[Dissidia FF] The Last Battle of The Esper and the God [4 ตอนจบ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย kolonel, 7 พฤษภาคม 2011.

  1. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    ค่ะ...กราบสวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่านที่เข้ามาอ่านฟิคนี้...

    Dissidia Final Fantasy: The Last Battle คือฟิคการต่อสู้ระหว่างทีน่าและเคฟก้า ซึ่งเราอิงมาจากคัตสกรีนการพบกันในโหมด Shade Impulse ของทั้งคู่ แล้วได้แต่งเติมฉากต่อสู้ลงไป ความจริงแล้วฟิคนี้เขียนขึ้นมาตั้งแต่กลางปี พ.ศ.2552 ก่อนจะถูกดองยาวเนื่องจากหาจุดที่จะเชื่อมกับจุดจบของเรื่องไม่ได้

    แม้จะเขียนๆแก้อยู่หลายครา จนมาถึงกลางปี พ.ศ.2553 ที่อาจารย์วิชาศิลปะได้สั่งงานออกแบบขึ้นมา ให้ออกแบบของอะไรก็ได้ ซึ่งพอเราไปถามท่านว่าออกแบบหนังสือได้หรือไม่ ท่านก็บอกว่า "ได้...แต่หนังสือนั้นต้องมีเนื้อหาอยู่จริงในเล่ม" เราก็เลยได้โอกาสนำฟิคนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น และเขียนต่อจนจบ พร้อมนำไปส่งอาจารย์

    จนมาถึงบัดนี้ ปีพ.ศ. 2554 มีคนถามเรื่องฟิคที่เราแต่งขึ้น (Dissidia All Final Fantasy อีกเรื่องที่โดนดอง) ว่าเมื่อไหร่จะแต่งต่อ เราก็เลยยื่นเจ้า Last Battle ให้อ่านไปก่อน และดูท่าทางกระแสจะดี(คิดไปเอง...) เลยนำมารีไรท์ลงในบอร์ดให้อ่านกัน

    ถ้าย้อนกลับไปกระทู้เก่ามากๆ คุณอาจเห็นชื่อเรื่องประมาณนี้อยู่ ไม่ต้องตกใจค่ะ นั่นคือตอนที่เราเขียนครั้งแรกเริ่มแล้วดองยาวน่ะเอง

    เอาเถอะค่ะ พูดมาก็เยอแล้ว มาเรื่มกันเลยดีกว่า

    ------------------------------------------------------------------------------------

    Opening : เรื่องที่ต้องจัดการ

    โลกกำลังจะถูกทำลายลงแล้ว...

    เมื่อเทพีคอสมอสแห่งความดี ได้ถูกเทพคาออสแห่งความชั่วกำจัดโลกนี้ก็เข้าสู่กลียุคอย่างรวดเร็ว

    ผืนดินแตกระแหง ผืนน้ำแห้งเหือด สายลมหยุดนิ่ง...

    มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้โลกนี้กลับมาเป็นดังเดิม ซึ่งนั่นก็คือการกำจัดเทพเคออสลง เพื่อให้โลกกลับมามีสมดุลแห่งความดีและความชั่วอีกครั้ง

    แต่หนทางที่ว่า มันไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย ยิ่งต้องต่อกรกับพวกนักรบทั้งสิบแห่งคาออสด้วยแล้ว งานนี้ก็หินขึ้นทันที

    พวกเรา...นักรบทั้งสิบแห่งคอสมอส จึงตกลงกันว่า แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปสู้กับอีกฝ่ายที่มาจากมิติของตนเองจากนั้นค่อยไปรววมตัวกันที่บัลลังก์วิปโยค อันเป็นที่ประทับของเทพแห่งความชั่ว เสมือนการสะสางเรื่องราวส่วนตัวก่อนศึกสุดท้ายอย่างไรอย่างนั้น

    ทุกๆคนทีเรื่องที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง...ฉันก็เหมือนกัน

    ตอนนี้ ที่โรงงานค้นคว้าอสูรแห่งเมืองเวคเตอร์ของโลกที่ถูกเรียกว่า "ดิสสิเดีย" ฉันกำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าซึ่งทำจากเหล็กหนา

    จะเปิดดีไหมนะ...ฉันถามตัวเอง ไม่รู้เลยจริงๆว่าถ้าเปิดประตูเข้าไปจะต้องเจออะไรบ้าง แล้วถ้าไม่เปิดล่ะจะเจออะไร

    หนทางข้างหน้ามันเป็นเช่นไรกันหรือ...

    ต่อให้ผ่านเรื่องราวมามากมายแค่ไหน แต่ใจลึกๆก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี

    ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวเองกำลังกลัว กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

    เพราะบางที สิ่งที่เราทำมาตั้งแต่ต้นอาจไร้ความหมาย

    ทั้งหมดนี้อาจเป็นแค่ภาพลวงตา อาจเป็นแค่ฝันร้าย

    ที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันอาจไร้ประโยชน์ใดๆ

    แต่อย่างไรเสีย นี่ก็คือความเป็นจริง ที่สู้กันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ

    ว่าไป ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า "จะสู้กันไปทำไม"

    ถ้าถามตัวฉันเองนั้น ก็จะตอบว่าสู้เพื่อความฝันและอนาคตของผู้อื่น

    แต่สำหรับ "เขา" นั้นสู้เพืออะไรกันหรือ

    ...เขาทำลายทุกสิ่งไปเพื่ออะไร

    ฉันไม่อาจรู้ในจุดนั้นได้ในตอนนี้ แต่หวังว่า เบื้องหลังประตูเหล็กจะช่วยตอบคำถามได้

    เวลาน้อยลงทุกๆที และเสียงโลกกำลังร้องร่ำคร่ำครวญคล้ายจะแตกสลายดังขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน

    อา...ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้วซินะ...

    ...

    ...

    ...

    ฉันอาจกลัวก็จริง...

    แต่ว่า...

