หมายเหตุ - ฟิคชั่นเรื่องนี้ ผู้เขียนเพิ่งคิดขึ้นมาใหม่ โดยทีแรกต้องการให้เป็นฟิคโรงเรียน แต่ไป ๆ มาๆ อยากให้ออกแฟนตาซีหน่อย ๆ เลยเขียนให้เป็นโลกแฟนตาซี โรงเรียนเวทมนตร์ แต่เนื่องจากอาจฉุกละหุกไปนิด + การที่ต้องเค้นความเป็นนักเรียน ม.ปลาย ที่ลืมไปหลายปีแล้วกลับมาด้วย ก็เลยอาจจะออกมาธรรมดา ดูไม่ค่อยเหมือนโรงเรียนเวทมนตร์สักเท่าไหร่ ต้องขออภัยด้วยที่ผู้เขียนยังสื่อออกมาไม่ค่อยเก่ง + นี่เป็นครั้งแรกที่หันมาเขียนเรื่องที่ตัวเอกเป็นสายผู้ใช้เวทมนตร์(ทุกทีจะให้เป็นนักรบตลอด) ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเหมือนโหมโรงประสบการณ์ใหม่ของผู้เขียนเช่นกัน ถึงจะยังมีจุดติอยู่มากมาย แต่ยังไงก็ขอฝากเรื่องราวความรักของเหล่าวัยรุ่นที่มีทั้งหวาน โหด มัน ฮา (เกินไปไหมหว่า 555+) ปนเปกันไปด้วยนะคะ อนึ่ง - ถึงจะยาวไปหน่อย แต่เดิมตอนนี้ซีรีย์นี้ยังจัดเป็นเรื่องสั้น ตอนนี้ผู้เขียนยังไม่มีโปรเจคที่จะเขียนเป็นเรื่องยาว แต่ภายภาคหน้าก็ไม่แน่ (แต่ถึงตอนนั้นคงต้องปรับปรุงอีกเยอะเลยทีเดียว) เนื่องในโอกาสเป็นฟิควาเลนไทน์ ก็เลยจับคู่กับเพื่อนสนิทที่ทุกท่านอาจจะพอรู้อยู่บ้างว่าใคร ก็เลยมีการตกลงยืมตัวละครออริิจินัลฝ่ายชายของทางนั้นมาด้วย และแต่ละคนก็เขียนสองฝั่งสองมุมมองของตัวละครตัวเอง โดยในส่วนนี้จะเป็นเนื้อหาของ เอด้า วาล รูเบียน่า นางเอกออริจินัลคนใหม่ของเราค่ะ ในขณะที่อีกส่วนจะเป็นของ คลิฟฟอร์ด เซเรเนียส ที่คุณส....คู่หูของเราจะนำมาลงทีหลังค่ะ พล่ามมาเยอะแล้ว เดี๋ยวจะพาลเบื่อซะก่อน เอาเป็นว่า เชิญติดตามได้เลยค่า รักวุ่น ๆ ในโรงเรียนมนตรา Scarlet Rose and White Parrot Eida the Scarlet Rose's Side “เลเจนเดีย” โลกที่มวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตนานาชนิดได้อาศัยอยู่มากมาย โดยมี "เวทมนตร์" อันเป็นพลังอำนาจอันทรงฤทธิ์ได้มีอิทธิพลต่อทุกชีวิตในดินแดนแห่งนี้ ราวกับเป็นสิ่งที่ค้ำจุนทุกชีวิตเอาไว้ก็มิปาน และที่นี่คือ วิทยาลัยมนตราเซนต์ลูเชียส ซึ่งตั้งอยู่ใน “ลูเชียด้า” เมืองหลวงของอาณาจักร “อาคาเดีย” อันรุ่งเรือง แต่ด้วยค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าเล่าเรียนที่ค่อนข้างสูง รวมถึงชื่อเสียงในฐานะโรงเรียนชั้นนำ ทำให้สมาชิกของที่นี่แทบทั้งหมดเป็นบุตรหลานของเหล่าตระกูลขุนนางหรือพวกผู้ดีมีฐานะจึงจะมีสิทธิ์ได้เข้ามานั่งเรียน จนกลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าคุณหนูมากมาย และทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า "โรงเรียนผู้ดี" ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ที่นี่ก็คือโรงเรียน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จะมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยมีตัวแสดงเป็นสมาชิกของที่นี่ และที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนักเรียนบางคน ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาของที่นี่ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ที่สนามพละ “พวกเธอแพ้แล้ว” เด็กสาวเจ้าของผมสั้นสีแดงจ้าดุจเปลวเพลิง ในชุดพละที่โชว์ให้เห็นรูปร่างอันสูงเพรียวสะอง อาศัยท่อนขายาวเรียวอันงดงามแต่แข็งแรงนั้นในการกระโดดขึ้นชูมือขวาตบลูกวอลเลย์บอลที่ลอยมากลับไปอย่างแรง จนกระทบกับพื้นสนามฝั่งตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ทีมคู่แข่งขันไม่สามารถรับไว้ได้ทัน พลันเสียงร้องเชียร์จากเพื่อนนักเรียนทั้งหญิงและชายก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เพื่อนร่วมทีมต่างเข้ามาทั้งปรบมือและกอดแสดงความยินดี รวมถึงทั้งยื่นน้ำเย็นและผ้าชุบน้ำเช็ดเหงื่อให้กับฮีโร่สาวผู้คว้าชัย ขณะที่กำลังยินดีกับชัยชนะนั้นเอง เด็กสาวที่เป็นทีมคู่แข่งขันคนหนึ่งก็ตรงรี่เข้ามาด้วยท่าทางซื่อ ๆ เหนียมอายเล็กน้อย ทั้งที่เป็นฝ่ายแพ้ แต่ก็ยังคงยิ้มและยื่นมือมาขอจับมือด้วย “แหะๆ แพ้ซะแล้ว สมเป็นคุณเอด้าจริง ๆ พวกดิฉันไม่มีทางสู้คุณได้เลยค่ะ” “อ...อืม” เจ้าของดวงตาสีแดงเพลิงดุจทับทิมที่ลุกเป็นไฟหันมามอง แล้วจึงจับมือตอบ ภายนอกดูเหมือนการแสดงน้ำใจนักกีฬา ทว่าช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นนั้น เธอกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูอีกฝ่ายขณะเดินผ่าน ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ถ้าคิดจะเหลาะแหละแบบนี้อีกล่ะก็ อย่าแข่งกับฉันอีกจะดีกว่า” คำพูดอันเย็นยะเยียบนั้นทำเอาเด็กสาวผู้น่าสงสารถึงกับคุกเข่าตัวสั่นระริก ในขณะที่ตัวการกลับทิ้งเธอให้ขวัญเสียอยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะร้องไห้ออกมายังไง เวลานั้นเองก็ยังมีนักเรียนบางกลุ่มรู้สึกเห็นใจเด็กสาวผู้เคราะห์ร้าย ทว่าแม้จะสงสาร แต่พวกเขาและเธอก็ไม่อาจกล้าพูดอะไรออกมา เพราะล้วนแต่ยำเกรง "กุหลาบสีเพลิง" คนนั้นด้วยกันทั้งสิ้น อันที่จริงทุกคนที่นี่ก็เป็นคุณหนูของตระกูลที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์กันแทบทั้งสิ้น แค่เรื่องชาติตระกูลเพียงอย่างเดียวไม่มีทางเป็นเหตุผลที่ทำให้ใคร ๆ ยอมคนแบบเธอง่าย ๆ หรอก แต่มันมีเหตุผลที่มากกว่านั้น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - หลังเลิกเรียน “นี่ เอด้า เธอไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยก็ได้นี่นา” เอด้า วาล รูเบียน่า ชายตามองรีวาล เพื่อนสาวคนหนึ่งที่สนิทกับเธอมากพอที่จะกล้าพูดเช่นนี้ออกมา แต่เธอก็กล้าที่จะตอบกลับไปอย่างง่าย ๆ ด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก “เธอก็รู้นี่ ชั้นเกลียดพวกคนเหลาะแหละ ไม่รู้จักพยายามที่สุด ถ้ายัยนั่นตั้งใจให้มากกว่านี้ถึงแพ้ชั้นก็ไม่ว่าหรอก” “ก็แหม.. ในผู้หญิงเรา มีใครที่ไหนจะไปเก่งแบบเธอล่ะ เห็นใจพวกเขาบ้างสิ” ทว่าสาวแว่นผู้มีกระบนใบหน้าก็ต้องสะดุ้งเฮือกทันทีหลังพูดจบ เนื่องจากสังเกตเห็นแววตาสีแดงเพลิงนั้นมองมาด้วยท่าทีเย็นชาอย่างปกติ แต่เมื่อใดที่สบตาด้วยก็เป็นต้องผวาทุกครั้ง “จะผู้หญิงผู้ชายมันก็ไม่เกี่ยวหรอก คนเรามันจะทำก็ทำได้ ของแบบนี้มันอยู่ที่ความพยายามต่างหาก” แม้แต่เพื่อนสนิทยังรู้สึกหนักใจเมื่อต้องผจญกับท่าทีของเธอ ผู้ได้รับสมญาจากคนรอบข้างว่า “กุหลาบสีเพลิง” ผู้ที่แผ่รัศมีประกายเจิดจ้าชวนให้หลงใหล และกลัวตัวสั่นได้ไปพร้อมกัน ยิ่งในระยะเผาขนแบบนี้แล้วด้วย ทั้งที่เป็นถึงคุณหนูของตระกูลขุนนางจอมเวทผู้โด่งดังติดอันดับต้น ๆ แถมเกิดมาพร้อมพรสวรรค์มิใช่น้อย โดยเฉพาะการใช้เวทมนตร์สายไฟอันเข้ากับบุคลิกที่ตรงไปตรงมาของเธอ และความสามารถที่หาได้ยากในหมู่ว่าที่เลดี้ทั้งหลายจะมี อย่างการมีร่างกายที่แข็งแรงและทักษะทางกีฬาเทียบเคียงพวกผู้ชายได้อย่างสูสี แถมยังอยู่ชมรมฟันดาบอีกด้วย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมเชื่อเรื่องพรสวรรค์ว่ามีอยู่จริงซะงั้น เอาแต่พูดว่าแค่พยายามก็ทำได้ ไม่ยอมเข้าใจสักทีว่าคนเรามันก็มีทั้งเรื่องที่ถนัดและไม่ถนัดทั้งนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบเธอซักหน่อย แต่เพราะแววตานั่นทำให้ผู้เป็นเพื่อนได้แต่กลืนน้ำลาย และเลิกพูดเรื่องที่ทำให้เธอหัวเสีย “เออนี่ เดี๋ยวเราไปกิน....