[Valentine] My Last Sonata

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย swanton, 28 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    My Last Sonata
    Written by Evan Yzac


    เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มมาตามถนนที่ร่มครึ้มด้วยใบของต้นเมเปิ้ล แสงอาทิตย์อ่อนๆยามบ่ายส่องลงมาตามช่องว่างระหว่างใบไม้ สะท้อนกระโปรงรถคาดิแล็ครุ่นใหม่เอี่ยมสีแดงเข้มเป็นเงามันแวบ ชายหญิงสองคนนั่งเคียงคู่กันมาเงียบๆ จวบจนรถยนต์บรรลุถึงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งซึ่งทอดไกลสุดสายตา ซึ่งมีต้นเบิร์ชจำนวนมากเรียงรายขนาบไปตลอดแนว

    หญิงสาวในชุดสีขาวสวมหมวกปีกกว้างก้าวลงมายืนหน้าประตูรถ เธอเป็นสาวผมทองที่สวยสะพรั่ง ตาสีฟ้า แก้มนวลปลั่งสีแดงเรื่อ แลดูอายุไม่เกิน 22 เธอสวมถุงมือสีขาวบริสุทธิ์ และถือร่มที่มีระบาย บ่งบอกว่าเป็นชนชั้นสูงในสังคม ผู้ชายที่มาด้วยใส่หมวกเบเร่ต์เดินเข้ามาหาเธอ ค้อมตัวเล็กน้อย และผายมือเชื้อเชิญ

    “ทางนี้เลยครับ คุณนอร่า” เขากล่าว และเดินนำไปก้าวหนึ่ง “เขาอยู่ลึกเข้าไปข้างในนี้”

    หญิงสาวที่ชื่อนอร่าพยักหน้าเล็กๆคราหนึ่ง และออกเดินตามชายคนนั้นไป

    “ไม่นึกว่าดาราเอกแห่งโรงละครโอเปร่าอย่างคุณจะอยากมาสถานที่แบบนี้นะครับ” เขาหันมาชวนหญิงสาวคุย “คุณรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างนั้นหรือ?”

    “ฉันต้องรู้จักอยู่แล้ว คุณเจมส์ รู้จักดีที่สุดในโลกเลย” เธอยิ้มน้อยๆอย่างจะนึกถึงความหลัง “เก้าปีผ่านมาแล้ว ที่ฉันไม่ได้พบกับเขา ฉันคิดถึงเขามาก... แต่ก็ไม่เคยได้กลับมาหาเขาเลย” ดวงตาสีฟ้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้

    ชายหนุ่มชื่อเจมส์มองเธอด้วยความสงสัย

    “คุณรู้จักเขา... ผมหมายถึง... ออสการ์ บีคอนบริดจ์ได้ยังไงครับ?”

    “คุณอยากฟังไหมล่ะ ฉันจะเล่าให้คุณฟัง” เธอตอบอย่างไม่ปิดบัง “เพราะมันเป็นความทรงจำที่งดงามเสมอเมื่อนึกถึง ฉันยังจำได้คำพูดของเขาทุกคำได้เลยทีเดียว”

    -----------------------------------------------------------------------​


    กรุงลอนดอน คริสต์ศักราชที่ 1891


    มันเป็นค่ำคืนอันหม่นหมองที่หิมะโปรยปราย กลิ่นไอของฝุ่นละอองและควันจากโรงงานตลบอบอวลอยู่ในมวลอากาศ เสียงเครื่องจักรทำงานยังดังกึกก้องในยามราตรี แม้เป็นยามที่ผู้คนหลับไหล หากชีวิตของคนชั้นแรงงานยังมิอาจได้พัก เพราะทุกวินาทีที่พวกเขาคิดว่าอยากพัก นั่นคือความฝันอันเลือนรางที่ไม่อาจเป็นจริง

    ในค่ำคืนที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นควันอุตสาหกรรม ตรอกอันมืดมิดของกรุงลอนดอนยังคงแว่วเสียงสำเนียงอันไพเราะของดนตรี ชายคนหนึ่งนั่งดีดเปียโนอยู่ในห้องที่ปูด้วยพื้นไม้และมีหน้าต่างเพียงหนึ่งบาน เสียงของมันดังขับกล่อมนครราตรีอย่างนุ่มนวล แต่ชายหนุ่มผู้ก้มหน้าอยู่กับคีย์บอร์ดกลับคล้ายไม่พอใจในท่วงทำนองของตนเอง สีหน้าของเขาดูยุ่งยาก และนิ้วที่พรมลงบนเปียโนก็ดูจะเร่งร้อนขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุดเขาก็กระแทกคีย์บอร์ดเสียงดังตึง และค้างไว้ในท่านั้นชั่วนาที

    “ใครน่ะ?” เขาหันไปทางประตูบ้าน คลับคล้ายได้ยินเสียงใครบางคนอยู่ข้างนอก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร

    เขาเลื่อนตัวออกจากเก้าอี้ไม้ ค่อยๆพาร่างตนเองเดินฝ่าความมืดอย่างระมัดระวังไปที่ประตู เขามั่นใจว่าจะต้องมีใครบางคนอยู่ข้างนอก ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่หยุดบรรเลงเพลงกระทันหันแบบนี้

    มือที่จับลูกบิดดึงบานประตูไม้ออก ร่างเล็กๆร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาและร่วงกระทบพื้นเสียงดังตุ้บ ตอนที่มันสะกิดถูกขาของชายหนุ่มนั้น เขารู้ได้ทันทีเลยว่านี่เป็นร่างของเด็กผู้หญิง! เขายืนอึ้งอยู่อึดใจก็ย่อตัวลงประคองเธอขึ้นมา เสียงเด็กหญิงในอ้อมแขนแว่วมาจากปากที่แห้งผากของเธอ

    ออสการ์ บีคอนบริดจ์ ไม่อาจได้ยินว่าเธอพูดอะไร รู้เพียงแต่เธออยู่ในสภาพที่แย่มาก ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจ ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมาและพาไปที่โต๊ะยาว แว่บหนึ่งเขาคิดที่จะไปตามหมอ แต่เมื่อมือสัมผัสถูกอะไรบางอย่าง ออสการ์ก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกคำรบ

    เขาสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสเลือดแฉะๆที่อยู่บนมือ ทั้งตำแหน่งที่สัมผัสถูกก็เป็นจุดสำคัญที่ไม่สมควรจะแตะต้อง นั่นทำให้เขาอดสะเทือนใจมิได้ เมื่อตั้งสติได้ ออสการ์ก็แตะไหล่เธอเบาๆ

    “ทำใจดีๆไว้ เธอปลอดภัยแล้ว”

    เขาพาร่างตนเองฝ่าความมืดไปมุมหนึ่งของบ้าน ครู่ใหญ่ๆก็กลับมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำ

    เขาลงมือเช็ดเนื้อตัวเธอที่เปราะเปื้อนเพื่อคลายกังวลให้เธอ เด็กหญิงดูผ่อนคลายลงมากแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าคงต้องปล่อยเธอไว้จนถึงเช้า ถ้าอาการไม่ดีเขาน่าจะไปตามหมอ
    เขาผินหน้าออกไปทางหน้าต่าง หันหน้าเข้าหาแสงจันทร์ที่สาดส่องจากท้องฟ้า พลางครุ่นคิดว่าอะไรบันดาลให้เธอวิ่งมาถึงบ้านของเขากัน?



