[ฟิครับสมัคร] รักสวภัทร : บทที่ 3-1.5 ตอนพิเศษ

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Aki, 19 กันยายน 2011.

  1. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    รักสวภัทร - เปิดตึก (โหมโรง)

    คนที่บอกว่า

    ‘แม้เราอาจถูกผูกมัดด้วยร่างกาย

    แต่รักคงถูกผูกพันด้วยจิตใจ’

    ... ไม่เคยรักใครจริง ...


    บางครั้งฉันก็รู้สึกว่า ถึงไม่ต้องรู้จักกัน ฉันก็รักเธอได้

    และสิ่งนี้ไม่อาจอธิบายได้ด้วยนิยามข้างต้น


    “ที่แท้ความรักก็แค่ความรู้สึกของเรา”

    เป็นเรื่องน่าเศร้าเกินกว่าจะยอมรับ เพราะมันไม่โรแมนติกดั่งนิยาย


    บนครีมสีขาวนวลเหนือหน้าเค้กช็อกโกแลตดำสนิท

    สตอเบอรี่สีแดงสดประดับเด่น

    รอยตัดคว้านลึกจนเห็นไส้ใน เนื้อร่วนเข้ม

    คราบเหนอะปาดเปรอะเลอะช้อน

    เมื่อเราเลียลิ้มชิมรสจนหมดหวานแล้ว... ที่เหลือคือความเอียนเลี่ยน

    แล้วความขมของ ‘รัก’ ก็ติดที่ลิ้นบาง

    เบื้องหน้าคือความแหว่งโหว่ของสิ่งซึ่งเคยสวยงาม


    บัดนี้เค้กที่หญิงสาวใฝ่หา ก็กลายเป็นกองขยะโชยกลิ่นเหม็นให้คลื่นเหียน

    เราละล่ำละลักกับความรักซึ่งพร่ำบอกตนเองว่ามันจะเติมเต็มชีวิต

    ‘อ่อก อ่อก อ่อก’

    แล้วอาเจียนออกเป็นความรู้สึกผิดตรึงติดชีวิต


    ตัวอันตราย -- นรันดร์
    เจ้าชาย -- ก.....



    รอยหมึกสีน้ำเงินเข้มเริ่มกระจายเป็นวงกว้าง เนื้อของเหลวสีขุ่นชุ่มซึมจนเลอะกระดาษบางแผ่นหลัง ปลายปากกาจ่ออยู่ที่หางของตัวอักษร ‘ก’

    ปอยผมดำหยักศกปรกลงมาด้านหน้า ตัดกับนัยน์ตาน้ำตาลนิ่งบนผิวชมพูระเรื่อ

    หญิงสาววางปากกาคอแร้งลงจนด้ามพลาสติกกลิ้งหลุน ๆ มือขวาเท้าคางแล้วผ่อนลมหายใจยาว


    ‘บ้าจริง... ฉันไม่ควรเขียนอะไรแบบนี้เลย’


    เธอจับขอบกระดาษขาวแล้วกระชากออกจากห่วงร้อยสีเข้ม รอยฉีกขาดปรุไม่เรียบสวย ฝ่ามือสะอ้านรวบปลายแผ่นบางเข้าหากัน ขยำหยาบอยู่สองสามที แล้วหย่อนลงถังขยะฟ้าอ่อนใต้โต๊ะ



    แผล่บ แผล่บ

    ลิ้นเล็กแตะหลังมือจนเธอสะดุ้ง ขนเงินดำลู่ไปกับกางเกงสแล็คเข้ารูป ลูกแมวน้อยกระแซะเข้าหาเธอแล้วนอนขดจนตัวฟูเป็นปุยราวกับก้อนสำลีสีเขม่า


    เจ้าหม่นเงยหัวขึ้นมองแม่บุญธรรมตรงหน้า แล้วหาววอด


    บางทีมันคงเห็นลึกลงไปในแววตาสับสน ริมฝีปากยิ้มแหยซ่อนความนัยจนยากจะตีความหมาย

    และเมื่อมันพูดไม่ได้ มันก็ผินตัวมานอนเกยขาแทน

    ‘ผมอยู่ข้างแม่เสมอ’



    ก๊อก...

    ก๊อก... ก๊อก...

    เสียงไม้ลั่นกระตุกเธอให้ยันตัวขึ้น เจ้าหม่นสะบัดหนีแล้วเดินไปซุกซอกเตียงอย่างรู้หน้าที่

    “วิน... พี่เองจ๊ะ ขอเข้าไปเล่นกับเจ้าหม่นแป็ปนึงนะ”

    คราวนี้เสียงใสลอดแทรกแทนการเคาะประตู และเมื่อไอ้ตัวเล็กแสนรู้เข้าใจว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใคร มันก็ก้าวเท้าฉับ ๆ ล้ำหน้าเจ้านายในชุดนักศึกษา

    กวินทราปลดล็อกกลอนในออกแล้วดึงบานไม้เข้าหาตัว เผยให้เห็นหญิงสาวหุ่นสวยในชุดแซกสีชมพูจาง ปรายผมน้ำตาลเข้มตีจากแรงลมจนเส้นสลวยไสว รอยยิ้มใสเปื้อนใบหน้าหวานเรียวมนคล้ายเค้กครีมวนิลา


    ‘ผู้ชายที่กล้าทิ้งผู้หญิงคนนี้ คงจะบ้าไปแล้ว’


    กวินทราคิดเช่นนั้น แต่ปากไม่ทำตามความรู้สึกของเธอ

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่มน”

    .

    .

    .

    .




    พอมาย้อนนึกว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป

    ทุกอย่างก็ดูจะผิดไปซะหมด

    พอลองตรองให้ดีว่ามันเริ่มจากตรงไหน

    ก็เผลอคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นตั้งแต่แรก... ที่รักเธอ


    ความรักที่เห็นแก่ตัว... แค่ต้องการครอบครอง... ต้องการให้มีคนมารัก... มันก็มักจะจบแบบนี้หล่ะ

    แบบที่... เธอทิ้งผมไป


    ผม... จะไม่ทำร้ายใครด้วยความรักแบบนั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะเธอคนนั้น



    “ริน... ผมไม่เคยคิดทำเรื่องแบบนั้น หรือถึงผมจะทำ คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาหึงมาหวงผมแล้ว”

    น้ำเสียงหนักของชายหนุ่มค่อนวัยกลางคน ไม่เข้ากับสีหน้าและแววตาใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยม คิ้วขมวดกันจนแทบชิด แก้มแดงระอุไปด้วยความฉุนเฉียว หน้าละไมประดับรอยยิ้มหายไปตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง

    “ความเป็นพ่อไงคะ ? คุณไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ... นังเด็กนั่นอ่อนกว่าคุณเป็นสิบปี”

    สรารินทร์ชักสีหน้ากลับ ชายผู้เคยทุ่มเทความรักทั้งหมดให้เธอกำลังปันใจดวงนั้นไปให้คนอื่น – เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอหลายปี


    เธอไม่มีทางได้ยินคำหวานจากปากเขาอีกแล้ว

    แต่แทนที่ก้อนสะอื้นจะตีรื้นขอบตา ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนี้กลับแสดงออกเป็นเสียงแหวสูง

    สถานภาพ ‘หย่าร้าง’ ฉีกกระชากความรักของเขาจนสะบั้น

    อย่างไรเสียนั่นไม่ใช่เรื่องตลกร้ายที่สุด

    เมื่อสรารินทร์ซึ่งเป็นคนเอ่ยปากขอแยกจากเอง กลับยังหลงเหลือความรักให้ชายเบื้องหน้าอยู่ และหวงแหนเขาเกินกว่าจะยอมปล่อยไปได้

    แม้แม่หม้ายอย่างเธอจะไม่ได้สิทธิ์นั้น


    ลูก -- คือข้ออ้างเดียวที่ทำให้เขาและเธอมีโอกาสอยู่ด้วยกัน


    “ผม...”

    ความรู้สึกยั้งให้เขาพูดได้ไม่หมด แล้วเลือกอธิบายด้วยเหตุผลอื่น เหมือนกับที่เขาพร่ำบอกตัวเอง “...เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

    ภรรยาเก่าจับตะกอนเสน่หาได้ในความอึกอัก เธอไม่ยอมแพ้

    “คุณรักมันจริง ๆ ไอ้คนวิปริต!”

    คำพูดของสรารินท์ตอกจนเขาหน้าชา กระทุ้งโทสะที่มีต่อเธอ

    “มีแต่คุณนั่นหล่ะ... ที่คิดอกุศลแบบนั้น! คุณจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้ยังไงด้วยความคิดงี่เง่านี่”


    เพี๊ยะ!!!

    และคงไม่ใช่แค่คำพูด จ้ำแดงเจือแก้มขวาเคล้าเสียงฟาดหนัก

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กวีโดนตบ...

    แต่.. เขาไม่ชินกับมันเสียที


    สรารินทร์ไม่รู้หรอกว่าการเอามีดกระซวกแทงยังเจ็บน้อยกว่า

    เขายกมือกุมหน้า แล้วตะโกนลั่น

    “ออกไป!!!”

    .

    .

    .

    .




    ทุกคนบอกว่าจะพยายามทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก

    ทุกคนพูด...

    แต่ไม่มีใครทำ...


    เราไม่เคยเห็นความงามของดอกไม้... เราแค่รู้สึกดีที่มันเป็นของเรา...


    ถ้าไม่ปล่อยมันไว้กับต้น แล้วมันจะมีชีวิตต่อไปได้ยังไง


    ในเมื่อเราเด็ดความรักมาจากคนอื่นแล้ว



    ออกไป!!!

    ก่อนไก่จะขัน เสียงตวาดก็แหวกสูงกลางเช้ามืดคู่ละอองน้ำค้างในลมเย็นต้นฤดูหนาว สองหนุ่มกระชับปกเสื้อคลุมหนาแล้วสบตากัน เผยอปากยิ้มเล็ก ๆ ไร้ความหมาย


    “มึงได้ยินใช่มะ? ไอ้เกมส์”

    เกียรติพงษ์เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอพาร์ทเมนต์ ชายวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเช่นเขามีความรับผิดชอบดีในหน้าที่การงาน บ่อยครั้งก็ดูแลความสงบสุขให้เรื่องชาวบ้านแบบจำเป็น ตั้งแต่ซ่อมบำรุงไปจนถึงทะเลาะวิวาท

    บนม้าหินข้างลานจอดรถ คู่หูของเขานั่งพาดเท้าอยู่ด้วย

    “คงไม่ใช่แค่กูที่ได้ยินว่ะ... มึงขึ้นไปเคลียร์ป่ะ ไม่งั้นวันนี้ทุกคนคงไปทำงานเช้า”

    อนุพงศ์ส่ายหน้า เขาระอากับเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ของชาวบ้านแบบซ้ำ ๆ ซาก ๆ

    เขาจะยุ่งย่ามอะไรได้ ในเมื่อตนเองเป็นคนนอก และเมียก็ยังไม่เคยมี

    งานแบบนี้ต่างหากที่เกียรติพงษ์ได้รับมอบหมาย ฟรีแลนซ์เช่นเขา อย่างมากก็ทำได้แค่เป็นเพื่อนนั่งปรับทุกข์ให้กับกวีนิพนธ์ เจ้าของห้องห้าศูนย์ห้า สถานที่เกิดเหตุในเช้าวันนี้


    “รอก่อนดิวะ... ถ้าป๋าวีคุมสถานการณ์ไม่อยู่ค่อยเข้าไปเสือก”

    ชายหนุ่มผมสั้นเซอนั่งนิ่ง เขาไม่กระอักกระอ่วนใจหากต้องเขาไปจัดการให้เหตุการณ์สงบ แต่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องวางตัวลำบาก แน่นอนที่เราอาจเป็นคนทำให้เรื่องผ่านไปด้วยดี แต่หลายครั้งก็ไม่เป็นเช่นนั้น และใครจะรับผิดชอบเมื่อทุกอย่างเลวร้ายขึ้น


    ปัญหาเป็นของพวกเขา เราก็แค่ยาม

    หน้าที่ของคนรักษาความปลอดภัย คือดูแลสวัสดิภาพ ไม่ใช่ทำให้ทุกคนเข้าใจกัน


    “อย่าห่วงคนอื่นเลย... ว่าแต่มึงเหอะ ไอ้เกมส์... คิดเหรอว่ากูไม่รู้”

    จ้อยยิ้มมุมปากเป็นสัญญาณ แต่คนถูกถามยังวางหน้ามึน

    “เรื่องอะไรวะ ?”

