[Valentine] L'amore di Warrior

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย maxlancer, 17 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    รอบกายได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบ สายตาพร่ามัวไม่อาจจับรายละเอียด กลิ่นที่ได้มีเพียงคาวเลือดที่ขลุ้งขโมงไปทั่ว ร่างของนักรบไร้ซึ่งยศบรรดาศักดิ์กำลังยืนเหนือร่างนายกองใหญ่แห่งอริศัตรูผู้เคยทรงอาชาอย่างองอาจเมื่อไม่นานมานี่


    “ฝรั่งเศสถอยทัพไปแล้วววววววว”


    สัญญาณธงโบกไกลลิบๆบอกถึงชัยชนะอันน่ายินดี เหล่าผู้รอดชีวิตต่างเข้าช่วยเหลือเพื่อนร่วมทัพ และได้เป็นประจักษ์ถึงผลงานที่เหลือเชื่อของหนึ่งในทหารปลายแถว

    “แม็กซิมิเลี่ยน!! เจ้ายังไม่ตายหรือนี่?!!”

    เจ้าของนามที่เพิ่งถอนคมดาบหักประจำตัวออกจากร่างของศัตรูคนสุดท้าย มือขวากระชากเกราะหมวกออกเผยให้เห็นถึงไปหน้าที่เหนื่อยล้าภายใต้ผมสีดำสนิท

    “ นายกองพิฆาตร้อยศพแห่งฝรั่งเศส นี่ เจ้าเป็นผู้สังหารอย่างงั้นหรือ

    “ขอรับ ด้วยคมดาบแห่งข้า”

    “ช่างยอดเยี่ยมนัก ไม่คิดเลยว่าอริศัตรูผู้เกรงขามในศึกนี้จะถูกปลิดชีพด้วยมือของทหารเลว ไม่สิ สายตาข้าบอกว่าเจ้ามีอะไรดีกว่านั้น “

    “มิได้ขอรับ”

    “ไม่ต้องห่วง ข้าจักตบรางวัลผลงานนี่ให้เจ้าอย่างแน่นอน ไว้ทัพเรากลับไปถึง ก่อนเถิด” แม่ทัพให้คำมั่นสัญญาก่อนควบอาญาออกไป

    “แม็กซิมิเลี่ยน นี่เจ้าชักจะเก่งเกินหน้าเกินตาแล้วนะโว้ย” หนึ่งในสหายที่ร่วมรบมากระโดดมากอดคอ แม็กซิมิเลี่ยนไว้

    “โชคช่วยข้าต่างหาก ถ้าไม่บังเอิญที่ม้าของมันเผลอยกเท้า ข้าก็คงไม่อาจยืนที่จุดนี้ได้หรอก รูซิโอ้”

    “โชคมันก็ฝีมือเหมือนกันแหละน่า คราวนี้เจ้าต้องดังอย่างแน่แท่ เพื่อนเอ้ย

    แม็กซิมิเลี่ยนไม่ตอบ ชื่อเสียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มผู้ดิ้นรนมาจากประเทศอื่นต้องการนัก การได้รับยศและศักดินาในตอนนี้ มิวายเป็นเพียงภาระที่มากขึ้นในอนาคตเสียมากกว่า ใจเค้าหวังเพียงการสังสรรค์กับสหายร่วมรบเท่านั้นเอง
    ...........
    ........
    .....
    ...
    .
    หลังการเดินทางที่ยาวไกล ทัพแห่งอิตาลีกลับสู่มาตุภูมิ การสู้รบครั้งนี้เป็นที่คาดหวังของประชาชนมากมาย จนมีการจัดขบวนต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับนักรบที่สละชีพเพื่อประเทศชาติ แต่ในทางปฎิบัตินั้นผู้ได้ชื่อมีเพียงตำแหน่งสูงๆของกองทัพนี้เท่านั้น

    “ให้ตายเถอะ ข้าล่ะเกลียด อะไรแบบนี้เสียจริง ทุกคนต่างสละชีวิตและเสี่ยงตาย แต่พวกเรากลับหามีคนเลียวแลไม่ “เสียงๆหนึ่งในขบวนโอดครวญ

    “เอาน่า อย่างน้อย ข้าว่าคงมีอาหารฉลองชัยให้แก่ทหารเลวอย่างเราอยู่ รบเพื่ออิ่มท้องมันไม่แย่เท่าไหร่หรอก”

    “แม็กซี่ ข้าล่ะอิจฉาเจ้านัก อยากรู้จริงท่านแม่ทัพจะมอบรางวัลอะไรให้แก่เจ้า”

    “ไม่แน่ เจ้าอาจได้เลื่อนขั้นเชียวนา”

    แม็กซิมิเลี่ยนไม่สนใจคำเยินยอ ของเพื่อนร่วมขบวน หัวใจของทหารต่างแดนผู้นี้ด้านชา เขาไม่คิดว่าการตอบแทนจากท่านแม่ทัพจะเป็นเรื่องสำคัญนัก กล่าวคือไม่คิดเสียด้วยซ้ำว่าจะได้รับการรักษาคำมั่นดังกล่าว

    แต่เหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อ หลังเลิกทัพ มีสายข่าวเร็วพุ่งตรงเข้าหาพร้อมข่าวดีและห่อผ้าใหญ่

    “ท่านแม่ทัพกล่าวว่า ให้เจ้าสวมอาภรณ์นี่แล้ว เข้าไปหาท่านที่สถานที่ตามนี้ ในหนึ่งชั่วโมง”

    “หา?” แม็กซิมิเลี่ยนได้ต้องตกใจในสิ่งของที่ได้รับ

    เมื่อแกะห่อผ้าที่ได้รับการผนึกอย่างดี เครื่องอาภรณ์ชั้นดีที่เจ้าตัวไม่คาดคิดว่าจะได้สวมใส่ ซึ่งน่าจะเห็นแต่เพียงขุนนางหรือศักดินาชั้นสูงเท่านั้น

    “เฮ้ย แม็กวี่ของเรามันได้เชิญไปงานเลี้ยงของพวกขุนนางด้วยวะ!!”

    “แม็กซิมิเลี่ยนนนน เจ้าไม่อยากไปข้ารู้ ข้าของไปแทนเถิดดดด

    “ไม่ต้องเข้ามา เจ้าพวกนี้!!”

    สหายร่วมทัพเฮฮากันอย่างสนุกสนาน แต่แม็กซิมิเลี่ยนก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่น่าสนใจนัก กับการใส่ชุดรุ่มร่ามเข้างานหรูๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้มความเป็นผู้ดีอะไรกับเขา
    ...........
    ........
    ......
    ...
    .
    “ขออภัยที่ต้องให้ท่านรอ ท่านแม่ทัพ”

    “โอ้ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย แม็กซิมิเลี่ยน”

    “เป็นเกียรติที่ท่านจดจำนามของข้า”

    “อย่าพิธีรีตองมากนัก มาเถอะ ข้ากำลังอยากได้คนสนิทซักคนมาร่วมงานนี้ นี่ถือเป็นรางวัลของเจ้าเสียแล้วกัน”

    “งานนี้เป็นงานที่จัดเพื่อเหตุใด?”

    “เหมือนจะฉลองถึงชัยชนะล่าสุดของเรานั่นแหละ แต่มันก็แค่คำอ้าง สำหรับสังสรรค์ของพวกขุนนางล่ะนะ “

    แม่ทัพผู้นี้มาในชุดผ้าหรูหราโทนสีขาวฟ้าเรือนผมสีทองดูเข้ากับความองอาจยิ่งนัด เมื่อเทียบกับตัวเองที่หามีรัศมีที่ดูดีเทียบเท่าแม่ทัพไม่

    “มาเถอะ ในงานมีอาหารชั้นเลิศและไวท์อยู่มาก ข้าหวังว่าเจ้าจะชอบมัน”

    คฤหาสน์ที่สว่างไปด้วยแสงเทียนประดับการตกแต่งด้วยศิลป์อย่างวิจิตรช่างดูงดงาม รวมไปถึงบรรยากาศงานที่ดูสง่าสมเกียรติของแขกร่วมงาน แต่หาใช่แม็กซิมิเลี่ยน ผู้เป็นเพียงทหารธรรมดาที่บังเอิญสร้างผลงานไว้ ท่าทางของผู้คนช่างดูหลอกลวงจนรับรู้ได้ การชื่นชมเพื่อเอาหน้า

    “ให้ตายสิ แทนที่จะได้ไปสังสรรคค์กับสหายกลับต้องมาเจอความน่าเบื่อเช่นนี้”

    แม้อาหารการกินจะเลิศ แต่ก็ไม่อาจเทียบอาหารที่ได้ร่วมทานกับผู้ร่วมเสี่ยงตายมาได้หรอก แม็กซิมิเลี่ยนได้แต่บ่นพึมพำ เมื่อเห็นแม่ทัพของตัวเองได้แต่พูดคุยกับใครหลายคนที่ตัวเองไม่อาจรู้จัก ส่วนตัวเขาเมื่อมีผู้ทราบว่าตำแหน่งที่อยู่คืออะไร ก็พาลมองมาด้วยสายตารังเกียจ ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะกับตัวเขาเสียจริง

    “ข้าก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอกที่ได้มา”

    สองเท้าของทหารหนุ่มได้พาตัวเองออกยังสวนด้านนอกที่มีผู้คนบางตาไปมากมาย สวนที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้ตกแต่ง ยังพอทำให้ความเบื่อหน่ายลดลงบ้าง

    “หือ?”

