[Valentine] รักวุ่น ๆ ในโรงเรียนมนตรา

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย arcwind, 20 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. arcwind

    arcwind New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    “เธอ... นี่เธอ... ไม่เป็นไรใช่ไหม”

    “ไม่ใช่เรื่องของนาย ฉันอยากอยู่คนเดียว”

    “จะให้ฉันปล่อยเธอร้องไห้เจ็บแผลอยู่คนเดียวได้ไงกัน”

    “ฉันไม่ได้ร้องไห้เจ็บแผลสักหน่อย”

    “แล้วเธอร้องไห้ทำไมล่ะ”

    “ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย... เดี๋ยวสิ นายจะทำอะไรน่ะ! ช...เช็ดน้ำตาให้ฉันเหรอ... ขอบใจนะ”

    “เอาล่ะ... ตอนนี้ก็นั่งลงก่อนสิ แล้วยื่นขามาให้ฉัน”

    “เรื่องอะไรล่ะนาย”

    “ยื่นขามาก่อนเถอะน่า แล้วอยู่นิ่ง ๆ ด้วย”

    ในที่สุด เด็กหญิงเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีแดงเพลิงก็ยอมยื่นขาให้ผมรักษารอยถลอกที่หัวเข่า ในเวลานี้ผมไม่ได้มีอุปกรณ์หรือหยูกยาใด ๆ ที่จะใช้ทำแผลได้เลย แต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะเอาแผลไปล้างกับก๊อกน้ำก่อน

    “ไม่เอา ออกไป! นายจะทำอะไรกับเข่าฉันน่ะ! มันเจ็บนะ” เด็กหญิงคนนี้ช่างดื้อรั้นและเสียงดังหนวกหูกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก อย่างไรก็ตาม ผมต้องอดทน เพราะคุณพ่อคุณแม่ในตอนนั้นก็คงต้องอดทนมากกว่าผมนัก

    ...คงต้องอดทนกับอะไรมากกว่านี้เยอะเลยสินะ...

    ผมนำสมุนไพรรักษาแผลที่แอบเด็ดมาจากสวนหลังบ้านของคุณหมอวิลเลียมมาประคบแผลเอาไว้ และฉีกเสื้อออกมาพันแผลนั้นแทนผ้ากอซ... ถึงจะดูเหมือนลวก ๆ แต่ก็คงจะเป็นวิธีช่วยเหลือที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะช่วยได้แล้ว

    “นาย... ขอบใจมากนะ” หลังจากที่ผมทำแผลเสร็จ ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะอารมณ์เย็นขึ้นมาบ้างแล้ว เธอพูดคุยกับผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก
    ผมกับเด็กผู้หญิงแปลกหน้าพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ผมจำไม่ได้นักว่าพูดคุยอะไรกัน ก่อนที่ผมจะหยิบขลุ่ยทำมือขึ้นมา...

    ...

    เสียงออดเวลาเลิกเรียนที่ดังขึ้นมา ปลุกผมจากความฝันถึงเรื่องความทรงจำวัยเด็กอันแสนหวาน ให้กลับสู่โลกแห่งความจริง เป็นเวลาแห่งความสุขที่ผมรอคอย

    ...ว่าไป นี่คือเวลาที่ผมจะต้องไปซื้อสบู่กับแชมพูยี่ห้อโปรดลดราคามหาศาลสินะ... อ้อ ปลาดุกย่างร้านพี่นีลด้วย...

    ผมวิ่งออกจากห้องเพื่อที่จะตรงไปยังร้านนั้น ทว่า...

    โครม! “โอ๊ย!!!” “แว้ก!!!”

    ผมวิ่งชนใครสักคนจนล้มคว่ำและหัวโขกพื้น ผมไม่บาดเจ็บนักแต่ก็มึนหัวเล็กน้อย แว่นตาของผมหลุดกระเด็นออกไปไม่ไกลนัก หวังว่าคนที่ผมวิ่งชนคงจะไม่เป็นไร

    “นี่! จะรีบไปตายที่ไหนหา! เดินระวัง ๆหน่อย...อ๊ะ” เสียงนี้... ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันคือเสียงสุดท้ายที่ผมอยากได้ยินในตอนนี้... คือเสียงดุ ๆ ของเอด้า วาล รูเบียน่า เจ๊โหดประจำระดับชั้น

    ...พูดได้เลยคำเดียวว่า “ซวย”...

    ซวย ๆ ๆ ๆ ๆ ทำไมผมถึงต้องเจอกับเธอตอนนี้ด้วย…

    “คลิฟฟอร์ด นี่นายอีกแล้วเรอะ!” เสียงอันน่าสะพรึงกลัวพร้อมด้วยกำปั้นชุดใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามาหาผมอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าผมจะขอโทษเท่าไรเธอก็ไม่ฟัง ผมจึงทำได้เพียงหลบหลีกหมัดเหล่านั้น รีบสวมแว่นตากลับ และวิ่งหนีให้เร็วที่สุด

    หลังจากที่แว่นตาถูกสวมใส่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รีรออะไรทั้งนั้น ผมวิ่งหน้าตั้งออกจากบริเวณที่เอด้ายืนอยู่ในทันที

    “ขอโทษครับ ผมกำลังรีบ เดี๋ยวของหมดผมก็ซวยแย่” ผมพูดทิ้งท้ายถึงธุระที่ทำให้ผมต้องรีบ ก่อนที่จะวิ่งหนีเธอไป สู่ร้านขายของชำและร้านของพี่นีล

    “อย่าหนีนะว้อย อีตาบ้า วันนี้ถ้าไม่ได้อัดแกให้ยับ ชั้นนอนไม่หลับแน่” ผมได้ยินคำพูดทิ้งท้ายของเธออย่างเสียงดังฟังชัด ภายในใจได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องพบกับเธออีก

    ...ผู้หญิงอะไร ดุอย่างกับหมาอย่างนี้ สวยยังไงก็ไม่มีใครมาจีบหรอก...

