สามารถอ่านตอนเก่า ๆ ได้ที่นี่ http://www.all-final.com/forum/index.php?showtopic=4251 ขออภัยที่ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ต่อมาเป็นปีจนกระทู้ตกหน้าไปแล้ว แต่คนเขียนนึกอยากสานต่อให้จบ(แม้สุดท้ายจะต้องตัดจบซะงั้นก็เถอะ) อันที่จริงก็คิดพล็อตเรื่องนี้มาก่อนยาวเหยียดกว่านี้มาก แต่เผอิญรู้สึกว่าตอนนี้พล็อตใหม่ ๆ มันจะกระดังเข้ามาในหัวมากเหลือเกิน แล้วก็อยากเขียนมากด้วย แต่ครั้นจะทิ้งเรื่องที่ไม่จบก็กระไรอยู่ ยังไงก็ขอให้ผู้อ่าน(ที่ไม่รู้จะยังเหลือกันรึเปล่านะ)กรุณาติดตามจนจบด้วยละกันนะคะ (ปล. เนื่องจากไม่ได้เขียนฟิคอย่างเต็มที่มานานแล้ว ฝีมืออาจตกไปบ้าง และทางผู้เขียนเองก็สังเกต(จริง ๆ ก็ตั้งนานแล้วแหละ) ว่าแต่ละตอนนั้นความยาวค่อนข้างมากไปจริง ๆ ดังนั้นนับจากตอนนี้ไป ความยาวจะสั้นลงประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ก็จะพยายามเค้นหัวสมองและสองมือเขียนให้จบให้ได้มันสักเรื่องในชีวิตก็แล้วกันค่ะ) (หมายเหตุ - เนื้อเรื่องนั้นแทบจะเรียกว่าใช้พล็อตที่คิดไว้แต่ไม่ได้เขียนต่อมาเป็นชาติแทบทั้งดุ้น จึงไม่ต้องแปลกใจหากเนื้อหาดูเก่า ๆ เหมือนเคยแง้ม ๆ หรือพูดถึงไปบ้างแล้ว แต่ถึงจะไม่ได้อ่านมานานจนลืมก็ไม่ต้องห่วง เพราะนับจากตอนนี้จนจบ จะไม่กล่าวถึงพวกเมคานิคหรืออะไรมากนักอีกแล้ว ยกเว้นแต่ข้อมูลเมคานิคของตัวละครเอก(ที่ดันได้ลงช้ากว่าตัวอื่น ๆ ไปถึงปี)เท่านั้น) Chapter XV : Shooting Star ย้อนกลับไปเมื่อห้าวันก่อน “หมัดดาวตกสิงห์คำราม!!!” “ย๊ากกก! หมัดกระสุนฝนดาวตก!!!” กลุ่มของกระสุนแสงจำนวนที่พุ่งแหวกผ่าอากาศประสานเสียงดังกระหึ่มทั่วทั้งอาณาบริเวณ ซึ่งมีอยู่สองกลุ่มพุ่งมาจากคนละทางเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด และหักล้างกันเองไปเรื่อย ๆ ทว่ากลุ่มที่น้อยกว่าก็ต้องถูกดับลงจนสิ้น ส่วนที่เหลือยังคงพุ่งสู่เป้าหมายอย่างไม่ลดละ “อ๊าก!!!!!!!!!!!!!” ร่างของเด็กสาวในชุดเกราะที่หมดสภาพปลิวลอยไปไกลหลายเมตร ถูกพายุคลื่นหมัดจำนวนนับไม่ถ้วนรุมเล่นงานเหมือนเศษกระดาษกลางพายุ ก่อนที่จะกลิ้งตัวคว่ำกับพื้นอย่างหมดท่า “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ งั้นวันนี้พอก่อนละกัน” ฝ่ายชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ชนะเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เพียงสนใจว่าตัวเองจะลงมือทำร้ายผู้หญิงจนสาหัสไปเมื่อครู่นี้ ตรงกันข้ามเขารู้ดี ว่าอย่างเธอไม่มีทางตายเพราะ “หมัดเบาะๆ” ของเขาอยู่แล้ว “เอ้า ลุกขึ้นมา ไม่ต้องสำออย” แม้แต่คำพูดทิ้งท้ายก็ยังไม่ใจอ่อน แต่กระนั้นฝ่ายเด็กสาวที่น่าจะแน่นิ่งก็ยังค่อย ๆ ลุกขึ้นมาได้อยู่ ท่าทางกัดฟันอิดออดบนใบหน้าโชกเลือดและฝุ่นของเธอเนื่องจากเจ็บใจตัวเองที่ยังไม่สามารถแก้ไม้ตายของบุรุษเกราะทองผู้นี้ได้ มากกว่าจะโกรธแค้นหรือเคืองอะไรอีกฝ่ายที่สละเวลามาเป็นครูฝึกให้ หรือถึงอยากจะโกรธก็ไม่ได้ เพราะเคยโวยวายไปทีแล้วโดนตอกกลับมาด้วยประโยคที่เธอได้แต่อึ้งจนเถียงไม่ออกว่า “หากแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็อย่าริจะเป็นนักสู้เลยดีกว่า” แน่นอนแม้ตอนนี้เธอจะไม่ได้เป็นอย่างเมื่อก่อน แต่คำว่า “นักสู้” (แม้บางคนจะเรียกมันว่า “ลูกผู้ชาย” ก็ตาม) ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด และคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่พ่อที่เธอเกลียด