บทนำ - จาก Game of Thrones Season 1 ตอนที่ 1

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย jpenguin, 15 กันยายน 2011.

  1. jpenguin

    jpenguin Admin Staff Member

    EXP:
    2,537
    ถูกใจที่ได้รับ:
    93
    คะแนน Trophy:
    113
    โครงการนี้ ไม่ใช่โครงการแปลหนังสือทั้งเล่มนะครับ ผมเองเริ่มต้นจากดูซีรีย์แล้วหลงรักเรื่องนี้มากจนต้องหาหนังสือมาอ่าน หลังจากอ่านหนังสือแล้วผมรู้สึกเสียดายจริงๆ เพราะอารมณ์ตัวละครมากมายไม่สามารถสื่อออกมาทางทีวีได้เลย และเนื้อเรื่องเด็ดๆ ก็หายไปเยอะ

    ผมอยากให้ทุกๆ คนได้รับรู้ถึงอารมณ์เหล่านั้น ถึงเนื้อเรื่องเหล่านั้นจึงได้ริเริ่มหมวดนี้ขึ้นมาครับ ผมอาจจะแปลบ้างตรงจุดที่คิดว่าอยากแปล และจุดอื่นๆ จะเป็นอธิบายเนื้อเรื่องให้ดูเข้าใจมากขึ้น

    ผิดพลาดอย่างไร มีข้อเสนอแนะอะไร ขอให้ท้วงติงมาได้เลยครับ

    ใครที่สนใจ ชอบ หรือเป็นแฟนเรื่องนี้เหมือนกัน Game of Thrones แวะมาคุยกันได้ที่เวบอีกเวบของผมนะครับ

    http://gameofthronesfansite.com

    ====================================================

    บทนำ
    จาก Game of Thrones Season 1 ตอนที่ 1

    01-prologue.jpg

    “เราควรจะกลับกันได้แล้ว” แกเร็ตเร่งเร้า เมื่อป่ารอบๆ เริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุม “พวกคนเถื่อนตายหมดแล้ว”

    “กลัวคนตายเหรอ” เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ ถามขึ้น ที่มุมปากมีรอยยิ้มเยาะ

    แกเร็ตไม่เต้นไปตามการยั่วยุ ด้วยอายุกว่าห้าสิบปี เขาได้เจอพวกลอร์ดอายุน้อยแบบนี้มาแล้วมากหน้าหลายตา “ตายก็คือตาย” เขาบอก “เราไม่มีธุระกับคนตาย”

    “พวกมันตายแน่เหรอ” รอยส์ถามแบบนุ่มนวล “เรามีอะไรพิสูจน์”

    “วิลล์เห็นพวกมัน” แกเร็ตกล่าว “เมื่อเขาบอกว่าตาย มันก็เป็นข้อพิสูจน์เพียงพอแล้วสำหรับข้า”

    วิลล์กะอยู่แล้วว่าในไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องถูกลากเข้าไปร่วมวงถกเถียงด้วยแน่ๆ เขาหวังไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นช้า แทนที่จะเกิดเร็ว “แม่ข้าบอกว่าคนตายไม่สามารถบรรเลงดนตรีใดๆ ได้อีก” เขาเสริม

    “แม่นมข้าก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน วิลล์” รอยส์ตอบ “อย่าเชื่ออะไรที่ได้ยินมาตอนดูดนมสิ คนตายแล้วก็มีเรื่องให้เราเรียนรู้” เสียงของเขาดังก้องกังวาลไปไกล มันดังเกินไปสำหรับป่าในเวลาพลบค่ำ

    “เรายังต้องควบม้ากลับกันอีกไกล” แกเร็ตอธิบาย “อาจถึงแปดหรือเก้าวัน และนี่ก็จวนมืดแล้ว”

    รอยส์ชำเลืองตามองท้องฟ้าอย่างเบื่อๆ “มันก็มืดของมันอยู่อย่างนี้ทุกวัน ทำไม พอมืดหน่อยละไข่หดเลยหรือไง”

    ภายใต้ฮู้ดหนาสีดำ วิลล์สังเกตุเห็นปากของแกเร็ตที่เม้มกันแน่น และความโกรธในแววตาที่แทบจะสะกดเอาไว้ไม่อยู่ แกเร็ตปฏิบัติภารกิจอยู่กับกับหน่วยพิทักษ์ราตรีมากว่าสี่สิบปีแล้ว คำพูดของเขามีน้ำหนัก ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันอย่างนี้

    นอกจากความโกรธ มันยังมีอย่างอื่นอยู่อีก วิลล์รู้สึกได้จากภายในตัวชายสูงอายุ มันเป็นความกดดัน ความเครียด ความหวดผวา ที่แทบจะกลายเป็นความหวาดกลัวอยู่แล้ว

    วิลล์เองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาใช้เวลาอยู่บนกำแพงมาสี่ปี ครั้งแรกที่เขาถูกส่งออกไปนอกกำแพง นิทานน่ากลัวเก่าๆ ที่เขาเคยฟังก็ย้อนกลับมาหาจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด จนมาถึงปัจจุบัน ความกลัวที่เขาเคยมีกลายเป็นเรื่องขบขันไปแล้ว วิลล์กลายเป็นทหารผ่านศึกที่ออกลาดตระเวณมาร่วมร้อยครั้ง ป่าแห่งนี้ไม่ทำให้เขากลัวอีกต่อไป