    ---

    เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้ล่วงเลยมาสามวันแล้ว ในเวลานี้ผมมานั่งเป่าฟลุตอยู่ที่มุมโปรดอย่างสบายอารมณ์ดังเช่นทุกวัน มันเป็นมุมหลังห้องพยาบาลซึ่งปิดทำการไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะมืดไปสักนิด หากเงียบสงบและเป็นส่วนตัวเหลือเกิน

    ยังไม่ทันทีผมจะจบบทเพลงรอบที่สาม ผมเหลือบไปเห็นเอด้า... คนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด หากในขณะนี้เธอเพิ่งสะดุดรากต้นมะขามหกล้ม และดูเหมือนว่าคงจะเจ็บจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว ท่าทางเธอคงต้องการความช่วยเหลือไม่น้อยเลย

    ที่น่าแปลกที่สุดที่ผมเห็นคือ... แก้มของเธอยังคงชุ่มด้วยน้ำตาอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เธอออกจะห้าวหาญและเข้มแข็งแท้ ๆ

    ...จะเอด้าหรือจะใครก็ช่าง ยังไงคนเจ็บก็เป็นคนไข้ ต้องไปรักษาก่อน...

    “เป็นอะไรรึเปล่า” ผมพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตรและทำเป็นใจดีสู้เสือ โดย

    “อย่ามายุ่ง!” เธอตะคอกใส่ผมด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวเช่นเดิม... ผู้หญิงอะไรดุชะมัด แถมขยับตัวหนีผมอย่างนั้น... นึกว่าผมจะมาปล้ำหรือไงกัน ขาวสวยรวยสะบึ้มกว่านี้มีถมเถไป

    “อะ.....เธอบาดเจ็บนี่นา ยื่นขามา” เจอเสียงดุ ๆ อย่างนี้เข้าไป ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามพูดคุยกับเธออย่างสุภาพและเป็นมิตร โดยหวังว่าเธอจะเข้าใจ

    “ไป! ออกไปนะ!” ผมพยายามขอรักษาแผลของเธออย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ทว่า... ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เธอกลับตะเพิดไล่ผมอย่างหมูหมา

    ความจริงผมเองก็อยากจะออกไปอย่างที่เธอสั่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เธอเป็นคนไข้ที่ผมต้องรักษา ผมจำเป็นต้องโยนเรื่องส่วนตัวออกไปก่อน

    “ยื่นขามา” ผมเอ่ยขอความร่วมมือจากเอด้าอย่างจริงจัง ตอนนี้ผมไม่ขอล้อเล่นอะไรแล้ว

    ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจสิ่งที่ตนควรทำในขณะนี้แล้ว เธอยื่นขาให้กับผม แม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก แต่นั่นก็ทำให้งานของผมง่ายขึ้นมาก หากทันทีที่ยกขาของเธอให้อยู่ในมุมที่ผมถนัด...

    “จะทำอะไรน่ะ!”เอด้าร้องอย่างตกใจอะไรสักอย่าง และขยับขาหนีเล็กน้อย... ทำให้ผมเริ่มหมดความอดทน

    “อยู่นิ่ง ๆ !” ผมออกคำสั่งกับเธอ... ใช่ ผมออกคำสั่ง ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ “กุหลาบสีเพลิง” แต่ในฐานะของหมอกับคนไข้

    “ไม่รู้หรอกนะว่าไปวิ่งอีท่าไหนมาถึงได้หกล้ม แต่ยังไงก็ต้องรีบทำแผลก่อน”

    ผมเองก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าอะไรทำให้ผมออกคำสั่งกับเจ๊ใหญ่อย่างเอด้าเช่นนั้น แต่ในเมื่อเธอยอมให้ความร่วมมือกับผมแล้ว ผมจึงลงมือทำแผลนั้นอย่างไม่ลังเลรีรออะไรทั้งนั้น

    หลังจากที่ผมรักษาบาดแผลนั้นเสร็จแล้ว ผมเห็นว่าน้ำตายังคงอาบแก้มของเอด้าอยู่ สิ่งที่ทำให้เธอเสียน้ำตาคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่

    “ไม่รู้ว่าเจอเรื่องอะไรมานะ แต่เธอเป็นผู้หญิง น้ำตานั่นไม่ค่อยเหมาะกับเธอหรอก ถ้ารอยยิ้มก็ว่าไปอย่าง” ผมปลอยโยนพร้อมทั้งยกนิ้วขึ้นเช็ดน้ำตา ในภายใจอดสงสัยไม่ได้ว่ารอยยิ้มของ “กุหลาบสีเพลิง” จะเป็นเช่นไร...