อะ...เอ่อ” ทว่าไม่ทันขาดคำ สาวแว่นก็ต้องประหลาดใจกับท่าทีที่ดูใจลอยผิดปกติอย่างกะทันหัน แต่พอหันไปมองตามสายตาเธอบ้าง ก็พอเข้าใจว่าเพราะอะไร บุคคลที่อยู่ตรงหน้านั้นก็คือ ดิเรก วูลฟ์ รุ่นพี่ชั้นมัธยมปลายปีสาม ซึ่งเป็นขวัญใจสาว ๆ โดยเฉพาะรุ่นน้อง เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมสั้นสีบลอนด์เป็นระเบียบ ดวงตาสีฟ้าคราม ใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลา ราวกับเทพบุตรบนฝาผนังโบสถ์ลงมาจุติก็มิปาน นอกจากนี้ยังเป็นคนเรียนเก่งระดับเกียรตินิยม มารยาทดี จิตใจงดงามไม่ถือตัวจนเกินไปนัก ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของครูบาอาจารย์ และมักถูกยกมาเป็นตัวอย่างให้แก่รุ่นน้องอยู่เสมอ ๆ ที่สำคัญ แม้แต่เอด้าที่เป็นคนอีโก้สูง ก็ยังหลงใหลจนเผลอกลายเป็นคนละคนทุกครั้งที่ได้เจอเขา “เอ่อ ถ้างั้น เดี๋ยวเจอกันที่โรงอาหารนะ” รีวาลบอกกับเพื่อน หลังจากที่ได้รับคำตอบเพียงการพยักหน้างก ๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่เธอก็ทำเป็นไม่ถือแต่เดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนหนึ่งเพราะไม่กล้าขัดคอเพื่อนนั่นเอง เด็กสาวได้แต่ตรึงตากับชายหนุ่มตรงหน้าราวต้องมนตร์ ทั้งที่ปกติแล้วเธอเป็นคนจิตใจแข็งแกร่ง จนมั่นใจได้ว่าไม่มีจอมเวทสายสเน่ห์คนไหนใช้คาถาทำให้ลุ่มหลงสำเร็จกับเธอได้ง่าย ๆ เด็ดขาด และนั่นก็ถือเป็นศาสตร์มืดต้องห้ามด้วย แต่ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเธอชอบคนบุคลิกอย่างเขาคนนี้ที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะเขาเกิดในตระกูลขุนนางเหมือนเธอ แต่เนื่องจากเป็นคนขยันขันแข็ง เรียนดีกีฬาเด่น แล้วยังรักเพื่อนพ้องมาก ถึงกระนั้น กลับมีเรื่องเดียวที่เธอไม่กล้าทำ คือการสารภาพความในใจกับเขาซึ่ง ๆ หน้า แม้คนทั่วไปจะมองเธอเหมือนราชินีผู้ไม่เคยเกรงกลัวใคร แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเช่นกัน มันเป็นเรื่องที่ต้องพยายามทำใจอย่างมากถ้าจะเข้าหาเขา เธอไม่รู้จะพูดอะไรออกไป หรือชวนเขาไปทำอะไรกันดีนี่สิ ระหว่างที่เธอเอาแต่ครุ่นคิด รู้ตัวอีกที ชายหนุ่มก็หายไปท่ามกลางฝูงชนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอก็พยายามก้าวเท้าออกตามหา แต่ทันใดนั้นเอง โครม! “โอ๊ย!!!” “แว้ก!!!” เด็กสาวล้มหงายลงกับพื้นทันทีที่ถูกใครไม่รู้ชนใส่ โชคดีที่หัวไม่ได้โขกพื้นแต่ดูเหมือนจะเป็นศีรษะของอีกฝ่ายมากกว่า ด้วยความโมโหจึงตะโกนด่ากลับไป “นี่! จะรีบไปตายที่ไหนหา! เดินระวัง ๆหน่อย...อ๊ะ” เธอตกใจเมื่อร่างหนึ่งในชุดเครื่องแบบนักเรียนชายชั้นปีเดียวกับเธอกำลังคร่อมตัวเองอยู่ และใบหน้าที่สวมใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมใหญ่นั่นก็ทำให้หลอดอารมณ์เธอแตกในบัดดล “คลิฟฟอร์ด นี่นายอีกแล้วเรอะ!” ไม่รอให้อีกฝ่ายขอโทษ กำปั้นของคุณเธอก็กลายเป็นของกำนัลแต่ใบหน้าของหนุ่มแว่นผู้โชคร้าย แถมยังประเคนต่อไปอีกเป็นชุด ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายแม้จะยังพอมีสติพยายามหลบและปัดป้องถอยหนี โดยไม่ลืมที่จะหยิบแว่นตัวเอง แต่คำขอโทษไปพลางนั้นเหมือนจะไม่เข้าหูเธอแม้แต่น้อย คนที่อยู่รอบ ๆ แม้จะเห็นใจแต่ก็พยายามคิดเสียว่าหมอนี่ดันซุ่มซ่ามจนหาเรื่องใส่ตัวเอง ที่ชนใครไม่ชนมาชนขาใหญ่ประจำชั้นปีเสียได้ นับว่าโชคยังดีที่คุณเธอยังมีจิตสำนึกรักษากฎระเบียบที่ว่า ห้ามร่ายคาถาใส่บุคคลอื่น หรือแม้แต่การจัดประลองเวทโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เช่นนั้นเธอคงเผามันเกรียมไปแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่า คลิฟฟอร์ด เซเรเนียส ศิษย์ของคุณหมอวิลเลียม ซึ่งเป็นคุณหมอจอมเวทชื่อดัง แม้จะไม่ได้เกิดในตระกูลผู้ดี แต่เนื่องจากเป็นคน นิสัยร่าเริง อารมณ์สุนทรีย์ และเข้ากับคนได้ง่าย แถมยังชอบปล่อยมุขตลกคลายเครียดให้เพื่อนร่วมชั้นอยู่เป็นประจำ ทำให้ยังหาเพื่อนฝูงคบได้อยู่บ้าง แต่ไม่ใช่กับเอด้า หญิงสาวผู้ไม่ชอบคนประเภทขี้เล่น เอ้อระเหยลอยชาย และไม่จริงจังเท่าไหร่แบบหมอนี่เป็นที่สุด ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าทำไมฟ้าถึงบันดาลให้สองคนนี้ต้องเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แล้วตัวคลิฟฟอร์ดเองกลับทำคะแนนรวมทุกวิชาได้เทียบเท่ากับเธอ จะมีต่างกันบ้างในเรื่องวิชาที่ถนัดและไม่ถนัด เพราะคลิฟฟอร์ดจะถนัดในวิชาเวทสายฟื้นฟู ปรุงยา และดนตรีสากล ซึ่งเป็นวิชาที่เอด้าทำคะแนนเฉลี่ยได้น้อยเมื่อเทียบกับวิชาอื่น เช่นเดียวกับที่คลิฟฟอร์ดไม่ถนัดในวิชาพละและการใช้อาวุธเวทมนตร์ซึ่งล้วนเป็นของชอบคุณเธอ แม้ว่าการได้เห็นสองคนนี้มีปากเสียงกันแทบจะเป็นเรื่องปกติ แต่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเอด้าเองมากกว่าที่คอยหาเรื่อง ในขณะที่คลิฟฟอร์ดก็มักจะไหลลื่นเอาตัวรอดจากคุณเธอได้แทบทุกครั้ง หากไม่นับอะไรที่ต้องใช้กำลังอย่างกรณีนี้ล่ะก็นะ “ขอโทษครับ ผมกำลังรีบ เดี๋ยวของหมดผมก็ซวยแย่” เด็กหนุ่มชื่อคลิฟฟอร์ดพยายามบอกเหตุผลขณะวิ่งหนี แต่เหมือนคราวนี้อีกฝ่ายจะไม่ยอมความง่าย ๆ “อย่าหนีนะว้อย อีตาบ้า วันนี้ถ้าไม่ได้อัดแกให้ยับ ชั้นนอนไม่หลับแน่” ภาพเหล่านี้เป็นที่พบเห็นได้เป็นเรื่องปกติของพวกนักเรียนเซนต์ลูเชียสไปซะแล้ว - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ในที่สุด เด็กสาวก็ตัดสินใจทำเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ.......... การสารภาพรักกับรุ่นพี่ดิเรก วูล์ฟ หนึ่งในดวงใจของเธอนั่นเอง ภายในอาคารหลังเลิกเรียนช่างเงียบเหงาและร้างผู้คน เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่กลับเข้าหอไม่ก็ไปทำอย่างอื่นกันหมดแล้ว หากจะยังมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง หากมิใช่อาจารย์ที่กำลังเคลียร์งานอยู่ในห้องพักครู ก็ต้องเป็นนักเรียนที่ทำกิจกรรมชมรมจนอยู่เย็น หรืออย่างเช่น.... นักเรียนที่เลือกทำเลที่ไม่มีคนในการนัดพบปะกันเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะเป็นฝ่ายมาถึงก่อนอยู่แล้ว และกำลังยืนรออีกฝ่ายที่เธอนัดไว้ ด้วยใจที่กระวนกระวายยิ่งนัก