธ์เหล่านี้ ที่ดูเหมือนจะถูกชักจูงให้ทำในบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล และอย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นมา เธอก็เชื่อมั่นว่าเธอจะสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง


    แต่ความคิดนั่นเหมือนจะถูกกลืนไปกับสายหมอก ว่าถึงที่สุดกับการเดินตามไปกับคลื่นมหาชน กลับจบลงที่เธอได้โดยสารขึ้นเรือกลไฟหน้าตาดูพิกลไปพร้อมๆกับผู้ัโดยสารเหล่านั้น และสิ่งสุดท้ายที่เธอได้เห็นก่อนที่เรือจะออกจากท่า ก็เป็นเด็กชายผมทองคนเดียวกับที่ลากจูงเธอ ยืนโบกมือให้จากท่าเรือ ที่ไม่นานก็กลืนหายไปกับสายหมอกราวกับภาพลวงตาภาพหนึ่ง....






    2ชั่วโมงให้หลัง​

    สถานที่...กลางหมอกที่ไหนสักแห่ง​



    นานนับชั่วโมงแล้วที่ห้องโดยสารนั้น มีเพียงฮึ่มต่ำของเครื่องยนต์ กลิ่นชื้นของไอหมอก กับความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านช่องหน้าต่างในห้อง อัลรอนเน่ แม้ว่าเธอจะยังสับสนอยู่ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี? กับความจริงว่าตอนนี้เธอถูกแยกจากกลุ่มเพื่อนเอ็กโซซิสต์ กับคำตอบที่ยังคลุมเครือว่าชะตากรรมอันใดที่กลุ่มของเธอและอาจาร์ยสาวได้เจอหลังจากนั้น และที่เธอในตอนนี้กำลังโดยสายอยู่ในเรือของกลุ่มไม่ระบุสัญชาติหรือสังกัด มันทำให้เธอคิดอยู่มากว่าทำไมเธอถึงยังนั่งเฉยอยู่ได้กัน?


    เธอกวาดสายตามองอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอเห็นและสัมพัสนั้น ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือมนต์มายาอันใด ว่าเธอไม่เคยเห็นเรือโดยสารแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่ของจริงอย่างที่เธอโดยสารในตอนนี้ พ่อบุญธรรมเคยเล่าให้เธอฟังตอนเด็กๆถึงเรือเหล็กลำโต ที่สามารถเดินทางโดยไม่ต้องอาศัยแรงลมหรือฝึพาย แต่นี่มันต่างออกไป บางอย่างบอกเธอเช่นนั้น ทั้งเหล่าคนพวกนั้น เครื่องแต่งกาย ภาษาที่ใช้พูด ท่าทางร่างกาย ดูราวกับจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาๆทั่วไป


    "ต้นห้น ใกล้จะถึงจุดนัดหมายหรือยัง?"

    "อีก 10นาทีครับ"

    "ทุกคนประจำตำแหน่ง เก็บหางเสือเข้าที่ ปล่อยอับเฉาเรือ เตรียมตัวสำหรับการยกตกทุกท่าน"


    คำสั่งที่ดูจะไม่สมเหตุผล และอาการตื่นตัวของบรรดาคนเหล่านั้น ทำให้อัลรอลเน่ฉะงนอยู่ไม่น้อย ในตอนแรก แต่ความฉงนนั่นก็มาพร้อมกับเสียงร้องฮือฮาของผู้โดยสารคนอื่นๆ


    "แม่ๆ นั่นแสงอะไรฮับ?" เด็กชายผู้มาพร้อมกับแม่และพี่ชายของตนกล่าวอย่างตื่นเต้น พลางชี้ไปยังต้นแสงนั่น


    แสงนั่นดับๆติดๆ ดูราวกับแสงเทียนเมื่อต้องสายลม ในตอนแรกความสงสัยถึงที่มาของแสงไม่ได้ทำให้เธอคิดถึงจุดประสงค์ของแสงนั่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป แสงนั่นก็ยิ่งสว่างมากขึ้น ราวกับต้นแสงได้เข้ามาใกล้เรือมากขึ้น พร้อมๆกับเสียงครางต่ำของเครื่องยนต์อีกเสียงที่ดังใกล้เข้ามา


    "ปาปัว ยืนยัน รับสินค้าครบถ้วนครับกัปตัน!!"

    "ซาลามิส ยืนยัน รับสินค้าครบถ้วนเช่นกันครับกัปตัน!!"

    "บอกทั้งสองลำด้วยว่า จะทำการยกตัวพร้อมกันเมื่อถึงเป้าหมาย ยืนยันคำสั่ง"


    ในตอนนั้นเอง เมื่อเธอคิดว่าคนพวกนั่นติดต่อสื่อสารกันกับเรือที่เธอยังไม่เห็นด้วยสายตาได้อย่างไร ก็เป็นตอนที่แรงกระฉากได้ฉุดให้เธอที่ไม่ทันได้เตรียมพร้อม กับผู้โดยสารคนอื่นๆ ลงกับนั่งกองกับพื้น เสียงน้ำแตกกระเซ็นดังไม่หยุด กับความรู้สึกเหมือนตัวกำลังลอยขึ้น เร่งรีบออกไปดูที่หน้าต่างลำเรือ แต่ด้วยหมอกที่หนาเกินไป ทำให้มองได้ไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


    "แม่หนูดูจะไม่กลัวความสูงเลยนะ?" เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังเธอ


    ชำเลืองตาไปมองต้นเสียง ชายหนุ่มผมขาวสั้นในชุดสีขาว ที่ดูคล้ายกับพวกคนเหล่านั้น ที่เป็นดวงตาคู่นั้นที่ทำให้เธอเสียงวาบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาสีนิลกับแก้วตาสีเงินนั่น บ่งบอกถึงบางอย่างที่ไม่ปรกติกับเจ้าของดวงตาคู่นี้ แต่ไม่มีไอปีศาจหรือความรู้สึกกดดันที่เธอสัมพัสได้ จึงไม่ทำให้เด็กสาวคิดอะไรนอกไปจากว่า สีตาของชายหนุ่มดูแปลกพิกล


    แต่เป็นแรงสะเทือนอีกระรอกที่ส่งให้ตัวเด็กสาว ที่ไม่อยู่ในองศาที่มั่นคงแต่แรก เสียการทรงตัวจนหงายหลังจะล้มลง แต่ไม่ใช่กับพื้นลำเรือเหล็ก แต่อยู่ในวงแขนของชายหนุ่มผมขาวแทน


    "ใจเย็นแม่หนู เส้นทางยังอีกไกล สติอย่าให้หลุดจากตัว จะเป็นการดีกับตัวแม่หนูเองล่ะนะ" ชายหนุ่มกล่าวกับเด็กสาวในวงแขน


    รีบสลัดจากวงแขนชายหนุ่ม เด็กสาวพยายามกลบเกลื่อนอาการร้อนรน ก่อนจะหันมามองหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

    "เราจะจำไว้ให้ขึ้นใจ คุณคนแปลกหน้า แต่ถ้ามีครั้งหน้าเราดูแลตัวเองได้"

    "ไม่น่าจะมีครั้งหน้า อัลรอนเน่ เพราะในเส้นทางนี้ หลุมอากาศไม่ได้มีมากเหมือนเส้นทางอื่นๆมากนัก คาร์ดินัลฟรังซิสเองก็คงจะไม่ถือสา หากว่าเราได้แตะเนื้อต้องตัวลูกสาวท่านไปบ้าง"