    เอด้ามองผมด้วยสายตาแปลก ๆ และอ่านยากอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเธอโกรธเพราะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ หรือว่าอะไรกันแน่

    “ค...คลิฟฟอร์ด!” เธอร้องอย่างตกใจราวกับเห็นผีอยู่ตรงหน้า ก่อนที่มือของเธอจะผลักผมออกอย่างแรงโดยไม่มีเหตุผล

    ...นี่สินะที่เขาว่ากันว่า ผู้หญิงอารมณ์แปรปรวน...

    “โอ้ย เจ็บนะ คนอุตส่าห์ทำแผลให้ยังจะลงไม้ลงมือกันอีกเรอะ” ผมอดเคืองนิด ๆ ไม่ได้ที่จู่ ๆ ผมก็ถูกผลักทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรผิด ทั้งยังเป็นคนทำแผลให้เธอด้วยซ้ำ... ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ

    “อะ...เอ่อ ขอโทษ... ขอโทษจริง ๆ” อ...เอด้าขอโทษผมเหรอ... นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ที่เอด้าผู้หยิ่งทะนงและสง่างามจะขอโทษใครง่าย ๆ โดยเฉพาะผม

    ...นี่คงจะเป็นความฝันสินะ ส่วนความจริงผมคงถูกผลักจนหัวกระแทกพื้นสลบไปแล้ว...

    “เห...เอ่อ ไม่เป็นไร” ผมอดสับสนกับเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ ทั้งที่เธอผลักผม และมาขอโทษอย่างนี้

    ...เธอไปกินยาผิดสำแดงมาจากไหนนะ...

    “ว่าแต่....ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

    “ก็ ปกติที่นี่เป็นที่นั่งเป่าฟลุตของผมนี่นา” ผมตอบคำถามของเธออย่างตรงไปตรงมา

    “จริงนะ ไม่ใช่ว่าเห็นฉันมานั่งร้องไห้ เลยคิดจะซ้ำเติมฉันนะ” ซ้ำเติม? มีใครกล้าซ้ำเติมเจ๊ใหญ่อย่างเธอด้วยหรือไง แต่ที่แน่ ๆ คนที่จะกล้าทำเช่นนั้นไม่ใช่ผมแน่ เพราะผมยังไม่พร้อมที่จะถูกเธอสังหารโหด

    “ทำไมผมต้องซ้ำเติมเธอด้วยล่ะ เธอซึมจ๋อยเรื่องอะไรมาฉันยังไม่รู้เลย” ผมตอบเอด้าไปอย่างซื่อ ๆ ด้วยความสัตย์จริง

    “งั้นเหรอ....” แววตาของเอด้าดูสำนึกผิด... นี่ผมไม่ได้ตาฝาดไป หรือไม่ได้ฝันไปใช่ไหมนี่

    “แต่ถ้านายรู้ นายต้องหัวเราะเยาะฉันแน่” หัวเราะเยาะเธอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องที่เธอเจอแมลงสาบในห้องน้ำแล้วกลัวจนร้องไห้ หรือปอกแอปเปิ้ลแล้วมีดบาดมือ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    “ทำไมล่ะ”

    เอด้าเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง... อืม... ดูเป็นเรื่องธรรมดานะ เพื่อนและคนไข้ของผมเป็นสิบก็ต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้... แต่ผมก็รับฟังทุกเรื่องราวของเธออย่างตั้งใจ ในฐานะหมอ

    “อืม ไม่เห็นแปลก ก็ต้องเข้าใจน่ะนะว่า หัวใจของคนเรามันห้ามกันไม่ได้ ทุกคนย่อมมีสิทธิ์รักใครชอบใครตามที่ตัวเองต้องการอยู่แล้วนี่” ผมตอบไปอย่างซื่อ ๆ นั่นคือคำปรึกษาเดียวที่คนไม่เคยมีแฟนอย่างผมจะให้ได้ในตอนนี้

    “แต่ว่า.... ฉันทำกิริยาไม่สมควรกับพวกเขาไป แล้วฉัน..... ฉันควรจะทำยังไงดี” เธอพูดทั้งก้มหน้าสำนึกผิดอย่างมาก

    “เรื่องนั้น ก่อนอื่นเธอต้องลองให้เวลากับหัวใจตัวเองก่อนล่ะนะ แล้วค่อยหาคำตอบออกมา” นั่นคือคำแนะนำเดียวที่ผมจะให้ได้... ตามคำแนะนำของคุณหมอวิลเลียมว่า “เวลาเป็นยารักษาใจ”

    “งั้นผมขอตัว” หลังจากที่ผมให้คำแนะนำเท่าที่จะทำได้แล้ว ผมกะว่าจะเดินออกไปเพื่อให้เอด้าได้มีเวลาส่วนตัว ทว่า...

    “เอ่อ ขอโทษนะ” เธอกลับรั้งผมไว้... ช่างน่าแปลกนักสำหรับคนหยิ่งทะนงอย่างเธอ

    “อะไรอีกล่ะ” ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้เธอต้องรั้งผมเอาไว้ โดยเฉพาะสายตาอ้อนวอนคู่นั้น... นี่เธอไปเมาประชดรักมาจากไหนมาหรือเปล่า หรืออาจจะแค่อ่อนไหวหลังจากปวดร้าวกับความรักมา

    “ขอร้องล่ะ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย”

    เอด้า วาล รูเบียน่าขอร้องให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเธอ... อย่างจริงจัง... ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ในเมื่อผมนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเพิ่งจะมีปัญหากับรีวาลมาหมาด ๆ ผมก็เข้าใจดี และตัดสินใจนั่งเป็นเพื่อนเธอ

    ...แม้ว่าผมจะรู้สึกได้ถึงเค้าลางหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็ตาม...