แม้แต่คำพูดที่อุตส่าห์เตรียมไว้อย่างดีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก แก้แล้วแก้อีก ชนิดที่ว่าหากใครมาเห็นเข้าคงต้องคิดว่าเธอเริ่มบ้าแน่ ๆ สักพักเธอจึงเริ่มพอกดอาการให้สงบลงได้บ้าง เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสมาธิ และถอนเบา ๆ อย่างโล่งอก จากนั้นจึงเหม่อลอยมองท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้ม สายลมอ่อน ๆ ที่โชยพัดเข้ามาให้เย็นสบาย เศษใบไม้ที่ล่องลอยผ่านไปนั้นชวนให้เธอนึกถึงเรื่องในอดีต ความทรงจำวัยเด็กที่เธอมิอาจลืม หรือจะพูดว่า นั่นเป็นรักครั้งแรกก็ได้กระมัง - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากฤดูใบไม้ร่วง เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นเธออายุเพียงสิบขวบเท่านั้น เธอได้อ้อนตามพ่อแม่ไปยัง “ฟาเนเลีย” ประเทศข้างเคียงที่เป็นดินแดนของพวกอัศวินนักรบ เนื่องจากเธอรู้สึกชื่นชอบความเข้มแข็ง กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยวของพวกเขาและเธอทั้งหลาย จึงทำให้เธอมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นอัศวินเฉกเช่นพวกเขาและเธอ ทว่าเนื่องจากพ่อและแม่ของเธอซึ่งไปที่นั่นเพียงเพราะเรื่องธุระนั้นมีอคติกับพวกอัศวินที่สืบเนื่องมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หลังจากที่กลับมาบ้าน ทันทีที่เธอพูดว่าอยากเป็นอัศวินเท่านั้น ก็ถูกพ่อแม่ดุด่าว่ากล่าว จนเธอรับไม่ได้และแอบหนีออกจากบ้าน ทว่าเนื่องจากเด็กหญิงใช้ชีวิตในคฤหาสน์มาโดยตลอด แทบไม่เคยเดินออกมาในตัวเมืองเลย เงินติดตัวก็ไม่มี ใครก็ไม่เชื่อว่าตนเป็นลูกสาวของขุนนางเนื่องจากไม่มีบอดี้การ์ดติดตามเช่นทุกที เมื่อต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ตัวเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตอนนั้นเธอได้แต่กลัวทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง มีแต่เหล่าคนที่ไม่รู้จักเดินพลุกพล่าน ด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับหุ่นไม้ที่ถูกเชิด ยวดยานพาหนะที่เกือบจะคร่าชีวิตเธอด้วยอุบัติเหตุ ทำให้แม่หนูน้อยถึงกับขวัญเสีย วิ่งร้องไห้ไปอย่างไม่คิดชีวิต ไม่มีจุดหมาย ลืมสนใจว่าใครเขาจะมองหรือว่าอย่างไร รู้ตัวอีกที เธอก็สะดุดหกล้ม เข่าซ้ายถลอกปอกเปิกไปหมด เสื้อผ้ากระโปรงอะไรสกปรกมอมแมมไม่ต่างกับเด็กยากจนข้างถนน เมื่อนั้นเองที่เธอเริ่มจะเข้าใจ ว่าพวกเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ ไร้ญาติขาดมิตร เงินทองไม่มีติดตัวสักแดงเดียวนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพอย่างไรกัน มันโหดร้าย น่ากลัว และดูสิ้นหวังกว่าในหนังสือนิทานที่พี่เลี้ยงเคยเล่าให้ฟังมากนัก เธอได้แต่นั่งพิงผนังตึกร้องไห้อยู่ข้างถังขยะที่ส่งเหม็นอบอวล แต่นั่นเพราะเธอคิดว่าคงจะปลอดภัยมากกว่า หากเทียบกับการอยู่ในที่โล่งที่จะถูกคนไม่ประสงค์ดีที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาทำร้าย เธอเอาแต่ร้องไห้ ไม่ใช่แค่เพราะที่ตนหนีออกมาโดยไม่เตรียมตัว แต่ยังน้อยใจที่พ่อแม่ไม่ยอมเข้าใจ นักรบอัศวินพวกนั้นไม่ได้ดูเลวร้ายสักหน่อย ผู้คนจอมเวทระดับรากหญ้าในเมืองยังโหดร้ายกว่าซะอีกที่ไม่มีใครคิดช่วยเธอเลย แต่ตอนนั้นเอง ที่เธอได้พบกับ “เขา” เด็กผู้ชายที่เธอจำใบหน้าไม่ได้แล้ว จำได้เพียงแค่ว่าเขามีผมยุ่งรุงรังสีเงิน รูปร่างเล็กบางเหมือนเด็กผู้หญิงอย่างเธอ แถมยังแต่งตัวปอน ๆ เหมือนเด็กข้างถนน แม้ตอนแรกเธอจะพูดไม่ดีกับเขา ไม่รู้เป็นเพราะความหยิ่งทระนงที่ติดมากับสายเลือด เพราะอาย หรือว่ากลัวเขากันแน่ แต่แทนที่เด็กคนนั้นจะทอดทิ้งเธอเดินจากไปเหมือนคนอื่น เขากลับใช้มือเล็ก ๆ แต่ดูหยาบกร้านและสกปรกนั่นปาดน้ำตาเธอช้า ๆ ทว่าสัมผัสที่ได้นั้นกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายยังช่วยทำแผลที่เข่าให้เธออีกด้วย เด็กนั่นมาช่วยเป็นเพื่อนคุยให้กับเธอ เธอจำไม่ได้ว่าคุยอะไรไปบ้าง แต่จำได้แค่ว่าเขาไม่ได้รังเกียจเธอเลยแม้เธอจะบอกว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูที่หนีออกจากบ้าน แต่ไม่แน่อาจเป็นเพราะเขาไม่เชื่อ คิดว่าเธอพูดโกหกก็เป็นได้ในตอนนั้น อย่างไรก็ดี เธอยังจำได้อยู่ว่า เด็กชายได้หยิบฟลุตทำมือที่แม้จะดูลวก ๆ ไปหน่อย แต่ทันทีที่เขาเป่าเพลงให้เธอได้ฟัง ก็ราวกับว่าถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกที่มีเพียงสองคนกันและกันเท่านั้น และทำนองเพลงนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำเรื่อยมา แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงเมื่อพวกบอดี้การ์ดของคุณพ่อมาพบและตามเธอกลับ แถมยังถีบส่งเค้าอย่างไม่ใยดีอาจเพราะเห็นเป็นเด็กยากจน เธอห้ามก็ไม่ยอมฟังอีก ซึ่งเธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงได้หัวดื้อ และยึดติดกับเรื่องไม่เข้าท่าอย่างคำว่า “ชาติตระกูล” หรือ “ร่ำรวยกับยากจน” กันถึงขนาดนี้นะ แต่ถ้าเป็นไปได้ เธอเองก็อยากจะพบกับเด็กชายคนนั้นอีกสักครั้ง เธอพร่ำภาวนาต่อท่านเซนต์ลูเชียสอยู่ตลอดว่าอย่างนั้น ทว่าตอนนี้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ถึงเจอกันแต่ป่านนี้คงจะจำกันไม่ได้อยู่ดี แม้เสียงดนตรีนั้นก็คงจะไม่ได้ยินอีกแล้ว ทำได้เพียงเก็บมันเป็นเสมือนภาพมายาในส่วนลึกของจิตใจเท่านั้น...... - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - “เอ่อ ขอโทษครับ ใช่น้องเอด้า ปีสอง รึเปล่าครับ” เสียงหล่อ ๆ ชวนให้ใจละลายนั้นดึงเธอออกจากภวังค์ เธอหันกลับไปมองอย่างร้อนรุ่มใจ เขามาแล้ว ดิเรก วูล์ฟ ในใจเธอทั้งปลื้มปิติและเขินอายเสียจนเก็บอาการแทบไม่อยู่ ที่อีกฝ่ายยังจำเธอได้ ถึงแม้จะมักเจอและร่วมงานสำคัญ ๆ ระหว่างรุ่นกันออกบ่อยอยู่แล้วก็ตาม “อะ....เอ่อ มาแล้วเหรอคะ รุ่นพี่ดิเรก” “ขอโทษนะ เผอิญมีอะไรนิดหน่อยเลยมาสาย” ชายหนุ่มกล่าวขอโทษ “ไม่เป็นไรค่ะ” คำพูดที่ดูจะเป็นปกตินั้นกลับทำให้เขาโล่งอกแต่ก็ชวนให้ประหลาดใจไม่น้อย เพราะจากชื่อเสียงของเอด้าที่เขาได้ยินมาจากพวกรุ่นน้องนั้น เธอเกลียดคนไม่รักษาเวลาอย่างกับอะไรดี แต่นี่กลับใจดีผิดคาด “ว่าแต่ มีธุระอะไรกับพี่หรือครับ” ชายหนุ่มถาม “เอ่อ คือว่า ขอโทษนะที่รบกวน แต่ว่า.....” ท่าทีของเอด้านั้น ใครมาเห็นก็ต้องบอกว่านี่เป็นเพราะฤทธานุภาพของความรัก นอกจากทำเป็นไม่เห็นความผิดของอีกฝ่ายแล้ว ยังทำให้ราชินีผู้เย็นชาคืนร่างมาเป็นเด็กสาวธรรมดาที่เขินอายเวลาต้องการจะบอกความในใจกับหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนชอบ ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป “ฉัน....