Legendary - บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี [ 28 ตอนจบ ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 กรกฎาคม 2011.

  1. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    +10 อิวานจริงๆอยากทักตั้งแต่รับต้นฉบับมาแล้วแต่ขี้เกียจเพราะขืนทักมันต้องคันไม้คันมือเขียนเสริมลงไปแน่ๆ เดี๋ยวฟิคตอนนี้มันจะเพื้ยนไปหมดฮาาา อย่างที่อิวานกล่าวมาล่ะนะสหาย บางฉากมันง่ายจนเกินไป บางทีคนอ่านก็อยากเห็นอะไรมากกว่า ลุยไปกันดื้อๆล่ะนะ
  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    งั้นคนเขียนก็งดตอบคอมเมนต์นี้เหมือนกัน (ฮา)

    ขอบคุณมากจ้า ตรงก็อดดาร์ดนั่นตัดบรรทัดผิดไป ปล่อยไว้ไม่แก้ละ เดี๋ยวย่อหน้าพังอีก (อ้างอีกละ)
    ส่วนตรงบทสนทนาของอากิรอสนั่น ไว้จะไปปรับแก้ให้เหมาะสม เข้าใจง่ายกว่านี้นะครับ

    วิชาอิไอของทากะ... มันไวมาก ไวจนคนเขียนก็ยังไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกันเพราะมันไวเกิน (?)

    จริงๆ ตอนออกแบบท่าวิชาอิไอของทากะ ตั้งใจว่าสามารถให้หมอนี่ใช้ได้ทุกขณะ ทุกท่ายืน ไม่ต้องย่อตัวลงตั้งท่า
    แต่ตอนต้นๆในลานประลองที่ให้ทากะตั้งท่าเพราะการตั้งท่านั้นจะทำให้เกิดพลังทำลายที่มากขึ้นครับ

    ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นี้ จะได้เอาไว้ปรับแก้หรือใส่คำอธิบายให้มากขึ้นในภายหลัง

    ส่วนเนื้อเรื่องตอนทากะเข้าไปสู้กับเนโครแมนเชอร์นั้น ตั้งว่าจะเขียนให้ซอมบี้ที่ฟื้นขึ้นมามันแข็งแกร่งขึ้น พอฆ่าใหม่ มันก็ฟื้นมาใหม่แล้วกลายเป็นเศษเนื้อที่รวมกันเป็นซอมบี้ยักษ์ แต่คนเขียนหมดมุขครับ เพราะมันซ้ำกับในหลายๆเรื่อง เดี๋ยวเขาหาว่าลอกพล็อตอะ (ฮา)

    แต่ครั้งหน้าจะพยายามเขียนให้ดีขึ้นครับ

    ทีหลังก็บอกตั้งแต่ตอนได้รับต้นฉบับสิ(วะ)ครับ = =*
  3. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 20



    สายลมพัดผ่านหุบเขาส่งเสียงหวีดหวิวดังแว่วเข้าโสตประสาท ในสัมปชัญญะอันเลือนรางของทากะ แสงสว่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งสุดท้าย



    “เฮ้ เจ้าบ้าทากะ ตื่นได้แล้ว”
    เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

    “หือ มีอะไรขอรับ”
    ทากะในวัยเด็กงัวเงียตื่นขึ้นเอามือขยี้ตาเพื่อให้มันมองเห็นได้ชัดกว่าเดิม ห้องที่คุ้นตา กลิ่นเสื่อทาทามิที่คุ้นชิน ชุดเกราะสีทองอร่ามตั้งเด่นสง่าอยู่บนแท่น


    ที่นี่ โรงฝึกตระกูลซารุวาตาริ



    “ทำไม... ข้าน้อยมาอยู่ที่นี่ได้ขอรับ ?” ทากะหันซ้ายหันขวาแล้วถามเด็กผู้หญิงที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้า

    คำถามสิ้นคิดเช่นนี้ย่อมทำให้ฝ่ายที่ถูกถามโมโหจนต้องเขกกะโหลกคนที่ถาม


    “ฝึกหนักจนเพี้ยนไปแล้วรึยังไงกัน เจ้ารับปากว่าวันนี้จะพาข้าไปตกปลาไม่ใช่เรอะ”

    เด็กน้อยทากะยังคงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ยังไม่ทันจะถามอะไรไปมากกว่านี้ คู่สนทนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือและลากตัวเขาออกไปอย่างไว




    ที่ริมลำธารเล็กๆ สายน้ำใสไหลเอื่อยมาพร้อมสายลมสดชื่นเย็นสบาย เด็กน้อยทากะและเด็กหญิงนั่งอยู่บนโขดหิน สองมือประคองคันเบ็ดไม้ไผ่สีเขียวสดเฝ้ารอจังหวะที่ปลามากินเหยื่อ

    “เป็นอะไรไปทากะ?” เด็กหญิงในชุดยูกาตะสีน้ำเงินสดถามไถ่
    “เปล่าขอรับ ข้าน้อยรู้สึกว่าจำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย”
    “คงจะฝืนมากเกินไปนั่นแหละ ก็เจ้าเล่นใช้ดาบซันเซฝึกตั้งแต่เช้ามืดนี่นา ขนาดท่านอาไทงะยังควบคุมดาบนั่นไม่ได้ เจ้าไม่ถูกสูบวิญญาณไปจนตายนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
    “อย่างนั้นหรือ...ขอรับ” ทากะแบมือขวาออกดู รอยไหม้สีดำจางๆพาดผ่านอยู่บนฝ่ามือ




    “ทากะตื่นสิ เฮ้! ตื่นได้แล้ว”




    เสียงเรียกของใครแว่วดังมา เด็กน้อยทากะลุกขึ้นยืนหันมองหาที่มาของเสียงนั้น

    “เป็นอะไรไปอีกละ?” เด็กหญิงแหงนหน้าถาม
    “มีเสียงคนเรียกข้าน้อย ใครก็ไม่รู้บอกว่าให้ตื่นได้แล้ว”
    “เจ้าก็ตื่นอยู่แล้วไม่ใช่รึ”




    “เฮ้! เจ้าบ้า อย่ามาตายตรงนี้นะ”




    คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงดังขึ้น ทากะหมุนรอบตัวเองก็ไม่เห็นมีใคร แต่เมื่อแหงนหน้ามองบนฟ้ากลับรู้สึกว่ามีสายตาของจับจ้องอยู่

    “ข้าน้อยรู้สึกว่า...ข้าน้อยต้องไปที่ไหนสักแห่ง มีคนรอข้าน้อยอยู่” เด็กน้อยทากะบอกในขณะที่เหม่อมองไปบนฟ้ากว้าง พลันภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว


    ศัตรูมากมายเป็นกองทัพ เสียงดาบประดาบ บุรุษสามและสตรีสามที่มองเห็นหน้าไม่ชัดแต่กำลังยิ้มให้เขา



    “เจ้า...จะไปแล้ว... สินะ” เด็กหญิงก้มหน้าซ่อนสิ่งที่แสดงออกบนใบหน้า น้ำเสียงหดหู่ลง

    เด็กน้อยทากะนิ่งไม่ตอบคำถามของเธอ เสียงประหลาดยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง




    “อย่ามาแกล้งตายนะ”




    “ข้าน้อยจำเป็นต้องไปขอรับ”

    “อย่างนั้นรึ ?”
    เด็กหญิงปล่อยคัดเบ็ดจากมือ มันร่วงหล่นจมสายไปกับสายน้ำ มือซ้ายเอื้อมมาดึงผ้าคาดเอวของทากะ

    “เจ้ายังจำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้รึเปล่า ยังจำได้ใช่ไหม ?” เด็กหญิงเอ่ยถาม สุ้มเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้


    “‘ข้า’ จะปกป้ององค์หญิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ต่อให้ไปสุดขอบฟ้าหรือนรกขุมสุดท้าย ข้าก็จะกลับมาอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องท่าน”

    เด็กน้อยทากะตอบอย่างมุ่งมั่น


    รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าหยดน้ำใสๆที่ขอบตาจะเอ่อไหลออกมา
    “ไปเถอะ เจ้าบ้าทากะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘องค์หญิง’ ปล่อยมือจากผ้าคาดเอวและผลักเขาออกห่าง


    “แล้วข้าน้อยจะรีบกลับมาขอรับ”



    เด็กน้อยทากะออกวิ่งขึ้นไปยังต้นน้ำ สายตามองขึ้นไปบนฟ้ากว้าง แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าและห่อหุ้มตัวเขาไว้จนหมด


    --------------------------------------------------------------------------------​




    ร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงเริ่มเคลื่อนไหว ปลายนิ้วกระดิกขึ้นเล็กน้อยทีละนิ้ว ริมฝีปากขยับแยกจากกันและมีเสียงแหบแห้งเล็ดลอดออกมา เปลือกตาค่อยๆขยับขึ้น



    “ฟื้นแล้ว! ท่านทากะฟื้นแล้ว” เสียงตะโกนของเทรนดังลั่น

    ทากะพยายามลืมตามองรอบๆตัว ใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างแต่แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านแผ่นหลังทำให้มองได้ไม่ชัดนัก


    “นึกว่าต้องขุดหลุมฝังเจ้าไว้ตรงนี้เสียแล้วอีก”
    น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังออกจากปากของชายที่มีผมสีน้ำตาล


    หยดน้ำสองสามหยดตกลงมาบนแก้มของเขา ทากะหันขึ้นไปมองก็เห็นใบหน้าของมาเรียที่อาบชุ่มไปด้วยน้ำตา ตอนนี้เขากำลังนอนหนุนหน้าตักของเธออยู่


    “ร้องไห้...หรือขอรับ”

    “มะ..ไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย ฝุ่นมันเข้าตาต่างหาก” มาเรียรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา


    ทากะขยับปากโดยไม่มีเสียงกับตัวเองเป็นคำว่า ‘อย่างนั้นหรือ’
    เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นแต่ความบาดเจ็บก็วิ่งแล่นจากทั่วทั้งร่างเข้าสู่สมองทันที



    “อึก!” นักดาบพเนจรส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด


    “เฮ้! อย่าเพิ่งฝืนสิ เพิ่งจะห้ามเลือดกับทำแผลเจ้าไปเองนะ” ไอแซคปรามทากะ
    “แต่ว่า.. พวกเราเหลือเวลาไม่มากนะขอรับ”


    ความจริงที่อยู่ในคำพูดทำให้ทุกคนนิ่งเงียบเพราะเวลาของเบลลานี่เหลือน้อยตามที่ทากะว่าจริงๆ



    “เฮ้อ! ช่วยไม่ได้ละนะ” อากิรอสเกาหัวแกรกๆ
    “อเซแมก ขอศิลามนตราสองก้อนสิ”


    นักดาบผมสีน้ำตาลพลิ้วไหวล้วงหยิบศิลามนตราแล้วโยนให้ตามที่เขาร้องขอ อากิรับมาแล้วก็เดินเข้าหาทากะที่นอนบาดเจ็บอยู่




    “ออโรรา เบติตูดินิส” (รุ่งอรุณแห่งความสุข)

    จอมเวทผมดำขานถ้อยคำแห่งมนตราแล้วยกมือขวาขึ้นจุมพิตเบา ศิลาก้อนเล็กในมือข้างนั้นเปล่งประกายวาบ อากิรอสค่อยๆแปะมันสัมผัสกลางอกของทากะ ปลายผมสีดำพลิ้วไหวตามกระแสมนตรา ร่างของนักดาบดินแดนมายาเปล่งแสงขึ้นเรืองๆอย่างไม่น่าเชื่อ


    บาดแผลตามแขนขาเริ่มปิดคืน ความเจ็บปวดมลายหาย เรี่ยวแรงฟื้นกลับคืนทีละน้อย ใบหน้าของนักดาบพเนจรเริ่มมีเลือดฝาด

    ศิลามนตราในมือของอากิรอสลดแสงลงทีละน้อยจนดับสนิท และมันก็แตกร้าวกลายเป็นเศษหินเล็กๆร่วงกราวลงบนร่างของทากะ



    “อย่าเพิ่งฝืนใช้กำลังละ ถึงปากแผลจะปิดแล้วก็ตามแต่ก็ต้องรอให้ร่างกายฟื้นตัวด้วย”

    อากิลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือแล้วเดินไปหาเบลลานี่พร้อมศิลามนตราอีกก้อนหนึ่ง มนต์บทเดิมถูกขับขานขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อากิรอสใช้ศิลามนตราที่เปล่งแสงวางทาบลงที่หน้าผากของเธอ เมื่อแสงค่อยๆจางลง ใบหน้าของจอมเวทหญิงที่ถูกกัดกินด้วยมนตราของกุห์ฟานกลับคืนเกือบจะเป็นปรกติ วงเวทคำสาปที่แก้มขวาลดขนาดลงไปมากทีเดียว



    “นี่คงซื้อเวลาให้พวกเราได้บ้าง อย่างน้อยก็คงอยู่เหนือความคาดหมายของเจ้านั่นละนะ”
    อากิรอสเป่าปากโล่งอกแล้วยกมือเม็ดเหงื่อที่ไหลจากขมับลงสู่คางเรียว สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย


    “ยังเหลือศิลามนตราอีกเยอะ” อเซแมกแบมือให้ดูถุงผ้าบนฝ่ามือ
    “เจ้าจะเก็บไว้เองไหม ?”

    “แค่สามก็เพียงพอแล้ว”
    เมื่ออากิตอบดังนั้น อเซแมกก็หยิบก้อนศิลาในถุงโยนให้ เขารับและเหน็บเก็บไว้ที่ผ้าคลุมบริเวณคอ



    “อาริกาโต” (ขอบคุณ)
    ทากะตบไหล่ของอากิแล้วยิ้มให้เล็กน้อย

    “เอาละ! ไปต่อกันเถอะ” อากิรสอบอกกับทุกคน


    --------------------------------------------------------------------------------​




    เข็มสั้นของนาฬิกาของมาเรียชี้เลยเลขสามมานิดหน่อย แต่ก้อนเมฆดำคล้อยตัวลอยต่ำและเกาะกลุ่มแน่นจนทำท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม พายุกำลังก่อตัวอย่างช้าๆ

    แต่สำหรับอากิรอส ต่อให้เป็นพายุร้ายขนาดไหนก็คงหยุดเขาในเวลานี้ไม่ได้



    “ยังเหลือศัตรูอีกเท่าไรกัน ?” ไอแซคถามขึ้นขณะที่วิ่งนำอยู่หัวขบวน
    “ครั้งก่อนข้าเห็นผู้ติดตามเขาทั้งหมดสี่คน แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้” อากิรอสตอบคำถามของเขา
    “หมายความว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศัตรูเลยสินะ” อเซแมกสรุป

    “โช เม นิเซีย”
    อากิรอสพึมพัมออกมาเป็นภาษาละตินอันเป็นภาษาที่เหล่าจอมเวทใช้กัน


    “แปลว่าอะไรละนั่น” เทรนถามอย่างสงสัย

    “สิ่งที่ข้ารู้นั้นไม่มีอยู่จริง” อากิรอสตอบ เทรนยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่


    “คำพูดอมตะตลอดกาลของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต – ข้ารู้ตัวดีว่าข้าไม่รู้สิ่งใดเลย” ไอแซคช่วยอธิบายเพิ่ม
    “ข้าว่าความนัยของประโยคนี้ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะเอามาอธิบายสถานการณ์ตอนนี้นะ”

    “ข้าหมายความตามที่พูดนั่นแหละไม่จำเป็นต้องรู้ว่าศัตรูเป็นใคร มีมากหรือน้อย สิ่งที่ต้องทำก็คือทำทุกสิ่งที่ช่วยเบลได้เท่านั้น”



    แววตาในตอนที่อากิรอสตอบนั้นมุ่งมั่นเปล่งประกายเอาจริงเอาจังผิดกับนิสัยกะลิ้มกะเหลี่ย ทำเอาเทรนถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ



    “ข้าขอจัดการกับโจทก์เก่าหน่อยนะ คราวนี้ข้าจะเป่าหัวให้เป็นรูเลย” มาเรียหยิบปืนออกมาควงแล้วจูบที่ปลายปากกระบอกปืนเบาๆ
    “เฮ้! ข้าก็มีแค้นต้องคืนยัยนั่นเหมือนกันนะ” เทรนขัดขึ้น
    “เสียใจ คราวนี้ข้าไม่ให้เจ้ามาแย่งเหยื่อของข้าหรอกนะ” มาเรียปฏิเสธ




    พลันทั่วทั้งหุบเขาสั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน ก้อนศิลาขนาดใหญ่นับสิบก้อนตกลงมาจากหน้าผาด้านบนลงมายังเทรนและมาเรียที่รั้งอยู่ท้ายแถว



    แต่ก้อนหินพวกนั้นไม่ทันได้ตกลงมายังเบื้องล่างเพราะทากะและอเซแมกกระโดดขึ้นไปฟันหินพวกนั้นขาดกลางเสียก่อน ไอแซคยิงธนูแฝงพลังมนตราระเบิดส่วนที่ถูกตัดระเบิดกระจายเป็นเศษหิน ปิดท้ายด้วยอากิรอสที่เรียกดาบวารีออกมายิงกระสุนน้ำซ้ำ


    ทั่วทั้งหุบเขากลับเป็นเหมือนเดิม บรรยากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวและแหวกออกเป็นวงกลม ไบท์ ไวท์แฟงก์ก้าวออกมายืนประจันหน้ากับทุกคน


    “หือ? เมื่อกี๊ว่าใครเป็นเหยื่อของใครกันนะ” ไบท์ถามด้วยโทสะเดือดดาล เส้นเอ็นปูดโปนขึ้นตรงหว่างคิ้วจนเห็นได้ชัดเจน
    “เรียกปุ๊ปมาปั๊ป เร็วกว่าหมาที่ข้าเลี้ยงไว้ที่บ้านอีกนะเนี่ย” มาเรียจิกกัดแบบแสบๆ

    “ปากดีนะนัก!!!”
    นักฆ่าสาวคำราม จิตสังหารเกรี้ยวกราดแผ่ออกจากร่างของเธอ ความรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะฉีกเนื้อศัตรูราวกับฝูงหมาป่าหิวโหยนับร้อยนับพันตัว


    “ใครกันแน่ที่ปากดีน่ะ!”

    เทรนถามสวนแล้วกระชากดาบพุ่งพรวดออกไป แต่ปลายแส้ของมาเรียตวัดรัดแล้วกระชากเธอกลับมาฟุบอยู่แทบเท้า



    “แค่กๆ เจ็บนะเนี่ย” เทรนยกมือแกะแส้ออกแล้วลูบคอทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ
    “บอกแล้วไงว่าคราวนี้อย่ามาแย่งเหยื่อของข้า เจ้าไปนอนรอข้างหลังโน่นไป” มาเรียสะบัดแส้ดังๆหลายที



    “ออกหน้ามาเองก็ดี ครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อนแน่” ไบท์ยกใบมีดขึ้นเลีย
    “ทำไม? คราวนี้อยากได้หน้าเละๆกว่าครั้งก่อนงั้นเหรอ” โจรสาวตัวแสบยังไม่เลิกพูดจาปั่นประสาท



    ไบท์ไม่ต่อล้อต่อเถียง บุกเข้าหาโดยไม่กลัวว่าจะประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย มาเรียยิ้มเหี้ยมที่มุมปากแล้วสะบัดแส้เข้าหา มันพลิ้วตัวเป็นคลื่นออกจากข้อมือ ปลายแส้ที่เป็นปมเหนียวพลันยกตัวเข้าหาไบท์ด้วยความเร็วสูง


    ปลายแส้นั้นพลาดเป้าหมายไปอย่างไม่น่าเชื่อ มาเรียตกใจเล็กน้อยแต่ต้องรีบตั้งสติเพราะไบท์ก้าวเท้าเข้าหาเกือบจะได้ระยะจู่โจมของเธอแล้ว มือซ้ายยกขึ้นดึงปืนออกจากซองอย่างเร็ว



    “คราวนี้ใช้มือซ้ายยิงปืนสินะ ?” ไบท์ยิ้มเยาะรู้ทัน


    เสียงปืนแผดลั่นทันทีที่ลิ้นไกถูกเหนี่ยว ก้อนหินที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนลอยอยู่ระหว่างพวกเธอทั้งสอง กระสุนปะทะเข้ากับก้อนหินแล้วเบี่ยงวิถีออกไป เพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับนักฆ่าสาวที่ก้าวเข้าระยะประชิด คมมีดแวววาวสะบัดวูบเข้าหาข้อมือขาวๆของมาเรีย




    เสียงโลหะกระทบกันดังลั่นแทนที่จะเป็นเสียงเนื้อถูกกรีด ปลายมีดของไบท์แทงไม่ถึงตัวมาเรียเพราะถูกกั่นดาบของทากะขวางเอาไว้ และเพียงแค่แววตาของนักดาบพเนจรที่จ้องมาก็ทำให้ไบท์ต้องรีบถอยออกห่าง


    “คราวนี้จะรุมสองงั้นรึ ?” ไบท์ตั้งท่าแล้วโยกขยับซ้ายขวาเบาๆ

    “ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะแต่ข้าน้อยมีสิ่งหนึ่งสงสัยยิ่งนัก” ทากะไม่สนใจอีกฝ่ายแต่ถามมาเรียด้วยคำถามประหลาด

    “มันเป็นความปรารถนาของแม่นางหรือขอรับ ?”



    เทรนสงสัยในคำถามแต่ไม่ได้ออกปากถามอะไร แต่ดูเหมือนอเซแมกและอากิรอสจะเข้าในเจตนาของทากะเป็นอย่างดี


    “หือ? หมายถึงอะไรกันละ”

    มาเรียบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถาม ไม่แม้แต่จะหันมามองเขา แต่สายตากดดันของทากะยังจับจ้องมาจนเธอรู้สึกได้ มาเรียถอนหายใจแล้วขยับหันหน้ามองเขาด้วยสายตาไม่พอใจเล็กน้อย

    ทากะเห็นดังนั้นจึงก้าวถอยหลัง ค้อมหัวให้เธอเล็กน้อยและเดินกลับไปหาทุกคน




    “มีเรื่องขัดจังหวะนิดหน่อยแต่ก็เอาเถอะ” มาเรียสะบัดแส้ดังเปรี้ยง
    “ว่าแต่ เมื่อกี๊มันอะไรกันนะ แส้ก็ไม่เข้าเป้าแถมยังมีก้อนหินโผล่มาขวางทางปืนอีก ความสามารถของเจ้ารึ ?”
    โจรสาวเสถามอย่างยิ้มแย้ม

    “อยากรู้จริงเหรอ ?” ไบท์ก็แสร้งถามกลับ


    สองสาวยิ้มหวานใส่กันเหมือนการต่อเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด




    “อย่ามาตอแหลนะ!!” มาเรียแผดเสียงตวาดแล้วฟาดแส้เข้าใส่
    “ใครกันแน่ที่ตอแหลน่ะ!!”


    ไบท์เอี้ยวหลบแส้แล้วพุ่งเข้าหา มาเรียกกระชากข้อมือสะบัดแส้กลับแต่ไบท์เคยถูกลูกเล่นนี้เล่นงานมาแล้วจึงรับมือได้สบายๆด้วยการปัดแส้ทิ้ง มาเรียคิดจะขยับถอยแต่จู่ๆก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่ขาของเธอหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยของหนักๆ

    ปันสมาธิเพียงชั่วเวลาย่อมหมายถึงอันตราย ปลายมีดของไบท์ตวัดเฉือนเข้าที่แขนซ้ายของมาเรียเป็นแผลลึกในระดับตัดเส้นเลือดขาด โลหิตพุ่งกระฉูดฟุ้งเป็นฝอยตามแรงดันภายในหลอดเลือด


    “ครั้งแรกก็แขนซ้าย ต่อไปก็แขนขวา” ไบท์ยกมืดขึ้นลากลิ้นเลียเลือดสดๆแล้วหัวเราะหึหึในลำคอ


    “เมื่อกี๊จู่ๆขาก็ขยับไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกแล้ว”
    มาเรียหยิบเชือกเส้นเล็กๆมารัดแขนตรงช่วงรักแร้ห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว

    “เอ้า! รัดให้พอใจไปเลย อีกเดี๋ยวก็จะไม่เหลือแขนขาให้รัดแล้ว!”


    ไบท์หัวเราะลั่นแล้วพุ่งเข้าหาด้วยใบหน้าแสยะยิ้มอย่างคนโรคจิต


    --------------------------------------------------------------------------------​




    ทั่วร่างของมาเรียเต็มไปด้วยรอยแผล เธอตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้กับคู่ต่อสู้อย่างไม่มีทางเทียบได้เลยแม้แต่นิด ทุกครั้งที่เธอขยับตัวมักจะรู้สึกเหมือนถูกโซ่ล่ามตรึงเอาไว้จนไม่อาจหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้



    “ปล่อยไว้แบบนี้แย่แน่ๆ” อากิรอสประเมินสถานการณ์ออก ไบท์ในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งพละกำลังหรือความเร็วเหนือกว่าเมื่อครั้งสู้กับครั้งแรกอย่างเทียบไม่ติด

    “คงเป็นเพราะมนตราด้วยสินะขอรับ”

    “ถูกต้อง ไบท์ใช้มนตราควบคุมแรงโน้มถ่วงเหนี่ยวรั้งการเคลื่อนไหวของมาเรียเหมือนที่ผนึกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าตอนที่สู้กันครั้งแรก และตัวเธอได้รับผลจากแรงดึงดูดน้อยลงจนเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นและไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย” จอมเวทผมดำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

    “ข้าจะไปช่วยเอง” เทรนทำท่าจะขยับออกไปแนวหน้า แต่ทากะยกมือขึ้นขวางไว้ก่อน
    “เกะกะเปล่าๆขอรับ”

    “ว่าไงนะ!?”
    นี่ถือเป็นคำพูดดูถูกเธออย่างแรงและออกมาจากปากของทากะเสียด้วย “จะบอกว่าข้าทำอะไรไม่และจะปล่อยให้มาเรียตายอย่างนั้นเหรอ?”

    “ข้าน้อยหมายความว่าท่านจะเข้าไปเกะกะมาเรียต่างหาก” ทากะยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย “คอยดูให้ดีเถอะครับ”




    “ว่าไง หมดก๊อกแล้วเรอะ?” ไบท์ถามแล้วเดินย่างสามขุมเข้าหา

    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ” เสียงหัวเราะดังจากร่างของหญิงสาวที่โชกไปเลือดเต็มไปด้วยบาดแผล ผมที่ปรกหน้าทำให้มองไม่เห็นแววตาหรืออารมณ์ใดๆ


    อเซแมก อากิรอสและทากะต่างคิดใจพร้อมกันว่า ‘เอาแล้วไงละ’





    “เสียสติไปแล้วรึ? ก็ดี งั้นต่อไปข้าขอลูกตาของเจ้าแล้วก็จบเรื่องนี้เลยละกัน”

    นักฆ่าสาวพุ่งเข้าหา แต่กลับต้องกระเด็นออกมาเพราะแส้ของมาเรียฟาดเข้าใส่จากมุมอับของสายตา มันรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่ผ่านมาอย่างเทียบไม่ได้



    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
    เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง แส้ในมือนั้นเคลื่อนไหวเองและจู่โจมไบท์ราวกับมันมีชีวิต นักฆ่าฉายาเขี้ยวขาวต้านรับไว้ได้ไม่หมดถูกโจมตีตามลำตัวหลายแห่งก็ถอยให้ห่างจากระยะแส้

    แต่ปลายแส้กลับพุ่งเข้าหากลางหน้าผากของเธอทั้งๆที่อยู่ไกลเกินกว่าความยาวของแส้!