    แสงยามเช้ามืดที่ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเพียงสลัวๆส่องให้เห็นเปียโนหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ภาพที่ดูเลือนรางในตอนแรกค่อยๆแจ่มชัดขึ้น แม้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นสีฟ้าภายใต้เวลายามตีห้า แต่เด็กหญิงก็เห็นชัดว่าเธอกำลังอยู่ในห้องที่ปูด้วยพื้นไม้ และมีชายคนหนึ่งกำลังบรรเลงเปียโนอยู่ เสียงของเปียโนนั้นนุ่มนวล คล้ายกับผู้เล่นดีดมันอย่างแผ่วเบา เธอยันตัวเพื่อจะมองดูเขา แต่เสียงการเคลื่อนไหวของเธอก็ทำให้เขาหยุดมือที่ดีดเปียโนลง

    “ตื่นแล้วหรือ?” เขาหันข้างคล้ายกับเหลือบตามองเธอ “ฉันรบกวนการนอนของเธอรึเปล่า?”

    เด็กสาวส่ายหน้า เธอมองผู้ชายตรงหน้า ซึ่งเป็นหนุ่มร่างผอมบางอายุประมาณ 20 ไว้ผมยาวสีน้ำตาลแก่มัดรวบอย่างสุภาพ อยู่ในชุดสูทที่เก่าคร่ำครึซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้มีฐานะดีสักเท่าไร

    “ดีขึ้นบ้างไหม?” ผู้ชายคนนั้นยังคงหันข้างคุยกับเธอ สาวน้อยพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกได้ว่าคนๆนี้ไม่ได้มีท่าทีคิดร้ายกับเธอ

    “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า..” เสียงของเขาดูจะแผ่วเบาไปถนัด เด็กสาวรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที และคราวนี้เธอก้มหน้าไม่ยอมพยักหน้าหรือตอบคำใดๆ

    ออสการ์เองก็ดูจะเข้าใจในความเงียบนี้ดี

    “ขอโทษด้วยที่ปลุกเธอแต่เช้ามืด แต่ฉันมีความจำเป็นต้องรีบเร่งแต่งเพลงให้ได้” เขาเปิดเผยอย่างตรงๆ “ถ้าอีกหนึ่งเดือนยังไม่มีเพลงขึ้นแสดง ฉันได้ระเห็จออกจากบ้านนี้แน่”

    เด็กสาวมองชายหนุ่มผู้หันหน้าเข้าหาเปียโนตลอดเวลา
    “คุณเป็นนักเปียโนหรือคะ?” นั่นเป็นคำแรกที่เธอพูด

    “....ใช่” คือคำตอบของเขา
    “ฉันชื่อออสการ์ ออสการ์ บีคอนบริดจ์ แล้วเธอล่ะเป็นใคร?”

    นอร่าค่ะ....” เด็กสาวตอบด้วยเสียงที่เล็กและเบามาก “หนูชื่อนอร่า คุณช่วยหนูไว้ใช่ไหมคะ?”
    “เธอหนีจากอะไรมา?” ออสการ์ถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแล้วส่วนหนึ่ง

    นอร่าแปลกใจว่าทำไมเขาเอาแต่หลบตาเธอ ไม่ยอมหันมาสบตาแล้วคุยกับเธอดีๆเสียที แต่เธอเองก็ไม่อยากให้เขาจ้องสักเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปดเปื้อน ยิ่งไม่อยากให้ใครมาเห็น เพียงแต่มองหน้าผู้ชายคนนี้ชัดๆเท่านั้นเอง

    “ผู้หญิงคนหนึ่งซื้อหนูไป บอกว่าจะให้ไปกับแขกคนหนึ่ง..” นอร่าเล่าด้วยเสียงเล็กๆ โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลย “ที่นั่นเป็นคฤหาสน์ มีงานเลี้ยง และมีผู้หญิงอีกหลายคนที่มาเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ทำเหมือนแขกคนอื่นๆ เขาใช้กำลังแล้ว...แล้ว....”

    นอร่าหยุดเล่าเพียงแค่นั้น เธอรู้สึกเจ็บที่แผลขึ้นมาเมื่อนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายนั้น แต่ออสการ์นิ่งไปแล้วตั้งแต่ที่เธอเริ่มเล่าว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งซื้อเธอไป

    “...เธอเป็นโสเภณีเด็กอย่างนั้นหรือ?” ออสการ์ถามตรงๆ ความเงียบของนอร่านั่นหมายถึงการไม่ปฏิเสธ
    “เธออายุเท่าไร?” ออสการ์ยิงอีกหนึ่งคำถาม เด็กสาวรู้สึกเหมือนถูกสอบสวน เธอก้มหน้าก้มตาตอบไปว่า “สิบสอง” โดยไม่มองหน้าเขาเลย

    ความเงียบที่น่าอึดอัดเข้าปกคลุมห้องสีฟ้าสลัว อากาศยามเช้าที่เย็นเยียบอยู่แล้วยิ่งเย็นจนเสียดแทงเข้าไปถึงขั้วหัวใจของนอร่า เธอปิดหน้าร้องไห้ จนกระทั่งกลั้นเสียงสะอื้นไม่ไหวอีกต่อไป

    “หนูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้” เธอร้องไห้ ไม่ต่างอะไรจากเด็กๆ “หนูขอร้อง อย่าลากหนูกลับไปหาพวกนั้นอีกเลย หนูไม่อยากเจอพวกเขาอีกแล้ว หนูกลัว”

    ออสการ์ปล่อยให้เธอร้องไห้โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก อดคิดไม่ได้ว่าตนเองเย็นชาเกินไปหรือไม่ถ้าจะนั่งหน้าเปียโนตัวนี้ต่อไปโดยไม่เดินเข้าไปปลอบโยนเธอ อย่างไรเสียเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา เธอถูกความบัดซบและอคติของสังคมผลักไส เช่นเดียวกับเขา แล้วมีสิทธิอะไรที่เขาจะรังเกียจเธอ?

