[Valentine] ยัยเมดสุดซึนกับนายหื่นสองมิติ

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย derangement, 13 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. derangement

    derangement New Member

    EXP:
    3
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    โพสไม่ค่อยเป็นครับตัวหนังสือเล็ก แถมเป็นเรื่องที่ยาวท่าจะอ่านยากน่าดู m(_ _)m ขออภัยด้วยครับ
    สามารถอ่านผ่าน Google docs ตาม Link นี้ครับ http://goo.gl/vSaCl

    ยัยเมดสุดซึนกับนายหื่นสองมิติ

    เป็นภาพที่แปลก ทำเอาผมเผยอต้องริมฝีปากอออกมาอย่างลืมตัว เมื่อได้เห็นเพื่อนสาวมานั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง เธออยู่ในชุดกีฬารัดรูปสีเข้ม ไม่เคลื่อนไหวอะไรมากไปกว่ากระพริบตา ทรวงอกอิ่มขยับขึ้นลงเล็กน้อยตามจังหวะการหายใจ จนดูเหมือนมีชีวิต
    ผมขยับแว่น ยกขึ้นมองด้วยตาเปล่า ก็พบว่าเป็นเพียงภาพลวงตา
    เสียงสัญญาณเตือนสั้น ๆ ดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบขอโทษขอโพยสวมแว่นกลับไปอย่างเก่า รายละเอียดต่าง ๆ ของเธอเริ่มชัดเจนขึ้นทีละน้อยทั้งที่ก่อนหน้าเป็นเพียงโครงร่างของมนุษย์ “จบขบวนการคัดลอกความทรงจำจากสมอง ต้องการแก้ไข หรือ ยืนยันคะ” เสียงจากแว่นดังขึ้น นี่เป็นเทคโนโลยีที่สร้างคลื่นไฟฟ้ายิงเข้าสู่ระบบประสาท สมองจะแปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เหมือนกับว่าได้ยินเสียงตามปรกติ ดังนั้นจะไม่มีใครได้ยินมันนอกจากผม
    เจ้าของเสียงนี่ยังอธิบายอีกว่า ในทางตรงกันข้าม เธอเองก็ตรวจจับคลื่นสมองของผมเช่นกันดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
    “แก้ไข” ผมพิจารณาภาพเด็กสาวตรงหน้าอย่างละเอียด “เพิ่มจำนวนเส้นผมเธอให้ดูหนากว่านี่หน่อยครับ แล้วก็ยืดความยาวจนถึงเอว อยากให้เส้นผมดูเงางามกว่านี้ แล้วก็ช่วยขยายขนาดหน้าอกอีกนิด ลดเอวลงสักนิ้ว นั่นละครับ ตกลง” ผมยืนยัน
    “จะให้สวมชุดแบบไหนคะ”
    นั่นสิ ส่วนใหญ่ผมเคยเห็นแต่เธอในชุดนักเรียน แต่แค่นั้นเวลาได้เห็นเธอยิ้มหรือเคลื่อนไหวมันก็ดูสดใสน่ารักมากอยู่แล้ว
    “ชุดนักเรียนก็ได้ครับ”
    “ฉันว่าคุณอยากจะให้เธอเปลือยมากกว่า”
    นั่นไง... ผมแค่คิดล้ำเส้นไปนิดเดียวก็ถูกจับผิด
    “มนุษย์มีอิสระในการคิดครับ” ผมระบายลมหายใจ “แต่มันจะถูกกลั่นกรองด้วยปัจจับหลายอย่างเช่น ประสบการณ์ ความเชื่อ ฐานะทางสังคม จนกว่าจะออกมาเป็นการกระทำ” ยิ่งอธิบายก็เหมือนแก้ตัว
    “คะ แต่ฉันไม่อยากเหมือนต้นแบบนัก”
    “ทำไมครับ”
    “คุณจะสับสน แยกแยะไม่ออกว่าจะใช้วิธีสื่อสารแบบไหน”
    ผมคิดตาม พยักหน้าเห็นด้วย การแต่งตัวให้แตกต่างน่าจะเป็นวิธีแยกแยะที่ชัดเจนที่สุด ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เดินไปที่เตียงนอน เหมือนเธอจะตรวจจับความคิดของผมได้ ภาพเสมือนของเพื่อนร่วมห้องลุกขึ้นยืนและเดินถอยห่าง ทุกอย่างสมจริงเสียจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นภาพลวงตา โดยเฉพาะกลิ่นหอมเฉพาะตัวนั่นทำเอาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
    “ไม่ต้องสร้างกลิ่นได้หรือเปล่า” ผมยกเตียงขึ้น เปิดแผ่นไม้อัดที่ปิดใต้เตียงไว้ สอดมือเข้าไปในช่องว่างป่ายปะลงใปในความมืด ก่อนหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขึ้นมา มันเป็นสมบัติลับจากเพื่อนที่เดินทางไปแสวงบุญ ณ อากิบาฮาร่า ประเทศญี่ปุ่น
    “เข้าใจว่านี่น่าจะเป็นกลิ่นจากเพศตรงข้ามที่คุณชอบ”
    “ผมชอบกลิ่นนี้ แต่ว่า...” ผมสงบคำ พอให้หาเหตุผลกลับเป็นเรื่องยาก ทั้งที่ผมชอบกลิ่นแบบนี้ แต่กลับปฏิเสธไม่ต้องการ “มันเป็นภาพลวงตาไม่ต้องสมจริงนักจะดีกว่า”
    เจ้าของเสียงเงียบไป แต่เธอก็ไม่แก้ไขอะไร ผมยังคงได้กลิ่นหอมรัญจวนใจออกมาจากร่างของภาพเสมือน เธอคงไม่เข้าใจความคิดของมนุษย์ ทั้งที่ชอบทำไมต้องปฏิเสธ มนุษย์ต่างดาวมีทัศนคติที่ค่อนข้างต่างจากมนุษย์โลก มองว่าการกระทำที่ไม่ตรงไปตรงมาของพวกเราเป็นเรื่องประหลาด
    ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้ เปิดซองสีน้ำตาลออก ดึงหนังสือด้านในออกมา มีกระดาษอีกชั้นห่ออยู่ ผมต้องหุ้มมันไว้เพื่อป้องกันแมลง
    “น่าอายมากเหรอคะหนังสือนี้”
    “กับเพื่อนในกลุ่มมันก็ไม่น่าอายหรอกครับ แต่ให้พ่อแม่หรือน้องสาวมาเห็นเข้าจะลำบากใจกันเปล่า ๆ” ผมคลี่กระดาษออก หน้าปกเป็นรูปตัวการ์ตูน เป็นภาพของเด็กสาวโพสท่าน่ารักในชุดเมดหูแมว หนังสือ โมเอโมเอ เมดเหมี่ยว เป็นสมบัติล้ำค่าของผมเลยทีเดียว
    “ของแบบนี้มันช่วยเยียวยาหัวใจได้ตรงไหนคะ”
    เป็นคำถามที่อธิบายยากอีกแล้ว ผมเปิดหนังสือออกอย่างเบามือ หารูปที่ผมชอบ เป็นชุดเมดกระโปรงยาวพร้อมผ้ากันเปื้อนแบบเรียบ ๆ ผมว่าเหมาะกับเธอดี
    “ตกลงแบบนี้นะคะ”
    เสียงนั้นทำเอาผมสะดุ้ง โทนเสียงเล็กน่ารักของนักพากย์ที่ผมชื่นชอบกำลังพูดคุยกับผม ผมเงยหน้าไปยังภาพลวงตานั่น เธอวางมือลงบนหน้าอกอวบ ทำท่าเหมือนรอคำตอบ ผมพยักหน้าปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะ เธอเหมือนมีตัวตน แต่เป็นภาพลวงตา ผมเริ่มรู้สึกถึงอันตราย มันกำลังก่อนตัวเป็นรูปร่าง สร้างความหวั่นไหวในจิตใจของผม บางทีนี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด
    “จะให้ลักษณะนิสัยเป็นแบบไหนคะ”
    “ซึน” ผมตอบแทบจะทันที
    “ซึนเดเระ หรือเปล่าคะ”
    “ไม่ใช่ ผมหมายถึง ซึนซึน ไม่มีเดเระ”
    “หน้าโง่...รีบตั้งชือให้ฉันเร็วเข้าสิ อืดอาดอยู่ได้” เธอตะคอก ทำสีหน้าหงุดหงิด ผมสะดุ้งโหยง ตั้งตัวแทบไม่ทัน ท่าที่เธอเปลี่ยนไปเหมือนกับเหรียญคนละด้าน
    “ดะ...ดาวแล้วกันครับ”
    เธอเดาะลิ้นเหมือนไม่พอใจ ผมใจเสีย เจ็บแปลบขึ้นมากลางออก
    “ก็เธอเป็นมนุษย์ต่างดาว ก็ชื่อดาวไงครับ” ผมอยากให้เธอใจเย็นลง ดาวส่ายศีรษะดูไม่พอใจชื่อนี้ ทำไมกันไม่เห็นเข้าใจเลยทั้งที่ดาวเป็นซื่อที่สวยและน้ำเสียงก็ไพเราะ หรือเธอเข้าใจว่าหมายถึงดาวในสภาพแท้จริงบนอวกาศ
    “ตกลงปกรณ์ ดาวก็ดาว” เธอเดินเข้ามาหา ยื่นมือซ้ายมาทางผม ผมทำหน้าสงสัย เธอขมวดคิ้ว ทำหน้าตาไม่ได้ดังใจเหมือนรำคาญผม เธอกระตุกมือเข้ามาใกล้
    “ก็จับมือกันไงเล่า เพื่อการเริ่มต้นที่ดี และขอบคุณสำหรับการรวมมือทำวิจักแนวทางการสื่อสารกับมนุษย์โลก”
    “ครับ ๆ” ผมจับมือเธอเขย่าเบา ๆ น่าตกใจที่ผมสามารถสัมผัสเธอได้ด้วย



    ยูเอฟโอปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าประเทศไทยตอนเวลากลางดึกของคืนวันหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่จนปิดท้องฟ้าทั้งผืน แต่เป็นเวลาเพียงสองสามวินาทีเท่านั้นก่อนจะหายไป มันกลายเป็นเรื่องที่โด่งดัง แต่ไม่เหลือหลักฐานอะไรทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครทราบเลยว่า เวลาสองสามวินาทีนั้นผมได้ขึ้นไปอยู่บนยานดังกล่าว
    ดาวอยู่ในชุดเมดเสมอ เธอเดินไปไหนมาไหนกับผม สร้างพื้นทีของตัวเองขึ้นร่วมอยู่บนโต๊ะทานข้าว กับครอบครัวผม ตรงไหนที่คนมาก ๆ เธอก็จะย่อตัวลงและกระโดดมานั่งบนไหล่ผม
    บางครั้งเธอก็ให้เหตุผลว่าขี้เกียจเดิน
    กิ่งเกตุ คือต้นแบบของดาว ร้อยวันพันปีเราไม่เคยพูดคุยกัน แต่วันนี้เธอมายืนอยู่ตรงหน้าผมขณะกำลังวาดรูปเล่นรอชั่วโมงเรียนคาบบ่าย ผมคงไม่ต้องปิดบังเพราะที่โรงเรียนใคร ๆ ก็รู้ว่าผมเป็น โอตาคุ
    “ปรกรณ์วาดชุดผู้หญิงน่ารักดีนะ”
    “ลอกแบบมาจากการ์ตูนที่เคยเห็นนะ” ผมตอบเสียงเรียบ กลับเป็นว่าผมไม่ตื่นเต้นเท่าไรทั้งทีผมชื่นชมเธอมาก คงเพราะผมเริ่มชินจากการอยู่กับดาว
    “แล้วคิดว่าถ้าออกแบบเองจะทำได้หรือเปล่า” ผมเงยหน้าขึ้นมอง กิ่งเกตุทำตาแบ๊วมองดูผม ผมเหลือบมองไปทางดาว ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ภาพเสมือนนั้นดูจะสนใจต้นแบบของตัวเองมาก
    ดาวหันมาหาผม
    “ยัยนี่กะจะหลอกใช้เธอนะปกรณ์” ดาวแสดงสีหน้ายิ้มเยาะผมจนแทบจะสมน้ำหน้า
    ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่กำหนดนิสัยเธอแบบนี้ แต่ยังไงก็ต้องขอบใจในความหวังดี แทนที่จะใช้คำว่าหลอกใช้เปลี่ยนเป็นบอกผมดูพึ่งพาได้จะไพเราะกว่า
    “กิ่งเกตุเกลียดพวกโอตาคุอย่างกับอะไรดี ตอนนี้คงอึดอัดน่าดูที่ต้องเข้ามาพูดกับผม” ผมอดไม่ได้ที่ต้องพูดปกป้องยังไงผมก็ชอบเธอ
    “แล้วเธอดันไปหลงรักคนที่เกลียดนี่นะปรกรณ์”
    “ก็ของมันน่ารังเกียจจริง” ผมยอมรับ น้องสาวผมถึงกับออกอาการรับไม่ได้เมื่อไปหยิบฟิกเกอร์นักรบสาวในชุดนักสู้แบบแฟนตาซีขึ้นมา และค้นพบว่ามันถอดชุดได้ แถมรายละเอียดภายในยังทำได้สมจริงอย่างสุด ๆ
    “ว่าไง?” กิ่งเกตุถามย้ำ
    “ก็พอได้นะ เกตุอยากได้มาสคอตของทีมเต้นโคฟเวอร์ใช่หรือเปล่า” ผมสรุปให้เรื่องเร็วขึ้น เกตุดูตกใจ เธอพยักหน้ารับ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นระแวงสงสัย ผมเปลี่ยนหน้ากระดาษใหม่ หยิบดินสอมาร่างภาพ เวลามีไม่มากใกล้ชั่วโมงเรียนคาบบ่ายเต็มทน
    ทีมของเกตุมีสามคน ผมมักเห็นเธอหัดเต้นกับพวกเพื่อน ๆ ช่วงเย็นที่ใต้ตึก และไปเต้นตามเวทีต่าง ๆ หลายครั้งเวทีประกวดจัดคู่กับไปกับงานคอสเพลย์ และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีนักกับพวกโอตาคุ พวกนั้นพยายามใช้กล้องแอบถ่ายใต้กระโปรงเธอที่อยู่บนเวที
    ผมเริ่มลงหมึก ลากปากกาเคมีหัวเล็กตัดเส้นเป็นริบบิ้น ถามเธอเรื่องชื่อทีมเต้น เธอยักหน้ารับ ผมเขียนชื่อ ออร์เคสตรา เป็นภาษาอังกฤษ เสียงสัญญาณเข้าเรียนดังขึ้น ผมวางไม้บรรทัดใช้คัตเตอร์กรีดกระดาษฉีกให้เธอ กิ่งเกตุรับไปอย่างงง ๆ
    ตอนค่ำผมเปิดคอมพิวเตอร์ รูปมาสคอตที่ผมเขียนให้ ขึ้นโชว์บนหน้าเพจของทีมเธอ คอมเม้นชื่นชมมากมาย ทำให้ผมแอบภูมิใจกับมันไปด้วย
    “คิดว่าเรื่องนี้จะชนะใจเธอเหรอ” ดาวถามขึ้น ขณะก้มลงอ่านข้อความในหน้าจอ
    “ผลออกมาตรงกันข้ามเลยต่างหาก” ผมยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เธอต้องสงสัย ผมรู้เรื่องของเธอมากเกินไป ทั้งที่แทบไม่เคยได้คุยกัน เรื่องนี้จะทำให้เธอตกใจ อาจจะนำเอาไปปรึกษากับเพื่อน แล้วก็ได้ข้อสรุปให้ระวังตัวผมให้ดี เพราะปกรณ์มีชื่อเสียงไม่ดีนัก
    ผมเป็นไอ้ลามก ครูฝ่ายปกครองประจานสมบัติลับที่ผมเอามาคืนเพื่อน โมเอ้กับอนาจารแยกกันยากว่าศิลปะและภาพนู๊ด
    “แปลกนะมนุษย์นี่ ผลการศึกษาก่อนหน้านี้เข้าใจว่า พวกเธอจะชอบให้ผู้คนมาแสดงความรักใคร่สนใจเสียอีก”
    “ชอบนะใช่ แต่ก็ไม่ชอบให้ใครที่ตัวเองไม่อนุญาติเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเหมือนกัน”
    “เพราะแบบนั้นเธอถึงได้ไปหลงไหลในสิ่งที่ไม่มีทางปฏิเสธตัวเธอสินะปกรณ์” เธอพูดแทงใจดำ
    “อืม” ดาวพูดถูก คนอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมชอบสิ่งเหล่านี้อย่างน้อยก็รับรองได้ว่า หากซื้อมาด้วยเงินของตัวเองก็ได้เป็นเจ้าของอย่างแน่นอน
    “หน้าโง่ !” ดาวตะโกนใส่ผม เธอยกมือขึ้นท้าวเอว นัยน์ตาสั่นระริกหงุดหงิดรำคาญ “ถ้าคิดแบบนี้มนุษย์ชาติสูญสิ้นแน่” เธอคงรู้สึกสมเพชเวทนา ผมเจ็บปวดเหมือนถูกน้ำกรดรดบนหัวใจ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหัวเราะออกมา อธิบายให้เธอฟังว่าคนอย่างผมมันมีแค่หยิบมือเดียวในสังคม ไม่ได้ทำให้มนุษย์ที่แทบจะล้นโลกต้องสูญพันธุ์ไปหรอก
    “แน่ใจงั้นเหรอ” เธอดูจริงจัง “ถ้ามนุษย์อย่างพวกเธอมีเทคโนโลยี่อย่างที่เธอเห็นตัวฉันในตอนนี้แน่ใจเหรอว่ามนุษย์จะยังมองมนุษย์ด้วยกัน”
    ผมถอดแว่นออก คำถามของเธอเหมือนใบมีดที่แทงทะลุผ่านทรวงอก