    แต่คืนนี้ไม่ใช่ คืนนี้มันมีอะไรที่ต่างจากเดิม ในความมืดมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาถึงกับขนลุก เก้าวันแล้วที่พวกเขาควบม้าขึ้นเหนือลึกเข้าไปในป่า ไกลออกไปจากกำแพงมากขึ้นทุกที เพื่อตามรอยของคนเถื่อนที่ออกปล้นหมู่บ้าน ความรู้สึกนี้แย่ลงทุกวัน และวันนี้มันแย่ที่สุด ลมจากทิศเหนือทำให้ต้นไม้ร้องโหยหวนราวกับมีชีวิต วิลล์รู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองตลอดทั้งวันโดยสิ่งที่เย็นเฉียบ ไร้ความปราณี และไม่มีความรักให้เขาแม้แต่น้อย แกเร็ตเองน่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน วิลล์อยากเหลือเกินที่จะหันหลังควบม้ากลับไปหลบอยู่หลังกำแพงที่ปลอดภัย แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่เขาอยากจะแบ่งปันกับผู้บังคับบัญชา

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา คนนี้

    เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ เป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลที่มีประวัติยาวนานซึ่งมีผู้สืบเชื้อสายมากเกินไป เขาเป็นหนุ่มน้อยรูปงามวัยสิบแปดปี ดวงตาสีเทา หุ่นผอมสง่างาม ขี่ม้าดำตัวใหญ่จนม้าของวิลล์และแกเร็ตดูเป็นม้าแคระไปเลย เขาสวมถุงมือหนังดำ กางเกงผ้าขนสัตว์ดำ ถุงมือหนังตัวตุ่นดำ สวม ring mail สีดำเงางามชั้นดี คลุมทับเสื้อขนแกะและเกราะหนัง เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ เพิ่งจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในพี่น้องของหน่วยพิทักษ์ราตรียังไม่ถึงครึ่งปี เท่านั้น แต่เขาดูจะเตรียมตัวสำหรับหน้าที่นี้มาเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็เสื้อผ้าในตู้ของเขาน่ะนะ

    ผ้าคลุมสีดำเป็นเหมือนสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ที่รอยส์ภูมิใจมาก มันทำมาจากหนัง sable ที่ทั้งหนาและนุ่ม “ข้าพนันเลยว่าไอ้หนูนั่นฆ่าเองกับมือทุกตัว” แกเร็ตเคยพูดล้อเลียนในวงเหล้าครั้งหนึ่ง “บิดคอมันทีละตัว ยอดนักรบของเรานี่แหละ” พวกเขาหัวเราะกันเกรียวกราว

    ** (sable เป็นสัตว์สี่เท้าเล็กๆ ชนิดหนึ่งตระกูลเดียวกับแมว หน้าตาคล้ายตัวนาก - wiki) **

    มันไม่ง่ายเลยที่จะรับคำสั่งจากคนที่เราหัวเราะเยาะมาก่อน วิลล์นั่งคิดอยู่บนม้าตัวเล็กของเขา แกเร็ตเองน่าจะคิดเหมือนกัน

    “ท่านมอร์มอนท์สั่งให้เราติดตามพวกมัน เราก็ติดตามจนเจอแล้ว” แกเร็ตพูดขึ้น “พวกมันตายแล้ว เรายังมีทางกลับที่ยากลำบากให้ต้องควบม้ากันอีกไกล ข้าไม่ชอบสภาพอากาศนี้เลย ถ้าหิมะตกลงมาเราอาจต้องใช้เวลาเดินทางกลับกันถึง 2 อาทิตย์ หิมะเนี่ยเบาแล้วนะ เคยเจอพายุน้ำแข็งไหม นายน้อย?”

    ลอร์ดน้อยเหมือนจะไม่ได้ยิน เขามองดูท้องฟ้ายามพลบค่ำแบบเบื่อๆ และไม่สนใจนัก วิลล์เดินทางกับอัศวินหนุ่มคนนี้นานพอที่จะรู้ว่า ไม่ควรเข้าไปรบกวนเวลาเขาทำท่าอย่างนี้ “เล่าอีกทีซิ วิลล์ เจ้าเห็นอะไร เอาให้หมดเปลือกทุกรายละเอียด”

    วิลล์เคยเป็นนักล่ามาก่อนที่จะเข้าร่วมหน่วยพิทักษ์ราตรี หรือนักย่องเบาถ้าจะพูดกันตรงๆ เขาลอบเข้าไปขโมยของในถิ่นของตระกูลมัลลิสเตอร์ ก่อนจะถูกทหารม้ารับจ้างจับตัวได้ มันเป็นตัวเลือกระหว่างสวมชุดดำ หรือโดนตัดมือ ไม่มีใครจะเดินทางในป่าได้เงียบเท่าวิลล์ และมันไม่ได้ใช้เวลานานเลยก่อนที่เหล่าพี่น้องชุดดำจะค้นพบความสามารถนี้ของ เขา

    “แค้มป์อยู่ห่างออกไปอีกสองไมล์ ข้ามเนินเขาเล็กๆ ข้างทางน้ำตก” วิลล์บอก “ข้าเข้าไปใกล้ที่สุดเท่าที่ทำได้ พวกมันมีกันแปดคน ทั้งชายทั้งหญิง ไม่เห็นเด็ก พวกมันสร้างเพิงพักพิงกับหินผา พื้นที่ถูกหิมะกลบไปเยอะแต่ข้ายังบอกได้ทุกอย่าง ไฟบนกองไม้ดับสนิท และพวกมันไม่เคลื่อนไหว ข้ามองอยู่นาน คนที่มีชีวิตไม่นอนนิ่งขนาดนั้น”

    “มีเลือดไหม?”