    ลูกครึ่งไทยจีนไม่ปริปาก เขาไม่คิดปิดบังเพื่อน แต่เช้า ๆ แบบนี้เขาไม่อยากพูดให้ไก่ตื่น

    “โถ่... ไอ้ฟายยย ไม่แหย่แม่งละ ไม่มันส์เลย”



    พลันเสียงใสแทรกกลางชายทั้งคู่

    “พี่จ้อย เกมส์... สวัสดีค่ะ”

    พิชามญธุ์รุดออกมาจากห้องของกวินทราหลังนาฬิกาปลุกของกวีนิพนธ์ดัง เธอมีสีหน้าประหม่า แต่แก้มนวลระเรื่อตอนเช้าเข้ากับชุดสีอ่อนของเธอจนหนึ่งในคนถูกทักยิ้มกริ่ม

    “หวัดดีคับ... มน ลงมาเพราะเรื่องไอ้วีสินะ”

    ชายร่างท้วมเชื้อสายจีนลุกขึ้นทักกลับตามมารยาท แต่เจ้าของแววตาคมเสน่ห์หันไปคุยกับรปภ.ผิวคล้ำแดด

    “ค่ะ... พี่จ้อยไม่ขึ้นไปห้ามหน่อยหรือคะ ? ได้ยินเสียงดังจากห้องวินแล้วดูท่าทางใหญ่โตเชียวค่ะ”

    “เข้าไปทำอะไรห้องน้องลมแต่เช้าครับ ?”

    พิชามญธุ์สะดุ้ง เธอไม่น่าหลุดพูดไปเลยว่าอยู่ห้องกวินทราตอนเช้ามืด จะมีเหตุผลอะไรเล่า ถ้าไม่ได้ไปนั่งเกาคางเจ้าหม่นเล่น

    “...เออ...”

    น้ำมนต์คิดหาคำพูดแก้ตัวไม่ถูก ความจริงดันอยู่ตรงคอหอยจนหายใจลำบาก เธอไม่ชอบโกหก คำพูดแบบนั้นบ่งบอกว่าเราไม่เชื่อใจอีกฝ่าย

    “เรื่องห้องห้าศูนย์ห้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ เสียงเงียบไปสักพักแล้ว”

    เกียรติพงษ์ลอบยิ้ม เขารู้เรื่องเจ้าแมวสีสวาทตั้งแต่แรก แต่จะเป็นความผิดอะไรเมื่อผู้หญิงสวย ๆ อยู่กับแมว


    พิชามญธุ์ถอนหายใจ ความโล่งอกเรื่องเจ้าหม่นและกวีนิพนธ์เรื่อตามใบหน้า แล้วรอยยิ้มหวานก็เผยออกมาอีกครั้ง



    ติ๊ด!

    เสียงตรวจสอบคีย์การ์ดดังแว่วมาทางประตูหน้า


    แกร๊ก!

    บานประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก


    สรารินทร์วิ่งพรวด ไหล่เสียดเบียดกระทบพิชามญธุ์จนเซเสียหลักจะล้ม แต่อนุพงศ์คว้าแขนบางได้ทัน เขาจับไหล่ประคองจนน้ำมนต์ยืนได้นิ่งสนิท

    นัยน์ตาบวมแดงซ่อนสะเก็ดความรักซึ่งแตกหักไว้


    เบื้องหลังประตูอัตโนมัติเป็นกวีนิพนธ์ เขาเฝ้ามองสรารินทร์จนลับสายตา โค้งหัวให้ทุกคนเล็กน้อยแทนคำขอโทษ แล้วหันหลังขวับเดินกลับขึ้นไปบนห้อง

    รอยฝาดบนแก้มซ่อนความรักซึ่งไม่อาจเปิดเผยไว้


    ขอบระเบียงชั้นสี่เป็นกวินทรา เธอไม่เห็นหยดน้ำตาของสรารินทร์ แต่คราบความเสียใจตีฟุ้งขึ้นมาจนตัวเธอสั่น สิ่งที่สรารินทร์ทิ้งไว้ทำให้เธอรู้สึกมวนในท้อง

    เศษกระดาษยับในถังขยะซ่อนช่องว่างที่ไม่มีทางปิดสนิทไว้


    กวินทราคว้าความรู้สึกซึ่งขยำขย้ำไปแล้วขึ้นมา กางแผ่นบางออกจนทั่ว แล้วเติมถ้อยคำในตอนท้าย

    “…วี”


    เธอยกดู

    เพ่งพิศ

    แล้วฉีกทิ้ง

    .

    .

    .

    .​

    ############### (end) รักสวภัทร : เปิดหอ (โหมโรง) ###############​


    ขอขอบคุณตัวละคร
    กวินทรา จันทรกานต์ (tokichan หรือ น้องแน็ก)​
    พิชามญธุ์ ตั้งตระกูล (sumiyo หรือ ท่านสุมิโยะ)​
    กวีนิพนธ์ สุริยะสกุล (swanton หรือ พี่อีวาน)​
    เกียรติพงษ์ แต้ศิลป์สาธิต (joi100 หรือ พี่จ้อย)​
    อนุพงศ์ โชติช่วงสถาพร (Azemag หรือ ไอ้เกม)​
    นรันดร์ สิทธณปกรณ์ (Original ของผมเอง)​
    สรารินทร์ สุริยะสกุล (Original ของผมเช่นกัน)​


    หลังหน้ากระดาษ : จริง ๆ แล้วขอยอมรับเลยว่า ผมไม่ได้มีพล็อตหรืออะไรอยู่ในหัวเลยตอนแต่งบทนี้ครับ (ยังไม่คิดจะแต่งด้วยซ้ำเพราะว่าตัวละครก็ยังสมัครกันไม่ครบ แผนผังหอก็ยังไม่ได้ทำ) แต่เพราะว่าเห็นสมาชิกเขียนความสัมพันธ์กันออกมาแล้วรู้สึกมีไฟอยากแต่งมาก บวกกับพึ่งดูหนังรักมาก็เลยทนไม่ไหว ขอหยิบบทนำเรื่องนี้มาแต่งก่อนฟิคแฟนตาซี (ตามที่ตั้งใจไว้)

    พูดถึงเนื้อเรื่องแล้ว ขอบอกตรง ๆ อีกครั้งว่าเขียนตามอารมณ์สุด ๆ เขียนไปเขียนมาก็เริ่มได้คอนเซปต์ว่าบทนี้จะเสนอยังไง จริง ๆ แล้วดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องจะเข้มข้นแต่แรก แต่ผมคิดว่านี่ยังไม่ใช่เนื้อหาหลักครับ แต่แสดงให้เห็นถึงแนวที่จะนำเสนอมากกว่า (ไม่รู้จะถูกใจคนอ่านมากน้อยแค่ไหน)

    ขอยอมรับอีกครั้งด้วยว่า การแต่งโดยใช้สรรพนามบุรุษที่สามเป็นอะไรที่ยากมากครับสำหรับผม พอเริ่มเขียนตัวละครตัวอื่น ก็เริ่มรู้สึกติดขัด เพราะชินกับสำนวนและอารมณ์ของตัวละครตัวที่กำลังเขียนอยู่ไปแล้ว บทบรรยายก็เลยอาจจะดูแหม่ง ๆ ไปหน่อย ถ้าเป็นการเขียนตัวละครตัวเดียวน่าจะไหลลื่นกว่านี้ แต่ก็จะพยายามต่อไปครับ ถ้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจมีอะไรอยากแนะนำก็ติชมได้เสมอเลยครับผม

    พูดถึงตัวละคร ก็ต้องขออภัยไว้ก่อนที่ออกมาได้ไม่หมดในตอนนี้ (แค่อารัมภบท มีไม่กี่ตัวอักษรเองครับ ยังรู้สึกน้อยอยู่เลย แต่ถ้าเขียนต่อจากนี้กลัวจะยาวเกินการเป็นบทนำน่ะครับ) แล้วก็ไม่ได้เรียงตัวละครที่สมัครด้วย จริง ๆ แล้วอยากเขียนตัวละครทุกตัวเลยครับ แต่จำเป็นต้องเล่นประเด็นหลัก ๆ ก่อนแล้วก็โยงเฉพาะตัวละครที่เกี่ยวข้องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เรื่องดูเหมือนจะดำเนินไปได้ ไม่ใช่ตันหรือหมดมุขในการเขียน (ฮาๆๆ) รับรองว่าตอนหน้าตัวละครจะออกจนเกือบครบครับ เพราะคงเขียนยาวกว่านี้ แล้วก็เล่นความสัมพันธ์ได้มากกว่านี้

    ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ฟิคนี้เน้นการดราม่ามาก อาจจะไม่ถูกใจทุกท่านเท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างไปในโทนทะมึนมาก หรือบางทีก็ดูตัวละครย้ำคิดย้ำทำ เพราะเล่นกับการบรรยายอารมณ์และความคิด ขอน้อมรับความผิดพลาดในข้อนี้ครับ เพราะคนแต่งยังไม่ชินกับการเขียนแบบบุรุษที่สามแล้วเชื่อมอารมณ์จริง ๆ หวังว่าจะได้รับคำแนะนำดีดีเพื่อเอาไปปรับปรุงนะครับ

    สุดท้ายนี้ ขอบพระคุณทุกท่านที่คิดคาแรกเตอร์ที่หลากหลายมากสำหรับเรื่องนี้ และได้เป็นส่วนหนึ่งของฟิคเรื่องนี้ครับ ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน แม้ว่าคนเขียนจะยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ขอบคุณมาก ๆ ครับ

    (โค้ง)
  2. sumiyo

    sumiyo Vincent4ever!!!

