[ฟิคยาว] Legendary : บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี (บท 8 UPDATE)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 พฤษภาคม 2011.

Thread Status:
Not open for further replies.
  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 5



    เช้ามืด เวลาที่ชาวเมืองแห่งนครชิลโซลิธีส่วนใหญ่ยังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ท้องฟ้ายังถูกความมืดปกคลุม ดวงดาวยังเปล่งแสงสุกใส แต่ใจกลางแห่งมหานครบุษราคัม ณ ตึกบัญชาการกองทัพหน่วยที่หนึ่ง ผู้กล้าทั้งห้าประกอบไปด้วยสามบุรุษและสองสตรีกำลังเตรียมพร้อมออกเดินทางตามหาดอกไม้วิเศษ ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’





    “เอ้า! ดาบใหม่ของเจ้า” อาจารย์หนุ่มยื่นดาบเล่มหนึ่งให้กับลูกศิษย์สาวพร้อมกับเกราะมืออีกสองข้าง



    เทรนรับดาบจากอาจารย์ ดาบยาวถูกกระชากออกจากฝักโลหะสีดำเงามัน ใบดาบหนาคมกริบเปล่งประกายสะท้อนแสง กั่นดาบยาวสีเทาเข้มตัดกับสีเงินของดาบดูราวกับไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ด้ามจับพันแน่นด้วยหนังสีดำสนิท เกราะมือโค้งมนทำจากแร่เงินโค้งมนรับกับแขนเรียวของเธอ มีอักขระเวทจารบางๆให้เห็นอยู่ทั่วเกราะ ซองมือและเชือกรัดสีน้ำตาลกระชับพอดีแขน



    “อาจารย์ตีมันให้ข้าเหรอ?” เทรนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ลองตวัดฟันดาบสองสามครั้ง



    “การเดินทางครั้งนี้จะต้องสู้กับพวกปิศาจที่แข็งแกร่ง ลำพังดาบธรรมดาคงจะต่อสู้ได้ลำบาก ท่านอเซแมกเลยตีดาบที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ที่สามารถกำราบปีศาจได้เช่นเดียวกับดาบของเขา แถมยังให้ข้าประจุพลังเวทลงไปในดาบพร้อมๆกับศิลามนตราอีกด้วย” เบลตบบ่าเทรนจากด้านหลัง ยิ้มให้เธอ “ใช้มันฟาดฟันศัตรูเพื่ออาจารย์ของเจ้านะ”



    เทรนยิ้มดีใจ เก็บดาบลงฝักแล้วก้มหัวค้อมตัวคำนับผู้เป็นอาจารย์อย่างนอบน้อม อากิรอสเดินไปเปิดประตูบานใหญ่รอทุกคน ทั้งหมดก้าวเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องประชุม สีหน้าหนักแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น





    ที่ด้านหน้าตึกบัญชาการ แม่ทัพการ์เน็ตและแม่ทัพเฟทพร้อมด้วยกองทหารยืนรอส่งพวกเขาพร้อมด้วยม้าฝีเท้าดีห้าตัวเพื่อใช้สำหรับเดินทาง สัมภาระเตรียมพร้อมอยู่ในถุงย่ามห้อยพาดอยู่บนหลังม้า





    “ข้าหวังจะได้ประลองฝีมือเมื่อท่านเดินทางกลับมานะ” เฟท ฟาน เลวานธีน หรือ อเมธิส เฟท แม่ทัพลำดับที่สองเข้ามายืนประจันหน้ากับอเซแมก ยื่นบังเหียนคุมม้าให้เขา



    “ถ้าอย่างนั้น อีกหกเดือนเราพบกันที่นี่” อเซแมกชักดาบออกจากฝัก เฟทเข้าใจความหมาย ชักดาบของตัวเองออกมาเทียบแตะกับดาบของเขาเปรียบดั่งการจับมือสัญญาของลูกผู้ชาย



    “ขอให้ทุกท่านโชคดี ข้าหวังจะได้รับข่าวดีเมื่อเวลามาถึง” การ์เน็ตอวยพรให้พวกเขา ทหารอัญเชิญสร้อยตราอัศวินมาในถาดทองคำปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสด พวกเขาหยิบรับสวมคอแล้วขึ้นม้าควบออกจากตึกบัญชาการมุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทิศตะวันตก สถานที่ซึ่งมาเรีย ซินนาส สาวสวยปริศนาที่เพิ่งจะพบกันเมื่อคืนนัดหมายไว้







    “ตรงเวลาดีนะ” มาเรียหยิบนาฬิกาเรือนกลมเล็กจากเข็มขัดมาดูเมื่อพวกเขาชะลอม้าเข้ามาใกล้ เธอยิ้มแย้มกระโดดขึ้นหลังม้าที่ทากะขี่อยู่ “เอ้า! ไปกันเถอะ ข้ายิ่งรีบๆอยู่ด้วย” พูดจบก็เตะท้องม้าให้มันออกวิ่ง ทุกคนควบม้าตามหลังเธอผ่านประตูเมือง ทหารยามยืนตรงประทับอาวุธทำความเคารพพวกเขา





    เหนือหอคอยสังเกตการณ์ ชายปริศนาที่เคยปรากฏตัวในวันสุริยคราสจับตามองพวกเขาทั้งหกควบม้าไปตามทางมุ่งหน้าไปยังท่าเรือริมแม่น้ำริเรีย รอยยิ้มเยือกเย็นผุดขึ้นบนใบหน้า ดวงตาเผยแววปริศนาไม่สามารถอ่านออก เขาหายตัวไปพร้อมสายลมวูบหนึ่ง





    “ท่านจะให้ข้าไปส่งที่ไหน ท่านนักรบ” มาเรียถามเมื่ออเซแมกควบม้าขึ้นมาตีคู่ด้วย

    “เรียกข้าว่าอเซแมกเถอะ คนที่ควบม้าให้เจ้าคือทากะ ที่ตามหลังมาคือเทรนลูกศิษย์ข้า ส่วนอีกสองคนด้านหลังคืออากิรอสและเบลลานี่” เขาแนะนำชื่อของทุกคนให้รู้จัก มาเรียหันไปยิ้มให้ทุกคน



    “ก่อนอื่นข้ามแม่น้ำริเรีย ทางกองทัพได้จัดเรือรอไว้แล้ว จากนั้นมุ่งหน้าไปทิศตะวันตกพักค้างคืนที่หมู่บ้านแถบนั้น ข้ามทุ่งหญ้าลาทิทูโดไปจนถึงแนวป่าเนมุส”



    “ไกลน่าดูแฮะ อย่างน้อยๆก็ร่วมเดือนก่อนจะถึงป่าเนมุสละนะ” มาเรียบอก “ว่าแต่พวกท่านจะไปไหนกันต่อละ อย่าบอกข้าว่าจะเข้าหุบเขามรณะ!?” อเซแมกพยักหน้าตอบ



    “ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเจ้าจะไปแค่ชายป่าซะอีก คิดจะเข้าไปที่นั่น มีเก้าชีวิตยังไม่พอเล๊ย” มาเรียเกาหัว ส่ายหน้า “พวกเจ้าจะไปทำอะไรที่นั่นกันแน่”



    “พวกข้าจะไปตามหาดอกไม้วิเศษ ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’”

    “ดอกไม้เจ็ดสีในตำนานนั่นน่ะรึ? จะมีอยู่จริงรึเปล่านี่สิ” มาเรียร้องทัก

    “อย่างน้อยๆก็มีหนึ่งดอกที่ชิลโซลิธีละนะ นี่เจ้ารู้ตำนานดอกไม้ด้วยเหรอ?” เบลถาม



    “ดินแดนตะวันตกมีตำนานดอกไม้เจ็ดสีที่ทอแสงสายรุ้งตลอดเวลา สายน้ำที่ไหลผ่านดอกไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะรักษาโรคได้ร้อยแปดชุบชีวิตคนที่บาดเจ็บเจียนตายให้หายสนิทได้ แต่ผู้คนมากมายออกตามหาเท่าไรก็ไม่เจอตลอดหกร้อยปีที่ผ่านมา มันถึงได้เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น” มาเรียเล่า ยักไหล่เป็นที



    “ก็มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้นหละ มากันถึงขั้นนี้แล้ว” อากิรอสบอก ทุกคนยิ้มรับกับคำพูดนี้เพราะนี่คือหนทางที่พวกเขาเลือกและเป็นหนทางเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้เท่านั้น





    เสียงโลหะจากเกือกม้าย่ำพื้นดินเป็นจังหวะชวนให้หัวใจคึกคะนอง สายลมเย็นที่เข้าปะทะหน้าให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แสงสีส้มเริ่มทอแสงที่ขอบฟ้าด้านหลังไล่ขึ้นมา ดวงดาวจางหายไปจากท้องฟ้า ม้าทั้งห้าและคนทั้งหกเดินทางมาถึงท่าเรือในที่สุด



    ริเรียเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เกิดจากธารน้ำหลายสายจากเทือกเขาแอลเบียนไหลมารวมกัน คะเนความกว้างจากสายตาไม่ต่ำกว่าสี่ห้าร้อยเมตร กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลแรงตลอดเวลา เรือไม้ลำใหญ่จอดเทียบท่ารอผู้กล้าที่จะข้ามสายน้ำกว้างสู่ดินแดนตะวันตกที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นแดนเถื่อนเพราะอยู่นอกอำนาจของนครชิลโซลิธี



    พวกเขาต้องล่องเรือไปตามแม่น้ำสายนี้อีกสักพักเพื่อไปขึ้นที่ท่าเรือฟากตะวันตกอันเป็นเขตติดต่อเดียวกับหมู่บ้านฝั่งตะวันตก พวกเขาทั้งหกคนจึงขึ้นมาพักผ่อนบริเวณดาดฟ้าเรือซึ่งจัดที่นั่งและอาหารเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว



    “ว้าว! พวกเจ้ากินหรูกันแบบนี้ตลอดเลยเหรอเนี่ย” มาเรียตื่นเต้นเมื่อได้เห็นอาหารเลิศรสมากมายบนโต๊ะที่ชาวบ้านร้านรวงธรรมดาไม่มีโอกาสได้ทานตลอดชีวิตเลย



    “จริงๆแล้วพวกข้ากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ทางกองทัพก็จัดแบบนี้มาให้ตลอดเลย” เทรนบอกก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้ที่หัวโต๊ะให้กับผู้เป็นอาจารย์นั่ง



    “พวกเขาอุตส่าห์เตรียมมาให้ เราก็ต้องสนองน้ำใจพวกเขากินให้เต็มที่ งั้นข้าไม่เกรงใจละนะ” มาเรียบอกพลางหยิบอาหารจานโน้นจานนี้กินอย่างสบายใจ









    “ว่าแต่เจ้าไปทำอะไรมาละ พวกนั้นถึงได้ตามล่าเจ้าเมื่อคืนนี้” เทรนถามมาเรีย

    “ข้าปีนเข้าบ้านเศรษฐีคนหนึ่งน่ะ เห็นว่าได้เพชรน้ำดีเม็ดเบ้อเร่อมาก็เลยจะกะเข้าไปขโมย แต่เผอิญมัวแต่แอบดูยัยแนนนี่ลูกสาวของเจ้านั่นกำลังนัวเนียกับนักรบหนุ่มตั้งสิบกว่าคนก็เลยเผลอไปโดนด้ายสัญญาณเข้าน่ะ”



    “งั้นเจ้าก็เป็นหัวขโมยน่ะสิ” เทรนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “ข้าเป็นขโมยแล้วยังไงละ สาวน้อย? เจ้าจะจับข้าไปส่งทางการงั้นรึ” มาเรียหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนใดๆ



    “ต่างคนก็ต่างเลือกหนทางการใช้ชีวิตต่างกัน มันเป็นวิถีนะ” อากิรอสบอกเทรน เธอหันหน้าไปมองผู้เป็นอาจารย์ เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับอากิรอส เธอจึงต้องนั่งลงเหมือนเดิม



    “ข้าจะเป็นหัวขโมยหรือเป็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก ข้าทำสิ่งที่ข้าอยากจะทำ ไปในหนแห่งที่ข้าอยากจะไปเท่านั้น” มาเรียบอก “โลกนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” เทรนได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบรับฟัง กำหมัดแน่น คนอื่นๆเข้าใจในสิ่งที่มาเรียพูดดีจึงมิได้โต้แย้งอะไร





    พอเริ่มสาย พระอาทิตย์ผงกหัวขึ้นทำมุมทแยงกับผืนแผ่นดิน นาวีลำใหญ่พาพวกเขามาส่งถึงท่าเรือฝั่งตะวันตก ทั้งหมดขึ้นม้าออกควบไปตามทางผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีและแนวป่ามุ่งหน้าสู่ทิศประจิม จนเวลาผ่านพ้นล่วงเลยจนบ่ายแก่ๆพวกเขาทั้งหมดจึงเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง







    “น่าแปลกปกติหมู่บ้านนี้จะคึกคักตลอดเวลา วันนี้ทำไมไม่มีคนเลยสักคน” มาเรียบอก ทั้งหมู่บ้านเงียบสนิท ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสัตว์อื่นราวกับทุกคนหายตัวไป ทั้งหกควบม้าผ่านประตูหมู่บ้านเข้ามาได้พอสมควรก็ยังไม่เห็นใครสักคน



    “ชักจะไม่ชอบมาพากลนะขอรับ” ทากะเอ่ยบอก ทุกคนตื่นตัวขึ้นเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ บรรยากาศเงียบจนชวนให้อึดอัดทุกขณะ





    “ช่วย... ช่วยด้วย” เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาจากด้านหลังบ้านหลังหนึ่ง ชายชรารูปร่างผอมแห้ง บาดแผลทั่วตัวเดินตัวสั่นออกมา ชาวบ้านคนอื่นปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆทุกคนอยู่ในสภาพเดียวกัน







    “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย?” มาเรียตกใจกับสภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะพวกเขาทุกคนล้วนถูกทำร้ายอาการสาหัส บางคนเนื้อที่แขนหลุดหายไปจนเห็นกระดูกขาวกับเนื้อแดงเหวอะ บางคนมีแผลขนาดใหญ่ที่คอ คราบเลือดแห้งกรังติดตามเนื้อตัวไปทั่ว



    เรื่องราวเกิดขึ้นไวจนเหลือเชื่อ ชาวบ้านในสภาพปางตายพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาด้วยความไวที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งหมดกระโดดพรวดออกจากหลังม้าไปด้านหลัง ชาวบ้านทั้งหมดรุมแทะทึ้งเนื้อม้ากินสดๆอย่างตระกุมตะกราม เสียงม้าร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเงียบหายไปเหลือแต่เสียงฟันและเขี้ยวฉีกกระชากเนื้อ



    “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมทุกคนถึงเป็นแบบนี้”

    “เจ้าถอยไปอยู่ข้างหลังดีกว่า” เทรนเดินขึ้นมาบังหน้าเธอ ชาวบ้านที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากผีดิบกระหายเลือดพุ่งตรงมายังพวกเขา



    “เจ้าคิดว่าข้าต่อสู้ไม่ได้หรือไงกัน?” แส้เส้นหนึ่งพุ่งผ่านหน้าเธอจากด้านหลังอย่างแรงทำเอาปลายผมสะบัด แส้เส้นนั้นฟาดเข้าเต็มๆหน้าของผีดิบที่พุ่งเข้ามาใกล้ที่สุดจนกระเด็นกลับไป เทรนหันไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา



    “อย่าคิดว่าข้าอ่อนแอจนต้องให้เจ้ามาปกป้องละ” มาเรียสะบัดแส้กลับมาอยู่ในมือ บิดคออยู่สองสามทีแล้วพุ่งออกหน้าไปก่อนใครเพื่อน





    “ตะกี๊พวกเจ้าขอให้ข้าช่วยใช่ไหม? ได้เลย ข้าจะให้พวกเจ้าพ้นทุกข์เอง โฮะๆๆๆ” เสียงหัวเราะของเธอดังลั่นพร้อมๆกับเสียงแส้ที่สะบัดฟาดใส่ร่างชาวบ้านคนแล้วคนเล่า เศษเนื้อและเลือดหลุดปลิวลอยไปทั่ว



    “นี่เจ้า! คิดจะฆ่าพวกเขารึยัง...” เทรนพูดยังไม่ทันจบ ชาวบ้านคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอ้าปากจะกัดขย้ำที่คอ แต่เธอไวพอที่จะหลบแล้วใช้ดาบฟาดใส่ต้นคอจนล้มลง “แค่ทำให้พวกเขาสลบก็พอแล้ว” พูดจบเทรนก็ต้องชะงักอีกครั้ง เพราะร่างที่น่าจะสลบไปแล้วกลับยันตัวขึ้นแล้วพุ่งเข้าหาเธออีกครั้ง



    ฉับ! เสียงดาบที่ถูกวาดด้วยความไวจนมองไม่ทันตัดเข้าที่คอของมันจนหลุดกระเด็นตกไปไกล อาจารย์หนุ่มของเธอเข้ามายืนอยู่ด้านหลังโดยที่เธอไม่รู้ตัว





    “ข้าสอนให้เจ้าประมาทอย่างนั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเป็นปกติ แต่แววตาที่มองลงมาก็บอกได้ว่าเขากำลังตำหนิเธออยู่ “ถ้าไม่ฆ่าก็ต้องถูกฆ่า นั่นคือกฎของสนามรบ ข้าไม่เคยบอกงั้นรึ!?” เทรนได้สติ ชักดาบออกช้าๆ ก้าวเท้ามายืนเคียงข้างชายผู้ประสิทธิ์ประศาสน์วิชาดาบให้



    “ข้าขอโทษ! ข้าเข้าใจแล้ว” เทรนกำดาบแน่น ร่างของชาวบ้านที่พุ่งเข้ามาหาเขาและเธอแต่ละคนล้วนต้องทรุดกายนอนราบลงกับพื้นดิน ศีรษะหลุดกระเด็นไปทั่ว







    “เฮ้อ เล่นลุยไม่ยั้งแบบนี้ พวกข้าก็ไม่มีบทน่ะสิ” อากิรอสบ่นอุบ

    “นึกว่าท่านจะเป็นคนขี้เกียจซะอีกนะขอรับ” ทากะถามเข้าให้ ทำเอาเบลถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังแต่ก็ยังดังน้อยกว่าเสียงหัวเราะสะใจของมาเรียที่ตอนนี้ยังเพลิดเพลินไปกับการฉีกกระชากเนื้อด้วยแส้