    ...ต่อให้อนาคตโหดร้ายแค่ไหน แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายของตนเองหรอก

    ต่อให้ต้องเดินเข้าไปสู่ "ความมืดที่แท้จริง" ซึ่งเทพีคอสมอสกล่าวไว้ก่อนดับสลาย ฉันก็ไม่เกรง

    เพราะฉันสัญญากับทุกคนไว้แล้ว...สัญญาว่าจะกลับไปหา กลับไปเจอหน้ากันทุกคน

    สัญญาว่าจะกลับบ้าน กลับไปสู่มิติของพวกเรา

    ...ใจฉัน ปราถนา อยากกลับ "บ้าน" กลับไปหา "ลูกๆ ของฉัน"

    เด็กๆในหมู่บ้านแห่งนั้นรอฉันอยู่ ฉันรู้สึกได้

    ฉะนั้น ฉันต้องกลับไปให้ได้ เพราะฉันเป็น "แม่" ของพวกเขา

    ฉันจะไม่กลัว ย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าจะไม่กลัว

    มาถึงจุดนี้แล้วนี่หน่า ถอยไม่ได้หรอก เพราะอย่างไรก็ตาม เราหลีกเลี่ยงสิ่งที่เราตองเจอไม่ได้หรอก

    ฉันหลับตาลง แตะคีย์บอร์ดใส่รหัสที่ขึ้นสนิมอยู่ข้างประตู

    แล้วก็ลืมตาขึ้น กดคำคำนั้นลงไป

    "D-E-S-T-R-O-Y" (ทำลายล้าง)

    รหัสที่นี่ไม่เคยเปลี่ยนแม้แต่ตรั้งเดียว แม้จะเป็นเวคเตอร์ของโลกนี้ก็ตามแต่

    คงเป็นเพราะเหล่าอสูรที่โดนขังให้อยู่ที่นี้ ล้วนแต่ถูกสูบพลังเวทไปให้มนุษย์ใช้เพื่อการสงครามใช้เพื่อการทำลาย

    น่าขันยิ่ง...มนุษย์ทำร้ายอสูร แล้วใช้พวกเขาเยี่ยงเครื่องจักรสังหาร

    ฉันถอนหายใจ...แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่ฉันและเหล่าอสูรทั้งหลายก็ยังคงอยู่ฝ่ายของมนุษย์

    เพราะว่ามนุษย์มีหลายประเภท ทั้งดีและชั่วปะปนกันไป...พวกเราเลือกที่จะช่วยคนดี

    ...ประตูเหล็กเลื่อนเปิดออก พร้อมเสียงครืดคราดในความเก่าแก่

    แวบหนึ่ง ในใจฉันก็รู้สึกถึงบางสิ่ง แต่ฉันบอกไม่ได้หรอก ว่ามันคืออะไร

    ความมืด แสงสว่าง หรือมันอาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

    เบื้องหน้า...ไม่มีแสงใดในโรงงานต้อนรับฉัน แต่ฉันก็ไม่หันหลังกลับ

    ฉันเลือกที่จะเดินไปข้างหน้า สู่ความเป็นจริงที่ต้องพบพาน

    แม้บางที ทางนั้น อาจหมายถึงความตายก็ตาม...

    เพราะถ้านี่คือหนทางที่ฉันเลือกเดินแล้ว ต่อให้ผลเป็นเช่นไร ฉันก็คงไม่เสียใจเท่ากับการลังเล

    ฉันจะทำให้ดีที่สุด เพราะตัวฉัน...ไม่ยอมให้ทุกสิ่งจบลงที่นี่หรอกนะ!
  2. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    เราชอบอ่านแนวเขียนแบบนี้นะ :)

    ยิ่งเป็นทีน่าสู้กับเคฟก้าด้วย

    เราคิดว่าตอนนี้สื่อความคิดของทีน่าออกมาได้ดีทีเดียว

    จะรออ่านตอนต่อไปจ้า
  3. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    Battle : เข้าปะทะ

    ภายในโรงงานวิจัยอสูรแห่งนครเวคเตอร์อันแสนจะวังเวง “ทีน่า แบรนฟอร์ด” เด็กสาวผู้ถูกเลือกจากมิติที่หก กำลังตามหาใครบางคนอยู่อย่างเร่งรีบ ซึ่งสิ่งนี้สามารถสังเกตได้จากใบหน้าสวยที่กำลังเคร่งเครียดนั่น

    เสียงฝีเท้าของเธอดังสะท้อนในความเงียบงัน ผมหยักศกสีบลอนด์แซมเขียวอ่อนที่มัดรวบเป็นหางม้า และผ้าคลุมลายดอกสีชมพูกับม่วงปลิวไปตามแรงลมที่เกิดจากการวิ่ง แม้เจ้าตัวจะกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย

    ถึงกระนั้นแล้ว เด็กสาวในชุดเดรสสั้นสีแดงก็รู้ดีว่าคนที่เธอตามหาต้องอยู่ในที่นี้อย่างแน่นอน

    ผ่านห้องแล้วห้องเล่า ประตูแล้วประตูเล่า จนในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยดังขึ้นจากห้องทดลองกลาง ต้องเป็นเขาแน่ๆ...ทีน่าคิด พร้อกับมุ่งไปยังทางที่ว่า ไม่นานนักเธอก็มายืนอยู่ยังจุดหมาย

    ...ประตูทางเข้าห้องทดลอง

    เมื่อเปิดเข้าไป เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นดั่งสัญญาณว่ามาถูกที่แล้ว

    “ฮ้า! นี้แกยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเนี่ย”

    ร่างคล้ายปิเอโร่(ตัวตลก) บนท่อสนิมขนาดใหญ่เหนือหัวกล่าวด้วยท่าทีตกใจแบบแสร้งทำ เมื่อเห็นว่ามีผู้เดินเข้ามา “ถึงแกจะไร้ค่าและขี้ขลาด แต่ก็ไม่ตายง่ายๆซินะ...ฉันนึกว่าจะมีแต่พวกเคออสอย่างฉันเสียงอีก ที่จะยังมีชีวิตอยู่”

    “เคฟก้า” ทีน่าเรียกชื่อของคนที่พูดกับเธอเมื่อครู่

    เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นแสยะยิ้ม “เคฟก้า พาลาซโซ่” ชายที่ดูเหมือนตัวตลกตามงานแสดงคาร์นิวัล กำลังคิดในใจ...ให้ตายซิ ยัยนี่ยังไม่ค่อยจะโต้ตอบเหมือนเคยเลยแฮะ

    “โอ้ ฉันรู้แล้ว” เขายกมือขึ้นในระดับศอก วาดนิ้วไปมา “เธอมานี่ เพื่อให้ฉันจัดการใช่ม้า”

    บุคคลที่เขาพูดด้วยไม่ว่าอะไรกลับมา จึงได้โอกาสพูดต่อ

    “อย่างนี้ท่าจะจริงแฮะ!” เขาใช้มือซ้ายกุมหัว พร้อมหัวเราะออกมา เหมือนเจอเรื่องถูกใจเข้าให้

    “เพราะหลังจากที่คอสมอสตายไปแล้ว ใครเล่า จะไม่อยากตามเทพีไป”

    “บอกฉันมาซิ” จู่ๆทีน่าก็ถามแทรกขึ้น “อะไรคือสิ่งที่นายรู้กันแน่”

    เคฟก้าแสร้งตกใจอีกครา ก่อนจะตอบกลับไปแบบกวนอารมณ์

    “แกอยากรู้หรอ” ชายวัยกลางคนขึ้นเสียงสูง

    “อยากรู้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น...”

    เขาเผยมือไปข้าง ก่อนจะหัวเราะอีกครั้ง “ฉันไม่บอกแกหรอก!”