ที่ทอดทิ้งเธอและพี่สาวได้หน้าตาเฉย แต่เป็นชายผู้มีบุญคุณกับทั้งสองมาตั้งแต่พบกันครั้งแรก และที่ผ่านมาเธอ(สมัยยังเป็นเฟริอุส วานาอัน) ก็ปฏิเสธความหวังดีที่เคยกีดกันการเป็นนักสู้ของเธอมาตลอด มาถึงตอนนี้เขาถึงขั้นมาเป็นอาจารย์ชั่วคราวให้ หากเธอเป็นฝ่ายพูดเลิกตอนนี้เอง พี่เฟลิเซียที่อยู่บนสวรรค์คงไม่มีวันให้อภัยเธอไปตลอดชีวิต (แม้ว่าเธอจะไม่คิดว่าตัวเองสมควรจะได้รับการอภัยอยู่แล้วก็ตาม) แต่ “เฮอร์คิวลิส เรนัส” เองก็แข็งแกร่งเสียเหลือเกิน แข็งแกร่งจนเด็กสาวไม่คิดว่าจะมีวันเทียบเขาได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม บางครั้งเธอยังอดคิดไม่ได้ว่าที่ต้องมาหาทางรับมือกับ “วิชาเดียวกันแต่ต่างกันไปคนละชั้น” แบบนี้นี่ เป็นเพราะเขายังคงคิดหาวิธีดีดเธอออกจากทางนี้อยู่อีกหรือเปล่า หรือถึงไม่เป็นงั้นก็อาจเป็นเพราะ ชายคนนี้เก่ง เก่งเกินไปจนคิดว่าคนอื่นต้องเก่งเหมือนตัวเองได้ ทั้งสองกลับออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติที่วาลคีริอ้อน วาเนซซ่า หรือ วาเนซซ่า ไอริเอส บรรณารักษ์และผู้พิทักษ์ “ห้องสมุดไร้กาล” แห่งนี้สร้างขึ้น แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงร่างเตี้ยใส่แว่นและชอบก้มหน้าจนผมบังตาซ้ำอีกทอด เหมือนพวกเงียบ ๆ สงบเสงี่ยม แต่จริง ๆ ตัวคุณเธอเป็นเหมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ จากการอ่านตำราอะไรไม่รู้ตั้งเยอะแยะ แถมยังอธิบายเป็นอะไร ๆ ที่เธอฟังแล้วแทบไม่เข้าใจสักอย่างอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าเธอเคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับทางแอสการ์ดโดยตรงบ้างหรือเปล่านะ หลังจากที่เรนัสขอตัวไปพัก รูเน็ตก็ได้แต่ขอนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่โซฟาเก่า ๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือ ขณะเดียวกันก็เห็นหนังสืออะไรสักอย่างวางไว้บนโต๊ะรับแขก ไม่รู้เด็กผู้หญิงผมเขียวนั่นเป็นคนเอามาอ่านแล้วลืมไว้หรือเปล่า ถ้าเป็นปกติเธอคงไม่คิดจะหยิบมาดู เพราะเดาได้ว่าต้องเป็นอะไร ๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่องแล้วชวนเวียนหัวฉุกเฉินเป็นแน่ ในเมื่อรายนั้นเป็นสายเวทที่ใช้สมอง สติปัญญาระดับล้ำลึก และท่องตำราเวทหรืออะไรลึกลับได้อย่างชำนาญ ผิดกับเธอที่เป็นสายต่อสู้สะบั้นหั่นแหลกในแนวหน้า มันเป็นสิ่งที่คนละเรื่องกันอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นเธอเหลือบไปมองดี ๆ มันก็เป็นแค่นิตยสารธรรมดา ๆ ที่เขียนด้วยตัวหนังสือระดับสามัญชนจะเข้าใจได้แค่นั้นเองนี่นา ถ้าเป็นแบบนี้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย ถึงจะน่าอายถ้าให้บอกว่าเธอไม่รู้ว่านิตยสารดาราหรืออะไรพวกนี้มีอะไรน่าสนใจ ถึงได้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงนักหนา (และเธอก็จำได้ว่าพี่เฟลิเซียเองยังอ่านมันอยู่บ่อย ๆ แต่ตัวเธอหรือเขาในสมัยนั้นกลับถูกตำหนิทันที หลังจากที่เปิดแล้วเจอภาพถ่ายแบบชุดเซ็กซี่ของพวกดาราในเมืองหลวง) รูเน็ตถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเพลีย พลางปาดเหงื่อที่ท่วมใบหน้า กลิ่นคาวเลือดของตนเองยังคงอบอวลอยู่แม้ว่าเรนัสจะใช้พลังมาน่าปิดปากแผลเธอทั้งหมด ตามด้วยความสามารถในการฟื้นตัวของร่างกายในปัจจุบัน