    ชายหนุ่มกล่าวถึงตรงนี้ คงจะเป็นใบหน้าเลือดฝาดขึ้นมาของเด็กสาว หรือความพยายามหลบสายตาของอีกฝ่าย แต่น่าจะเป็นทั้งสองอาการรวมกัน ที่บอกว่าเด็กสาวดูจะกระอั่กกระอ่วนกับเรื่องสักครู่ มากกว่าที่ท่าทางเธอแสดงออกในตอนแรกนัก



    "คุณรู้จักท่านคาร์ดินัลฟรังซิสรึ?" แล้วรู้ชื่อชั้นได้อย่าง นั่นคืออีกคำถามที่เธออยากจะถามต่อ แต่เมื่อยังไม่พบพิรุธหรือท่าทีคุกคามใดๆ เธอจึงไม่ได้ตั้งการ์ดไว้สูงนักกับคนๆนี้


    "ท่านเป็นมนุษย์ที่น่าเลื่อมใสคนหนึ่งในยุคนี้ ผู้ที่ช่วยเหลือเผ่าพันธ์เดียวกันแต่ยังคงไว้ซึ่งหลักการที่ไม่สั่นคลอน แม้แต่กับแรงกดดันของเผ่าพันธ์เดียวกับท่าน"



    เป็นคำกล่าวที่น่าขบคิดไม่ใช่น้อย แม้แต่กับเด็กสาวอย่างเธอยิ่งมาจากปากของคนแปลกหน้าที่เธอไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกว่าคนดีหรือไม่? แต่เป็นในตอนนั้นเองที่แรงสั่นสะเทือนอีกระลอก คราวนี้แรงจนทำเอาผู้โดยสารคนอื่นๆถึงกับล้มกลิ้งกับพื้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอ แต่เป็นความรู้สึกถึงจิตสังหารจากภายนอก ที่ทำให้เธอตั้งรับได้พร้อมๆกับ ลูกไฟสีแดงที่เรืองๆให้เห็นที่นอกหน้าต่างนั่น


    ทีแรกที่เห็นของจริง ไม่ใช่ในตำรา หรือ ภาพวาด ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเธอ ไม่ใช่ความตื่นกลัว หรือ ความงุนงง แต่เป็นความคิดง่ายๆความคิดเดียวจากสิ่งที่เห็น "ใหญ่" ฉลามเดบลิสหรือ? กับดวงตาสีแดงส้มห้าตานั่น นั่นย่อมไม่ใช่ฉลามแน่ แล้วขนาดนั่นอีก ขนาดตัวที่ใหญ่เท่ากับบ้านไม่สิ ใหญ่กว่านั้น ใหญ่มาก


    "ฮู่มมมมมม"


    เสียงคำรามก้องของสัตว์ร้าย ดังประสานขึ้น ไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่หลายตัว ความตระหนกมีให้เห็นในตาของเหล่าลูกเรือทั้งหลาย แต่เป็นกัปตันที่ออกคำสั่งเรียกสติของลูกเรือ


    "หันหางเสือ 20องศา เร่งความเร็วเต็มที่!!"

    "หันหางเสือ 20องศา!!" ต้นหนเรือตอบรับ

    "เร่งความเร็วสูงสุด" ต้นหนอีกคนตอบรับ


    แรงกระชากขึ้นและลง นั้นรุนแรงอยู่มาก และเป็นอยู่นาน แต่ที่สุดแรงสั่นสะเทือนก็สงบลง พร้อมกับสายหมอกที่หายไป แต่นั่นคือตอนที่เธอได้เห็นร่างของสัตว์ร้ายในสายหมอกอย่างเต็มตา


    สิ่งที่กำลังบินอยู่ตรงหน้าเธอ คืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือรวมเล่มปีศาจ สิ่งที่ดูเหมือนปลาวาฬเผือกขนาดใหญ่ แต่กับเขาที่งอกออกมาจากส่วนหัวลู่ไปด้านหลัง กับดวงตา ดวงตาสีส้มแดงสี่ ไม่สิห้าตาพวกนั้น แล้วบนส่วนหัวปีศาจตนนี้


    "วาฬไครเมียแม่หนู คงจะแปลกเกินจะเข้าใจได้สำหรับคนหลังเขาอย่างแม่หนูสินะ"

    "ท่านว่าหลังเขาหมายความว่ากระไร?" แปลกใจระคนสงสัย ถึงความหมายของคำว่าหลังเขาที่ชายผมขาวกล่าวถึงตน


    "สำหรับผู้ที่อาศัยเทือกเขาสูงใหญ่เป็นเกราะกำบังจากโลกภายนอก คนหลังเขาก็ไม่ใช่คำเรียกที่ผิดนักจริงไหมแม่หนู?"


    แม้จะไม่ชอบในน้ำเสียงอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่ได้ตอบโต้ทางสีหน้าหรือกริยาท่าทางแต่อย่างใด


    "แต่ดูเหมือนแม่หนูจะไม่แปลกใจหรือตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ แม้ว่าเรากำลังบินอยู่ก็ตาม?" อีกฝ่ายกล่าวเหมือนจะถามหยั่งเชิงเด็กสาว


    "คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เรียกว่าเรือเหาะ นี่คงจะเป็นยานพาหนะที่ว่าสินะ?คุณคนแปลกหน้า?"


    แต่แทนที่คำตอบกลับของอีกฝ่าย แต่เป็นเครื่องดื่มร้อนในมือขวาและผ้าห่มหนาในมือซ้าย ที่คนแปลกหน้ายื่นให้เธอ ที่ไม่ทราบว่าไปเตรียมของที่ว่านี้มาจากไหนกัน?


    "เก็บแรงเอาไว้ให้มากแม่หนู การเดินทางยังอีกยาวไกล ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจมากกว่านี้ระหว่างทาง นั่นคือที่เรายืนยันได้แน่นอนที่สุด"

    "เรากำลังจะไปที่ไหนกัน คุณพอจะทราบหรือไม่คนแปลกหน้า?"

    "สำหรับแม่หนู สถานที่ในความทรงจำนั่นคือครึ่งแรกของการเดินทางในครั้งนี้ ส่วนครึ่งหลังนั้น แม่หนูคงจะต้องค้นหาด้วยตนเอง"



    เห็นถึงสีหน้าของความสงสัยและไม่ไว้ใจบนใบหน้าสาวน้อย ชายแปลกหน้ายิ้มละไมให้ แต่ตัวแกกลับเลือกที่จะนั่งลงที่มุึมห้อง โดยปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งลงครุ่นคิดในความสงสัยของตนเองไปแทน ในตอนที่แสงตะวันสีส้มทองอาบเรือเหาะทั้งสามลำ ที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่ดินแดนที่แม้แต่เด็กสาวเองก็ไม่อาจนึกออกว่า ตนจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง?