    ---

    เอด้าระบายปัญหาและปมต่าง ๆ ในชีวิตของตนให้ผมฟัง... ผมเข้าใจมันดี เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับลูกเจ้าขุนมูลนาย ที่ไม่สามารถเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตนได้ จึงต้องพยายามบดบังปมด้อยและจุดอ่อนของตนเอง... ผมเห็นมาเยอะจากชีวิตของคนไข้ทั้งหลาย

    “แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉันกลับทำตัวไม่ต่างจากคนขี้อิจฉาริษยาคนนึง ที่ทำเรื่องน่าอายออกไปแม้แต่เพื่อนสนิทตัวเอง คนอย่างฉัน.....คนอย่างฉันมัน.....แย่ที่สุดเลยนายว่ามั้ย”
    ดูท่าทางเอด้าคงจะเจ็บปวดกับเรื่องนี้ไม่น้อย และกำลังจะเสียน้ำตาให้กับมันอีกรอบ ผมในเวลานี้ทำได้เพียงลูบหลังปลอบโยน เพราะผมคงไม่มีคำปรึกษาใด ๆ อีกแล้ว

    “ฉันเข้าใจนะ เพราะจริง ๆ ฉันเองก็อยากเป็นนักดนตรีมากกว่า แต่ขณะเดียวกันฉันก็ชอบเหมือนกันที่จะเป็นหมอ ถ้ามันช่วยคนอื่นได้” ผมกล่าวถึงชีวิตของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา... อุ๊บ เผลอเปลี่ยมสรรพนามตีสนิทเป็นเพื่อนเล่นกับเธอซะงั้น แต่ก็ช่างเถอะ...

    เด็กสาวนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง สร้างความประหลาดใจให้กับผมเป็นอย่างมากว่าการอกหักอะไรจะเปลี่ยนแปลงเธอไปได้ขนาดนี้เลยหรือ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นสบตากับผม

    “คลิฟฟอร์ด..... ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ที่พูดจาและทำตัวไม่ดีกับนายมาโดยตลอด” นั่นคือคำขอโทษอย่างจริงใจอีกครั้งจากปากของเอด้า... ช่างน่าแปลกจริง ๆ หรือว่าเธอจะหัวใจสลายจนเริ่มเสียสติไปแล้ว

    ...วันนี้... จะไม่แปลกใจเลยถ้าฝนตกลงมาเป็นฮิปโป...

    “ไม่เป็นไร” ผมตอบไปอย่างซื่อ ๆ เนื่องจากที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรนัก และตอนนี้ผมเองก็เข้าใจเธอบ้างแล้ว

    เอด้าในยามนี้เริ่มดูสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ผมเห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่ได้

    “เอ่อ งั้นถ้าไม่รังเกียจ อยากให้นาย.....เอ่อ” เด็กสาวเอ่ยขออะไรสักอย่างจากผม หากแลดูเขินอาย... หรือกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย

    “หืม อะไรเหรอ”

    “นายเล่นฟลุตใช่ไหม ถ้างั้นนาย....เอ่อ ช่วยเล่นให้ฉันฟังสักเพลงได้ไหม เอาเพลงที่นายชอบที่สุดน่ะ” ผมอดประหลาดใจไม่ได้ที่เอด้าผู้ไม่นิยมดนตรีจะขอให้ผมเป่าฟลุตให้ฟัง แต่ในเมื่อเธอพอใจที่จะเสนอ ผมก็กล้าที่จะสนอง

    ผมหยิบฟลุตขึ้นมาพิจารณาสภาพอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเป่าบทเพลงโปรด... บทเพลงแห่งความทรงจำที่ผมจะไม่มีวันลืม ทว่ายังไม่ทันถึงครึ่งเพลง...

    “เอ่อ” เอด้าเอ่ยขัดขึ้นมากลางคัน ทำให้อารมณ์สุนทรีย์ของผมสะดุด และผมจำเป็นต้องหยุดไว้ก่อน

    “หืม ทำไมเหรอ หรือว่าเธอไม่ชอบเพลงนี้” ผมกะอยู่แล้วว่าเธอจะต้องไม่ชอบเพลงนี้... ในเมื่อเธอไม่ชื่นชอบดนตรีอยู่แล้วนี่

    “ป...เปล่า แต่ว่า.. นายไปจำเพลงนี้มาจากไหน” ผมอดประหลาดใจกับคำถามนี้ไม่ได้ว่ามันจะมาจากเอด้า... ผมไม่คิดว่าเธออยากรู้จักเพลงนี้เท่าไรนัก

    “จากคุณพ่อน่ะ สอนให้ตั้งแต่ฉันอายุได้ห้าขวบพอดี... ก่อนที่ท่าน....จะเสียในอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา” ผมตอบทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง แม้ว่าจะเป็นคำตอบที่น่าเจ็บปวดสำหรับผมก็ตาม

    “เอ๋ ทำไมล่ะ”

    หากเป็นยามปกติก็คงจะประหลาดใจที่ได้ยินคำถามนี้ ที่เอด้าจะอยากรู้เรื่องราวของผม แต่ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คงไม่มีอะไรให้ประหลาดใจอีกแล้ว ผมจึงบอกเล่าเรื่องราวสมัยเด็กให้เธอฟังอย่างไม่ปิดบัง ทว่ากลับถูกเธอขัดขึ้นมาอีกจนได้...

