Parallel Online - ตอนที่ 21 [< UPDATE >]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย pentita, 27 สิงหาคม 2011.

  1. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    by Aqouze (ผมแก้ชื่อ display บอร์ดใหม่ไม่เป็นอ้ะ T-T )

    เปลี่ยนไปลงที่ Dek-D แล้วทำลิงค์มานะครับ เพราะที่นั่นจัดหน้ากระดาษง่ายกว่ามากๆ แต่อะไรที่มีอยู่ในเวปนี้อยู่แล้วจะไม่ Edit หรือลบทิ้ง ถือว่าเป็นซากนิยายก่อนปรับปรุง 555555+

    บทนำ วิช่วลเวิร์ล
    ตอนที่ 1
    ตอนที่ 2
    ตอนที่ 3
    ตอนที่ 4
    ตอนที่ 5 (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 5 (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 6
    ตอนที่ 7
    ตอนที่ 8 (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 8 (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 9
    ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 10 (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 11 เพื่อนสองร้อยคน
    ตอนที่ 12 นักสะกดรอยที่ล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์​ (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 12 นักสะกดรอยที่ล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์​ (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 13 ธรรมชาติอันแท้จริง (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 13 ธรรมชาติอันแท้จริง (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 14 หมู่บ้านอนธกาล (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 14 หมู่บ้านอนธกาล (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 15 ไข่..? (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 15 ไข่..? (ครึ่งหลัง)

    ตอนที่ 16 เวทีจอมเวท (ครึ่งแรก)
    ตอนที่ 16 เวทีจอมเวท (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 17 หัวหน้าสมาพันธ์ (ครึ่งแรก)

    ตอนที่ 17 หัวหน้าสมาพันธ์ (ครึ่งหลัง)
    ตอนที่ 18 หน้ากากมายาจุติ
    ตอนที่ 19 ปลายทางนั้นคือ...

    ตอนที่ 20 1/3
    ตอนที่ 20 2/3
    ตอนที่ 20 3/3
    ตอนที่ 21 มงกุฏจักรพรรดิ

    รูปสองตัวละครหลัก by น้องสาว
    โทนี่+มิเชล
    ภาพอิมเมจตัวละคร แบบคร่าวๆ ครับ ไม่ได้เก็บรายละเอียดตามเนื้อเรื่องเป๊ะๆ

    ช่วงนี้ผมติดนิยายเกมส์ออนไลน์ กอปรกับชอบเฮเลน เคลเลอร์ (คนที่ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ แต่ประสบความสำเร็จในชีวิต) เลยคิดว่าถ้าเฮเลนได้เล่นเกมส์ออนไลน์ จะเป็นยังไง xD

    เรื่องนี้เรียกว่าแต่งตามใจตัวเองมากๆ เขียนไปเรื่อยๆ พอเจอ error แล้วก็ย้อนกลับมาแก้
    ส่วนที่โพสแปะตรงนี้ก็เป็นส่วนที่แก้เสร็จแล้วครับ แต่คงมีหลุดๆ ไปบ้าง ติชมตามสบาย

    แล้ว อัพเดทหัวกระทู้ยังไงเหรอครับ อยากจะอัพเดทจำนวนตอนไว้ข้างบน

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    บทนำ วิช่วลเวิร์ล

    “นับตั้งแต่ปีค.ศ.2050เป็นต้นไป ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ไม่มีอาวุธ ไม่มีนิวเคลียร์อะไรทั้งสิ้น สู้กันด้วยระบบเศรษฐกิจ ที่เรียกว่าปฏิวัติแบบสงครามเย็น แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ จำได้มั้ย”

    ผู้ถามเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ดูภูมิฐาน ผมบลอนด์รวบสั้น เขายิ้มอย่างอบอุ่น นัยน์ตาสีน้ำเงินกำลังจ้องรอคำตอบจากเด็กตรงหน้า ทั้งคู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทำด้วยไม้ มีโต๊ะคั่นกลาง

    “เทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอยู่หลายอย่างหยุดชะงัก เศรษฐกิจล้มเหลวทั้งโลก แล้วเกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนเหลือประเทศเดียว ปกครองโดยประธานาธิบดีคนเดียว คนแรกชื่อ... ชื่อ...”

    “ชื่อแฟรงค์ โคลส ชื่อนี้ลูกควรจำได้นานแล้ว เพราะนั่นคือปู่ทวดของเรา”

    เด็กน้อยยิ้มเหยเก ก็แค่เพียงลืมไปแป๊ปเดียวเท่านั้นเองนี่นา...

    “แล้วหลังจากนั้นตระกูลเราก็กลายมาเป็นประธานาธิบดีต่อมาเรื่อยๆ จนสิ้นสุดที่รุ่นพ่อใช่ไหมคะ”

    “จ้ะ” ผู้เป็นพ่อตอบ ลดเสียงให้เรียบลง “หลังจากยุคของพ่อ พ่อก็เปลี่ยนมาทำธุรกิจแทน”

    “เพราะหลายคนกลัวว่าเราจะกุมอำนาจไม่แบ่งใครใช่มั้ยคะ ที่พ่อเคยบอก”

    “จ้ะ มิเชลเก่งมาก เริ่มจำได้เยอะแล้วนะลูก”

    “ก็มิเชลรอพ่ออยู่ในนี้ตั้งนาน กว่าพ่อจะออนไลน์เข้ามาหาในระบบ”

    ชายหนุ่มยิ้ม เปรยสายตาไปรอบตัว ทั้งคู่กำลังอยู่ท่ามวงล้อมของทุ่งดอกไม้หลากสี เศษใบไม้ปลิวว่อนเป็นฉากหลัง ตรงกลางประดับด้วยโต๊ะ ตู้หนังสือ โซฟา และทีวีที่ไม่มีปลั๊ก หนังสือเรียนเปิดกางออก ทิวทัศน์ดูขัดกับเฟอร์นิเจอร์ แต่เขาอยากให้มิเชลได้สัมผัสธรรมชาติ จึงสร้างมันขึ้นมาแบบนี้

    มิเชลเป็นเด็กผิวขาวผ่อง ดวงตาสีเทาไร้แวว ผมสีดำยาวประบ่าเรียบตรง รูปร่างเล็ก ส่วนสูงและใบหน้าประมาณเด็กอายุแปดเก้าขวบ มีลักยิ้มนิดๆ บนแก้ม เด็กสาวและพ่อของเธอกำลังออนไลน์อยู่ในโลกที่ชื่อว่า วิช่วลเวิร์ล

    ครั้นจำความได้ มิเชลอยู่ในโลกไร้เสียงและแสง บางครั้งสัมผัสได้ถึงความสากกับเปียกไถไปกับร่างกาย ทำให้หนาวยะเยือก แต่พออะไรบางอย่างเข้ามาถูกับตัว เธอจะรู้สึกสบายขึ้น ซึ่งพ่อบอกทีหลังว่านั่นคือ ‘การอาบน้ำและเช็ดตัว’

    ตั้งแต่เด็ก มักมีกล่องยื่นไว้ตรงหน้า ในนั้นใส่ของที่เธอต้องใช้ ถ้าหยิบได้แปรงสีฟัน นั่นคือเวลาอาบน้ำ หากเป็นช้อนจะแปลว่าข้าวมาแล้ว หรือเกิดล้วงเจอดินสอหัวเข็ม อุปกรณ์สำหรับเขียนของคนตาบอด หมายถึงให้คัดตัวหนังสือเบรล

    เธอชื่อมิเชลเรล่า โคลส อายุสิบสามปี มีพ่อกับพี่ชาย ส่วนแม่เสียแล้ว เด็กหญิงพิการ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ตั้งแต่เกิด พ่อจึงเริ่มลงเงินวิจัยเพื่อพัฒนาระบบวิช่วลเวิร์ล ซึ่งเป็นวิธีสร้างภาพสามมิติไปยังสมองโดยตรง ครั้งแรกสุดก็ได้ทดลองดูหนังการ์ตูนใบ้ แม้ไม่เข้าใจเนื้อหา แต่นึกชอบและสนใจตัวละครที่วิ่งไล่จับกัน

    มิเชลชมวีดีโอสามมิติม้วนนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนพ่อต้องเอาหนังการ์ตูนชุดใหม่มาให้ คราวนี้ได้ยินเสียง ถึงเด็กหญิงไม่เข้าใจภาษาพูด แต่ก็ถือว่าความสนุกมากขึ้นกว่าเดิม เธอชอบเวลาตัวเอกของเรื่องร้องเพลงประสานคู่กับนางฟ้า และมักจะกรอดูฉากโปรดหลายๆรอบ

    ไม่นานนัก ระบบวิช่วลเวิร์ลค่อยๆเริ่มโครงการขึ้น จนสามารถสมมุติบรรยากาศหลอกๆ ผ่านทางคลื่นสมองได้ พ่อจึงสร้างทิวทัศน์ป่าเขา ดอกไม้ ลำธาร แล้วให้เที่ยวชมมัน ภายในหัวของมิเชลเอง

    เธอไม่ได้ดื่มด่ำไปกับความงามของธรรมชาติสักเท่าไหร่ แค่ตื่นเต้นกับของแปลกใหม่ และชื่นชมสีสันลวดลายมากกว่า ทุกอย่างที่พ่อสร้างได้เพียงแค่ตาดู พอพยายามจับแล้วมือจะลอดผ่านไป เด็กสาวสนใจมันในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้น มิเชลก็เรียกขอหนังการ์ตูนเหมือนเดิม

    สุดท้าย ระบบวิช่วลเวิร์ลถูกพัฒนามาให้สามารถออนไลน์เข้ามาพบปะกันได้ ทิวทัศน์และบรรยากาศถูกจำลองไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ โดยผู้ใช้จะจำลองตัวละครของตนขึ้นมา

    พ่อสร้างตัวละครเด็กให้หน้าตาใกล้เคียงมิเชลมากที่สุด เวลานั้นเธออายุเก้าขวบ จึงมีส่วนสูงประมาณร้อยยี่สิบห้าเซน ใส่เสื้อยืดลายลูกเจี๊ยบ กับชุดเอี๊ยมยีนส์ขาสั้น ส่วนของพ่อสวมสูทดำ เนคไทด์สีเข้ม ดูเรียบร้อย

    มิเชลเริ่มทำความรู้จักและเรียนรู้จาก ‘พ่อ’ โลกวิช่วลเวิร์ลมีสมุดเปล่ากับปากกาดินสอให้ฝึกเขียนตัวหนังสือ นอกเหนือจากอักษรเบรลที่เป็นภาษาเขียนของคนตาบอด ปกติแล้ว เธอต้องเอาเข็มจิ้มตามแนวแผ่นรองทำพิเศษ และนำนิ้วมาคลำ ค่อยๆเกลี่ยสัมผัสอ่านรูหรือปุ่มนูนบนกระดาษ

    ในวิช่วลเวิร์ล พ่อสอนวิธีจับปากกาและการเขียนตัวหนังสือของคนตาดี พอกลับสู่โลกแห่งความจริง เธอจึงพอเขียนใส่กระดาษเองได้บ้าง แต่มันจะบูดๆ เบี้ยวๆ ตกบรรทัดเสมอ ซึ่งไม่มีใครใคร่ตำหนิอะไรเธอผู้เป็นเด็กพิการอยู่แล้ว

    มิเชลแยกแยะคนจากการสัมผัสเป็นหลัก ใช้มือลูบดูรูปร่างแทนดวงตา ส่วนจมูกจำกลิ่น แต่พ่อจะพิเศษกว่าใคร เพียงแค่แรงกระเทือนเบาๆ บนพื้นห้อง เธอสามารถจำได้ทันทีเพราะคุ้นเคยกันมานาน

    ผู้พิการซ้ำซ้อน มักมีประสาทสัมผัสส่วนอื่นทดแทน มิเชลก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอไวต่อแรงสั่นของอากาศ กลิ่น และการจดจำรายละเอียดที่มากกว่าคนสายตาดีหลายเท่า

    ***********
  2. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอนที่ 1 พาราเรลออนไลน์

    วันนี้มิเชลยังคงออนไลน์เฝ้ารอพ่อ เธอนอนเพียงวันละ6-7ชั่วโมง หลังตื่นก็กินข้าวอาบน้ำ จากนั้นอาจมีตารางเดินเล่น ฝึกใช้ไม้เท้า ครูสอนพิเศษจะเข้ามาดูแลช่วงบ่าย เพื่อสอนหนังสือ หรือพาเด็กสาวออกสถานที่ใหม่ สำหรับการพึ่งตนเองไปไหนมาไหนได้

    และตกเย็นมิเชลค่อยท่องไปยังอีกสถานที่หนึ่ง นั่นคือวิช่วลเวิร์ล... เธอหยิบหมวกเหล็กแข็งๆ วางครอบหัว ด้านในมีผ้านวมนุ่มไว้รองกันกระแทก พอสวมเสร็จก็นอนลงบนเตียง จากนั้นกดสวิทซ์ สติของเด็กสาวจะวูบเข้าสู่โลกมายา...

    ทุ่งดอกไม้ปรากฏตรงหน้าอย่างเคย แต่อะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ปกติแล้ว มันเป็นเพียงภาพสามมิติ ยื่นมือแล้วก็ทะลุออก ทว่า.. เธอกลับสัมผัสได้ราวกับในโลกจริงๆ... เพราะความนิ่มของกลีบ และกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ที่ผ่านมานั้น ของจับต้องได้มีแค่พวกเฟอร์นิเจอร์ อย่างโต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ วิช่วลเวิร์ลวันนี้แปลกตามาก

    มิเชลลองนอนกลิ้งตัว ถูไปกับดอกไม้ พวกมันล้มลงตามแรงเบียด บ้างก็โดนบดจนช้ำ หลังของเธอชื้นและมีเศษหญ้าติดบนไหล่ เด็กสาวนึกสนุกในความแปลกใหม่ จึงไถลกายต่อ หมายใช้กำแพงห้องโปร่งใสหยุด

    แต่แล้ว... เธอก็กลิ้งหลุนๆ ไปข้างนอก ทะลุผ่านกำแพงโปร่งใส ทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนกะทันหัน กลายเป็นฉากทุ่งกว้าง แมกไม้เขียวชอุ่มขึ้นหนาแน่น เสียงน้ำไหลดังเอื่อยๆ มันไม่ใช่ภาพสามมิติแบบเดิม เพราะมิเชลจับต้อง มองเห็นได้หมด มือเล็กๆเหนอะเพราะแปะอยู่กับดินและหญ้าเปียกๆ

    เด็กสาวถีบตัวลุกขึ้น เศษหญ้าขี้ดินติดเปื้อนตามตัว เธอหยิบพวกมันขึ้นมาดูและถูกับนิ้ว จากนั้นดมกลิ่นจดจำในแบบตนถนัด กลิ่นเหม็นเขียวรางๆ แต่กลับสดชื่น แถมยังมีต้นไม้ลำต้นหนาใหญ่ ลูบแล้วได้สัมผัสสากๆ ทุกอย่างนั้น ช่างเหมือนบทบรรยายจากหนังสือที่เคยอ่านไม่ผิดเพี้ยน

    มิเชลสำรวจรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น เธอลูบและดมหลายอย่าง แถมยังพยายามหอบหญ้ากับดินไว้เต็มสองมือ แต่มักลืมตัว จึงเผลอทำร่วงระหว่างเดินตลอดทาง ยิ่งไปไกลขึ้น เสียงของสายน้ำก็เริ่มดังซู่ซ่า เด็กหญิงโยนทุกอย่างทิ้ง แล้วออกวิ่งหาต้นตอของเสียง

    ขาน้อยๆ หยุดวิ่งเมื่อเจอลำธาร มือจุ่มลงเพื่อกวนน้ำเล่น… พอก้มมากๆ เข้า ตัวก็ลื่นไถลตกลงไป เธอกินน้ำสองสามอึกก่อนเอามือถูเช็ดหน้าเนื่องจากคันตา มิเชลปีนกลับขึ้นฝั่ง แล้วกระโดดเล่นอีกหลายครั้ง

    พอกระโดดจนเบื่อ มิเชลก็เจออะไรดึงดูดความสนใจไปอีก หนูตัวเล็กเสมือนจริงวิ่งผ่านเป็นระยะอยู่ในละแวกนั้น เธอเริ่มกระโดดตะครุบ แล้วพวกมันก็อ้าปาก ปักฟันลงมือเด็กสาวจมเขี้ยว

    เลข 3 สีแดงเด้งลอยจากตัวเธอโชว์บนหัว มิเชลเห็นเพราะกำลังนอนหงาย อุ้มเจ้าหนูตัวเล็ก มันเริ่มฝังเขี้ยวใส่อีกรอบ.. ซึ่งก็ปรากฏตัวเลขชุดเดิมเด่นชัด เด็กหญิงรู้สึกเจ็บและเพลียลงทุกครั้งที่โดนกัด แต่ยังกุมมือไว้ เนื่องจากกำลังสงสัย

    “ปล่อยให้มันกัดอยู่ทำไมน่ะ? ไม่โจมตีมันล่ะ ดูเลือดเธอสิ”

    เสียงสูงดังข้ามหัวจากข้างหลัง ปรากฏร่างเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ตะโกนมาคือฝั่งหญิง เจ้าหล่อนวิ่งเข้ามาเอามีดปักบนตัวหนูซ้ำๆสามสี่ที หลังจากทิ่มโดน ก็จะโชว์ตัวเลขสีแดงชุดหนึ่งเช่นเดียวกัน เธอมีเส้นผมสีเขียวยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีฟ้าอ่อนสดใส ปลายหูแหลมชี้ขึ้น ใบหน้าขาวเนียน คางมนกลม

    สุดท้ายหนูเคราะห์ร้ายก็นอนแน่นิ่งคามือ มิเชลพยายามสำรวจคนตรงหน้า ทั้งคู่แต่งกายแปลกๆดูห่างไกลจากพ่อ ผู้ชายสวมเสื้อกล้ามสีเทาหม่นแขนกุด กางเกงดำยาวถึงเข่า ส่วนฝ่ายหญิงใส่ชุดคล้ายๆกัน ต่างแค่เจ้าหล่อนมีเข็มขัดหัวสามเหลี่ยมกับกางเกงที่ขายาวกว่า เด็กหญิงขยับเข้าใกล้พวกเขา ตั้งใจจะลูบคลำจับต้องตามความเคยชิน

    “ว้าย” เธอกรีดร้องตกใจทันทีที่ถูกเด็กหญิงนิรนามยื่นมือเข้าสัมผัสในเชิงลูบคลำ มิเชลจึงถูกผลักออก

    “ระวัง สงสัยจะเป็นสัตว์อสูร” ฝ่ายชายเตือน เขามีผมและตาสีน้ำตาลเข้ม ผิวไม่ดำไม่ขาว

    “แต่... เมื่อกี้เธอสู้กับหนูอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีเกมส์ออนไลน์ที่สัตว์อสูรจะจู่โจมกันเองนะ”

    “อย่าลืมสิว่าเกมส์นี้เน้นความสมจริงมาก บางทีสัตว์อสูรอาจจะล่าเหยื่อกินกันเองบ้างก็ได้” ฝั่งชายเกริ่น ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลง “แถมเด็กคนนี้ก็เตี้ยเกินไป ตอนสร้างตัวละครมันมีกำหนดส่วนสูงขั้นต่ำเอาไว้ไม่ใช่เหรอ คงจะเป็นสัตว์อสูรที่หน้าตาเหมือนคน…”

    “ต้องรีบเอาไปบอกทุกคนแล้วเรื่องนี้ เกมส์เพิ่งเปิดได้สองอาทิตย์ พวกเราเจอเป็นคนแรก” หญิงสาวร้อง แม้ตกใจ แต่น้ำเสียงยังระคนความตื่นเต้น

    ฝั่งมิเชลชะงักเล็กน้อย ความพิการทำให้ไม่เคยถูกปฏิเสธการสัมผัส ถึงพ่อเคยเตือนว่าเอามือจับคนแปลกหน้านั้นเสียมารยาท แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ถูกผลักอย่างแรงขนาดนี้ เธอลูบก้นป๊อยๆ ใบหน้าเงยขึ้นมอง

    ฝ่ายชายเงื้อมีดหมายโจมตี มิเชลงงอยู่แป๊ปๆ แต่ก็ยันขาถีบตัวหลบในเสี้ยววินาทีสุดท้าย

    “ประกาศ การโจมตีผู้เล่นด้วยกันเริ่มขึ้น ฝ่ายที่ลงมือก่อนจะติดสถานะอาชญากร ซึ่งผู้เล่นคนอื่นสามารถล่าฆ่าหัวได้ จนกว่าผู้เล่นที่ติดสถานะอาชญากรจะตายโดยผู้เล่นด้วยกัน ถูกยอมความโดยผู้ถูกโจมตี หรือออนครบเวลาสองสัปดาห์”

    “เฮ้ยยย ทำไม ตกลงเธอเป็นผู้เล่นหรอกเหรอ” ร่างกายของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีโทนแดงทั้งตัว “ตัวฉันติดสถานะผู้ร้าย..!”

    “ใจเย็นอิล ตะกี้ระบบประกาศว่าไงนะ... วิธีแก้น่ะ”

    คู่ชายหญิงเถียงกันลนลาน ส่วนมิเชลพยายามจับใจความเนื้อเรื่องตรงหน้า... จู่ๆ ทุ่งดอกไม้จับต้องได้ แล้วค่อยกลิ้งออกจากห้อง วิ่งเล่นในป่า กระโดดลงน้ำ โดนหนูกัด สองคนนี้ช่วยไว้ แล้วเปลี่ยนใจ หันมาฟัน เด็กสาวจำได้ว่ามีดเป็นของมีคม ไม่ควรสัมผัสส่วนเหล็ก แต่เขาก็ยังหันพุ่งใส่

    สรุปได้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนเลว ดังนั้นเธอควรจะหนีก่อน มิเชลบีบปมปลายเชือกชุดเอี๊ยม แล้วหายตัวทันที….

    เด็กสาวกลับมาอีกครั้งยังโลกแห่งความจริง โลกไร้แสงและเสียง สายเชือกชุดเอี๊ยมเป็นการล็อคเอาท์ของวิช่วลเวิร์ล อะไรบางอย่างในนั้นแปลกไป จนเธอถึงกับโล่งใจที่วิธีออกตามปกติยังใช้งานได้อยู่

    สัมผัสนิ้วนิ่มๆ แปะลงบนหน้าเธอ พี่เลี้ยงคงสงสัยเรื่องที่ออกมาก่อนเวลาปกติ มิเชลทำมือไม้ขอกระดาษ แผ่นรอง และปากกาหัวเข็ม เป็นสัญญาณว่าจะเล่าอะไรให้ฟัง จึงอยากได้อุปกรณ์เขียนตัวอักษรเบรล

    พอได้กระดาษ มือเด็กหญิงก็กดทาบแผ่นรอง แล้วใช้ปากกาหัวเข็มจิ้มทีละจุด อักษรเบรลคือภาษาคนตาบอด พี่เลี้ยงของเธอเรียนรู้วิธีอ่านมาแล้ว ตัวหนังสือจะเป็นแบบนูน หรือรู ไว้สำหรับเอานิ้วคลำสัมผัส แต่กับคนตาดีนั้น มักกวาดตาอ่านซึ่งเร็วกว่าเยอะ

    วันนี้จู่ๆ ก็ออกจากห้องได้ มิเชลได้กระโดดลงน้ำ ตัวเปียก เสร็จแล้วก็จับหนู มิเชลโดนมันกัด แล้วเจอคนอื่นนอกจากคุณพ่อด้วย เขาพยายามจะหันด้านคมของมีดใส่มิเชล แต่มิเชลหนีทัน

    พี่เลี้ยงสาวยิ้ม พลางคิดว่ามิเชลเผลอหลับแล้วฝัน เธอไม่รู้ว่าโลกวิช่วลเวิร์ล หรือห้องของเด็กหญิงสภาพเป็นอย่างไร แต่เนื้อเรื่องมันก็ผิดปกติจนเกินไป จึงแค่เอากระดาษกับเข็มมาเขียนตอบว่า เหรอ แล้วยังไงต่อ พวกนั้นตามมารึเปล่า

    หลังอาหารมื้อเย็นยังรู้สึกคาใจจึงล็อคอินเข้าไปใหม่ เด็กหญิงพบตัวเองอยู่ในป่าที่เดิม เสียงน้ำไหลกับนกร้องดังคลอรอบๆ สายลมพัดผ่านเบาๆ ที่นี่กลิ่นอายแห่งธรรมชาติแรงกล้ามาก เธอเดินต่อ และเริ่มเจอคนกลุ่มเล็กๆกำลังถือมีดฟันหนู มิเชลหยุด​นั่งสังเกตุ พยายามจะเลียนแบบ แต่ไม่มีมีด เลยเอากำปั้นลุยดื้อๆ สักพักก็ย่อเข่าก้มหน้ากัดกับมัน

    ตัวเลขสีแดงเด้งขึ้นบนหัวหนูรัวๆ ผู้คนรอบข้างอ้าปากค้าง ต่างหันมามองวิธีต่อสู้สุดพิสดารและดิบเถื่อน เด็กสาวฟัดกับมันไม่นานก็จบ

    “แต่น แตน แต๊น ขอแสดงความยินดีกับการกำราบศัตรูตัวแรก การได้ไอเท็มจากศัตรูต้องชำแหละจากศพภายในครึ่งชั่วโมง มิฉะนั้นของจะหายไป”

    มิเชลพยายามมองหาต้นตอของเสียงแต่ไม่พบ คำว่าชำแหละ หมายถึงการผ่าศพนี่นา... แล้วเธอควรทำตามดีไหมนะ? เด็กหญิงนั่งจุ้มปุ้กอยู่อีกราวสิบนาที เริ่มเบื่อ จึงเอามือเปล่าๆ ฉีกร่างไร้วิญญาณของหนูตัวเล็กดู ซึ่งต้องเอาฟันช่วยขบออกด้วย

    ภาพน่าสยดสยองปรากฏตรงหน้าสายตาผู้คนรอบข้าง เด็กผู้หญิงตัวเล็กกำลังกัด ฉีก แหวกร่างหนูออก เลือดกระเซ็นเต็มหน้าและมือ ณ เวลานั้น ไม่มีใครคิดอยู่ดูต่ออีกแล้ว ต่างพากันร่นหนีหาย กลัวว่าตนจะกลายเป็นรายถัดไป

    “คุณเรียนรู้ทักษะการแล่หนัง”

    เสียงไม่มีเจ้าของเดังขึ้นมาอีกรอบ ซากหนูตัวเล็กตรงหน้าหายไป ปรากฏเป็นหนังผืนเล็กกับฟันหน้าสองคู่ มิเชลเห็นว่าแปลก จึงยัดทุกอย่างลงกระเป๋าชุดเอี๊ยม ในขณะที่เลือดเปรอะทั่วตัว ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม

    เดินต่อสักพักก็เจอลำธาร จึงกระโดดลงอย่างนึกสนุก พอตีน้ำกระทุ้งน้ำจนเบื่อแล้วค่อยปีนขึ้นต้นไม้เล่น เธอเก็บผลไม้ กัดชิมรสหวานๆ การกินพร้อมชื่นชมรูปร่างด้วยตาทำให้อร่อยขึ้น แม้ว่าทั้งตัวเธอเปื้อนไปด้วยเลือดหนูกับขี้ดิน แถมยังเปียกเละเทะสุดๆ แต่มิเชลกำลังสนุก มีความสุขดี

    “เจอแล้ว!.. นี่ไง! อิลจะได้หายจากสถานะอาชญากรสักที!”

    ปรากฏเสียงเรียกดังจากข้างหลัง มิเชลหันกลับมองตาม พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เจอกันครั้งแรกสุดน่ะเอง... ฝั่งชายยังคงมีสถานะตัวสีแดงอยู่ ทั้งคู่หายใจหอบ

    “ข่าวที่บอกว่า มีสัตว์อสูรรูปร่างเด็กผู้หญิงตัวเล็ก สวมชุดเอี๊ยม ตระเวณแถวๆ สวนผู้เริ่มต้น ใช่จริงๆ ด้วย” หญิงสาวร้อง แววตาสีฟ้าเบิกโพลง “แต่นี่มัน....”

    “เจ้าตัวนี้เป็นผู้เล่นจริงๆ เหรอเนี่ย หรือเป็นบั๊คของระบบ... ฉันเลยติดสถานะอาชญากร กลับเข้าเมืองไม่ได้ซะที” ชายผมสีน้ำตาลทำหน้าไม่แน่ใจ เพราะสภาพของเด็กหญิงดูเละมากกว่าเดิม

    ถึงสงสัยแต่ชายหนุ่มไม่คิดรีรอให้ถูกโจมตีก่อน เขาถือมีดวิ่งเข้าใส่ แล้วปรามหญิงสาวที่พยายามยิงธนูช่วย

    “อย่า... เดี๋ยวเธอจะติดสถานะอาชญากรเหมือนกัน เจ้านี่เป็นสัตว์อสูรบั๊คแน่ๆ ลองแจ้งผู้ดูแลระบบเลยดีกว่า จะได้ปลดสถานะอาชญากรออก”

    “งั้นฉันจะช่วยใช้น้ำยาฟื้นพลังให้ อิลต้องระวังตัวด้วยนะ”

    อิลกวาดมือวิ่งเข้าใส่ เด็กสาวกระโดดหลบ เธอว่องไวมาก ขนาดตัวเองยังต้องแปลกใจ เมื่อสบโอกาส จะคอยเอาเท้าถีบชายหนุ่มออกไปห่างๆ และเขาเองก็ฟันพลาดหมดทุกดอก

    “มันเร็วมาก แต่พลังโจมตีมันต่ำมาก ไม่ต้องห่วงผม ลาล่ารีบติดต่อผู้ดูแลระบบเลย”

    “โอเคจ้ะ อิล” หญิงสาวเว้นระยะห่างจากสนามรบของพวกเขา แล้วนิ่งเงียบไป

    “พวกคุณเป็นใคร ทำไมถึงจะฟันมิเชล!” เด็กหญิงอุทรณ์ขึ้นมาก่อน คู่หนุ่มสาวเป็นอันชะงัก

    “เธอเป็นผู้เล่นจริงๆ ใช่มั้ย?” หญิงสาวผมเขียวลองถามขึ้นก่อน แต่อีกใจก็คิดว่าเธออาจเป็น NPC ภารกิจ... ตัวละครในเกมส์ที่คอยมอบหมายงานให้ผู้เล่น เมื่อทำงานของ NPC ภารกิจสำเร็จจะได้ของรางวัลตามแต่ระดับความยากง่าย

    “ใช่” มิเชลพนักหน้า เพราะเข้าใจว่า การเล่นน้ำ ปีนต้นไม้คือการเล่น “หนูกำลังเล่นอยู่”

    แม้ทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจคนละประเด็น แต่เรื่องก็จบลงด้วยดีจนได้ หญิงสาวชื่อลาล่า เป็นเอลฟ์นักธนูเลเวลสิบหก ส่วนแฟนหนุ่มคืออิล เผ่ามนุษย์ อาชีพนักผจญภัยเลเวลสิบสอง มิเชลค่อยๆ จับประเด็นได้ว่าตนกระเด็นออกจากห้องทุ่งดอกไม้ มาโผล่ที่ป่า แล้วยังเป็นป่าของเกมส์ออนไลน์!

    แม้เกิดมาไม่เคยจับสักกะเกมส์เพราะความพิการ แต่เธอก็รู้จักคำว่า ‘เกมส์ออนไลน์’ บริษัทที่ทำเกมส์สำหรับคนตาบอดหูหนวกพอมีอยู่บ้าง ทว่าหาความสนุกไม่ได้เลยสักนิด เล่นในวิช่วลเวิร์ลยังบันเทิงซะมากกว่าอีก

    ฟังจากลาล่ากับอิลพูด ดูเหมือนป่าแห่งนี้จะเป็นเกมส์ออนไลน์ระบบคลื่นสมองเพื่อจำลองรูปรสกลิ่นเสียง เกมส์ออนไลน์ระบบคลื่นสมองเพิ่งเริ่มพัฒนามาแค่ 4 ปีเท่านั้น พ่อเคยเล่าว่ามันก็คล้ายๆ กับวิช่วลเวิร์ล เธอจึงไม่ได้สนใจอะไรนัก

    “ชื่อมิเชลค่ะ” เด็กหญิงแนะนำตัวเองบ้าง

    “คุณมิเชลสร้างตัวละครมาตัวเล็กจังค่ะ ถ้าชุดไม่โทรม คงน่ารักมาก เล่นเผ่าคนแคระใช่มั้ยคะ ถึงกำหนดความสูงน้อยๆ ได้ ฉันพยายามสร้างตัวละครเด็กเหมือนกัน แต่เผ่าเอลฟ์บังคับส่วนสูงขั้นต่ำไว้ที่ร้อยหกสิบ ทำแล้วเป็นเด็กโข่งไปเลย”

    “ลาล่าเป็นเอลฟ์” เธอตาวาวเล็กน้อย หนังสือนิทานมีเรื่องของเอลฟ์บ้าง และเอลฟ์เป็นความฝันของเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว มิเชลจ้องหูแหลมๆ ไม่ละสายตา

    “ว่าแต่ทำไมถึงเก็บเลเวลมือเปล่าล่ะ เธอเป็นนักต่อสู้หรือ?” เธอถาม ถึงจะไม่มีนักต่อสู้ที่เอาปากเข้าไปกัดกับสัตว์อสูร แต่ก็ใกล้เคียงสุดล่ะนะ...

    “เปล่าค่ะ มิเชลไม่ใช่นักต่อสู้” เด็กหญิงตอบ พลางนึกสงสัยว่าอะไรคือ ‘เลเวล’

    “ถ้ายังไง ก็ขอโทษเรื่องที่พวกเราโจมตีก่อนด้วย ตอนนี้อิลติดสถานะอาชญากร คนที่จะปลดให้ได้คือคุณต้องบอกยอมความให้ ไม่งั้นอิลจะถูกคนอื่นฆ่า” เอลฟ์สาวทำสีหน้าวิงวอน ปลายผมสีเขียวยาวของเธอปลิวตกมาข้างหน้า

    “ถ้าถูกฆ่าก็แย่น่ะสิ มิเชลจะ บอกยอมความให้ละกัน แล้วต้องทำยังไงล่ะ”

    “ขอบคุณค่ะ คุณมิเชลต้องพูดชื่อตัวเอง แล้วบอกว่า ‘ยอมความให้อิล’ ค่ะ”

    “มิเชลยอมความให้อิล” เธอพูดทันที “แบบนี้เหรอ?”

    ร่างของนักผจญภัยเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิม

    “ขอบคุณครับ” อิลตอบ “แต่คุณไวจริงๆ ผมโจมตีไม่โดนเลย เหมือนคุณจะเพิ่งเริ่มเล่นใช่มั้ย เลเวลเท่าไหร่แล้วเหรอ”

    “เลเวล?... ไม่รู้ค่ะ”

    “คงจะดูเลเวลไม่เป็นใช่มั้ยครับ ปกติกำไลข้อมือที่ได้ตอนเริ่มเกมส์จะมีปุ่มให้กดดูสถานะ...แต่... ทำไม คุณมิเชลไม่มีกำไลนี่นา แปลกจัง ไม่ได้ไปถอดทิ้งที่ไหนใช่มั้ย”

    “มิเชลไม่เคยมีกำไลแต่แรกแล้วนะ”

    “บ้าเหรออิล! ของแบบนั้นถอดทิ้งได้ที่ไหน มันเป็นไอเท็มระบบนะ” ลาล่าบอก “ถ้าคุณยังเลเวลไม่สูงมากลองลบตัวละครทิ้งแล้วสร้างใหม่มั้ยคะ? อาจจะมีบั๊คก็ได้ เพราะเกมส์ยังอยู่ในช่วงทดลองเล่นอยู่เลย”

    “พูดแล้วเศร้า เลเวลเก็บยากแท้ๆ แต่เดี๋ยวอีกสองเดือนก็จะโดนรีเซ็ตทิ้งหมด” อิลคราง

    “ไว้เลเวลเท่ากันแล้วมาเก็บเลเวลด้วยกันละกันนะคะ” หญิงสาวตัดประเด็นให้ “ถ้าไม่มีมีดของตอนเริ่มเกมส์ลองเอาของฉันไปใช้ก็ได้ เพราะขายทิ้งก็ได้แค่สามเหรียญเอง เก็บไว้ก็เกะกะ”

    ลาล่าควักเอามีดเล่มเล็กจากกระเป๋าสะพายข้างให้ เด็กหญิงมองอย่างแปลกใจ เพราะเจ้ากระเป๋านั่น ยาวแค่ครึ่งเดียวของมีดเท่านั้น!!

    “ขอบคุณค่ะ” พ่อสอนเสมอว่า การขอบคุณคือสิ่งจำเป็น

    ลาล่ากับอิลบอกลาจากไป ปล่อยเด็กหญิงไว้ เธอจำได้ว่าเห็นคนใช้มีดแบบนี้อยู่ใกล้ๆ บริเวณเมือง จึงเดินย้อนกลับทางเก่า ตั้งใจจะดูว่าเขาเอาไว้ทำอะไร

    พลัน ก็มีใครบางคนแตะหลังเธอ…

    “พ่อ!” เธอร้อง ปล่อยมีดทิ้ง พร้อมโดดเข้าใส่ “มิเชลมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”

    “ลูกออกมาไกลมากเลย”

    “ใช่ค่ะ มิเชลไม่เห็นทางกลับไปห้องเลย พอหลุดออกมาจากห้อง วอลเปเปอร์ก็เปลี่ยนไปหมด เป็นป่านี้ เหมือนไม่ใช่แค่วอลเปเปอร์สามมิติตามปกติด้วย มันจับได้ทุกอย่าง มิเชลเล่าให้พี่เลี้ยงฟังแล้ว แต่เธอไม่ค่อยตกใจ ก็เลยรอเล่าให้พ่อฟัง”

    “กลับห้องของเรากันก่อนละกันลูก ตัวลูกตอนนี้ก็สกปรกมาก มีอะไรไปคุยกันที่นั่น”

    วันนี้พ่อสวมปลอกข้อมือกับเสื้อผ้าแปลกตา เขากดปุ่มหนึ่ง มันปล่อยแสงสีขาวเหมือนไฟฉาย แล้วนำมันมาส่องมิเชล ชุดเอี๊ยมเริ่มซ่อมแซมตัวเอง รวมถึงคราบสกปรกค่อยๆ หายหมด จากนั้นจับไหล่เธอ จิ้มหัวเข็มขัด ทิวทัศน์รอบข้างเปลี่ยนไปในทันที ทั้งคู่อยู่ในห้องทุ่งดอกไม้เดิม

    มิเชลยืนตาปริบในห้องตน ทีวีไร้ปลั๊ก ชั้นหนังสือ โต๊ะเรียนอยู่ครบทุกอย่าง เธอกลับมาแล้ว

    “ว้าววว พ่อเก่งมาก ชุดมิเชลกลับมาเหมือนเดิมเลย ห้องนี้ก็ห้องเดิม ถ้ามิเชลเดินทะลุกำแพงออกไปเหมือนเดิม จะเดินออกไปที่นั่นอีกรอบรึเปล่า”

    “ใช่แหละลูก ถ้าลูกเดินออกไป ลูกก็จะโผล่ที่ป่านั่น แต่พ่อขี้เกียจไปเอาตัวลูกกลับมาอีกรอบ ฉะนั้นช่วยอยู่ที่เดิมก่อนนะ รอพวกพี่ๆ โปรแกรมเมอร์เค้าจัดการระบบให้เสร็จก่อน” ลูกสาวตัวน้อยทำท่าอยากลองเดินทะลุกำแพงอีกรอบเลยต้องรีบปรามไว้

    “แปลว่าระบบวิช่วลเวิร์ลพังเหรอ กำแพงห้องก็เลยพังด้วย”

    “เปล่าหรอก คือพ่อพยายามจะอัพเกรดพื้นหลังของวิช่วลเวิร์ลของลูก อยากเปลี่ยนจากภาพสามมิติเป็นของจับต้องได้จริงๆ เลยขอให้ทีมวิจัยลองเอาไปรวมกับระบบของเกมส์ออนไลน์ใหม่ของบริษัทที่เพิ่งเปิดช่วงทดลองเล่น แล้วดันเผลอไปทำให้ห้องของลูกเชื่อมต่อเข้ากับเซิฟเวอร์ของเกมส์นั้นได้”

    “เกมส์ออนไลน์ที่พ่อบอกว่าเหมือนวิช่วลเวิร์ลใช่มั้ยคะ”

    “ก็ใช่ แต่ไว้สำหรับเล่นโลกสมมุติเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวน่ะ มันเป็นเกมส์สวมบทบาทผู้กล้า ส่วนใหญ่จะทำออกมาให้บรรยากาศธรรมชาติเก่าๆ เพราะตอนนี้เมืองจริงๆ มีแต่ตึกสูงเต็มไปหมด ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว”

    “หมายความว่า ถ้ามิเชลอยากสมมุติตัวเองเป็นเอลฟ์ มิเชลก็จะเป็นเอลฟ์ในวิช่วลเวิร์ล” เธอนึกถึงลาล่าขึ้นมา

    “ใช่แล้ว”

    “มิเชลขอเล่นด้วย!”

    “ถ้าลูกแค่อยากเป็นเอลฟ์ เดี๋ยวพ่อจัดให้ตอนนี้เลยยังได้” ผู้เป็นพ่อยิ้มตอบ พลางเปรยตามองลูกสาว ผู้อยู่ในสภาพเด็กเก้าขวบในโลกวิช่วลเวิร์ลถึงสี่ปี เขาไม่ได้ปรับแต่งตัวละครให้เสียนาน กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังเป็นชุดเดิม น่าจะถึงเวลาอัพเกรดอายุหน่อยแล้ว

    “ไม่ใช่ มิเชลอยากเล่นตะหาก วันนี้เจอสองคนชื่ออิลกับลาล่า เค้าชวนให้มิเชลไปเล่นด้วยกันถ้าเลเวลของมิเชลสูงขึ้น แล้วยังให้...” เด็กหญิงชะงัก “มีด... มิเชลลืมมีดไว้ค่ะพ่อ อิลให้มีดมา คงทำหล่นตอนเจอกับพ่อ”

    “เดี๋ยวพ่อหาอันใหม่ให้ทีหลังก็ได้”

    “ไม่ได้ อันที่คนอื่นให้มาห้ามทิ้ง พ่อเคยบอกหนูไม่ใช่เหรอ...”