และคาถารีเจเนต(Regenate)ที่มีผลเร่งการรักษาตามธรรมชาติของร่างกายให้เร็วกว่าปกติ(เป็น 1 ในเพียงไม่กี่คาถาที่เธอใช้เป็น) จนไม่เหลือรอยแผลเป็นเลยก็ตาม เด็กสาวหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่น ๆ แน่นอนเธอแทบไม่ใส่ใจกับเนื้อหาใด ๆ เลย อาจเป็นเพราะพื้นเพดั้งเดิมของเธอไม่เข้ากับเรื่องพวกนี้ แต่ก่อนที่เธอจะเลิกอ่านด้วยความเบื่อ เหมือนสวรรค์บันดาลให้เธอได้เห็นคอลัมน์น่าสนใจเข้าเสียก่อน ดูเผิน ๆ มันก็แค่ความรู้รอบตัวเรื่องดาราศาสตร์ธรรมดา ๆ แม้จะเก่าไปหน่อย แต่สำหรับเธอแม้จะยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนฉลาด อาจจะซื่อบื้ออย่างที่ใคร ๆ ชอบว่าเธอด้วยซ้ำ แต่เรื่องแค่นี้ คนอย่างเธอก็เข้าใจได้ ว่ามันมีประโยชน์อะไรกับเธอบ้าง - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - กลับสู่ปัจจุบัน “Payu Ngu Yak!!!!!!!!” เรวิลร่ายมนตราพายุหมุนอีกครั้ง กระแสลมที่ไหลวนจนแลดูคล้ายงูเห่าที่อาบพิษไว้เต็มคมเขี้ยว พุ่งเข้าหาร่างของเทพธิดาที่ใกล้จะปีกหักเต็มทีหมายจะเผด็จศึกครั้งสุดท้าย ดูเหมือนจะสิ้นหวัง แต่เด็กสาวก็ขมวดคิ้วฝืนความหวั่นเกรงทั้งมวลจับจ้องทูตมรณะด้วยดวงตาสีฟ้าที่มุ่งจะคว้าความหวัง ถึงมันจะน้อยนิดก็ตาม แขนขวาของเธอสั่นกระตุกจนต้องประคองเอาไว้ด้วยมือซ้าย ลมหายใจแทบขาดห้วง แต่ก็ยังกล้ำกลืนฝืนทนอาการอ่อนล้าไม่เหลือแรงทั้งหมดไว้ “รุ่นพี่เรนัส.....ท่านอาจารย์โจแอน อาจารย์มิซาโตะ ท่านเมสิอาห์ แล้วก็.....พี่....พี่เฟลิเซีย.....ได้โปรด....มอบพลังให้ฉันด้วย ถึงจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ยอม” รูเน็ตได้แต่นิ่งอยู่กลางอากาศ เหมือนรอให้พายุร้ายที่เหมือนอสรพิษกำลังกระโจนพุ่งอ้าปากเตรียมกัดเหยื่อ ทว่าในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง บริเวณกลางหน้าผากของหมวกเหล็กวาลคีรี่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของส่วนรัดเกล้าสีทองที่ดูเผิน ๆ แค่ของประดับ ได้บังเกิดแสงสีแดงเจิดจ้า ทะลุผ่านรอยแยกในบริเวณเฉพาะจุด ส่วนนอกกลายเป็นสะเก็ดหลุดออกเผยให้เห็นผลึกโปร่งแสงทรงแปดหน้าฝังอยู่ และสิ่งที่ส่องแสงอยู่ภายในนั้นคือ สัญลักษณ์รูปกางเขนสองชั้น ขณะเดียวกัน ที่มือขวา ไม่สิ ครั้งนี้กลับเป็นแขนขวาทั้งท่อนตั้งแต่หัวไหล่จรดปลายเล็บ กำลังเปล่งแสงกระพริบสีขาวอมฟ้าวูบวาบขึ้นอีกครั้ง ดุจดังปืนใหญ่ที่บรรจุกระสุนพร้อมจะยิงเป็นครั้งสุดท้าย ในเมื่อนี่อยู่กลางอากาศ ไม่มีพื้นให้รองรับ ทางเดียวที่จะทดแทนได้ เด็กสาวผู้ไม่ยอมแพ้จึงตัดสินใจเร่งไอพ่นของปีกสีขาวที่ยับเยินให้สุดกำลัง และพุ่งเข้าไปในปากของเจ้างูร้ายนั่นแหละ โชคเป็นของเธอที่ตอนนี้ พายุมีลักษณะเป็นทรงกรวยตรง ไม่ได้คดเคี้ยวเหมือนตอนที่เธอพยายามบินสลัดหนี ดังนั้นจึงสามารถมุ่งตรงไปยังใจกลางของมันได้อย่างง่ายดาย และนี่แหละโอกาสครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่มีอยู่ เพื่อเอคิโดน่าและซาซ่าที่ยอมรับคนอย่างเธอเป็นพวกพ้อง แม้จะแค่ช่วงสั้น ๆ เพื่อเหล่าคนที่คุณคาริมต้องการปกป้อง เพื่อผู้อ่อนแอที่ต้องเดือดร้อนเพราะภัยสงครามที่จักรวรรดิได้ก่อขึ้น และ... เพื่อให้สักวัน เธอจะได้เข้าถึงตัวพวกมัน และจบเรื่องราวทั้งหมด ถ้าหากรอดไปได้ ทุกอย่าง ตัดสินกันด้วยหมัดนี้เท่านั้น “อ....