    สายตาของชายหนุ่มจดจ้องออกไป เมื่อพบสตรีในชุดราตรีสีดำสลับผ้าน้ำตาลแดง ผิวกายขาวสว่างดุจไข่มุก ประกอบกับผมที่รวบขึ้นจนเห็นต้นคอที่งดงาม แม้มองเห็นเพียงข้างหลัง ก็นับว่าเป็นสตรีที่งดงามหาที่เปรียบไม่ได้ง่ายๆ

    “ให้ตายสิ...ทำไมข้าต้องมาทำแบบนี้ด้วยนะ ไหนจะชุดนี้อีก รุ่มร่ามจริงๆเลย...”

    แม็กซิมิเลี่ยนยืนค้างไปซักพัก กับประโยคที่ไม่คาดคิดว่าจะเอ่ยออกมาจากปากของสตรีชั้นสูงเยี่งนี้ พาลระเบิดเสียงหัวระออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    "....มีอะไรน่าขำตรงไหนหรือท่าน..."

    เสียงค้อนใส่ราวกับไม่พอใจที่ถูกหัวรอทำให้แม็กซิมิเลี่ยนหยุดขำในทันที

    "อุ้ ขออภัยท่านหญิง ขามิได้ตั้งใจล้อเลียนท่านแต่อย่างใด เพียงแต่...ไม่เคยคิดว่า สตรีชั้นสูงจะกล่าวรำคาญใจกับอาภรณ์ที่งดงามสมตัวแบบนี้"

    ทหารหนุ่มพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายอยู่ในฐานะอะไร

    "ท่านกล่าวเกินไปแล้ว"

    "หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าท่านมิได้ชื่นชอบงานรื่นเริ่งหรอกหรือท่านหญิง”

    "ข้าชอบอยู่ที่สงบๆอ่านหนังสือเสียมากกว่า อีกอย่าง ในงานเช่นนี้หาผู้ที่จริงใจด้วยยาก ดูสิ ใครๆต่างก็สวมหน้ากากทั้งนั้น"

    เซซีลีอาชักพัดออกมาปิดปากและมองไปยังผู้คนในงาน ลักษณะท่าทางบวกกับคำกล่าว ทำให้แม็กซิมิเลี่ยนเข้าใจหัวอกหญิงสาวคนนี้เล็กน้อย

    "ช่างคล้ายคลึงกับข้า อันที่จริงข้าควรไปร่วมอาหารงานเลี้ยงกับสหายศึกมากกว่าจะมาจีบไวท์หรูๆแบบนี้"

    ทหารหนุ่มได้เพียงรำพันถึงสหายร่วมรบที่คงสนุกสุดเหว่งไปกับสุราตอนนี้

    "จริงสิ ขออภัยที่กล่าวนามช้าไป ข้า "แม็กซิมิเลี่ยน" ขอเป็นเกียรติทราบนามของท่านได้หรือไม่ ท่านหญิง"

    "เซซีลีอา....เซซีลีอา วาเลนติโน่..."

    แม้อันที่จริงนามนี้จะเป็นนามที่เลื่องชื่อ(จากการคาดการณ์ของแม็กซิมิเลี่ยน) แต่ยศเพียงทหารเลวคงไม่อาจรู้จักได้ จึงทำได้เพียงให้เกียรตินางเท่าที่ความรู้เรื่องมารยาทมีอยู่ในสมอง

    "ช่างเป็นนามที่ไพเราะยิ่งนัก ท่านหญิงวาเลนติโน่ “

    "ท่านนี่ช่างปากหวานนัก ท่านเองก็เป็นหนึ่งในผู้สวมหน้ากากพวกนั้นเช่นกันหรือ"

    "ก็แล้วแต่สายตาท่านจะพิจารณา หากแต่ถ้ากล่าวตามตรง หน้ากากของข้ามันรูปทรงไม่แตกต่างกับใบหน้าข้าเท่าไหร่นักหรอก"

    ชายหนุ่มมิได้สันทัดในการพูดคุยกับอิสตรีมากนัก การพูดติดตลกจึงเป็นสิ่งเดียวที่พอทำได้.

    "ท่านนี่...ช่างแตกต่างกับทุกๆคนที่ข้ารู้จักเสียอีก"

    "อาจเป็นเพราะใบหน้าข้าดูธรรมดาเกินไปกระมัง เพราะข้าเป็นเพียงทหารธรรมดาที่บังเอิญได้มางานแห่งนี้"

    "ข้ามิได้พูดถึงใบหน้าของท่าน แต่ข้ากำลังพูดถึงนิสัยใจคอของท่านต่างหาก"

    แม็กซิมิเลี่ยนไม่ค่อยเข้าใจในความหมายคำพูดดังกล่าวเท่าไหร่นักว่าจะสื่อถึงอะไร แต่สตรีนางนี้ดูผิดจากภาพลักษณ์ที่ตัวเองเคยจินตนาการถึงมากพอดู

    "เอาเถอะ นี่คงจะเป็นครั้งแรกของท่านที่มา ณ ที่แห่งนี้ ....ก็ขอให้สนุกกับงานเลี้ยงนี่แล้วกันนะ"

    "กล่าวตามตรง ตอนแรกข้าปราถนาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...แต่เมื่อครู่ ข้าชักอยากให้มีครั้งที่สอง"

    เมื่อเห็นเซซิลิอาเดินจากไปอย่างช้าๆ แม็กซิมิเลี่ยนจึงพยายามกล่าวปิดท้ายโดยไม่ได้ไตร่ตรองคำพูดเท่านัก
    ถ้าทีที่ดูงดงาม กับ ลักษณะที่สื่ออกมาจากวาจาของนาง ต้องตาทหารหนุ่มอยู่บ้าง หากแต่ความไม่ประสานักทำให้ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อดี

    "ยังไงก็ขอขอบคุณที่ให้เกียรติสนทนากับข้าท่านหญิงวาเลนติโน่....ข้าขอตัว"

    “ให้ตายสิ รบกับศัตรูนับร้อยน่ะทำได้ แต่กับสตรีผู้เดียวทำเอาเสียความมั่นคงเลยหรือนี่”

    “ตาถึงนะ แม็กซิมิเลี่ยน”

    “ท่านแม่ทัพ!!”

    “แต่อย่าหวังอะไรไปไกลนัก ทหารข้า เจ้ายังอ่อนต่อโลกนักเรื่องนี้”

    “??? หมายความว่าอย่างไร ท่านแม่ทัพ”

    เสียงหัวเราะเป็นคำตอบที่งุนงงให้แก่แม็กซิมิเลี่ยน ภาหลังจากที่งานเลี้ยงเลิก ทหารหนุ่มได้แต่คิดถึงบทสนทนาที่เจอกันในสวน สตรีที่น่าจดจำ ด้วยความไม่เหมือนใครของเจ้าหล่อน
    ..............
    ...........
    .....
    ..
    .

    “สหายเอ๋ย เมื่อคืนเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ทหารหลายนามบุกเข้ามากอดคอแม็กซิมิเลี่ยน ผู้กำลังนั่งตักซุปกินอยู่ยามเช้าในที่พักของทางการ

    “ไม่ต้องใช้คำพูดประหลาดแบบนั้นกับข้าเลย แล้วก็ไม่ได้มีอะไรดีเป็นพิเศษนักหรอก” แม็กซิมิเลี่ยนยังคังนั่งตักซุปต่อไปก่อนจะหยิบขนมปังเข้าปาก

    “อะไรของเจ้าเนี่ย ได้ข่าวว่า หลงรักสตรีผู้หนึ่งเข้ามิใช่หรือออออออ”

    “พรวดดดดด” น้ำซุปแทบกระฉอกออกมาจากปากผู้โดนพาดพิง “ใครเป็นคนบอกข่าวบ้าๆนี่กัน!!”

    “ท่านแม่ทัพเค้ากระจายข่าวไปทั่วกองแล้วสหายข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องอับอาย พวกข้าปลื้มใจเสียด้วยซ้ำที่คนอย่างเจ้ารู้จักหลงสตรีเสียที จนบางคนเกือบนึกว่าเจ้าเป็นพวกชื่นชอบเพศเดียวกัน”

    “เจ้าว่าใครชอบเพศเดียวกันฟะ “

    ความวุ่นวายประสานเสียงหัวเราะ หนึ่งในความแข็งแกร่งของกองพันนี้คือสายสัมพันธ์ดุจเพื่อนสนิทแทบทุกคนในกอง นี่เป็นสิ่งที่แม็กซิมิเลี่ยนคิดว่ามีค่าที่สุดในชีวิตเขา ดีกว่าต้องไปเจอกับผู้คนภายใต้หน้ากาก เฉกเช่นเมื่อคืน....

    ว่าแต่ท่านหญิงผู้นั้น สวมหน้ากากเฉกเช่านเดียวกันหรือเปล่านะ....แม็กซิมิเลี่ยน เผลอนึกถึงนางโดยไม่รู้ตัว
    ...............
    .........
    .....
    ...
    .
    หลังเสร็จสิ้นการรับประทานอาหาร ทหารหนุ่มในชุดเกราะเหล็กเดินออกไปยังเมือง ชัดเข้าไปทางตลาด เพื่อร่วมการฝึกซ้อมพิเศษตามคำสั่ง เนื่องด้วยผลงานที่สร้างในศึกครั้งล่าสุด ทำให้ถูกเรียกเพื่อวัดความสามารถ สำหรับการเลื่อนยศให้

    “น่าเบื่อจริงๆ ข้าไม่ได้อยากเป็นนายของสหายบ้าบอพวกนั้นเสียหน่อย”

    ในระหว่างที่จิตใจเลือนลอย มันฝรั่งหนึ่งหัวได้กลิ้ง มายันเท้าของตัวเอง พร้อมสตรีผู้ที่ยังคงทำให้จดจำเมื่อคืนได้

    “ขอประทานอภัยค่ะ...อ๊ะ...”