    “ถ้างั้นเดี๋ยวพ่อไปเก็บมาให้ ลูกรออยู่ที่นี่” แม้เขาบอกแบบนั้น แต่ในใจกลับคิดจะไปหยิบอันใหม่มาให้ เพราะไหนๆ ของในเกมส์ก็เหมือนๆ กันอยู่ดี

    “แล้วมิเชลจะไปที่ป่านั่นได้อีกรึเปล่าคะ มิเชลชอบที่นั่น”

    “ลูกรู้ใช่มั้ยว่าทุกอย่างในวิช่วลเวิร์ลคือภาพลวงของสมอง เป็นการบิดเบือนด้วยเทคโนโลยี” ผู้เป็นพ่อเปิดประเด็น ลูกเป็นเด็กตาบอด หูหนวก เขาจึงไม่อยากให้เธอจดจำภาพลวงของเกมส์แทนสิ่งที่มีอยู่จริงๆ “พ่อไม่อยากให้ลูกเล่นหรอก เพราะทุกอย่างไม่ใช่ความจริง ลูกจะจำสับสนเอาได้”

    “ไม่สับสนหรอกค่ะ มิเชลรู้อยู่แล้วว่าตัวของมิเชลในโลกวิช่วลเวิร์ลก็ถูกสร้างมา... พ่อสร้างให้ตอนหนูเก้าขวบ แต่ตัวจริงของมิเชลในโลกจริงๆ อายุสิบสาม แล้วก็ตัวสูงกว่านี้เยอะ แล้ว... ห้องของมิเชลจริงๆ ไม่ได้อยู่กลางทุ่งดอกไม้ด้วย มีกำแพงกับประตูสีชมพู” แม้มองไม่เห็น แต่เธอรู้จักสีภายในบ้านตัวเองเพราะมีคนบอก

    “มิเชล พ่อไม่อยากจะพูดคำนี้เท่าไหร่ แต่มันคือความจริงนะ คนอื่นเขามองเห็น ได้ยิน ลูกน่ะในโลกจริงไม่สามารถมองเห็นภาพอะไรได้ พ่อก็ไม่อยากให้ลูกจำทิวทัศน์ในเกมส์ไว้มาก หลายอย่างเป็นแค่จินตนาการตามตำนาน”

    “พ่อคะ แต่มิเชลก็มองเห็นตลอดนะคะ” เธอแย้ง “มิเชลรู้เวลาคุณพ่อเข้ามาใกล้ๆ เพราะจังหวะการเดิน... มิเชลจำกลิ่นของคนในบ้านได้ด้วย มิเชลรู้ว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน.... มิเชลตาบอด.... ก็เลยไม่ได้ใช้ตามอง แต่ใช้อย่างอื่นมองแทน”

    ผู้เป็นพ่อเงียบ... บางทีเขาคงลืมมองจากมุมคนพิการ เธออยู่กับโลกมืดไร้เสียงมาแต่เกิด ยิ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวไกล อุปกรณ์เสริมกับซอฟแวร์สำหรับบุคคลตาบอดหูหนวกมีมากมายเต็มไปหมด

    “แล้วก็...สัมผัสกับพ่อในวันนี้รู้สึกต่างไปจากปกติ... มันดูสมจริง” เธอเอนพิงพ่อ เอามือโอบกอด “ปกติความรู้สึกมันไม่ชัดเจนขนาดนี้ มันจะต้องดูเหมือนอะไรกลวงๆ มากกว่าเนื้อแน่นๆ”

    “อย่างที่ลูกคิดนั่นแหละ” เขายิ้ม “เป็นระบบความสมจริงของเกมส์ออนไลน์ที่พ่อขอให้เขาเอามาใช้ในวิช่วลเวิร์ล... แล้วรู้สึกเป็นไงบ้างล่ะลูก ฟังชั่นนี้พ่อไม่ได้ใส่ไว้สำหรับตัวละครของพ่อหรอกนะ คนที่รู้สึกถึงความสมจริงมีแต่ลูกกับผู้เล่นของเกมส์เท่านั้นแหละ”

    “ชอบค่ะ ดอกไม้ต้นไม้วันนี้มีสัมผัสเหมือนกับข้างนอกบ้านเราเลย” เธอใช้ดวงตาสีเทาจ้อง “มิเชลอยากเล่นเกมส์ออนไลน์ค่ะพ่อ นะคะ... นะคะ”

    “ทีนี้พ่อคงต้องคิดนิดหน่อยว่าจะเอาไงดี” เขายกธงยอมแพ้ต่อสายตาอ้อนวอน “บริษัทเราไม่ได้ทำตัวละครเด็กให้ผู้เล่นสร้างได้เนี่ยสิ ตัวลูกในตอนนี้ก็สร้างสมัยลูกเพิ่งจะเก้าขวบ คงต้องสร้างตัวละครใหม่ให้ลูกสำหรับเล่นเกมส์แยกไปเลยดีกว่ามั้ง”

    “มิเชลไม่อยากได้ตัวละครใหม่” เธอรู้สึกผูกพันกับร่างนี้เพราะใช้มานาน

    “แต่ตัวลูกตอนนี้ เป็นแค่ร่างที่มีทุกอย่างเป็นค่าปริยายหมด เพราะตัวลูกถูกสร้างมาก่อนเกมส์ซะอีก พอเอาไปเทียบกับระบบเกมส์แล้วก็จะกลายเป็นตัวละครเพศชาย”

    “ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นแค่คำเรียกในเกมส์เฉยๆ ไม่ใช่เหรอ”

    “งั้นก็ล็อคเอาท์ออกไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพ่อจะเข้ามาสอนเล่น โอเคมั้ย”

    “พ่อจะมาเล่นด้วย! ได้เลยค่ะ!” มิเชลบีบปมเชือกชุดเอี๊ยมออกจากวิช่วลเวิร์ลทันที ไม่รอฟังพ่อพูดต่อ

    มิเชลอาบน้ำด้วยความเร็วสูง จากนั้นเธอก็ล็อคอินกลับเข้าไปใหม่ แล้วเดินทะลุกำแพงห้อง ตั้งใจจะไปหามีดเล่มที่ทำหล่นไว้ เพราะทนรอพ่อไม่ไหว

    พอเท้าก้าวพ้นอาณาเขต มิเชลก็โผล่แว่บออกมาบริเวณป่าเขียวชอุ่มเช่นเคย ไม่มีเส้นทางให้กลับไปยังห้องทุ่งดอกไม้ของเธอ มีแต่ต้องรอพ่อมารับเท่านั้น และเด็กหญิงรู้ว่าพ่อจะตามหาอยู่ดี

    สักพักก็เจอมีด เพราะเธอจำรายละเอียดก่อนออกได้ มิเชลหย่อนก้นลงกับพื้นพลันสังเกตุเห็นว่าดินยุบลงตามแรงเหยียบของเท้า เด็กสาวหยิบมีดมาขูดเล่น ไปๆมาๆ ก็เริ่มวาดเป็นรูป มีหัว มีหนวด มีหาง

    “วาดรูปหนูจิ๊ดเหรอ”

    ”ค่ะ” เธอหันไปตอบพ่อ ผู้สวมชุดคลุมมีปกขาวล้วนทั้งตัว และนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เขายังสวมปอกแขนมหัศจรรย์อันนั้นอยู่ “มันชื่อหนูจิ๊ดเหรอ”

    “วันนี้ลูกฆ่ามันได้ใช่มั้ย เก็บไอเท็มจากมันมารึเปล่า”

    “ไอเท็ม?”

    “ของที่จะหล่นออกจากตัวมันเวลา ชำแหละ น่ะ” เขาตอบ “หนูจิ๊ดมันจะให้ฟัน หนวด เนื้อกับหนัง”

    “หมายถึงตอนหนูเอามือฉีกตัวมันน่ะเหรอ แล้วตัวมันจะหายปุ๊งไป แล้วมีอะไรโผล่มาแทน”

    “ลูกชำแหละมันด้วยมือเหรอ.....” เขารู้สึกหวาดเสียวแทน “คราวหน้าคราวหลัง เอามีดที่ลูกมีฉีกนะ อย่าใช้มือ เดี๋ยวคนเค้าจะเห็นเป็นซีอุยเอา…”

    “ค่ะ แล้วอันนี้อะไรคะพ่อ” เธอถามในระหว่างที่พ่อกำลังเอากำไลสีเงินสวมให้ บนนั้นมีปุ่มสองปุ่ม เป็นรูปวงกลมกับดาว

    “มันเรียกว่า เมนูเกมส์ ลองกดปุ่มวงกลมดูสิ”

    เด็กสาวผมดำกด และปรากฏหน้าต่างเล็กๆ ลอยกลางอากาศเหนือข้อมือที่สวมกำไล

    “ใช่ๆ แบบนั้นแหละ ลองอ่านดู”

    ชื่อ มิเชล
    เลือด 30/30
    พลังเวทมนต์12/12
    เพศ ชาย
    เผ่า มนุษย์
    ส่วนสูง 125cm
    อาชีพ นักผจญภัย
    เลเวล 2
    ฉายา - ไม่มี –

    “พ่อพยายามขอให้เค้าช่วยแก้เรื่องเพศดูแล้วแต่เขาไม่ยอมทำให้ เขาบอกว่ากลัวจะเกิดข้อผิดพลาดลูกโซ่ตามมาทีหลัง แต่ไม่เป็นไรหรอก เกมส์นี้เพศไม่ค่อยมีผลต่อการเล่นเท่าไหร่ นอกจากไว้บอกเฉยๆ ยังไงรูปร่างหน้าตาลูกก็เป็นผู้หญิง พ่อจะปรับส่วนสูง กับอายุให้ลูกก่อนนะ“

    เขาเอานิ้มจิ้มๆ ในปลอกข้อมือสีขาว หน้าต่างข้อมูลของเธอก็เกิดการเปลี่ยนแปลง พร้อมแสงวาบๆ

    ส่วนสูง 140 cm

    ชายหนุ่มควักกระจกให้ลูกสาวสำรวจร่างใหม่ของตัวเอง เธอหมุนซ้ายขวา ยกแขน เล่นหูเล่นตาหน้ากระจก

    “ตัวมิเชลตอนนี้หน้าตาเป็นแบบนี้เหรอ” เธอสูงขึ้น ใบหน้ากลมๆ ก็เรียวขึ้น แต่เธอดูเหมือนเด็กผู้ชายหน้าหวานที่ไว้ผมยาว

    “ถ้าลูกเป็นผู้ชาย ก็คงจะหน้าตาแบบนั้นแหละ แต่ไม่ใช่หรอก...” ผู้เป็นพ่อจิ้มอะไรบางอย่างบนปลอกข้อมือ เอามันเล็งไปที่ตัวลูกสาว “อีกนิดนะ พ่อจะปรับสัดส่วนให้”

    เธอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อย หุ่นราบเรียบทรงกระบอกค่อยๆ ปรากฏเป็นเอวเล็กๆ แขนขาเก้งก้างเริ่มเรียวลง ดูเป็นเด็กผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น ใบหน้ารับกับผมสีดำสั้นประบ่าและดวงตาสีเทา แต่ไม่ไร้แววอย่างที่ผ่านมา ดูมีชีวิตชีวา

    “นอกจากดวงตาแล้ว นี่แหละตัวลูกตอนนี้ ถ้าอยากให้ยืนยัน จะไปอัพโหลดรูปถ่ายมาให้ดูก็ได้” ผู้เป็นพ่อหัวเราะ

    “หนูชอบตาแบบเดิมมากกว่า” มิเชลไม่คุ้นกับตาใหม่ ของเก่าต้องสีซีด ไร้ประกายและแวว แต่นั่นคือเอกลักษณ์ที่ตนคุ้นเคย

    ”เดี๋ยวก็ชินแหละ พ่ออยากให้ลูกสาวตัวเองมีดวงตาสวยๆ” ที่จริง... เป็นเพราะตาเดิมของเธอสามารถบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นคนตาบอด เลยดูน่ากลัวกว่าปกติ เขาจึงคิดปรับนิดหน่อย “คราวนี้ลองกดปุ่มดาวสิ ลูกจะดูทักษะได้”

    เธอกดตามพ่อบอก ปรากฏเป็นจอเล็กๆ

    ทักษะอาชีพ –แล่หนัง ระดับ 0-
    ทักษะต่อสู้ –ไม่มี-

    “ทักษะลูกต้องหาจากในเกมส์เอาเอง แต่ละทักษะจะมีเงื่อนไขในการได้มา ส่วนเลเวลจะเลื่อนระดับได้ ถ้าได้รับแต้มค่าประสบการณ์จากภารกิจ หรือฆ่าสัตว์อสูร”

    “มิเชลเลเวลสองแล้วเพราะฆ่าหนูใช่มั้ยคะ”

    “ใช่ พอชำแหละซากมันแล้ว จะได้ของมาใช่มั้ย? นั่นเรียกว่าไอเท็ม ไอเท็มที่หล่นจากสัตว์อสูรเอาไปเก็บมาขายเป็นเงิน หรือใช้เป็นวัตถุดิบได้ เกมส์นี้ถ้าไม่มีเงินก็เล่นลำบาก”

    “มิเชลเก็บไอเท็มไว้ในนี้” เธอถ่างกระเป๋าเอี๊ยมโชว์ฟันกับหนังหนู

    “กระเป๋าเอี๊ยมมันไม่มีช่องเก็บของ ได้แต่ยัดๆ ลงไปตามขนาดเท่านั้นแหละ เอานี่ไป” เขายื่นสายคาดเอวสีน้ำตาลให้ “อันนี้มีช่องเก็บของแปดสิบช่อง ในนี้มีสมุดรายชื่อเพื่อนอยู่เล่มนึง เอาไว้จดบันทึกชื่อคนที่ได้เจอในเกมส์ ทั้งเข็มขัดทั้งสมุดเป็นไอเท็มระบบที่ขาย ทิ้ง ยกให้ใครไม่ได้”

    เด็กหญิงผมดำรับสายคาดเอวมาสวม มันทำจากหนัง สภาพดูเก่า มีกระเป๋าใบจิ๋วติดอยู่ และช่องข้างในดูกว้างเกินกว่าตาเห็น มิเชลล้วงสมุดรายชื่อเพื่อนออกมา หยิบปากกาขนนกที่ถูกผูกติดไว้ แล้วเขียนคำว่า ‘พ่อ’ แต่มันเลือนหายไปทันที

    “พ่อไม่ได้ชื่อนั้นนะลูก” เขาหัวเราะ “และพ่อก็เป็นคนที่ถูกบันทึกชื่อไม่ได้เพราะพ่อไม่ใช่ผู้เล่น... แค่มาสอนเล่นด้วยก็ถือว่าแอบโกงนิดๆแล้ว”

    จากนั้นเขาสอนรายละเอียดปลีกย่อยของเกมส์ต่ออีกเล็กน้อย... เด็กหญิงได้เรียนรู้ว่าในเกมส์มีทั้งหมดสี่เผ่า มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และสัตว์ป่า ส่วนสถานที่ๆ เธออยู่คือป่าแห่งการเริ่มต้น มีไว้เพื่อผู้เล่นใหม่เท่านั้น ถ้าเปลี่ยนอาชีพแล้ว แต่ยังไม่ออกจากป่าแห่งการเริ่มต้น ภายในหนึ่งเดือนจะถูกบังคับวาร์ปออกไปให้เผชิญกับโลกภายนอก

    “เรื่องวิธีใช้ไอเท็ม วิธีใช้อาวุธพ่อก็สอนไปหมดแล้วล่ะนะ” ชายหนุ่มผมบลอนด์เปรย “พ่อจะปล่อยให้ลูกเล่นเองล่ะ ขอให้สนุก”

    “พ่อจะไม่เล่นด้วยกันเหรอคะ”

    “สถานะของพ่อไม่สมควรจะลงมาเล่นเกมส์ด้วยหรอก บริษัทพ่อเป็นสปอนเซอร์หลักของเกมส์นี้” เขาอธิบาย “ได้เวลาที่ต้องไปล่ะ ก่อนที่จะมีผู้เล่นคนไหนมาเห็นพ่อยืนแถวนี้... อ้อ เกือบลืม”

    เขาเอาปลอกข้อมือเล็งมายังเด็กสาว ชุดเอี๊ยมที่เธอใส่เปลี่ยนไป กลายเป็นเสื้อกล้ามสีเทาหม่นแขนกุด กางเกงดำยาวถึงเข่าเหมือนของอิลเปี๊ยบ!

    “นี่เป็นชุดของผู้เล่นใหม่ พ่อต้องรีบไปจริงๆ ล่ะ” เขากดปุ่มบนปลอกข้อมือ แล้วหายตัวไป

    หลังจากฟังวิธีเล่นเกมส์ ก็ชักกระเหี้ยนกระหืออยากลองวิชา เด็กหญิงวิ่งไล่ฆ่าหนูต่อเนื่อง เธอเก็บไอเท็มทุกอย่าง พอจัดการตัวที่ห้าสิบแปดเสร็จ ก็มีปัญหากระเป๋าเต็ม

    มิเชลพยายามหาทางยัดของลงไปในช่องเดียวกัน แต่มันจะถูกผลักกระเด็นออกมา เธอจึงต้องทิ้งด้วยความเสียดาย พอออกแรงมากๆ ก็ชักหิว พ่ออธิบายทิ้งไว้ว่าถ้าหิวมากๆ อาจจะทำให้เลือดค่อยๆ ลดลง จนตายได้

    เด็กสาวตะกายปีนเก็บผลไม้กิน บางลูกสุกอร่อย บางลูกก็เปรี้ยวเพราะดิบ และพอเธออยู่บนยอดไม้ จึงมองเห็นเต๊นท์เล็กใหญ่มากมายอยู่ไกลๆ มีฝูงคนอยู่ตรงนั้นเป็นร้อยคน เหมือนชุมชนขนาดย่อมๆ

    เธอโดดลงจากต้นไม้ แล้วมุ่งตรงไปยังชุมชนเต๊นท์ทันที…

    ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่จากยอดไม้ เต๊นท์หลากสีตั้งสลับกันเป็นหย่อม บ้างเล็กบ้างใหญ่ บางหลังก็มีป้ายไม้ปักบอกชื่อไว้ ฝูงชนบริเวณนั้นแต่งตัวคล้ายเธอกันหมด เสื้อกล้ามสีเทาแขนกุด กางเกงดำ และสายตามิเชลไปสะดุดอยู่ที่หนึ่ง..

    “ลาล่า!” เธอร้อง

    เอลฟ์สาวผมเขียวหันกลับมามอง เธอพินิจสายตาไปที่เด็กตรงหน้าสักพักก่อนร้องอ๋อ

    “คุณมิเชล!”

    “มิเชลไปให้พ่อช่วยทำให้ค่ะ ตอนนี้สูงขึ้น แล้วก็มีกำไลกับสายคาดเอวแล้วด้วย” เธอโชว์ของใหม่บนตัว ลาล่าเข้าใจเอาเองว่าพ่อช่วยลูกสร้างตัวละครให้ใหม่ ดูท่าคุณมิเชลยังเป็นเด็กอยู่ “แล้วลาล่ามาทำอะไรแถวนี้เหรอ”

    “กำลังรออิลรับภารกิจเปลี่ยนอาชีพอยู่จ้า” เธอยิ้ม ยกนิ้วชี้ไปเต๊นท์ใกล้ๆ

    เต๊นท์หลังนั้นมีคนยืนเข้าคิวเรียงอยู่สองสามร้อยคน ส่วนอิลยืนอยู่ลำดับกลางๆ แถว มิเชลพอจะจำแนกได้จากหัวสีน้ำตาลกระเซิงๆ ชายหนุ่มหันมาโบกมือยิ้มให้นิดหน่อย

    “อิลจะเล่นนักเวทน่ะ สายอาชีพนี้คนนิยมเยอะ ต้องรอนานหน่อย” ลาล่าอธิบาย “คุณมิเชลเล็งอาชีพอะไรไว้เหรอ แล้วเก็บได้เลเวลเท่าไหร่แล้ว”

    “4 ค่ะ” เธอเรียกหน้าต่างข้อมูลขึ้นมาดูจากกำไล “เรื่องอาชีพ มิเชลยังไม่รู้เลยว่ามีอาชีพอะไรบ้าง”

    “แบบนั้นต้องลองเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ ดูว่าชอบเล่นแบบไหน นักเวทคิวยาวมากเลย คงอีกพักใหญ่กว่าอิลจะได้ภารกิจเปลี่ยนอาชีพ ให้ฉันช่วยเอง กดตอบรับสิ”

    หน้าต่างสองกรอบเด้งออกมาจากกำไลข้อมือ อันนึงเขียนว่าขอเป็นเพื่อน อีกอันอ่านได้ว่า ขอเชิญเข้ากลุ่ม ‘แหววๆ’ มีปุ่มตอบรับกับยกเลิกด้านล่างข้อความ มิเชลเอามือแปะตกลงไป

    “ฉันส่งข้อความไปบอกอิลเรียบร้อยแล้ว คุณมิเชลตามมาเลย”

    เอลฟ์สาวพาเด็กหญิงเดินกลับทางเก่า แต่แทนที่จะตรงไป เธอกลับเลี้ยวขวา ข้ามลำธาร ทุ่งหญ้าสีเขียวแซมน้ำตาลปรากฏเบื้องหน้า กระต่ายป่าแมวป่า และสัตว์ป่าตัวใหญ่ๆ หลายตัวโผล่มาให้เห็นอยู่ไกลๆ มิเชลตั้งท่าเตรียมจู่โจม แต่โดนลาล่ายกมือห้ามไว้ก่อน

    “ถ้าคุณมิเชลมาคนเดียว ก็ฝึกเก็บเลเวลตรงนี้ได้อยู่ แต่ฉันมาด้วยเนี่ย เสียเวลาเปล่าๆ ไปลึกๆ ดีกว่า”

    ลำธารใสค่อยๆ ลับสายตาและดูเล็กลง ลมอุ่นพัดผ่านใบหน้า ทุ่งหญ้าเริ่มสูงขึ้น และเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ มิเชลเก็บรายละเอียดรอบด้านตลอดทาง เธอติดนิสัยนี้มาจากชีวิตจริง คนตาบอดใช้ร่างกายทั้งหมดช่วยจดจำ จึงช่างสังเกตุมากกว่าคนตาดี และยังมีประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษ

    ทั้งคู่ค่อยๆ ก้าวเท้าลำบากขึ้นเพราะโดนหญ้าตำขา ลาล่าเริ่มต้นบ่นเรื่องความสมจริงเกินจำเป็น ความเร็วของสองสาวตกลง กว่าจะตั้งตัวได้อีกที ก็เจอทุ่งราบสีเหลืองอ่อน อากาศค่อนข้างแห้ง ต้นหญ้ารอบๆ อยู่ในสภาพขาดน้ำตายเกือบหมด

    มิเชลก้มต่ำ ตั้งใจจะเก็บหญ้าสีเหลืองใส่มือ แต่โดนลาล่าเร่งเลยไม่มีโอกาสเก็บ เอลฟ์สาวคว้าแขนเด็กหญิงผมดำไปที่ต้นไม้ใหญ่ ใบของมันเหลืออยู่นิดเดียวแล้ว มีแต่กิ่งแห้งๆ ผุๆ เธอชี้นิ้วขึ้นข้างบน แล้วปีนนำ เป็นสัญญาณว่าให้ตามมา

    ทั้งคู่ได้ขึ้นมาเอนหลังอยู่บนยอดไม้สูง ทัศนวิสัยตอนนี้กว้างไกลมาก มิเชลเห็นสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่เต็มทุ่ง ถ้าพวกมันไม่ได้ยืนกินหญ้าอยู่เฉยๆ ก็จะสู้อยู่กับผู้เล่นบางกลุ่ม และสักพักก็โดนปราบได้

    ลาล่าชักคันธนูขึ้น เธอเล็งต่ำ ยิงเข้ากลางลำตัวหมาป่าขนเงินที่กำลังนอน มันร้องคราง ทว่ายังไม่ตาย แถมพยายามส่ายหัวมองหาผู้ลงมือ เอลฟ์ผมเขียวหยิบอีกดอกโจมตีใส่จากบนต้นไม้ มันดิ้นอาละวาดเพราะความเจ็บปวด หญิงสาวฆ่าได้ในครั้งที่สาม และเปลี่ยนเป้าหมายไป ณ เหยื่อใกล้ๆ กัน เธอทำซ้ำเหมือนเดิม จังหวะเดิม

    มิเชลมองเอลฟ์สาวตาเป็นประกาย ลาล่าเป็นมือธนูที่เท่ห์มาก เธอยิงเข้าทุกเป้า แม้จะช้า และไม่ตรงจุดกึ่งกลางนัก บางลูกแค่เฉี่ยวขา หรือลำตัว แต่ก็หนักและแรง ตัวเลขสีแดงเด้งบนหัวเป็นเลข 30 บ้าง 40 บ้าง ผิดกับเธอที่ใช้มีดจิ้มทีละ 4, 5 หรือ 6

    ลาล่ายังคงทำเวรทำกรรมกับหมาป่าไปเรื่อยๆ มิเชลได้แต่นั่งรอเฉยๆ โดยมีระบบคอยประกาศการเลื่อนเลเวลเป็นระยะ แต่เธอสนใจวิธียิงธนูของเอลฟ์สาวมากกว่า

    “อยากเล่นอาชีพนี้แล้วล่ะซี่” เธอยิ้ม รู้ว่าเด็กตรงหน้ากำลังคิดอะไร “ดูเท่ห์ แต่อาชีพนี้เล่นยากนะ ถึงจะมีทักษะซูมภาพเข้าไปใกล้ๆ แต่ก็ใช้มือตัวเองยิงอยู่ดี ฉันเล่นเป็นนักธนูทุกเกมส์แล้วก็เลยคล่อง เกมส์อื่นๆ คุณมิเชลเล่นเป็นอาชีพอะไรล่ะ”

    “เรียกมิเชลเฉยๆ ก็ได้ค่ะ มิเชลไม่เคยเล่นเกมส์อื่นหรอกค่ะ เพิ่งจะได้เล่นวิช่วลเวิร์ลเป็นอันแรก”

    “วิช่วล? อะไรนะ.. เกมส์นี้ชื่อพาราเรลออนไลน์นะ?”

    เอ.. วิช่วลเวิร์ลกับเกมส์ออนไลน์มีคนละชื่อนี่เอง มิเชลคิด…

    “หมายถึงพาราเรลออนไลน์ค่ะ” เธอตามน้ำไป “มีพ่อช่วยสอนเล่นให้แล้ว แต่ไม่ได้อธิบายเรื่องอาชีพเลยว่าต้องเล่นตัวไหน”

    “อ้อ งั้นคุณมิเชล ไม่สิ เรียกมิเชลเฉยๆดีกว่าเนอะ... มิเชลโชคดีมากเลยนะที่ได้เล่นเกมส์นี้พอดี เกมส์นี้สมจริงยิ่งกว่าเกมส์อื่นที่ฉันเคยเล่นมาเลยแหละ เกมส์อื่นจะไม่ให้สัมผัส ความรู้สึกละเอียดขนาดนี้ เกมส์อื่นเวลาฉันถือธนูในมืออยู่ แต่ถ้าไม่มองก็ไม่รู้ว่าบนมือมีธนู” เธอยกธนูวางบนมือทำเป็นภาพประกอบ “แต่เกมส์นี้ ความสากๆ ของธนูไม้ ทำให้หยิบของได้โดยไม่ต้องมองเหมือนเกมส์ก่อนๆ เหมือนใช้ชีวิตในโลกจริงๆ เลย”

    มิเชลพยักหน้ารับรู้ เธอคิดเปรียบเทียบตามในแบบวิช่วลเวิร์ล เธอสามารถยกเก้าอี้ เลื่อนโต๊ะ เด็ดดอกไม้ แต่ไม่สามารถรับสัมผัสความรู้สึกจากมันได้ คงจะเป็นระบบเดียวกันกระมัง

    “อาชีพในเกมส์น่ะถ้าจะเลือกต้องเลือกดีๆ นะ เลือกได้ครั้งเดียว พลาดแล้วพลาดเลย เกมส์นี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องอาชีพเยอะที่สุดจากเกมส์ที่เคยมีมา ถ้าไม่อ่านคู่มือมาให้ดีก่อนเลือกไม่ถูกแน่ๆ เพราะมีเป็นร้อยๆ อาชีพให้เลือก”

    “มีอะไรบ้างคะ”

    “เยอะแยะ ไล่ให้ไม่ถูกหรอก ไปอ่านที่เต๊นท์อาชีพเมื่อกี้เอาเองจะดีที่สุด”

    “งั้นกลับไปที่เต๊นท์กัน” มิเชลยักคิ้ว

    “ยังสิ จะเปลี่ยนอาชีพได้ต้องเลเวลสิบห้าก่อน” เธอกดปุ่มวงกลมบนกำไล เอานื้วจิ้มหน้าจอที่ลอยกลางอากาศ ซึ่งสามารถเห็นได้อยู่คนเดียว “มิเชลเลเวลสิบแล้ว ทำไมเลือดน้อยจัง ยังไม่เกินห้าสิบเลย ไม่ได้อัพสถานะเพิ่มเหรอ”

    “สถานะ?” เรื่องนี้พ่อยังไม่ได้สอน... แล้วทำไมลาล่าดูข้อมูลของมิเชลจากกำไลลาล่าได้นะ

    “เวลาเลเวลเพิ่ม สถานะตัวละครจะอัพสุ่มให้ตามลักษณะของเผ่าพันธ์สามแต้ม เหลืออีกสามแต้มไว้อัพเอง ลองกดปุ่มวงกลมของตัวเองดูสิ”

    เธอทำตาม…

    ชื่อ มิเชล แต้มสถานะคงเหลือ 27 แต้ม กรุณาจิ้มค่าสถานะที่ต้องการเพิ่ม
    เลือด 46/46 พลัง 15 เสน่ห์ 14
    พลังเวทมนต์18/18 เวทมนต์ 13 โชค 13
    เพศ ชาย
    เผ่า มนุษย์
    ส่วนสูง 140cm
    อาชีพ นักผจญภัย
    เลเวล 10
    ฉายา - ไม่มี –
    เป็นสมาชิกของกลุ่ม แหววๆ สมาชิก 3 คน จิ้มเพื่อดูรายละเอียด

    เธอไม่รู้วิธีสร้างตัวละครตามหลักผู้เล่นเกมส์ทั่วๆ ไป จึงกดทุกค่าสถานะ ไล่ไป ให้เท่ากัน ๆ กลายเป็น....

    เลือด 206/206

    แต้มสถานะคงเหลือ 0 แต้ม
    กำลัง 21 เสน่ห์ 21
    เวทมนต์ 20 โชค 20

    ปกติแล้ว การปั้นตัวละครในเกมส์ ต้องสร้างให้โดดเด่นไปในทางใดทางหนึ่ง เพราะค่าสถานะโดนจำกัดที่ความลำบากในการเพิ่มเลเวล ยิ่งสูงยิ่งเพิ่มยาก ถ้ากะเอาให้ครบทุกอย่างจะกลายเป็นเป็ดก่อนเก่ง และอย่างมิเชลที่ใช้นิ้วจิ้มทุกอย่างเท่ากันจึงเรียกว่ากดมั่ว

    มิเชลลองจิ้มดูรายละเอียดของกลุ่ม มันโชว์ให้เห็นเลือดทุกคน มิน่า ลาล่าถึงรู้เลือดของเธอ อิลมีชื่อเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลาล่าเป็นรองหัวหน้า ส่วนคำนำหน้าของเธอคือสมาชิกสามัญ

    ลาล่าพาเธอเพิ่มเลเวลต่อได้อีกสองเลเวลอิลก็โผล่มา เขาถอดเสื้อกล้ามสีน้ำตาลออกกลายเป็นชุดคลุมสีน้ำเงิน ในมือถือไม้เท้างอๆ อันหนึ่ง ชายหนุ่มทดสอบพลังเวทบทใหม่กับฝูงสัตว์อสูร และช่วยมิเชลเร่งค่าประสบการณ์ให้เร็วกว่าเดิม เพียงแต่... หนุ่มสาวคู่นี้ยังต้องพากันหลบอยู่บนต้นไม้ แล้วยิงลงข้างล่าง

    “ขอหลบอยู่ด้วยคน” อิลรีบถีบตัวเองขึ้นต้นไม้ พอดีกับที่เสือดาวม่วงกัดชายกางเกงของเขาออกไปนิดหน่อย ชายหนุ่มหันมายิ้มเขินๆ “นักเวทเป็นอาชีพเปราะบาง เลือดน้อย อยู่ข้างล่างมีแต่ตาย”

    “แล้วเธอก็ทำให้พวกมันรู้ตัวจนได้ว่าเราหลบอยู่บนต้นไม้ต้นไหน!” ลาล่าหันไปโวยแฟนหนุ่ม “คราวนี้จัดการไม่หมดก็ไม่ต้องลงแล้ว”

    เป็นอย่างที่ลาล่าพูด... หมาป่าขนเงินเริ่มมารวมกลุ่มมะรุมมะตุ้ม ทำเสียงฮื่อฮ่าโกรธแค้นไปยังคนข้างบน

    “แหม... ถ้าอยู่คนเดียว โดนรุมคนเดียวมันก็เหงา” เขาทำหน้าทะเล้นตอบ พลางเริ่มทดลองเวทบทใหม่ไปด้วย “หมาป่าขนเงินเลเวลแค่สิบหก คนได้อาชีพแล้วสองคนช่วยกันรุมนี่สบายๆ น่า”

    “ถ้าสบายจริงก็ลองลงไปยืนประจัญหน้ากับมันข้างล่างละกัน!” เธอย้อน “เกมส์นี้สัตว์อสูรโหดจะตาย ตัวต่อตัวกับสัตว์อสูรที่เลเวลเท่ากันยังลำบากเลย”

    นักเวทหนุ่มกับมือธนูสาวช่วยกันจัดการฝูงสัตว์อสูรจนหมดด้วยวิธีลอบกัดแบบเดิม ถึงลาล่าจะบ่นโน่นนี่ แต่ทั้งคู่สามารถล้มพวกมันได้อย่างง่ายดาย สักพักพวกเขาก็ย้ายทำเล ไปยิงเสือดาวม่วงแทน เพราะหมาป่าขนเงินชักให้ค่าประสบการณ์น้อย ที่น่าเสียดายคือไอเท็มหล่นจากศัตรูต้องทิ้งไว้บนพื้น ขืนลงมาพิรี้พิไรเก็บคงโดนสัตว์แถวนี้เล่นงาน

    ทั้งคู่ตั้งใจจะพาเธอจนเลเวลสิบห้าแล้วไปช่วยเลือกอาชีพ แต่สัญญาณกำไลของมิเชลดังซะก่อน มันเป็นเวลาเตือนให้ออกจากเกมส์ แน่นอนว่าพ่อเป็นคนตั้ง เด็กสาวบอกลาอิลกับลาล่า พลางพยายามควาญหาเชือกชุดเอี๊ยมที่เคยมีตามความเคยชิน ทว่าไม่เจอ

    อิลกับลาล่าจึงต้องจูงมือเธอไปล็อคเอาท์บริเวณเต๊นท์เลือกอาชีพ พวกเขาอธิบายว่าการออกจากเกมส์ต้องมีที่พัก และยังเสียเงินนิดหน่อยด้วย แต่ในบริเวณสำหรับผู้เล่นใหม่จะมีบริการให้ฟรี

    เต๊นท์สำหรับการใช้ออกจากเกมส์นั้นเข้าใจง่ายมาก เพียงแค่เลิกม่านขึ้นแล้วเดินผ่านเท่านั้น พอมิเชลก้าวเข้าไป ตัวจะเริ่มรู้สึกหนักอึ้ง มันคือน้ำหนักของแขนขาตนที่กดทับบนเตียง เธอคลำหานาฬิกาเบรลเพื่อดูเวลา เกือบห้าทุ่ม เลยเวลานอนมาขั่วโมงนึงแล้ว และในเมื่อพ่อเป็นคนตั้งเวลากำไลเตือนไว้ ก็น่าแปลกดีว่าพ่อยอมให้นอนดึกได้

    คืนนั้นมิเชลหลับสนิทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอมักตื่นขึ้นมากลางดึก นอนเป็นเวลาสั้นๆ แล้วกลับไปง่วงอีกทีในตอนกลางวัน หลายคนที่ตาบอดสนิทมีนาฬิกาชีวิตผิดปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถแยกแยะวันคืนจากการรับแสงได้ เด็กหญิงดึงผ้าห่มนอนขด ดำดิ่งลงไปในห้วงนิทรา ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความเหนื่อยจากการปีนต้นไม้ผ่านพาราเรลออนไลน์ และวิ่งตะครุบหนูตลอดเย็น

    -------------------------------------------------------
  3. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอนที่ 2 ช่างฝีมือหนุ่มกับนักเวทสาว(?)

    ตอนเช้าพ่อเข้ามาปลุก เพราะวันนี้คือวันไปโรงเรียน และวันหยุดของพี่เลี้ยง

    เด็กหญิงคลายสัมผัสเนียนนุ่นของผ้าห่มออกจากมือ มิเชลเดินตรงไปห้องน้ำได้โดยไม่ชนอะไรเพราะจำทางได้แม่น ร่างเล็กเลือกหยิบแชมพูจากขวดที่ติดสติ๊กเกอร์นูนรูปวงกลม ส่วนสบู่เหลวเธอแปะแบบที่เป็นขอบวงแหวนนูนๆ ไว้

    มิเชลอาบน้ำกินข้าว เสร็จแล้วคว้าไม้เท้าสีขาวขึ้นรถพ่อ เธอไปโรงเรียนแค่สัปดาห์ละครั้ง การสอนเด็กตาบอดหูหนวกต้องทำตัวต่อตัว และโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนเยอะกว่าครู เขาจึงอยากให้เรียนในบ้าน แต่ก็ยังกลัวลูกจะไม่ได้เข้าสังคม เลยต้องจัดวันไปโรงเรียนด้วย

    โรงเรียนของมิเชลเป็นโรงเรียนสำหรับคนตาบอดโดยเฉพาะ เด็กสาวมีเพื่อนสนิทอยู่สองคนชื่อโทนี่กับอลิส โทนี่แค่ตาบอดอย่างเดียว ส่วนอลิสพิการซ้ำซ้อน เธอมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเหมือนมิเชล

    เด็กๆ ส่วนใหญ่คุยกันด้วยเสียง แต่กรณีพิเศษอย่างมิเชลและอลิสต้องใช้ภาษามือแบบสัมผัสที่มีสอนเฉพาะใน โรงเรียนคนตาบอด และเช้านี้ เธอแปลกใจที่หาอลิสไม่เจอ ปกติเพื่อนสาวนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ พอคลำหากลับไม่อยู่ สักพักก็มีมือยื่นเข้ามาแปะสะเปะสะปะข้างหัวเธอ

    นั่นคงจะเป็นโทนี่ที่พยายามคลำหาฉันกับอลิสล่ะมั้ง โทนี่ก็มองไม่เห็นถึงได้จับมั่วบ่อย...