    ร่างสุดท้ายของชาวหมู่บ้านนี้ที่กลายเป็นตัวประหลาดฟุบลงกับพื้นพร้อมกับส้นเท้าของมาเรียที่เหยียบเข้าที่กลางหลัง “โฮะ โฮะ โฮะ! สะใจจริงๆ ไม่ได้สะใจแบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย”







    “ข้าบอกแล้วนะว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิด” มาเรียเดินเข้ามาประจันหน้ากับเทรน ม้วนสายแส้เข้าที่เอวเหมือนเดิม เทรนกำหมัดแน่น



    “ถ้าเป็นพวกคนเลวละก็ มันตายไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว” เทรนพูดในขณะที่มาเรียเดินสวนไปด้านหลัง

    “แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนดีคนเลว หรือใครเป็นมิตรหรือศัตรูละ” มาเรียถามกลับ เทรนตอบเธอไม่ได้





    “ว่าแต่ทำไมชาวบ้านถึงได้กลายเป็นผีดิบไปหมดนะ” เบลถามขึ้นลอยๆขณะที่นั่งลงตรวจสอบซากศพ

    “ข้าสัมผัสถึงพลังเวทบางๆนะ” อากิรอสยืนหลับตารวมสมาธิเพื่อสัมผัสในสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยสายตา เบลลานี่ได้ยินดังนั้นจึงหลับตาสัมผัสถึงพลังเวทเช่นกัน









    ท้องฟ้ามืดมิดลงอย่างฉับพลันราวกับมีมือยักษ์คั่นกลางระหว่างพวกเขาและดวงอาทิตย์ เงาของวัตถุขนาดใหญ่จากท้องฟ้าหล่นมายังพวกเขาด้วยความเร็วสูง อเซแมกคว้าเอวเทรนขึ้นหนีบข้างตัวแล้วพุ่งออกไปสุดฝีเท้า ในขณะที่มาเรียก็โดนทากะหิ้วขึ้นบ่าพุ่งหนีไปอีกทาง เหลือแต่อากิและเบลที่ยังไม่ขยับไปไหน





    ตูม! หินก้อนมหึมาที่ใหญ่กว่าหมู่บ้านปะทะกับพื้นดินเต็มแรงจนฝุ่นควันฟุ้งไปทั่ว ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่นล้มระเนระนาด



    ณ จุดที่อากิและเบลยืนอยู่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆเพราะทั้งคู่ใช้กำแพงเวทป้องกันไว้ได้







    “ต้อนรับกันแรงไปหน่อยไหมเนี่ย” อากิรอสบ่นอุบอิบ เกาหัวแกรกๆ

    “เจ้าไม่คิดจะตอบคำถามข้าหน่อยเหรอ กุห์ฟาน” อากิรอสเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้ามองชายคนหนึ่งที่ลอยตัวอยู่ แววตาแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยโทสะ



    “ข้าก็ไม่คิดว่าของแค่นี้จะทำให้ท่านสองคนต้องเป็นรอยแผลสะกิดนะ” ชายที่ชื่อกุห์ฟานตอบกลับ ผมสีแดงเพลิงปลิวตามจังหวะของสายลม ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้าในคืนที่ไร้แสงเดือนแสงดาว เขาคือคนที่ปรากฏตัวขึ้นในสเตเดียมในวันเหตุการณ์ ‘สุริยคราส’



    “ของขวัญที่ข้าเตรียมให้เป็นยังไงละ? สนุกไหม” เขาถามแล้วหัวเราะออกมาเบาๆเพราะทั้งอากิรอสและเบลลานี่กำลังโกรธจัด พลังเวทแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง







    พริบตาเดียวอากิรอสโผล่พรวดมาอยู่ตรงหน้ากุห์ฟานในท่าเงื้อขวานสุดกำลังแขนหมายจะฟาดฟันชายตรงหน้าให้ดับดิ้นตายไป ส่วนเบลลานี่โผล่มาด้านหลังพร้อมด้วยขลุ่ยเงินในมือที่บัดนี้ถูกชี้เป้าหมายมายังกุห์ฟานพร้อมด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงพุ่งออกมาราวกับมังกรพ่นไฟ ทว่าการโจมตีของทั้งคู่ถูกสกัดไว้ได้อย่างง่ายดาย รอบตัวของกุห์ฟานมีม่านพลังล้อมรอบอยู่ ขวานของอากิถูกหยุดอยู่เบื้องหน้าห่างไปไม่เท่าไร ส่วนเพลิงไฟของเบลลานี่กระจายออกเข้าไม่ถึงตัว



    “พวกท่านสองคนยังใจร้อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

    “ใครจะเปลี่ยนไปเหมือนเจ้าละ!!” อากิรอสแผดเสียงคำรามพร้อมเกร็งพลังมากขึ้น พลังเวทสองสายเสียดสีเป็นประกายแปลบปลาบแต่ก็ยังทำอันตรายกุห์ฟานไม่ได้



    เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลอากิรอสจึงถอนตัวถอยห่างออกมา เบลลานี่ถอยไปยืนกระหนาบอยู่ด้านหลังเช่นกัน กุห์ฟานเหลือบกลับไปมองเบลลานี่ก่อนจะหันกลับมามองอากิที่จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ







    “นักมนตรางั้นรึ?” อเซแมกที่ดูสถานการณ์อยู่ด้านล่างเอ่ยขึ้น “แข็งแกร่งมากด้วยสิ”

    “งั้นก็ต้องไปช่วยพวกเขาแล้วละ” เทรนร้องบอก



    แต่ยังไม่ได้ทันจะทำอะไร ราวกับมีบางอย่างกดทับร่างของพวกเขาลงกับพื้นดินอย่างแรง เทรนฟุบลงนอนคว่ำหน้ากระแทกกับพื้นที่เริ่มจะแตกตัวเพราะแรงกดดัน ส่วนอเซแมกยังเกร็งกำลังขาปักดาบลงพื้นต้านไว้ ด้านทากะก็ไม่ได้สบายไปกว่ากันเพราะถูกพลังประหลาดกดไว้เช่นกัน



    “เฮ้! พวกเจ้าเป็นอะไรไปกันน่ะ” มาเรียตะโกนถาม พยายามจะดึงทากะให้ลุกยืนขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้





    “ข้าอุตส่าห์ไม่ใช้เวทกับเจ้าเพราะอยากจะเชือดคอขาวๆนั่นด้วยมือตัวเองเชียวนะ ขอบคุณข้าซะละ”



    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังมาเรีย เธอหันขวับไปมองหาเจ้าของเสียงก็พบว่าเป็นผู้หญิงในชุดกระโปรงบานสีดำสนิท ผมเรียบยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตากลมโตแต่ฉาบแววแห่งความรุนแรงออกมา



    “เจ้าเป็นใครกันยะ?” มาเรียถามยียวน

    “ก่อนจะถามชื่อคนอื่นน่ะ หัดบอกชื่อตัวเองก่อนสิ”

    “ต๊าย เป็นผู้ดีเกินคาดนะเนี่ย” มาเรียแขวะกลับตรงๆ อีกฝ่ายชะงักไปกับฝีปากของมาเรีย



    “ดูท่าจะปากดีกว่าที่คิดนะ” ร่างของเธอพุ่งพรวดเข้าหามาเรีย มือสองข้างกระชากมีดสั้นคมกริบออกมาจากฝักที่ห้อยอยู่ด้านหลัง มาเรียกระโดดถอยไปด้านหลังพร้อมกับสะบัดแส้จากเอวเข้าใส่หน้าอีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายโยกคอหลบได้ง่ายๆ





    “ใช้ของเด็กเล่นแบบนี้คิดว่าจะโดนข้างั้นเหรอ”

    “ก็ไม่แน่หรอกย่ะ” มาเรียสะบัดดึงแส้กลับทันที ปลายแส้ที่เป็นปุ่มเล็กๆรั้งกลับมาอย่างไวโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ต้นคอของศัตรู บังคับให้อีกฝ่ายต้องหยุดการรุกคืบและโยกหลบอีกครั้ง



    “เป็นไงละ รสชาติของของเล่นน่ะ” มาเรียสะบัดแส้ให้เกิดเสียงดัง อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบแก้มดูก็พบว่ามีเลือดแดงสดติดปลายนิ้ว



    “บังอาจนักนะยะ นังสารเลวววววววววววววววววววววว!!!” เธอแผดเสียงร้องตะโกน หายใจแรงสองสามทีแล้วก็เปลี่ยนมายิ้มหวานให้กับมาเรีย



    “ก็ได้ ข้าจะบอกชื่อของข้าให้รู้ก็ได้ จำไว้ให้ดีละ ‘ไบท์ ไวท์แฟงค์’ คนที่ฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆยังไงละ!” ไบท์พุ่งเข้าหาอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไวกว่าเดิมมากนัก มาเรียรู้ทันสะบัดแส้ให้ไวกว่าเดิมเช่นกันแต่ไบท์พุ่งพลางหลบจนเข้าประชิดตัวได้ในที่สุด



    “จบสักทีนะนังตัวดี” อีกฝ่ายคำรามออกมา เงื้อมีดเตรียมกะซวกหน้าท้องขาวๆของมาเรีย

    “เจ้าต่างหากละที่จบ” มือขวาของมาเรียไม่อาจทำอะไรได้เพราะสะบัดแส้ออกไปสุดแขนแล้ว แต่มือซ้ายของเธออยู่ในระดับเอวพร้อมกับปืนในมือหนึ่งกระบอก ไบท์เบิกตาโพลงเมื่อเห็นปากประบอกปืนอยู่ไม่ห่างจากหน้าผากเท่าไรนัก





    เปรี้ยง! เสียงดินปืนในปลอกเหล็กถูกจุดชนวนจากเข็มแหลมที่พุ่งเข้ากระแทกตามจังหวะเหนี่ยวไก เผาไหม้ผลักดันกระสุนทองแดงให้พุ่งออกจากปากประบอกปืนด้วยความเร็วสูงสุด ไบท์ถอยกรูดไปด้านหลังยกมือขึ้นปิดแก้มอีกข้าง เลือดไหลลอดออกมาตามหว่างนิ้ว แววตาโกรธบึ้งเต็มที่



    “ของเล่นเยอะนักนะ” น้ำเสียงขุ่นข้อง กัดฟันกรอด

    “ก็แค่นิดหน่อยๆเองนะ” มาเรียยิ้มให้ ยกปืนขึ้นเป่าควันจากปากกระบอก “มาเล่นกันต่อนะคะ” เธอแสยะยิ้มเต็มที่ มือขวาหยิบปืนอีกกระบอกออกมาเตรียมพร้อม







    กุห์ฟานที่ยังดูเชิงกับอากิรอสและเบลลานี่อยู่เหลือบมองดูการต่อสู้ระหว่างสองสาวด้านล่าง อากิได้โอกาสหายตัววูบเข้าประชิดพร้อมแทงขวานเข้าใส่



    เคร้ง!! เสียงของโลหะกระทบกันก่อนที่ปลายแหลมของหอกจะถึงตัวกุห์ฟาน ชายคนหนึ่งเข้ามาขวางทั้งคู่ไว้ ผมสีเทาซีด มีพันใบหน้าครึ่งล่างไว้ ดาบสีดำสองเล่มในมือทแยงรับขวานอยู่



    “ข้าจะแนะนำคู่หูของข้าให้นะ ‘อิซาเรีย ควิน’ แห่งทารัส” กุห์ฟานยิ้มยั่ว อิซาเรียเกร็งขาดันอากิกลับไปข้างหลังพร้อมรุกจู่โจมซ้ายขวาด้วยเพลงดาบสองมืออย่างว่องไว อากิทำได้แค่ปัดป้องเท่านั้น



    “แค่นี้เองเหรอ!? นักเรียนดีเด่นแห่งโรงเรียนเวทมนต์” เขาซัดอากิร่วงจากท้องฟ้าลงกระแทกกับพื้นดินเสียงดังสนั่น



    กุห์ฟานหายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่เข้าประชิดด้านหลังเบลลานี่ ล็อกคอและจับข้อมือของเธอได้อย่างง่ายดาย

    “นี่เราไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” เขากระซิบที่ข้างหูแล้วไซร้หอมซอกคอของเธอ



    “ก็นานพอที่ข้าจะลืมหน้าเจ้าไปแล้วละนะ” เบลลานี่ขยะแขยงแต่ก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้

    “เจ้าจะลืมข้าได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?” อีกฝ่ายสวนกลับทันควัน









    อเซแมกที่ตอนนี้ถูกเวทตรึงไว้ ฝืนตัวขยับเข้าใกล้เทรนทีละนิดจนถึงตัวลูกศิษย์สาวในที่สุด เขากระชากดาบเล่มใหม่ที่เพิ่งตีขึ้น ยัดมันเข้ามือของเธอกุมมือประสานปักดาบลงกับพื้น



    “เทรน! ตั้งสติไว้ จำมนต์บทที่ข้าจะสอนเจ้าให้ดีๆละ” เธอพยายามผงกหน้ารับคำเขา



    “ด้วยจิตวิญญาณพิสุทธิ์ที่สถิต ณ ศาสตราแห่งข้า จงสำแดงพลังของเจ้าออกมาเพื่อฟาดฟันศัตรูแห่งข้า”

    “เวนโต้ แซงติ!” (สายลมศักดิ์สิทธิ์)





    ดาบเงินเปล่งประกายเจิดจ้า สายลมวูบหนึ่งพัดมาล้อมรอบพวกเขาทั้งสองรวมถึงทากะด้วย ทั้งสามหลุดจากเวทพันธนาการของศัตรูทันที อเซแมกกระชากดาบออกจากฝักพุ่งขึ้นไปยังกุห์ฟาน ทากะรุดไปช่วยมาเรีย ส่วนเทรนละล้าละลังก่อนจะวิ่งไปหาอากิที่กำลังโดนกระหน่ำซัดถอยร่น









    คมดาบหนึ่งแหวกตัดอากาศและพื้นดินเป็นทางเข้าขวางมาเรียและไบท์

    “มีอะไรให้ข้าช่วยไหมขอรับ แม่นาง” ทากะก้าวเดินมาจากด้านข้าง มือจับที่ด้ามดาบที่บัดนี้กลับไปอยู่ในฝักแล้ว

    “คงต้องตอบแทนสำหรับเวทผูกมัดหน่อยแล้วละขอรับ” เขาพูดหน้าตาย แต่น้ำเสียงน่ากลัวนัก









    เทรนพุ่งเข้าไปรับดาบของอิเซเรียที่กำลังโหมรุกอากิ ทั้งคู่ปะทะดาบกันแล้วถอยไปตั้งหลัก

    “ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เองนะคะ คุณชายปริศนา” เธอยิ้มก่อนจะพุ่งเข้าหาศัตรู ฟาดดาบใส่อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง









    อเซแมกฟาดดาบเข้าใส่กุห์ฟานที่ยังล็อกคอเบลลานี่จากด้านหน้าตรงๆปะทะเข้ากับกำแพงเวทเต็มๆ

    “ฟาดฟันอย่างไม่ลังเล ไม่กลัวตัวประกันจะเป็นอันตรายเลย ยอดจริงๆ” กุห์ฟานเอ่ยชม แต่แท้จริงแล้วหวังจะป่วนประสาทเขา



    “ถ้าตัวประกันตายพร้อมกับคนชั่วอย่างเจ้า ข้าก็ยินดีนะ” อเซแมกกดดาบเข้าใส่อีกครั้ง อาศัยแรงปะทะดีดตัวกลับไปลอยกลางอากาศดุจนักเวทอย่างที่เบล อากิและกุห์ฟานทำได้





    “โฮ่! ไม่เสียชื่อหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้า แม้กระทั่งวิชาเวทก็ยังใช้ได้”

    “ขอบใจ แต่ข้าหวังจะได้หัวของเจ้าแทนคำชมจอมปลอมนั่นนะ” อเซแมกตั้งท่าดาบเตรียมพร้อมเข้าปะทะ กุห์ฟานชิงหอมแก้มเบลลานี่แล้วปล่อยมือเธอ เบลหันหลังขวับสะบัดมือใส่หมายจะตบหน้าแต่กุห์ฟานก็หลบออกไปไกลแล้ว





    “วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ข้าสนุกพอแล้วละ” เขาดีดนิ้วหนึ่งที ใต้เท้าของอิเซเรียและไบท์พลันเกิดวงเวทเล็กสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกำแพงเวทป้องกันพวกเขาที่กำลังถูกรุมอยู่





    “รอยแผลนี้ ข้าจะกลับมาทวงเจ้าคืนแน่ นังตัวดี!” ไบท์กัดฟันกรอด

    “มาเรีย ซินนาส ชื่อของข้า อย่าลืมซะละคนที่ฝากรอยแผนบนหน้าเจ้า” มาเรียสวนกลับไปแต่ร่างของเธอก็หายไป ทางฝั่งเทรนและอากิก็เช่นกัน อิซาเรียหายไปพร้อมวงเวทแล้ว







    “เจอกันคราวหน้า ข้าหวังว่าจะสนุกกว่าวันนี้นะ ‘ศิษย์พี่’อากิรอส” กุห์ฟานดีดนิ้วอีกครั้งแล้วหายตัวไป





    “โธ่เว้ยยยยยยยยยยยย!” อากิตะโกนลั่น สับขวานลงพื้นเสียงดังสนั่น ทรุดเข่าลงนั่งนิ่งเงียบ เบลลานี่ยืนหลับตาเงยหน้าขึ้นฟ้าอยู่ด้านหลังเขา







    เส้นด้ายที่เคยผูกรั้งและขาดสะบั้นจากกันในอดีต ถูกสายลมแห่งชะตากรรมพัดหวนกลับมาผูกมัดเขาและเธอไว้อีกครั้ง





    To be continue…







    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag -



    ตอนนี้ก็ยาวอีกแล้วครับ เขียนไปมันส์ไปเช่นเคย เลยไม่มั่นใจว่าตกหล่นผิดพลาดตรงไหนไปรึเปล่า

    ติชมแนะนำตามสมควรครับ



    Azemag A.C. McDowell
  2. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...เนื้อเรื่องน่าติดตามเหมือนเดิม มีขมวดปมให้อยากรู้อยากเห็น
    ...โทษนะ...แต่แบบ...