    “แล้วนาย...เอ่อ รู้จักเด็กผู้หญิงคนนึงมั้ย คนที่นายเคยทำแผลให้น่ะ ที่บอกว่าตัวเองหนีออกจากบ้าน” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนกว่าที่เคย... ผมไปคล้ายคนรู้จักของเธอที่ไหนเหรอ

    “เอ่อ ก็... เหมือนจะมีอยู่นะครับ เด็กผู้หญิงน่ารักที่ล้มหัวเข่าเจ็บและร้องไห้ ฉันเคยพยาบาลให้เค้า แล้วก็เล่นเพลงตะกี๊ให้เค้าฟังด้วย” หลังจากที่ผมนั่งนึกย้อนกลับไปทบทวนความทรงจำ ผมก็พอจะจำได้ว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ผมเคยรักษา... เธอก็หกล้มหัวเข่าเจ็บเหมือนเอด้าในวันนี้

    “ตอนนี้เค้าคงโตเป็นสาวแล้วมั้ง” ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น... ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอไปทราบเรื่องราวเหล่านั้นมาได้อย่างไร จึงหันกลับไปถามเธอ

    “ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไง เอ๋!?”

    ผมอดตกใจไม่ได้ที่เห็นน้ำตาของเธอเป็นครั้งที่ไม่สองก็สามในวันนี้... ผมมองเธออย่างพิจารณาอีกครั้ง... ดวงตาสีแดงนั้น... ผมสีแดงนั้น... หรือว่า...

    “เอ๋ นี่เธอ วะ เหวอ!!!!!!” ผมพอจะคาดเดาได้แล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างไร หากในขณะเดียวกัน เธอกลับเข้ามากอดรัดผมเอาไว้แน่นเสียจนหายใจแทบไม่ออก

    “นาย! เป็นนายจริง ๆ ด้วย เด็กผู้ชายเมื่อตอนนั้น” เด็กสาวถึงกับร้องไห้อีกครั้ง... ผมอดประหลาดใจไม่ได้ที่เด็กคนนั้นคือเอด้านั่นเอง และเธอดีใจมากขนาดนั้นเลยเหรอที่ได้เจอผม

    “ฉันไม่เคยรู้เลย ว่าที่แท้นายก็อยู่ใกล้ตัวฉันมาตลอดนี่เอง ขอโทษจริง ๆ ที่ทำไม่ดีกับนายไว้เยอะ”

    ผมอดซาบซึ้งไม่ได้ที่เอด้ายังจำเรื่องราวสมัยเด็กนั้นได้ และรู้สึกดีกับมันมาตลอด แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก เพราะ...

    “อะ....เอ่อ”

    ตอนนี้ ผมหวังอย่างเดียวคือ... ให้เอด้าปล่อยผมเป็นอิสระไปจากอ้อมกอดของเธอเถอะ ก่อนที่กระดูกของผมจะหักหมดทั้งตัวหรือขาดใจตายเสียก่อน

    ---

    หลังจากวันศุกร์ที่แสนวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป วันเสาร์ได้มาเยือน ผมมาถึงสวนสนุกทันเวลาตามที่เธอนัดไว้พอดิบพอดี ผมได้แต่หวังว่าวันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรบ้า ๆ เกิดขึ้น แม้ผมจะรู้สึกได้ถึงเค้าลางหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้าก็ตาม

    “เอด้า มีอะไรเหรอ อ๊ะ ไปโดนอะไรมานั่น” ผมเอ่ยทักเอด้าทันทีที่ได้พบ เสื้อเธอดูเปื้อนแปลก ๆ ทั้งที่ปกติออกจะเป็นคนรอบคอบแท้ ๆ

    “ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุนิดหน่อยเอง” เอด้ายิ้มตอบ... วันนี้ “กุหลาบสีเพลิง” ดูอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด... แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

    “อือ ดูท่าทางวันนี้เธออารมณ์ดีจังนะ” คลิฟฟอร์ดทัก

    “กะ...ก็ นิดหน่อยน่ะ” เด็กสาวตอบคำถามนั้นด้วยท่าทีคล้ายกับว่าไม่อยากตอบนัก

    ...เห็นพี่ดิเรกยิ้มให้ล่ะสิ ถึงได้ยิ้มขนาดนั้น...

    ผมอดประหลาดใจกับรอยยิ้มของเธอไม่ได้ มันสว่างไสวและน่ารักอย่างที่แทบจะไม่มีใครเคยเห็น จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแม้แต่รีวาลจะได้เห็นมันบ่อยขนาดไหน

    “หืม ทำไมถึงมองชั้นแบบนั้นล่ะ” เด็กสาวแปลกใจหลังจากที่ผมเผลอมองรอยยิ้มของเธอนานไปหน่อย

    “ป...เปล่า แต่ว่า เห็นเธอยิ้มแบบนี้แล้วมัน....” ผมพยายามรักษาคำพูดให้เอด้าไม่โกรธเคือง แต่มันช่างยากเหลือเกิน

    “ทำไม ไม่ดีเหรอ....”