    “พวกเธอจับคู่กันอย่างไร” ผมเป็นฝ่ายเริ่มชวนดาวคุยก่อน ในช่วงเช้ารอครูประจำชั้นเข้ามาโฮมรูม
    หลังจากกลับมาใส่แว่น ดาวก็ไม่พูดจาอะไรกับผมอีกเลยตั้งแต่เช้า เธอไม่พอใจที่ผมหนี เธอแสดงออกอย่างชัดเจนด้วยความเงียบ ดาวขยับริมฝีปากเม้น ตัดสินใจอยู่หลายอึดใจก่อนเปิดปาก
    “ตามความเข้ากันได้ของคลื่นสมอง”
    “มีบางมั้ยคนที่หาเนื้อคู่ไม่ได้”
    “แทบจะไม่มีเลย”
    “พวกเธอมีประชากรมากหรือน้อย”
    “มากมาย บนดาวหลายดวง”
    “แบบนั้นคนที่ไม่มีเนื้อคู่ก็คงน่าสงสารแย่”
    “หน้าโง่ จะน่าสงสารไม่น่าสงสารมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย” ดาวโมโหขึ้นมา ผมกลับดีใจที่เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในตอนนั้นกิ่งเกตุก็เดินเข้ามาหาผม
    “ปกรณ์ เออ ปกรณ์รู้จักร้านโดนัทหน้าปากซอยโรงเรียนมั้ย” ท่าทางของกิ่งเกตุดูเกรงอกเกรงใจแปลก ๆ
    “ตรงป้ายรถเมล์นะเหรอ ผมต้องขึ้นรถตรงนั้นกลับบ้านทุกวัน”
    “อา อืม...คือเย็นนี้ ช่วยเข้าไปในร้านหน่อย จะได้มั้ย” กิ่งเกตุยกมือจับปอยผมทัดหลังหู ผมสงสัยว่าจะเป็นเรื่องไม่ค่อยดี พอเหลือบมองดาวขอให้ช่วยอ่านใจให้ เธอกลับเชิดใส่ผมแทนคำตอบ
    “มีเรื่องอะไรเหรอเกตุ” ผมตัดสินใจถามออกไป กิ่งเกตุถอนหายใจเฮือกใหญ่ บอกว่าภาพที่ผมวาด รุ่นพี่ในทีมเธอไม่ค่อยพอใจ เขาอยากจะขอให้วาดให้ใหม่
    “อ๋อ”
    “พี่เค้าบอกว่าครั้งนี้จะมีค่าจ้างให้ด้วย แต่ว่าอยากจะให้ช่วยลงสี เพิ่ม” น้ำเสียงของกิ่งเกตุเบาลงไป ทำไมกัน ดูเธอเกรงใจผมผิดจากเมื่อวาน
    “หน้าโง่” ดาวด่าผมเข้าให้ “ยัยต้นแบบนี่เห็นค่าของรูปที่เธอวาดให้นะสิเลยรู้สึกผิดที่จะให้เธอวาดรูปใหม่”
    ผมพยักหน้ากับกิ่งเกตุ ตอบรับว่าจะไปรอตามนัด เธอขอโทษในตอนท้ายที่ทำให้ผมต้องวุ่นวาย
    นั่นแสดงให้เห็นชัดว่าจริง ๆ เธอไม่ต้องการมายุ่งกับผมอีกเท่าไรเพียงแต่ถูกรุ่นพี่บังคับมาเท่านั้น
    “เก่งจังนะไม่ต้องแสกนคลื่นสมองก็รู้ด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไร” ดาวชมหรือประชดผมเองก็ไม่ทราบ “ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วจะไปยุ่งกับเธออีกทำไม”
    ในมุมมองของมนุษย์ต่างดาว มนุษย์คงชอบการทำอะไรที่เปล่าประโยชน์