    เขาเป็นโทนี่จริงๆ เพราะเขาทำสัญลักษณ์บนหลังมือเธอในแบบที่ตกลงกันไว้ มิเชลยื่นเบรลคีย์บอร์ดไปให้เพื่อนกด มันเป็นอุปกรณ์ที่มีคีย์บอร์ดสองข้างซึ่งหันหน้าออกจากกัน และใต้คีย์บอร์ดจะเลื่อนจอที่ใช้แสดงผลภาษาเบรลมาอ่านด้วยนิ้วสัมผัส

    เด็กทั้งสองจำตำแหน่งตัวอักษรบนคีย์บอร์ดได้แม่นยำ การพิมพ์ดีดเป็นทักษะสำคัญมากของคนตาบอด พวกเขาไม่สามารถมานั่งจิ้มๆ และเช็คคำผิดก็ไม่ได้ด้วย

    อลิสจะไม่มาเรียนเดือนนึง เธอไปผ่าตัดใส่เส้นประสาทหูเทียม

    มิเชลใจเต้นแรง เรื่องนี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเพื่อนสาว เส้นประสาทหูเทียมมีราคาแพงมาก และคนหูหนวกแต่เกิดควรใส่ตอนเป็นเด็กเล็กๆ พวกเธออายุสิบสาม ถึงจะไม่เร็ว แต่ก็ไม่ได้สายเกินไปเลย

    ดีจัง อลิสรอคิวนี้มานานแล้ว ในที่สุดเรื่องที่ยื่นไว้รัฐบาลก็ช่วยจัดการให้

    เธอก็อยากใส่บ้างใช่มั้ยะ

    ใช่ แต่โทนี่ก็รู้ว่ามิเชลแพ้ยาสลบขั้นรุนแรง ผ่าตัดไม่ได้ ไม่งั้นพ่อคงทำให้ตั้งแต่เกิดแล้ว

    โทนี่หยุดพิมพ์ไป

    แหม เงียบเลยนะ มิเชลอยากใส่ แต่ถึงไม่ได้ใส่มิเชลก็อยู่ได้ มิเชลมีอุปกรณ์แพงๆ ของพ่อมาใช้งานแทนเยอะกว่าคนอื่นด้วย แถมผ่าตัดต้องเปิดหัว น่ากลัวออก

    เบรลคีย์บอร์ดอย่างน้อยๆ มีมูลค่าเท่ากับรายได้สองสามปีของคนทั่วไป มิเชลยอมรับว่าชีวิตของเธอสะดวกสบายขึ้นเพราะอุปกรณ์พ่อ โดยเฉพาะวิช่วลเวิร์ล ที่เธอสามารถใช้ดูการ์ตูน หรือเล่นอินเตอร์เน็ทผ่านโลกจำลองได้

    เด็กทั้งสองเริ่มเปลี่ยนเรื่องพูด นิ้วสามารถสัมผัสอักษรเบรลได้แค่ทีละสองสามตัว การสนทนาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า กระนั้น พวกเขายังคุยกันสนุกสนานดี มิเชลเล่าเรื่องพาราเรลออนไลน์ให้โทนี่ฟัง เขาทำท่าสนใจ ที่สำคัญคือ สามารถมองเห็นในนั้นได้ เด็กชายพอรู้จักวิช่วลเวิร์ลจากเพื่อนสาวมานาน แต่ไม่เคยคิดว่าตนจะมีโอกาสลองอะไรคล้ายๆ กันเลย

    ดูเหมือนคนที่บ้านโทนี่เล่นเกมส์นี้อยู่ โทนี่บอกว่าน่าจะขอเล่นด้วยได้ มิเชลแอบยิ้ม เพราะรู้จักเพื่อนตนดี เขาชอบใช้ประโยชน์จากการเป็นที่รักของครอบครัวขอโน่นนี่เสมอ พ่อคอยตามใจเพราะลูกตาบอด มีแต่แม่ที่พยายามปรามพ่อ ซึ่งแม่มักแพ้แรงสนับสนุนจากคุณยายอีกที

    การเรียนเริ่มต้นขึ้นตอนแปดโมงครึ่งและจบลงที่บ่ายสอง เธอใช้ภาษามือบอกลาเพื่อน และเอาไม้เท้าพาตัวเองไปยังจุดยืนรอรถพ่อ ส่วนโทนี่จะเดินตามเบรลบล็อคของโรงเรียนจนขึ้นรถเมล์โดยมีคนที่บ้านมารอรับ ยังสถานีปลายทาง เบรลบล็อคเป็นพื้นกระเบื้องสีเหลืองมีปุ่มนูนๆ เรียกอีกอย่างว่าทางเดินของคนตาบอด เพียงแค่เกาะเบรลบล็อคไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะชนกับสิ่งกีดขวางอะไร

    วันนั้นหลังทำการบ้านและอาบน้ำกินข้าว เธอก็ใช้มือถือส่งข้อความหาโทนี่

    ได้เล่นเกมส์เมื่อไหร่บอกด้วย

    อืม คืนนี้แหละ

    จากนั้นก็ส่งคำอวยพรให้อลิสสำหรับการผ่าตัด มือถือที่มิเชลใช้พิมพ์เป็นรุ่นเก่า ฟังชั่นน้อยแต่ดีตรงที่เป็นคีย์บอร์ดแบบมีครบทุกแป้นตัวอักษร นอกนั้นเธอจำเอาว่าต้องกดตรงไหนกี่ครั้ง แล้วใช้เบรลคีย์บอร์ดเสียบเพื่ออ่านข้อความ ส่วนโทนี่อาศัยคนที่บ้านอ่านให้ฟังเพราะหูของเขายังดีอยู่

    พอเข้าไปในเกมส์ ก็พบตัวเองเดินออกจากเต๊นท์สำหรับล็อคเอาท์ กำไลเปล่งแสงกระพริบสีฟ้า เด็กหญิงกดปุ่มวงกลม บนหน้าต่างข้อมูลมีคำว่า มีข้อความใหม่ กรุณาเปิดดูสมุดรายชื่อของท่าน เธอจึงล้วงสมุดรายชื่อขึ้นมาเปิด

    ผู้ส่ง : ลาล่า เวลา: เมื่อวาน 02:53:16
    ข้อความ : ขอ โทษจ้ะ เรารอไม่ไหว เลยออกไปจากเขตผู้เล่นใหม่แล้ว ในนี้ไม่มีอะไรเหลือให้เราสองคนเล่นแล้วน่ะ ไว้เจอกันนะ มีเรื่องสงสัยอะไรก็ส่งข้อความมานะจ๊ะ

    คำพูดของลาล่าเริ่มออกแนวเอ็นดูเด็กลงเรื่อยๆ ดูเหมือนระหว่างอยู่ด้วยกัน เอลฟ์สาวรู้สึกได้ว่ามิเชลอายุน้อยกว่ามาก

    ตอนนี้ พอมิเชลไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อน ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ จึงย้อนกลับไปยังที่อยู่ของเสือดาวม่วง เธอเลียนแบบอิลกับลาล่า โดยพยายามหาวิธีใช้มีดจากบนต้นไม้ และความบังเอิญอย่างน่าประหลาดได้เกิดขึ้น…

    จุดหลบภัยของเธอคือต้นโพธิ์แดง มีปลายเถาวัลย์ห้อยระเกะระกะลงมา มิเชลตัดมาเส้นหนึ่ง จับมาผูกเข้ากับด้ามมีดให้แน่น ร่างเล็กพยายามเหวี่ยงมันใส่เป้าหมาย ก็โดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่สายเชือกทำให้เสือดาวม่วงเห็นเธอ และพากันมารุมอยู่โดยรอบ พวกมันกระโจนใส่ ช่วยกันอาละวาดข่วนต้นไม้ไม่หยุด

    เสือดาวม่วงกับหมาป่าขนเงินเป็นสัตว์อสูรประเภทอยู่เป็นฝูง พวกมันจะไม่โจมตีก่อน ยกเว้นเวลาพรรคพวกถูกทำร้าย อิลกับลาล่าจึงสามารถไปถึงต้นไม้ได้อย่างปลอดภัย และได้ลอบฆ่าจากที่สูง

    มิเชลต้องพยายามเกาะต้นไม้ที่โดนเขย่าไว้แน่น เธอรู้ว่า ถ้าจัดการเสือดาวม่วงรอบๆ ไม่หมดก็ไม่ได้ออกไปจากตรงนี้ เด็กหญิงใช้มือขวาจับสายเถาวัลย์แล้วเหวี่ยงใส่พวกมันอย่างต่อเนื่อง

    จากการใช้มีดแบบสะเปะสะปะ เธอทำร้ายลดเลือดสัตว์อสูรไปได้หลายตัว แต่กว่าจะมีเสือดาวม่วงตายสักตัวก็ต้องเหวี่ยงเป็นรอบที่สี่สิบได้

    คุณสามารถกำจัดสัตว์อสูรด้วยอาวุธดัดแปลงได้ คุณได้รับทักษะการดัดแปลงอาวุธ

    เธอจำได้ว่ามันคือเสียงของระบบ อาวุธดัดแปลงตามความเข้าใจเก่า ต้องเป็นอุปกรณ์ไฮเทค ปืนไอเดียแปลกๆ ดาบเลเซอร์เท่ห์ๆ ไม่นึกว่าแค่เอาเถาวัลย์มาผูกมีดก็เรียกอาวุธดัดแปลงได้แล้ว

    สัตว์อสูรมีเวลาในการเกิดใหม่อยู่หนึ่งวัน พวกมันจึงค่อยๆ ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ แต่กว่าจะฆ่าได้หมด เธอก็เหวี่ยงมีดจนนิ้วชา แขนซ้ายอีกข้างที่ใช้โอบต้นไม้ไว้ประดุจเครื่องหน่วงชีวิตยังรู้สึกเหมือน เลือดไม่เดิน

    มิเชลทิ้งตัวลงพื้นหญ้า หลังจากทำการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เสือดาวม่วงจนหมด เด็กสาวผมดำไม่อยากใช้แขนซ้ายทำอะไรอีกต่อไป เธอนอนหมดสภาพใต้ต้นไม้ บริเวณทุ่งแห้งแล้งยังมีสัตว์อื่นอยู่ แต่พวกมันก็เหมือนกับเสือดาวม่วง จะไม่โจมตีก่อนถ้าพรรคพวกไม่โดนทำร้าย

    เธอเรียกหน้าต่างข้อมูลขึ้นมาจากกำไล เลเวลตอนนี้สิบเก้าแล้ว เด็กสาวจัดการเพิ่มค่าสถานะลงไปให้ทุกอย่างเท่าๆ กันเหมือนเดิม ก่อนพาร่างที่อ่อนระโหยกลับไปเต๊นท์เลือกอาชีพ

    เต๊นท์อาชีพมีเป็นร้อยหลัง เธอไล่อ่านคำอธิบายหลายอย่างแต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ทีแรกตั้งใจจะเอาแบบเดียวกับลาล่า แต่ปรากฏว่า เต๊นท์มือธนูคิวยาวจนเกือบมองไม่เห็นหางแถว เด็กสาวจึงเริ่มมองหาอะไรก็ได้ที่เร็วๆ

    ที่จริงมีเต๊นท์ร้างผู้คนมากมาย แต่โดยมากยังพอมีคนเดินเข้าออกประปราย ยกเว้นหลังเดียวเท่านั้นที่คิวว่างสนิท มันเป็นกระโจมมีสีพาดอยู่ห้าสี เขียว แดง เหลือง ฟ้าและน้ำตาล สีดูเลอะเทอะไม่สวยเหมือนของอาชีพอื่น

    ข้อความหน้าเต๊นท์เป็นคำอธิบายอย่างคร่าวๆ

    นักมายาธาตุ
    นักมายาธาตุคือผู้สื่อสารแห่งธรรมชาติ สามารถควบคุมธาตุทั้งห้าได้อย่างอิสระ
    ทักษะที่จะได้รับเมื่อเปลี่ยนอาชีพ
    - จุดไฟ ไม่มีพลังโจมตี ทำให้ติดสถานะลุกไหม้
    - สาดน้ำ ไม่มีพลังโจมตี ทำให้ติดสถานะเปียก
    - ดอกไม้จงบาน ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า

    ถ้าเป็นคนอื่น เห็นแค่สามสกิลเริ่มต้น คงย้ายเต๊นท์หนี แต่มือใหม่หัดเล่นเกมส์อย่างมิเชลก็แค่มุดเต๊นท์เข้าไปดื้อๆ เพราะอยากรีบออกจากบริเวณผู้เล่นใหม่ ข้างในเต๊นท์มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งคุยกัน เธอนั่งลงและไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อดี

    เด็กหญิงนั่งแช่เป็นเวลานานมากโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเรียกหน้าต่างข้อมูลจากกำไลขึ้นมาดูหลายรอบ แต่อาชีพก็ยังเป็นนักผจญภัยเหมือนเดิมอยู่ ร่างเล็กยกก้นขึ้น ตั้งใจจะเปลี่ยนเต๊นท์

    ตอนนั่งเธอนั่งจากฝั่งซ้าย แต่ตอนลุก เด็กสาวขยับออกด้านขวา เท้าจึงสะดุดกับอะไรบางอย่างที่มีอยู่แต่แรก และกลิ้งทับเต็มๆ หน้าก็จมลงไปในสัมผัสนุ่มนิ่ม.... พอเงยขึ้นค่อยรู้ว่าเอาหัวไปปักลงพุงพลุ้ยๆ ของลุงแก่ๆ คนหนึ่ง แกนอนอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงกรน แถมยังไม่ตื่นอีกต่างหาก!

    “ลุงคะ” เธอเอานิ้วสะกิด ตั้งใจจะปลุก

    เด็กสาวกลับโดนแกเอามือตบกลับมา เธอเอาแขนยันไว้กันหัวกระแทกเก้าอี้ พอสังเกตุดีๆ ค่อยรู้ว่านั่นคือ อาการละเมอ! มิเชลเริ่มไม่อยากอยู่ในนี้ต่อ แต่พอลุกขึ้นกลับโดนดึงขาเอาไว้... โดยที่ชายแก่ยังหลับอยู่ด้วยซ้ำ!

    มิเชลพยายามคลานหนี แต่ลุงแกลากขากลับไปกอดเป็นหมอนข้าง เด็กสาวตระหนก ยกเท้าขึ้นดิ้นถีบ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถหลุดจากน้ำหนักของร่างท้วมๆ หัวเธอกระแทกลงกับฝาครอบกับข้าวที่วางเกะกะบนพื้นรอบๆ

    “ปล่อยยยยย ปล่อยหนูนะ” เธอเอามือยันหัวลุงแก่ที่เอาหน้ามาแนบกับขา

    เธอดิ้น ตบ ข่วน ยัน ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แต่หลังจากซัดเสือดาวม่วงทั้งฝูง ความเหนื่อยทำให้พลังโจมตีตก เด็กหญิงจึงได้แต่นั่งทำใจลงข้างๆ มิเชลก้มลงมองดูเวลาของโลกจริงๆ บนกำไล คาดหวังว่าถ้าเลยเวลานอน พ่อคงมาช่วยออกไปเอง

    เรื่องน่าแปลกคือเธอเข้ามาในเกมส์หกโมงเย็น แต่ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มครึ่ง! มิเชลมั่นใจว่าใช้เวลาอยู่กับฝูงเสือหลายชั่วโมงแน่ๆ แขนที่หมดแรงกับท้องร้องหาของกินช่วยบอกเวลาได้เป็นอย่างดี

    “หวังว่าคงไม่ใช่เจ็ดโมงเช้าของอีกวันนะ...” เธอเริ่มทำสีหน้าประหลาด นาฬิกาแบบเข็มมันก็ชี้เลขเจ็ดเหมือนกัน “จะว่าไป เมื่อคืนออนไลน์นานมาก แต่เวลาผ่านไปแค่สามชั่วโมง หรือว่าเวลาในเกมส์จะเดินเร็วกว่า… ”

    เพราะยังเหนื่อยอยู่มาก เธอนั่งคิดได้ไม่นานก็ผล็อยหลับในท่านั้น หัวตกไปข้างซ้าย ส่วนตัวค่อยๆ รูดไถลลงมา แขนแบะออก ชายแก่ร่างท้วมยังคงเกาะขาอยู่

    พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าหัวกำลังห้อยต่องแต่ง เธอมึนหัวและดิ้นแต่ไม่หลุด มองดีๆ จะเห็นเป็นชายแก่พุงพลุ้ยคนเดิม เขากำลังตื่นอยู่ และจับขาเด็กหญิงชูขึ้นสูง

    “ไอ้หนุ่ม จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน อ้าว มารับการทดสอบเปลี่ยนอาชีพใช่มั้ยล่ะ”

    ไอ้หนุ่ม?....

    “อย่ามัวแต่เงียบสิ จะทำรึไม่ทำล่ะ.... ลูกผู้ชายไม่ต้องพูดมากเหมือนผู้หญิง แต่ไม่พูดเลยก็ไม่ได้หรอกนะ”

    ไม่ได้เงียบนะ... แต่ลุงแกเล่นพูดรัวเหมือนพูดอยู่คนเดียว ใครจะแทรกทันได้..! แล้วเมื่อกี้บอกว่าลูกผู้ชายอะไรนะ?...

    “เงียบแบบนี้ไม่ได้เรื่องพอดี ตกลงไม่ทำสินะ งั้นก็ออกไปจากเต๊นท์เลย”

    “ทำค่ะๆๆ” เธอรีบตะโกนแทรกทันที

    "งั้นก็ลุกขึ้น แล้วตามมา"

    "คะ..ค่ะ"

    ชายแก่ดันฝาครอบกับข้าวออก เปิดให้เห็นหลุมขนาดพอดีตัวคน เขาโยนมิเชลลงไปง่ายๆ เธอรู้สึกว่าถูกดูดและหมุนวนจนตาลาย ไม่เหลือแม้แต่เวลาให้ปฏิเสธ ทิวทัศน์ตรงหน้าดำมืด มีสีเลอะๆ ของเต๊นท์ตัดผ่านไปมา

    ภาพตรงหน้าเป็นลักษณะของการหมุนเร็วจนมองไม่ทัน มันค่อยๆ ช้าลงจนเห็นชัดเจนขึ้น เด็กหญิงอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ วอลเปเปอร์หลากสีเลอะเทอะ เธอตาลายจากที่โดนเหวี่ยง เข่าทรุดเพราะยืนทรงตัวไม่ไหว และพยายามสะกดอารมณ์อยากอาเจียนไว้

    "เด็กสมัยนี้น้ำอดน้ำทนไม่มีกันเลย" ชายแก่ถอนหายใจ "ข้าจะให้เวลาพักสิบนาทีเท่านั้น แล้วจะค่อยอธิบายวิธีทดสอบให้ฟัง"

    เธอเอนตัวลง หย่อนหัวบนพื้นแข็ง โดยไม่รู้ว่าการทำแบบนี้ จะยิ่งเวียนหัวกว่าเดิม

    "หมดเวลาสิบนาที เริ่มฟังการทดสอบได้" ชายแก่ก้มมองนาฬิกาพูด

    "เดี๋ยว ยังไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ.." มิเชลเหวอ

    "สิบนาทีของข้า ไม่ใช่ของเจ้า ไอ้หนุ่ม" เขายกนาฬิกาข้อมือตนให้ดู เข็มมันวิ่งเร็วกว่าเวลาปกติหลายเท่า เธอได้แต่อึง

    "ตอนนี้เจ้าจะได้อาชีพนักมายาธาตุชั่วคราว มีทักษะจุดไฟ สาดน้ำ ดอกไม้จงบาน เจ้าต้องเอาทักษะเหล่านี้มาทำการทดสอบให้ผ่านภายในเวลาหกชั่วโมง เพราะอาชีพที่ได้รับชั่วคราวจะมีกำหนดเวลาแค่นั้น" เขาลากมือผ่านอากาศว่างๆ ปรากฏออกมาเป็นฟูลคอร์สอาหารสำเร็จรูปกองโต มาม่าคัพทุกรส ยากิโซบะกล่อง อาหารไมโครเวฟและประเภทเติมน้ำร้อนอีกหลายแหล่ "หัวข้อแรกคือแข่งกิน กินยังไงก็ได้ให้เยอะกว่าข้า ใช้เวลาแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าใช้เวลานาน ข้าก็กินเพิ่มได้เรื่อยๆ เหมือนกัน และข้ามีวิชาตรวจสอบปริมาณอาหารที่ลงท้องของเจ้าได้ ฉะนั้นอย่าโกง"

    เด็กสาวเป็นมึน ต้องใช้ทักษะของนักมายาธาตุ แล้วหัวข้อคือแข่งกินเนี่ยนะ... ทว่า... มิเชลรีบแกะมาม่าคัพตรงหน้าทันทีที่เห็นชายแก่ฉีกซองบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อ โคคาออก เขายัดมันลงท้องโดยไม่เติมน้ำ และสวาปามห่ออื่นๆ ต่อด้วยความเร็วสูง ถ้าเธอเสียเวลาถามคงแพ้แน่

    มิเชลลองเอานิ้วแคะๆ ออกมากินแบบแห้งๆ ดูบ้าง แต่กลืนมันไม่ลง เด็กหญิงเปิดหน้าต่างทักษะดู แล้วใช้ทักษะสาดน้ำเติมลงไป แต่เพราะกะปริมาณผิดเลยล้นท่วม กลายเป็นมาม่าแช่น้ำอุณหภูมิห้อง... สัมผัสและรสชาติเลวร้ายยิ่งกว่าแบบแรกซะอีก เธอเรียกทักษะจุดไฟออกมาเพื่อต้ม แล้วก็ต้องรีบโยนทิ้งเพราะถ้วยลุกไหม้

    เด็กหญิงได้แผลพุพองมานิดหน่อย เธอเรียกทักษะสาดน้ำใส่มือตัวเองเพื่อบรรเทาอาการ แล้วทดลองต้มมาม่าใหม่หลายรอบ กว่าจะเสร็จโดยไม่ไหม้ก็เป็นถ้วยที่แปด โชคดีว่าชายแก่ยอมให้เธอทำเสียเท่าไหร่ก็ได้ เขานับแค่ปริมาณที่กินลงไป

    มิเชลไล่กินมาจนถึงถ้วยที่สามก็แทบจะจุกคอแล้ว เธอไม่ใช่คนกินเยอะแต่ไหนแต่ไร ส่วนชายพุงพลุ้ยล้มตัวนอนลงพร้อมซองบะหมี่สำเร็จรูปคามือ เด็กหญิงใช้สายตากะจำนวนเอาคร่าวๆ... และนับได้ร่วมๆ สามสิบกว่าถุง!

    เธอหยุดพักเมื่อซดเส้นในถ้วยใบที่สี่หมด พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกอยากขย้อนของในท้องเอาไว้ ระหว่างพักรอให้ย่อยไม่มีอะไรทำ จึงเรียกหน้าต่างทักษะขึ้นมาอ่านศึกษาดู เผื่อว่ามีประโยชน์ต่อการทดสอบ

    แต่จุดไฟก็คือจุดไฟ สาดน้ำก็คือสาดน้ำ ดอกไม้บานก็ตามชื่อ คำอธิบายมีใจความแบบเดียวกับป้ายประกาศหน้าเต๊นท์เปี๊ยบ เธอต้องลองเองเท่านั้น มิเชลเรียกท่าดอกไม้จงบานออกมา มันเป็นทักษะเดียวที่ยังไม่เคยใช้

    เฉพาะในอาณาเขตที่ร่ายเวท ต้นกล้าน้อยค่อยๆ แซะหน้าดินโผล่ขึ้นมาเป็นหย่อม จากชื่อทักษะเดาได้ว่ามันคงโตเป็นดอกไม้ เธอใช้มันต่อเนื่อง มันค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น

    หลายต้นค่อยๆหยุดโตโดยไม่มีดอกไม้บานออกมาเหมือนในคำอธิบายทักษะ ซึ่งก็ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ยังถือว่าสูงกว่าตัวเธอทุกต้น

    มิเชลทดลองอีกสองสามครั้ง แต่ให้ผลเหมือนเดิม พอต้นไม้โตจนถึงจุดสูงสุดมันก็หยุดอยู่แค่นั้น... ไหนหว่า ดอกไม้บาน?

    เด็กสาวเรียกใช้ท่านี้ต่อจนพลังเวทหมดเกลี้ยงจึงต้องนั่งพัก พอวางก้นลงบนพื้น ก็มองเห็นกองภูเขาอาหารสำเร็จรูป และนึกขึ้นมาว่ายังอยู่ในระหว่างแข่งกิน เธอรีบฉีกฝากระดาษของถ้วยโจ๊กออก แต่เติมน้ำไม่ได้เพราะค่าเวทหมด เลยอ่านฉลากรอเล่นๆ เธอไล่สายตาตั้งแต่ส่วนผสม ยี่ห้อ ลงไปเรื่อยๆ กระทั่ง...

    ฟื้นฟูเลือด 2%
    ฟื้นฟูพลังเวท 2%

    อาหารก็ใช้เพิ่มพลังได้ด้วย? ถ้าแบบนั้นก็น่าจะมีอะไรที่เติมพลังเวทได้เยอะๆ ในนี้ด้วยสิ?

    เธอพยายามไล่อ่านฉลากกะเอาครบทั้งกอง ยากิโซบะเพิ่มกำลัง 2% มาม่าทุกรสฟื้นเลือด 3% พลังเวท1% เกี๊ยวซ่าไมโครเวฟลดความเหน็ดเหนื่อย 8% และจิปาถะมากมาย มิเชลลองคำนวณดู เลือดของเธอตอนนี้แค่สองร้อยต้นๆ พลังเวทร้อยกว่า เปอร์เซ็นต์จิ๊บๆ จ๊อยๆ นั่นยังไม่ถึงยี่สิบแต้มด้วยซ้ำ!

    พอเธอคิดจะเลิกอ่าน สายตาดันไปสะดุดเข้ากับกล่องดำรูปร่างแปลกๆ กระดาษห่อสีแดงมีรอยเผยอเหมือนของเคยเปิดแล้ว แต่ฉลากเขียนอะไรที่ต่างไปจากอย่างอื่น

    เกื้อหนุนพลังลึกลับแห่งธรรมชาติ 15วินาที

    ถ้าจำไม่ผิด นักมายาธาตุคืออาชีพที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ฉะนั้นไอ้นี่น่าจะมีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเวทดอกไม้บานบ้างแหละ...

    มิเชลเป็นเด็กชอบค้นคว้า เรื่องไหนสงสัยต้องหาคำตอบ และจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดค้างคาใจ เธอกินของในกล่องโดยไม่สนว่าเป็นก้อนปุปะสีน้ำตาลน่าเกลียด พอแตะถูกลิ้น รสชาติฝาดๆ อมเลือดก็กระจายเต็มปาก ร่างเล็กรีบกลืนมันลงคอหมดชิ้น

    ประสาทสัมผัสบางอย่างตื่นตัวขึ้นแปลกๆ ทิวทัศน์ให้บรรยากาศประหลาด มีคลื่นพลังลากผ่านไปมา เส้นสีเขียวสลับน้ำตาลพันตวัดอยู่ตามผิวดิน กลิ่นยางไม้แรงขึ้น พร้อมๆ กับ กลิ่นของหญ้าที่กระจายฟุ้งเด่นชัดเจนเกินปกติ

    มิเชลมองเห็นกระแสพลังของธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีคนอธิบายก็สามารถเข้าใจในทันทีว่า สีเขียวคือธาตุไม้ ส่วนเส้นสีน้ำตาลคือดิน ความรู้สึกที่กายสัมผัสได้บอกเธอ เด็กสาวรื่นรมณ์อยู่กับภาพตรงหน้าสักพักก่อนหลุดจากภวัง เวลาสิบห้าวินาทีผ่านไปแล้ว

    เหมือนโดนอะไรบางอย่างกระซิบให้ลองทักษะดอกไม้จงบานอีกครั้ง และตัวเธอเชื่อว่าต้องมีบางสิ่งเปลี่ยนไป ค่าเวทที่ฟื้นขึ้นมาเหลือพอจะใช้ได้เพียงครั้งเดียว มิมิเชลเรียกท่านั้นออกมาสำแดงลงบริเวณรอบๆ ตัวเอง

    มิเชลมองไม่เห็น และสัมผัสไม่ได้ถึงกลุ่มคลื่นแห่งธรรมชาติ แต่เพราะช่วงเวลาสิบห้าวินาทีเมื่อครู่ ทำให้รู้ว่ายังอยู่ตรงนั้น เด็กสาวจินตการภาพเส้นสีเขียวสลับน้ำตาลหมุนวนรอบตน ค่อยๆ ลอยเหนือผิวดิน และโอบอุ้มต้นกล้า ถ่ายเทพลังงานเข้าไปตามรู... รูเล็กๆ ในมโนภาพที่นึกเอาเอง เธอคิดว่ามันคล้ายๆ กับฟองน้ำดูดซับความชื้น

    ก้อนสีชมพูอมเขียวค่อยๆ โผล่ขึ้นจากก้านหญ้ามากมาย มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนพอมองเห็นเป็นดอกตูมๆ เตรียมพร้อมที่จะบาน เธอเห็นความสำเร็จอยู่ไม่ไกล จึงพยายามเค้นสมาธิเพ่งเข้าไปอีก

    ดอกไม้โตขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้... มันจะมีสิทธิโตจนแก่ แล้วเหี่ยว รึเปล่านะ...

    เธอนึกสงสัยจึงร่ายทักษะต่อเนื่อง ปรากฏว่าสำหรับดอกไม้เจริญวัยเต็มที่ ท่านี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรเพิ่มเติม มิเชลก้าวเข้าไปในใจกลางวงเวทเพื่อชื่นชมผลงาน ทุ่งบุปผาน้อยส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง

    ตัวเธอดูลอยขึ้นจากพื้น... ไม่สิ! เธอสูงขึ้นต่างหาก เพราะเท้ายังเหยียบดินอยู่ แค่วิสัยทัศน์ที่ก้มมองนั้นไกลจากเดิม แขนขาเด็กสาวขยายใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย นิ้วมือยาว และปลายผมสีดำหล่นลงมาถึงกลางหลัง ท่าทางเวทบทนี้ไม่จำกัดเพียงการเจริญเติบโตของดอกไม้เสียแล้ว

    แทนที่จะตกใจ มิเชลกลับตื่นเต้นกับร่างเจริญเติบโตสมบูรณ์ในโลกสมมุติ ขายาว มือใหญ่ ไหล่กว้างขึ้น เรือนผมสีดำปรกถึงกลางหลัง ความรู้สึกของผู้ใหญ่มันเป็นแบบนี้เองเหรอ?.. ถ้าตอนนี้มีกระจกคงดี เธอเป็นเด็กผู้หญิง อย่างไรก็ต้องอยากรู้ว่าตัวละครตนเองหน้าตาสวย ธรรมดา หรือขี้เหร่!

    "หืม เจ้าเข้าใจเวทมายาถ่องแท้ดีแล้วนี่" เสียงชายแก่ที่เพิ่งตื่นจากนิทราโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ "เวทดอกไม้บานผ่านที่คะแนนสูงสุด เหลือแค่เวทจุดไฟกับสาดน้ำ...เท่านั้น..."

    "แล้วแข่งกินล่ะคะ?"

    "เจ้าพูดถึงแข่งกินเหรอ อันนั้นเป็นคำบอกใบ้ไปยังงั้นเอง ขอแค่คว้าความเข้าใจถึงแก่นได้สักรอบก็จะถึงการทดสอบจริงๆ เจ้าเป็นคนที่8 ที่กล้ากินก้อนอัปลักษณ์ และคนที่8 ที่เข้าถึงแก่นอาชีพนี้" น้ำเสียงเขาฟังเป็นมิตรขึ้น ผิดกับครั้งแรก

    "ถ้ายังงั้นก็มีนักมายาธาตุล่วงหน้าหนูไปก่อนแล้ว 7คนสิคะ"

    "คำถามของเจ้าข้อนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของข้า”

    “อ๋า...” ลุงแกเพิ่งพูดอะไรเทือกนี้ออกมาเมื่อกี้ ไหงบอกไม่เข้าใจคำถามซะแล้วล่ะ

    “มิเชลหมายถึงจำนวนคนที่สอบผ่านการเป็นนักมายาธาตุค่ะ”

    “เจ้าถามถึงจำนวนของนักมายาธาตุใช่มั้ย ผู้ที่สอบผ่านอาชีพนี้ตอนนี้มีจำนวน 7คน ทั้ง7คนลบตัวละครไปแล้ว เท่ากับศูนย์คน”

    “ลบตัวละคร..? หมดทุกคนเลย...?” เธอพึมพัมกับตัวเอง อาชีพนี้จะดีมั้ยเนี่ย หรือจะกลายเป็นคนที่ 8ที่ต้องลบตัวละคร

    “ต่อไปคือเวทจุดไฟ และสาดน้ำ สิ่งที่ต้องทำคือ สร้างระเบิด ความรู้ที่ข้าจะให้คือเมื่อของเย็นกะร้อนอยู่ใกล้กัน มันจะระเบิด”

    มิเชลจุดไฟบนพื้นโล่ง แล้วสาดน้ำตาม... ควันดำๆ ลอยขึ้นฉุย แน่นอนว่าน้ำมันก็ต้องดับไฟ! คิดดีๆ แล้วมีแต่เย็นจัดกับร้อนจัดถึงจะทำให้มันระเบิดได้...

    เด็กหญิงพยายามทำให้ก้อนหินเย็นลงด้วยการสาดน้ำต่อเนื่อง แต่น้ำจากทักษะเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง ยังไงก็เย็นไปไม่ได้มาก เธอจึงหันไปเล่นกับไฟแทน

    การร่ายทักษะจุดไฟของเธอนั้นเป็นการดูดความร้อนจากรอบข้างเข้ามารวมตรงกลาง มิเชลจึงก่อไฟได้ยากขึ้นในสภาพเฉอะแฉะที่ตัวเองสร้างทิ้งไว้ และใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมไฟจากบรรยากาศได้

    เธอเล่นทั้งไฟและน้ำจนเวทหมด และต้องซดอาหารสำเร็จรูปลงท้องเพื่อฟื้นพลังเวทอันน้อยนิดไปเรื่อยๆ สักพักจึงเริ่มสังเกตุเห็นผลึกใสเม็ดเล็กกระจายโดยรอบ... ก่อนนี้มันคือน้ำที่เกิดจากเวทสาดน้ำ... แต่ทำไมถึงกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว

    มิเชลสำรวจสภาพที่ตนลงเวทไว้ระหว่างนั่งรอค่าพลังเวทฟื้น รอยยิ้มบนมุมปากค่อยๆ คลี่ออก เธอเริ่มจับจุดได้ เด็กสาวเรียกไฟขึ้นอีกครั้ง แอ่งน้ำขังบนพื้นคราวนี้กลายเป็นแผ่นธารน้ำแข็งแล้ว

    “น้ำแข็ง...” ชายแก่เงยหน้าขึ้นอีกรอบ เขาเพิ่งตื่นหลังจากโดนมิเชลปล่อยให้รออยู่ร่วมสองชั่วโมง “เยี่ยมมาก ในที่สุดก็รู้วิธีสร้างน้ำแข็งจากไฟ”

    “ก็... แค่ดูดเอาอากาศร้อนจากน้ำมารวมๆ กันเพื่อสร้างไฟ น้ำจะเย็นขึ้นแล้วแข็งตัว”

    ชายแก่พยักหน้า แล้วกลับลงไปนอนอีกรอบ.... ดูแล้วเหมือนเป็นแบบแผนอะไรสักอย่าง เขาจะตื่นทุกครั้งที่เธอผ่าน หรือเข้าใกล้คำว่าผ่านของบททดสอบ

    เธอทดลองสร้างน้ำแข็งคู่กับไฟอีกหลายหน กว่าจะได้ระเบิดตรงจังหวะจริงๆ ก็ต้องนั่งพักฟื้นพลังเวทไปสามสี่รอบ แต่ก็ถือว่าง่ายถ้าเดาเคล็ดลับได้ มิน่า...ทุกคนที่เข้าใจหลักการถึงสอบผ่านกันหมด

    พอมิเชลผ่านการทดสอบ ภาพตรงหน้าก็หมุนติ๊ว... เธอย้อนกลับออกมายืนหน้าเต๊นท์รับอาชีพแล้ว ป้ายคำอธิบายทักษะเป็นสิ่งแรกที่เข้ามาสู่สายตา ผ้าผืนนุ่มและของหลายอย่างหล่นตุบใส่กลางหัว

    พอเอามาคลี่ดูดีๆ ค่อยเห็นว่ามันคือชุดคลุมเขียว กิ่งไม้ที่มีผลึกลูกแก้วใสอยู่บนใบห้าใบ กระดาษโน๊ตลายมือดินสอขยุกขยิกอ่านไม่ออก มาม่าถ้วยรสหมูสับ ยากิโซบะกล่อง ซุปซองข้น และหีบสีม่วงใบเล็ก

    คุณได้รับอาชีพนักมายาธาตุ ได้รับทักษะดอกไม้จงบานระดับ1 สาดน้ำระดับ1 จุดไฟระดับ1

    ทักษะดัดแปลงอาวุธเป็นทักษะนอกเหนือขอบเขตอาชีพนักมายาธาตุ คุณจึงลืมทักษะดัดแปลงอาวุธ
    ทักษะแล่หนังเป็นทักษะนอกเหนือขอบเขตอาชีพนักมายาธาตุ คุณจึงลืมทักษะแล่หนัง

    ช่องเก็บของเธอหมดแล้ว จึงเอาชุดคลุมสวมหัวทันที แล้วเคลียร์ฟันหนูทิ้งบางส่วนเพื่อใส่ไอเท็มรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพลงไป นอกจากอาหารสำเร็จรูปกับเสื้อผ้าแล้วก็ไม่รู้ว่าไว้ทำอะไรได้ แต่น่าจะเป็นไอเท็มสำคัญ

    มิเชลตั้งใจจะออกจากเขตผู้เล่นใหม่เพื่อเข้ารวมกลุ่มกับลาล่าและอิล แต่เพราะนัดกับโทนี่ไว้จึงยังออกไม่ได้... เธอกลัวจะหากันไม่เจอหากไปไกลจากจุดเริ่มต้น

    เด็กสาวเก็บหาของป่ามาเติมท้องแล้วเดินแกร่วรอเวลาโทนี่ติดต่อมา เธอได้ลองเล่นจุดไฟ แล้วสาดน้ำดับ จุดไฟ แล้วสาดน้ำดับ ทำไปเรื่อยๆ จนระดับทักษะขึ้นมาเอง... แถมยังดัดแปลงรูปร่างของไฟกับน้ำที่ออกมากลางอากาศเล่นอีกด้วย และกว่าเพื่อนจะทักหา ท่าจุดไฟสาดน้ำก็เลื่อนระดับไปที่สามเรียบร้อย

    เธอไปรับเขาจากลำธารข้างป่าเริ่มต้น เด็กชายมีผมดำ ตาเล็กเรียวแบบคนเชื้อสายจีน เขาใช้หน้าตาตัวเองเล่น มิเชลรู้เพราะเคยเห็นรูปถ่ายที่อัพโหลดขึ้นวิช่วลเวิร์ล

    โทนี่ดูงงและกำลังคลื่นไส้อาเจียน เขาไม่รู้สึกถึงการมาของเพื่อนจนเธอส่งเสียงเรียก เด็กชายมองตอบกลับด้วยสีหน้าเบลอๆ คิ้วเริ่มคลายปม และท่าทางจะลดความเกร็งลง

    “ทำไมโทนี่ถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะ” เธอถามตรงๆ

    “ฉันรู้สึกแย่มาก....” เขาคราง “ปวดหัว แสบตาด้วย เวลาคนตาดีบอกแสบตาเนี่ย... ตอนนี้เข้าใจคำว่าแสบตาแล้ว..“

    “พ่อบอกว่าจุดที่โทนี่ยืนนี่คือจุดเกิด แปลว่าตั้งแต่เข้ามาในเกมส์ก็นอนปวดหัวแบบนี้ใช่มั้ย”

    “ใช่... จริงๆ ฉันพอจะรู้สาเหตุอยู่ ขอเวลาปรับสภาพสักแปปนึง” เขายกมือขึ้นทำท่าว่าไม่เป็นไร “คงเพราะสมองส่วนที่ใช้รับรู้ประสาทตาไม่เคยได้ใช้ เลยโดนเหมือนกระแทกเข้าไปเต็มๆ”

    “โทนี่ควรจะออกจากเกมส์ อย่าฝืนเลย ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป มิเชลใช้วิช่วลเวิร์ลครั้งแรกตอนเจ็ดขวบ ผลกระทบของมันไม่รุนแรงเท่าของโทนี่ที่ไม่ได้ใช้มาสิบสามปี แต่พ่อยังให้มิเชลใช้แค่วันละสิบนาทีจนกว่าจะชินเลย”

    “ไม่เป็นไร... ฉันรู้สภาพตัวเองดีว่า มันไม่หนักขนาดนั้น แค่ยังไม่ค่อยชิน ขอเวลาแปปเดียว”

    “แต่... โทนี่เป็นประเภทตาบอดสนิทที่ดวงตาไม่รับแสงเลย... มาฝืนใช้งานสมองส่วนในการรับรู้ครั้งแรกนานๆ ไม่ไหวหรอก...”

    “ไม่เป็นไรหรอก... ฉันรู้ตัวเองดี” โทนี่หลับตาปี๋ สักพักก็เลิกขึ้นแล้วกระพริบปิดลงไปใหม่ เขาทำสลับอยู่สักพักก่อนฟื้นตัว ท่าทางพะอืดพะอมค่อยๆ หายไป เด็กชายเริ่มเงยหน้าสำรวจเพื่อน

    "มิเชลเหรอเนี่ย.. ตัวละครเธอสูงจังนะ อุตส่าห์นึกว่าจะได้เห็นหน้าตาจริงๆ ของเธอสักหน่อย ไหนว่าพ่อเธอสร้างตัวละครให้เหมือนกับเธอล่ะ" เขาเอ่ยทักร่างสูงโย่งของเพื่อนสาว น้ำเสียงอิดโรย โทนี่แยกความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ไม่ออก เพียงแต่ในโลกจริง ทั้งคู่ส่วนสูงพอๆ กัน เขาจึงพอรู้ได้ว่านั่นไม่ใช่ลักษณะแบบมิเชล

    "อ๋อ นี่เป็นร่างผู้ใหญ่ของมิเชล ในเกมส์นี้มิเชลมีทักษะที่ทำให้โตขึ้นได้"

    "รู้สึกแปลกดีที่ได้ยินเสียงเธอพูดด้วย แต่เสียงเธอทุ้มจัง" โทนี่ก้มลงมองพื้นหญ้าก่อนขยำไว้เต็มมือ "ไอ้เจ้านี่มันเป็นแบบนี้นี่เอง"

    "ที่จริงเสียงมิเชลทุ้มตั้งแต่กลายเป็นร่างผู้ใหญ่ต่างหาก! แล้วโทนี่คิดว่ามิเชลตอนโตหน้าตาดีรึเปล่า" เธอขอความเห็น "ตอนนี้อยากได้กระจกมาก เพราะมิเชลยังไม่เห็นหน้าตัวเองตอนโตเลย"

    "แค่แยกภาพคน กับทิวทัศน์ให้ออกจากกันฉันยังลำบากเลย ไม่ต้องพูดเรื่องความสวยความงามต่อแล้ว"

    "นั่นสินะ ลืมไป... เอาเป็นว่าถ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ในฐานะผู้มีประสบการณ์แห่งโลกวิช่วลเวิร์ล กับรุ่นพี่ในพาราเรลออนไลน์ มิเชลจะเป็นคนพาทัวร์เอง" เธอยืดอก น้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง

    "คร้าบผม คุณรุ่นพี่ที่เล่นพาราเรลมาล่วงหน้าแค่สองวัน" โทนี่หัวเราะ "ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอทำน้ำเสียงแบบนั้นได้ด้วย ได้คุยกับเธอแบบไม่ผ่านภาษาเบรล หรือภาษามือนี่ก็แปลกดีนะ"

    "มิเชลก็เหมือนกัน โทนี่เสียงแหบสุดยอดเลย"

    "นี่มันเรียกเสียงแตกวัยหนุ่มต่างหาก... รออีกสักพักเสียงก็จะหล่อขึ้นล่ะ"

    "หล่อแค่เสียงรึเปล่า" เธอแซว

    มิเชลเริ่มพาเพื่อนเดินชมนกชมไม้ คอยชี้ให้ดูว่าอะไรเป็นอะไร โดยมากเด็กชายพอจะแยกออกเองด้วยการสัมผัสหรือดมกลิ่น ทั้งสองก้าวยังไงก็ไม่พ้นเขตป่าสักที เพราะต้องคอยหยุดฟังมัคคุเทศน์สาวบรรยายตลอดทาง แต่นับว่าโทนี่ได้ฝึกใช้ตาจดจำจนชำนาญขึ้นเยอะ อย่างน้อย เขาแยกแยะวัตถุกับพื้นหลังออกแล้ว

    เธอลากโทนี่เดินตามรอยเท้าเก่าตน สอนวิธีจับมีดฆ่าหนู กระต่าย และแมวป่า พอเลเวลหก ก็พาไปสู้หมาป่าขนเงินกับเสือดาวม่วงแบบที่เคยทำโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของเพื่อน... นั่นคือการเอาเชือกผูกด้วยมีด แล้วแกว่งสะเปะสะปะจากบนต้นไม้... มีสัตว์อสูรมารุมข่วนรอบๆ ลำต้นจนโงนเงน แต่ถ้ากวาดพวกมันไม่หมดก็ลงมาไม่ได้

    "แฮ่ก... ฉัน..ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างผิดแน่ๆ... แฮ่กๆ..." เด็กชายบ่นเสียงแห้ง... เขาแกว่งเชือกผูกมีดกลับไปกลับมาไม่ต่ำกว่าสามร้อยครั้ง "มือจะจับเชือกไว้ไม่ไหวแล้ว..."

    "ไม่หรอก มิเชลก็เพิ่มเลเวลแบบนี้แหละ อยู่บนที่สูง ปลอดภัยดี แบบนี้แหละถูกแล้ว วิธีนี้มีคนอื่นสอนมิเชลมาอีกทีเหมือนกัน" เธอพูดพร้อมกับใช้ทักษะจุดไฟช่วยผ่อนแรงโทนี่ไปด้วย เสือดาวม่วงที่ติดสถานะไหม้เลือดจะค่อยๆ ลดลง แต่จะไม่ตายเมื่อเหลือเลือดแค่หนึ่งแต้ม เหมาะให้เพื่อนลงดาบสุดท้ายเพื่อเก็บค่าประสบการณ์ส่วนใหญ่

    "งั้นเหรอ...แฮ่ก ถ้ามีคนอื่น...ใช้วิธีนี้...ก็คงจะถูกแล้ว..ล่ะนะ" โทนี่ตอบเสียงหอบ

    บุคคลที่มิเชลอ้างถึงย่อมเป็นอิลกับลาล่า นักธนูและนักเวทผู้เน้นการโจมตีระยะไกลและรุนแรง มีดสั้นมือใหม่มีพลังโจมตีต่ำติดดิน เพราะมันคืออาวุธระยะประชิดชิ้นแรกสำหรับเน้นความคล่องตัว แต่เธอดันเอามันไปผูกเชือกแกว่ง เลยใช้งานยากกว่าเดิมซะนั่น

    “มิเชล ฉันลืมบอกไปว่า ตอนฉันฆ่าตัวแรกด้วยมีดผูกเชือก ฉันได้ทักษะการดัดแปลงอาวุธมาด้วย”

    “เหรอ” เธอพูดอย่างไม่สนใจ ก็ทักษะนี้...มันหายไปตอนเธอเปลี่ยนอาชีพ ไม่แน่ของโทนี่คงหายเหมือนกัน

    "โทนี่อยากเล่นอาชีพอะไรเหรอ"

    "หือ เธอหมายถึงอะไร"

    "ก็..." เธอนึกขึ้นได้ว่าเด็กเชื้อสายเอเชียตรงหน้า มีความรู้เรื่องเกมส์นี้เทียบเท่ากับตัวเองในเมื่อสามวันก่อนไม่มีผิด จึงค่อยๆ ร่ายบรรยายให้ฟังระหว่างที่แกว่งมีดไปด้วย เขาเพียงแต่พยักหน้าฟังเงียบๆ จนจบ

    "อย่างนี้น่ะเอง ตัวเธอสูงขึ้นเพราะทักษะนั่นด้วยสินะ ลองร่ายทักษะนั่นใส่ฉันหน่อย ตัวโตขึ้นอาจจะทำให้มีกำลังมากขึ้น"

    เธอทำตามคำขอ แต่ร่างกายโทนี่กลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ตัวเขาไม่ได้ยืดขึ้นหรือขยายออก กระนั้น แววตาเด็กชายกลับเปลี่ยนไป

    "แขนฉัน... ที่ใกล้เดี้ยง รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ยังเมื่อยอยู่แต่ก็หายชาแล้ว" เขาทำมือกรอบแกรบให้ดู

    "แปลกจัง มันให้ผลต่างไปในแต่ละคนเหรอ" เธอพูดพลางลองเวทกับต้นไม้ที่เกาะไว้เป็นป้อมปราการบ้าง โทนี่ทำท่าจะเปิดปากห้าม แต่ไม่ทันเสียแล้ว..