    EXP:
    267
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    แอร๊ยย~~~!! บทนำมาเร็วมากเลยค่าาา~~~!! ,,>w<,,​
    ชอบตรงนี้มากๆเลยค่ะ! (อ่านแล้วแทงใจดังฉึก.... 555+)

    อ่านแล้วเพลินดีค่ะ บทบรรยายอารมณ์ทำเราอินไปกับตัวละครด้วยเลยค่ะ ทำเอาอยากอ่านต่อเื่รื่อยๆเลย ^^
    เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ! >w<b
  3. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    (ขอแปะโพสท์ใหม่ ไม่อยากกลับไปอีดิตอันเก่าเดี๋ยวหน้ามันจะเคลื่อนครับ)

    ในกระทู้รับสมัคร ยังสมัครกันได้อยู่นะครับ ผมแค่เกิดกิเลสอยากแต่งก่อนเท่านั้น... เรื่องนี้ไม่มีปิดรับสมัครครับ (จะเขียนให้ทุกคนอ่าน จนเขียนไม่ไหวเลย ฮาๆๆๆ)

    สำหรับคุณ sumiyo ขอบคุณครับที่ชอบ... เดี๋ยวผมค่อยตอบเต็ม ๆ ตอนหน้านะครับ :)
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    แต่งไวจริงหนอ เห็นรับสมัครแปปๆก็มีตอนแรกอกมาแล้ว >_<

    ทางนี้ยังไม่ได้สมัครเลย พอเป็นแนวเรียลแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะสมัครอะไรดี กว่าจะเริ่มได้รางๆตอนแรกก็แล้วมาแล้วนี่ล่ะ

    /me ว่าแล้วก็ไปนั่งเขียนใบสมัครดีกว่าแฮะ
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    มืดมนปนสลัวตั้งแต่เช้ามืดจริงๆ...

    แค่บทนำก็ทำเอาอยากอ่านต่อละ เรื่องราวของชีวิตที่ถักทอร้อยเรียงเป็นโซ่เหล็กรัดแน่นหัวใจให้ขยับหนีไปไหนมิได้

    รออ่านต่อละกันวะ




    ส่วนเรื่องสำนวนการเขียน ทำได้ดีแล้วสหาย ไม่คิดว่านายจะเขียนบรรยายอารมณ์ในมุมมองบุคคลที่สามได้ดีขนาดนี้
    ไม่ต้องเขียนให้ยืดยาว แต่ตัดให้สั้นเป็นช่วงเป็นจังหวะแบบนี้ก็ไม่เลวนะ ไม่ทำลายอรรถรสการอ่านด้วย


    เกรียนสองตัวนั่งคุยกันแต่เช้าตรู ว่างจริงหนอ... ฮ่าๆๆ



    ในสีเทา...ไม่ใช่สีดำทั้งหมด หากแต่มันยังปนเจือด้วยสีขาวบาง
    หวังว่ามันคงจะไม่ดำตลอดทั้งซีรีย์นะ สหาย



    ปล. ชักมีอารมณ์อยากแต่งเพลงประกอบฟิคนี้แล้วสิ ให้ตายเหอะ = =;
    ความผิดนายนะ อากิรอส
  6. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    บทนำมาแล้ว!! *ตื่นเต้นนนน*
    (ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนเลยดีแฮะ *หัวเราะ*)
    เอาเป็นว่า คงยังกังวลเรื่อง characterisation อยู่สินะฮะ?? อื้ออ อารมณ์นี้เราเข้าใจในฐานะที่เป็นคนเขียนฟิครับสมัครเหมือนกัน เอาเป็นว่า ทำใจดีๆไว้!! มันไม่เป็นไรหรอกนะ!! แน็กเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ถึงวินอาจจะดูต่างออกไปจากที่กรอกใบสมัครไว้นิดหน่อย (หมายถึง impression นะ -- เพราะวินคนนี้สำหรับแน็กก็ยังเป็นคนเดียวกับที่ชอบทำตัวเกรียนไปยืนวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ durex ฮาาา) แต่จริงๆแล้วแน็กคิดว่าการทำอย่างนี้มันทำให้ตัวละครดูมีมิติมากขึ้นเยอะ นี่เป็นแค่ด้านหนึ่งของคนๆหนึ่งเท่านั้น และแน็กก็เชื่อว่าหลังจากนี้พี่อากิคงจะนำเสนอด้านอื่นๆมาเพิ่มอีกแน่ เพราะเรามั่นใจในฝีมือของคุณ อากิรอส!!

    เป็นบทนำที่ดราม่าดีจริงๆ ..สมกับเป็นท่านประธาน!! (คิดไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องออกมาเป็นแบบนี้) อีวานนี่บอกว่าเป็นเพระากวีสินะฟิคมันถึงได้ดราม่า...จริงๆมันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพราะมีอากิรอส คีฟ เป็นคนแต่งต่างหากล่ะฟิคมันถึงดราม่า (ฮา) อ่านแล้วแอบติดใจ นรันดร์ -- หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องรอดูอีกที!

    สำหรับบทบรรยายที่พี่อากิค่อนข้างเป็นกังวลในตอนนี้ แน็กบอกได้อย่างเดียวค่ะว่าแน็กอ่านได้ไหลลื่นไม่ติดขัด ..อาจจะเป็นเพราะว่าสไตล์การเขียนเราแอบๆเหมือนกัน (ตัวละครย้ำคิดย้ำทำ ดราม่า มืดมน กร๊ากก) แต่ก็อย่างที่บอก สำหรับแน็กไม่มีปัญหาค่ะ! ชอบมาก :D โดยเฉพาะตรงนี้

    ปมของวินที่เขียนไว้ในใบสมัครคือเรื่อง age gap และความคิดที่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายหนึ่งคงไม่มีทางมองเธออย่างจริงจัง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นซะแล้วเพราะริน...ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้นยังไงๆคนที่อยู่ข้างล่างก็ต้องได้ยิน ประโยคที่กวีพูดมันต้องตอกย้ำเธอ และประโยคที่รินใช้ด่าสามีเก่าก็ต้องแทงเธอเข้าอย่างจัง โดยเฉพาะคำว่า 'นังเด็กนั่น' และสรรพนามที่เรีกว่า 'มัน'

    แต่อย่างวิน ถ้าเจอกับรินตรงๆ คงได้มีฉะกันแน่ แต่เพราะวินนิสัยนักเลง และคิดว่าการใช้กำลังเป็นสิ่งป่าเถื่อน จะให้ตบกันอะไรกันคงไม่มี แต่คงได้มีตวาดกลับดังๆ เตือนสติคนมาหาเรื่องว่าอย่าบังอาจมาเหยียบเท้า (อย่างแมน..)

    อา..ดราม่าาา

    (ชิบหายแล้วสิ กร๊าซ)

    รออ่านบทต่อไปอย่างใจจดใจจ่อฮะ!

    ปล. เจ้าหม่นนนนน อร๊ายยยย *กอดๆๆ*
  7. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    แมวขนยุ่ง : แง่มๆ แอบอิจฉาเจ้าหม่น มีเจ้านายน่ารักใจดีด้วย แง้ววววววววว /me โดดข่วนเจ้าหม่น
  8. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    ดราม่ากลิ่นอายของความมืดปกคลุมตั้งแต่บทนำ หลังจากเขียนนิยายจบทำหนังเลยไหม ตัวละครรู้สึกจะครบนะ 5 555555555555555555555+
  9. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    มืดมน! มืดมนจริงๆ!

    ทางนี้ดูตัวละครไม่ค่อยดราม่าเท่าไร แต่ก็อยากจะให้เป็นตัวละครที่ทำให้เรื่องสว่างขึ้นมั่งละน้า
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ท่านคิดผิดแล้ว... มาสว่างโร่ก็มืดมนหมดหนทางได้สไตล์อากิ
  11. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อ่านแล้วได้อารมณ์คนเมืองมาก อยู่หอเดียวกัน แต่เหมือนอยู่กันคนล่ะโลก ชั้นห้า กับ ชั้นหนึ่ง ความวุ่นวาย กับ ความสงบเงียบ

    ไม่มีลิฟท์ด้วย (แฟลตดินแดงหรือครับ?) (กลางเมืองติดรถไฟฟ้า แต่ไม่มีลิฟท์เนี่ย?) (ตามที่อ่านผมมักจะนึกว่าหอมันเป็นแบบ มีช่องเปิดโล่งกลางตึกนะครับ (เสียงที่ดังจากชั้นห้าลงมาชั้นหนึ่งได้เนี่ย )
  12. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง...
    ไม่มีลิฟท์ค่ะ เพราะพระเจ้าเจ้าของหอเค้าอนุรักษ์นิยม (และขี้ตืด อุหุหุ)
    เดินออกกำลังกายบ่อยๆ ดีสำหรับคนมีอายุนะคะ ปุฮิ ♥
  13. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    บทที่ 1 - ปม


    ปอยเชือกยาวเกินไปมักพันรัดตัวเอง

    แรกเริ่มเดิมทีมันให้ความรู้สึกมั่นคง
    ครั้นปล่อยไว้นานวัน ก็กลายเป็นบ่วงผูกคอ

    แล้วปุ่มปมก็ผุดขึ้นจากตะกอนของความสิ้นหวัง

    อ้อมแขนซึ่งเคยโอบกอดไม่อาจให้ไออุ่น
    แต่บีบรั้งให้จมจ่อมกับความเจ็บปวด

    เฮือกสุดท้ายที่กำลังจะขาดใจ

    ความสมเหตุสมผลก็เกิดขึ้น

    ความรักนั่นหล่ะ... คือฆาตกร



    แกร๊ก...​

    เมื่อกวินทราปิดประตูสนิทก็ลงกลอนดัง ‘กึก’ ถอดรองเท้าแตะลายเรียบไว้คู่กับบู๊ทหนังสีเข้ม แล้วเดินดุ่ม ๆ ไปวางห่อผ้าผืนสะอาดลงบนโต๊ะกินข้าวชิดกำแพงห้อง​

    แทนที่เจ้าหม่นจะวิ่งมาต้อนรับ มันร้อง ‘หม่าว หม่าว’ แล้วซุกตัวนอนในมุมโปรดต่อ​

    เด็กสาวหน้าหมวยอมยิ้ม​

    ‘พออิ่มแล้วก็ไม่มาอ้อนแม่เลยนะ’


    เธอประกบแขนดันมือไปด้านหน้า บิดซ้ายที ขวาที ให้หายเมื่อยเล็กน้อย แล้วคว้าถุงพลาสติกใสห่อใหญ่ในตู้เย็นมากางออก เนื้อหมูสับสีแดงอ่อนนอนนิ่งเกินครึ่งถุง กวินทราเอี้ยวตัวไปหยิบมีดกับเขียงพลาสติกสีสดประกบลงกับโต๊ะตรงหน้า ขยำก้อนเนื้อยุ่ยในมือขวาสองสามทีแล้วบรรจงสับละเอียดอย่างมืออาชีพ​

    เสียงก่อกแก่กคลอต่อเนื่องค่อนชั่วโมง ตามมาด้วยควันฟุ้งคลุ้งกลิ่นหอม เธอเดินไปเปิดกระจกระเบียงเพื่อระบายความอบอวลของอาหาร​

    แต่ทีท่าของเจ้าแมวสีสวาทยังคงนิ่งเฉย​

    ต่างจากเจ้าพวกหิวโหยด้านล่างที่ส่งเสียงโหวกเหวกยิ่งกว่าหมาแมว​

    “วันนี้ทำอะไรกินน่ะน้องวิน ขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไก่นะ พี่ไม่อยากปวดข้อ”​

    ชายตาตี่เพื่อนสนิทเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะโกนดังถึงชั้นสี่​

    “จมูกดีจริงนะคะพี่เกมส์... ไอ้หม่นมันยังไม่ร้องเลย”​

    เธอเย้าเขาเล่น และเสียงหัวเราะของอดีตพนักงานมหาวิทยาลัยแว่วมาเป็นคำตอบ​


    บทสนทนาจบแค่นั้น​


    กวินทราจัดแจงเครื่องคาวทั้งหลายใส่จาน แต้มแตงกวาและมะเขือเทศประดับจนโต๊ะจีนย่อม ๆ เรียงสวย ของอร่อยเกือบสิบกว่าอย่างวางเต็มโต๊ะ​