    สตรีผู้ทำให้งานอันน่าเบื่อเมื่อคืนดูน่าจดจำมากขึ้น เซซิลีอา วาเลนติโน่ บุตรีแห่งงดยุคฟรังซิส ผู้คุมอำนาจส่วนหนึ่งในกองทัพ

    "มิได้ขอรับ ท่านหญิง มันฝรั่งเพียงหนึ่งลูกไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร" แม็กซิมิเลี่ยนก้มหยิบมันฝรั่งคืนแก่หญิงสาว

    "ท่านคือ...ท่านแม็กซีมีเลียน?"

    "ช่างเป็นเกียรติที่ยังจำนามของข้าได้ ท่านหญิงวาเลนติโน่" ชายหนุ่มยิ้มและคำนับโค้ง

    "ในยามเช้าเช่นนี้ ท่านจะไปที่ใดหรือ"

    "ข้ากำลังไปยังสนามฝึกซ้อมน่ะครับ อยู่ถัดจากตลาดฝั่งโน้นไปเล็กน้อย"

    "สนามฝึกซ้อม! ข้าไปด้วยได้มั้ย!!" เซซีลีอาดูกระตือรือร้นขึ้นมากะทันหัน ทำเอาทหารหนุ่มปรับตัวไม่ถูก เหตุใดถึงสนอกหสนใจที่ๆเหม็นกลิ่นการต่อสู้เช่นนั้น?

    "เออ คงจะไม่เหมาะกระมังที่หญิงสาวจะเข้าไปยังที่ๆมีเพียงแต่ความรุนแรง"

    "ท่านนี่เหมือนท่านพ่อของข้าเลย ทำไมท่านคิดว่าข้าเป็นหญิงที่บอบบางเช่นนั้น!!!???" เซซีลีอาเริ่มทำสีหน้าไม่พอใจ

    "เออ...ข้าเปล่าคิดเช่นนั้น ท่านหญิง เพียงแต่ข้าห่วงความปลอดภัยของท่านมากกว่า” แน่นอนล่ะ การที่พาอิสตรีไปยังที่ซ้อมรบ มันเป็นเรื่องที่เหมือนการประกาศศักดาอะไรซักอย่าง อีกทั้งเป็นถึงบุตรีแห่งดยุค ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาคงไม่ดีแน่ แม็กซิมิเลี่ยนบ่นในใจ

    "ข้าก็แค่อยากไปดูสิ่งที่ท่านพ่อของข้าเองก็ทำเช่นเดียวกัน เพื่อที่ข้าจะสามารถทำหน้าที่ผู้นำของตระกูลต่อไปในอนาคตได้...
    "อีกอย่าง...."

    "หืม?"

    "ข้าเป็นลูกสาวของดยุคฟรังซิส นายใหญ่ของท่านมิใช่หรือ...ท่านคิดจะขัดคำสั่งข้างั้นหรือ!"

    "อึ้ก!!"

    แม็กซิมิเลี่ยน โดนสายตาของนางและคำพูดต้อนเข้าอย่างจัง ไม่คิดว่าสตรีผู้ดูอ่อนหวานเมื่อค่ำคืนจะคิดวิธีนี้ออกมาได้

    "ข้ายอมก็ได้ขอรับ แต่ยังไงเสียก็โปรดระวังตัวด้วยนะครับ"

    แม็กซิมิเลี่ยนไม่มีทางเลิก จึงเดินนำทางเซซิลิอาไปยังสนามฝึกซ้อมที่อยู่ใกล้ๆ

    เมื่อถึงสถานที่หมาย แม็กซิมิเลี่ยนคงไม่อาจยอมให้นางอยู่ภายในค่าย เนื่องจากจะเกิดปัญหา

    “ท่านอยู่ตรงนี้ไปเสียก่อน เข้าใจมั้ยครับ และถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ตะโกนเรียกข้าได้ทุกเมื่อนะครับ” ทหารหนุ่มกล่าวให้คำมั่นแก่เซซิลิอา ก่อนแยกตัวเข้าการฝึกซ้อม... แน่นอนว่า ไม่พ้นเสียงนินทาจากคนในกลุ่ม ที่รู้จัก

    “ใจกล้าน่าดูเลยนะ แม็กซิมิเลี่ยน พาสตรีมาดูการซ้อมของตัวเองเลยเหรอเนี่ย”

    “นั่นคือ บุตรีแห่งดยุคฟรังซัล ระวังปากเข้าไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้าไม่อยากเกิดปัญหากับท่าน”

    ชายหนุ่มขู่ให้เพื่อนร่วมทัพหุบปากอย่างง่ายดาย ในความจริง เจ้าตัวก็หวั่นเกรงนิดๆว่า การที่ทหารธรรมดาอย่างเขามาใกล้ชิดกับนางแบบนี้ จะก่อให้มีปัญหาในอนาคตหรือเปล่า แต่ถ้าว่ากันตรงๆ แม็กซิมิเลี่ยนก็ไม่ได้รังเกียจเซซิลิอาแต่อย่างใด จนชักสงสัยในความห่วงใยที่มีให้ เป็นแค่การตำแหน่งศักดินา หรือ จากอะไรกันแน่

    ล่วงเวลาผ่านพ้นไป จนจบการฝึกซ้อทและวัดฝีมือ แต่แม็กซิมิเลี่ยนยังไม่เลิก และฝึกซ้อมกระบวนท่าการใช้ดาบต่อ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าตัวฝึกฝนและผ่านการใช้มายาวนานจนเป็นข้อดีที่โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพเลยก็ว่าได้

    “ท่านพี่!”

    หญิงสาวตะโกนเรียกชายหนุ่มด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันมามองนางด้วยสีหน้าสงสัย

    "เหตุใดจึงเรียกข้าเช่นนั้น" แม็กซิมิเลี่ยนงุนงงกับสรรพนามนั้น มันควรเป็นการเรียกคนผู้มีศักดิ์เป็นพี่ แต่เหตุใดถึงมาเรียกกับตัวเอง

    "ก็ข้าอยากเรียก....ทำไมหรือ?"

    มันเป็นคำที่แค่อยากเรียกก็เรียกกันแล้วหรือ? แม็กซิมิเลี่ยนสงสัยในใจ

    "ความจริงแล้ว...ท่านเองก็...มีความเป็นพี่ชายสูงมาก...ข้าเองก็..ชอบท่านนะคะ ท่านพี่ เพราะฉะนั้น ให้ข้าได้เรียกท่านแบบนี้ได้มั้ย"

    จิตใจของชายหนุ่มนั้นปั่นป่วน อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอเรื่องเช่นนี้ แต่คำว่าชอบนั้น ไม่รู้ว่าสำหรับนางจะมีความหมายเช่นไร แต่กับบุรุษแล้ว มันส่งผลกระทบได้มากพอควร

    ".....ถ้าท่านปรารถนาเช่นนั้น ก็ตามแต่ใจท่านเถิด ท่านหญิงวาเลนติโน่"

    "ต่อไปนี้ เรียกข้าว่า เซซีลีอาเถอะค่ะ ท่านพี่ ถ้าท่านพี่เรียกข้าแบบนั้น ก็เหมือนไม่ใช่พี่น้องกันน่ะสิ"

    "...ก็...จริง..นั่นสินะ.....ตามใจเจ้าก็แล้วกัน เซซีลีอา”

    เซซีลีอายิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเข้ามาเกาะแขนเขาเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงพยายามดิ้นขัดขืน แต่นางก็ปล่อยแต่โดยดีเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนเดินใกล้เข้ามา

    “ท่านหญิงวาเลนติโน่” ชายผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนคนรับใช้ของกองทัพ

    “คนของท่านพ่อ? มีอะไรหรือ?”

    “ท่านดยุคฟรังซิสมีคำสั่งให้ท่านไปพบด่วนขอรับ”

    เซซีลีอาจ้องมองไปที่ใบหน้าแม็กซีมีเลียนเล็กน้อย ราวกับว่าจะเกรงกลัวว่าพ่อของนางจะรู้เข้า และอาจจะห้ามไม่ให้นางพบกับเขาอีกก็เป็นได้

    “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

    เซซิลิอาจากไปโดยไม่ทันได้อำลา แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร แม็กซิมิเลี่ยนก็โดนคนของดยุคหยุดตัวไว้

    “เจ้าคือแม็กซิมิเลี่ยนสินะ”

    “ใช่ครับ นั้นคือนามของข้า”

    “เหตุใด ท่าหญิงวาเลนติโน่ถึงได้มายังที่แห่งนี้ !!” น้ำเสียงที่รุนแรงเป็นไปตามที่คิดไว้ในใจทหารหนุ่ม

    “เป็นความผิดของข้าเองครับ ข้าไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัว” แม็กซิมิเลี่ยนไม่กล่าวเรื่องจริงอะไรออกไป เพราะเกรงจะส่งผลเสียจ่อเซซิลิอา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเตรียมใจเผื่อรับโทษไว้แล้ว

    “...หึ...เอาเถอะ ข้าก็พอรู้ว่า ท่านหญิงทรงชื่นชอบกระทำสิ่งที่สตรีทั่วไปไม่กระทำ ครั้งนี้ข้าจะไม่กล่าวโทษอะไรเจ้า”

    “ขอบคุณมากครับ”

    “อีกเรื่องนึง ข้ารับมอบคำสั่งแต่งตั้งมาให้แก่เจ้า พรุ่งนี้เจ้าไปรายงานตัวเข้าประจำการตำแหน่งได้เลย เพราะอีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องรับภารกิจด่วน” คนรับสารมอบหนังสือคำสั่งให้ก่อนจะเดินจากไป

    แม็กซิมิเลี่ยนคลี่หนังสือม้วนออกมาดู .......แต่งตั้งอัศวินองค์รักษ์?!!!
    ..........
    .......
    ...
    ..
    .
    หลายวันผ่านไป การเข้ารายงานตัวเป็นไปด้วยดี แต่น่าเสียใจนักที่ต้องจากกองพันที่เคยอยู่ออกมา แม้ว่าสหายร่วมรบจะแสดงความยินดีให้แต่มันกับทำให้ปวดใจมากพอดู