เอ่อ..... ฉัน..... มีเรื่องอยากจะสารภาพ เอ่อ หมายถึง อยากบอกกับรุ่นพี่น่ะค่ะ” เธอพูดอย่างตะกุกตะกักชวนให้ผิดธรรมชาติ จนเขาต้องบอกให้เธอใจเย็นลงก่อน “ใจเย็น ๆ ครับ ค่อย ๆ พูดก็ได้ พี่รอฟังอยู่” “คือว่า.....คือว่า.....ฉัน....” หัวใจของเธออึดอัดขึ้นทันตา ราวกับว่านี่คือสมรภูมิรบที่กำลังจะลงดาบสุดท้ายใส่แม่ทัพข้าศึก ราวกับว่านี่คือการเลือกตอบข้อสุดท้ายของข้อสอบในวิชาที่เธอไม่ถนัดอย่างที่สุด หรืออย่างกับคำพูดสุดท้ายก่อนตายยังไงยังงั้น แต่ในเมื่ออุตส่าห์เรียกเขามาถึงที่นี่แล้ว จะเสียมารยาทต่อไปอีกก็คงไม่ได้ อีกฝ่ายก็อยู่ใกล้ถึงขนาดนี้ มาถึงขั้นนี้ มีแต่ต้องรวบรวมความกล้า เธอถึงขั้นหลับตาปี๋ แล้วปลดปล่อยออกไปตรงหน้าเต็มที่โดยไม่สนว่ามันจะดังเกินไปหรือไม่ก็ตาม “ฉันชอบรุ่นพี่ค่ะ ช่วยคบกับฉันได้มั้ยคะ!!!!!!!” เสียงของเธอดังก้องอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบครองสิ่งแวดล้อมรอบข้างแทน จะมีก็เพียงเสียงลมอันแผ่วเบาที่ใช้ต่างดนตรีประกอบฉากได้ สายตาที่เพิ่งสบกันเพียงแค่สั้น ๆ ก่อนที่เด็กสาวจะค่อย ๆ ก้มหน้าหลบตา หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าดูปฏิกิริยาตอบรับของชายหนุ่ม “เอ่อ พี่ขอโทษนะ แต่ไม่ได้หรอกครับน้อง” ประโยคปฏิเสธที่ดูธรรมดา แต่ก็ยังคงเหมือนสายฟ้าแลบที่ผ่าเปรี้ยงลงกลางดวงใจน้อย ๆ ของเด็กสาวในบัดดล “คือ ไม่ใช่ว่าพี่เกลียดน้องนะ แต่ว่า..... คือพี่มีแฟนแล้วน่ะ” ยิ่งรายนั้นพูดออกมา ก็เหมือนซ้ำเติม แต่เธอก็ต้องอดทน เพราะจะแสดงท่าทีแบบนางอิจฉาน่าเกลียดในนิยายน้ำเน่าไม่ได้ อีกอย่าง รุ่นพี่จะรักหรือมีใครมันก็เรื่องของเขา เธอแค่บอกความรู้สึกของตนไปก็พอแล้ว ใช่ อย่างน้อยเธอก็พยายามคิดให้ได้แบบนี้ เพื่อปลอบใจตัวเอง “เอ่อ....ขอโทษนะ เอด้า ฉัน.....” ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยก็ดังแทรกขึ้น ทว่าเมื่อเงยขึ้นมอง ดวงตาสีทับทิมก็สะท้อนภาพที่ทำให้เธอตกตะลึงยิ่งกว่า “รีวาล! ออกมาทำไม” ดิเรกทำท่าตกใจ แต่ดูจากท่าทีที่รีวาล รูมเมทของเด็กสาวเข้ามาหาดิเรกอย่างใกล้ชิด เป็นคำตอบที่ทำให้เข้าใจไม่ได้ยาก แต่ยิ่งเข้าใจได้อย่างรวดเร็วก็ยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกเหมือนถูกดาบปักซ้ำจากข้างหลังในทันทีทันใด ความอดทนอดกลั้นที่เตรียมไว้แต่แรกพังทลายในพริบตา “ขอโทษนะ เอด้า คือว่าฉัน...” เพียะ! รีวาลพยายามจะพูดอย่างรู้สึกผิด แต่ไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของเด็กสาวก็ประทับลงบนใบหน้าของเพื่อนสนิทเข้าเต็มแรง แว่นถึงกับกระเด็นหลุดออก เจ้าของเองก็เซไปถึงกับต้องเกาะรั้วเพื่อยันตัวไว้ไม่ให้ล้ม “รีวาล! ” ดิเรกตะโกนชื่อนั้นด้วยความห่วงใย พร้อมกับไปช่วยพยุงตัวรุ่นน้องที่เป็นมากกว่ารุ่นน้อง แต่หันกลับมามองเด็กสาวด้วยสีหน้าโกรธ “เอด้า! นี่เธอ!” แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร เด็กสาวก็หันหัววิ่งหนีไปดื้อ ๆ ซะก่อนโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย หากบริเวณรอบอาคารเรียนภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังลับล่วงไป จะเงียบและไม่มีใครเดินเพ่นพ่าน เพราะนักเรียนส่วนใหญ่จะกลับหอพักกันหมดแล้ว ณ ซอกมุมหนึ่งของตึก เด็กสาวคนหนึ่งนั่งซึมเซาอยู่หลังเงาของตึกที่ลับตาคน แน่นอนที่เลือกที่นี่เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเจอหรอก ถึงเจอก็คงช่วยเธอไม่ได้อยู่ดี เธอตอกย้ำตัวเองเช่นนั้น น้ำตาไหลรินอาบแก้มไม่ขาดสาย แม้อยากจะหยุดก็หยุดไม่ได้ มือข้างที่เธอใช้ตบเพื่อนบัดนี้ได้แต่เผาเศษใบไม้เล่นด้วยเวทมนตร์สายไฟเบา ๆ ทีละใบสองใบอย่างไร้ความหมาย เธอรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้น ถึงจะตกใจมากที่เพื่อนเธอหักหลังโดยการแย่งผู้ชายที่เล็งไว้ตั้งนานไป แต่มาคิดดี ๆ ตนเองมีสิทธิ์จะทำแบบนั้นแต่เมื่อไหร่กัน เธอซึ่งเคยตำหนิเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นเรื่องชู้สาวมาในกรณีคล้าย ๆ กัน แล้วด่าทอว่าเป็นการกระทำที่ไร้ศักดิ์ศรีและน่ารังเกียจที่สุด แต่เมื่อครู่นี้ เธอกลับทำมันเสียเอง จะมีอะไรให้ทุกข์มากไปกว่าการที่นอกจากอกหักแล้ว ยังพลั้งเผลอทำได้กระทั่งทำลายเกียรติของตนเองอีก ไหนจะเหมือนสวรรค์ลงโทษซ้ำ ให้เธอหกล้มก่อนที่จะมาถึงตรงนี้ แผลที่เข่าข้างซ้ายทำให้เธอเจ็บปวดเฉกเช่นในอดีต แต่ตอนนี้คงไม่โชคดีเหมือนเมื่อนั้นแล้ว “เป็นอะไรรึเปล่า” จู่ๆ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็แว่วเข้ามาในหูเธอ แต่เนื่องจากอารมณ์ในตอนนี้ทำให้เธอไม่สนใจจะพิจารณาว่าเป็นของใคร “อย่ามายุ่ง!” เธอตะโกนไล่พร้อมสะบัดหน้า พลางพยายามขยับตัวถอยหนี แต่ก็ทำไม่ได้เต็มที่เพราะเจ็บแผล “อะ.....เธอบาดเจ็บนี่นา” เสียงของเด็กหนุ่มบ่งบอกว่าเขาเห็นแผลที่น่าอายของเธอเข้าแล้ว “ยื่นขามา” “ไป! ออกไปนะ!” เธอยังคงแสดงท่าทีเช่นเดิม แค่นี้ยังไงเขาก็คงเมินแล้วเดินหนีไปเอง ทว่ากลับผิดจากที่เธอคิด “ยื่นขามา” เขาพูดย้ำประโยคเดิม แต่น้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมาก จนเหมือนกับมีอำนาจบางอย่างทำให้เธอต้องจำยอมทำตามโดยไม่รู้ตัว ร่างนั้นก้มลงและจับข้อเท้าซ้ายเธอยกขึ้นเล็กน้อย ทำเอาเธอตกใจถึงกับร้อง “จะทำอะไรน่ะ!” “อยู่นิ่ง ๆ !” คำพูดนั้นจริงจังเหมือนหมอที่สั่งคนไข้ด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด ทำเอาคนอย่างเธอถึงกับชะงักไม่กล้าเถียง “ไม่รู้หรอกนะว่าไปวิ่งอีท่าไหนมาถึงได้หกล้ม แต่ยังไงก็ต้องรีบทำแผลก่อน” เอด้าถึงกับประหลาดใจ ทั้งที่ปกติเพียงแค่มีคนเห็นผมสีแดงเพลิงของเธอมานั่งจิตตกอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ไม่น่าจะกล้ายุ่งแล้วแท้ ๆ เพราะกิตติศัพท์ของเธอไม่ดังพอหรือไงกัน แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังขอบคุณที่สวรรค์ปรานีให้มีคนกล้ามาช่วยเธออยู่ แม้จะรู้สึกคุ้น ๆ กับเสียงเขาบ้างก็ตาม ทว่าทันทีที่เด็กหนุ่มค่อย ๆ ทำแผลให้เธอ ด้วยอุปกรณ์ปฐมพยาบาลชุดพกพาควบคู่ไปกับคาถารักษา แม้วิธีการจะดูเลิศหรูกว่าก็จริง แต่ไม่รู้เธอเสียใจจนเพ้อหรือไงนะ ถึงได้รู้สึกว่า อะไรบางอย่างข้ามเวลาจากอดีตกลับมาหาเธอ ไม่ว่าจะบรรยากาศ หรือว่าความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ ที่จากเธอไปนานแสนนาน “ไม่รู้ว่าเจอเรื่องอะไรมานะ แต่เธอเป็นผู้หญิง น้ำตานั่นไม่ค่อยเหมาะกับเธอหรอก ถ้ารอยยิ้มก็ว่าไปอย่าง” เมื่อทำแผลเสร็จเขายังค่อย ๆ ยื่นนิ้วมาบรรจงเช็ดน้ำตาให้อีกด้วย ที่สำคัญผมสีเงินนั่น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อนในอดีตทับกับปัจจุบันแวบหนึ่ง เด็กสาวมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่จะเริ่มแยกความฝันออกจากความจริงได้ และแทบไม่อยากเชื่อกับใบหน้าที่เธอเห็น พร้อมกับกรอบแว่นสี่เหลี่ยมคุ้นตา “ค...