    “ปัญหามีอย่างเดียว ยัยปลวกหน้ากิมจิทีมโดเรมี มันมาหาว่ามาสคอตของเราเหมือนโลโก้ปลากระป๋องสามแม่ครัว” รุ่นพี่ผมหยักศก วาดมือจิ้มนิ้วลงไปบนรูปที่พิมพ์ออกมา จะว่าไปมันก็จริง
    “หนูว่าให้วาดรูปใหม่มายัยนั่นก็หาเรื่องต่อว่าอีกจนได้นั่นละ” สาวผมสั้นอีกคนเป็นเด็ก ม.๔ พูดพลางจับโดนัสเข้าปาก ส่วนกิ่งเกตุไม่ออกความเห็นอะไร เธอรีบผายมือแนะนำตัวผม และบอกชื่อทางฝั่งเธอ
    “นี่พี่รุจิส่วนนี่ก็แซมมี่น้องเล็ก”
    “ปกรณ์ เธอต้องวาดใหม่ให้พี่” แววตารุ่นพี่ผมหยักศกเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
    พี่สาวคนนี้สไตล์ราชินี
    “จะเอาเท่าไรบอกพี่สู้ ขอให้ได้งานออกมาโดนเป็นพอ”
    “แปดร้อยครับ” ผมตอบออกไปโดยเร็ว
    “ตกลงพี่ให้พันนึงเลย เอาแบบเท่ห์ ๆ ไปทำสติกเกอร์ติดมอเตอร์ไซ แปะฟีโน่ เอาติดกระเป๋า แล้วทำสกีนเสื้อได้ด้วยนะ ชื่อทีมไม่ต้องใหญ่ เอาให้ภาพมันโดน วาดพี่ให้ดูบิชหน่อย ๆ คอมโพสมั่น ๆ ขอสายตาเซ็กซี่ ยัยเกตุนี่สาวคูล นิ่ง ๆ เอาให้ลึกลับ ส่วยแซมมี่เอาให้มันดูซน ๆ จัดให้มันคอนทราสต์ ไม่เอาสามแม่ครัวนะ พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ใครพูดไม่ว่า ดันเป็นยัยปลวกหน้ากิมจินั่นพูด”
    กิ่งเกตุสะกิดรุ่นพี่ของเธอ ให้เบาลงหน่อยเพราะคนในร้านมองมาทางนี้หมดแล้ว ผมพยักหน้ารับรีบหยิบสมุดมาวาดภาพ พี่รุจิดูแล้วก็รีบเสริมไอเดียมาตลอด ผมว่าความคิดเธอดีทีเดียว งานเดินไปอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายพี่รุจิโอเค เธอควักเงินให้ผมทันที ผมสัญญาณว่าจะส่งแบบลงสีให้
    หลักจากวันนั้นกิ่งเกตุก็ไม่ได้เข้ามาพูดกับผมอีก ผมคิดถูกที่ตัดสินใจรับเงินเพราะเธอจะได้ไม่มีอะไรติดต้างผม ดาวสงสัยว่าทำไม
    “พวกมนุษย์เองต้องสร้างช่องทางการสื่อสาร ถึงพูดคุยกันได้ไม่ใช่เหรอ”
    “ก็ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกต้องติดค้างอะไร”
    “หน้าโง่ เธอบอกว่าเธอชอบยัยต้นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ แล้วนี้ต้องการอะไรกันแน่” ดาวดูหงุดหงิด เธอถามผมเสียงเข้ม ผมว่าเป็นคำถามที่ตอบยาก
    “ผมไม่คาดหวังความรักจากเธอแต่แรกอยู่แล้ว” มันไม่จำเป็นหรอกความรัก ขอเพียงมีฟิกเกอร์สาวน้อย ตัวการ์ตูนโมเอ้ เกมจีบสาว ผมก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จนวันสิ้นโลก