    ขณะเดียวกัน​

    ท่าเรือเดบลิส บริเวณลานกว้าง​



    หมอกที่เคยปกคลุมเมืองอยู่ บัดนี้สลายหายไปจนเหลือเป็นเพียงม่านไอน้ำจางๆ เหลือไว้เพียงร่องรอยของการรวมกลุ่มเมื่อไม่นานมานี้ แต่สิ่งที่ถูกซุกซ้อนเอาไว้ในสายหมอกอีกอย่าง ก็เริ่มทำงานของตนเมื่อการขนส่งสำเร็จลุร่วงไปแต่โดยดี


    สิ่งที่เคลื่อนตัวผ่านสายหมอกที่กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มชายชุดดำที่เร่งเข็นกรงขังสัตว์ขนาดใหญ่ ตรงไปยังลานกว้างหน้าหอนาฬิกา กรงแล้วกรงเล่า ไม่มีการพูดคุยหรือสั่งการใดๆเหมือนกับว่า ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดี


    "เอาล่ะทุกคนเริ่มงานกันได้แล้ว เรามีกำหนดการของทางนี้ที่ต้องดำเนินการเหมือนกัน" เสียงใสของชายหนุ่มผมทองกล่าวขึ้น พร้อมกับตบมือเป็นสัญญานให้กลุ่มชายชุดดำ เบื้องหลังเจ้าตัว


    อย่างพร้อมเพรียง อาวุธหนักหลายอย่างทั้งกระบอง หลาว เลื่อยยนต์ เคียว ค้อน และ อีกสารพัดอาวุธสำหรับการทำลายถูกจัดเตรียม พร้อมๆกับเสียงร้องอย่างตระหนกของสิ่งที่อยู่ในกรงเหล่านั้น


    "หน่วย 1 จัดการกรงผู้ใหญ่ หน่วย2 จัดการกรงทหาร หน่วย3 จัดการกรงอาชญากร หน่วย4และหน่วย5คอยดูแลความเรียบร้อย ส่วนหน่วย6นอกจากจะมีคำสั่งเพิ่มเติม ขอให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมไปก่อน" ออกคำสั่งอย่างว่องไว เช่นเดียวกับเหล่าชายชุดดำที่รับคำสั่งแล้ว เดินตรงไปยังกรงส่วนที่ตนรับผิดชอบพร้อมเครื่องมือของตน


    "พยายามจัดการให้เงียบ ถ้าทำได้ทุกคน" คำสั่งที่เหมือนจะไม่จริงจังในน้ำหนักเท่าไหร่นัก เมื่อหน่วย1เตรียมเลื่อยยนต์ของตน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของทั้งชายและหญิงในกรงขัง เมื่อร่างเนื้อสัมพัสกับซี่เลื่อยยนต์ และเสียงฉีกเคี้ยวเนื้อกับกระดูกที่ดังประสานกัน จากกรงหนึ่งไปอีกกรงหนึ่ง


    ไม่ช้าไม่นาน หมอกสีชมพูก็ค่อยๆปกคลุมลานกว้าง พร้อมๆกับแสงแดดมัวๆที่ปกคลุมเมืองร้างคนแห่งนี้ ที่ซึ่งกิจกรรมการสร้างหลักฐานเพื่ออำพรางการสาบสูญของคนจำนวนมาก ยังดำเนินต่อไปกรงแล้วกรงเล่า.....
  24. tagate

    tagate ตามล่าเธอสุดปลายฟ้า

    EXP:
    78
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18
    รถม้าสีขาวคันโตพุ่งทะยานปานสายฟ้าไปตามถนนสายเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้สูงใหญ่ตลอดริมสองข้างทาง ก่อนจะลอดผ่านประตูรั้วซึ่งมีป้ายแปลกๆพออ่านได้ว่า”ตระกูลคาโทเกส”ติดอยู่ด้านบน จุดหมายเบื้องหน้าคือคฤหาสน์สีหม่นที่มีไม้เลื้อยขึ้นอยู่เต็มไปหมดจนคล้ายคฤหาสน์ร้างก็ไม่ปาน ดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทอแสงสีส้มสะท้อนกับผิวน้ำของแม่น้ำที่อยู่ทางซ้ายของคฤหาสน์บ่งบอกถึงเวลาได้เป็นอย่างดีว่าเข้าสู่ยามเย็นแล้ว

    ม้าเทียมรถทั้งสี่พารถม้าเข้ามาจอดหน้าประตูคฤหาสน์ได้อย่างพอดิบพอดี แม้ว่าจะพุ่งมาด้วยความเร็วขนาดนั้นก็ตาม แสดงให้เห็นถึงฝีมือของผู้คุมและความสามารถของม้าว่าสูงระดับไหน

    “เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้อีกนะ คาวิน” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นพร้อมๆกับประตูคฤหาสน์ที่ค่อยๆเปิดออก เบนิออสเดินออกมาในชุดคลุมยาวสีม่วง

    “วันนี้โรงเรียนเลิกเร็วน่ะ” คาวินในชุดลำลองโดดลงมาจากรถม้า ก่อนจะเข้าไปลูบคอม้าทั้งสี่เพื่อชมเชย ในขณะที่ประตูรถม้าก็เปิดออกพร้อมๆกับเหล่าเอ็กโซซิสต์หน้าใหม่ทั้งหลาย

    “สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์เบนิออส” เด็กๆทั้งหมดกล่าวสวัสดีอาจารย์จอมโหดแห่งศาสนจักร ซึ่งเบนิออสก็พยักหน้ารับอย่างคนกันเอง

    “ไลติโอ้เป็นยังไงบ้าง” คาวินถามหลังจากพาม้าไปพักที่โรงม้า

    “ก็ยังไม่ได้สติหรอกนะ แต่ก็ไม่มีอาการอะไรแสดงให้เห็นว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตเลย” เบนิออสตอบพลางยักใหล่ “แล้วอาซึกะล่ะ?”

    “อาจารย์อาซึกะรับหน้าที่ไปสืบหาอัลรอลเน่ครับ” ทรีคตอบเสียงเรียบ

    “งั้นหรือ..” เบนิออสพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะผายมือเข้าไปในบ้าน “งั้นเชิญทุกคนเข้ามาข้างในก่อนละกัน”

    ................

    คฤหาสน์คาโทเกสที่ภายนอกคล้ายคฤหาสน์ร้าง ภายในกลับมีสภาพคล้ายกับพระราชวังก็ไม่ปาน อาจจะมีแตกต่างอยู่บ้างตรงที่เครื่องมือเครื่องใช้กว่าครึ่งอาศัยพลังเวทย์ในการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของแสลงสำหรับทรีคเลยทีเดียว

    เบนิออสและคาวินเดินนำเหล่าเอ็กโซซิสต์รุ่นเยาว์ทั้งหลายไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ร่างของไลติโอ้ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขนาดดับเบิลเบดก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน อย่างที่เบนิออสว่าไว้ ทุกอย่างดูเหมือนแค่ไลติโอ้หลับสนิทตามปรกติ แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าจะปลุกอย่างไร เด็กหนุ่มก็ไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาซักที
    “กว่าอาทิตย์นึงแล้วนะ” อเล็กซ์พูดขึ้นเบาๆหลังจากที่นั่งลงข้างเตียง โดยมีเซล่า,เวิร์ดและวาเลียยืนอยู่ใกล้ๆ ทรีค,ฮายาเตะและวินดัสนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ ส่วนเบนิออสกำลังยืนสั่งเมดเดอร์ให้จัดเตรียมอาหารอยู่ตรงหน้าประตูโดยมีคาวินอยู่ข้างๆ