    ไบท์โดนโจมตีเข้าเต็มๆที่หัวจนหมดสติไป แต่แส้ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น มันตามกกระหน่ำฟาดไบท์ที่นอนสลบจนโชกเลือดในพริบตา





    “นี่มัน...อะไรกัน ?” เทรนตกตะลึงอ้าปากค้างเบิกตากว้าง

    “นี่คือบุคลิกที่กดเอาไว้ในเวลาปกติและตื่นขึ้นมา” อากิรอสเป็นผู้ตอบคำถาม
    “และตอนนี้ก็ไม่แยกมิตรแยกศัตรูด้วย เพียงแค่บดขยี้คนที่อยู่ตรงหน้าให้หมดสภาพเท่านั้น” อเซแมกพูดเสริม
    “คนประเภทหนึ่งที่มีความสุขเมื่อได้ทำร้ายผู้อื่น แต่ก็มีอีกหนึ่งที่มีความสุขเมื่อตัวเองถูกทำร้ายขอรับ” ทากะสรุป “และตัวตนของมาเรียก็มีทั้งสองสิ่งที่ว่าขอรับ”

    “เทอก้า ดราโกนิส” (แส้หางมังกร)
    “นั่นไม่ใช่แส้ธรรมดาๆ แต่ทำจากหนังและเกล็ดของมังกร จัดเป็นอาวุธอาคมประเภทหนึ่ง ยืดหดได้ตามความต้องการของเจ้าของ แต่ดูเหมือนว่ามันจะ ‘ตื่น’ ต่อเมื่อเธอตื่นด้วยเช่นกัน” ไอแซคอธิบายความสามารถแส้ของมาเรีย




    ปลายแส้ม้วนพันกับขาของไบท์แล้วจับเหวี่ยงเข้ากระแทกกับหน้าผาหินจนฝุ่นคลุ้งไปหมด


    “ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
    โจรสาวยังอยู่ในสภาพไร้สติ ดวงตาเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แส้อาละวาดไปทั่วราวกับงูยักษ์ มันฟาดเข้ากับพื้นและหน้าผาจบแตกยับ รวมถึงร่างของมาเรียเองด้วย





    เสียงหมาป่าหอนโหยหวนดังเด่นชัดจากจุดที่ไบท์ถูกเหวี่ยงไปกระแทกหน้าผา เสียงแกรกกรากของเศษหินมาพร้อมดวงตาสีแดงสดเปล่งประกายผ่านม่านควัน ร่างดำทะมึนสูงใหญ่กว่าสามเมตรแผดเสียงคำรามขู่กรรโชกจากลำคอที่มีแผงขนสีน้ำตาลเข้มปกคลุม



    “มนุษย์หมาป่างั้นรึ ?” อากิรอสหรี่ตามองให้ชัดๆ
    “สงสัยจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกแหงๆเลย” อเซแมกเกาหัว
    “ทางทีดีอย่าพูดดีกว่านะขอรับ ท่านพูดทีไรเป็นเรื่องทุกทีเลย” ทากะถอนหายใจ


    ไบท์ในร่างมนุษย์หมาป่าหอนโหยหวน หุบเขาสะท้อนเสียงหอนไปมา อากาศแหวกออกเป็นช่องว่างมิตินับไม่ถ้วน เสียงคำรามฮื่อแฮ่ของหมาป่ามากมายดังลั่น



    “ว่าแล้วไงละ” อเซแมกกระชากดาบจ้วงแทงหมาป่าตัวเขื่องที่กระโจนออกจากช่องว่างมิติตรงหน้า
    “ท่านนี่ปากพาซวยจริงๆ” ไอแซคส่ายหน้าแล้วก็กระโดดขึ้นหน้าผาไปปักหลักยิงสนับสนุนจากด้านบน



    อเซแมกและทากะหันหลังพิงเข้ากับอากิรอสโดยมีเบลอยู่ตรงกลาง จอมเวทผมดำต้องเรียกดาบอัคคีออกมาใช้แม้เขาจะไม่ถนัดมนตราแห่งไฟเท่าไรนัก แต่เพราะไฟมีผลกับพวกสัตว์ป่าอย่างมากก็เลยเลี่ยงไม่ได้



    หมาป่าบางส่วนกระโดดแยกเขี้ยวเข้าหามาเรีย แต่พวกมันก็ต้องสิ้นใจตายไปเมื่อแส้ขยับตัวปกป้องผู้เป็นเจ้าของ ไบท์คำรามแล้วย่อตัววิ่งสี่เท้าเข้าหา แส้ปีศาจสะบัดตัวโจมตีจากรอบทิศทางแต่มันก็ทำได้เพียงแค่สัมผัสความว่างเปล่าเพราะร่างของจ้าวหมาป่ากระโจนหลบขึ้นด้านบนไปก่อนแล้ว


    ร่างที่ไร้สติของมาเรียสะบัดแขนขึ้นด้านบน แส้ขยับตามขึ้นโจมตีเป้าหมาย แต่คลื่นเสียงที่เกิดจากการคำรามกระแทกแส้ที่จู่โจมเข้ามาให้กระเด็นออกไป อสูรหมาป่ากางเล็บแหลมคมโถมฟาดใส่ศัตรูคู่อาฆาตเต็มรักจนกระเด็นไปไกล




    เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของอสูรหมาป่า – เทรน แมคโดเวล

    ความทรงจำที่เธอถูกปีศาจมนุษย์หมาป่าโจมตีจนสลบเหมือดแวบเข้ามาในความคิด เธอเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นแล้วและจะไม่ยอมทำผิดอีก


    เทรนร้องตะเบ็งสุดเสียงบิดตัวฟันสุดแรงใส่หลังคอของอสูรหมาป่าจนเลือดกระจาย ไบท์ตอบโต้ตามสัญชาตญาณด้วยการฟาดแขนซ้ายใส่ เทรนหดตัวเก็บคองอเข่าในพริบตาที่จะถูกโจมตี


    นักดาบสาวถีบขาเข้าปะทะกับแขนใหญ่ข้างนั้นและใช้แรงของศัตรูดีดตัวออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เธอหมุนตัวกลางอากาศยันสองขาเข้ากับหน้าผาแล้วกระโจนกลับเข้าหา สองมือกำด้ามดาบแน่นตวัดฟันจากล่างขึ้นบนฉีกกล้ามเนื้อที่กลางอกของศัตรูออกเป็นแผลเหวอะ


    จากการโจมตีเมื่อครู่ทำให้เธออยู่ในท่าเงื้อฟาดดาบจากเหนือหัว และเธอก็ไม่พลาดที่จะโจมตีซ้ำอีกครั้งตามแนวแผลเดิมอีกคำรบ



    ไบท์คำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด สองเท้าหน้าเหวี่ยงหวือเข้าหาศัตรู



    แต่สายไปเสียแล้วเมื่อเทรนลงสู่พื้นในท่าย่อตัว สองมือประคองดาบอยู่ข้างลำตัวซีกซ้าย นักดาบสาวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วปลดปล่อยท่าไม้ตายที่ผู้เป็นอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทให้ในระยะประชิด


    “เวนโต้ แซงติ”


    คมดาบแห่งสายลมเชือดเฉือนร่างอริร้ายตรงหน้านับจำนวนแผลไม่ได้ และก่อกำเนิดสายลมรุนแรงพัดเอาร่างมหึมาของอสูรหมาป่าให้ปลิวได้ราวกับไร้น้ำหนัก มันกระเด็นเข้ากระแทกหน้าผาเต็มแรง ก้อนหินใหญ่ๆร่วงทับซ้ำกลบร่างนั้นให้จมหาย


    บรรดาหมาป่าที่ถูกเรียกออกมาจากต่างมิติล้มตายลงหมดเมื่อจ่าฝูงสิ้นฤทธิ์ เทรนถอนหายยาวๆหนึ่งครั้งแล้วนึกขึ้นได้ว่ามาเรียได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอรีบวิ่งไปที่ร่างที่นอนฟุบอยู่กับพื้นทันที


    โจรสาวได้สติกลับคืนมาแล้วและยังไม่ถึงแก่ความตาย แต่ลมหายใจรวยรินเบาบางขาดห้วงเจียนอยู่เจียนไป แผลจากคมมีดกรีดมีอยู่ทั่วกายซ้ำยังถูกไบท์ในร่างอสูรหมาป่าตะปบเข้าเต็มๆอีก อากิรอสรีบเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บทันที





    กองหินที่กลบฝังร่างของมนุษย์หมาป่าระเบิดออก มันยืนตระหง่านนอยู่ท่ามกลางฝุ่นควันคลุ้ง



    “บ้าจริง”
    เทรนหัวเสียเมื่อเห็นศัตรูกลับขึ้นมาจากความตาย เธอลุกขึ้นออกเดินไปยังมนุษย์หมาป่าทีละก้าวอย่างช้าๆ


    มนุษย์หมาป่าเกิดการเปลี่ยนแปลง ขนาดตัวค่อยๆหดลงพร้อมกับควันสีน้ำตาลที่พวยพุ่งออกจากร่างกลับมาเป็นร่างมนุษย์เช่นเดิม ไบท์ในสภาพเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอาการสาหัสไม่แพ้มาเรียทรุดลงคุกเข่า แต่สายตาที่มองไปยังนักดาบสาวยังไม่ลดความเป็นศัตรูลงแม้แต่น้อย




    “ตายยากสมเป็นสัตว์ป่าจริงๆนะ”
    เทรนเดินเข้ามาหยุดยินต่อหน้านักฆ่าสาวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อสู้ ยกดาบขึ้นพาดข้างคอของเธอ

    ฝ่ามือแข็งแรงของอเซแมกตบลงที่บ่าของเธอเสียก่อน


    “จับเป็นไว้ต่อรองกับชีวิตของเบลลานี่ ผู้หญิงที่กุห์ฟานยอมให้อยู่ข้างกายอาจจะมีความสำคัญต่อเขาก็ได้”


    เทรนได้ยินดังนั้นก็เก็บดาบลงฝักช้าๆจนสุด ถอยหลังคำนับผู้เป็นอาจารย์แล้วรีบวิ่งไปหามาเรียสวนกับไอแซคที่เดินเข้ามาพร้อมเชือกสีขาวเรืองแสงสีฟ้าอ่อน


    “เชือกอาคมของชาวเอลฟ์สินะ ฝากจัดการด้วยก็แล้วกัน”
    อเซแมกบอกกับเอลฟ์หนุ่มที่หยุดยืนอยู่ข้างกายแล้วหันหลังเดินกลับตามลูกศิษย์ไป




    การต่อสู้หนึ่งจบลง แต่จุดจบยังอีกยาวไกลนัก




    To be continue…


    --------------------------------------------------------------------------------​




    - คุยกันท้ายตอน –

    จบไปอีกหนึ่งคู่ครับ สองสาวได้ชำระแค้นที่ค้างคากันไว้แล้ว
    และไบท์จะสำคัญต่อกุห์ฟานถึงขนาดยอมแลกกับเบลานี่ได้หรือเปล่า ? ต้องติดตามครับ

    ตอนเขียนฉากสู้ด้วยแส้นี่ไม่ค่อยถนัดเลยครับ นึกภาพเอาตามแส้ ‘จินเปียน’ ในเรื่องตำนานเทพประยุทธ์เอาก็แล้วกันนะ คนเขียนก็นึกเขียนเอาตามนั้นเหมือนกัน


    สำหรับตอนนี้ ถ้ามีอะไรแปร่งๆไปโดยเฉพาะฉากต่อสู้นั้น รบกวนติและแนะนำด้วยครับ

    ปล. ตอนย้อนอดีตใครคิดว่าทากะจะตายบ้างครับ (ฮา) ??

    Azemag A.C. McDowell

  4. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อ่านแล้วร้อง อืมมม อืมมมม โว๊ะคนเขียนน่าจะรู้สึกนะว่ามันแหม่งๆ ฮาาา

    ฉากต่อสู้ของบทนี้ต้องยอมรับกันเลยว่ามันสะดุดและไม่สมเหตุสมผลในช่วงท้าย โดยส่วนตัวคิดว่ามันควรจะมีอะไรมากกว่านี้สิ
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  5. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ฉากมันก้าวกระโดดไปหน่อย คือใส่มาแต่ action การเคลื่อนไหว แต่ขาดการใส่บรรยากาศหรืออารมณ์ให้เข้ากันมาด้วยมันก็เลยดูโหวงๆไปหน่อยน่ะฮะ
  6. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    มาต่อไวๆนะ

    จบการคอมเม้นท์

    ปล. แก้แค้นจาก FB
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    เราพลาดไปเองสหาย ขอบใจที่บอก

    ลองเปลี่ยนสไตล์ครับ มันเลยเพี้ยนๆขาดๆไปแบบนี้ ไม่เขียนแนวนี้แล้วครับ

    เกรียนมาก = =;
  8. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    _____ตอนที่ 21



    _____สายลมหวีดหวิวแว่วมาพร้อมกับความเย็นชื้น อุณหภูมิลดต่ำลงจนผิวกายรู้สึกหนาวเย็นกว่าปกติ สายน้ำโปรยปรายจากฟากฟ้าลงมาเป็นระยะ ม่านหมอกละอองขาวพลิ้วไหวตามแต่สายลมจะพัดพาไประบายฟากฟ้าสีเทาหม่น แต่ถึงจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็คงไม่ทำให้ทุกคนเปลี่ยนใจที่จะหยุดก้าวเดินต่อไป การมุ่งไปข้างหน้าเท่านั้นคือความหมายของชีวิต


    _____สายฝนโปรยปรายเปลี่ยนไปเป็นทิ้งตัวลงแรงเร่ง หยดน้ำเม็ดหนักหล่นร่วงเร็วราวสายแสงสีเงินละลานตา


    _____“ทำไมฝนต้องตกตอนนี้ด้วยนะ” นักดาบสาวดวงตาสีไพลินบ่นพลางยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่เกาะเหนือคิ้วออก อีกมือหนึ่งจูงสายเชือกผูกล่ามร่างของนักฆ่าสาวให้เดินตามมา

    _____“เจ้าไม่ชอบฝนรึไงกัน? ออกจะชุ่มฉ่ำและเย็นสบาย” นักมนตราหนุ่มเอ่ยถามเมื่อจับอารมณ์ในถ้อยคำเหล่านั้นได้

    _____“ตอนเด็กๆข้าเคยชอบออกไปวิ่งเล่นกลางสายฝนนะ แต่โตมาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆเวลาฝนตก” นักดาบสาวแหงนหน้ามองก้อนเมฆสีดำหม่น

    _____“จิตใจแจ่มใสมองสิ่งใดก็ใสสด จิตใจหม่นหมองอยู่ที่ใดก็หมองหม่น” จอมเวทผมดำเปรยกลอนแปร่งๆออกมา

    _____“พูดอะไรเข้าใจยากชะมัดเลย” เอลฟ์ผมทองพูดย้อนกลับไปยังเจ้าของกลอน

    _____“ท่านไม่เข้าใจเพราะใจท่านเข้าไม่ถึงต่างหาก” อากิรอสยังไม่หยุดพูดอะไรที่เข้าใจยาก



    _____สองหนุ่มต่างขั้วพูดจากถกเถียงเรื่องเข้าใจยากๆแล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนประเด็นไปไกล นักดาบสาวแอบถอนหายใจมองลอดฮู้ดออกไปยังฟ้าสีหม่น อาจารย์หนุ่มที่เดินนำด้านหน้าก็เงียบนิ่งไม่พูดจาหรือว่าเปลี่ยนอิริยาบถนอกจากสาวเท้ายาวๆก้าวไปข้างหน้า ส่วนโจรสาวที่บาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อครู่ก็ซบกายลงแนบนอนหลับกับแผ่นหลังของนักดาบซามูไรไม่รับรู้เรื่องราวรอบกาย


    _____สายลมวูบหนึ่งพัดมาพร้อมรังสีสังหารกราดเกรี้ยวฉุนเฉียวราวกับมีคมหอกคมดาบนับพันพุ่งตามมาด้วย อากาศเหน็บหนาวยิ่งเย็นเยียบมากขึ้น อากิรอสและไอแซคหยุดทุกบทสนทนา แม้แต่มาเรียที่นอนหลับไม่ได้สติไปแล้วยังถูกปลุกขึ้นมา ไบท์ที่ถูกมัดล่ามเดินตามมาสั่นตัวทรุดลงนั่งปากสั่นตัวซีดพูดจาละล่ำละลักด้วยความหวาดกลัว


    _____“ท่าน...กุห์ฟาน...”

    _____“ไม่ต้องให้เจ้าบอกข้าก็รู้หรอกน่า” เทรนหันบอกไปบอกแล้วเดินไปพยุงนักฆ่าสาวให้ลุกยืน

    _____“ไปกันต่อเถอะ” อเซแมกบอกกับทุกคน





    _____ถึงแม้ว่าพายุจริงจะสงบไปแล้วและท้องฟ้าเริ่มมีลำแสงสีส้มทองทะลุผ่านหมู่เมฆลงมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ยิ่งเดินลึกเท่าไรกระแสสังหารยิ่งแรงกล้าดั่งพายุร้ายลูกใหญ่อีกลูกหนึ่ง


    _____หน้าผาสูงสองข้างเริ่มลดตัวลงต่ำ ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มแน่นหนามากขึ้น ถนนสายเล็กเริ่มขยายกว้างราวกับปากแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับท้องทะเล ก้อนอิฐและสิ่งปลูกสร้างที่บ่งบอกว่าถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์มีให้เห็นประปราย ถัดมาเป็นลานกว้างที่พอจะจุหมู่บ้านได้สองหรือสามแห่งรวมกันล้อมรอบด้วยเศษซากแตกหักของหมู่ตึกสูงเสียดฟ้า มองไปก็คล้ายกับต้นไม้ที่ยืนต้นตายซาก


    _____พระอาทิตย์ดวงกลมใหญ่สีแสดแสบสว่างกำลังจะหายลับไปจากขอบหน้าผาทิศตะวันตก ทิศเดียวที่มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่คล้ายกับเทวลัยตั้งตระหง่านเป็นส่วนหนึ่งของภูผา และจิตสังหารอันแรงกล้าของกุห์ฟานก็รับรู้จากที่นั่น


    _____ราวกับเชื้อเชิญ ราวกับยินดีที่รู้ได้ว่าผู้ที่รอคอยเดินทางมาถึงแล้ว จิตสังหารที่มากล้นพลันดับวูบหายไปเหมือนเทียนที่ถูกน้ำหยดใส่จนสิ้นแสงเหลือเพียงกลิ่นควันเป็นหลักฐานการมีอยู่ เมื่ออีกฝ่ายกวักมือชวนแบบนี้แล้วจะไม่รับเชิญก็คงกระไรอยู่ อเซแมกยกมือปัดผมที่เปียกปรกหน้าออกแล้วออกเดินโดยไม่ต้องเอ่ยใคร เพราะต่างก็พร้อมใจก้าวขาออกเดินเรียงเคียงข้างเรียงหน้ากระดานไปพร้อมกัน


    _____หนทางถูกปูด้วยแผ่นหินน้ำตาลอ่อนแก่สลับสี เสาศิลามีรูปแกะสลักเทวทูตตัวน้อยเป่าแตรอยู่บนยอดปักเรียงรายอยู่ตลอดข้างทางโยงใยไขว้ไปมาด้วยสายโลหะสีเงินสีทอง บางช่วงก็ขาดแหว่งหายไป เสาบางต้นก็หักเหลือครึ่งบ้าง เหลือแค่เลยพื้นบ้าง เทวทูตตัวน้อยบางตนก็ไม่สมประกอบแหว่งโน่นขาดนี่


    _____ปลายทางเป็นบันไดสูงขึ้นไปยังเทวลัยใหญ่โตด้านบน สิ่งก่อสร้างโอ่อ่าใหญ่โตที่ทุกคนอาจจะตั้งคำถามขึ้นในใจพร้อมกันเมื่อได้เห็นก็คือ ‘ใครเป็นผู้สร้างและสร้างเพื่อการใด’ ขั้นบันไดแบ่งเป็นสามช่วงใหญ่ด้วยลานกว้างที่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง


    _____ขั้นบันไดที่แปดร้อยเก้าสิบเก้าเป็นขั้นสุดท้ายของช่วงแรก ลานกว้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดคาดคะเนด้วยสายตาก็คงราวๆยาวกว้างไม่ต่ำกว่าพันเมตร นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตโออ่าอลังการ


    _____อีกฟากฝั่งเป็นบันไดสำหรับขึ้นไปยังส่วนที่สอง แต่ดูเหมือนจะยังผ่านไปไม่ได้ในทันทีเพราะมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งขวางทางไว้




    _____ทารัส – หมู่บ้านชื่อดังที่เป็นแหล่งรวมงานใต้ดินทุกรูปแบบ เป็นซ่องโจรที่ชื่อมีชื่อเสียงพอๆกับชื่อเสีย ทุกคนในหมู่บ้านดำรงชีพด้วยการรับจ้างฆ่า ลักขโมย งัดแงะบ้านมหาเศรษฐีหรือพ่อค้าใหญ่ ดักปล้นคาราวานสินค้าหรือแม้กระทั่งอาจหาญปล้นกองเรือพานิชของชิลโซลิธี แม้ว่าหมู่บ้านนี้จะถูกกำราบปราบปรามลงไปโดยกองทัพของนครบุษราคัมเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วก็ตาม แต่ชื่อของทารัสยังคงติดแน่นฝังตรึงสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนที่ได้ยิน

    _____เช่นเดียวกัน ความแค้นอาจจะฝังอยู่ในวิญญาณของผู้ที่รอดตายจากเหตุการณ์ที่ทำให้ทารัสเหลือเพียงชื่อก็เป็นไปได้


    _____และ ‘เขา’ อาจจะเป็นคนสุดท้ายที่สืบนามนี้ ‘ดาบคู่แห่งทารัส อิเซเรีย ควินน์’


    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____นักดาบแห่งทารัสขยับตัวลุกยืนแล้วย่างก้าวลงมาทีละขั้นบันไดอย่างมั่นคง จิตต่อสู้กล้าแกร่งแน่วแน่ราวกับขุนเขา แรงกดดันอันยิ่งใหญ่แผ่ผ่านออกมาจากร่างผอมเพรียวบาง ใบดาบแคบเรียวยาวสองเล่มค่อยถูกเลื่อนออกจากฝักหนังที่ห้อยแขวนอยู่ข้างลำตัว แสงสะท้อนเป็นประกายไล้ลูบไปกับคมดาบ

    _____จนกระทั่งเขามายืนอยู่ ณ กึ่งกลางของลานว่างเปล่า


    _____“คงไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดให้มากความอีก หากพวกเจ้าอยากก้าวต่อไปข้างหน้าก็ต้องล้มข้าให้ได้ แต่ว่า...” อิเซเรียยกดาบชี้ไปยังจอมเวทหนุ่มที่แบกร่างของคู่หู่ไว้บนแผ่นหลัง “ข้าอยากคืนหนี้ครั้งก่อนให้กับเจ้าเป็นการส่วนตัว”


    _____ทั้งสองคนจ้องกันไม่ละสายตา จนสุดท้ายแล้วอากิรอสขยับทำท่าจะปล่อยร่างที่ไร้สัมปชัญญะของเบลลานี่ลงจากหลัง นักดาบหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆจึงยกมือขึ้นแตะบนบ่าของเขา




    _____“คนมีหนี้ติดค้างกันก็ต้องรอจ่ายตอนท้ายสิ” อเซแมกบอกแล้วก้าวออกเดินไปแทนคนที่ถูกหมายหัว เขาหยุดเรียกหาลูกศิษย์สาว เธอก้าวออกมายืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นอาจารย์ปลดเชือกผ้าคลุมออกจากคอแล้วม้วนมันยื่นให้กับเธอ

    _____“เดี๋ยวข้ากลับมาเอา”



    _____หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าก้าวออกไปยืนประจันกับนักฆ่าแห่งทารัสกลางลานหินที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ในพิธีบวงสรวงเทพเจ้า แต่บัดนี้กำลังจะแปรสภาพเป็นลานประลองชั่วคราวของสองบุรุษเสียแล้ว


    _____“ไม่นึกว่าคนระดับท่านจะออกหน้ามาก่อน” ดาบคู่แห่งทารัสเอ่ยปากทักขึ้นมา

    _____“ยกย่องเกินไปแล้ว ข้าก็แค่นักดาบธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง” อเซแมกตอบกลับและค่อยๆดึงดาบของตนออกมาเป็นสัญญาณบอกว่าเขาพร้อมแล้ว



    _____สายลมรุนแรงพัดกระโชกเข้าหา แต่ความร้อนแรงที่เกิดจากดาบสามเล่มปะทะหักหาญ จิตต่อสู้ของสองยอดนักรบก่อกำเนิดแรงปะทะที่สั่นสะเทือนและรุนแรงยิ่งกว่าสายลมใด


    _____ทั้งอเซแมกและอิเซเรียต่างหยั่งเชิงกันด้วยการเสือกดาบเข้าปะทะกัน วัดกำลังของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมามากกว่าจะใช้ลูกเล่นใดๆ เสียงโลหะเสียดสีกันดังเอี๊ยดอยู่ต่อเนื่อง ดาบต่อดาบ คมต่อคม ตาต่อตา ใจต่อใจ


    _____ทั้งสองพร้อมใจกระแทกแล้วแยกจาก จากนั้นสืบเท้าเข้าหาด้วยจังหวะย่างก้าวหนักแน่นมั่นคง ดาบในมือแกว่งไกวซ้ายขวาประลองกระบวนท่ารุกรับพื้นฐาน แต่ทว่าความเร็วนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นจนเสียงเคร้งคร้างของการปะทะถี่ยิบเสียจนฟังแทบไม่ทัน


    _____แผลหนึ่งเกิดขึ้นถากๆบนบ่าซ้ายของอเซแมก อีกหนึ่งแผลถากๆก็เกิดขึ้นบนต้นแขนขวาของอิเซเรียเช่นกัน นอกจากแผลแล้วยังมีรอยยิ้มบางๆที่มุมปากของทั้งสองคนด้วย


    _____หลังจากเรียกเหงื่อและเลือดอุ่นเครื่องการต่อสู้ แววตาของสองนักดาบก็แปรเปลี่ยนเป็นสัญญาณเริ่มต้นการเอาจริง เสียงดาบปะทะกันหนักหน่วงรุนแรงผิดจากช่วงก่อนหน้านี้ลิบลับ อิเซเรียใช้ท่าก้าววนรอบตัวอเซแมกพร้อมกับเปลี่ยนท่าร่างไปเรื่อยๆ แต่หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าก็ยังเย็นใจไม่รีบร้อนทะลวงฝ่าออกไปในทันที


    _____อิเซเรียพุ่งโจมตีโดยมีเป้าหมายอยู่ที่กระดูกต้นคอข้อที่สาม แต่อเซแมกยกดาบอ้อมข้ามหัวตัวเองปัดปลายดาบอีกฝั่งทิ้งได้โดยไม่ต้องหันหลัง และก็เป็นโอกาสให้เขาบิดข้อเท้าหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูได้ในพริบตา สองมือประสานวาดดาบจากบนลงล่างทันที

    _____แต่อีกฝ่ายถอนเท้าถอยกลับหนีความตายได้ฉิวเฉียด แต่กระนั้นปลายดาบก็ยังบาดจางๆบนร่างเป็นแผลยาว



    _____“จากรุกเป็นรับในชั่วพริบตา ทั้งยังเยือกเย็นไม่วอกแวก สมแล้วกับฝีมือของหลานชายเหยี่ยวสายฟ้า” อิเซเรียผู้ผ่านพ้นปากประตูนรกมาได้หวุดหวิดชม

    _____“ขอบคุณที่ชม”




    _____คราวนี้อเซแมกเป็นฝ่ายรุกบ้าง เขาก้าวเท้าพุ่งเข้าหาตรงๆแล้วเหวี่ยงดาบเข้าปะทะซ้ายขวาธรรมดา แต่การบิดข้อเท้าหมุนทั้งร่างทำให้การโจมตีนั้นทรงพลังและรุนแรงเกินคาด อิเซเรียใช้ทั้งสองดาบตั้งรับยังมิอาจต้านทานได้ เพียงแค่เจ็ดกระบวนท่าการตั้งรับของอิเซเรียก็พังทลายและเป็นโอกาสให้อเซแมกก้าวเข้าประชิดตัว

    _____“เวนติส พรีมา” (สายลมแรกแห่งเหมันตฤดู)


    _____อิเซเรียรู้สึกถึงสายลมที่แผ่ออกมาจากร่างของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า จิตต่อสู้ร้อนแรงหายไปกลายเป็นเย็นเยียบเฉียบพลันพร้อมกับพายุรุนแรงที่โถมเข้าหาพร้อมกับรังสีแห่งความตาย