    เธอกุมขมับ​

    ‘จะพอไหมเนี่ย ? สิ้นเดือนแบบนี้ เทศบาลข้างล่างคงกวาดเรียบ’


    ก่อนจะได้ทำอะไรต่อ แขกประจำก็เคาะประตูมาแต่ไกล​


    ก๊อก...​

    ก๊อก... ก๊อก...​


    ทุ่มกว่า ๆ แบบนี้จะเป็นใครอื่นได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทไอ้แมวแสนรู้ตัวนี้​

    เจ้าหม่นจ่ออยู่ที่ประตูเรียบร้อยแล้ว​

    ‘ที่แท้ก็อยากได้อ้อมกอดมากกว่าอาหาร... ขอโทษจ๊ะ แม่ไม่ดีเอง’


    “รอแป๊ปนึงนะคะพี่มน... กำลังไปเปิดค่ะ”​

    กวินทราปรี่ไปบิดกลอนประตู แล้วผละตัวไปล้างหน้าล้างมือทันที พิชามญธุ์อึกอักเล็กน้อย เธอรู้สึกเกรงใจที่เป็นเหตุให้น้องสาวแสนดีวุ่นวาย​

    แต่ลูกน้อยของเธอไม่คิดแบบนั้น มันโผเข้าเกาะแม่คนที่สองโดยไม่ทันตั้งตัว​

    พิชามญธุ์ยึกยักอยู่สักพักกว่าจะดันตัวเองเข้าห้องของกวินทราได้ เจ้าหม่นมัวแต่ตะกุยกางเกงยีนส์ขายาวสีฟอกจนไม่เป็นอันทำอะไร​

    พอมีโอกาสหลุบตนเข้ามาในห้อง พี่เลี้ยงเด็กร่างบางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เริ่มหยอกลูกแมวน้อยเล่นอย่างเป็นการเป็นงาน​

    เจ้าหม่นทำหน้าพริ้ม​


    น้ำมนต์ไม่ได้มาเกาคางเจ้าหม่นสามวันแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องในเช้าวันนั้น เธอรู้ดีว่ากวินทราเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง และไม่อึดอัดใจที่จะต้องคุยกับคนอื่น เป็นฝ่ายเธอเสียเองที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหากต้องคุยกับน้องสาว​

    เธอเข้าใจ... ว่าความรักไม่ได้มีแค่ฉากสวยงาม​

    ในนิทาน -- ซินเดอเรลล่ามีความสุขแค่สองฉาก ‘ระหว่างเต้นรำ’ กับ ‘ได้แต่งงาน’​

    ที่เหลือคือสิ่งที่รองเท้าแก้วฝากไว้ ความคาดหวัง ความเจ็บปวด และความท้อแท้​


    ใครจะอยากมีความสุขแค่ตอนได้รัก​

    ... ทุกคนกลัวการถูกทิ้ง ...​


    ‘สาวใช้’ กับ เจ้าชาย’

    ในชีวิตจริง -- เราจะไปหารองเท้าแก้วมาจากที่ไหน ?​


    “พี่มน... ทานอะไรมารึยังคะ ? วินพึ่งทำกับข้าวเสร็จ กะจะเอาไปฝากพี่อยู่พอดีเลย”​

    กวินทราเดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำ​

    คนถูกเรียกอย่างพิชามญธุ์สะดุ้ง​

    แต่เจ้าหม่นยังคงเคลิ้มกับปลายนิ้วเรียวของสาวสวย​

    “ยังเลยจ๊ะ... พี่พึ่งไปส่งน้องมิตรที่ห้องมา กะจะมาเล่นกับเจ้าหม่นก่อน คิดถึงมันน่ะ”​

    หญิงสาวนัยน์ตาน้ำตาลคมรูดยางมัดออก เส้นผมสีเข้มขลับพริ้วไหว เธอไล้ปลายผมยาวระต้นคอ แล้วรวบมัดเป็นช่อใหม่ “...แล้วคงกลับไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนน้อง”​

    “ชวนมิตรมาทานข้าวกันไหมคะ ? ช่วงนี้ไม่ได้คุยกับน้องเท่าไหร่ ปาร์ตี้กันสักหน่อยก็น่าจะดี”​

    กวินทรากระปรี้กระเปร่า ปัดปอยผมซ้าย แล้วเดินวนไปวนมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มือหนึ่งหยิบผ้าเช็ดโต๊ะ อีกมือเปลี่ยนไส้กระดาษทิชชู่​

    “เข้าท่านะ...”​

    แต่ความหวังดีไม่อนุญาตให้พูดต่อ “... วินไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ ? พี่คิดว่าเราอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวเสียอีก”​

    รอยยิ้มของกวินทราปฏิเสธความเกรงใจของพิชามญธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว​

    “พี่มนคะ... ถ้าวินจะไม่สบายใจ ก็เพราะพี่ไม่ยอมมาเล่นกับเจ้าหม่นมากกว่า มันนั่งรอพี่ทุกวันเลยนะ”​

    ริมฝีปากยกเผยอยิ้ม แต่ไม่เต็มคำ ที่แท้นั่นเป็นความกังวลของน้ำมนต์เองทั้งหมด​

    “งั้นเดี๋ยววินไปตามน้องมิตรมานะคะ จะเอากับข้าวไปฝากพวกตายอดตายอยากข้างล่างด้วย”​

    สาวร่างเล็กคว้าช้อนส้อมทับพีตักเทแกงผัดและของทอดลงปิ่นโตเงินกับกล่องพลาสติกใสจนพูน พอคดข้าวเกือบท่วมก็บรรจงปิดเสียเรียบสนิท​

    “เดี๋ยวพี่ช่วยยกลงไปไหมจ๊ะ ? หนักน่าดูเลย”​

    พิชามญธุ์เท้ามือขวากับพื้นกระเบื้องเตรียมดันตัวขึ้น เจ้าหม่นสะดุ้งจะถอยออก แล้วหญิงสาวในมือพะรุงพะรังก็ปรามเสียก่อน​

    “อยู่เล่นกับมันเถอะค่ะ แค่นี้สบายมือกวินทรามาก”​

    เสียงล็อกประตูลั่นดังแกร๊ก​


    คนที่ออกไปผิวปาก แต่รสขมฝาดติดในอกพิชามญธุ์​

    กลิ่นหวานละเลียดปลายจมูก แล้วหยดน้ำตาก็ให้ความเฝื่อน​


    ‘เป็นเพราะคุณอีกแล้ว ...นรันดร์... ’

    .​

    .​

    .​

    .​




    ความรักเป็นความรู้สึก
    การคบกันคือความสัมพันธ์

    ทำไมทุกคนต้องการความรัก ?

    เปล่าเลย...

    เขาแค่ต้องการใครสักคน

    แล้วเรียกมันให้สวยหรู

    เราอยากให้ความรักของตัวเองอยู่รอด และนั่นคือสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์


    หม้อมาม่าปรุงรสพร้อมระอุอยู่กลางม้าหินสีขาวอ่อน แต่คราบไคลเศษอาหารเริ่มเปรอะเต็มโต๊ะ เหล่าชายโสดสี่คนล้อมกลางวงข้าวเย็น เกียรติพงษ์หยิบขวดน้ำใสวางดัง ‘ปึง’ แล้วลดตัวลงนั่งพร้อมซดโฮกเส้นเหลืองอ่อนตรงหน้า รสชาติความซี๊ดซ๊าดกลิ่นต้มยำกุ้งสะเด็ดน้ำกระเด็นเป็นฝอย​

    ซู๊ดดดดดด


    “พี่เกมส์... เขาว่ากันว่าพี่ดูดวงแม่นนี่ ดูให้ผมหน่อยสิ”​

    นภาคือชายหนุ่มผิวขาวรูปหน้าคม เค้าคราวบอกว่ามีเชื้อจีนในสายเลือด เสียแต่ไม่เคยคิดจะดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะผู้หญิงบางคนไม่ได้ชอบแค่ความใจดี คนเซอปนเท่อย่างว่าที่สถาปนิกแบบเขาจึงตกไปอยู่ในแท่นตัวสำรอง​

    “ใครว่าวะ ? ถ้าเจอตัวจะอัดหน่อย หาเรื่องให้กูเสียพลังชีวิตอยู่เรื่อย”​

    สายลมไม่ตอบ โบ้ยหน้าไปหานราพจน์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ​

    ชายหน้ากวนเงียบนิ่ง ไม่รับผิดชอบสิ่งที่เคยพูดไว้ เกาหูไปพลาง คีบเส้นมาม่าไปพลาง พออนุพงศ์หันตาม นราพจน์ทำเป็นสะดุ้ง แล้วแหวขึ้น​

    “เห้ย... ไอ้ลม ทำงี้กับพี่จ้อยได้ไงวะ รุ่นพี่รุ่นน้องอ่ะ รู้จักเปล่า ?”​

    “มึงนั่นแหละไอ้ต่อ เห็นลมไม่มีปากมีเสียงก็เอาใหญ่เลยนะมึง”​

    เกียรติพงษ์ปล่อยชามในมือ เขากะซัดนราพจน์สักหมัด แต่ที่นั่งห่างกันจนเลยระยะ​

    “ดูให้ผมหน่อยสิพี่... ”​

    นภาเว้าวอนมาอีกรอบ เขาไม่สนใจดวงชะตาเท่าไหร่ แต่ปัญหาบางอย่างก็ไม่อาจชี้ขาดได้ด้วยเหตุผล​

    “เออ... ได้ เดี๋ยวไปหยิบสำรับแป๊ป คืนนี้หลับเป็นตายแหงกู”​

    แต่ชายร่างท้วมไม่ได้ขึ้นบันไดไป เขาเลี้ยวเข้าห้องหนึ่งศูนย์สาม ไม่ถึงนาทีชุดไพ่ทารอตก็อยู่ในมือ​

    นราพจน์หันมามองแล้วยิ้มแหย่​

    “ครั้งสุดท้ายกูดูให้ไอ้จ้อยมัน... มึงทำหน้างั้น อยากโดนอัดรึไงไอ้ต่อ”​

    นักศึกษาจอมยียวนไม่ต่อความ เขาซู๊ดน้ำมาม่าดัง ๆ หนึ่งทีแล้วเช็ดปาก นี่หล่ะวิธีการตอบโต้ของนราพจน์ แต่ทุกคนรู้ดีว่ามุมแบบนี้ชายผมเซอผิวดำแดงมีให้กับคนสนิทเท่านั้น​

    “แล้วจะดูเรื่องอะไร... ?”​

    อนุพงศ์แกะไพ่ออกจากกล่อง สับให้คละกันสองสามที แล้ววางทับบนผืนผ้าดำซึ่งคนคุมหอปูเตรียมไว้หลังยกหม้อใหญ่ลงเก้าอี้ด้านข้างแล้ว​