    แม็กซิมิเลี่ยนควบม้าดำพร้อมเกาะเต็มยศนำกลุ่มองค์รักษ์อีกสองสามคนตาม เพื่อคุ้มกันรถม้าของตระกูลวาเลนโต่ไปยังมิลาโน่โดยสวัสดิภาพ โดยจะเริ่มการเดินทางที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลวาเลนติโน่

    ในช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเล็กน้อย ขบวนเดินทางได้หนุดเพื่อบรรจุสำรับต่างๆและรับท่านหญิงตระกูลวาเลนติโน่ขึ้น แม็กซิมิเลี่ยนไล่มอบคำสั่งแก่องค์รักษ์แต่ละคน ก่อนจะกลับมายังที่ม้าของตน และก็ได้พบกับเธออีกครั้ง

    “ท่านพี่?” สรรพนามที่ยังไม่คุ้น ยิ่งทำให้จดจำ หน้าของเซซิลิอา บุตรีของดยุคที่แม็กซิมิเลี่ยนรับหน้าที่คุ้มกันในวันนี้

    “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านเซซีลีอา ข้ามีนามว่าแม็กซีมีเลียน จะเป็นอัศวินที่คุ้มกันท่านหญิงไปยังมิลาโน่ขอรับ” ชายหนุ่มหยิบมือของหญิงสาวมาจุมพิตเบาๆ

    “ถะ..ถ้าเช่นนั้นก็ขอความกรุณาด้วย” เซซิลิอาทำท่าทางเขินอาย จนแม็กซิมิเลี่ยนเห็นแล้วอดใจโลดเต้นแปลกๆไม่ได้
    “ข้าจะปกป้องท่านด้วยชีวิตขอรับ ท่านหญิง” อรค์รักษ์หนุ่มคุกเข่าให้คำสาบาย

    “....ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ลุกขึ้นมาเถอะ”

    ท่าทีที่ดูเขินอายของเซซิลิอาเหมือนทำให้ชายหนุ่มคิดอะไรที่แปลกไปจากเดิม ความรู้สึกบางอย่างลุกโชนในหัวใจ แม็กซิมิเลี่ยนได้แต่ยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนหัวใจที่ไม่ชัดเจนไปเสียก่อน จะเริ่มออกเดินทาง

    ขบวนเดินทางเป็นไปหมายสงบ ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แม็กซิมิเลี่ยนที่คุมทางโดยรอบ แอบสังเกตแม่หญิงที่นับถือตนเป็นพี่ชายโดยไม่รู้ตัวเอง ใบหน้าของนาง ท่าทางของนาง สิ่งที่นางกระทำ ชายหนุ่มไม่ทันรู้ตัวเลยว่า ตัวเองคอยจดจ้องมองเซซิลิอาแทบจะทุกๆ สิบนาที
    …………………….
    …………………
    …………
    ..
    .
    รถม้าเคลื่อนขบวนมายังหน้าคฤหาสน์ของตระกูลเมดิชีใจกลางของมิลาโน่ ชายคนหนึ่งเข้ามาเปิดประตูให้กับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ก้าวลงมาจากรถ ท่ามกลางความตะลึงของทุกๆคนภายในงาน

    ร่างที่งดงามที่อยู่ภายในชุดกระโปรงสีขาวทอง ทรงผมที่รวบขึ้นไปแบบหลวมๆและปล่อยจอนยาวลงมาถึงอกพร้อมกับเครื่องประดับไข่มุกที่อยู่บนศีรษะนั้นเข้ากันจนหาที่ติไม่ได้

    แม็กซีมีเลียนจับมือให้เซซีลีอาก้าวลงมาจากรถม้า แม้ว่านางจะดูงดงามจนไม่อาจละสายตา แต่องค์รักษ์ก็ควรทำหน้าตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะพาหญิงสาวเดินเข้าไปในงานอย่างสง่างาม ตรงหน้านั้นคือดยคุแห่งเมดิชีที่โค้งตัวต้อนรับบุตรีแห่งตระกูลวาเลนติโน่ที่ย่อตัวตอบรับเช่นกัน

    “ยินดีที่ได้พบกับท่าน ท่านหญิงแห่งวาเลนติโน่”

    “ข้าก็ยินดีที่ได้พบกับท่านค่ะ ท่านดยุคแห่งเมดิชี”

    “สมกับคำร่ำลือ...ท่านนั้นงดงามดุจดั่งกับไข่มุกจริงๆ”

    “ท่านกล่าวเกินไปแล้วค่ะ”

    เซซีลีอาไม่ยืดเยื้ออีกต่อไป นางรับสาส์นจากแม็กซีมีเลียนมามอบให้กับดยุคแห่งเมดิชี เขาคลี่อ่านดูซักพัก และม้วนเก็บตามเดิม

    “ฝากไปบอกดยุคแห่งวาเลนติโน่ว่า ทางเรายินดีที่จะช่วยเหลือท่านในทุกๆด้าน ในฐานะมิตรที่ดีต่อกัน”

    “ขอบพระคุณท่านมากค่ะ”

    “ถ้าไม่รังเกียจ ท่านจะเต้นรำกับข้าซักเพลงจะได้หรือไม่”

    “ขออภัยท่านดยุคแห่งเมดิชี แต่นางมีคู่เต้นรำอยู่แล้วล่ะขอรับ”

    “?!!” แม็กซิมิเลี่ยนหันตัวเข้าหาต้นเสียงในทันทีตามสัญชาตญาณ

    เสียงนั้นทำให้คนทั้งกลุ่มหันไปมอง ชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามาหา และโค้งตัวเคารพ แม็กซีมีเลียนเดินเข้ามาขวางเข้าไว้ ด้วยความไม่รู้ที่มาที่ไปของชายผู้นั้น

    “อเล็กซานโดร?” เซซิลิอาเอ่ยตัวใบหน้าที่ไม่อยากเชื่อสายตา

    “ไม่ได้พบกันเสียนานนะ เซซีลีอา ต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ไม่ได้ไปงานเต้นรำร่วมกับเจ้าด้วย”

    เซซีลีอาเดินตรงไปยังชายที่มีชื่อว่าเล็กซานโดรนั้น ใช้มือลูบไปบนหน้า จนแม็กซิมิเลี่ยนงุนงง

    “นี่ใช่ท่านจริงๆหรือท่านพี่?”

    “ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครอีกหรือ”

    อเล็กซานโดร ยื่นมือแก่เซซิลิอา และส่งยิ้มให้กับนาง

    “มาเป็นคู่เต้นรำให้ข้าได้มั้ย ท่านหญิง”

    เซซีลีอาวางมือลงบนมือของเขา และทั้งคู่ก็ออกไปเต้นรำด้วยกัน ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับตามองทั้งคู่ และซุบซิบด้วยเรื่องแปลกๆ

    “ชายคนนั้นเป็นใครกันหรือคะ?”

    “ท่านไม่รู้หรือ นั่นน่ะ อัศวินอเล็กซานโดร เป็นทหารองครักษ์ประจำพระสันตะปาปา เคยได้ยินข่าวลือว่ามีความสัมพันธ์กับท่านหญิงวาเลนติโน่ด้วยนะ”

    “อุ้ยตาย จริงเหรอคะ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็...”

    “……อย่างงั้นหรอกเหรอ…” แม็กซิมิเลี่ยนที่ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจเรื่องทุกอย่าง
    “ไม่สิ..นี่เราคาดหวังอะไรอยู่กันเนี่ย คิดอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าเธอมองเราเพียงชายที่พึ่งพาได้ หาได้มองในทางชู้สาว....”

    แม็กซิมิเลี่ยนคอยเตือนตัวเองมาตลอด ไม่ใช่หลังจากเมื่อครู่ แต่มาตลอดตั้งแต่พบเซซิลิอา ทว่า การได้ใกล้ชิดกันนั้นมันทำให้ใจของเขาปั่นป่วนไปหมด ความรู้สึกที่อยากปกป้องเหรอ การเสียสละเหรอ นี่จะเรียกว่าความรักได้เหรอ ชายหนุ่มได้แต่ทบทวนตัวเองไปเรื่อยๆตลอดงานเลี้ยง........
    ...........
    ...
    .
    ในที่สุด อเล็กซานโดรก็ปลีกตัวจากไป แม็กซิมิเลี่ยนไม่วายมองหา เซซิลิอา ซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่ในสวนนอกคฤหาสน์ จ้องมองชายหนุ่มที่รักควบม้าจากไปอย่างเงียบๆ

    “เซซิลีอา เหตุใดถึงทำหน้าหม่นหม่องเช่นนั้น"

    "อ่ะ ท่านพี่...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ข้าก็แค่.." เซซีลีอา เบือนหน้าหนี แต่ชายหนุ่มสังเกตถึงใบหน้านั้นได้

    "สีหน้าเจ้าบ่งบอกอยู่ว่ามี......เล่าให้ข้าฟังได้มั้ย ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจตัวข้าแล้ว”

    แม็กซิมิเลี่ยนไม่สนใจว่านางพูดอะไรกับอเล็กซานโดร แต่ที่กังวลคือตัวเซซิลิอาตอนนี้ต่างหาก

    "ท่านพี่..ข้าจะทำยังไงดี...แม้ว่าข้ากับเขาจะเลิกรากันไปนานแล้ว แต่ใจของข้า ยังไม่เคยละทิ้งเขาเลยทั้งๆที่...มันหมดหวังไปนานแล้ว...และคำพูดเมื่อครู่ ข้ารู้ว่าเขาโกหก...โกหกเพื่อให้ข้าสบายใจ แต่ทำไม...ทั้งที่ข้ารู้ ข้ากลับ..."