    ...อ่านประโยคนี้แล้วฮาจริงจังเลย กุห์ฟาน 55555555555555555555555555555+
  3. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ไม่แปลกสินะถ้าผมจะอ่านบทนี้ไปแล้วขำไป ฮ่าๆๆ
    ไม่รู้เลยครับ แต่ละคนเป็นใคร กุฟานห์ อิเซเรีย ไบท์ ใครว้า~ ไม่รู้จักว่ะ 5555
    มาเรียออกอาการเกินไปหน่อยไหม =A= ราชินีนะเธ๊อ
    กุฟานห์หื่นนน เหมาะกับไบท์แล้วล่ะ (กร๊ากกก)
    ทากะ ไม่พูดไม่รู้นะว่ามีชีวิตอยู่ด้วย ฮา

    สรุปว่าเป็นบทเอามันส์ ไม่มีคอมเม้นท์อะไรเป็นพิเศษ ชอบมาดอิเซเรีย เท่ดี

    จุดผิดสังเกต

    ผู้หญิงเขาไม่ทักกันด้วยการตบบ่าหรอกนะ - -"(ผู้หญิงห้าวๆอาจจะทำแต่คงไม่ใช่เบล)
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    แต่ละคนชื่อคุ้นๆทั้งนั้น (ก็เล่นโผล่ทั้งสองเรื่องเลยนี่ >_<") กุฟานห์นี่เรื่องโน้นก็บทโหดเรื่องนี้ก็เหี้ยมมาเชียวแฮะ
  5. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้อ่านได้เรื่อยๆสนุกดีค่ะ

    มีบางจุดที่แอบคิดว่าแปลก อย่างอากิบ่นอุบอิบแล้วเกาหัว จากนั้นก็ขึ้นว่าอากิโกรธจัด ความจริงที่บ่นแล้วเกาหัวมันออกแนวเซ็งเล่นๆยังไงมากกว่า

    บรรยายลื่นไหลใช้ได้ดีค่ะ ตอนที่มาเรียสวนกับเทรนแล้วพูด สามคนแยกย้ายกันไปช่วยพวกตัวเองแต่ละกลุ่ม ตอนที่ตัวร้ายแยกกันไปให้อารมณ์การ์ตูนเลยค่ะ ฮา

    ชักอยากรู้เบื้องหลัง รออ่านตอนต่อไปปปปป
  6. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    เม้นท์สาระจะตามมาทีหลังอัพ part2 ของฟิคนั้นเสร็จนะ

    แต่ขอมาบอกก่อนว่า "ฮามากกกกกก"

    สนุกดี มีอะไรให้ชวนติดตามเรื่อย ๆ ไม่คิดว่าจะเดินเรื่องด้วยบุรุษที่ 3 ได้ไม่เลวเลย
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ท่าทางจะฮาจริงจังมากมาย

    เพราะเทรนมันห้าว เบลเลยตบบ่าเทรนเสมือนเธอเป็นผู้ชาย ฮ่าๆๆ


    จะว่าผมสิ้นคิดก้ได้ครับที่คิดตัวละครไม่ออก แต่ฟิคนี้กับอีกฟิคเป็นเหมือนฟิคคู่ขนาดครับ = =b


    ตรงนี้บรรยายพลาดไปหน่อย คือ ตั้งใจจะให้อากิเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการโจมตี แต่จริงๆแล้วโกรธมาก (เพราะมีเบื้องหลังกัน)
    แล้วพออากิลืมตาขึ้นมาก็เหมือนกันแบบว่า บรรยากาศมันเปลี่ยนไปเลย

    สงสัยต้องเขียนบรรยายให้ละเอียดกว่านี้แล้วละ ขอบคุณที่ท้วงติงครับ ^ ^

    เมนต์เกรียนก็รับนะ ถ้ามันฮาก็ดี จะได้เขียนอากิรอสให้ฮากกว่านี้อีก หึหึหึหึหึหึ
  8. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 6



    บรรยากาศยามสนธยาผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบ เหล่านกน้อยใหญ่โผบินรวมฝูงมุ่งหน้ากลับสู่รังรวงของตัวเอง ท้องฟ้าฟากตะวันตกถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ฝั่งตรงกันข้ามกลับมืดมิดลงเป็นสีเทาดำ



    เปลวเพลิงลุกโชนจากกิ่งไม้แห้งที่กองสุมรวมกันเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทั้งยังให้แสงสว่างต่อสู้กับความมืดแห่งค่ำคืนที่กำลังคืบคลานมาช้าๆ เนื้อกระต่ายป่าถูกเสียบไว้ด้วยไม้เหลาแหลมปักอยู่รอบๆ อาศัยพลังความร้อนจากอัคคีธาตุทำให้สุก





    อเซแมก เทรน ทากะ มาเรีย อากิรอสและเบลลานี่ ต่างนิ่งเงียบมองดูเพลิงไฟเผาลามเลียไม้ฟืน ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไม่มีใครเอ่ยวาจาใดๆออกมาเป็นเวลานานแล้ว







    “โอ๊ย! จะเงียบกันไปถึงไหนเนี่ย พวกเจ้าเป็นใบ้ไปหมดแล้วรึไงกัน!” มาเรียทนไม่ได้กับสภาพที่ชวนอึดอัด ระเบิดเสียงดังลั่นพร้อมลุกขึ้นยืนมองทุกคนที่ยังไม่เปลี่ยนอิริยาบถใดๆ ยิ่งเห็นอากิรอสทำหน้าซังกะตายราวกับไม่มีชีวิตยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นไปอีก ยกขาขวาขึ้นสูงเหยียบต้นคอจากด้านหลัง อากิรอสหน้าคะมำทิ่มพื้นตามแรงถีบ



    “จะมัวซึมไปไหนกัน หา! ปกติเจ้าเป็นคนพูดมากไม่ใช่เหรอ!? ข้ายังมีเรื่องต้องถามเจ้าเกี่ยวกับเจ้าพวกนั้นอีกเยอะ ถ้าไม่คิดจะอ้าปากละก็ ข้าจะทำให้เจ้าอ้าปากเอง”



    “เฮ้!” เทรนร้องขัดขึ้นที่เห็นมาเรียทำแบบนั้น ทากะที่นั่งอยู่ใกล้ๆจับบ่าของเธอเป็นเชิงห้ามพร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่ควรเข้าไปขัดตอนนี้ อากิรอสยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆแม้ใบหน้าจะยังแนบสนิทกับพื้นดินด้วยแรงขาของมาเรียก็ตาม



    “โอ๊ย! น่าเบื่อเสียจริง หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายแทนที่จะมัวทำตัวแห้งเหี่ยวแบบนี้ละก็ สู้ตายไปตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายยังจะดีกว่าซะอีก” เธอเลิกตอแยกับอากิรอส ดึงไม้เสียบเนื้อกระต่ายย่างกลับไปนั่งพิงต้นไม้กินอย่างหงุดหงิด



    “อย่าโทษอากิเลย” เบลเอ่ยพูดเสียงเบาๆ “ข้าจะเล่าให้ฟังเอง”







    “คนที่ปรากฏตัววันนี้เป็นรุ่นน้องของพวกข้าที่โรงเรียนเวทมนต์ ชื่อ ‘กุห์ฟาน รีส รียาส’ เขาถูกกล่าวขานว่าเป็นนักเวทอัจฉริยะในรอบหลายร้อยปีของอาณาจักร” เบลหยุดและถอนหายใจเมื่อเล่าถึงตรงนี้



    “พวกข้าสามคนเคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน แม้จะถูกคนอื่นยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะแต่เขากลับนับถืออากิเป็นดั่งอาจารย์ของเขา ข้ากับเขาเคยคบหากันในฐานะคนรักอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่ง...” เสียงเธอเงียบหายไปในลำคอ





    “เจ้านั่นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน” เสียงของอากิดังขึ้น เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง ปัดดินออกจากผมและใบหน้าแต่ดวงตายังถูกซ่อนอยู่หลังเปลือกตา ไม่อาจรู้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นใด



    “ห้าปีก่อน... กุห์ฟานอาละวาดอย่างบ้าคลั่งเข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย สุดท้ายแล้วเขาก็หนีออกจากอาณาจักร ทิ้งไว้เพียงโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจลืมเลือนได้” อากิรอสกำสองหมัดแน่นจนสั่น



    “สาเหตุหนึ่งที่พวกเราออกเดินทางก็เพื่อจะสืบข่าวคราวของเขา” เบลบอกกับทุกคน น้ำเสียงเกือบจะกลับมาเป็นปกติ



    “ตอนนี้เราก็คงทำอะไรกับพวกเขาไม่ได้ จุดมุ่งหมายของเรามีเพียงรีบไปหาดอกไม้รุ้งสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น” อเซแมกกล่าว

    “แต่ถ้าเป้าหมายของพวกนั้นคือการแย่งชิงดอกไม้วิเศษละ อาจารย์?” เทรนถามขึ้นมา





    “ข้าจะหยุดเจ้านั่นเอง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

    “ข้าไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้กุห์ฟานเปลี่ยนไป แต่ถ้าหากคิดจะขัดขวางข้าละก็ ข้าจะทำให้มันสำนึกเสียใจเอง” อากิรอสลืมตาขึ้น แววตาแฝงด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแม้จะเจือปนด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็ตาม



    “สู้เขายังไม่ได้แล้วเจ้าจะเอาอะไรไปหยุดมันละ” มาเรียถาม โยนไม้เสียบลงในกองไฟ



    “ก็คงจะใช่ที่ตอนนี้ข้ายังสู้กุห์ฟานไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง” อากิรอสบอกแล้วเอื้อมมือดึงไม้เสียบเนื้อกระต่ายตรงหน้าขึ้นกินเงียบๆ คงมีเพียงเบลลานี่ที่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด มาเรียไม่เอ่ยถามใดๆอีกนั่งหลับตาพิงต้นไม้อยู่เงียบๆ







    ลมหนาวกลางดึกพัดเข้าปะทะจนเปลวไฟโยกไหว อากิ เบลและมาเรียอาศัยผ้าคลุมกำบังกายไล่ความหนาวเหน็บนอนหลับอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ เทรนกำลังลิดกิ่งไม้ทำฟืนเพิ่มเติม ส่วนอาจารย์ของเขาและนักดาบดินแดนมายาอยู่เฝ้าเวรด้านนอก



    “เรื่องราวดูจะซับซ้อนนะขอรับ” ทากะชวนคุย



    “ข้าก็ไม่ได้คิดว่าการเดินทางจะราบลื่นนักหรอกนะ เพียงแต่ว่า...” เขาหยุดประโยคไว้แค่นั้น แต่สายตาของทากะที่กำลังจ้องมาทำให้เขาต้องพูดต่อ “ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่า พวกเขามุ่งเป้ามาที่พวกเราแน่นอน”



    “ข้าน้อยไม่อยากจะเชื่อลางสังหรณ์ของท่านเท่าไรหรอกขอรับ คงจะดีหากครั้งนี้ท่านสังหรณ์ผิดไปเอง”



    “ข้าก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ” อเซแมกเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวบนท้องฟ้าอย่างไร้ความหมาย “พวกเรายังห่างไกลจากเป้าหมายมากนัก วันข้างหน้าจะเจออะไรอีกบ้างก็ไม่รู้ ข้าหวังเพียงแต่ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จโดยเร็วเท่านั้น”



    “หากเป็นเช่นนั้น ท่านคงต้องเหนื่อยหน่อยละนะ” เสียงของเบลลานี่ดังขึ้นจากด้านหลัง “ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มั่นใจในตัวเองอย่างท่านจะรู้สึกกังวลเช่นนี้ได้”



    “มีใครบ้างละที่ไม่กังวลต่ออนาคตที่ไม่อาจรู้ได้ ข้าไม่ใช่เทพยากรณ์ที่ล่วงรู้ทุกอย่างหรอกนะ”

    “ข้าหลงนึกว่าคนรอบรู้เช่นท่านจะรู้วิชาทำนายทายทักกับเขาบ้าง” เธอเดินมายืนข้างๆเขา ทั้งสามเรียงยืนหน้ากระดานมองลึกไปยังแนวป่าที่มืดมิด เสียงแมลงใหญ่น้อยประสานเสียงบรรเลงบทเพลงแห่งพงไพรขับกล่อมให้ผู้คนที่ได้ฟังหลับใหล



    “ถ้าข้าล่วงรู้ทุกอย่างก็คงจะดีไม่น้อย น่าเสียดายที่ทำให้เจ้าผิดหวัง” อเซแมกตอบเธอ



    “แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อละขอรับ” ทากะถามขึ้น



    “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก มุ่งหน้าสู่ตะวันตกแล้วก็ปีนเขาขึ้นเหนือไปจนสุด เก็บดอกไม้วิเศษแล้วกลับก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเจอตัวประหลาด ปีศาจ หรือว่าใครขวางทาง ข้าก็จะพิชิตมันลงด้วยดาบของข้านี่แหละ” ทากะผู้ถามพยักหน้ากับคำตอบของเขา เบลลานี่ยิ้มขึ้นเล็กๆก่อนจะหันหลังกลับไปพักผ่อนข้างกายคู่หูที่บัดนี้นอนหลับไม่รับรู้เรื่องราวใดๆรอบตัว







    รุ่งเช้าหวนคืนพร้อมกับค่ำคืนที่หายไป วัฏจักรของธรรมชาติหมุนวนเฉกเช่นนี้เป็นเวลานับตั้งแต่ทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้นและจะดำรงอยู่ต่อไปตราบจนวันสุดท้ายแห่งสรรพสิ่งทั้งมวล ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยกฎแห่งธรรมชาติคือความสมดุล





    ผู้กล้าทั้งห้าและคนนำทางอีกหนึ่งที่รับอาสาจักรพรรดิชิลโซลิธีออกตามหาดอกไม้วิเศษในตำนานกำลังวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวไปสู่ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่าแดนเถื่อน แม้ว่าพวกเขาจะต้องอาศัยเท้าเปล่าสองข้างเป็นพาหนะเดินทางก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยใดๆ





    “ถ้าพวกเจ้าเร่งฝีเท้าอีกนิด อีกไม่ไกลนักมีหมู่บ้านเล็กๆให้แวะพักคืนนี้ได้นะ” มาเรียที่วิ่งนำหน้าทุกคนหันมาบอก

    “ไม่ละ ต่อไปนี้พวกเราจะไม่แวะพักที่หมู่บ้านไหนอีก ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านต้องรับเคราะห์หากกุห์ฟานคิดจะโจมตีพวกเราอีก” อเซแมกบอก



    “นอนกลางดินกินกลางป่ากันเหมือนเดิมสินะ” มาเรียถามพลางถอนหายใจ “ข้าอยากอาบน้ำอุ่นๆ นอนเตียงนุ่มๆบ้างนะ”

    “ช่วยไม่ได้นี่นา ข้าเองก็ไม่อยากให้คนบริสุทธิ์มาพัวพันกับการต่อสู้เท่าไรหรอก” เทรนตอบ



    “ไม่ถึงกับตัดขาดหรอก เพราะยังไงเราก็ต้องแวะหาข่าวสารและซื้อของที่จำเป็นบ้าง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็หลีกเลี่ยงจะดีกว่า” อเซแมกสรุป

    “เข้าใจละ” มาเรียถอนหายใจหนักๆอีกครั้ง “งั้นก็ไม่ต้องรีบแล้วละ ยังไงๆคืนนี้ก็เหมือนเดิมนี่นะ”



    ทั้งหมดวิ่งรุดหน้าไปยังดวงอาทิตย์ที่บัดนี้โคจรลอยต่ำใกล้จะแตะขอบฟ้าเต็มที







    วันและคืนเปลี่ยนผ่านตามการหมุนของโลก พระอาทิตย์ผลัดมือกับพระจันทร์ทำงานคนละครึ่งเวลา จนล่วงผ่านไปสิบวันจากวันแรกที่กลุ่มของผู้กล้าถูกกุห์ฟานเข้าโจมตี พวกเขารุดมาจนถึงเขตแดนสุดท้ายที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอาศัยอยู่ หากเลยจากหมู่บ้านนี้ไปแล้วก็จะถึงเขตทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนได้ชื่อว่า ‘ลาทิทูโด’ อันแปลความได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล





    “เย็นนี้ข้าขอแวะที่หมู่บ้านข้างหน้าได้ไหม? ข้ามีของที่จำเป็นต้องซื้อ” มาเรียถามทุกคนเมื่อเดินทางมาจนมองเห็นหอคอยกลางหมู่บ้านได้ไกลๆ

    “หากเจ้าต้องการซื้อของก็แวะเถอะ ข้าเองก็อยากหาข่าวสารเหมือนกัน” อเซแมกตอบ





    อากิรอสและเบลลานี่ขออาสาไปสำรวจดูภายในหมู่บ้านดูก่อน หากว่าชาวบ้านถูกควบคุมไว้พวกเขาจะได้รับมือและแจ้งให้ทุกคนรู้ได้ทัน ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงทั้งสองจึงออกมาแจ้งว่าหมู่บ้านปลอดภัย พวกเขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังเวทใดๆในหมู่บ้าน ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดประจำหมู่บ้าน



    “นี่ เจ้าไปกับข้าได้ไหม ทากะ” มาเรียเอ่ยถาม แต่ทากะไม่ได้สนใจฟัง



    “ข้าถามว่าเจ้าจะไปกับข้าได้ไหม” มาเรียตบผัวะลงที่บ่าของเขาแล้วยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มสยดสยองมากกว่า

    “มีอะไรขอรับ” ทากะหันมาตอบแบบงงๆชวนให้มาเรียหงุดหงิดยิ่งนัก สุดท้ายเธอก็ลากเขาไปโดยไม่รอคำตอบ



    ส่วนสมาชิกอีกสี่คนที่เหลือเดินดูรอบๆตลาดพลางซื้อของไว้ใช้สำหรับการเดินทางข้างหน้า อเซแมกเดินเข้าร้านขายอุปกรณ์และไอเทมเวทมนต์เพื่อหาดูของที่จำเป็น เทรน อากิและเบลเดินตามเข้าไปด้วย