    _____“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก”

    _____นักดาบแห่งทารัสปลิวกระเด็นราวกับถูกจับโยนพร้อมกับเสียงร้องดังลั่น นักดาบจากหมู่บ้านไร้นามอยู่ในท่ากึ่งยืนกึ่งย่อ สองมือเหยียดลงสุดข้อหักมือชี้ปลายดาบท้าฟ้า


    _____“สุดยอด!” เทรนอ้าปากค้างเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์สามารถสยบศัตรูที่ร้ายกาจลงได้ในไม่กี่กระบวนท่า

    _____“มีดีเหมือนกันนี่นา” จอมเวทผมดำผิวปากทำหน้าทึ่งๆ

    _____“น้อยคนนักที่จะใช้เพลงดาบสายลมได้อย่างแคล่วคล่องแม้แต่ในอาณาจักรมายา แต่เท่าที่ข้าน้อยเห็นนี่ก็ระดับผู้บรรลุยุทธ์แล้วละขอรับ”

    _____“แต่ว่า...ยังไม่จบหรอกนะ” เอลฟ์หนุ่มว่าพลางพยักพเยิดให้ดูร่างที่นอนนิ่งเริ่มขยับตัวอีกครั้ง




    _____ร่างที่ว่านั้นลุกขึ้นยืนอย่างสบายๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไร้รอยแผลใดๆมีเพียงเสื้อสีดำที่ใช้ปกปิดร่างกายขาดวิ่นเป็นริ้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    _____“ยอด! ยอดเยี่ยมมาก” อิเซเรียพูดด้วยน้ำเสียงดีใจสุดๆ


    _____ดาบสองเล่มในมือเกิดการเปลี่ยนแปลง มันร้อนแดงในชั่วพริบตาราวกับถูกเพลิงไฟเผาคลอก อากาศรอบตัวกลายเป็นคลื่นแผ่รังสีความร้อนไปรอบ แม้แต่อากิและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ห่างไกลยังรับรู้ถึงลมร้อนที่ปะทะเข้ามาได้




    _____“บ้าน่า! ไม่เป็นอะไรเลย ?” เทรนอ้าปากค้างตกใจอีกรอบ

    _____“เขาป้องกันได้ทันขอรับ” นักดาบพเนจรตอบข้อสงสัยของเธอ

    _____“พริบตาที่จะถูกเล่นงาน เจ้านั่นปลดปล่อยคลื่นความร้อนสูงออกมา อากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าไม่อาจฝ่ากำแพงอากาศที่มีอุณหภูมิสูงกว่าได้” อากิรอสเดาะลิ้นขัดใจ “ดันมาเจอวิชาที่แพ้ทางกันได้อีก เจ้านั่นลำบากแน่ๆ”




    _____การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้ง อิเซเรียควงดาบเข้ากระหน่ำโจมตี สะเก็ดไฟแดงวาบเกิดจากดาบเพลิงร้อนสองเล่มปะทะเข้ากับดาบเหล็กเย็นเฉียบ สายลมที่หมุนวนรอบดาบของอเซแมกถูกทำลายลงโดยง่ายราวกับผืนผ้าที่ถูกฉีกกระชากขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อเซแมกตกเป็นฝ่ายตั้งรับถูกบีบให้ร่นถอยเมื่อดาบคู่แห่งทารัสทุ่มโถมโหมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง


    _____หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าได้แผลไปหลายแห่งเพราะมิอาจป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วและต่อเนื่องได้ทั้งหมด อีกทั้งท่าร่างของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับเริงระบำดำดิ่งในห้วงอารมณ์ เมื่อแท่งโลหะแหลมคมในมือหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายและจิตใจ พลานุภาพสูงสุดของมันก็สำแดงให้เห็นประจักษ์

    _____ดาบในมืออเซแมกเริ่มแตกร้าวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ และคนที่ตกใจที่สุดก็คงไม่พ้นผู้เป็นเจ้าของที่เห็นสหายคู่กายคู่ใจของตนกำลังจะแตกดับ



    _____อเซแมกสร้างพายุลูกใหญ่ที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดซัดเอาผงหินในรัศมีปลิวว่อน ลำพังแค่สายลมรุนแรงย่อมไม่อาจทำอิเซเรียถอยหลังได้ แต่โทสะจิตที่โหมกระพือยิ่งกว่าลมพายุต่างหากที่กดดันให้นักฆ่าจากทารัสต้องชะงักและถอนตัวออกห่าง


    _____เมื่อสายสมมลายหาย สีหน้าของอเซแมกที่นิ่งเฉยไม่ค่อยอารมณ์ใดตลอดการเดินทางที่ผ่านมากลับเผยให้เห็นถึงความฉุนเฉียวเกรี้ยวโกรธ จิตที่ดุดัน ดิบเถื่อน หยาบกร้านแผ่ออกมาปกคลุมทุกอณูทั่วบริเวณจนแม้แต่ลูกศิษย์อย่างเทรนยังไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน



    _____“เป็นครั้งแรกที่ข้าโกรธได้ถึงขนาดนี้” อเซแมกพยายามพูดโดยข่มโทสะเอาไว้ “รู้ทั้งรู้ว่าดาบไม่ต่างจากชีวิตของนักดาบยังกล้าที่จะทำถึงขนาดนี้”

    _____“ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่ายุทธศาสตร์ในสนามรบมันเป็นเช่นไร” อิเซเรียควงดาบแล้วกระชับมั่นอีกครั้ง เปลวเพลิงยิ่งร้อนระอุมากขึ้นไปอีก

    _____“มันก็ถูก” หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าค่อยๆเก็บดาบจนมันนอนนิ่งสนิทอยู่ในปลอกฝักแข็ง “แต่ว่าข้ากำลังโกรธมากเลยละ”

    _____“ความโกรธช่วยอะไรไม่ได้หรอก” อิเซเรียสร้างลูกไฟดวงใหญ่ที่ปลายดาบทั้งสอง “นักดาบที่ปราศจากดาบในมือก็ไม่ต่างจากศพที่เดินได้”

    _____ดาบคู่แห่งทารัสสะบัดดาบขึ้นฟ้า เปลวไฟพุ่งม้วนบิดตัวเป็นเกลียวแล้วดำดิ่งลงมายังอเซแมกที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงขยับกาย “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ปลิดชีวิตท่านด้วยมือของข้า”



    _____“อาจารย์!!” เทรนตะโกนสุดเสียง


    _____เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น เปลวไฟลุกฮือกระพือโหมเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งพื้นศิลาแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วกลายเป็นจุลไปในทันที

    _____“ไม่มีทางที่จะทนเปลวเพลิงนี้ได้ ลาก่อน... หลานชายของยอดนักรบชื่อดัง”




    _____“แก!!” เทรนกระแทกเสียงกระชากดาบพุ่งเข้าหาศัตรูของอาจารย์ แต่เป็นทากะและอากิรอสที่รั้งไหล่รวบตัวของเธอไว้ได้ก่อนจะเอาชีวิตไปทิ้งใต้คมดาบของอีกฝั่งเพราะฝีมือห่างชั้นกันมาก

    _____“ปล่อยข้านะ ข้าจะฆ่ามัน!” เธอพยายามดิ้นให้หลุดแต่ก็ทำไม่ได้

    _____“ใจเย็นๆสิ” อากิรอสพยายามปราม หญิงสาวเริ่มมีหยดน้ำไหลซึมจากดวงตาสีน้ำเงิน

    _____“อาจารย์ของท่านเป็นคนที่จะตายเพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือขอรับ”





    _____“นั่นสิ? ใครว่าข้าตายกัน”

    _____เสียงของอเซแมกดังขึ้นพร้อมกับสายลมรุนแรงที่พัดเอาเปลวไฟทั้งหลายให้หายไปจนสิ้น เขายืนอยู่ท่ามกลางสะเก็ดไฟสีแดงและไฟฟ้าสถิตสีเงิน สร้อยรูปเหยี่ยวสายฟ้าอยู่ในมือขวาที่กางออกจนสุดเหยียด หมู่เมฆทั่วทั้งท้องฟ้าเริ่มหมุนมารวมกับราวกับถูกดึงดูดด้วยพลังอำนาจมหาศาล ฟ้าแลบแปลบปลาบส่งเสียงคำรนคำรามลือลั่นสนั่นไหว


    _____“โวเซส อาวิอุม” (วิหคสายฟ้า)


    _____สายฟ้าสีเงินเข้มเปล่งปลั่งวิ่งวนไหววูบวาบรอบสายสร้อยทันทีเมื่อสิ้นคำขาน สายฟ้าคำรามดุจดั่งการเฉลิมฉลอง จากสร้อยหนึ่งเส้นแปรสภาพเป็นดาบเคลย์มอร์เล่มหนึ่ง ใบดาบสีเงินวาววับระยับระยิบคมกริบ เหยี่ยวสีทองสยายปีกกว้างต่างกั่นดาบ อักขระเวทเรืองแสงขึ้นมาจากเกราะมือสีเงินทั้งสองข้าง



    _____“อาจารย์!!” นักดาบสาวร้องเสียงหลงเมื่อเห็นอาจารย์ของตนไม่ได้รับอันตรายใดๆ



    _____“รับมือ!”

    _____อเซแมกบอกเตือนอิเซเรียล่วงหน้า เขาเพียงแค่ยกปลายดาบชี้ไปยังอีกฝ่ายช้าๆ สายฟ้าจำนวนมากไหลไปรวมที่ปลายดาบแปรสภาพเป็นลูกบอลสายฟ้าเจิดจ้า มันถูกปลดปล่อยออกไปด้วยความเร็วสูงสุดพุ่งผ่านนักดาบแห่งทารัสไปปะทะกับหมู่ตึกด้านหลังที่เห็นอยู่ไกลลิบจนระเบิดเป็นผุยผงในทันที

    _____คลื่นที่เกิดจากแรงระเบิดพัดกลับมาถึงลานประลองในไม่กี่ห้วงลมหายใจเข้าออก




    _____“คิดจะขู่กันหรือไง” อิเซเรีย ควินน์ท้วงถาม

    _____“เมื่อครู่ถือเป็นการเตือนต่างหาก” นักดาบผมน้ำตาลตอบคืน “จะว่าไปก็เป็นเพราะเจ้าบีบบังคับให้ข้าต้องใช้ ‘สิ่งนี้’ เองนะ”

    _____“หึหึหึหึ” อิเซเรียหันเราะหยันในคำพูดนั้น “ท่านต่างหากที่บีบบังคับข้า!”


    _____ดวงตาของเขาแปรจากเทาเข้มดำหม่นเป็นสีแดงสุกสว่าง ดูราวกับยักษ์ ราวกับปีศาจ ราวกับอสูรร้ายจากขุมนรก เปลวเพลิงลุกโชนโหมกระพือ ดาบสองเล่มสั่นระริกกรีดร้องดังวิ๊งวิ๊งแสบแก้วหู


    _____“ไม่ใช่เพียงท่านที่มีดาบสุดยอดหรอกนะ” อิเซเรียกางแขนทั้งสองออกขนานกับพื้น ท่าร่างของเขาราวกับไม้กางเขนสีดำที่ถูกแผดเผาอยู่ในกองเพลิง จิตต่อสู้เพิ่มพูนเป็นกำลังเป็นล้นพ้น

    _____“นี่ต่างหากที่สมควรจะเอ่ยคำว่ายอดเยี่ยม” อเซแมกประคองดาบขึ้นตั้งท่าเตรียมรับมือ



    _____การต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง



    _____เปลวเพลิงสีแดงสดและสายฟ้าคำรณสีเงินเข้มพุ่งเข้าปะทะกันเสียงดังลั่น สะเก็ดไฟปลิวว่อน สายฟ้าวิ่งแลบทั่วทุกทิศ แระปะทะกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง พื้นศิลาแตกร้าวหลุดร่อนเป็นเศษส่วน สองบุรุษฉีกยิ้มกว้างไม่เกรงกลัวความตายกำลังประลองดาบอยู่ ณ ใจกลางแห่งการทำลายล้าง


    _____แต่ไม่ว่าอเซแมกจะพยายามบุกเข้าหาด้วยความเร็วเพียงใด ปลายทางที่สุดดาบสัมผัสได้คือสะเก็ดไฟสีแสดที่แตกออกเป็นความว่างเปล่า ในขณะที่อิเซเรียก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะไล่ให้ทันความเร็วระดับสุดยอดของสายฟ้า ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าถึงอีกฝ่ายได้เลย


    _____พันถ้วนกระบวนท่าผ่านพ้นในชั่วพริบตา แต่ก็มิอาจตัดสินผลแพ้ชนะได้





    _____“อาสทรอค เทมเพรสทาส” (อัสนีคลั่ง)

    _____“เฮลไฟร์” (อัคคีทมิฬ)



    _____สุดยอดท่าไม้ตายถูกขับใช้ออกมาพร้อมกัน เพลิงดำที่ร้อนรุ่นเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้มลายสูญและสายฟ้าที่เกรี้ยวกราดกระหน่ำฟาดถี่ยิบจากฟากฟ้า


    _____พลังสองสายเสียดสีสาดซัดเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กับใคร คลื่นพลังที่เกิดจากการปะทะทำเอาทั่วทั้งเทวลัยสั่นสะท้านสะเทือนไหวราวกับจะพังทลายลงเสียตอนนี้


    _____บุรุษทั้งสองลอยละลิ่วลงจากฟากฟ้าหล่นโครมลงกระแทกพื้น อเซแมกถูกเพลิงไฟสีดำคลอกเผาสิ้นสติ แต่อิเซเรียก็มีสายฟ้าสีเงินวิ่งแล่นทั่วทั่งร่างนอนแน่นิ่งไปเช่นกัน




    _____“อาจารย์! อาจารย์! ตื่นขึ้นมาสิ” นักดาบสาวร้องเรียกพลางวิ่งเข้าไปหา แต่ทากะรั้งข้อมือของเธอเอาไว้อีกครั้ง

    _____“ผู้ที่มีสิทธิ์ปิดฉากการต่อสู้มีเพียงคนทั้งสอง ไม่ว่าผู้ใดก็สอดมือเข้าไปไม่ได้ขอรับ” นักดาบผมดำบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบนิ่งสนิท

    _____“คนที่ลุกขึ้นมาได้คือผู้ชี้ขาดความเป็นตาย นี่คือกฎของนักรบ” ไอแซคเสริมด้วยคำพูดหนักแน่น จริงๆแล้วเทรนเองก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่ทุกคนพูด แต่ความรู้สึกป่วนปั่นแน่นทึ้งบีบเค้นในทรวงอกมันทรมานเกินกว่าจะยืนดูอยู่ได้


    _____เธอกลัว...กลัวว่าร่างนั้นจะไม่ลุกขึ้นอีกครั้ง จะไม่ได้ยินเสียงดุด่าแต่เอ็นดูห่วงใย กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเคร่งขรึมจริงจังแต่ใส่ใจเธอยิ่งกว่าใครอีกครา


    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____ในเวลาดึกสงัดของคืนเดือนมืดไร้ซึ่งแสงจันทร์และแสงดาว ลมสงบนิ่งอิงกายนอนหลับไปกับความมืดมิด มีเพียงเสียงของแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่ออกหากินในยามค่ำคืนเพื่อดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์ เสียงหวูดจากเขาสัตว์เป็นสัญญาณทำลายความสงบทั้งปวงที่ดำเนินมาโดยปรกติโดยกองทัพพร้อมสรรพทั้งพลม้าพลหอกพลดาบพลเท้าพลธนูมากมานเหลือคณานับได้


    _____เพียงแค่หมู่บ้านของพวกนอกกฎหมายเพียงหนึ่งกลับต้องใช้ไพร่พลรี้ไกรมากมายถึงสามหมื่น


    _____จากกลางดึกถึงรุ่งสางฟ้าสว่างทอแสงรำไร สถานที่แห่งหนึ่งก็ถูกลบออกจากแผ่นดินโดยสิ้นเชิงเหลือเพียงนามและตำนานเล่าขาน สองพันกว่าชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวเฒ่าชะแรแก่ชราหรือว่าลูกเล็กเด็กแดงล้วนดับสูญไปในกองเพลิงสีสวยงาม


    _____ความยุติธรรมและความถูกต้องถูกสร้างขึ้นบนความตาย ถูกปลุกปั้นด้วยเลือดเนื้อของผู้คนที่ถูกตราหน้าประณามหยามหมิ่น – ทารัส ได้สิ้นไปแล้วในคืนเดือนดับ


    _____คงเป็นปาฏิหาริย์ ความบังเอิญ พรหมลิขิตหรือสุดแท้แต่ใครจะเสกสรรปั้นคำมาใช้ เด็กน้อยเพียงหนึ่งรอดตายจากโศกนาฏกรรมในคืนไร้จันทร์


    _____เด็กน้อยสาบานกับตัวเอง สาบานกับวิญญาณของตัวเองด้วยชีวิตของเขาเองว่าจะทำทุกวิถีทางที่จะแก้แค้นให้กับญาติพี่น้องพ่อแม่และมิตรสหาย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะต้องเป็นปีศาจมารร้ายก็ยินยอม


    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____“อ๊ากกกกกกกกกกก”

    _____ร่างที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดและบาดแผลใหญ่น้อยลุกขึ้นหยัดยืนด้วยแรงใจ เพียงแค่นึกถึงความโหดร้ายทารุณของคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ความถูกต้อง’ ได้กระทำกับพวกเขาที่ถูกเรียกว่า ‘ความชั่วร้าย’ หัวใจของอิเซเรีย ควินน์ก็คับพองเหิมกล้า ปณิธานที่หยั่งรากลึกในใจได้ผลักดันให้ชีวิตที่เจียนอยู่เจียนตายขยับได้อีกครั้ง


    _____กลับกัน อีกร่างหนึ่งยังแน่นิ่งอยู่กับพื้นไม่ไหวติงแม้แต่ปลายก้อย



    _____“ไม่จริง!” นักดาบสาวทรุดกายลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่อภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือความตายที่กำลังคืบคลานเข้าหาผู้เป็นอาจารย์

    _____แม้จะเจ็บใจ แม้จะเศร้าใจ แต่เธอก็ไร้ซึ่งกำลังจะต่อต้านความจริงที่คืบคลานมาอย่างช้าๆ


    _____ทากะและอากิรอสสบตากับแวบหนึ่งรวมถึงไอแซคด้วย พวกเขารู้ดีว่าชายที่นอนรอความตายอยู่ตรงหน้ามีความสำคัญเพียงใด แต่กฎเหล็กในการต่อสู้แลกชีวิตก็ยิ่งหย่อนไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าหากเป็นตัวเองที่ต้องต่อสู้และพ่ายแพ้ให้กับศัตรู มีเพียงความตายเท่านั้นที่ตัวเขายอมรับ ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก




    _____“ข้ารู้.......ว่าท่าน..แข็งแกร่ง...แต่ว่าข้า... แข็งแกร่งยิ่งกว่า” อิเซเรียขยับก้าวเข้าหาคู่ต่อสู้เพื่อรับชัยชนะอันเด็ดขาดของเขาทีละก้าว ทีละย่าง





    _____ทว่า


    _____แม้กำลังใจจะมีมากเพียงใดก็ไม่อาจประคองร่างที่ถึงขีดจำกัดไปให้ถึงจุดหมาย ในขณะที่ศัตรูของเขาค่อยๆขยับกายได้อีกครั้ง ดาบคู่แห่งทารัสกระอักเลือดแล้วทรุดกายลงนอนหงายแผ่ราบไปกับพื้น อีกเพียงไม่ถึงสี่ก้าวเท่านั้น ร่างของนักดาบอัสนีหยัดยืนอยู่เหนือเขา อยู่เหนือความเป็นความตายและชีวิตของเขา


    _____และคนที่ดีใจจนยิ้มทั้งน้ำตาก็คือลูกศิษย์ของเขาเอง




    _____“ข้ายอมรับในความแข็งแกร่งของเจ้า แต่ว่าข้าจะพ่ายแพ้ที่นี่ไม่ได้” อเซแมกปักดาบลงข้างคอของอิเซเรีย ควินน์

    _____“ข้า...พร้อมแล้ว” ดาบคู่แห่งทารัสปล่อยดาบของตนออกจากมือ หลับตาอย่างสงบรอทัณฑ์แห่งการต่อสู้จากผู้ชนะ

    _____“ใครว่าข้าจะฆ่าเจ้ากัน?” อเซแมกถอนดาบกลับคืน “ข้าแค่ปักดาบพยุงไว้ไม่ให้ล้มต่างหาก”

    _____“อย่าดูถูกข้านะ! รอดตาย...เพราะศัตรูไว้ชีวิตจะมีความหมายอะไรกัน” อิเซเรียยืนกรานในความตายของตน

    _____“เจ้ายังมีเรื่องที่ต้องทำไม่ใช่รึ? ถ้าตายตรงนี้แล้วสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะทำให้สำเร็จละ?”

    _____“ครั้งหน้า...คนที่ตายอาจเป็นเจ้าก็ได้”

    _____“ครั้งหน้า? ก็ให้เป็นเรื่องของครั้งหน้าสิ ครั้งนี้ข้าชนะก็เพียงพอแล้ว” อเซแมกลากสังขารตัวเองเดินออกมา แต่ใครคนหนึ่งออกวิ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็ว



    _____น้องสาวของเขา ลูกศิษย์ของเขา – เทรน แมคโดเวล

    _____เธอเข้ามาประคองร่างของอาจารย์พาเดินกลับไปหาทุกคน



    _____“ถ้าข้าออกไปสู้เองมีหวังคงตายไปนานแล้ว” นักเวทผมดำทักทายทันทีที่ทั้งสองคนเดินมาถึง

    _____“ก็ว่าอยู่ ถ้าให้คนปวกเปียกอย่างเจ้าออกหน้าข้าคงลำบากมากกว่านี้แน่ๆ”

    _____“คนที่โทรมเป็นศพไม่มีสิทธิ์พูดมากหรอกนะ” อากิตอบกลับทันควัน

    _____“เถียงกับคนบ้าอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไปพักก่อนเถอะ” เอลฟ์หนุ่มผมทองตบบ่าอเซแมก

    _____“เจ้าว่าใครเป็นคนบ้ากัน หา?” อากิรอสโวยวายจะเอาเรื่อง

    _____“คงไม่ใช่ข้าน้อยแน่ๆขอรับ” ทากะสอดกลางคันแล้วขยับออกจากวงสนทนา



    _____รอยยิ้มที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของทุกคน พวกเขาไม่ได้มาเพื่อเข่นฆ่าใครและไม่ได้มาเพื่อแสวงหาสถานที่ตายของตน เพียงแค่มาทำสิ่งที่เชื่อมั่น ก้าวเดินในเส้นทางที่สร้างไว้ด้วยจิตใจที่มั่นคง




    _____To be continue…



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____- คุยกันท้ายตอน –


    _____สองสัปดาห์กับตอนนี้ตอนเดียว = =; และช่วงหลังจากนี้ก็คงออกช้ากว่าปรกติหน่อยนะครับ ราวๆหนึ่งสัปดาห์ต่อหนึ่งตอนเหมือนช่วงแรกๆที่ลง

    _____สำหรับตอนที่แล้ว ลองไปอ่านเองในฐานะนักอ่านแล้วรู้สึกว่ามันกากมากๆ รู้งี้อ่านซ้ำแล้วแก้ยังจะดีกว่า ก็หวังว่าตอนนี้คงจะพอทำให้คนอ่านให้อภัยได้บ้างนะครับ m (_ _)m



    _____Azemag A.C. McDowell
  9. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อ่านแล้วไม่ต้องร้อง อืมม อืมมม ฟิคเจ้ามันขึ้นๆลงๆ เป็นกราฟตลาดหุ้นเลยนะฮาาา
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  10. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    หลุดจากวงโคจรไปหลายตอนเหมือนกันนะเนี้ยเรา > <

    เขียนไวมากเลยแต่ล่ะตอน นับถือความหมั่นจริงๆครับ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะกลายเ็ป็นการเร่งตัวเองเกินไปรึเปล่าน่ะสิครับ

    ยังไงก็เอาใจช่วยอยู่เน้อ!!!
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  11. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    รับชมเรียบร้อย ตอนนี้ถือว่าดีใช้ได้เลย >_<
  12. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    What the..... ทำไมแต่ละ search มันชวนให้เจ้าของฟิคปวดตับอย่างงี้ละวะครับ

    OTL
  13. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    เดี๋ยวนี้กระดานหุ้นเค้าเป็นดิจิตอลหมดแล้วเฟ้ยยยยยยย

    ก็มีบางช่วงที่เร่งไปจนคุณภาพดรอปไปเหมือนกันครับ แต่ก็จะพยายามเขียนออกมาให้อ่านเรื่อยๆและคงคุณภาพไว้ให้เช่นกันครับ
    ขอบคุณมากๆ

    ขอบคุณมากครับ
  14. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    _____ตอนที่ 22



    _____ท้องฟ้าฟากหนึ่งดำทะมึนมืดครึ้มไล่ล่าสีฟ้าอมส้ม สายลมโชยเบาพัดแผ่วแล้วก็ผ่านเลยไป เศษหินเรียงตัวนอนเกลื่อนกลาดดาษดื่น พื้นพังแตกยับเป็นหลุมเล็กหลุมน้อยร้อยเรียงกันราวกับดวงดาวน้อยใหญ่ในนภากว้าง หากแต่หลุมบ่อเหล่านั้นเกิดจากการต่อสู้ที่เพิ่งจะปิดฉากลงไป บุรุษผู้หนึ่งนอนนิ่งไม่มีแก่ใจจะทำอะไรอีก


    _____คนกลุ่มหนึ่งเยื้องย่างข้ามขั้นบันไดหินสีเข้มที่ทอดตัวยาวขึ้นสู่หมู่เมฆที่ลอยอ้อยอิ่ง ปลายทางมีอีกบุรุษหนึ่งรออยู่ และอาจจะหมายถึงการต่อสู้อีกบทหนึ่งก็เป็นได้


    _____“เบื้องหน้าคงมีศัตรูอีกด่านหนึ่ง” ไอแซคคาดการณ์ล่วงหน้า “ครั้งนี้ถ้าจำเป็นข้าจะเป็นคนต่อสู้เอง”

    _____“น่าแปลก” จอมเวทผมดำเอ่ยขึ้นทันทีที่เอลฟ์เพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มพูดจบ “ขยันผิดปกติแบบนี้มันน่าสงสัยจริงๆ”

    _____“ไม่ต้องพูด...ก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” นักธนูมือฉมังสวนกลับทันทีเช่นกัน

    _____“แต่ว่า...ข้าน้อยจับกระแสจิตของใครอื่นไม่ได้อีกเลยนอกจากกุห์ฟานนะขอรับ” นักดาบพเนจรเปรยออกมาแล้วก็กลับไปเหม่อลอยอีกครั้ง

    _____“นั่นสิ” นักดาบอัสนี หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าเห็นด้วยกับเขา

    _____“สงสัยไปก็เท่านั้นแหละ ขึ้นไปดูก็รู้เอง” อากิเร่งฝีเท้าก้าวพรวดทีละสองขั้นบันได



    --------------------------------------------------------------------------------​


    _____หมดก้าวที่หกร้อยเก้าสิบเก้า น้อยกว่าช่วงแรกสองร้อยขั้นพอดิบพอดี ทุกคนก็ขึ้นมาถึงลานกว้างอีกครั้ง แต่ว่ามีขนาดเล็กกว่าลานเบื้องล่างและไม่มีผู้ใดนั่งขวางทางไว้อีก จิตต่อสู้ที่สัมผัสได้อย่างเบาบางก็ยังคงเป็นของกุห์ฟานเพียงผู้เดียว และสัมผัสนั้นถูกส่งตรงลงมาจากด้านบนเท่านั้น