    “อาจารย์เบนิออสครับ” ทรีคพูดขึ้น หลังจากเบนิออสเดินกลับเข้ามาในห้อง

    “มีอะไรรึ” เบนิออสตอบรับ

    “คือว่า ผมสังเกตลักษณะผังบ้านหลังนี้มันแปลกๆนะครับ ทั้งประตูรั้วที่อยู่ทางขวาจากตัวบ้าน ไม่ใช่ด้านหน้า มีแม่น้ำอยู่ทางซ้ายทั้งๆที่ไม่ได้เพาะปลูกหรือมีการโดยสารทางเรือ มีภูเขาอยู่ด้านหลัง อีกทั้งมีทะเลสาบไลท์เกรซอยู่ด้านหน้า ถ้ารวมถึงโครงสร้างของคฤหาสน์แล้ว หรือว่า มันคือ..” ทรีคกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทำให้คำพูดหายไปในลำคอ

    “ถูกต้อง เป็นไปตามหลักผังเมืองโบราณนั่นแหละ” เบนิออสตอบ

    ฮายาเตะซึ่งนั่งอยู่ข้างๆทรีคทำหน้าเหลอหลาหันไปมองทรีคทีเบนิออสทีก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วมันคืออะไรเหรอ ไอ้ผังที่ว่าน่ะ”

    “ผังเมืองโบราณจะสร้างโดยดูทำเลที่เหมาะสมน่ะ” เบนิออสตอบคำถามของฮายาเตะ “ตามความเชื่อ หลังต้องอิงเขา หน้าต้องติดน้ำ มีแม่น้ำไหลผ่านทางซ้ายและมีถนนทอดยาวอยู่ทางขวา” เบนิออสเว้นเล็กน้อยเพราะเห็นฮายาเตะทำหน้างงหนักกว่าเดิม อีกทั้งพวกอเล็กซ์ก็หันมาสนใจฟังอีกด้วย “เชื่อกันว่าสถานที่แบบนี้จะมีสัตว์เทพปกปักคุ้มครองอยู่ทั้งสี่ด้าน ซึ่งเราเรียกว่าจตุรเทพ อันได้แก่เสือขาว เต่าดำ วิหคเพลิงและ..” เบนิออสหยุดพลางยิ้มเล็กๆก่อนจะพูดว่า “ให้เดาว่าอะไร”

    “มังกร” ทรีคพูดขึ้นเรียบๆ

    “ห๊ะ! แปลว่ามีมังกรอยู่แถวนี้เรอะ!” ฮายาเตะพูดขึ้นอย่างตกใจ สำหรับฮายาเตะ มังกรคงเป็นสิ่งต้องห้าม

    วินดัสหันไปมองหน้าสาวโย่งอย่างเอือมๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เขาแค่เปรียบเทียบ เรื่องแค่นี้เด็กน้อยยังรู้เล้ย”

    “ตะกี้ว่าอะไรนะ” ฮายาเตะหันมาครางเสียงต่ำอย่างมีโทสะ

    “เปล่านี่” วินดัสตอบ พลางหันหน้าไปผิวปากอีกทาง

    "รู้สึกว่า การวางผังแบบนี้ มีผลต่อการป้องกันสิ่งชั่วร้าย แล้วก็ผนึก.." ทรีคถามต่อ ทว่า

    “ฮื่อ....” เสียงครางต่ำๆดังมาจากเตียง ทำให้ทุกคนหันหน้าไปมองทางไลติโอ้ทันที สีหน้ายังดูสงบ แต่เสียงที่ดังออกมาจากปากและนัยน์ตาที่กลิ้งไปมาใต้เปลือกตาที่ปิดอยู่บ่งบอกได้ถึงอะไรบางอย่าง

    “กำลังฝันอยู่สินะ” คาวินพูดขึ้น

    ................

    สายลมเบาๆพัดเข้าปะทะใบหน้าของเด็กหนุ่ม ไลติโอ้ค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น ท้องฟ้าสีครามสดใสกับใบไม้ที่สั่นไหวตามสายลมทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดี

    “ยังจะนั่งหลับได้อีกนะ” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านบน พร้อมๆกับมือหนาที่ขยี้ผมของเด็กหนุ่ม ไลติโอ้เงยหน้าขึ้นมองก็พบชายกลางคนรูปร่างกำยำในชุดเกราะเกล็ดสีเขียวยืนพิงต้นไม้ต้นเดียวกับที่ตนเองนั่งพิงอยู่ ผมสีเงินและแววตาสีทองดูดุดันช่างขัดกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนหน้าโดยสิ้นเชิง

    “ปล่อยไปน่า พี่ริวเซ่ ก็....ยังเด็กอยู่ มานั่งฟังเทศน์นานๆแบบนี้ก็ต้องหลับแหละ” เสียงใครบางคนพูดขึ้นจากต้นไม้ที่ห่างออกไป เด็กหนุ่มหันไปทางต้นเสียงก็พบชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดลำลองกำลังเอนพิงต้นไม้อยู่ สีผมและสีตาเหมือนกับชายกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

    ‘ตะกี้เขาเรียกเราว่าอะไรนะ’ ไลติโอ้คิดในใจ

    “แล้วเฟลริลล่ะ ดราค” ริวเซ่ถาม

    “ออกไปร่อนถึงไหนแล้ว ขานั้นเคยมาฟังการประชุมร่วมแบบนี้ด้วยเรอะ” พูดจบดราคก็ยกมือขึ้นพลางยักไหล่พร้อมส่ายหัวไปด้วย

    “เอาล่ะ พวกเจ้าคุยกันจบหรือยัง....” เสียงแหบต่ำดังมาจากเบื้องหน้าทำให้ไลติโอ้ต้องหันไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายค่อนข้างมีอายุ ผมและหนวดเครามีสีเงินและนัยน์ตาสีทอง แต่น่าแปลก มันดูเปล่งประกายกว่าสีผมและสีนัยน์ตาของคนอื่นมาก

    “ครับ/คร้าบ” ทั้งสองตอบรับ

    “แล้วเจ้าล่ะ....” ชายสูงวัยหันมาพูดกับไลติโอ้

    เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ได้ยินว่าตัวเองถูกเรียกว่าอะไร แต่ก็พยักหน้ารับพร้อมตอบรับ “ครับ”

    “งั้นเรื่องสุดท้าย วันนี้เรามีสมาชิ..ใหม่ชื่อ.... เอ้า อย่าซ่..อยู่..” ชายวัยกลางคนพยายามดึงมือของใครบางคนที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาด้านหน้า ทว่า ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของไลติโอ้กลับค่อยๆมืดลง เสียงที่ได้ยินก็เบาลงทุกขณะ

    “เฮือก!!” เพดานสีขาวขุ่นปรากฏในสายตาของไลติโอ้ เสียงโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์รอบข้างทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมอง ก่อนที่หูของเขาจะปรับสภาพให้ฟังได้ชัดเจนขึ้น หลังจากที่ร้างการใช้ไปนาน

    “ไลติโอ้ ฟื้นแล้วหรือ!” เป็นอเล็กซ์ที่พุ่งเข้ามากอดคอเด็กหนุ่มเป็นคนแรก ในขณะที่วาเลียก็เข้ามานั่งอยู่ข้างๆและพยุงให้ไลติโอ้ลุกขึ้นมานั่ง

    มือหนาลูบเบาๆบนหัวทำให้ไลติโอ้ค่อยๆหันไปมอง คาวินนั่นเอง เสียงที่ดูห่วงใยดังออกมาอย่างแผ่วเบา “เป็นยังไงบ้าง ไลติโอ้..”