    นภาลอบถอนหายใจเล็กน้อย อึกอักเกินจะพูดได้เต็มปาก​

    “ความหวังบางอย่าง... จะมีทางเป็นจริงไหม ?”​

    “ความหวังอะไรวะ ?”​

    นราพจน์โพล่งก่อนพ่อหมอจะถามเสียอีก​

    “ดวงเขาให้ดูตามความสมัครใจเว้ย มึงอย่าพึ่งขัดสิวะ”​

    อนุพงศ์ตีหน้าเข้ม แล้วยื่นสำรับไพ่ให้นภา “สับเอา แล้วคิดเรื่องที่อยากจะถามไว้ในใจ... พี่จะตีความหมายตามไพ่ที่ออกมาเอง”​

    “ครับ”​

    เขามีความปรารถนาบางอย่าง บางอย่างซึ่งเขาไม่อาจเปิดเผยได้​

    ความต้องการที่แฝงเร้นในซอกหลืบของหัวใจ​

    เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับแค่ตัวเขา​

    เพราะไม่มีทางรู้​

    เขาจึงขอถามมันกับอะไรสักอย่าง​

    เขาไม่ต้องการคำตอบหรอก​

    เพราะยังไง... ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอก็ไม่เปลี่ยนไป​


    ‘ขอบคุณนะคะลม... ต้องให้ช่วยเวลารู้สึกแย่ ๆ ตลอดเลย’


    นภาหยิบไพ่ใบหนึ่งจากกองชุดทารอตที่ถูกคลี่ออกเป็นวงกว้าง เบื้องหลังของไพ่แต่ละใบเป็นพื้นลายดำกลืนกับผ้าปูทะมึน เขาถูกดึงดูดด้วยมนต์ขลังของมัน​

    “เจ็ดถ้วย -- รักที่ต้องเลือก”​

    อนุพงศ์ชะงัก เขารู้สิ่งที่นภาจะถามตั้งแต่ต้น และคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว “... ถ้วย เป็นไพ่ของความรู้สึก ความรัก เลขเจ็ดนั้นแฝงไว้ด้วยภาระและความอดทน ถ้ามัวแต่คิดฝัน มันก็ไม่มีทางเป็นจริงหรอก เลือกทำอะไรสักอย่าง อย่าปล่อยให้มันล่องลอยอยู่แบบนั้น”​


    ‘มึงกลัวว่าเขาจะไม่รักมึง มึงเลยจะไม่รักเขางั้นเหรอ ? ความรักเป็นของมึง... หรือของเขาวะ ?’

    คำแนะนำของนราพจน์ก้องในหัว​


    “ขอบคุณครับพี่”​

    นภาใช้สีหน้ายากจะตีความ บนกระจกตาสะท้อนความมุ่งมั่น ริมฝีปากเรียวบางเม้มเบา ดั่งสายลมที่พัดโชยเสรี เขาขอตัวแล้วผลุนผลันขึ้นไปบนห้อง​


    ศิลปะไม่อาจให้แรงบันดาลใจบางอย่าง​

    เขา -- กำลังจะแต่งแต้มภาพซึ่งถูกร่างไว้​


    ‘ผมชอบคุณ... พิชามญธุ์’

    .​

    .​

    .​

    .​




    ในเสี้ยววินาทีที่เราเกี่ยวกวัดหากัน

    ความรักก็บังเกิด

    ดั่งดอกหญ้าบนถนนซีเมนต์


    บางคนเรียกว่า ‘ปาฏิหารย์’

    แล้วแสร้งลืมเสีย

    -- มันไม่อาจอยู่รอด --

    ต้นไม้ไม่มีทางผุดงอกจากแป้งปูนได้หรอกเธอ



    กวีนิพนธ์ดันปลายกรอบแว่นขึ้น ชายเสื้อเชิ้ตสีเทามอลู่ราวบันได เขาค่อย ๆ ทิ้งปลายเท้าลงอย่างเหม่อลอย เหตุการณ์ในวันนั้นยังตีฟุ้งอยู่จนเกินความจำเป็น ไม่มีทางที่กวินทราจะไม่ได้ยินสิ่งที่เมียเขาพูด​

    ไม่มีทางที่กวินทรา... จะไม่รู้ความรู้สึกของเขา​


    แต่เขา... ไม่อาจเหยียบย่ำความรู้สึกของเด็กสาวได้อีก​


    เหมือนกับที่เขาฝากมันไว้ให้สรารินทร์​

    แล้วดอกเบี้ยก็ทับถมบนความเกลียดชัง... ปนความโกรธแค้น​


    ไอรักและอ้อมกอดของร่างเปลือยเปล่าคละเรือนผมบางหลุดเข้ามาในภวังค์จนสะอิดสะเอียน​

    เขาเคยรักสรารินทร์มาก แบบที่กำลังรักกวินทรา​


    ในวันข้างหน้า เราอาจเกลียดกัน -- ไม่ ‘เขา’ ก็ ‘เธอ’
    เหมือนกับที่เมียเก่ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้​


    ใครสักคนบอกว่า ‘ถ้าเราปลูกกุหลาบ เราก็จะได้กุหลาบ’

    แล้วความผิดบาปนี้ก่อตัวในแปลงต้นรักได้อย่างไร ?


    “รีบร้อนจริง ๆ วุ้ย... ท่าทางมันจะไปบอกรักสาวแหง”​

    เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังมาทางหัวโต๊ะ พอชายกางเกงเทียบบันไดขั้นสุดท้าย หางตาของกวีนิพนธ์ก็เหลือบไปเห็นเกียรติพงษ์ อนุพงศ์ และนราพจน์ที่วงม้านั่งหิน​

    ใครสักคนที่ว่า... คนนั้นคือนราพจน์​

    กวีนิพนธ์เจอนราพจน์ในเช้าวันนั้นระหว่างเดินลงมาจากหอ ก่อนจะผละจากกัน พจน์พูดสั้น ๆ ง่าย ๆ​

    “ถ้าเราปลูกกุหลาบ เราก็จะได้กุหลาบ... บางทีมันก็ยังคงเป็นกุหลาบ เพียงแต่อย่างอื่นมันเติบโตขึ้นด้วย แล้วเราก็ใส่ใจกับมัน มากกว่ากุหลาบที่มี”


    กวีนิพนธ์ไม่ได้ทักทายเพื่อนร่วมหอมาสามวันแล้ว เขาไม่อยากขว้างปาความไม่สบายใจกับคนที่หวังดีต่อเขามาโดยตลอด และนั่นต้องไม่ใช่วันนี้ เขาฝืนยิ้มจนใบหน้าตึงผิดรูปแล้วเดินตรงไปหาความวุ่นวายข้างหน้า​

    ความหยาบโลนน่าจะทำให้ชายในกรอบแว่นสบายใจขึ้น​

    ก่อนจะถึงเป้าหมาย เสียงทุ้มหนักก็แว่วมากวน ๆ​

    “กว่าจะเจอหน้า... นึกว่านอนอืดคาห้องซะแล้ว”​

    เกียรติพงษ์ตักมาม่าลงถ้วยใบใหม่ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ แล้วเลื่อนชามพลาสติกไปยังที่ว่าง​

    กวีนิพนธ์ย่อตนนั่งลงตรงนั้น ในมือถือชามอลูมิเนียมบาง พูนด้วยข้าวมีเศษปลาแกล้มเป็นหย่อม ๆ​

    “ยังตายไม่ได้หรอก มีคนติดหนี้บอลอยู่”​

    เขาใช้สายตาขึงขัง แล้วแสยะยิ้มแบบผู้อยู่เหนือกว่ากับเรื่องแทงบอล​

    “รู้งี้ไม่ทักซะก็ดี... มีข้าวให้แมวแล้ว มาม่าไม่ต้องละกันนะป๋า”​

    เกียรติพงษ์แกล้งดึงชามกลับ แต่มนุษย์เงินเดือนแย่งอาหารเย็นได้ทัน​

    “หยิ่งก็อดแดกสิ นี่มันข้าวแมว...”​

    มือซีดของกวีคว้าตะเกียบแล้วจ้วงเส้นบางเข้าปาก “...ถ้าเอ็งอยากกินเดี๋ยวไปคลุกมาให้ใหม่”​

    “แมวแดกหรูกว่าคนอีก... อย่างน้อยก็ยังมีข้าวกับปลา ไม่ใช่มาม่าห่อละหกบาทแบบนี้”​

    นราพจน์บ่นลอย ๆ แต่คนถูกประชดนั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ​

    “อย่างน้อยกูกับไอ้เกมส์ก็ช่วยกันออกคนละหกบาท สิบสองบาท... มึงมาถึงก็แดกฟรีนะไอ้ต่อ”​

    เกียรติพงษ์เติมน้ำลงแก้ว แล้วจิบจนชุ่มคอ​

    ผู้ต้องหาซู๊ดซ๊าดเส้นบะหมี่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง กวีนิพนธ์หลุดหัวเราะในที่สุด​

    “สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ แต่สิ้นอะไรไม่เท่าสิ้นรักเธอ”​

    คนเพ้อกลับเป็นอนุพงศ์ที่นั่งเงียบมาตลอด​

    จ้อยรู้ดีว่าเกมส์บ่นถึงใคร แต่นอกจากแซวแล้วเขาก็ไม่รู้จะปลอบเพื่อนยังไง​

    “วันนี้ฝนตกแหง... ไอ้นี่เพ้อทีไร ต้องได้เวลาทุกที”​

    “เอ็งไปสมัครเป็นพยากรณ์อากาศป่ะเกมส์ จะได้มีอะไรที่น่าเชื่อถือมั่ง”​

    กวีนิพนธ์หยอก​

    และนราพจน์เย้าตาม​

    “รู้ดียิ่งกว่ากบ”​

    ปิดท้ายที่เสียงตะโกนลั่นของนักพิสูจน์คำผิดตาตี่​

    “ไอ้ต่อ!”​

    แต่ไอ้เด็กจอมกวนยังไม่ยอมหยุด​

    “เขาก็พูดกันหมด ไหงพี่มาลงที่ผมคนเดียวเนี่ย พอเป็นน้องหล่ะทำใหญ่”​

    เสียงหัวเราะร่วนปรุงรสให้มาม่าหม้อนั้นกลมกล่อมและเป็นสุข​

    กวินทราซึ่งแอบอยู่เชิงบันไดลอบยิ้ม เธอแค่อยากให้ทุกคนมีเค้าหน้าแบบนี้ในทุกเย็น และในทุกวัน​

    .​

    .​

    .​

    .​




    ในความรัก ไม่มีอะไรที่ต้องทำ

    แต่เรา...