    ต้นโพธิ์แดงเกิดแรงสั่นกระเทือนอย่างหนักจนโทนี่เผลอปล่อยเชือกถ่วงมีด มิเชลใช้แขนขาประคองตัวเอง และอาศัยร่างใหญ่กว่าดึงเพื่อนไว้ใกล้ๆ พละกำลังในกายผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นเวลาปกติคงช่วยหนีบเขาไว้ด้วยไม่ไหว เพราะยอดไม้ที่เหยียบอยู่ดันสูงพรวดขึ้นทีเดียวถึงสามเท่า

    ต้นไม้ใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งเป็นสีแดงสดสวยแทบทุกกิ่ง และถ้าไม่ใช่ว่า.. จากพื้นระดับความสูงเท่าหลังคาบ้านหนึ่งชั้นกลายมาเป็นหลังคาคอนโด คงจะกล้านั่งกินลมชมวิวเล่นต่ออยู่หรอก ส่วนเสือดาวม่วง หมาป่าขนเงินน่ะเหรอ... อย่าได้สนใจไป.. เพราะใบต้นโพธิ์บังพวกมันหายเรียบร้อยแล้ว

    "เธอทำให้มันเจริญเติบโตเต็มที่ไปแล้ว รออีกนิดก็มีผลให้เก็บกินกันได้ล่ะ"

    "แหม" เธอยิ้มเขินๆ

    "ฉันชมที่ไหนเล่า... เธอนี่นะ.." เขาถอนหายใจ... ทว่า อีกมือก็หยิบดอกโพธิ์แดงขึ้นมาดู สำรวจกลีบใบ และเส้นใยอย่างละเอียด เด็กชายกำลังบันทึกภาพลงหัว มิเชลจึงเริ่มทำตัวเป็นครูที่ดีอีก เธอคอยชี้อธิบายต่อเนื่องว่าส่วนไหนคืออะไร

    "ตอนนี้พอจะแยกแยะภาพกับสีได้ดีขึ้นรึยัง"

    "ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเห็นเสือดาวม่วงกับหมาป่าขนเงิน แล้วก็ต้นโพธิ์แดง ฉันจะรู้ได้ทันทีจากระยะไกลเลย เพราะมันฝังแน่นในความจำแบบที่ลืมไม่ลง" เขาประชด "แล้วในฐานะรุ่นพี่ของโลกวิช่วลเวิร์ลและพาราเรลออนไลน์ จะลงยังไง... สูงขนาดนี้ ขาขึ้นเราปีนตามกิ่งหนาๆ แต่เจ้ากิ่งที่เราใช้ปีนดันสูงขึ้นตามต้นไม้นี่ด้วยแล้ว... แถมมันยังไม่งอกกิ่งเตี้ยๆ เพิ่มให้เราใช้เหยียบลงอีกต่างหาก"

    "เพื่อนของมิเชลที่ชื่อลาล่าบอกว่าถ้าตายไป เราจะไปเกิดใหม่ที่ป่าจุดแรกสุด จะโดนหักหนึ่งเล" เธอจ้องลงไปข้างล่าง "เลเวลมิเชลจะเหลือ18 ส่วนโทนี่เลเวลไม่ถึง15 ยังไม่มีบทลงโทษ แค่เลเวล19 สู้กับเสือดาวม่วงไม่เกินสองชั่วโมงก็เอาคืนมาได้แล้ว ส่วนพวกของสวมใส่ที่มีโอกาสพัง มิเชลถอดออกให้หมดก็สิ้นเรื่อง"

    "เดี๋ยว... เธอจะโดดฆ่าตัวตายเรอะ" เด็กชายทำหน้าแหย “ต่อให้ไม่มีบทลงโทษ ฉันก็ไม่อยากมีความรู้สึกเจ็บปางตายแบบนั้น..."

    "ความเจ็บปวดแค่ 1 ใน 10 เองนะ... แถมถ้าตายคาที่ จะรู้สึกเจ็บแค่แป๊ปเดียว.."

    "แทนที่จะมาเสี่ยงเจ็บตัวแบบนั้น... ทำไมไม่ใช้เถาวัลย์นั่นล่ะฮื" โทนี่หยิบปลายเถาวัลย์ขึ้นมาเส้นหนึ่ง "ความยาวก็พอดีถึงพื้น แถมเธอไม่ต้องแก้ผ้าด้วย"

    "ต่อให้โทนี่เห็นมิเชลโป๊ ก็ยังแยกไม่ออกใช่มั้ยล่ะว่าส่วนไหนเป็นอะไร" เธอหัวเราะ “อีกอย่างเถาวัลย์นั่น มิเชลเคยเอามาโหนเล่นแล้วรอบก่อน มันรับน้ำหนักคนไม่ไหว ขาดทันทีที่มิเชลจะเล่นเป็นทาซานลงจากต้นไม้เลยล่ะ”

    “เธอ ควรจะคิดก่อนร่ายเวทใส่อะไรก็ตามที่เราพึ่งพิงมันอยู่นะ” โทนี่ถอนหายใจ... ทำท่าคิด

    "การตายในเกมส์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอกน่า แค่เจ็บแป๊ปเดียว" เธอยิ้มหยอก อาศัยร่างที่ใหญ่กว่าใช้แขนขวาโอบรอบตัวเพื่อนชาย ทำท่าเตรียมกระโดด แต่ก็แอบไพล่มือขวาซ่อนไว้ด้านหลังข้างหนึ่ง... "ไว้ไปเจอกันข้างล่างเนอะ"

    โทนี่แหกปากร้องโวยวายพลันเห็นการกระทำสิ้นคิด แต่ขัดขืนแรงของเพื่อนที่เลเวลมากกว่าไม่อยู่ เขาสัญญากับตัวเองว่า ถัดจากนี้ต้องอัพสถานะค่ากำลังให้มากขึ้น เพื่อจะได้ต่อต้านเธอได้บ้าง เด็กชายหลับตาปี๋พอระยะห่างจากพื้นเริ่มใกล้เข้ามา และเตรียมใจรับแรงกระแทก

    หนึ่งวิ...สองวิ.. เด็กชายไม่รู้สึกถึงความเจ็บ เขาคิดว่าตัวเองคงตายในทันที จึงแอบโล่งใจ แต่พลางนึกห่วงเพื่อนด้วย.. ยัยมิเชล..พอมีตาให้มอง ก็ดันกล้าบ้าบิ่นซะขนาดนี้ แถมยังกวนตีน ผิดกับตอนใช้ภาษามือที่ขอบเขตคำพูดถูกจำกัดลิบลับ แม้บางครั้งเธอปล่อยมุขผ่านอักษรเบรล แต่น้อยมาก เพราะการคลำอ่านมันช้า และเจอกันเพียงแค่อาทิตย์ละครั้ง จึงต้องพิมพ์คุยแบบรวบรัด เน้นแต่เนื้อหา..

    "ลืมตาได้แล้ว ในเกมส์นี้โทนี่ไม่ใช่คนตาบอดซะหน่อย" เสียงร้องอย่างขบขันโพล่งขึ้น ถ้าเป็นเสียงหวานใสแบบสาวๆ ในห้องเรียน.. ก็คงรู้สึกว่าน่ารักดี แต่ทุ้มๆ แบบยัยเพื่อนคนนี้ ฟังแล้วกวนประสาทเป็นบ้า

    "โอเค พวกเราอยู่บนพื้น... บนพื้น..ได้ไง?" โทนี่เบิกตาสงสัย เงยหน้าขึ้น มองเห็นต้นโพธิ์แดงยืนสง่าพร้อมดอกบานสะพรั่ง แต่ไม่ถึงขั้นตกใจ เพราะยัยคนตรงหน้าต้องใช้สักวิธีสิน่า พลัน สายตาก็เหลือบไปเจอเถาวัลย์สามเส้นที่ถูกถักติดกันแบบแน่นหนา เขาเลื่อนมือไปลูบๆ คลำๆ มันดู "...รูปร่างแบบนี้ ผมเปียสินะ พอเอามาถักรวมกัน เถาวัลย์เลยขาดยากขึ้น"

    "อ่า.. ใช่ แต่โทนี่ยังไม่ไหวนะ รอบหน้าแค่มองอย่างเดียวก็ต้องบอกได้แล้ว" เธอตั้งใจจะสอนเพื่อนว่านั่นคือผมเปีย แต่โดนขัด เพราะเขาชิงเอามือลูบดูไปแล้ว จึงได้แค่ข่มทับนิดหน่อย "แต่ก็สนุกดีนะ ว่ามั้ย.. อยากลองอีกรอบจริงๆ ถ้าไง.. ตรงนั้นมีต้นโพธิ์แดงน้อยอีกต้น.."

    "พอเลยๆ" เขารีบยกมือค้าน "ตอนนี้ฉันเลเวล13 อีกสองเลเวลก็เปลี่ยนอาชีพได้ตามที่เธอบอก มีวิธีอื่นมั้ยที่จะเก็บค่าประสบการณ์โดยไม่ต้องแกว่งมีด อันนั้นไม่เอาอีกแล้ว"

    ตอนแรกมิเชลเสนอให้เปลี่ยนเป็นไม้ยาวๆ ผูกกับมีดทำเป็นหอกเฉพาะกิจเพื่อจะได้โจมตีจากข้างบน แต่เด็กชายส่ายหน้ารัว ท่าทางเขาคงเข็ดกับการอยู่บนที่สูง และสุดท้ายก็มีข้อสรุปว่าสู้มันระยะประชิดนี่แหละ

    โทนี่เดินหามีดที่ทำหล่นสักพักก็เจอ พวกเขาไม่มีอาวุธอื่นแล้วนอกจากนี้ และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะหาเครื่องโจมตีป้องกันเพิ่มได้จากไหน เพราะต่างเพิ่งเคยจับเกมส์ครั้งแรก ทั้งคู่ลงความเห็นพ้องต้องกันว่าให้ถอยออกมานิดหน่อย เนื่องจากเสือดาวม่วงระดับสูงไป แค่หมาป่าขนเงินอย่างเดียวดูเป็นตัวเลือกดีกว่า

    คู่หูเตี้ยสูงเขยิบออกไปเกือบหลุดทุ่งราบสีเหลือง แหล่งอาศัยของหมาป่าขนเงิน... หากขยับไกลอีกนิด จะเจอแมวป่าแล้ว เผื่อว่าเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้รีบเผ่นได้ทันที มิเชลใช้เวทสาดน้ำจากระยะไกล ล่อความสนใจสัตว์อสูรเข้ามาในบริเวณได้ตัวนึง และช่วยกันรุม

    ในบริเวณเขตเริ่มต้นของมือใหม่ สัตว์อสูรต่างไม่โจมตีก่อน ยกเว้นตั้งแต่ระดับหมาป่าขนเงินขึ้นไป ที่จะหันมารุมหากมันเห็นว่าพรรคพวกโดนโจมตี เธอจึงค่อยๆ ลากเข้ามาเชือดทีละตัว

    หมาป่าขนเงินวิ่งโร่เข้ามากัดมิเชลก่อนเพราะเป็นคนสาดน้ำ เธอเอี้ยวหลบแล้วใช้มีดสั้นจ้วงถี่ๆ ตัวเลขสีแดงบนหัวสัตว์ร้ายเด้งอยู่แถว 16 ถึง19 ส่วนของโทนี่แทงได้แค่ทีละ 4 ถึง13 นับว่าค่าโจมตีแกว่งกว่ามาก เด็กสาวยังอาศัยเวทจุดไฟทำให้มันเลือดลดเร็วขึ้นด้วย

    เลือดของมันน่าจะประมาณ 80-90 จากที่สองคนเคยช่วยๆ นับดู พวกเขาใช้เวลาร่วมๆ 4นาที ต่อตัว โทนี่โดนกัดเข้าไปบ้าง แต่มิเชลหลบได้ทุกดอก และกลายเป็นตัวล่อสัตว์อสูร เพราะทนเห็นเพื่อนเสียเลือดทีละหนึ่งในห้าของหลอดไม่ไหว

    ถึงคราวนี้มีมิเชลมาแบ่งค่าประสบการณ์ด้วย แต่มีดสั้นเป็นของไว้ใช้แทง ไม่ใช่อาวุธระยะไกลจึงฆ่าสัตว์อสูรได้เร็วกว่าเดิม เด็กสาวต้องคอยหลบสายตาเพื่อนที่ค้อนมาเป็นระยะ ข้อหาพาไปเสียแรงโดยใช่เหตุ

    โทนี่ขึ้นเลเวลสิบห้าภายในเวลาชั่วโมงครึ่ง เขาเกือบโดนกัดตายหลายครั้ง แต่รอดเพราะเพื่อนสาววิ่งปรี่เข้ามาช่วยล่อศัตรูออกไปก่อนตลอด ความที่เด็กชายเป็นมือใหม่จึงมองข้ามเรื่องมิเชลมีความว่องไวเกินปกติ และทึกทักเอาเองว่า สักพักตนคงทำได้เหมือนกัน.... ทว่า... นอกจากหนูจิ๊ดตัวแรกสุดแล้ว.. เธอยังไม่เคยเสียเลือดเพิ่มอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    เด็กชายใช้เวลายึกยักเลือกอาชีพอยู่หน้าเต๊นนาน จนเธอเริ่มแกะห่อมาม่าหมูสับออก ทั้งสองยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เจอหน้ากัน ความหิวในเกมส์คงเพิ่งเริ่มร้องเตือนเอาตอนที่เชลต้มน้ำ เพราะโทนี่หันมามองตามกลิ่น นักเวทสาวเลยต้องยื่นยากิโซบะแบ่งไปให้อีกกล่อง
  4. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    “โทนี่ รู้สึกอะไรมั้ย” เธอเปรย ในปากยังเคี้ยวหมูสับอยู่

    “หือ”

    “เวลาในเกมส์นี้ดูช้าจัง เมื่อวานเหมือนเล่นเกมส์อยู่หลายสิบชั่วโมง แต่พอออกมา ก็เลยเวลานอนไปแป๊ปเดียวเอง”

    “ก็แหงล่ะ” เขาตอบ “เวลาในเกมส์ช้ากว่าเวลาข้างนอกห้าเท่านี่นา พ่อเธอไม่ได้บอกเหรอ มันมีอธิบายตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครแล้ว”

    “ถึงว่าสิ” เธอหัวเราะ “มิเชลใช้ตัวละครเดิมจากวิช่วลเวิร์ลเลยไม่รู้ ก็ดีนะ เล่นได้ยาวนานดี”

    พออิ่มเลยถกเรื่องอาชีพกันต่ออีกสามชั่วโมง แต่สุดท้ายเขาดันเลือกอะไรก็ได้ที่แจกเสื้อผ้าเท่ห์สุด โดยการไปด้อมๆ มองๆ ชุดใหม่ของคนเพิ่งออกจากเต๊นท์เอา มิเชลอยากถีบเพื่อนกลับเข้าป่าไปผจญเสือดาวม่วงเดี่ยวๆ สักรอบเหลือเกิน

    กระนั้น เด็กสาวยังรู้สึกว่าเห็นภาพซ้อนตัวเองตอนโทนี่วิ่งต่อคิวโดยไม่สนใจป้าย อธิบายทักษะ... เพราะตอนตนเปลี่ยนอาชีพก็เอาแค่แถวสั้นสุดเหมือนกัน...

    แถวโทนี่ยืนมีคนต่อเป็นร้อย ดูเหมือนจะชื่อเต๊นท์ช่างฝีมือ คำอธิบายด้านหน้าเขียนตัวใหญ่ ว่าสามารถใช้อาวุธทุกประเภท และทักษะทั้งหมดหาได้จากภารกิจเท่านั้น มิเชลรอจนหลับ เธอโดนปลุกอีกทีตอนเขาเปลี่ยนอาชีพแล้ว

    ไอ้ที่โทนี่บอกว่าเท่ห์นักหนากลับดูเห่ยสิ้นดี เสื้อกล้าม กางเกงยางยืดขาสั้นกับกระดุมสารพัดรูปทรงปุปะโดยรอบ และยังเป็นชุดสีน้ำตาลเข้มทั้งตัว เธอถึงค่อยนึกได้ว่าเด็กชายจะไปมีสายตามองเสื้อผ้าได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่เคยเห็น!

    “เป็นไง”

    “......ก็โอเค แต่เดี๋ยวหาเสื้อสวมทับเสื้อกล้ามด้วยนะ” เธอตอบนิ่งๆ เขาดูจะถูกใจกางเกงที่มีกระดุมติดอยู่เป็นร้อยเม็ดเป็นพิเศษ

    “ตอนต่อแถว ได้ยินคนคุยกันว่าหนังสือเกมส์เขาแง้มข่าวเรื่องอาชีพนี้ผลิตของได้แหละ แล้วเค้าก็พูดกันว่าน่าจะเป็นอาวุธ มิน่าคนถึงเล่นเยอะ... จนป่านนี้พวกเราก็ยังมีแค่มีดสั้นคนละอัน”

    “แต่ เพื่อนของมิเชลที่เป็นนักธนูกับนักเวท เค้ามีธนูแล้วก็ไม้เท้า โทนี่ไม่ได้รางวัลเปลี่ยนอาชีพเป็นอะไรเลยเหรอ”

    “นอกจากเสื้อผ้าก็ได้อุปกรณ์งานช่างมา กล่องมีที่ว่างเก็บได้ 5ช่อง ในกล่องมีกรรไกร ค้อน กับคู่มือที่เหมือนจะหนาอยู่เล่มนึง” เขายื่นหนังสือปกหนาสีน้ำเงินให้ดู

    “คู่มืออะไร”

    “ไม่รู้... ฉันอ่านได้แต่อักษรเบรลล์ เธอเอาไปอ่านแทนหน่อยละกันว่ามันคืออะไร...”

    “อะ... ได้สิ” เธอลืมไปว่าเพื่อนอ่านตัวหนังสือไม่ออก มิน่าถึงเลือกอาชีพจากชุดสวมใส่ ดูท่ามีเรื่องต้องให้สอนกันอีกแล้ว….“นอกจากสารบัญ หน้าแรกเขียนวิธีตัดกระดาษ หน้าที่สองเขียนวิธีตอกตะปู และก็หมดแล้ว... ไม่มีหน้าที่สาม ปกแข็งๆ สันใหญ่ๆ แต่ทั้งเล่มมีหน้ากระดาษอยู่สองแผ่น... นี่มันหนังสืออะไรเนี่ย”

    “ต่อให้มองไม่เห็นพวกเรายังตัดกระดาษกันเองได้เลย ส่วนตอกตะปูอาจจะยกเว้นไว้ให้พวกผู้ใหญ่ที่บ้านทำ” โทนี่เสริม “ลองอ่านให้ละเอียดๆ สิ อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็ได้”

    “หน้าแรกเขียนว่า เอานิ้วสอดในห่วงแล้วขยับ อีกอันเขียนว่าจับค้อนให้มั่นแล้วออกแรง เล่มตั้งใหญ่ แต่เขียนประโยคละหน้าแค่นี้แหละ” มิเชลหัวเราะร่วน เธอสังเกตุว่าสีหน้าพวกที่ได้อาชีพนี้เหมือนมีเครื่องหมายคำถามลอยไปมาในหัว

    “ฉันลงทุนผ่าฟืนร้อยชิ้น ทุบหินร้อยก้อนไปทำไมเนี่ย....”

    “นั่นเป็นข้อสอบเหรอ”

    “ก็ใช่... ข้อสอบง่ายมาก แค่ต้องทนเหนื่อยทำตามคำสั่งให้ครบเท่านั้นแหละ” เขารับหนังสือคู่มือคืนมา จับมันยัดใส่ช่องเก็บของที่เข็มขัดตามเดิม

    เด็กทั้งสองพากันไปทางออกเขตมือใหม่ เป็นเต๊นท์ใหญ่ที่สุดในละแวก ข้างในมีห้องปลีกย่อยแบ่งไปอีกเกือบยี่สิบห้อง พวกเขาเดินเข้ามาตามคำแนะนำของป้ายบอกทาง

    “ยินดีต้อนรับค่ะ ดิฉันชื่อเอ็มม่า เป็นประชาสัมพันธ์ของที่นี่ ดิฉันมีหน้าที่ให้คำแนะนำและตอบคำถามค่ะ” เธอเป็นหญิงสาวผมบลอนด์สั้น ยืนยิ้มหวานนิ่งบริเวณทางเข้า ส่วนมือซ้ายผายไปยังประตูห้องย่อย “ประตูห้องทั้งหมดตรงหน้าจะเป็นจุดเตรียมความพร้อมก่อนออกจากอาณาเขตคุ้ม ครองของมือใหม่ กรุณาเลือกเดินเข้าห้องว่าง โดยสามารถสังเกตุได้จากบานประตูที่แง้มออก หากมาเป็นกลุ่ม กรุณารวมกลุ่มแล้วเข้าพร้อมกัน เพื่อความรวดเร็ว”

    “ตั้งกลุ่ม?” โทนี่ทัก

    “การตั้งกลุ่มสามารถทำได้จากหน้าต่างของระบบ ผู้เล่นภายในกลุ่มเดียวกันเมื่ออยู่บนพื้นที่เดียวกัน จะสามารถรับส่วนแบ่งค่าประสบการณ์ได้ มีเพียงหัวหน้ากลุ่มและรองหัวหน้ากลุ่มสามารถเชิญผู้เล่นเข้ากลุ่มได้ค่ะ” เธอตอบเรียบๆ จ้องมองด้วยแววตาสีฟ้าที่ดูเป็นมิตร

    “มิเชล ฉันตั้งกลุ่มเป็นล่ะ กดรับด้วย... เอ๊ะทำไมไม่ได้ มันขึ้นว่าเธอมีกลุ่มอยู่แล้ว”

    “มิเชลเคยรวมกลุ่มกับเพื่อนที่เล่าให้โทนี่ฟังไง รอแปปนะ” เธอเอานิ้วจิ้มๆ หน้าต่างระบบ “กลุ่ม โทนี่ เหรอ ชื่อสิ้นคิดมาก”

    “ค่อยไปแก้ทีหลังได้มั้ง ใช่มั้ยครับ” เขาหันไปพยักหน้าเป็นเชิงถามหญิงสาวผมบลอนด์

    “แก้ ต้องการแก้ไขอะไรหรือคะ” เธอถามย้ำ

    “แก้ชื่อกลุ่มไงครับ ผมตั้งไปแล้ว อยากจะแก้ชื่อทีหลัง”

    “การแก้ไขชื่อกลุ่มไม่สามารถทำได้ค่ะ ผู้เล่นต้องยกเลิกกลุ่มเดิมที่มี แล้วตั้งกลุ่มใหม่ และเชิญสมาชิกในกลุ่มเก่าเข้ามาแทน”

    “ก็เหมือนตั้งกลุ่มใหม่เลยใช่มั้ยครับ”

    “การตั้งกลุ่มสามารถทำได้จากหน้าต่างของระบบ ผู้เล่นภายในกลุ่มเดียวกันเมื่ออยู่บนพื้นที่เดียวกัน จะสามารถรับส่วนแบ่งค่าประสบการณ์ได้ มีเพียงหัวหน้ากลุ่มและรองหัวหน้ากลุ่มสามารถเชิญผู้เล่นเข้ากลุ่มได้ค่ะ” เธอตอบซ้ำคำเดิม

    “อันนี้เพิ่งบอกพวกผมไปแล้วนี่ครับ”

    เอ็มม่าเงียบ ยิ้มหวาน และขยับตัวเล็กน้อย โทนี่เริ่มรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถตอบคำถามตามศัพท์จำเพาะเท่านั้น เรื่องใดอยู่นอกเหนือขอบเขตที่สามารถเปิดเผย หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูล ก็จะนิ่งเงียบ เขาหันไปสะกิดเพื่อนสาวเพื่ออธิบาย มิเชลจึงทำท่า ‘อ้อ’ หนึ่งที แล้วเลิกสนใจเธอ

    พวกมิเชลรอจนมีห้องย่อยว่าง แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน ในนั้นมีเก้าอี้แบบม้านั่ง โต๊ะ ตู้ และชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ ผมสีฟ้าเข้ม ตัวไม่ใหญ่ไม่เล็ก สวมเสื้อคลุมดำสนิททั้งตัว นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนัก ลูกแก้วสีฟ้าตั้งตรงหน้าเขา

    เด็กทั้งคู่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมฉุนลอยมาแตะจมูกจางๆ

    "สวัสดี ข้าคือหมอผีโจเซ่ เหอ..เหอ..เหอ..." เขาทัก เอานิ้วมือผอมๆ ลูบลูกแก้ว และปรากฏหน้าต่างสี่เหลี่ยมแบบทึบสองอันลอยกลางอากาศ "ช่างฝีมือกับนักมายาธาตุสินะ น่าแปลกใจจริงๆ... ที่มีคนเลือกอาชีพนักมายาธาตุด้วย โดยมากเห็นแค่คำอธิบายทักษะเบื้องต้นก็จะหนีไปเอาดีกับอาชีพที่มีเวทโจมตี จริงๆ อย่างจอมเวทมนตร์ดำ หรือผู้ใช้เวทมนตร์”

    "คุณโจเซ่สามารถดูข้อมูลของพวกเราได้จากหน้าต่างอันนั้นเหรอคะ" เธอเอ่ยถามสั้นๆ แต่ทำเอาโจเซ่สะดุ้ง ดวงตาเบิกกว้าง ปากเผยอชั่วคราวก่อนจะหุบลง

    "ขอโทษที่แสดงอาการเสียมารยาท... แค่ตกใจนิดหน่อย.. ที่จริงเรื่องแบบนี้มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล" เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ "ใช่อย่างที่พวกเจ้าเข้าใจแหละ... ข้าดูข้อมูลของพวกเจ้าสองคนได้... เพราะข้าคือหมอผีโจเซ่... ลูกแก้วบอกข้าทุกอย่าง... ข้าอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบ และให้คำแนะนำผู้คนพลาดพลั้งในอดีต..."

    “แล้วเราต้องทำไงต่อคะ ถ้าจะออกจากเขตผู้เล่นใหม่”

    “ใจเย็น... ใจเย็น... ลูกแก้วบอกข้าว่าพวกเจ้าทั้งคู่... ไม่มีเงินเลย... ทั้งที่มีไอเท็มเต็มกระเป๋า... แถมยังมีประวัติการโยนไอเท็มทิ้งเป็นจำนวนมาก แปลว่า...ไม่เคยขายของเลย...” หมอผีโจเซ่ส่ายหน้า “พวกเจ้าต้องรู้จักเดินหา... พ่อค้ารับซื้อขยะรับซื้อทุกอย่าง... แต่ราคาจะถูกกดซะติดดิน... หรือถ้าหาร้านที่ต้องการของสิ่งนั้นได้ จะสามารถเรียกราคาได้สูงขึ้นอีก... พวกเขามักจะยืนในแหล่งอยู่อาศัย... ในเมือง หรือแม้แต่หน้าเต๊นท์... ถ้าเพียงพวกเจ้ารู้จักเดินหา และร้องทักสักนิด… และโอ... ยังมีอีก... ยังมีอีก.... พวกเจ้าพลาดหลายอย่างจริงๆ ”

    ชายหนุ่มร่ายออกมาทีละอย่าง... ไล่ตั้งแต่เรื่องที่ไม่รู้จักหาซื้ออาวุธใหม่ ไม่รู้จักซื้อไอเท็มฟื้นพลัง และไม่รู้จักซื้อเสบียงอาหารมาสะสม... พวกเขาโดนชมเรื่องเก็บผลไม้กิน ดัดแปลงอาวุธ แต่โดนติข้อหาใช้เถาวัลย์แกว่งมีดว่าเสียเวลาได้อย่างไร้สาระมาก คำแนะนำทั้งหลายดูมีประโยชน์แต่กว่าจะฟังจบก็สุดจะเหนื่อย โทนี่ยืนสัปงก หัวโยกขึ้นลงเป็นสัญญาณตอบรับหลอกๆ

    “ทีนี้พวกเจ้าต้องฟัง... เพราะนี่คือจุดสุดท้ายแล้ว... ”

    “งือ” เด็กชายสลึมสลือตอบ... เขาอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นมาสักระยะแล้ว

    “ท่านกระเทยตัวสูงหน้าหล่อตรงนั้นทำได้ดีมาก... ท่านมีความอดทนสูง ผิดกับเจ้าช่างฝีมือขี้เบื่อตัวเตี้ยคนนี้...”

    “หนูเหรอ?” เด็กสาวขมวดคิ้ว ถ้าหากนิ้วชี้หมอผีโจเซ่หันไปทางอื่น มิเชลคงไม่คิดว่าคำพูดนั้นหมายถึงเธอ...

    “คำ เรียกอาจดูเสียมารยาท แต่ข้าเข้าใจในสิทธิส่วนตัวของท่าน... กายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ทุกอย่างลูกแก้วรู้ ลูกแก้วเห็น ดวงตาของข้าคือลูกแก้ว ข้าจึงรู้ ข้าจึงเห็น”

    มิเชลสงสัยคำพูดประหลาดๆ เลยจ้องลึกตามเข้าไปในลูกแก้ว มันสะท้อนภาพของโทนี่และชายหนุ่มแปลกหน้ายืนเคียงกัน... เมื่อเธอขยับ เขาก็ขยับ แม้ว่าภาพในนั้นจะดูอ้วนขึ้นนิดหน่อย แต่ลูกแก้วตรงหน้านี้ใสจนใช้แทนกระจกเงาได้ ปริศนารูปร่างผู้ใหญ่ของเธอกระจ่างแล้ว...

    เธอกลายเป็นผู้ชาย ใบหน้าที่พอมีเค้าโครงมิเชลตัวน้อยอยู่ กลายเป็นหนุ่มหน้าหวานไปซะแล้ว กล้ามเนื้อดูล่ำสันเป็นเงา หน้าอกแน่นตึงแต่แบนราบ!

    พอบรรยายจบ หมอผีโจเซ่ก็แจกกล่องถนอมอาหาร กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำได้ 1ลิตร มีฝาปิด แว่นขยายสิบอัน เป้หนังแมวป่าบรรจุของได้ 300ช่อง แต่ให้ถุงของขวัญมิเชลเพียงคนเดียวเป็นรางวัลฟังทน เขาสะบัดมือรอบๆ ลูกแก้ว ปรากฏแสงวูบวาบใต้เท้าพวกเด็กๆ ภาพภายในเต๊นเปลี่ยนไปกลายเป็นทุ่งหญ้าทันที

    เด็กทั้งสองใช้เวลาเพียงครู่เดียว ก็เข้าใจว่าถูกทักษะของระบบในการเคลื่อนย้ายออกจากเขตมือใหม่ โทนี่ตื่นเต้นจนวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งแบบไร้ความหมาย ส่วนมิเชลทำหน้าบอกไม่ถูก เธอดึงชายเสื้อเพื่อนเบาๆ

    “โทนี่... มิเชลเล่าให้โทนี่ฟังที่โรงเรียนแล้วไงว่าเพศในเกมส์ของมิเชลเป็นผู้ชาย เพราะถูกโอนมาจากวิช่วลเวิร์ล แต่พ่อช่วยแต่งสัดส่วนให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น ก็ไม่นึกว่า...”

    “ตัวเธอที่ยืนตรงหน้าฉันตอนนี้เป็นผู้ชาย”

    “ใช่เลย มิเชลกำลังจะพูดคำนั้น…”

    โทนี่ระเบิดเสียงหัวเราะแบบไม่เกรงใจ เขาลูบมือและแขนขาเธออีกหลายรอบเพื่อรับรู้ในลักษณะของคนตาบอด ความแตกต่างระหว่างหญิงกับชายสามารถบอกได้ผ่านผิวหนังหากตั้งใจสัมผัสจริงๆ

    “จะบอกให้นะ มิเชลเป็นผู้ชายที่หล่อมากด้วยยย....” เธอเริ่มฉุนที่โดนหัวเราะ “หล่อมากกว่าโทนี่แบบทิ้งกันไกลเลยแหละ”

    “ฉันเสียใจนะที่หล่อน้อยกว่าเธอ” เขายังหัวเราะอยู่ “โอย... ขำ.... ไอ้ฉันก็นึกว่ากำลังเดินกับผู้หญิงอยู่ กลายเป็นเดินกับกะเทย…”

    มิเชลกระโดดถีบเพื่อนเต็มแรง เลือดของเด็กชายลดลงสิบหกจุด พร้อมกับสถานะอาชญากรขึ้นกะพริบที่ตัวมิเชล แต่เจ้าหล่อนไม่สนใจ ปากบอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ขอใช้สิทธิให้คุ้ม โทนี่จำต้องวิ่งวนหนีไปรอบๆ จนค่าเลือดโดนทยอยตอดเหลือแค่แปดแต้ม เธอถึงค่อยยอมหยุด

    “ยัย...โหด...... เธอ...เอาไฟเผาเพื่อนเหรอเนี่ย….” เด็กชายพูดเสียงหอบ

    “มิเชลก็ใช้เวทสาดน้ำดับให้ละกัน”

    “ถ้าฉันไม่ใกล้ตาย เธอคงไม่หยุดใช่มั้ยเนี่ย ตัวของเธอก็ติดสถานะอาชญากรกลายเป็นสีแดงด้วย”

    “พูด ยอมความให้มิเชล หน่อยสิ แล้วมิเชลจะละเว้นเลือดอีกแปดจุดที่เหลือ” ในมือของมิเชลเตรียมเวทจุดไฟระลอกสองเอาไว้แล้ว

    “ยอมความให้มิเชล แล้วก็ดับไฟด้วย”

    ที่จริง... ถึงไม่โดนขู่ เด็กชายก็คงพูดอยู่ดี เพราะรู้ว่าเพื่อนแค่หยอกกันแรงๆ เท่านั้น เธอไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆ

    “ถ้าเธออยากกลับเป็นร่างผู้หญิง ก็ลองยกเลิกเวทนั่นดูสิ” โทนี่เสนอ

    “มิเชลยกเลิกไม่เป็น คิดว่ารอเวลาผ่านไปสักพักก็คงหายเอง แต่ที่จริง....แบบนี้ก็ดีออก ตัวใหญ่ดี แขนขายาว ระยะเอื้อมดีกว่าตั้งเยอะ” เธอยิ้ม หมุนตัวไปรอบๆ “รู้สึกสะดวกสุดๆ ไปเลย แถมยังหล่ออีกต่างหาก ถ้าแค่เล่นเกมส์น่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มิเชลกลายเป็นผู้ชายก็ได้”

    “ถ้ายกเลิกไม่ได้ก็แล้วแต่เธอชอบเถอะ ถึงฉันยังอยากเห็นหน้าตาจริงๆ ของเธอสักหน่อย” โทนี่เอ่ย “แล้วเราจะไปไหนกันต่อ”

    “ตอนที่โทนี่หลับ หมอผีโจเซ่เค้าบอกให้เข้าเมืองก่อน ด้วยการเดินตามป้ายบอกทางอย่างเดียว ถ้าไม่เจอป้ายบอกทางเมื่อไหร่คือหลงทาง”

    “งั้นก็ไปสิ เธอนำนะ เพราะฉันอ่านป้ายไม่ออก”
  5. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอนที่ 3 ภารกิจเมืองตายาย (ครึ่งแรก)

    ตอนที่ 3 ภารกิจเมืองตายาย

    เด็กทั้งสองเริ่มออกเดิน โดยต้องเจอผู้เล่นใหม่ด้วยกันตลอดทาง ในมือต่างถือมีดสั้นคนละเล่มหรืออาวุธรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพ แต่สัตว์อสูรในพื้นที่กลับเป็นกวางป่าจุดสีชมพูน่ารักขี้กลัว พวกมันเว้นระยะห่างจากกลุ่มผู้เล่น และไม่มีใครทำร้ายสิ่งมีชีวิตน่าเอ็นดูลงคอ จึงเหมือนได้กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ

    เมืองแรกสุดที่ต้องเจอชื่อว่าเมืองตายาย เหตุเพราะเป็นเมืองหลวงของทวีปตายายซึ่งพวกเขาเหยียบอยู่... และถึงเรียกเมืองหลวง แต่ทวีปตายายก็มีแค่สองเมืองเท่านั้น... อีกเมืองติดทะเลเลยได้ชื่อเมืองท่าบรรพบุรุษ มิเชลบอกได้แค่ว่า... คนตั้งช่างไม่มีความคิดสร้างสรรค์เลย

    ก่อนเข้าเมือง พวกเขาต้องเดินเลียบกำแพงอิฐสีเทาน้ำตาลจนเจอทางเข้า บริเวณรอบนอกก่อนถึงประตูใหญ่มีโต๊ะกับม้านั่งหินอ่อนวางเรียง เด็กๆ จึงตกลงเอาไอเท็มมาแผ่ดู เพราะที่ผ่านมาก็สักแต่เก็บ ไม่รู้อะไรไว้ทำอะไรบ้าง

    นอกจากฟันหนู หนวดหนู และหนังหนู กับของจากหมอผีโจเซ่ที่มีเหมือนกันแล้ว สิ่งที่ต่างคงเป็นรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพ มิเชลมีซุปซอง กระดาษโน๊ตยับ หีบสีม่วง กิ่งไม้ติดผลึกลูกแก้วสวย กับถุงของขวัญจากหมอผีโจเซ่ ส่วนโทนี่มีกล่องอุปกรณ์เครื่องมือช่าง คู่มือ และชุดผู้เริ่มต้นที่เพิ่งถอดออก

    มิเชลพยายามหาวิธีอ่านกระดาษโน๊ตยับๆ แต่เอียงมุมไหนก็อ่านไม่ออก สุดท้ายเลยลองใช้แว่นขยายส่อง ดูเหมือนเธอเลือกถูกวิธีเพราะมีเสียงดัง ปุ้ง และแว่นขยายก็หายไปจากมือ

    “มันเขียนว่าอะไร”

    “ขอให้โชคดี ถ้าเธออ่านกระดาษแผ่นนี้ได้แปลว่าได้ทดลองใช้แว่นขยายที่ระบบแจกแล้ว แว่นขยายน่ะมีไว้ส่องไอเท็มที่ไม่รู้จัก” เธออ่านออกเสียง.... “เป็นแค่กระดาษอธิบายเกี่ยวกับเรื่องแว่นขยาย”

    “ลองใช้แว่นขยายดูกับของที่เรามีละกัน” เด็กชายเสนอ

    พวกเขาใช้มันส่องทุกอย่าง กระทั่งเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่ เธอค่อยเรียนรู้ว่าชุดคลุมเขียวมีชื่อ ชุดนักพรตพงไพร พลังป้องกันต่ำ แต่สามารถดูดซึมธาตุจากธรรมชาติมาเสริมผู้สวมได้ 5% ส่วนกิ่งไม้สวยๆ คือ กิ่งไม้เลเวล 1..!? พลังโจมตีกายภาพ 0 พลังโจมตีเวทมนตร์ 0

    แว่นขยายถูกใช้ทั้งหมดเพียง 3ชิ้น เพราะไอเท็มทุกอย่างที่โทนี่ถือมีคำบรรยายอยู่แล้วในตัว มันจึงไม่ทำให้เกิดเสียง ‘ปุ้ง’ เพิ่ม

    พอรื้อจัดไอเท็มในตัวเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าเมือง โทนี่พยายามกวาดตาสำรวจทุกอย่างเอาไว้ เขาดูเบลอๆ แต่ถิอว่าพัฒนาขึ้นเพราะแยกระหว่างกำแพงกับต้นไม้ออกแล้ว มิเชลยังคงทำหน้าที่มัคคุเทศน์ พากษ์ชื่อสิ่งของตามแนวทางไปเรื่อยๆ พอเข้าละแวกตลาด เด็กชายพบปัญหาการอ่านป้ายราคาไม่ออก เธอจึงสอนรูปร่างของตัวเลขไล่ตั้งแต่ 0 ถึง 9ให้เขาจำ

    โซนตลาดทุกอาคารเลือกใช้หลังคาลายแดงสลับเขียว ลวดลายกำแพงแต่งตามชนิดสินค้าที่ขาย ข้างประตูจะติดป้ายไม้ทาสีส้มลงชื่อเรียกร้านไว้ ส่วนราคาไอเท็มสามารถมองเห็นแต่ไกลผ่านกระจกใส มิเชลบอกได้ว่าเธอเห็นตัวเลขศูนย์เติมท้ายยาวๆ แทบทุกรายการ.... และพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้... ต่างมีใบหน้าเรียบๆ ไร้อารมณ์ ยิ่งการยืนขาแข็งทั้งวันช่วยบ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์

    หลังออกจากย่านตลาดเข้าสู่ลานกลางเมือง จะเจอป้ายประกาศมากมาย ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของมิเชลในการอ่านออกเสียง เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมาก ซ้ำไปซ้ำมาระหว่างประกาศหาเพื่อนตั้งกลุ่ม ประกาศขายของ ประกาศขอของฟรีๆ หรือประกาศสั้นๆ ที่ไม่มีความหมายอย่างเช่นคำว่า "สวัสดี" หรือ "เฮ้"

    "เราก็ลงประกาศมั่งสิ" เธอร้อง

    "เธอมีอะไรให้ลงในประกาศด้วยเรอะ"

    "อะไรก็ได้นี่นา ใครๆ เขาก็แปะอะไรมั่วๆ กัน มิเชลจะเขียนว่า มิเชลมาเยือน! ตัวใหญ่ๆ อยากทำแบบนี้มานานแล้ว"

    "ถ้าเธอไม่ตาบอด กำแพงเพื่อนบ้านเธอคงละเลงแล้วใช่มั้ยเนี่ย"

    "มิเชลไม่เขียนกำแพงเพื่อนบ้านหรอกน่า พ่อจะเดือดร้อนเอา... เอ๊ะ..จะลงประกาศต้องเสียเงิน 2เหรียญด้วย มิเชลไม่มีเงินเลยนี่นา เราเอาไอเท็มไปขายหาเงินแบบที่หมอผีโจเซ่บอกไว้กัน"

    งั้นถ้าไม่ใช่กำแพงเพื่อนบ้านที่พ่อเธอจะเดือดร้อน ก็คงเขียนใช่รึเปล่า... เด็กชายคิดบ่นอยู่ในใจ

    เธอกับโทนี่ขายไอเท็มจากหนูจิ๊ดทั้งหมดให้พ่อค้ารับซื้อขยะ แต่ได้กลับมาเพียงคนละ 40กว่าเหรียญ มิเชลเลยตัดใจไม่ใช้เงินสองเหรียญกับประกาศเล่นๆ ของป้ายละแวกน้ำพุใจกลางเมือง ดูท่าเกมส์นี้เงินจะหายากทีเดียว

    พอมาถึงเรื่องของอาวุธ มิเชลเป็นนักเวทจึงต้องใช้ไม้เท้า ส่วนโทนี่ก็อยากได้ของใหม่บ้าง แต่เจอกับราคามหาโหด กระทั่งมีดสั้นเริ่มต้นในมือพวกเขายังราคาสูงถึง 80เหรียญ ส่วนคฑาอันที่ถูกสุดก็ปาเข้าไป 300เหรียญ เธอยอมถือกิ่งไม้จิ้มสัตว์อสูรแทนการควักตังซื้อยังดีซะกว่า

    บริการทุกอย่างในเมืองจะอะไรต้องใช้เงิน ของกินก็แพง ร้านอาหารกับขนมโดยมากจึงร้าง ผู้เล่นส่วนมากแค่ด้อมๆ มองๆ กลืนน้ำลาย กินแค่มโนภาพกันไป เกมส์นี้ก็เพิ่งเปิดมาแค่สองอาทิตย์กว่าๆ เลยยังไม่มีกลุ่มไฮโซแต่งตัวดีนั่งซัดเค้กราคาเท่าโน้ตบุ้คให้เห็น

    เด็กทั้งสองมองเงินในมือ มองหน้ากัน แล้วนึกเสียดายไอเท็มที่โยนทิ้งระหว่างทางเพราะของเต็ม ไม่งั้นป่านนี้คงถือเงินคนละเกือบสองร้อยเหรียญแล้ว กระทั่งกระเป๋าสตางค์ระบบยังมีค่าอัพเกรด... เริ่มต้นจะบรรจุได้ 10000เหรียญ เกินกว่านั้นต้องจ่ายเพิ่ม มิเชลกับโทนี่จึงพร้อมใจเดินออกจากธนาคารทั้งที่เพิ่งก้าวเข้าไป จำนวนตัวเลขเลยเถิดจากความเป็นจริงไกลโข แค่หาเงินมาทำให้กระเป๋าสตางค์เต็มได้ก็ยอดแล้ว! สองสหายใช้สีหน้าคุยกันว่า ช่างมันเหอะ!