    เสียงเก้าอี้ไม้ครูดพื้นดังครืดคราด ออสการ์หยุดลงตรงหน้านอร่า แล้วค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของเธอ สัมผัสที่มือบอกว่าเธอมีผมที่ยาวและนุ่ม และแล้วมือข้างนั้นก็ลูบศีรษะเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน

    “ฉันจะไม่ทำกับเธอแบบนั้น” เขาบอกเธอ “เธอจะอยู่ที่นี่กับฉันก็ได้ เธอจะปลอดภัย ฉันสัญญาว่าจะไม่ส่งตัวเธอกลับไปหาคนพวกนั้นอีก” มือที่ลูบผมไปมานั้นหยุดลง “ฉันขออย่างเดียว ขอให้เธอช่วยฉันบ้างแค่นั้น”

    แรกทีเดียวนอร่าไม่เข้าใจความหมายว่าชายผู้นี้จะให้เธอช่วยอะไร แต่สัมผัสของมือที่อ่อนโยนทำให้นอร่าไม่คิดจะระแวงเขาอีกต่อไป เธอเงยหน้าที่เปียกปอนด้วยน้ำตาขึ้น และตอนนั้นเอง ฟ้าที่สว่างขึ้นเล็กน้อยก็ทำให้เธอเห็นว่า ดวงตาของเขาไม่ได้สบตาเธอเลย หากแต่มองข้ามศีรษะของเธอไป

    นอร่าหยุดร้องไห้ทันที สิ่งที่เธอเห็นทำให้เธอตกใจจนถึงกับนิ่งอึ้งไป

    ความเงียบอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้ออสการ์ผู้ผ่านเรื่องทำนองนี้มามากเข้าใจในบัดดล

    “รู้แล้วสินะ ฉันไม่ใช่คนตาดีอย่างเธอหรอก” ออสการ์หัวเราะเบาๆ และหากดวงตาคู่นั้นมีแวว มันก็คงหัวเราะไปพร้อมกันด้วย “ฉันมองอะไรไม่เห็นมานานมากแล้ว เพราะฉะนั้น ฉันจะดีใจมากถ้าเธอมาช่วยเป็นแสงสว่างให้ฉัน ฉันจะได้ไปไหนมาไหนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเวลาไปงานแสดงดนตรี”

    นอร่าไม่คาดคิดจริงๆว่าชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเธอไว้จะเป็นคนตาบอด และยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นนักเปียโนด้วย แต่ถึงแม้จะรู้ว่าออสการ์ตาบอด นอร่าก็ยังรู้สึกว่าตนเองดูแย่ยิ่งกว่าเขานัก

    “คุณไม่รังเกียจหนูหรือคะ?” เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำนี้ออกมา

    “แล้วเธอรังเกียจฉันไหมล่ะ?” ออสการ์สบตาเธอตรงๆ ในท่าทางเช่นนี้ เขาไม่เหมือนคนตาบอดเลยแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้านั้นคล้ายจะแสดงความขบขัน และถึงแม้นอร่าจะตอบด้วยการส่ายหน้า แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดรังเกียจเขาเลย

    ..................................​


    นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพบกันระหว่างออสการ์และนอร่า คนสองวัยผู้พกพาจุดบอดของตนเองมาอยู่ร่วมกัน ในบ้านหลังเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกแคบๆกลางลอนดอน นอร่าใช้เวลารักษาบาดแผลทางใจไปพร้อมกับการช่วยดูแลออสการ์ ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไรเพราะออสการ์ก็ดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว เธอเพียงแต่ช่วยดูแลเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาด หรือออกไปหาซื้อของกินของใช้ที่ตลาด ออสการ์เป็นคนใจเย็นและไม่เคยแสดงกริยาที่ไม่ดีต่อเธอ ทำให้นอร่ารู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับเขา

    เขาปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นสุภาพสตรีตัวน้อย ไม่ใช่โสเภณีเด็กข้างถนน นอร่าได้เรียนรู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีผู้ชายบางคนที่ดีต่อเธออยู่เหมือนกัน

    ออสการ์เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องราวของเขา ทำให้นอร่าได้รู้ว่าเขาเคยเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงในแวดวงชนชั้นสูง แต่เคราะห์ร้ายเจ็บป่วยจนสูญเสียการมองเห็น จากนั้นมา เขาก็กลายเป็นนักเปียโนนอกสังคม เพราะคนยุคนี้รังเกียจคนพิการและไม่ยอมให้เขาขึ้นแสดงตามโรงละคร โชคยังดีที่เขารู้จักคนที่มียศฐาบันดาศักดิ์อยู่บ้าง จึงได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นแสดงตามเวทีเล็กๆพอได้เงินมาประทังชีวิต แต่ก็เช่นเดียวกับนอร่า สิ่งที่เขาเผชิญกระทบกระเทือนจิตใจเขามาก ออสการ์ บีคอนบริดจ์ ไม่สามารถประพันธ์เพลงอันไพเราะได้อีกเลย...

    นั่นทำให้นอร่าได้รู้ว่า ออสการ์ก็มีความทรงจำที่เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเธอเหมือนกัน


    ..................................​



    เย็นวันหนึ่ง ออสการ์ได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ เขาใช้มือสัมผัสตราที่ผนึกหน้าซองจดหมาย และเมื่อกลับมานั่งที่หน้าเปียโน นอร่าก็เห็นว่าออสการ์ดูนิ่งงันไป

    “...อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงที่คฤหาสน์สแตนบูรี่” เขาพูดลอยๆขึ้นมาในความเงียบ
    “ฉันยังแต่ง Sonata ไม่ได้เลย...”

    นอร่ารู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร... ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ออสการ์เพียรพยายามจะประพันธ์เพลงเพื่อแสดงในงานเลี้ยงที่คฤหาสน์สแตนบูรี่ นี่อาจเป็นเวทีสุดท้ายของเขาที่จะได้แสดงฝีมือ แล้ว ออสการ์บอกเธอเช่นนั้น

    นอร่าละมือจากงานซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ทำอยู่เพื่อหันมามองออสการ์ ชายหนุ่มนักเปียโนก้มหน้าอยู่กับคีย์บอร์ด ดวงตาที่มองไม่เห็นของเขาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย

    เด็กสาวไม่อาจทนเห็นออสการ์ซึมเศร้าได้ เธอก้าวเดินไปหาเขา และอย่างนุ่มนวล...เธอโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนเล็กๆของตัวเอง

    “ให้หนูช่วยคุณเถอะนะคะ” เธอซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของชายหนุ่มนักเปียโน เธออยากจะช่วยออสการ์ แม้จะไม่รู้ว่าจะต้องทำได้อย่างไรก็ตาม

    สัมผัสจากร่างเล็กๆทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยน จากความท้อแท้เป็นรอยยิ้ม
    ..รอยยิ้มที่เหมือนกับวันแรกที่เขาพบเธอ

    “เธอช่วยฉันมาตลอด นอร่า” เขาบอกกับเธอ “เธอให้หลายสิ่งหลายอย่างกับฉัน มากเกินกว่าที่เธอจะคิด”

    “หนูไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลย” นอร่ายังคงซุกอยู่กับเสื้อเขา “หนูแค่ซ่อมแซมเสื้อผ้าให้ ทำงานเล็กๆน้อยๆแค่นั้น หนูรบกวนคุณมามาก คุณคงจะแต่งเพลงไม่ได้เพราะหนูอยู่ด้วยตลอดเวลาสินะคะ”

    ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองคน ออสการ์ บีคอนบริดจ์นิ่งสดับเสียงของนอร่าที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่เขากลับรู้ว่าเธอต้องการที่จะพูดอะไรกับเขา