    "เรื่องบางเรื่อง..... มันจำเป็นต้องใช้เวลา" แม็กซีมีเลียนเอ่ยขึ้น ใจเขาครุ่นคิดคำปลอบใจ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้
    "แต่ที่สำคัญคือ ใจของเจ้าที่จะเลือกปฎิบัติกับใจของเจ้าเอง จงค่อยๆพิจารณาเถิด แต่จงอย่าได้เร่งรีบไป"
    แม็กซีมีเลียนยิ้มเศร้าๆและลูบเกศาสีดำสนิทของน้องสาวเบาๆ ถึงจิตใจจะร่ำร้องอยากทำให้สตรีผู้นี้ ผู้ที่เขาหลงรักกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม


    "หากยังคิดไม่ออกก็จงเก็บมันออกไปจากใจซักพัก" เสียงบรรเลงเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้งจากภายในงานเลี้ยงเป็นโอกาสที่ดี ชายหนุ่มจึงยื่นมือมาตรงหน้า

    "เจ้าสนใจจะเต้นรำกับข้าบ้างหรือไม่ ท่านหญิง"

    หญิงสาวที่มีสีหน้าเศร้าเมื่อครู่ ก็กลับมามีสีหน้าที่สดใสอีกครั้ง “อื้ม!” และก็จับมือตอบกับแม็กซิมิเลี่ยน

    ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น เพียงเธอผู้นี้มีความสุข ไม่มีความทุกข์ ข้าจะทำทุกหนทาง ทั้งสองจับมือเดินกลับเข้าสู่งานเต้นรำ
    .........................
    ...................
    .......
    ..
    .
    หลังจากกลับมาจากภารกิจที่มิลาโน่สำเร็จก็ผ่านมาหลายวัน เซซีลีอาและแม็กซีมีเลียนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น ในวันนี้ก็เช่นกัน ภายใต้ท้องฟ้าสีครามที่สว่างสดใส ทั้งคู่นั่งอยู่ริมน้ำด้านหลังคฤหาสน์ของตระกูลวาเลนติโน่ที่ลับตาผู้คนเล็กน้อย

    แม็กซิมิเลี่ยนผ่านโลกมามากมายจากการเดินทาง ก่อนมาใช้ชีวิตในปัจจุปัน เรื่องราวชีวิตของเขามีมากมายไม่รู้จบ และเมื่อเซซิลิอาฟังเขาเล่าด้วยแล้ว ชายหนุ่มจึงสนุกที่จะเล่าโดยไม่ปิดปัง ท่าทางตอบรับของนางยิ่งทำให้ชายหนุ่มผู้นี้เบิกบานยิ่งนัก

    “ท่านพี่คะ...”

    “มีอะไรหรือ?” แม็กซิมิเลี่ยนหยุดคำเมื่อโดนเรียก

    “อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี่ จะมีคาร์นิวัลที่เวเนเซีย ท่านพี่...ไปกับข้านะ”

    ความเงียบของชายหนุ่มบังเกิดขึ้นชั่วครู่ราวกับใช้ความคิด

    “วันพรุ่งนี้ ข้าได้รับคำสั่งให้เดินทางไปที่โรมโดยเร่งด่วน ด้วยระยะทางข้าเกรงว่า...”

    หญิงสาวแสดงความผิดหวังออกมาทางใบหน้าเล็กน้อย เนื่องจาก ระยะทาจากเวเนเซียกับโรมจะต้องใช้เวลาสามถึงสี่วันเลยทีเดียว การจะกลับมาทันนั่นเป็นอะไรที่ยาก

    “อ่า...ข้าเข้าใจดีค่ะท่านพี่...”
    .........................
    "....ข้าตัดสินใจแล้ว" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เมื่อทั้งคู่เงียบกันไปนาน

    "ข้าขอสัญญาล่ะกันว่า ข้าจะพยายามมาให้ทันวันงาน"

    ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวราวกับเด็กๆ "สัญญากับข้านะ!!..."

    "อื้ม ข้าขอสัญญา” แม็กซิมิเลี่ยนรับคำโดยไม่คิดเมื่อเห็นรอยยิ้มของนางอันเป็นที่รัก
    ......................................
    ..............................
    ........
    .
    “ในทางปฎิบัติแล้ว ยากกว่าที่คาดไว้แฮะ” แม็กซิมิเลี่ยนเปิดแผนที่วางแผนการเดินทางทั้งคืน เค้าให้คำสัญญาแล้วว่าจะกลับมาเวเนเซียให้ทัน ดังนั้นทุกๆอย่างจึงวัดกันที่การเดินทาง

    โชคดีที่นี่เป็นการเดินทางแบบเดี่ยวและเพียงส่งสารไปให้ถึงเท่านั้น แต่ปัญหาที่ว่าจะเดินทางให้ไปถึงในเวลาเพียงวันสองวันอย่างไร

    “เราคงต้องอดหลับอดนอนเลยล่ะนะ ม้าข้า” แม็กซิมิเลี่ยนตบตัวม้าดำคู่ใจเบาๆ สิ่งที่นึกได้คือไปทางที่โหดเล็กน้อย และ เดินทางโดยให้ม้าพักน้อยเท่าที่จะไหว ส่วนตัวคนขี่นั้นลืมมันไปซะ

    “เอาล่ะ เตรียมพร้อมแล้ว ไปล่ะนะ”

    แต่การปฎิบัติมันโหดกว่าที่คิด เนื่องจากเส้นทางผ่านป่าและลำเขามันไม่ใช่เส้นทางคนเท่าไหร่ หากแต่แม็กซิมิเลี่ยนไม่ยอมหยุด การควบเป็นทางตรงมากทีสุดจะลดระยะทาง เขาจึงหยุดไม่ได้

    ปลายๆคืนที่สอง แม็กซิมิเลี่ยนมาถึงโรมอย่างอิดโรย ทันทีที่ถึง เขายื่นข่าวให้ถือมือในทันที ก่อนจะกลับมาขึ้นม้าโดยไม่สนใจตัวเอง แม้ว่า ชาวโรมจะหักห้ามก็ตาม

    ผ่านไปถึงวันที่ห้า นี่เป็นวันที่งานเริ่มหากแต่ แม็กซิมิเลี่ยนยังเหลือระยะทางอยู่ห่างพอควร ชายหนุ่มลืมตาบนหลังม้าเพราะเผลองีบไปไม่กี่นาที

    “ใกล้ถึงแล้ว สู้หน่อยนะ ม้าข้า” แม็กซิมิเลี่ยนปลอบม้า ทั้งๆที่ตัวเองอาการหนักเสียกว่า
    .......................
    ..............
    ...
    "
    เวลาพลับค่ำมาถึง แม็กซิมิเลี่ยนควบม้าแบบไม่สนใจตัวเอง สารรูปที่เหน็ดเหนื่อยชินชาในชุดเกราะวิ่งไปตามเส้นทางงานคานิวัลของเวเนเซีย สายตามุ่งหาสตรีที่รอคอย.....แต่ทุกคนสวมหน้ากากแบบนี้ แล้วจะหาเจอได้อย่างไรเล่า!!

    “หื้อ?!!” พริบตาที่หันหน้า หญิงสาวผู้หนึ่งยังคงไม่มีหน้ากากบนใบหน้า ใช่แล้ว!!

    “ไม่มา..จริงๆสินะ..." แม็กซิมิเลี่ยนได้ยินคำกล่าวจากข้างหลังก็แอบรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ในที่สุด ข้าก็มาถึง

    "เจ้าว่าใครไม่มาหรือ?"

    "ท่าน...พี่?"

    แม็กซีมีเลียนลงมาจากม้าในสภาพที่ยังใส่ชุดเกราะเต็มยศและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง และความเหนื่อยราวกับหายไปเป็นปลิดทิ้งเ

    "ท่านพี่จริงๆใช่มั้ย!!"

    "แฮ่กๆ ก็ข้าน่ะสิ ถึงจะโทรมแต่...โอะ เซซีลีอา?" หญิงสาวโผเข้ากอดแม็กซิมิเลี่ยน สัมผัสของนางทำให้ใจของชายหนุ่มเตลิดในทัยที

    "ปล่อยข้าก่อน เซซีลีอา คนเริ่มหันมามองเราแล้วนะ หากคนรู้จักเจ้าเห็นจะเป็นการไม่ดี"

    เซซีลีอาหยิบหน้ากากที่พกมาอีกอันหนึ่งสวมให้กับแม็กซีมีเลียน ก่อนที่จะเอาผ้าพันคอวางไว้ที่มือของเขา
    "ทีนี้ก็ไม่มีใครจำพวกเราได้แล้วล่ะนะ"

    “...นี่เจ้า...ถักเองหรือ...?”

    “อื้ม ข้าให้ถักให้ท่านเองเลยนะ ก็ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้วนี่นา ชอบหรือเปล่าล่ะ”

    “ข้าชอบมากเลย ขอบคุณนะ”

    ครั้งแรกในชีวิตหากไม่นับมารดาของเขาที่มีคนทักสิ่งนี้ให้แก่แม็กซิมิเลี่ยน

    “จริงสิ ข้าลืมไปอย่างนึง”

    สายตาของชายหนุ่มไล่มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่เป็นการที่ได้อยู่ด้วยกันสองคนครั้งแรก แต่นางกลับดูงดงามเหลือจะทนไหว

    "วันนี้เจ้าดูงดงามมากเลยนะ"

    เซซีลีอาหน้าแดงขึ้นมาทันที "ขะ..ขอบคุณค่ะ"

    "เพราะเช่นนี้ทำให้ข้าหาตัวเจ้าเจอช้าไปอย่างไงล่ะ ไหนจะสวมหน้ากากอีก"

    หญิงสาวขำเล็กน้อย ก่อนที่จะจับมือของพี่ชายและมุ่งหน้าเข้าไปในงาน

    "ถ้าท่านมาตามคำสัญญาเช่นนี้ ข้าก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ"
    ………………………..
    ……………….
    …..
    ..
    .
    หลังจากจบงานเทศกาล เซซีลีอากับแม็กซีมีเลียนเดินจับมือคู่กันไปตามแม่น้ำในเวเนเซียตามทางเดินที่เริ่มร้างผู้คน มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงที่เสาตามถนนเท่านั้นที่ส่องนำทางพวกเขาได้
    จนกระทั่งทั้งคู่เริ่มเหนื่อย จึงนั่งพักที่เก้าอี้ในบริเวณนั้น

    เซซีลีอานั่งเงียบจนแม็กซิมิเลี่ยนเริ่มแปลกใจ

    “ข้าเนี่ย เป็นหญิงที่นิสัยไม่ดีจริงๆเลยนะ” เซซิลิอาเอ่ยขึ้น

    “หืม?”