    “ไม่ ๆ ตรงข้ามเลย เธอตอนนี้......น่ารักดีน่ะ น่ารักจนไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเดียวกับที่โรงเรียน” ผมตัดสินใจตอบคำถามนั้นอย่างซื่อ ๆ และตรงไปตรงมา หากดูเหมือนว่าจะเป็นคำตอบที่ไม่เข้าหูเธอนัก

    “พูดมากน่า นี่ ไปเล่นเครื่องเล่นตรงโน้นกัน” จู่ ๆ เธอกลับกระชากแขนของผมวิ่งไปยัง... ม้าหมุนเนี่ยนะ

    “หวายยย ชมอยู่ดี ๆ ไหงกลับเป็นอาเจ๊ราชินีไปอีกล่ะเนี่... แย้กกกก” ผมคิดในใจ แต่ดันคิดดังไปหน่อย ผมจึงถูกกระชากลากถูจนแว่นแทบหลุด เพื่อไปเล่น... ม้าหมุน... โดยปริยาย

    ---

    หลังจากที่เล่นม้าหมุนเสร็จแล้ว พวกเราย้ายมาเล่นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน ผมสนุกสนานและเพลิดเพลินกับทัศนียภาพบนเครื่องเล่นนี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นแม้ว่าผมจะมาสวนสนุกแห่งนี้เป็นครั้งที่สิบกว่าแล้ว หากเอด้ากลับดูไม่สนุกนัก เธอกลับเงียบงันและเคร่งเครียด ทั้งที่ตอนแรกยังดูร่าเริงอย่างน่าประหลาดอยู่แท้ ๆ

    “เป็นอะไรไปน่ะ เมื่อกี๊ยังเห็นอารมณ์ดี ๆ อยู่เลยนี่” ผมอดข้องในใจท่าทีของเธอไม่ได้ จึงถามไปอย่างตรงไปตรงมา

    “ก็....ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่” เอด้ายังคงเบือนหน้าหลบสายตา... นี่ผมทำอะไรให้เธอโกรธเหรอ ผู้หญิงช่างเข้าใจยากจริง ๆ

    “ตกลงเรื่องนั้นเคลียร์กับเพื่อนเธอได้ยัง” ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอยังคงเครียดเรื่องรีวาลอยู่หรือเปล่า ผมจึงเอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา

    “อือ” เธอพยักหน้าอย่างเรียบเฉยโดยไม่หันมามองผม

    “นี่ เป็นอะไรรึเปล่า” ผมเห็นว่าท่าทางไม่ดีนัก จึงได้ถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จิตสำนึกส่วนความตลกโปกฮาจะทำงานอย่างควบคุมไม่อยู่

    “ทำไมยังทำหน้าเหมือนกับกินยาลืมเขย่าขวดอย่างงั้นล่ะ”

    ดูเหมือนว่าปากของผมที่ไวเกินกว่าเหตุจะก่อให้เกิดหายนะได้จริงดังที่ผมไม่อยากให้เกิด เอด้าหันกลับมาหาผมอย่างเกรี้ยวกราด

    “ยาบ้านนายสิยะ!!!! คนอุตส่าห์พามาเที่ยวแท้ ๆ ยังมาพูดจากวนประสาทกันอีก! จะจ้อทั้งทีช่วยพูดอะไรให้มีสาระหน่อยเถอะ เดี๋ยวแม่จับเย็บปากซะเลยนี่!!!!!” เธอตะคอกใส่ผมเสียงดังลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว ดังเสียจนแก้วหูของผมเจ็บแสบแทบระเบิด สันนิษฐานได้ว่าผู้คนที่อยู่ข้างล่างและในกระเช้าอื่น ๆ คงได้ยินชัดเจนกระมัง

    ...สรุปแล้ว เธอคงโกรธและไม่พอใจผมมากเลยสินะ...

    “เอ่อ ใจเย็นๆ ก็ได้คร้าบบบบ” ผมทำได้เพียงเอ่ยเบา ๆ อย่างอ่อนแรง เนื่องจากผมยังคงมึนงงจากเสียงตะคอกของเธอที่ดังไปจนถึงข้างล่าง โดยหวังว่าเธอจะใจเย็นลงและหายโกรธผมไม่มากก็น้อย

    น่าแปลกนัก เธอกลับตอบสนองคำพูดของผมด้วยการสะดุ้งเฮือก... นี่เธอผีเข้าผีออกหรือไงกัน เรื่องราวมันน่ากลัวขึ้นมามากแล้วนะเนี่ย นับตั้งแต่วันที่ผมพบกับเธอในสภาพช้ำรัก

    “อ....เอ่อ....” ดูท่าทางเธอคงตกใจกับอะไรสักอย่างมาก

    “ก....ก็.... เห็นทีแรกเธอยิ้มอย่างกับโลกสว่างไสว ต่อมาก็ทำหน้าบึ้งตึง ผมก็เลยงง ขอโทษด้วยครับถ้าผมทำอะไรผิด” ผมตอบไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยหวังว่าคราวนี้จะไม่ได้ทำให้เธอโกรธเคือง และหูของผมคงไม่ได้รับความเสียหายอีกแล้ว

    “ฉ...ฉันขอโทษ... นายมาเที่ยวกับฉัน คงจะไม่สนุกสินะ” เอด้าเอ่ยอย่างสำนึกผิดและไม่กล้าสู้หน้าผม... นี่มันอะไรกัน

