[Valentine] บันทึกรักแรกเมื่อยามอินทนิลผลิใบ

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 12 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ===============================================
    บันทึกรักเมื่อยามอินทนิลผลิใบ
    Azemag A.C. McDowell
    ===============================================



    "ขอโทษนะ... อ้อมคงคบกับนพไม่ได้หรอก ขอบคุณนะสำหรับความรู้สึกที่ดีๆ"

    นั่นคือประโยคที่เธอตอบกลับมาเมื่อครั้งที่ผมรวบรวมความกล้าไปสารภาพรักกับเธอ มันช่างน่าผิดหวังเสียนี่ แต่ถึงอย่างไรผมก็เอ่ยปากบอกความในใจให้เธอรับรู้ไปแล้ว ถึงครั้งนี้จะยังทำให้เธอตัดสินใจคบกับผมไม่ได้ แต่ครั้งหน้ามันจะต้องสำเร็จ!!


    "ไงวะ ไอ้นพ ได้ข่าวว่าไปบอกรักอ้อมห้องหนึ่งมาเหรอวะ?" เสียงยียวนกวนประสาทของ ‘ไอ้โน๊ต’ ดังลั่นพร้อมกับเท้าขวาที่ก้าวเข้ามาในห้อง เสียงดังแบบนี้คงจะได้ยินไปทั้งห้องแล้วนั่นแหละ

    "หาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!" เสียงร้องอุทานอย่างไม่เชื่อในเสียงที่พึ่งทะลุเข้ารูหู แปลสัญญาณคลื่นเป็นสัญญาณไฟฟ้าโดยหูชั้นนอกผ่านหูชั้นกลางและหูชั้นในส่งไป ถึงสมองและตอบสนองในชั่วเสี้ยววินาทีจากคนทั้งห้อง

    "แดกแห้วมาละเซ้" เสียงของ 'สุ' หน่วยกล้าตายประจำห้อง อีสาวปากจัดอันดับหนึ่งประจำชั้นเปิดประเดิมมาก่อนเพื่อน
    "ชัวร์ป๊าปแน่นอน" 'อ๊อฟ' หญิงแก่นประจำห้องอีกคนหนึ่งที่กำลังกวาดพื้นอยู่หลังห้องสำทับซ้ำมาอีกดอก
    "ไม่เจียมตัวเลยนะ นพ" 'เบิร์ด' สาวตาคมผมยาวที่กำลังนั่งลอกการบ้านอยู่ถึงกับอดรนทนไม่ไหวขอมีส่วนร่วมสักนิดก็ยังดี
    "นพพพพพพพพพ! นอกใจปุ้ยเหรอ?" 'ปุ้ย' สาวร่างสูงโปร่ง ผมยาวมัดหางม้าที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับนกส่งเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับรีบ วิ่งมาเกาะแขนเป็นนัยว่าโกรธที่ผมไปสารภาพรักกับสาวห้องหนึ่งมา


    "พวกแกนี่... แทนที่จะสงสารเพื่อน ดันไปซ้ำเติมมันอีก มิน่าละถึงหาแฟนไม่ได้สักที" 'เบสท์' หนุ่มหน้ามน ลูกชายคนเดียวของร้านต้มเลือดหมูอันดับหนึ่งแห่งตลาดสุโขทัยอุส่าห์มีน้ำใจเรียกร้องสิทธิ์แทนผม

    "หุบปากไปเลยไอ้เบสท์!!!" สี่สาวประสานเสียงในโทนเสียง Soprano มาแบบพร้อมใจกัน ก็สมควรอยู่หรอกนะ

    "อือ โดนปฏิเสธมาน่ะ ก็คิดไว้อย่างงั้นอยู่แล้วละนะ" ผมตอบเพื่อนๆไป

    "โถๆๆ อ้อมมันตาต่ำมาหักอกหัวหน้าห้องเราได้ไงกันเนี่ย ไป! เรณู ไปตบสั่งสอนมันกันเหอะ" 'เจี๊ยบ' สาวผิวคล้ำผมหยิกลุกขึ้นมาลากข้อมือเพื่อนสาวที่แสนจะอ่อนแออย่าง 'เรณู' ให้ลุกตามเธอ ท่าทีฮึดฮัดเอาเรื่องเต็มที่ แต่ก็พอจะดูออกหรอกนะว่าไม่ได้เอาจริง

    "ก็ไอ้ทอมห้องหนึ่งมันก็จีบอ้อมอยู่ไม่ใช่เหรอวะ มึงก็รู้นี่ไอ้นพ" 'พี' เพื่อนคนแรกของผมหลังจากที่ผมย้ายจากกรุงเทพฯมาเรียนต่อมัธยมปลายที่ ณ โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคมแห่งนี้ หันมาถามผม

    "ก็รู้น่ะสิวะ แต่ก็เรื่องของมันดิ อ้อมจะเลือกใครก็ให้เค้าตัดสินใจเอง เท่าที่กูรู้จากไอ้แบงค์ อ้อมก็บอกปัดไอ้ทอมไปเหมือนกันนั่นแหละว่ะ"



    “กิ๊ง ก่อง~!”


    “ไปเว้ย ไปเข้าแถวกันเหอะ” ผมรีบอาศัยสัญญาณเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติตัดบทเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่เพื่อนๆจะรุมถามรุมแทะผมเละจนไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแน่ๆ ขอบคุณระฆังช่วยชีวิต

    อาคารเรียนห้องชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่อยู่ ที่อาคารหก โดยที่ห้องหนึ่งถึงห้องห้าอยู่ชั้นสามและห้องหกถึงสิบอยู่ชั้นสอง ราวกับว่าเด็กสายวิทย์-คณิต จะอยู่สูงเหนือหัวเด็กสายศิลป์-ภาษา ที่มีแต่เด็กเกเรเกตุง ไม่ค่อยจะสนใจเรียนเท่าไรนัก มาโรงเรียนก็ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียน โดดเรียนไปนั่งอัดกัญชาหลังโรงเรียนแล้วก็เล่นปั่นแปะกันตรงกอไผ่อันเป็น สถานที่สำหรับ ‘ขาประจำ’ ของบรรดา ‘เด็กไม่มีหัวทางการเรียน’ นิคเนมที่พวกครูห้องปกครองชอบเรียกกัน

    ระหว่างเดินขึ้นตึก มันช่างบังเอิญเหมาะเจาะเหมือนยูเรก้าค้นพบการแทนที่มวลของวัถตุในน้ำ ไอ้ทอมเดินคู่มากับอ้อมในแถวของเด็กห้องหนึ่งในขณะที่แถวของเด็กห้องแปดของ ผมกำลังตีคู่กันไป ไอ้ทอมหันมาเห็นผมก็หัวเราะหึๆในลำคออย่างผู้ชนะทันทีแล้วก็เดินขยับจากด้าน ซ้ายมือของอ้อมมายังด้านขวาบังไม่ให้ผมมองเห็นอ้อมได้ถนัด อย่างนี้มันจงใจหาเรื่องกันนี่หว่า!