    “ไม่มี” วิลล์ตอบ

    “เห็นอาวุธไหม?”

    “มีดาบอยู่บ้าง มีธนูสองสามคัน ชายคนนึงมีขวาน ขวานหน้าตาดุร้ายท่าทางหนัก มีคมสองด้าน มันตกอยู่กับพื้นข้างมือของเขา”

    “ได้สังเกตุตำแหน่งและลักษณะของศพไหม?”

    วิลล์ยักใหล่ “บางคนนั่งพิงหินผาอยู่ แต่ส่วนใหญ่นอนนิ่งกับพื้น เหมือนล้มลงไป”

    “หรือนอนหลับ” รอยส์เสนอ

    “ล้ม” วิลล์ยืนยัน “มีหญิงคนนึงอยู่ข้างบนต้น ironwood โดนกิ่งไม้บังไปกว่าครึ่งตัว อยู่ไกลสุดสายตา” เขายิ้มเล็กน้อย “ข้าระวังไม่ให้นางเห็นข้า เมื่อเข้าไปใกล้ ข้าเห็นเลยว่านางก็ไม่เคลื่อนไหวเหมือนกัน” แม้เขาจะกำลังภูมิใจในผลงานของตัวเอง แต่ก็อดสั่นสะท้านไม่ได้

    “หนาวเหรอ” รอยส์ถาม

    “บ้าง” วิลล์บ่นงึมงำ “ลมน่ะ นายน้อย”

    อัศวินหนุ่มหันกลับไปที่ลูกน้องร่างบึกบึนของเขา ใบไม้แช่แข็งลอยเงียบๆ ผ่านหน้าพวกเขาไป ม้าของรอยส์ขยับอย่างกระสับกระส่าย “คิดว่าอะไรฆ่าคนพวกนั้น แกเร็ต?” เขาถามชิวๆ พลางจัดผ้าคลุมให้เข้าที่

    “ความหนาวเย็น” แกเร็ตตอบด้วยความมั่นใจ “ข้าเคยเห็นคนแข็งตายในฤดูหนาวที่แล้ว ข้ายังเป็นเด็กอยู่เลย ทุกคนพูดถึงแต่หิมะที่ทับถมกันหนากว่าสี่สิบฟุต และลมหนาวที่ร้องโหยหวนมาจากทิศเหนือ แต่ศัตรูตัวจริงคือความหนาวเย็น มันจะคืบคลานเข้ามาถึงตัวท่านอย่างเงียบเชียบยิ่งกว่าวิลล์จะทำได้ ตอนแรกท่านจะตัวสั่น ฟันกระทบกัน ท่านจะกระทืบเท้า ฝันถึงไวน์และไฟอุ่นๆ มันแผดเผา ใช่ ไม่มีอะไรจะแผดเผาได้เหมือนความหนาวเย็น แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นมันจะเข้าไปในตัวท่าน เติมเต็มทุกอณูในกายท่าน เพียงไม่นานท่านจะหมดพลังที่จะต่อสู้กับมันอย่างสิ้นเชิง มันง่ายกว่ามากที่จะนั่งลงแล้วปล่อยให้ตัวเองนอนหลับไป เขาว่ากันว่าในช่วงสุดท้ายมันไม่เจ็บปวดเลยนะ แรกๆ ท่านอาจรู้สึกอ่อนแอและง่วง หลังจากนั้นทุกอย่างจะค่อยๆ เลือนหายไป ท่านจะรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่บนน้ำนมที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรู้สึกสงบ”

    “สำนวนสละสลวยใช้ได้นี่” เซอร์ เวย์มาร์ ตั้งข้อสังเกตุ “ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอะไรอย่างนี้อยู่ในตัวเจ้าด้วย”

    “ความหนาวเย็นเคยเข้ามาในตัวข้าเหมือนกัน นายน้อย” แกเร็ตดึงฮู้ดกลับไปข้างหลัง ให้เซอร์ เวย์มาร์ ได้มองก้อนเนื้อข้างหัวของเขา ที่ที่เคยเป็นหูมาก่อน “หูสอง นิ้วเท้าสาม และนิ้วก้อยมือซ้าย ของข้านี่ยังเบาะๆ พี่ชายของข้าแข็งตายระหว่างเฝ้าเวรอยู่บนกำแพง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม”

    เซอร์ เวย์มาร์ ยักไหล่ “เจ้าต้องแต่งตัวให้อุ่นขึ้นสิ แกเร็ต”

    แกเร็ตถมึงตาใส่ลอร์ดน้อย ความโกรธทำให้แผลเป็นรอบรูหูของเขากลายเป็นสีแดง “จะคอยดูว่าเมื่อฤดูหนาวมาถึง ท่านจะแต่งกายได้อบอุ่นแค่ไหน” เขาดึงฮู้ดกลับมาสวมแล้วควบม้าตัวเล็กของเขาไปเงียบๆ

    “ถ้าแกเร็ตบอกว่ามันเกิดจากความหนาวเย็น...” วิลล์เริ่มต้นขึ้น

    “อาทิตย์ที่ผ่านมาเจ้าจับฉลากต้องขึ้นไปเฝ้ายามบนกำแพงบ้างไหม วิลล์?”

    “ก็มีบ้าง นายน้อย” วิลล์นึกถึงการจับฉลากบ้าๆ ที่ทำให้เขาต้องขึ้นไปเฝ้ายามอาทิตย์ละหลายๆ ครั้ง ว่าแต่นี่ลอร์ดน้อยกำลังพยายามจะบอกอะไร?