    มาสคอตไปได้สวยกว่าที่คิด ออร์เคสตรากลายเป็นทีมเต้นโคฟเวอร์ประจำโรงเรียนที่ทุกคนให้ความสนใจ เพราะตัวมาสคอตติดกระเป๋า มันดังมากจนผมเองยังตกใจ พี่รุจิติดต่อกับผมให้วาดภาพเพิ่ม ดูเหมือนผมกับรุ่นพี่จะสื่อสารกันได้ดี กิ่งเกตุทำหน้าที่ประสานงานแต่เพียงอย่างเดียว
    “ยัยต้นแบบนี่สับสนน่าดู” ดาวพูดขึ้นขณะหยิบโดนัทกิน (โดนัทเป็นภาพเสมือนที่เธอสร้างขึ้น รสสัมผัส ทุกอย่างถูกแปลงเป็นข้อมูล โดยการประมวลผลจากคลื่นสมองของคนที่ได้ทาน ทำให้เธอสามารถทราบถึงรสชาติของมันแม้ไม่ได้ทานของจริง) คำพูดของดาวทำให้ผมชะงัด หยุดมือจากภาพที่กำลังวาด เหลือบตาขึ้นมองกิ่งเกตุ
    “เธอไม่ชอบรูปที่ผมวาดเหรอ” ผมถามดาว
    “ยัยนี่อยากพูดคุยกับนายแต่ไม่มีหัวข้อ”
    “เธอเกลียดโอตาคุ” ผมก้มหน้าวาดรูปต่อ
    “หน้าโง่ ! แนะนำขนาดนี่แล้วยังเฉยอีก เธอเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าปกรณ์”
    การโดนมนุษย์ต่างดาวด่าเป็นเรื่องที่ผมชาชิน เอาว่าผู้หญิงนั้นไม่ว่ามาจากดาวดวงไหนก็เอาใจยากทั้งสิ้น
    “เกตุมีเครื่องประดับอะไรที่ชอบหรือเปล่า” ผมถามขึ้นมา กิ่งเกตุดูตกใจ เธอจับปอยผมทัดหลังหู สั่นศีรษะ
    “พวกมนุษย์นี่ หน้าโง่กันทั้งนั้น” ดาวบ่นอย่างหงุดหงิด ผมหวั่น ๆ ว่าหน้าโง่กลายเป็นคำติดปากเธอไปจริง ๆ ไม่หรอกมันคงเป็นไปแล้ว
    “ผมเคยเห็นสร้อยเงิน ไว้สวมกับข้อมือ เส้นมันหนาสักหน่อยแต่ก็ดูสะดุดตา ผมว่าถ้าวาดลงไปน่าจะสวย”
    กิ่งเกตุเงียบ พี่รุจิว่าให้ลองดู กลายเป็นว่าผมต้องหาเครื่องประดับให้ทั้งสามคน
    วันรุ่งขึ้นกิ่งเกตุมาถามเรื่องร้านที่ขายเครื่องประดับ ผมอธิบายแล้วรีบวาดแผนที่ให้ ผลคือหลังจากนั้นดาวใช้โต๊ะเรียนเป็นที่นั่ง ผมถูกภาพเสมือนจริงในชุดเมดก่อกวนจนไม่เป็นอันต้องนั่งเรียน พอจะถอดแว่นออกผมก็กลัวเธอโกรธอีก ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเพราะทราบว่าเธอตั้งใจทำโทษผม
    นอกจากจะทำตัวเป็นวิญญาณตามรังควานแล้วพยายามทำตัวเป็นกามเทพอีก ผมนั่งเถียงกับเธอในช่วงบ่าย เธอบอกว่าถ้าผมไม่แสดงออกในความรักบ้างเธอจะรวบรวมข้อมูลได้ไม่ตามเป้าหมาย
    ผมว่ามันผิดพลาดตั้งแต่เธอเลือกเป้าหมายในการวิจัยเป็นผมแล้ว
    “ก็มันต้องใช้คนที่เคลื่นสมองเข้ากันได้ต่างหาก ฉันเองก็ไม่ใช่ว่ามีตัวเลือกมากมาย”
    “หา...นี่เธอหมายความว่าผมเป็นเนื้อคู่ของเธอเหรอ”
    “หน้าโง่ แค่คลื่นสมองเข้ากันได้เฉย ๆ กายภาพทางชีววิทยาเราคนละมิติกันเลย มันก็เหมือนกับเจ้าของที่เข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงนั่นละ” ดาวหน้าแดงไปถึงใบหู ภาพเสมือนก็ยังรู้จักเขินเหรอ
    ผมไม่อยากถามต่อว่าใครสัตว์เลี้ยงใครเจ้าของ เพราะมันก็เห็น ๆ กันอยู่
    เอาก็เอา ผมสรุปกับตัวเอง
    เมื่อเสียงระฆังเลิกเรียนดังขึ้นผมก็เดินไปหากิ่งเกตุ อาสาพาไปยังร้านเครื่องประดับที่ว่า เธอปฏิเสธอ้างว่าวันนี้มีซ้อมกับพวกในทีม
    โอเคจบ ผมหันมองหน้าดาว ร่างเสมือนในชุดเมดบ่น เธอว่าทำไมมนุษย์ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก หากถูกใจกันแล้วก็น่าจะรีบ ๆ จูงมือกันไปผลิตลูกผลิดหลาน
    ผมว่าพอจะรู้แล้วว่าทำไมประชากรของดาวเธอถึงได้มากมายจนต้องกระจายไปอยู่บนดาวหลายดวง
    “มนุษย์นะซับซ้อนนะ สิ่งที่อยากได้บางครั้งก็ต้องปฏิเสธ” ผมสรุป ดาวปั้นหน้าหงุดหงิด หน้าตายับยุ่งแบบนี้ผมไม่มีทางได้เห็นจากร่างต้นแบบของเธอเป็นแน่
    “ปกรณ์รอก่อน” กิ่งเกตุเรียกผม “ฉันโทรบอกพี่แล้วว่าขอซ้อมวันอื่น” ผมมองออกว่าเธอรวบรวมความกล้าอย่างมากในการทำแบบนี้



    ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน สู้เล่นฟิกเกอร์ไม่ได้ ขยับจัดเปลี่ยนปรับท่าทางและแคสออฟได้ดังใจ ดาวถามผมเรื่องกิ่งเกตุว่าจะทำอย่างไรต่อ ผมบอกว่าเธอเป็นคนสวยและมีคนมาจีบมาก
    “ตัวเลือกอื่นน่าสนใจกว่ามากสำหรับเธอ”
    “แต่ยัยต้นแบบดีใจนะที่นายซื้อของขวัญให้” ดาวสนับสนุนให้ผมจีบกิ่งเกตุ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจ้องดาวตาเขม็ง
    “ฟังนะ เพราะเธอด่าผมว่า ไอ้หน้าโง่ แถมยังสั่งให้ผมซื้อสร้อยข้อมือนั่นให้เธอต่างหาก ผมถึงต้องซื้อให้ ส่วนการดีใจนั่นก็แค่ปฏิกิริยาปรกติ ที่มีคนซื้อของให้”
    “หน้าโง่” ดาวตะโกนใส่หน้าผมจนแทบหงายหลัง “ยัยต้นแบบดีใจที่มีจุดเชื่อต่อกับนายต่างหาก วันจันทร์ที่จะถึงนี่วันอะไรรู้บ้างมั้ย”
    “วันวาเลนไทน์”
    “นั่นไง ๆ เป็นวันสำคัญ ที่ผู้หญิงจะรวบรวมความกล้าบอกความในใจกับคนที่ชอบ”
    “นั่นมันมีแต่ในการ์ตูนญี่ปุ่นที่นี่ประเทศไทย ผู้ชายต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงผู้หญิง”
    ดาวขอให้ผมขยายความ ผมจึงบอกว่าวัฒนธรรมบนโลกแตกต่างกัน มนุษย์ต่างดาวในร่างของเมดสาวถึงกับหัวเสีย เธอบ่นว่าแบบนั้นกว่าจะติดต่อกับมนุษย์บนดาวดวนนี้ได้พวกเธอไม่ต้องเสียเวลาทำวิจัยอีกเป็นร้อยปีหรืออย่างไร ผมแนะนำให้เธอพยายามติดต่อกับประเทศมหาอำนาจแทน
    “หน้าโง่ ฉันก็พยายามจะเลือกประเทศที่มันใหญ่ ๆ อยู่หรอกแต่ใครจะไปรู้ว่าพอมาถึงโลก คลื่นสมองที่เข้ากับฉันดันมีแต่เธอคนเดียว”
    แล้วผมผิดมั้ย
    “ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องความเข้ากันได้แล้ว ผมขอถามหน่อยเถอะ มีกรณีที่สิ่งมีชีวิตอย่างเธอพบรักกับสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นหรือเปล่า”
    ดาวพยักหน้าหน้าตอบ เธอดูเหมือนจะอึดอัด
    “แต่ส่วนใหญ่จะไปด้วยกันไม่รอดนะเพราะระบบความคิดต่างกันเกินไป ถึงแม้พวกฉันจะสามารถเลือกลักษณะนิสัยเพื่อกำหนดการแสดงออก รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ในทางตรงข้ามอีกฝ่ายก็ไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของพวกฉันได้”
    อยู่ ๆ เรื่องราวก็จริงจังขึ้นมาเกินกว่าที่ผมคิดไว้ว่าเป็นเพียงคำถามเล่น ๆ
    “พวกฉันก็คงเหมือนฟิกเกอร์ที่รู้ว่านายอยากให้ขยับท่าไหน แต่นายไม่มีทางรู้เลยว่าจริง ๆ ฉันต้องการอะไร เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นกำแพงที่สูงกว่าลักษณะทางชีววิทยา”
    ผมได้ยินแล้วก็รู้สึกเศร้าไปด้วย
    “เธอใช่คน ๆ นั้นหรือเปล่า…” ผมนิ่งไปอึดใจก่อนตัดสินใจถามออกมา “คนที่ไม่มีคลื่นสมองเข้ากับคนอื่นน่ะ”
    “จะบ้าเหรอ” ดาวหัวเราะ “นายนี่หน้าโงจริง ๆ ฉันบอกแล้วไงว่าประชากรเรามีมากมายกระจายอยู่บนดาวหลายดวง แล้วจะมีเหรอคนที่ไม่มีคลื่นสมองเข้ากับคนอื่นเลย”
    นั่นสินะ ผมยิ้มออกมา อย่างน้อยผมก็ไม่อยากให้เธอต้องมีเรื่องทุกข์ใจ