    คาบแรกครูก็โดดซะแล้ว ไปประชุมเรื่องพัฒนาปรับปรุงอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้สนใจหรอก ดูเหมือนจะไปกันเกือบหมดโรงเรียนนั่นแหละ สงสัยจะไม่ได้เรียนทั้งช่วงเช้าแหงๆ ช่วงบ่ายก็พาลจะไม่ได้เรียนไปด้วย เด็กนักเรียนห้องอื่นก็เริ่มออกมาแกร่วหน้าห้อง เสียงเจี๊ยวจ๊าวเริ่มดังให้ได้ยินเป็นระยะๆ



    “เฮ่ย นพ กูเห็นนะตอนขึ้นตึก ไอ้ทอมมันหัวเราะเยาะมึงนะ” ‘พุธ’ เพื่อนหนุ่มหุ่นมะขามข้อเดียวแต่ใจสูงเสียดฟ้าเปิดประเด็น
    “หยามกันแบบนี้ คงต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้วมั้งว่าเด็กห้องแปดหยามไม่ได้” ‘เบิร์ด’ เพื่อนชายที่ชื่อเดียวกับสาวเบิร์ด มันสูงเป็นเปรตและมีประสบการณ์ต่อยตีมาทั่วคุ้มตำบลเมืองเก่าจนขึ้นชื่อลือชา หัวนิ้วกร๊อกๆท่าทางอยากมีเรื่องเต็มแก่ ไอ้พีนั่งอยู่ข้างๆพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
    “ช่างมันเหอะ กูไม่ใส่ใจหรอก” ผมบอกกับเพื่อนๆพลางโขกหมากรุกหยุดการเคลื่อนทัพหน้าของไอ้เบสท์ไว้ที่แนว ปะทะเส้นรุ้งที่ 17 เหนือ ทำให้มันต้องคิดหนักจนไม่สนใจใน topic ที่เพื่อนๆกำลังคุยกันอย่างออกรส

    “นพจริงจังกับอ้อมป่าวเนี่ย ผึ้งไม่เห็นนพจะซีเรียสหรือเสียใจอะไรเลย” ‘ผึ้ง’ สาวน้อยตัวเล็ก ผิวคล้ำ หนึ่งในกลุ่มเด็กเรียนดีประจำห้องแทรกขึ้นมาแทงใจดำผม บ่อยครั้งที่แววตากลมโตหลังกรอบแว่นสีเงินทำให้ผมไม่เข้าว่าเธอกำลังคิดอะไร อยู่
    “จริงจังดิ ผึ้ง! แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา ผู้หญิงปฏิเสธแล้ว ถ้าไปตามตื๊อแบบน่าเกลียดๆมันก็ดูไม่ดีใช่ไหมละ”
    “อือ มันก็จริงนะ งั้นก็ช่วยไม่ได้ ตัดใจละกันนพ ปุ้ยมันยังรอๆอยู่นะ” ผึ้งกระเซ้าเย้าแหย่ผมพลางพยักเพยิดไปทางปุ้ยที่กำลังหัวเราะร่วนอยู่กับ กลุ่มเพื่อนผู้หญิง จริงๆแล้วก่อนหน้าที่ผมจะรู้จักอ้อมและหลงรักเธอเข้าจังๆ ผมก็กิ๊กๆกั๊กๆกับปุ้ยนี่แหละ แต่เพราะเธอไม่ใช่สเปคผมจริงๆ ผมก็เลยบอกเธอไป แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรซ้ำยังสนิทกันมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ


    ชีวิต ม.4 ผ่านไปไวมากๆ เผลอแปปเดียวก็ขึ้นชั้นม. 5 กันแล้ว ดอกอินทนิลร่วงหล่นแล้วผลิดอกใหม่อย่างงดงามในทุกช่วงปี ในปีที่ผ่านมาหลังจากสารภาพรักกับอ้อมแล้ว ผมมีโอกาสน้อยมากที่จะได้คุยกับเธอแบบส่วนตัว ส่วนใหญ่จะเจอกันเพราะเราทั้งคู่ต่างก็เป็นตัวแทนห้องที่จะต้องมาประชุมด้วย กันอยู่บ่อยๆ แต่กระนั้นผมก็ยังไม่อาจจะเข้าใกล้เธอได้มากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

    ในปีนี้ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำความรู้จักมักคุ้นกับอ้อมให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยถึงจะทำให้เธอรักในทันทีไม่ได้ แต่ถ้าผมยังแสดงความซื่อสัตย์ ความจริงใจและความมั่นคงในความรู้สึกของผมออกไป เธอจะต้องรับรู้มันได้สักวัน

    “อ้อม เย็นนี้หลังประชุมว่างไหม?” ผมรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปถามเธอ
    “ก็ว่างนะ มีอะไรรึเปล่า?”
    “ก็... แค่อยากคุยด้วยน่ะ อ๊ะ! สบายใจได้ ไม่ใช่เรื่องแบบคราวนั้นหรอกนะ” ผมรีบออกตัวไว้ก่อน กลัวว่าเหตุการณ์คราวก่อนจะทำให้กำแพงระหว่างผมและเธอสูงขึ้นไปอีกหลายเมตร ทั้งๆที่ปกติมันก็สูงจะแย่อยู่แล้ว
    “อื้อ ก็ได้นะ ว่าจะคุยกับนักเรียนดีเด่นประจำโรงเรียนเรื่องสอนเอนทรานซ์สักหน่อย” เธอยิ้มแหย่ผม ทำเอาผมแทบละลายไปกับยิ้มของเธอ ณ เวลานั้นเลย

    วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด ได้คุยกับเธอหลายๆเรื่อง ได้รู้จักเธอมากขึ้นทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องที่บ้าน ของชอบ-ของไม่ชอบ ในขณะที่เธอก็เป็นกันเองมากๆ ถามอะไรก็ตอบหมดอย่างไม่มีปิดบัง และผมเองก็เล่าเรื่องราวเมื่อสมัยผมยังเรียนอยู่กรุงเทพฯให้เธอฟัง ผมแอบสังเกตุจากแววตาที่เป็นประกายของเธอเมื่อผมเล่าว่ากรุงเทพฯเป็นยังไง สถานที่ไหนอยู่ตรงส่วนไหนและมีอะไรบ้าง เธอก็คงเหมือนเด็กต่างจังหวัดคนอื่นที่ไม่เคยไปกรุงเทพฯจึงแสดงออกทางอารมณ์ อย่างเด่นชัดว่าตื่นเต้น