    “แล้วเป็นยังไง บนกำแพงน่ะ”

    “มีฝน” วิลล์พูด เขาขมวดคิ้ว “ถ้างั้น คนพวกนั้นก็ไม่มีทางแข็งตาย ถ้าบนกำแพงมีฝน แสดงว่ามันไม่ได้หนาวขนาดนั้น”

    รอยส์พยักหน้า “ฉลาดมากพ่อหนุ่ม เรามีเกล็ดหิมะบางๆ ในอาทิตย์ที่ผ่านมา กับลมหิมะบ้างนิดหน่อย มันไม่ใช่ความหนาวเย็นขนาดจะฆ่าผู้ใหญ่ถึง 8 คน แล้วอย่าลืมนะว่าคนพวกนี้มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีแค้มป์ไว้หลบหนาวอยู่ใกล้ๆ และมีอุปกรณ์จุดไฟ” อัศวินหนุ่มยิ้มอย่างมั่นใจสุดขีด “วิลล์ นำทาง ข้าจะไปดูศพพวกนั้นด้วยตัวเอง”

    และมันก็ไม่มีอะไรที่วิลล์จะทำได้อีกแล้ว เมื่อได้รับคำสั่ง เหล่าผู้พิทักษ์ต้องปฏิบัติตาม มันเป็นเกียรติแห่งคำสัตย์ปฏิญาณ

    วิลล์ควบม้าตัวเล็กนำขบวนไปอย่างระมัดระวัง หิมะที่ตกเบาๆ เมื่อคืนก่อนได้ซ่อนหินและกิ่งไม้เอาไว้รอให้คนมักง่ายผ่านไปเหยียบ เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ ตามมาเป็นคนที่สอง ม้าดำของเขาหายใจเสียงดังอย่างหมดความอดทน มันเป็นม้าที่ไม่เหมาะกับการออกลาดตระเวณเอาเสียเลย แต่ลองบอกลอร์ดน้อยดูเองสิ แกเร็ตตามมาเบื้องหลังพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

    ท้องฟ้าใสยามพลบค่ำกำลังมืดลง เปลี่ยนเป็นสีม่วงเหมือนแผลฟกช้ำ ก่อนจะกลายเป็นสีดำ ดวงดาวเริ่มปรากฏพร้อมกับดวงจันทร์ครึ่งดวงค่อยๆ ลอยขึ้นจากขอบฟ้า วิลล์รู้สึกขอบคุณแสงสว่างที่ได้รับ

    “เราต้องทำความเร็วได้ดีกว่านี้สิ” รอยส์เอ่ยขึ้นเมื่อดวงจันทร์ขึ้นไปอยู่กลางฟ้า

    “ม้าข้าไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรอก” ความกลัวทำให้วิลล์หมดความเกรงใจ “หรือว่าท่านนายน้อยอยากจะนำทางเอง?”

    เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ ไม่ตอบอะไร เสียงสุนัขป่าหอนดังมาจากสักแห่งในป่า

    วิลล์ควบม้าตัวเล็กไปใต้ต้นไม้ ironwood ต้นหนึ่งที่ดูจะมีชีวิตมาตั้งแต่โบราณกาล เขาปีนลงจากหลังม้า

    “หยุดทำไม” เซอร์ เวย์มาร์ ถาม

    “ทางที่เหลือเราควรจะเดินเท้า นายน้อย มันอยู่แค่เนินเขานั่นเอง”

    รอยส์หยุดคิดชั่วขณะพลางจ้องมองออกไปไกลๆ ใบหน้าครุ่นคิด ลมหนาวส่งเสียงกระซิบผ่านแมกไม้ ผ้าคลุมหนัง sable ของเขาโบกสะบัดอยู่ข้างหลังราวกับมีชีวิต

    “ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ” แกเร็ตบ่นพึมพำ

    อัศวินหนุ่มน้อยยิ้มให้เขาอย่างเหยียดหยาม “อ้อเหรอ?”

    “ท่านไม่รู้สึกเหรอ?” แกเร็ตถาม “ฟังสิ ฟังเสียงความมืดนี่”

    วิลล์รู้สึกได้ สี่ปีในหน่วยพิทักษ์ราตรีเขาไม่เคยหวาดกลัวขนาดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว มันคืออะไรกัน?

    “เสียงลม เสียงต้นไม้ไหว เสียงหมาหอน เสียงไหนเหรอที่ทำเจ้ากลัวจนไข่หดแบบนี้ แกเร็ต?” พอแกเร็ตไม่ตอบ รอยส์ก็เลื่อนตัวลงจากอานม้า เขาผูกม้าของเขาไว้อย่างแข็งแรงกับกิ่งไม้ที่ย้อยลงมา ห่างจากม้าตัวอื่นพอสมควร แล้วดึงดาบยาวออกมาจากฝัก ด้ามจับของดาบมีอัญมนีส่องประกายระยิบระยับ แสงจันทร์วิ่งไปตามคมมีด มันเป็นอาวุธชั้นดีทีเดียว ถูกตีขึ้นในปราสาท และเท่าที่เห็นยังใหม่อยู่เลยด้วย วิลล์ไม่คิดว่ามันเคยถูกใช้งานมาก่อน

    “ต้นไม้แถวนี้มันขึ้นหนาแน่นนะ” วิลล์เตือน “ดาบจะทำให้ท่านพัวพันอีรุงตุงนัง นายน้อย ท่านใช้มีดจะดีกว่า”