    "มิเชล"

    "หืม..." เธอหันไปมองเพื่อน

    "ตรงไหนบ้างที่เรายังไม่ได้สำรวจ" โทนี่เอามือตบป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ พวกเขากลับมายังบริเวณลานกลางเมืองอีกครั้ง เสียงน้ำพุดังซู่ๆ อยู่ใกล้หู

    "เราไปโซนร้านของกิน ที่ช้อปปิ้ง ธนาคารแล้ว ดูจากแผนที่เหลือแค่ยังไม่ได้แวะไปสมาคมผู้กล้าเลย" เธอใช้นิ้วไล่ไปทีละชื่อ

    "เหลืออีกหลายอันที่เธอไม่ได้อ่านให้ฉันฟัง" โทนี่ทัก

    "พวกจุดสีเทามันยังไม่เปิดใช้งาน.. อ๊ะ.. ลืมไปว่าโทนี่ยังจำสีได้ไม่ได้ ไว้มิเชลจะหาของที่มีสีพื้นฐานให้จำนะ"

    "ไม่ต้องหรอก พอจำได้เยอะแล้ว อันนี้สีเทา แดง เขียว น้ำเงิน บ้านหลังนั้นก็หลังคาสีขาว พื้นเป็นสีน้ำตาล... หมาตัวนั้นก็..." เขาชี้ตามแต่ละจุดสีบนแผนที่แล้วไล่บอกชื่อสีอื่นๆ ให้ฟังโดยยึดสภาพแวดล้อมเป็นเกณฑ์ แต่รวมๆ มันก็ครบทุกสีในโลกแล้ว!!!..... มิเชลมองเพื่อนตาค้าง.... "ก็เธอคอยพูดให้ฉันฟังตั้งแต่เข้าเกมส์มาเลยนี่นา"

    "...แต่นั่นมิเชลพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองเผื่อๆ เอาไว้ ไม่คิดว่าโทนี่จะจำได้หมดจริงๆ"

    "ก็จำได้ทุกอย่างที่เธอพูดมาน่ะแหละ ความจำฉันดีเป็นพิเศษ เธอก็รู้ ฉันไม่เก่งคำนวณ แต่ก่อนสอบเลขฉันก็จำโจทย์กับคำตอบเข้าไปเยอะๆ อะไรที่ผ่านหัวครั้งเดียวฉันก็จำได้หมด โจทย์เลขพวกนั้นฉันก็ยังจำได้"

    โทนี่พิสูจน์คำพูดด้วยการอ่านทุกอย่างที่มิเชลเคยบอกออก! เขาจำมันเป็นรูปภาพ... แถมแม่นทุกรายละเอียด ขนาดแกล้งเขียนผิดแค่สระหนึ่งตัวก็ยังบอกได้ว่าไม่เคยเห็น รู้แบบนี้ เธอจึงรีบสอนตัวหนังสือให้จบรวดเดียว และนึกอยากเขกกะโหลกเพื่อนข้อหาที่ทำให้ต้องเหนื่อยพากษ์มาตั้งนาน

    ภาษาเบรลที่เด็กตาบอดทั้งสองใช้ มีไวยากรณ์และศัพท์เหมือนภาษาคนตาดีทุกประการ ต่างแค่วิธีเขียนเท่านั้น การสอนจึงเป็นลักษณะจำมันเข้าไปในแบบโคตรถนัดของโทนี่ มิเชลอึ้งทึ่งยิ่งกว่าเมื่อเพื่อนซี้สามารถจบบทเรียนเพียงแค่กวาดสายตาผ่านสองครั้ง (ครั้งแรกผ่านอักษรเบรล ครั้งที่สองผ่านอักษรปกติ)

    "มิเชลรู้ว่าโทนี่ความจำดี แต่เรารู้จักกันตั้งแต่อนุบาล ทำไมมิเชลไม่เคยรู้ว่าโทนี่จะเก่งขนาดนี้... จริงสิ...! โทนี่ไม่เคยใช้เทปบันทึกเสียงอาจารย์ตอนเรียนเลยนี่นา!!! สงสัยเพราะมิเชลไม่ใช้เทปเสียงเหมือนกันก็เลยไม่รู้แน่ๆ..!"

    "ไม่เกี่ยวสักหน่อย อลิสก็หูหนวก ไม่ใช้เทปเสียงเหมือนเธอยังรู้เลย เธอน่ะโผล่มาเรียนอาทิตย์ละครั้ง แถมไม่เคยรวมกลุ่มอ่านหนังสือสอบด้วยกัน เรื่องนี้ใครๆ ในห้องก็รู้ทั้งนั้น เพราะคนอื่นเค้าใช้ฉันแทนเทปเสียงเวลาสอบ"

    มิเชลกับโทนี่เดินต่อไปยังสมาคมผู้กล้า มันตั้งอยู่ติดกับย่านร้านค้า ตัวตึกสร้างจากอิฐทั้งหลังและทาสีครีมอ่อนทับ หลังคาใช้กระเบื้องแดง มีประตูทางเข้าอยู่ระหว่างกลางหน้าต่างกลมๆ สองบาน ลวดลายบนกำแพงเป็นรูปตายายคุยกันบนเก้าอี้ไม้โยก แม้เบื้องหน้ากำลังสนใจสิ่งปลูกสร้างหน้าตาน่ารัก ทว่าข้างในหัวเธอยังลืมเรื่องความจำระดับพระกาฬของเพื่อนไม่ลง.... ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องอยู่คนเดียว ถ้าอลิสกลับมาเรียนเมื่อไหร่ต้องถามดูว่า... มิเชลไม่รู้อยู่คนเดียวจริงๆ เหรอ...!

    ข้างในสมาคมเหมือนจะแบ่งเป็นสองโซนอย่างเห็นได้ชัด ฟากหนึ่งเป็นเคาท์เตอร์ของสมาคมกับป้ายประกาศข่าวสาร อีกฝั่งนั้นเป็นบาร์เหล้า ซึ่งกินพื้นที่ไปกว่า70% โต๊ะเก้าอี้ทุกตัวทำจากไม้ ค่าอาหารแพงจ๋าเหมือนข้างนอก แต่ราคาเครื่องดื่มกลับถูก เพราะจนๆ อย่างพวกเขายังมีปัญญาซื้อ

    และเพราะแบบนั้น ฝั่งบาร์จึงแน่นขนัด โต๊ะว่างเหลือเฉพาะตำแหน่งไม่น่านั่ง แม้ใครๆ ดูออกว่าบรรดาพนักงานเสิร์ฟเป็นเพียงโปรแกรมตัวหนึ่ง แต่กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งอ่อนกับเสียงเอะอะเฮฮาจากผู้เล่นเมาช่วยเสริมบรรยากาศให้เหมือนร้านเหล้าจริงๆ พอมิเชลมองขึ้นค่อยเห็นสภาพหลังคาข้างใน มันมีไม้เก่าสองบานตอกตะปูพยุงไว้ ถ้าไม่ใช่ฉากในเกมส์ คงแปลกมากที่ไม่ยอมถล่มลงมาสักที

    "เดี๋ยวก่อน" โทนี่ดึงตัวเพื่อนสาวไว้ก่อนเธอก้าวไปที่เคาท์เตอร์

    "อะไรเหรอ" เธอหันกลับมา หยุดยืน

    "ถ้าคุยกับคนอื่นเธออย่าใช้คำพูดแบบผู้หญิงดีกว่า ตอนนี้ตัวเธอเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย ฉันว่ามันจะแปลกๆ คนอื่นเค้าจะเห็นฉันเป็นกระเทยด้วยไปอีกคน" เด็กชายกระซิบ

    "ก็บอกเค้าไปสิว่ามิเชลเป็นผู้หญิงที่เล่นตัวละครชาย กดเลือกเพศผิด หรืออะไรก็ได้"

    "ตอนสร้างตัวละครไม่มีเลือกเพศหรอก ทุกคนโดนแสกนข้อมูลจากบัตรประชาชนตั้งแต่ลงทะเบียนแล้ว คนอายุไม่ถึงทำบัตรประชาชนอย่างฉันก็ใช้สูติบัตรลงทะเบียน"

    "แต่มิเชลใช้คำพูดแบบผู้ชายไม่เป็น" เธอบ่นเสียงเบา

    "งั้นเธอก็พูดให้น้อยๆหน่อย มีอะไรให้ฉันพูดแทนเองให้หมด เวลาจำเป็นต้องพูดจริงๆ ก็นึกถึงสไตล์การพูดของฉันแล้วพูดตามๆ ไปซะ"

    "มิเชลเข้าใจล่ะ"

    "ต้องหยุดเรียกตัวเองด้วยชื่อด้วย! ใช้คำว่าฉัน หรือ ผม แทน" เขารีบเตือน ไอ้การเรียกตัวเองว่ามิเชลๆ ดูเป็นนิสัยที่แก้ยากที่สุดของเพื่อนตนแล้ว

    "มิเชล.. เอ้ย.. มิเชล... มิ... อ่า.. ฉัน..เข้าใจ"

    พอตกลงกันเสร็จก็ค่อยเดินไปยังเคาท์เตอร์สมาคมผู้กล้า พนักงานเป็นหญิงสาวหุ่นดีใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น เธอสวมผ้าคาดอกสีแดงกับกางเกงทรงอินเดียสีม่วง ผมบลอนด์หางม้าแม้ผูกสูงยังยาวถึงกลางหลังดูพริ้วไหว ดวงตาสีฟ้าคมคายพราวเสน่ห์ จมูกเล็กมีสันรูปทรงสวย ริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มหวาน องค์ประกอบทั้งหมดต่างรับกับใบหน้าเรียวงาม บนข้อมือทั้งสองและรอบคอของเธอสวมกำไลทองชิ้นโตหลายอัน พอเจ้าหล่อนขยับตัวจะได้ยินเสียงเครื่องประดับกระทบกันกรุ๊งกริ๊ง หน้าอกหน้าใจกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะ

    "สวัสดีค่ะ เป็นคู่หูที่ต่างอายุกันดีนะคะ พี่น้องหรือคะ"

    "ไม่ช...."

    "ไม่ใช่ครับ!!" โทนี่รีบแทรก เพราะรู้ว่ายัยคนข้างๆ ต้องลงท้ายหางเสียงด้วย 'ค่ะ' แน่ๆ

    "งั้นหรือคะ" เธอยิ้มขำในน้ำเสียงจริงจังของเด็กชายตรงหน้า "แล้วมีธุระอะไรที่ต้องจัดการที่สมาคมหรือคะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ดิฉันสามารถตอบได้ตรงคำถาม ผิดกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พวกท่านเคยเจอมา เพราะดิฉันเป็นคนจริงๆ เหมือนกับท่านลูกค้าทั้งสอง ตัวละครที่ออกแบบมาเพื่อตอบคำถามจะไม่มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ค่ะ"

    "พวกผมเพิ่งเคยมาสมาคมผู้กล้าครั้งแรก ที่นี่ไว้สอบถามเหรอครับ" โทนี่เป็นฝ่ายถาม ทั้งยังแอบใช้ภาษามือแบบสัมผัสบอกให้มิเชลปิดปากไปเลย

    "ใช่ค่ะ แต่นอกจากการสอบถามแล้วที่นี่ยังใช้รับส่งภารกิจ หรือเป็นตัวกลางในการจ้างวานผู้เล่นด้วยกันได้ด้วย"

    "ภารกิจคืออะไรเหรอครับ"

    "เป็นการรับงานจากสมาคมไปทำค่ะ ถ้าทำสำเร็จจะได้รางวัล สามารถดูรายชื่อภารกิจได้จากป้ายประกาศด้านซ้ายมือของดิฉัน ภารกิจไหนที่ทำไปแล้ว จะไม่สามารถทำซ้ำได้อีก สมาคมผู้กล้าเมืองตายายมีทั้งหมดเจ็ดภารกิจให้ทำค่ะ"

    "โทนี่ ภารกิจพวกนี้ให้เงินด้วย!" เธอร้องอย่างตื่นเต้น "ทำกันเถอะๆๆๆ จะได้ไปซื้ออาวุธดีๆ ใช้กัน"

    "ใจเย็นๆ สิ ยังถามพี่เขาไม่จบเลย"

    "ดูแล้วไม่รู้เลยนะคะว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่" เธอหัวเราะคิก "ลืมแนะนำตัวไปสนิท ดิฉันชื่อเจสสิก้า นักเต้นประจำสมาคมผู้กล้าเมืองตายายค่ะ ถ้ามาในเวลากลางคืนอาจจะได้เห็นดิฉันเปลี่ยนหน้าที่ ไปยืนเต้นอยู่บนเวทีฝั่งร้านเหล้านะคะ"

    "คุณเจสสิก้าเต้นเหรอ เก่งจัง" มิเชลโพล่งขึ้น

    "ขอบคุณค่ะ และก็นี่ค่ะ คูปองเครื่องดื่มฟรี 1แก้วสำหรับการเข้ามาในสมาคมผู้กล้าครั้งแรก เครื่องดื่มที่นี่มีราคาถูกจึงไม่สามารถสั่งกลับบ้านได้ เป้าหมายของเราคือต้องการสร้างชุมชนพูดคุยของผู้เล่นในสมาคมผู้กล้าค่ะ" เธอเริ่มหรี่ตาไปทางโทนี่ "และถ้าอายุผู้เล่นไม่ถึงสิบแปดจะไม่สามารถสั่งเครื่องดื่มแฮลกอฮอลได้นะคะ จะขอแนะนำเป็นน้ำพันช์ที่ขึ้นชื่อของเราแทน"

    ทั้งคู่รับคูปอง และเลือกสั่งน้ำพันช์มาคนละแก้ว มิเชลลองเอ่ยปากขอเหล้าดู แต่บริกรหญิงเล่นประกาศเสียงดังว่าอายุไม่ถึง ทำเอาคนรอบข้างที่ได้ฟังฮาครืน เพราะตัวละครของเธอดูแล้วเหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ แถมดันหล่อกระชากใจ ทำเอาสาวๆ หลายคนต้องเดาะลิ้นเสียดาย

    ทั้งคู่วิ่งไล่ทำภารกิจส่งของในเมืองเกือบหมด ช่วยกันสะสมเงินได้คนละ 400เหรียญ กับน้ำยาฟื้นพลังขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาใช้ความสามารถในการจำรายละเอียดที่เหมือนปีศาจของโทนี่ เลยจบงานเร็ว เจสสิก้าทึ่งจนพูดเสียงหวานชมพวกเขาไม่หยุด เธอเป็นคนสวยหุ่นนางแบบ แค่เวลาซอกคอเรียวระหงเจ้าหล่อนขยับมาใกล้ มิเชลก็รู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทงของผู้ชายในร้านเป็นระยะๆ

    "ที่จริงมิเชลเป็นผู้หญิงนะ... ต้องเขม่นโทนี่สิถึงจะถูก" มิเชลบ่นกับตัวเอง

    ภารกิจสุดท้ายที่เจสสิก้ามอบค่อยสมกับเป็นเกมส์ต่อสู้หน่อย พวกเขาต้องไปฆ่าราชาสัตว์อสูรตัวหนึ่ง แล้วเอาหางมันกลับมา เธอบอกข้อมูลแค่ว่าเจ้าตัวนี้อาศัยอยู่ในส่วนลึกสุดของถ้ำภูเขาไฟสองคูหา และแนะนำให้หาซื้อแผนที่ทวีปตายายไว้ด้วย แต่มันกลับมีราคาสูงถึง 500เหรียญ แม้เจ้าของร้านคะยั้นคะยอให้ซื้อเก็บคนละใบ อย่างไรเงินก็ไม่พอ เลยตกลงรวมตังค์ช่วยกันออกไปก่อน โดยมิเชลจะถือแผนที่เอง ส่วนโทนี่ไม่ต้องเพราะจำได้หมดแล้ว

    ทางเข้าถ้ำภูเขาไฟสองคูหานั้นหาไม่ยาก แค่ลัดเลาะออกจากเมืองตายายขึ้นเหนือ เดินเอียงๆ ขวานิดหน่อย จะเจอฝูงลามะป่ากับทุ่งโล่งและโขดหินใหญ่เป็นแหล่งซ่อนตัว มิเชลกับโทนี่หยุดตีกันสักพักเพื่อสะสมค่าประสบการณ์ แล้วไปต่อ เขาเก็บของที่หล่นจากซากลามะเกือบทุกอย่าง

    ทั้งคู่เก็บกันเพลินเนื่องจากมองทุกอย่างเป็นเงินหมด เป้ความจุ300 กับสายคาดเอวความจุ80 จึงเต็มเร็วมาก พวกเขาย้อนเข้าเมืองไปขายของทิ้งรอบหนึ่ง แล้ววกกลับมาทางเก่า

    โทนี่เสนอให้ย่างเนื้อลามะกิน เขาอยากลองอย่างอื่นนอกเหนือจากผลไม้บ้าง แต่เด็กทั้งสองดันไม่มีใครทำกับข้าวเป็นซะงั้น ทว่า... มีตรรกะอยู่ข้อหนึ่งบอกไว้ อาหารจะต้องผ่านความร้อน มิเชลเลยเรียกไฟมาเผาเอาดื้อๆ ส่วนนอกจึงไหม้เกรียม ตรงกลางดิบสนิท บริเวณที่สุกกินได้คือชั้นบางๆ ระหว่างชิ้นไหม้กับชิ้นดิบ

    “ก็โอเคล่ะนะ มันยังพอกินได้” โทนี่เปรย พลางเอานิ้วแหวกส่วนที่ดิบออก “แต่เธอไม่เอาน้ำสาดดับไฟได้มั้ย เนื้อมันเปียก”

    “ไฟที่มิเชลร่ายออกไปมันคุมไม่ได้ มันจะลุกไหม้ของมันเองไปเรื่อยๆ คิดๆ ดูแล้ว เวทจุดไฟก็น่าจะเผาตัวมิเชลเองได้เหมือนกัน” เธอใช้กรามฉีกเนื้ออย่างลำบาก “เนื้อเหนียว แล้วก็ไม่อร่อยเลย”

    “คนยุคถ้ำเขาก็กินกันแบบนี้แหละ ฉันว่ามันกินยากไปหน่อย เก็บผลไม้กินเหมือนเดิมดีกว่ามั้ง”

    “แต่โจเซ่เค้าบอกไว้ว่าเนื้อจะอยู่ท้องได้นานกว่าผักผลไม้ ทำให้ไม่ต้องแบกเสบียงเยอะ----- โทนี่ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย... เขาพูดตอนโทนี่หลับน่ะแหละ”

    พวกเขาช่วยกันย่างเนื้อและฉีกเฉพาะส่วนที่สุกกินได้เก็บลงกล่องถนอมอาหารจนเต็ม เด็กๆ ต่างเติมน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ข้างลำธาร หลังล้างมือก็ใช้นิ้วถูลงกับหญ้าเพื่อกลบกลิ่นคาวเนื้อออก จากนั้นค่อยมุ่งหน้าต่อไปตามทิศทางที่แผนที่บอก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

    ถ้ำภูเขาไฟสองคูหานั้นมืดสนิท มองอะไรไม่เห็น พวกเด็กๆหยุดยืนหน้าทางเข้าสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่มิเชลจะวิ่งหายไป และกลับมาพร้อมกับกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือสองอัน ทักษะการคลำทางของคนตาบอดมามีประโยชน์ในเกมส์เอาตอนนี้นี่เอง

    ช่วงเดินอยู่ในความมืดก็ปลอดภัยดี พวกเขาคอยแกว่งกิ่งไม้ซ้ายทีขวาทีเช็คสิ่งกีดขวางไปเรื่อยๆ แต่ไม่เจอสัตว์อสูรสักตัว พอก้าวจนเจอลำแสงลอดลงจากเพดานถ้ำ ฝูงค้างคาวชุดใหญ่ค่อยบินกรูลงมา เด็กทั้งสองชักมีดขึ้นพร้อมรบ มิเชลชูมือกวาดอาวุธจัดการได้หลายตัว เธอโยกหลบได้ตลอด และยังต้องเข้าไปช่วยโทนี่จากการโดนรุมอยู่หลายครั้ง เด็กชายเริ่มสะกิดใจกับความเร็วระดับลิงค่างของเพื่อนสาว

    ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งสว่างขึ้น แล้วก็ยิ่งเจอสัตว์อสูรโหดขึ้นเรื่อยๆด้วย หลังจัดการฝูงค้าวคาวเสร็จ ทหารโครงกระดูกก็แห่กันมาเป็นกองทัพ พวกมันโจมตีเป็นระบบ พอตัวนึงฟันนำ อีกตัวจะลงดาบตาม โทนี่ได้แต่กลิ้งหนีอยู่บนพื้น หมดโอกาสโต้ตอบอย่างสิ้นเชิง

    มิเชลกำลังกลิ้งอยู่บนพื้นเหมือนกัน แต่เธอทำเพื่อรอจังหวะโต้กลับ เด็กสาวเงื้อมีดจ้วงขาทหารกระดูก แล้วบุกทะลวงพร้อมกับโยกหลบคมอาวุธไปด้วย บางทีก็เอาขาเกี่ยวพวกมันให้ล้ม เปิดช่องให้ตัวเองได้จัดการ และไม่ลืมที่จะหาทางช่วยหนีบโทนี่ออกจากวงล้อมเมื่อสบโอกาส

    เหล่าทหารกระดูกยืนสับสนทุกครั้งที่มีพรรคพวกล้มลง พวกมันจะเริ่มขยับอีกครั้งเมื่อมีตัวใหม่เข้ามายืนประจำตำแหน่งแทนตัวเก่า เธอสังเกตุได้... เลยตะโกนบอกจุดอ่อนให้เพื่อนรู้ โทนี่รีบฉวยโอกาสลุกเมื่อเห็นว่ากองทัพสัตว์อสูรกำลังเป็นอัมพาต พอรู้จังหวะ ทั้งคู่จึงช่วยกันรุมซ้ำจนหมดเกลี้ยง

    หลังจบจากกองทหารกระดูก ก้าวไปยังบริเวณใหม่ไม่ทันไร ก็มาเจอกับตุ่นไฟ มิเชลเมื่อยแขนเต็มทีแล้ว โทนี่พยายามเป็นทัพหน้าบ้าง มือของเขาถือดาบกับโล่ห์ที่หยิบจากศพกองทหารกระดูกขึ้นแกว่งรอบทิศ ตั้งใจเปิดฉากให้เพื่อนได้มีเวลาพักเหนื่อย

    ตุ่นไฟมีขนาดตัวเล็กแค่หัวเข่า และยิ่งได้เห็นองศาการก้มของโทนี่ที่น้อยกว่ากันหลายเท่า มิเชลก็ยิ่งอยากถอนเวทดอกไม้จงบานกลับคืนสู่ร่างเดิมเหลือเกิน แขนขายาวๆ ทำให้เก้งก้าง เธอรู้สึกเกะกะมันมาก เด็กสาวพยายามเปลี่ยนไปใช้เวทสู้แทน ทว่า... พลันร่ายเวทจุดไฟ พวกมันก็กลืนลงท้องเสมือนอาหาร พอสาดน้ำใส่ เจ้าสัตว์อสูรจิ๋วกลับทำท่าสดชื่น เด็กสาวต้องพับเวทเก็บไว้ แล้วใช้มีดฟันแทงอย่างเก่า ส่วนโทนี่สถานการณ์ไม่สู้ดี เขาซดน้ำยาฟื้นพลังรัวมาก

    “โทนี่! ไปอยู่ข้างหลังมิเชล... ไม่งั้นโทนี่ตายแน่นอน!” เธอแน่ใจในคำพูดตัวเองสุดๆ เพราะจากการแอบไล่นับจำนวนยาฟื้นพลังที่โทนี่กิน มันก็เกือบหมดกระเป๋าแล้ว

    “แต่...” เด็กชายรู้กำลังตัวเอง ติดแค่ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายค้ำคอ เขาไม่กล้าถอยระหว่างเพื่อนผู้หญิงลุยเป็นกองทัพหน้า

    “ถ้าโทนี่ตาย มิเชลก็กลับออกไปไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่รู้ทางกลับ!” เธอร้อง

    การเดินในถ้ำมืดไม่ใช่เส้นตรง มันมีกิ่งก้านสาขาน้อยใหญ่แตกออกไปตลอด ทั้งสองอาศัยแค่ว่าเจอทางตันเมื่อไหร่ ค่อยย้อนกลับมาทางแยกแล้วเลือกถนนอีกสายแทน ถ้าหากขาดหน่วยความจำระดับปีศาจของโทนี่ คงต้องหลงทางแน่นอน

    พอยกเรื่องหลงทางมาเป็นตัวประกัน โทนี่จึงยอมถอยกลับไปยืนแนวหลัง เขาหยิบน้ำยาฟื้นพลังส่วนของตัวเองเตรียมไว้ในมือ ตั้งใจรอสนับสนุนเต็มที่ ส่วนมิเชลไล่ฆ่าสัตว์อสูรต่อเนื่อง เธอใช้เวลานานเพราะขนาดตัวมันเล็กจนเล็งยาก แต่สุดท้ายก็สามารถจัดการตุ่นไฟได้หมดฝูง เด็กสาวปล่อยกายตนหล่นลงพื้น นอนกางแขนแผ่ขาหมดสภาพ

    มิเชลเรียกเวทดอกไม้จงบานลงที่ตัวเอง แต่ความเหนื่อยล้ากลับไม่หาย เธอลองใช้มันอีกทีใส่ผู้ร่วมทาง ตั้งใจรอดูปฏิกิริยาว่าทักษะนี้ได้ผลมั้ย ทว่าเขาดันปั้นหน้าเดิมค้างและเหม่อลอยผิดวิสัย มิเชลรู้ดีว่าเพราะอะไร... ตั้งแต่เจอสัตว์อสูรตัวแรกโทนี่เป็นเหมือนตัวถ่วง แม้เพื่อนกันไม่ถือสา แต่ผู้ชายย่อมคิดมากในเรื่องนี้

    พักกันได้แปบๆ เด็กสาวก็รีบสะกิดให้เดินต่อก่อนสัตว์อสูรชุดใหม่โผล่ ในใจนึกสงสัยถึงปริมาณน้ำยาฟื้นพลังที่เหลือของเพื่อนแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม มิเชลอยากแบ่งส่วนของตนให้เพราะหากโดนรุมอีก โทนี่มีสิทธิตายจริงๆ และตัวเธอคงต้องหลงทางจนเหนื่อยตายตามไปอย่างไร้ข้อกังขา

    แต่เมื่ออารมณ์เพื่อนแบบนี้ ขืนบอกยกยาฟื้นพลังให้คงยิ่งหดหู่หนัก เธอเลยต้องปิดปากเงียบ ก้าวเท้าเดินต่อโดยหวังว่าถึงกำลังเหม่อลอย ก็คงช่วยจำทางในถ้ำอยู่.... พวกเขาโดนสัตว์อสูรโหมบุกตลอดเส้นทาง มิเชลเริ่มรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้จัดการง่าย แค่ต้องเหนื่อยหลบเพราะดันชอบแห่มาเป็นฝูงใหญ่ แล้วไอเท็มที่หล่นจากมันก็เยอะดี ยิ่งมีบทเรียนเก่าเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยติดนิสัยต้องเก็บทุกอย่างลงกระเป๋า

    ดูเหมือนโทนี่จะคิดต่างกันว่าสัตว์อสูรโหดนรกเพราะผจญอยู่กับศึกหนักทุกรอบ แม้คอยมองท่วงท่ามิเชลแล้วเลียนแบบ แต่ทำไม่ได้เลย เขามืดมนขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเปลี่ยนไปเดินซึมข้างหลัง ตั้งใจเลิกเกะกะการต่อสู้แทน เด็กสาวทนสภาพนี้ไม่ไหว ขืนเจอศัตรูตึงมือ แล้วเพื่อนดันคิดเอาเองว่าเธอจัดการคนเดียวได้... ตายแน่...! แค่นี้ก็เหนื่อยแทบล้มแล้ว แถมเปลี่ยนใช้ดาบกับโล่ห์ของทหารโครงกระดูกไม่ได้อีกเนื่องจากอาชีพนักเวท

    "กินข้าวกันเถอะ" เธอเรียกพร้อมกับล้วงกล่องถนอมอาหารออกมา "สังเกตุนานแล้วว่าตรงส่วนมืดๆ ของถ้ำจะไม่มีสัตว์อสูรโผล่ เราไปกินกันในมุมมืดนั้นกัน"

    "อืม" เขาหยิบกล่องข้าวเดินตามเธอ

    เด็กทั้งสองจะอยู่ในมุมมืดสนิทแค่ไหนพวกเขาก็สามารถจับเนื้อลามะลงปากตรงเป้า เพราะชีวิตจริงต่างต้องกินแบบคลำๆ เอาเหมือนกัน มิเชลเคี้ยวไปพร้อมนึกหาจังหวะเหมาะๆ ในการเริ่มพูด

    "เรามาแบ่งงานตอนสู้กัน มิเชลจะลงมีดแรก พอมันเซแล้วโทนี่รีบเอาดาบจัดการ ถ้าต้องใช้มีดสั้นฟันจนมันตาย แขนมิเชลต้องหลุดก่อนได้ออกจากถ้ำชัวร์" เธอสะบัดแขนให้ดู "ดาบทหารโครงกระดูกที่โทนี่ใช้มีพลังโจมตีสูงกว่าเยอะ มีดสั้นมันโจมตีได้เบามาก มิเชลจะทำให้มันเสียจังหวะอย่างเดียวพอ"

    "อืม" เขารับคำ น้ำเสียงกระตือรือร้นเพิ่มเล็กน้อย

    จากนั้นการจับคู่สู้จึงราบรื่นขึ้น เธอเน้นฟันขาของศัตรู แล้วถีบส่งมันไปตายใต้วงดาบเพื่อน โทนี่มีกำลังใจเพิ่ม แถมมิเชลไม่ต้องทนเมื่อยแขนด้วย ถ้าตัวไหนที่ถูกทำให้เสียหลักกำลังตั้งต้นใหม่ได้ เด็กสาวจะรีบซ้ำอีกที

    ยิ่งสู้ มิเชลยิ่งคล่อง บางทีก็รู้สึกเหมือนกำลังกระโดดเต้นอยู่โดยมองภาพต่างๆ ผ่านไป ตัวเธอเป็นเหมือนสายลมคอยลอดซ่อกแซ่กตามช่องว่าง ขอเพียงมีพื้นที่ นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มสามารถไถลร่างเข้าได้หมด ขนาดเจ้าตัวยังนึกแปลกใจกับความไหลลื่นมากเกินปกติของตน

    ทางในถ้ำวกวน มีจุดมืดและสว่างสลับกัน สัตว์อสูรที่โผล่ก็ชักมากหน้าหลายตาจนเธอเริ่มจะลืมหน้าตาของตัวแรกสุดเสียแล้ว พวกเขาลุยจนไปหยุดหน้าประตูหินบานใหญ่สองอัน ฝั่งซ้ายสีแดง ด้านขวาสีเขียว มีป้ายเขียนกำกับไว้ข้างบน

    ขอแสดงความยินดีในการพิชิตถ้ำภูเขาไฟสองคูหา ราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่ารออยู่หลังประตูแดง สำหรับผู้ไม่พร้อมกรุณาเลือกประตูเขียวซึ่งเป็นทางลัดออกจากถ้ำ

    "ก็ต้องประตูแดงสิ ไม่อยากกลับเข้ามาใหม่แล้ว" เด็กสาวร้อง เธอยกมือขึ้นจะผลักประตูหินสีแดง แต่โดนโทนี่ดึงไว้ก่อน

    "เดี๋ยว พวกเราจะไม่เตรียมพร้อมอะไรกันหน่อยเลยเหรอ"

    "ก็จริง... ตอนนี้โทนี่มีน้ำยาฟื้นพลังอยู่เท่าไหร่" เธอคิดว่าเป็นจังหวะเหมาะที่ควรถามแล้ว

    "น้ำยาเล็ก 2ขวด น้ำยาใหญ่ 3ขวด"

    "งั้นตอนนี้โทนี่ก็มี 32ขวด กับ 13ขวดล่ะ" เธอผลักส่วนของตัวเองทั้งหมดให้ "ถ้ากระเป๋าเต็มยัดยาเพิ่มไม่ลงก็เอาของอย่างอื่นมาไว้ที่มิเชล"

    "นี่เธอยังไม่ได้เปิดใช้เลยสักขวดเหรอ..." เขารับมันไว้ในมือ ตาหันไปนับจำนวนยา กับมองค่าเลือดมิเชลจากหน้าต่างกลุ่ม เธอยังไม่เสียเลือดสักหยด.... "จะไม่พกไว้หน่อยรึไง เรากำลังจะไปสู้หัวหน้าใหญ่ของถ้ำนี้นะ ยังไงก็เผื่อไว้ก่อน"

    "โทนี่ต้องเป็นคนใช้ยาให้มิเชลไง มิเชลจะเป็นตัวล่อวิ่งวนทำให้มันเสียจังหวะเหมือนเดิม"

    สมาชิกในกลุ่มเดียวกัน จะสามารถใช้น้ำยาฟื้นพลังแทนกันได้ เธอจึงมอบหมายงานนี้ให้เด็กชายผู้อยู่กองหลังไปเลย

    "ถึงเธอจะเร็วมากแต่วิ่งๆ แล้วก็ระวังด้วยละกัน เพราะในฐานะของคนเคยเจ็บตัว ขอบอกว่า มันเจ็บโคตรๆ เลย"

    เธอหัวเราะยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนทีนึงแล้วผลักประตูบานสีแดงเข้าไป "ถ้ามิเชลผลักผิดบานจะเป็นยังไงเนี่ย"

    "ฉันจำทางได้ รอบหน้าเราจะใช้เวลาอยู่ที่หนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง ไม่สิ...ถ้าดูจากการเข้าคู่ของพวกเราช่วงครึ่งหลังนี้ ชั่วโมงเดียวก็มาถึงแล้ว"
  6. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    Talk

    ตอนแรกที่จะเขียน บอกตามตรงว่าแทบไม่รู้จักคนพิการเลยครับ

    นึกเอาไว้ในหัวเป็นเด็กน่าสงสาร อยู่แต่บนเตียง มีพยาบาลดูแลทั้งวัน สิ่งเดียวที่จะช่วยบรรเทาความเบื่อ คือเกมส์ออนไลน์

    แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ ผมต้องพลิกธีมเรื่องที่คิดไว้คร่าวๆ ในหัวใหม่เกือบหมด เพราะมารู้ทีหลังว่า คนพิการถ้าได้รับการศึกษาอย่างเด็กปกติทั่วไป (ไม่ถูกตัดโอกาสชีวิต ด้วยการตัดสินว่า พิการ แล้วทำอะไรไม่ได้) ก็ใช้ชีวิตพึ่งพาตัวเองได้ มีคนตาบอดทำงานอยู่ในทุกอาชีพยกเว้นคนขับรถ (คนเดินเรือ โปรแกรมเมอร์ที่ตาบอดก็มีอ้ะ ทำได้ไงฟะ !)

    ผมเจอบล็อคที่เขียนโดยคนไทยตาบอดหลายคน (เขาใช้โปรแกรมอ่านออกเสียง text บนหน้าจอ เวลาเล่นเน็ท)

    แล้วก็เจอฟอรั่มชุมชนของ คนหูหนวก โดยที่ในฟอรั่มนั้นมีคนตาบอดหูหนวกเล่นอยู่หลายคน O_O" (บางคนจบด็อกเตอร์อีกตะหาก เก่งโคตร) แล้วค่อยรู้ว่าประเทศเราแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคนตาบอดหูหนวกเลย.... โลกเรามีคนตาบอดหูหนวกเยอะมาก บางคนก็เป็นครู และใช้ชีวิตอยู่ในบ้านคนเดียวได้สบายๆ แค่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมมากกว่าคนอื่นหน่อยเท่านั้น (ไอ้เจ้าอุปกรณ์เสริมแต่ละชิ้น ส่วนใหญ่กระเป๋าตังค์คนไทย จะจ่ายกันไม่ไหว เพราะราคาเป็นแสน แต่พวกฝรั่งเค้าสบายๆ อยู่ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐด้วย)

    ยิ่งเกมส์ออนไลน์ที่เนื้อเรื่องค่อนไปทางโลกอนาคต ตัวเอกของผมก็คงจะมาเป็นเด็กพิการท่าทางน่าสงสารไม่ได้แน่ๆ เลยต้องปรับใหม่หมดให้เธอได้ยืนอย่างมั่นๆ ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติอย่างเราๆ ซะ :E

    สุดท้ายนี้ขอฝากนิยายที่น่าจะใช้เวลาแต่งนานมากกว่าจะโพสลงสักตอนไว้ด้วยครับ :)

    เรื่องนี้ผมไม่ค่อยคิดเนื้อเรื่องไว้ล่วงหน้าเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนสักแต่เขียน แล้วค่อยย้อนกลับไปแก้ 555555+

    แต่เป็นเรื่องที่ผมเขียนแล้วได้ความสนุกเต็มที่เหมือนสมัยที่หัดเขียนแรกๆ :D รู้สึกว่าเขียนได้เรื่อยๆ ดี แต่คงเขียนช้าเพราะทำงานแล้ว

    ยินดีรับทุกคำติชมนะคร้าบ ทุกวันนี้ก็ให้น้องช่วยอ่านด้วย เป็นห่วงฉากสู้ที่สุด เพราะปกติไม่ถนัดเลย

    ชื่อพาราเรลออนไลน์ ก็เป็นชื่อชั่วคราว อาจจะใช้ยาวหรืออาจจะไปเปลี่ยนทีหลัง เพราะยังเลือกชื่อไม่ได้

    (ทีแรกจะเอา Online Online น้องก็ด่าว่าสิ้นคิดมาก 555555555+....)

    ปล. เพิ่งเห็น account ตัวเองใช้ชื่อ pentita ตาม username
    แก้ชื่อยังไงอ่ะ T^T
    ปปล. แก้ชื่อหัวกระทู้ไม่เป็นครับ!! ช้วยด้วยยยยย

    Aqouze
  7. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนนี้ยังแก้ display name ไม่ได้น่ะคับ

    แต่กำลังอ่านเพลินๆเลยแฮะ หมดตอนซะแล้วจะรออ่านตอนใหม่นะฮะ >_<
  8. tokichan

    tokichan 猫又

    EXP:
    331
    ถูกใจที่ได้รับ:
    43
    คะแนน Trophy:
    48
    พี่เซเซ่!!!!!!!! *กระโดดกอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด*
    วันนี้ขอตัวไม่เม้นท์ เพราะมึนมาก สองวันนี้นอนแค่สองสามชั่วโมง แต่เหาะไปไหนมาไหนเยอะมากจนเวียนหัว เอาไว้สติดีๆจะมานั่งอ่านนั่งเม้นท์ดีๆนะคะ :D
    แต่อยากจะชมไว้นิดนึงว่า เขียนเรื่องได้ลื่น อ่านเพลินมาก ชอบสำนวนที่ใช้ด้วย
    มิเชลน่ารัก!! แก่นเซี้ยวซะไม่มี ><!!! (สงสารโทนี่อยู่บ้างเป็นระยะๆ ฮาาาา)

    อา นั่นสิ เรื่องนี้เราเคยคุยกันตอนที่นั่งแท็กซี่ไปงานปริญญาเทรนนี่นี่นะ *-*/ คนพิการเนี่ย เราจะไปว่าเค้า สงสารสมเพชเค้าก็ไม่ถูกนะ เพราะจริงๆแล้วค่าของคนมันไม่ได้ลดน้อยลงเลย ถึงเค้าจะมี disability :)

    แจ้งสตาฟฟ์สิคะ ทุกวันนี้แน็กแก้อัพเดทหัวกระทู้ก็ฝากไปทางอีวานนี่/พี่อาเซ :D

    จะรอตอนต่อไปน่อ~
  9. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    สนุกดีครับ...

    ฉากชำแหละหนูด้วยมือด้วยปากนั่น.... หลอนมาก ผมเป็นเพลเยอร์อยู่ตรงนั้นก็คงถอยเหมือนกัน (ฮา)
  10. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    พอเข้าไปข้างใน ถ้ำก็สั่นสะเทือนอย่างหนัก ปรากฏเงาดำขนาดมหึมาคร่อมตัวพวกเขา เธอยังคิดอะไรไม่ทัน แต่เพราะเด็กชายตะโกนบอกให้มองขึ้น ทั้งคู่เลยโดดหลบไปข้างๆ

    ราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่าเลเวล 30 ปรากฏตัว ผู้ที่โดนหมาป่าคิเมร่าสังหารจะถูกหักเงินหมดกระเป๋า

    “หักเงินหมดเหรอ ไม่ตลกเลยนะ” มิเชลประท้วงใส่อากาศ เพราะนั่นคือแรงกายแรงใจทั้งหมดของเธอตั้งแต่เข้าเกมส์มา!

    ราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่าหล่นมายืน 4ขาตระหง่านตรงหน้า มันชูแยกเขี้ยวคำรามก้องก่อนกระโจนใส่พวกเขา เด็กสาวเอาเท้ายันเพื่อนให้กระเด็นไปอยู่ห่างๆ พร้อมกับกลิ้งหลบการโจมตี มิเชลตะโกนห้ามโทนี่เข้าใกล้บริเวณอันตรายจนกว่าเธอจะถือไพ่เหนือกว่าได้

    เด็กชายหยิบโล่ห์กับดาบขึ้นเตรียม แต่ไม่เข้าไปร่วมวงตะลุมบอนตามคำเพื่อน ความตะขิดตะควงในฐานะผู้ชายยังมี ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาถือศักดิ์ศรี และเขาต้องทำหน้าที่ของตัวเอง

    ภายในห้องด้านหลังประตูสีแดงค่อนข้างมืดสลัว มีคบไฟแค่ 4อัน ณ มุมทั้งสี่ ถ้าไม่เพราะเสียงคำรามฮื่อแฮ่ของหมาป่ายักษ์ ก็คงหาตำแหน่งมันลำบากน่าดู

    มิเชลเล็งขาของศัตรูเหมือนอย่างเคย แต่พอฟันโดน เท้าเจ้าหมาป่าก็ยังเกาะพื้นอย่างมั่นคง ต่างจากบรรดาสัตว์อสูรข้างนอกที่จะเสียหลักเอาง่ายๆ มีดสั้นใช้โจมตีได้แค่ครั้งละสิบกว่าแต้มเท่านั้น เธอลองจุดไฟใส่หลายครั้งจนค่าพลังเวทหมดแต่เปล่าประโยชน์ นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มไม่สามารถทำให้มันติดสถานะลุกไหม้ได้เลย

    “เราตัดแต่หางแล้วเอาไปให้สมาคมผู้กล้าอย่างเดียวได้มั้ยเนี่ย!!” เสียงเธอขาดเป็นช่วงๆ เพราะความเหนื่อย

    จากตอนแรก... มนุษย์กับราชาสัตว์อสูรผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทั้งสองฝั่งสู้ยิบตาไล่รุกต้อนศัตรูอย่างดุเดือด ท่วงท่า พลังเวท มีเท่าไหร่โดนงัดใช้หมด แต่สักพักก็ต้องเปลี่ยนเป็นภาพคนกำลังวิ่งหนีหมายักษ์ไปรอบๆ และโดนล่าอยู่ฝ่ายเดียว

    “ไม่เห็นมีใครเตือนเลยว่าสัตว์อสูรก็ใช้เวทได้เหมือนกัน!” นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มร้อง ข้างหลังมีสายฟ้าลากเป็นเส้นตรงตามมาติดๆ ก้นจวนเจียนจะโดนผ่าอยู่มะรอมมะร่อ แต่เด็กหญิงยังพยายามวิ่งวนให้ห่างจากเพื่อน เพราะขืนมันเบนความสนใจไปที่โทนี่ คงได้ชวนกันตายหมู่ อย่างน้อยๆ เขาก็ถือน้ำยาฟื้นพลังของกลุ่มไว้ทั้งหมดนะ!