    ผมสับสนไม่น้อยกับอารมณ์อันแปรปรวนของเธอ นี่มันอะไรกัน จู่ ๆ ก็โกรธ สักพักก็ซึมเศร้า พริบตาเดียวก็เครียด เดี๋ยวก็ร่าเริง... นี่หรือคืออารมณ์ของผู้หญิง หรือว่าเธอเกิด... เอ่อ...อ่า... มันคือเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงที่ผมอายที่จะพูด

    "ที่ชวนมา ก็แค่อยากตอบแทน ทั้งเรื่องในอดีต แล้วก็ที่นายทำเมื่อวานนี้ ไม่สิ จริง ๆ ก็มากกว่านั้นหรอกนะ แต่กับคนนิสัยอย่างฉัน ใครมาเที่ยวด้วยก็คงไม่สนุกหรอก จริงไหม" เธอเอ่ยโทษตัวเองอย่างตัดพ้อ และน้ำตาของเธอก็เริ่มเอ่อขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

    "บางทีทั้งรีวาลและรุ่นพี่ดิเรก ก็คงจะคิดเหมือนกัน"

    ...สงสัยนี่เป็นช่วงฤดูกาลนั้นของผู้หญิงจริง ๆ หรือไม่ก็เสียสติไปจริง ๆ แล้วที่ถูกพี่ดิเรกหักอก ถึงได้ผีเข้าผีออกเช่นนี้...

    อย่างไรก็ตาม โดนน้อยใจก็หมายถึงโดนน้อยใจจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลอะไร และก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มไม่สนุก... ไม่สิ วุ่นวายจนเรียกได้ว่าวิบัติไปมากกว่านี้ ผมจึงตั้งใจว่าจะพูดอะไรดี ๆ สักอย่างให้เธอหายโกรธเคือง แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า... ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน และไม่เคยทำให้เพื่อนผู้หญิงงอนถึงขนาดนี้ จึงไม่รู้ว่าจะง้อผู้หญิงอย่างไร หรือควรจะพูดอะไรให้เธอรู้สึกดี

    “ง่า ขอโทษนะ อย่าเพิ่งน้อยใจสิ ฉันยิ่งง้อไม่เก่งอยู่ด้วย” ผมเอ่ยไปอย่างซื่อ ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

    “ขอโทษ ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอร้องไห้ อย่าร้องเลยนะ ขอร้องล่ะ” ผมขอโทษอีกครั้ง และเนื่องด้วยความเคยชินตอนอยู่กับเพื่อนและคนไข้ ผมเผลอไปดึงมือของเธอมาจับโดยไม่ได้ตั้งใจ... มือของเธอนุ่มนวลและนุ่มนิ่มกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก

    “อ..เอด้า”

    “ฉันต่างหากที่ต้องอยากขอโทษ ทั้งที่ชวนนายมาเองแท้ ๆ แต่กลับทำตัวไม่น่ารักอย่างตะกี๊อีก แต่อย่างน้อย ขอรบกวนเอาแต่ใจ ขออะไรนายอีกนิดนึงได้มั้ย” แววตาของเอด้าในเวลานี้กลับเปลี่ยนไปจากปกติ เธอกลับมามองผมอย่างอ้อนวอนอีกครั้งเช่นเดียวกับตอนที่เธอขอให้ผมนั่งเป็นเพื่อนเมื่อวานนี้ ช่างผิดกับเอด้า วาล รูเบียน่า ที่ผม... ไม่สิ ทั้งโรงเรียนคุ้นเคยเสียจริง

    “นาย.... ช่วยคบกับฉันหน่อยได้หรือเปล่า” เด็กสาวที่เคยห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว ในยามนี้กลับโพล่งข้อความที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าเธอจะเอ่ยกับใครนอกจากพี่ดิเรก

    “หา!?”

    อ...เอด้า วาล รูเบียน่าขอให้ผม... คบกับเธออย่างนั้นเหรอ... มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของผม... ไม่สิ ในรั้วโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ(ยกเว้นกับพี่ดิเรก) เพียงแค่ผู้หญิงธรรมดามาขอคบกับผมด้วยท่าทางอย่างนี้ก็ทำให้ผมอายและกระอักกระอ่วนใจจะแย่อยู่แล้ว แต่ตรงหน้าของผมคือ... “กุหลาบสีเพลิง” ผู้น่าเกรงขามและเกรงกลัว ผู้แทบไม่เคยก้มหัวให้ใคร

    ที่สำคัญ หากผมจะบอกเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ หรือบอกใครก็ตามได้ฟัง คงไม่มีใครเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง และหาว่าผมเพี้ยนอย่างแน่นอน

    ...จะไม่แปลกใจแล้วถ้าฝนจะตกลงมาเป็นหมี ลูกเห็บจะตกลงมาเป็นลูกเกาลัด...

    ...ซวยแล้วไงตู ซวย ๆ ๆ ๆ ๆ หายนะบังเกิดกับผมแน่...