    นอร่า เพราะมีเธออยู่ด้วย ฉันถึงแต่งเพลงได้” ออสการ์สารภาพความรู้สึกจากหัวใจ “มันไม่สำคัญว่าเธอจะเคยเป็นใคร หรือเธออายุเท่าไร แต่ฉันอยากให้เธอรู้ ฉันแต่งเพลงได้ก็เพราะเธอ

    เขาเอนหลังซบร่างเล็กๆที่โอบกอดเขา หลับตาราวกับจะซึมซับความรู้สึกส่วนลึกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสเลยในชีวิต มือของออสการ์สัมผัสมือของนอร่า บีบแน่นราวกับจะให้กำลังใจเธอ นอร่าประสานมือกับเขา คนทั้งสองจับมือกันและกันไว้

    มันเป็นความรู้สึกอันแสนอบอุ่นที่ทั้งนอร่าและออสการ์ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร พวกเขารู้เพียงแต่ว่า ณ วินาทีนี้ ความแตกต่าง ชนชั้น ชาติกำเนิด ฐานะ อดีตหรืออนาคต ไม่มีสิ่งใดมีความหมายแล้วสำหรับพวกเขา


    “นี่คือบทเพลงสุดท้ายของฉัน
    ที่กลั่นออกมาจากลมหายใจ
    ฉันฝันถึงค่ำคืนที่แสนหนาวเหน็บ
    และที่นั่นมีร่างผุพังที่ถูกกักเก็บ
    อยู่ในซอกหลืบแห่งหัวใจ

    เนิ่นนานเพียงใด
    ที่หนึ่งชีวิตนั้นอาศัยเพียงแสงจันทรา
    ปลอบโยนให้สู้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า
    แม้ดวงตาไม่อาจมองเห็นความหวังใด

    ปลายนิ้วที่สั่นสะท้าน
    ยังคงขับขานบทเพลงบทเก่า
    สี่ฤดูผันผ่านคราแล้วคราเล่า
    ร่างผุพังในเงาก็ยังอยู่ที่เดิม

    ประตูบ้านในคืนเดือนแรม
    นำหนึ่งแสงแต่งแต้มชีวิตฉัน
    แสงหิ่งห้อยน้อยค่าของคืนจันทร์
    คือแสงดาวแห่งความฝัน...ฉันเฝ้ารอ

    มือน้อยที่บอบบาง
    ปัดเป่าความอ้างว้างและเหน็บหนาว
    ชายกระโปรงที่สั่นไหวในทุกก้าว
    คือระบำดวงดาวที่พร่างพราวในห้องหัวใจ

    ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าอบอุ่น
    ที่หนึ่งชีวิตได้นอนหนุนผ่อนกายให้คลายล้า
    แม้มิอาจมองเห็นด้วยสายตา
    หากทว่าหัวใจเราได้ยิน

    เข็มนาฬิกาจะตีสักกี่ครั้ง
    ก็ไม่อาจหยุดยั้งห้วงเวลานี้ไว้
    อดีต ปัจจุบัน อนาคต ใครเล่าจะสนใจ?
    ขอเพียงบทเพลงนี้ที่ฟากฟ้าไกล
    ได้รู้เอาไว้ ว่าฉันรักเธอ...”​



    ออสการ์ฮัมเพลงออกมาเป็นท่วงทำนอง นอร่าผละจากหลังของเขาและโน้มหน้ามาเพื่อสบตากับออสการ์ที่กำลังยิ้มให้เธอ

    “ฉันแต่งเพลงนี้เพื่อเธอ นอร่า” เขาลูบเรือนผมน้อยๆของนอร่า “มันเป็นบทเพลงบทเดียวที่ฉันแต่งได้ นับตั้งแต่วันที่ฉันสูญเสียทุกอย่างไป เธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันได้มองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เธอมอบให้ฉัน”
    นอร่าตื้นตันจนพูดไม่ออก เธออยู่กับออสการ์มาตลอดและได้ฟังบทเพลงของเขามามากต่อมาก แต่บทเพลงนี้มันไพเราะเกินกว่าจะเชื่อได้ว่ามันคือบทเพลงสำหรับเธอ ความรู้สึกในหัวใจที่เอ่อล้นทำให้นอร่าทำอะไรไม่ได้นอกจากซุกหน้าลงกับเสื้อออสการ์ และคราวนี้ เป็นออสการ์ที่โอบกอดเธอ

    เนิ่นนานเพียงใดไม่ทราบ กว่านอร่าจะเงยหน้าขึ้นจากเสื้อของเขา

    “ออสการ์ ทำไมคุณไม่เอาเพลงนี้ไปเล่นในงานเลี้ยงล่ะคะ” เธอนึกขึ้นมาได้ “มันเพราะมากเลยนะคะ คนดูทุกคนต้องชอบแน่ๆ”

    “แต่มันเป็นบทเพลงของเธอนะ นอร่า” ออสการ์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย

    นอร่าส่ายหน้า มือคู่เล็กบีบมือของออสการ์ไว้แน่น
    “คุณต้องมีเพลงที่จะแสดงในงานเลี้ยงนะคะ เชื่อหนูเถอะ หนูจะดีใจมากถ้าเพลงที่คุณแต่งให้หนูสามารถช่วยให้คุณรับคำชมได้ ใช้เพลงนี้เถอะนะคะ”

    ออสการ์นิ่งคิด และในที่สุด ดวงหน้านั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา
    เธอจะเป็นสุภาพสตรีตัวน้อยที่งดงามที่สุดในค่ำคืนของฉัน นอร่า


    ..................................​


    เสียงปรบมือดังกึกก้องโถงขนาดใหญ่ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในชุดอันหรูหราต่างส่งเสียงชื่นชมชายหนุ่มในชุดสูทดำ ซึ่งจบการแสดงเปียโนไปอย่างงดงาม พวกคุณหญิงคุณนายต่างพากันยกพัดปิดปากและกระซิบกระซาบ ส่วนผู้ชายก็ชี้ชวนกันพลางส่งเสียงหึ่งๆทั่วบริเวณ

    นอร่าในชุดกระโปรงสุ่มแบบสตรีชั้นสูงประดับลูกไม้หลายชั้นสีขาวบริสุทธิ์เดินจูงออสการ์ลงจากเวที คืนนี้เขาสวมชุดที่ดูภูมิฐานและหรูหราเป็นพิเศษ ผู้คนที่มาร่วมงานของคฤหาสน์สแตนบูรีต่างกรูเข้ามาล้อมทั้งสอง ต่างพากันพูดชื่นชมเขาจนไม่มีใครฟังใคร

    “น่าประทับใจจริงๆ ออสการ์ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้” สุภาพบุรุษวัยกลางคนขยับแก้วไวน์ในมือ “คราวหน้าไปเล่นให้ฉันบ้างนะ รับรองทุกคนต้องทึ่งแน่ๆ”
    “คุณดูสดชื่นขึ้นเยอะเลยนะ ออสการ์” สุภาพบุรุษอีกคนที่มากับภรรยาทักเขา “ไม่สงสัยเลยว่าทำไมคุณแต่งเพลงได้ไพเราะขนาดนี้”
    “ไม่เท่าไรหรอกครับ ท่านเค้าน์กล่าวเกินไปแล้ว” เขาตอบอย่างถ่อมตน คนเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยกันเขาออกจากสังคมเพียงเพราะความพิการ แต่บัดนี้กลับรุมตอมราวกับเห็นเขาเป็นของหวาน ซ้ำพูดจาชื่นชมจนชวนเลี่ยน มันช่างเป็นสังคมของการใส่หน้ากากโดยแท้