    “อ้าว! ไม่ได้เห็นนักเดินทางจากฝั่งตะวันออกนานเท่าไรแล้วนะ” เจ้าของร้านวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านทักทายทุกคน “เชิญตามสบายเลย อยากได้อันไหนหยิบๆเอาเลยนะ”



    อเซแมกเลือกดูหินเวทมนต์สีต่างๆบนชั้นวาง ส่วนอากิและเบลสนใจเกราะต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นจากโลหะเวทมนต์ ทางด้านมาเรียและทากะตอนนี้อยู่ที่ร้านขายอาวุธ เธอกำลังเลือกซื้อกระสุนปืนอยู่ ทากะยืนพิงประตูเหม่อลอยไม่สนใจสิ่งใดจนมาเรียมาสะกิดเขา



    “เอาเงินมาหน่อยซิ ข้าจะไปจ่ายค่ากระสุน” มาเรียแบมือกว้าง

    “เงิน? เงินของข้าน้อยหรือขอรับ” ทากะถามแบบงงๆ

    “ยังจะมีใครอีกกันละ เจ้านี่มันชวนโมโหจริงๆเลย” มาเรียยื่นมือเข้าไปใกล้เขาอีก



    ทากะส่งถุงเงินให้เธออย่างว่าง่าย มาเรียเดินไปจ่ายเงินเสร็จก็หย่อนถุงเงินคืนให้เขาแล้วเดินผิวปากออกจากร้านอย่างสบายใจ ทากะเดินตามเธอออกไปโดยไม่เอะใจเลยว่าเงินในถุงได้หายไปหมดแล้วมีเพียงกระสุนปืนใส่ไว้เต็มเท่านั้น





    หลังจากที่ทุกคนกลับมารวมตัวกัน ณ จุดนัดหมายแล้ว ทั้งหมดมุ่งหน้าออกเดินทางต่อทันที



    “อาจารย์ ทำไมท่านไม่ซื้อม้าจากหมู่บ้านนี้ละ ข้าได้ยินว่าเขามีขายที่ด้านท้ายหมู่บ้านนะ” เทรนถาม

    “นี่! ยัยหนู ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะไม่รู้ว่าคนแถบนี้เขาไม่ใช้ม้าเดินทางข้ามลาทิทูโด เพราะสภาพที่นั่นเป็นดินชุ่มน้ำซ้ำบางจุดเป็นแอ่งลึก ม้าผ่านไปไม่ได้หรอก” มาเรียอธิบาย เทรนพยักหน้าเข้าใจ



    “งั้นคืนนี้พวกเราแวะค้างที่ชายป่าก่อนเข้าทุ่งหญ้าก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะได้เดินทางแต่เช้าตรู่เลย” เบลลานี่แนะนำ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย







    ทากะส่งสัญญาณว่ามีกลุ่มคนติดตามพวกเขาอยู่ซึ่งทุกคนก็รับรู้ได้อยู่แต่แรกแล้วแต่ทำเฉยไว้ เมื่อผ่านแนวชายป่าออกสู่ลานกว้างก่อนจะถึงแนวป่าถัดไป ทั้งหกคนหยุดวิ่งทันทีและล้อมวงประชิดหันหลังชนกันเตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมจากผู้ที่ติดตามมา





    ลูกธนูจำนวนมากถูกดีดจากเชือกที่รั้งอยู่กับคันศรพุ่งแหวกอากาศมายังพวกเขา แต่ทั้งหมดนั้นถูกเผาไหม้กลางอากาศกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีที่เบลสะบัดมือเข้าหา อากิรอสยกมือขึ้นแนบอกพร้อมร่ายเวทอย่างแผ่วเบาแต่มีจังหวะ พื้นดินลอยตัวขึ้นและรวมกันเป็นศรดินพุ่งย้อนคืนกลับไปยังทิศทางที่ผู้มุ่งร้ายจู่โจมมา เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร่างคนหล่นกระแทกพื้น



    เมื่อเห็นว่าการจู่โจมระยะไกลไม่เป็นผลกลุ่มคนลึกลับจึงแสดงตัวออกมา พวกเขาแต่งกายด้วยชุดดำทั้งตัว ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากยักษ์สีดำสนิท อาวุธนานาประเภทอยู่ในมือพร้อมสรรพทั้งดาบสั้นยาวขวานเล็กใหญ่หอกแหลนมากมายเข้าล้อมกลุ่มของอเซแมกไว้ราวๆร้อยคน





    “วางอาวุธและสิ่งของมีค่าไว้แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า มิฉะนั้น!” ชายที่เป็นหัวหน้าสั่งการจากด้านหลัง บรรดาลูกน้องกระชับอาวุธตั้งท่าเตรียมพร้อมทันที ดูจากท่าทางแล้วพวกเขาคงเป็นกองโจรที่คอยดักปล้นนักเดินทางที่ผ่านมายังละแวกนี้



    “ใช้มุกอื่นไม่เป็นเหรอเนี่ย” เทรนถอนหายใจส่ายหน้า

    “อย่าประมาทนะ” อเซแมกเตือนเธอ เทรนพยักหน้าตอบ





    เมื่อคำขู่ไม่ได้ผลการต่อสู้จึงบังเกิด กลุ่มโจรแบ่งกันโจมตีพวกเขาจากรอบทิศ พวกที่ถือดาบและขวานเข้าปะทะประชิดตามด้วยการโจมตีของหอกจากด้านหลังเป็นระลอกที่สอง การโจมตีประสานของพวกเขาทำให้ทุกคนต้องรับมืออย่างต่อเนื่องจนไม่มีโอกาสได้โจมตีกลับ เมื่อเห็นว่าฝั่งตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ หัวหน้ากองโจรยกมือเป็นสัญญาณให้กลุ่มที่สองตามเข้าโจมตีซ้ำ





    ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว บรรดาโจรที่รุกเข้าไปโจมตีกระเด็นลอยละลิ่วราวกับถูกจับเหวี่ยง

    “ปล่อยให้บุกเข้ามาไม่ได้หมายความว่าจะสู้พวกเจ้าไม่ได้หรอกนะ!” เทรนตะโกนเสียงกร้าวกลับไป





    อากิรอสและเบลลานี่ยืนหลังประชิดแก่กันต่างยกมือขึ้นประสานและร่ายเวทอย่างต่อเนื่อง พลันพื้นดินที่พวกโจรเหยียบอยู่ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆด้วยอำนาจแห่งมนตรา อเซแมกฉวยโอกาสรุกหน้าเข้าฟาดฟันโจรที่เสียหลักและตื่นตระหนกทางขวา ทากะพุ่งไปจัดการกลุ่มด้านซ้าย ส่วนมาเรียสะบัดแส้ฟาดใส่พวกโจรที่อยู่ใกล้อย่างเมามันตามเคย



    กองกำลังกว่าร้อยสูญสลายไปในพริบตาดุจดั่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมกวาดเอาทุกสิ่งอย่างราบเป็นหน้ากลอง





    “นี่ นี่มันอะไรกัน” หัวหน้าโจรร้องเสียงตื่นตระหนก ไม่อยากเชื่อภาพที่ลูกน้องของตัวเองถูกกำราบลงอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของคนเพียงหกเท่านั้น



    มาเรียสะบัดแส้ไปพันคอของเขาแล้วกระชากเข้าหา ร่างนั้นไถลกระแทกกับพื้นมานอนราบแทบเท้าของเธอ



    “วอนหาที่ตายซะแล้วไหมละ!?” มาเรียพูดขู่แต่ยิ้มหน้าตายให้ ชักปืนสองกระบอกออกมาควงเล่น



    “เจ้า! รึว่า ‘ปืนคู่พิฆาตแห่งเวสเปรา มาเรีย ซินนาส’!!”

    “อ้าว! นี่รู้จักข้าด้วยเหรอ น่ายินดีจังนะ” มาเรียยิ้มแย้มจ่อปืนเข้าที่กลางหน้าผาก ขึ้นนกสับพร้อมรอแค่เหนี่ยวไกเท่านั้น อีกฝั่งที่ถูกปืนไฟมรณะจ่อแสกหน้าตัวสั่นเป็นลูกนก แววตาเลิกลักลนลานส่ายไหว เหงื่อพรายผุดขึ้นเต็มหน้า สิ้นคราบโจรร้ายในทันที



    “จะฆ่าเจ้ามันก็ไม่คุ้มค่าลูกปืนหรอกนะ วันนี้ข้าอารมณ์ดีจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่ถ้าบังอาจเสนอหน้าเหม็นๆของเจ้ามาให้ข้าเห็นอีกครั้งละก็ อย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ” พูดจบก็ควงปืนกลับเข้าซองเดินตัวปลิวไปค้นหาของมีค่าตามร่างที่นอนเกลื่อนกลาด



    อากิรอสร่ายเวทขึ้นบทหนึ่ง พื้นดินรอบๆตัวพวกโจรยุบตัวลงไปเป็นโพรงแล้วบีบกลับเหลือเพียงร่างครึ่งท่อนบนโผล่พ้นพื้นดินเหมือนกับถูกจับปักไว้





    “เฮ้! ข้ายังหาของไม่เสร็จเลยนะ” มาเรียโวยวาย

    “ขืนรอเจ้ากวาดเงินพวกมันหมดก็คงเช้าพอดีนั่นแหละ” อากิสวนไป เทรนหัวเราะออกมาเสียงดัง





    หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งหกชีวิตเดินทางมุ่งหน้าผ่านป่าโปร่งออกมาจนถึงแนวทุ่งหญ้า กลิ่นดินโชยมาปะทะจมูกเป็นระยะ ดอกหญ้าสีเหลืองบ้างขาวบ้างปลิวลอยตามลม เบื้องหน้าเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีทอดยาวไกลสุดสายตา





    “เอ้า คืนนี้เราจะนอนกันตรงนี้แหละนะ” อากิบอก

    “คืนนี้ข้าน้อยกับอากิเป็นเวรเฝ้าสินะขอรับ” ทากะหันมาถาม ทุกคนพยักหน้า

    “ฝากด้วยละกันนะ คืนนี้ข้าขอนอนให้เต็มอิ่มหน่อยละ” มาเรียยืดมือขึ้นบิดตัวไปมาแก้เมื่อย





    ทั้งหกยืนมองห้วงสุดท้ายของวันที่กำลังจะหายไปพร้อมกับพระอาทิตย์





    To be continue…





    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag –



    ตอนนี้ขอสั้นๆกระชับๆหน่อยละครับ เดี๋ยวตอนต่อไปจะไม่มีอะไรให้เขียน (ฮา)

    ติดตามการเดินทางของพวกเขาต่อไปนะครับ ยังมีเรื่องราวอีกมากรออยู่



    ติชมได้เต็มที่ครับ



    Azemag A.C. McDowell
  9. ReficuL

    ReficuL New Member

    EXP:
    53
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    พออ่านจบตอนหก ก็มีประโยคนึงปิ๊งขึ้นมาเลยทีเดียว "เอ๊ะจบตอนแล้วเหรอ"

    เพลินมาเลยเฮียสงสารทากะ ดูท่าจะตกเป็นเหยื่อของมาเรียไปซะงั้น

    คอมเม้น ตอนห้า ทากะเท่ที่ซู้ดดดด ชอบตอนที่บอกว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย เท่มั่กๆ

    ทุกคนมี BG กันหมดแลดู คงยาวทีเดียวกว่าจะไขปมครบ แล้วยังการผจญภัยอีก

    น่าติดตาม น่าติดตาม สู้ๆ นะเฮียยย รอตอนเจ็ด! :penhappy:
  10. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนนี้ยังไม่อิ่มเลย T-T

    ปล. ว่าแต่ฉากที่กำลังย่างเนื้อกระต่ายนี่คำ "อัคคีธาตุ" มันดูเด่นขึ้นมาแปลกๆจนดูสะดุด ถ้าเปลี่ยนไปใช้คำที่โทนเดียวกันน่าจะอ่านลื่นกว่านี้นะฮะ
  11. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    เฮ้ยไรฟระ! รีบจบไปไหน *ตบโต๊ะปัง*

    บรรยากาศรอบกองไฟสุดยอดจริงๆ นี่สิฟิคแฟนตาซี-ผจญภัยของแท้!
    คำพูดของอาเซแม็กดูจะแฝงนัยมันซะทุกอย่าง ทากะดูทื่อๆ แต่ขอโทษ เป็นตัวละครที่เท่ที่สุดในหมู่เลยครับ (ชวนให้คิดถึงคาตาคุระ โคจูโร่ ขึ้นมาแปลกๆ)
    อดีตของกุห์ฟานถูกเล่าสั้นๆแต่กลับลึกล้ำเกินคาด รอบนี้ good job มาก อาเซ
    จากนี้ไปจะเจออะไรอีก อยากอ่านต่อครับ

    ปล. อัคคีธาตโดดขึ้นมาจริงๆ ใช้ กองไฟ น่าจะดีกว่านะ
  12. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้อ่านเพลินดีค่ะ บรรยากาศรอบกองไฟกับการพูดคุยกันให้ความรู้สึกถึงแนวแฟนตาซีดี(ฮา)

    ที่ติงมีแค่เล็กน้อยค่ะ เช่นตอน “ข้าจะหยุดเจ้านั่นเอง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ก่อนหน้านี้คนที่พูดถึงล่าสุด(ผู้ชาย)คือตัวอเซแมก ทำให้เกือบสับสนเล็กน้อยว่าไม่ใช่อากิพูดซะอย่างนั้น

    แล้วก็เหมือนที่สองเรพบนกล่าว คำว่าอัคคีธาตุมันเด่นมากเลยค่ะ

    ด้านตัวละคร ทากะซื่อจัง ฮ่าๆ น่ารักและเท่ห์ไปอีกแบบดี อเซแมกให้อารมณ์เป็นผู้ใหญ่มีนัย ตอนนี้อากิก็ได้เผยด้านตอนซึมและความเป็นคนมุ่งมั่นในบางอย่างด้วย

    ตอนจบนั้นจบแบบให้อารมณ์ว่ามันกำลังจะมีอะไรในตอนต่อไป....ติดตามรออ่านค่ะ :penhappy:
  13. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    อ่าน 4 ตอนรวดๆ

    สนุก สนุก สนุก และ สนุก

    แต่ดูมาเรียนี่ S ใช้ได้เลยนะเนี่ย สงสารทากะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
  14. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ฮ่าๆ บอกแล้วว่าขอสั้นๆ

    ส่วน มาเรีย x ทากะ นั้น คนเขียนก็ no comment ครับ (ฮา)



    น้อมรับความผิดพลาดครับ ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะ


    สั้นก็โดนตบโต๊ะ ยาวก็โดนตบโต๊ะ
    /me สลด



    พยายามทำให้ตัวละครมีเอกลักษณ์ต่างๆกันไปครับ จะได้ดูหลากหลายไม่ทับซ้อนกัน
    ขอบคุณมากครับ



    ถ้ามันสนุกผมก็ดีใจนะ ขอบคุณครับ

    มาเรียก็แค่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้นเอ๊ง!! (จริงๆนะ)
  15. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 7



    แม้ในเวลาค่ำคืนผืนแผ่นดินจะถูกความมืดเข้าปกคลุม แต่แสงสีเหลืองนวลที่เปล่งประกายเหนือยอดหอคอยใจกลางนครชิลโซลิธีนั้นส่องสว่างดุจดั่งแสงสวรรค์ที่โอบกอดชาวเมืองแห่งนี้ให้อุ่นใจนอนหลับได้โดยปราศจากความหวาดกลัว เหล่าทหารในชุดเกราะเหล็กยืนรักษาความปลอดภัย ณ ประตูเมืองอย่างแข็งขัน อีกส่วนอาศัยดวงไฟจากคบเพลิงเป็นแสงสว่างนำทางเดินลาดตระเวนวนรอบเมือง





    ทว่าในเวลาค่ำคืนที่ผู้คนต่างนอนหลับพักผ่อนเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน บุรุษผู้หนึ่งยังคงฝึกซ้อมเพลงยุทธ์โดยไม่สนใจต่อความเหนื่อยล้า



    เฟท ฟาน เลวานธีน แม่ทัพลำดับที่สองของกองทัพชิลโซลิธีอันเกริกเกียรติเกรียงไกรสะบัดพลองเหล็กยาวเข้าปะทะกับหุ่นจำลองศัตรูนับร้อยที่ตั้งเรียงรายตรงหน้าอย่างแข็งขัน ดุดัน ต่อเนื่องและรวดเร็ว เสื้อเปียกชุ่มโชกด้วยหยาดเหงื่อ กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งตึง แต่แววตาเปล่งประกายอาจหาญสมกับเป็นยอดนักรบ





    “ข้าไม่ได้เห็นท่านจับพลองฝึกซ้อมนานเท่าใดแล้วนะ”

    เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากเงามืดด้านหลัง แต่ก็มิอาจทำให้เขาหยุดมือยั้งกระบวนท่าได้





    “ท่านกำลังกังวลอยู่รึ!?”



    ทันทีที่คำถามนี้สิ้นสุดลง เขาหยุดกึกราวกับถูกรั้งไว้ด้วยโซ่ตรวน ก่อนจะหมุนตัวกลับฟาดศาสตราในมือใส่หุ่นนับสิบตัวสุดแรงจนพวกมันล้มกระเด็นไปในพริบตาเดียว เมื่อพลองเหล็กปะทะกับหุ่นตัวสุดท้ายจนกระเด็นหายไปจากสายตา เขาดีดตัวกระโดดตีลังกาฟาดท่อนเหล็กแข็งยาวใส่ร่างของสตรีผู้เอ่ยคำสบประมาท พลองเหล็กหยุดอยู่ตรงหน้าชี้เข้าหาหน้าผากของเธอในระยะไม่กี่เซนติเมตร เส้นผมที่ปรกหน้าผากกระเพื่อมตามแรงลม





    “เป็นเกียรตินักที่ได้เห็นกระบวนท่าพิฆาตชัดเจนเช่นนี้” เธอใช้หลังมือปัดพลองให้ออกห่าง เดินพ้นจากเงาของอาคาร ผมพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเท้า ผิวขาวเนียนละเอียดเห็นได้เด่นชัดเมื่อต้องแสงจันทร์ ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว สร้อยคออัศวินประดับด้วยมรกตเม็ดงามบ่งบอกฐานันดรว่าเธอเป็นหนึ่งในแม่ทัพทั้งสิบสอง





    “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ‘เอเมอรัล เรย์’” เฟทถามเสียงด้วยแข็งกร้าว แต่เธอกลับเผยยิ้มที่มุมปากเพราะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไร



    “ข้าก็แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น บังเอิญได้ยินเสียงพลองของคนนอนไม่หลับเหมือนกันดึงดูดให้มาที่นี่” เธอตอบพลางเดินผ่านเขาไปยังหุ่นไม้พันเชือกเกลียวใหญ่จำลองรูปคนที่ถูกฟาดล้มระเนระนาด





    “ฟาดเข้าจุดตายที่คออย่างแม่นยำ ซ้ำยังรุนแรงจนพลังทำลายกระแทกเนื้อไม้ให้แตกได้ด้วย สมแล้วถูกเรียกขานว่า ‘หอกเทพ’” เธอเอ่ยชมเมื่อได้เห็นร่องรอยจากหุ่นเบื้องหน้า เชือกชุบน้ำมันเหนียวแข็งขาดกระจุยเผยให้เห็นเนื้อไม้บิ่นแตกด้านใน



    “ยังไงเสียก็สู้เพลงธนูที่เป็นหนึ่งในท้องนภาของเจ้าไม่ได้หรอก ‘เรย์ เรฟิคูล’ แม่ทัพมรกตแห่งหน่วยศาตราคันศร”





    “อย่ากลบเกลื่อนไปหน่อยเลย” เธอตอบกลับ

    “หากไม่เพราะท่านได้รับข่าวว่า’พวกเขา’ถูกโจมตีตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทาง ไหนเลยจะหยิบพลองออกมาซ้อมทั้งคืนเช่นนี้” พวกเขาที่เธอเอ่ยถึงย่อมหมายถึงกลุ่มของอเซแมกที่ออกเดินทางตามหาดอกไม้วิเศษและถูกโจมตีจากจอมเวทปริศนา ‘กุห์ฟาน’



    เฟทมองไปยังแม่ทัพหญิงผู้ล่วงรู้ความในใจของเขา





    “ข้าชักอยากจะพบชายที่ทำให้ท่านต้องเป็นกังวลเช่นนี้แล้วสิ แถมยังเป็นหลานชายของยอดบุรุษอย่างเหยี่ยวสายฟ้าอีกด้วย” เธอยิ้มอ่อนหวาน แต่ดวงตาเปล่งประกายต่อสู้เต็มที่



    “เจ้าจะสมหวังในเวลาที่พวกเขากลับมา”

    เฟทเดินไปหยิบผ้าคลุมจากม้านั่งขึ้นพาดบ่าแล้วเดินไปที่ประตูจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก เรย์หันหลังมองตามเขาจนหายลับไปกับความมืดของประตู รอยยิ้มปรากฏขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะเบาๆในที่สุด









    ณ ชายป่าริมแนวทุ่งหญ้าลาทิทูโด กลุ่มผู้กล้าหยุดพักเอาแรงเพื่อเตรีมพร้อมออกเดินทางข้ามผืนดินเขียวขจีในวันรุ่งขึ้น พวกเขาล้อมวงรอบกองไฟกินเนื้อกวางหวานชุ่มนุ่มลิ้น ปรุงรสโรยเกลือเหยาะพริกไทยจากมือของจอมเวทสาวสวยอย่างเบลลานี่





    “ไม่นึกว่านอกจากท่านจะเป็นนักเวทระดับแนวหน้าแล้ว ยังเป็นแม่ครัวชั้นยอดด้วยเหมือนกันนะ” เทรนเอ่ยชมเมื่อเธอกัดเนื้อกวางร้อนๆหอมฉุยเข้าปาก เบลยิ้มกว้างแทนคำขอบคุณ



    จะด้วยความหิว ความอร่อย ความรีบร้อนหรือทั้งหมดรวมกัน เนื้อกวางชิ้นใหญ่จึงติดคอของนักดาบสาวจนหน้าดำหน้าเขียว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ร้อนถึงผู้เป็นอาจารย์ต้องใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ากลางหลังผัวะใหญ่





    “รอดตายจากพวกโจรกระจอกได้แต่ต้องมาตายเพราะเนื้อกวางติดคอเนี่ย ข้าว่ามันทุเรศไปหน่อยนะ” มาเรียเอ่ยปากแซวตามประสาคนอย่างเธอ ทุกคนหัวเราะเสียงดังแม้แต่ทากะยังอมยิ้มให้เห็นอย่างชัดเจน



    “เจ้านี่ทำให้ข้าต้องขายหน้าจริงๆ ยัยตัวแสบ” อเซแมกพูดกึ่งแซวลูกศิษย์สาวจอมห้าวพลางหยิบกระบอกน้ำส่งให้ เธอรับไปดื่มอึกใหญ่



    “ก็มันอร่อยนี่นา” เธอตอบเสียงอ่อยๆอย่างอายๆ เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนได้อีกครั้ง







    หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆหลายครั้งร่วมกันมา พวกเขาจึงกล้าพูดคุยและซักถามถึงการเดินทางของแต่ละคนก่อนจะมาพบกัน เรื่องราวมากมายถูกเล่าขานออกจากปาก บางช่วงก็จริงจัง บางครั้งก็เฮฮา ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอย่างออกอรรถรส อากิรอสล้วงมือไปหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าที่วางอยู่ด้านหลังแล้วโยนให้ทากะ





    “นี่อะไรหรือขอรับ” ทากะหยิบขวดเซรามิคสีดำทึบปิดด้วยจุกก๊อกไม้ขึ้นมาถาม อากิรอสยิ้มกริ่มแล้วโยนอีกขวดให้เทรน ส่วนอีกขวดให้มาเรีย



    “เหล้าไงละ สหาย” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “สร้างความครึกครื้นกันหน่อย คิดซะว่าฉลองการเดินทางที่ผ่านมาก็แล้วกัน”



    “มิน่าละ ที่หายไปท้ายตลาดมาก็เพราะไปเดินหาเหล้ามานี่เอง” เบลส่ายหน้า



    “เจ้าขี้เมาเอ๊ย!” กำปั้นแข็งๆของเธอเขกลงกลางหัวของเขาอีกแล้ว แต่ดูเหมือนความอยากสุราจะทำให้อากิรอสลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ ยังไม่ทันจะได้คุยกันต่อเทรนดึงฝาจุกออกอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังป๊อก พอทุกคนหันไปมองก็พบว่าเธอกำลังกระดกเหล้าเข้าปากพรวดๆ





    “เจ้าพลาดแล้วนะ อากิรอส” อาจารย์หนุ่มยกมือแตะหน้าผากส่ายหน้าไหวๆ “ยัยนี่มันคอทอแดงประจำหมู่บ้านเชียวนะ!!” อากิตบเข่าฉาด ขำก๊ากเมื่อได้ยินแบบนี้



    “เฮ้! นี่มันเหล้าชั้นดีนี่นา” เทรนยกขวดสีดำหม่นขึ้นเพ่งพินิจแล้วกระดกซ้ำอีกที จนผู้เป็นอาจารย์ต้องปรามด้วยการใช้กำลังดึงขวดออกจากปาก





    “ข้าไม่เคยดื่มเหล้า” มาเรียบอกมาพร้อมๆยื่นขวดคืนให้อากิ



    “ลองดูสักหน่อย ไม่ใช่ยาพิษ ดื่มแล้วไม่ตายหรอกน่า” เขาคะยั้นคะยอมาเรียให้ลอง เธอดึงจุกไม้ออกแล้วลองดมกลิ่น ก่อนจะจิบของเหลวรสฝาดในนั้นอึกหนึ่ง กลั้นใจกลืนลงคอ หลับตาปี๋



    “เป็นไง? รสชาติไม่เลวใช่ไหมละ หึหึ” อากิรอสถาม มาเรียกพยักหน้าตอบเล็กน้อย





    เมื่อมีเครื่องดื่มเจือแอลกอฮอล์เข้าร่วมในวงสนทนา การพูดคุยก็ยิ่งออกรสชาติ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะปรากฎกับทุกคน แม้อเซแมกและทากะจะไม่ใช่พวกชอบดื่มเท่าไรนักแต่ในบรรยากาศเช่นนี้พวกเขาสองคนจึงต้องร่วมดื่มไปด้วย จนกระทั่ง...







    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ” เสียงหัวเราะของมาเรียดังขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง

    “ฮิฮิฮิฮิ” เธอยังคงหัวเราะเช่นเดิม





    จู่ๆเธอก็เอื้อมมือไปกระชากผมอากิรอสแล้วจิกลากมาแทบเท้าอย่างแรงท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เขาพยายามแกะมือเธอออกแต่ก็ทำไม่สำเร็จ



    “เมื่อวานเจ้าบอกข้าว่ายังไงนะ เจ้าจะจัดการกับกุห์ฟานยังงั้นรึ? น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะนะ!! อีกสิบชาติก็เทียบเขาไม่ได้หรอก” มาเรียพูดกรอกหูแล้วพ่นลมหายใจที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าใส่หน้าเขา แววตาเลื่อนลอยไร้สติแต่ดูน่ากลัวกว่าเวลาต่อสู้ร่วมร้อยเท่า





    “เฮ้! เจ้าเมาแล้วนะ ไปล้างหน้าล้า...” เทรนยังไม่ทันจะพูดจบประโยค มาเรียก็โผล่พรวดมานั่งยองๆข้างตัว มือซ้ายยังจิกหัวอากิรอสอยู่



    “เข้าเนี่ยนะเมา? เจ้าต่างหากละที่เมา” จบประโยคปุ๊ปมาเรียยื่นหน้าเข้าไปกัดหูของเทรนเบาๆ เธอสะดุ้งเฮือกดันตัวถอยหลังหนีทันที แต่มาเรียไวกว่าใช้มือขวากดหน้าอกของเธอลงนอนราบแล้วขึ้นคร่อมอย่างไว



    “เจ้าลองพูดอีกทีซิ๊ว่าข้าเมา” มือขวาก็บดขยี้หน้าอกน้อยๆของเทรน หน้าโน้มต่ำอยู่แถวๆซอกคอ มือซ้ายก็จิกหัวอากิรอสสะบัดไปมา





    อเซแมก ทากะและเบลลานี่ลุกพรวดขึ้นพร้อมกันโดยทันที



    “อากิ คืนนี้ข้าจะเฝ้าเวรแทนเจ้าเอง ไม่ต้องห่วงนะ!!” อเซแมกว่าแล้วก็กระโจนพรวดหนีหายไปทางทุ่งหญ้า ทากะเดินจ้ำตามไปอย่างรวดเร็ว



    “ข้า... ข้าขอตัวไปปลดทุกข์ก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา” เบลยิ้มแหยๆแล้วเดินตามสองคนไปทันที ทิ้งอากิรอสและเทรนที่กำลังตกเป็นเหยื่อของมาเรียโวยวายให้ช่วยอยู่อย่างนั้น







    “เอาจนได้สินะ ฮะๆๆๆ” อเซแมกหัวเราะเบาๆเมื่อทั้งสองคนตามมาถึง
    “ให้คนไม่เคยดื่มเหล้าได้ดื่มขนาดนั้น ข้าว่าก็สมควรแล้วละนะ”




    “แล้วจะเอายังไงดีละขอรับ” ทากะถามหน้าตายเหมือนเดิม

    “ปล่อยไว้สักพักแล้วค่อยไปแยกทีหลังก็แล้วกัน ขืนไปยุ่งตอนนี้มีหวังโดนจิกหัวไปอีกคนแน่ๆ” เขาตอบแบบขำๆไม่จริงจังและไม่เป็นห่วงอะไรเลยด้วย





    “อาจารย์!!!!!!!!! ช่วยข้าด้วย อาจารรรรรรรรรรรรรรรย์!!!!” เทรนตะโกนเสียงดังลั่น

    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ ใครจะช่วยเจ้าได้กัน” มาเรียแลบลิ้นเลียเบาๆที่แก้มของเทรน อากิพยายามฝืนตัวลุกขึ้นแต่ก็โดนมาเรียกดหัวกระแทกพื้นรัวๆ





    “ใจคอจะปล่อยให้ลูกศิษย์โดนขืนใจเหรอคะ” เบลถามแบบขำๆ

    “ฮ่าๆๆๆๆ” อเซแมกหัวเราะอารมณ์ดี “ให้โดนแบบนี้ซะบ้างก็ดีจะได้เลิกห้าว เป็นมาเรียคงไม่เท่าไร ถ้าเป็นอากิข้าก็คงยอมไม่ได้หรอกนะ หึหึหึ”







    ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง มาเรียก็ยังไม่สงบ ทั้งเทรนและอากิรอสไม่สามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเธอได้เลย อากิตัดใจที่หนียอมโดนจิกผมอยู่อย่างนั้นดีกว่าโดนจับโขกพื้น ส่วนเทรนพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด โดนมาเรียหอมแก้มซ้ายทีขวาทีพร้อมหัวเราะคิกคักอย่างสบายอารมณ์





    “พอได้แล้วละขอรับ” ทากะเข้ามาห้ามมาเรีย แต่เธอไม่สนใจ

    “พรุ่งนี้ต้องเดินทางกันแต่เช้านะขอรับ พอเถอะ” ทากะห้ามซ้ำอีกครั้ง เสียงดังขึ้นกว่าครั้งแรกเล็กน้อย แต่มาเรียก็ยังไม่หยุด



    ทากะตัดสินใจเข้าไปอุ้มรวบเธอขึ้นมาจากด้านหลัง ออกแรงดึงให้หลุดจากเทรนและอากิ เธอร้องกรี๊ดเสียงดังโวยวาย



    “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วยละ! ปกติเจ้าเป็นใบ้ เป็นท่อนไม้ไม่ใช่เรอะ! ปล่อย! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”

    เขาปล่อยมือจากตัวเธอตามสั่งอย่างว่าง่าย มาเรียร่วงก้นกระแทกพื้นค่อนข้างแรง เธอลุกพรวดขึ้นมาทันทีแล้วจิกผมทากะกระชากอย่างแรง



    “ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะขอรับ” ทากะบอกสั้นๆแค่นั้น มาเรียปล่อยมืออย่างง่ายดายแล้วยืนก้มหน้าสงบนิ่งเหมือนเด็กที่แพ้ผู้ใหญ่ เธอยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งพิงต้นไม้ กอดเข่าก้มหน้าซึม





    “เป็นไงละ คราวหน้าซื้อเหล้ามาดื่มอีกนะ” เบลพูดแล้วขำนิดหน่อย ยืนมองอากิที่นั่งมึนตาปรือส่วนอเซแมกลงนั่งยิ้มตรงหน้าเทรนที่กำลังงอนแก้มป่องเพราะเขาปล่อยให้เธอโดนลวนลามอยู่นาน ทากะถอดผ้าคลุมเก่าๆขาดๆของตัวเองห่มให้มาเรียแล้วนั่งเว้นระยะให้เธอนิดหน่อย



    อเซแมกเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นดึงข้อมือลูกศิษย์สาวออกไปเฝ้าเวรแทนอากิและทากะในคืนนี้ ปล่อยให้พวกเขาสี่คนสองคู่อยู่ด้วยกันน่าจะดีกว่า





    เมื่อเข้าสู่ช่วงดึกสงัดทุกอย่างสงบแล้ว กองไฟลดแสงลงเพราะไม่มีเชื้อฟืนใหม่แต่ก็ยังให้ความอบอุ่นแก่ผู้ที่อยู่รอบๆ เทรนแวะมาเติมฟืนให้พวกเขาก็พบว่ามาเรียนอนพิงอิงไหล่ทากะหลับราวกับเด็กน้อย เธอถอนหายใจเบาๆแต่เป็นการถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าแล้วออกไปยืนเฝ้ายามกับอาจารย์ด้านนอก







    เช้าตรู่รุ่งอรุณหวนคืนกลับมาอีกครั้งพร้อม เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเตรียมพร้อมออกบินปลุกพงไพรให้ตื่นจากหลับใหล พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นจากขอบฟ้าเปล่งแสงนำทางดุจดั่งเข็มทิศของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง



    มาเรียค่อยๆลืมตาตื่นและพบว่าเธอกำลังพิงไหล่ทากะอยู่ เธอชูแขนสองข้าเหยียดฟ้าพลางยืดตัวสลัดอาการปวดเมื่อยให้หลุดหาย พยายามนึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ก็นึกไม่ออก



    “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ” เบลเดินกลับมาหลังจากไปล้างหน้าล้างตาที่ด้านนอก หยิบขวดน้ำส่งให้มาเรีย เธอรับไปดื่มแล้วส่งคืนให้ ทากะค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งหน้ามึนเหมือนเคย



    “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าจำอะไรไม่ได้เลย แถมยังปวดหัวอีกด้วย” เธอยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ

    “เทรน! ยกน้ำชามาให้มาเรียหน่อยสิ” เบลตะโกนไปทางทุ่งหญ้า สักพักเทรนเดินถือแก้วดินเผาใส่น้ำชาร้อนหอมกรุ่นสองใบส่งให้ทากะและมาเรีย “ดื่มซะสิ มันช่วยให้สร่างเมาได้ดี”



    “เจ้าเมาจนหลับไป ท่านทากะก็เลยคอยดูแลน่ะ” เทรนบอกยิ้มๆแล้วขยิบตาเป็นสัญญาณให้เบล ทั้งคู่เดินออกไปปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน





    “เจ้าคงไม่ได้ฉวยโอกาสลวนลามข้าใช่ไหม?” มาเรียจ้องหน้าเขา

    “ข้าน้อยมิกล้าทำแบบนั้นหรอกขอรับ” ทากะตอบตามตรงแล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ เธอไม่ได้ถามอะไรต่อ ทั้งสองนั่งจิบชาอยู่เงียบๆอยู่โคนใต้ต้นไม้ใหญ่ มีเพียงหมู่นกที่เกาะเรียงอยู่บนกิ่งไม้ส่งเสียงจิ๊บๆเท่านั้น







    เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้ามาเต็มดวง ท้องฟ้าสดใสสว่างจ้าไร้เมฆหมอก ทุกคนเตรียมพร้อมออกเดินทางไกลเพื่อข้ามผืนหญ้ากว้างใหญ่และตัดป่าไพรเนมุสที่ได้ชื่อว่าเป็นเขตป่าทึบที่สุดแสนอันตรายแห่งหนึ่ง ก่อนจะลัดเลาะหุบเขาของแนวเทือกเขาตะวันตก ‘หุบเขามรณะ’ ไปยังสถานที่ซึ่งดอกไม้วิเศษบานสะพรั่ง



    ลาทิทูโดเป็นที่ราบลุ่มต่อจากแนวเทือกเขาตะวันตกที่ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ กั้นผืนผืนดินและแผ่นน้ำมหาสมุทรไว้คนละฟากฝั่ง กาลเวลาที่ล่วงผ่านอย่างยาวนานได้ก่อกำเนิดผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เพราะน้ำฝนจากฟากฟ้าได้กวาดล้างดินโคลนจากเทือกเขาสูงใหญ่ลงมาทับถมที่ราบว่างเปล่า จากนั้นพันธุ์หญ้าต่างๆได้เข้าเติมเต็มไปทั่วบริเวณจนกลายทุ่งหญ้าเขียวสดงดงามดั่งเช่นทุกวันนี้





    พวกเขาทั้งหกต้องมุ่งหน้าไปตามทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปเรื่อยๆ มาเรียบอกว่าคงใช้เวลาเดินทางประมาณห้าหรือหกวันกว่าถึงริมป่าเนมุสสิ้นสุดภารกิจนำทางของเธอ การเดินทาง ณ จุดนี้ไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น กลุ่มของกุห์ฟานหลังจากโจมตีเมื่อวันแรกแล้วก็เงียบหายไปไม่ปรากฎตัวขึ้นอีก แถมยังไม่เจอปีศาจตัวไหนมากวนใจระหว่างทางอีกด้วย







    หกทิวาและห้าราตรีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว จะว่าสั้นก็สั้น จะว่านานก็นาน

    แต่ไม่ว่าอย่างไรวันแห่งการจากลาก็ต้องมาถึงอยู่ดี





    “ข้าขอขอบใจที่เจ้านำทางข้ามาถึงที่ นี่ค่าตอบแทนตามสัญญา” อเซแมกยื่นถุงผ้าฝ้ายใส่เหรียญทองให้มาเรีย เธอรับมาเปิดดูแล้วผูกไว้กับเข็มขัดข้างตัว



    “งั้นก็ขอให้พวกเจ้าโชคดีก็แล้วกันนะ ข้าไปละ” มาเรียกล่าวคำลาสั้นๆ โบกมือลาทุกคนแล้วเดินหันหลังกลับทางเดิมที่ทุกคนร่วมเดินทางกันมาเพียงลำพัง เพียงคนเดียว



    ทุกคนยืนมองส่งจนนางเดินหายลับไป







    “น่าเสียดายนะ ข้าอยากให้นางร่วมเดินทางไปกับเรามากกว่า” เบลลานี่บอกเสียงเศร้าๆ

    “นางมิได้ตั้งใจจะทำงานให้กับทางอาณาจักรตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่นา” อากิรอสตอบ “นิสัยอย่างนาง เหมาะที่จะเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่าอยู่เป็นกลุ่มอย่างพวกเรานะ”



    เบลถอนหายใจหนึ่งครั้งยาวๆเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากของคู่หู



    “ไม่มีนางแล้วก็เหงาเหมือนกันนะคะ” เทรนยิ้มจางๆเจือสีหน้าเศร้าๆ ถามไปยังหนุ่มหน้ามึนอย่างทากะ

    “อยากให้นางอยู่หอมแก้มทุกคืนหรือขอรับ” เขาสวนกลับหน้าตาย เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ช่วยให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นเล็กน้อย



    “ข้าไม่นึกเลยว่าจะเจ้าชอบแบบนี้ นี่ข้าสอนวิชาต่อสู้ให้เจ้าจนเพี้ยนไปแล้วหรือเนี่ย” อาจารย์หนุ่มที่เดินตามหลังซ้ำเติมอีกดาบ เทรนงอนขวับเดินจ้ำอ้าวหนีเสียงหัวเราะไล่หลังทันที









    สี่ชั่วโมงผ่านไป...



    “เฮ้! ข้าว่าพวกเรากำลังหลงทางนะเนี่ย ท่านอเซแมก!” อากิรอสตะโกนบอกเขาที่เดินนำทางพร้อมกับเบลานี่

    “ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆอยู่ ป่าหนาทึบจนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง หนำซ้ำยิ่งเดินลึกป่าก็ยิ่งทึบมากขึ้น ไม่มีจุดไหนให้มองเห็นท้องฟ้าได้เลย” เขาตอบกลับ ถึงแม้น้ำเสียงจะยังมั่นคงหนักแน่น แต่ก็มิอาจปกปิดความกังวลในแววตาได้



    “อาจารย์! ดูนี่สิ” เทรนร้องเรียกขึ้นจากด้านหลัง ทุกคนหยุดเดินแล้วไปรวมกันที่เธอ





    นักรบสาวยื่นฝ่ามือที่มีเข็มทิศเรือนใหญ่ให้ทุกคนดูพร้อมๆกัน เข็มแม่เหล็กที่ใช่บ่งบอกทิศเหนือใต้ตามพลังอำนาจสนามแม่เหล็กของโลกหมุนแกว่งสะบัดไปมาไม่หยุดนิ่ง ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณบอกว่าป่าแห่งนี้มีพลังอำนาจบางอย่างที่รุนแรงมากจนปั่นป่วนการทำงานของเข็มทิศให้ทำงานผิดปกติ



    “อากิรอส เจ้าสัมผัสถึงพลังอย่างอื่นได้หรือไม่” อเซแมกถาม เขาหลับตานิ่งตั้งสมาธิเพื่อรับรู้คลื่นพลังที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสทั้งห้า





    “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมไปทั่วบริเวณนี้ มิใช่พลังเวทเหมือนที่ข้าครอบครอง หากแต่เป็นพลังบริสุทธิ์ของธรรมชาติจากหลายแหล่งที่ทับซ้อนกันจนกลายเป็นเขตแดนเวทมนต์” จบการอธิบาย อากิรอสดีดนิ้วขึ้นหนึ่งที ดวงไฟขนาดเล็กเท่ามือคนกำหมัดปรากฎขึ้นตรงหน้า



    “หากเป็นสถานที่อื่น ดวงไฟนี้คงจะใหญ่กว่าที่เห็นสักห้าเท่า”

    อากิรอสดีดนิ้วอีกครั้ง ลูกไฟหายวับไปทันที



    “สมแล้วที่ได้ชื่อว่า ‘เนมุส ป่าพิศวง’” นักเวทสาวยิ้มอย่างหวาดๆ

    “จะเอายังไงต่อดีละ” เธอถามคำถามที่ตอบได้ยากในสถานการณ์เช่นนี้ ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดหาทางออกหรือว่าไม่มีคำตอบกันแน่



    “ข้าจะลองดูสภาพรอบๆจากบนฟ้าเอง” อากิรอสบอกทุกคน





    “อาควูโลนิ” (สายลมแห่งแดนเหนือ)



    ร่างของเขาลอยขึ้นอย่างช้าๆจากพื้นดินราวกับมีเชือกเหนี่ยวรั้งเขาสู่นภากว้าง ทันทีที่หลุดพ้นจากกิ่งก้านหนาทึบของต้นไม้น้อยใหญ่ เขากวาดสายตาสำรวจรอบๆเพื่อหาเส้นทางที่จะไปต่อหรืออย่างน้อยบริเวณที่ต้นไม้เบาบางเพื่อใช้พักแรมเพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะลาลับไปแล้ว







    “ทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย ระยะสองกิโลเมตรกับอีกนิดหน่อย”



    อากิรอสคำนวณทิศทางได้แล้วจึงคลายเวทกลับสู่เบื้องล่างแล้วบอกจุดหมายปลายให้ทุกคนรู้ ทั้งหมดจึงออกวิ่งไปยังทางที่นักเวทหนุ่มแนะนำ เสียงฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าหนังหยาบหนาย่ำลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยรากไม้น้อยใหญ่และซากใบไม้สีน้ำตาลแก่ที่ทับถมกันดังสวบสาบตามจังหวะหยั่งเหยียบ





    ทั้งห้าโผล่พรวดออกมายังลานหญ้าเล็กๆที่ถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ยักษ์เป็นวงกลม อเซแมกตัดสินใจพักค้างคืนที่นี่ เพราะไม่รู้ว่าหากฝืนเดินทางต่อจะมีพื้นที่ใดให้พวกเขาหยุดพักได้อีก





    ทั้งๆที่ยังไม่ถึงกลางคืนแต่บรรยากาศในป่าแห่งนี้กลับเงียบงันราวกับไร้สิ่งมีชีวิต แม้แต่เสียงนกหรือแมลงเล็กๆยังไม่มีให้ได้ยิน ท้องฟ้าฟากหนึ่งแปรเป็นสีส้มสุกสว่างกำลังถูกความมืดจากอีกฝั่งรุกไล่ให้หายไป กองไฟเล็กๆถูกจุดขึ้นต้มน้ำเพื่อใช้ชงชา ทั้งห้านั่งล้อมรอบอยู่นิ่งเงียบด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของแต่ละคนรับรู้ได้ว่า คืนนี้พวกเขาคงยุ่งจนไม่ได้นอนแน่ๆ











    เฟี้ยว! เสียงวัตถุมวลหนักลอยละลิ่วมาอย่างไว ทั้งหมดลุกหนีจากจุดที่นั่งอยู่ทันท่วงที อากิรอสไม่ลืมหยิบหม้อที่ใช้ต้มชาติดมือออกไปได้ทัน ท่อนซุงขนาดใหญ่หล่นกระแทกเต็มๆกองไฟที่บัดนี้ไม่มีใครอยู่จนเสียงดังสนั่น ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว เสียงฝีเท้าหนักๆเดินย่ำมาทางพวกเขาจากทุกทิศทาง ทุกคนหันหลังล้อมวงกระชับเข้าจนไหล่เบียดติดไหล่





    “โฮกกกกกกกกกก!!” เสียงคำรามกึกก้องไปทั่วเสียงแล้วเสียงเล่าแถมยังดังเข้าใกล้เรื่อยๆ อเซแมกและเทรนกระชับดาบในมือแน่น เบลลานี่และอากิรอสต่างกำลังรวมสมาธิร่ายเวท ทากะสะบัดผ้าคลุมออกพร้อมจับดาบด้ามดาบในท่าเตรียมพร้อมฟาดฟันทุกสิ่งที่เข้าหาในระยะ





    ท่อนไม้ใหญ่แหลมถูกขว้างเข้าหาเปิดฉากการต่อสู้ เทรนสะบัดฟันปัดป้องได้พร้อมๆกับการบุกเข้าโจมตีของเผ่าออคจำนวนมาก เสียงดาบปะทะดาบดั่งลั่นพร้อมกับเลือดสีม่วงดำที่สาดกระเซ็นออกจากร่างของพวกกึ่งมนุษย์





    “บ้าน่า นี่ยังไม่ถึงเขตแดนของพวกมันแท้ๆ ทำไมพวกมันถึงมาโจมตีพวกเราที่นี่ละ” เทรนตะโกนถามขึ้นในขณะที่แทงดาบทะลุอกออคที่พุ่งสวนเข้ามาแล้วก้มหลบขวานที่เหวี่ยงเข้าหาจากทางขวา



    “เจ้าก็ลองถามมันดูสิ” อาจารย์หนุ่มตอบกลับมา สถานการณ์ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรเพราะต้องรับมือศัตรูร่วมห้าหกตัว





    เปลวเพลิงและแท่งน้ำแข็งมากมายปรากฏขึ้นพร้อมการสะบัดมือของสองคู่หู่จอมเวท เสียงร้องโหยหวนของออคดังโหยหวนไม่ขาดสาย ด้านทากะกำลังถอยพลางสะบัดดาบความเร็วสูงเชือดคอพวกที่อยู่รอบๆ





    แต่กระนั้นจำนวนศัตรูก็มิได้ลดน้อยลง แม้ว่าร่างที่ไร้ชีวิตจะทับถมพื้นจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืน



    ถึงพวกเขาจะมีฝีมือไร้เทียมทานเพียงใด แต่หากมิได้หยุดพักแถมยังขยับตัวหลีกหนีไปไหนไม่ได้ก็ต้องพลาดถูกคมดาบขวานหอกเข้าสักครา



    และนั่นอาจจะหมายถึงจุดจบก็เป็นได้!!







    “ต้องการคนช่วยไหม!!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของทุกคนรวมถึงออครอบๆด้วย





    มาเรียกระโดดพรวดลงจากกิ่งไม้มายืนข้างๆพวกเขา สองมือดึงปืนออกจากซองข้างเอว สะบัดชี้ออกไปซ้ายขวาแล้วเหนี่ยวไก ลูกตะกั่วถูกขับออกจากรังเพลิงอย่างรวดเร็ววิ่งเข้าแสกหน้าออคตัวที่อยู่หน้าสุดทะลวงออกฆ่าตัวที่อยู่ด้านหลัง กระสุนเพียงสองนัดฆ่าออคในวิถีไปร่วมหกเจ็ดตัว





    “มาเรียยยยยย!” เบลและเทรนร้องเรียกชื่อเธอเสียงดัง เธอหันมายิ้มกว้างให้ทุกคน







    To be continue…







    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag –



    ตอนนี้เน้นรั่วและฮาครับ หวังว่าคงจะสนุกและชอบกัน ปิดท้ายด้วยบทบู๊เหมือนเดิม

    ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ล่วงหน้าครับ



    ปล.ตอนนี้ลองงดใช้ตัวอักษรแบบหนาดู มีคนบอกว่าอ่านยาก



    Azemag A.C. McDowell
  16. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อ่านๆดูแล้วเทรนเองก็เก่งนะ แต่พอเทียบกับแต่ละคนในกลุ่มนี่กลายเป็นเด็กน้อยไปเลยแฮะ

    ว่าแต่มาเรียกลับมาร่วมกลุ่มไวแฮะ นักว่าจะอีกซักสองสามตอนซะอีก
  17. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    เห็นด้วยกับพี่ซาล

    เพราะมาอยู่กลุ่มที่แต่ละคนมันเก่งๆขนาดนี้ เลยดูอ่อนแอไปเลย แต่ระดับฝีมือก็ป้องกันตัวเองได้และหน่า

    ชอบตอนวงเหล้า อารมณ์นี้เคยเจออยู่พวกไม่เคยกินแล้วไปเมากลางงานเนี่ย ฮามั่กๆ
  18. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    บทบรรยายดีขึ้นนะ ถึงบางทีจะบรรยายให้สาวYบางคนจิ้นได้ :hwinyarn: โดยรวมถึงจะเป็นพล๊อตที่ยังไงก็เดาได้บ้านๆโครตๆ แต่มันก็สนุกในตัวของมัน เอาเป็นว่ามีไฟก็รีบๆเข็นตอนต่อไปออกมาให้พวกตรูอ่านซะดีดี
  19. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    ตอนนี้ให้อารมณ์หลากหลาย ไม่มีจุดมุ่งเป็นพิเศษ

    เหมือนเป็นบทคั่นที่ให้อารมณ์เรื่อยๆ

    ตอนลากับมาเรียก็สั้นเสียจนคิดว่ายังไงก็ตคงกลับมารวมกลุ่มแน่ๆ(ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น)

    ตอนเมาเหล้านั้นขำมาเรีย 555




    รออ่านตอนต่อไปค่ะ
  20. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    เอ็งจะหยิบหม้อต้มชาออกไปทำไมวะอากิรอส กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก *นั่งขำตัวงอ*

    ตอนนี้สนุกมากๆ ชอบมาเรียตอนเมาเหมือนกัน อ่านไปขำไปครับ และชอบความสัมพันธ์ทากะ x มาเรียด้วย น่ารักจริงๆคู่นี้!

    อยากให้บทต่อสู้เทรนแสดงฝีมือเด่นกว่านี้ซักนิด เพราะไหนๆก็ได้ชื่อว่าลูกศิษย์ของอาเซแม็ก ถ้าลูกศิษย์โชว์ความเก่งแล้ว ต่อไปภายหน้าอาจารย์โชว์เทพกว่า จะเป็นผลดีกับตัวละครอาเซแม็กด้วย (คนอ่านจะรู้สึกได้เลยว่าอาเซแม็กเก่งมาก)

    เดินเรื่องเร็วไปนิด การกลับมาของมาเีรียเป็นสิ่งที่เดาได้ แต่ถ้าทิ้งช่วงอีกนิดจะดูดีขึ้น
    ทุกคนมีจุดเด่นของฝีมือต่างกัน แต่อาเซยังดึงออกมาได้ไม่เท่าที่ควร ตอนนี้ผมก็เลยคิดว่าในอนาคตจะได้เห็นว่าความถนัดของแต่ละคนมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่หลากหลายยังไงด้วยนะครับ
    สรุปว่าหลงทางแล้วเจอฝูงออร์คเข้าแล้ว! ดูแต่ละคนก็ท่าจะไม่เบาอยู่แล้ว แต่ออร์คก็น่าจะโหด รอติดตามต่อไปละกัน

    ปล. ภาษากระโดดตรง "ยัยตัวแสบ" เป็นภาษาปากปัจจุบันมาก แต่ก็ช่างมันเถอะ
    ปปล. บทบรรยายการปรากฏตัวของแม่ทัพเรฟิคัลเท่มาก! ภาพที่หอกพุ่งเข้ามาแล้วผมปลิวเพียงเส้นเดียวโดยที่แม่ทัพหญิงไม่ขยับเลยนั้น เป็นช่วงการบรรยายที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นในฟิคเรื่องนี้ก็ว่าได้ เชื่อว่าการดูอนิเมะมากๆคงช่วยให้อาเซเห็นภาพต่างๆเป็นฉากๆ ส่งผลให้การบรรยายเนื้อเรื่องดีขึ้นขนาดนี้ แน่นอนว่า ทำไมเอาผมหลงรักแม่ทัพเรย์ไปเลย :hlr:
  21. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    คนไม่เคยโดนจิกหัวไม่รู้หรอก... ว่ามันไม่ได้เกินจริงจากเนื้อเรื่องเลย "ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ"

    สนุกมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จะให้คอมเม้นท์แบบมีสาระและละเอียดก็รอไปก่อนนะจ๊ะ โดยต้องรอดังนี้
    1) ฟิคตรูก็ยังไม่เสร็จ จะเสร็จแล้วแต่ก็...
    2) adapter พัง พิมพ์ไม่ได้นะจ๊ะ

    แค่สองข้อนี้ก็รอต่อไปก่อนละกัน ฮาาาา
  22. ReficuL

    ReficuL New Member

    EXP:
    53
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ก่อนอื่นเลยขอบคุณ สำหรับคาแร็คเตอร์ค่ะ :penlov:


    หยกรู้สึกว่าตอนนี้อารณ์ของตัวละครออกมาธรรมชาติที่สุดตั้งแต่อ่านมาเลยนะ

    แล้วก็ ที่สำคัญ "ทากะซังงงงง" กรี๊ดดด

    ตั้งแฟนคลับ หยกเป็นแฟนคลับนัมเบอร์วัน คริคริ :medance.:

    ประทับใจ :hlove:
  23. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...ไม่นะ เค้าเป็นแฟนคลับนัมเบอร์ วันก่อนนะ ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว แอร๊ ;w; (จะแย่งกันทำไม...)