คลิฟฟอร์ด!” ด้วยความตกใจ เด็กสาวเผลอผลักเขาโดยไม่รู้ตัว “โอ้ย” เขาร้องและโวยวาย “เจ็บนะ คนอุตส่าห์ทำแผลให้ยังจะลงไม้ลงมือกันอีกเรอะ” “อะ...เอ่อ ขอโทษ” พอนึกได้ว่าเขาเป็นคนช่วยทำแผลให้ เด็กสาวถึงกับรู้สึกผิดทันที ไม่รู้ทำไมทั้งที่อีกฝ่ายเป็นถึงคู่ปรับแท้ ๆ “ขอโทษจริง ๆ ” “เห...เอ่อ ไม่เป็นไร” คลิฟฟอร์ดทำท่างง ๆ อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็น “กุหลาบสีเพลิง” พูดคำว่าขอโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเขา “ว่าแต่....ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เด็กสาวถาม “ก็ ปกติที่นี่เป็นที่นั่งเป่าฟลุตของผมนี่นา” อุปกรณ์ดนตรีรูปแท่งทรงกระบอกที่ยื่นออกจากกระเป๋าสะพายใกล้ตัวเขานั้นเป็นหลักฐานว่าเขาพูดจริง “จริงนะ ไม่ใช่ว่าเห็นฉันมานั่งร้องไห้ เลยคิดจะซ้ำเติมฉันนะ” ขาดคำ เด็กสาวแอบตำหนิตัวเองในใจทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป “ทำไมผมต้องซ้ำเติมเธอด้วยล่ะ เธอซึมจ๋อยเรื่องอะไรมาฉันยังไม่รู้เลย” “งั้นเหรอ....” เด็กสาวทำหน้าสำนึกผิดเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทกับอีกฝ่ายไป “แต่ถ้านายรู้ นายต้องหัวเราะเยาะฉันแน่” “ทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มทำหน้างง คงไม่แปลกที่เขาจะประหลาดใจ ว่าในโรงเรียนนี้มีใครทำให้เจ๊ขาใหญ่ประจำชั้นม.ปลายปีสอง ห้อง A ผู้กล้าแกร่งดุจหินผา และมุ่งมั่นดุจเปลวเพลิง ทำท่าเหมือนหมดความมั่นใจในตัวเองขนาดนี้ได้เชียวหรือ เอด้าเล่าเรื่องทุกอย่างให้คลิฟฟอร์ด ผู้ได้ชื่อว่าคู่ปรับประจำชั้นปีของตัวเองฟัง โดยที่เจ้าตัวยังแปลกใจว่าทำไมถึงกล้าเล่าให้คนอย่างหมอนี่ฟังไปได้นะ “อืม ไม่เห็นแปลก ก็ต้องเข้าใจน่ะนะว่า หัวใจของคนเรามันห้ามกันไม่ได้ ทุกคนย่อมมีสิทธิ์รักใครชอบใครตามที่ตัวเองต้องการอยู่แล้วนี่” เอด้าอดประหลาดใจไม่ได้ที่วันนี้ เธอเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าดูจริงจังและเป็นผู้ใหญ่ผิดคาด ชนิดจำอิมเมจตัวรั่วฮาไร้สาระกวนประสาทเธอมาตลอดไม่ได้ไปเลย “แต่ว่า.... ฉันทำกิริยาไม่สมควรกับพวกเขาไป แล้วฉัน..... ฉันควรจะทำยังไงดี” เธอพูดทั้งก้มหน้าสำนึกผิดอย่างมาก “เรื่องนั้น ก่อนอื่นเธอต้องลองให้เวลากับหัวใจตัวเองก่อนล่ะนะ แล้วค่อยหาคำตอบออกมา” คลิฟฟอร์ดแนะนำ “งั้นผมขอตัว” เขาคิดจะเปลี่ยนสถานที่เพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนเธอ ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินออกไปนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าแขนถูกเธอคว้าและดึงรั้งเอาไว้ “เอ่อ ขอโทษนะ” “อะไรอีกล่ะ” ชายหนุ่มหันไปมอง พลันก็สบกับสายตาที่ออดอ้อนของเด็กสาว “ขอร้องล่ะ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย” มันอาจจะเป็นเรื่องประหลาด ที่คนอย่างเอด้า วาล รูเบียน่า จะขอร้องให้เขาอยู่ด้วย แต่เมื่อเห็นแววตาของเธอแล้ว เขาก็ปฏิเสธไม่ลงเช่นกัน - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - “นายว่าไหม มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าคนอย่างฉันจะมีแต่คนเกลียด หมั่นไส้ และไม่ชอบหน้า อยู่เต็มไปหมด” เอด้าเริ่มระบายความรู้สึกในใจของตนให้คลิฟฟอร์ด ซึ่งเขาก็นั่งฟังอย่างเงียบๆ และตั้งอกตั้งใจ “ที่จริง ถ้าเลือกได้ ฉันก็ไม่ได้อยากจะมาอยู่ที่นี่หรอก ฉันอยากเป็นอัศวินมากกว่า อยากเรียนเพลงดาบ การต่อสู้ ยุทธวิธีทางทหาร อะไรแบบนั้น แต่เพราะ คนในตระกูลเกลียดพวกอัศวินต่างแดน พวกเขาก็เลยดุด่าว่าฉัน แถมยังบังคับให้ฉันเข้าเรียนที่นี่อย่างที่พวกเขาต้องการ” “เพราะไม่สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ ไหนจะต้องพยายามรักษาผลการเรียนเพื่อไม่ให้ครอบครัวเสียหน้าอีก ในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ชอบเท่าไหร่เลย อันที่จริงฉันไม่ได้รังเกียจทุกคนที่นี่ที่จะเป็นนักเวทในอนาคตหรอก ฉันอิจฉาพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ เพราะอย่างนั้น ฉันก็เลย หงุดหงิดพวกคนที่ทำตัวเหมือนไม่มีความพยายาม เอาแต่ใช้เวลากับเรื่องไร้สาระ อย่างน้อยก็ในสายตาฉัน และก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพาลใส่พวกนั้น เพื่อระบายอารมณ์ ถึงจะยังรักษาความเป็นนักเรียนดีเด่นไว้ได้ ถึงจะสร้างชื่อเสียงลือลั่นไปทั่ว แต่พอรู้ตัวอีกทีเข้าจริงๆ ตัวฉันไม่ได้มีดีอะไร ตรงกันข้าม ยังน่ารังเกียจกว่าพวกเขาอีกด้วยซ้ำ” “ฉันได้แต่ทำตัวเจ้าระเบียบเพื่อหลอกตัวเองว่าตัวเองทำถูก เล่นกีฬาให้เก่งเพื่อแสดงตนว่าแข็งแกร่ง ทำตัวจริงจังกับชีวิตเสมอเพื่อหลอกตัวเองว่ามีคุณสมบัติจะเป็นอัศวิน เผื่อว่าจะมีหวังให้ได้ทำตามที่ฝันในอนาคต” คลิฟฟอร์ดสามารถเข้าใจปมปัญหาในใจของเอด้าได้อย่างไม่ยากเย็น ในเมื่อมันก็เป็นเพียงเรื่องของเด็กสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ต้องถูกปิดกั้นความฝัน ถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่ในกรอบที่ผู้หลักผู้ใหญ่ต้องการ เลยทำได้การทำตัวเด่นเพื่อบดบังปมด้อยของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กสาววัยเดียวกัน “แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉันกลับทำตัวไม่ต่างจากคนขี้อิจฉาริษยาคนนึง ที่ทำเรื่องน่าอายออกไปแม้แต่เพื่อนสนิทตัวเอง คนอย่างฉัน.....คนอย่างฉันมัน.....แย่ที่สุดเลยนายว่ามั้ย” ทว่าในช่วงที่เอด้ากำลังทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ มือของเด็กหนุ่มก็ลูบหลังปลอบเธออย่างอ่อนโยน ไม่ใช่การถือโอกาสแต่อย่างใดสำหรับคนอย่างเขา “ฉันเข้าใจนะ เพราะจริง ๆ ฉันเองก็อยากเป็นนักดนตรีมากกว่า แต่ขณะเดียวกันฉันก็ชอบเหมือนกันที่จะเป็นหมอ ถ้ามันช่วยคนอื่นได้” คลิฟฟอร์ดเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเป็นกันเองมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่เด็กสาวก็มิได้ถือ เอด้าเองก็นึกขึ้นได้ว่าหมอนี่เองก็ชอบเล่นดนตรีในเวลาว่างอยู่เป็นประจำ แต่นั่นทำให้เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะแต่เดิมเธอค่อนข้างจะอคติกับวิชาดนตรีที่มองว่าไร้สาระ แต่ลึก ๆ แล้วจริง ๆ อาจเป็นเพราะ อย่างแรกเธอไม่มีเซนส์ในวิชาดังกล่าว หรืออีกเหตุผลก็คงจะเป็น เพราะเธอกลัวกระมัง กลัวว่าเพลงใหม่ ๆ ที่เข้ามาในหู จะมาแทนที่เสียงเพลงของเขาคนนั้น ดู ๆ ไปการที่เธอไปหาเรื่องเขาเรื่องการเล่นดนตรีแทนที่จะหัดวิชารักษาพยาบาลที่หมอนี่ถนัดอยู่แล้วนั้น มันต่างอะไรกับการที่คนในตระกูลเธอกีดกันความต้องการอยากเป็นอัศวินของเธอกันล่ะ “คลิฟฟอร์ด..... ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ที่พูดจาและทำตัวไม่ดีกับนายมาโดยตลอด” “ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่ถือสา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคลิฟฟอร์ดที่คนทั่วไปในชั้นรู้ดี เป็นเหตุว่าทำไมถึงมีคนรักใคร่เขามากนักแม้จะไม่ได้เป็นเชื้อสายขุนนางโดยตรงเหมือนคนอื่น ๆ เด็กสาวโล่งอก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกอยากขอบคุณความมีอัธยาศัยดีของเขา “เอ่อ งั้นถ้าไม่รังเกียจ อยากให้นาย.....เอ่อ” “หืม อะไรเหรอ” “นายเล่นฟลุตใช่ไหม ถ้างั้นนาย....เอ่อ ช่วยเล่นให้ฉันฟังสักเพลงได้ไหม เอาเพลงที่นายชอบที่สุดน่ะ” เด็กหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย เป็นเรื่องที่หายากมาก ที่คนอย่างเอด้าจะขอฟังดนตรีของเขาด้วยตัวเอง แต่เมื่ออีกฝ่ายขอมาแล้ว เขาก็ควรจะตอบสนองคำขอนั้น ในฐานะของผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรี คลิฟฟอร์ดหยิบฟลุตประจำตัวของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หลังจากเช็คสภาพคร่าว ๆ แล้วจึงเริ่มลงมือเป่า ในขณะที่เอด้าพยายามนั่งฟังอย่างตั้งใจ แม้เธอจะรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องฟังเพลงอื่นนอกจากเพลงของ “เด็กชายคนนั้น” แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทว่า..... สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่าก็เกิดขึ้น ถึงเสียงจะดูไพเราะขึ้นอาจเป็นเพราะทั้งฝีมือและเครื่องเป่าที่ใช้เล่น แต่ท่วงทำนองที่คุ้นเคยนี้ เด็กสาวระลึกถึงมันได้ดีที่สุด ราวกับว่าสายลมที่พัดผ่านมานี้ ได้นำช่วงเวลาที่ผ่านไปนานแล้วย้อนกลับมาอีกครา “เอ่อ” แม้จะดูเป็นการเสียมารยาท แต่เด็กสาวก็ขัดขึ้นเล็กน้อยทำให้เด็กหนุ่มต้องหยุด “หืม ทำไมเหรอ หรือว่าเธอไม่ชอบเพลงนี้” “ป...เปล่า แต่ว่า.. นายไปจำเพลงนี้มาจากไหน” เด็กสาวถามด้วยใจเต้นระรัวยิ่งขึ้น ด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอคิด แม้จะแปลกใจที่จู่ ๆ ก็ถูกถามถึงที่มาของเพลง แต่เด็กหนุ่มก็เต็มใจที่จะตอบโดยไม่จำเป็นต้องปิดบัง “จากคุณพ่อน่ะ สอนให้ตั้งแต่ฉันอายุได้ห้าขวบพอดี” คลิฟฟอร์ดตอบก่อนที่สีหน้าจะค่อย ๆ หม่นหมองลงเล็กน้อย “ก่อนที่ท่าน....จะเสียในอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา” “เอ๋ ทำไมล่ะ” เด็กสาวถาม “ท่านกับคุณแม่เป็นแพทย์สนาม แล้วก็....พวกท่านเสียไปในสงคราม ผมก็เลยต้องเร่ร่อนกลายเป็นเด็กกำพร้า” เอด้าได้ฟังเช่นนั้นก็เริ่มเอะใจ เพลงที่มีท่วงทำนองคุ้นหูเธอ ไหนจะการที่เขาเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ที่ตายไปเป็นหมอ หรือว่า แต่มันเป็นไปได้เหรอเนี่ย “โชคดีที่ตอนอายุได้สิบขวบ ในที่สุดคุณหมอคนนึงก็รับเลี้ยงฉันเอาไว้แล้วส่งเสียให้ได้เข้าเรียนที่นี่ ฉันก็เลย...” คลิฟฟอร์ดเล่าอยู่สักพัก เอด้าก็ขอโทษเขาอีกทีที่ต้องขอขัดจังหวะ “แล้วนาย...เอ่อ รู้จักเด็กผู้หญิงคนนึงมั้ย คนที่นายเคยทำแผลให้น่ะ ที่บอกว่าตัวเองหนีออกจากบ้าน” เธอถามเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง ใจเธอเต้นแรงด้วยอาการลุ้นเสียจนแทบเก็บไม่อยู่ “เอ่อ ก็....” คลิฟฟอร์ดนั่งนึก เนื่องจากเขาเองก็เคยปฐมพยาบาลทั้งถูกหลักและไม่ถูกหลักนักมาไม่น้อย แต่เขาก็พอจำได้ว่าเคยมีอยู่รายหนึ่ง ก่อนที่คุณหมอวิลเลียมจะมาอุปการะเขา “เหมือนจะมีอยู่นะครับ เด็กผู้หญิงน่ารักที่ล้มหัวเข่าเจ็บและร้องไห้ ฉันเคยพยาบาลให้เค้า แล้วก็เล่นเพลงตะกี๊ให้เค้าฟังด้วย” เด็กสาวถึงกับบรรยายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก เมื่อคำตอบผ่านเข้าหูเธออย่างชัดแจ้ง จะบอกว่าเข้าใจผิดมันก็เป็นกรณีที่ยากเกินกว่านิยายน้ำเน่าแล้ว ถึงจริง ๆ แบบนี้จะเหมือนมากกว่าก็เถอะ “ตอนนี้เค้าคงโตเป็นสาวแล้วมั้ง” คลิฟฟอร์ดมองฟ้าพลางนึกถึงความทรงจำครั้งนั้น ก่อนที่จะเพิ่งเอะใจแล้วหันกลับมาถาม “ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไง เอ๋!?” ทันทีที่เขาหันมาสบตาเธอ ก็ตกใจเมื่อเห็นแววตาสีทับทิมนั่นเริ่มมีหยดน้ำไหลออกมาอีกครา แต่ลองมาสังเกตดี ๆ แล้วนึกดู ผมสีแดงเพลิง แววตาที่ดูคุ้นเคยแบบนี้ ไหนจะรู้เรื่องในอดีตของเขาอีก หรือว่า..... “เอ๋ นี่เธอ วะ เหวอ!!!!!!” เด็กหนุ่มร้องตกใจทันที เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็โผเข้ามากอดเขา ด้วยกำลังแขนที่มากอยู่แล้วทำให้เขาอึดอัด “นาย! เป็นนายจริง ๆ ด้วย เด็กผู้ชายเมื่อตอนนั้น” เอด้าถึงกับปล่อยโฮออกมาอีกครั้งหลังจากที่แน่ใจทุกอย่างชัดเจนแล้ว “ฉันไม่เคยรู้เลย ว่าที่แท้นายก็อยู่ใกล้ตัวฉันมาตลอดนี่เอง ขอโทษจริง ๆ ที่ทำไม่ดีกับนายไว้เยอะ” “อะ....เอ่อ” เด็กหนุ่มเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เมื่อรู้ว่า เด็กผู้หญิงที่เขาพบในวันนั้น ก็คือเอด้านั่นเอง แต่ตอนนี้เขาอยากให้เธอปล่อยเขา ก่อนที่กระดูกเขาจะหักหมดซะก่อนมากกว่า - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ที่สวนสนุกประจำเมือง ผู้คนพลุกพล่านใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายจากภาระต่าง ๆ ตลอดสัปดาห์ของพวกเขา สาวน้อยคนหนึ่งกลับจากซื้อน้ำแล้วกำลังจะวิ่งกลับไปหาเพื่อน ๆ ทว่าด้วยความซุ่มซ่าม เธอเผลอไปชนเข้ากับคนอื่นจนน้ำหกเต็มตัวเธอไปหมด “ข...ขอโทษค่ะ ว้ายย” เธอขอโทษ ก่อนจะร้องตกใจ เมื่อพบว่าดันเจอกับคนน่ากลัวเข้าให้ ผมสีเพลิง ตาสีทับทิม ร่างสูงโปร่งเข่าดี จะมีใครที่ไหนอีก ในเมื่อเธอเพิ่งโดนตำหนิหลังแพ้วอลเลย์บอลมาเมื่อไม่นานนี้ ข้อหาเล่นไม่ถูกใจเข้า “อ..อา.. หนูกลัวแล้วค่ะ อย่า” เธอแสดงอาการกลัวออกนอกหน้าเมื่ออุ้งมือนั้นยื่นมายังเธอ ทว่าแทนที่จะเป็นเวทไฟลงทัณฑ์ แต่กลับเป็นสัมผัสอันอ่อนโยนลูบที่ศีรษะเธอแทน “ไม่เป็นไรจ๊ะ ขอโทษที่ฉันไม่ระวังเอง แล้วก็ขออภัยเรื่องเมื่อวันนั้นด้วยนะ” สิ่งที่ได้รับกลับผิดคาด เด็กสาวแทบคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เมื่อเห็น “ราชินีสีเพลิง” ที่เธอกลัวนั้นยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เธอถึงกับงงว่าอีกฝ่ายกินยาผิดหรืออะไรมารึเปล่า “การแข่งครั้งหน้าพยายามเข้านะ” เจ้าของฉายาน่ากลัวนั้นพูดให้กำลังใจเธอก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมโบกมือด้วย สาวน้อยได้แต่ประหลาดใจจนทำอะไรไม่ถูก “เอด้า มีอะไรเหรอ อ๊ะ ไปโดนอะไรมานั่น” คลิฟฟอร์ดซึ่งเธอเป็นคนนัดมาเที่ยวด้วยกันถามขึ้นเมื่อเห็นเสื้อเธอเปื้อน “ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุนิดหน่อยเอง” เอด้ายิ้มตอบอย่างมั่นใจ “อือ ดูท่าทางวันนี้เธออารมณ์ดีจังนะ” คลิฟฟอร์ดทัก “กะ...