    นอร่าอมยิ้มจนแก้มปริที่ออสการ์ได้รับคำชื่นชมจากคนหมู่มาก แต่เธอก็ได้แต่ซุกหน้าอยู่ข้างหลัง เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่คุ้นเคยกับสถานที่และชุดอันหรูหราเช่นนี้

    มีคนสะกิดเชิญออสการ์ไปร่วมโต๊ะ ชายหนุ่มหันมาเรียกนอร่า เธอส่ายหน้างุดแต่ออสการ์ไม่รู้ เขาจึงรีบดึงเธอไปตามแรงฉุดลากของอีกหลายๆคน ความเบียดเสียดทำให้เขาไม่ทันรู้สึกว่านอร่ารั้งแขนเขาไว้มากเพียงใด

    “เชิญๆ คุณออสการ์ ผมยินดีจริงๆที่ได้พบคุณอีกครั้ง” เสียงชายสูงวัยผู้หนึ่งดังมาจากด้านหนึ่งของโต๊ะ “เธอด้วย สุภาพสตรีตัวน้อย นั่งลงก่อนสิ”

    ออสการ์พยายามใช้มือคลำๆเพื่อหาตำแหน่งสิ่งของต่างๆ ส่วนนอร่าตัวแข็งทื่อไปแล้ว มือที่เกาะแขนออสการ์อยู่นั้นดูแน่นผิดปกติ แต่อีกครั้งที่ออสการ์ไม่ได้สังเกต

    ชายสูงวัยที่ร่วมโต๊ะกับออสการ์แนะนำตัวว่าเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐสภาอังกฤษ จากนั้นก็ชวนออสการ์พูดคุยเรื่องงานแสดงดนตรีที่โรงละครลอนดอนเพลเลเดียมซึ่งเขาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ และต้องการจะเชิญออสการ์ไปร่วมแสดงด้วย การสนทนาเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อยตามประสาชนชั้นสูง จนในที่สุด ชายสูงวัยก็กระแอมขึ้นหนึ่งที

    “เออนี่ออสการ์ ผมขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย” ชายสูงวัยเริ่มอย่างระมัดระวัง “ถ้าผมบอกคุณว่าคุณแย่งของๆผมไป คุณจะว่ายังไงหือม์?”

    ออสการ์นิ่งงันไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่เขาคิดคือ วุฒิสมาชิกผู้นี้พูดเรื่องอะไรกัน?

    “ประทานโทษครับ ท่านพูดเรื่องอะไรผมไม่เข้าใจ” ออสการ์ยิ้มอย่างฝืนๆ “ผมเชื่อว่า..ผมไม่เคยไปแย่งชิงของๆท่านมานะครับ”

    สายตาของวุฒิสมาชิกมองไปที่นอร่า...

    “คุณไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งหยอกผมกัน?” เขาหัวเราะเบาๆ “ไม่มีใครบอกคุณหรือว่า สุภาพสตรีตัวน้อยที่อยู่กับคุณน่ะ เป็นสมบัติของคฤหาสน์แคมพ์เบล

    ออสการ์รู้สึกชาวูบไปทั้งร่าง มือที่จับก้านแก้วไวน์อยู่นั้นสั่นระริกจนเห็นได้ชัด ถึงตอนนี้เขารู้สึกแล้วว่ามือที่เกาะกุมแขนของนอร่าเย็นยะเยียบราวกับก้อนน้ำแข็ง และหากออสการ์มองเห็นได้ เขาคงจะได้รู้ว่าใบหน้าของนอร่าตอนนี้ซีดเผือดพอๆกัน

    ชายสูงวัยคนนี้... วุฒิสมาชิกคนนี้... คือคนที่เอานอร่าไปกระทำย่ำยีอย่างนั้นหรือ? สุภาพบุรุษสูงส่งผู้นี้หรือคือคนที่นอร่าหนีตายมาหาเขา? ผู้ชายคนนี้คือคนที่เหยียบย่ำร่างกายของนอร่า ประทับความทรงจำอันเจ็บปวดไว้ให้เธอ คนๆนี้หรือคือคนที่ชีวิตนี้นอร่าไม่อยากกลับไปเผชิญที่สุด?!

    ออสการ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขารู้แล้วว่าตอนนี้ตนเองพานอร่าเข้ามาติดอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย แต่เขาจะหนีไม่ได้ เขาต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะปกป้องนอร่าจากชายคนนี้

    “เธอไม่... เธอไม่ใช่ผู้หญิงของใครทั้งนั้น” ออสการ์พยายามพูดอย่างยากเย็น “ต่อให้ท่านซื้อตัวเธอ แต่เธอก็รับใช้ท่านเพียงชั่วข้ามคืน ท่านไม่ควรจะดึงตัวเธอกลับไปที่คฤหาสน์ของท่านอีก เพราะท่านไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนั้น”

    “ทำไมจะไม่มีสิทธิ เธอเป็นเด็กรับใช้ของคฤหาสน์ของผม ผมซื้อเธอมาเองกับมือ ถามเธอก็ได้ว่าจริงไหม”

    ออสการ์นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง นอร่าไม่ได้ไปบริการเขาเท่านั้น แต่ถูกซื้อตัวไปอย่างนั้นหรือ?

    “ถึงเธอจะเป็นเด็กรับใช้ ท่านก็ไม่มีสิทธิกระทำย่ำยีเธอ” ออสการ์รู้สึกสะอิดสะเอียนชายที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกิน “อดีตเธอจะเป็นอย่างไรก็ช่าง นั่นเพราะเธอหาเลี้ยงชีพ แต่ท่านไม่มีสิทธิทำกับเธอโดยเธอไม่ยินยอม”

    “อย่าทำตัวเป็นคนดีนักเลย แกเองรู้ดีว่าเรื่องนี้มันมีกันอยู่ทั่ว” วุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติเริ่มเลือดขึ้นหน้าจนเปลี่ยนคำพูด “เมียฉันยังไม่พูดอะไรซักคำ หล่อนเองก็เต็มใจมาหาฉันอยู่แล้ว ทำไม? หรือว่าแกหลงรักนังเด็กนี่เข้าแล้ว เลยไม่คิดจะคืนของๆฉัน!” มือที่คีบซิก้าร์ชี้หน้าออสการ์
    “แกไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยอยู่แล้วตั้งแต่ต้น คืนหล่อนมาแล้วเรื่องระหว่างเรามันจะได้จบๆ แล้วจากนี้ไปฉันจะสนับสนุนแกเอง รับรองถ้าคนอย่างเอ็ดเวิร์ด แคมพ์เบลออกหน้า แค่ไปแสดงในโรงละครไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย”

    ออสการ์หันไปทางนอร่า เด็กสาวเม้มปากน้ำตาคลอเบ้า สองมือเกาะแขนเสื้อเขาไว้แน่น เธอส่ายหน้าซ้ำๆเพื่อที่จะบอกออสการ์ว่า ได้โปรดอย่าส่งเธอกลับไปเลย นักเปียโนหนุ่มตาบอดไม่อาจเห็นสีหน้าแววตาของเธอ แต่เขารู้... เขารู้ว่านอร่าอยากจะพูดอะไร...