    ก็ผูกรั้งตัวเองไว้กับความรู้สึกของคนอื่น

    แล้ว ‘การได้รัก’ ก็ไม่อาจเติมเต็มเราได้อีกต่อไป


    “เอ็งนี่เรื่องมากนะ... ท่าทางคนในหอจะเลี้ยงดูเอ็งดีเกินไปแล้ว ไอ้ยุ่ง”​

    กวีนิพนธ์หัวเสีย แม้เขาจะหลบหน้าทุกคนมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง เจ้าแมวสีส้มลายทางอ่อนตัวนี้ก็ยังได้ชิมฝีมือข้าวคลุกปลาของเขาทุกวัน​

    มันไม่เคยกินเหลือ... ยกเว้นวันนี้​

    พนักงานบริษัทส่งออกเคาะชามเงินก๊อกแก็ก ข้าวสีขาวนวลยังไม่พร่อง แต่กับแกล้มเป็นเศษปลาย่างไม่อยู่แล้ว​

    “แมว... มันก็คงเบื่อแป้งเป็น”​

    น้ำเสียงหวานแต่ฉะฉานแบบชายเป็นของนักศึกษาหน้าหมวยผู้ถูกพาดพิงกับเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ของพ่อหม้ายบนโต๊ะ “ใครจะเหมือนพวกคุณล่ะคะ... กินอยู่ได้ทุกวัน ไม่รู้จักเบื่อเลยนะ มาม่าเนี่ย”​

    กวินทราวางปิ่นโตหนักและทัปเปอร์แวร์สีอ่อนดัง ‘ปัง’ เธอหันไปมองค้อนอัศวินโต๊ะกลมตกยากทั้งสี่ แล้วเมื่อหางตาสะดุดกับรอยยิ้มเฝื่อนของคู่กรณี ความเหลืออดก็ประทุเป็นเสียงสูง​

    “นี่... คุณน่ะ โตแล้วนะ ถึงจะไม่รู้จักดูแลตัวเอง ก็ห่วงเจ้าแมวน้อยน่าสงสารตัวนี้บ้างเถอะ ไม่ใช่คิดจะให้มันกินแต่เศษปลาคลุกข้าวทุกวัน”​

    กวีนิพนธ์เหวอ เขายังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แต่หญิงสาวตรงหน้าเป็นปรกติจนน่าประหลาด​

    “โอจี๊ซังนี่น้า... อะไรไม่พอก็บอกสิ ของในห้องก็คงมีเหลือ”​

    บ่นไปก็คดข้าวครึ่งทับพีไป ช้อนตักแต่พองามแล้วบรรจงใส่ชามพลาสติกสีอ่อนซึ่งเตรียมไว้เฉพาะ กวินทราย่อลงนั่งข้างเจ้ายุ่งที่คลอเคลียอยู่ปลายขา แล้วหยิบน่องไก่ทอดเนื้อนุ่มเข้มมาฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ คลุกจนกลิ่นหอมลอยกระตุกต่อมอยากอาหารของพวกหิวโหย​

    แมวส้มขนนุ่มคุ้ยทั้งข้าวและไก่ ผิดกับครั้งที่กวีนิพนธ์วางชามสแตนเลสจนจะเกยจมูกมันอยู่แล้ว พอเจ้ายุ่งรู้ว่าชายหนุ่มเอาอะไรมาฝากเป็นอาหารเย็น มันก็เขี่ยเศษปลาอยู่สองสามทีแล้วเบือนหน้าหนี​

    ‘เจ้าแมวตัวนี้... น่าหมั่นไส้จริง ๆ’

    มันใช้เล็บบางตะกุยแทะเล็มของโปรดอย่างเอร็ดอร่อย หนวดแหลมเล็กละเลียดเศษข้าว​


    ครู่หนึ่งแววตาของกวินทราก็เพี้ยนไป ความกังวลฉายแว๊บที่หางตา​

    “เรื่องนั้น... ก็อย่าคิดมากล่ะ ทางนี้ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก ถ้าจะคิดมากก็ตรงที่คอยหลบหน้านี่หล่ะ”​

    “...”​

    กวีนิพนธ์อึกอัก เขาทำตัวห่างเหินกับเธอจริง ๆ​


    คนที่เรียกบรรยากาศกลับมาเป็นนราพจน์​

    “อายหมา อายแมวกันไหม ? ชาติหน้าฉันใดขอให้เกิดเป็นหมาเป็นแมวแถวหอนี้... อุดมสมบูรณ์กว่าคนซะอีก มีทั้งปลา ทั้งไก่ให้เลือกกิน แถมเบื่อข้าวเป็นด้วย มันคงไม่รู้จักหรอกว่ารสชาติมาม่าเป็นยังไง”​

    “อธิษฐานเสร็จแล้วใช่ไหมคะ ? คงตายตาหลับแล้วนะพี่ต่อ”​

    กวินทราค้อนลึก เธอห่วงทั้งคนทั้งสัตว์นั่นหล่ะ​

    “แต่พี่เห็นด้วยนะน้องลม ทุกคนดูจะโอ๋มันเหลือเกิน ทั้งแมวป่า แมวบ้าน”​

    เกียรติพงศ์ทิ้งนัยให้กวินทราตีความ​

    เธอผงะเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเรื่อง​

    “พี่เกม... ถึงจะมีไก่ทอด แต่ที่เหลือคงกินได้นะคะ หรือถ้าอิ่มแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ”​

    “พี่เคยขัดศรัทธาด้วยเหรอ ?”​

    อนุพงศ์จ้วงกับข้าวสองสามอย่าง กวินทรายิ้มกว้าง​

    แล้วมื้อเย็นแบบจริงจังก็เริ่มขึ้น​

    .​

    .​

    .​

    .​




    คงเป็นชั่วแวบหนึ่งที่เราอยากให้มีคนมาอยู่ใกล้ ๆ

    ชั่วแวบที่การเป็นคนแอบรัก... ไม่เพียงพอ
    ชั่วแวบที่เผลอคิดไปว่า... เขาเองก็คงมีใจให้เราเหมือนกัน

    แล้วชั่วแวบนั้น... ปมเชือกก็รัดเราแน่นขึ้น


    ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    ความรื่นเริงประดับโต๊ะม้าหินทุกเย็น ด้วยรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะร่านั่น ความสุขบนโลกอยู่ที่นี่หมดแล้ว​


    ‘ฉันไม่ต้องการสวนสวรรค์ที่ไหนอีก ฉันแค่อยากอยู่ที่นั่นบ้าง’


    กีรติเรียนอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์สาขาออกแบบกราฟฟิค เธอไม่ถนัดกับการต่อกรความรู้สึก​

    มันยากที่จะเปิดเผย... โดยเฉพาะเมื่อต้องผ่านคำพูด​

    เจ้ายุ่งปรี่มาหาเธอจากวงตลกคาเฟ่ แล้วทุกคนก็มองตาม​

    ผู้หญิงร่างสูงในกรอบแว่นแดง จะมีอะไรให้สนใจกันเชียว... ถ้าไม่นับผมยาวหน้าม้าและผิวขาวนิ่ม ส่วนสูงเธอก็ดูเป็นผู้ชายกว่าหนุ่ม ๆ หลายคนเสียอีก​

    เธอหันไปมองกลับด้วยสายตาประหลาด บางคนบอกว่ามันดูคมดุ​

    แต่ไม่เคยมีใครเห็นลึกลงไปในใจของหญิงสาวคนนี้​

    ทุกคนมองเธอที่ตา แล้วติดอยู่แค่นั้น​

    กีรติเกาคางเจ้ายุ่งจนมันเคลิ้ม แล้วถอนมือออกจากขนปุยสีนวล​

    ลุกขึ้น... แล้วก้าวต่อ​


    แต่เสียงเข้มแว่วมา​

    “เธอน่ะ... มาเล่นกับมันตลอดเลยสินะ”​


    เจ้าหน้าที่อพาร์ทเมนต์คนนี้ประหลาด...​

    เขามองเลยเปลือกนอกที่ดูเข้มแข็ง​

    กีรติไม่อาจใช้สายตาแบบนั้นต่อไปได้อีก เมื่อความรู้สึกเริ่มเอ่อท้นใบหน้า เธอหันขวับ แล้วก้าวเข้าประตูไป​


    ‘.........’

    .​

    .​

    .​

    .​




    ข้างในเต็มไปด้วยรอยบาดแผล

    แม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากแง้มออกดู

    ราวกับชีวิตถูกขีดข่วนเป็นริ้วบาง

    แล้วความร้าวลึกก็ซ่อนอยู่ใต้ปมรัก


    “วิน... อยู่ไหม ?”​

    อัยกรเคาะประตูอยู่สองสามที อย่างไรก็ตามไม่มีทีท่าว่าเจ้าของห้องจะโผล่มาต้อนรับ แสงไฟลอดใต้ซี่ไม้บอกว่าเพื่อนสนิทของเธอกลับมาแล้ว​

    ในมือของสาวร่างสูงถือเอกสารปึกหนา​


    ‘บางทีคงอยู่ข้างล่าง’


    เธอเบนเท้าแล้วเปลี่ยนเป็นลงบันได ผมดำหยักศกระบ่าลู่เบากับอากาศตีเป็นระลอกคลื่น​


    แต่ฉากหลังที่อัยกรไม่เห็นคือหญิงสาวนัยน์ตาสวยกำลังกอดรัดเจ้าแมวน้อยแทบอก แล้วฟูมฟายอย่างไร้เสียง​

    ความเจ็บดันจนน้ำตานองหน้า​

    เธอไม่อาจมองใครได้ด้วยสภาพนี้​

    เหมือนแมวแสนรักจะรู้ มันร้อง ‘หม่าว’ เบา ๆ แล้วใช้อุ้งเท้าเล็กกอดตอบ​

    เสียงของนราพจน์ทวนซ้ำในหู​


    “พี่เหนื่อยไหมครับ ? บางทีคนเราก็เป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่คาดคิด ไม่รู้ว่าความพยายามแบบนั้นมันมาจากไหน”


    แทนที่ใครสักคนจะกดหรี่ลง​

    นรันดร์ก็เปิดมันจนดังกระหึ่มอีกครั้ง​


    “อย่าพยายามอีกเลยน้ำมนต์ ผมไม่อยากรังเกียจคุณไปมากกว่านี้”

    .​

    .​

    .​

    .​




    ทบแรก... เป็นรักหวาน
    เราเรียงร้อยเป็นทบสอง

    ครั้นทบสาม... ช่างหอมหวน
    ให้หลงใหลในทบสี่

    ทบห้า... ยังสวยหรู
    เริ่มรัดรั้งในทบหก

    ไม่รู้ว่าทบไหน... เราบ้าใบ้ในรางรัก


    “พอได้แล้ว... ริน!”​

    เสียงตะโกนทะลวงถึงช่องทางเดินชั้นสอง อัยกรชะงักฝีเท้า เธอรู้ได้โดยทันทีว่าอย่างน้อยข้างล่างต้องมีพระเอกและภรรยาเก่าเป็นตัวเปิดฉาก ที่ไม่อยากรู้คือเพื่อนสนิทของเธอต้องตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของละครน้ำเน่าเรื่องนี้หรือไม่​

    กวินทราไม่มีทางหน้าเสีย​

    แต่ใครจะรู้สึกดีกัน... ถ้าต้องเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำ ๆ​

    ทั้งกวีนิพนธ์ กวินทรา... และสรารินทร์​



    “ใช่! ผมรักกวินทรา... คุณพอใจรึยัง”

    เบื้องหน้าคือรักสามเส้า แล้วคนที่เคยเป็นนางเอกก็วาดมือขึ้นจะตบศัตรูหัวใจ​

    แต่กวินทราไม่มีวันเก็บความเป็นผู้หญิงบอบบางแบบนั้นไว้ให้คนอย่างสรารินทร์เห็น​

    สาวร่างเล็กกว่าคว้าปลายแขน แล้วตะคอกกลับง่าย ๆ​

    “หยุดบ้าสักทีเถอะค่ะ”



    สรารินทร์ทรุดตัวลงฮวบ แล้วปล่อยโฮลั่น​

    มุมหนึ่งในห้องสี่ศูนย์ห้า ผู้หญิงอีกคนไม่ต่างกัน​

    .​

    .​

    .​

    .​

    ท้ายสุดคือเงื่อนตาย

    ไม่อาจงัดแงะได้ออก


    ถ้าไม่ตัดทิ้ง

    ก็ต้อง

    ... ปล่อยมันไป ...