    เลิกเล่นตลกได้แล้ว!” เด็กสาวตะโกนขึ้น ทำเอาเจ้าตัวตลกผงะไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่นิ่งมาตลอดสวนกลับ

    “โทษครับคุณนาย” มันเป็นเสียงพึมพัมที่แทบไม่ได้ยิน “มาเถอะ ข้ากระผมรู้ว่ามุขแค่นี้ คุณนายไม่สะทกสะท้านหรอก ฮ่าๆๆๆ”

    เคฟก้าหัวเราะเสียงดัง ซึ่งมันทำให้ทีน่าอ้าปากค้างแบบไม่รู้ตัว“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะทำลายทุกอย่างแน่ๆ แกได้ยินใช่ไหม เสียงย่างก้าวแห่งการทำลายล้างนั่น?”

    ชายหน้าขาวกล่าว พร้อมกันนั้นก็สบัดมือเป็นจังหวะแล้วชี้ตรงไปยังอีกฝ่าย แสงสว่าวาบขึ้นจากปลายนิ้วของเขา ลูกไฟสีฟ้าลอยเข้าใส่ร่างเป้าหมาย พลันระเบิดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว สาวน้อยยกแขนขึ้นป้องกันโดยสัญชาติญาณ ฝุ่นควันคละคลุ้งกระจายตัวออกปิดการมองเห็นของเธอเสียหมด จึงไม่ได้เห็นชายในชุดตัวตลกกำลังจ้องผลงานแรกของเขาด้วยท่าทางพึงพอใจ

    เขาละสายตาจากผลงานที่ตัวเองทำ แล้วเงยหน้า ชูมือขึ้นฟ้า

    “จุดจบของทุกสิ่ง เคออส ใกล้เข้ามาแล้ว!”

    สิ้นคำ คลื่นแสงสีแสดก็ปรากฏในมือของผู้พูด ซึ่งได้ร่อนตัวลงมาจากท่อ เพื่อจะเควี้ยงแสงนั้นใส่ร่างในหมอกควัน เขาง้างมือขึ้นแล้วลูกศรไฟพุ่งเข้าหานักเวทสาว แม้สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเพียงแสงวูบไหวเนื่องจากควันที่เกิดจะการระเบิดยังคงไม่จาง กระนั้น เธอก็แค่เพียงจ้องภาพที่พร่ามัวชั่วครู่ก่อนจะวิ่งเข้าหามันอย่างไม่กลัวเกรง

    ทีน่าหลบหลีกฝ่าพลังพลังไปข้างหน้า เพื่อจะออกจากอนาเขตอันเสียเปรียบ เธอกางมือออกเรียกดาบโค้งด้ามแดงตัวเหล็กสีเงินวับมาปัดป้องแสงเวทที่สวนเข้ากับร่าง จนสุดเขตปลายหมอกเธอก็ได้พบกับเจ้าของพลังลูกศร

    พร้อมกันนั้น เจ้าตัวตลกแสยะยิ้มขึ้นเมื่อเห็นเงาดำในกลุ่มควันกำลังใกล้เข้ามา เขาหลอมพลังเวทไว้ที่มือทั้งสองข้าง เข้าประชิดร่างฝ่ายตรงข้าม เด็กสาวลงมือโจมตีก่อน แต่ปิเอโร่ก็ใช้มือเปล่ารับไว้ด้วยความรวดเร็ว เขาใช้มืออีกข้างกระแทกพลังเวทออกไปอย่างไม่รอช้า ทีน่าจึงเบี่ยงตัวหลบโดยสลายดาบในมือแล้วหลีกห่าง ส่งผลให้การกระทำของชายผมทองพลาด เธอรีบใช้ช่องโหว่นี้เรียกอาวุธกลับมาใช้งาน แต่ทันใดนั้นคู่กรณีก็สวนด้วยแสงระเบิดขึ้นมา ทีน่ากระโดดถอยหลังหลบ เคฟก้าจึงมีโอกาศสาดห่ากระสุนน้ำแข็งออกเบื้องหน้าทันที

    เจ้าของผมสองสีเปลี่ยนดาบเป็นเวทไฟ สะบัดมันออกไปปะทะกับกลุ่มน้ำแข็ง ยามเมื่อพลังต่างขั้วเข้าปะทะกันกลางอากาศ ต่างก็สลายกลายเป็นละออง ระหว่างนั้นสาวน้อยได้วิ่งไปตามทางในห้องทดลองเพื่อหลีกหนีไปตั้งหลัก เธอปรับแรงดึงดูดรอบๆตัวก่อนจะถีบตนเองให้ลอยขึ้นจากพื้น บัดนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการบินได้เลยแม้แต่น้อย

    เสนาธิการแห่งราชอณาจักรเวคเตอร์มองตามร่างนั่น ปากทาสีสีม่วงยิ้มกว้างเขาร่ายมือเป็นคลื่น เล็งตรงไปยังท่ออากาศสนิมเกาะขนาดใหญ่เหนือหัว สายฟ้ารุนแรงเข้าชนมันจนระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เศษเหล็กมากมายกระจุยกระจายไปรอบๆ ทีน่าที่อยู่ในวงรัศมีของความเสียหายได้เตรียมกางเวทป้องกันขึ้น แต่ช้าไปเสี้ยวเดียวเหล็กสนิมจึงเฉี่ยวใบหน้า ไหล่ และขาไปเป็นรอยแดง

    เสียงเปรี้ยงปร้างดังขึ้นอีกระรอก พร้อมกับการปะทุของท่อข้างๆ แรงดันระเบิดส่งร่างเธอให้กระเด็นตกลงไปข้างล่าง เคฟก้าเห็นว่าตนได้เปรียบก็พุ่งขึ้นสวนกับคนที่ตกลงมา และก็รวบรวมพลังเวทไว้คอยท่าเตรียมโจมตี

    ดวงตาทั้งคู่จ้องกันชั่วขณะเดียว ทันทีทันใด ฝ่ายเคฟก้าก็ใช้ฝ่ามืออาบเวทเหวี่ยงลงมาก่อน ทีน่ารีบพลิกตัวกลับแล้วเรียกดาบมาสวน แต่อีกฝ่ายก็หลีกมันได้ เขาเสือกมือโจมตีใส่เธอ คราวนี้มันโดนเข้าไปยังแขนซ้ายอย่างจัง

    เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบจากฝ่ามือเวท เลือดไหลซิบออกจากบาดแผล แต่เธอก็ยังรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ชายผมทองจะเข้าซ้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอก็ใช้ดาบต้านไว้ เคฟก้าจึงใช้มืออีกข้างเหวี่ยงพลังใส่

    ทีน่านำอาวุธในมือรับพลังแล้วปัดทิ้งไปด้านข้าง จากนั้นก็ปรับแรงดึงดูดรอบกายให้เป็นปกติ โรยตัวลงบนพื้น และวิ่งไปยังเสาเหล็กสี่เหลี่ยมต้นหนาเพื่อหลีกอีกฝ่าย กวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะพักหายใจ ขณะที่ยังกำดาบไว้แน่น

    เธอมองแขนที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตรงแผลและเลือดที่ออกมาได้เริ่มกลายเป็นสีคล้ำ มีเหตุผลเดียวที่จะเป็นแผลแบบนี้ นั่นก็คือการติดพิษเท่านั้น ไม่นะ...เธอคิด เพราะการติดพิษนั้น ก็เท่ากับการโดนบั่นทอนพลังไปดีๆนั่นเอง

    “จ๊ะเอ๋!”

    เสียงทักทายดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับก่อนน้ำแข็งที่จ่อใส่ในระยะประชิด เด็กสาวรีบใช้ท่าเทเลพอร์ทหายตัวไปเหนือหัวของผู้เอ่ยคำ พร้อมตีดาบลงมา แทนที่ตัวตลกจะกลัว เขากลับเผยอยิ้มออกมาแทน

    ติด-กับ-แล้ว

    เคฟก้าหายลับไปกับตา ทำให้ดาบของสาวน้อยฟันลงบนพื้นเหล็ก ขณะที่เธอดึงดาบออกก้อนน้ำแข็งเมื่อครู่ตีกระจายใส่เข้ากลางหลัง เด็กสาวจึงกระเด็นชนกำแพงอย่างจัง

    ทีน่าเซถอยหลังออกมาจากข้างฝา มีความรู้สึกเหมือนสติที่ติดดับไปชั่วเสี้ยว สายตามองทุกอย่างเหมือนกับว่ามีหมอกลง เธอกระพริบตาสองสามรอบ มันจึงค่อยชัดขึ้น ทว่าความชัดนั้นก็มากับคลื่นแสงของเสนาธิการจอมกวนที่สาดเข้าหา

    เธอประสานมือไว้ที่กลางอก ชาร์จพลังหลอมเหลวร้อนแรง ยิงมันไปโต้กลับเวทตรงหน้า พลังทั้งสองต่างแล่นผ่านกันตรงไปยังเป้าหมายของแต่ละอัน จากนั้น เสียงครืนก็ดังลั่นพร้อมๆกัน ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็โดนพลังของคู่ตรงข้ามเข้าให้เสียแล้ว

    ฝุ่นควันค่อยๆจางหาย พร้อมกับร่างสองร่างที่ยังคงยืนอยู่ ฝ่ายทีน่านั้นอยู่ในท่าที่ใช้เวทป้องกัน แต่บนตัวก็ยังมีแผลขีดเป็นรายทาง ผ้าคลุมกลางหลังขาดวิ่น ชุดสีแดงมีรอยคล้ายโดนกรีด เนื้อบางส่วนเป็นสีเข้มเพราะว่าไหม้ เลือดไหลซิบๆตามมา แต่เธอก็พยายามไม่ใส่ใจ แม้มันจะเจ็บแสบก็ตาม ส่วนฝ่ายเคฟก้านั้นก็มิได้ดูดีเท่าใดนัก เขายืนกุมหน้าผากอยู่และถ้าสังเกตดู จะเห็นได้ว่าในจุดที่เขากุมอยู่เป็นแผลใหญ่พอสมควร แถมยังมีเลือดออกมามาก หน้าที่ทาสีไว้ก็เลอะเลือนดูน่ากลัวกว่าเก่า เสื้อและกางเกงตัวตลกมีวงเสมือนโดนเผา ถ้าใหันับถึงเขาจะไม่ได้ดูดี แต่ก็ยังบาดเจ็บน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามพอตัว

    ทีน่าสูดหายใจเข้าออกช้าๆ เธอรู้ดีว่าตอนนี้ร่างกายต้องการอากาศมากกว่าปกติ ยิ่งทั้งติดพิษและเสียเลือดเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องหาเวลาหายใจลึกๆให้ได้ กระนั้นเด็กสาวก็ยังใช้มือขวากุมข้อมือซ้ายเตรียมโจมตีไว้ให้พร้อมมั่น ปิเอโร่มองแล้วก็แสยะยิ้ม นึกสมเพชอีกฝ่ายอยู่ในใจ

    “เจ็บจังเลยอ่ะ” เขาทำเสียงอิดออดกวนประสาท “เธอก็เจ็บมากใช่ม้า”

    ไม่โต้ตอบ...เสร็จฉันล่ะ

    “ถ้าไม่พูด ก็แปลว่าไม่เจ็บ ฉันว่าเรามา...สนุกกันต่อดีกว่าเนอะ!”

    ชายผมทองไม่รอคำตอบใดๆ เขากระโดดถีบร่างของของอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่ตาแทบมองไม่ทัน ด้วยความที่
    มันเป็นลูกถีบแฝงพลัง คนโดนเขาก็กระเด็นไปไกลลิบ

    เด็กสาวถอยหลังกรูด พื้นรองเท้าส้นสูงเสียดสีกับพื้นเหล็กจนเกิดประกายแลบ เธอสำลักเลือดออกมาเนื่องด้วยความรู้สึกจุกเสียดอย่างแรง แต่ในตัวตนยังคงสติไว้อย่างเข้มแข็ง ทีน่าย่อตัวลงต้านแรงส่งส่งผลให้เธอหยุดตอนที่เกือบชนกำแพงพอดี

    ระหว่างนั้น เคฟก้าได้กระโดดขึ้นไปบนท่อเบื้องบนแล้วกระถืบมันลงไปซ้ำการกระทำเมือครู่ หมายจะให้ท่อทับร่างสาวน้อยผมสองสี ก่อนตนเองจะย้ายตัวไปข้างพื้นชั้นลอย เหล็กกลวงหล่นลงกระทบร่างเล็กๆ ชายวัยกลางคนยิ้มกรุ้มกริ่มมองมัน ทันใดนั้นท่อเหล็กที่ว่าก็พุ่งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เคฟก้าหลบด้วยการเอนตัวไปข้างหลัง และมันทำให้เขาได้พบว่าร่างเล็กๆที่เขาโจมตีนั้นเป็นคนใช้พลังดันท่อขึ้นมาพร้อมกับตัวเธอ

    “อุ้ย...ตกใจจัง” ตัวตลกว่าเบาๆ พลันร่ายแขนเป็นวง ลูกไฟสามลูกฉวัดเฉวียนใส่อีกฝ่ายราวกับมีชีวิต สาวผมสองสีขว้างท่อเข้าต่อต้านกับสายเพลิง ในจังหวะที่ไฟกระแทกเหล็กสนิม เคฟก้าก็สปริงเท้าขึ้นกระโจนผ่านรูท่อและหยิบหินผลึกสีแดงออกมาจากปกเสื้อตัวตลกของตนเอง

    เขาใกล้กับอีกฝ่ายจนแทบได้ยินเสียงหายใจ ในมือของชายหน้าขาวกำผลึกจนแน่น ก่อนจะกางมือออกสะบัดกรงเล็บเข้าสู่ร่างตรงหน้า พร้อมกับไฟฟ้านับแสนโวลต์ที่ประกายเจิดจ้าจนชวนปิดตา!