    แหม! เกือบจะลืมเรื่องสำคัญไป ใครที่ยังนึกไม่ออกว่า ‘อ้อม’ มีหน้าตาเป็นยังไงถึงทำให้ผมหลงรักได้ถึงขนาดนี้ละก็ ลองจินตนาการถึงเด็กผู้หญิงม.ปลายตัวเล็กๆ สูงราว 150 เซนติเมตร แต่รูปร่างกระทัดรัดคล่องตัว ผมยาวประบ่าหยักศกเล็กน้อยปลายผมโค้งมนไปตามไหล่ แขนขาเล็กเรียวได้รูป มือขนาดกระทัดรัดดูท่าทางอ่อนนุ่ม ผิวขาวราวกับสำลี ใส่เหล็กดัดฟันสีส้ม มีกิ๊บติดผมมาตรฐานเด็กมัธยมปลายทั่วไปหนีบผมส่วนหน้าให้อยู่ในแนวเดียวกัน ใบหน้าเรียวยาวแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ ปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโตสุกใสแฝงด้วยความขี้เล่นและเอาจริงเอาจัง นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนมีความรู้สึกประหลาดที่สะกดใจคนที่เผลอสบตาด้วย

    อา... แค่คิดถึงเธอก็สุขใจแล้ว


    หลังจากวันนั้น ผมมีโอกาสได้คุยกับเธอในช่วงหลังเลิกเรียนหลายต่อหลายครั้ง นั่งคุยกันเรื่องทั่วไปบ้าง เรื่องเรียนบ้าง เอาการบ้านมาทำด้วยกันบ้าง ถึงผมจะช่วยเธอทำการบ้านวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสังคมหรือภาษาอังกฤษละก็สบายมาก อ้อ! มุมโปรดของผมคือด้านหลังห้องสมุดประจำโรงเรียนที่จัดเป็นลานกิจกรรมเต็มไป ด้วยโต๊ะม้าหินอ่อนจำนวนมาก ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ก็จะมาอ่านหนังสือหรือนั่งคุยกันตรงบริเวณนี้อยู่แล้ว

    ช่วงแรกๆที่ผมอยู่กับอ้อม สารภาพตามตรงว่าผมแทบจะไม่สนใจโลกภายนอก ไม่รับรู้ว่านักเรียนคนอื่นๆทำอะไรกันอยู่ เหมือนมีเพียงโต๊ะม้าหินอ่อนของเราเท่านั้น แต่หลังจากผ่านสอบกลางภาคไป ผมพบว่าเหมือมีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องมาจากบนระเบียงชั้นสามของอาคารหก ที่อยู่ด้านหลังห้องสมุด ผมพบในที่สุดว่าต้นตอของความรู้สึกนั้นถูกส่งผ่านมาจากดวงตาของ ‘ทอม’ ที่ยืนมองผมกับอ้อมจากบนระเบียง แต่ผมก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับเขา เพราะต่างคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกของแต่ละคนที่มีให้อ้อมนั้นเป็น อย่างไร

    “วันนี้ขอบคุณนพมากเลยนะ ช่วยทำการบ้านภาษาอังกฤษให้อีกแล้ว” อ้อมชวนผมคุยระหว่างเดินจากห้องสมุดไปยังประตูหน้าโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน
    “ไม่หรอก อ้อมก็ช่วยนพทำเลขเหมือนกันน่ะหละ ไม่ไหวจริงๆ นพเกลียดเลขมาตั้งแต่ม.ต้นละ”
    “ฮะๆๆ นั่นสินะ สอนไปเท่าไรไม่จำเลย” อ้อมแหย่ผม ยิ้มด้วยสีหน้าสดชื่น ผมเองก็เช่นกัน


    “บรืนนนนนนนนนนนนนนน!!” เสียงจากท่อไอเสียของ honda wave s 120 ดังมาจากด้านหลัง เราทั้งสองหันไปตามที่มาของเสียง... ‘ทอม’ นั่นเอง

    “อ้อม กลับด้วยกันเถอะ เดี๋ยวเราไปส่งเอง นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย” ทอมอาสาพาอ้อมไปส่งที่บ้านต่อหน้าต่อตาผม
    “แต่...” อ้อมพยายามปฏิเสธ แต่ทอมก็แทรกขึ้นมาก่อน “กลับบ้านเย็นเดี๋ยวแม่เป็นห่วงนะ เย็นมากแล้วด้วย รถสองแถวจะหมดรึเปล่าก็ไม่รู้ เฮ่ย! นพ ไม่ว่ากันนะ” อื้อหือ แมนจริงๆ หันมาขออนุญาตผมด้วย แล้วผมจะไปว่าอะไรมันได้
    “เออ! ไปส่งอ้อมเหอะ เดี๋ยวรถหมดจริงๆจะแย่” ผมตอบมันกลับไปทันควันเหมือนกัน ใจจริงไม่ได้อยากให้มันไปส่งหรอก แต่ก็กลัวรถหมดจริงๆนั่นแหละ ทำไงได้
    “อ้อมกลับบ้านดีๆนะ” ผมบอก หลังจากที่อ้อมขึ้นนั่งซ้อนท้ายเรียบร้อยแล้ว เธอบอกกับผมว่า “อื้อ เจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมพยักหน้าสัญญาเธอ

    มองดู honda สีน้ำเงินเข้มจากไปพร้อมกับผู้หญิงที่ผมชอบกับผู้ชายอีกคนที่ชอบเธอเหมือนกัน


    มันรู้สึกปวดแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูก



    “อาโก นพขอมอ’ไซด์ขับไปโรงเรียนได้รึเปล่า?” เย็นวันนั้นผมถามญาติที่รับผมมาอุปการะส่งเสียเล่าเรียน เพราะครอบครัวผมมีปัญหา ธุรกิจรับทำป้ายโฆษณาติดริมทางด่วนที่พ่อลงทุนทำไว้ก็เสียหายจากพิษเศรษฐกิจ ปี 2540 ญาติคนนี้มีศักดิ์เป็นน้องสาวของพ่อซึ่งก็คือ ‘คุณอา’ แต่ผมเรียกตามศัพท์นับญาติทางจีนที่เขาให้ผมเรียก

    “อะไรกัน ส่งเสียไปเรียนก็หมดเงินไปตั้งเยอะ นี่ยังจะเอามอเตอร์ไซด์อีก นั่งรถสองแถวไปโรงเรียนมันไม่สบายตูดรึไง?” นั่นไง ผมว่าแล้ว มันต้องมาอีหรอบนี้จนได้
    “พ่อ มึงอยู่กรุงเทพฯก็ทำงามหน้า เมาไปตีหัวเค้าแตก เสียเงินเสียทองไกล่เกลี่ยไปไม่รู้เท่าไร สองวันก่อนเพิ่งจะโทร.มาขอเงินเอาไปเปิดบ่อน เจิรญนัก เรื่องดีๆละพ่อมึงทำไม่เป็นหรอก ยังมีหน้ามาขอมอเตอร์ไซด์อีกเหรอ อ้าว นั่นจะไปไหน”
    “อ่านหนังสือเตรียมสอบ” ผมลุกหนีบทสนทนาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เสียงก่นด่ายังคงตามมาจากชั้นล่างไม่ขาดสายถึงแม้ผมจะเข้าห้องไปแล้วก็ตามที