    “ข้าสามารถยอมรับออกได้ตรงๆว่า....ข้าเป็นคนหลายใจ....ข้าเอ่ยกับเขาไปว่าข้ารักเขา แต่ตัวข้าเองก็ชอบคนอื่นอยู่เช่นกัน นี่ข้าเป็นอะไรของข้าเนี่ย....”

    นางอันเป็นที่รักกล่าวว่ารักผู้อื่นแบบนี้ แม้ใจจะเจ็บปวดแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ แม็กซิมิเลี่ยนทำได้เพียง ทำหน้าที่การเป็นพี่ชายในสายตาเธอ

    “... เป็นเรื่องที่พูดยากนะ”

    “เอาเถอะ...ข้าจะพยายามแก้ไข เพราะข้าเองก็เป็นหญิง ไม่ควรที่จะทำตัวแบบนี้เสียด้วยซ้ำ"

    “แล้วข้าล่ะ เจ้าคิดยังไงกับข้า” แม็กซีมีเลียนพูดออกไปเหมือนถามเล่นๆ แต่ในใจก็อยากจะรู้เช่นกัน

    “ข้าก็รักท่านพี่นะ....ในฐานะพี่ชาย” นางตอบอย่างเบาๆ จนแม็กซิมิเลี่ยนคิดว่าผิดพลาดที่ถามไป

    “เอ่อ...ข้าแค่พยายามทำให้ขำนะ อย่าคิดมากไปเลย”

    “แต่ก็...รู้สึกคิดมากจริงๆล่ะ”

    แม็กซีมีเลียนใช้มือลูบหัวของนางเบาๆ

    “ใจเย็นๆเถอะ...”

    “มันอาจจะเป็นเพราะระยะทางก็ได้...” เซซีลีอาพูดลอยๆออกมา

    “อยู่ห่างกัน ไม่ได้เจอกันมานานนับปี..เขาเองก็ยอมรับว่าได้มองผู้อื่นไว้ด้วยเช่นกัน มัน...เป็นเรื่องปกติ...สินะ?.”

    “ก็ปฎิเสธไม่ได้....คนเราเองจู่ๆความรักหรือความชอบมันสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัวหรอก” ชายหนุ่มเริ่มพยายามพูดเพื่อให้หล่อนสบายใจที่สุด

    “นั่นสินะ...นี่คงจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าเองก็ได้ อยากให้มีคนดูแล เข้าใจในตัวข้า อยู่ด้วยแล้วสบายใจ พอมีคนแบบนั้นอยู่ข้างๆ บางครั้งข้าก็....เผลอใจชอบไปเสียแล้ว”

    “ข้าเข้าใจดี...เซซีลีอา...ถ้าเจ้ายังไม่คิดจะเลือก การอยู่แบบนี้ก็ถือว่ามีความสุขสำหรับเจ้าใช่มั้ยล่ะ แต่ยังไงก็ควรเผื่อคิดในตอนที่จะต้องเลือกจะทำเช่นไรด้วย ข้าว่านะ”

    “เลือกหรือ..... ระหว่างคนที่ข้ารัก กับคนที่รักข้าสินะ”

    “ในบางครั้งมีคนรักเจ้าโดยไม่รู้ตัวก็มีเช่นกันนะ....” ใช่แล้ว เช่นข้าไงที่เผลอตัวรักเจ้า แม็กซิมิเลี่ยนคิดในใจ แต่รุ้ว่าไม่ควรกล่าวออกมา

    “...แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องแบบนี้....อีกอย่าง..ข้าเองก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ข้ารู้สึกรัก ได้รักจากใจ หรือเพราะประทับใจในตัวเขาเท่านั้นเองหรือเปล่า...”

    “อืม”

    ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งคู่ เมื่อจู่ๆหัวข้อสนทนาก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นเรื่องเครียด แม็กซิมิเลี่ยนไม่รู้จะขจัดความคิดของตัวเอง และ ความเศร้าของเซซิลิอาอย่างไร


    “ในความคิดข้านะ” แม็กซีมีเลียนเอ่ยขึ้น

    “ข้าจะแยกเรื่องความชอบกับความรักออกจากกัน ชอบ อาจจะแค่หลง หรือประทับใจในตัวเขา ซึ่งสามารถมาจากใจหรือเกิดจากการกระทำก็เป็นได้ ส่วนมากมักจะเป็นเช่นนี้ มันจะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์....เป็นเรื่องที่ซับซ้อนจริงๆเลยละนะ...”

    เซซีลีอาพยักหน้ารับเบาๆ

    “ความสัมพันธ์มันสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้เสมอ ยังไงก็อย่าเพิ่งคิดมาก เรื่องที่ตัวเจ้าน่ะหลายใจ มีใจไม่เป็นหนึ่ง เพราะนั่นน่ะจะใช้ในเมื่อเจ้าตกลงปลงใจไปแล้ว แต่ก็ไปมีอีกคนหนึ่ง.........การประทับใจ หรือ ชอบเขา มันไม่ได้จำเป็นต้องเกิดกับคนๆเดียวใช่มั้ยละ เผลอๆ คนที่ชอบทั้งสองคน อาจจะไม่ใช่คนที่เจ้าเลือกเลยก็ได้”

    อาจไม่ใช่การดีนัก แต่ใจของแม็กซิมิเลี่ยนหวังเล็กๆในความรักของตน แต่ก็ไม่ได้ตั้งมั่นอะไร เพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้

    “ฉะนั้น อย่าเพิ่งมาคิดตัดสินใจแบบทึกทักไปเองในตอนนี้
    เพราะเจ้าเองไม่ได้เลือกตกลงปลงใจกับใครใช่มั้ยล่ะ ใช้เวลาเป็นตัวค่อยๆคิดไป เจ้าเองก็ยังมีเวลาอีกเยอะในชีวิตนี้นะ”

    แม็กซีมีเลียนดึงแก้มหญิงสาวเล็กน้อย “เอาละ จบเรื่องเครียดๆ”

    เซซีลีอายิ้มเล็กน้อย “ขะ...ขอโทษนะ ที่มาบ่นเรื่องไม่เข้าท่าแบบนี้ให้ท่านฟังน่ะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ข้าดีใจเสียอีก ที่เจ้าเอาเรื่องนี้มาปรึกษาข้านะ”

    “ท่านเป็นพี่ชายของข้านินา”

    แม็กซีมีเลียนยิ้มแบบเด็กๆ แต่ในใจแอบเจ็บปวดกับคำพูดนี้....

    “ถ้า...ถ้าวันหนึ่ง ข้าขอเจ้าแต่งงานล่ะ” เป็นอีกครั้งที่เซซิลิอาเอ่ยประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา


    “หา?”

    นั่นคือประโยคที่หลุดออกมาจากปากของเซซีลีอา..เป็นคำพูดที่ไม่น่าหลุดออกมาจากปากของหญิงสาวเช่นนาง แม้แต่ผู้พูดยังต้องรวบรวมความกล้าที่เอ่ยออกไปทีเดียว

    “ท่านจะตกลงหรือไม่?”

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่อีกครา เซซีลีอาก้มหน้าหลบสายตาแม็กซีมีเลียนเต็มที่ แน่นอนว่าชายหนุ่มอึ้งพูดอะไรไม่ออก

    “....ข้าขอถามในคำถามกลับกันกับเจ้าได้หรือไม่” แม็กซิมิเลี่ยน ถามกลับอย่างเลี่ยงๆ

    “จะ..จะให้ข้าตอบยังไงละ!!! ท่านตอบข้ามาก่อนสิ!!”

    “ปกติแล้ว..ข้าต้องเป็นฝ่ายขอมิใช่หรือ”

    “ตะ..ตอบข้ามาก่อนสิ!!”

    “ข้าไม่ยอมหรอก” แม็กซิมิเลี่ยนตัดสินใจพูด

    “ทำไมล่ะ??”

    “เพราะถ้าข้าจะแต่งงานกับเจ้าจริง ข้าจะไปขอเอง”

    ใช่แล้ว ถ้าข้าได้แต่งกับเจ้าจริง ข้าจะไปขอกับมือข้า แม็กซิมิเลี่ยนคิดดั่งเช่นคำตอบ

    “เอาล่ะ ตาเจ้าตอบแล้วนะ”

    “ขะ...ข้าไม่รู้”

    “อย่ามาทำเป็นไขสือไปหน่อยเลยน่า...”
    “ยะ...อยากรู้ขนาดนั้นเลยหรือ?”

    “หึหึหึ...อยากรู้จริงๆนะ” แม้ทำตลกกลบเกลื่อน แต่ไม่หัวใจในชายหนุ่มกลับอยากรู้อย่างจริงจัง

    “กะ...ก็...ตกลง...ละมั้ง...”

    “อื้ม...ขอบคุณที่ตอบนะ...” อย่างน้อยก็ชื้นใจขึ้นมานิดหน่อยล่ะนะ ชายหนุ่มกล่าวต่อตัวเอง


    “ข้าแค่ถามท่านเล่นๆเองนะ... หรือจะให้ข้าถามจริงๆล่ะ!”