    _____“ดูเหมือนจะเหลือกุห์ฟานคนเดียวนะ” เทรนบอกกับทุกคน แหงนหน้ามองขั้นบันไดที่สูงชันมองไม่เห็นปลายทาง

    _____“แต่ว่าข้าน้อยก็เห็นว่าเขามีผู้ติดตามสี่คนเหมือนที่อากิรอสบอกนะขอรับ” ทากะบอก ทุกคนเริ่มเอะใจหันไปมองทางสาวสวยกึ่งอสูรที่ถูกจับมัดเป็นตัวประกัน – ไบท์ ไวท์แฟงก์

    _____“เจ้ารู้อะไรบ้างละ หือ?” เทรนกระตุกเชือกเบาเป็นสัญญาณให้อีกฝั่งตอบคำถาม

    _____ไบท์เงียบอยู่อึดใจก่อนจะยอมตอบ “เนโครแมนเชอร์ อิเซเรีย แล้วก็ข้า”

    _____“ยังจะมายียวนลวดลายอีกนะ ครั้งก่อนข้าเห็นว่านอกจากเจ้ากับอิเซเรียแล้วยังมีอีกสองคนมาพร้อมกับกุห์ฟาน แล้วทำไมถึงบอกว่ามีแค่สามละ” เทรนว้ากใส่

    _____“ยัยนั่นเป็นแค่หุ่นเชิด ก็แค่ศพเดินได้เท่านั้นแหละ”



    _____ทุกคนเงียบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายหันมองหน้ากันคนละทีสองที เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่ ปริศนาใหม่โผล่มาทายท้าความคิด แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการช่วยเหลือเบลลานี่ที่ถูกคำสาปของกุห์ฟานกัดกินชีวิต ถึงแม้จะยังเหลือเวลาอีกมากก่อนจะครบกำหนดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามคำพูดของศัตรู

    _____การบังคับสมองให้หยุดคิดเรื่องอื่นแล้วสั่งให้ขาทั้งสองข้างออกเดินจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด



    _____‘สามร้อยเจ็ดสิบสอง...สามร้อยเจ็ดสิบสาม...สามร้อยเจ็ดสิบสี่...’

    _____เดินขึ้นมาสามร้อยก้าวปลายๆก็เริ่มมองเห็นบันไดขั้นสุดท้ายที่ทอดตัวรออยู่ พอดีกับสีม่วงหม่นอมดำเข้าปกคลุมทั่วน่านฟ้า จันทร์เพ็ญเผยโฉมให้เห็นเนื้อนวลผ่องกลมสวยใส ดาราปรากฏกายพรายพร่างเต็มผืนผ้าใบสีดำ ราวกับจะมาเป็นประจักษ์พยานในการยุทธ์ระหว่างสองบุรุษผู้บาดหมาง เป็นผู้สังเกตการณ์ที่ไม่มีส่วนได้ส่วยเสียใดๆเลย




    _____เมื่อเท้าขวาของอากิรอส คีฟแตะลงบนบันไดหินขั้นที่สามร้อยเก้าสิบ คบไฟดับสนิทบนเสาหินเรียวเล็กที่ปักอยู่ทั้งสองฟากพลันลุกโชนโชติช่วง ดวงไฟสีส้มอมเหลืองนวลส่องแสงสว่างนำทางในห้วงการเดินทางช่วงสุดท้าย

    _____“ทำอะไรเอิกเกริกไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ กุห์ฟาน” อากิรอสมองเปลวไฟที่ไหววูบวาบพลางถอนหายใจแล้วก้าวเดินมุ่งหน้าขึ้นไปด้วยสีหน้าที่ปราศจากเค้าแห่งความลังเลแม้แต่น้อยนิด




    _____‘สี่ร้อยสามสิบแปด...สี่ร้อยสามสิบเก้า...สี่ร้อยสี่สิบ’

    _____ขั้นสุดท้ายปลายทางที่เชื่อมสู่ลานกว้างเล็กๆ




    _____หินอ่อนสีขาวนวลชวนมองถูกตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเท่ากันในทุกด้านไม่ขาดไม่เกินแล้วนำมาปูรองลานพิธีกรรมชั้นบนสุดของเทวลัย อีกฟากฝั่งของบันไดเป็นหน้าผาหินที่ถูกแต่งสร้างต่อเติมด้วยศิลาสีขาวเป็นอาคารหนึ่งทางเข้าทางออก หน้าประตูมีแท่นบูชาคล้ายเตียงตั้งขวางไว้


    _____และที่นั่นมีกุห์ฟาน รีส ริยาส ยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นบูชาและอีกหนึ่งร่างของสตรีที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนอนประสานไว้บนอก


    _____นักมนตราผมแดงยิ้มบางๆที่มุมปากแล้วสะบัดมือทั้งสองออกจากข้างลำตัว ผ้าคลุมสีดำพลิ้วไหวตามแรงกระทำ สองเท้าก้าวขยับออกเดินอย่างเชื่องช้าแต่ว่าไร้ซึ่งช่องโหว่ กระแสจิตนิ่งเรียบดุจผืนน้ำในทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว – เย็นเยือก บางเฉียบและเปราะเกินคาด


    _____อากิรอสผ่อนแรงที่ไหล่ให้ร่างที่หลับใหลของคู่หูสาวไถลตัวลงแล้วประคองส่งเธอให้กับเทรน “ข้ารู้ว่าเบลสนิทกับเจ้าที่สุด”


    _____จอมเวทหนุ่มตบมือลงบนบ่าของนักดาบสองคน


    _____“ส่วนพวกเจ้าก็นั่งชมดาวชมเดือนไปก่อนละกันนะ อ้อ! เกือบลืมเจ้าแน่ะไอแซค หมดหน้าที่นำทางแล้วจะกลับอาณาจักรก็ได้นะ”

    _____“ข้าจะอยู่ดูสารรูปของเจ้าเอาไปรายงานท่านรูมิล” ไอแซคว่า


    _____อากิรอสยิ้มที่มุมปากแล้วหมุนตัวเดินไปหากุห์ฟานที่รออยู่ ณ กลางลาน






    _____“เห็นชุดนี้แล้วคิดถึงโรงเรียนนะ” อากิรอสทัก

    _____“ข้ายังเรียนไม่จบก็เลยยังต้องใส่ชุดนี้อยู่” กุห์ฟานตอบกลับอย่างเรียบๆ

    _____“เจ้าก็กลับไปเรียนสิ”

    _____“หมดธุระที่นี่ข้าจะกลับไปแน่นอน แต่ไม่ใช่เพื่อไปเรียนหรอกนะ”


    _____คำพูดที่แฝงนัยยะอย่างชัดเจนแบบนี้ทำให้อารมณ์ของอากิรอสแปรเปลี่ยน โทสะที่สะกดอยู่เริ่มล้นทะลักผ่านทางสีหน้าและแววตา กุห์ฟานย่อมไม่ปล่อยจังหวะที่จะปั่นประสาทอีกฝ่ายให้หลุดลอย


    _____“ท่านอาจารย์รู้ไหม? ทำไมข้าถึงต้องประทับตราคำสาปบนร่างของเบลลานี่”

    _____“.....” อากิรอสนิ่งเงียบ

    _____“ดูเหมือนจะไม่รู้...ซึ่งก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” จอมเวทผมแดงเริ่มขยับเดินวนรอบอากิรอส “ข้าอยากได้ตัวผู้หญิงที่ข้ารักแต่เผอิญว่านางไม่ได้รักข้า กระนั้นข้าก็ยังอยากได้นางแต่หัวใจของนางก็คงไม่ยอมสยบให้ข้าอยู่ดี”

    _____เขาหยุดอยู่ด้านหลังอากิรอสซึ่งสามารถมองเห็นร่างของผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ด้านหน้าและมีเบลลานี่อยู่ด้านหลัง

    _____“ทางเดียวที่ข้าคิดออกก็คือย้ายวิญญาณที่ไร้หัวใจออกจากร่างแล้วนำดวงวิญญาณของผู้หญิงที่ข้ารักไว้ในร่างของนางเท่านั้นก็จบแล้ว”

    _____“พิธีสับเปลี่ยนวิญญาณ” อากิรอสทวนความหมายในคำพูดของอีกฝั่ง

    _____“เรคเต้” (ถูกต้อง)

    _____“ข้าตั้งใจจะให้ร่างของผู้หญิงเลือดเย็นคนนั้นเป็นที่สถิตวิญญาณของพี่สาวที่ข้ารักและนางก็รักข้า” กุห์ฟานผายมือสองข้างขึ้นฟ้า น้ำเสียงร้อนเร่าดีใจ

    _____“ผู้หญิงเลือดเย็น?” อากิรอสทวนคำซ้ำ

    _____“ใช่! ผู้หญิงเลือดเย็นที่หลอกลวงความรู้สึกของข้า ปิดบังความจริงไว้ใต้ใบหน้ายิ้มแย้มแสร้งทำนั่น” คราวนี้น้ำเสียงของกุห์ฟานแฝงเดือดดาลไว้อย่างชัดเจน

    _____“ถ้าเจ้าต้องการร่างสำหรับใส่วิญญาณ ทำไมไม่ใช้ร่างของผู้หญิงคนนั้นละ? หน้าก็สวยไม่เลวเลยนะ” อากิรอสหันกลับมาเผชิญหน้ากับอดีตรุ่นน้องแล้วชี้นิ้วไปยังไบท์ที่อยู่ด้านหลังเทรน

    _____“ท่านอาจารย์มองผิดไปแล้ว ที่ข้าต้องการใช้ร่างของเบลลานี่ก็เพราะข้าต้องการแก้แค้น...ข้าแค้นเธอและก็แค้นท่านด้วยยังไงละ”

    _____“หมายความว่า...เจ้าจะไม่ยอมถอนคำสาป?” อากิรอสถามด้วยสีหน้าขังขึง

    _____กุห์ฟานแสยะยิ้มก่อนจะตอบว่า “อย่าถามในสิ่งที่ท่านรู้คำตอบอยู่แล้วสิ?”




    _____ทันทีที่สิ้นคำสุดท้ายของประโยคผ่านพ้น พลันพลังเวทและไอเย็นมหาศาลก็ทะลักล้นออกจากร่างของอากิรอสเข้าหากุห์ฟานทันที แต่อีกฝ่ายก็ปลดปล่อยพลังมนตราพร้อมแสงสว่างเจิดจ้าโต้ตอบกลับโดยไม่ต้องขยับร่าง พลังสองสายปะทะกันบังเกิดประกายเสียดสีอยู่ตรงกลาง

    _____การต่อสู้บังเกิดขึ้นในชั่วพริบตา




    _____ที่ปลายนิ้วของอากิรอสมีเกล็ดน้ำแข็งจับรวมตัวกับเป็นรูปร่างของดาบ เขาคว้าหมับแล้วพุ่งตัวออกไปทันใด เขาตวัดดาบครั้งแรกเข้าใส่ม่านพลังมนตราของจอมเวทรุ่นน้องจนแยกยับราวกับแก้วกระจกที่ถูกค้อนยักษ์ฟาดทำลาย

    _____การตวัดดาบครั้งที่สองมีเป้าหมายอยู่ที่คอของกุห์ฟาน



    _____ปลายดาบน้ำแข็งสีขาวทึบเหวี่ยงโดนเพียงแค่อากาศ ร่างของจอมเวทผมแดงหายวับไปราวกับภาพลวงตาในทะเลทรายที่ระเหยหายเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ลำแสงสามสายวิ่งรี่เร็วจี๋มาจากซ้ายมือของอากิแต่ก็ต้องหักเหเบี่ยงเบนออกไม่อาจแตะต้องตัวเขาเพราะแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบทำหน้าที่เป็นเกราะกระจก


    _____อากิรอสบ่ายหน้าตามทิศทางที่ลำแสงถูกยิงออกมาพร้อมตะโกนคำรามเสียงก้อง แท่งน้ำแข็งทรงกรวยนับสิบโผล่พรวดและพุ่งพราดออกไปทันทีที่เขาบัญชา


    _____ตาข่ายที่เกิดจากลำแสงถักทอร้อยเรียงเป็นเกราะคั่นป้องกันกุห์ฟานจากการโจมตี แท่งน้ำแข็งถูกชำแรกแหวกเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยในพริบตา


    _____แต่กุห์ฟานก็ต้องชะงักเมื่อสองเท้าของเขาเย็นเฉียบราวกับแช่อยู่ในทะเลสาบหน้าหนาว เกล็ดน้ำที่ควบแข็งเกาะแน่นยึดตรึงขาของเขาไว้กับพื้น และอากิรอสที่พุ่งปราดเข้าหาฝ่าหมอกม่านเกล็ดน้ำแข็งที่ลอยเคว้งคว้างสะปะสะเปะ




    _____“ง่ายไป”

    _____กุห์ฟานเย้ยหยันในแผนตื้นๆของศัตรู ดาบแสงเจ็ดเล่มก่อกำเนิดจากความว่างเปล่าแล้วพุ่งเสียบแน่นติดตรึงบนร่างของอากิในทันที


    _____แทนที่กุห์ฟานจะได้เห็นใบหน้าของศัตรูบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างที่พุ่งเข้ามาเป็นเพียงร่างน้ำแข็งหลอกๆ มันระเบิดออกกลายเป็นสะเก็ดคมปลาบมากมายพุ่งเข้าปักทึ้งทั่วร่าง เขากลายเป็นฝ่ายหลงกลตกหลุมพรางจิตใจเสียเอง


    _____และในวินาทีที่เขาปลดปล่อยพลังทำลายน้ำแข็งที่เกาะขาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ อากิก็โผล่พรวดเข้าประชิดตัวด้วยใบหน้าถมึงทึงขึงขัง ดาบสีขาวถูกวาดตวัดตัดผ่านร่างจากซ้ายล่างขึ้นขวาบนสุดแรงเหยียด โลหิตสดย้อมสีขาวของก้อนน้ำแข็งให้เป็นดั่งสีแดงฉานของมัน


    _____อากิรอสไม่ปล่อยให้โอกาสเพียงหนึ่งในแสนหลุดมือ เขาก้าวประชิดจ้วงแทงทะลวงหัวใจที่ตายด้านของกุห์ฟาน ปลายดาบเสียบทะลวงมัดกล้ามเนื้อกลางอกเข้าไปได้แล้ว แต่แสงสว่างวาบอย่างฉับพลันทำให้เขาต้องปิดตาเบือนหน้าหนีอย่างกะทันหัน

    _____และเขาพลาดโอกาสหนึ่งในแสนนั้นไปเสียแล้ว




    _____ร่างของกุห์ฟานลอยคว้างกลางอากาศเหนือศีรษะอากิรอส เลือดเปรอะรดเสื้อสีขาว แผลยาวเป็นทางขวางกลางลำตัว

    _____“ประมาทเพียงชั่ววูบก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วสิ” กุห์ฟานแสร้งพูด ”ฟาดฟันโดยไม่ลังเลที่จะฆ่าข้าแม้แต่น้อย ท่านอาจารย์อากิรอสก็ยังเป็นคนพูดจริงทำจริงไม่เปลี่ยนเลย”

    _____พูดจบร่างของจอมเวทผมแดงก็อันตรธานหายไปในพริบตา ร่างของอากิก็เช่นกัน




    _____เสียงปะทะช่วยบอกให้รู้ว่าคนทั้งสองอยู่ตำแหน่งใด เทรนหันไปมองเห็นดาบน้ำแข็งของอากิฟาดเปรี้ยงเข้ากับดาบแสงในมือของกุห์ฟานแล้วทั้งสองก็หายไปจากตรงนั้น แล้วเสียงของการปะทะก็ดังลั่นมาจากมุมอื่นแทบจะทันที


    _____“เร็วแฮะ เร็วไม่ด้อยไปกว่าข้าตอนใช้วิหคสายฟ้าเลย” อเซแมกกลอกตามองตามการเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง

    _____“อีกฝ่ายเป็นแสงนี่ขอรับ” ทากะขยับปากพูดเบาๆ “อากิรอสก็เร็วอยู่หรอกขอรับ แต่ว่า...”

    _____นักดาบพเนจรไม่พูดให้หมดคำสิ้นประโยคก็พอจะทำให้คนฟังอย่างเทรนเข้าใจได้ว่าใครเป็นฝ่ายรุกหรือรับ




    _____ถึงแม้จากมุมมองของเทรนที่ดูการต่อสู้อยู่วงนอกจะมองไม่ออก แต่ในตอนนี้อากิรอสเป็นฝ่ายที่ถูกกุห์ฟานไล่ต้อนด้วยความเร็วที่เหนือกว่าหลายขุมเหมือนเสือชีต้ากับลูกม้าตัวน้อย เพียงแต่เสือชีต้ากำลังออมฝีเท้าวิ่งโขยกไล่ลูกม้าให้ไปทางโน้นทีทางนี้ที

    _____เมื่อเสือชีต้าเริ่มเร่งความเร็วทีละนิดทีละน้อย ลูกม้าตัวจ้อยอย่างอากิรอสจะตามทันได้อย่างไรกัน




    _____อากิรอสค่อยๆเสียเลือดให้กับกุห์ฟานทีละแห่งตามแขน ขา สีข้างและหัวไหล่ แต่เขากลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้นอกจากคอยปกป้องจุดตายของตน


    _____แต่ท้ายของท้ายที่สุดแสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จอมเวทผมดำพยายามฝืนหรี่ตาไว้ไม่ให้มันปิดสนิท แต่ความเจ็บปวดเหนือคิ้วซ้ายทำให้เขาต้องร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด การต่อสู้ในห้วงความเร็วสูงหยุดลงชั่วคราว ร่างของกุห์ฟานหยุดยืนห่างออกไปอีกฟากลานประลองทิ้งให้อากิรอสยกมือกุมหน้าซีกซ้ายที่เลือดไหลผุดอาบท่วมราวกับน้ำพุ


    _____“นึกว่าจะท่าดี...ที่แท้ก็ทีเหลวนะท่านอาจารย์ เมื่อครู่ปะทะกันมากกว่าสี่ร้อยครั้งข้ามีโอกาสฆ่าท่านไม่ต่ำกว่าสามในสี่ แต่รู้ไหมทำไมข้าไม่ฆ่าท่าน” กุห์ฟานหยันเย้ย

    _____“เพราะข้าจะทำให้ท่านหมดสภาพอย่างช้าๆแล้วทำได้เพียงนอนหายใจรวยรินดูข้าย่ำยีวิญญาณของผู้หญิงเลือดเย็นนั่นก่อนแล้วค่อยควักลูกตาที่น่ารังเกียจของท่านออกมากระทืบให้แหลกเละยังไงละ” เขาเบิกตาโพลง ฉีกยิ้มกว้างอย่างสะใจ

    _____“กุห์ฟาน!!”

    _____อากิแหกปากด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างของเขาพุ่งตรงดิ่งเป็นลูกศรเข้าหารุ่นน้องจอมเวทด้วยความเร็ว แต่อีกฝ่ายนั้นเร็วยิ่งกว่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้าในทันใด มือซ้ายของกุห์ฟานถูกยกขึ้นตบแก้มขวาของเขาเบาๆก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายหมุนตัวถีบยอดอกสวนกลับจนกระเด็นกระดอนกลิ้งไถลไปกับพื้น




    _____“เชื่องช้า” กุห์ฟานว่าแล้วก็หายวับไป ร่างของอากิที่กึ่งนอนกึ่งนั่งกระเด็นอีกครั้งเพราะถูกอีกฝ่ายวิ่งเข้ามาหวดด้วยความเร็วแสงเต็มๆสีข้างอย่างถนัดถนี่

    _____“อ๊อก” จอมเวทรุ่นพี่เกือบจะอ้วกออกมาเพราะท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด



    _____รุ่นน้องผมแดงเดินผิวปากเข้าหาอย่างไม่รีบไม่ร้อนใดๆเพราะอีกฝ่ายนอนแผ่หลาหายใจรวยรินหมดสภาพที่จะต่อสู้แล้ว


    _____อีกเพียงเจ็ดก้าวจะถึงตัวอากิรอส แท่งน้ำแข็งมากมายผุดขึ้นโดยรอบแต่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโจมตีแต่อย่างใด ถ้าหากมองจากฟากฟ้าแล้ว...พวกมันทั้งหมดเรียงกันเป็นรูปดาวหกแฉกอย่างสวยงาม


    _____เสาน้ำแข็งเปล่งแสงสีขาวนวลราวกับคริสตัลแล้วทั้งสองคนก็หายวับไป เทรนได้แต่ตะลึงมึนงงสงสัย ทากะชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าให้เธอดู เมื่อเทรนแหงนหน้ามองก็ต้องตะลึงอีกครั้งเมื่อพีระมิดน้ำแข็งขนาดใหญ่คว่ำยอดลอยตัวอยู่เหนืออยู่เทวลัย



    --------------------------------------------------------------------------------​


    _____“คงจะเป็นวิชาลับของอากิรอสน่ะขอรับ” ทากะสันนิษฐาน

    _____“เขตแดนแบบหนึ่ง เจ้านั่นคงเริ่มสร้างเขตแดนตั้งแต่ตอนวิ่งไล่จับกันนั่นแหละ” อเซแมกตั้งสมมติฐานบ้าง




    _____ภายในเขตแดน กุห์ฟานทึ่งเล็กน้อยที่ตัวเขาตอนนี้ยืนอยู่กลางห้องโถงโอ่อ่าสง่างามของวิหารที่ทำขึ้นจากน้ำแข็ง แสงแวววาวระยิบระยับราวกับถูกประดับด้วยเพชรเลอค่า ผนังสองข้างมีเทวฑูตและนางฟ้าที่แกะสลักจากน้ำแข็งเรียงราย บนเพดานมีโคมไฟระย้าสวยงาม


    _____“ถ้าท่านเสี่ยงตายเพียงเพื่อจะขังข้าไว้ ท่านอาจารย์ก็คิดผิดแล้วละ” เสียงของกุห์ฟานสะท้อนก้องซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่มีเสียงตอบรับของอากิรอสตามที่เขาคาดการณ์ไว้

    _____“ไม่ตอบงั้นรึ?” นักมนตราผมแดงยกแขนขวาขึ้นเหนือหัว นิ้วชี้และนิ้วกลางค่อยๆเหยียดออกสุดในขณะที่อีกสองนิ้วรวบเข้ากับฝ่ามือ ประกายแสงเล็กๆค่อยๆไหลมารวมกันจนใหญ่ขึ้น กุห์ฟานนิ่งรอดูท่าทีจากเจ้าของเขตแดนว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร


    _____แต่สิ่งที่ได้ก็คือความเงียบ





    _____ลูกบอลแสงถูกยิงออกไปต่างกระสุนปืน มันบิดหมุนพุ่งเข้าปะทะกับเพดาน แต่แทนที่จะเกิดการระเบิดตามที่กุห์ฟานคาด ลูกพลังของเขากลับถูกกลืนหายไปจนหมด สักพักเสียงดังวี๊ก็ลั่นทั่วทั้งห้องโถงแล้วหอกน้ำแข็งก็โผล่พรวดผุดจากพื้นขึ้นมาโจมตีเขารอบทิศทาง จอมเวทผมแดงดีดตัวกระโดดขึ้นให้พ้นจากระยะโจมตี แต่ลูกตุ้มขวานน้ำแข็งจากสี่ทิศก็แกว่งไกวเข้าหาเขาราวกับรอคอยอยู่แล้ว


    _____แต่ลำพังการโจมตีเพียงแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้ เพียงพริบตาขวานน้ำแข็งทั้งสี่เล่มก็กลายเป็นเสี่ยงๆด้วยดาบลำแสงในมือของเขา เมื่อสองขาแตะถึงพื้นทุกอย่างก็กลับเป็นปรกติ หอกน้ำแข็งมุดหายคืนสู่ใต้พื้น ก้อนน้ำแข็งที่เคยเป็นใบขวานก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นเช่นกัน


    _____“คนฉลาดอย่างเจ้าน่าจะพอเข้าใจได้นะ” เสียงของอากิรอสดับขึ้นมาพร้อมภาพมากมายของเขาบนพื้นผิวน้ำแข็งที่เงาวาวเหมือนแก้วกระจก “ทุกการโจมตี พลังทุกรูปแบบจะถูกเขตแดนนี้ดูดกลืนและเปลี่ยนให้เป็นพลังของเขตแดนและจู่โจมตัวเจ้า”

    _____“เหมือนกระจกที่สะท้อนทุกสิ่งสินะ? แต่ว่าต่อให้เป็นเขตแดนที่แกร่งกล้าเพียงใดก็ย่อมต้องมีขีดจำกัดนะ ท่านอาจารย์” กุห์ฟานไม่ไปในคำพูดของอีกฝ่าย ดาบแสงในมือเจิดจ้ามากยิ่งขึ้นด้วยพลังมนตราที่อันแน่นจนแทบระเบิดทะลักทลาย ดาบแสงอีกนับร้อยผุดขึ้นรายรอบเรียงร้อยเป็นแถวเป็นแนว

    _____เมื่อเห็นท่าทีของรุ่นน้องจอมเวทดังนั้น อากิรอสก็ยกมุมปากขึ้นเป็นเชิงเยาะ “เจ้าอยากจะลองข้าก็ไม่ห้ามหรอกนะ” แล้วภาพของเขาก็เลือนหายไป



    _____เมื่อถูกท้าทาย จอมเวทผมแดงก็ไม่รอช้าที่จะทำตามความตั้งใจคือพังทลายที่นี่ให้ราบลงไปด้วยกำลังของเขา ดาบแสงทั้งร้อยเล่มหมุนควงได้เองแล้วกระจายออกโดยรอบราวกับถูกจับขว้าง ทั้งหมดทั้งมวลถูกกลืนหายเข้าไปในน้ำแข็ง สีหน้ากุห์ฟานแสดงออกถึงความขัดอกขัดใจเพราะทั่วทั้งวิหารเริ่มส่งเสียงครางครืนอีกแล้ว



    --------------------------------------------------------------------------------​


    _____หลังจากนักมนตราทั้งสองหายเข้าไปในเขตแดนเป็นเวลาล่วงเลยมากว่าสิบนาทีแล้ว ทุกคนจึงย้ายมาอยู่ที่ตัวอาคารอีกฟากหนึ่ง


    _____“จะเป็นยังไงบ้างนะ”

    _____นักดาบสาวนั่งก้มตัวส่งนิ้วไปแตะปลายเท้ายืดเส้นยืดสาย อเซแมกและทากะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสองยืนกอดอกคนละฟากหันหลังให้แก่กันและกำลังครุ่นคิดถึงบางเรื่องอยู่ภายในใจ ส่วนเบลและมาเรียที่ไม่ได้สตินั่งพิงกับแท่นหินที่มีอีกหนึ่งร่างสตรีนอนอยู่ ไอแซคก็จับจ้องมองไปยังพีรามิดน้ำแข็งสีขาวที่ลอยเด่นแข่งกับจันทร์เพ็ญกลางฟ้า



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____หอกน้ำแข็งเล่มสุดท้ายหดหายกลับคืนสู่พื้นพร้อมกับหยดเลือดจากปลายนิ้วของกุห์ฟาน เขาได้บาดเจ็บที่แขนซ้ายและขาขวา แต่สีหน้ายังแสดงท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

    _____“เป็นเขตแดนที่ยอดเยี่ยมไปเลยนะท่านอาจารย์”

    _____“ข้าสร้างที่นี่ขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยละ” เสียงของอากิรอสดังก้องกังวาน

    _____“แต่ว่า...” กุห์ฟานขยับเดินช้าๆ “ถ้าไม่มีการโจมตีจากข้า วิหารแห่งนี้ก็ทำอันตรายข้าไม่ได้”

    _____เสียงจุ๊ปากของนักเวทรุ่นพี่ดังขึ้นแล้วสะท้อนไปมา “นี่แค่เลเวลแรกเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นลองเลเวลสองไหมละ?”