    ด้วยระยะที่ไม่มีที่ให้หลบเช่นนี้ ทีน่าจึงโดยกระซวกเข้าไปเต็มๆร่าง!

    “อะๆๆ...อ้าาาาาาาากกกกกกกก!”

    แสงแปลบปลาบเข้าทำลายร่าง เธอกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนที่สายฟ้าระลอกแรกจะหยุดลง พร้อมกับกรงเล็บที่ถูกถอนออกไป แล้วกระแทกเข้ามาใหม่อีกหลายครั้ง ทีน่าสำลักเลือดในปาก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งในจมูกชวนอาเจียน ตรงบริเวณที่ถูกแทงเกิดรอยแผลเปิดเป็นสีดำโลหิตซึมออกมาคั่งรอบๆ ตอนนี้เธอรู้สึกชาไปทั่วตัว จนแทบจะขยับร่างไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    "แกมันสู้ฉันไม่ได้หรอก แกมันโง่ๆๆๆๆๆ!" เคฟก้ากล่าวคำว่าโง่ทุกครั้งที่ลงมือ จนพอใจแล้วจึงหยุดมือค้างไว้ในร่างฝ่ายตรงข้าม "มีพลังดีๆซะเปล่า แต่ดันใช้ทำบ้าอะไรก็ไม่รู้ ฉันจะปกป้องอนาคต ถุย! พูดมาได้!"

    "นาย...ไม่...เข้า...ใจ...หรอก..." หญิงสาวผู้โชกเลือดขยับปากช้าๆ เปล่งเสียงโต้กลับออกมาอย่างแผ่วเบา

    "แล้วแกเข้าใจหรือไง?!" ชายวัยกลางคนถามพร้อมกับดันมือเข้าไปลึกกว่าเดิมจนสาวน้อยตัวงอ

    "แกเข้าใจใช่ไหม ว่าไอ้การปกป้องอนาคตของมนุษย์น่ะ แกทำไปเพื่ออะไร"

    "ฉัน..." ทีน่าสูดหายใจอย่างยากลำบาก พร้อมกับพยายามเอื้อมมือของตนไปจับข้อมือเคฟก้าที่ค้างอยู่กับร่าง "ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันเข้าใจไหม...แต่ที่แน่ๆ ฉันทำไปเพราะรู้สึกถึงสิ่งนั้น"

    ทีน่าออกแรงบีบในระดับที่เคฟก้ายังถึงกับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ "สิ่งนั้น...คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่า 'ความรัก'ยังไงล่ะ!"

    พลันนั้นเอง นัยน์ตาของหญิงสาวก็เปล่งประกาย พร้อมด้วยร่างของเธอที่ล้อมรอบด้วยแสงสว่าง ตัวตลกรีบดึงมือออกห่างแล้วถอยหลังกรูด นัยน์ตาเบิกกว้าง ท่าทีดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

    "มาแล้ว มาแล้ว มันมาแล้ว!" เคฟก้าพร่ำเพ้อด้วยรอยยิ้มขณะที่มองแสงนั้นด้วยแววตาสั่นระริก

    เมื่อแสงสว่างดับลง เด็กสาวคนเดิม ก็ไม่มีอีกต่อไป

    ตอนนี้ มีเพียงร่างระหงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ ผมยาวสีขาวอมม่วงจางๆปลิวไสว รูปตาของที่หล่อนคมกริบราวสัตว์ป่ามองตรงไปยังอีกฝ่าย ปากสีแดงเรื่อๆค่อยๆขยับช้าๆ เปล่งเสียงเรียบๆ

    "หากจะจัดการนายได้ ฉันคงต้องใช้พลังนี้แล้วล่ะ"
  4. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    The Esper and The God : อสุราและเทวา


    เธอคือทีน่า แต่อยู่ในร่างของอสูร!


    สาวสวยสะบัดมือครั้งหนึ่ง เพื่อสร้างพลังเวทรักษาบาดแผลตัวเองขึ้นมา พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ตัวตลกซึ่งกำลังมองเธอด้วยสีหน้าดีใจระคนตกใจ

    "ในที่สุดแกก็ใช้พลังนั้นจนได้!" เขาชี้ไม้ชี้มือ

    "ก็อยากเห็นไม่ใช่หรือไง" ทีน่าถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่เดินเข้ามาใกล้อีก แสงสีขาวๆรอบๆกายเธอบัดนี้รักษาแผลส่วนมากจะเหลือเพียงแค่รอยขีดข่วน บาดแผลที่ท้องสมานกันจนเหลือเพียงรอยไหม้ นี่คือพลังที่แท้จริงในร่างของหญิงสาว พลังมหาศาลที่เจ้าตัวไม่เคยคิดจะใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ!

    "ต้องแบบนี้ ดีๆๆๆๆ ต้องแบบนี้ ถึงจะเรียกว่าสนุก!" เคฟก้าพูดจาซ้ำไปซ้ำมาราวกับเป็นบ้า ขณะนั้น อสูรสาวนั้นได้พุ่งตรงเข้าใส่เขา โดยไม่รอฟังสิ่งใดทั้งนั้น

    ทีน่ากางกรงเล็บของตนออกจนสุด โดยเล็งระยะไว้จากหัว ลากผ่านตัวเป้าหมาย พร้อมชาร์จคลื่นประจุไฟฟ้าเสริมแรงของกรงเล็บเข้าไป หมายจะให้มันจบสิ้นในครั้งเดียว

    ในช่วงเสี้ยววินาทีที่กรงเล็บจะสัมผัสใบหน้าขาววอกนั้นเอง อสูรสาวก็รู้สึกถึงแรงต้านบางอย่าง ที่ก่อขึ้นมาปกป้องร่างของเคฟก้าและพยามยามผลักต้านตัวเธอออกไป

    เธอถอยออกเพื่อจะสังเกตดูดีๆว่า สิ่งที่ปกป้องอีกฝ่ายคือพลังชนิดใดกันแน่ แต่สิ่งที่พบค่อนข้างจะเหนือความขาดหมายไปซักหน่อย

    ในเมื่อมันไม่ใช่พลัง แต่เป็นปีกขนนกสีขาวต่างหาก!

    "ตกใจ...ใช่ไหม?" เสียงแหลมสูงผสมเสียงทุ้มกังวาลราวกับมีคนสองคนพูดพร้อมกันของเจ้าตัวตลกถาม "อย่าลืมซิ ว่าแกไม่ได้แปลงร่างเป็นอยู่คนเดียว"

    เคฟก้าเงยหน้าขึ้น แล้วปีกสีขาวก็แผ่สยาย ขนนกมากมายร่วงโปรยปราย ตัวเขาค่อยๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทีน่าเงยหน้ามองตาม แววตาเริ่มสั่นคลอน เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลของเสนาธิการเก่า

    "แกใช้พลัง ฉันก็ใช้พลัง นั่นคือความยุติธรรม" เขาว่าพลางผายมือไปข้าง แล้วแสงสีทองก็ส่องประกายลงมาจากเบื้องบน

    "จะใช้พลังนั้นหรือไง" ทีน่าเรียกถาม เกร็งพลังในมือพร้อม "บ้าไปแล้ว!"