    “ที่นี่..” ไลติโอ้ถามขึ้นเบาๆ เด็กหนุ่มรู้สึกสับสนไปหมด ตะกี้เหมือนเขาจะอยู่ที่ไหนซักแห่งกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่

    “บ้านของข้าเอง เจ้าหนู” เบนิออสตอบอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยเขาก็เอ็นดูเด็กมีฝีมือคนนี้อยู่พอสมควร

    ทรีคและฮายาเตะลุกขึ้นพร้อมๆกับวินดัส ก่อนที่ทรีคจะพูดขึ้นมา “ไหนๆไลติโอ้ก็ฟื้นแล้ว งั้นเราก็กลับไปแจ้งทางศาสนจักรก่อนดีไหมครับ” ทรีคเว้นเสียงเล็กน้อย “เผื่ออาจารย์อาซึกะกลับมาจะได้ไม่ต้องห่วงมากด้วย”

    “เรื่องนั้นกลับไม่ต้อง” เบนิออสพูดขึ้น “เดี๋ยวข้าส่งจดหมายไปแจ้งให้เอง” จากนั้นก็หันหน้ามาหาคาวิน “คาวิน ส่งแบบเสียงหรือแบบตัวอักษรไปดี?”

    “ส่งแบบธรรมดาเถอะ คราวที่แล้วเจ้าทำให้คนที่ศาสนจักรตกใจกันทั้งบางเลยทีเดียว” คาวินตอบพลางส่ายหน้า

    ................

    มื้อค่ำของศิษย์อาจารย์เอ็กโซซิสต์กับวินดัสจบลงอย่างเงียบๆในคฤหาสน์หลังโต แต่ละคนกระจายกันไปพักในห้องพักที่เบนิออสจัดเตรียมไว้ให้ ทว่า ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องอย่างบางเบาผ่านหมู่เมฆ กลับมีเงาคนสามคนเดินออกมาจากคฤหาสน์นั้น

    “ข้าจะขอพูดอย่างรวบรัดเลยนะ” เสียงของฮายาเตะดังขึ้นบ่งบอกสถานะของหนึ่งในเงากลุ่มนั้น “ไลติโอ้ เจ้าเป็นใคร ไม่สิ เป็นตัวอะไรกันแน่”

    “หา” ไลติโอ้ร้องออกมาอย่างงงๆ

    “อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง! ก็วันนั้นเจ้า!” ฮายาเตะเริ่มขึ้นเสียง หมัดก็ถูกกำแน่น เพียงถ้าไลติโอ้พูดออกมาอย่างที่ตนคิด กำปั้นนี้ก็พร้อมที่จะถูกปล่อยเข้าที่หน้าของเด็กหนุ่มในทันที

    “ไม่สมเหตุสมผลเลยนะครับ คุณฮายาเตะ ผมไม่คิดหรอกนะว่าไลติโอ้จะเป็นปีศาจหรืออะไรไปได้ ผมอยู่กับเขานานที่สุด ย่อมรู้ดี” เสียงของอเล็กซ์ดังขึ้นพร้อมๆกับเมฆที่ลอยออกจากการบดบังแสงจันทร์ ทำให้มองเห็นทั้งสามได้ชัดเจนขึ้น

    “เฮอะ คนธรรมดาอย่างเจ้าจะรู้อะไร แค่พลังเวทย์ยังไม่มี แล้วคิดว่าจะสัมผัสกลิ่นอายของมันได้ชัดเจนเท่าข้าที่ปราบปีศาจและมังกรมานัดต่อนัดแล้วเรอะ” ฮายาเตะขึ้นเสียงตอบโต้ “และคราวที่แล้วมันก็เผยโฉมออกมาขนาดนั้นนี่”

    “อเล็กซ์ ผมทำอะไรไปหรือ?” ไลติโอ้หันไปถามอเล็กซ์ เพราะรู้ว่าป่วยการที่จะถามอะไรฮายาเตะที่ของขึ้นซะขนาดนั้น

    “นายจำไม่ได้หรือ?” อเล็กซ์ย้อนถาม

    “อือ” ไลติโอ้ตอบ

    “นาย..” อเล็กซ์เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “วันที่นายกลับมาถึงศาสนจักร อยู่ๆนายก็หมดสติไป และ..”

    “แกกลายร่างเป็นมังกร!!” ฮายาเตะตะคอกเสียงสูง

    “จริงอ่ะ..” ไลติโอ้พูดพลางทำหน้างงๆ

    “ไม่ใช่นะครับ! ผมถนัดการอ่านเวทย์ สิ่งที่ห่อหุ้มร่างของเขาคือพลังเวทย์ก้อนมหึมา! ผมรับรองได้ว่านั่นไม่ไม่การกลายร่างและไลติโอ้เป็นมนุษย์แน่แท้!!” อเล็กซ์เถียงฮายาเตะอย่างสุดใจ เขาอยู่ใกล้ชิดกับไลติโอ้มาตั้งแต่วันสมัคร เขาย่อมรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มากที่สุด

    “ถูกต้องแล้ว ฮายาเตะเอ๋ย” เสียงของเบนิออสดังขึ้นมา “เจ้าหนูไลติโอ้มีพลังเวทย์แฝงอยู่สูงมาก ข้าเลยให้หนังสือดูดพลังเวทย์ไปฝึกปล่อยพลังเวทย์ออกมาคราวละมากๆ แต่วันนั้นคงเพราะความอ่อนแรงทำให้พลังเวทย์ทะลักออกมาเกินความจำเป็น ก็แค่นั้นแหละ” สิ้นเสียง เบนิออสก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ทำเอาทั้งสามสะดุ้งเฮือก

    “ตะ แต่ว่า ข้าเคยเห็นคนที่คุมพลังเวทย์ไม่อยู่ จนพลังเวทย์ทะลักออกมาเหมือนกัน มันไม่ใช่แบบนี้นี่” ฮายาเตะแย้งคำพูดของเบนิออส

    “แบบไหน? ก็แค่ไม่กลายเป็นรูปร่าง? ไม่หนาแน่นจนมองไม่เห็นเจ้าของพลัง? แตกต่างกันแค่นั้นใช่ไหม?” เบนิออสพูด ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ฮายาเตะแล้วกระซิบเบาๆ “ก่อนจะมาสงสัยคนอื่น ดูตัวเองซะก่อนเถิด” คำพูดแค่สั้นๆ แต่ก็ทำเอาฮายาเตะหวนคิดไปถึงความฝันในวันนั้น

    ‘บ้าน่า ไอ้ความฝันนั่น ไม่มีทางเป็นจริงอยู่แล้ว!!’