    เขาตระหนักแก่ใจว่าหากปฏิเสธวุฒิสมาชิกจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่เขาไม่ได้กลับไปเป็นนักเปียโนอีกครั้ง ...มันมีอะไรที่มากกว่านั้นสำหรับอำนาจชนชั้นสูงของอังกฤษ ออสการ์อาจต้องแลกชะตาชีวิตหากคิดจะต่อกรกับพวกเขา!

    “ผมต้องขออภัยจริงๆครับ ท่านวุฒิสมาชิก” ออสการ์ลุกจากเก้าอี้และหันเข้าหาวุฒิสมาชิก “นอร่าไม่ใช่สมบัติของท่านอีกต่อไปแล้ว เธอไม่ใช่สมบัติของใครทั้งนั้น เธอไม่ได้ยินยอมต่อการซื้อขายของท่านเลยแม้สักนิด ท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไปบ้าง ผมพูดได้แค่นี้ ขอตัวครับ” เขาหันไปกระซิบนอร่าอย่างเร่งร้อน “ไปเร็วนอร่า พาฉันไปจากที่นี่!”

    “แกมันโง่ ออสการ์ บีคอนบริดจ์! เอาเลย แกจะได้รู้ว่าฉันจะทำอะไรแกได้บ้าง ไอ้คนตาบอดอย่างแกจะได้รู้ซึ้งว่าถ้าไม่มีฉันช่วยแล้ว แกจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงตัวเอง!” วุฒิสมาชิกแคมพ์เบลชี้หน้าด่าออสการ์ไล่หลังมา เขายังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบ มิได้ตะโกนด่ากลางงานเลี้ยง หากทว่านั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการตอกย้ำว่าออสการ์คิดผิดเพียงใด


    ..................................​


    ประตูบ้านไม้ในตรอกซอยเปิดออก ส่งเสียงดังแอ๊ดในความเงียบสงัดของค่ำคืนที่แสนหม่นหมอง รองเท้าหนังสีดำเหยียบลงบนพื้นไม้ ส่งเสียงกึกกักทุกย่างก้าวที่เจ้าของบ้านเดินย่างเข้าสู่ความมืดสลัว ร่างของชายหนุ่มหยุดลงหน้าเปียโน แต่ทันใดนั้นเสียงประตูบ้านปิดปัง พร้อมๆกับที่ร่างๆหนึ่งโผเข้ามากอดเขาไว้

    นอร่าในชุดราตรีโอบกายของออสการ์และซบหน้าลงกับเสื้อเชิ้ตสีขาว เสียงร้องไห้ดังออกมาอย่างที่เธอไม่อาจกลั้นอีกต่อไป

    “หนูนึกว่าคุณจะเอาหนูให้ผู้ชายคนนั้นไปแล้ว” เสียงอุดอู้ดังเล็ดรอดออกมาจากเสื้อเชิ้ตของออสการ์ ที่บัดนี้เปียกชุ่มด้วยน้ำตาอุ่นๆ “หนูนึกว่าคุณจะทิ้งหนู .. ทิ้งหนูให้ผู้ชายคนนั้นเอาตัวหนูไปอีกแล้ว”

    ออสการ์โอบกอดร่างเล็กๆเอาไว้ในอ้อมแขน ร่างในชุดกระโปรงขาวสั่นเทิ้มด้วยแรงสะอื้น เขาปล่อยให้เธอร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

    “นอร่า ฟังนะ ฟังฉันดีๆ” ออสการ์ย่อตัวลงเพื่อให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเธอ “จากนี้ไป เราอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขาจะเอาตัวเธอกลับไปในไม่ช้า เพราะฉะนั้นเธอจะต้องไปจากที่นี่เสีย”

    “ทำไมล่ะออสการ์” เธอเริ่มเบ้ปากจะร้องไห้ “ทำไมถึงพูดแบบนั้น คุณไม่ได้สัญญาจะปกป้องหนูตลอดไปเหรอคะ”

    “ลำพังคนตาบอดคนเดียวอย่างฉันจะปกป้องเธอได้ยังไงกัน นอร่า” ออสการ์ประคองใบหน้าของนอร่าด้วยมือที่เย็บเยียบ “ถ้าวุฒิสมาชิกให้คนมาพาตัวเธอไป ฉันคนเดียวจะทำอะไรได้ พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อลากตัวเธอกลับไป เธอเข้าใจใช่ไหม”
    ออสการ์ใช้นิ้วปาดน้ำตาจากแก้มของเธอ เขาไม่อาจรู้เลยว่า น้ำตาของเขาก็เริ่มจะไหลรินเหมือนกัน
    “เพราะฉะนั้นเธอต้องไปจากฉัน ห้ามอยู่ใกล้ฉันอีกต่อไป ตอนจะออกจากงานเลี้ยงฉันคุยกับเพื่อนเก่าไว้แล้ว เขาเป็นลูกชายเจ้าของโรงละครในปารีส เขาจะช่วยพาเธอกลับไปพร้อมกับเขา...”

    “หนูไม่ไปออสการ์! หนูไม่ไป หนูไม่ไป!” นอร่าร้องห่มร้องไห้แบบไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว “หนูไม่ไปปารีส ไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูจะอยู่กับคุณเพราะหนูรักคุณ!

    “อย่าทำแบบนี้สินอร่า! เธอเองก็รู้ดีใช่ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ออสการ์พยายามข่มน้ำเสียงไว้ในเป็นปกติที่สุด “ที่ปารีส เธอจะได้ไปเรียนการแสดง หรือเรียนร้องเพลง เธอจะมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องกลับมาพบเรื่องราวร้ายๆแบบนี้อีก เธอเป็นแสงสว่างของฉัน เธอคือตัวแทนของฉัน เธอจะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไปเพื่อฉัน เพราะฉะนั้นฉันขอร้อง... ถ้ารักฉันได้โปรดไปจากฉันเสียเถอะนะ”

    นอร่าปล่อยโฮออกมาลั่นบ้านและพุ่งเข้ากอดออสการ์ น้ำตาพรั่งพรูจนเปียกเต็มใบหน้าของเธอ ออสการ์กอดเธอไว้ รู้ดีว่านอร่าไม่ปฏิเสธคำขอของเขาแล้ว แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องลาจากกันไปตลอดชีวิตนั่นเอง