    “ถ้าข้าต้องการคำแนะนำ ข้าจะถามเอง” ลอร์ดน้อยกล่าว “แกเร็ต เฝ้าม้าอยู่ที่นี่แหละ”

    แกเร็ตปีนลงจากหลังม้า “พวกเราต้องการไฟ ข้าจะจัดการให้”

    “โง่รึเปล่าน่ะไอ้แก่ ถ้ามีศัตรูอยู่แถวนี้จริง ไฟเป็นสิ่งสุดท้ายเลยที่เราต้องการ”

    “มันมีศัตรูหลายอย่างที่ไฟจะช่วยป้องกันไม่ให้มันเข้าใกล้” แกเร็ตกล่าว “หมี หมาป่าโลกันตร์ และ . . . และ ‘สิ่งนั้น’ . . . ”

    รอยยิ้มหายไปจากปากของ เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ “ห้ามจุดไฟ”
  2. jpenguin

    jpenguin Admin Staff Member

    EXP:
    2,537
    ถูกใจที่ได้รับ:
    93
    คะแนน Trophy:
    113
    02-prologue.jpg

    เงาของฮู้ดปกคลุมใบหน้าของแกเร็ต แต่วิลล์มองเห็นแววตาของเขาที่จ้องมองไปยังอัศวินหนุ่ม เขากังวลขึ้นมาวูบหนึ่งว่าชายแก่จะคว้าไปที่ดาบของเขา มันเป็นดาบสั้นหน้าตาน่าเกลียด ด้ามจับถูกเหงื่อมามากจนเปลี่ยนสี คมดาบเต็มไปด้วยรอยบิ่นจากการใช้งานหนัก ถ้าเขาชักดาบออกมาจริงๆ วิลล์ก็ไม่คิดจะแทงข้างลอร์ดน้อยเลยสักสลึงเดียว

    ในที่สุดแกเร็ตก็ก้มหน้าลง “ไม่จุดไฟ” เขาบ่นพึมพำ ลมหายใจค่อยๆ เบาลง

    รอยส์สรุปเอาเองว่าแกเร็จยอมจำนนแล้ว เขาหันไปอีกทาง “วิลล์ นำทาง”

    วิลล์ค่อยๆ ฝ่าพุ่มไม้ไปอย่างระมัดระวัง เขาเริ่มเดินทางขึ้นเนินและมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งใต้ต้นไม้ที่มองเห็น ทิวทัศน์ได้กว้างและชัดเจนซึ่งเขาค้นพบจากการสำรวจครั้งก่อน ภายใต้น้ำแข็งบางๆ ของหิมะนั้นเป็นดินโคลนที่เปียกและลื่น ซ่อนไว้ด้วยหินและรากไม้จำนวนมากให้สะดุด วิลล์ปีนขึ้นโดยไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย ข้างหลังเขา เขาได้ยินเสียงโลหะกระทบกันจาก ring mail ของลอร์ดน้อย เสียงเหยียบใบไม้ และเสียงสบถเมื่อถูกกิ่งไม้ขวางทางดาบหรือเกี่ยวเอาผ้าคลุมสุดหรู

    ต้นไม้ต้นนั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงยอดเนิน กิ่งที่ต่ำที่สุดอยู่ห่างจากพื้นเพียงไม่ถึงฟุต วิลล์นอนราบลงไปกับพื้น ท้องแนบสนิทกับหิมะและโคลน เขาไถลตัวเข้าไปข้างใต้กิ่งไม้นั้น และมองลงไปยังพื้นที่เบื้องล่างที่มีแต่ความว่างเปล่า

    หัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจไปชั่วขณะ แสงจันทร์สาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเบื้องล่าง วิลล์เห็นขี้เถ้าของกองไฟ เพิงพักที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หินผา และน้ำตกที่เป็นน้ำแข็งไปครึ่งหนึ่ง ทุกอย่างยังคงเป็นแบบเดิมที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

    แต่มันหายไปแล้ว ศพทั้งหมดหายไปแล้ว

    “พระเจ้า!” เขาได้ยินเสียงจากข้างหลัง เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ ใช้ดาบฟาดฟันกิ่งไม้พลางเดินเข้ามาใกล้ยอดเนิน เขาหยุดยืนข้างต้นไม้ใหญ่ มือถือดาบ ผ้าคลุมโบกสะบัดไปตามแรงลม โดดเด่นเป็นสง่ากับท้องฟ้ายามค่ำคืนให้ทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจน

    หมอบลง!” วิลล์กระซิบอย่างเร่งร้อน “นี่มันไม่ปกติแล้ว”

    รอยส์ไม่ขยับ เขามองลงไปยังพื้นที่ว่างเบื้องล่างแล้วหัวเราะ “ท่าทางพวกคนตายของเจ้าจะย้ายค่ายไปแล้วนะ วิลล์”

    03-prologue.jpg

    แต่วิลล์ไม่มีทั้งเสียงไม่มีทั้งคำพูดใดๆ จะโต้ตอบ เหตุการณ์ตรงหน้ามันเป็นไปไม่ได้ ตาของเขาจับจ้องกลับไปกลับมารอบๆ แค้มป์ที่ถูกทอดทิ้ง เขาหยุดมองที่ขวาน ขวานคมสองด้านที่น่ากลัวด้ามนั้นยังคงถูกวางทิ้งไว้ที่เดิมโดยไม่ถูกแตะต้อง เลย ทั้งที่เป็นอาวุธสำคัญขนาดนั้น