อะไรน่ะ” เรวิลถึงกับตกตะลึงในพฤติกรรมของรูเน็ต ที่กล้าบ้าบิ่นพอจะบินเข้ามาเอง ไม่สิ เป็นเพราะเขารับรู้ได้ต่างหากว่า จู่ ๆ ระดับพลังมาน่าของเด็กสาวพุ่งสูงขึ้นอย่างที่เขาคาดไม่ถึง “รับไปซะ! VALKYRIE STARLANCER!!!!!!!!!” เสียงปะทะกันจากใจกลางวนพายุกระหึ่มขึ้นเหมือนฟ้าร้อง แสงสว่างเล็ดลอดออกมาระเบิดสว่างจ้าจนทุกสายตาที่เห็นจำต้องหลับตาอุดหูอย่างพร้อมเพรียง ถือเป็นโชคดีที่พาหนะลอยฟ้าทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างมากพอจะไม่โดนผลกระทบจนร่วงตายหมู่ เมื่อทุกอย่างเงียบสงบลง หลังจากที่ลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าก็ทำให้ฝ่ายต่อต้านล้วนตกตะลึง โดยเฉพาะสองสาว เอคิโดน่าและซาซ่า “รูเน็ต!!!!!!!” ทั้งสองคนถึงกับตะโกนออกมาทั้งที่เสียงสะท้อนอยู่ในเครื่อง ร่างของวาลคีรี่สีขาวปลิวลอยละล่องออกมาจากพายุที่สลายไป แต่ดูเคว้งคว้างไม่มีท่าทีดิ้นรนแม้ชุดเกราะจะแตกสลายเป็นชิ้น ๆ ไปจนหมด เหลือเพียงตัวเปล่าและชุดลำลองใต้เกราะเท่านั้น สภาพราวกับคนไร้ชีวิต สตรีผมสีส้มแดงผู้มีกายท่อนล่างเป็นเหล็กกล้าไม่ทำการเคลื่อนไหวร่างอันบอบช้ำใด ๆ นอกจากปล่อยตัวหล่นลงสู่เบื้องล่างเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และกระแทกกับพื้นแม่น้ำเบื้องล่างอย่างรุนแรง จมหายลับไปในบัดดล “ม.....ไม่จริง.....” เด็กหญิงถึงกับน้ำตาซึมลอดผ่านเบ้ากลมโต “บ.....บ้าน่า” แม้แต่เอคิโดน่าก็ไม่สามารถทำสีหน้านิ่งได้กับภาพที่เห็น กลับมาที่บนฟ้า ร่างของนักรบที่แลดูคล้ายมนุษย์วานรขนเพชรยังคงยืนตระหง่านลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่ในเครื่องบินลำใหญ่สีดำนั้นเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดีมีชัยของเหล่าทหารจักรวรรดิที่ยังเหลือรอดอยู่ แต่พวกเขาก็ดีใจได้เพียงไม่นาน อย่างน้อยก็จนถึงหลังจากที่นายกองจอมขี้ขลาดพูดเชียร์ให้เรวิลจัดการคอปเตอร์สองใบพัดของพวกต่อต้านเสียนั่นแหละ “ม.... ไม่น่าเชื่อ น.... นังเด็กนั่น......” หนุมาน เรวิล ที่ยืนถือสามง่ามตรีศูลในมือที่ด้ามหักเป็นสองส่วน เหมือนจะเพียงเท่านั้นแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ แม้แต่กลางอกของเขาก็เกิดรอยแตกทะลุเกราะเข้าไป แถมรอยแตกร้ายนั้นยังลามออกไปรอบ ๆ พร้อมกับของเหลวสีแดงที่ทะลักออกมา “ม....ไม่ใช่หมัดแล้ว...แต่นั่นมัน......ห.....หอก........” สิ้นเสียง ร่างของไอน์เฮเรียร์แห่งสายลมที่เหมือนจะเป็นผู้กำชัยชนะ กลับค่อย ๆ โซซัดโซเซเสียการทรงตัว ศาสตราในมือถูกปล่อย และร่างนั้นค่อย ๆ สิ้นเรี่ยวแรง ถึงหงายล้ม และทิ้งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างเช่นเดียวกัน นำมาซึ่งทั้งความตกตะลึงของฝ่ายจักรวรรดิ ในขณะที่ฝั่งกลุ่มต่อต้านหลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกจนเข่าทรุด สงครามเวหาครั้งนี้จบลงที่แต่ละฝ่ายต่างก็สูญเสียทั้งกำลังคนและยุทโธปกรณ์ไปไม่น้อย โดยเฉพาะฝ่ายจักรวรรดิ กลุ่มเหยี่ยวดำที่เห็นว่าจำนวนคนของตนเหลือแทบไม่ต่างกับศัตรู แต่ด้วยเชื้อเพลิงของนกเหล็กขนาดยักษ์ที่ถูกผลาญมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น จึงต้องถอยทัพกลับไป ภารกิจขนส่งของฝ่ายต่อต้านจึงสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี...... แต่ แล้วนักสู้เหนือมนุษย์ทั้งสองคนนั้นล่ะ โดยเฉพาะรูเน็ต ผู้ได้ชื่อว่าความหวังใหม่ของหน่วยวานาดีสจะมาจบลงแค่นี้งั้นหรือ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - “อั้ก” ชายหนุ่มกระอักออกมาเป็นเลือด หยดแหมะลงบนพื้นอย่างชวนขนลุก ท่ามกลางห้องที่เปิดไฟไว้อย่างสลัว ๆ เท่านั้น “ทะ....ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ” มิเนอร์ว่าช่วยพยุงร่างเขาเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสั่งเด็กหญิงผมเขียว “วาเนซซ่า รีบไปเอายามาให้อีกเร็ว” “ม....ไม่ต้อง...... ผมไม่เป็นไร” บุรุษผมยาวสีน้ำตาลเจ้าของรอยแผลบากตรงตาข้างซ้ายที่ยังดูใช้การได้ยกมือปฏิเสธ พลางทอดสายตาสีเทาแกมเขียวเพื่อให้สองสาวเห็นว่าตนยังสบายดี “แต่ว่าตัวคุณ....” มิเนอร์ว่าพูดไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าปฏิเสธอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอก็เห็นว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากเปลี่ยนคำพูด “งั้นวาเนซซ่า ช่วยไปเอาผ้ามาเช็ดเลือดเขาบนพื้นที” “ค่ะ” เด็กหญิงตอบรับก่อนจะรีบวิ่งออกไป “เดี๋ยวฉันจะช่วยพาคุณไปนอนพักที่เตียงให้เอาไหมคะ” สาวใหญ่ถามอย่างเป็นห่วง “ไม่ต้อง ผมชอบลุกมานั่งแบบนี้มากกว่า” เฮอร์คิวลิส เรนัส เขาเป็นผู้มีร่างกายสูงใหญ่ บึกบึนแข็งแรงเพียงพอจะทำเท่ต่อหน้าสาว ๆ ได้ทุกโอกาส เนื่องจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แม้แต่ตอนนี้ก็ยังแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บพอสมควร จากฝีมือของเด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือใหม่ด้วยซ้ำ แม้ตอนนี้ ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขาก็ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลไปเกินครึ่ง โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกที่แม้ภายนอกจะดูไม่เป็นไร แต่ข้างในนั้นบอบช้ำมิใช่เล่น บ่อยครั้งที่เขาต้องเอามือกุมเพื่อย้ำถึงสัมผัสที่ได้รับ ที่หากมองในแง่ดีมันก็คือร่องรอยที่แสดงถึงพัฒนาการของผู้เป็นทั้งศิษย์และรุ่นน้อง ที่ครูฝึกและรุ่นพี่คนหนึ่งอย่างเขาควรจะภาคภูมิใจ “แต่ไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่า ระดับอย่างคุณจะแพ้เด็กคนนั้นได้ คุณอ่อนข้อให้มากเกินไปรึเปล่า” แม้จะถูกหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีมรกตถามเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็ได้แต่กล้ำกลืน เพราะถึงจะเกิดจากการบอกใบ้แบบอ้อม ๆ ของเขาก็ตาม แต่ยอมรับว่าเขาคำนวณพลาดไปเล็กน้อย แทนที่จะรับมือทันกลับกลายว่าเป็นเขาเอง ที่เฉียดเส้นตายไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ใช่แล้ว เนื่องจากเห็นว่ารูเน็ตไม่มีทางหยุดพายุคลื่นของหมัดดาวตกที่เขาปล่อยออกไปมากกว่า 2 เท่าของเจ้าตัวได้แน่นอน เขาจึงตั้งเงื่อนไขให้เพียงแค่ว่าโจมตีผ่านให้ถึงตัวเขาให้ได้เท่านั้นก็พอ แต่ดูเหมือนตัวเด็กสาวจะไม่ยอมรู้ตัวสักที ว่าหมัดที่ปล่อยออกมาทั้งจำนวนน้อย แถมพลังและความเร็วยังด้อยกว่าของเขามากมายนั้นไม่มีทางทำอะไรเขาได้แม้แต่ปลายก้อย เขาจึงเป็นคนบอกให้วาเนซซ่าเอานิตยสารที่มีเรื่องเกี่ยวกับที่มาของดาวตกไปวางไว้ให้เธออ่าน ก็ยังดีที่ต่อให้รายนั้นซื่อบื้อแค่ไหนก็ยังเข้าใจเป็น ในวันถัดมา รูเน็ตจึงตัดสินใจรวมคลื่นหมัดที่กระจัดกระจายสะเปะสะปะเหมือนฝูงดาวตกธรรมดานั้น ให้ชกรวมไปยังตำแหน่งเดียวซ้อนกันในชั่วพริบตา แม้จะต้องใช้ทั้งพลังสมาธิ พลังกาย ความตั้งใจ รวมถึงพลังมาน่าที่มากขึ้นอีกหน่อย แต่เด็กสาวก็ทำสำเร็จ สะเก็ดดาวที่กระจายกันอย่างสะเปะสะปะ ได้รวมตัวกันอีกครั้ง กลับคืนเป็น “ดาวหาง” เมื่อคลื่นหมัดเหล่านั้นรวมตัวกัน ก็เป็นดั่งหอกแหลมคม ศาสตราซึ่งคอยพุ่งเข้าเสียบหัวใจของเป้าหมายอย่างเที่ยงตรง เมื่อมันพุ่งประหนึ่งดาวหางอันส่องสว่าง ที่แหวกได้กระทั่งความมืดของท้องฟ้ายามราตรี คู่ควรแล้วกับชื่อของมัน 女神天槍 天星突き[หอกฟ้าทะลวงดาราสวรรค์] หรือจะเรียกว่า Valkyrie Star Lancer หากปราศจากก็อดโร้บเฮอร์คิวลิสที่มีความแข็งแกร่งสูงตามคุณสมบัติของไอนส์เฮเรียร์สังกัดธาตุดิน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดจากการโจมตีสวนกลับนั้นมาได้ เนื่องจากเรื่องที่เขาเป็นผู้ชายแอบปลอมตัวเข้ามาที่นี่เป็นความลับ เขาจึงไม่สามารถขึ้นไปรักษาตัวที่ห้องพยาบาลข้างบนตามปกติได้ และหากกินยาของวาเนซซ่า ที่ทำให้กลายร่างเป็นผู้หญิงชั่วคราวทั้งที่อาการยังสาหัสอยู่แบบนี้ ก็ถือว่าอันตรายเกินไป เพราะยานั่นมันมีผลกระทบต่อเซลล์ของร่างกายโดยตรง ไม่อาจใช้ได้บ่อยนัก ตอนนี้เขานึกถึงรูเน็ตที่ออกไปทำภารกิจข้างนอกกับพรรคพวก ด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ม......มืดจัง...... ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย นี่เรา........ เราตายแล้วงั้นหรือ ไม่นะ...... นี่มันแค่ครึ่งปีเองไม่ใช่เหรอ....... เรายังไม่ได้...... ล้างแค้นให้พี่เลย...... ทุกคนล่ะ...... รุ่นพี่เรนัส...... เอคิโดน่า.... ซาซ่า..... คุณมิเนอร์ว่า...... นี่เราล่วงหน้ามาก่อนพวกเขาแล้วหรือ...... แต่....... มาคิดดูแล้ว เราทำอะไรที่มันดูเป็นไปได้บ้าง...... ต่อสู้กับจักรวรรดิ ที่แค่คนอย่างเจ้าลันฮิลด์เรายังเอาชนะไม่ได้....... แล้ว...... พี่ล่ะ..... ถ้าพี่มาเห็นเข้า จะคิดกับเรายังไง........ ........แล้วนี่ตกลง เราต่อสู้ไป เพื่ออะไรกันแน่....... “ถ้างั้น ทำไมไม่ลองหาคำตอบด้วยตัวเองล่ะ” !!? - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - “อะ...โอย....” รูเน็ตรู้สึกตัวอีกครั้ง สิ่งแรกที่เธอรับรู้ได้ก็คือความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้เธอต้องร้องอิดออดออกมา “ท....ทำใจดี ๆ เอาไว้นะคะ” เสียงนั่น...... เสียงที่อ่อนหวานบ่งบอกว่าเจ้าของเป็นผู้หญิง เมื่อเธอค่อย ๆ ฝืนกล้ำกลืนความเจ็บและลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงไฟที่ดูสลัว ๆ เหมือนแสงเทียนบางเบา ก็พอช่วยให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพขึ้นบ้าง “พ....พี่......” นี่มัน.....เป็นไปไม่ได้.... ความฝันงั้นหรือ หรือว่าเป็นเพราะ..... [To Be Continued] Einherjar's Data Valkyrion Jean D’Arc Runette ชื่อจริง – อิจิมอนจิ รูเน็ต (นามสกุลได้รับในภายหลัง) สมญา – ปีศาจสีขาว (จริงดิ!?) อายุ – 18 ปี (เฟริอุสกลายเป็นรูเน็ตเมื่ออายุ 16 ปี บวกเวลาในการฝึกรวม 2 ปีตามเวลาในห้องมิติพิเศษ) ส่วนสูง - 166 cm. น้ำหนัก – 49 kg (ขาที่เป็นเครื่องจักรหุ้มเกราะมิสริลมีระบบควบคุมแรงโน้มถ่วงขนาดย่อม ดังนั้นน้ำหนักที่วัดได้จึงไม่มีความแตกต่างจากคนปกติ) ก็อดโร้บ – โจน ออฟ อาร์ค ธาตุ – แสงสว่าง ความสามารถเบื้องต้น [ผู้สวมใส่+ชุดเกราะ] - พลังโจมตีกายภาพระยะใกล้ - B + B พลังโจมตีกายภาพระยะไกล - D + C พลังโจมตีทางเวทมนตร์ - E + B พลังป้องกันทางเวทมนตร์ - D + A ความอึด - C + D