    “ฉันไม่มีอะไรมอบให้เธอเลย นอกจากชุดๆนี้” เขาบอกเธอ เมื่อหลับตาลง น้ำตาของเขาก็ไหลอาบหน้า “แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอก้าวไปสู่โลกแห่งแสงสีได้ และนี่คือบทเพลงบทสุดท้ายที่ฉันแต่งขึ้น เป็น Sonata สุดท้ายที่ฉันแต่งเพื่อเธอ” เขายื่นกระดาษปึกหนึ่งให้กับเธอ ตัวโน๊ตบนกระดาษนั้นดูโย้เย้และไม่ตรงบรรทัดเลย “ขอแค่เก็บมันไว้ และคิดถึงฉันบ้างเพียงเท่านั้น”

    เสียงรถม้าดังขึ้นที่ถนนหน้าบ้าน ชายคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อออสการ์มาจากที่ประตู ออสการ์รู้ดีว่าเวลาของพวกเขามาถึงแล้ว

    “หนูจะกลับมาหาคุณ” นอร่าสะอึกสะอื้น “หนูจะไม่ลืมคุณ ไม่ลืมบ้านหลังนี้ ไม่ลืมเพลงที่คุณแต่งให้หนู หนูสัญญา”

    เธอคือแสงสว่างของฉัน นอร่า ขอบใจที่อยู่กับฉันมาตลอด วันเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ฉันมีความสุขที่สุด” เขาตัดสินใจรุนหลังเธอไป “ไปเร็ว คุณออเดรย์รออยู่นานแล้ว ฉันรักเธอนอร่า ขอให้เธอโชคดี”

    นอร่าก้าวออกไปได้เพียงสองก้าว แล้วทันใดนั้นเธอก็วิ่งกลับมาและประทับริมฝีปากลงกับออสการ์ ความอบอุ่นทั้งมวลถูกถ่ายทอดให้แก่กันและกัน ออสการ์รับรู้ว่าหัวใจของเขาและนอร่าเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน มันบอกรักกัน และบอกลากัน ด้วยเสียงที่พวกเขาสองคนไม่อยากจะได้ยิน

    “ลาก่อนออสการ์” เธอผละจากชายหนุ่มนักเปียโนในที่สุด “ลาก่อนค่ะ...”

    ประตูบ้านเปิดออก ลมหนาวพัดวูบเข้ามาในบ้าน พร้อมๆกับเสียงของผู้ชายวัยหนุ่ม ฝีเท้าของนอร่าค่อยๆไกลออกไป จากเสียงกระทบพื้นไม้ เป็นเสียงออดแอดของรถม้า ชายหนุ่มชื่อออเดรย์ซึ่งเป็นเพื่อนของออสการ์พูดอะไรกับออสการ์หลายคำ แต่หูของเขาไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว เมื่อเสียงประตูบ้านปิดลง รถม้าควบจากไป บ้านทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีอะไรอยู่กับเขาอีกแล้วนอกจากเปียโนหลังเดียว

    พบกันในชั่วข้ามคืน และจากกันในชั่วข้ามคืน หากมันเป็นห้วงเวลาที่แสนสั้น แต่ออสการ์ก็ยินดีที่ครั้งหนึ่งในชีวิต เขาได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” เฉกเช่นผู้คนบนโลกนับร้อยพัน

    เมื่อค่ำคืนเดือนหงาย จันทร์ส่องแสงพร่างพรายไปทั่วนครลอนดอน เมื่อดวงจันทร์ลอยสูงเหนือหลังคาบ้าน เสียงรถม้าหลายคันดังเอะอะ ออสการ์ยังคงนั่งอยู่ ณ ที่เดิม เมื่อประตูบ้านเปิดผางและคนจำนวนมากกรูเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงเซ็งแซ่ ออสการ์ปล่อยให้พวกเขาค้นบ้านจนพอใจและลากตัวไปที่หน้าบ้านเพื่อฟังเสียงชายที่ได้ยินในงานเลี้ยง และด้วยปากที่ตอบไปว่า “เธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว” เผยอขึ้น มือที่กระทบใบหน้าดังฉาดทำให้ออสการ์แทบจะร่วงลงไปกองกับพื้น แต่หัวใจที่อาบกล้าด้วยความรักและเสียสละไม่อาจถูกกระทบแม้กระทั่งคำว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมาเอาเปียโนของแกไป” นั่นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าการตัดสินใจจะต้องแลกมาด้วยอะไรสักอย่างอยู่แล้ว

    มันไม่สำคัญว่าเขาจะต้องเผชิญอะไรจากนี้ไป เพราะคนตาบอดคนหนึ่งอย่างเขาได้ปกป้องคนที่รักไว้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิต


    -----------------------------------------------------------------------​



    “เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆครับ คุณนอร่า” ชายที่เดินเคียงข้างนอร่าเอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังเรื่องที่เธอเล่าจบ

    “ค่ะ เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่” นอร่าเดินอย่างสง่างามบนทางเดินหญ้า ที่ทอดไปสู่ที่พำนักของออสการ์ “สิ่งที่เขาได้มอบให้แก่ฉันมันยิ่งใหญ่เกินจะหาสิ่งใดๆมาเปรียบได้ ฉันเชื่อว่าทั้งชีวิตคงไม่มีผู้ชายคนไหนจะรักฉันได้หมดหัวใจอย่างเขาอีกแล้ว”

    ในที่สุด ชายหนุ่มที่ชื่อเจมส์ก็พานอร่ามาถึงที่ที่ซึ่งออสการ์อาศัยอยู่ นอร่าหายใจดังเฮือก และยกมือขึ้นปิดหน้าเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาที่ไหลริน




    R.I.P.

    To the memory of

    OSCAR BEACONBRIDGE

    September, 1869 – February, 1893​

    The clock rings and rings
    Refusing passing time
    Past…present…future whoever will sing
    So far the sky, laid sonata rhyme
    A word that says “I Love You” ​



    (เข็มนาฬิกาจะตีสักกี่ครั้ง
    ก็ไม่อาจหยุดยั้งห้วงเวลานี้ไว้
    อดีต ปัจจุบัน อนาคต ใครเล่าจะสนใจ?
    ขอเพียงบทเพลงนี้ที่ฟากฟ้าไกล
    ได้รู้เอาไว้ ว่าฉันรักเธอ...)