    สิ้นคำ เธอก็กระโจนขึ้นไปหาเขา พยายามเข้าไปประชิด แล้วซัดพลังอัสนีบาตในมือเข้าไปปะทะ แต่ก็ไม่สามารถเจาะแสงสีทองเข้าไปหาเขาได้เลย

    "เธอกลัวงั้นหรือ" เคฟก้าที่เคยน้ำเสียงแหลมเล็กกลายเป็นนุ่มลึกถามบ้าง

    "ไม่แปลกหรอก มีใครบ้าง จะไม่กลัวพลังของพระเจ้า?"

    แล้วอดีตตัวตลกก็งอตัว ก่อนจะกางแขนขาออก คลื่นพลังสีทองอร่ามพุ่งพวยออกมาจากร่าง สิ่งก่อสร้างรอบข้างถึงกับพังทลายราวกับโดนคลื่นซัด แม้แต่ตัวทีน่าเอง ที่ตอนนี้มีพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่า ยังถึงกับต้องกระเด็นทะลุแนวกำแพง

    ไม่นาน การระเบิดพลังก็หยุดลง พร้อมกับร่างของเคฟก้าที่เปลี่ยนไปบ้าง...

    ร่างเก้งก้างกลายเป็นกล้ามเนื้อกำยำ ผิวสีซีดขาวกลยเป็นสีม่วงเข้ม พร้อมลวดลายสีทองที่สักอยู่กลางอก ปีกขนนกสองคู่ และปีกค้างคาวอีกคู่อยู่กลางหลังแผ่สยายราวกับประกาศอำนาจ เขาผายมือออกทั้งสองข้าง กลุ่มควันไล่ผิวกาย ราวกับร่างเขาเป็นเครื่องจักรไอน้ำ

    "ฮิๆ" เคฟก้าหัวเราะร่วน "พลัง พลังของพระเจ้า"

    "ทีนี้ ต่อให้แกใช้ร่างอสูรนั่น ก็จะไม่มีวันชนะฉันแล้ว"

    "นายมันบ้า!" อสุรีพูดขณะที่ลุกขึ้นจากเศษซากปรักหักพัง "พลังแห่งพระเจ้ามีไม่จำกัดก็จริงอยู่ แต่ร่างกายของคนเรามีขีดจำกัด"

    มหาเทพจำแลงเอียงคอ "แล้วไง"

    "ร่างกายนายก็จะตายเพราะพลังที่ตนเองแบกรับน่ะซิ! พลังมากมายขนาดนั้น อยู่ได้ไม่เกินห้านาทีหรอก"

    "ห้านาที" เคฟก้าเลิกคิ้วสูง ท่าทางยียวนยังไม่หาย "ฉันคงจัดการแกเสร็จนานแล้วล่ะ"

    ว่าแล้วเขาก็เหยียดปีกทั้งสองคู่ออกจนสุด พร้อมกับเร่งพลังแห่งเทพ เกิดคลื่นความแรงกระเพื่อมบรรยากาศรอบข้าง จนเป็นเห็นลอนได้ชัด แม้ทีน่าจะสร้างบาเรียขั้นสูงปกป้องตัวไว้ได้ก็จริง แต่ก็อดรู้สึกร้อนๆหนาวๆไปด้วยไม่ได้

    "ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่นานนายได้ตายแน่ๆ ได้ยินฉันไหม นายตายแน่ๆ!" ทีน่าพยายามตะโกนออกไป แต่ดูเหมือนเคฟก้าจะไม่ได้มีความใส่ใจกับเสียงเรียกเลยแม้แต่น้อย เธอเลยจำเป็นต้องเร่งพลังต้านอีกขนานหนึ่งขึ้นมา แล้วปลดบาเรียให้กลายเป็นคลื่นกระแทก แหวกทางสู่ร่างของอีกฝ่าย

    "เข้ามาซิ เข้ามาเลย แล้วฉันจะทำลายความรู้สึกที่เรียกว่ารักของแก!" เทพจำแลงตะโกนท้าทาย

    เขาว่าแล้วก็เลียปากของตน ประกบมือสองข้างเข้าด้วยกัน ก่อนจะกางมันออก พลันเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น แต่มันไม่ใช่เสียงของใครคนใดคนหนึ่งในที่แห่งนี้ เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับมาจากที่ไกลๆ ไกลสุดจักรวาล แต่ว่าฟังอีกที ก็กลับรู้สึกชิดใกล้ราวกับอยู่ข้างหูอย่างไรอย่างนั้นมันขึ้นสูง ลงต่ำสลับไปสลับมา บางท่อนก็ช้าบางท่อนก็เร็ว เสียงร้องนี้ ดังเป็นบทสวดวิงวอนขอความตายเช่นไรเช่นนั้น!

    “สำหรับคนที่ไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นเขา ฉันว่าได้นี่คงจะเหมาะสุดแล้วล่ะน้า”

    เคฟก้าวาดมือไปเหนือหัว เกิดเสียระฆังดังเหง่งหง่างขึ้นมาในความว่างเปล่า ต่อด้วยเสียงเครื่องดนตรีอีกนานาชนิดๆ โดยที่ไม่มีอะไรปรากฏตัวให้เห็นค่าหน้าค่าตา มันประสานกับเสียงร้อง จนเกิดเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะและน่ากลัว

    เพลงนี้...หรือว่า...

    ทีน่าเกร็งแขนยิงพลังเพลิงไปข้างหน้า แต่เพียงแค่พระเจ้าขยับนิ้ว ไฟก็ดับหาย เธอคุกเข่าลงกับพื้น พุ่งตัวออกไป ชาร์จพลังเตรียมอัดใส่ ถึงจะรู้ว่าการกระทำนี้ฝืนร่างกาย เพราะต้องใช้พลังทั้งป้องกันและโจมตีไปพร้อมๆกันก็ตาม แต่อสูรสาวก็ตัดสินใจที่จะทำ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก

    "ฮ่าๆ ต่อให้แกรับรู้ความรัก แต่แกจะไม่มีวันเข้าใจ!"