    _____ทันทีที่พูดจบ วงเวทสีนวลสว่างปรากฏขึ้นทั่วพื้นแล้วจากนั้นก็มีอากิรอสผุดโผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด


    _____“จะให้ข้าเล่นไล่จับสินะ?” ดาบแสงในมือของกุห์ฟานตัดหุ่นน้ำแข็งในร่างของอากิที่อยู่ใกล้ๆขาดสะบั้นไปหกตัวในพริบตา

    _____“ฉลาดสมเป็นเจ้าจริงๆ” คราวนี้มีเสียงปรบมือแถมมาด้วย “แต่ว่านะ...”


    _____หุ่นน้ำแข็งที่ถูกตัดขาดระเบิดเสียงดังสนั่น ก้อนน้ำแข็งกระเด็นกระดอนกระจายไปทั่วและส่วนหนึ่งก็กลายเป็นสะเก็ดเข้าโจมตีกุห์ฟาน


    _____นักรบน้ำแข็งกรูเข้าหาจอมเวทผมแดงทันทีพร้อมกับศัสตราวุธนับไม่ถ้วน กุห์ฟานต้องหลบหลีกไปเรื่อยๆเพราะว่าหุ่นพวกนี้ระเบิดตัวเองได้ เขาทะยานขึ้นไปเกาะโคมระย้าที่ห้อยโยงมาจากเพดาน เหล่าหุ่นน้ำแข็งกระโดดโจนทะยานตามติด แต่ในพริบตาพวกมันก็ถูกตัดออกเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยเมื่อดาบแสงของกุห์ฟานแปรสภาพเป็นแส้แสงเจิดจรัสสะบัดเหวี่ยงไปมา


    _____“ไม่เลวนี่”

    _____เสียงของอากิรอสดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ลูกศรน้ำแข็งถูกยิงออกมาจากกำแพงรอบด้าน ซ้ำยังมีลูกตุ้มขวานเหวี่ยงหวือมาอีกร่วมเจ็ดแปดอัน นักมนตรารุ่นน้องไม่มีทางเลือกใดนอกจากเปล่งพลังทำลายล้างการโจมตีทุกอย่างที่พุ่งตรงมายังเขา



    _____และนั่นก็เข้าทางอากิรอสที่ฉีกยิ้มนั่งอยู่บนบัลลังก์มองภาพการต่อสู้ที่ถูกฉายอยู่บนพื้นน้ำแข็งเรียบเกลี้ยง




    _____อีกสิบนาทีผ่านพ้น กุห์ฟาน รีส รียาสคงไม่คาดคิดว่าตัวเขาจะถูกไล่ต้อนให้อยู่ประชิดริมกำแพงโดยมีกองพันทหารน้ำแข็งของอากิรอสตีวงล้อมเข้าใกล้ บาดแผลทั่วกายมีมากขึ้นจนเลือดไหลโทรมอาบร่าง แต่กระนั้นแววตาของเขาก็ยังกร้าวแข็งไม่ลดละลงแม้แต่น้อย


    _____“เจ้าจะยอมแพ้หรือยัง? กุห์ฟาน” เสียงของอากิรอสดังขึ้นอีกครั้งจากภายในวิหาร

    _____“ยังใจดีเหมือนเคยนะท่านอาจารย์”


    _____กุห์ฟานกราดยิงกระสุนแสงออกจากฝ่ามือทำลายหุ่นน้ำแข็งตรงหน้า แล้วกระโดดพรวดลอยตัวกลางอากาศเตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมจากเขตแดนอีกครั้ง

    _____“คิดสิ เขตแดนที่แข็งแกร่งไร้พ่ายไม่มีอยู่จริงหรอก”

    _____“จับกระแสมนตราที่ไหลเวียนอยู่ภายในเขตแดนให้ได้ หามันให้เจอแล้วทำลายทิ้งซะ”



    _____กุห์ฟานคิดไปพลางรับมือกับการโจมตีไปพลาง ดาบน้ำแข็งพุ่งเฉี่ยวกรีดบาดตรงโน้นตรงนี้ของร่างกายให้ได้รับความเจ็บปวดมากขึ้น


    _____ต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าที่เขาจะสัมผัสกระแสมนตราของเขตแดนนี้ได้ แต่นั่นกลับทำให้เขาต้องเสียเวลาคิดไปอีกมากในเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล


    _____“เป็นไปได้ยังไงกัน? กระแสมนตราอ่อนบางจนแทบจะสัมผัสไม่ได้และยังไหลเวียนเชื่องช้าเกินกว่าที่จะเป็นเขตแดน ?”


    _____ยิ่งยืดเยื้อยาวนานต่อไปเท่าไรเขาก็ต้องลำบากมากขึ้นเท่านั้น นักรบน้ำแข็งยังคงผุดขึ้นจากพื้นตัวแล้วตัวเล่าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และเขตแดนก็ยังคงดูดกลืนทุกการโจมตีให้สูญสิ้นและย้อนกลับมาทำร้ายเขาเอง


    _____ร่างของจอมเวทผมแดงลอยปลิวกระแทกเข้ากับผนังน้ำแข็งเต็มแรง เขากัดฟันเกร็งแรงที่ขาไม่ให้มันทรุดลงไปมากกว่านี้




    _____แต่แล้ว

    _____เหมือนหยดน้ำที่หลุดร่วงจากปลายใบของต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำลงสู่กระแสธารล้ำลึก ดุจดั่งแสงเทียนสว่างกลางห้องมืดมิด


    _____กุห์ฟานสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เขาค้นหามานาน จุดอ่อนของวิชาเขตแดนไร้พ่ายของอากิรอส



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____ณ เบื้องล่างพีรามิดน้ำแข็งที่ลอยตัวหมุนอย่างเชื่องช้าแต่คงจังหวะอย่างต่อเนื่อง ร่างของอมนุษย์สาวที่ถูกล่ามไว้กับเสากระตุกเฮือกได้สติตื่นขึ้น ดวงตาสีแดงทับทิมเปล่งประกายวาบ พลันกล้ามเนื้อทั่วร่างขยายใหญ่แปลงกายเป็นอสูรหมาป่าคำรามลั่นในบัดดล เชือกของไอแซคที่ผูกมัดรั้งตัวไว้ขาดกระจุยในพริบตา ไบท์ในร่างอสูรวิ่งเข้าทำลายเสาน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานจนพังพินาศ แม้ว่าร่างจะถูกบาดเป็นแผลเหวอะแหว่งเนื้อฉีกขาดหลุดลุ่ยแต่เธอก็ไม่หยุด


    _____ทุกคนต่างตระหนกในอาการคลุ้มคลั่งของเธอ ไอแซคกระโจนพรวดออกไปก่อนใครแล้วตะโกนบอก “เธอกำลังทำลายเขตแดน!”

    _____เพียงเท่านั้นก็ทำให้สติของทุกคนฉุกคิดขึ้นมาแล้วสั่งการให้ออกวิ่งตามไป


    _____แต่ก็สายไปเสียงแล้วเมื่อแท่งน้ำแข็งส่วนใหญ่กลายเป็นก้อนน้ำแข็งที่แตกหักกลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้นพร้อมกับร่างอสูรหมาป่าของไบท์ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเจิ่งนองนอนหายใจรวยรินใกล้จะสิ้นชีวิต ชั่วพริบตาพีรามิดเขตแดนที่อากิรอสสร้างไว้ก็สั่นสะเทือนและแตกร้าวไปทั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงเบื้องล่าง ทุกคนต้องวิ่งหนีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ร่วงหล่นลงมาไปคนละทิศละทาง




    _____เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ อากิรอสและกุห์ฟานต่างยืนหยัดอยู่บนก้อนน้ำแข็งคนละก้อนมองจ้องกันไม่วางตา แต่ใต้เท้าของจอมเวทผมแดงมีร่างของไบท์ที่ถูกบดขยี้แหลกเละกลายเป็นก้อนเนื้อที่ไร้วิญญาณ


    _____“หากข้ารู้ตัวช้ากว่านี้อีกนิดก็คงต้องตายอยู่ในเขตแดนแล้วแน่ๆ ต้องขอบใจสัตว์เลี้ยงแสนซื่อสัตย์ที่ช่วยให้ข้ารอดพ้นจากการถูกจองจำได้”


    _____“กุห์ฟานนนนนนนน!!”

    _____อากิรอสไม่อาจสะกดกลั้นความเดือดดาลกับความเลือดเย็นของกุห์ฟาน เขาพุ่งตัวเข้าหารุ่นน้องที่ไม่อาจเยียวยารักษาได้ ทางด้านกุห์ฟานก็ไม่คิดที่จะออมมืออีกต่อไปและปลดปล่อยพลังมนตราออกมาต่อสู้อย่างเต็มที่




    _____การปะทะของทั้งสองก่อให้คลื่นพลังที่ทำลายล้างทุกอย่าง อากิรอสได้แผลใหญ่พาดผ่านไหล่ขวาลงมาถึงสีข้างและทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกดาบแห่งแสงฟาดฟัน แต่กุห์ฟานก็ไม่ได้สบายไปกว่ากันเพราะถูกดาบและหอกน้ำแข็งแทงทะลุปักตรึงไว้ทั่วร่าง

    _____ทั้งคู่กระเด็นไปคนละทาง เลือดสาดซัดเปรอะไปทั่ว






    _____ทว่า

    _____ลำแสงขนาดมหึมาส่องสว่างพุ่งแหวกก้อนน้ำแข็งที่ลอยไปมาลงมายังอากิรอส



    _____“เฟอโร แมกน่า เซพเตม” (เจ็ดเทพประสานดาบ)


    _____เสียงระเบิดดังลั่นต่อเนื่องเจ็ดครั้งซ้อนพร้อมกับเสียงประกาศมนตราของกุห์ฟาน เทวลัยสั่นสะเทือนอย่างแรงราวกับเรือที่ถูกโยกคลอนด้วยคลื่นลมแรงท่ามกลางพายุ แต่กระนั้นโบราณสถานแห่งนี้ก็ยังไม่ถล่มพังลง


    _____แรงระเบิดทำให้ก้อนน้ำแข็งแตกละเอียดเป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยลอยระยิบระยับโปรยปรายลงมาปกร่างของอากิรอสที่นอนแน่นิ่ง เป็นตายไม่อาจบอกได้




    _____“ข้าเร็วกว่านะ” กุห์ฟานยิ้มอย่างผู้ชนะ “หากข้าร่ายมนต์บทสุดท้ายไม่ทันข้าก็คงตายด้วยมนต์ของเจ้าไปแล้ว”


    _____นักมนตรารุ่นน้องขยับเดินเข้าหาร่างของรุ่นพี่ที่กรุ่นไปด้วยควัน ผมสีดำรุงรังปกหน้า กุห์ฟานเรียกเอาดาบแสงออกมาถือในมือขวา


    _____“วาเล่...อากิรอส คีฟ” (ลาก่อน อากิรอส คีฟ)




    _____แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะตัดเอาหัวของอากิให้ขาดออกจากร่าง กงล้อเพลิงก็พลันพุ่งเข้าขัดขวางกุห์ฟานให้ล่าถอยไปเสียก่อน


    _____เปลวเพลิงกลายเป็นกำแพงปกป้องอากิรอสอยู่ภายใน และไกลออกไปคือเบลลานี่ที่หยัดยืนตระหง่าน นัยน์ตาเปล่งประกายแรงกล้าราวกับดวงอาทิตย์




    _____To be continue…




    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____- คุยกันท้ายตอน –

    _____ยาวมาก ยาวอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจคนอ่านกันหรือเปล่ากับฉากดวลของสองจอมเวทรุ่นพี่รุ่นน้องที่ควงเอาความแค้นต่างดาบประหัตประหารกัน

    _____รบกวนติชมแนะนำเช่นเคยครับ น้อมรับทุกคำใส่ใจ

    _____ส่วนเนื้อเรื่องก็ทิ้งปมไว้อีกแล้ว (ฮ่าๆ) เบลลานี่ฟื้นมาได้ยังไง อากิจะตายไปรึยัง แล้วคนอื่นๆกระเด็นไปไหนกันหมดแล้ว แล้วตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง ก็ต้องว่ากันต่อตอนหน้าครับ (^ ^)

    _____Azemag A.C. McDowell
  15. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ฉากดวลเวทอันนี้สนุกดี >_<b คราวนี้ได้เวลาเปิดฉากต่อสู้ของคู่เอกของจริงใน arc นี้แล้วสินะ
  16. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ฉากดวลเวทย์นี่อลังการจริงๆ
    เป็นวิธีการที่แปลกดี แต่แอบทึ่งนิดๆ (ไม่อยากชมหรอก แต่มันช่วยไม่ได้) ที่เขียนได้ขนาดนี้
    ปกติพูดถึงการดวลเวทย์ จะมีแต่ยิงพลังเปรี้ยงปร้าง แต่งานนี้กึ่งๆการใช้พลังจิตต่อสู้ด้วย และมีการใช้แทคติคกลยุทธ์ เรียกได้ว่าเป็นลักษณะของจอมเวทย์แท้ๆที่ต่อสู้กัน คือรู้ตื้นลึกหนาบาง มีการพลิกแพลง

    แต่สะอึกกว่านั้นคือฉากไบท์ฝืนตัวเองทำลายเขตแดนจนตัวเองฉีกเป็นริ้วเลือด
    อ่านแล้วแบบ เฮ้ย...!!
    สั้นๆ แต่เห็นภาพ
    แท้จริงเป็นยังไงไม่ทราบ แต่ที่อ่านได้คือ ความรู้สึกของไบท์ที่จงรักและภักดีกับกุห์ฟานจนเอาตัวเองเข้าแลก
    และหนุนภาพกุห์ฟานให้โหดเลือดเย็นอย่างไม่น่าเชื่อด้วย..
    เจ๊น่าตบมาตลอดเรื่อง ก็มีตอนนี้แหละที่สงสารจับใจ

    ถ้าอนาคตจะ re-write อยากจะให้จอมเวทย์แต่ละคนมีความโดดเด่นในเชิงเวทย์ตัวเองมากกว่านี้ครับ
    ตอนนี้ยังมองไม่เห็นชัด รู้แต่ว่ากุฟ์หาน อากิ เบล นี่จอมเวทย์ทุกคน แต่ว่าแต่ละคนถนัดสายไหนยังมองไม่ชัด ซึ่งอยากให้เน้นตรงนี้อีกมาก

    รอบนี้ทำให้ตอนต่อไปน่าติดตามขึ้นมาก ไม่ใช่อะไรนะครับ อยากรอดูสารรูปอากิรอสจริงๆ ฮา
  17. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ติดตามชมได้เลยครับ

    ชมบ้างก็ได้น่า -3-

    ฉากตอนไบท์ตื่นขึ้นมาทำลายเขตแดนนั่น กะว่าไม่ต้องเขียนอธิบายมาก็คงพอเข้าใจกันได้ (หรือจินตนาการกันได้)
    ว่า... กุห์ฟานส่งกระแสจิตมาให้ไบท์ทำลายเสาน้ำแข็งที่เป็นต้นกำเนิดเขตแดน... คิดว่าทิ้งไว้ให้จินตนาการกันตรงนี้น่าจะดีกว่า

    ส่วนเรื่องความแตกแต่างของสไตล์จอมเวท เชิญชมได้ในตอนต่อไปครับ
  18. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    _____ตอนที่ 23



    _____กำแพงไฟสีแสดกั้นขวางไม่ให้กุห์ฟานเข้าไปสังหารอากิรอสได้ เจ้าของเปลวเพลิงเดินผ่านออกมาดุจทะเลแดงแหวกทางให้โมเสส ดวงตาของเธอเปล่งประกายอาจหาญไม่แพ้ชายชาญ คลื่นพลังมนตรากล้าแกร่งสีแดงแผ่ปกคลุมอยู่รอบตัว


    _____เบลลานี่เหลียวมองร่างของคู่หูที่นอนสลบ “ทำเกินไปแล้วนะ กุห์ฟาน”

    _____“แล้วที่พวกเจ้าสองคนเคยทำกับข้าละ?” กุห์ฟานถามสวนกลับไป



    _____สายตาของทั้งสองสอดประสานกันในชั่วเสี้ยวเวลา



    _____“ข้าขอโทษ” เธอกล่าวเพียงคำสั้นๆ แต่สื่อความจริงใจทั้งหมดออกไป

    _____“ขอโทษ?” กุห์ฟานทวนคำแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “คนสำนึกผิดสมควรได้รับการยกโทษ แต่กับเจ้าแล้วก็เจ้านั่น” เขาชี้นิ้วไปยังอากิที่อยู่หลังม่านเพลิง คำรามก้อง

    _____“ข้าไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด!”



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____ด้านข้างของเทวลัย อเซแมกและเทรนใช้ดาบปักกำแพงหยุดการไถลตัวตกลงไปด้านล่าง ส่วนทากะและไอแซคเกาะอยู่ด้านบนเหนือขึ้นไปราวสองร้อยเมตร


    _____ราชองครักษ์แห่งอาณาจักรเอลฟ์ยกมือซ้ายขึ้นร่ายมนตราเหนือแหวนที่นิ้วชี้ พลันเชือกสีขาวสี่เส้นปรากฏขึ้นข้างกาย ปลายหนึ่งพุ่งขึ้นเหนือยอดเทวลัยแล้วยึดโยงร้อยรัดเข้ากับเสาหินได้เองราวกับมีชีวิต ปลายอีกด้านยืดลงด้านล่างพอดีกับมือของคนทั้งสี่


    _____“คงต้องปีนกลับขึ้นไปเท่านั้นแหละ” เชือกสองเส้นหย่อนตัวลงมาแทรกกลางระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์

    _____“ท่านไอแซคนี่สารพัดประโยชน์จริงๆ” เทรนม้วนพันเชือกเอาเข้ากับมือซ้ายแล้วตั้งหลักพยายามเดินไต่กำแพงขึ้นไป


    _____สะเก็ดไฟปลิวว่อนลงมาพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าเหนือเทวลัยดึงดูดทุกความสนใจให้หันขึ้นไปมอง



    _____“เบลลานี่ ?” ไอแซคสัมผัสได้ถึงจิตต่อสู้อันร้อนแรงราวกับลูกไฟดวงใหญ่ ความสงสัยพลันบังเกิดขึ้นในใจว่าเธอฟื้นได้อย่างไร

    _____“รีบขึ้นไปกันเถอะ” อเซแมกไต่ขึ้นมาใกล้ถึงไอแซค ส่วนทากะล่วงหน้าขึ้นไปไกลแล้ว



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____ลำแสงสี่สายวิ่งรี่ออกจากปลายนิ้วของกุห์ฟานราวกับกระสุนที่ถูกยิงจากปลายปากกระบอกปืนตรงดิ่งเข้าที่หน้าของจอมเวทหญิง แต่พวกมันหักเหเบี่ยงเบนออกเพราะเกราะมนตราสามชั้นทำหน้าที่ปกป้องเธอไว้ หญิงสาวสะบัดมือชี้ไปยังชายหนุ่ม โซ่อัคคีนับสิบเส้นพุ่งออกจากกำแพงเพลิงด้านหลังแต่ก็ช้าเกินกว่าจะมัดตัวเขาไว้ได้


    _____ภายในจิตใจของเบลลานี่ยังมีตะกอนความรักตกค้างก่อให้เกิดเกิดความลังเลที่จะสังหารบุรุษที่กำลังต่อสู้อยู่ด้วย


    _____แต่กุห์ฟานต่างออกไป เพราะทุกๆการโจมตีของเขาล้วนเล็งจุดตายอย่างไม่ลังเล หากมีโอกาสแม้เพียงน้อยนิดเขาคงสังหารเธอได้อย่างไม่ลังเลใจ


    _____ม่านมนตราของหญิงสาวเริ่มมีรอยแตกร้าวเพราะสารพัดอาวุธที่กุห์ฟานประเคนเข้าใส่ ต่อให้มันแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักสิบเท่าก็คงต้องพังทลายลงในไม่ช้า


    _____เมื่อไม่อาจเป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายเล็งยิงพลังเข้าใส่เพียงฝ่ายเดียว นักมนตราสาวกระทืบเท้าสร้างเกลียวคลื่นอัคคีพุ่งกระจายออกโดยรอบบีบให้กุห์ฟานต้องหยุดโจมตีและหนีขึ้นไปบนอากาศ กำแพงไฟด้านหลังเร่งเร้าตัวขึ้นสูง วงแหวนเพลิงปรากฏขึ้นนับร้อยวง


    _____กุห์ฟานเผยรอยยิ้มดีใจราวกับสิ่งที่รอคอยเป็นจริงขึ้นมา เขาดิ่งตัวลงสู่พื้นอย่างช้าๆและผายมือออกเรียกดาบ หอก ขวานและสารพัดอาวุธเรียงรายขึ้นมาด้านหลังตัวเองเช่นกัน


    _____“มีเลีย อาชินาเชส เด เบลิกา” (หมื่นศัสตราเทพสงคราม)


    _____แม้ว่ากุห์ฟานจะบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับอากิรอส แต่พลังมนตราของเขาก็ยังมีมากพอที่จะใช้ต่อสู้แลกชีวิตกับเบลานี่ได้

    _____และบางทีเขาอาจกำลังรอจังหวะที่จะใช้สุดยอดมนตราอีกครั้ง





    _____บรรยากาศชวนอึดอัดเมื่อทั้งสองต่างนิ่งรอจังหวะที่จะห้ำหั่นประหัตประหาร หากประมาทพลาดพลั้งเพียงพริบตาอาจหมายถึงความตาย



    _____“เจ้าจะไม่ยอมถอยแน่นะ ?” เบลลานี่เอ่ยถามครั้งสุดท้าย

    _____“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าก็ไม่เปลี่นใจแน่นอน” คำตอบของชายตรงหน้าไม่ต่างไปจากคมมีดที่สะบัดตัดเยื่อใยให้หมดสิ้น

    _____“นั่นสินะ” น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความเศร้า แววตาหมองลงเล็กน้อยแต่ครู่เดียวมันก็กลับมาเปล่งประกายเช่นเดิม


    _____ทากะ อซแมก เทรนและไอแซคปีนขึ้นมาทันฟังบทสนทนาสุดท้ายก่อนการต่อสู้ตัดสินความเป็นไปของคนทั้งสองเพื่อปิดฉากหนี้รักหนี้แค้นที่ยาวนานกว่าห้าปี


    _____กุห์ฟานกางแขนออกช้าๆ ศัสตราแห่งแสงทั้งหมดขยับหันปลายชี้เข้าหาหญิงสาวอดีตคนรัก


    _____เบลลานี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งแล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดฉากบุกก่อน เสียงตะโกนกร้าวของนักมนตราสาวเป็นเสียงสัญญาณลั่นกลองรบพร้อมกับวงแหวนเพลิงทั้งหมดพุ่งตัวออกไปเพื่อสังหารผลาญเผาศัตรู


    _____และเป็นวินาทีที่กุห์ฟานตอบรับการตัดสินใจของเธอด้วยคำบัญชาให้มนตราของเขาโจมตีเช่นกัน


    _____แรงปะทะทำเอาเทวลัยสั่นสะเทือนเลือนลั่นอีกครั้ง ไฟกองใหญ่ลุกโชนขึ้นมาตรงหน้าเบลลานี่ ทว่ามีเพียงผ้าคลุมสีดำที่ถูกเผาเป็นจุณแต่ไร้ซึ่งผู้เป็นเจ้าของ

    _____กว่าที่เบลลานี่จะรู้ตัว กุห์ฟานเข้าประชิดด้านหลังของเธอได้ก่อน




    _____แต่เป้าสังหารของเขากลับเป็นอากิที่นอนสลบอยู่ กุห์ฟานรู้ดีว่าตัวเองบาดเจ็บหนักไม่สามารถเอาชนะเบลลานี่ได้ แต่อย่างน้อยถ้าเขาจะต้องตายก็ขอลากอากิรอสให้ตกนรกไปพร้อมกับตน


    _____ก่อนที่กุห์ฟานจะเข้าถึงตัวบุรุษที่เขาสาบานว่าจะต้องฆ่าด้วยมือตัวเองให้ได้ เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางทางเขาไว้กลางทาง มือซ้ายกระชับคันธนูแน่น มือขวารั้งสายธนูสุดเหยียดเกี่ยวพาดด้วยลูกศรที่อาบพลังมนตราจนเต็มเปี่ยม


    _____“อย่าลอบกัดสิ”


    _____ไอแซคว่าแล้วก็ปล่อยคลายปลายนิ้วที่คีบท้ายลูกศรไว้ มันพุ่งตรงดิ่งปรี่เข้ากลางหน้าผากของกุห์ฟาน


    _____ไม่มีทางเลือก! นักมนตราผมแดงจำเป็นต้องป้องกันตัว ทว่าดาบแสงที่ถูกยกขึ้นมาปะทะกลับแตกสลายในพริบตาด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่า ศรมรณะเบี่ยงเบนออกด้วยแรงกระแทกถากเหนือคิ้วซ้ายแทนที่จะทะลุกลางหน้าผากของกุห์ฟาน


    _____“ข้าไม่ให้เจ้าแตะเขาแม้แต่ปลายผมแน่นอน” เอลฟ์หนุ่มเหนี่ยวคันศรยิงใส่กุห์ฟานอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้อีกฝ่ายฉากหลบไปได้ด้วยความเร็วแสง




    _____ทว่า

    _____เบื้องหลังของกุห์ฟานมีเบลลานี่ยืนนิ่งดั่งรูปปั้นปิดทางหนี ความโกรธล้นทะลักออกจากร่างบอบบางจนสัมผัสได้ พลังมนตรายิ่งร้อนแรงเป็นทวีคูณ กลายเป็นว่าเขาพาตัวเองเข้ามาถูกกระหนาบหน้าหลังรับศึกสองด้าน


    _____“ขอบคุณค่ะ ท่านไอแซค” เบลลานี่เอ่ยปากขอบคุณผู้ที่ปกป้องคู่หูของตัวเองเป็นลำดับแรก “ข้าขอจัดการเองนะคะ”

    _____และตะโกนเสียงดังด้วยกำลังโทสะเป็นลำดับต่อมา “เจ้าอยากตายนักสินะ? กุห์ฟาน!”




    _____สายลมที่ร้อนแรงพัดออกจากร่างของเธอจนเทรนเสียหลักเกือบจะตกจากเทวลัย ยังดีที่อาจารย์หนุ่มคว้าเอวไว้ได้ทันท่วงที เสาเพลิงต้นใหญ่ผุดขึ้นจากพื้นสู่ท้องฟ้านับสิบต้นแล้วแปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือเพลิงนับไม่ถ้วนม้วนตัวลงมา



    _____“ดีอุม โพเอนาส” (เพลิงสวรรค์ทัณฑ์เทวา)

    _____เบลลานี่ประกาศมนตราก้อง



    _____กุห์ฟานต้องหลบเลี่ยงการโจมตีที่เกรี้ยวกราดของเธอไม่ต่างจากแมลงตัวน้อยที่กระเสือกกระสนบินหนีฝ่ามือของมนุษย์ที่กระหน่ำฟาดเข้าหา




    _____“เพอ เวอทูเทม อิคเน เดอุส โรเรม เดท ไวเอส โรเรม เดโอ แมกโน อิคเน เอท อินฟลามาเบท อินิมิคอส เมออส เอท อิน พูลเวอเอม เทอเร”

    _____ท่วงทำนองมนตราถูกขับขานซ้ำเสริม รวดเร็ว แม่นยำไม่ผิดเพี้ยนและเรียงร้อยสละสลวย

    _____“เฟลนเต้ อินเชนดิอาริอุม เซพิทุส” (ระเบิดเพลิงกัมปนาท)



    _____พลันเกิดระเบิดรุนแรงหลายครั้งรอบตัวกุห์ฟาน เขาถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ำเผาไหม้ให้เจ็บปวดทรมาน ฝ่ามือเพลิงตามตบซ้ำอีกนับสิบครั้ง สายโซ่อัคคีสิบสองสายรัดตรึงกายของเขาไว้แน่นไม่อาจขยับตัวได้อีกต่อไป




    _____“ไซ อิกนิส เอส คาลิดัส อูดัคเชีย อูดัค โรเรม อูอุสควี มาเลลัส อุสทิเทีย อีซิตุม เด เฮค มาลิส เม โอมิสซา รีรุม อา พลานา เดเอส”

    _____มนตราบทที่สองถูกขับร้องต่อเนื่อง

    _____“เลกิโอ เอส เด อูดิซีเรีย มาเลอุม” (ค้อนเพลิงแห่งมหาตุลาการ)




    _____ค้อนอัคคีใหญ่โตมโหฬารบดขยี้เขาเป็นชุดที่สาม สะเก็ดไฟที่ปลิวว่อนหมุนตัวขึ้นฟ้ากลายเป็นดาบเพลิงอีกนับไม่ถ้วนกระหน่ำซ้ำลงมาเป็นชุดที่สี่