    หมาป่ายักษ์กระโจนข้ามหัวนักเวทสาวมาดักด้านหน้า ส่วนสายฟ้ายังไล่จี้ก้นอยู่ ราชาสัตว์อสูรคำรามโชว์กรามอันใหญ่โตกับเขี้ยวสุดสยองให้ดู มิเชลโดนต้อนหน้าหลังจึงหมดทางเลือก เธอเร่งฝีเท้าขึ้น ตั้งใจเหยียบจมูกมันใช้แทนฐานโดดหนี แต่ลืมคิดไปว่า แค่เจ้านี่เชิดหัวขึ้นแล้วอ้าปาก ตัวเธอก็หล่นลงท้องมันเรียบร้อย... ทว่า.... ณ จังหวะสุดท้ายฉุกนึกทัน เลยรีบกางขาสุดชีวิต และแทบร้องขอบคุณในโชคชะตาเมื่อวางเท้าบนขากรรไกรทั้งสองข้างของสัตว์ร้ายที่เงยหน้าขึ้นได้พอดี

    สายฟ้าวูบหายไปก่อนพุ่งชนร่างราชาสัตว์อสูร มันรีบสะบัดหน้ารัวไม่รอศัตรูตั้งตัวได้ เธอจึงกลิ้งตกลงมาข้างๆ และเพราะหมาป่ายักษ์ยกเท้าขึ้นหมายจะเหยียบ มิเชลเลยต้องทำตัวเองให้กลิ้งต่อไป

    เด็กชายลุ้นตัวโก่งเพราะห่วงเพื่อน แต่แค่มองก็พอรู้อยู่แก่ใจว่าฉากต่อสู้เบื้องหน้าระดับสูงมาก ให้ร่วมลุยด้วยคงเป็นการช่วยผิดวิธี โทนี่เร่งรื้อกระเป๋าไอเท็มหาหนทาง พลางนึกโทษตนเองที่ไม่ยอมจัดของก่อนลงศึกใหม่

    มิเชลยังคงกลิ้ง กลิ้ง กลิ้งไปเรื่อยๆ เพราะหาจังหวะลุกขึ้นไม่ได้ หมาป่าคิเมร่ามีขนาดตัวใหญ่มาก แค่หนึ่งก้าวของมันเธอก็กลิ้งได้ตั้งสิบตลบ ฉะนั้นแค่กลิ้งหนีจึงเต็มที่แล้ว

    "มิเชล!! มาทางฉันเดี๋ยวนี้ จะโยนไอเท็มให้ เธอกับเจ้าหมานั่นขยับกันเร็วมากจนฉันไม่รู้จะโยนให้ยังไงดี" เด็กชายเรียก ในมือชูน้ำยาหลอดสีเขียวให้ดู

    "โทนี่ก็ใช้น้ำยาให้มิเชลไปเลยซี่! กลุ่มเดียวกันโยนน้ำยาใส่กันได้ไม่ใช่เหรอ!"

    "ไม่ใช่! ฉันลองแล้วมันไม่ได้ น้ำยาที่โยนใช้ให้กันได้มีแต่น้ำยาฟื้นพลัง เธอต้องมารับขวดนี้ไป!"

    "ก็ได้! แต่ถามมันเอาเองนะว่าเมื่อไหร่มันจะยอมให้กลิ้งไปทางโทนี่!"

    หมาป่ายักษ์วิ่งเบียดปิดทางไปหาโทนี่เลยต้องกลิ้งออกห่างอย่างช่วยไม่ได้ แขนขาที่ไถอยู่กับพื้นนานๆ ก็ชักจะระบมขึ้นมา เธอใช้เวทสาดน้ำใส่ตามันแล้วรีบคลานมุดขาราชาสัตว์อสูรเพื่อเข้าใกล้เพื่อน

    "เจ๋งมาก ฉันจะโยนไปล่ะ" โทนี่เขวี้ยงน้ำยาขวดเขียวให้กลิ้งมากับพื้น

    มิเชลคว้าไว้

    "ช่วยรีบกินมันทั้งหมดทันที โดยไม่ต้องถามอะไรเลย" โทนี่กลิ้งน้ำยาไปให้เพิ่ม มีทั้งขวดสีแดง.. เหลือง... ดำ

    "นี่~! มิเชลมีสองมือ! แถมยังมีหมายักษ์ไล่ฆ่าอยู่ด้วย!... จะให้กินทั้งหมดมัน..." มิเชลพยายามเอามือควานไปโอบขวดน้ำยาทั้งสี่ เธอยังคงพะวงหลังเพราะราชาสัตว์อสูรตามหลังมา ทว่า... พอมองกลับไป สีหน้าเธอซีดขึ้นกว่าเดิม...

    โทนี่เอาดาบฟันราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่าจากด้านหลัง เขายืนรอจนแน่ใจว่ามันเล็งเขาเป็นเป้าหมายแล้วค่อยวิ่ง พอเห็นว่าเพื่อนสาวยังจ้องตาค้าง น้ำยาไม่แตะก็เลยต้องหันไปว้ากใส่ "ก็บอกว่าให้รีบๆ กินโดยไม่ต้องพูดอะไรเลยไงเล่า! ฉันถ่วงเวลาแล้ว รีบกินเดี๋ยวนี้เลย!"

    มิเชลเปิดจุกขวดทั้งสี่แล้วยกดื่มพร้อมกันหมด รสเปรี้ยวหวานปนเปผสมอยู่ในปาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่ลองชิมน้ำยาของเกมส์ พลางแอบนึกว่าหากค่อยๆ ละเลียดกินทีละหลอดคงอร่อยกว่านี้ เด็กสาวรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายจึงลองหันกลับไปสู้ดู.... ร่างกายเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น... กำลังแขนหนักกว่าเก่า แถมยังมีออร่าสีดำกระจายคลุมอยู่รอบอาวุธที่ถือ

    พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็แปลกใจที่เห็นโทนี่กำลังสู้กับมันอย่างสูสีด้วยฤทธิ์น้ำยา แม้มีโดนกรงเล็บเฉี่ยวให้ค่าเลือดลดบ้าง แต่ยังพอจะเอาดาบฟันคืนได้หลายรอบ มิเชลถีบตัวลุกขึ้นไปร่วมตะลุมบอนด้วย หมาป่ายักษ์สะบัดหางสองที ปล่อยเส้นสายฟ้าพุ่งเข้าใส่พวกเขา เด็กชายยกโล่ห์ขึ้นกั้นพร้อมเอี้ยวตัวหลบ เขาโดนแค่สะกิด ทว่า... ค่าเลือดก็หายไปถึง 1 ใน 4 จำเป็นต้องเปิดขวดน้ำยาฟื้นพลังเล็กซดทีเดียว 3อัน

    มิเชลกระโดดตอดเลือดหมาป่ายักษ์ไปมา มีดของเธอฟันเข้าได้หนักกว่าเก่า กระทั่งความเร็ว กำลังกายก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า คงเพราะผลจากน้ำยาที่โทนี่ให้ นักเวทสาวลองเรียกเวทจุดไฟอีกครั้ง แต่ยังไม่เกิดผลอยู่ดีจึงต้องใช้อาวุธเดิมต่อ

    "ควันดำๆ นี่มันอะไรน่ะ รู้สึกไม่ดีเลย!" มิเชลอดโพล่งถามไม่ได้ เธอรู้สึกขยะแขยงหมอกสีดำรอบปลายมีดตน

    ....และพอสังเกตุดีๆ จะพบว่าดาบของโทนี่กำลังถูกห่อหุ้มด้วยออร่าสีดำทะมึนเหมือนกัน! แปลว่าเขาก็ดื่มน้ำยาพวกนั้น

    "หลอดสีดำตะกี้ทำให้ศัตรูพลังป้องกันลดลงห้านาที" โทนี่ตอบพร้อมกับเงื้อดาบฟาด ตั้งใจใช้เวลา 5นาทีให้คุ้มค่าที่สุด "อันอื่นเป็นพวกน้ำยาเร่งความเร็ว เพิ่มพลังโจมตี พลังป้องกันให้ผู้ใช้ ทุกอย่างมีผล 5นาทีหมด"

    ลดพลังป้องกันศัตรู.. เพิ่มกำลังกับความไวผู้ใช้.. มิน่าเธอถึงรู้สึกตัวเบาขึ้น และยังเร็วกว่ามันก้าวหนึ่งด้วย จากที่เคยโจมตีเข้าทีละสิบกว่าแต้ม ก็ขึ้นมากลายเป็นร้อยกว่าๆ ราชาสัตว์อสูรคิเมร่าปล่อยฟ้าผ่าลงมากลางวง แต่รอบนี้มิเชลสามารถอุ้มโทนี่หลบไปพร้อมกันได้

    "เกาะดีๆ พะยะค่ะ เจ้าหญิงโทนี่" เธอหยอก

    "อะไรของเธอ"

    "ไว้จะหาการ์ตูนที่มีฉากอัศวินช่วยเจ้าหญิงให้เปรียบเทียบดู"

    "ขอบใจ แต่ไม่ต้อง" เขาไม่รู้ว่าฉากช่วยเจ้าหญิงมีหน้าตาแบบไหน แต่ก็พอเดาได้จากปฏิกิริยายียวนล่ะ

    เด็กสาวเหวี่ยงเพื่อนออกไปห่างสัตว์ร้ายประมาณ 3เมตร ตั้งใจว่าโทนี่จะได้มีเวลาลุกยืนตั้งตัวก่อนลงมาร่วมวงไพบูลย์ใหม่

    "เบาๆ หน่อยก็ได้... ผู้กล้าเขาไม่จับเจ้าหญิงทุ่มหลังจากอุ้มหรอก..." เขาโอดครวญ

    "ก็อยากปล่อยลงดีๆ นะ แต่เจ้าตัวข้างหลังมันยอมให้มีเวลาได้ทำแบบนั้นซะที่ไหน!" เธอตะโกน ฟัน แล้วก็คอยหลบไปด้วย สายฟ้าชักจะผ่าถี่ขึ้นเรื่อยๆ "มันจะโหดไปถึงไหนกันเนี่ย! ทีแรกนึกว่าพวกเวทดีๆ มันต้องมีคาถาร่ายนานๆ แต่นี่มันใช้เวลาไวกว่าเวทสาดน้ำของมิเชลอีก!"

    "ใจเย็นสิ ฉันก็เห็นเธอหลบได้ตลอด หมดเวลา 5นาทีเมื่อไหร่ให้วิ่งไปทางคบไฟขวาอันแรก ฉันจะกลิ้งน้ำยาเพิ่มไปทั้งกองเลย"

    โทนี่จัดกระเป๋าไอเท็มเสร็จก็ลงมาร่วมด้วยช่วยฟัน เด็กชายวิ่งวนอยู่วงนอก และฟันตอดยามที่ราชันสัตว์อสูรลืมไปว่าอีกคนหาจังหวะลอบกัดอยู่ ถึงเขามีความจำระดับปีศาจ แต่ยังไม่ใช่ความเร็วระดับปีศาจอย่างมิเชลหรือหมาป่าคิเมร่า เลยต้องหลบๆ มุดๆ ให้ประจัญกันซึ้งๆ หน้าคงเป็นการหาเรื่องตายโดยใช่เหตุ

    หลังจากกลิ้งน้ำยา 4สีทั้งกองไปให้เพื่อน เด็กชายเริ่มนึกสงสัยว่าพลังชีวิตหมาป่ายักษ์เหลือแค่ไหน จำต้องฟันจนถึงพรุ่งนี้เช้าหรือเปล่ามันถึงล้ม? ถ้าแบบนั้นไอเท็มคงเกลี้ยงก่อน ตามด้วยมิเชลที่หมดแรงตาย แล้วก็ตัวเขาผู้ไม่เห็นทางรอดแต่แรกแล้ว

    "โทนี่! คิดว่ามันเลือดเท่าไหร่! โทนี่จำตัวเลขที่เด้งบนหัวมันได้หมดใช่มั้ย ทั้งหมดมันเท่าไหร่แล้ว!" ดูเหมือนมิเชลจะคิดตรงกัน เธอรู้สึกว่ากำลังฟันอย่างไร้จุดหมายเพราะเจ้าตัวตรงหน้าไม่ยอมตายสักที

    "ไม่รู้! ตัวเลขน่ะจำได้ แต่ฉันไม่ถูกกับวิชาเลข! ฉันจะไล่ทีละตัวให้เธอบวกเองละกัน!"

    "ไม่ต้อง...ก็ได้ แบบนั้น.." มิเชลตอบอย่างหมดแรง... วุ่นขนาดนี้ใครจะมีสมาธิบวกเลขในใจกัน!

    "เดี๋ยวก่อน! ฉันนึกอะไรออกล่ะ" พูดจบ โทนนี่ก็ถอยออกจากระยะต่อสู้เพื่อรื้อกระเป๋าอีกรอบ มือล้วงแว่นขยายขึ้นมา "เจ้านี่อาจจะใช้ดูเลือดที่เหลืออยู่ได้ ทำไมฉันลืมคิดไปนะ!"

    เขาลองยกขึ้นส่อง มองราชาสัตว์อสูรผ่านเลนส์ แต่ยังไม่เกิดผลจึงค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปทีละเก้า ตายังจ้องหมาป่ายักษ์ผ่านแว่นขยายตลอด "ใช่เลย!"

    เสียงปุ้งที่คุ้นหูดังขึ้น หน้าต่างข้อมูลชุดเล็กลอยเด้งเหนือหัว ยังไม่ทันได้อ่าน เด็กชายก็ถูกเพื่อนผลักกระเด็นอีกรอบ เธอรีบอธิบายต่อสายตาค้อนๆ ว่าเมื่อกี้ราชาสัตว์อสูรเฉียดจะตะปบใส่ท้องเขาแล้ว

    น่ายินดีที่เลือดของมันเหลือต่ำกว่า 1 ใน 3 พลังชีวิตแต่แรกเริ่มมีอยู่ 42000 แต้ม อย่างน้อยการต่อสู้คงได้จบคืนนี้ พอดูข้อมูลเสร็จ โทนี่ก็ร่วมโจมตีด้วย และเมื่อรู้ว่าเป้าหมายอีกไม่ไกล เด็กทั้งสองต่างมีกำลังใจฮึดสู้มากกว่าเดิม

    หน้าต่างข้อมูลหมาป่าคิเมร่าลอยตามโทนี่ และดูได้แค่คนส่องคนเดียว มิเชลจะเห็นเพียงรหัสอักขระรูปร่างประหลาดเท่านั้น เขาจึงคอยอ่านค่าพลังชีวิตที่เหลือของราชาสัตว์อสูรให้ฟังเรื่อยๆ ดีว่าเด็กสาวสอนตัวหนังสือเพื่อนแล้ว ไม่งั้นเธอคงเป็นฝ่ายใช้แว่นขยาย แล้วพากษ์ไป สู้ไป หลบไป นอกจากเหนื่อยยังต้องคอแห้งอีก!

    "แจ๋วมากมิเชล! เลือดมันเหลือแค่แปดพันห้าแล้ว! อะ.. ตอนนี้เหลือแปดพันหนึ่ง... เจ็ดพันเก้า... โอยอ่านไม่ทัน ตัวเลขเปลี่ยนตลอด หกพันสอง... ห้าพันห้า..."

    มิเชลคิดว่า...หากตนเป็นคนอ่านคงไม่เจ็บคอเท่าโทนี่แน่นอน เขาพูดรัวจนลิ้นพันกัน แล้วยังได้ยินเสียงไอค่อกแค่กเพราะน้ำลายติดหลอดลมเป็นของแถม เด็กชายตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระเด็นหลุดออกนอกอก

    พอแอบเหม่อลอยนึกนินทาเพื่อนเลยโดนฟ้าผ่าเต็มๆ ลืมหลบไปหนึ่งที ค่าพลังชีวิตหายวับเกินครึ่ง โทนี่ชะงักก่อนลุกลี้ลุกลนใช้น้ำยาฟื้นพลังให้ เขานึกว่ามิเชลสามารถจบการต่อสู้อย่างไร้บาดแผลจึงไม่ทันตั้งตัว เธอลุยต่อจนเด็กชายร้องลั่นว่าเลือดหมาป่าคิเมร่าต่ำกว่าหนึ่งพัน เด็กทั้งสองหัวใจพองโต เพราะกำลังจะพิชิตราชาสัตว์ร้ายได้ ทว่า.. กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างหลังลงดาบสุดท้าย

    "เลือดมันเหลือ 1! ฟันเลย!" เขาเห็นทั้งมิเชลทั้งหมาป่ายักษ์ยืนค้าง เลยกระโจนเข้าไป หมายฟันดาบสุดท้าย

    "อย่าเข้ามา!" เธอห้าม "อยู่ตรงนั้นเตรียมใช้น้ำยาฟื้นพลังดีกว่า!"

    "ทำไมล่ะ" เขาหยุดยืนตามคำเตือน

    "ฟันไม่เข้า เหมือนมีเกราะคุ้มกันใสๆ"

    “ราชาหมาป่าคิเมร่าถูกไล่ต้อนจนตื่นจากภวังค์”เสียงประกาศดังก้องไปทั่วห้อง“พลังโจมตี เวทมนตร์และความเร็วเพิ่มขึ้น แต่พลังป้องกันลดลง”

    "ทุกอย่างเพิ่มหมด แต่ลดพลังป้องกันให้...ตอนที่เลือดเหลือ 1เนี่ยนะ!?.. ต่อให้เพิ่มพลังป้องกันขึ้นสิบเท่า แต่เลือด 1แต้ม เอาปากกัดแทนยังได้เลย" เด็กชายเซ็ง

    "ความเร็วมันเพิ่มขึ้น... โทนี่ห้ามเข้ามาใกล้ล่ะ ถ้าโดนมันกัดตายตอนนี้น่าเสียดายแย่ มิเชลจะจัดการมันเอง"

    "อื้ม ระวังล่ะ"

    มิเชลคอยสังเกตุจากไออุ่นบางๆ ของเกราะป้องกันใส พอมันเลือนหายไปเธอจึงรีบลงมีด ปรากฏว่าราชาสัตว์อสูรรู้จักการหลบเป็นครั้งแรก!... ที่ผ่านมาขนาดโทนี่ยังฟาดโดนได้ง่ายๆ เขาเพียงยืนสู้ระยะประชิดไม่ไหวเพราะหมาป่าคิเมร่าโจมตีเร็วและหนัก

    เธอหลบแล้วฟันกลับ แต่มันก็ทำได้เหมือนกัน จนกลายเป็นการต่อสู้ทุบลม วืดกันไปวืดกันมา เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา สักพักมีตีลังกา กระโดด คลานต่ำ และกลิ้งตัว มิเชลโมโหที่ทำอะไรหมาป่าคิเมร่าไม่ได้ รู้สึกเหมือนกำลังเล่นไล่จับอย่างไรอย่างนั้น เพียงแค่ปลายมีดเฉียดนิดเดียว พวกเขาจะชนะแล้วแท้ๆ

    ราชาหมาป่าคิเมร่าถอยกลับไปอยู่ข้างหลังพร้อมยิงสายฟ้าขู่กันเธอไล่ตาม สัตว์ร้ายยกหัวแยกเขี้ยวคำรามเสียงสนั่น แสงสีขาวกระจายบาดตา เด็กสาวรีบถอยออกมาห่างๆ แล้วโวยวายให้เพื่อนหลบอยู่คนละมุมห้อง โทนี่ทำตามหน้าที่ เขาเว้นตัวเองจากระยะโจมตีทั้งหมด ถือน้ำยาฟื้นพลังเตรียมพร้อมไว้

    มิเชลกระโดดโหยงเหยงหลบก้อนสายฟ้ากองโตที่กินอาณาเขตเป็นบริเวณกว้าง แขนโดนเฉี่ยวเล็กน้อยแต่โทนี่ใช้น้ำยาฟื้นพลังให้ทันทีจึงไม่เป็นปัญหา ดูเหมือนราชาหมาป่าพยายามกันเธอไว้ห่างๆ มันไม่รุกไล่เข้ามา แต่กระโดดถอยหลังหนีพร้อมกับยิงเวทไปด้วย

    “มิเชล อย่าหนีมันนะ!” โทนี่ร้องบอก “มันก็หนีเธออยู่ วิ่งไล่มันไปเลย! มันก็ห่วงเลือด 1แต้มสุดท้ายของตัวเองเหมือนกัน!”

    “จะพยา...ยาม!!” เธอตอบ “แต่สายฟ้ามันไม่ได้มาเป็นเส้นแล้วอ้ะ... มันโยนโครมลงมาเป็นแหจับปลาเลย!”

    “ลอดตามช่องว่างที่ไม่มีสายฟ้าให้ได้ เธอเร็วพออยู่แล้ว!”

    “จะพยา...ยาม..!”

    สิ้นเสียง.. เด็กสาวพุ่งใส่อย่างเอาเป็นเอาตาย คอยโยกหลบซ่อกแซ่กจนเข้าไปคลุกวงในกับมันอีกรอบ ราชาหมาป่าไม่กล้าร่ายสายฟ้าระยะประชิดดังคาด เวทนี้คงผ่าโดนตัวผู้ใช้ได้เหมือนที่เธอสามารถจุดไฟเผาตัวเอง มิเชลกวาดมีดมั่วหวังให้แฉลบโดนบ้าง แต่สัตว์อสูรกลับรอดหมดทุกดาบ ความเร็วของร่างตื่นจากภวังค์โหดร้ายตึงมือคนเล่นเกมส์ปกติมาก… ถ้าหากว่าเป็นคนเล่นเกมส์ปกติล่ะก็นะ...

    เธอตวัดดาบแลกกับกรงเล็บและคมเขี้ยวมันอยู่นานจนท้อ คิดอะไรต่อไม่ออกนอกจากฟันสะเปะสะปะ

    “ขึ้นหลังมัน ขี่มันให้ได้ ด้านหลังของมันโจมตีเธอไม่ได้” โทนี่ร้องบอกพอเห็นช่อง

    “จะพยา...ยาม..!”

    ครึ่งชั่วโมงถัดมา เธอก็ขี่หลังได้ แต่โดนมันเหวี่ยงตลอดจนต้องเกาะ และเกาะลูกเดียว มือซ้ายเกาะ มือขวารั้งมีดไม่อยู่ ร่วงไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนขาลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศจากแรงสะบัดของราชาหมาป่า

    “จะตกแล้ววววววว” เธอร้อง มิเชลตอนนี้ไร้อาวุธเลยก้มลงเอาปากกัดเผื่อจะลดเลือดได้ ปรากฏว่าชั้นผิวหนังมันหนา เลยทำความเสียหายให้ราชาหมาป่าไม่ได้เลย เด็กสาวพยายามยื้อราชาหมาป่าไว้เต็มกำลัง

    “ทนไว้นะ ฉันจะโยนมีดไปให้!”

    มิเชลกำชั้นหนังกำพร้าของราชาสัตว์อสูรไว้เต็มสองมือเหมือนกำลังควบม้า โทนี่ไม่มีทางโยนมีดให้ได้ เพราะความเร็วขั้นหฤโหดของหมาป่าคิเมร่าห่างชั้นกับเขาเกินไป เธอจำต้องช่วยชะลอมันจากบนหลังด้วย เด็กหญิงพยายามคิดหาวิธีก่อกวน

    เจ้าหมาป่ายักษ์วิ่งควบสะบัดศัตรูบนหลังให้ตก แต่เธอย้ำกับตัวเองแล้วว่าถึงตายก็ห้ามปล่อย... มิเชลออกแรงดึงหนังหัวสัตว์อสูรให้ตึงไปทางซ้าย ราชาประจำถ้ำสองคูหาเลยต้องหันขวาอย่างช่วยไม่ได้ มันจึงยังวิ่งตรง ในขณะที่มองขวา... และชนกำแพงเสียงดัง

    น่าเสียดายที่กำแพงไม่ได้ถูกออกแบบให้ลดเลือดสัตว์อสูร เพราะมันแค่ตึงๆ มึนๆ งงทิศ แต่ถือว่าได้ผล มิเชลพยายามดึงบังคับให้หน้าหันไปคนละทางกับด้านหน้า มันพยายามฝืน ดิ้นสะบัดรุนแรง พยายามยกหัวกลับมากัด ซึ่งแน่นอนว่าเธอมีความสามารถพอจะหลบ

    “โทนี่ หยิบดาบขึ้นมา แล้วหาจังหวะแทงเอาเองเลย!” เธอตะโกน“ไม่ต้องโยนมีดให้มิเชลแล้ว โทนี่นั่นแหละแทงเลย..!”

    “หา ฉันเนี่ยนะ..!” เด็กชายทำหน้ามึน เขามองภาพเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงของหมาป่าคิเมร่าแล้วอยากตาย “ไม่มีทางหรอก... เร็วขนาดนั้น”

    “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว โทนี่ต้องแทง! มิเชลกวนจนมันไม่สนใจโทนี่แล้ว ตอนที่มันกำลังขวิดกำแพงนี่แหละ ถึงจะเร็ว แต่ถ้ามันไม่สนใจโทนี่ ก็คงไม่หลบ... ถ้ามันเลือกที่จะหลบโทนี่ก็ฟันไม่โดน”

    โทนี่พยักหน้าหงึกหงัก เขาย่องตอดเข้าไปด้านหลัง แอบเว้นระยะปลอดภัยไว้นิดหน่อย มิเชลชักตาลายเพราะถูกเหวี่ยง แต่พลันเห็นเพื่อนขยับมาใกล้ เลยต้องรั้งสติไว้ เธอออกแรงฝืนดึงให้สัตว์อสูรพุ่งใส่กำแพง ทว่าคราวนี้...ราชาหมาป่ารู้ทัน มันเลิกวิ่งมั่ว แล้วกระโดด... จากนั้นกลับตัวกลางอากาศ ตั้งใจเอาส่วนหลังลงพื้น...เด็กสาวคิดอะไรไม่ออก จึงหันไปมองเพื่อน และเข้าใจความหมายจากภาษามือ

    เธอกำลังจะถูกทับ ดันกลับไม่คิดที่จะขยับปีนหนีไปเกาะข้างๆ ลำตัวสัตว์อสูร... โทนี่รีบรุดไปอยู่ใต้เงาของร่างยักษ์ หันปลายดาบขึ้น ทั้งมิเชล ทั้งหมาป่าคิเมร่าโดนดาบเสียบพร้อมกัน แต่เด็กสาวมีเพื่อนช่วยใช้ยาฟื้นพลังทันที ส่วนราชาแห่งถ้ำสองคูหาไม่มีค่าเลือดเหลือจึงล้มลง

    ขอแสดงความยินดีในการปราบราชาหมาป่าคิเมร่า ผู้ลงดาบสุดท้ายจะได้รับรอยสักราชาหมาป่าคิเมร่าแห่งถ้ำภูเขาไฟสองคูหา

    เสียงประกาศจากระบบดังขึ้นพร้อมกับร่างหมาป่าคิเมร่าค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงรางวัลสำหรับผู้ชนะหล่นกองอยู่กับพื้น ที่คาดผมหูหมาป่าสีขาวน่ารัก เนื้อไม่มีเน่า 2ชิ้นใหญ่ เสื้อคลุมขนหมาป่า และหางอันเป็นไอเท็มภารกิจ

    “ไม่ยุติธรรมเลย... มิเชลอยากได้รอยสักด้วย!” เธอโวยวาย“ขอดูรอยสักโทนี่หน่อยสิ มันเป็นแบบไหน”

    “อยู่บนต้นแขนขวาเนี่ย” โทนี่โชว์ มันเป็นรอยสักสีดำล้วน มีรูปร่างขาดๆ แต่เป็นทรงเรขาคณิต ถ้ามองดีๆ ก็พอเห็นเป็นภาพหมาป่าได้เหมือนกัน

    พอเห็นแล้วต้องเปลี่ยนใจทันที ไม่มีสาวน้อยคนไหนอยากได้รอยสักน่าเกลียดบนตัว ถึงแม้ว่า.. สาวน้อยคนนั้นจะอยู่ในร่างชายหนุ่มโตเต็มวัยก็ตาม… มิเชลนึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำมีดหล่นระหว่างสู้ พลาดไปนิดเดียวมันคงมาประดับแขนน้อยๆ ของเธอแล้ว

    ที่คาดผมน่ารักเป็นของมิเชลโดยปริยายเพราะเธอร้องจะเอา เสื้อคลุมขนหมาป่าโทนี่โดนบังคับจับสวมทับชุดน่าเกลียดตัวเก่า ส่วนเนื้อไม่มีเน่าถูกแบ่งลงกล่องถนอมอาหารคนละกล่อง... ถึงชื่อบอกอยู่ว่าไม่เน่า แต่อย่าเสี่ยงเป็นดีที่สุด

    “ผู้ชายตัวโตๆ กับที่คาดผมหูแมว น่าเกลียดมาก” โทนี่หัวเราะ

    “หูหมาป่าต่างหาก..!เห็นมั้ยว่ารูปทรงหูมันไม่เหมือนกันนะ หูมันเรียวกว่า” เธอสวมทับบนหัวโดยไม่สนใจเสียงเพื่อน

    “ตุ๊ดตัวใหญ่ชัดๆ เข้าเมืองแล้วขอเหอะ ถอดนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมเดินกับเธอแน่ๆ”

    “งั้นถ้ามิเชลจะสวมตอนนี้ก็อย่าห้ามละกัน เข้าเมืองแล้วมิเชลใส่ไม่ได้นี่นา”

    มิเชลจับๆ ลูบๆ ที่คาดผมเพื่อชื่นชม ในใจนึกบ่นความไม่เข้าใจเด็กผู้หญิงของโทนี่... ของน่ารักสำหรับผู้หญิงไม่จำเป็นต้องใส่แล้วเข้ากับหน้าเสมอสักหน่อย... ขอแค่ชอบก็สวมได้ทั้งนั้นแหละน่า...

    "ข้างหลังรูปปั้นมีอะไรแปลกๆ ด้วยล่ะ" โทนี่เปรย มิเชลเพิ่งเห็นว่าเขากำลังก้มทำอะไรกุกกักอยู่คนเดียว เธอมัวแต่ชื่นชมหูหมาป่าขนปุยจนลืมเรื่องรอบข้างเลยชักนึกเขินอยู่ในใจ เด็กสาวสวมที่คาดผมลงกับหัว แล้วรีบตามไปดู

    ภาพวงกลมกับดาวห้าแฉกวางซ้อนบนพื้นหินด้านหลังรูปปั้นราชาหมาป่า มันกำลังเรืองแสงสีฟ้า โทนี่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เขาตั้งใจสำรวจสภาพโดยรอบก่อนทำอะไร พอเพื่อนสาวเข้ามาใกล้ เด็กชายรีบยกแขนขึ้นกั้น เป็นนัยว่าอย่าเพิ่งจับ แต่มองนานแค่ไหนก็ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ไม่เห็นร่องรอยบอกใบ้สักนิด มิเชลรอจนเบื่อ เลยแปะมือลงดื้อๆ โทนี่อ้าปากร้องห้ามแต่ช้าไป

    แสงสีฟ้าขึ้นปกคลุมรอบกายมิเชล ร่างของเธอค่อยๆ จางลงจนใสแจ๋ว มองทะลุผ่านได้ แล้วเลือนหายต่อหน้าต่อตา โทนี่เลิกคิดให้มากเรื่อง เขารีบวางมือบนสัญลักษณ์เพื่อไล่ตามเพื่อนทันที เด็กชายรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในพื้นที่มืดสนิท สักพักก็หล่นวูบ ประหนึ่งว่าแรงโน้มถ่วงหยุดทำการชั่วขณะ

    "โทนี่คิดมากเกินไป บางอย่างต้องลงมือทำถึงจะเห็นผล" น้ำเสียงกวนๆ แบบเก่าดังขึ้น มือใหญ่สองข้างแกว่งโบกขึ้นลงตรงหน้าเขา "เห็นมั้ย พวกเรามาอยู่ที่ทางออกแล้วนะ!"

    มิเชลเงยหน้าคุย แม้ปกติจะมีร่างสูงใหญ่ แต่เพราะนั่งก้นติดพื้นกอดเข่า ระดับศีรษะเธอจึงต่ำกว่าเขา เด็กหญิงกำลังขยำต้นหญ้า นิ้วจับคลึงถูเล่นไปมา ขาเหยียดออกด้านข้างในท่าสุดสบาย ท้องฟ้ามืดสนิท รอบกายมีสายลมกลางคืนพัดผ่าน สีสัน ความงามของธรรมชาติ และเสียงแมลงได้ช่วยผ่อนคลายอาการตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว โทนี่เผลอล้มกายลง สายตาจ้องดูจุดแสงระยิบระยับกลางอากาศ และพยายามจำแนกกลุ่มดาวที่เคยอ่านจากตำราเรียน

    "นั่นคือดาว" เธอเริ่มสอนเพื่อนอีกครั้ง

    "ฉันพอจะดูออก"

    "งั้นก้อนกลมๆ ที่เปล่งประกายใหญ่ที่สุดตรงนั้นคือ..."

    "พระจันทร์" โทนี่ตอบอย่างมั่นใจ

    "ผิด! หลอดไฟยักษ์ตะหาก"

    "แล้วหลอดไฟไปทำอะไรอยู่บนนั้น"

    "คนทำเกมส์เขาคงเอามาขึงเพิ่มความสว่างล่ะมั้ง จะได้ผจญภัยตอนกลางคืนต่อได้"

    "ถึงฉันไม่เคยเห็นของพวกนี้ แต่ฉันมีสติพอที่เลือกเชื่อตัวเองมากกว่าเธอ"

    "ว้า..." มิเชลเซ็งที่หลอกเพื่อนไม่สำเร็จ เธอยกกำไลขึ้นมากดดูเวลาของโลกแห่งความเป็นจริง ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว นั่นหมายถึงไม่เกินห้าชั่วโมงในเกมส์จะเป็นเวลานอน

    เมื่อพักหายเหนื่อยเด็กทั้งสองจึงลุกขึ้นเตรียมตัวกลับเมือง พวกเขาลากขาช้าๆ ชิมบรรยากาศกลางคืนเย็นๆ ประดับแสงดาวตลอดเส้นทาง ....ด้วยเลเวลที่สูงขึ้น สัตว์อสูรรอบข้างจึงเว้นระยะไว้ให้เดินเล่นสบายๆ อีกต่างหาก ปกติมิเชลสามารถเลือกเสียงและพื้นหลังของห้องทุ่งดอกไม้ในวิช่วลเวิร์ลได้ตามใจชอบ แต่การอยู่กับเพื่อนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวทัศน์บางอย่าง พอมีคนร่วมทอดสายตา ร่วมชื่นชมด้วยกัน อะไรๆ ก็สวย มีเสน่ห์น่าดูซะหมด

    ระหว่างเดินโทนี่ก้มเงยอยู่สองมุม มุมบนฟ้ากับมุมหน้าตรง บางทีก็หันซ้ายขวา เมินทั้งผู้ร่วมทางและวิวกลางคืน แม้สายตาคอยหันมองภาพรอบตัว แต่ก็เหมือนใจลอยไปที่หนึ่งๆ กำลังคิดอะไรอยู่ในหัวคนเดียว มิเชลคิดเอาเองว่าเพราะเขายังเข้าไม่ถึงคำว่าสวยงามจึงเป็นแบบนี้

    เดินอยู่ยี่สิบนาทีก็มาถึงเขตทุ่งหญ้าหน้าเมือง พวกเขาเริ่มเห็นฝูงผู้เล่นจับกลุ่มเก็บเลเวล โดยมากสวมเครื่องแต่งกายคล้ายๆ กันคือชุดเสื้อกล้ามเริ่มต้นกับมีดสั้น มีเพียงไม่กี่คนใช้ดาบยาวหรือถือไม้เท้านักเวท ประตูเมืองที่เคยเปิดอ้าทั้งสองบาน พอถึงเวลากลางคืนกลับแง้มๆ เหลือไว้บานเดียว และจากคุณยามถือหอกเล่มยาวสูงถึงหัว ยืนขาตรงเคร่งวินัย ดันเปลี่ยนไปนั่งสัปหงกในป้อม ทำเอามิเชลแอบขำพร้อมสะกิดชี้ให้เพื่อนดู เหมือนเป็นมุขตลกเล็กๆ ของเกมส์

    ก่อนเข้าเมืองโทนี่ทำเสียงดุให้ถอดที่คาดผมออก และเธอก็ทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก บรรยากาศยามดึกมีคบไฟจุดสลัวๆ อยู่ทุกมุมบนถนนเส้นหลัก พวกเขาตั้งใจขายของทิ้งก่อน แต่พ่อค้ารับซื้อขยะดันปิดในเวลากลางคืน จึงต้องเดินเลยไปร้านเหล้า เพื่อส่งมอบไอเท็มภารกิจแทน

    ในร้านเฮฮากว่าปกติ เป็นเพราะเจสสิก้า กำลังทำงานอยู่บนเวที เธอส่ายสะโพก สะบัดผ้า จีบไม้มือเต้นในท่าสุดเซ็กซี่ คนเล่นเกมส์ส่วนมากรู้จักสนิทสนมกับเธอที่เป็นทั้งคนคอยตอบคำถามทั้งคนมอบภารกิจ เหล่าลูกค้าจึงช่วยกันส่งเสียงเชียร์ดังลั่น ส่วนเคาน์เตอร์ภารกิจนั้น กลับมีชายหนุ่มหน้าจืด ส่วนสูงปานกลาง แต่งชุดพนักงานเสิร์ฟยืนประจำอยู่แทน

    "สวัสดีครับ ถ้าเป็นเรื่องของภารกิจต้องรอเจสสิก้าเสร็จงานส่วนนั้นก่อนนะครับ ผมมีหน้าที่แค่ตอบคำถามเท่านั้น" เขาชิงพูดขึ้นก่อน และยิ้มให้อย่างสุภาพ

    "นานมั้ยค..ครับ" มิเชลถูกโทนี่บีบแขนเตือนให้รู้ว่าต้องใช้ภาษาผู้ชาย

    "แปปเดียวครับ เจสสิก้าจะเต้นทีละยี่สิบนาทีทุกๆ สามชั่วโมง รออีกสักพักก็จะเสร็จแล้วครับ นั่งชมนักเต้นประจำร้านของเราไปก่อนสิครับ เธอแจ๋วที่สุดในเมืองแล้ว"

    เสียงเครื่องประดับบนข้อเท้าของเจสสิก้าดังกรุ๊งกริ๊งคลอไปกับเสียงดนตรีคลาสสิค เธอร่ายรำในสไตล์อินเดีย ทำตัวอ่อนงอ จีบมือสะบัดรวดเร็ว ท่วงท่าร้อนแรงพร้อมกับจังหวะเพลงที่เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า มิเชลมองอย่างชื่นชม นึกฝันอยากเต้นได้เท่ห์แบบนี้บ้าง กระทั่งโทนี่ยังเผลอจ้อง แต่จ้องคนละตำแหน่งกับเพื่อนสาว เพราะสะโพก หน้าอกมันเด้งขึ้นลงจนไม่รู้ว่าต้องเอาตาวางไว้ไหนดี

    "สุดยอดไปเลย" มิเชลตบมือรัวๆ หลังจบการแสดง "โทนี่เห็นตะกี้มั้ย ตอนที่เจสสิก้าจีบมือค้างไว้บนหัวแล้วหมุนตัวทันที ท่าเมื่อกี้สวยมากเลย"

    "อ..อือ เห็น" โทนี่ถูกสะกิดให้หลุดจากภวังค์หน้าอกกับก้น ตั้งแต่เข้าเกมส์มา เขาไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรสวยไปมากกว่ากัน เพราะทุกอย่างเป็นของใหม่สำหรับดวงตาเขาหมด เลยแอบนึกแปลกใจกับตัวเองที่ถูกปลุกสัญชาติญาณเด็กหนุ่มด้วยภาพได้

    ซึ่งจริงๆ แล้ว... เป็นเพราะเขากำลังอยู่ในเกมส์ ระบบของเจสสิก้าถูกตั้งค่าไว้ให้กระตุ้นสารฟีโรโมนในสมองยามเต้นรำ ขอเพียงเป็นเพศชายที่เข้าสู่วัยรุ่น จะต้องหลงเสน่ห์เธอกันหมด ส่วนมิเชลที่เป็นหญิงจึงไม่เกิดผลกระทบใดๆ

    "คุณนักเดินทางตัวน้อย กับคุณนักเดินทางตัวใหญ่ที่อายุไม่ถึงเกณฑ์กินเหล้า เจสสิก้าพร้อมให้บริการแล้วค่ะ" เธอเรียกพร้อมกับส่งยิ้มหวาน ส่วนพนักงานชั่วคราวถอยหลบฉากไปข้างๆ

    "พวกผมมารับรางวัลภารกิจครับ" โทนี่วางหางหมาป่าคิเมร่าแหมะลงบนเคาน์เตอร์

    "เอ๋... เร็วจังเลยนะคะ พวกคุณทั้งสองได้รวมกลุ่มกับคนอืนมาหรือคะ"

    "เปล่าครับ ไปกันสองคน" โทนี่ตอบ "อย่างน้อยน่าจะมีเตือนกันก่อนนะว่าข้างในสัตว์อสูรเยอะมาก พวกผมโดนรุมตลอดทาง แถมหมาป่าคิเมร่าเร็วมากเลย"

    "เข้าไปกันสองคนในถ้ำมืดๆ น่ะหรือคะ?" เธอทำเสียงตกใจ "ที่จริงภารกิจนี้ต้องการให้ผู้เล่นไปถึงถ้ำแล้ววิ่งกลับมาหาดิฉันเพื่อขอคบไฟเข้าไปอีกที ทางในนั้นทั้งวกวนทั้งมืด บริเวณที่มีแสงก็จะถูกสัตว์อสูรก่อกวน กว่าจะไปถึงตัวราชาหมาป่าปกติกินเวลานานหลายวัน พวกคุณคงโชคดีมากที่เดินเข้าไปถูกทางพอดี... ไม่สิ ต้องเก่งมากด้วยที่ชนะมันได้..!”