    “ยืนขึ้น วิลล์” เซอร์ เวย์มาร์ ออกคำสั่ง “ที่นี่ไม่มีใครแล้ว ข้าไม่ให้เจ้าซุกตัวใต้พุ่มไม้อยู่อย่างนั้นหรอก”

    วิลล์ฝืนใจยืนขึ้นตามคำสั่ง

    เซอร์ เวย์มาร์ มองดูวิลล์ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “ข้าจะมีหน้ากลับไปที่ปราสาทดำได้ยังไง นี่เป็นภารกิจแรกของข้า ข้าไม่ยอมให้มันล้มเหลวแบบนี้ เรา ต้อง หาพวกมันให้เจอ” เขามองไปรอบๆ “ขึ้นต้นไม้ไปซะ เร็วๆ เข้า มองหาไฟซิ”

    วิลล์หันไปโดยไม่พูดอะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะต่อปากต่อคำด้วย ลมที่พัดผ่านนั้นคมกริบจนแทบจะผ่าทะลุร่าง เขามุ่งไปยังต้นไม้โค้งงอสีเทาเขียวแล้วปีนขึ้นไป ไม่นานมือของเขาก็เหนียวเหนอะหนะไปด้วยน้ำหล่อเลี้ยงของต้นไม้ เขารู้สึกเหมือนหลงทางอยู่ท่ามกลางดงหนามของมัน ความกลัวคลืบคลานเข้าไปอยู่เต็มกระเพาะเหมือนอาหารที่ไม่ยอมย่อย วิลล์ได้แต่กระซิบอธิษฐานต่อพระเจ้าไร้นามแห่งแมกไม้ เขาชักมีดสั้นออกจากฝักแล้วคาบมันไว้ในปาก สัมผัสของใบมีดเย็นๆ ในปากทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น

    ทันใดนั้นท่านลอร์ดน้อยก็ร้องตะโกนขึ้นจากเบื้องล่าง “นั่นใครน่ะ?” มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ วิลล์หยุดปีนต้นไม้ เขาพยายามฟัง เขาพยายามมองดู

    เขาได้ยินเสียงตอบจากป่า เป็นเสียงสั่นไหวของใบไม้ เสียงน้ำไหลผ่านน้ำแข็ง และเสียงนกฮูกจากระยะไกล

    แต่ ‘สิ่งนั้น’ นั้นไม่ได้ส่งเสียงตอบแต่อย่างใด

    วิลล์มองเห็นความเคลื่อนไหวจากหางตาของเขา อะไรสักอย่างสีซีดๆ เคลื่อนที่ผ่านแมกไม้ด้วยความรวดเร็วและเงียบงัน เขาเห็นเงาสีขาวอยู่ในเงามืด เมื่อเขาหันหน้ามันก็หายไป กิ่งไม้ยังคงส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม วิลล์อ้าปากเพื่อร้องตะโกนเตือนลอร์ดน้อยเบื้องล่าง แต่เสียงของเขาเหมือนจะโดนแช่แข็งอยู่ในลำคอ บางทีเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้ นั่นอาจเป็นนก อาจเป็นเงาสะท้อนของหิมะ หรืออาจเป็นภาพลวงตาจากแสงจันทร์ ตกลงเขาเห็นอะไรกันแน่?

    “วิลล์ อยู่ไหน?” เซอร์ เวย์มาร์ ร้องเรียก “เห็นอะไรหรือเปล่า?” เขาถือดาบมั่นไว้ในมือและหันไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง ลอร์ดน้อยคงรู้สึกถึงพวกมันได้เหมือนกับที่วิลล์รู้สึก แต่พวกเขามองไม่เห็นอะไรเลย “ตอบสิ! ทำไมมันหนาวอย่างนี้?”

    มัน หนาว มาก วิลล์ตัวสั่นสะท้านและเกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น ใบหน้าของเขากดลงอย่างแรงกับกิ่งไม้ เขารู้สึกถึงน้ำหล่อเลี้ยงเหนียวๆ ที่แก้ม

    เงาดำปรากฏตัวออกมาจากมุมมืดของป่ามายืนอยู่ต่อหน้ารอยส์ มันผอม สูง แข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ผิวซีดขาวราวกับน้ำนม เวลาที่มันขยับตัว ชุดเกราะของมันเหมือนจะเปลี่ยนสีได้ มุมนี้ขาวเหมือนหิมะ มุมนั้นดำเหมือนเงา และสะท้อนสีเทาเขียวจากต้นไม้รอบที่อยู่รอบๆ ทุกก้าวที่มันก้าวเดิน ลวดลายบนชุดเกราะจะขยับไปด้วยเหมือนเงาจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ

    วิลล์ได้ยินเสียง เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ หายใจขู่เหมือนงู “อย่าเดินหน้ามาอีกนะ” ลอร์ดน้อยร้องเตือน เสียงแตกพร่าเหมือนเด็ก เขาแกว่งผ้าคลุมหนัง sable ไปข้างหลังให้พ้นแขนที่จะใช้ต่อสู้ แล้วจับดาบด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ลมที่พัดอยู่เมื่อครู่หายไปหมดแล้ว ตอนนี้อากาศนิ่งสนิท และความหนาวเย็นก็เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด

    ‘สิ่งนั้น’ ไถลตัวเดินหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง ในมือของมันถือดาบที่วิลล์ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต มันไม่ได้ตีขึ้นด้วยโลหะของมนุษย์แน่ๆ มันดูราวกับมีชีวิตเมื่อสัมผัสกับแสงจันทร์ มันเป็นผลึกใสที่มองทะลุได้ เป็นคริสตัลที่บางเฉียบจนแทบจะมองไม่เห็นจากด้านข้าง มีแสงสีฟ้าอ่อนๆ เรืองรองอยู่รอบๆ คมมีด จะเพราะเหตุใดก็ตาม วิลล์รู้ได้ทันทีว่ามันคมกริบเสียยิ่งกว่าใบมีดโกน

    04-prologue.jpg

    เซอร์ เวย์มาร์ ประชัญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ “มาเต้นรำกับข้าหน่อยล่ะกัน” เขาชูดาบขึ้นท้าทาย น้ำหนักของดาบทำให้มือของเขาสั่นระริก หรืออาจจะสั่นเพราะความหนาวเย็น ถึงอย่างไรในวินาทีนั้น คนที่วิลล์เห็นไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นผู้ใหญ่ เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ราตรีอย่างเต็มภาคภูมิ

    ‘สิ่งนั้น’ ไม่ขยับ วิลล์มองเห็นตาของมัน มันเป็นสีฟ้า มันเป็นฟ้าที่ลึกล้ำและฟ้ากว่าตามนุษย์ ฟ้าที่แผดเผาได้เหมือนน้ำแข็ง ตาคู่นั้นจ้องไปยังดาบยาวที่สั่นระริกอยู่เหนือหัว มองแสงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนโลหะ ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกมีความหวัง

    แล้วพวกมันก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ตอนแรกสองตน เป็นสาม . . . สี่ . . . ห้า . . . เซอร์ เวย์มาร์ อาจจะรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่มากับพวกมัน แต่เขาไม่มีทางมองเห็นหรือได้ยินเสียงของพวกมันแน่ๆ วิลล์รู้ว่าเขาต้องตะโกนเตือน มันเป็นหน้าที่ของเขา แต่ถ้าเขาร้องเตือนมันจะหมายถึงความตายสำหรับเขาด้วยเช่นกัน เขาตัวสั่นระริกได้แต่กอดต้นไม้ไว้เงียบๆ

    ดาบสีซีดนั้นแหวกอากาศออกมาอย่างสั่นๆ

    เซอร์ เวย์มาร์ เอาเหล็กกล้าเข้ารับ แต่เมื่อคมมีดพบกันมันไม่ใช่เสียงโลหะกระทบกันเลย มันเป็นเสียงเล็กแหลมจนแทบจะพ้นขอบเขตของการได้ยิน มันเหมือนเสียงสัตว์ร้ายกำลังกรีดร้องอย่างเจ็บปวด รอยส์เข้ารับดาบที่สอง ที่สาม แล้วต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง รับการโจมตีอีกชุดหนึ่ง เขาก็ถอยไปอีกที

    ข้างหลังเขา ทั้งซ้าย ขวา และรอบๆ ตัว ‘สิ่งนั้น’ เพียงแต่ยืนเฉยๆ พวกมันไร้หน้า ไร้เสียง ลวดลายของชุดเกราะทำให้มองพวกมันแทบไม่เห็นเลยเมื่ออยู่ในดงไม้ แต่พวกมันไม่ได้ขยับเข้ายุ่งกับการต่อสู้

    ดาบปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงดาบปะทะกันร่ำร้องโหยหวนอย่างประหลาดจนวิลล์อยากเอามืออุดหูเสียเหลือ เกิน มาถึงตอนนี้ เซอร์ เวย์มาร์ ต่อสู้จนหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ ไอน้ำจากลมหายใจส่องประกายกับแสงจันทร์ ดาบของเขาถูกน้ำแข็งเกาะจนขาว ส่วน ‘สิ่งนั้น’ ยังคงเริงระบำกับดาบที่เรืองรองสีฟ้า

    แล้วรอยส์ก็ปัดป้องการโจมตีช้าไปจังหวะหนึ่ง ดาบที่ซีดเซียวกัดทะลุ ring mail บริเวณใต้แขน ลอร์ดน้อยร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดสดๆ ทะลักออกมาระหว่างวงแหวน ไอน้ำระเหยออกมาเมื่อเลือดสัมผัสกับความหนาว และสีแดงของมันดูร้อนแรงราวกับไฟเมื่อมันหยดลงบนหิมะ เซอร์ เวย์มาร์ เอานิ้วมือไปถูที่แผล ถุงมือหนังตัวตุ่นของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด

    ‘สิ่งนั้น’ พูดอะไรบางอย่างในภาษาที่วิลล์ไม่รู้จัก เสียงของมันฟังดูเหมือนเสียงน้ำแข็งแตกในทะเลสาบฤดูหนาว และน่าจะเป็นการเย้ยหยัน หัวเราะเยาะ

    เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ อาศัยพลังเฮือกสุดท้ายจากความเดือดดาล “เพื่อโรเบิร์ต!” เขาร้องคำรามและลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด เขาใช้มือทั้งสองข้างแกว่งดาบออกเป็นแนวนอนด้วยแรงและน้ำหนักตัวทั้งหมด ‘สิ่งนั้น’ เพียงปัดป้องแบบขี้เกียจๆ

    เมื่อคมดาบสัมผัสกัน เหล็กกล้าก็แตกกระจาย

    เสียงร้องโหยหวนดังก้องกังวาลไปทั่วป่า ดาบยาวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นส่วนเล็กๆ กระจายออกไปราวกับเข็ม รอยส์ทรุดลงไปคุกเข่า ส่งเสียงกรีดร้องและเอามือปิดที่ดวงตา เลือดพุ่งเป็นสายน้ำออกมาระหว่างนิ้วมือ