    _____“เอเธน่า อูดีซุม” (ประกาศิตสังหารเทพเอเธน่า)




    _____เสียงระเบิดดึงกึกก้องขึ้นอีกครั้ง กุห์ฟานถูกแผดเผาอยู่ภายในวงเวทอัคคี ไอแซคอุ้มร่างอากิรอสขึ้นบ่าหนีขึ้นบนหลังคาของอาคาร ทากะก็อุ้มร่างมาเรียออกจากบริเวณการต่อสู้ตั้งแต่การโจมตีชุดแรก อเซแมกต้องสร้างกำแพงวายุป้องกันตัวเองและลูกศิษย์เอาไว้


    _____“ผู้หญิงเวลาโกรธนี่น่ากลัวจริงๆแฮะ” อเซแมกยกดาบต้านคลื่นมนตราที่โหมเข้ามาไม่หยุดหย่อน



    _____เปลวไฟในเขตแดนลุกไหม้จรดฟ้า ร่างของกุห์ฟานถูกความร้อนลามเลียกัดกินทีละน้อย เล็บมือไหม้เกรียมหลุดลอก เส้นผมสีแดงถูกแผดเผา เลือดในกายกำลังเหือดแห้งไปทีละน้อย เศษเนื้อหลุดร่อนออกจากร่างสูญสลายไปในพริบตา


    _____เบลลานี่ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไปเมื่อความเจ็บปวดวิ่งแล่นออกจากหัวใจไปทั่วทั้งร่าง หยดน้ำใสๆเอ่อล้นจากดวงตาพาดผ่านแก้มขาวผ่องหยดออกที่ปลายคาง แต่ไม่ทันร่วงหล่นถึงพื้นก็ระเหยหายกลายเป็นไอ


    _____ปลายนิ้วโป้งและนิ้วกลางสัมผัสเสียดสีส่งเสียงเบาๆหนึ่งครั้ง เขตแดนลบเลือน เปลวเพลิงแตกออกเป็นสะเก็ดเล็กๆปลิวว่อนก่อนจะหายไป เหลือเพียงม่านควันสีเทาดำและร่างของกุห์ฟานไว้เท่านั้น


    _____เธอทรุดลงนั่งคุกเข่า ความหลังมากมายจุกอกจนทะลักให้กระอักสะอื้นไห้ เธอแข็งใจปาดก้อนน้ำออกจากดวงตาสีอำพัน


    _____เทรนรุดมาถึงและเข้าไปประคองกอดเธอไว้ นักดาบสาวก็เริ่มมีหยดน้ำตาน้อยๆคลอเบ้า



    _____“ไม่เป็นไรแล้ว มันจบแล้ว”


    _____เทรนลูบหัวลูบหลังนักมนตราสาวและกระซิบปลอบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหู แต่ยิ่งปลอบก็ยิ่งทำให้เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ทะลักทลายไหลท่วมทั่วใบหน้าและหัวใจที่แสนจะทรมาน

    _____เสียงร้องไห้เป็นสัญญาณปิดฉากการต่อสู้ในค่ำคืนที่จันทร์เพ็ญลอยเด่นอยู่กลางหมู่ดาวสุกสกาวสว่าง



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____แม้จะคำสาปจะทำให้เบลลานี่สูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกาย แต่สัมผัสทั้งห้าไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ท่ามกลางความมืดมิดไร้ขอบเขตและความเจ็บปวดที่วิ่งแล่นไปทั่วร่าง เบลลานี่ทำได้เพียงอดทน อดทน และอดทน


    _____เธอได้ยินคำพูดของทุกคน รับรู้ความอบอุ่นจากแผ่นหลังของอากิรอส ได้กลิ่นของสายลมที่โอบล้อมรอบกาย เพียงแค่ไม่อาจตอบสนองสิ่งเหล่านั้นได้


    _____เธอรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออากิประสานพลังเวทเข้ากับศิลามนตราช่วยยับยั้งผลร้ายของคำสาป และนั่นทำให้เธอเริ่มที่จะต่อต้านกับพลังมนตราของกุห์ฟานที่แฝงอยู่ในร่างของเธอได้ แม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม


    _____เมื่อมาถึงเทวลัย เธอสัมผัสได้ถึงกระแสพลังยิ่งใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในโบราณสถาน แม้สองตาของเธอจะปิดสนิทไม่อาจเห็นสิ่งใด แต่มันสุกสว่างจนรับรู้ได้แม้ไม่ต้องมอง


    _____ในระหว่างที่ทุกคนต่อสู้แลกชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเธอ เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังกังวานขึ้นภายในจิตใจของเธอ


    _____“เราสัมผัสได้ถึงไฟแค้นที่โหมกระหน่ำ ความมืดที่ไร้จุดจบ และความทุกข์ที่หนักหนาสาหัส”

    _____“แต่ว่าเราก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ความเชื่อใจที่ไม่สั่นคลอน และความกล้าหาญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภูผา”

    _____“มนุษย์เอย...เนิ่นนานแล้วที่เราหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา...ถึงเวลาแล้วที่เราจักตื่นขึ้น”

    _____“มาเถิด...มานำเราออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างเจิดจ้าของวันใหม่...”

    _____“เราจักช่วยให้เจ้าเป็นอิสระ”


    _____ราวกับเป็นเพียงความฝัน แต่พลันร่างที่เคยหนักอึ้งเหมือนถูกกดทับด้วยขุนเขากลับเบาสบาย พลังมนตราของกุห์ฟานที่เกาะกุมหัวใจแตกสลายเป็นฝุ่นทราย ลมหายใจที่ติดขัดหวนกลับคืนพร้อมกับพลังมนตราที่พวยพุ่งทั่วร่างกาย



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____เบลลานี่เล่าให้ฟังว่าเธอฟื้นมาได้อย่างไร แต่ดูเหมือนทุกคนจะยังมีเรื่องให้ต้องขบคิดโดยเฉพาะอเซแมกที่หัวคิ้วขมวดชนกันอย่างชัดเจน

    _____“จะอะไรก็ช่างเถอะน่า ท่านเบลฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว” เทรนตัดบทจบเรื่อง แต่สามหนุ่มสุมหัวกันถกเถียงโดยไม่สนใจเธอ



    _____“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ปกป้องที่นี่ สู้กันรุนแรงไม่รู้กี่ครั้งยังไม่อาจทำให้มันพังลงได้” ไอแซคบอก “ลึกลงไปใต้พื้นที่พวกเรากำลังยืนอยู่นี่แหละ”

    _____“ดอกไม้รุ้งสวรรค์งั้นหรือขอรับ” ทากะเสนอประเด็นขึ้นมา

    _____“ก็เป็นไปได้” อเซแมกเห็นด้วย

    _____“แล้วใครเป็นเจ้าของเสียงที่เบลได้ยินกันละ?” เอลฟ์หนุ่มแย้ง

    _____“ไม่แน่ว่าดอกไม้นั่นอาจจะมีวิญญาณสถิตอยู่ก็เป็นได้นะขอรับ” ทากะยังคงปักใจเชื่อว่าดอกไม้นั้นบานอยู่ภายใต้เทวลัยแห่งนี้

    _____“ดอกไม้นั่นอยู่ด้านหลังหน้าผานี่ต่างหากละ” ไอแซคแย้ง

    _____“ถ้าท่านไอแซคว่าอย่างนั้นก็คงจะจริง แล้วอะไรกันละที่อยู่ภายในเทวลัยแห่งนี้” อเซแมกสงสัยหนักยิ่งขึ้นไปอีก

    _____“นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่าลืมว่าข้างใต้เท้าพวกเรามีสภาพเหมือนเขาวงกตแถมยังมีกับดักอีกมากมาย ผ่านไปไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ” เอลฟ์หนุ่มกระตุ้นเตือนเรื่องสำคัญ



    _____ปัญหาเดิมยังไม่กระจ่าง ปัญหาใหม่ก็รออยู่เบื้องหน้าแถมดูท่าจะยุ่งยากกว่าเสียอีก สามนักรบยกมือขึ้นลูบคางกันป้อยๆ คิดแล้วคิดอีกก็ยังคิดไม่ได้



    _____“บอกว่าช่างมันยังไงละ!!”

    _____เทรนปักดาบลงกลางวงชายหนุ่ม “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดหรอก ที่สำคัญน่ะข้าหิวแล้วนะ!”



    _____ไอแซคกับทากะต่างหันไปมองเธอด้วยสีหน้าขำๆ อเซแมกถอนหายใจอย่างหน่ายๆคว้าคอเธอได้แล้วจัดการขยี้หัวจนผมฟูฟ่องยุ่งเหยิง

    _____“ไม่ช่วยคิดแล้วยังก่อปัญหาอีกนะ” อเซแมกบิดหูลูกศิษย์

    _____“โอ๊ยๆๆ พอแล้วๆ ก็ข้าหิวนี่นา วิ่งมาทั้งวันตั้งแต่บ่าย สู้กับกองทัพเดนตายเป็นร้อยเป็นพันแล้ววิ่งขึ้นบันไดอีกเป็นพันขั้น ข้าก็หมดแรงเป็นเหมือนกันนะ” นักดาบสาวไม่กล้าตอบโต้อาจารย์ได้แต่ดิ้นขลุกขลักไปมา



    _____เสียงโวยวายของเทรนปลุกมาเรียให้รู้สึกตัวตื่นขึ้น ทากะขยับเดินเข้าไปดูอาการของเธอก่อนใคร


    _____“ตื่นแล้วหรือขอรับ” ทากะถามอย่างห่วงใยแต่ท่าทีของอีกฝ่ายกลับทำให้นักดาบหัวยุ่งผิดคาด มาเรียร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กที่ตื่นจากฝันร้าย ทากะไม่รู้จะทำอะไรได้แต่ดึงเธอเข้ามาปลอบในอ้อมกอด

    _____“ฝันร้ายหรือขอรับ”

    _____“ข้ากลัว...กลัวที่ตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่เจอใครอีก” โจรสาวสะอึกสะอื้น

    _____“ไม่มีใครทิ้งเจ้าไว้คนเดียวหรอกนะ” เบลเดินมานั่งยองๆข้างเธอ




    _____“ไม่ใช่..ไม่ใช่แบบนั้น เมื่อข้าไม่ได้สติเหมือนกับมีข้าอีกคนหนึ่งตื่นขึ้นมาทำร้ายคนอื่น”

    _____“หลายต่อหลายครั้งที่ข้าตื่นขึ้นมาแล้วคนรอบข้างตายไปหมด มีเพียงซากศพและกองเลือด”

    _____“ข้าจำอะไรไม่ได้ แต่ทุกคนบอกว่าข้าเป็นคนทำ”

    _____“ข้ากลัว...กลัวที่ข้าอีกคนหนึ่งจะทำร้ายพวกเจ้า...กลัวว่าข้าจะไม่เหลือใครอยู่ข้างๆอีก”

    _____“ข้ากลัว...ข้ากลัว โฮๆๆ”



    _____ทากะยกฝ่ามือหยาบกร้านลูบผมสีม่วงอ่อนอย่างแผ่วเบาปล่อยให้เธอร้องไห้เต็มที่




    _____“ครั้งหน้าก็อย่าให้อีกตัวตนหนึ่งเอาชนะเจ้าได้สิ” คำแนะนำดังมาจากร่างที่นอนอยู่ไม่ไกล – อากิรอส คีฟ

    _____“ความกลัวเป็นของเจ้า ไม่มีใครทำลายมันได้นอกจากตัวเจ้าเอง”



    _____เขาใช้สองมือยันร่างท่อนบนขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก แล้วสายตาของเขาก็โคจรไปประสานเข้ากับสายตาของเบลลานี่


    _____ความเศร้า ความดีใจ ความห่วงใย

    _____ทั้งหมดรวมกันอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้น




    _____“ข้าก็นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าแล้วเหมือนกัน”

    _____เพียงคำพูดนี้ก็ทำให้สาวที่แกร่งนอกอ่อนในอย่างเบลลานี่ต้องหลั่งน้ำตาโผเข้ากอดเขาทันที




    _____“เห...ความรักนี่ดีจริงๆเลยนะ” เทรนอมยิ้มดีใจที่เห็นทุกคนมีความสุข

    _____“อย่างเจ้ารู้จักความรักกับเขาด้วยเหรอ” อาจารย์หนุ่มแซวขึ้นมา

    _____“โธ่...อาจารย์ อย่าทำลายบรรยากาศสิ” เทรนหันไปบ่น แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ต้องส่ายหัวแล้วหัวเราะเบาๆ


    _____“โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็ปากแข็งนะอาจารย์”



    _____ภาพของหญิงสาวสองคนร้องไห้อยู่ภายในอ้อมกอดของสองชายหนุ่มทำให้พระจันทร์ต้องม้วนตัวหลบเข้าไปหลังก้อนเมฆ



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____อากิรอสใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาออกจากแก้มของเบลลานี่แล้วยันตัวขึ้นยืน


    _____“มาจบเรื่องนี้กันเถอะ กุห์ฟาน”


    _____เทรนหันขวับไปยังร่างของจอมเวทผมแดงที่ขยับลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จะกระชากดาบออกจากฝักแต่ข้อมือของเธอก็ถูกอาจารย์คว้าจับรั้งเอาไว้ก่อน เขาส่ายหน้าเบาๆเป็นนัยว่าให้อากิรอสเป็นคนสะสางเรื่องทั้งหมดเอง


    _____กุห์ฟานค่อยๆลุกขึ้นยืนเช่นกัน สภาพยักแย่ยักยันไม่ต่างจากอากิรอสเท่าไรนัก


    _____“สัมผัสนี้...” จอมเวทรุ่นน้องหลับตายกมือขึ้นนาบอก “เจ้ารักษาข้ารึ? เบล”

    _____“...ใช่” เธอตอบกลับตามจริง

    _____“เพื่อให้ข้าทรมานยิ่งกว่านี้อย่างนั้นหรือ?”

    _____“พอสักที! กุห์ฟาน เจ้าไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ไม่เห็นหรือไงว่าเบลเสียใจขนาดไหนกัน”

    _____“เสียใจ? ผู้หญิงเลือดเย็นอย่างนั้นรู้สึกเสียใจเป็นด้วยเหรอ”



    _____อากิรอสสาวเท้าเข้าหาแล้วต่อยเปรี้ยงเข้าเต็มหมัดจนกุห์ฟานหน้าสะบัด



    _____“ถ้ายังพูดคำนั้นอีกละก็...ข้าจะฆ่าเจ้า” อากิรอสกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ตะคอกใส่หน้า

    _____“ก็เอาสิ” กุห์ฟานท้าทายแล้วตีเข่าใส่ท้องรุ่นพี่จนตัวงอ



    _____ทั้งสองประเคนหมัดใส่กันจนปากแตกเลือดกำเดาไหล แต่ไม่มีใครยอมใคร อากิชกหนึ่งหมัด กุห์ฟานก็คืนให้หนึ่งหมัด สุดท้ายก็แลกหมัดกันจนผงะกระเด็นไปทั้งคู่



    _____“ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจสักที” อากิยกมือขึ้นปาดเลือดจากมุมปาก หายใจหอบตัวโยน

    _____“เข้าใจอะไรละ? ข้าต้องเข้าใจอะไรกัน” กุห์ฟานก็ขาสั่นพั่บๆแต่พยายามยันตัวไม่ให้ทรุดลงไป

    _____“เบลรักเจ้านะ กุห์ฟาน”

    _____“อย่าพูดให้ขำน่า ท่านอาจารย์” กุห์ฟานพุ่งตัวเหวี่ยงหมัดเข้าหา แต่อากิฉวยข้อมือหยุดกำปั้นของเขาได้ก่อน

    _____“ไม่ว่าเจ้าทำผิดแค่ไหน ไม่ว่าเจ้าจะเลวยังไง เบลก็เป็นเบลคนเดิมที่รักเจ้า ห่วงใยเจ้า ตลอดห้าปีมานี้เธอเที่ยวสืบเสาะหาข่าวของเจ้าไม่เว้นแต่ละวัน แล้วสัปดาห์แรกที่เจ้าหนีจากอาณาจักรเธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน แบบนี้ยังไม่เรียกว่ารักอีกเหรอ”

    _____“แล้วทำไมต้องปิดบังเรื่องของพวกเจ้าด้วย?” กุห์ฟานเป็นฝ่ายกระชากคอเสื้อของอากิมาตะคอกใส่หน้าบ้าง

    _____“ข้ามีสิทธิ์พูดว่าเบลเป็นผู้หญิงของข้า...ห้ามเจ้าเข้าใกล้หรือพูดคุย ข้าบอกเจ้าได้อย่างนั้นเหรอ?”

    _____“เธอมีชีวิต มีอิสระที่เลือกด้วยตัวเอง คนที่ตัดสินใจไม่ใช่ข้าแต่เป็นเธอต่างหาก!”

    _____“ไม่ได้อยากจะปิดบังหรือโกหกหรอกนะ กุห์ฟาน” เบลเดินเข้ามาทีละก้าว

    _____“ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแย่ๆที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล แต่พวกเจ้าทั้งสองคนล้วนเป็นคนสำคัญของข้า”

    _____“ฟังดูเหมือนข้าเป็นผู้หญิงหลายใจ แต่ความรู้สึกที่มีให้พวกเจ้านั้นเป็นจริง ข้าถึงบอกไม่ได้ว่าข้ารักทั้งอากิรอสและรักทั้งเจ้าด้วย...กุห์ฟาน”


    _____เบลเริ่มสะอึกสะอื้น แต่เธอข่มกดมันเอาไว้ในลำคอ หยดน้ำใสๆก่อตัวคลอเบ้าตาของเธออีกแล้ว


    _____ความรักไม่ต้องพรรณนาหรืออธิบายใดๆ ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ รู้แต่เพียงว่ารักก็พอแล้ว แค่ได้รักก็เพียงพอแล้ว



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____ความนิ่งเงียบเข้าปกคลุมทั้งสามคนเอาไว้ กุห์ฟานค่อยๆคลายมือออกจากคอเสื้อของอากิรอส ก้าวเท้าถอยหลังออกห่าง ความสับสนกำลังรุมเร้าจิตใจของเขาให้ปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งกว่าทะเลในค่ำคืนที่มีพายุโหมกระหน่ำ


    _____อากิไม่พูดสิ่งใดอีก เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องใช้เวลาในการร้อยเรียงเรื่องต่างๆให้ลงตัว เขาต้องทำมันด้วยตัวเอง


    _____เบลก้มหน้าไม่กล้ามองเขากลัวว่าถ้าหากสายตาประสานกันเมื่อใดเธอจะหักห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ได้


    _____คนที่เหลือทำได้เพียงมองดูอยู่ไกลๆเท่านั้น คงมีเพียงสายลมเท่านั้นที่ขยับพัดพาตัวเองให้ล่องลอยไปอย่างไม่มีจุดหมาย


    _____กุห์ฟานเงยหน้าขึ้นมองอากิรอส เขาเห็นความหนักแน่นมั่นคงภายในดวงตาของรุ่นพี่หรือท่านอาจารย์ที่เขาเรียกจนติดปาก เขาเห็นความห่วงใยในดวงตาสุกใสของเบลลานี่ที่ยืนมองห่างออกไปด้านหลัง


    _____“ข้า...”









    _____“แหมๆๆ ความรักนี่เป็นเรื่องดีจริงๆเลยนะ”



    _____เสียงแหลมเล็กเสียดแทงโสตประสาททำลายบรรยากาศทั้งหมดทั้งมวล สายฟ้าสีดำก่อตัวคั่นกลางระหว่างอากิรอสและกุห์ฟานแล้วขยายออกเป็นวงกว้าง แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อากิรอสจำต้องหันหลังกลับและฉวยข้อมือเบลให้ถอยออกห่างจากจุดนั้น และคงไม่ทันเห็นว่ามือขวาของเบลลานี่ยกขึ้นไขว่คว้าภาพของกุห์ฟานที่ไกลออกไปเรื่อยๆ


    _____สัญชาตญาณของอเซแมกและทากะร้องเตือนทันทีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นสิ่งอันตราย สุดแสนจะอันตราย และผลักดันให้พวกเขาเข้าสู่สภาวะพร้อมรบในทันที


    _____ผู้เป็นอาจารย์เตือนลูกศิษย์เสียงเครียด “อยู่ข้างหลังข้าไว้นะ”


    _____อากาศ ณ เบื้องหน้าถูกกรีดเป็นเส้นตรงสองเส้นแหวกออกเป็นประตูมิติรูปวงรี ภายในนั้นมีเพียงความมืดที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ ประกายสายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบออกมาอย่างต่อเนื่อง


    _____แขนสีขาวซีดข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากประตูบานซ้าย แขนเรียวเล็กบอบบางบ่งบอกว่าเป็นของสตรี นิ้วมือกรีดกรายไหวเคลื่อนเป็นจังหวะช้าๆดูน่าขนลุก ดวงตาสีเหลืองเข้มค่อยๆลืมขึ้นจนเห็นได้ชัด


    _____แขนกำยำลำสั่นโผล่พ้นออกมาจากประตูด้านขวา นิ้วทั้งห้าค่อยๆรวบกำเข้ากับฝ่ามือจนแนบแน่น มองดูกำปั้นนั้นราวกับค้อนยักษ์ที่จะบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างให้พังพินาศ ดวงตาสีแดงเบิกโพลงอยู่ท่ามกลางความมืดมิด


    _____ร่างของหนึ่งชายและหนึ่งหญิงก้าวพ้นออกมา พลังมนตราแกร่งกล้าและมากมายยิ่งกว่าจอมเวทอย่างอากิรอสและเบลลานี่เป็นร้อยเป็นพันเท่า แรงกดดันหนักหน่วงถาโถมอย่างต่อเนื่องยิ่งกว่ากระแสน้ำเชี่ยวกราก จิตสังหารมากมายที่ปลดปล่อยออกมาบอกว่าพวกเขาไม่ได้มาเยี่ยงมิตร


    _____ดูท่าพวกเขาต้องต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเสียแล้ว





    _____To be continue…



    --------------------------------------------------------------------------------​



    _____- คุยกันท้ายตอน –


    _____เอาละสิ เพิ่งจบศึกหนักไปหมาดๆก็มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาเสียอย่างนั้น ดอกไม้วิเศษอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ดูเหมือนไกลแสนไกลเสียเหลือเกิน แล้วสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ภายในเทวลัย ?


    _____งวดหน้า สนุกแน่นอนครับ


    _____Azemag A.C. McDowell
  19. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนนี้รู้สึกว่าจะรีบยัดบทบาทของมาเรียเข้ามาไปหน่อย กลายเป็นว่าตัวละครแย่งซีนกันเองทำให้อารมณ์ทางฟากสามจอมเวทย์โดนตัดทอนไป

    จริงๆถ้าไปใช้เล่นปมของมาเรียส่วนนี้หลังจากนี้น่าจะเน้นบทบาทตรงนี้ได้ดีกว่านะครับ

    ปล. พวกปีศาจโผล่แล้วสินะเนี่ย
  20. Jammaster

    Jammaster New Member

    EXP:
    26
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    เห็นด้วยว่าซีนเยอะไปในส่วนของมาเรียที่ฟื้นขึ้นมา น่าจะเล่นต่อได้บ้างเช่นฟื้นมาในอีกร่างตอนคับขันมากกว่าให้ฟื้นมาตอนนี้

    ส่วนการที่เพิ่งจบศึกหนักก็มีปัญหารออยู่นั้นดีแล้วครับ เม้นมากกว่านี้กลัวจะเป็นการสปอยโดยไม่ตั้งใจ (กลัวที่คิดไว้จะตรง)

    รอดูตอนต่อไปอยู่นะครับ
  21. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    2บท ที่ไม่ได้เม้นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียวโดยเฉพาะตอนล่าสุดฉากที่ตัดอารมณ์ทำได้ค่อนข้างเยี่ยม สมเป็นช่วงโค้งสุดท้าย เอาล่ะพยายามเข้าสหายใกล้แล้ว ใกล้แล้วอูอาาาา
  22. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ขอมาคอมเม้นท์ก่อนตอนใหม่จะออกนะ...

    เอาเป็นอารมณ์ของฟิคต่อเนื่องดี สำนวนและการใช้ภาษาก็อยู่ในระดับปกติของอาเซแม็กแล้ว

    ถ้าให้เทียบแล้วฟิคนี้อ่านจับภาษาและสำนวนน้อยกว่าฟิคของแน็กนะ ไม่ได้คิดว่าภาษาหรือสำนวนไม่ดี แต่มันเป็นลักษณะการอธิบายแบบปกติมากกว่า (หมายความว่า โครงสร้างของการเรียงประโยคมันไม่ได้แปลกขนาดนั้น แต่เรื่องใช้คำก็ยอมรับว่ามีพัฒนาการขึ้นเยอะมากจากตอนแรก รู้จักเล่นคำซ้อนขึ้น แต่คำซ้ำก็ยังเห็นอยู่บ้าง)

    คิดว่าทักษะพวกสำนวนและการใช้ภาษาของนายน่าจะทรงตัวแล้ว ไม่น่าปรับเปลี่ยนอะไรไปกว่านี้

    ขอรวบยอดวิจารณ์ตามที่เคยบอกไว้ว่า เรื่องภาษาและการดำเนินเรื่องต้องรอดูไปจนไกล ๆ ก่อนอ่ะนะ ก็คงถึงเวลาที่จะวิจารณ์แบบมีสาระแล้ว


    คำและสำนวน
    จากที่ติดตามอ่านฟิคเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง คิดว่านายถนัดในการใช้คำเพื่อบรรยายฉากแบบมูฟเม้นท์ที่ให้เห็นการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง มากกว่าคำซึ่งใช้บรรยายแบบสะท้อนภาพ เช่น สิ่ง วัตถุ หรือรูปร่าง และใช้คำได้ดีกว่าการบรรยายฉากอารมณ์

    ต้องยอมรับว่าลักษณะและระดับของการเล่นคำแบบต่าง ๆ มีผลต่อจังหวะและจุดกระตุ้นในการดำเนินเรื่องต่างกัน คำบางคำเหมาะกับการใช้เพื่อแสดงออกถึงการเคลื่อนไหว ต้องให้คำลื่นหู และดูเป็นโมชั่น (เคลื่อนที่) คำบางคำเหมาะสำหรับการบรรยายภาพหรือฉากในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้เห็นตัววัตถุชัดเจน และคำบางคำเหมาะกับการกระตุ้นอารมณ์

    ถ้าจะถามว่าฟิคนี้ขาดอะไร
    บอกตรง ๆ ว่าไม่ขาด มันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนที่จะถนัดและเขียนในแบบต่างกัน

    แต่ถ้าจะถามว่าในแง่ของภาษาและการเล่นคำ น้ำหนักและสัดส่วนของคำที่นายใช้ มักเทไปอยู่แบบแรกและแบบสองมากกว่า ซึ่งมันทำให้คนอ่านรู้สึกสนุกกับเรื่องและการดำเนินเรื่องมากกว่าตัวละคร

    นายสะท้อนมิติของตัวละครผ่านทางการพูดเป็นหลัก

    และน้อยมากสำหรับความคิด คำที่ใช้ย้ำหรือดึงอารมณ์ร่วมระหว่างคนอ่านและตัวละครแต่ละตัวจึงน้อย และนั่นทำให้ฉุดอารมณ์ได้ยากสำหรับบทดราม่า มันกลายเป็นเพียงคำบอกเล่า และคำพูดเปล่า ๆ ที่ตัวแสดงออกผ่านโมชั่นและมูฟเม้นท์มากกว่า

    ถ้านายเพิ่มจุดนี้ได้ ฟิคนี้จะเด่นขึ้นมากกว่าแฟนตาซี แต่มันจะให้ความรู้สึกดราม่าปนเนื้อเรื่องไปด้วย แล้วการดำเนินเรื่องของตัวละครมันจะมีกลิ่นไอมากกว่าแฟนตาซีและความขันระหว่างฉากหรือบทพูด

    (ถึงจะว่างั้นว่างี้ แต่เราเขียนโมชั่นได้ไม่เก่งเท่านายหรอก ศัพท์ในหัวเรายังน้อยกว่าในเรื่องพวกนี้อยู่เยอะ บางอันเราก็เอาคำและสำนวนนายเก็บไว้เป็นคลังข้อมูลเหมือนกัน ฮาาา เพราะงั้นเท่าที่เขียนมาก็ถือว่าดีมากแล้วในฟิคแฟนตาซี แค่คนอ่านอยากเห็นอะไรที่มันมากกว่าดาบ โล่ และเวทมนต์อ่ะ เรื่องมากจริงๆเลยตรู กร๊ากกก)


    เนื้อเรื่อง
    พูดถึงการดำเนินเรื่อง ปมและความขัดแย้ง (conflict) ในเรื่องยังถือว่าเรียบอยู่ในบางลักษณะของการผูกและแก้เงื่อน มันค่อนข้างออกไปทางแฟนตาซีปกติ ที่ดำเนินเรื่องแบบมีแพทเทิร์น เลยไม่ซับซ้อนเท่าไหร่

    เงื่อนงำและความเป็นไปของตัวละครและฉากพอเดาได้ เลยทำให้รู้สึกว่าอ่านไปเรื่อย ๆ ตามพล๊อตและตัวละครมากกว่า

    พอยึดพล๊อตเป็นแกนหลัก เรื่องมันก็เลยไม่หลากหลาย (ยกเว้นว่าพล๊อตจะวางไว้ซับซ้อนอยู่แล้ว) ตัวละครก็จะมีฉากและที่มาที่ไปแบบชัดเจน เหตุผลของการกระทำ ซึ่งก็เหมาะกับแนวแฟนตาซีดี แต่ถ้าถามถึงความสลับซับซ้อนยังน้อยไปหน่อย

    ข้อดีของการดำเนินเรื่องแบบแฟนตาซี คือมันเห็นภาพชัดเจน รู้การเคลื่อนไหวของตัวละครแบบไม่ต้องตีความ และมันมีความสนุกแบบแฟนตาซีในตัว มุขปนอารมณ์ขันเฉพาะฉากของนายทำได้ดีมาก เราถือว่าเราอ่านแล้วติดตากับมุขพวกนี้เยอะ แล้วเรื่องราวก็พาไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ

    บทที่ต้องสู้ก็บู๊กันดุเดือด ใช้คำที่เชิญชวนราวกับอยู่ในการต่อสู้
    บทที่ตลกก็ชงมุข ตบมุขกันได้ดี

    ถ้าวางปริศนาให้ซับซ้อนและคลี่คลายแบบมีเทคนิคอีกนิด การดำเนินเรื่องโดยรวมจะดูน่าสนใจมากขึ้นนะ

    สุดท้าย... ขอพักไว้ก่อน อาจจะมาเม้นท์แบบมีสาระต่อตอนหน้า...