    “คุณฮายาเตะ” ไลติโอ้ส่งเสียงเรียก ทำให้ฮายาเตะหลุดจากภวังค์ “คุณคิดว่าผมเป็นปีศาจจริงๆเหรอ” สีหน้าและสายตาที่ดูน่าสงสาร ทำเอาฮายาเตะรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ

    “กะ ก็แค่ถามให้แน่ใจ ข้าก็แค่อยากแน่ใจเท่านั้นเอง” ฮายาเตะ ตอบอย่างร้อนรน “งะ งั้นข้าไปนอนก่อนละ”

    “อ๊ะ หยุดก่อน สาวโย่ง” เบนิออสรั้งตัวฮายาเตะไว้ด้วยคำพูดพลางหันหน้าไปทางประตู “พวกเจ้าที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นน่ะ ถือว่าอธิบายให้เข้าใจกันแล้วนะ” เบนิออสกำชับ ในขณะที่เหล่าเอ็กโซซิสต์หน้าใหม่ทยอยเดินออกมา

    ทรีคเดินไปพิงที่กำแพงแล้วพูดขึ้น “ผมก็ไม่ได้สงสัยหรือระแวงอะไรเขาอยู่แล้วครับ”

    “ผมคนนอก ไม่มีปัญหาครับ” วินดัสตอบ

    “ฉันเชื่อใจไลติโอ้นะ ฉันมั่นใจในสายตาที่มองเค้ามาตั้งแต่วันสมัครละ” เวิร์ดพูด

    “ถ้าอเล็กซ์เชื่อใจเขา ฉันก็พร้อมเชื่อใจเขาด้วยค่ะ” เซล่าตอบรับ

    “งั้น” เบนิออสหันมาทางฮายาเตะ “เธอล่ะ จะยอมเชื่อใจเจ้าหนูนี่ได้ไหม?”

    “กะ ก็ได้” ฮายาเตะรับคำ

    “งั้นก็ดี เอาล่ะ ดึกแล้ว ไปนอนกันเถอะ” เบนิออสตัดบท “เอ ขาดใครไปคนนึงรึเปล่านะ?”

    ................

    ในขณะที่ข้างล่างเกิดเรื่องกันอยู่นั้น..

    ในห้องสีขาวขุ่น

    บนเตียงนอนหนานุ่ม

    วาเลียหลับอย่างมีความสุขโดยไม่นำพาต่อสิ่งใดๆ....

    ................

    เอ มันจะมีกลิ่นYเกินไปไหมเนี่ย -*-
  25. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ค่ำคืนนั้นช่างยาวนานหลังจากที่ฮายาเตะต้องทนกับภาพฝันร้ายเกี่ยวกับเพื่อนรักและอาจารย์สาวมาหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจแอบหนีออกมาจากคฤหาสน์มาทางป่าซึ่งลับตาคน และตามหาบุคคลสำคัญทั้งสองด้วยตนเอง

    ...แต่จะเริ่มจากตรงไหนดี...

    ในขณะนั้นเอง เธอจำสิ่งที่อาสึกะเคยพูดคุยกับคนอื่นว่าอัลรอลเน่น่าจะอยู่ที่เดบลิส ซึ่งเป็นที่อันตรายนัก ทำให้ฮายาเตะในเวลานี้รู้จุดหมายปลายทางที่แน่ชัดของตนแล้ว

    เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักเรียนศาสนจักร กลายเป็นชุดนักเดินทางเก่า ๆ ซอมซ่อ พร้อมผ้าคลุมขาดวิ่น ซึ่งมันคือชุดเดียวกับตอนที่พบกับอัลรอลเน่เป็นครั้งแรก ณ ไลท์เกรซ

    ---

    ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในป่าทางด้านหลังของคฤหาสน์กำลังมีความสุขอยู่กับเบอร์รี่และผลไม้ป่า เขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวที่กำลังหาทางวิ่งออกจากป่าเพื่อไปยังเดบลิส จึงพอจะเดาเรื่องราวต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก

    ...ฮายาเตะงั้นเหรอ... เธอคงคิดจะทำอะไรโง่ ๆ อยู่สินะ...

    ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มตรงไปขวางทางของเด็กสาวในทันที โดยหวังว่าเธอจะไม่กระทำการมุทะลุจนเกิดปัญหา

    "เรื่องตามหาคุณอัลรอลเน่... เธออยู่เฉยๆ จะดีกว่านะ เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง"

    เป็นไปอย่างที่คิด ฮายาเตะไม่พึงพอใจกับความหวังดีของวินดัสนัก

    "แม้แต่นายก็ดูถูกฉันงั้นสินะ" เด็กสาวย้อนถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเอ่ยเสริม

    "ฉันก็อยากไปตามหาอัลรอลเน่เหมือนกัน เขาเป็นเพื่อนฉัน นายไม่ต้องมายุ่ง"

    ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายครั้งหนึ่งให้กับคำพูดนั้นของฮายาเตะ เขาเข้าใจความห่วงใยของเด็กสาวเป็นอย่างดี แต่การปล่อยเธอไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั้นเป็นการกระทำที่โง่สิ้นดี

    "ฉันไว้ใจฝีมือคุณอาสึกะ ว่าเธอจะทำให้ทุกอย่างราบรื่น" วินดัสพยายามพูดอย่างใจเย็น

    ดูเหมือนว่าความพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมนั้นไม่ได้ผล เด็กสาวยังคงดื้อรั้นที่จะไปยังเดบลิส

    "เรื่องของอาจารย์ฉันไม่ห่วง... แต่...ฉันอยากเป็นฝ่ายไปหาเขาด้วยตัวเองเหมือนกัน"

    วินดัสเข้าใจความรู้สึกนั้น... ที่อยากจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนคนสำคัญ อย่างไรก็ตาม เขาปล่อยเธอไปไม่ได้ เนื่องจากหนทางข้างหน้านั้นอันตรายเกินไป

    "ฉันก็อยากช่วยเขา แต่... ฉันรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย"

    ทว่า ดูเหมือนว่าคำว่า 'ความปลอดภัย' นั้นจะไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของฮายาเตะ เธอยังคงดื้อดึงเช่นเดิม

    "เชอะ! กะอีแค่เมือง ๆ เดียว มันจะไปน่ากลัวอะไรนักหนา มอนสเตอร์ตัวเป้ง ๆ ฉันก็สับมาไม่รู้กี่ตัวแล้ว"

    คำพูดนั้นของฮายาเตะทำให้ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ วินดัสทราบดีว่าเธอชำนาญการต่อสู้มาก แต่เขารู้มากกว่านั้นว่าลทุกอย่างมันไม่น่าจะง่ายอย่างที่เธอคิด

    "มอนสเตอร์ตัวเป้งๆ เทียบกับทหารกองทัพเป้งๆ ไม่ได้หรอกนะ ฉันได้ยินว่าแถวนั้นมีกองทหารปีศาจเกราะดำเป็นร้อย" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่เคย อย่างผู้ที่เคยหนีตายหลังจากเดินทางผ่านเดบลิส

    "นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องไป ยิ่งรู้แบบนี้ แสดงว่าทั้งอัลรอลเน่ ทั้งท่านอาจารย์ ทั้งสองคนต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ฉันยิ่งอยู่เฉยไม่ได้" น้ำเสียงของฮายาเตะในยามนี้เปี่ยมด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะปกป้องคนสำคัญทั้งสอง

    อย่างไรก็ตาม วินดัสส่ายหน้าให้กับเด็กสาวเบา ๆ เชิงปฏิเสธ ก่อนมีดพกในมือของเขาถูกชักออกมา แน่นอนว่านั่นทำให้ฮายาเตะยิ่งไม่สบอารมณ์

    "นายจะทำอะไร"

    สายลมประหลาดพัดยังฮายาเตะแทนคำตอบ มันรุนแรงจนเธอจำต้องยกแขนขึ้นมาป้องกัน

    “ถ้าชนะฉันได้ อยากไปก็ไป” นั่นคือคำพูดทิ้งท้าย ก่อนที่การต่อสู้แท้จริงจะเริ่มขึ้น

    ดาบ “มุราซาเมะ” สีเงินถูกดึงออกมาจากฝัก ก่อนที่เด็กสาวจะพุ่งเข้าจู่โจมตรง ๆ อย่างที่ถนัด ทว่าวินดัสกลับหลบได้อย่างฉิวเฉียด อย่างไรก็ตาม...