    พวกมันที่ยืนดูอยู่ ขยับขึ้นหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันเหมือนได้รับสัญญาณ ดาบถูกชูขึ้นและแทงลงไปอย่างเงียบเชียบ มันเป็นการเชือดอย่างโหดร้ายเลือดเย็น ดาบซีดๆ เหล่านั้นตัดผ่านชุด ring mail ราวกับตัดผ้าไหม วิลล์หลับตาแน่น เขาได้ยินเสียงพวกมันพูดคุยและหัวเราะอย่างเลือดเย็นอยู่เบื้องล่าง

    เมื่อเขามีความกล้าพอที่จะลืมตาขึ้นมา เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เนินเขาเบื้องล่างเหลือแต่ความว่างเปล่า

    เขายังคงเกาะอยู่บนต้นไม้ แทบจะไม่กล้าหายใจ ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านท้องฟ้าไปช้าๆ จนในที่สุดเมื่อกล้ามเนื้อของเขาเริ่มเป็นตะคริวและนิ้วหมดความรู้สึกไปเพราะความเย็น เขาก็ปีนลงมา

    ศพของรอยส์นอนคว่ำหน้าลงกับหิมะและกางแขนข้างหนึ่งออก ผ้าคลุมหนัง sable ผืนหนาถูกฟันเป็นสิบๆ ครั้ง เมื่อเห็นศพเขาอย่างนี้ วิลล์ถึงได้สังเกตุว่าแท้จริงแล้วเขาอายุน้อยขนาดไหน ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง

    วิลล์เห็นเศษดาบตกอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต ปลายของมันแตกออกเป็นซี่เล็กๆ บิดเบี้ยวคล้ายต้นไม้ที่ถูกสายฟ้าฟาด วิลล์คุกเข่าลง มองไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง แล้วเก็บเศษดาบนั้นขึ้นมา สิ่งนี้แหละที่จะเป็นหลักฐานของเขา แกเร็ตน่าจะตีความหมายของมันได้ ถ้าเขาทำไม่ได้ เจ้าหมีแก่มอร์มอนท์ หรือเมสเตอร์อีมอนก็น่าจะตีความได้ แกเร็ตกับม้าจะยังรอเขาอยู่หรือเปล่า เขาต้องรีบแล้ว

    เมื่อวิลล์เงยหน้าขึ้น เขาก็เห็น เซอร์ เวย์มาร์ รอยส์ ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

    เสื้อผ้าชั้นดีของเขาขาดรุ่งริ่ง หน้าของเขาเหวอะหวะเละเทะ เศษดาบชิ้นหนึ่งปักคาอยู่กับลูกตาซ้ายสีขาว

    ส่วนตาขวานั้นเปิดกว้าง มีประกายเรืองรองเหมือนไฟสีฟ้า มันมองเห็น

    เศษดาบหล่นลงจากนิ้วมือที่ชาด้านไร้ความรู้สึก วิลล์หลับตาลงอธิษฐาน สวดภาวนา มือที่ยาวเรียวถูผ่านแก้มเขาไป แล้วบีบรัดที่รอบคอ มือนั้นสวมถุงมือหนังตัวตุ่นชั้นเลิศ มันเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเลือด และเย็นยะเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งใดๆ ที่เขาเคยสัมผัสมา

    . . .
    . . .
  3. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    /กรีดร้องกึกก้อง #$)%*$#%*)#$*/

    ตายแล้ว มีคนแปลด้วยแหละค่ะ มีคนแปลด้วยแหละค่ะ!!! (แม้จะนานเป็นปีแล้วก็ตาม...)

    ไม่รู้จะช้าไปมั้ยถ้าเราจะแวะมาตอบว่าเราก็ชอบซีรี่ย์เรืื่องนี้มากๆ จนไปซื้อหนังสือมาอ่านเหมือนกันค่ะ! เล่นเอา เอ่อ...นิ้วระบมเลย (หนาทุกเล่ม ใช้นิ้วชีรับน้ำหนัก เข้าวันที่สามเท่านั้นแหละ กดเมาส์ไม่ได้เลยทีเดียว)

    เกือบจะแปลเล่นเองแล้วเหมือนกันนะคะเนี่ย... ตายแล้ว อ่านแล้วอายเลย แปลสวยกว่าเราเยอะเลยค่ะ ชื่นชมจัง!!

    ตอนนี้เราอ่านไปถึงประมาณครึ่งเล่ม 3 เองค่ะ เนื้อเรื่องกำลังตื่นเต้นน่าดูเลย ลุ้นอาร์ย่าสุดฤทธิ์เลย

    จะรอดูตอนต่อไปนะคะ :D :D :D

    ปล. เดี๋ยวสักพักฉบับลิขสิทธิ์ก็จะมาแล้วนี่นา
  4. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    ไม่รู้ว่ามีเป็นนิยายนะเนี่ยเรื่องนี้ =[]=! ดูซีรี่ส์แล้ว ยังดูให้เกินตอนที่ 6 ไม่ได้ เพราะอึดอัดที่ตัวดำเนินเรื่องเยอะไป ผมชอบเชียร์ทีละคน 55555+

    sable ใช้ทับศัพท์เลยก็ได้มั้งครับว่า ตัวเซเบิ้ล

    อ่านของพี่เจแล้ว น่าสนุกดี ไว้ลองหานิยายมาอ่านดูดีกว่า :D

Share This Page