    เดิมที ผมก็ไม่ใช่ว่าอยากจะมาอยู่กับญาติคนนี้หรอกแต่เพราะความจำเป็นมันบังคับ แต่... คำว่าญาติมันก็แค่คำบังหน้า อาผมแต่งงานกับพ่อหม้ายลูกครึ่งจีนเมื่อตอนแก่นับได้ว่าเป็นเมียคนที่สอง เวลาที่ญาติและหลานๆสายตรงของ ‘โกตัน’ สามีอาโกของผมมาที่สุโขทัย ผมราวกับเป็นประชากรชั้นสอง ต้องคอยล้างกองพะเนินของถ้วยชามที่พวกเขากินกันให้เสร็จก่อนแล้วผมถึงจะได้ มีโอกาสลิ้มรสข้าวเย็น ต้องคอยล้างห้องน้ำทั้งเช้าทั้งเย็นจาการใช้งานของพวกเขา ต้องวิ่งรอกซื้อของที่พวกเขาอยากได้ตามแต่จะสั่ง ดึกดื่นแค่ไหนถ้าอยากได้อะไรไม่สำคัญที่เวลาแต่ผมต้องหามาให้ได้ เมื่อพวกเขาไปเที่ยวห้างกันในตัวเมืองพิษณุโลกผมต้องคอยเฝ้าร้ายขายของอยู่ คนเดียว เสื้อผ้าของพวกเขาเหล่านั้นผมเป็นคนไปรับ-ส่งจากร้านซักรีด ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมทุกเช้า เมื่อพวกเขากลับ สิ่งที่รอคอยผมอยู่คือผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ที่ผมจะต้องซักทำความสะอาด ห้องหับที่รกยุ่งรอให้ผมเข้าไปจัดการเก็บกวาดเช็ดถู ฯลฯ

    “เฮ่อออออออ” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ล้มตัวลงนอนบนเตียง ไม่อยากจะรับรู้ ไม่อยากจะจดจำอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีกำลังใจและมีความสุขเมื่อหวนคิด คือ ‘อ้อม’


    “นพ? เป็นอะไรรึเปล่า ดูไม่ค่อยดีเลยนะ มีอะไรไม่สบายใจเหรอ?” อ้อมถามขึ้นระหว่างที่ผมกับเธอนั่งทำการบ้านด้วยกัน
    “เปล่าหรอก คิดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมโกหกเธอไปเพราะไม่อยากให้เธอมารับรู้เรื่องที่ไม่จำเป็น


    “โกหก!”
    “คิดว่าอ้อมรู้จักนพมากี่เดือนกี่ปีแล้ว?”

    “คนที่มีความรู้สึกดีๆให้กัน เค้าไม่โกหกกันหรอกนะ”


    ราวกับน้ำเย็นที่สาดเข้าหน้าผมอย่างจัง ดูเหมือนว่าการโกหกของผมจะเป็นพฤติกรรมร้ายแรงที่อ้อมรับไม่ได้ ผมนี่โง่จริงๆ ทำไมผมถึงไม่เล่าให้เธอฟังตั้งแต่แรก ทำไมผมถึงปฏิเสธความห่วงใยความหวังดีของเธอที่มีให้ผม ท้ายที่สุดผมก็เล่าให้เธอฟังทุกอย่าง เรื่องของพ่อแม่ เรื่องของตัวผมเองสมัยม.ต้นที่ทำไม่ดีต่างๆนานาเอาไว้อย่างไม่ปิดบังอีกต่อ ไป รวมถึงต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่สบายใจก็เพราะผมอยากได้มอเตอร์ไซด์สักคันเพื่อเอาไว้ส่งเธอกลับบ้าน



    “นพ อ้อมไม่ได้อยากให้นพขับรถไปส่งอ้อมที่บ้านหรอกนะ”
    “เรื่อง ที่ผ่านมาแล้ว อ้อมไม่สนใจหรอกว่านพจะทำไม่ดีอะไรไว้ อ้อมรู้แค่ว่า ตอนนี้ นพเป็นคนที่เรียนเก่ง ทำงานให้ครูให้กับโรงเรียน นพเป็นคนดีคนนึงนะ”
    “เรื่องรวยจนอะไรนั่นไม่สำคัญหรอก คนเราเลือกเกิดไม่ได้”

    “ถ้าบ้านนพรวย มีทุกอย่าง อ้อมจะได้เจอนพเหรอ?”
    คำพูดนี้ทำให้ทุกอย่างในใจผมกระจ่างชัด คลี่คลายทุกปมความคิดติดลบของตัวเองออกไปจนหมดสิ้น
    ผมเข้าใจแล้วว่า “ทำไมผมถึงรักเธอ”


    ในช่วงงานเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่ปีนี้จัดขึ้นหลังห้องสมุดมีกิจกรรมร้องเพลง เล่นกีตาร์ในสไตล์โฟล์กซอง ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่า ผมจะสารภาพรักกับเธออีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่เป็นเสียงเพลงที่ผมตั้งใจแต่งขึ้นเพื่อเธอคนเดียว ผมแอบไปเตี๊ยม ‘แอร์’ เพื่อนอีกคนที่ผมรู้จักในห้องหนึ่งให้ช่วยพาอ้อมมาที่เวทีให้ได้ แอร์สนิทกับอ้อมในระดับหนึ่งและรู้จักกับผมพอสมควรจึงรับปากว่าจะพยายามทำ ให้ แต่ในวันงานจริงๆมันไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะทั้งเธอและผมต่างก็วุ่นกับงานที่ครูมอบหมายให้ช่วย ถึงกระนั้นผมก็ยังมั่นใจพอสมควรเพราะไปล็อกเวลาช่วงสุดท้ายของกิจกรรมร้อง เพลงไว้แล้วว่าผมขอไว้ ยังดีหน่อยที่ครูเห็นใจที่ผมทำงานมาทั้งวันเลยปล่อยให้ผมไปสนุกในช่วงสุด ท้ายของวัน แอร์แอบมาพบผมเพื่อถามว่าพร้อมไหม ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าลุยตามแผนเท่านั้น

    ผมไปนั่งรออยู่ ด้านข้างเวที ทำเหมือนว่ามาดูแลความเรียบร้อย ผมเหลือบมองไปเห็นแอร์พาอ้อมมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนพร้อมกับเพื่อนผู้หญิง จากห้องหนึ่งอีกสองสามคน ok! ทุกอย่างพร้อมแล้ว หลังจากรุ่นน้องม.4 ร้องเพลงจบ ผมหันไปส่งซิกให้แอร์ แอร์ส่งซิกกลับมาตามนัดหมาย ผมขึ้นเวทีไปเซ็ตกีตาร์กับเพื่อนอีกคน แอร์ลุกเดินออกมาหน้าเวทีหยิบไมค์ไปพูด

    “งานกิจกรรมวันวาเลนไทน์ ปีนี้ใกล้จะจบแล้ว แต่งานยังจบไม่ได้ถ้าขาดโชว์สุดท้ายจากเพื่อนของเราคนหนึ่ง ที่จะส่งมอบความรู้สึกดีๆที่มีเป็นพิเศษให้กับเพื่อนของเราอีกคนหนึ่ง เชิญค่ะ”

    ผมสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติกับสิ่งที่จะทำต่อไป มือกีตาร์คู่หูให้สัญญาณมือว่าพร้อมแล้ว มองหันไปมองที่อ้อม เธอเองทำท่าเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน



    มอง แค่ได้มองเห็นกัน
    ฉันก็คงได้ชื่นใจ
    แม้ความรู้สึกในใจ อาจจะมากมายกว่านั้น

    เรา เป็นเพียงแค่เพื่อนกัน
    ฉันก็รู้และเข้าใจ
    แต่รักที่เคยมีให้ไป ไม่มีวันใดที่ลดลง

    แค่อยากให้รู้ ไม่ว่าจะนานเท่าใด ยังมีหนึ่งใจดวงนี้ที่มันคง
    ถึงแม้จะเจ็บจะเหงาเท่าใด ก็เต็มใจที่จะอดทน
    ขอเป็นหนึ่งคนที่ดูแลเธอ ด้วยหัวใจ

    เพื่อนกัน จะจำจะเก็บไว้
    เข้าใจเหตุผลที่เธอมี แค่ขอยืนมองเธอตรงนี้
    เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอไป




    หลังจากร้องเพลงจบ เสียงปรบมือดังกึกก้องจากรุ่นพี่ รุ่นน้อง ผองเพื่อนและครูที่อยู่โดยรอบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมปิติที่สุดก็คือ ‘น้ำตาแห่งความดีใจที่หลั่งรินออกมาจากใจผ่านทางนัยน์ตาของเธอ’ อ้อมลุกขึ้นจากที่นั่งเดินตรงมาที่ผม ผมวางกีตาร์ลงและหยิบช่อดอกกุหลาบสีแดงสดที่เตรียมไว้ โผกระโจนลงจากเวทีไปรับเธอ

    “เพลงเพราะดีนะ”
    “ร้องให้ฟังบ่อยๆได้ไหม?”

    เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำ ยื่นมือเป็นสัญญาณให้ผมส่งดอกกุหลาบให้เธอ
    ในที่สุด สิ่งที่ผมปราถนาไว้ก็กลายเป็นจริงแล้ว

    หลังจากวันนั้น เราสองคนตกลงเป็นแฟนกันในเงื่อนไข ไม่มีความลับต่อกัน ไม่โกหกซึ่งกันและกัน และขอให้รักกันตลอดไป



    เรื่องราวเหมือนจะจบลงด้วยดี พักเที่ยงวันหนึ่งระหว่างที่ผมนั่งโขกหมากรุกอยู่กับเพื่อนๆในห้องแปด ทอมและเพื่อนห้องหนึ่งและห้องสองประมาณสิบคนมาที่ห้องแปด

    “วันนี้เลิกเรียน มึงกับกูไปคุยกันที่หลังตึกใหม่ ใครไม่ไปเป็นหมา ไม่ต้องโผล่หน้ามาเจออ้อมอีก”
    “กูว่าไม่ต้องรอถึงตอนเย็นหรอก ตอนนี้ ตรงนี้เลยดีกว่า” ไอ้เบิร์ดที่อยู่หลังสุดของวงหมากรุก กระโดดออกไปอย่างไวพร้อมกับปรี่เข้าไปหาไอ้ทอม แต่ ‘โข’ เพื่อนของทอมที่รูปร่างสูงใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเบิร์ดเข้ามาขวางไว้ก่อน ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจบอกเบิร์ดให้ถอยออกมา “ปัญหาของกู กูเคลียร์เอง” พร้อมกับเดินเข้าไปประจันหน้ากับทอม

    “อุส่าห์มาบอกเองถึงที่ ถ้ากูไม่ไปก็คงไม่ได้สินะ... หลังเลิกเรียน มึงกับกูเจอกัน”

    มันกับผมยืนจ้องหน้ากันพักใหญ่ ก่อนที่ทั้งหมดจะล่าถอยกลับไปชั้นสาม พวกผู้หญิงในห้องถอนหายใจโล่งกันเป็นแถบคิดว่าจะได้เห็นเลือดกันก็คราวนี้ แอร์ที่รู้เรื่องทีหลังรีบมาหาผมที่ห้องพร้อมกับห้ามไม่ให้ผมไป เพราะรู้ดีว่างานนี้จบไม่สวยแน่ๆ ดีไม่ดีจะบานปลายกลายเป็นปัญหาระหว่างห้องไปอีก

    “นั่นดิ นพไม่ต้องไปหรอก ถ้าเกิดมีเรื่องขึ้นมา ไอ้ที่นพทำดีไว้ก็หมดกันเลยนะ ครูที่เคยเชื่อว่านพจะไม่เกเรไม่ก่อเรื่องเหมือนคนอื่นๆ เค้าจะผิดหวังแค่ไหน ไหนจะที่บ้านนพอีกถ้าเรื่องแดงขึ้นมา ที่สำคัญ ‘อ้อม’ จะเสียใจรู้รึเปล่า?” ผึ้งร่ายยาวมาเพื่อห้ามไม่ให้ผมไป แอร์ก็เห็นด้วย



    “ไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องไป จะเกิดอะไรก็ช่างมัน จะต่อยกันหรือจะคุยกัน อย่างน้อยก็ต้องไปก่อน”

    สัญญาณ กริ่งดังบอกว่าหมดคาบเรียนสุดท้าย และได้เวลากลับบ้านของนักเรียนคนอื่นๆ แต่สำหรับผมในวันนี้ สัญญาณนี้มันหมายถึงสิ่งสำคัญที่ผมจะต้องไปทำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    ผมไปตามสถานที่นัดหมาย แน่นอนว่าเพื่อนในห้องไม่ยอมให้ผมไปคนเดียว พวกไอ้เบิร์ดไอ้พุธเตรียมฟุตเหล็กไว้เรียบร้อย ไอ้พีก็เอาสนับมือมาใส่พร้อมจะลุยเต็มเหนี่ยว ฝั่งโน้นก็ใช่ย่อย มากันก็หลักสิบแถมถือไม้ทีอันเขื่องโจ่งแจ้งมากว่าไม่กลัวและพร้อมจะมี เรื่องได้ทุกวินาที ผมกับไอ้ทอมเดินไปเจอกันตรงกลางลานหญ้ากันเพียงสองคน ที่เหลือคุมเชิงอยู่ข้างหลังและดูต้นทางเผื่อครูมาเห็น เด็กนักเรียนรุ่นน้องและห้องอื่นที่รู้เรื่องก็มามุงกันเพียบ


    “มึงก็รู้ว่ากูชอบอ้อม แล้วทำไมมึงยังจีบอ้อมอีก” ไอ้ทอมเปิดปากอย่างเอาเรื่องทั้งคำถามและน้ำเสียง
    “มึงจีบอ้อมได้คนเดียวรึไง?” ผมก็สวนไปสิ ไปหงอให้มันข่มก็ใช่ที่
    “มึงทำแบบนี้ ดีดกีตาร์บอกรัก คิดว่ามึงแน่เหรอ?” มันตะคอกถามมาซ้ำ
    “มึงจะเอายังไงบอกมาเลยดีกว่า” ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าการเจรจาไม่เป็นผล และคงจะคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้แน่ๆ