    ผมอยากจะตื่นขึ้นมาจากความฝันบ้า ๆ นี้ และพบว่าตนเองกำลังอยู่บนเตียงที่นุ่มสบายในหอพัก หากทุกอย่างกลับชัดเจนเสียจนผมปฏิเสธความจริงนี้ไม่ได้

    “ฉันอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ทำตัวดี ๆ เท่าไหร่ ไหนจะห้าว ๆ กระโดกกระเดก เสียงดังขี้วีน ชอบหาเรื่อง แต่ถ้านายไม่ชอบตรงไหน ฉันจะพยายามแก้ไขมันให้ได้เลย” เด็กสาวตำหนิตนเอง... ก่อนที่จะยื่นข้อเสนอต่าง ๆ ให้

    “สารภาพตามตรง ฉันอยากเจอนายอีกครั้งตั้งแต่ตอนที่พวกเราแยกจากกันแล้ว แต่ในช่วงที่ไม่รู้ตัวว่าได้พบ ฉันก็ทั้งพูดและทำไม่ดีกับนายไว้ตั้งเยอะ แต่เมื่อคืนนี้ ฉันคิดถึงเรื่องของนายตลอดจนแทบนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็สลัดความว้าวุ่นใจนี้ออกไปไม่ได้สักที ดังนั้น... นายอยากจะขอให้ฉันทำอะไรเป็นการไถ่โทษนาย ก็ว่ามาได้เลย แต่ขอร้องอย่างเดียวเท่านั้น อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ” แววตาของเด็กสาวในยามนี้ช่างจริงจัง

    “อะ...เอ่อ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” เจอเข้าไปอย่างนี้ ผมถึงกับเขินและตกใจจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผมอยากจะให้เธอทำเพื่อไถ่โทษ... ผมนึกออกแล้ว

    “แต่ว่า ถ้าจะยกเว้นแค่อย่างเดียว คือที่ฉันจะขอ เธอจะทำได้ไหม”

    “ว่ามาสิ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

    “ช่วยยิ้มหวาน ๆ แบบที่เธอยิ้มเมื่อตะกี๊บ่อย ๆ ได้ไหม รอยยิ้มน่ารัก ๆ แบบนั้นน่ะ ฉันชอบนะ” ผมขอร้องอย่างซื่อ ๆ และตรงไปตรงมา พลางยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเธอ โดยหวังว่าคำขอนั้นจะไม่เหนือบ่ากว่าแรง หรือทำให้เธอโกรธผมขึ้นมาอีก

    เธอจ้องหน้าหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่ด้วยสายตาจริงจัง ก่อนที่จะค่อย ๆ กล่าวขึ้นช้า ๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ

    “เป็นคำขอที่ยากจังนะ สำหรับคนอย่างฉัน” คำตอบนั้นทำให้ผมเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นในสวัสดิภาพของตัวเอง ผมขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เหรอ หรือว่าผมกำลังทำให้เธอโกรธและเกลียดอีกครั้งเข้าให้แล้ว

    “แต่ถ้าเพื่อนายล่ะก็.....”

    ผิดคาด... ทุกอย่างกลับดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก... ดีอย่างที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง เธอค่อย ๆ ยิ้มให้กับผม... รอยยิ้มของเธอช่างน่ารัก และทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวได้จริง ๆ... เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมอิ่มเอิบใจได้มากที่สุด

    ...ว่าไป... เธอก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด...

    หากเธอยิ้มอย่างนี้ได้ตลอด ก็คงจะดี...

    ผมยิ้มสนองตอบให้กับเธออย่างยินดีปรีดา ในเวลานี้ผมไม่เกรงกลัวหรืออะไรแล้ว หากจะตอบคำขอร้องของเธอที่ว่า “นาย.... ช่วยคบกับฉันหน่อยได้หรือเปล่า” ด้วยคำว่า “ตกลง”
  2. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    เป็นเรื่องราวที่ ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยบทสนทนา ส่วนดีคือมันแสดงให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้ชัด และเห็นการตอบโต้กันระหว่างสองฝ่ายมากขึ้น

    แต่จุดติงหลักของฟิคนี้คือ ไม่มีอารัมภบทมาก่อนเลย กล่าวได้ว่า ถ้าไม่อ่านเวอร์ชั่นของริวเน่มาก่อนแล้วมาอ่านตรงนี้ มีหวังงงเป็นไก่ตาแตกแน่ๆ
    อีกอันนึงที่ผมถือว่าต้องปรับปรุงจริงๆก็คือ อ่านมาตั้งนานยังไม่รู้เลยใครเป็นใคร ผมอ่านเวอร์ชั่นเอด้ามาก่อน ถึงได้เข้าใจ แต่พอมาลองทำตัวเป็นผู้อ่านที่เจอเรื่องนี้ทีแรก ผมจะมึนมาก ตัวเอกชายคือคือใคร? ชื่ออะไร? และสาวน้อยผมแดงเป็นใคร? กว่าจะรู้เรื่องก็ปาเข้าไปกลางเรื่องแล้ว
    ผมรู้สึกไปเองไหมไม่ทราบ แต่คลิฟฟอร์ดในเวอร์นี้ไม่ค่อยคล้ายในเวอร์ชั่นของริวเน่เท่าไร เพราะดูจะเป็นคนช่างคิด คิดมาก แถมยังแอบจิกกัดสาวน้อยผมแดงหน่อยๆซะด้วย (ฮา) เทียบกับเวอร์ชั่นที่แล้วจะดูเป็นหมอหนุ่มหงิมๆ
    และเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีกลิ่นอายโรงเรียนเวทย์มนตร์เลย แต่นั่นก็น่าจะเพราะว่าเป็นการสร้างบทตอบโต้กับเอด้า

    เจ้าของฟิคสามารถพัฒนาฝีมือต่อไปได้ ถ้าใส่บทบรรยายมากขึ้น และตั้งใจที่จะเขียน original จริงๆสักเรื่องขึ้นมา พยายามต่อไปครับ

Share This Page