    วันวาเลนไทน์ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผม แต่ดาวดูจะตื่นตาตื่นใจ ที่ได้เห็นผู้คนเตรียมดอกไม้ขึ้นมาบนรถเมล์ที่แน่นเอียด เธอสร้างภาพเสมือนของดอกกุหลาบขึ้น เธอดมมันแล้วถามว่ามันรสชาติอย่างไร ผมบอกว่าไม่อร่อย เธอก็พยายามขอร้องให้ผมกิน ผมต้องรีบพูดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเค้ากินดอกกุหลาบกันหรอก
    “แล้วนายจะไม่ซื้อไปให้ยัยตัวต้นแบบหน่อยเหรอ” ผมปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
    “ขืนเอาไปให้ เธอต้องโดนเพื่อน ๆ ล้อแน่ ลองคิดดูสิว่า เธอได้รับดอกไม้จากโอตาคุที่หื่นขนาดเอาหนังสือ โมเอ้เซ็กซี่เหมียว มาโรงเรียน ของแบบนั้นขนาดเก็บไว้บ้านก็แย่อยู่แล้ว ยังเอามาโรงเรียนอีก”
    หนังสือเล่มนั้นเป็นปรปักษ์กับผมโดยแท้ เอาเก็บไว้บ้านน้องสาวก็มาเจอเข้าจนไม่ยอมพูดกับผมอยู่เป็นเดือน พอจะเอามาคืนเพื่อนก็ดันเจอครูยึดแถมยังถูกประจารให้ได้อับอายกันไปทั่ว
    “ฉันว่ายัยต้นแบบต้องดีใจมากแน่” ผมเดินเข้าประตูโรงเรียนไปโดยไม่สนใจแผงขายดอกไม้ที่วางเรียง ดาวใช้วิธีเดิมที่เธอเห็นว่าทรงประสิทธิภาพ ด่าผมว่าหน้าโง่ ๆ อยู่สองสามคำผมก็เริ่มสุดจะทน ต้องเดินไปซื้อกุหลาบขาวมาหนึ่งดอก
    แทบจะทันที ที่ผมจ่ายเงินก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้น ผมทำหูทวนลมแกล้งทำเป็นไมได้ยิน แต่ก็ยังมีคนใจดีขยายความให้ฟัง
    “เค้าว่าเธอไม่เจียมตัวนะจะซื้อดอกไม้ไปให้ใครกัน”
    “ขอบใจแต่เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วว่าชาวบ้านเค้าคิดยังไงกับผม”
    “แสดงว่านายนี่ ซื่อเสียงแย่มากเลยสินะ”
    ก็เออสิ ถึงพยายามบอกอยู่นี่ไงว่า วันวาเลนไทน์มันไม่เกี่ยวอะไรกับผม
    กิ่งเกตุเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับกุหลาบกำใหญ่ ทั้งหมดสีแดงสด พวกผู้ชายในห้องก็ติดดอกไม้ไปให้เธอคนละดอกสองดอก ดาวจ้องผมตาดุ จิกมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้าโดนมองแบบนี้ทั้งวันคงไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ ผมจึงตัดสินใจเดินเอากุหลายขาวไปให้เธอ
    กิ่งเกตุตกใจเมื่อหันมาเห็นผมพร้อมกับดอกกุหลาบสีขาว
    ทุกคนในห้องเงียบกริบชี้ชวนกันมองตรงมาทางผม
    “กุหลาบสีขาวเหรอ” แววตาเธอแฝงความสงสัย
    “ก็แสดงถึงมิตรภาพ...” ผมใจคอไม่ค่อยดี มองไปทางดาว ถามว่ากุหลายสีขาวมันมีปัญหาอะไรกับกิ่งเกตเหรอ
    “ไม่รู้สิดูเหมือนเธอกำลังหงุดหงิด” ดาวสรุปก่อนยกมือวนนิ้วใกล้ขมับเป็นความหมายรู้กันว่า กิ่งเกตุกำลังคิดวุ่นวาย
    ผมต้องพูดอะไรสักอย่าง
    “เห็นว่าใกล้จะถึงวันประกวดทีมโคฟเวอร์แล้วด้วย ดอกกุหลาบสีขาวมีความหมายอวยชัยให้โชคดีด้วย” ผมพูดแล้วเหลือบมองดาว เมดสาวยกนิ้วโป้งขึ้น เอาว่าผมรอดตัวไป
    กิ่งเกตุขอบคุณผม เธอยิ้มออกมาได้ในที่สุด ส่วนผู้คนในห้องต่างแสดงความคิดเห็นถึงความไม่เจียมตัวของผมอย่างกว้างขวาง
    จากที่พูดคุยกันภายในห้องไม่นานก็กระจายไปทั้งโรงเรียน เพราะกิ่งเกตุเป็นคนดัง จึงเป็นตัวช่วยให้ชื่อเสียงด้านความวิปริตของผมกระจายไปโดยทั่ว แต่ก็มีข่าวหนึ่งดังขึ้นมากลบกระแสความดังของผม
    มีคนได้ช็อกโกแลตจากกิ่งเกตุ
    เขาเป็นรุ่นพี่นักกีฬาบาสประจำโรงเรียน เพื่อน ๆ ผู้หญิงต่างวิ่งมาถามเจ้าตัวในช่วงบ่าย เธอตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
    “พี่เค้าบอกทุกคนแบบนั้นเหรอ”
    “ไม่ต้องเขินแล้วเกตุ เค้ารู้กันทั้งโรงเรียนแล้ว” เพื่อน ๆ ในห้องยินดีกับคู่รักที่สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก ดาวมองกิ่งเกตุตาเขม็งเหมือนอยากจะอ่านลึกเข้าไปในจิตใจ
    “ก็บอกแล้วว่ายังไงเธอก็ไม่สนใจผมหรอก” จะบอกว่าไม่เสียใจเลยก็เป็นไปไม่ได้ ทรวงอกรู้สึกเหมือนเกิดช่องว่างขึ้นมา