    ก่อนที่จะได้ละเลงเลือดกันสมใจกองเชียร์ที่ยืนมุงและเฮตามคำถามและคำตอบของพวกผม เสียงๆหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลัง ไม่ใช่เสียงของใครอื่นนอกจากคนที่ทำให้ผมและทอมต้องมาเผชิญหน้ากันในวันนี้ ‘อ้อม’ เธอเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆที่ผมและทอมยืนประจัญหน้ากันอยู่ แค่มองดูก็รู้ว่าเธอใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว


    “นี่คิดจะทำอะไรกัน! ตอบมาทั้งสองคนเลย” เสียงเธอสั่นแต่ก็ยังข่มน้ำตาไว้ได้
    “ก็... มาคุยเรื่องที่มันยังตกลงกันไม่ได้” ทอมตอบออกไป แต่ผมยังเงียบ

    “ตกลง? ตกลงอะไร อ้อมคุยกับทอมแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราเป็นได้แค่เพื่อนกัน อ้อมรู้ว่าทอมชอบอ้อม แต่อ้อมไมได้รักทอม อ้อมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เสียงเธอสั่นมากขึ้นและเสียงสะอื้นก็มากขึ้นทุกที

    “ทำไม? ทำไมผู้ชายต้องตัดสินปัญหาด้วยกำลัง ด้วยการชกต่อย เราไม่อยากจะเข้าใจหรอก แต่ถ้าต่อยกันแล้ว คนชนะได้อ้อมไปงั้นเหรอ? คนที่แพ้จะต้องหายหน้าไปงั้นเหรอ?”

    “มันสมเหตุสมผลรึเปล่า? ตอบมาสิ!!” น้ำตามากมายพรั่งพรูร่วงหล่นอาบสองแก้มของเธอ

    “อ้อมไม่ใช่สิ่งของนะ ไม่ใช่ใครชนะก็หยิบไป ใครแพ้ก็ยกให้ อ้อมก็มีหัวใจ มีความร้สึกนะ!” เธอตะโกนออกมาสุดเสียง ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครๆอีกแล้ว

    “ตอบมาสิ!” เสียงเธอดังลั่นไปทั่วบริเวณ แต่ทุกคนเงียบกริบ

    ผมและทอมมองหน้ากันพักหนึ่ง สายตาลดความแข็งกร้าวลงทั้งคู่ ก่อนที่ทอมจะยอมเดินถอยหลังและชี้หน้าพูดใส่ผมก่อนจะเดินจากไปว่า “ถ้ากูรู้ว่ามึงทำให้อ้อมเจ็บ กูเล่นมึงแน่”

    เมื่อหมดคู่กรณีที่จะต่อยกัน ไทยมุงทั้งหลายก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงผมและอ้อมที่ยังจะต้องอยู่คุยกันต่อ วันนั้นเราคุยกันมากมาย แต่ไม่ใช่เพื่อห้ามไม่ให้ผมไปชกต่อยกับใคร หากเป็นเรื่องที่ผมไม่ควรจะปิดบังเธอตามที่สัญญากันไว้ ครั้งนี้ผมผิดไปจริงๆ ผมได้แต่ขอโทษและขอให้เธอยกโทษให้ผม เพียงเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกอย่างก็เป็นปกติ ทอมไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายอะไรกับผมและอ้อม และเราสองคนก็ทำตัวตามปกติ ช่วยงานโรงเรียน ทำการบ้านด้วยกัน เหมือนที่เคยเป็นมาจนวันเวลาผ่านมาจนถึงเทอมสุดท้ายของ ม.6

    ช่วงเวลาสุดท้ายในโรงเรียนของเราทั้งสอง




    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าช่วงสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในช่วงชีวิตของเด็กม.ปลายที่ กำลังจะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างผม จะต้องระเห็จหนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตตามลำพังด้วยตัวคนเดียว เพราะผมไม่อาจจะทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อะไรจะยังไงผมไม่ว่า แต่จะมากดดันให้ผมต้องเรียนตามที่ ‘พวกเขา’ ต้องการแต่กระนั้นก็ยังใช้งานผมเยี่ยงทาสและรบกวนเวลาในการอ่านหนังสือของผม

    ผมไม่ทน!

    ผมออกไปอยู่บ้านเพื่อนคนหนึ่งและหางานทำเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ว่าจะงานอะไรผมก็จะทำ เด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ หรือแม้กระทั่งเด็กเปิด-ปิดม่านในโรงแรมม่านรูดผมก็ทำมาแล้ว ทั้งหมดทั้งปวงไม่สำคัญกับผมเลยขอเพียงผมมีเธอ และเธอเข้าใจผม

    เหตุการณ์ ที่ผมจดจำและทำให้ผมรักเธอมากยิ่งขึ้นไปอีกเกิดขึ้นเมื่อตอนไปติวหนังสือที่ พิษณุโลก เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมความเจริญของภาคเหนือตอนล่างในยุคนั้น ผมและเธอต้องค้างที่นั่นหนึ่งคืนเพราะพวกเราเลิกเรียนกันค่อนข้างจะดึก เธอโทร.ไปบอกที่บ้านว่าจะต้องค้างและที่บ้านก็เข้าใจ ในห้องที่มีเพียงเตียงเดียวมันคงจะไม่เหมาะสำหรับนักเรียนม.ปลายเท่าไรนัก ผมจึงตัดสินใจที่จะนอนพื้นและให้เธอนอนบนเตียง เธอถามว่าทำไมไม่นอนด้วยกันบนเตียงและผมก็ตอบกึ่งจริงกึ่งเล่นไปว่า “ไม่ดีหรอก เดี๋ยวเกิด accident จะลำบาก” เธอได้แต่ยิ้ม เป็นยิ้มที่ผมไม่เข้าใจเลย


    แต่เมื่อตื่นมาผมก็ต้องตกใจ เมื่อเธอยอมลงมานอนข้างๆผมทั้งคืนจนเช้าอย่างไม่รังเกียจ!
    ถ้าผมไม่รักเธอจนสุดหัวใจแล้ว ผมก็คงจะโง่และบ้าอย่างที่สุด



    หลังการสอบเอนทรานซ์ผ่านพ้นไป ผมได้เข้าเรียนที่ม.ธรรมศาสตร์ ส่วนเธอเลือกเรียนที่ม.นเรศวร เราเลือกที่จะไม่เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันเพราะเราสัญญาไว้ว่าเราจะมุ่งเดิน ไปตามเส้นทางความฝันของตัวเองและกลับมาบรรจบกันในภายหลัง ยังไงเสียระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรคของเราสองคนอยู่แล้ว หนึ่งปีในรั้วมหาวิทยาลัยมันก็นานพอสมควร แต่เพราะหัวใจผมกระวนกระวายเกินไปรึเปล่าผมถึงได้รู้สึกว่ามันนานมากๆ ถึงแม้ว่าเราจะติดต่อสอบถามข่าวคราวและสารทุกข์สุขดิบกันอยู่เสมอ แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้พบเธอในช่วงปิดซัมเมอร์

    ตื่นเต้นเหมือนตอนบอกรักครั้งแรก!