    ฝากแค่ว่า อยากเห็นฉากนั้นให้จี๊ดอารมณ์เลย... เพราะเท่าที่นายวางพล๊อตมาแล้ว มันเอื้อต่อการเล่นมาก คือถึงแม้จะยังไม่มี แต่เราก็แอบคิดไปแล้ว กร๊ากกก หวังว่าตอนหน้า ๆ จะเจอในเร็วนั้น
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  23. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอน 23 นี้
    จะบอกว่าโคตรสนุกเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    ผมชอบเบลลานี่!! ชอบบทที่อาเซใส่ให้เบลลานี่มากๆ! ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าอ่านแล้วบีบคั้นหัวใจ บวกลุ้นระทึกไปด้วย
    เธอใช้พลังเพลิง กล้าหาญมุ่งมั่น แต่ก็มีความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติของผู้หญิง บอกตามตรงว่าบทต่อสู้ของเบลลานี่ไม่สะดุดเลยแม้แต่น้อย
    ทุกคำพูด สื่อถึงตัวเธอทั้งหมด ยิ่งอ่านยิ่งบีบเค้นหัวใจ
    ความเป็นผู้หญิงที่ยังมีใจผูกพันธ์และมีความปราณี แต่เมื่อโกรธถึงขีดสุดก็ระเบิดออกมา เีสียดายมากที่คำว่า

    น่าจะเน้นตัวหนาและใหญ่เป็นพิเศษ เพราะมันเป็นเสียงที่ตะโกนออกมาด้วยความแค้นที่สุดของผู้หญิงคนหนึ่ง
    อ่านเวทย์แนวสายลมมาก็เยอะ ผมชอบเบลที่ใช้เวทย์สายเพลิงมากกว่า และรู้สึกเหมาะกับเธอดีเหมือนกัน
    (อากิรอสตอนนี้นอนเป็นง่อยเห็นๆ...)

    ที่จริงอ่านแล้วลงตัวทุกเรื่องเลยนะ แม้แต่คำที่อาเซแม็กบอกว่า "ผู้หญิงเวลาโกรธนี่น่ากลัวจริงๆ" ผมยังว่าขำดี เข้ากับสถานการณ์ไม่ได้ตัดอารมณ์เลย แต่หลังๆมาบทสนทนาของอากิรอสกับกุห์ฟานกลับยืดเยื้อมากเกินไป คือมีความรู้สึกว่าสองคนนี้คุยกันไปมากแล้ว และสมควรจะจบแบบเงียบๆ แต่ก็มีส่วนที่ผมชอบกุห์ฟานที่ยอมรับความพ่ายแพ้ผิดหวัง สื่อออกมาได้ดีมาก...
    มาเรียที่ร้องไห้กับทากะก็เป็นบทที่ดีเหมือนกัน คือโทนของตอนนี้ ผมมองว่ามันเป็นอารมณ์สีเทาจางๆ เพราะงั้นการที่แต่ละคนแสดงความรู้สึกส่วนลึกในใจออกมากันจนหมด จึงเป็นอะไรที่อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ และเป็นอรรถรสที่แทรกมาในฟิคแฟนตาซีได้ดีเช่นกัน

    ไอแซ็ค-อากิรอส ........
    ตั้งใจวายใช่ไหม!! ไม่ค่อยจะเลยยยยยยยยยย!!!!
    เบลยังไม่ห่วงอากิรอสขนาดพูดแบบนั้นเลยนะเนี่ย!! (รังสีม่วงแผ่ซ่าน ท่านองครักษ์เอลฟ์ ท่านตกหลุมรักอากิรอสหรือนี่! /*โดนถีบ)

    ศัตรูใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมาให้ความรู้สึกอันตรายกว่าเดิมมาก เสียงตัดบทนั่น ให้ความรู้สึกเลือดเย็น ตอนต่อไปจะเป็นยังไงก็น่าลุ้นแล้ว

    --- วิจารณ์ภาพรวม ---
    ผมเห็นด้วยกับอากิ ว่าฟิคนี้

    อย่างที่ผมพูดบ่อยๆว่า ผมไม่วิจารณ์มาก เพราะตอนนี้ลงในบอร์ด อ่านเรื่อยๆสนุกๆ
    แต่ถ้าวันนึงอาเซจะรีไรท์เพื่อขาย เราจะต้องสู้กับแฟนตาซีอีกมากมายที่วางในท้องตลาด และนับวัน แฟนตาซีก็ต่างแข่งขันกัน เพิ่มความลึกของมิติตตัวละครและเนื้อเรื่องมากขึ้น เพื่อให้นิยายของตัวเองนั้นโดดเด่น
    ดังนั้นในแง่ความซับซ้อน plot และปมต่างๆ Legendary จะต้องทำการบ้านอีกมหาศาลหากจะขายจริงๆ ณ วันนี้ผมโอเคมากๆกับผลงานอาเซแม็ก เพราะอาเซที่ผมรู้จักนั้น ไม่ใช่คนที่เขียนฟิคเป็นกิจวัตร เป็นเด็กวิจัยมากว่า แต่วันนี้ทำได้ขนาดนี้ก็เล่นเอาผมทึ่ง และก็ทำเอาคนที่เคยมั่นใจในตัวเองมากๆอย่างผมสั่นคลอนว่า ฝีมือรุ่นน้องเราพัฒนาขนาดนี้แล้ว บาง part ทำได้ดีจนผมละอายใจด้วย (ไม่ได้แปลว่าผมเก่ง แต่ผมแค่มั่นใจในตัวเอง) ดังนั้นในระดับนี้ ผมชื่นชมมากๆ แต่ถ้าจะขายให้ได้ มันก็ต้องพูดในอีกแง่นึง ซึ่งกรณีนั้น อากิก็ชี้จุดต่างๆไว้ได้ดี

    ปล. ลาออกแล้วก็เอาเวลาไปตั้งใจรีไรท์ใส่รายละเอียดลงไปเยอะๆนะ ว่างแล้วนี่
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  24. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    มาเรียไม่ให้ฟื้นตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปฟื้นตอนไหนละครับ -3-
    ตั้งใจจะเล่นบทกุ๊กกิ๊กๆลดโทนความรุนแรงลงนิดหน่อย ให้บรรยากาศมันเศร้าๆซึ้งๆอิ่มเอมใจน่ะครับ

    เชิญพูดคุย(สปอยล์)ได้เต็มที่ครับ ฉากมาเรียก็ตามด้านบน

    ใกล้แล้ว... คนเขียนใกล้จะตายแล้ว...

    จะพยายามนะ สหายอากิรอส คีฟ

    จะว่าไป...เราเป็นนักสังคมวิทยาสาย conflict
    ทำไมเราไม่เอา...conflict ใส่ไปในนิยายของเราวะ ? ฮ่าๆๆๆ
    เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คงเพราะมันเป็นเรื่องที่อยากจะเขียนน่ะ เขียนตามอารมณ์และความรู้สึกในหัวมากกว่าจะเขียนจากโครงที่กำหนดไว้แล้ว

    ฮ่าๆๆๆ

    ดีใจนะที่สนุก ขอบคุณมากครับ

    ไอแซค x อากิรอส = วายชัวร์ๆไม่มั่วนิ่ม :E

    อย่างที่เคยบอกละครับ อันนี้เขียนตามพล็อตดิบๆในหัว แก้ไปเรื่อย คิดไปเรื่อย
    มันเลยไปเรื่อยๆไม่ลงตัวสักเท่าไร

    แต่ฉบับรีไรท์รับรองว่าจะทำให้เนื้อหามันเข้มข้นขึ้น มีมิติของความขัดแย้งภายในกลุ่มและนอกกลุ่มให้มากขึ้น
    รวมถึงรายละเอียดต่างๆก็เพิ่มขึ้นแน่นอนครับ
  25. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 24

    _____ค่ำคืนที่สุกสว่างด้วยแสงจันทร์กระจ่างใสและหมู่ดาวมากมายกระจายตัวอยู่ทั่วผืนฟ้าถูกกลบด้วยประกายสายฟ้าดำสนิทมืดมิด เสียงเปรี๊ยะเปรี๊ยะดังลั่นเสียดแทงโสตประสาท หัวใจบีบเค้นเต้นรัวตื่นระทึก เหงื่อไหลซึมฝ่ามือจนร้อนชื้น แรงกดดันหนักหนาเหมือนภูผากดทับ สายลมที่เคยพัดโชยเบาๆแปรเปลี่ยนเป็นกรรโชกกระหน่ำ


    _____หนึ่งชายหนึ่งหญิงก้าวพ้นประตูมิติออกมายืนอย่างองอาจ ความดุร้ายมากล้นแฝงอยู่ในแววตาผิดกับใบหน้าที่เรียบเฉย ความรู้สึกฆ่าฟันส่งผ่านอากาศมาเป็นเหมือนเข็มนับแสนนับล้านเล่มทิ่มแทงทั่วร่าง หากเป็นคนธรรมดาคงเสียสติไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว


    _____พวกเขามีรูปร่างไม่ต่างจากมนุษย์เลยแม้แต่นิดหากไม่มีจิตมารดำมืดแผ่ออกมา


    _____มารหญิงอยู่ในชุดหนังสีดำแขนสั้นรัดแน่นโชว์ให้เห็นเนินเนื้อนูนกลมยั่วตายั่วใจบุรุษเพศให้ต้องมองจ้อง กระโปรงสีดำมันสะท้อนแสงสั้นแค่คืบปิดท่อนล่างโชว์เรียวขาขาวยาวสวย รองเท้าบูทสีดำยาวขึ้นมาเกือบถึงหัวเข่า ผมยาวสีแดงสดตัดกับดวงตาสีเหลืองเปล่งประกายราวกับอัญมณี ริมฝีปากได้รูปกับใบหน้าเผยอให้เห็นเขี้ยวเล็กๆหนึ่งคู่คมกริบ เล็บยาวสีม่วงคล้ำดูน่าอันตรายไม่แพ้คมเขี้ยวในปาก

    _____“ไม่ได้กลิ่นมนุษย์มาเป็นสิบปีแต่ก็ยังหอมหวานน่ากินเหมือนเดิมเลย ♥”



    _____มารชายอยู่ในชุดทำทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน กางเกงขายาวสีดำสนิทกับเสื้อเนื้อหนาทับด้วยแจ็กเก็ตดำที่ฉีกแขนเสื้อทั้งสองขาดรุ่ยเป็นริ้ว รองเท้าหนังสีดำหัวตัดคู่โตเหยียบขยี้พื้นศิลาแกร่งให้แตกร้าว ดาบเล่มโตในปลอกหนังสีดำผูกไขว้กับเข็มขัดอยู่ที่บั้นเอวเปล่งจิตกระหายรุนแรงราวกับจะสูบเลือดสูบเนื้อทุกสรรพชีวิต ผมสีเงินกับดวงตาสีเทาเข้าคู่กันอย่างเหมาะเจาะลงตัว


    _____ประตูมิติปิดสนิท สายฟ้าสีดำค่อยๆจางหายไปในไม่ช้า แต่แรงกดดันยังไม่คลายลงแม้แต่น้อย


    _____“เอลฟ์ ?” มารชายสังเกตเห็นว่าในกลุ่มตรงหน้ามีอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่ต่างออกไป “น่าสนใจๆ ไม่ได้ล่าเอลฟ์ตัวเป็นๆมานานแล้ว”


    _____พูดไม่พูดเปล่าสองเท้าก้าวเดินเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือไอแซค แรงกดดันทำให้อเซแมกและทากะเตรียมพร้อมพุ่งออกไปปะทะ แต่ทว่ากำแพงอัคคีลุกโชนขึ้นขวางกั้นเขาเอาไว้ก่อน มารชายหยุดเท้าเหลือบมองหญิงสาวผู้ใช้มนตราเรียกพลังแห่งไฟมาหยุดยั้งเขา


    _____“แหมๆ ทำใจร้อนไปได้นะ อลัน” มารหญิงส่งเสียงเย้าแหย่ตามมา “นานๆจะได้เจอทั้งทีก็ค่อยๆฆ่าให้ตายสิ”


    _____เสียงสุดท้ายยังไม่ทันจางหาย ร่างของมารหญิงก็หายวับไปประชิดตัวกุห์ฟาน ใบหน้าของเธออยู่ห่างจากใบหูของเขาแค่นิ้วคั่น

    _____“หน้าตาดีแบบนี้...แล้วอย่างอื่นจะดีด้วยรึเปล่านะ ♥”



    _____ฝ่ามือเล็กๆแตะทาบเข้ากลางอกจอมเวทผมแดง แต่คลื่นพลังที่ตามหลังมาทำเอาทั่วทั้งร่างของเขาสั่นสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่อาจแม้ขยับปลายนิ้วให้กระดิกสักเล็กน้อย มีเพียงเสียงแห่งความทรมานลอดผ่านฟันบนและฟันล่างที่ขบกันอย่างรุนแรง


    _____อากิรอสตกตะลึงอึ้งไปเมื่อเห็นชายที่ตนห้ำหั่นแลกเป็นแลกตายถูกสยบได้โดยง่าย


    _____“ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบเล่นสนุกเหมือนเจ้าหรอกนะ อลิส” มารชายตอบกลับโดยไม่หันหัวกลับไปมองด้านหลัง เพียงแค่เปล่งพลังมารออกจากร่าง สายลมรุนแรงก็กรรโชกให้กำแพงเพลิงของเบลลานี่สูญสลายลงอย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงเปลวไฟริบหรี่บนเทียนเล่มน้อย


    _____ลูกศรสามดอกพุ่งแหวกสายลมเข้าหามารร้ายโดยพลัน แต่ทั้งหมดก็ถูกคว้าจับไว้ได้ราวกับเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กๆ


    _____คมดาบสองเล่มวาดจากซ้ายขวาเข้าหาอลันพร้อมกันด้วยฝีมือของอเซแมกและทากะที่อาศัยช่องว่างจากการจู่โจมของไอแซค เป้าหมายของพวกเขาคือแนวพาดผ่านลำคออันเป็นจุดตายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่เผ่ามาร


    _____“แมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญเสียจริง”




    _____ลูกศรในมือของอลันถูกหักคามือพร้อมกับคลื่นพลังกระแทกสองนักดาบให้กระเด็นกลับไป แต่พวกเขาได้แสดงถึงสิ่งที่เหนือความคาดหมายของอลัน นั่นคือพวกเขาต้านทานพลังปะทะและหยุดตัวเองไว้ได้ในระยะสี่ก้าว

    _____“เป็นแค่มนุษย์แต่มีฝีมือเหมือนกันนี่”




    _____สามสาวที่เหลืออาศัยจังหวะนี้วิ่งอ้อมหลังสองนักดาบไปช่วยกุห์ฟานที่ถูกอลิสเล่นงานอยู่


    _____“ไม่เลวๆ” รอยยิ้มเหี้ยมกระหายผุดขึ้นบนใบหน้าของอลัน ดวงตาสีเทาเปล่งประกายแวววาว จิตสังหารทะลักล้นออกมามากยิ่งกว่าเก่า

    _____“ขอข้าดูหน่อยเถอะ ว่ามนุษย์นั้นพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”


    ----------​




    _____อีกด้านหนึ่ง สามสาวกระจายตัวล้อมอลิสเอาไว้ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อยแล้วก็เลิกสนใจก้มหน้ายิ้มหวานเยิ้มให้กุห์ฟานที่บัดนี้ทรุดตัวคุกเข่าลงด้วยความเจ็บปวดทรมาน


    _____สาวเลือดร้อนอย่างเทรนย่อมทนไม่ได้ที่ถูกศัตรูเมินเฉย พุ่งตัวเข้าหาเงื้อดาบฟาดจากด้านหลังหมายจะให้อีกฝ่ายต้องรับมือ


    _____แต่เธอประเมินอีกฝ่ายต่ำไป เพียงเพราะชั่วพริบตาเธอก็ถูกบางอย่างกระแทกจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นร่วมสิบเมตร


    _____“อ่อนแอชะมัด นี่ออมแรงไว้ตั้งเยอะแล้วนะ”


    _____ปีกมังกรสีดำคู่ใหญ่ผุดงอกจากกลางหลังของอลิส ที่ปลายมีเขี้ยวแหลมคมยาวโง้ง เทรนยันตัวขึ้นช้าๆ มีบาดแผลที่ต้นแขนเป็นทางยาว


    _____“ไม่เป็นไรใช่ไหม ?” เบลลานี่ตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง

    _____“แค่ถากๆ กระโดดถอยหลังทันน่ะ” เทรนยืนขึ้นตั้งท่าจรดดาบข้างกายอีกครั้ง



    _____บทสนทนานั้นทำให้อลิสต้องสนใจ แม้ว่าเมื่อครู่เธอจะออมแรงให้แต่ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปก็ต้องถูกตัดร่างขาดกลางไปแล้ว

    _____และเมื่ออลิสเปิดช่องว่าง ลูกไฟดวงใหญ่จากฝ่ามือของเบลลานี่ก็โจมตีเข้าใส่จนเธอต้องหลุบปีกป้องกันตัว และก็เพียงพอที่จะให้มาเรียสะบัดแส้ไปคว้าตัวกุห์ฟานออกมาได้



    _____“ก็ได้ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน”



    _____อลิสสะบัดปีกพรึบพุ่งโฉบเข้าหาเบลลานี่เป็นเป้าหมายแรก เบลลานี่จู่โจมสวนกลับด้วยศรเพลิงแต่อีกฝ่ายเพียงแค่หมุนตัวก็ทำลายมนตราของเธอได้ แต่ก่อนที่เล็บแหลมคมจะฉีกกระชากร่างของเบลลานี่ ขาของเธอก็ถูกเกี่ยวรั้งรัดด้วยแส้ และเป็นนักดาบสาวนัยน์ตาสีไพลินที่กระโจนแผดเสียงลั่นเข้าจู่โจมในจังหวะสุดท้าย


    _____แต่ทั้งสามสาวก็ต้องตกตะลึงเพราะอลิสหยุดปลายดาบไว้ได้เพียงแค่ใช้สองนิ้วหนีบ และกลายเป็นเทรนที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศเสียเอง มาเรียคลายปลายแส้แล้วสะบัดฟาดใส่อลิสอีกครั้ง เธอแค่เพียงหมุนตัวยกแขนเอาเทรนมารับการโจมตีแทน นักดาบสาวถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อโดนแส้หวดเข้ากลางหลังเต็มๆ


    _____เพลิงร้อนรุนแรงลุกโชนขึ้นด้านหลังเป็นเส้นตรง ดาบเพลิงมากมายพุ่งดิ่งลงมา อลิสก็ยังไม่ยี่หระกับการโจมตีระลอกที่สาม เพียงแค่สะบัดปีกอีกครั้งพัดเอาเปลวไฟของนักมนตราสาวแตกกจะจายเป็นสะเก็ดเพลิง


    _____“เวนโต้ แซงติ” (สายลมศักดิ์สิทธิ์)



    _____เทรนประกาศมนตราทั้งๆที่ห้อยโหนตัวอยู่ ปลายดาบเปล่งแสงเจิดจ้าพร้อมสายลมรุนแรงพัดเอาอลิสเสียหลักไปเล็กน้อยและเผลอปล่อยมือทำให้นักดาบสาวเป็นอิสระ เงาร่างหนึ่งกระโดดขึ้นประชิดด้านหลังมารสาว – กุห์ฟาน ดาบแสงในมือฟาดเข้าที่ขมับกะว่าเอาให้ตายในดาบเดียว แต่ร่างของอลิสทะยานขึ้นด้านบนแล้ววกกลับลงมาด้านหลังกุห์ฟาน และกลายเป็นเขาที่ถูกตบเข้าเต็มๆขมับแทนจนกระเด็นกลับมานอนกองที่พื้น


    _____“ผู้ชายรุนแรง ข้าละชอบนัก” อลิสเลียลิ้มรสเลือดที่ติดอยู่บนฝ่ามือ แววตาส่อเค้าความโรคจิตผิดปกติ


    _____เทรนยื่นมือให้กุห์ฟานใช้เป็นหลักสำหรับดึงตัวขึ้นมา แม้เขาจะแปลกใจในตอนต้นแต่ก็เข้าใจได้ในวินาทีต่อมา

    _____“ถ้าอยากรอดตายก็ต้องช่วยกัน...สินะ” นักเวทผมแดงถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ

    _____“ถ้าอยากตายก่อน ข้าเอาดาบแทงหัวใจเจ้าได้นะ” นักดาบสาวสวนกลับ



    _____รอยยิ้มของผู้ใหญ่ที่วางแผนแหย่เด็กน้อยปรากฏอยู่บนใบหน้าของอลิส

    _____“ตัดสินใจได้แล้ว”



    _____มารร้ายกระพือปีกแรงๆสองสามครั้งแล้วบินโฉบพุ่งเข้าหาเทรนเป็นเป้าหมายแรกอย่างรวดเร็ว กุห์ฟานถูกปีกสีดำดีดกระเด็นออก แต่นักดาบสาวทำได้เพียงป้องกันตัวเองจากการถูกกระหน่ำตบด้วยฝ่ามือที่แข็งแกร่งและเล็บที่คมกริบ


    _____แส้หางมังกรของมาเรียและโซ่เพลิงของเบลลานี่พุ่งมัดเข้าที่โคนปีกของอลิส ทั้งสองออกแรงดึงกระชากอลิสให้ถอยออกห่างจากเทรน มารสาวออกแรงดึงกลับทำเอาสองสาวเสียหลักแต่ยังรั้งตัวให้ยืนแล้วกระชากกลับอีกครั้ง


    _____กุห์ฟานสะบัดแส้แสงรั้งเข้าที่เอวของอลิสจากอีกทาง แต่มารสาวก็ต่อต้านกลายเป็นศึกชักคะเย่อ เมื่อเทรนตั้งหลักได้ก็วิ่งมาช่วยมาเรียดึงแส้อีกแรง


    _____กุห์ฟานและเบลลานี่สบตากันเป็นสัญญาณว่าต้องทำอะไรต่อไป ทั้งสองเร่งขันขานมนตราอย่างรวดเร็ว ลูกไฟเจ็ดลูกก่อตัววิ่งออกจากมือของนักมนตราสาวไปตามโซ่อัคคี เช่นเดียวกับลูกบอลแสงที่วิ่งไปตามแส้แสง


    _____แสงสว่างวาบปรากฏขึ้นพร้อมกับการระเบิดครั้งใหญ่กลางอากาศ เสียงดังสนั่น ควันไฟพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าพร้อมกับเปลวไฟสีแดง


    _____เมื่อควันดำจางหาย เลือดสีดำหยดลงพื้นตามแรงโน้มถ่วง อลิสในสภาพบาดเจ็บเพราะถูกไฟคลอกจากการระเบิดฉีกยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสีเหลืองเปล่งแสงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม


    _____มารร้ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยมันออกมาในสภาพของคลื่นเสียงทรงพลัง


    _____เบลลานี่ กุห์ฟาน มาเรียและเทรนรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงในทันที สองมือถูกยกขึ้นป้องปิดใบหู แต่เสียงนั้นยังคงดังลั่นราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ แม้แต่ทากะ อเซแมก อากิรอสและไอแซคที่อยู่ห่างออกไปยังรู้สึกปวดหูปวดหัวจากคลื่นเสียงนั้น


    _____อลิสพุ่งลงมาทั้งที่ยังแผดเสียงแสบแก้วหู โฉบเอาพวกเขาไปทีละคนราวกับวิหคล่าเหยื่อแล้วพาบินขึ้นไปสูงลิบลิ่วแล้วดิ่งตัวลงตั้งฉากกับพื้นโลกลงสู่ลานของวิหารชั้นล่าง เสียงระเบิดดังสนั่นราวกับมีสะเก็ดดาวตกลงปะทะ เสียงแกรกกรากของเศษหินที่ลอยละลิ่วแล้วตกกระทบพื้นดังอยู่เนืองๆ


    _____ทุกคนนอนจมอยู่ก้นหลุม ก้อนศิลาแตกหักทับถมร่าง เลือดไหลเปรอะอาบนองทั่วร่าง มีเพียงปีกสีดำกระพือพัดพยุงร่างของมารร้ายอยู่กลางอากาศ


    _____แต่ว่า... ทั้งสี่คนค่อยๆขยับกายทีละน้อย สร้างความประหลาดใจให้กับอลิสอย่างมาก


    _____“พวกมนุษย์ยังตายยากเหมือนเคยเลยนะ”


    _____“ป้องกันได้ต่างหาก” คำตอบออกจากปากของเบลลานี่พร้อมกับเสียงไอและเลือดสองสามหยด

    _____ในขณะที่ถูกอลิสพาดิ่งพสุธา เบลลานี่ได้เอื้อมมือไปแตะใบดาบของเทรนได้อีกสิบกว่าเมตรก่อนจะถึงพื้น พลังมนตราถูกถ่ายทอดผ่านปลายนิ้วสร้างสายลมคุ้มกันทุกคนได้ทันเวลาจึงไม่มีใครได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย


    _____นักมนตราหญิงหยัดยืนขึ้น ทั่วร่างสั่นเทิ้ม ผมสีบลอนด์ยุ่งเยิง เลือดไหลหยดจากปลายนิ้วถี่ยิบ แต่ไฟแห่งความหวังในหัวใจยังไม่ดับมอด