ความคล่องแคล่ว - A + B [วัดตามมาตรฐานไอน์เฮเรียร์และก็อดโร้บในระดับที่ใกล้เคียงกัน] Equipment & Ability Luminal Drive - เตาพลังงานขนาดเล็กจำนวนมากที่อาศัยพลังมานาหมุนเวียนเพื่อปลดปล่อยอนุภาคลูมินา(อนุภาคแห่งแสง)ในรูปไอพ่น ช่วยให้สามารถบินได้และตัวอนุภาคยังเป็นไอพ่นพลังสูงแต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต(แต่เป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าอันเดด) เรียกว่าเป็นพื้นฐานที่พบได้ทั่วไปในก็อดโร้บทุกชุด กรณีของรูเน็ต จะเป็นท่อเล็ก ๆ จำนวนมากเรียงกันในรูปปีกนางฟ้า ใช้พลังจิตในการควบคุม เรียกว่าเป็นลักษณะยอดนิยมที่พบได้ทั่วไปในหมู่วาลคีริอ้อน(ไอน์เฮเรียร์หญิง) Blade*4 - อาวุธพิเศษคล้ายใบมีดขนาดเล็กที่บินไปมาได้ตามใจนึก ปกติประกอบอยู่ที่ส่วนไหล่ของชุดเกราะ เมื่ออยู่ในรูปอวตาร์(ก็อดโร้บยามผนึก)จะเป็นใบมีดหอกของเทพธิดานักรบ เวลาใช้งานสามารถพุ่งแทงโจมตีศัตรูในระยะไกล หรือยิงลำแสงขนาดเล็กที่มีพลังทะลุทะลวงสูงได้ นอกจากนี้ทั้งสี่ชิ้นยังสามารถประกอบกันเป็นศาสตราวุธ Demonbane ซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมาก (รูเน็ตมักใช้ในรูปของดาบเคลมอร์สำหรับการต่อสู้ระยะประชิด) Sonic Fist - ส่วนเกราะแขนขวานั้นได้รับการดัดแปลงเป็นพิเศษโดยทางแอสการ์ด ให้สามารถชาร์จพลังงานและออกหมัดชุดด้วยความเร็วเสียงได้โดยลดภาระที่ร่างกายจะได้รับไปด้วย รูเน็ตอาศัยประโยชน์นี้ในการใช้ "หมัดกระสุนฝนดาวตก" ในช่วงแรก ๆ แม้ตอนเจ้าตัวจะยังใช้วิชานี้ได้ไม่สมบูรณ์ก็ตาม โดยรวมแล้วเป็นสิ่งที่เพิ่มไปจากเดิมเพื่อช่วยให้รูเน็ตสามารถต่อสู้ได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง Burst Mode - เมื่อจิตต่อสู้ของรูเน็ตพุ่งสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง ความสามารถพิเศษของชุดเกราะก็จะทำงาน เมื่อสัญลักษณ์รูปกางเขนสองชั้น (สัญลักษณ์ของวีรสตรี Jean D'Arc) เปล่งประกายแสงสีแดงเพลิง จะส่งผลให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวและอานุภาพของการโจมตีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ร่างกายเองก็ต้องรับภาระหนักมากตามไปด้วย ว่ากันว่าวาลคีริอ้อนแห่ง Jean D'Arc รุ่นที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถใช้งานโหมดนี้ได้เกินครั้งละห้านาที Chamber of Holy Maiden - สามารถใช้งานได้เมื่ออยู่ใน Burst Mode เท่านั้น เมื่อสัญลักษณ์บนรัดเกล้าส่องแสงขณะที่ร่ายบทสวดแห่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ ลูกแก้วที่่ประดับไว้ตามเกราะไหล่และส่วนเข่าจะเปล่งแสงตามไปด้วย จะสามารถสร้างขอบเขตเวทมนตร์ขาวขึ้นรอบตัว (รัศมีขึ้นกับระดับความสามารถด้านเวทมนตร์ของผู้สวมใส่) เมื่ออยู่ในอาณาเขตนี้ พวกเวทมนตร์สายขาว (เช่นเวทแสงสว่าง เวทฟื้นฟู) การฟื้นตัวของร่างกายและพลังชีวิต รวมถึงความสามารถของผู้สวมใส่ก็อดโร้บคนอื่นจะได้รับการเพิ่มพลัง และส่งผลตรงข้ามต่อพวกอันเดดและมนตร์ดำ แต่ตัววาลคีริอ้อน Jean D'Arc เองก็จะไม่สามารถขยับตัวไปไหนมาไหนได้เนื่องจากต้องสวดมนตร์อยู่ใจกลาง และเนื่องจากใช้พลังมาน่าค่อนข้างมาก จึงส่งผลให้ระยะการใช้งาน Burst Mode สั้นลงด้วย *หมายเหตุ- รูเน็ตไม่เคยใช้ความสามารถนี้เนื่องจากเจ้าตัวอ่อนทางด้านเวทมนตร์อย่างมาก Exorcism Nova - หนึ่งในท่าไม้ตายขั้นสุดยอดของวาลคีริอ้อน