    ผมกลับสุโขทัยและนัดเธอเพื่อไปเที่ยวและใช้เวลาด้วยกันหลังจากไม่ได้เจอกันนาน พอบ่ายคล้อยกระเพาะของเราสองคนก็ทวงถามถึงอาหารที่พวกมันควรจะได้รับ เราเดินจูงมือกันไปที่โซนร้านอาหารที่ใกล้ๆ แต่พอใกล้จะถึงร้านผมกลับนึกขึ้นได้ว่าผมต้องซื้อหนังสือออกใหม่ก่อนที่มัน จะหมดไปจากแผง เธอยิ้มเข้าใจและบอกว่าจะจองโต๊ะและสั่งของชอบของผมให้ เธอช่างน่ารักเสียจริงๆรู้ใจผมไปหมดทุกอย่าง













    “เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”



    เสียงล้อยางเสียดสีกับถนนอย่างแรงโดยที่รับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่านี่คือเสียง เบรคของรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสุดกำลัง ผมหันหลังขวับไปตามที่มาของเสียงพร้อมกับเสียงกรีดร้องของใครคนหนึ่ง



    “ช่วยด้วย รถชนคน”




    วินาทีนั้น


    เบื้องหน้าของผม


    เป็นภาพที่ผมไม่อยากเชื่อว่ามันเกิดขึ้น ต่อหน้าต่อตาผม




    อ้อมในชุดเสื้อยืดสีขาวที่ตอนนี้ย้อมเป็นสีแดงฉานด้วยเลือดของเธอเอง นอนแน่นิ่งอยู่กลางถนน ผมกระเซิงไม่เป็นทรง ดวงตาหลับสนิท มือทั้งสองแผ่ราบไปกับพื้นไม่ไหวติง
    ผมปราดเข้าไปหาร่างของเธออย่างไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช้อนเธอขึ้นมาในอ้อมกอด ตะโกนร้องเรียกชื่อเธอสุดเสียงซ้ำไปซ้ำมา
    ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับ ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ ใบหน้าที่เคยขาวผ่องสดใสยามนี้เปื้อนไปด้วยเลือดและฝุ่นดินจากถนน ร่างกายอ่อนยวบไม่มีแรงต้านราวกับกระดูกทั้งมวลแหลกสลาย คอพับไหวไปตามจังหวะการเขย่าจากสองมือของผม






    เธอจากไปแล้ว





    เพียง แค่คล้อยหลังกันไม่กี่วินาทีที่เราพึ่งจะส่งยิ้มให้กัน เพิ่งจะสบตาอย่างรู้ใจซึ่งกันและกัน ผมก็ปล่อยให้เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ




    ไม่สามารถได้ยินเสียงหัวเราะกังวาลของเธอ

    ไม่สามารถสบตาที่สุกใสเป็นประกายของเธอ

    ไม่สามารถโอบกอดร่างที่อ่อนนุ่มอบอุ่นที่บัดนี้เริ่มจะเย็นซีดลง







    ไม่มีวันอีกแล้ว ตลอดไป

    . . . . . . . . . . . . . . . . . .




    เป็นเรื่องที่เขียนไป ร้องไห้ไปจริงๆสำหรับผม
    แค่นึกถึงก็ไม่อาจสะกดอารมณ์ตัวเองได้

    จริงๆตอนแรกก็ไม่อยากเขียน
    แต่มีคนบอกว่าอยากอ่าน ในฐาน editor แห่งบอร์ด All Final Fantasy
    ถ้าท่านอยากอ่าน เราก็จะเขียนให้ท่านอ่าน

    เป็นเรื่องที่ยาว ยาวมากๆด้วย
    พิมพ์ไปยังเหนื่อยไปเลย
    ไม่รู้จะตัดตรงไหน ตัดยังไง
    ไม่มีสักส่วนที่อยากตัดออก อยากจะทิ้ง
    อยากจะเขียนให้มากกว่านี้อีก ไม่อยากตัดจบห้วนๆ
    แต่ไม่ไหวแล้ว
    ทั้งหมดทั้งมวล กลั่นมาจากหัวใจ

    (edit นิดหน่อย มีเพื่อนเก่าขอร้องให้เปลี่ยนชื่อตัวละคร เลยเปลี่ยนน่ะครับ)
  2. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    นายยยยยย...จะบอกว่ามันเยอะมาก ไว้จะตื่นมาอ่านนะ มารับทราบและมาเม้นท์แล้ว

    ท่าทางดราม่ารัวๆ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปซื้อทิชชู่ (เดี๋ยวเลือดกำเดาไหลลลลลล)
  3. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ผมจะไม่วิจารณ์ในแง่ศิลปะการแต่ง เพราะนี่คือประสบการณ์จริง เรื่องราวของความรักของคนๆหนึ่ง มันไม่สำคัญว่าเขาจะแต่งดีแค่ไหน บรรยายเป็นยังไง แต่สิ่งที่ถ่ายทอดออกมา คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ

    เรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด มันคงจะมากเกินกว่าจะเขียนให้หมดได้ ดังนั้นผมจะไม่แปลกใจถ้าหลายๆคนไม่ได้คล้อยตามอารมณ์ ผมเองก็รู้สึกว่าเรื่องช่วงแรกถึงกลางๆเยิ่นเย้อไปมาก ตัวละครก็ออกชื่อมาเยอะแยะทั้งๆที่ไม่มีบทบาทอะไรนัก ส่วนความรักของนพกับอ้อมนั้นก็มีองค์ประกอบน้อยไปหน่อย แต่บทส่งท้ายนี่สิคือแก่นของเรื่องที่แท้จริง

    มันเป็นโศกนาฏกรรมความรักจริงๆ ถ้าผมต้องสูญเสียคนที่รักไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้นผมก็คงจะกรีดร้องเหมือนนพ อุ้มคนๆนั้นมาไว้ในอก เรียกชื่อเธอซ้ำๆไม่ต่างจากนพเช่นกัน

    ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ แล้วก็...ผมหวังว่าอ้อมคงจะได้ไปสู่สุคติแล้ว

    (ส่งท้าย) มีคำพูดคำนึงที่ผมจำมาจากการ์ตูนมีดที่ 13 และชอบมากๆ นั่นคือ

    "การที่ผู้หญิงคนนึงได้เกิดมา และได้รู้ว่าตัวเองเป็นนางฟ้าในใจของใครสักคนนั้น ต่อให้เป็นเพียงแค่วินาทีเดียว มันก็คุ้มค่าที่ได้เกิดมามีชีวิตแล้ว
    เพราะฉะนั้นเวลาน่ะ..ไม่สำคัญหรอก"​
  4. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โอ้วอ่านจบแล้ว อืมดราม่าสินะ แต่อ่านไปก็ทำให้รับรู้ถึงชีวิตเด็กสายสามัญที่ตัวเองไม่เคยได้รู้จัก ในมุมมองเล่าเรื่องออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวแม้อาจจะเว้อนิดๆตามอารมณ์คนเขียน แต่ก็นับว่าเป็นงานที่อ่านสนุกอีกชิ้น