ก็ นิดหน่อยน่ะ” ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเธอปรับความเข้าใจกับรีวาลเมื่อคืนเรียบร้อยแล้ว และยอมให้รายนั้นคบกับรุ่นพี่ดิเรกไปอย่างไม่มีข้อกังขาอีก ส่วนเธอในตอนนี้ได้พบคนใหม่ที่ใช่กว่าแล้วสำหรับตนเอง “หืม ทำไมถึงมองชั้นแบบนั้นล่ะ” เด็กสาวแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองหน้าเธอไม่วางตา “ป...เปล่า แต่ว่า เห็นเธอยิ้มแบบนี้แล้วมัน....” เด็กหนุ่มพยายามนึกคำพูดดี ๆ ต่อหน้าเธอ “ทำไม ไม่ดีเหรอ....” “ไม่ ๆ ตรงข้ามเลย เธอตอนนี้......น่ารักดีน่ะ น่ารักจนไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเดียวกับที่โรงเรียน” คำพูดของคลิฟฟอร์ดทำเอาเธอเขินจนหน้าแดงก่ำเป็นลูกสตรอเบอรี่ในบัดดล จนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ “พูดมากน่า นี่ ไปเล่นเครื่องเล่นตรงโน้นกัน” เด็กสาวรีบแก้เขินโดยการดึงแขนชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่า “แฟนใหม่” อย่างแรงจนแทบเรียกได้ว่ากระชาก แถมคุณเธอก็เร่งฝีเท้าเร็วสมเป็นนักกีฬา ทำเอาเขาแทบจะล้มซะเอง “หวายยย ชมอยู่ดี ๆ ไหงกลับเป็นอาเจ๊ราชินีไปอีกล่ะเนี่... แย้กกกก” ไม่ทันขาดคำ เพราะดันคิดเสียงดังไปหน่อยทำให้แรงกระชากเพิ่มขึ้นจนเขาแทบจะถูกไถกับพื้นไป แว่นเริ่มเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ควรเป็นจนกระบังแทบจิ้มตา แต่เขาทำได้เพียงพยายามไม่ให้มันหล่นแตกเท่านั้น เหล่านักเรียนเซนต์ลูเชียสด้วยกันที่มาเที่ยวต่างหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน พร้อมกับความรู้สึกแปลกใจที่ว่า เจ้าแว่นคลิฟฟอร์ดมันคิดยังไงเนี่ย ถึงได้มาคบเป็นแฟนกับ “กุหลาบสีเพลิง” ไปซะได้ แถมดูเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างมากกว่าซะงั้น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ต่อมา บนชิงช้าสวรรค์ ถึงชื่อจะเรียกอย่างนั้น แต่ในโลกนี้ต่างออกไปตรงที่ แทนที่จะใช้เสาและล้อที่ทำจากเหล็กในการสร้าง กลับเป็นแค่ตัวกระเช้าที่นั่ง ที่ลอยอยู่รอบ ๆ เสาโอเบลิสก์ ซึ่งตรึงกระเช้าพวกนั้นด้วยกระแสไฟฟ้าพลังเวทมนตร์ ซึ่งตราบที่พลังเวทยังคงหมุนเวียนก็จะเป็นพลังที่ช่วยค้ำจุนกระเช้าเหล่านี้มิให้ตกลงมา แต่ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น ก็ยังคงมีระบบนิรภัยสุดวิเศษเตรียมไว้อยู่ดี ซึ่งต้องขออภัยที่ยังมิขอกล่าวถึงในที่นี้ คลิฟฟอร์ดและเอด้านั่งอยู่ตรงข้ามกัน เด็กหนุ่มกวาดสายตามองทิวทัศน์เบื้องล่างด้วยสีหน้าชื่นมื่น ผิดกับสาวเจ้าที่เอาแต่ปั้นหน้าซีเรียสเป็นกังวลอยู่คนเดียว “เป็นอะไรไปน่ะ เมื่อกี๊ยังเห็นอารมณ์ดี ๆ อยู่เลยนี่” คลิฟฟอร์ดหันกลับมาเห็นท่าทีของเอด้าจึงถาม “ก็....ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่” ฝ่ายหญิงยังคงเบือนหน้าหลบสายตา นอกจากเธอไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว ยังรู้สึกไม่ชอบใจที่ถูกทักก่อนหน้า แต่จริง ๆ เธออายซะมากกว่าที่ยิ้มให้คนอย่างหมอนี่เห็น น่าแปลก ที่หลังจากคืนดีกับรีวาลได้ ทั้งคืนเธอเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของหมอนี่จนแทบนอนไม่หลับ ถึงหมอนี่จะเป็นคนเดียวกับเด็กชายที่เธออยากเจอก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน เขาก็คือ คลิฟฟอร์ด เซเรเนียส เด็กหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ปรับของเธอในชั้นเรียนอยู่ดี แล้วตกลงอะไรคือความจริงกันแน่ ที่สำคัญ เธอนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรกับเขาดี ในฐานะที่อุตส่าห์ชวนมาออกเดทด้วยกัน พร้อมตั๋วที่เดิมซื้อเตรียมไว้ให้รุ่นพี่ดิเรกก่อนจะแห้ว “ตกลงเรื่องนั้นเคลียร์กับเพื่อนเธอได้ยัง” เด็กหนุ่มโพล่งคำถามขึ้นมา “อือ” เธอพยักหน้าเรียบ ๆ โดยไม่หันมามอง ส่วนหนึ่งก็ละอายใจตัวเองกับเขาเล็กน้อย “นี่ เป็นอะไรรึเปล่า” คลิฟฟอร์ดถามต่อเมื่อเห็นสีหน้าของเธอยังไม่สู้ดีเท่าไหร่ ทว่าเขาก็เผลอปากลื่นไปเล็กน้อย “ทำไมยังทำหน้าเหมือนกับกินยาลืมเขย่าขวดอย่างงั้นล่ะ” คำพูดนั้นเอด้าถือเป็นการกวนโมโหเธออย่างหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกอึดอัดประจุขึ้นเป็นความฉุนเฉียวขึ้นในบัดดล เธอหันควับมากระทันหันทำให้เขาตกใจ ก่อนที่จะตะคอกใส่อย่างแรง “ยาบ้านนายสิยะ!!!! คนอุตส่าห์พามาเที่ยวแท้ ๆ ยังมาพูดจากวนประสาทกันอีก! จะจ้อทั้งทีช่วยพูดอะไรให้มีสาระหน่อยเถอะ เดี๋ยวแม่จับเย็บปากซะเลยนี่!!!!!” เสียงดังราวกับระเบิดของเด็กสาวก้องออกไปถึงข้างนอก พาลทำให้พวกคนที่นั่งอยู่บนกระเช้าอื่น ๆ รวมถึงคนข้างล่างพากันหันมามองเป็นสายตาเดียว ส่วนเด็กหนุ่มนั้นไม่ต้องบอกคงรู้ว่าแก้วหูเขาแทบแตกเมื่อเจอมันในระยะเผาขนขนาดนี้ “เอ่อ ใจเย็นๆ ก็ได้คร้าบบบบ” เสียงอ่อน ๆ เหยาะแหยะของเด็กหนุ่มที่กำลังเบลอเพราะเสียงแหลมดุจกัมปนาทนั้น ทว่ากลับมากพอที่จะทำให้เด็กสาวสะดุ้งเฮือก เมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำตัวต่ำ ๆ ไปตามอารมณ์ชั่ววูบต่อหน้าเขา ทั้งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบแต่ต้นแท้ ๆ “อ....เอ่อ....” เธอถึงกับทำอะไรไม่ถูก แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพูดต่อด้วยท่าทีกลัวเธอ “ก....ก็.... เห็นทีแรกเธอยิ้มอย่างกับโลกสว่างสไว ต่อมาก็ทำหน้าบึ้งตึง ผมก็เลยงง ขอโทษด้วยครับถ้าผมทำอะไรผิด” แม้แต่สรรพนามแทนตัวของเขายังลดระดับกลับลงมาเป็นเท่าเดิม ทำให้เด็กสาวรู้ตัวว่า เธอเผลอพูดจาไม่ดีกับเขาเข้าอีกแล้ว แบบนี้เท่ากับว่าตัวเองไม่ได้ปรับปรุงตัวจากเดิมเลยน่ะสิ “ฉ...ฉันขอโทษ” สีหน้าของเอด้าเปลี่ยนกลับมาเป็นสำนึกผิด พร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อยและเบือนหลบสายตาอีกฝ่าย "นายมาเที่ยวกับฉัน คงจะไม่สนุกสินะ" คลิฟฟอร์ดถึงกับงงมิใช่น้อย นอกจากหูยังสะเทือนอยู่เล็ก ๆ แล้ว ไม่ใช่แค่จัดแว่นให้เข้าที่ แต่ยังปรับตัวตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไวของอีกฝ่ายไม่ค่อยทัน "ที่ชวนมา ก็แค่อยากตอบแทน ทั้งเรื่องในอดีต แล้วก็ที่นายทำเมื่อวานนี้ ไม่สิ จริง ๆ ก็มากกว่านั้นหรอกนะ แต่กับคนนิสัยอย่างฉัน ใครมาเที่ยวด้วยก็คงไม่สนุกหรอก จริงไหม" เด็กสาวโทษตัวเองอีกครั้ง จนคลิฟฟอร์ดสังเกตเห็นน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลออกมาจากผลึกทับทิมในเบ้าตานั่นอีกแล้ว และเขาก็มีประสบการณ์พอจะรู้ดีว่าเหมือนกับเมื่อวาน คือเธอไม่ได้เสแสร้งแน่นอน "บางทีทั้งรีวาลและรุ่นพี่ดิเรก ก็คงจะคิดเหมือนกัน" เด็กหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำให้สาวเจ้าน้อยใจเข้าซะแล้ว ตัวเขาตะกุกตะกักไปเล็กน้อยเนื่องจากรู้ดีว่าตัวเองไม่ถนัดง้อผู้หญิงมาก่อน แต่เพื่อไม่ให้อะไร ๆ มันกร่อยไปมากกว่านี้ เขาจึงรู้ตัวว่าต้องพูดอะไรดี ๆ สักอย่าง “ง่า ขอโทษนะ อย่าเพิ่งน้อยใจสิ ฉันยิ่งง้อไม่เก่งอยู่ด้วย” เจ้าตัวเผลอพูดออกมานอกหน้า แต่ฝ่ายหญิงสาวเองก็ไม่ติดใจตรงนั้นแล้ว “ขอโทษ ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอร้องไห้ อย่าร้องเลยนะ ขอร้องล่ะ” เด็กหนุ่มพยายามขอโทษเธอ ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เมื่อเธอจับมือเขา และเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่า มือของเธอนุ่มนิ่มกว่าที่คิด “อ..