    หลังเลิกเรียนผมเดินมารอรถเมล์ที่ร้านโดนัท กิ่งเกตุโทรมาหาผม
    “ปกรณ์ยังอยู่ที่หน้าร้านโดนัทใช่มั้ย” น้ำเสียงเธอสั่น ๆ ผมหันหลังไปพบพี่รุจิกับแซมมี่มองออกมาทางผม
    “ใช่มีอะไรเหรอ พี่รุจิอยู่ด้านในร้านโดนัท เกตุจะคุยกับพี่รุจิใช่หรือเปล่า” ผมมั่นใจว่าเธอไม่มีธุระอะไรกับผม
    “ไม่ใช่” กิ่งเกตุรีบปฏิเสธ “ช่วยกลับมาที่ห้องเรียนได้หรือเปล่า” น้ำเสียงเธอดูตื่นเต้น
    ผมตอบรับ รีบเก็บโทรศัพท์ ก้าวเท้ายาว ๆ เดินกลับไปที่โรงเรียน มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอจะสารภาพรักกับผม นี่มันบ้าเกินไป คนปรกติที่ไหนเขาจะทำอะไรแบบนั้น ผมรีบวิ่งขึ้นบันได้ ถึงชั้นสามก็ต้องหอบ ร่างกายที่ไม่เคยออกกำลังกายขยับอะไรนิดหน่อยก็ฝืดไปหมด แต่นี่ไม่ใช่เวลามาหยุดพัก ผมเร่งฝีเท้ารีบสลับขาเดินไปตามระเบียง จนถึงห้องประจำ ตอนนี้เย็นมากจนไม่มีใครอยู่บนตึกเรียน
    กิ่งเกตุนั่งอยู่ที่ของเธอ เมื่อเห็นผมเธอรีบลุกขึ้นยืน ผมถามว่ามีอะไรเหรอเห็นน้ำเสียงเธอไม่สู่ดี
    “คือว่าเรื่องช็อกโกแลตนั่น รุ่นพี่เป็นคนโกหก เกตุไม่อยากมีเรื่องก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย”
    เอาแล้วไงเรื่องแบบนี้ ตัวผมจะเอาปัญญาที่ไหนๆไปแก้ไขกันละ
    “ไม่เป็นไร ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว เกตุไม่ต้องคิดมากไปหรอก ลองปรึกษาพี่รุจิมั้ย เค้ายังนั่งอยู่ที่ร้านโดนัทนะ โทรไปตอนนี้ก็คงยังไม่กลับไปไหน” ผมหอบหายใจพลางพูด พร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมา บางทีรุ่นพี่อาจจะมีความคิดดี ๆ
    “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่อยากให้ปกรณ์รู้ว่าเกตุไม่ได้เป็นคนให้ช็อกโกแลตกับใคร แต่จริง ๆ ก็ทำมาด้วยเหมือนกัน” เธอหยิบห่อกระดาษสีแดงผูกริบบิ้นขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
    หา !
    ผมตกใจ มองรอบห้องไม่มีใครอยู่แม้แต่ดาว ผมดันแว่นยกขึ้น กิ่งเกตุยังอยู่ที่เดิมเธอไม่ใช่ภาพลวงตา ผมเดินเข้าไปหาเธอ
    “คือเกตุปรึกษากับพี่รุจิว่าน่าจะตอบแทนปรกณ์บ้าง” เธอหยิบอีกสิ่งขึ้นมาจากใต้โต๊ะ ผมแทบตาค้างเมื่อได้เห็นเจ้าสิ่งนั้น
    “เดี๋ยวเธอจะทำอะไรนะ”
    “คิดว่าปรกรณ์น่าจะชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” เธอจัดผมยาวของเธอก่อนสวมเจ้าสิ่งนั้นครอบศีรษะ อุปกรณ์อันทรงพลังซึ่งสามารถเพิ่มพลังความโมเอ้ให้กับตัวละครสาวน้อยแทบทุกประเภท
    “ที่คาดผมหูแมว”
    กิ่งเกตุสวมมัน ก่อนจับกล่องของขวัญนั่นยื่นมาทางผม
    “รับไปสิ นี่ก็แค่ให้ตามมารยาทเท่านั้นนะ อย่างได้ดีใจนักละ หึ”
    ความเสียหายนั้นรุนแรง คงเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองแรคคูนซิตี้ ผมได้แต่ยืนนึ่งค้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายนาที

    บทส่งท้าย
    ผมกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก กิ่งเกตุย้ำแล้วย้ำอีกว่านี่คือช็อกโกแลตตามมารยาทที่แสดงความขอบคุณที่ผมช่วยออกแบบมาสคอตของทีมโคฟเวอร์ให้ ส่วนหูแมวนี่ตอบแทนเรื่องสร้อยข้อมือ ผมรู้สึกเหมือนชีวิตโอตาคุของตัวเองถูกข่มขืน เธอใช้ความโมเอ้ทำร้ายจิตใจ ผมเริ่มหลงจากเส้นทางที่ตั้งมั่นจะก้าวเดิน ควรแล้วเหรอที่จะข้ามผ่านจากโลกสองมิติสู่สามมิติที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
    เมื่อเปิดประตูห้องผมก็ต้องตกใจอีกรอบเมื่อมีหญิงสาวผมสีเงินนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือของผม เธออยู่ในชุดแบบชาวโลก เชิตคอปกที่แทบจะกลัดกระดุมไว้ไม่อยู่เพราะทรวงอกที่อวบอิ่มกับกางเกงขายาวสีเข้มเรียบ ๆ แต่จากบรรยากาศ เมื่อเห็นแวบแรกผมก็ทราบได้ทันทีว่าเธอเป็นมนุษย์ต่างดาว
    จริงแล้วลักษณะทางกายภาพเธอแทบไม่ต่างกับมนุษย์เพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่เป็นสีแดงสด มันสวยใสเหมือนดวงตาของกระต่าย กับหูของเธอที่แหลมยาวออกไปเหมือนกับเหล่าภูติในป่าจากเกมอาร์พีจี อ๋อเส้นผมสีเงินยาวที่ส่องประกายแปลกประหลาดนั่นด้วยอีกอย่าง
    แต่โดยรวมเธอดูสวยงามจนน่าประทับใจ
    “ดาวหรือเปล่า”
    “ค่ะ พอดีลองทำช็อกโกแลตมา ให้ แต่ท่าทางปกรณ์คงไม่ต้องการแล้ว” เธอมองห่อของขวัญสีแดงที่ผมถืออย่างระวัง
    “เอามาเลย เธอทำผมวุ่นวายมากนะ มันก็สมควรต้องให้กันบ้างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ผมยื่นมือออกไป ดาวส่งช็อกโกแลตก้อนเล็กในห่อลายขาวแดงให้
    “ช็อกโกแลตตามมารยาทอีกแล้วเหรอ” ผมอดบ่นไม่ได้จริง ๆ
    “จริง ๆ มันก็ควรจะใหญ่กว่านี้เพียงสุดท้ายเหลือที่พอจะให้ลองทานได้เท่านี้ ที่เหลือเสียหมด”
    ก็ยังดี
    “ขอบใจมาก” ผมถอนหายใจยาว อย่างน้อยก็ได้ทราบว่าเธอยังไม่หายไปไหน
    “งั้นฉันกลับไปที่ยานก่อนนะคะ แล้วค่อยเจอกัน...”
    “เดี๋ยวก่อน เออนี่ ช่วยรับเอาไว้ด้วย” ผมหยิบกุหลาบขาวที่ห่อไว้ออกจากช่องของกระเป๋านักเรียน ผมคิดว่าดาวก็น่าจะอยากได้
    “กุหลาบขาวเหรอคะ” ถึงแม้เธอไม่แสดงสีหน้าแต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอไม่ค่อยพอใจ “พอเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมกิ่งเกตุถึงหงุดหงิด ถ้าให้แบบนี้สู้ไม่ให้ยังจะดีกว่านะคะ เอาไว้ฉันค่อยบ่นในร่างนั้นจะดีกว่า จะได้ระเบิดอารมณ์ได้เต็มทีหน่อย” เธอขู่ทิ้งท้าย
    ดาวหายตัวไปด้วยอุปกรณ์เคลื่อนย้ายมวลสาร และกลับมาในร่างเมดสาวที่เป็นภาพเสมือนจริง ดาวทำหน้ายุ่งเม้มริมฝีปากอย่างเหลือทน
    “หน้าโง่ !”
    “เอาละ ๆ เข้าใจแล้วปีหน้าจะให้กุหลาบแดงแล้วกัน” ผมตัดบท ล้มตัวลงบนเตียงนอน นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าได้หลับลงอย่างเป็นสุข