    ############### (end) รักสวภัทร : บทที่ 1 (ปม) ###############​


    ขอขอบคุณตัวละคร
    กวินทรา จันทรกานต์ (tokichan หรือ น้องแน็ก)​
    พิชามญธุ์ ตั้งตระกูล (sumiyo หรือ ท่านสุมิโยะ)​
    กวีนิพนธ์ สุริยะสกุล (swanton หรือ พี่อีวาน)​
    เกียรติพงษ์ แต้ศิลป์สาธิต (joi100 หรือ พี่จ้อย)​
    อนุพงศ์ โชติช่วงสถาพร (Azemag หรือ ไอ้เกม)​
    นภา พัฒนวงศ์ไพศาล (ท่าน ManaswinPipatponglert)​
    อัยกร อัครอัสนีย์ (kolonel หรือ น้องแบม)​
    กีรติ จิรัฐติกาล (onikuro13 หรือ โอนิ)​
    เจ้ายุ่ง (ท่าน soulmaster)​
    นราพจน์ นพศิลป์ (Ryuto หรือ ไอ้ต้อม)​
    พฤกษมิตร วจีรังสรรค์ (taleoftrue หรือ ท่านซาล)​
    นรันดร์ สิทธณปกรณ์ (Original ของผมเอง)​
    สรารินทร์ สุริยะสกุล (Original ของผมเช่นกัน)​


    หลังหน้ากระดาษ : จบไปแล้วครับ กับบทแรกที่ออกมา... อยากบอกว่า จริง ๆ บทนี้ใช้เวลาเขียนแบบจริง ๆ จัง ๆ แค่สองวัน แต่เนื่องด้วยติดภารกิจหลายอย่าง ก็เลยปาไปเป็นอาทิตย์ เขียนค้างบ้าง ต่อเนื่องบ้าง อารมณ์ก็เลยอาจจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย

    ความยากของบทนี้อยู่ที่การเบรคอารมณ์ของตัวละครครับ บางทีก็เป็นฉากดราม่า แล้วก็ตัดฉับมาเฮฮาเลย ก็ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้โอเคไหม ก็ถือว่ากำลังพัฒนาละกันนะครับ

    พอเขียนยาว ๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกยืดเยื้อเหมือนกัน แต่ว่าก็พยายามตัดฉากกับเนื้อเรื่องให้รวบรัดที่สุดแล้ว

    ตัวละครคราวนี้ออกมาเยอะมาก สำหรับ อัยย์ และ มิตร ที่ยังไม่ออกหลัก ๆ เท่าไหร่ เพราะจะไปดราม่าในบทหน้าทั้งบทแทนครับ คิดว่าเรื่องที่จะดราม่ามันไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องของ กวีและกวินเท่าไหร่ เลยยังไม่อยากแทรกมาตอนนี้มากนัก กลัวว่าปมมันจะซ้อนกันเกินไป (ตัวละครที่พึ่งออกมา ค่อย ๆ ดูไปนะครับ พัฒนาการและมิติของตัวละครของท่านยังมีให้ข้าพเจ้าเล่นอีกเยอะ)

    โดยรวมแล้วไม่รู้ว่าจะเขียนได้น่าติดตามเหมือนบทนำไหม... แต่ก็พยายามอย่างสุดฝีมือแล้วครับ

    (แอบคิดว่า คนอ่านน่าจะเริ่มสนใจในตัวนรันดร์ขึ้นมาบ้าง เพราะมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย แล้วก็เหมือนจะเป็นตัวเดินเรื่องสำคัญด้วย) ขอบอกว่าออริจินัลหลัก ๆ ของผมยังเหลืออีกสองตัวครับ เพราะงั้นเรื่องนี้ยาวแน่นอน ฮาๆๆๆๆ

    สุดท้ายแล้วคิดว่าบทนี้ยังทำได้ไม่ดีพอ... ขออภัยหากเขียนแล้วอารมณ์ขัดกันหรือไม่ลื่นไหล ลักษณะนิสัยตัวละครแหม่ง ๆ พร้อมรับคำติชมเสมอครับ

    ปล. ผมลืมมาตอบคอมเม้นท์ตอนแรก รีบอยากลงตอนนี้เกินไปหน่อย เดี๋ยวจะไปตอบคอมเม้นท์ หลังจากรีพลายนี้นะครับ

    (โค้ง)
  14. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ขอบคุณมากครับ... หวังว่าบทนี้จะพาท่านสุมิโยะอินไปกับตัวละครอื่น ๆ อีกนะครับ คิดว่ามีหลากหลายอารมณ์พอสมควร

    สำหรับน้ำมนต์ อย่าพึ่งแปลกใจนะครับที่ตอนนี้ออกมาแนวนี้ แต่เผอิญตัวละครแบบน้ำมนต์ตรงกับตัวละครที่ผมกะจะใช้ดราม่าในเรื่องนี้อยู่แล้ว เลยขอหยิบมาเล่นให้เป็นปมไว้ก่อนนะครับ

    อยากบอกว่า... ผมต้องการตัวละครที่จะเอามาใช้ดราม่าเรื่องครอบครัวมากครับ แล้วซาลก็สมัครมาพอดี ก็เลยขอหยิบมาใช้กับมิตรเลย แต่คงยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ต้องรอประเด็นของกวินทรา กับกวีนิพนธ์ เคลียร์กว่านี้ซะก่อน ตอนนี้ออกมาแบบแผล่บ ๆ ขออภัยด้วยจริง ๆ ครับ แต่ธีมเรื่องยังไม่เหมาะ คิดว่าตอนหน้าคงจะเป็นหลักกับอัยย์แน่นอน

    แต่งเลยนาย... เราชอบ

    หวังว่าตอนนี้จะยังชอบแนวการดำเนินเรื่องอยู่นะ... มันสลัว ๆ แบบนี้หล่ะ คงจะเป็นแบบนี้สักพัก แล้วจะเข้าโหมดทะมึนขั้นสุดยอด

    มีอะไรติชมได้เลยสหาย... รอฟังอยู่ เพราะว่าตอนนี้ตัวละครเริ่มเยอะ ไม่รู้ว่าตัดอารมณ์ถูกจุดด้วยเปล่า

    คิดว่าแน็กน่าจะเข้าใจเหมือนกันว่ากวินทราไม่ใช่แบบนั้นแต่แรก ฮา ๆ ๆ ๆ แต่เราทิ้งไว้ให้อ่านในบทนี้

    และเชื่อเถอะ... ว่าบทหน้า กวินทราก็ไม่เหมือนบทนี้แน่นอน... น่าจะกลับไปทะมึนอีกรอบ (จริง ๆ กะจะทะมึนตอนท้ายบทนี้ เพราะเราปล่อยปม ๆ นึงไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่รู้ว่าสังเกตเห็นเปล่านะ... แต่ว่าต้องตัดจบก่อน เพื่อให้ตามต่อ กร๊ากกก)

    ขอบคุณมากจ๊ะ ที่ติดตาม หวังว่าตอนนี้ก็คงไม่ทำให้ผิดหวังนะ มีอะไรก็แนะนำได้เลย

    ตอนนี้เจ้ายุ่งมีบทแล้วนะครับ คิดว่าหลาย ๆ คนจะเริ่มรักเจ้าแมวตัวนี้ในบทนี้แน่นอนครับ เพราะแม้คนแต่งจะไม่ค่อยรักแมวเท่าไหร่ แต่เขียนไปอ่านไปยังรู้สึกชอบเจ้าแมวตัวนี้เลย

    ปล. สำหรับเจ้าหม่น... ผมคิดว่าทุกคนคงปลื้มเจ้าหม่นในบทนี้แน่ ๆ อิอิ

    สิ่งที่เราคิดไว้มันมีมากกว่านี้ จงตามเสพไป... เราเขียนบทนี้เพื่อนายโดยเฉพาะเลย

    แล้วดราม่าของนายมืดมนกว่า กวินทรา และ กวีนิพนธ์ แน่นอน

    ถ้าตัวละครไม่มีสว่างเลย ก็แย่ครับ ขอบคุณที่สมัครมาแบบสว่าง ๆ นะครับ... แต่จากใจคนเขียน... ยิ่งสว่างมาก เวลามืด ก็ดำสนิทเลยนะครับผม... ขอให้ท่านเตรียมตัวพบกับดราม่าไว้ (แต่คงไม่เร็ววันนี้)

    ขอบคุณที่ตามอ่านครับ

    ขอบคุณครับที่ตามอ่านและคำแนะนำ

    หวังว่าตอนนี้จะยังคงเป็นอารมณ์นี้อยู่นะครับ หรือเป็นอะไรที่น่าจะชวนให้ติดตามขึ้น

    สำหรับบทอาตัง ยอมรับว่าค่อนข้างแต่งยาก และมีปมซับซ้อนให้เล่นเยอะ ขอยกไว้ฉายเดี่ยวแบบหนัก ๆ นะครับ ตอนหน้าน่าจะได้เริ่มออกมาคู่กับคนอื่นแล้ว แต่คงยังดราม่าไม่ได้ตอนนี้

    เพราะแค่นี้ตัวละครก็ดราม่ากันเยอะละครับ เก็บไว้เล่นทีหลังบ้าง

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอีกครั้งครับ... ขอยืนยันและนอนยันอีกครั้งว่า ฟิคนี้ไม่มีใครรอดไม่ดราม่า แค่จะมาแนวไหนแบบไหนแค่นั้นเอง

    หวังว่าจะตามกันต่อ ๆ ไปนะครับ

    ปล. บทที่สองคาดว่าภายในอาทิตย์หน้าครับ (ขอไปตามเม้นท์ฟิคและเขียนแฟนตาซีอีกสักตอนก่อนครับ)

    (EDIT)

    มีเรื่องแจ้งให้ทราบครับ... มีการเปลี่ยนผังหอพักนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาผังใหม่มาแปะในนี้แล้วก็ไปแก้ผังในกระทู้รับสมัครด้วยนะครับ
    (เห็นพวกคำผิดแล้ว แต่ไม่สามารถแก้ได้เพราะหน้ามันจะเลื่อนครับ... เอาเป็นว่าผมแก้ในไฟล์จริงเรียบร้อยแล้วครับ)
  15. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ถือได้ว่าสมัครไปถูกจังหวะพอดีสินะ ส่วนเรื่องบทบาทตัวละครไปตามจังหวะเนื้อเรื่องดีแล้วล่ะฮะ

    แต่เรื่องตัวละครนี่ ถ้าไม่อ่านข้อมูลจากกระทู้สมัครมาก่อนอาจจะสับสนได้ง่ายนิดหน่อยเพราะมีบทออกมากันเยอะมาก คาดว่าคงค่อยๆเน้นบทให้เห็นเด่นขึ้นกันไปทีละคนสินะฮะ (แบบนั้นน่าจะทำให้คนอ่านจำตัวละครได้แม่นกว่าใส่รายละเอียดออกมารวดเดียวด้วย)

    ปล. เจ้ายุ่งกับเจ้าหม่นน่ารักดี >_<
  16. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ก็ไม่เลวนะ บรรยากาศที่เปลี่ยนตัดไปตัดมาทำให้อารมณ์ค้างคาแบบนี้ก็กระตุ้นให้เกิดความอยากที่จะอ่านต่อ อยากจะรู้เรื่องต่อ

    มันก็ยังทะมึนอยู่แหละสหาย ขนาดวงมาม่ายังมีสีเทาทับทาฉาบมาด้วย
    แต่ผูกปมเยอะแบบนี้ เวลาแก้ปม...คนเขียนก็เหนื่อยตายเหมือนกันนะนาย ฮ่าๆๆๆ

    แต่เอาเถอะ เรารู้ว่านายมีแหล่งวัตถุดิบสำหรับปรุงดราม่าเยอะอยู่แล้ว รออ่านต่อไปละกัน

    ปล. เห็นคำผิดแล้วเฟ้ย!!