    ----------​




    _____ทางด้านชายหนุ่มสี่คน พวกเขาผนึกกำลังรับมืออลันเต็มที่แต่มิอาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย ลูกศรของไอแซคที่ว่องไวถูกหลบได้เพียงแค่เบี่ยงศีรษะ น้ำแข็งของอากิรอสแตกละเอียดราวกับเศษแก้วเปราะบางเพียงแค่อีกฝ่ายเปล่งพลังมารต่อต้าน คมดาบสุญญากาศจากวิชาอิไอไม่อาจฝ่าม่านมนตราที่แข็งแกร่ง ดาบวิหคสายฟ้าเมื่ออยู่ต่อหน้ามารร้ายเป็นเพียงแค่ท่อนเหล็กธรรมดา


    _____หนำซ้ำการโจมตีของอลันสร้างความบอบช้ำให้กับทั้งสามคนที่บาดเจ็บอยู่แล้วให้บาดเจ็บยิ่งขึ้น เลือดสดๆกระเซ็นออกจากปากของอเซแมกทันทีที่เขาไอ ปากแผลของทากะเปิดให้เลือดไหลทะลักออกมาอีกครั้ง อากิรอสกัดฟันหยัดยืนอยู่ทั้งที่กระดูกหักแตกร้าวหลายแห่ง

    _____“แบบนี้แย่แน่”

    _____ไอแซคคาดเดาผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ว่ามันจะลงเอยเช่นไร


    _____“เฮ้ๆ แสดงฝีมือที่แท้จริงให้ข้าเห็นหน่อยเถอะ” อลันเริ่มหงุดหงิดเมื่อผลลัพธ์ที่เขาคาดหวังไม่ใช่สถานการณ์เช่นตอนนี้

    _____“ข้าไม่มีเวลามาเล่นวิ่งไล่จับกับพวกเจ้าทั้งคืนหรอกนะ”



    _____มารร้ายเอื้อมไปจับด้ามดาบ ปลอกหนังฉีกกระชากขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไอสังหารจากดาบไหลเอ่อล้นออกมาผสานกับไอมารจากอลันกลายเป็นม่านหมอกและประกายสายฟ้าสีดำ แรงกดดันเพิ่มเป็นเท่าทวี



    _____“ชุดใหญ่มาแน่ๆ” เอลฟ์ผมทองบอกเตือนทุกคน

    _____“มือเปล่าก็แย่อยู่แล้ว เพิ่มดาบมารอีกเล่มยิ่งแย่เข้าไปใหญ่” อากิรอสถอนหายใจเฮือกใหญ่

    _____“ดูเหมือนมีแต่เรื่องแย่ๆนะขอรับ” นักดาบพเนจรถอนหายใจตาม

    _____“เรื่องแย่ๆให้ข้าพูดแค่คนเดียวก็พอแล้วน่า อากิ” หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าขัดขึ้น



    _____รอยยิ้มผุดขึ้นบางเบาที่มุมปาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมความอิ่มเอิบบังเกิดขึ้นภายในจิตใจของทุกคนทั้งที่ความตายอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือเข้าหา


    _____อเซแมกพุ่งนำหน้าออกรับศึกเป็นมือแรก เพลงดาบที่แสนจะว่องไวของเขาถูกต้านรับได้โดยง่าย แต่กระนั้นก็มีเพียงต้องโจมตีต่อไปเรื่อยๆไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูเป็นฝ่ายรุก เสียงดาบกระทบกระแทกกันดังถี่ยิบ



    _____“เอาไง ?” นักเวทผมดำถามนักดาบหัวยุ่ง

    _____“ต้องถามด้วยหรือขอรับ ?”



    _____ทากะถามกลับ ค่อยๆดึงซันเซโนะยะคะออกจากฝักมาถือไว้ ดาบสั่นไหวแผ่วเบาส่งเสียงวิ๊งๆเปล่งประกายวาววับ นักดาบผมดำทะยานออกไปดุจสายลมพัด ดาบญี่ปุ่นแหลมคมฟาดเปรี้ยงเข้าปะทะดาบมารเต็มแรง คลื่นพลังจากการปะทะกระจายโดยรอบ ดาบวิหคสายฟ้าในมือของอเซแมกตามฟาดซ้ำทำเอาพื้นที่อลันใช้หยั่งแตกร้าวเป็นวงกว้าง


    _____“ยอดเยี่ยม” อลันหัวเราะร่าเกร็งพลังต้านกลับไป


    _____สองนักดาบเร่งเร้ารุกโดยไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป พวกเขาเป็นฝ่ายกดดันอลันให้ต้องร่นถอยอย่างต่อเนื่อง

    _____แม้ว่าร่างกายจะถูกใช้จนเกินขีดจำกัดไปแล้ว แต่จิตใจที่ยังไม่ศิโรราบได้มอบพลังที่ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเขา – ‘ความกล้า’



    _____“แบบนี้ยังพอมีหวัง”


    _____ไอแซคบอกกับอากิรอสที่เตรียมตัวจะเข้าไปลุยกับทากะและอเซแมก สีหน้าของนักมนตราหนุ่มเป็นคำถามที่คนพูดต้องอธิบายเพิ่ม


    _____“ถ่วงเวลาให้ข้าห้านาทีแล้วข้าจะจัดการกับเจ้านั่นเอง”


    _____ไอแซคอธิบายเพียงแค่นั้น อากิรอสก็โผทะยานออกไปพร้อมกับตะโกนบอกเขาว่า

    _____“ห้ามยิงพลาดนะเฟ้ย”



    _____อากิรอสหยิบเอาศิลามนตราที่เก็บไว้ออกมาจุมพิตเบาๆ “ชีวิตข้าฝากไว้ที่เจ้าแล้ว”


    _____ก้อนหินเม็ดกลมเล็กเปล่งแสงวาบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นดาบเรเปียน้ำแข็งเล่มงามไม่แพ้ดาบจริงที่ถูกสร้างขึ้นจากนักตีดาบมือหนึ่ง อากิรอสกระโจนแทงดาบเข้าใส่อลัน ไอความเย็นแปรตัวเองเป็นดาบน้ำแข็งนับสิบเล่มเข้าโจมตีศัตรู


    _____สามนักรบกับหนึ่งมารร้าย และเวลาห้านาทีที่ไอแซคร้องขอเริ่มนับถอยหลัง


    _____เอลฟ์หนุ่มสูดลมหายใจลึกๆแล้วผ่อนปล่อยออกมา แขนซ้ายเหยียดคันธนูคู่ใจออกขวางตรงหน้า นิ้วกลางของมือขวาดีดสายธนูหนึ่งครั้งเกิดเสียงกังวานราวถูกขับขานกับพิณแก้วชั้นเลิศ ประกายแสงเกิดขึ้นรอบคันศรในมือของไอแซคแล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในรูปลักษณ์ของศรแสงเจ็ดสี – ศรสายรุ้ง


    _____อลันและอลิสต่างสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลไปรวมกันที่ไอแซค สัญชาตญาณดิบในกายของทั้งคู่กู่ร้องตะโกนบอกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอันตราย


    _____แต่อลิสกำลังต่อสู้พัวพันอยู่ไม่อาจถอนตัวมาจัดการกับไอแซคได้ เพราะเบลลานี่ มาเรีย เทรน และกุห์ฟานต่างรู้ได้ในทันทีว่าจะต้องสกัดกั้นไม่ให้อลิสขึ้นไปขัดขวางการต่อสู้ของอีกกลุ่มได้อย่างเด็ดขาด




    _____อลันรวมกำลังแล้วสะบัดดาบ คลื่นพลังคมดาบสีดำรูปพระจันทร์เสี้ยวพุ่งทะยานออกมาหมายจะสังหารทั้งสี่ในคราวเดียว


    _____“โวเซส อาวิอุม” (วิหคสายฟ้า)

    _____เสียงฟ้าคำรามจากดาบและสายฟ้าสีเงินทะยานออกปะทะกับคลื่นพลังมาร เสียงระเบิดดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว


    _____“ง่ายไปนะ” อเซแมกในสภาพปลดปล่อยพลังสายฟ้าชี้ดาบไปยังอลันเมื่อสายลมพัดม่านควันจางหาย




    _____‘ริน เบียว โท ฉะ ไค จิน เร็ทสึ ไซ เซ็น’


    _____เสียงขับขานเก้าอักขระดังก้อง มือซ้ายของทากะยกดาบซันเซโนะยะคะตั้งตรง นิ้วชี้และนิ้วกลางในมือขวาลากแตะใบดาบตั้งแต่โคนจรดปลาย ดาบส่งเสียงครางครืนคำราม จิตต่อสู้ของทากะที่อลันสัมผัสได้ราวกับมังกรยักษ์ทะยานลงมาจากฟากฟ้า


    _____พริบตา คมดาบหนึ่งตัดผ่านม่านมนตราทะลวงไปถึงร่างของอลัน เลือดสีดำคล้ำกระฉูดเป็นละอองลอยในอากาศ แผลใหญ่พาดผ่านตั้งแต่บ่าลงมาถึงเอว

    _____“มาสู้กันต่อเถอะขอรับ”



    _____คนธรรมดาอาจเห็นเพียงแค่ทากะหมุนข้อมือเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วเขาสะบัดดาบด้วยความเร็วสูงเกินกว่าสายตาของมนุษย์จะรับรู้ได้ แม้แต่นักดาบที่ผ่านศึกนับครั้งไม่ถ้วนอย่างอเซแมกยังไม่อาจมองได้ถนัดชัดเจน


    _____คมดาบล่องหนตัดร่างของมารร้ายเป็นแผลอีกสามแห่งแทบจะพร้อมกัน



    _____“วิเศษ วิเศษจริงๆ” อลันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พลังมารแกร่งกล้าขึ้นอีกเป็นกำลังด้วยความฮึกเหิม



    _____การต่อสู้ที่ร้อนแรงเกิดขึ้นอีกครั้ง พลังสามสายปะทะเสียดสีกันทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนสะท้าน แม้แต่ภูผายังไม่อาจต้านทานคลื่นพลังที่เกิดจากการปะทะได้และเริ่มแตกร้าวถล่มลงมาทีละน้อย


    _____อากิรอสไม่อาจเข้าร่วมวงต่อสู้ได้เมื่อร่างกายมาถึงขีดจำกัดไม่รับฟังคำสั่งใดๆอีกต่อไป


    _____“โธ่เว้ย! อีกนิดเดียวแท้ๆ”


    _____นักมนตราหนุ่มกำหมัดทุบพื้นอย่างเจ็บแค้นในความไร้พลังของตัวเอง


    _____“ไอแซค เร็วเข้าสิ”

    _____“อดทนไว้ก่อนนะ ทากะ”


    _____สถานการณ์พลิกกลับ อลันกลายเป็นฝ่ายตั้งรับและบาดเจ็บยับเยิน แม้แต่ดาบมารในมือก็ไม่อาจหยุดยั้งการกระหน่ำฟาดฟันจากทากะได้ ดาบซันเซโนะยะคะยิ่งลิ้มรสเลือดก็ยิ่งคมกริบ ยิ่งเปล่งประกายแรงกล้า มันฟาดฟันม่านพลังจนแตกยับ อาบหยดเลือดของมารร้ายต่างสายฝนเย็นฉ่ำ


    _____แต่สติของทากะใกล้จะสิ้นสูญอยู่ทุกขณะจิต ประสาทสัมผัสทั่วร่างเลือนหายทีละน้อย


    _____“ฆ่า...ฆ่า...ฆ่า...ฆ่า”

    _____“ฆ่าให้หมด”

    _____“สูบเลือดให้มากกว่านี้...ให้ข้าดื่มเลือดมากกว่านี้อีก”



    _____เสียงเหล่านี้ดังลั่นอยู่ภายในจิตใจของทากะอยู่ตลอดเวลา เขาพยายามตั้งสติไม่ให้จิตสำนึกของดาบมีเพียงการเข่นฆ่าครอบงำและยึดครองร่างกาย... แต่ก็ไร้ผล


    _____ก่อนที่ทุกอย่างจะก้าวข้ามจุดวิกฤต คลื่นพลังมหาศาลได้ระเบิดออกจากร่างของเอลฟ์หนุ่มผมทอง ออร่าเจ็ดสีส่องสว่างไสวไปทั่วเรียกความสนใจของทุกคนและสองมารร้าย ในมือขวามีศรสายรุ้งขึ้นสายรั้งเหนี่ยวพร้อมจะปลดปล่อยเพื่อกำราบมารร้ายแล้ว



    _____“ขอโทษที่ให้รอนาน”


    _____เมื่อปลายศรและสายตาคมกริบเล็งเป้าหมายอย่างชัดเจนแล้ว ไอแซคไม่รอช้าคลายปลายนิ้วส่งศรสีรุ้งพุ่งตรงไปยังมารร้ายด้วยความเร็วสูงสุดทันที


    _____อลันคำรามลั่น เปล่งพลังเหวี่ยงดาบเข้าปะทะกับศรสายรุ้ง พลังสองสายปะทะเสียดสีจนเกิดแสงสว่างแสบตา




    _____“โอ๊วววววววววววววววววววววว!”


    _____สิ้นเสียงดังจากปากของมารร้าย ศรสายรุ้งแตกละเอียดยิบด้วยพลังสายฟ้าสีดำ ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างตกตะลึงเมื่ออาวุธสุดท้ายที่ทุกคนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายสร้างขึ้นมาใช้ไม่ได้ผล ยกเว้นเพียงแค่ไอแซคผู้เดียวที่ยังสงบนิ่งไม่หวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


    _____“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แค่นี้เองหรือ ช่างเป็นพลังที่เล็กน้อยเสียนี่กระไร” มารร้ายหัวเราะหยัน “ถ้าทำได้แค่นี้ พวกเจ้าก็เตรียมตัวตายกันได้แล้...”


    _____ยังไม่ทันพูดจนครบความ อลันก็ต้องเบิกตากว้างยิ่งกว่าใครทั้งหมด สะเก็ดศรสายรุ้งไม่ได้สูญสลายหายไป แต่แปรเปลี่ยนเป็นไฟเจ็ดสีก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


    _____“ถ้าคิดว่าศรสายรุ้งเป็นการโจมตีธรรมดาก็ผิดแล้ว”

    _____“ศรสายรุ้งกำเนิดจากพลังธรรมชาติแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่สามารถเผาเผ่ามารให้กลายเป็นจุณไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวได้”

    _____“เจ้าไม่มีทางรอดพ้นไปจากเปลวไฟเจ็ดสีได้หรอก”



    _____เอลฟ์หนุ่มยกมือขวาขึ้นดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงสายรุ้งสุกสว่างลุกโชนรุนแรงขึ้นในทันใด อลันพยายามเปล่งพลังต่อต้าน แต่พลังสายฟ้าสีดำของเขากลับถูกเปลวไฟนั้นแผดเผาหายไปในพริบตา นอกจากนั้นมารร้ายผมสีเงินยังรู้สึกว่าพลังมารในตัวกำลังเหือดหายไปราวกับน้ำเดือดกลายเป็นไอ



    _____“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”








    _____“เฮ้อ ดูไม่ได้เอาเสียเลยนะ”


    _____เสียงหนึ่งแว่วมาจากฟากฟ้า บุรุษผู้หนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยมีพระจันทร์วันเพ็ญกลมโตเป็นฉากหลัง เขาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ไม่สามารถสัมผัสตัวตนของเขาได้เลยหากไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดหรือมองเห็นด้วยสายตา


    _____ไม่มีแม้แต่จิตมาร ไม่มีกระทั่งจิตต่อสู้ใดๆ ราวกับความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด


    _____ร่างสูงโปร่งสมส่วน ผมสีเงินทอประกายเมื่อต้องแสงจันทร์ ดวงตาสีดำซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นรูปวงกลมเข้ารูปกับในหน้าพอดิบพอดี คางเรียวแหลม กางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้มตัดกับเสื้อสีขาวที่ถูกทับด้วยผ้าคลุมสีเลือดหมูแก่ผืนยาว ใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างอยู่ตลอดเวลา


    _____เขาดิ่งลงแตะพื้นอย่างช้าๆจนกระทั่งยืนอยู่เต็มสองเท้าอย่างมั่นคง อลันที่ถูกไฟสวรรค์เจ็ดสีแผดเผาฝืนตัวขึ้นยืนตัวตรงตบเท้าประชิดเหมือนทหารชั้นผู้น้อยทำความเคารพผู้บังคับบัญชาแล้วคุกเข่าลงหนึ่งข้างนิ่งสงบดังรูปปั้นหินสลักแม้ว่าจะถูกไฟคลอกอยู่ก็ตาม


    _____“ไม่ต้องฝืนขนาดนั้นก็ได้ อลัน” ชายปริศนาเพียงแค่เอื้อมมือเข้าใกล้ เปลวไฟสีดำผุดเผาออกจากปลายนิ้วลามเลียกัดกินเปลวไฟเจ็ดสีอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเปลวไฟทั้งสองสูญสลายหายไปด้วยกัน


    _____ทุกคนตะลึงงันเบิกตากว้างโดยเฉพาะไอแซค เขาไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดที่ต่อต้านไฟสายรุ้งได้ และต่อต้านได้อย่างง่ายดายเสียด้วย


    _____“เห็นว่าใช้เวลานานไปหน่อยเลยตามมาดู ไม่คิดว่าจะเสียท่าขนาดนี้นะ” ชายผู้นั้นหันไปพูดกับอลัน ไม่ได้สนใจกับไอแซคหรือคนอื่นๆแม้แต่น้อย

    _____“ขออภัยด้วยครับลอร์ดดาร์คสตาร์ ข้าไม่คิดว่าจะมีเผ่าเอลฟ์กับพวกมนุษย์อยู่ที่นี่...”

    _____“ช่างเถอะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ลอร์ดดาร์คสตาร์’ ตัดบท “ข้ามาตั้งแต่พวกเจ้าเริ่มสู้กันแล้วก็เลยอยู่เงียบๆชมการต่อสู้ฆ่าเวลา ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด”



    _____อลิสบินโฉบขึ้นมาจากเบื้องล่างทิ้งตัวลงยืนด้านหลังของดาร์คสตาร์ ปีกสีดำหดหายกลับคืนสู่แผ่นหลัง เธอตบเท้าทำความเคารพแล้วคุกเข่าลงหนึ่งข้างดังเช่นอลัน


    _____“ขออภัยที่มาช้าค่ะ ลอร์ดดาร์คสตาร์”

    _____“ไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอกน่า” ท่าทางของผู้ที่ได้รับการทำความเคารพดูสบายๆ ยิ้มแย้มไม่หยุด



    _____ลอร์ดดาร์คสตาร์ใช้นิ้วดันขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทางแล้วก้าวเดินเข้าหาไอแซค เอลฟ์หนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเป็นตึงเครียด ยกคันธนูขึ้นรั้งสายเปล่าๆเรียกศรสายรุ้งสว่างไสวพร้อมจะยิงทุกเมื่อ


    _____ทากะ อเซแมกและอากิรอสขยับร่างตรงเข้าขวางทางดาร์คสตาร์ไว้


    _____“โอ๊ะๆๆ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ใจเย็นๆไว้ก่อน” ดาร์คสตาร์หยุดฝีเท้า ยกสองมือขึ้นห้าม “จะไม่พูดคุยแนะนำตัวกันสักหน่อยหรือ ?”

    _____“ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าพูดมันเข้าหูแค่ไหน” ไอแซคย่างเท้าในท่าเล็งยิงเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคน



    _____เสียงฝีเท้าจากบันไดหินที่ทอดยาวจากด้านล่างดังเข้าใกล้เรื่อยๆ


    _____เบลลานี่และคนอื่นๆตามมาสมทบ แต่กุห์ฟานหยุดยืนห่างออกไปไม่ขอเข้าร่วมกลุ่ม แม้จะสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่ทุกคนรับรู้ได้โดยทันทีว่าสถานการณ์ยังอยู่ในจุดวิกฤตเหมือนเดิม และดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าเก่าเพราะการปรากฏตัวขึ้นของมารร้ายอีกหนึ่งตน แม้ว่าจะไร้ซึ่งจิตมารหรือความมุ่งร้ายใดๆแต่ร่างกายกลับรู้สึกกดดันยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับสองมารร้ายที่มาก่อนหน้าเสียอีก


    _____“มากันครบแล้วสินะ ?” ดาร์คสตาร์แย้มยิ้มถาม ยกมือขวาขึ้นแนบอก “งั้นข้าขอแนะนำตัวในฐานะผู้มาใหม่ก็แล้วกัน”

    _____“ข้ามีนามว่า ‘ดาร์คสตาร์ เรเฟเซอร์’ เป็นเผ่ามารเหมือนกับลูกน้องทั้งสองของข้า เป็นหนึ่งในห้าผู้พิทักษ์ของราชารัตติกาล”


    _____เขาน้อมร่างกายท่อนบนลงเล็กน้อยเมื่อพูดจบ สายตาหรี่ลงสังเกตปฏิกิริยาบนใบหน้าของทุกคนที่ตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินชื่อของ ‘ราชารัตติกาล’ รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย


    _____“ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะมีธุระบางประการ... ‘เศษศิลาผนึกนิรันดร์’ คือสิ่งที่ข้าเพียรตามหามาเป็นเวลานาน”

    _____“แล้วธุระของพวกท่านคือประการใดกัน ?” มารร้ายลดมือลงจากอกแล้วผายออกเบื้องหน้าเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายตอบคำถามของตน

    _____“พวกข้ามาตามหาดอกไม้รุ้งสวรรค์” อเซแมกเป็นผู้ตอบคำถาม ออกเดินสามก้าวไปยืนประจันหน้าเป็นคู่สนทนากับท่านลอร์ดแห่งเผ่ามาร

    _____“ดอกไม้รุ้งสวรรค์ ?” ดาร์คสตาร์ทวนคำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดสงสัยสักครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาเป็นรอยยิ้มหน้าตายเหมือนเดิม

    _____“ถ้าอย่างนั้นธุระของเราทั้งสองก็มิใช่สิ่งเดียวกัน เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าการต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงความเข้าใจผิด เราต่างแยกย้ายไปทำธุระของตนจะดีไหม ?”

    _____“ข้าขอถามคำถามบ้าง” นักดาบอัสนียิงคำถามออกไป ท่านลอร์ดพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำว่ายินดี

    _____“ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจหน่อยว่า ‘เศษศิลาผนึกนิรันดร์’ คือสิ่งใด”

    _____“ถามได้ตรงประเด็นเสียเหลือเกิน” ดาร์คสตาร์ขยับแว่นให้เข้าที่

    _____“ศิลาผนึกนิรันดร์ก็คือสิ่งที่เหล่าเทพใช้ผนึกจิตวิญญาณของผู้เป็นนายแห่งข้า – ราชารัตติกาล การมีอยู่ของมันเป็นอุปสรรคต่อพวกเราอย่างมาก ข้าจึงได้รับหน้าที่ให้ค้นหาและทำลายทิ้ง”

    _____“เพื่อประการใด ?” อเซแมกถามคำถามที่สอง

    _____“เพื่อปลดปล่อยผู้เป็นนายแห่งข้าให้เป็นอิสระ” ดาร์คสตาร์ตอบโดยไม่ปิดบัง

    _____“หมายความว่า...ราชารัตติกาลจะกลับมาทำลายล้างเข่นฆ่ามนุษย์ให้หมดสิ้น” อเซแมกสรุปความนัย

    _____“ถูกต้องแล้ว” ดาร์คสตาร์ยืนยันสิ่งที่คู่สนทนาเข้าใจ

    _____“แล้ว...” อเซแมกยกดาบวิหคสายฟ้าขึ้นชี้หน้าดาร์คสตาร์ “คำถามสุดท้าย คิดว่าข้าจะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ?”



    _____“ดูจากท่าทางของท่านก็คงไม่ต้องตอบแล้วกระมัง” ลอร์ดแห่งมารร้ายฉีกยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น ยกมือขึ้นถอดแว่นแล้วพับเหน็บไว้ที่คอเสื้อ

    _____“แต่ว่านะ... ท่านคิดว่าจะขัดขวางข้าได้ จริงหรือ ?”



    _____ไอมารมหาศาลฟุ้งกระจายจากร่างนั้น จิตสังหารเย็นยะเยือกราวกับพายุหิมะบ้าคลั่งถาโถมออกมาทันทีเมื่อสิ้นสุดคำพูด ทุกคนขยับตั้งท่าเตรียมพร้อมการต่อสู้


    _____ไอแซคไม่รอช้าปลดปล่อยศรสายรุ้งเข้าใส่มารร้ายทันที


    _____ดาร์คสตาร์ตั้งท่าเงื้อยิงธนูในความว่างเปล่า เปลวไฟสีดำก่อตัวขึ้นมาเป็นคันธนูในพริบตา เขายิงศรอัคคีสีดำเข้าปะทะกับศรสายรุ้งที่พุ่งเข้ามาจนสลายไปทั้งคู่


    _____“หากโลกนี้สรรสร้างไฟที่สามารถฆ่าเผ่ามารได้ ความมืดก็สรรสร้างไฟที่ใช้ต่อต้านสิ่งนั้นได้เช่นกัน – ไฟนิรย ท่านไม่สามารถใช้ศรสายรุ้งฆ่าข้าได้หรอก” ดาร์คสตาร์พูดจายิ้มแย้มไม่เปลี่ยน



    _____เมื่อสถานการณ์แปรเปลี่ยน ศัตรูตรงหน้ากล้าแกร่งเกินไปที่จะต่อกรด้วย หนทางที่เหลืออยู่ให้เลือกมีไม่มาก

    _____หนึ่งคือสู้ตาย สองคือหนี หรือสามรอให้เกิดปาฏิหาริย์





    _____“แต่ว่าไป...ข้าคุ้นหน้าท่านเหลือเกินนะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ” ดาร์คสตาร์ถามกับอเซแมก

    _____“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเจ้าที่ไหนเหมือนกัน”

    _____“อย่างนั้นหรือ” จ้าวแห่งมารพยายามคิดทบทวน

    _____“อ๊ะ!” เหมือนเขาจะนึกบางอย่างออก แล้วเสียงหัวเราะหึหึในลำคอเบาๆก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

    _____“อย่างนี้นี่เอง ข้าไม่เคยเจอท่านหรอก” ดาร์คสตาร์ยกมือขึ้นตบสองสามที

    _____“แต่ข้าเคยเจอกับปู่และพ่อของท่านมาก่อนนี่เอง ก็ว่าทำไมดวงตาถึงได้คล้ายกันนัก”

    _____“ปู่กับพ่อของข้า ?” นักดาบอัสนีถามกลับ



    _____“ใช่! พ่อของท่านที่ข้าเป็นคนฆ่ายังไงละ”



    _____คำตอบของดาร์คสตาร์ทำให้ทุกคนตะลึงงัน แต่สิ่งที่ทำให้มารร้ายเผยรอยยิ้มกว้างได้มากที่สุดคือปฏิกิริยาบนใบหน้าของนักดาบผู้เป็นหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้า




    _____To be continue…


    ----------​


    _____- คุยกันท้ายตอน –

    _____สำหรับตอนที่ 24 นี้ ใช้เวลาเขียนนานพอสมควรเพราะคนเขียนติดปัญหาหลายๆอย่างทำให้ออกช้ากว่ากำหนดไปหลายวัน แต่อย่างไรก็หวังว่าเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ยังตามอ่านอยู่และยังจะตามอ่านกันต่อไปครับ

    _____สำหรับเนื้อหานั้นใกล้จะจบแล้วครับ อีกไม่กี่ตอนข้างหน้า หรืออาจจะยืดออกไปจากกำหนดการเดิมเพราะคนเขียนคิดเนื้อเรื่องออกได้เรื่อยๆ

    _____ก็เลยต้องการคำแนะนำจากเพื่อนสมาชิกอีกครั้ง ตั้งแต่บทหลังการย้อนอดีตของกุห์ฟานเป็นต้นมา ในส่วนของเนื้อหา ความเหมาะสม ความสนุก การดำเนินเรื่อง หรือความรู้สึกอื่นๆของทุกท่านต่อเรื่องนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่ช่วงสุดท้ายของเรื่องผมจะได้นำคำติชมทั้งหมดไปปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางและเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น


    _____Azemag A.C. McDowell

Share This Page