Jean D'Arc ซึ่งเป็นสังกัดธาตุแสงสว่าง เป็นคาถาสายแสงที่มีอานุภาพรุนแรง เป็นการรวบรวมอนุภาคแสงจากลูมินอลไดรฟ์ที่ปีกทั้งสอง อัดพลังเวทแสงสว่างลงไป จากนั้นจึงระเบิดแสงออกไปรอบ ๆ ตัวในรัศมีที่กว้างมาก ทว่าแม้จะมีพลังทำลายที่รุนแรง แต่จะมีผลเฉพาะพวกอันเดด พวกมนตร์ดำและสิ่งที่เกี่ยวข้องเท่านั้น (ไม่สามารถใช้ทำลายสถานที่หรือทำอันตรายสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปได้) นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องใช้ Burst Mode และ Chamber of Holy Maiden นำร่องก่อนด้วย *หมายเหตุ- รูเน็ตเองก็ใช้เวทมนตร์นี้ไม่เป็นเช่นกัน ****Divine Assault**** Cross Smasher : อันที่จริงแล้วจะเริ่มจากปลดปล่อยเบลดทั้ง 4 ออกมาประกอบกันเป็นตัวช่วยนำร่อง 2 ชิ้นหมุนวนรอบ ๆ ตัวพร้อมกับรวบรวมพลังมาน่าไว้ในมือทั้งสองข้าง โดยเบลดจะเก็บรวบรวมอนุภาคลูมินาที่ปล่อยจากปีกนำมาผสมให้ จากนั้นจึงปลดปล่อยออกไปในรูปลำแสงที่มีความรุนแรงสูงโจมตีใส่ศัตรูอย่างรุนแรง ตามหลักจึงเป็นการโจมตีระยะไกล ****กรณีของรูเน็ต รูปแบบของการใช้ท่าไม้ตายนี้จะแตกต่างจากที่กล่าวไป เนื่องมาจากรูปแบบการต่อสู้ของเจ้าตัวที่เน้นการต่อสู้แบบเข้าแลกมากกว่า ที่มาของวีรชน - Jean D'Arc วีรสตรีผู้แต่งองค์เยี่ยงชายในการรบเพื่อประเทศชาติของตน ก่อนที่จะถูกข้าศึกจับไปเป็นเชลย และถูกกล่าวหาเป็นพวกนอกรีตและโดนเผาทั้งเป็น แต่หลายปีผ่านไป ศาสนจักรได้ตัดสินใหม่และแต่งตั้งให้เป็นนักบุญ ในขณะที่วิญญาณของนางถูกรับขึ้นสวรรค์และได้กลายเป็นไอน์เฮเรียร์ (ในเรื่องนี้เป็นผู้ฝึกสอนและอาจารย์ที่ปรึกษาให้รูเน็ตมาก่อน ที่จริงเก่งนะ แต่รูเน็ตเหมือนจะซึมซับได้น้อยไปหน่อยแค่นั้น) อื่น ๆ - แม้จะถูกจัดอยู่ในประเภทนักรบ แต่ความสามารถโดยรวมของก็อดโร้บชุดนี้กลับสนับสนุนการต่อสู้เป็นกลุ่มมากกว่า ความสามารถที่สนับสนุนการใช้เวทมนตร์สายขาวนั้นช่วยกลบจุดด้อยในการต่อสู้ที่ต่ำกว่าสายนักรบเพียว ๆ ไปได้ และเน้นหนักในการปกป้องพวกพ้องจากอาคมมนตร์ดำและพลังชั่วร้าย แต่ทว่าค่อนข้างขัดแย้งกับตัวรูเน็ตที่ชอบต่อสู้เพียงลำพัง และเน้นการบุกตะลุยในแนวหน้าชนิดเข้าแลก ลักษณะที่ค่อนข้างขัดแย้งกันเองนี้็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รูเน็ตค่อนข้างด้อยกว่าไอน์เฮเรียร์คนอื่น ๆ อาจเป็นเพราะความสามารถด้านเวทมนตร์และการสนับสนุนพวกพ้องที่ติดมาแป้กไปนั่นเอง แต่ถึงแม้ก็อดโร้บชุดนี้มีอาวุธค่อนข้างน้อย แต่รูเน็ตก็ยังสามารถประยุกต์วิชาการต่อสู้โดยเฉพาะเพลงหมัดหรือเพลงดาบเพื่อทดแทนได้อยู่บ้าง เนื่องจากในโลกของ Sacred Maiden Valkyrion นั้น ธาตุแสงสว่างนั้นได้เปรียบเฉพาะธาตุมืด(ซึ่งในหมู่ไอน์เฮเรียร์จัดว่าหายากพอ ๆ กัน)เท่านั้น แต่จะเสียเปรียบเมื่อเจอธาตุอื่น ๆ (ดิน น้ำ ลม ไฟ มายา และโลหะ) ทำให้รูเน็ตค่อนข้างมีปัญหาในการต่อสู้กับไอน์เฮเรียร์ด้วยกัน และความสามารถของธาตุแสงโดยรวมจะค่อนข้างสมดุลไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่ง แต่จะได้เปรียบเมื่อต่อสู้กับพวกปีศาจชั่วร้ายหรือพวกอมนุษย์ จึงมักเป็นดั่งนักบวชหรืออัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องผู้คนจากสิ่งชั่วร้ายนั่นเอง
เข้ามาเม้นแล้วนะ /me โดนตรบ ยังคงบู๊ได้มันหยดติ๋งๆ = =b แต่ตัดฉากดูมึนๆ ไปหน่อย ตอนแรกอ่านผิดคิดว่าเรวิลความจริงคือเรนัสปลอมตัวซะอีก