    มิเชลอมยิ้ม จริงๆ พวกเธอแทบจะเดินวนทุกซอกทุกมุมของถ้ำภูเขาไฟสองคูหา เพียงแต่ความจำระดับปีศาจของโทนี่ทำให้ไม่ต้องเดินซ้ำทางเก่า โดยเฉพาะคนตาบอดผู้เคยลงเรียนวิชาสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหวนั้น ทั้งสองสามารถใช้ไม้เท้าในสถานที่แปลกใหม่สบายๆ อาจมีสะดุดพื้นต่างระดับบ้าง แต่ก็พาตัวก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ

    เจสสิก้าวางถุงรางวัลสองใบบนโต๊ะ หางหนึ่งชิ้นสามารถใช้จบภารกิจด้วยกันได้หากรวมกลุ่มสู้ เธอพยายามส่องสายตามองหาบางอย่างจากตัวมิเชล แต่ไม่พบ.. จากนั้นค่อยหันไปทางโทนี่แล้วถือวิสาสะปลดเสื้อนอกออกดื้อๆ รอยสักหมาป่าปรากฏเด่นชัด... สาวนักเต้นดึงแขนเขาขึ้นพร้อมประกาศว่าเด็กชายคือผู้กำราบราชาแห่งถ้ำภูเขาไฟสองคูหา

    ทุกสายตาหันมามองโทนี่ เกิดเสียงวิพากวิจารณ์เซ็งแซ่ ฝูงชนรอบข้างจ้องเริ่มเด็กชายด้วยสีหน้าแปลกๆ บางคนเดินเข้ามาคุยด้วย และพยายามถามอย่างสุภาพถึงวิธีที่ใช้ฆ่าหมาป่าคิเมร่า แต่บ้างก็ก่นด่าเหมือนออกคำสั่งว่าอย่ากั๊กเทคนิคไว้กับตัวเอง ต้องกระจายๆ ให้รู้ทั่วกัน สักพักเรื่องของเขาก็ถูกลงช่องสื่อสารสาธารณะ ความวุ่นวายจึงแผ่ขยายหนัก

    โทนี่รู้สึกกดดันพิลึก เขาตอบคำถามที่โดนยิงเข้ามาไม่ทัน เลยรีบคว้าถุงรางวัลพร้อมดึงแขนเพื่อนหนี เด็กทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาตลอดทาง พอเดินไปเกือบถึงประตูเมืองจึงค่อยสงบลง กลุ่มม๊อบเล็กๆ เลิกไล่ตามแล้ว มิเชลแสดงอาการเสียดายความชุลมุนเมื่อครู่ จริงๆ เธอสนุกนิดหน่อยด้วยซ้ำ

    “เมืองนี้เราเที่ยวหมดแล้ว เราไปเที่ยวที่อื่นต่อกันเถอะ” เธอเสนอ

    “ใจเย็น เราจะไปทั้งๆ ไอเท็มเต็มมือแบบนี้เหรอ!” โทนี่รั้งเธอไว้ “ที่จริงอยากรอให้ถึงตอนเช้า ขายของเสร็จแล้วค่อยออกจากเกมส์ แต่แม่ฉันให้สัญญาว่าถ้าเล่นเกมส์นี้ ต้องเข้านอนสามทุ่มครึ่ง ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวแม่ลุกมาเช็คจะซวยเอา”

    “พ่อมิเชลให้นอนห้าทุ่มได้ ก่อนเล่นเกมส์ พ่อให้นอนสามทุ่มด้วยซ้ำ การเล่นเกมส์ก็เป็นการนอนหลับอย่างนึง เพียงแต่หลับไม่สนิทเท่านั้น บอกแม่ของโทนี่ไปสิ เราจะได้อยู่เล่นด้วยกันถึงห้าทุ่มทุกวัน”

    “แม่ฉันไม่เข้าใจหรอก เผลอๆ จะโดนห้ามเล่นเกมส์เปล่าๆ เอาเป็นว่าฉันต้องไปแล้ว”

    “อืม” เธอทำหน้าเซ็ง “จะออกจากเกมส์ต้องไปจ่ายตังค์ค่าห้องพัก หรือบอกกับยามประตูเมือง มา... มิเชลจะไปส่งไปหายามดีกว่า ฟรี”

    พวกเขาอยู่เกือบถึงประตูเมืองอยู่แล้ว ทั้งคู่ปลุกยามที่กำลังหลับ และทางเข้าออกคือภายในป้อมนั่นเอง มิเชลเดินเล่นชมวิวกลางคืนต่ออีกสักพักคนเดียว จากนั้นจึงเลิกเล่นเกมส์ก่อนเวลานอนด้วยความเบื่อ ขณะนั้นเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง เธอลุกไปแปรงฟัน แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียง

    ก่อนห้าทุ่มพ่อเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง เธอรู้ได้ด้วยแรงกระเทือนบนพื้น เขาเริ่มถามด้วยภาษามือแบบสัมผัสว่าสนุกไหม มิเชลโอบลำตัวผู้เป็นพ่อ แล้วกอดแน่นๆ แทนคำตอบ ชายหนุ่มขยี้หัวลูกสาวแรงๆ ทีนึงอย่างดีใจ

    มิเชลใช้ภาษามือพูดเกี่ยวกับโทนี่ ถ้ำภูเขาไฟสองคูหา บ่นเรื่องความยากของหมาป่าคิเมร่า แล้วอ้อนขอเรียนเต้นรำให้เหมือนเจสสิก้า เธอเล่าหลายเรื่อง และดูท่าไม่จบง่ายๆ เขาจึงรีบตัดบทให้เข้านอนซะ เด็กหญิงดื้อนิดๆ แต่ยอมนอนโดยดี พ่อจูบลงกลางหน้าผากทิ้งท้าย จากนั้นเดินออกนอกห้อง ปิดประตูกระแทกแรงๆ ตามปกติ ลูกสาวจะได้รู้ว่าไปแล้ว

    วันนี้ควรเหมือนค่ำคืนผ่านๆ มา แต่กลับนอนไม่หลับ ในใจยังนึกถึงเวลาสู้กับหมาป่าคิเมร่า หัวใจเด็กสาวเต้นถี่ ความรู้สึกที่เลือดสูบฉีดรุนแรงไหลผ่านทั่วกาย มิเชลสนุกเพราะได้กระโดดโลดเต้นโดยไม่ต้องพะวงว่าจะชนหน้าหลัง..? หรือเป็นเพราะว่าได้สู้กับ...สัตว์อสูรเก่งๆ นะ...

    มิเชลขดตัว กลิ้งไปกลิ้งมา พยายามผ่อนคลายให้ใจสงบ แต่กว่าจะหลับลงก็เกือบตีสอง เธอข่มความคิดลุกขึ้นมาเปิดเกมส์เล่นอีกรอบอยู่หลายครั้ง เด็กสาวคิดว่าหากได้เข้าไปในนั้นแล้ว คงได้นอนตอนใกล้ๆ เช้า และพ่อคงไม่ชอบแน่
  11. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    จบตอนที่3 แล้วเน้อ

    taleoftrue
    ผมแก้ไขโดยการใส่ชื่อไปที่ ฉายาแทนแล้ว 555555+

    แน็ค
    กอดดดดดดดดดดดด >w<
    ดีใจที่ชอบสำนวน แต่ตอนใหม่ที่โพสอาจจะมึนๆ เพราะแทบไม่ได้กรอง

    Azemag
    ยังดีแหะ เพราะฉากนั้นเป็นฉากที่ผมคิดว่าประหลาด+ไม่เข้ากับเนื้อเรื่องเลยนะเนี่ย TvT

    ปล. นานเกิน ไม่รู้ยังจำได้อยู่มั้ยว่า เกี่ยวกับอลิส เพื่อนของมิเชล+โทนี่ที่กำลังผ่าตัดเส้นประสาทหูเทียม

    เคยเขียนไว้ว่า อลืส ตาบอด หูหนวกแต่เกิด แต่พอไปหาข้อมูลใหม่ แล้วเนื้อเรื่องบางอย่างในฟิคมันขัดกัน
    เลยต้องเปลี่ยนเป็น อลิสเกิดมา มองเห็น+ได้ยินชัดเจน แต่มาตาบอด หูหนวก ตอนหลังแทน

    ตอนนี้ไม่ค่อยได้กรอง หรือเกาเท่าไหร่ ตั้งใจว่าจะย้อนกลับมาเกาอีกที ถ้ามีเวลา
    ถ้าตัวหนังสือเล็กเกินไป บอกได้นะครับ จะปรับให้ใหญ่ขึ้น
  12. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    หลังจากอ่านตอนนี้ พาลคิดไปว่ามิเชลกำลังเลี้ยงต้อยโทนี่แฮะ (ช่วยจนโทนี่เก่ง)

    แต่งานนี้ท่าทางโทนี่จะเจอปัญหาหนักแฮะ เจอคนรุมถามเรื่องฆ่าบอสเนี่ย
  13. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ได้ดีเหมือนเคย

    ความยียวนของมิเชลก็ยังคงเส้นคงวา โทนี่ก็แสดงความกล้าและไหวพริบให้เห็นเช่นกัน

    อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วที่ได้จับเมาส์ตี poporing ที่ป่าโปริงใน RO ยังไงยังงั้นเลยแฮะ

    ติดตามอ่านตอนต่อไปครับ



    ปล. แก้หัวกระทู้ว่า UPDATE ตอนที่ 3 ให้ครับ
  14. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    แนวคิดเรื่องน่าสนใจดีนะคะ เกี่ยวกับคนตาบอดหูหนวกเป็นใบ้ Reaction ของตัวละครพิการแต่ละตัวก็ดูสมจริง ค่อนข้างชอบฉากโรงเรียนสอนคนตาบอด อ่านแล้วรู้สึกเป็นจริงเป็นจังดี ดูท่าคนเขียนจะหาข้อมูลมาเยอะพอสมควรเลยนะคะเนี่ย (ดูจากที่อ้างอิงเป็นระยะๆ) แต่แอบคิดว่า ในเรื่องเป็นเวลาเกือบสามร้อยปีต่อจากนี้เชียวเรอะ นานจัง 55+ น่าจะมีอะไรที่เหนือกว่านั้นแล้วนะ เพราะตอนนี้ โลกจริงๆก็สร้างของประมาณวิชช่วลฯได้แล้ว เลยคิดว่า อีกไม่น่าเกินร้อยปี ก็น่าจะเป็นแบบในเกมได้ไม่ยาก ยังไงก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ

    เสียแต่เป็นนิยายเกมออนไลน์ที่มีค่อนข้างเกร่อในยุคนี้ไปหน่อย (อย่างผู้เขียนว่าบนตอนแรก ว่ามีแรงบันดาลใจมาจากนิยายเกมออนไลน์อยู่แล้ว) ทำให้มีองค์ประกอบหลายอย่าง ดูเหมือนๆกันหมด (เช่นเล่นเป็นตัวละครในเกมแล้วสลับกับเพศในโลกจริง) และในเว็บเด็กดี ก็มีคนเขียนเรื่องเด็กพิการเข้าไปเล่นเกมออนไลน์เสียแล้ว ...ยังไงก็ตาม ก็คิดว่าฟิคเรื่องนี้ น่าจะสามารถคงคอนเซปต์และวิธีแนวทางที่ต้องการสื่อของตัวเองได้ดี พยายามต่อไปค่ะ

    ภาษา อ่านได้เรื่อยๆ ไม่ติดขัดอะไร ค่อนข้างลื่นไหล ไม่ติดขัดอะไร มิเชลกับโทนี่ เขียนสื่อนิสัยออกมาชัดดีด้วย แท็กทีมน่ารักดี :D...มันเตะตาพอ ให้ที่คนไม่ค่อยชอบแนวเกมออนไลน์อย่างเราเท่าไหร่มาอ่านได้ ฮ่าๆๆ กระนั้น อยากให้ปรับขนาดตัวอักษรเป็นขนาดมาตรฐานของเว็บหน่อยนะคะ เล็กๆอ่านแล้วปวดตา >.<

    ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เพราะเนื้อเรื่องก็เหมือนแนวออนไลน์ทั่วๆไป อยู่ที่ว่าบทต่อๆไป คนเขียนจะดึง 'ความเป็นตัวเอง' ออกมามากแค่ไหน และจะมีลูกเล่นอะไรมากกว่านี้ คงต้องรอดูยาวๆกันต่อไป...
  15. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    taleoftrue
    ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เหมือนโทนี่โดนหิ้วไปหิ้วมาง่าย 5555+

    Azemag
    ส่วนใหญ่ยึดหลักช่วงเล่นเกมส์ออนไลน์แรกๆ ของตัวเองเอา
    ไอ้อัพสเตตัสแบบมิเชล ผมก็ทำมาแล้ว ^^" เมจผมเน่าสนิท ยิงโปริ่งเข้าทีละ 5 ตอนเลเวล 12
    ขอบคุณที่แก้หัวกระทู้ให้ครับ

    kolonel
    ชอบจังครับ คอมเมนท์ยาวๆ xD

    แทงใจเต็มๆ เพราะที่จริงผมกำลังคิดว่าจะลักไก่ แก้เป็นปี2050 แล้ว 5555555 เทคโนโลยีที่มิเชลใช้ มันเป็นของที่มีในปัจจุบันนี้หมด ผมดัดแปลงจิ๊ดเดียวให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นเฉยๆ ^^" จะได้เขียนได้ง่ายๆ ด้วย

    วิช่วลเวิร์ลแบบในฟิคผม ตอนนี้ยังไม่มีนะครับ เทคโนโลยีที่ทำได้ล่าสุด คือให้ใช้คลื่นสมองสั่ง input เข้าไป
    แต่เวลาจะดูจะอ่านก็ต้องมองจากจอคอมอยู่ดี แบบที่รับข้อมูลสู่สมองเห็นมีแต่ข่าว จะเริ่มวิจัยล่าสุดตอนปี2009 แต่เงียบไปนานมาก เดาเอาว่าวิจัยไม่สำเร็จ โดนเฉือนงบไปแล้ว ^^"

    ส่วนวิช่วลเวิร์ลของจริงๆ ก็มีนะ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ ชื่อมาบังเอิญซ้ำกันเฉยๆ แถมยังทำมาเพื่อคนพิการอีก ตอนเซิร์จเจอ ตกกะใจหมดเลย 555~
    วิช่วลเวิร์ลเค้าแรกเริ่มทำมาให้คนขาพิการที่อึดอัดไปไหนมาไหนลำบาก ต้องอยู่แต่ในบ้าน ก็มีสร้างตัวละครไว้เดินเล่นในเมืองคล้ายๆ เกมส์ออนไลน์
    แต่เน้นจำลองการใช้ชีวิตแบบสมจริง มีตกปลา ไต่เขา ชอปปิ้ง ว่ายน้ำ หลายๆอย่าง เงินในเกมส์ก็สมจริง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากะเงินจริงๆ - -*
    สงสัยอยู่ว่าตอนซื้อของในเกมส์ คนเล่นต้องใช้บัตรเครดิตซื้อรึเปล่า.... ตอนนี้เค้าพัฒนาให้คนตาบอดใช้งานได้ด้วยเสียง
    คนที่แขนกับมือพิการไม่แน่ใจ แต่คงใช้เสียงสั่งได้เหมือนคนตาบอดล่ะมั้ง

    ฟังมาว่ายังไม่ได้ทำมาซัพพอร์ตคนพิการซ้ำซ้อน ถ้าใครตาบอดหูหนวกคู่ก็ต้องใช้ Screen reader ที่เป็น software อ่านหน้าจอคอม
    กับ Braille Display(ไว้แสดงผลลัพธ์เป็นอักษรเบรล วิธีอ่านคือเอามือทาบไว้) แล้วไอ้เจ้า screen reader มันก็อ่านทุกอย่างที่อยู่บนหน้าจอ ^^!
    คงพอถูไถได้ แต่เล่นไม่สะดวกเท่าไหร่

    เบรลคีย์บอร์ดของมิเชล ที่จริงผมเอา screen reader มารวมกับ braille display แล้วตั้งชื่อใหม่ เพราะหาชื่อภาษาไทยไม่เจอ 555555+

    อยากอ่านจังครับเรื่องเด็กพิการเล่นเกมส์ออนไลน์ของคนอื่น >o< ชื่อเรื่องว่าอะไรเผื่อผมไปเซิร์จหา

    ก่อนลงมือเขียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดเนื้อเรื่องไว้แค่ ตอนที่1 อย่างเดียว จริงๆ นะ....^^".....
    ผมเคยคิดไว้ยาวเหยียด แต่พอหาข้อมูลแล้ว มันค้านกับเนื้อเรื่องเดิมทุกอย่าง
    นิสัยกับเนื้อเรื่องเดิมของมิเชลมันไม่ใช่ลักษณะของเด็กพิการที่มีครอบครัวรัก T^T
    ผมติดภาพตามทีวีเวลาโชว์รูปลักษณ์เด็กพิการยากจน กับตู้บริจาคมากไปอะ ToT

    เลยให้ตัวละครพาไปก่อน แต่ก็คงไม่ยอมให้มันลากเนื้อเรื่องลงเหวล่ะนะ ^^"

    ช่วงนี้ผมไม่ติดนิยายออนไลน์เท่าไหร่แล้ว เซ็งตรงซื้อมาไม่สนุกหลายเรื่อง..=_="
    หลายเรื่องก็ไม่น่าปล่อยมาตีพิมพ์ได้

    ขอระบายเรื่องที่เคยอ่านให้ฟังหน่อย เสียเงินซื้อมาทั้งที แต่นิยายไม่มีการคัดกรองเลยT^T...
    จะจำชื่อสนพพวกนี้เอาไว้ให้หมด ฮือ.... ว่าเชื่อไม่ได้
    เรื่องแรก
    พระเอกมีพ่อเป็นมาเฟีย แม่เป็นนายกรัฐมนตรี......บ้านรวยล้นฟ้า ต้นเรื่องไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศส่วนตัว ขับเครื่องบินส่วนตัวไปเองกับน้องสาว พ่อแอบส่งบุรุษชุดดำมาเป็นบอดี้การ์ดลับๆ ยี่สิบกว่าคน....​ (เริ่มอึ้งล่ะ แต่มันไม่เกี่ยวกะในเกมส์ออนไลน์เลยอ่านต่อ) ....พอพระเอกเล่นเกมส์ ได้พบวิธีฝึกแบบที่จะอัพเลเวลพุ่งพรวดได้ เลยไม่ไปไหน ล่ามอนมันอยู่ตรงนั้นแหละ​จนเลเวลร้อย จากนั้นค่อยเข้าเมืองไปโชว์เทพ ...............ช่วงฝึกวิชาน่าเบื่ออย่างกับอะไรดี ยาวมาก...สงสัยกลัวไม่สมจริง เพราะเลเวลต้องถึงร้อย........ พอพระเอกจะเข้าเมืองก็โคตรดีใจ.... ในที่สุด มันได้ไปทำอย่างอื่น แต่ดันไปโชว์เทพแบบน่าเบื่อๆ == อ่านถึงตรงนี้ปิดหนังสือ ขี้เกียจอ่านต่อ....

    เรื่องที่สอง
    นางเอก เริ่มเกมส์มาก็โชคดีมาก ได้สร้อยสูดดมแล้วความเหนื่อยหายไป จากนั้นได้กรวยขออาหารเท่าไหร่ก็ได้!?! พอเข้าธนาคารก็ได้สิทธิพิเศษเดินเข้ามาเป็นคนที่xxx รับบัตรเครดิตvip ราคาสุดแพง พร้อมแถมเงินร้อยล้าน ​(เอ่อ....อืม...) ที่จริงคนเขียนก็ไม่ได้ฝีมือแย่นะ แต่ยัดของที่คนเขียนอยากได้เข้ามาเยอะแยะไปหมด ถ้าไม่มีส่วนนี้เนื้อเรื่องคงสนุกดี แต่นางเอกดันได้ของมาง่ายๆ ตลอดทาง พระเอกก็เป็นทาสรัก(ข้างเดียว)... อ่านแล้วชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ.... เล่มหนึ่งตั้งใจอ่านอย่างละเอียด เล่มสองเปิดผ่านๆ เล่มสามไม่ซื้อแล้วเฟ้ยย ==

    เรื่องที่สาม

    เป็นเรื่องที่ผิดหวังT^T เพราะต้นเรื่องน่าติดตาม พระเอกได้อาชีพแปลกๆ เจ๋งๆ ไว้โชว์เทพก่อความวุ่นวาย แต่ข้อจำกัดเยอะ อ่านแล้วมีลุ้นเรื่อยๆ พอกลางเล่ม พระเอกได้บอสมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่แปลงร่างเป็นสาวสวยเดินตาม....​สักพักพระเอกก็เริ่มสร้างฮาเร็ม ได้บอสสาวสวยเป็นสัตว์เลี้ยงเพิ่มอีกหลายตัว แต่ละตัวฝีมือถล่มเมืองทั้งเมืองได้สบาย ข้อจำกัดไม่มี ส่วนพระเอกเลิกสู้ไปแล้ว อยู่ใต้ความคุ้มครองของสาวๆ..... ไม่ต้องลุ้นไม่ต้องคิด เพราะโกงมาก ชนะชัวร์

    ตอนแรกก็ยังถูไถอ่านได้ จนถึงช่วงที่เอาตำนานโน่นนี่มาผูกกันมั่ว ตัวละครNPC เทพทุกประเภทมาตีกันจนงง จำไม่ได้ว่ามีตัวอะไรแล้วบ้าง อย่างเทพญี่ปุ่นเนี่ย มาถึงก็โยนโครมใส่ เหมือนคนอ่านรู้จักตัวละครนี้ดีอยู่แล้ว ตามตำนานมันรักใคร ทะเลาะไรกับใครอยู่ คนอ่านจะไปรู้ได้ไง =[]= ชื่อเทพในตำนานถูกอัดมาในบทสนทนาเต็มไปหมด...​แต่ไม่อธิบาย​ เลยไม่เก็ทเข้าไปใหญ่ว่ามันคุยเรื่องอะไรกัน (จำชื่อไม่ทันด้วย)


    นอกจากเทพญี่ปุ่นแล้ว ยังมีเหล่าเทพจากตำนานไวกิ้ง เทพฝั่งยุโรป เมกา อังกฤษ บลาๆๆ เยอะมาก หลายตำนาน .....สงสัยคนเขียนจะเข้าใจผิดว่า คนอ่านรู้จักมันหมดทุกตำนาน =______= ถ้าค่อยๆ ปล่อยมาทีละนิดให้จำชื่อ จำนิสัย จำลักษณะได้ก่อนก็ว่าไปอย่าง อันนี้โยนมาแต่ชื่อ เต็มไปหมด เลยเลิกอ่านเพราะตามคนเขียนไม่ทันว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่


    เคยมีไปพลิกดูเล่มหลังๆ จากร้านหนังสือ เผื่อว่ากลับมาสนุกจะได้ซื้อต่อ ปรากฏว่าตัวละครเทพโผล่อีกหลายสิบ ฮาเร็มพระเอกก็ขยาย ยังคงดำเนินหนทางแห่งความมั่วถลำลึก

    ขอบคุณคร้าบ ที่จริงตอนผมกลับไปอ่านอีกที คำสะกดผิด คำที่อ่านแล้วสะดุด มันโผล่มาเพียบเลย ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย
    เขียนเสร็จแล้วต้องดองเค็มลงไหสักสามสี่วัน กลับมาอ่านอีกที error พึ่บพั่บ.....​(วันที่เขียนยังไม่เห็นมันเลยแท้ๆ)

    ตัวหนังสือปรับแล้วนะครับ ตอนแรกงงๆ กะฟอนท์ เพราะก๊อปมาจากเวิร์ด พอปรับให้ใหญ่ขึ้น มันก็บะเริ่มเฮิ่ม
    นั่งหาฟอนท์ของบอร์ดอยู่ตั้งนานว่าอันไหน 5555 ที่แท้อันแรกสุด

    ปล.เรื่องบ่นหนังสือคนไทยเขียนเนี่ย สำหรับบอร์ดฟิค ผมกล้าบ่นแค่ใน AF เท่านั้น ไปบ่นข้างนอกเจอแฟนคลับโห่แน่ๆ ^^"
  16. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
  17. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    เมนต์ไม่ยาวหรอกค่ะ เพราะคนเขียนมาตอบคอมเมนต์ยาวกว่า (ฮา) :D อ่านแล้วยังตกใจเลย

    ค่ะ รับทราบ >w< เข้าใจว่ายังไม่มี แต่มีที่คล้ายๆกัน ซึ่งก็คือที่คุณ Aqouze พิมพ์มาให้ตรงรีพลายด้านบนนี่ล่ะค่ะ

    แต่ก็ เคยอ่านหนังสือที่เขามีแบบเป็นเกมจริงนะ อันนั้นต้องใส่ทั้งหมวกกันน็อก ใส่ชุดถุงมือ ที่มีสายอะไรระโยงระยางเต็มไปหมดเลยล่ะ

    จัดไปค่ะ!

    ชื่อเรื่องว่า Folklore Online (>>จิ้ม<<) ในเว็บเด็กดีค่ะ ความจริงเราไม่เคยอ่านหรอก แต่เห็นเรื่องย่อคล้ายๆกันเฉยๆ เจ้าหญิงนิทราก็เป็นเหมือนอาการพิการอย่างนึงอ่ะเนอะ 55+ (เพราะอย่างที่บอกว่าปกติไม่ได้อ่านนิยายเกมออนไลน์อ่ะนะ =w=)

    ส่วนอีกอันก็ The Dreamsia (>>จิ้ม<<) อันนี้เป็นนิยายที่เด็กพิการแบบมิเชล (ตาบอด เป็นใบ้) เข้าไปในโลกเสมือนน่ะค่ะ คงเรียกไม่ได้ว่าเข้าไปในเกมออนไลน์หรอก แต่ก็ครือๆกัน

    บ่นได้เลยค่ะ ตามสบาย เพราะนิยายออนไลน์สมัยนี้มันก็ราวๆนี้แหละ...

    อ่านแต่ละเรื่องที่คุณ Aquoze พิมพ์เรื่องย่อมาให้แล้วก็ปวดตับจริงๆ และขอทายว่าทั้งหมดมาจากเด็กดี มันเพอร์เฟคกันไปหมดเลยวุ้ย ชีวิตจะเจอเรื่องแย่ๆ แบบเล่นแล้วตกอับหน่อยไม่ได้เลยเรอะ ทั้งเทพ ทั้งง่าย ทั้งฮาเร็ม... อืมมมมมม พูดไม่ถูกเลยค่ะ แต่ถ้าถก คงถกกันยาวจริงๆ เพราะนิยายแบบนี้มีอยู่มาก และคาดว่าจะไม่หมดไปจากวงการหนังสือเราแน่นอนด้วย

    อันสุดท้ายคุ้นๆว่าเคยมีคนเล่าให้ฟัง แต่นึกชื่อไม่ออก ฟังแล้วเซ็งแทน เพราะเหมือนมันอยู่ท็อปของเด็กดี แล้วเคยเข้าไป observer มีแต่คนชมซะ หงาย...

    ใช่ค่ะ ข้างนอกพวกแฟนคลับดิ้นพราดๆแน่นอน กร๊าซซซ บ่นที่นี่เต็มที่เลยค่ะ มีหลายๆคนที่รู้สึกแบบคุณ รวมทั้งสตาฟท์บอร์ดชื่อเป็นสีเขียวด้วย ฮ่าๆๆๆๆ
  18. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เรื่องแรกนี่ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเรื่องอะไร ส่วนเรื่องที่สองรู้สึกคุ้นๆแต่นึกไม่ออกเหมือนเคยอ่านผ่านๆตาจากใเว็บมาก่อน

    ส่วนเรื่องที่สามนี่อ่านปุ๊บรู้เลยว่าเรื่องอะไรแฮะ เรื่องนี้อ่านไปซักระยะนึงผมเริ่มเบื่อตรงที่ตัวเอกแทบไม่มีปฎิสัมพันธ์กับคนเล่นอื่นจริงๆเลย วันๆก็คบอยู่แต่กับ NPC เหมือนเล่นเกม Offline กู้โลกซะมากกว่าเลยเบื่อเลิกอ่าน
  19. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอนที่ 4 รอเพื่อน

    มิเชลเริ่มต้นทำกิจวัตรประจำวัน กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน ท่องหนังสือ และออกกำลังกาย พอครูสอนพิเศษกลับบ้านตอนบ่ายสาม เธอก็พุ่งตรงไปยังห้องนอน แล้วเข้าสู่เกมส์ทันที

    เด็กหญิงล้วงสมุดรายชื่อเพื่อนขึ้นมาเพื่อเปิดดูข้อความใหม่จากลาล่า เอลฟ์สาวเล่าว่าพวกตนล่วงหน้าข้ามไปถึงทวีปหลักแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรทั้งคู่ก็ติดสอบมหาลัยเสียก่อน ตัวเธอกับอิลคงหายหน้าหายตาสักพัก

    เวลาในเกมส์เป็นช่วงเย็น พ่อค้ารับซื้อขยะจึงยังเปิดให้บริการอยู่ มิเชลขายของทิ้งเกือบหมด เหลือไว้แค่อาวุธบางชิ้น ทีแรกตั้งใจรอโทนี่ แต่กว่าเขาจะมาก็ราวหนึ่งทุ่ม เด็กชายต้องทำการบ้าน กินมื้อเย็น และอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเล่นเกมส์ เรียกว่าอีกตั้ง 20ชั่วโมงในเกมส์เชียวนะ... เธอไม่คิดอยู่เฉยๆนานขนาดนั้น เลยกางแผนที่ดู คิดไปเที่ยวเองคนเดียว...

    บนแผนที่นอกจากถ้ำภูเขาไฟสองคูหาและทุ่งลามะ ก็มีบ้านกระท่อมน้อย โดยทางผ่านคือทะเลทรายกะทะร้อนกับบึงอสรพิษ จากนั้นเป็นเมืองท่าบรรพบุรุษซึ่งต้องย้อนกลับมาที่เดิม แล้วข้ามป่าต้นสนดงฟ้าเพื่อไปให้ถึง มิเชลเลือกไม่ถูกจึงคิดขอความเห็นจากเจสสิก้า สาวนักเต้นประจำสมาคมผู้กล้า

    พอไปถึง... วันนี้ลูกค้าในร้านดูบางตาลง น่าเป็นเพราะนอกเกมส์ยังกลางวันอยู่ แต่คนประจำเคาน์เตอร์ภารกิจกลับไม่ใช่สาวนักเต้นเจ้าเก่า กลายเป็นผู้หญิงผมแดงสั้นกระเซิงที่ติดโบว์สีฟ้าอันใหญ่กลางกระหม่อม เธอเองก็ใส่กางเกงทรงอินเดียกับผ้าคาดอกเหมือนเจสสิก้า มิเชลเลยเดาเอาว่าคงทำตำแหน่งเดียวกัน

    “สวัสดีค่ะ คุณมิเชล” เธอกล่าวทัก

    มิเชลผงะ... เพราะนอกจากโดนรู้ชื่อแล้ว สาวผมแดงยังแผ่บรรยากาศคล้ายเจสสิก้า เธอเป็นคนเซ็กซี่มีเสน่ห์ ทั้งใบหน้า จมูกและริมฝีปากเรียกว่าลอกแบบกันมา เว้นไว้แต่ดวงตาสีแดงโตที่ดูซุกซน ไม่ใช่สีฟ้าคมคาย

    "ดิฉันสามารถดูข้อมูลของผู้เล่นได้ในส่วนของเพศ และชื่อค่ะ” เธอยิ้มหวาน “ดิฉันเห็นมันลอยอยู่บนหัวของทุกคนเสมอ และเจสสิก้าได้เล่าเรื่องพวกคุณให้ฟังนิดหน่อย บอกว่าเป็นแก๊งเด็กตัวโตกับตัวเล็กที่ถล่มราชาหมาป่าได้ ทีแรกจะมีการปรับให้ภารกิจนี้ง่ายลงหากไม่มีคนทำสำเร็จในหนึ่งเดือนแรก แต่โครงการนี้ถูกพับโดยคุณมิเชลกับเพื่อนของคุณมิเชลไปซะแล้ว”

    “แล้วเจสสิก้าล่ะคะ... ล่ะครับ” เด็กสาวรีบแก้หางเสียง แม้เวลานี้ขาดโทนี่ที่คอยบ่น แต่เธอก็ไม่อยากเป็นกะเทยต่อหน้าคนอื่น... “คุณเจสสิก้าไม่ได้ประจำที่นี่ทุกวันเหรอ”

    “คนเราต้องออกไปพักผ่อน กินอาหาร หลับนอนกันข้างนอกบ้างนิคะ ถ้าเปรียบกับเวลาจริงๆ นอกเกมส์แล้ว ดิฉันจะทำงานช่วงกลางวัน ส่วนเจสสิก้าทำหน้าที่รอบกลางคืนค่ะ ดังนั้นคืนนี้ถ้าคุณมิเชลอยู่ดูก็จะเห็นดิฉันเต้นนะคะ รับรองว่าไม่แพ้เจสสิก้าแน่ค่ะ เพียงแต่คนเขานิยมสาวผมยาวสีทอง ดิฉันผมสีแดงกระเซิงๆ ความนิยมเลยไม่เท่าเจสสิก้าเท่าไหร่”

    “ถ้าคืนนี้มาได้ก็จะมาดูพี่สาวเต้นครับ... แต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าบ้านกระท่อมน้อย กับเมืองท่าบรรพบุรุษไปทางไหนก่อนดี ผมต้องรอเพื่อนอีกยี่สิบชั่วโมงในเกมส์ เลยว่าจะไปหาที่เที่ยวล่วงหน้าก่อน”

    “ถ้าคิดจะหาที่ผจญภัยรอเพื่อน แนะนำบ้านกระท่อมน้อยค่ะ เมืองท่าบรรพบุรุษนั้นสามารถใช้ในการเดินทางออกจากทวีปตายายไปยังทวีปหลักได้ คุณมิเชลจะได้ไม่ต้องไปๆ กลับๆ ทางไปบ้านกระท่อมน้อยมีทะเลทรายกะทะร้อน และบึงอสรพิษที่เป็นโอเอซิสหนึ่งเดียวกลางทะเลทราย” เธออธิบาย และยิ้มหวานต่อเนื่อง

    “อสูรที่นั่นเป็นแบบไหนครับ”

    “เรื่องนี้เกินขอบเขตที่ดิฉันสามารถบอกได้ คุณมิเชลต้องสอบถามจากผู้เล่นด้วยกัน หรือลองด้วยตัวเองเท่านั้นค่ะ และเตือนว่าถึงเป็นโอเอซิสกลางทะเลทราย แต่น้ำในบึงอสรพิษไม่สามารถดื่มได้โดยตรง กรุณาเตรียมตัวไปดีๆ”

    “แล้วต้องเตรียมอะไรไปบ้างครับ” มิเชลถามอีก เธอไม่ชอบคิดเลยถามทันทีที่สงสัย

    “ดิฉันไม่สามารถบอกได้ค่ะ การไม่รู้เป็นจุดประสงค์ของเกมส์ แต่คุณมิเชลสามารถหาทางลัดได้โดยการสอบถามจากผู้เล่นอื่น”

    เธอพยายามนึกถึงของที่ต้องเตรียมโดยอิงตอนเข้าค่ายกับโรงเรียน กระติกน้ำ ข้าวกล่อง ขนมกินเล่น มือถือเก่าตกรุ่น เบรลคีย์บอร์ด ไม้เท้าขาวติด GPS และเสื้อผ้าเปลี่ยน ในเกมส์ไม่มีโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเลคโทรนิค ส่วนชุดก็ใช้ตัวเดิมได้ตลอดเพราะสกปรกยากกว่าโลกแห่งความเป็นจริงหลายเท่า

    เด็กหญิงในร่างชายหนุ่มผลักประตูก้าวออกจากร้าน สาวผมแดงประจำเคาน์เตอร์ทำท่าสะดุ้งเล็กน้อย เธอเพิ่งฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้แต่สายไปแล้ว....

    “บ้านกระท่อมน้อยไม่ใช่สถานที่ๆ จะไปกลับได้ใน 20ชั่วโมง... นี่นา....”

    ...........................................................

    มิเชลเติมน้ำให้เต็มกระบอกจากลำธารใกล้ๆ ส่วนเสบียงสามารถหาเอาตามทางได้ เมื่อบวกลบจากของที่เคยจัดสมัยเข้าค่ายกับโรงเรียน ก็ถือว่าตนเตรียมตัวเสร็จแล้ว เธอก้มหน้าอ่านแผนที่ พยายามหันหลังให้ตัวเมืองเพื่อเทียบว่าตนต้องเดินทางซ้าย ขวา หรือตรงไป... เวลานี้เด็กสาวต้องการตัวช่วยอย่างโทนี่เหลือเกิน…

    นักเวทสาวสอดส่องสายตาหาผู้เล่นอื่นโดยรอบเผื่อว่าจะมีใครช่วยบอกทางได้ เธอหันไปเจอคนกลุ่มใหญ่ 4คน ที่ยืนอยู่ห่างๆ พวกเขาเหลือบมองมิเชลสักพัก ลักษณะเหมือนกำลังเถียงกัน แน่นอนว่าเด็กหญิงรีบถลาเข้าไปถามโดยไม่ดูบรรยากาศทันที

    “ขอโทษครับ จะไปทะเลทรายกะทะร้อนทางไหน ผมอยากไปบ้านกระท่อมน้อย”

    “ทางนั้น” หนึ่งในนั้นชี้ไปข้างหลังมิเชล เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่ลักษณะเหมือนหมีตลอดทั้งตัว ยกเว้นไว้แต่แววตาดุๆ กับการห้อยขวานอันใหญ่กลางหลัง “ตรงไปเรื่อยๆ ถ้าเจอพื้นเป็นทรายเมื่อไหร่ก็ถึงแล้ว เดินยังไงก็ได้ให้เป็นเส้นตรงก็จะเจอโอเอซิส แล้วไปถึงบ้านกระท่อมน้อยเอง”

    “เดี๋ยวสิ พวกเรามีเรื่องต้องถามเขาด้วยไม่ใช่เหรอ” อีกคนรีบพุ่งตัวออกมาทันที คราวนี้เป็นชายที่ส่วนสูงรูปร่างไม่ต่างจากมิเชล มีผมสีฟ้าชี้ๆ ยุ่งเหยิง กับมีดสั้นสองอันข้างเอว “เขาคงไม่ได้คิดจะข้ามทะเลทรายนรกคนเดียวหรอกนะ”

    “เอ้อจริง ขอโทษ ฉันลืมอีกแล้ว...” ชายร่างหมีผงกหัวปะหลกๆ ให้คนอื่น “พวกเราเห็นนายยืนนานแล้ว แถมสัตว์อสูรก็ไม่ได้โจมตีนาย แปลว่าเลเวลคงพอตัว ถ้านายจะข้ามทะเลทรายก็ไปด้วยกันเลยสิ พวกเราไปทางเดียวกัน”

    “นั่นสิ ไปกับพวกเราดีกว่า อย่าคิดจะข้ามทะเลทรายคนเดียวเลย รอบก่อนพวกเราสามคนนอกจากเฮียตัวใหญ่ๆ ที่ใช้ขวานยักษ์นี่” เขาหมายถึงชายร่างหมี... “นั่นแหละ.... ไปกันสามคน ข้ามทะเลทรายไปปุ๊บ ตายกลางบึงอสรพิษเลยเพราะยาหมด ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะสัตว์อสูรรายทางเยอะมาก นายไปด้วยกันเถอะ”

    “อื้ม” มิเชลตอบรับทันที มีคนนำทางให้ แค่เดินตามไปเรื่อยๆ ไม่ต้องดูแผนที่เองนั้นดีกว่าเป็นไหนๆ

    “ฉันอาชีพนักรบเทพ ชื่อแพนด้าน้อย” พอชายร่างหมีแนะนำตัวเสร็จ มิเชลสูดลมกลั้นหัวเราะแทบขาดใจ

    “ฮ่าๆๆๆ พวกเราเรียกเฮียเค้าว่าพี่หมีน่ะ ให้เรียกแพนด้าน้อยทำใจไม่ได้จริงๆ ส่วนฉันชื่อจั๊งค์ อาชีพโจร” ชายผมฟ้าผู้พกมีดสั้นข้างเอวแนะนำตัว

    “ฉันเป็นนักบวชขาว ชื่อเรวิน” ชายร่างเล็กเพิ่งพูดขึ้นเป็นประโยคแรก แล้วผายมือไปยังคนตัวใหญ่กว่าข้างๆ “นี่เป็นน้องชาย ชื่อเรเชล”

    “สวัสดีครับ ผมเป็นนักดาบ” เขาตัวสูงกว่ามิเชล แต่ยังไม่เท่าแพนด้าน้อย เรเชลมีไหล่กว้าง ร่างบึกบึน แต่ดูขี้อายที่สุดในกลุ่ม

    “ชื่อมิเชล เป็น...นักมายาธาตุ” เธอกดอ่านข้อมูลตัวเองจากกำไล ที่จริงมิเชลเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเป็นนักเวท

    “นักมายาธาตุ? อาชีพอะไรน่ะ” จั๊งค์กระตุกคิ้ว

    “นักมายาธาตุก็เป็นนักเวทน่ะ”

    “เวทสายโจมตีหรือเวทสายฟื้นพลัง” เรวิน นักบวชขาวประจำกลุ่มถามเสียงห้วน

    “ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยใช้เวทเท่าไหร่อยู่แล้ว” มิเชลตอบ ที่จริงเธอยังไม่เห็นข้อดีของมันนอกจากตอนย่างเนื้อลามะทำอาหารเลยสักนิด ยิ่งในถ้ำภูเขาไฟเรียกว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

    “นักเวทที่ไม่ใช้เวท.... บอกแล้วไงว่าเจ้านี่ดูอ่อนแอ” นักบวชขาวโพล่งออกมาตรงๆ ไม่คิดเกรงใจมิเชล

    “พี่อย่าพูดดังขนาดนั้นสิ” เรเชลรีบปราม สีหน้าลุกลี้ลุกลน

    “เอาน่า หยวนๆหน่อยสิเรวิน จะเก่งไม่เก่ง แต่ถ้าเลเวลไม่ต่ำมาก ยืนอยู่ข้างหลังก็ใช้ยาฟื้นพลังช่วยพวกเราได้เหมือนกัน” โจรหนุ่มเสริม

    “ทั้งๆ ที่มีนักบวชอย่างฉันอยู่แล้วน่ะนะ มาเป็นภาระให้ฉันต้องคอยฟื้นพลังเพิ่มอีกคนมากกว่า”

    “ถ้าเขาไม่เก่ง จะกลายมาเป็นภาระล่ะก็ ค่อยแยกทางกันตั้งแต่ต้นทะเลทรายเลยตกลงมั้ย” แพนด้าน้อยช่วยสรุป “พวกนายบอกว่าโหดมาก ขนาดว่ามีฉันเพิ่มมาอีกคนยังไม่น่ามีโอกาสรอดเลยนี่ ถ้าแบบนั้นก็ลองเพิ่มเป็นห้าคนดูก่อน ถ้าเขาไม่ไหวเราก็รีบแยกทางกันแต่เนิ่นๆ”

    “ก็ได้” เรวินยอมเพราะข้อตกลงของชายร่างหมีฟังขึ้น โจรหนุ่มเห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนเรเชลเป็นพวกตามเสียงส่วนมาก มิเชลจึงได้เริ่มร่วมกลุ่มกับสี่คนนี้

    สัตว์อสูรบนเส้นทางไปทะเลทรายกะทะร้อนเป็นม้าป่าสีดำ มันไม่โจมตีก่อนเพราะเลเวลทุกคนสูงกว่า มิเชลคิดจะลุย แต่ถูกรั้งเอาไว้ พวกเขาอยากตุนน้ำยาฟื้นพลังและอยู่ในสภาพพร้อมรบให้มากที่สุด

    จั๊งค์กับแพนด้าน้อยเริ่มตีซี้ชวนเธอคุยเล่น เรเชลเองก็ออกอาการอยากร่วมวงสนทนาแต่เกรงใจเรวิน พี่ชายตนดันตั้งตัวเป็นศัตรูแต่แรก เลยจำใจต้องเงียบไปด้วย ทิวทัศน์ตามทางนั้นเหมือนกับที่ผ่านๆ มา ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้าง ต้นไม้ขนาดกลางขึ้นเป็นหย่อมกระจายทั่วบริเวณ ขนาดมิเชลผู้ชื่นชอบการเที่ยวชมบรรยากาศยังเบื่อจนเลิกดูมันไปเอง และสนใจกับเพื่อนใหม่มากกว่า

    “เพิ่งเริ่มเล่นเกมส์ได้สองวันเหรอ เก็บเลเวลเร็วจังนิ” จั๊งค์เอ่ย “พวกฉัน เรวิน เรเชล สามคนเล่นตั้งแต่วันแรกที่เกมส์เปิดเลยแหละ ก็ก่อนหน้านายสองอาทิตย์ แล้วก็ไปเจอพี่หมีเอาเมื่อวาน เพราะเดินตะโกนรับสมัครคนไปลุยทะเลทรายนรกร้อน”