    มันคือท่อนสุดท้ายในเพลงของออสการ์ เสียงเปียโนดังขึ้นในความทรงจำ ผู้ชายผอมบางผมยาวในชุดสูทดำ ผู้มีดวงตามืดบอดที่สดใส หันมายิ้มให้กับเธอ แม้เนิ่นนานเกือบสิบปี แต่ภาพทุกภาพยังแจ่มชัด แม้เสียงเพลงนั้นบรรเลงเพียงหนึ่งครั้ง นอร่าก็ยังจำได้ทุกท่อนและทำนองของมัน

    เจมส์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เขารู้สึกอึดอัดใจ จึงได้แต่เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง

    “เขาป่วยตายในปี 1893 สองปีหลังคุณจากไป ว่ากันว่าเขาถูกวุฒิสมาชิกคนนั้นยึดเปียโนไป แต่ก็ยังมีคนเห็นเขาขึ้นแสดงตามงานเล็กๆและโบสถ์ต่างๆ น่าเสียดายที่เขาป่วยเป็นโรคปอด ถ้าเขามีเงินมากกว่านี้เขาคงจะรักษาตัวได้ และคงไม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้”

    นอร่ารับฟังชะตากรรมของออสการ์อย่างนิ่งสงบ เธอหยุดร้องไห้แล้ว เพราะรู้ดีว่าออสการ์ไม่อยากเห็นเธอโศกเศร้า โศกนาฏกรรมของออสการ์จะถูกจดจำไว้ในความทรงจำของเธอ เธอจะไม่อายที่จะบอกใครๆว่าออสการ์ได้ให้อะไรกับเธอไว้บ้าง และยามที่เธอพบปะผู้คน เธอจะบอกพวกเขาว่าออสการ์คือผู้ชายคนแรกที่เป็นทั้งแสงสว่างและดวงใจของเธอ

    กระโปรงสีขาวส่งเสียงหยอกล้อปลายหญ้าเมื่อเธอย่อตัวลง นอร่าเอื้อมมือบอบบางไปยังแผ่นหินสีเทา ภาพของหญิงสาวผู้สูงสง่ากลับคืนมาเป็นเด็กหญิงอายุสิบสอง มือของออสการ์ บีคอนบริดจ์ปรากฏขึ้นมาในแสงสีขาว เขายื่นมือมาสัมผัสกับมือของเธอ

    “หนูกลับมาแล้วค่ะ ออสการ์” นอร่าบอกกับชายผู้ซึ่งยิ้มให้กับเธอ


    “หนูกลับมาแล้ว...”


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Author Corner

    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปัดฝุ่นฝีมือแ้ล้วแต่งฟิคที่ใช้ความละเอียดอ่อนแบบนี้ :hsunk: สารภาพว่าเกือบตายครับ คนที่จำความรู้สึกของความรักไม่ได้ แต่ต้องมานั่งแต่งฟิควาเลนไทน์นี่.. ฆ่าตัวตายชัดๆเลย (ปีหน้านู๋จะไม่รับปากสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว OTL)

    ตั้งใจลงปิดท้ายวาเลนไทน์ครับ เสียเวลาคิดชื่อเรื่องกับนามสกุลของตัวเอกไปหลายวัน สุดท้ายก็ได้ชื่อ My Last Sonata มาแบบกากๆ พอถูไถได้ทันเวลา แต่ไม่มีเวลาพอจะแต่งกลอนเป็นภาษาอังกฤษ OTL x 500

    เรื่องนี้มีฉากอยู่ที่ Victorian England ซึ่งเป็นหนึ่งในยุคที่ผมชอบที่สุด เพราะมันมี content หลายๆอย่างที่วับซ้อนและน่าสนใจ เช่นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ชนชั้นทางสังคม และโสเภณีเด็ก หากเรื่องที่แต่งมีจุดผิดเพี้ยนไปจากประวัติศาสตร์ กระผมอีวานก็ต้องขออภัยด้วยเพราะไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษเลย ได้แต่ศึกษาผ่านตัวหนังสือเอา m(_ _)m

    เวอร์ชั่นเต็มของฟิคนี้ยาวกว่านี้พอตัว ดังนั้นอย่าแปลกใจหากอ่านไปแล้วรู้สึกเรื่องราวกระโดด นั่นเพราะผมพยายามตัดให้สั้นที่สุด (ถึงกระนั้นก็รู้อยู่ว่ายาว ไม่ถนัดเขียนอะไรที่สั้นๆจริงๆต้องขอโทษ อีกอย่างฟิคเรื่องนี้มีจุดละเอียดอ่อนมาก จะตัดออกมากก็ไม่ไ่ด้)

    เกี่ยวกับนามสกุลของตัวเอกนั้น Beaconbridge มีที่มาจาก Beacon (แสงสว่างนำทาง) + Bridge (สะพาน) ซึ่งบ่งบอกถึงตัวเอกเองที่เป็นแสงนำทางให้กับนอร่า แต่ในฟิคเราไม่ได้พูดถึงจุดนี้ เพื่อที่จะปล่อยไว้ให้ผู้อ่านตีความต่อไปเอง (จะมีใครรู้ไหมเนี่ย?)

    สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้ Sonata นั้น ที่จริงเป็นท่วงทำนองของเปียโน ไม่มีเนื้อร้อง แต่ที่ผมจำต้องแต่งเนื้อร้องขึ้น ก็เพื่ออธิบายอารมณ์ของเพลง เนื่องจากเราอ่านฟิค ไม่ได้นั่งฟังเพลงแต่อย่างใด หวังว่าคงจะเข้าใจกันนะครับ อีกเรื่องหนึ่งนั้น เด็กอายุ 12 ปีในสมัย Victorian ถือว่าเป็นสาวสะพรั่ง สามารถประกอบอาชีพขายตัวได้ครับ ไม่แปลกแต่อย่างใด

    ปล. พระเอกเลี้ยงต้อย //โดนจับฆ่ายัดเปียโน

    โปรดให้เกียรติผู้แต่งทุกท่าน โดยการให้คอมเม้นท์ที่มีคุณภาพนะครับ
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เนื้อเรื่องซาบซึ้งดี ถึงจะมีบางช่วงขาดๆไปบ้างแต่โดยรวมแล้วก็เน้นที่จุดสำคัญได้ดีเหมาะกับเรื่องสั้นแล้วนะครับ

    แต่ส่วนที่ขาดไปแล้วอยากรู้ก็คงมีตรงที่ตัวละครที่มาฟังนางเอกเล่าคือใคร แล้วทำไมหลุมศพของพระเอกไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะนะ
  3. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ห่างหายจากการแต่งฟิคไปซะนานเลยครับ อีวาน ผมชอบวิธีการบรรยาย กับบรรยากาศของเรื่องสั้นเรื่องนี้มากๆ รู้สึกมันสละสลวยดีครับผม ทำไมในหัวนึกถึงภาพฉากเก่าๆ โทน sepia ก็ไม่รู้สิ ผมอาจเขียนคอมเมนท์ติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง เพราะไม่ได้เขียนให้ใครนาน ไม่ได้บอกความรู้สึกของตนเองให้ใครนานด้วย แต่เอาเป็นว่า ชอบเรื่องนี้ครับ ถึงปรกติ ผมจะไม่ได้ชินแนวโรแมนติกเท่าไหร่ คนมองโลกในแง่ร้ายอย่างผม ยังแอบคิดว่า มันจะต้องมีจุดหักมุมที่น่าเศร้าบ้างสิน่า แต่พออ่านจบ พบว่าไม่มี ก็อดดีใจเล็กๆ กับตัวละครสองตัวนี้ไม่ได้เหมือนกัน ถึงฝ่ายพระเอกจะเจอจุดจบที่รันทดไปหน่อย แต่ผมคิดว่า ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นจากการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันมากมายกว่าชื่อเสียงและวัตถุเงินทองที่ยอมทิ้งไปเยอะนะ





    สุดท้ายนี้.... ผมจะรอเรื่องต่อไปของอีวานตลอดไปนะครับ!!!!! (อีวาน - ไซโคกันเรอะ?!?)

Share This Page