    เสียงนั้นมาพร้อมกับการระเบิดคลื่นสีทองรอบตัวเคฟก้าที่กำลังทำท่าทางเหมือนเต้นรำ ทำให้ทีน่าต้องถอยไปตั้งหลักชั่ววูบหนึ่ง กระนั้นเธอก็ยังไม่ท้อถอย ทั้งยังพยายามเปลี่ยนแนวการโจมตี จากที่เคยใช้เวทมนตร์ระยะไกลมาเป็นกรงเล็บโจมตีระยะประชิด

    "ไม่หรอก สักวันฉันต้องเข้าใจแน่ๆ ความรักของมนุษย์นั่นน่ะ" อสุรีเถียงกลับ ซึ่งมันทำให้พระเจ้าจำแลงเหยียดยิ้มอัน

    น่าสยดสยอง พร้อมกับสบัดเวทจากบทเพลงเป็นคลื่นโต้ออกมาแรงขึ้นๆ ยิ่งเคฟก้าเหวี่ยงมือคุมวงดนตรีที่มองไม่เห็นรวดเร็วแค่ไหน พลังสีทองรอบกายก็โจมตีรุนแรงขึ้นเท่านั้น

    "แกอยากรู้สึกแบบพวกมนุษย์ใช่ไหม น่าสมเพชสิ้นดี ทั้งๆที่มนุษย์มากมายหวาดกลัวพวกแกแท้ๆ"

    เขาโถมประกบมือสองข้าง กระแทกร่างอสูรสาวจนปลิวลิ่ว ทีน่าลุกขึ้นโต้ตอบต่ออย่างรวดเร็ว พลังกรงเล็บสายฟ้าของเธอกรีดผนังเหล็กรอบด้านเป็นรอยยาว ทำลายผนังรอบข้างจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับทำอะไรกับเวทสีทองไม่ได้เลย!

    "เป็นไงเล่า เจ้าจะสู้เพลงเต้นรำบ้าคลั่ง (Dancing Mad) นี้ได้เช่นไร!?"

    พลัน ทีน่าก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีกระแทกกระทั้น เหมือนตอนจบของออเครสต้า พร้อมแรงอันมหาศาลที่โถมทับกดดันเข้าใส่ร่าง จนต้องทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ อีกฝ่ายค่อยๆลอยมาหาเธอ พร้อมกับนำเท้าไปเหยียบหัวไว้ ราวกับไม่ให้เธอแข็งขืน

    "แล้วแกก็สิ้นท่าให้กับเพลงของฉันจนได้"

    "ถามหน่อย...นี่แกไม่รู้จริงๆหรือ ว่าพวกมนุษย์เขาชอบพูดว่าอะไร?"เคฟก้าเลิกคิ้วถาม

    "อสูร ไม่มีวันเข้าใจในความรักหรอก...คำนี้ไงที่มนุษย์จอมเห็นแก่ตัวเขาพูดกัน ได้ยินแบบนี้แล้วแกยังอยากจะปกป้องพวกไร้ค่าแบบมันอยู่อีกหรือ"

    "นั่น..." อสูรสาวค่อยๆกล่าว "มันตัดสินไม่ได้ ว่าใครมีค่าไม่มีค่า"

    "ฮืม...?"

    "ของพวกนี้ มันต้องวัดกันวันต่อวัน คนเราทุกคนมีความคิดมีทัศนะคติที่ต่างกัน ใครบางคนอาจมองเราดี ใครบางคนอาจมองเราชั่ว แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าเราทำถูกต้องแล้ว สักวันต้องมีคนเห็นค่าในสิ่งที่เราทำ ...และใช่ว่าคนที่มองเราไม่ดีจะไม่มีค่าหรอกนะ"

    "ทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน ไม่เว้นแม้แต่ชีวิตของนาย ฉะนั้น พอได้แล้ว เลิกสักที"

    "ไร้สาระที่สุด!" เคฟก้าตะโกนอย่างไม่พอใจ พร้อมกับยกเท้าขึ้น เตรียมตัวจะกระทืบซ้ำลงไป พลัน เขาก็ชะงักข้างอยู่เช่นนั้น แขนขาชาด้าน ขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเท้า จะสูดหายใจเข้ายังลำบาก เทพจำแลงกลอกตาเลิ่กลั่ก ไม่เข้าใจในอาการของตัวเอง สมองเขาคิดหาทางแก้ไข แต่สิ่งที่พบ คือคำพูดของอสูรสาวที่หมอบราบคาบพื้นอยู่ตอนนี้

    "ร่างกายนายก็จะตายเพราะพลังที่ตนเองแบกรับน่ะซิ! พลังมากมายขนาดนั้น อยู่ได้ไม่เกินห้านาทีหรอก"

    เคฟก้าแสดงอาการเบิกโพลง นี่เขาจะแพ้เพราะตัวเอง แพ้เพราะลุ่มหลงในพลังเสียจนลืมข้อจำกัด มัวเมาในอำนาจที่ตนมี จนแพ้พ่ายไปง่ายๆเช่นนี้งั้นหรือ!?

    ในห้วงมโนนั้นเอง ทีน่าก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับกระแทกมือไปข้างหน้า พลังไร้รูปแผ่กระจายเป็นวงกว้าง อัดใส่เคฟก้าผู้ยืนด้วยขาเพียงขาเดียว จึงทำให้เทพจอมปลอมเสียสมดุลถึงกับกระเด็นไปบ้าง พลังเวทแห่งเพลงของเขาเลยถูกย้อนกลับไปหาเจ้าของ ตรึงติดร่างเคฟก้าไว้หยุดนิ่งกลางอากาศ...ไร้ทางหนีโดยสิ้นเชิง

    นี่คือช่วงได้เปรียบของทีน่าโดยแท้จริง

    "ไม่รู้ว่ามันจะสายไปไหม แต่ฉันอยากบอกนายเหลือเกิน" เธอปาดมือไปข้างๆ สร้างลูกพลังสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาวางเรียงไว้ "เราเลือกเกิดกันไม่ได้ เราเลือกให้โชคชะตาเป็นแบบนั้นแบบนี้ไม่ได้ก็จริง"

    ในพริบตาเดียว พลังพวกนั้นก็พุ่งออกไป รับกับช่วงเวลาที่ผู้พูดสร้างเวทฝนดาวตกอัดเขาต่ออย่างไม่เว้นจังหวะว่าง จากนั้นอสูรสาวจึงตั้งท่ามือขวาชูขึ้นบน มือซ้ายชี้ลงล่าง วาดมันเป็นวงกลม ก่อนที่จะประกบทั้งสองมือเข้ากลางลำตัว

    "แต่เราเลือกทางเดินได้! และทางเลือกของฉัน คือฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว!"

    เธอไขว้แขนเป็นรูปกากบาท ชาร์จพลังคลื่นคลั่งจนเต็มเปี่ยม ยิงมันไปปะทะร่างของเทวะจำลอง

    "ไม่ ไม่ ไม่ ม่ายยยยยยยย!" เคฟก้ากรีดร้องเสียงดัง พร้อมกันนั้นแสงสว่างก็วาบ อาบทั่วทั้งบริเวณ

    ...

    ...

    ...
  5. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    Finale : บทสรุป

    เมื่อแสงทั้งหมดจางหาย ทั้งคู่ก็กลับสู่ร่างเดิมของตน...