    ...แลดูมันเอาเรื่องจริงมาแต่งยังไงชอบกล...
  24. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ก็พอตัวครับ แต่ตัวเทพๆอย่างทากะหรืออากิมันโดดเด่นจบกลบรัศมีซะก่อน
    น่าสงสารสาวน้อยเนอะ?




    คนเขียนก็ชอบฉากนี้ครับ เขียนไปอมยิ้มไปเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น (ฮา)



    คนเขียนก็ไม่ชอบพล็อตลึกลับซับซ้อนเหมือนกัน เขียนง่ายๆนี่แหละ
    ไฟน่ะมี แต่จะมีเวลารึเปล่า? เปิดเทอมแล้วงานเยอะ รอกันไปนะ





    เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เห็นด้านรั่วกันบ้างน่าจะดี(?)




    ขอบคุณครับที่ชอบเรฟิคัล.... แต่ถ้ารู้จักเธอจริงๆละก็ หึหึหึหึหึหึ (ไม่อยากคิด)



    นั่นสินะ...




    จะตั้งจริงๆเหรอ? อย่างนี้อากิรอสเสียใจแย่เลยนะ




    นอกจากเป็นแฟนคลับนัมเบอร์วันก่อนแล้ว ยังเป็น....อีกด้วยนะ *หนี*
  25. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 8



    เวลาเย็นย่ำค่ำมืดที่ทุกสรรพสิ่งต่างเดินทางกลับสู่รั้วเรือนรังนอนของตัว แต่กลางป่าเนมุสกลับปรากฏการต่อสู้ระหว่างคนกลุ่มหนึ่งกับฝูงออคนับไม่ถ้วน ร่างไร้วิญญาณนอนเกลื่อนกลาดดาษดื่นเต็มพื้น โลหิตสีเข้มเหนียวข้นเจิ่งนองเป็นสาย เสียงอาวุธกวัดแกว่งเข้าประหัตประหารดังลั่นไม่ขาดห้วง สำเนียงเรียงร้อยประกาศขานเวทมนต์ดังกังวาน พร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวนของศัตรูที่ต้องศาสตราและมนตราในเวลาเดียวกัน







    “มาเรียยยยยย!”



    เทรนตะโกนเรียกชื่อผู้หวนคืนอย่างดีใจ เธอมีแรงใจที่จะต่อสู้มากขึ้นหลังจากถูกศัตรูกดดันมาตั้งแต่เริ่มศึก นักดาบสาวตะโกนปลุกใจเสียงดังลั่นพร้อมข่มขวัญฝูงอมนุษย์ตรงหน้า พลันกระโจนเข้าโรมรันฟันฟาดดาบยาวในมือ ร่างไร้หัวที่สิ้นชีพทรุดลงนอนแทบเท้าเธอในทุกจังหวะที่ย่างก้าว



    ออคสามตนเข้าจู่โจมเธอจากด้านหลัง เทรนเอี้ยวคอหลบหอกเฉียดข้างหูไปไม่มาก พุ่งตัวถอยหลังพร้อมแทงดาบผ่านรักแร้ตัวเองสวนคืนเข้ากลางอก ดึงดาบกลับคืนป้องกันดาบของออคอีกตัวทางขวามือ ขาซ้ายถีบไปด้านหลังสุดแรงกระแทกศัตรูอีกตัวที่จะเข้าประชิดให้ถอยกลับ สองมือกระชับดาบมั่น ขาขวาตั้งหลักแน่น เกร็งกำลังทั้งร่าง พุ่งเข้าประชิดพร้อมวาดดาบจากซ้ายไปขวา ดาบเหล็กของศัตรูที่ยกขึ้นป้องกันขาดสะบั้นพร้อมกับหัวที่หลุดกระเด็นจากร่าง



    ออคตัวที่ถูกถีบกระเด็นตั้งหลักแล้วพุ่งเข้าหาอีกครั้งแทงหอกสุดกำลังเข้าใส่ แต่อเซแมกโผล่พรวดเข้าแทรกกลางคัน สองมือประคองดาบที่กลางตัว ปลายดาบชี้เฉียงลงพื้น เมื่อปลายหอกเกือบจะแทงยอดอก เขาบิดข้อมือพลิกดาบให้ตวัดตั้งขึ้นกระแทกหอกเบี่ยงเบนวิถีให้ออกห่างแล้วสืบเท้าก้าวไปข้างหน้า สองมือผลักดันดาบขึ้นตรงๆสุดแขน คมดาบแทงทะลุคอหอยอีกฝ่ายตายคาที่



    “อย่าปล่อยด้านหลังว่าง” อเซแมกเตือนลูกศิษย์สาวที่กำลังคึกให้ต่อสู้อย่างเยือกเย็น พลางดึงดาบกลับมาตั้งท่าประสานสองมือ





    ทางด้านมาเรียกำลังโยกตัวหลบการโจมตีและถอยหลังล่อให้คู่ต่อสู้กรูเข้ามาหา ผมยาวที่มัดเป็นทรงหางม้าแกว่งไกวตามการเคลื่อนไหว เมื่อได้จังหวะที่ต้องการ เธอยกปืนในมือขึ้นสูงระดับสายตาแล้วกระดิกนิ้วเหนี่ยวไก กระสุนเหล็กร้อนวิ่งฉิวจากปากลำกล้องเข้าแสกหน้าผากทะลุออกด้านหลังสังหารออคตัวแล้วตัวเล่าในวิถีให้ล้มตายในชั่วเสี้ยววินาที





    “คึกกันจริงเลยนะ” อากิยิ้มกว้าง สองมือสะบัดไปมาพลางชี้นิ้วไปยังเป้าหมายราวกับวาทยกรกำลังควบคุมท่วงทำนองของบทเพลง หอกน้ำแข็งพุ่งเสียบกลางอกศัตรูตัวแล้วตัวเล่าดัง ฉึก! ฉึก! พร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวน ฟังแล้วเป็นเพลงแห่งชีวิตที่แปร่งหูพอสมควร







    แต่กระนั้นศัตรูก็ยังถาโถมเข้าหาไม่ขาดสายดุจดั่งคลื่นจากท้องทะเลที่วิ่งม้วนตัวเข้าหาชายหาด แถมค่ำคืนก็คืบคลานเข้ามาทักทายอย่างช้าๆ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ต่อให้พวกเขามีเก้าชีวิตก็คงไม่พอ





    “อเซแมก ขอศิลามนตราก้อนนึง ด่วน!” อากิรอสตะโกนบอก อเซแมกล้วงมือควานหาสิ่งที่ถูกร้องขอจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะโยนโด่งย้อยไปเหนือหัวจอมเวทผมดำ





    นักมนตราจอมเจ้าชู้ยิ้มกว้างเต็มที่ ขาขวาเตะงัดหม้อต้มชาที่วางอยู่ตรงหน้าให้ลอยขึ้นมา ฉวยจับแล้วใช้มันต่างมือตัวเองรับศิลามนตราก้อนน้อยที่ร่วงลงมา





    “เรกาลิส ดราโก” (จงมา! ราชันย์มังกร)



    สิ้นคำพูดที่เปี่ยมด้วยพลังเวทแข็งแกร่ง เสียงคำรามของมังกรดังสนั่นหวั่นไหว หม้อเหล็กผสมดีบุกในมือเขาสั่นไหวเบาๆแล้วแรงขึ้น แรงขึ้นเป็นจังหวะ มวลน้ำมหาศาลพุ่งขึ้นมาแล้วแปรเปลี่ยนเป็นร่างมังกรใหญ่โต สองปีกสยายโบกสะบัดสร้างลมแรงซัดซากศพที่นอนเกลื่อนให้กลิ้งได้ราวกับไม่มีน้ำหนัก หางอันแข็งแกร่งกวาดโค่นต้นไม้ใหญ่ถอนรากถอนโคนเป็นวงกว้าง



    ทั้งคนทั้งออคต่างหยุดนิ่ง ยืนมองราวกับถูกสะกด





    “จงไปซะ! ก่อนที่ข้าจะละทิ้งความเมตตาที่มีอยู่ไปพร้อมๆกับชีวิตไร้ค่าของพวกเจ้า”

    สิ้นคำของนักเวทนามอากิรอส ราชันย์มังกรแยกเขี้ยวกว้างขู่คำรามตอบรับ เหล่าออคหวาดกลัวตัวสั่นสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้กับสุดยอดมังกรที่อยู่เหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง ต่างทิ้งอาวุธวิ่งหนีหายไปในป่าลึก เหลือแต่เพียงความพินาศของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์มากมายที่ล้มตายจากศึกนี้



    อากิดีดนิ้ว พลันมังกรวารีค่อยๆสูญสลายหายไปในอากาศ ทุกคนยืนนิ่งมองดูซากศพเหล่าออคที่ตายเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ





    “ข้าเสียใจด้วย วันนี้คงไม่ได้ดื่มชากันแล้วละ” เขายกหม้อต้มน้ำให้ดู เหลือเพียงเศษน้ำติดก้นหม้อพร้อมศิลามนตรากลมมนกลิ้งไปมา



    “ยังจะมีกะใจดื่มชาได้อีกเหรอ เจ้าบ้า!” มาเรียตวาดเข้าใส่





    อเซแมกล้วงมือไปหยิบศิลามนตราขึ้นมามองแล้วยื่นให้อากิรอส

    “เจ้าเก็บไว้เถอะ” นักเวทหนุ่มพยักหน้า รับมาแล้วเหน็บเก็บไว้ที่ผ้าคลุม





    “เอาละๆ” มาเรียปรบมือเรียกความสนใจของทุกคน “ยังไงก็นอนกลางซากศพไม่ได้อยู่แล้ว ข้าแนะนำให้รีบหาที่พักตรงอื่นเสียแต่เนิ่นๆก่อนที่จะเจอตัวประหลาดอีกนะ”



    “เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเราควรจะไปพักที่ไหนดี” เทรนถามความเห็นเธอ มาเรียล้วงหยิบเข็มทิศขึ้นมาเปิดดู



    “มันใช้ไม่ได้หรอก ข้าลองเมื่อกลางวันแล้ว มันหมุนสะเปะสะปะเลย” เทรนบอก

    “ที่นี่น่ะใช้เข็มทิศธรรมดาไม่ได้อยู่แล้ว ต้องใช้เข็มทิศพิเศษเท่านั้น” เธอเว้นจังหวะ “คนแดนตะวันตกที่จะเข้ามาหาของป่าในที่แถบนี้จะมีเข็มทิศพิเศษนี้กันทั้งนั้นแหละ” มาเรียอธิบาย



    “จากจุดนี้ มุ่งหน้าไปตะวันตกเฉียงเหนือก็น่าจะเจอชายป่าให้นอนพักกันได้นะ”

    “เจ้านำทางได้เลย” อเซแมกบอก มาเรียยิ้มกว้าง พับเข็มทิศเก็บแล้วออกวิ่งนำ ทุกคนออกวิ่งตามไปเหมือนเคย เฉกเช่นที่พวกเขาร่วมเดินทางมาด้วยกัน





    รอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้แต่พวกเขาก็คงไม่อาจทำความเข้าใจได้ด้วยว่า เหตุใดถึงยังยิ้มได้ในสถานการณ์เช่นนี้





    “ว่าแต่...มาเรีย เจ้าย้อนกลับมาทำไมกัน” อากิรอสถามขึ้น

    “เจ้าจะถามทำไมเนี่ย? เจ้าบ้าเอ๊ย” เบลเขกกะโหลกหนาๆของเพื่อนชาย หวังจะให้มันบางลงบ้าง

    “เธอกลับมาช่วยพวกเรายังไงละ” เทรนขยายความ



    “ใครมาช่วยพวกเจ้ากัน!! หา!!!” มาเรียนหันมาตวาดใส่เทรน หน้าแดงจนเห็นได้ชัด



    “แล้วเจ้ามาทำอะไรกันละ? อย่าบอกนะว่าลืมของไว้น่ะ” อากิได้ทีพูดแหย่



    “ใช่! ข้าลืมกระสุนปืนไว้กับเจ้าทากะหน้ามึนนั่นแหละ”

    “อยู่กับข้าน้อยหรือขอรับ” เขาถามขึ้นเมื่อถูกพาดพิง แล้วพลันนึกขึ้นได้หยิบถุงเงินออกมาดูพบว่ามีแต่กระสุนอยู่เต็มไปหมด แต่เหรียญเงินหายไปเกลี้ยงแล้ว มาเรียสะบัดแส้ฉกถุงจากมือเขาไป





    “อีกอย่าง ข้าบอกแล้วไม่ใช่เรอะ! ข้าอยากทำในสิ่งที่อยากทำ ไปในแห่งหนที่อยากจะไป ก็แค่มันเป็นทางเดียวกับพวกเจ้าเท่านั้นแหละ” มาเรียแก้ตัว



    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” อเซแมกที่วิ่งปิดท้ายคู่กับทากะหัวเราะขึ้นมา

    “ทากะ ในภาษาของชาวมายามีคำเรียกผู้หญิงนิสัยแบบนี้ว่ายังไง ข้าจำไม่ได้แล้ว”



    “ซึนเดเระขอรับ” ทากะตอบกลับ สีหน้าเรียบเฉย

    “อะไรเว้ย! พวกเจ้าพูดอะไรกันฟังไม่รู้เรื่องเลย” มาเรียหันมาโวยวายที่โดนสองหนุ่มนินทาอยู่ด้านหลัง



    “มันแปลว่าอะไรเหรอ ท่านทากะ” เทรนถาม

    “หมายถึงคนที่มีนิสัยปากร้ายแต่จริงๆแล้วใจดีขอรับ” ทากะอธิบาย



    “ว๊อย! หยุดพูดเลยนะ ไม่งั้นข้าเอาแส้ฟาดปากเจ้าแน่ๆ” ยิ่งพูดก็ยิ่งหน้าแดง ยิ่งโวยวายเก็บอาการไม่อยู่ เสียงหัวเราะของทุกคนยิ่งดังขึ้นตามการตอบสนองของเธอ มาเรียจึงเลือกที่จะเงียบแล้ววิ่งให้เร็วขึ้นจนทุกคนต้องหยุดแซวแล้วเร่งฝีเท้าตามเธอ





    “ว่าแต่เมื่อกี๊ทำไมท่านไม่เรียกมังกรออกมาตั้งแต่แรกละ พวกเราจะได้ไม่ต้องสู้ให้เหนื่อย” เทรนเปลี่ยนเรื่อง

    “นั่นนะเหรอ ไม้ตายก้นหีบเอาไว้สู้กับกุห์ฟานของเจ้าน่ะ” มาเรียหันมาถาม





    “ไม่ใช่หรอก” อากิรอสตอบ หลับตาลงนึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่

    “ก็แค่มนต์จำแลงที่เปลี่ยนน้ำให้เป็นรูปร่างของมังกรเท่านั้น ข้ายังใช้มนต์อัญเชิญมังกรจริงๆไม่ได้หรอก”



    “โธ่เอ๊ย! ที่แท้อากิรอสก็มีดีแค่ขนาดแต่ใช้การไม่ได้สินะ?” มาเรียยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก แม้แต่เทรนก็แอบขำเช่นกัน

    “เจ้าคิดอะไรของพวกเจ้ากันเนี่ย!” เขาตอบกลับเพราะรู้เท่าทันเธอ ขโมยสาวจอมแสบปล่อยหัวเราะเสียงดังดีใจที่ได้แหย่เขา



    “ไม้ตายก้นหีบน่ะ เขาใช้กันเมื่อถึงเวลาคับขันจริงๆเท่านั้น” อากิวิ่งเร่งตีคู่ขึ้นมาอยู่ข้างๆมาเรีย

    “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าไม่ได้มีแค่ขนาด”



    โป๊ก! กำปั้นของมาเรียและเบลเขกลงหัวเขาพร้อมๆกัน

    “ยังจะมีหน้าพูดเรื่องแบบนั้นอีกนะ” จอมเวทสาวคู่หูชักระอากับความทะลึ่งของเขา





    “เอ้า! เร่งเท้ากันหน่อย ใกล้จะถึงแล้วละ” มาเรียตะโกนบอก ทุกคนจึงหยุดคุยแล้วเร่งจังหวะวิ่งให้เร็ว







    สักพักหนึ่งพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เป็นแนวทุ่งหญ้าเล็กๆกั้นแนวป่าสองแนวไว้ มองดูป่าอีกฟากหนึ่งซึ่งพวกเขาจะต้องเดินทางผ่านในวันรุ่งขึ้นยิ่งหนาทึบ ต้นไม้ขึ้นแออัดจนแทบจะไม่มีช่องว่าง มองลึกเข้าไปเห็นเพียงแต่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด



    เมื่อกองไฟถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่นแล้ว เบลหักกิ่งไม้เป็นท่อนสูงประมาณเอวหกท่อน สองมือประคองระดับอกแล้วบริกรรมเวทอยู่ครูหนึ่ง ท่อนไม้ยาวสีน้ำตาลแก่เปล่งแสงขึ้นนิดหน่อยแล้วกลับเป็นอย่างเดิม เธอพุ่งไม้ออกไปรอบๆจนหมด





    “เจ้าทำอะไรน่ะ” มาเรียถามเมื่อเธอกลับมานั่งแล้ว

    “เขตแดนแบบง่ายๆน่ะ ถ้ามีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาข้าก็จะรับรู้ได้ทันที” จอมเวทสาวให้คำตอบ มาเรียพยักหน้าว่าเข้าใจ





    “มาเรีย” อเซแมกเรียก เธอหันมองที่เขา แววตาต่างคำถามว่าเขาต้องการอะไร

    “ข้าขอบใจเจ้ามากที่ย้อนกลับมาช่วยพวกเรา” เขาก้มหัวให้เธอเล็กน้อย



    “ช่างข้าเถอะน่า ข้าบอกแล้วว่าข้าทำอะไรที่ข้าอยากจะทำ ไอ้ครั้นจะปล่อยให้พวกเจ้าไปตาย ข้าก็ไม่ค่อยจะรู้สึกดีเท่าไรหรอก” อเซแมกยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบของเธอ มาเรียเหลือบไปมองทากะนิดหน่อย พบว่าเขากำลังมองเธอเช่นกัน



    “เจ้ามองอะไรของเจ้า หรือว่าคิดจะทวงเงินคืน”



    “แม่นางทำให้ข้าหวนนึกถึงคนที่....” เขาชะงัก “บ้านน่ะขอรับ”

    “โลกนี้ยังมีคนอื่นนิสัยเหมือนข้าอีกเรอะ”

    “ก็แค่คล้ายขอรับ” เขาตอบกลับเรียบๆ



    “งั้นข้ากับคนที่เจ้าบอก ใครนิสัยแย่กว่ากันละ หือ?”
    ทากะไม่ตอบคำถาม ยิ้มมุมปากเล็กน้อย หลับตานิ่งพิงหลังเข้ากับต้นไม้






    “เอาละ วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว ข้าจะบริการพวกท่านเป็นพิเศษหน่อยละกัน”

    เบลลานี่หยิบขลุ่ยออกมาแล้วเริ่มบรรเลงเพลง ท่วงทำนองสงบและเบาสบายให้ความรู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นละมุนละไมเข้าโอบกอด เสียงขลุ่ยเหล็กดังกังวานแต่แฝงไว้ด้วยความหวานที่สัมผัสได้กล่อมทุกคนให้หลับใหล







    เมื่อทุกคนหลับแล้ว เธอออกมายืนเหม่อมองดูท้องฟ้า ดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นวาดเส้นโค้งบนท้องฟ้าก่อนจะจางหายไป



    “เจ้ากำลังกังวลอย่างนั้นรึ” คราวนี้อเซแมกเป็นผู้ถามคืนบ้าง เธอหันกลับมายิ้มให้เขา

    “ข้าเองก็มีเรื่องให้คิดในบางเวลาเหมือนกันค่ะ”



    “เจ้ากำลังคิดว่าเรื่องเมื่อตอนเย็นเป็นฝีมือของกุห์ฟานสินะ” เขาถามคำถามแหลมๆแทงใจ

    “มีเรื่องไหนที่ข้าปิดบังท่านได้บ้างนะ” เบลถามขึ้นลอยๆ



    “จู่ๆก็ถูกฝูงออคบุกโจมตีแบบนั้น เป็นข้าก็ต้องคิดว่ามีเบื้องหลังแน่ๆ” อเซแมกเข้ามายืนข้างๆมองท้องฟ้าเป็นเพื่อนเธอ



    “ถึงจะเพียงเล็กน้อย แต่ข้ารู้สึกได้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน” อเซแมกเหลือบมอง เธอนี่กำหมัดโดยไม่รู้ตัว



    “เจ้าไปพักบ้างเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าต่อเอง” นักดาบหนุ่มบอก





    เธอหันมาสบตาเขา ทั้งคู่มองผ่านสายตาของกันและกันเนิ่นนาน ประกายเล็กๆในดวงตาสุกสว่างเหมือนดาวที่ส่องแสงบนท้องฟ้า ดาวอีกดวงหนึ่งร่วงหล่นตามอีกดวงไป



    “งั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ” เธอยิ้มบางๆ กระชับผ้าคลุมแล้วเดินกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคนที่กำลังพักผ่อนอยู่รอบกองไฟอบอุ่น







    รุ่งอรุณหวนคืนพร้อมแสงสว่างสดใสเติมเต็มโลกให้งดงาม นักรบหนุ่มสาวตื่นขึ้นพร้อมความสดชื่นที่กลับคืนเพราะได้พักผ่อนเต็มอิ่ม เทรนจัดแจงเข็มขัดและดาบให้เข้าที่ จอมเวทสาวผูกเชือกรองเท้าเสียใหม่ให้กระชับกว่าเดิม มาเรียหยิบเข็มทิศขึ้นมาเช็คทิศทางอีกครั้ง หันมาพยักหน้าเป็นคำถาม ทุกคนพยักหน้าตอบรับ จากนั้นการเดินทางข้ามผืนป่าดงดิบหนาทึบได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง





    มาเรียนำทางทุกคนมุ่งหน้าขึ้นเหนือค่อนไปทางตะวันตกนิดหน่อย สภาพป่าโดยรอบไม่เอื้ออำนวยให้วิ่งได้สะดวกนัก บางช่วงต้องเดินเรียงแถวไปตามอุโมงค์ต้นไม้แคบๆ แม้ว่าหนทางจะยากลำบากเพียงใดก็ไม่ทำให้ความตั้งใจของคนทุกคนสั่นคลอน เมื่อเหน็ดเหนื่อยก็หยุดพักเอาแรงแล้วออกเดินทางต่อ





    สิบหกวันผ่านไป ทั้งหมดเดินทางข้ามพ้นเขตสุดท้ายของป่าพิศวงนามว่าเนมุสด้วยการนำทางของมาเรีย ระหว่างทางแม้จะไม่มีการโจมตีจากพวกออคอีกแล้ว แต่พวกเขาต้องผจญกับสัตว์ประหลาดอีกหลายอย่าง อาทิเช่น หมูป่ายักษ์แสนจะดุร้าย งูยักษ์ตัวมหึมาที่โจมตีตอนกลางคืน ฝูงลิงปีศาจที่วิ่งไล่กวดทั้งวันทั้งคืน นกดึกดำบรรพ์คล้ายกับไดโนเสาร์ ฯลฯ



    แต่ทั้งหมดก็ผ่านพ้นปัญหามาได้ด้วยการร่วมมือร่วมใจของทุกคน







    “เอาละ วันนี้พักกันตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้เดินทางอีกครึ่งวันก็จะถึงปากทางหุบเขามรณะแล้ว” มาเรียแจ้งทุกคนเมื่อเดินทางมาถึงทุ่งหญ้ากว้าง มองเห็นภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านรออยู่ไกลๆ



    “ใกล้แล้วสินะ” เทรนยกมือขึ้นป้องเหนือคิ้วมองดู

    “อีกไกลต่างหากละ” มาเรียบอกพร้อมกับย่อตัวลงนั่งหยิบขวดน้ำออกมา ในขณะที่กำลังจะดื่ม เธอเห็นประกายแสงบางอย่างลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะ เมื่อตั้งใจเพ่งมองก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อประกายเหล่านั้นกลายเป็นดาบไฟจำนวนมากพุ่งลงมายังพวกเขา





    “คุสโทเดีย อาควัม!” (โล่วารี)



    มวลน้ำมากมายหมุนวนเป็นเกราะป้องกันการโจมตีจากฟากฟ้า ดาบอัคคีปะทะเข้ากับโล่วารีสูญสลายไปจนหมดเหลือเพียงไอร้อนระอุ



    มาเรียหันไปมองก็พบว่าอากิรอสใช้น้ำในขวดของตัวเองผสานกับพลังเวทป้องกันทุกคนไว้ได้ เทรนกระชากดาบออกมาเตรียมพร้อม เบลยื่นมือให้เธอจับรั้งตัวขึ้นมายืน





    “โผล่หัวออกมาได้แล้วพวกหมาลอบกัด” อากิรอสก้าวออกไปยืนเบื้องหน้า ตะโกนเสียงดัง บรรยากาศด้านหน้าห่างไปไม่ไกลเกิดการบิดเบี้ยว ชายหนึ่งและหญิงหนึ่งก้าวออกมาจากม่านมิติ





    “ข้าบอกแล้วว่ามันไม่ได้ผลเจ้าก็ไม่เชื่อข้า”

    “แหม ข้าก็แค่อยากลองเท่านั้นแหละน่า”



    ไบท์ ไวท์แฟงค์และอเซเรีย ควินน์ ยืนตระหง่านตรงหน้าอากิรอสและพวกพ้อง นักเวทหนุ่มจ้องมองพวกเขาไม่วางตาก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป



    “กุห์ฟานอยู่ที่ไหน”



    “อยากรู้จริงๆรึว่าท่านกุห์ฟานอยู่ที่ไหน” ไบท์ตอบกลับ “แต่ถึงเจ้ารู้ไปก็ไม่ประโยชน์หรอก เพราะยังไงพวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่ ตรงนี้แล้ว”



    “นังตัวแสบ วันนี้ข้ามาคิดบัญชีกับเจ้าโดยเฉพาะเลย” ไบท์ชี้มีดไปยังมาเรีย

    “คราวก่อนไม่เข็ดรึไงกันนะ หรือว่าเป็นพวกดีแต่ใช้กำลังเลยไม่มีสมอง” เธอย้อนกลับแบบเจ็บแสบๆ หยิบแส้ออกมาสะบัดเตรียมพร้อม แต่อากิยกมือขึ้นขวางก่อน



    “พวกเจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลยนะว่ากุห์ฟานอยู่ที่ไหน”

    “ฟังไม่รู้เรื่องรึไงกัน เจ้าโง่...” ไบท์จะด่ากลับแต่ถูกอิเซเรียยกมือห้ามเช่นกัน



    “หากเจ้ามีปัญญาทำให้ข้าตอบคำถามได้ ข้าก็จะตอบให้”

    อิเซเรียท้าทาย “คราวก่อนยังไม่รู้ผลการต่อสู้เลย เอ๊ะ! หรือว่ารู้ผลกันตั้งแต่แรกแล้วนะ” เขาชักดาบทั้งสองออกมา ตัวดาบเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วเพลิงไฟก็ผุดขึ้นปกคลุมใบดาบทั้งสองเล่ม





    “ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้นละก็ ข้าก็จะทำให้เจ้าเปิดปากเอง” อากิรอสกางมือออก พลังเวทรวมเข้าที่ฝ่ามือแล้วแปรรูปกลายเป็นดาบวารีสองเล่มเช่นกัน



    “ทุกคนไม่ต้องยุ่งนะ ข้าจะจัดการเจ้านั่นเอง” อากิบอกแล้วพุ่งตัวออกไป อิเซเรียก็พุ่งตัวเข้ามาเช่นกัน ดาบไฟและน้ำโคจรปะทะกันเสียงสนั่น แรงกระแทกกระจายไปทั่ว





    “งั้นก็ถึงเวลาตายของเจ้าแล้วนะ” ไบท์พูดจบแล้ววิ่งเข้าหามาเรีย เธอสะบัดแส้เตรียมรับมือแต่เงาร่างหนึ่งพุ่งจากด้านหลังเข้าปะทะไบท์ก่อนเธอ



    “ให้ข้าจัดการเอง” เทรนหันมาบอกแล้วจับดาบสองมือฟาดใส่เต็มแรง อีกฝ่ายประกบมีดต้านรับไว้ได้

    “เฮ้ อย่าเพิ่งฆ่ายัยนั่นตายละ เหลือไว้ให้ข้ากรีดหน้าให้เสียโฉมก่อนนะ” มาเรียตะโกนบอกไล่หลังไป







    ด้านอากิและอิเซเรีย เพลงดาบสองมือปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน การรุกรับผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา ทั้งสองเข้าประดาบกันตรงๆก่อนจะถอยหลังแยกจากกัน รอเวลาและโอกาสในการบุกต่อไป



    “คราวนี้หันมาใช้ดาบคู่แทนขวานแล้วงั้นรึ” นักดาบแห่งทารัสถามขึ้น

    “ข้าจะทำให้เจ้าพ่ายแพ้ด้วยวิชาของเจ้า จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่เก่งกว่ากัน” นักเวทหนุ่มตอบแล้วพุ่งเข้าหา มือซ้ายวาดดาบขนานกับพื้นจากขวาไปซ้ายส่วนมือขวาฟาดดาบตามซ้ำจากบนลงล่าง แต่คู่ต่อสู้ต้านรับไว้แล้วจู่โจมกลับด้วยการสับฟันสองมืออย่างรวดเร็ว





    “จะทำให้ข้าพ่ายแพ้ในเชิงดาบอย่างนั้นรึ? โอหังเกินไปแล้ว”



    อิเซเรียหมุนตัวฟาดดาบทั้งสองเข้าใส่สุดแรง อากิต้านรับไว้ได้แต่ก็ต้องถอยกรูด อีกฝั่งตามซ้ำไม่ให้เขาหยุดพักโถมเข้าฟาดดาบมือขวาใส่ตรงๆ จอมเวทผมปัดการโจมตีทิ้ง แต่ทว่าอิเซเรียแทงดาบในมือซ้ายเข้าหาอีกครั้งบังคับให้อากิต้องหลบพลางถอยหลัง กลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเต็มตัว







    อีกด้านการต่อสู้ระหว่างเสือสาวสองตัวก็ดุเดือดไม่แพ้กัน ไบท์พยายามบุกเข้าประชิดตัวแต่เทรนก็ไม่ยอมง่ายๆ รัวดาบเข้าใส่ไม่ให้อีกฝ่ายคุมจังหวะได้



    เนิ่นนานไปดูเหมือนนักดาบสาวจะได้เปรียบมากขึ้น ออกกระบวนท่ากดดันอีกฝ่ายได้มากกว่า





    “เป็นไงละ! ข้าชินกับจังหวะของเจ้าแล้วนะ” เทรนบิดข้อมือพลิกดาบฟันเข้าใส่จากซ้ายขวาสลับกับการแทง ไบท์ทำได้เพียงปัดป้องและหลบหลีกเท่านั้น



    “อาจารย์เจ้าไม่ได้สอนรึว่าหากยังไม่จบการต่อสู้อย่าเพิ่งลำพองใจ”



    ไบท์ใช้ปลายมีดกระแทกเข้ากลางใบดาบที่แทงเข้ามาจนเบี่ยงออก พุ่งตัวเข้าหาใช้อีกมือหนึ่งจ้วงแทงเข้าใส่เหมือนต่อยฮุค เทรนเอี้ยวคอหลบไปได้เฉียดฉิว นักฆ่าฉายาเขี้ยวสีขาวไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยแทงคมมีดเข้าที่เอวอีกที นักดาบสาวกระโดดถอยหลังออกห่างแต่เสื้อก็ถูกเฉือนเป็นทางยาว







    “คราวก่อนข้าประมาทถึงได้เจ็บตัว แต่คราวนี้ข้าเอาจริงแล้ว”



    เธอพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม แยกเขี้ยวเข้าหา ดวงตาเปี่ยมด้วยความอาฆาตล้นทะลัก สองมือควงมีดแทงซ้ายทีขวาที นักดาบสาวจอมห้าวกลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับพัลวัน เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่มีจังหวะโจมตีแล้วเทรนจึงฉากหลบออกห่างมั่นใจว่าหนีพ้น แต่ไบท์กลับก้าวเท้าตามประกบไม่ให้หนีง่ายๆ





    “อย่าเพิ่งหนีสิจ๊ะ”



    ไบท์ยิ้มหวานก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุดัน แทงมีดเข้าใส่ไม่ยั้ง เทรนไม่สามารถรับการโจมตีได้หมด ถูกแทงเฉือนเข้าที่ไหล่ซ้ายหนึ่งแผลและต้นแขนขวาอีกหนึ่งที่ เธอกลั้นใจฝืนความเจ็บเหวี่ยงดาบเข้าปะทะสุดแรง ผลักดันให้ศัตรูต้องถอยร่นกลับไป





    “เป็นไปไม่ได้! ยัยนี่เร็วกว่าเรางั้นรึ?”

    เทรนตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง แม้แผลทั้งสองแห่งจะไม่ลึกเท่าไร แต่บาดแผลทางจิตใจกลับสาหัสกว่า เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลจากปลายคิ้วลงสู่คางแล้วหยาดหยดสู่พื้น









    เลือดสดๆสายหนึ่งสาดกระเซ็นย้อมลงเปื้อนยอดหญ้าสีเขียวสด อากิรอสในเวลานี้มีแผลจากคมดาบของศัตรูเต็มไปหมด คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แก้มซ้ายมีแผลกรีดบางๆให้เลือดผุดออกจากปากแผลไหลเป็นทาง ลมหายใจหอบรวนป่วนปั่น





    คู่ต่อสู้นามอิเซเรียก้าวเท้าเข้าหาเขาช้าๆ สองมือเหยียดดาบลงลากปลายหญ้า จิตสังหารรุนแรงเปี่ยมล้น แววตาเหยียดหยันมองลงเบื้องล่างดุจดั่งผู้ปกครองมองดูทาสต่ำต้อย





    To be continue…







    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag –



    ตอนนี้ออกช้ากว่ากำหนดนิดหน่อยครับ คนเขียนไม่ค่อยสบายแต่ก็ลากสังขารมาเคาะแป้นพิมพ์จนจบตอนให้อ่านกันจนได้



    หวังว่าคงจะถูกใจกันนะครับกับฉากสู้ช่วงต้นของสาวเทรนที่มีเสียงเรียกร้องให้แสดงฝีมือบ้าง
    ( แต่ตอนท้ายกำลังแย่แล้วสิ ^ ^; เอ้า! เป็นกำลังใจให้เธอกันหน่อย )




    บทสรุปของการต่อสู้จะเป็นเช่นไร ติดตามต่อได้ตอนหน้าครับ



    Azemag A.C. McDowell
Thread Status:
Not open for further replies.

Share This Page