    “งั้นข้าก็จะตอบแบบจริงจังให้ฟังเอามั้ยละ”

    “งั้นก็..เชิญเลย”

    “มันต้อง....พิจารณาหลายๆอย่างนะ” เขาทำท่าครุ่นคิด “มันเป็นเรื่องที่จริงจัง เครียด ไม่อยากตอบหรอก เดี๋ยวมันจะไปยุ่งกับภาระชีวิตของข้าอีก”

    แม็กซิมิเลี่ยนได้แต่พูดให้ดูขำ พื่อกลบท่าทางเขินของตัวเอง

    “ถ้าเช่นงั้น ข้าเปลี่ยนคำถามก็ได้”

    แม็กซีมีเลียนทำหน้าสงสัย

    “สมมติว่า....ถ้าข้าขอคบกับท่าน ท่านจะตกลงมั้ย”

    นี่เจ้าเอาจริงเหรอ แม็กซิมิเลี่ยนสงสัยในใจ

    “......ถ้าข้าตอบว่า ตกลง ล่ะ?”

    “ก็ตามที่ท่านตอบ....อ่ะ!!! จะ...จะเอาจริงหรือ??”

    “ถ้า....ยังไงล่ะหรือจะเปลี่ยน ...ถ้า...เป็น...” ชายหนุ่มหยั่งเชิงโดยไม่สนใจเรื่องที่กังวลใจในหัว

    “เอ๊ะ?”

    “เอาเถอะ เจ้าคงไม่เข้าใจ” แม็กซีมีเลียนถอนหายใจเล็กน้อย

    “ถะ...ถ้าข้าจริงจังล่ะ!?”

    “....จะคบกับข้าจริงๆหรือ...ข้าก็จะถามกลับเช่นนี้” อยากจะย้ำเพื่อความแน่ใจ นี่ไม่ใช่ข้าหูฝาดไปใช่มั้ย? ชายหนุ่มย้ำในใจ

    “.....ใช่...ข้าจะคบกับท่าน...เพราะข้าน่ะรักท่านพี่มากที่สุด มากกว่าใครทั้งมวล”

    คำตอบของเซซีลีอาดูแน่วแน่และมั่นคง ทำให้ใจของชายหนุ่มโลดแล่น แต่พริบตาต่อมา เรื่องราวที่รู้เกี่ยวกับตัวนางทำให้ชายหนุ่มไม่มั่นใจในรักนี้ แม็กซีมีเลียนไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมาเลยหากแต่ยิ้มและกุมมือนางเอาไว้

    "ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าก็ไม่ได้รังเกียจตัวเจ้า เซซีลีอา”
    “ท่านพี่...ไม่สิ..แม็กซีมีเลียน...ข้ารักเจ้ามากที่สุดเลยนะ”

    “ข้าเองก็...รักเจ้ามากนะ..เซซีลีอา”

    ถ้าได้มีความสุขแบบนี้ ข้าคงไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว แม็กซิมิเลี่ยนกล่าวต่อตัวเอง เขาเลือกที่จะรักเธอ เลือกที่จะรักมานาน และก็สมหวังในเวลานี้แล้ว
    …………………….
    ……………….
    …………
    ……
    .
    งานเทศกาลจบไปหลายวันมาแล้ว เซซีลีอาและแม็กซีมีเลียนต่างก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามประสาคนรัก แต่ท่าทางในบางครั้งของนางผู้เป็นที่รัก กลับเป็นไปตามที่ชายหนุ่มกังวลไว้ไม่มีผิด นางยังคงนึกถึงอเล็กซานโดร....

    หลังจากการสารภาพต่อกันไม่นาน ท่าทีที่มีความสุขของเซซิลิอา สามารถเป็นดวงไฟแห่งชีวิตของแม็กซิมิเลี่ยนได้ แต่ท่าทางที่ทุกข์อย่างเห็นได้ผ่านท่าทางและดวงตา ทำให้ชายหนุ่มทุกข์มากพอดูเช่นกัน ไม่ใช่เพราะนางมีใจให้ผู้อื่น แต่เป็นความทุกข์ที่นงสุมอยู่ในอกต่างหาก ข้าไม่อยากเห็นนางต้องทุกข์เยี่ยงนี้เลย

    ตกค่ำนั้น แม็กซิมิเลี่ยนได้เข้าร่วมการพบปะกับกององค์รักษ์แห่งโรมที่เดินทางมา แน่นอนว่าได้พบกับ อเล็กซานโดร ตามที่คิดไว้

    “เจ้า? องค์รักษ์ที่มากับเซซิลิอา….แม็กซิมิเลี่ยนสินะ ยินดีที่ได้พบ” อเล็กซานโดรเข้ามาทักทาย

    “เฉกเช่นกัน ท่านอเล็กซานโดร” แม็กซิมิเลี่ยนทักทายกลับ ก่อนที่อเล็กจะหันไปพูดคุยกับสหายยใกล้เคียง

    “คนของข้าบอกว่า เซซิลิอามีท่าทางแปลกๆงั้นเหรอ?” ประโยคของอเล็กซานโดรเข้าหูแม็กซิมิเลี่ยน

    ใจของชายหนุ่มร่ำร้อง เมื่อรู้ว่าทางอเล็กซานโดรพอรู้ถึงเซซิลิอาเหมือนกัน เขาอยากจะรู้ว่าอเล็กซานโดรคิดอย่างไรกันแน่กับเซซิลิอา......

    “ข้าพอจะสงสัยอยู่แล้ว.... ว่านางเจออะไรระหว่างที่ข้าไม่อยู่ แต่ข้ารอนางบอกข้าเมื่อพร้อมเสียดีกว่า”

    ไม่สนแล้วว่า นางจะทิ้งข้าเพื่อกลับไปหาอเล็กซานโดรหรือไม่ วันนี้ข้าอยากจะให้นางมีความสุขดังนั้น ข้าจะไม่ทนแล้ว

    “ท่านอยากจะทราบความหรือไม่ อเล็กซานโดร เรื่องของ...เซซิลิอา”
    …………………….
    ……………..
    ………….

    .
    แม็กซิมิเลี่ยน เดินออกมาอย่างเงียบๆ ไปยังสวนของคฤหาสน์ดยุคฟรังซิส เขาตั้งใจมาหาเซซิลิอา หลังจากได้พูดคุยกับอเล้กซานโดรแล้วบอกความจริงไป แม็กซิมิเลี่ยนได้ถามถึงความรู้สึกต่อเซซิลิอา รวมถึงการบอกเกี่ยวกับเขา เขาเตรียมใจถอยให้แก่คนรักที่ยังคงอยู่ในใจหญิงสาวมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง หากเพียงอเล็กซานโดรเลือกที่จะกลับไป แม็กซิมิเลี่ยนจะถอยออกมาทันที.......แน่นอนหากเป็นชายอื่นรู้เรื่องนี้ คงตราหน้าตัวเองว่าโง่อย่างแน่นอน แต่ทว่า…

    “ข้าไม่อยากทำให้เธอต้องจิตใจเศร้าโศกและวุ่นวายในเรื่องนี้” ชายหนุ่มเฝ้าบอกตัวเอง แต่ยังไม่รุ้ควรบอกแก่เซซิลิอาตอนไหน เพราะคำสุดท้ายที่ได้ยินจากอเล็กซานโดรคือ ยังไม่เหมาะที่จะให้รู้เท่าไหร่

    แต่ร่างของ เซซีลีอาเดินเท้าเปล่าในชุดนอนบางๆในสวน ทำให้ชายหนุ่มตกใจว่าเหตุใดถึงได้เดินอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

    “แท้ที่จริง ไม่มีใครที่เจ็บปวดทั้งนั้นแหละ...” เซซิลิอาพูดออกมาลอยๆ

    เซซีลีอาหยุดเดิน เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์นั้น “เพราะคนที่เจ็บปวดน่ะ คือข้าเองต่างหากล่ะ...”

    เจ้าอย่าได้ทำหน้าแบบนั้น ข้าเจ็บปวดที่สุดคือการเห็นเจ้าทุกข์ เซซิลิอา แม็กซิมิเลี่ยนกรัดร้องในใจ ก่อนเข้าไปหานาง

    "มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ยอดรักของข้า เหตุใดถึงใบหน้าเศร้าหมองอย่างงั้น"

    แม็กซีมีเลียนเอ่ยถาม....เซซีลีอาจ้องมองใบหน้าของชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเศร้าหมอง พาลทำให้ชายหนุ่มทุกข์หนักกว่าเดิม

    "แม็กซีมีเลียน...เจ้า...นำเรื่องของเราไปบอกกับเขาแล้วหรือ...?"

    อเล็กซานโดร!! ในเจ้าบอกจะยังไม่สมควรจะพูดไง!! แม็กซิมิเลี่ยนนึกตำหนิในระหว่างที่หน้าถอดสีเมื่อเจอเรื่องแบบนี้เข้า

    “ทำไมล่ะ...ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้" นางเป็นที่รักราวกับจะสาปแช่งแม็กซิมิเลี่ยน ให้ตายเถอะ นี่เป็นความผิดที่เล่าออกไปสินะ....ไม่สิ อเล็กซานโดรพอจะเดาออกแล้วเรื่องนี้ แต่ทว่า....

    ".........ข้าขอโทษ"

    เป็นคำขอโทษที่ออกมาจากใจจริงของแม็กซิมิเลี่ยน เขาเตรียมใจในกรณีเลวร้ายที่สุดให้ในทันที แม้ว่าจะสวดภาวนาให้ไม่ใช่ตามที่เขาคิดไว้ก็ตาม

    "อเล็กซานโดรได้เอ่ยสงสัยต่อตัวเจ้ามานาน ไม่สิ เค้าพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว สุดท้ายข้าจึงเปิดอกคุยกับเขาไปตรงๆ”

    “...ข้าเข้าใจแล้วล่ะ...”
    “เจ้าโกรธข้าหรือ?”