    แม้จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้วแต่อย่างน้อยมันก็เป็นความทรงจำที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตอีกชิ้น เป็นกำลังใจให้สหายก้าวเดินต่อไป
  5. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    อ่านจนจบแล้ว อยากบอกว่า เป็นเื่รื่องที่ทั้งประทับใจ และเศร้าใจรวมอยู่ในเรื่องเดียวจริง ๆ ค่ะ รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้อ่าน ดีกว่าดูละครน้ำเน่าไทยในทีวีเป็นไหน ๆ

    เรื่องภาษาไม่ขอพูดถึง เพราะเราไม่เก่งพอจะวิจารณ์ได้

    แต่สาระของเรื่อง ยอมรับว่า เราเองถ้าเกิดคนที่ตัวเองรักต้องมาตายต่อหน้าต่อตา โดยที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยนั้น เราคงจะสติแตกยิ่งกว่านพเสียอีกค่ะ

    ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ

    นี่เขียนจากประสบการณ์จริงใช่ไหมคะ อ่านแล้วรู้สึกว่า โลกของเรายังเล็กนัก
  6. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ยาวใช่เล่น และดราม่าใช่ย่อยเลย

    แต่อย่างที่พี่อีวานบอกว่ะ ส่วนนึงคือเน้นการบรรยายมากกว่าฟิคที่แล้ว เลยทำให้ขาดอารมณ์ร่วมในบางที่ไป (แต่ก็ดราม่าอยู่ดี)
    ไม่ขอพูดในแง่ศิลปะการแต่งเหมือนกัน
    (โดนพี่อีวานเตะ โทษฐานลอกคอมเม้นท์ ฮาาา)

    จริงๆคือพอเห็นสไตล์การแต่งของเกมแล้ว ก็เลยเริ่มรู้สึกชินขึ้นกว่าตอนอ่านเรื่องที่แล้ว ที่เปิดตัวแรงแซงโค้งเลยนะเออ เพราะงั้นรอติดตามผลงานต่อไปเผื่อจะมีคำวิจารณ์เพิ่มขึ้นอ่ะ

    ปล.พึ่งสังเกตว่าเปลี่ยนชื่อตัวละครแล้ว(อ่านตั้งแต่ฉบับ original นะเออ)
  7. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...เม้นเรื่องการเขียนนะ...
    ...ตัวละครมากเกินไปสำหรับเรื่องสั้น ถึงจะเป็นตัวละครที่มีที่มาจริงๆแต่การที่มีมากเกินไปจะทำให้คนอ่านสับสนแล้วงงๆว่า ไอ้นี่ใครวะ เอ๊ะ แล้วไอ้นี่มากจากไหนวะ เพราะบางคนก็ออกมาแค่ตอนเดียวแล้วหายเลยดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูดถึงก็ได้
    ...แล้วก็ช่วงแรกเวิ่นเว้อเกินไป ทำให้คนอ่านอาจจะเบื่อเพราะไม่เข้าแก่นเรื่องซักที
    ...แต่โดยรวมก็โอเคแล้ว ด้านการใช้ภาษาอะไรพวกนี้ก็ดีแล้ว ประมาณนั้นแหละ...
  8. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    เรื่องของพี่เกม ผมอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก่อนนะครับ

    ส่วนตัวแล้ว เห็นด้วยกับอีวานนี่ ที่เรื่องสไตล์การแต่ง ผมจะไม่ยุ่งเช่นกัน เพราะถ้ามาจากเรื่องจริง บริบทตัวละครมักจะดูขัดกับแบบนิยายซึ่งนี่แหละ ที่ทำให้คนจริงต่างจากมนุษย์

    ในแง่ตัวละครสำคัญมีบทบาทชัดเจนนะครับ แต่จำนวนตัวละครทั้หงมดนับว่ามากเกินไปหน่อย สำหรับเรื่องสั้น จะทำให้คนอ่านจะสับสนในการจินตนาการเวลาอ่าน เพราะจะทำให้ฉากๆนึงมีรายละเอียดมากจนจับโฟกัสจุดสำคัญไม่ได้

    ส่วนที่เห็นชัดคือเรื่องการเว้นบรรทัด ในหลายๆช่วง แม้ว่าจะใช้การบรรยายแบบบุคคลที่1 แต่การที่มันติดกันมากเกินไป จะดูยาวเป็นพรึ้ดๆและไม่สบายตาอย่างมากกรณีอยู่ในบอร์ดออนไลน์นะครับ และ ดูยืดยาวเกินความจำเป็นในการบรรยายบางครั้ง การใช้คำซ้ำในบริบทบรรทัดเดียวกันมากเกินไป จะทำให้อ่านแล้วขัดๆ ซึ่งสามารถปรับภาษาให้สั้นลงได้ เพราะเป็นการบรรยายในความคิดซึ่งจะไม่มีความจำเป็นต้องตรงตามลักษณะการพูดก็ได้

    ส่วนเนื้อเรื่อง ก็ดีมากครับ อ่านแล้วประทับใจในมุมมองของสองคนที่รักในอ้อมเหมือนกัน ในอีกมุมที่เด็กสายสามัญไม่ค่อยเห็น
  9. terasphere

    terasphere Poets

    EXP:
    792
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    38
    ตัวละครที่ไม่มีบทในเรื่องสั้น เอ่ยถึงพาดพิงแบบไม่ออกชื่อก็ได้ครับ
    ประโยคที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกได้ หรือเหตุการร์ที่บรรยายยาว เช่น เรื่องของการเขม่นกันระหว่างสองหนุ่มที่ชอบอ้อม ก็ยุบรวมลงได้
    มาเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่ม bad boy กับสาวแสนดีที่ยอมรับตัวตน และความรักของทั้งสองที่เป็นโศกนาฏกรรมตอนจบให้ขยีหัวใจน้ำตาไหลพรากๆเลยจะเหมาะกว่าถ้าเขียนเป็นเรื่องสั้นจริงๆ

    แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องเล่า วาทกรรมแบบเรื่องสั้นคงต้องยกไว้ก่อน
    งานที่ถอดหัวใจเขียนแบบนี้ผมว่ามันสัมผัสใจได้นะ
  10. Lowe

    Lowe New Member

    EXP:
    134
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตามนั้นเลยครับ ตัวละครเยอะขิงๆ งงโคตรๆ

    เดี๋ยวมาเม้นต่อ

    ต่อ: เกาหลีขิงๆ เชด นึกว่าสายจั๊มป์ ต่อยๆ กันลูกผู้ชาย
    ชื่อเรื่องแบบว่า เอิ่ม...ดราม่าเคลือบสีนี่ฟ่า หลอกตูอ่าน
    สุดท้าย เอ่อ...นี่มันอะไร อารมณ์เหมือนดูมาโดกะมาก หลอกตูอ่านนี่นา

    อยากแปะมั่งแฮะ แต่งแต่นิทานอะ แปะมั่งได้ไหมครับ

Share This Page