    จบ ยัยเมดสุดซึนกับนายหื่นสองมิติ
  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อ่านแล้ว งงๆๆ แต่ก็อมยิ้มตามครับ ^ ^

    ภาษา - พิมพ์ผิดบ้างเป็นบางคำ ตกหล่นบ้างบางแห่ง แต่ไม่ใช่สาระ
    สำนวนการเขียนใช้การพูดตอบโต้ของตัวละครทำได้ชัดเจน แต่บางช่วงที่ควรจะเน้นอารมณ์ของตัวละครกลับไม่มีบทบรรยายที่ช่วยเสริมทำให้ขาดพลังในการสื่ออารมณ์ไปบ้าง



    สรุปโดยรวมผมชอบนะ ออกแนวพ่อแง่แม่งอนระหว่างปกรณ์กับดาว

    ปล. ฉากนี้

    “ก็เธอเป็นมนุษย์ต่างดาว ก็ชื่อดาวไงครับ”

    ทำเอานึกถึงนากาโตะ ยูกิในชุุดเมด แถมซึน ขึ้นมาเลย
    ช่วยบอกผมทีว่่า จขกท. ไม่ได้จิ้นไว้แบบนี้ ^ ^
  3. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โอ้วเย่ เป็นฟิคที่อ่านแล้วยิ้มตามได้เลยทีเดียว แม้จะมีบางจุดขาดๆเกินๆไปบ้างในความรู้สึกผมแต่โดยรวมถือว่าเป็นฟิคใสๆอ่านสนุกอีกเรื่องทีเดียว เป็นกำลังใจให้เข็นผลงานใหม่ๆออกมาอีกนะครับ :penhappy:
  4. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    เป็นเรื่องที่อ่านไปยิ้มไปครับ รู้สึกว่าซิงโครความคิดกับพระเอกได้ง่ายอย่างประหลาด(แต่ผมไม่หื่นนะ! ฮา)
    สื่อความคิดของคนที่มีความรักแต่ไม่แสดงออกมาตรงๆได้ดี แล้วก็ความกังวลเล็กๆในใจของสาวๆ(?) ไม่ได้สักแต่ว่ามีสาวซึนอย่างเดียว ชอบครับ X D


    ปล.ผมเห็นภาพปกรณ์เป็นพี่เทพไปแวบนึงล่ะ...
    ปล2.ในกระทู้ตัวอักษรติดกันเป็นพรืดเลยหนีไปอ่านในเอกสารกุ๊ก รู้สึกว่าอ่านง่ายกว่ามาก แต่มีเว้นวรรคแปลกๆบางคำ/มีคำผิดกระจายเป็นหย่อมๆครับ
    ปล3.ไม่มีรูทรุ่นพี่รุจิ...(โดนยิงดับ)
  5. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ถ้าแบ่งระหว่างส่วนที่สื่อสารกับดาว แล้วก็ที่พูดตามปกติ ให้มีสัญลักษณ์คำพูดต่างกันหน่อยก็น่าจะดีน่ะนะครับ

    แต่อ่านแล้วก็บรรยากาศสดใสดี บางจุดก็มีมุกชวนให้ยิ้มอยู่เป็นระยะ

    ปล. ว่าแต่ตกลงพระเอกจะจีบใครล่ะเนี่ย
  6. ffpokemon

    ffpokemon Editor

    EXP:
    1,691
    ถูกใจที่ได้รับ:
    79
    คะแนน Trophy:
    113
    อ่านแล้วแทบจะหยุดอ่านไม่ได้เลย วางโครงเรื่องได้น่าสนใจและจบได้น่ารักมากครับ

    แต่อ่านแล้วก็รู้สึกอิจฉาพระเอกเล็ก เหมือนกันนะครับ (ฮา)
  7. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ผมขอโทษจริงๆ แต่อาจจะเพราะผมไม่ค่อยได้อยู่ในวงการคุๆ เลยอ่านไปมึนไป แต่ก็จับใจความได้นะครับ

    ชอบพล็อตเรื่องที่หยิบเอาอะไรแปลกๆมาเขียน การสวนทางของพฤติกรรมของดาวกับกิ่งเกตุ ทำให้เรื่องราวลงเอยได้อย่างน่ารักมากๆ คาดว่าผู้เขียนต้องชมชอบอนิเมแนวนี้ไม่น้อยทีเดียว
    ผมชอบตอนแรกที่สุด ตอนที่ปกรณ์ต่อสู้กับความคิดตัวเองในขณะที่ดาวก็พยายามเอาใจสุดขีด มันอาจจะดูหื่น แต่ผมกลับเข้าใจนะ ถ้าผมมีโอกาสผมก็ต้องอยากได้สาวน้อย "ฃุดรัดรูป" และ "อึ๋มๆ" เหมือนกัน
    แหม สาวน้อยซึนซึนนี่มันน่ารักแบบนี้นี่เอง

    การบรรยาย มีการใช้คำผิดอยู่บ้าง เช่น "ขบวนการคิด" ซึ่งจริงๆต้อง "กระบวนการคิด" แต่เนื่องจากโทนเรื่องเป็นแนวหลั่นล้า ผมคิดว่าการบรรยายไม่ต้องเริดหรูก็น่าจะพอ อีกเรื่องคือการปูพื้นเรื่องน้อยมาก ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านงงเหมือนกัน แต่เนื่องจากเรื่องไม่ซับซ้อน ก็เลยพออ่านเข้าใจได้ครับ

    ถ้าเว้นบรรทัดเรื่อยๆจะอ่านง่ายกว่านี้นะครับ :)
  8. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    เรื่องบรรทัดนี่คงเป็นประเด็นติจุดเดียว เพราะทำให้ความน่าอ่านหายได้นะครับ เวลาวางบนหน้าบอร์ด =w= ควรเว้นบรรทัดช่วงเหตุการณ์ และ สนทนาจะดูอ่านง่ายกว่านี้

    แต่ผมชอบในส่วนของเนื้อเรื่องสบายๆ ที่เล่าเรื่องแบบบุคคลที่1 ที่เป็นบทบาทของชายที่ในโลกจริงๆหลายๆคนอาจเคยสัมผัสชีวิตแบบนี้ หรือ หวังที่จะเป็นแบบนี้ เรียกว่า ใกล้เคียงกับมุมมองที่เห็นและอยากเป็น เลยอินกับเรื่องได้ง่ายดี (แต่ดูน่าอิจฉาไปนิด555+)

    ส่วนอื่นๆก็ดีครับ พัฒนาไปได้เรื่อยๆ ;w;

    สู้เค้าเน้อ

Share This Page