    "ข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก แม็กซีมีเลียน....แค่ข้ารู้สึกผิด...รู้สึกผิดเหลือเกิน เหมือนกับใจข้ากำลังถูกบดขยี้ด้วยความรู้สึกนี้"

    นางกุมมือของนางแนบไว้กับอก ยิ่งเหมือนหนามยักษ์ทิ่มใส่แม็กซิมิเลี่ยน

    "ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ก็ต้องมีวันนี้อยู่ดีสินะ" นางพึมพำออกมาเบาๆ...

    "เพราะฉะนั้น ไม่เป็นไรหรอก...ระหว่างเขากับข้า มันจบไปแล้วล่ะ..."

    สิ้นเสียงของนาง น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ นางทรุดนั่งลงกับพื้นหญ้าที่อ่อนนุ่ม แม็กซีมีเลียนประคองตัวของนางเอาไว้ เขาไม่รุ้จะกล่าวคำใดออกไปดี ในเมื่อใจของเขาก็ร่ำร้องจบพูดอะไรไม่ออก

    “ใช่..ข้ารักเขา..ข้ารักเขามาก..ข้ารักอเล็กซานโดร!!!”

    นางฟูมฟายอย่างสะอึกสะอื้น “ทำไม...ทำไมข้าถึงรักเขาขนาดนี้เล่า!!! ไม่เอาแล้ว ข้าไม่อยากรู้สึกแบบนี้แล้ว!!”

    “ข้าขอโทษ...อเล็กซานโดร...ข้าขอโทษ...ฮึก...”

    ข้า.....ไม่สามารถแทนเขาได้หรือ...ชายหนุ่มสาปแช่งตัวเอง ข้านั้นช่างแตกต่างกับอเล็กซานโดรทุกอย่าง ข้าควรทำอย่างไงที่จะให้ตัวข้าอยู่เป็นอันดับหนึ่งในใจเจ้า เซซิลิอา บอกข้าที

    แต่แม็กซีมีเลียนเลือกดึงตัวของนางมาซบกับอกเอาไว้

    “เซซีลีอา....” ชายหนุ่มเรียกหญิงอันเป็นที่รักของตนเบาๆ นางพลิกตัวมามองเขา

    “ข้าอาจจะไม่สามารถแทนตัวผู้ที่ท่านเคยรักได้ เพราะข้ามิใช่เขา” แม็กซีมีเลียนทำสีหน้าจริงจัง นี่คือการระบายทุกอย่างจากใจของเขา

    “แต่ข้าจะขอทุ่มเทความรักที่ข้ามีให้เจ้า ด้วยความเป็นตัวข้า แม็กซีมีเลียนผู้นี้”

    “ข้าไม่อยากเห็นน้ำตาของเจ้า ดังนั้น ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขให้ได้”

    “.....ข้าขอสัญญา....”

    หากว่าความรักคือการเสียสละแล้ว แม็กซิมิเลี่ยนก็พบแล้ว นางนี่แหละคนที่ตัวเองรักที่สุด เพื่อความสุขของนางแล้ว ข้าพร้อมจะทำให้ทุกอย่าง

    “ขอบคุณนะแม็กซีมีเลียน ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างข้า..”

    เพื่อเจ้า ข้าขออยู่เคียงข้างเจ้า

    “สัญญากับข้าอีกได้มั้ย...“ว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป”

    “ข้าให้สัญญา.....” แม็กซิมิเลี่ยนให้คำสัญญาอีกครั้ง ซึ่งไม่รุ้ว่าจะรักษาไว้ได้หรือไม่ แต่เขาพร้อมจะทุ่มเทเพื่อสัญญานี้

    “ตราบเท่าที่ข้ายังคงอยู่กับเจ้า ข้าจะคอยดูแลเจ้าเอง”

    ใช่แล้ว....ตราบใดที่ข้ายังอยู่กับเจ้า หัวใจข้าจะอยู่กับเจ้าดูแลเจ้าตลอดไป ข้าไม่รู้ว่าอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่สำคัญที่สุดเวลานี้

    ข้า.....

    ......ข้ารักเจ้าอย่างสุดหัวใจ เซซิลิอา....​



    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    นี่ก็เป็น พาทหลังของ ฟิค วาเลนไทน์ที่แต่งโดย Karen นะครับ เป็นโปรเจ็ค Co-op โดยมุมของผมเป็นมุมของนักรบหนุ่ม แม็กซิมิเลี่ยนะครับ

    งานนี้อาจไม่ค่อยเห็น กลิ่นอายแบบของผม เพราะ ฟิครักเป็นอะไรที่ไม่ถนัดมากมาย 555 อีกทั้งยังไม่ค่อยว่างแต่งเท่าไหร่ ก็เลยสารภาพ ภาษามันเผาพอควร แต่เนื้อเรื่องไม่เผานะครับ ;w;

    ชื่อเรื่องเป็น ภาษา อิตาเลี่ยนนะครับ แปลว่า รักของนักรบ

    ขอฝากผลงานไว้ด้วยเน้อ

    ปล.ภาพหลังจากนี้ มันไม่ใช่ภาพในเรื่อง แต่มันเหมือนเหตุการณ์ในเรื่องดี เลยขอนำมาประกอบ

    [​IMG]
  2. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    อ่านแล้วรู้สึกชอบเหมือนอีกฝั่ง ในฐานะที่เป็นคนที่สนใจเรื่องราวของพวกอัศวินมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน

    แต่อ่านบางฉากนี่สะดุ้งเลย แบบว่า โดนกระชากอารมณ์ให้เปลี่ยนแบบไม่คาดคิด
    (แบบว่า จากเพิ่งฆ่าศัตรู มางานเลี้ยง แล้วจู่ ๆ มีฉากสนทนาคอเมดี้แบบทหาร โดยเฉพาะหลังจากเพิ่งเจอนางเอก ต่อมา มีมุขโดนสงสัยว่าเป็นเกย์นี่ อ่านแล้วระเบิดเสียงฮาทันทีเลย)

    แต่ยอมรับว่าสมเป็นท่านแม็ก ขอซูฮกจริง ๆ เรื่องฉากเฮฮาของเหล่านักรบนี่ อ่านกี่ทีก็รู้สึกสนุก

    สารภาพว่าวิจารณ์ไม่ค่อยเก่ง แต่เรื่องคำผิดขอตินิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าบางครั้งเจอต่อ ๆ กันแล้วพาลให้อินกับอารมณ์ในฉากไม่ค่อยติด เช่น

    แต่หลังจากนั้นก็โอเคทั้งหมดละนะ (ปล.แมกซิมิเลี่ยน พระเอกสุภาพบุรุษมาก ชอบๆ)
  3. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    แม็กกี้เป็นนักแต่งเจ้าของฟิคแนวบู๊ดุเดือด ดังนั้นเห็นได้ชัดมากๆว่าพาร์ทแรกที่อยู่ในสนามรบ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างถึงรสชาติ ถึงขนาดผมได้กลิ่นอายสงคราม และเห็นภาพแม็กซี่ยืนเหนือร่างศัตรูอย่างชัดเจนทีเดียว

    ถึงอย่างนั้น แม็กกี้ก็ยังเก่งไม่น้อยที่ดึงเอาเรื่องราวของนักรบหนุ่มเข้ามาอยู่ในงานเลี้ยงได้ ทั้งๆที่มันเป็นอะไรที่หาเรื่องเชื่อมต่อกันยาก แถมทำออกมาได้อย่างลงตัวด้วย

    ฟิคเรื่องนี้ ผมเดาว่าแม็กกี้อาจจะรู้สึกขัดๆมือตัวเองที่พยายามแต่งเรื่องราวรักโรแมนติก เพราะบทสนทนาและความซับซ้อนทางจิตใจส่วนใหญ่เป็นฝ่ายคาเรนที่แต่งนำไว้เสียมากกว่า เรื่องอารมณ์ความรู้สึกนั้น เทียบกับทางซิซิลีอาแล้วฝ่ายหญิงเขาเก่งกว่าเยอะครับ (หัวเราะ) แต่แม็กกี้เด่นที่การบรรยาย ซึ่งเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แง่หนึ่งคือมันอ่านง่ายดี แต่แง่หนึ่งก็คือมันถ่ายทอดความรู้สึกได้ไม่ซึ้งสักเท่าไร (จริงๆก็ไม่ใช่อะไรที่ขัดแย้งกันเพราะตัวแม็กซี่เองก็ไม่ใช่คนโรแมนติก //ถูกเตะ)

    ส่วนที่ผมชอบที่สุดนอกจากตอนเปิดเรื่องก็จะเป็นตอนพบกับอเ็ล็กซานโดร ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายยืดยาว ผู้ชาย 2 คนก็เข้าใจได้ดี แม็กกี้ตัดฉากเก่ง และบรรยายอะไรที่รวบรัดเป็นขั้นตอนได้ดีมากๆ สุดท้ายนี้ ผมจะบอกว่าผมชอบภาพปลากรอบนะครับ
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    หลังจากอ่านของคาเรนที่ให้ความรู้สึกเข้มข้นไปแล้ว พอมาอ่านอันนี้ก็รู้สึกเหมือนรับของเบาๆเป็นการปิดท้ายรวมกันทั้งสองเรื่องได้ลงตัวพอดี

    แต่ก็คิดๆอยู่นะว่าถ้ามีด้านของอเล็กซานโดรด้วยคงจะครบถ้วนกว่านี้ (แต่อ่านแล้วคงเศร้าน่าดู เพราะังั้นแค่สองก็น่าจะพอมั้ง)

Share This Page