    ทับพี < < ทัพพี
  17. sumiyo

    sumiyo Vincent4ever!!!

    EXP:
    267
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    ชอบมากๆเลยค่ะ! มีหลากหลายอารมณ์ในตอนเดียวเลย
    มีทั้งกลิ่นดราม่า ทั้งกลิ่นความรักโชยมาแต่ไกล แถมความเฮฮาจากก๊วนโต๊ะม้าหินอีก :D

    ปมของหลายๆคนยังไม่ถูกเอ่ยออกมา ท่าทางเนื้อเรื่องจะยังไปได้ไกลอีกนะคะเนี่ย

    เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามอยู่ค่ัะ!
  18. ManaswinPipatponglert

    ManaswinPipatponglert Crazy in games

    EXP:
    35
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    8
    อกหักแน่ๆ ผมเห็นฉากจบแล้ว!!!T-T

    รอดูดราม่าของเด็กๆประจำหอในตอนหน้าสิน้า
  19. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    นายมีปัญหาเรื่องการตัดอารมณ์จริงๆด้วย ฮ่าๆๆๆ แต่ก็ต้องชมในเรื่องของการเล่นคำเหมือนเดิม มันจะลื่นไปไหน

    เท่าที่อ่าน รู้สึกคำพูดของนราพจน์นี่มันไปดังกับคนอื่นบ่อยเนาะ- -

    ป.ล.มันนี่ตัวทำมาม่าชัดๆ.....
  20. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    คอมเม้นท์จะมาตอบในตอนหน้านะครับ
    (คาดว่าเหมือนจะมีอารมณ์แต่งคืนนี้นิดหน่อย)

    ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำครับ

    แต่ตอนนี้ขอเอาแผนผังหอมาแปะก่อน

    (Credit : Azemag McDowell ช่วยคิดกับ นักเดินทางแห่งมิดการ์ด)
    Illustrated by Azemag McDowell

    ชั้นที่ 1
    1F.gif

    ชั้นที่ 2
    2F.gif

    ชั้นที่ 3
    3F.gif

    ชั้นที่ 4
    4F.gif

    ชั้นที่ 5
    5F.gif

    (ตัดชั้น 6 ออกครับ เอาไปรวมกับชั้นหนึ่งแล้วครับ)

    เจอกันเมื่อตอนต่อไปเสร็จครับ :)
  21. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    คอมเม้นท์รวมสองตอนรวด

    ผมว่าบทโหมโรงทำได้ดีกว่าตอนที่ 1 มาก โดยเฉพาะการปะติดปะต่อเรื่องจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง เสมือนการแพนกล้องจากตัวละครนี้ไปยังอีกตัว โดยไม่มีความขัดกันเลย ซึ่งพอเข้าบทที่ 1 ปรากฏว่าตัวละครเยอะ แล้วการตัดฉากกลับไปมามันมากเสียจนเวียนหัว ถึงจะมีวงเหล้าชั้นล่้างเป็นจุดเชื่อมที่ให้ทุกคนได้มาเจอกัน แต่ก็รู้สึกว่าบางเหตุการณ์เป็นจุดเชื่อมที่แปลกประหลาดมาก บางบทพูดก็แลดูคล้ายจะเอามาเสริม (เช่นเรื่องทำนายไพ่ยิปซี) ซึ่งลงท้ายก็ไม่มีอะไรปรากฏเป็นผลออกมา เลยดูเหมือนใส่เข้ามาเกินๆครับ

    บมโหมโรงเปิดตัวได้สุดยอดจริงๆ ใช้การโฟกัสเริ่มที่กวินทรา (วิน) ซึ่งเขียนบันทึกคนเดียว สั้นๆ แต่กินใจลึก และไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ก็บอกได้หมดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ซ่อนความขมขื่นบางอย่างไว้ใต้รอยยิ้ม ขณะที่มนต์ก็เป็นพี่สาวแสนดี (ไม่ต้องพูดถึงหม่น ซึ่งน่ารักบรรลัย) แต่ตัวที่(เสือก)ทำให้เรื่องมืดมนก็คือ..กวีนั่นเองครับ ถึงจะพูดแบบนี้แต่ผมกลับชอบโทนเรื่องดราม่าหนักๆ และมืดมนแบบนี้ บทสนทนาของสามีภรรยาเพียงสองสามบท กระชากใจผมได้เลยจริงๆ! โดยเฉพาะตอนกวีตวาด "ออกไป!" เสียงมันแทบจะดังก้องขึ้นมาในหัว ทำให้รู้สึกว่าผู้ชายนิ่งๆคนนี้เหลือทนแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ดังนั้นโดยรวม อากิไม่ได้บกพร่องเรื่องการใช้ภาษาเลย
    การใช้คำรำพันบ้าง พรรณาบ้าง กลับดึงดูดอารมณ์ผู้อ่านให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง ถือเป็นความสำเร็จที่สุดอย่างหนึ่ง อ่านแล้วหนักหน่วง มืดมน แต่ก็มีความนุ่มนวล โรแมนติกแฝงๆอยู่อย่างที่บอกไม่ถูก ถ้าจะมีปัญหาคงเป็นเรื่องการตัดบทสลับบทมากกว่า แต่นั่นก็เป็นธรรมดา คนๆนึงจะเก่งไปทุกเรื่องก็แปลก ในแง่ที่เรียงร้อยเรื่องราวในหอพักหอเดียวออกมาได้ขนาดนี้ ราวกับเป็นซิทคอม (จริงๆมันไม่คอมเท่าไร) ผมขอชมตรงๆว่า สุดยอดแล้ว ในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ผมว่าไม่ง่ายนักที่จะเขียนเรื่องของทุกๆคนเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันได้ เว้นเสียแต่ได้รับแรงบันดาลใจบวกความสามารถส่วนตัว ได้ข่าวช่วงนี้ติดละครรักร้อยแปดฯ ซักอย่างไม่ใช่เหรอครับ ฮา

    จริงๆผมว่า "ปม" มันควรเป็นชืื่อของบทแรกมากกว่า เพราะผมว่าบทแรกโหมโรงเป็นปมใหญ่กว่าตอน 1 มาก ชอบบทที่ 1 ตรงที่ตัวละครมีการปฏิสัมพันธ์กันต่อกัน กวินทรารับบทเป็นน้องสาวที่น่ารักมาก ส่วนเจ้ายุ่งในบทนี้ท่าทางกวนเท้าสมเป็นแมวจรจัดได้ใจจริงๆ ตัวละครอื่นๆบอกตามตรงว่า "เกรียนว่ะ" โดยเฉพาะไอ้เกมส์กับยามจ้อย ยิ่งมีนราพจน์เสริมอีก ครบก๊วนกันล่ะทีนี้ (หึหึ) ปัญหาที่ผมอยากบอกก็คือ ไอ้คำกันเอ๊ง กันเอง มึงๆกูๆ ไอ้เกมไอ้จ้อยงี้ มันเหมาะจะอยู่ในฟิคบางฟิค แต่ในเรื่องนี้มันโดดลอยขึ้นมาแปลกๆ คือผมเข้าใจว่าอากิคงเคยชินกับเรื่องจริงที่พวกนี้คุยกัน จนใส่เข้ามาเต็มๆ แต่ปรากฏว่าบรรยากาศของฟิคมันไม่เป็นไปด้วย ลองลดดีกรีห้าวๆลงอีกสักนิด ใช้คำที่เป็นผู้เป็นคนลงอีกหน่อย จะเหมาะกว่าครับ

    ถึงงั้นผมก็มีจุดที่ชอบ คือช่วงนี้

    อ่านแล้วแบบ.... อึดอัด กดทับ หายใจไม่ออก
    เจ็บนะครับในฐานะกวีนิพนธ์เนี่ย

    อ่อ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็จับคำที่ฟังแล้วแปร่งๆได้สองสามจุดนะ

    ผมเข้าใจจุดประสงค์อากิ แต่น้ำเสียงหวาน กับ ฉะฉานแบบชาย อ่านแล้วขัดกันรุนแรงโคตรๆ อ่านแล้วมึนว่า ไอ้คนพูดนี่ชายหรือหญิง จนต้องกลับไปอ่านทวน

    ผมว่าพ่อหม้าย แม่หม้าย เขาใช้กับคนที่คู่สมรสตายแล้ว ไม่ใช่คนที่หย่าร้างกันแต่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่อ่ะนะ = =

    สรุปว่ากวินทรารู้ต่อหน้าแล้วสินะว่ากวีรักตัวเอง (ทำไมปมมันคลายตัวเร็วจัง อยากให้หย่อนเบ็ดต่อไปเรื่อยๆอ่ะ)
    ส่วนคนอื่นๆ จะรอดูดราม่ามั่ง หึหึหึ
  22. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเครียดกับสิ่งที่เรียกว่าความรักขึ้นมายังไงชอบกล

    อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอยากเข้าวัดไปสงบจิตสงบใจ

    อ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าชีวิตจริงนั่นไซร้ ยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก
  23. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163


    ม่าย ก. มองผ่านเลยไป. ว. ไร้คู่ครองเพราะผัวหรือเมียตายจากไปและยัง
    ไม่ได้แต่งงานใหม่ และหมายรวมถึงเพราะหย่าขาดจากกันด้วย,
    ถ้าเป็นชายเรียกว่า พ่อม่าย, ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า แม่ม่าย, โดยปริยาย
    เรียกหญิงที่เลิกกับผัวว่า แม่ม่ายผัวร้าง หรือ แม่ร้าง, (โบ) ไร้คู่ผัวเมีย
    เช่น อนึ่งหญิงใดหาผัวมิได้เปนม่ายถือกำนัลอยู่ในวัง. (สามดวง),
    เขียนเป็น หม้าย ก็มี.
  24. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ดูจากการแผ่รังสีมืดมนแล้ว รู้สึกอยากแปลงกายเป็นหนุ่มใหญ่ ไปเทศนาสั่งสอนคนในหอเรื่องความรักจังเลย

    ความลื่นไหล b
    ความต่อเนื่อง d
    การบรรยาย b
    บทสนทนา b
    พล็อตเรื่อง a
    การน่าติดตาม a
    ตัวละคร b

    a แง้ววววว b งิ๊ววว c งืม d แง่ว e เง้อออออออ
  25. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    มันขมวดปมไว้เพียบเลยวุ้ย ถึงฉากหน้าจะเฮฮามากมายแต่แฝงอะไรหลายๆอย่างไว้ให้ขบคิดและแก้ใขสมเป็นศาสดาในด้านนี้ ส่วนตัวมองแย้งกับคนอื่นนะการใช้สรพพนามถึงมันจะดูหยาบไปนิดแต่มันคือสภาพความเป็นจริงเวลาเพื่อนผู้ชายที่สนิทๆกันมารวมตัวในเวลาเย็นๆ หรือเวลาพักผ่อน ตรงข้ามหากพยายามลดให้มันนุ่มลงเบาลงมันจะดูเป็นความห่างเหินของตัวละครเลยทีเดียว

Share This Page