    “ช้านะ” ฮายาเตะเอ่ยอย่างเย้ยหยัน หลังจากที่เตะมือของวินดัสจนมีดพกหลุดกระเด็นไปแล้ว ทว่า...

    สายลมรุนแรงโหมกระหน่ำมายังฮายาเตะอีกครั้ง แต่เด็กสาวกลับเอี้ยวตัวหลบระเบิดสายลมได้อย่างทันท่วงที และตีลังกาย้อนกลับมาตั้งหลักในท่ายืนได้อย่างปลอดภัย

    “ไม่เลว”

    ในขณะเดียวกัน พายุลูกใหม่ซึ่งปนด้วยเศษหิน เศษใบไม้แห้ง และบรรดากิ่งไม้แห้ง ได้พุ่งมายังฮายาเตะ แต่ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่า ฮายาเตะหลบหลังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะ...

    พายุที่ปนด้วยเศษต่าง ๆ ถูกสวนกลับไปยังวินดัสโดยพลังลมปราณจากเพลงดาบ “ดาบเขี้ยววายุ” และด้วยความเร็วที่เหนือกว่าของฮายาเตะ ทำให้ลมนั้นหวนกลับไปยังชายหนุ่ม โดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวได้เต็มที่นัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บนัก แต่เศษสิ่งต่าง ๆ ในพายุนั้นบดบังทัศนวิสัยของเขาได้เป็นอย่างดี

    หลังจากที่ใช้สายลมปัดบรรดาเศษหินและกิ่งไม้แล้ว สิ่งถัดไปที่เขาเห็นและสัมผัสคือปลายดาบเย็นเฉียบที่จ่อหน้าผากของเขา

    “ไง... รู้ผลแล้วนะ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและมั่นใจ หารู้ไม่ว่า...

    พายุขนาดย่อมเกิดขึ้นทางด้านล่างของฮายาเตะ มันพัดเธออย่างรุนแรงจนลอยขึ้นสูง หากด้วยทักษะที่ฝึกมาเป็นอย่างดี ทำให้เด็กสาวตีลังกากลับมาทรงตัวบนพื้นได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง

    “นักรบต้องระวังตัวเสมอ ถ้าไม่อยากเจอเขาเล่นสกปรก” วินดัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตานิ่งเฉย

    ฮายาเตะดูท่าทางไม่พอใจกับการเทศน์สอนของเขาเท่าไรนัก ในขณะนั้นเอง เธอรู้สึกได้ถึงสายลมหนาวที่โอบล้อมรอบตนไว้ ทว่า...

    น่าแปลกนัก เด็กสาวกลับไม่ขยับตัวตอบโต้กับพายุรอบตัว ดาบ "มุราซาเมะ" ถูกเก็บเข้าฝักไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้วินดัสนิ่งนอนใจ ชายหนุ่มยิ่งเร่งพลังสายลมของเขาให้รุนแรงขึ้นเพื่อตัดกำลัง

    “คนนอกอย่างนาย... จะไปเข้าใจอะไร...” น้ำเสียงมุ่งมั่นหนักแน่นหากเศร้าสร้อย ออกมาจากริมฝีปากของฮายาเตะ

    “จริงอย่างที่ใคร ๆ ก็พูด คนอย่างฉันเป็นคนหยิ่งจองหอง หัวดื้อ น่ารำคาญ ชอบเที่ยวโอ่ว่าตัวเองแน่อยู่เสมอ แม้ว่าความจริงอันโหดร้ายจะปรากฎตรงหน้า ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด แต่ก็ไม่อยากที่จะยอมรับมัน... พ่อแม่ก็ตายตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ไหนจะท่านอาจารย์คาโอรุ ทุกคนในสำนัก ไม่สิ ทุกคนในหมู่บ้านที่ฉันอยู่... ต้องถูกเจ้าปีศาจนั่นฆ่าตาย โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้"

    “แค่ล้างแค้นให้ทุกคนยังทำไม่ได้ แถมเกือบเอาชีวิตไม่รอด ได้แต่เดินโซซัดโซเซไม่รู้ทิศรู้ทาง คิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้วด้วยซ้ำ... แต่ว่า... รู้ตัวอีกที เด็กคนนั้น...อัลรอลเน่...ช่วยฉันเอาไว้ และนั่นคือครั้งแรกที่เราได้พบกัน”

    ชายหนุ่มอดเห็นใจกับเรื่องราวของเด็กสาวไม่ได้ หากในขณะเดียวกัน ลำแสงประหลาดส่องสว่างออกมาจากอกของฮายาเตะ ทำให้วินดัสนึกขึ้นได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดในอีกไม่ช้า และนั่นแหละที่ทำให้เขายิ่งเร่งพลังสายลมหนาวนั้นให้รุนแรงยิ่งขึ้น

    “แม้ภายนอกเด็กคนนั้นจะแสดงท่าทีเย็นชากับคนอื่น ทำตัวเป็นมั่นใจในตนเองไม่ชอบพึ่งพาใคร คล้ายกับฉัน แต่ไม่รู้เพราะแบบนั้นหรือเปล่า อยู่ดี ๆ ฉันถึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกับเธอไปเสียได้” แม้ลมหนาวนั้นจะกรีดแทงร่างกายของเธอจนเลือดหลั่งไหล หากเธอยังคงไม่ยอมแพ้

    “แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เธอก็ช่วยฉันตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่ใช้เส้นสายทำให้ฉันได้เข้าเรียนเพื่อจะแข็งแกร่งขึ้น ไหนจะคอยสอนเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ แต่สำคัญที่สุดก็คือ รอยยิ้มของเธอคนนั้นที่น้อยคนนักจะได้เห็น... ตั้งแต่เจ้าปีศาจฆ่าเพื่อนพ้องของฉันจนหมด ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มแบบนั้นในโลกอีกแล้วด้วยซ้ำ”

    น่าแปลกนัก ในยามนี้พลังของฮายาเตะกลับเพิ่มพูนขั้นมามากกว่าเดิมอย่างน่าสะพรึงกลัว มากกว่าเมื่อครั้งที่ร่วมภารกิจด้วยกันเป็นทวีคูณเลยทีเดียว ทั้งยังมีแสงสีแดงประหลาดที่ออกมาจากหน้าผากอีกด้วย ดูเหมือนว่าพลังสายลมของเขาจะไม่มีผลกับเธออีกต่อไปแล้ว

    “พูดแล้วก็น่าสมเพชตัวเอง แทนที่ฉันจะช่วยอะไรเธอได้บ้างในฐานะเพื่อน อยากปกป้องรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเงียบ ๆ นั่น แต่ก็แทบไม่เคยทำอะไรที่พอจะเรียกว่าเป็นประโยชน์ได้สักอย่าง นอกจากทำให้เธอหนักใจกับฉันมากขึ้นเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เธออุตส่าห์ฝืนอดทนกับคนอย่างฉันแท้ ๆ ... พอถึงเวลาจริง ๆ ฉันกลับปกป้องเธอไม่ได้! ค...คนอย่างฉัน...ไม่ใช่ซามูไรหรอก ไม่สิ อย่างที่คุณอาสึกะว่า.... แม้ในฐานะนักดาบก็พูดได้ว่าสอบตกด้วยซ้ำไป” น้ำเสียงของฮายาเตะในยามนี้ปนสะอื้นและระทมทุกข์ยิ่งนัก วินดัสเห็นใจกับเรื่องราวอันน่าเจ็บปวดไม่น้อย ในขณะเดียวกันก็อดเกรงกลัวในพลังประหลาดของเด็กสาวที่เพิ่งประทุขึ้นมาไม่ได้ หากยังคงนิ่งเฉย

    “ดังนั้น... ถ้ามีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อย... ฉัน... ก็อยากจะขอโทษ แล้วก็อยากแก้ตัว... อยากทำอะไรให้บ้างในฐานะเพื่อน ไม่สิ ยิ่งกว่านั้น เด็กคนนั้นไม่ต่างอะไรกับน้องสาวของฉันคนนึง ดังนั้น เมื่อรู้ว่าเธอตกอยู่ในอันตราย...ฉัน...ฉัน...ฉันจะมามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว!!”

    คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดไปรอบบริเวณนั้น ไม่เพียงแค่พายุลมหนาวเท่านั้นที่ถูกทำลาย แต่รวมไปถึงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักซึ่งโค่นล้มระเนระนาด และตัวของวินดัสเองที่กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เรียกได้ว่าอยู่ไม่ใกล้เลย

    ในมือของ "ดาบใต้แสงจันทร์" หรือทสึกิคาเงะ ฮายาเตะคือศาสตรายักษ์นาม "ซันริวโต" ในยามนี้มันทรงพลังยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ที่เคยผ่านมา ทั้งตัวเธอเองก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ผมบ๊อบสีน้ำตาลในยามนี้เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามสว่างไสว ส่วนดวงตาของเธอกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงและลุกโชติช่วง เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ประหลาดบนหน้าผาก

    เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง ศาสตรายักษ์ในมือของเธอกวัดแกว่งไปมาราวไร้น้ำหนัก วินดัสในยามนี้ทำได้เพียงสะกดความหวาดกลัวเอาไว้ และหลับตาอย่างยอมรับในชะตากรรมของตน ก่อนที่จะ...

    "ริวโอซัน!!"(ดาบสยบราชันย์มังกร)

    ตูม!!

    พลังของดาบนั้นทำให้แผ่นดินถึงกับสั่นสะท้าน ต้นไม้นับสิบที่เคยยืนต้นกลับล้มระเนระนาด ทว่าวินดัสซึ่งไม่น่าจะรอดชีวิตจากการโจมตีนี้กลับไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก นอกเหนือจากความบอบช้ำที่ได้มาจากการกระเด็นไปกระแทกต้นไม้จนแทบหัก

    ...หรือว่าฮายาเตะฟันพลาด...

    "อย่าขวางทางฉันอีก" น้ำเสียงเย็นชาและหนักแน่นของฮายาเตะดังมาจากเบื้องหลังของชายหนุ่ม ศาสตรายักษ์ของเธอหายไปแล้ว เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ประหลาดบนหน้าผาก

    ...ฮายาเตะ... เธอเป็นตัวอะไรกันแน่...

    "ฮายาเตะ... เธอสอบผ่าน จะไปช่วยคุณอัลรอลเน่กับคุณอาสึกะที่เดบลิสก็ตามใจ" หลังจากที่ได้เห็นเธอสำแดงพลังเช่นนี้ วินดัสเองก็จนหนทางรั้งไม่ให้ฮายาเตะไปตายฟรี จึงทำได้เพียงยอมจำนนให้กับเธอ

    "ขอบใจ แต่ฉันไม่มีเวลาแล้ว" เด็กสาวตัดรอนอย่างเย็นชา ทว่าดูเหมือนว่าเธอจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

    "ว่าแต่... ในฐานะที่นายเป็นนักเดินทาง ฉันต้องการทางลัดที่จะไปถึงเดบลิสให้เร็วที่สุด ดังนั้น..."

    "นายต้องพาฉันไปทางลัดนั่น" ฮายาเตะเอ่ยอย่างหนักแน่นและจริงจัง

    วินดัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะตอบรับอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าเขาจะรู้ทางลัดนั้นจริง แต่นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากให้เกิด

    ...ทำไมฉันถึงต้องมีอะไรติดพันกับยายเถื่อนนี่ดัวยนะ...

    แล้วทำไมช่วงนี้ฉันถึงต้องเจอคนแปลก ๆ บ่อยอย่างนี้...

    แต่ผมเองก็ใช่ว่าจะธรรมดา... ใช่ไหมครับคุณแอเรียล...

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ขณะเดียวกัน ที่เดบลิส ณ บริเวณประตูทางเข้าระหว่างหุบเขา

    “เฮ้อ เบื่อชะมัด ต้องมามัวอยู่เฉยแบบนี้เนี่ย” หญิงสาวในชุดจอมคาถาร้องบ่นด้วยอารมณ์หงุดหงิด เนื่องจากเธอเฝ้าแถวนี้มาหลายวันแล้ว นอกจากเธอก็มีเพียง กองทหารปีศาจที่เธอเรียกออกมาจำนวนหยิบมือสำหรับข่มขู่ผู้บุกรุกหรือแขกไม่ได้รับเชิญที่ไม่น่าจะมี

    แล้วก็ เจ้าหมอนั่น เจ้าคนที่ดูเหมือนทางจักรวรรดิจะส่งมาให้สังเกตการณ์ร่วมกับเธอ เจ้าคนชุดดำไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่น ทำตัวเงียบ ๆ น่าหมั่นไส้ จะคุยอะไรสักหน่อยก็ไม่ยอมพูดด้วยอีก

    และวันนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ เพราะหมอนั่นยืนอยู่บนกำแพง มองไปทางด้านตรงข้ามกับเมืองตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เห็นแล้วเธออยากให้นักธนูปีศาจสอยหมอนั่นตกลงมาให้ดิ้นดับไปซะเลย

    ถ้าเธอทำได้น่ะนะ

    แต่อาจเป็นโชคดีของหญิงสาวแล้วกระมังที่ไม่รู้อะไร เพราะขณะที่บุรุษปริศนาผู้นั้นยืนมองผ่านช่องว่างหุบเขานั้น ไม่มีผู้ใดเลยที่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มกระหยิ่มเล็ก ๆ นั่นผุดขึ้นบนใบหน้าที่ดูซีดเผือกราวกับคนตาย ซึ่งขัดแย้งกับสีผมน้ำเงินเข้มและเครื่องแต่งกายสีดำสนิท

    “ในที่สุด เธอก็เป็นฝ่ายมาหาชั้นอีกครั้งจนได้นะ ทสึกิคาเงะ ฮายาเตะ หึหึหึ”

    เสียงหัวเราะเบา ๆ ของชายหนุ่มนั้น แต่ชวนให้ขนลุกราวกับเสียงหัวเราะของปีศาจร้ายจากความมืดมิด


    ---

    สีดำคือของอาร์ควินด์ สีแดงคือของริวเน่พะยะค่ะ

    เขียนฉากบู๊เหนื่อยจริง(แต่พลอตออริดันมีแต่แฟนตาซี = =) ก็เลยต้องให้ริวเน่ช่วยครึ่งนึง

    ปอลิ้ง. กระทืบไลค์ให้กับวาเลียหลับปุ๋ย+กลิ่นวาย = =b

Share This Page