    ทั้งสองฝ่ายดูย่ำแย่พอกัน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรณ์ แต่สิ่งที่ทำให้เคฟก้าดูแย่กว่า คือสภาพของจิตใจ

    "ทำไม ทำไมฉันถึงแพ้แกได้! ทั้งๆที่ฉันมีพลังมากมายมหาศาลแท้ๆ!" เขายืนก้มหน้าพูดทั้งตัวสั่น

    "มันยังไม่พอ...เอาอีก ทำลายอีก!" เจ้าตัวตลกเอนตัวไปข้างหลังแล้วกลับมาด้านหน้า ชูมือไม้ขึ้น ก่อนจะก้มลงไปแบบหมดอาลัยอีกครั้ง

    "พอได้แล้ว!" ทีน่าพูดพร้อมๆกับเดินเข้ามาหาเขา "การทำลายอะไรไปมากกว่านี้มันช่างไร้ความหมายสิ้นดี"

    "ฮ่าๆๆๆๆๆ" เคฟก้าได้ยิ้นเสียงหวานๆแต่อิดโรยก็พลันหัวเราะร่า

    "การทำลายที่มีความหมายมันน่าเบื่อ! การทำลายที่ไร้ความหมายมันน่าสนุก!" เขากล่าวเสียงแหบพร่า หน้าตาดูโรคจิต ทำให้เด็กสาวถึงกับต้องหลบสายตา หันหน้าไปทางอื่น ส่ายหัวช้าๆคล้ายรับไม่ได้

    "ถ้ามนุษย์ทุกคนรู้ว่า ทุกๆสิ่งสร้างขึ้นมาก็ต้องถูกทำลาย ทำไมพวกเขายังสร้างมันขึ้นมาอีก? แล้วถ้ามนุษย์รู้ตัวว่าสักวันจะต้องตาย ทำไมจึงดิ้นรนอยากจะมีชีวิตอยู่กันนักเล่า?!" เสียงตัวตลกนั้นพักหอบหายใจชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาใหม่ "ในเมื่อเธอตาย ทุกอย่างก็ไร้ความหมายอยู่ดี"

    ทีน่าหัวกลับมามองเขา "นั่นเป็นเพราะเรามีบางสิ่งที่อยากจะปกป้องอยู่ยังไงล่ะ" เธอเอามือซ้ายแนบอก คล้ายฟังเสียงหัวใจตนเอง

    "มันคงไม่ยากเย็นเกินไปใช่ไหม ที่จะหาความหมายในการมีชีวิตของเธอ"

    กระนั้น ตัวตลกก็ยังไม่วายยิ้มเยาะออกมา

    "ไร้สาระ ทุกอย่างมันไรสาระสิ้นดี...ยังไงซะ ทั้งโลกและพวกแกทุกคน ก็ต้องถูกทำลายในไม่ช้าอยู่แล้ว"

    เขาพูดงึมงัมงึมงัม ราวกับรำพึงรำพันให้ตนเองฟัง

    "ชีวิต...ความฝัน...ความหวัง..." ถึงจุดนี้เคฟก้าก็ยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิม "มันมาจากไหน มันจะไปที่ใด ทั้งๆที่มันไม่มีตัวตนหรืออะไรเลยแท้ๆ!"

    "ฉันจะทำลายมันให้หมด...ฉันจะใช้ชีวิตของฉันทำลายมันให้หมด!"

    พร้อมๆกันนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นควันสีม่วง พร้อมกับไฟฟ้าล้นออกมา

    "ทำลาย! ทำลาย! ทำลาย! ทำลายทุกสิ่ง!"

    คำนี้จบลงพร้อมกับการเงยหน้าขึ้นฟ้า จากนั้นร่างของตัวตลกก็ระเบิดขึ้น กลายเป็นเพลิงสีดำลอยหายไปในอากาศ เหลือเพียงแต่เสียงหัวเราะอันโศกเศร้าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

    เมื่อทุกอย่างสงบลง ทีน่าก็เดินเข้ามาเปรยขึ้นเบาๆ

    "หัวใจที่แตกสลาย...เขาทำลายเพื่อที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าในใจตนเองหรือเช่นไร?"

    เธอเงียบลง คิดในใจว่า ถ้าเกิดเราย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ได้

    ฉัน...

    เด็กสาวประสานมือไว้ที่อกเหมือนไว้อาลัย ก่อนตอบคำถามตัวเอง

    ฉันจะก้าวเดินต่อไป


    เธอผินร่างออกจากตรงนั้น ผ้าคลุมรุ่ยๆโบกสบัด เดินออกห่าง โดยไม่หันกลับมามองเบื้องหลังอีกเลย...


    Azemag และ sensaisensai ถูกใจสิ่งนี้
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อา... อ่านจนจบแล้ว ขอคอมเมนต์ตามที่ได้ติดค้างเจ้าของเรื่องไว้นานพอสมควรหน่อยละกัน


    น้องแบมทำได้ดีมากๆเลยในเรื่องของการสื่ออารมณ์ตัวละคร ชัดเจนมากถึงความรู้สึกนึกคิดและทัศนคติของทีน่าและเึคฟก้า

    ถึงพี่จะไม่เคยเล่น FF VI หรือ FF Dissidia ก็ตาม แต่ก็รับรู้ได้ถึงสองขั้วตรงข้ามที่ปะทะหักหาญกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

    ตัวแทนแห่งแสง ตัวแทนแห่งความมืด - สองสิ่งนี้ชัดเจนมาก เป็นอะไรที่ต้องยอมซูฮกให้เลยว่าเจ๋งจริงๆ



    เนื้อเรื่องคงไม่ต้องบรรยายนะ เพราะมันก็ชัดในตัวของมัน การต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นศรัทธาไม่ว่าจะต้องแลกด้วยมูลค่ามหาศาลเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อทำลายล้างทุกอย่างหรือเพื่อปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างไว้

    สำหรับพี่แล้่ว ไม่มีใครถูกใครผิด ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
    เพราะการต่อสู้ก็นำมาซึ่งความสูญเสียในทุกๆอย่างอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ตัวคนที่ต่อสู้เอง

    และนี่คงเป็นเสน่ห์ของ FF Theme ที่หลายๆคนรวมถึงตัวผู้เขียนและพี่ชื่นชอบมันอย่างสุดหัวใจเช่นกัน



    มาถึงฉากต่อสู้บ้าง...

    รู้สึกละอายใจเลยแฮะเพราะเจ้าของเรื่องเขียนฉากต่อสู้ได้ดุเดือดประทับใจและมีลูกเล่นแพรวพราวกว่าเรื่อง Legendary ที่ตัวเองเขียนเสียอีก

    การบรรยายทำได้ชัดถึงท่วงท่าของตัวละึคร การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติมากๆ

    คาดว่าเจ้าของเรื่องคงใช้ทีน่าบน PSP จนช่ำชองบรรลุระดัีบปรมาจารย์ไปแล้วถึงได้บรรยายกระบวนท่าอย่างละเอียดลออขนาดนี้ - ฮา


    ขอบคุณที่เขียนผลงานดีๆให้อ่านจ้า ^ ^

Share This Page