เอด้า” “ฉันต่างหากที่ต้องอยากขอโทษ ทั้งที่ชวนนายมาเองแท้ ๆ แต่กลับทำตัวไม่น่ารักอย่างตะกี๊อีก แต่อย่างน้อย ขอรบกวนเอาแต่ใจ ขออะไรนายอีกนิดนึงได้มั้ย” เด็กหนุ่มสังเกตเห็นสายตาที่สบเข้ามานั้น ดูออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ จนเขาไม่อยากเชื่อว่านี่คือ เอด้า วาล รูเบียน่า ที่เขาคุ้นเคยมาตลอด “นาย.... ช่วยคบกับฉันหน่อยได้หรือเปล่า” “หา!?” คลิฟฟอร์ดถึงกับอึ้ง ยิ่งชัดเจนจนเขาปฏิเสธไม่ได้เลยแบบนี้ ว่าเขาไม่ได้หูฝาด ในฐานะที่เขาเองก็เป็นผู้ชาย เมื่อเจอออดอ้อนระยะประชิดตัวขนาดนี้ ไหนจะประโยคที่เธอโพล่งออกมาอีก เขาเองก็อายเป็นเหมือนกัน แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคือ จะเป็นการสื่อสารที่เขาได้รับจาก “กุหลาบสีเพลิง” ผู้น่าเกรงขาม เรียกว่าหากเขาเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ คนอื่นฟัง ต้องไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง “ฉันอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ทำตัวดี ๆ เท่าไหร่ ไหนจะห้าว ๆ กระโดกกระเดก เสียงดังขี้วีน ชอบหาเรื่อง แต่ถ้านายไม่ชอบตรงไหน ฉันจะพยายามแก้ไขมันให้ได้เลย” เด็กสาวถึงกับยกข้อเสียมาตำหนิตัวเองมายื่นข้อเสนอให้ “สารภาพตามตรง ฉันอยากเจอนายอีกครั้งตั้งแต่ตอนที่พวกเราแยกจากกันแล้ว แต่ในช่วงที่ไม่รู้ตัวว่าได้พบ ฉันก็ทั้งพูดและทำไม่ดีกับนายไว้ตั้งเยอะ แต่เมื่อคืนนี้ ฉันคิดถึงเรื่องของนายตลอดจนแทบนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็สลัดความว้าวุ่นใจนี้ออกไปไม่ได้สักที ดังนั้น.... นายอยากจะขอให้ฉันทำอะไรเป็นการไถ่โทษนาย ก็ว่ามาได้เลย แต่ขอร้องอย่างเดียวเท่านั้น อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ” “อะ...เอ่อ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” คลิฟฟอร์ดตอบด้วยท่าทีสั่น ๆ เล็กน้อยด้วยความเขิน ในสภาพใกล้ชิดขนาดนี้ “แต่ว่า ถ้าจะยกเว้นแค่อย่างเดียว คือที่ฉันจะขอ เธอจะทำได้ไหม” “ว่ามาสิ” เด็กสาวถาม พร้อมลุ้นในใจว่ามันคืออะไร แน่นอนเธอบรรยายความรู้สึกตัวเองยังไม่ถูกเลย “ช่วยยิ้มหวาน ๆ แบบที่เธอยิ้มเมื่อตะกี๊บ่อย ๆ ได้ไหม รอยยิ้มน่ารัก ๆ แบบนั้นน่ะ ฉันชอบนะ” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ พลางนึกในใจว่าขอไปแบบนี้จะโดนอะไรอีกไหมนะ เธอจ้องหน้าเด็กหนุ่มผ่านกรอบแว่นสี่เหลี่ยมสักพักด้วยสายตาจริงจังเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นช้า ๆ “เป็นคำขอที่ยากจังนะ สำหรับคนอย่างฉัน” เด็กหนุ่มเริ่มหวั่น ๆ ว่าเผลอพูดอะไรผิดอีกไหมหว่า แต่ทว่าประโยคถัดไปนั้นเอง “แต่ถ้าเพื่อนายล่ะก็.....” ทันใดนั้นทุกอย่างก็ผิดคาด ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้เห็นในสิ่งที่เขาไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้เห็นมันอีก เรื่องนี้เทียบเท่าปรากฎการณ์ธรรมชาตินานปีทีหนทีเดียว ริมฝีปากของเด็กสาวค่อย ๆ เปลี่ยนรัศมีความโค้ง ขอบด้านข้าง ๆ ยกสูงขึ้น พร้อมกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นในทันที ประกอบกับแก้มสีขาวนวลที่เริ่มป่องตามการขยับของใบหน้า เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็จึงยิ้มตอบให้เช่นกัน สายตาของทั้งคู่ประสานราวกับสายน้ำที่ไหลเข้ามารวมกันอย่างกลมเกลียว “ว้าย ดูสิคะรุ่นพี่ คู่นั้นน่ารักกันจังเลย” สาวแว่นชวนรุ่นพี่หนุ่มที่เธอพามาเดทด้วยกันให้ดูอีกคู่ที่อยู่กระเช้าข้าง ๆ ชายหนุ่มเองก็มาดูด้วย “เพื่อนเธอน่ะเหรอ ดีจังนะที่รายนั้นหาคนที่ใช่พบซะที” ดิเรกพูดพลางมือเกาะไหล่รีวาล ทำเอาเด็กสาวอายนิดนึงแต่ก็ชื่นใจ เรื่องราวเหล่านี้แม้เป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในพิภพแห่งเลเจนเดีย แต่สำหรับพวกเขามันคือชีวิตวัยหนุ่มสาวสิ่งที่ต้องจดจำไปตราบทั้งสายสัมพันธ์แห่งหัวใจยังคงผูกพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน [Fin] ขอขอบคุณที่ทนอ่านยาวจนจบนะคะ เชิญท่านทั้งหลายติชม วิจารณ์ได้ตามสะดวกค่ะ จะได้นำไปพยายามปรับปรุงต่อ ๆ ไป ^^ ありがとう ございましたね~~~
ขออภัยที่มาอ่านช้า แต่โดยรวมถือว่าเป็นฟิคที่น่ารักทีเดียว อ่านแล้วอมยิ้มตามได้สบายๆ ที่อยากจะติก็คงเหมือนในฟิคท่านอื่นๆ(รวมถึงฟิคตัวเอง) ก็คือ เรื่อง 'คำซ้ำ' กับ 'คำเชื่อม' ที่เยอะเกินไปจนทำให้อ่านแล้วขัดๆ สะดุด แต่การบรรยายอารมณ์ตัวละครและพรรณาฉากทำได้ในระดับดีทีเดียว ถ้าอยากจะให้มีบรรยากาศแฟนตาซีอีกนิดหน่อยตามที่คนเขียนต้องการ อาจจะลองเปลี่ยนประโยคตรงนี้นิดหน่อย "ประโยคปฏิเสธที่ดูธรรมดา แต่ก็ยังคงเหมือนสายฟ้าแลบที่ผ่าเปรี้ยงลงกลางดวงใจน้อย ๆ ของเด็กสาวในบัดดล" > "ประโยคปฏิเสธที่ดูธรรมดา แต่เหมือนอีกฝ่ายร่ายมนตราสายฟ้าฟาดใส่ดวงใจเล็กๆของเธอจนชาเจ็บ" ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากแล้ว ปรับแต่งแก้ไขอีกนิดๆหน่อยจะถือว่าเป็นฟิคเกรด A ได้สบายๆเลย
โหว เขียนได้ดีกว่าที่บอกไว้เยอะเลย ผมอ่านแล้วเรื่องสำนวนภาษานี่ลื่นไหลดีนะครับ แล้วขอชมเลยว่าบรรยากาศในเรื่องนี้ "น่ารักสุดๆ!" การใช้ตัวละครแนวซึนเดเระ เอ๊ย สาวโหด มาดแกร่ง แต่จิตใจอ่อนไหว มาเป็นตัวดำเนินเรื่องมันให้อารมณ์แตกต่างจากฟิคอื่นๆที่เข้ามาในช่วงนี้ ถือว่าเป็นความแหวกแนวก็ว่าได้ ถึงคุณเธอจะแรงมากในหลายๆฉาก แต่พอต้องมาซึมเซาคนเดียวเพราะผิดหวังจากความรักแล้ว ก็ชวนให้คิดว่าเธอเป็นเด็กสาวคนนึงเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมชอบผู้ชายบุคลิกแบบคลิฟฟอร์ดมาก ไม่รู้ว่าทำไมบุคลิกที่ผมคิดคลิฟฟอร์ดถึงเหมือน Shinra จาก Durarara ได้ ฮาๆ ส่วนที่กำลังคิดว่าจะติงก็คือ เรื่องนี้มีบรรยากาศแบบโรงเรียนมัธยมญี่ปุ่นมากกว่าโรงเรียนเวทย์มนตร์หลายเท่าเลยครับ กลายเป็นว่า content เรื่องเวทย์มนตร์เป็นเรื่องที่ใส่มาตามใจผู้แต่งเสียอย่างนั้น การบรรยายใช้ภาษาปัจจุบันมาก ซึ่งยิ่งเป็นการดึงบรรยากาศเข้าสู่โลกปัจจุบันมากกว่าจะเป็นแฟนตาซีแบบที่ควรจะเป็น ภาษามีกระดกขึ้นๆลงๆ (คือบ้างเป็นภาษาพูด บ้างเป็นภาษาเขียน) แต่โดยรวมผมอ่านแล้วก็ไม่สะดุดหูมากนัก ปล. สงสารรีวาลออกนะ รุ่นพี่ดิเร็กก็แมนจริงๆ = =b