    “ทะเลทรายกะทะร้อน” แพนด้าน้อยแก้

    “สำหรับฉัน ขอเรียกมันแบบนั้นแหละ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นแล้ว คนสร้างเกมส์นี้โรคจิตแหงๆ มีแต่พื้นที่โหดๆ ยิ่งไอ้ภารกิจสุดท้ายที่ให้เข้าถ้ำภูเขาไฟ มันภารกิจผู้เล่นใหม่ตรงไหนฟะ”

    “ทะเลทรายนั่นสัตว์อสูรเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถาม

    “จริงๆ ถ้าตัวต่อตัว ก็พอจัดการได้อยู่ แต่พี่ท่านเล่นมาเป็นฝูง มาถึงก็รุมเอาๆ เรียกว่าหมดแรงตายก่อน แถมพอไปถึงบึงอสรพิษจะโดนมันกัดไม่ได้เลย รอบที่แล้วพวกเราติดพิษตายกันหมดทั้งกลุ่ม แต่คราวนี้ให้เรวินเรียนเวทแก้พิษมาแล้ว น่าจะดีกว่าเดิมมั้ง”

    สักพักจั๊งค์ก็ชวนพูดต่อถึงหุ่นทรวดทรงองเอวของเจสสิก้า แพนด้าน้อยหน้าแดงนิดหน่อย โจรหนุ่มเลยแสร้งกระซิบเสียงดัง ประเภทจงใจให้ได้ยินว่าเฮียหมีแอบปลื้มเจ้าหล่อนอยู่ ชายร่างยักษ์รีบแก้ตัวพัลวัน มิเชลกับเรเชลยิ้มขำ ขนาดเรวินยังเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

    ทั้งห้าเดินทางเรื่อยๆ สบายๆ จนถึงบริเวณที่ต้นหญ้ากลายเป็นพื้นทราย เรวินมองมิเชลด้วยสายตาดุดัน หากเธอทำได้ไม่ดีพอก็ต้องแยกทางกันตรงนี้ จั๊งค์กับแพนด้าน้อยส่ายหัว พวกเขานึกว่านักบวชหนุ่มจะลืม แต่ยังอุตส่าห์จำสลักไว้ในหัวแน่น ทุกคนชักอาวุธ และก้าวเข้าไปในอาณาเขตของทะเลทรายกะทะร้อน

    สำหรับมิเชล เธอยังคงใช้มีดของมือใหม่ ทุกคนหันมามองด้วยสายตาพิลึก เพราะร่วมกลุ่มกันแล้วจึงมองเห็นจากหน้าต่างกลุ่มว่าเลเวลไม่ได้น้อย แต่ทำไมถึงใช้อาวุธชิ้นแรกสุดอยู่ ความรู้สึกของจั๊งค์เริ่มเอนเอียงไปทางเรวิน กระทั่งแพนด้าน้อยยังเลิกชวนเด็กสาวคุยเล่นโดยทันที

    ทั้งสี่ตีความที่มิเชลเคยบอกเรื่องไม่ค่อยได้ใช้เวทเป็นอีกทาง พวกเขาคิดว่าเธอคงเกาะดูดค่าประสบการณ์โดยไปร่วมกลุ่มกับใครสักคน เลเวลจึงสูงเร็วมากแต่ยังถืออาวุธชิ้นแรกอยู่ วิธีนี้เป็นที่น่ารังเกียจและถูกดูแคลนจากผู้ตั้งใจเล่นเกมส์

    “นายเป็นพวกสู้แถวหน้าหรือแถวหลัง?” จั๊งค์ถามเสียงเรียบ

    “แถว?” ที่ผ่านมาสู้กับโทนี่แค่สองคน มิเชลจึงไม่เข้าใจคำว่าแถวหน้าแถวหลัง

    “หมายถึงสู้อยู่แนวหน้า หรือเป็นกองหลัง จะได้จัดตำแหน่งยืนได้ถูก” เขาอธิบายย้ำ

    “อ๋อ!” มิเชลเริ่มเข้าใจ ถ้าแบบนั้นเธอเป็นแนวหน้า เพราะโทนี่เป็นกองหลัง

    “นักเวทก็ต้องยืนแถวหลังสิ... แต่ไม่มีไม้เท้า จะร่ายเวทยังไง เฮ้อ...” เรวินแขวะ ตั้งใจเน้นเพื่อย้ำจั๊งค์กับแพนด้าน้อยที่ไม่เชื่อตน และฝืนพาคนใหม่มาด้วย

    “แนวหน้า อยู่แนวหน้าตะหาก!” เธอค้าน

    “อืมเนอะ... ก็ใช้มีดนี่นา แบบนั้นจะไปร่ายเวทได้ยังไง จริงมั้ย” นักบวชขาวประชด “หลบให้ไวๆ ละกัน อย่าเกะกะพวกแนวหน้าอีกสามคน ให้ฉันไม่ต้องเหนื่อยรักษาเกินเหตุ”

    “ได้เลย!” มิเชลฟังแค่คำว่าหลบแล้วรีบตอบ ถ้าเป็นเรื่องหลบ เธอมั่นใจว่าไม่แพ้ใคร

    “ปกติฉันจะนำหน้า” แพนด้าน้อยพูดขึ้น เขายังรักษะระดับเสียงให้เป็นมิตรได้เสมอแม้เริ่มนึกไม่ชอบใจเธอ “เรเชลกับจั๊งค์ช่วยดูแลซ้ายขวา เรวินตามหลัง นายถนัดอยู่ตรงไหนล่ะ”

    “เจ้าหมอนี่เลือกขอตรงกลางแหงๆ เพราะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด” เขายังคงไม่เลิกประชด

    “อ้าว แบบนั้นจะเป็นแนวหน้าได้ไง แล้วตรงกลางก็ไม่จำเป็นต้องหลบด้วยสิ”

    เรวินเงียบลงเอง พอมาทวนนึกดูอีกรอบ ไอ้เจ้านักเวทถือมีดผู้เริ่มต้นตรงหน้าไม่ได้เอาคำประชดประชัดเขาใส่หัวเลยสักนิด สงสัยจะกลวงไปถึงกะโหลก

    “นายเลือกยืนตามใจชอบ อย่าเกะกะพวกเราละกัน” นักบวชขาวพูดสั้นๆ “ถ้าทำประโยชน์ให้ไม่ได้ก็แยกทางกัน พวกเราไม่ไปส่งด้วย”

    “พรืด....” จั๊งค์หลุดเสียงหัวเราะในที่สุด “ซื่อๆ เหมือนกันแบบนี้ เรเชลได้เพื่อนแล้วสิเนี่ย ถ้ายังไม่โดนไล่กลับเมืองก่อนน่ะนะ”

    พอให้มิเชลเลือกยืนตามใจ เธอดันเดินนำลิ่ว จั๊งค์กับแพนด้าน้อยกลัวเกิดอันตรายเลยรีบตามไป ส่วนเรวิน เรเชลจำใจต้องออกแรงวิ่งไล่ด้วย เด็กสาวโถมเข้าใส่สัตว์อสูรตัวแรกที่เห็นโดยไม่มีใครทัดทานได้ทัน

    ที่จริงหากอยากข้ามทะเลทรายอย่างปลอดภัยควรเลี่ยงการต่อสู้ให้มาก ออกแรงแค่ยามจำเป็น น้ำยาฟื้นพลังจะได้เหลือให้พอไปถึงบ้านกระท่อมน้อย ทว่ามิเชลเริ่มติดใจรสชาติการลุยกับสัตว์อสูรเสียแล้ว

    เด็กสาวสู้กับกระทิงร้อนที่มีไฟลุกอยู่บนเขาสองข้าง เธอโยกหลบอย่างชำนาญ และตอดสร้างบาดแผลบนตัวมัน พลางตะโกนให้คนอื่นช่วยลงมือด้วย เมื่อไม่มีทางเลือก จั๊งค์ แพนด้าน้อย กับเรเชลจึงต้องร่วมผสมโรง ส่วนเรวินคอยดูค่าเลือดทั้งกลุ่มอยู่ห่างๆ

    พอเห็นว่ารับมือกระทิงร้อนตัวแรกไหว เธอจึงไปลากตัวที่สองเพิ่มอีก จั๊งค์ทำหน้าเหวอแต่ไม่มีเวลาโวยวาย สุดท้ายมิเชลก็พาพวกมันมาทั้งหมดสี่ตัว แพนด้าน้อยคิ้วกระตุก ส่วนเรวินก่นด่าเด็กสาวอยู่ข้างหลัง ในมือก็ถือน้ำยาฟื้นพลังเตรียมไว้เป็นตัวช่วย

    มิเชลทำหน้าที่ของตนได้ดี เธอคอยสะกัดการโจมตีของกระทิงร้อนให้ทุกคน แม้ไม่ใช่คนลดค่าเลือดศัตรูเพราะมีดสั้นมือใหม่มีพลังน้อย แต่พวกเขาสามารถปิดฉากสู้โดยไม่ต้องการฟื้นพลังจากเรวินเลย จั๊งค์กับแพนด้าน้อยมองสมาชิกใหม่อึ้งๆ ส่วนเรเชลทำตาลอย บ่งบอกว่าปลื้มสุดฤทธิ์

    “นายทำพวกเราแทบหัวใจวาย จะทำอะไรแบบนี้ก็รีบบอกก่อนหน่อย” จั๊งค์บ่น แต่น้ำเสียงของเขาแฝงความยินดีอยู่

    “ผ่านเกณฑ์แบบไม่ต้องมีข้อกังขาล่ะ” แพนด้าน้อยเสริม หันหน้าไปทางนักบวชขาว

    “อืม ถ้าแบบนี้ล่ะก็โอเค ยินดีต้อนรับ” เรวินเปลี่ยนท่าทีทันควัน เขาส่งมือให้จับ

    มิเชลเขย่ามือกับเรวิน เด็กสาวรู้สึกว่านักบวชขาวเป็นมิตรมากขึ้น แพนด้าน้อยหัวเราะร่วน ตบหลังของทั้งคู่ด้วยความดีใจ และพอพี่ชายเห็นดีเห็นงามแล้ว เรเชลจึงกล้าชวนเธอคุยบ้าง

    เธอพบว่าเพื่อนกลุ่มนี้มีความสามารถสูงกว่าโทนี่ลิบลับ แพนด้าน้อยมีกำลังแขนหนักหน่วง ขวานของเขาสับสัตว์อสูรได้สองตัวพร้อมกัน เรเชลแม้พลังโจมตีต่ำกว่า แต่ก็ยกดาบฟันได้ไวและรัว ส่วนจั๊งค์สามารถหาจุดตายอย่างแม่นยำ ทว่า... มิเชลยังคงครองแชมป์จ้าวความเร็วอยู่

    “เก่งขนาดนี้ทำไมนายไม่หาอาวุธใช้ดีๆ... อ้อ ลืมไปเป็นนักเวทนี่นา ต้องไม้เท้าสินะ” จั๊งค์ทัก

    “เลือกอาชีพผิดชัดๆ เลย” แพนด้าน้อยเสริม

    “ตอนแรกจะซื้อไม้เท้าแต่เงินไม่พอ” เธอเล่า “ตอนออกจากเมืองเงินพอแล้วก็ลืมซื้อ”

    “จะลุยทะเลทรายนรกทั้งทีไม่เตรียมตัวเลยเหรอ ที่จริงตอนเปลี่ยนอาชีพเขาต้องให้อาวุธประจำอาชีพมาสิ ไม่ได้อะไรมาเลยเหรอ อย่างฉันก็ได้มีดคู่มา แต่ขายทิ้งไปแล้ว ซื้อไอ้นี่ใช้แทน” โจรหนุ่มโชว์มีดสั้นโค้งสองด้ามให้ดู

    “ได้แต่ผ้าคลุมที่ใส่ตอนนี้กับอาหารสำเร็จรูป แล้วก็....” เธอเริ่มนึก “มีกิ่งไม้เลเวล 1 กับหีบสีม่วง”

    “นั่นแหละ เปิดหีบดูเลย เผื่อมีอาวุธอยู่ข้างใน” จั๊งค์ชี้ไปยังเป้บนหลังเธอ

    “มันเปิดไม่ออก ลองแล้ว”

    “แล้วกิ่งไม้นั่น ไม่คิดว่าเป็นกุญแจไว้ไขเรอะ”

    มิเชลสะดุ้งพอฟังคำพูดจั๊งค์จบ เธอรีบรื้อเอาหีบออกมาวาง แล้วหยิบกิ่งไม้ที่มีผลึกแก้วใสสอดลงในรูเพื่อไข... ผลปรากฏว่าไม่ใช่

    “หรือว่ากิ่งไม้นี่คือไม้เท้านักเวท” เรวินหยิบขึ้นมาสำรวจ “ลองร่ายเวทอะไรก็ได้ดู”

    “แต่มันมีพลังโจมตีกายภาพ 0 พลังโจมตีเวทมนตร์ก็ 0...”

    “ลองก่อน” เรวินขึ้นเสียง เธอเลยยอมทำตาม

    “สาดน้ำ” มิเชลชูกิ่งไม้ขึ้น

    สิ้นเสียง น้ำก็หล่นโครมใส่พวกเขาทั้งหมดเป็นวงกว้าง เวทของเด็กสาวแรงขึ้นจริงๆ ทั้งที่พลังเวทมนตร์แค่0 เรวินให้ข้อสังเกตุว่า คงเพราะทักษะมิเชลไม่ใช่ท่าโจมตี และแล้วเธอก็เก็บมีดลง เปลี่ยนไปถือกิ่งไม้แทนด้วยอาการร้อนใจ อยากลองวิชา

    “อา เปียกแบบนี้แถมแดดยังแรง ในเกมส์นี้มีระบบเป็นหวัดมั้ยเนี่ย” แพนด้าน้อยเปลี่ยนเรื่องพูด

    “ผมว่าเย็นสบายดีออก” เรเชลสะบัดน้ำออกจากตัว “แล้วไม่มีเวทเจ๋งๆ บ้างเหรอครับ”

    “มีแค่สาดน้ำ จุดไฟ กับทำให้ดอกไม้บาน....”

    “สุดยอดแย่เลยนะนั่น” จั๊งค์หัวเราะ “คิดยังไงไปเลือกอาชีพนี้เนี่ย”

    “มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถาม ท่าทางเป็นกังวล

    “ฝีมืออย่างนายเลือกอาชีพอะไรก็คงเก่งได้เหมือนกันหมดแหละ แค่เสียดายแทนนิดหน่อย” โจรหนุ่มตอบ

    “ไม่แย่หรอกครับ ตอนแรกพี่เรวินก็มีแค่เวทฟื้นพลัง กับเวทแก้ชาไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็มีท่าใหม่ๆ มาเอง”

    “เทียบกับเรวินไม่ได้หรอกมั้ง ขอแค่หมอนั่นแค่ฟื้นพลังได้ จะเรียนเวทอะไรเพิ่มมาฉันก็ไม่สนแล้ว” จั๊งค์เปรย

    “เวทติดพิษก็ไม่สนด้วยเหรอ” นักบวชขาวแสยะยิ้ม

    “เอ่อ... ขอโทษคร้าบ คุณเรวิน..... กระผมเห็นคุณค่าทุกเวทของคุณท่านเรวินเท่าเทียม... ไม่สิ... สูงส่งเท่าเทียมกันหมดจริงๆ นะคร้าบบบบ...”

    ………………………………………

    มิเชลยังคงหาเรื่องกับสัตว์อสูรตลอดเส้นทาง แต่ไม่มีใครบ่น เพราะเธอช่วยสะกัดศัตรู ป้องกันการเสียค่าเลือดของทั้งกลุ่มได้ ทั้งสี่ต่างพอใจในค่าประสบการณ์ที่ไหลมาอย่างรวดเร็ว กิ่งไม้อันเป็นอาวุธใหม่ก็สามารถเพิ่มเลเวลอีกด้วย และสงสัยว่าเด็กสาวหนักใช้งานแบบทุบตี มันจึงไปเพิ่มพลังโจมตีกายภาพให้มากกว่าเวทมนตร์

    พวกเขาลุยต่อจนถึงบริเวณที่เริ่มส่งกลิ่นน้ำแบบปะแล่มๆ ออกมา โจรหนุ่มกับสองพี่น้องกำอาวุธหน้าตาเครียดขึ้นเพราะจำได้ว่านั่นเป็นสัญญาณของบึงอสรพิษ แพนด้าน้อยเองก็พลอยตั้งท่าเตรียมพร้อมไปด้วย มิเชลเลยต้องเอาบ้าง แต่อย่างไร ในหัวเธอบอกว่ากิ่งไม้มันช่างไม่เท่ห์ซะจริงๆ

    “มีเรื่องอย่างนึงที่สงสัยนานแล้ว ถ้ารู้ว่าสู้ลำบากทำไมไม่อ้อมไปล่ะ” มิเชลถามขึ้นในที่สุด “ตอนแรกนึกว่าเพราะกลัวหลงทาง แต่เดินอ้อมโอเอซิสพิษ เว้นระยะห่างนิดหน่อย ก็ไม่น่าหลง”

    “พวกเราไปถึงบ้านกระท่อมน้อยแล้วด้วยการเดินเลี่ยงบึงอสรพิษ ที่จริงพวกเราก็ลืมบอกพี่หมีไป มัวแต่นึกว่าต้องกลับมาบึงอสรพิษอีกรอบ” พอจั๊งค์พูดจบ แพนด้าน้อยทำตาโต “บ้านกระท่อมน้อยให้ภารกิจมา ต้องไปหาดอกไม้สีดำคนละดอกจากบึงอสรพิษ”

    “ดอกไม้สีดำอะไรก็ได้เหรอ?” เธอถามย้ำ

    “NPC ที่ให้ภารกิจมาเขาบอกว่าดอกไม้สีดำมีเพียงประเภทเดียวไม่มีทางหยิบผิด” จั๊งค์ตอบ

    “ก็ดี ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาบ่อยๆ รู้ล่วงหน้าไปเลยว่าที่ๆ จะไป เขาอยากขออะไร” แพนด้าน้อยตบหลังจั๊งค์แรงๆ

    มิเชลซดน้ำหยดสุดท้ายจากกระบอกหมดแล้วเรียกเวทสาดน้ำมาเติมให้ตัวเองและทุกคน จากนั้นทั้งทีมก็มุ่งหน้าไปยังโอเอซิสในท่าเตรียมพร้อม

    งูสองหัวเป็นสัตว์อสูรตัวแรกที่พบเจอ พวกมันมีความยาวประมาณ 1เมตร ขนาดลำตัวเท่าแขน ด้านความเร็วยังตามมิเชลไม่ทันแต่ก็ไวกว่าทุกคนในทีม เด็กสาวไม่แปลกใจถ้าพวกจั๊งกับเรเชลและเรวินต้องถูกหามกลับเมืองรอบก่อน แต่คราวนี้เธออยู่ด้วย ทั้งสี่คนจะต้องไปถึงดอกไม้สีดำให้จงได้

    แพนด้าน้อยบุกตลุยเข้าคนแรกไม่เกรงกลัวต่อพิษ เขาตวัดขวานเล่มโตกวาดฝูงงูเบื้องหน้า เรเชลกับจั๊งค์คอยจัดการอสรพิษร้ายด้านข้าง ส่วนทัพหน้าอย่างมิเชล คราวนี้กลับยืนระวังหลังให้นักบวชประจำกลุ่ม เธอพยายามปัดป้องให้เพื่อนผู้เฝ้าระวังปีกซ้ายปีกขวาของทีมทั้งสองไปด้วย แต่ชายร่างหมียืนห่างจนเจ้าหล่อนหมดปัญญาช่วย เรวินเลยต้องท่องมนตร์ฟื้นพลังเผื่อเอาไว้ตลอด

    สภาพโดยรอบเฉอะแฉะ มีน้ำขังและบึงน้อยใหญ่มากมาย กลุ่มกอไม้ขึ้นรกชัฏ แสงแดดส่องผ่านรำไร นอกจากเหล่าสัตว์อสูรจะใช้หลบซุ่มโจมตีแล้ว ยังเป็นที่เพาะเชื้อรากับเห็ดสีประหลาดๆ อีกต่างหาก กลิ่นขมปนหวานฉุนแรงเจือแฝงอยู่ในอากาศ ยิ่งดมยิ่งมึน เกิดอาการอยากอาเจียน สักพัก...เรเชลก็อ้วกออกมาคนแรก เรวินนักบวชขาวประจำทีมรุ้จักอาการนี้ เขารีบร่ายเวทรักษาพิษให้ทุกคนทันที และตามด้วยมนตร์ป้องกันพิษปกคลุมทั้งกลุ่ม

    อาการวิงเวียนหายไปทันควัน มิเชลจับอาวุธได้มั่นคงกว่าเดิม ส่วนนักดาบหนุ่มกลั้วปากล้างอ้วกด้วยน้ำดื่มก่อนรุดหน้าต่อ พวกเขายิ่งต้องรีบบุกตลุยไปข้างหน้าเร็วขึ้น เพราะเรวินบอกว่าเวทป้องกันพิษสามารถใช้ได้ไม่นาน และดูดค่าเวทมนตร์ตลอดเวลา ชายร่างหมีตวัดขวานเล่มโต เร่งเปิดทางให้พรรคพวก

    “ไม่จบไม่สิ้นเลยเจ้าพวกนี้... พี่หมีก็สุดยอดเลยจริงๆ” จั๊งค์ร้องชม

    “ไม่สุดยอดหรอก ถ้าเทียบกับตัวประหลาดที่พวกเราพ่วงมาด้วยน่ะนะ” เขาหมายถึง...มิเชล “นายมีทักษะเพิ่มความเร็วอะไรที่แต๊บไว้ไม่ยอมบอกรึไงกัน ไวเป็นลิงเลย ถ้าไม่ใช่นักเวท ถืออาวุธแรงๆ ได้คงโหดน่าดู”

    “แหะ” เธอยิ้มเขิน จากนั้นจึงโดนงูฉกหนึ่งที

    “พี่หมีอย่าเพิ่งไปชมมิเชลซี่ ตะกี้ก็โดนไปทีเพราะเรเชลประทับใจเกินเหตุ” โจรหนุ่มปราม “คำชมทั้งหมดเก็บเอาไว้ใช้ที่เมืองสำหรับเจ้าบ้านี่เหอะ”

    .......................................................

    ทั้งห้าตลุยจนผ่านช่วงดงเห็ดสีประหลาดๆ บริเวณนี้อากาศแห้งกว่าเพราะแสงแดดส่องถึงดี เรวินลองปลดเกราะป้องกันพิษออก พอทดลองสูดดมไม่พบกลิ่นหวานปนขมอีกจึงค่อยเบาใจ ทว่าอันตรายใหม่มาเยือน กอไม้บริเวณนี้เตี้ย มีดอกตูมสีแดงโต แต่ไอ้เจ้าดอกตูมที่ว่าจู่ๆ กลับเปิดอ้า เผยอให้เห็นเขี้ยวแหลมๆหลายร้อยซี่เตรียมงับ แพนด้าน้อยถอยหลังหลบได้ฉิวเฉียด เสียงขบลมดังฟังคล้ายคมมีดกระทบกัน ทว่า... จากนั้น... มันยกลำต้นขึ้นจากพื้น แล้วใช้รากวิ่งต่างขา... เรเชลขนลุกพอง เขาเกือบหนีคนแรกโดยลืมไปว่าค่าเลือดยังเต็มหลอด

    นอกจากมีฟันแหลมคมกับวิ่งเร็ว พวกมันยังยกรากยาวๆขึ้นรัดแขนขาได้อีก ทุกคนต้องช่วยกันตัดทิ้ง ขนาดมิเชลยังหลบไม่พ้นเพราะถูกล้อม เธอโดนมัดรวบพร้อมกับจั๊งค์ ดีว่าแพนด้าน้อยรีบมาปลดแอกให้ทันที ส่วนดาบของเรเชลถูกตรึงไว้ เขาพยายามกระชากสู้ ยื้อแย่งอาวุธคืนจากดอกไม้ปีศาจ

    ชายร่างหมีเป็นหนึ่งเดียวที่สะบัดหลุดจากการรัดของพวกมันได้ กำลังวังชาของแพนด้าน้อยมหาศาล เขาโถมตัวบุกฟันต้นเหตุ ต้องการฆ่าดอกไม้กินคนให้ตายไปมากที่สุด ส่วนเรวินพยายามทำตัวลีบอยู่กลางกลุ่มพร้อมร่ายมนตร์ฟื้นพลัง เขาต้องปลอดภัยไว้ก่อนช่วยคนอื่น ไม่งั้นจะกลายเป็นภาระแทน

    “บอกแล้วไงว่าเฮียหมีของเราสุดยอด!” จั๊งค์ชมอีกครั้ง

    พอแพนด้าน้อยเคลียร์ดอกไม้ปีศาจลงได้เกินครึ่ง มิเชล จั๊งค์ และเรเชลจึงเริ่มหายใจคล่อง พวกเขาลงมือช่วยกันจัดการตัวอื่นต่อจนหมด แต่แล้วหลังเสร็จกิจ จู่ๆ เด็กสาวก็ล้มตัวนอนแผ่...

    “พักกันสักนิดเถอะ” มิเชลพักเองโดยไม่รอคำตอบ ตั้งแต่ลุยกับกระทิงร้อน ก็เกือบสิบชั่วโมงแล้ว ขนาดท้องยังประท้วงหิว

    “ไม่ได้ แถวนี้ยังไม่ปลอดภัย” เรวินว่า “ไปต่อกันได้แล้ว”

    “เราเดินกันมาสิบกว่าชั่วโมงแล้วนะ...” เธอคร่ำครวญ พลางบวกจำนวนชั่วโมงเพิ่มเข้าไปเอง “ขอนั่งแป๊ปเดียว”

    “จะได้นั่งแป๊ปเดียวแน่นอนเพราะสัตว์อสูรที่นี่มันโหมบุกตลอด ลุกขึ้น” จั๊งค์ดุบ้าง

    “ก็ได้...”

    เธอหุบยิ้ม ไม่พูดไม่จา เริ่มงอแงอยู่ในใจ การเคลื่อนไหวฝืดลง มิเชลเลิกป้องกันซ้ายขวาให้จั๊งค์กับเรเชล เด็กสาวเดินนอยลากขาเอื่อยๆ เชื่องช้า ราวกับพยายามส่งภาษาร่างกายออกมาว่าเหนื่อยแล้ว แม้จะเคยสู้อย่างบ้าคลั่งตอนเจอราชาหมาป่า แต่นั่นเป็นแค่ช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าว พอเทียบกับการลุยทะเลทราย ต่อด้วยโอเอซิสอสรพิษ แบบหลังโหดร้ายกว่าเยอะ

    เมื่อเข้าสู่เขตใหม่ ฮิปโปยักษ์ผุดขึ้นจากหนองน้ำสีม่วง มิเชลยังคงแสดงท่าเอื่อยเฉื่อยเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ โจรหนุ่มกับนักดาบสังเกตุว่าตนโดนโจมตีมากขึ้น แต่ยามนั้นชุลมุนวุ่นวาย จึงไม่รู้ว่ามีการประท้วงเล็กๆ อยู่ คนงอแงเลยงอแงต่อ และจงใจปล่อยตัวเองถูกกัดบ้าง ทว่า... จู่ๆ สัตว์อสูรตัวหนึ่งได้พุ่งโหม่งมายังท้องเด็กสาวอย่างรุนแรง เธอกระเด็นทับเรวิน เขากำลังตั้งสมาธิฟื้นพลังให้แพนด้าน้อยที่ใกล้ตาย...

    ดีว่าโจรหนุ่มหันมาสังเกตุเห็นจึงควักน้ำยาฟื้นพลังช่วยพี่หมีไว้ทัน แต่ก็โดนศัตรูที่จัดการค้างกัดเข้าไปเต็มๆ ก่อนนั้น... มิเชลช่วยระวังหลังให้เรวิน จั๊งค์ และเรเชล นักบวชประจำกลุ่มจึงแค่ดูแลแพนด้าน้อยคนเดียวพอ อุบัติเหตุนี้ ทั้งสี่เข้าใจว่าเธอแค่พลาด จึงไม่มีใครถือโทษ เด็กสาวกำความรู้สึกผิดไว้ แล้วระบายออกอย่างดุเดือดใส่ฝูงฮิปโปผู้โชคร้ายแทน...

    พวกเขาบุกตลุยจนเจอดอกตูมของดอกบัวสีดำ ณ ใจกลางโอเอซิส มันขึ้นอยู่บนโคลนตมที่มีฟองอากาศปุดๆ รอบข้างค่อนข้างเฉอะแฉะ มีดงไม้แหว่งๆ หน้าตาประหลาดขึ้นกระจาย แต่จริงๆ ทุกอย่างในบึงอสรพิษ ก็หน้าตาประหลาดมาตลอดทางทั้งนั้น

    “เก็บเลย” จั๊งค์ใจร้อน เตรียมลงมือตัด

    “เดี๋ยวสิครับ”​นักดาบหนุ่มแย้ง “NPC ภารกิจ เขาบอกว่าดอกไม้สีดำบานเบ่ง โชว์เกสร”

    “แต่ไม่เห็นจะมีดอกสีดำอะไรที่อื่นแล้วนี่ อันนี้แหละ เรเชลนายอย่าไปสนใจคำพูดพวกNPC มาก พวกนั้นแค่ถูกกำหนดให้พูดบทที่ฟังแล้วดูดี นายต้องฟังแต่เนื้อๆ พอ” จั๊งค์ยืนยันความคิดตน

    “ฉันเห็นด้วยกับเรเชล”​เรวินเอ่ยบ้าง “ขืนเอาไปผิด ต้องกลับมาใหม่รอบสามก็แย่สิ เช็คกันให้ดีๆ ก่อน”

    “ผมจำแม่นครับ ดอกไม้สีดำบานเบ่ง โชว์เกสร และไม่มีดอกไม้สีดำดอกอื่นแล้ว ผมว่าคำนี้คือประเด็นหลัก”

    “แปลว่า ถึงไปที่อื่นก็ไม่เจอดอกไม้สีดำแล้ว นอกจากต้องให้ดอกบัวพวกนี้บานเอง?”​แพนด้าน้อยถาม

    ทั้งสี่เถียงกันสักพัก ดีที่บริเวณนี้เงียบสงบ ใช้พักผ่อนได้เนื่องจากไร้ซึ่งสัตว์อสูรรบกวน คุยไปคุยมา วนเวียนอยู่แค่เรื่องทำให้ดอกบัวบาน จั๊งค์ขี้เกียจรอ จึงเสนอให้หาทางบังคับล็อคเอาท์ แล้วค่อยเข้าเกมส์พอเห็นว่าถึงเวลาสมควร แต่ชายร่างหมีส่ายหัว เพราะบังคับล็อคเอาท์แล้ว ยังไงจุดโผล่ครั้งแรกคือเมืองใกล้สุด ต้องเสียเวลาเดินทางกลับมาอีก แถมไม่รู้เมื่อไหร่มันจะบาน

    “มิเชล น่าจะทำให้มันบานได้นะ” เธอเปิดปากพูด หลังจากพวกเขาทุ่มถกกันไปนานมาก “มิเชลมีเวททำให้ดอกไม้บาน”

    เธอร่ายเวทใส่ดอกไม้ พวกมันบานขึ้นดังคาด เปิดออกให้เห็นเกสรสีเหลืองเรียงติดกัน สรุปว่าสิ่งที่เถียงกันมาตั้งนานเปลืองน้ำลายโดยเปล่าประโยชน์ แพนด้าน้อยกับจั๊งค์เลยต่อยเอวมิเชลเบาๆ ส่วนเรวินเอาไม้เท้าเคาะกะบาล ข้อหาทำเสียเวลา และก็ได้เวลาเก็บซะที

    ทีแรกมิเชลจะเก็บไปอันเดียว แต่ทุกคนบอกให้โกยไว้ก่อนไหวเผื่อใช้ทำกำไร พอเสร็จกิจ ต่างก็ช่วยกันฝ่าดงอสูรชุดเดิม รีบเร่งออกจากบึงอสรพิษโดยเร็ว ความเหนื่อยล้าขาออกไม่หนักหนาเท่าขาเข้า เพราะต่างหอบดอกบัวสีดำเต็มกระเป๋า โจรหนุ่มบ่นพึมพัมตาลอยว่าเงิน..​เงินมาแล้ว

    ………………………………………………

    พอทั้งกลุ่มกลับมาเจอบรรยากาศแห้งๆจากทะเลทรายกะทะร้อนเลยรู้สึกเหมือนได้พบสวรรค์ จั๊งค์ตั้งชื่อใหม่เป็นเกียรติมงคลแก่บึงอสรพิษว่าบึงโคตรนรกพิษพ่อพิษแม่ ทุกคนล้มลงนอนเกลือกกลิ้งดื่มน้ำหมดกระบอกและพักกินข้าว เมื่อเห็นมิเชลไม่มีเสบียง อีก 4 คนเลยแบ่งส่วนตัวเองทีละนิดละหน่อยให้

    “นายมันเหลือเชื่อ นอกจากไม่ซื้ออาวุธแล้วยังไม่ซื้อของกินไว้ด้วย” โจรหนุ่มเอามือลูบผมสีฟ้าตั้งๆ ของตนด้วยน้ำ ตั้งใจจัดทรง “ถึงเกมส์นี้ออกแบบให้คนเล่นอยู่ในสภาพขาดอาหารได้ทั้งวัน แต่นายไม่มีทางไปบ้านกระท่อมน้อยแล้วกลับไปทันกินมื้อดึกในวันเดียวกันแน่ๆ”

    “จริงๆก็ไม่คิดว่าจะใช้เวลาไปบ้านกระท่อมน้อยนานขนาดนั้น เพราะกำลังรอเพื่อน เขาจะเข้ามาประมาณทุ่มนึงเวลาจริง”

    “นัดกันไว้ที่ไหนล่ะ” แพนด้าน้อยถาม

    “เมืองตายาย”

    “เห... จะกลับไปทันเหรอ” จั๊งค์กดดูเวลาจากกำไล “นายต้องกลับไปในห้าชั่วโมง ขามาฟ้าสว่างจ้า ตอนนี้เห็นมั้ยว่ามืดจนกำลังจะเช้าใหม่อีกรอบแล้ว”

    “ทะเลทรายกลางคืน ผมเคยนึกว่าจะหนาวกว่านี้” เรเชลมองดาวบนทองฟ้า “ถ้าในเมืองเราเห็นดาวได้แบบนี้คงดีสิ”

    “บ้านพวกนายอยู่คอนโดสูง ยังมองไม่เห็นอีกเหรอ” จั๊งค์แทรก

    “คอนโดสูง แต่ถ้าควันพิษบังอยู่ ก็ไม่ต่างกันหรอก” นักบวชขาวเริ่มเหม่อมองดาวเหมือนน้องชาย

    “พวกนายสามคนรู้จักกันนอกเกมส์ด้วยเหรอ” ชายร่างหมีถามขึ้น ที่จริงเขาพอเดาเรื่องนี้ได้ลางๆ อยู่แล้ว

    “ไม่เชิงหรอก ทุกๆ เกมส์พวกเราอยู่สมาคมเดียวกับจักรพรรดิหน้าตายไง พี่หมีคงพอเคยได้ยินชื่อ ฉันกับเรวินก็เล่นด้วยกันมาหลายเกมส์ รู้จักกันนานอยู่ เรเชลก็เป็นน้องน้อยประจำสมาคม”

    “จั๊งค์ เรวิน.... ถึงว่าชื่อคุ้น พวกนายคือคนสนิทของจักรพรรดิหน้าตายนี่เอง” แพนด้าน้อยเริ่มสรุปเองในหัว “ถ้างั้นแปลว่าจักรพรรดิหน้าตายกำลังมาเล่นเกมส์นี้สิ”

    “ไม่รู้จะมารึเปล่าสิ ที่จริงพวกเราพยายามชวน แต่เฮียแกดันทำหน้าอี๋ใส่ เหมือนอคติอะไรกับเกมส์นี้ก็ไม่รู้” โจรหนุ่มเล่า ทำมือไม้ประกอบไปด้วย “ขืนมาเล่นช้ากว่านี้ เลเวลทิ้งห่างจากพวกเรามากๆ จะไม่ยอมให้มันเป็นหัวหน้าสมาคมจริงๆ ด้วย”

    “ไม่แน่หรอกมั้ง” เรวินเสริม “เกมส์นี้สนุกจะตาย คนติดเกมส์แบบนั้นทนนิ่งไม่เล่นไม่ได้หรอก”

    “ผมว่าพี่เขาเดี๋ยวก็มาแหละถ้าไปตื๊อกันไว้เยอะๆ” เรเชลเสนอความเห็นบ้าง

    “จักรพรรดิหน้าตาย ชื่อตลกดี เขาตั้งให้ตัวเองแบบนั้นเหรอ” เด็กหญิงฟังอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจถาม

    คำถามเธอหยุดบทสนทนาทั้งหมดไว้.... ทั้งสี่มองเธอแทบไม่เชื่อสายตา

    “นายเคยเล่นเกมส์ออนไลน์อะไรมาบ้าง”

    มิเชลส่ายหัว.... เธอเพิ่งเคยเล่นเกมส์นี้ที่แรก

    “นายเคยอ่านนิตรยสารเกมส์มั้ย” โจรหนุ่มเป็นฝ่ายเปิดคำถาม

    มิเชลส่ายหัว.... นิตรยสารพวกนั้นไม่เคยทำเวอร์ชั่นเบรลให้อ่านง่ายๆ

    “เวปบอร์ดที่คุยกันเรื่องเกมส์ล่ะ”

    มิเชลก็ส่ายหัวอีก....

    “แล้วไม่เคยได้ยินจากเพื่อนฝูงบ้างเลยเรอะ”

    มิเชลส่ายหัวครั้งที่สี่ เพื่อนที่โรงเรียนเด็กตาบอดของเธอไม่เล่นเกมส์

    ....เกมส์สำหรับคนตาบอดผลิตมาน้อยมาก ขนาดพาราเรลออนไลน์ยังถูกจั่วหัวว่า ผู้พิการประสาทตาและหูหากเกิดอาการมึนศีรษะให้รีบล็อคเอาท์ แล้วเว้นช่วงเป็นเวลา 24ชั่วโมงก่อนเข้าเกมส์อีกครั้ง เหตุนี้พ่อแม่ทั่วไปจึงไม่เคยคิดให้ลูกตนลองเล่นเลย

    “จักรพรรดิหน้าตายก็คือ....เอ่อ... หัวหน้าสมาคมคนนึงที่เล่นมาหลายเกมส์ แล้วก็เป็นเพื่อนของฉันกับจั๊งค์” เรวินพยายามหาคำมาใช้อธิบาย

    “คำจัดกัดความแบบนั้น หลายคนก็เป็นจักรพรรดิหน้าตายได้แล้ว....” จั๊งค์บ่นเพื่อนตน “มันเป็นคนที่เก่งมากทั้งการจัดการ วางแผนระบบสมาคม แถมฝีมือการเล่นเกมส์สูง ไปเกมส์ไหนๆ มันก็เก่งกลายเป็นผู้เล่นระดับต้นๆ ไปซะหมด เค้าเลยเรียกว่าจักรพรรดิ.... เพียงแต่หมอนี่มันขี้เก็ก ชอบทำหน้าตาย หรือไม่ก็เลือกตัวละครที่มีหน้าเก๊กหล่อ เลยได้ฉายาหน้าตายเติมเข้าไปด้วย”

    “พี่ชาร์ลีเขาเปล่าเก๊กนะ” เรเชลพยายามแก้ตัวแทน “ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของเขาไม่ได้ตั้งใจมากกว่า”

    “เออรู้แล้วน่า ฉันก็แกล้งมันเล่นไปเรื่อยแหละ” จั๊งค์ขยี้หัวเรเชลที่ตัวสูงกว่า ดูไม่ค่อยเข้ากันแปลกๆ “ถ้าพี่หมีกับมิเชลยังไม่มีสมาคมที่คิดจะเข้าล่ะก็ รอจักรพรรดิหน้าตายมาเมื่อไหร่ พวกฉันจะไปชวนเข้าสมาคมนะ ทั้งคู่ฝีมือดีไม่มีใครค้านอยู่แล้ว”

    “ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ที่จริงฉันไม่ชอบเข้าสมาคม มันเป็นระบบน่าเบื่อ ชอบจับกลุ่มเล็กๆ แบบนี้ลุยมากกว่า” แพนด้าน้อยตอบตรงๆ

    “ก็อยาก แต่มีเพื่อนอีกคน ถ้าเขาไม่ได้เข้าด้วยก็คงไม่เอา” เธอนึกถึงโทนี่

    “แล้วเพื่อนเก่งมั้ย”

    “ไม่เก่ง โทนี่ห่วยมาก แต่... ถ้าไม่ใช่เรื่องลุยเขาก็เก่งกว่า โทนี่เป็นจักรพรรดิความจำ…”

    ............................................

    กลุ่มมิเชลเดินข้ามทะเลทรายถึงบ้านกระท่อมน้อยและรับส่งภารกิจสำเร็จ ที่นั่นมีตาแก่คนหนึ่งร้องขอดอกไม้สีดำไว้บดเป็นยาเพื่อพยุงชีวิตลูกชาย โรคของเด็กคนนั้นไม่มีทางรักษา ได้แต่ใช้ยื้อลมหายใจไปเรื่อยๆ ชายชราให้ผ้าคลุมหนังมังกร คุณสมบัติทนไฟ 100% มาคนละตัวเป็นค่าตอบแทน

    พวกเขาคงยากจนมาก เพราะตัวบ้านทำจากฟางเป็นหลัก มีรั้วเป็นไม้ไผ่ปักโดยรอบ เฟอร์นิเจอร์ข้างในมีแค่เสื่อปูนอนแข็งๆ กับครกบดยา เด็กชายผู้ป่วยหลับอยู่ใต้ผ้าห่มสาน หัวหนุนข้างบนบนหมอนฝ้ายแบนๆ ลมหายใจแผ่วเบา มิเชลแสดงอาการนึกสงสาร แต่ถูกขัดโดยแพนด้าน้อย ชายร่างหมีเตือนว่าทั้งหมดเป็นแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์กำลังเล่นละครให้ดู

    “มิเชล....อยู่ไหน”

    พลันเสียงโทนี่ดังแทรกขึ้นมาในหัว มิเชลเข้าใจว่าเป็นวิธีสื่อสารในเกมส์อย่างหนึ่ง แต่เธอตอบไม่เป็น... เลยขอคำแนะนำจากกลุ่มเพื่อนใหม่ พวกเขาบอกให้เปิดดูจากกำไลแล้วพูดใส่

    “อยู่บ้านกระท่อมน้อย... ขอโทษ... ทีแรกนึกว่าจะกลับไปเมืองตายายทัน แต่ออกมาไกลมาก คงถึงเอาตอนเช้าโน่นเลย”

    “งั้นฉันหาอะไรทำไปก่อนละกัน ถ้าไม่เจอก็เรียกผ่านกำไลเอา เรียกเป็นแล้วใช่มั้ยล่ะ....”

    “เป็นแล้ว” เธอตัดการติดต่อ

    “เพื่อนมาแล้วคงต้องรีบกลับแล้วใช่มั้ย คราวนี้เราเดินอ้อมบึงนั่น ถ้าพยายามเลี่ยงการต่อสู้คงไปถึงในหกชั่วโมงล่ะนะ” แพนด้าน้อยเอ่ย

    ทั้งกลุ่มให้เรวินเติมพลังเต็มเรียบร้อยแล้วฝ่าทะเลทรายกลับ พวกเขาคอยเลี่ยงสัตว์อสูรตามทางแต่มักหนีไม่พ้นเพราะมาหลายคน สุดท้ายเลยต้องหันกลับไปสู้อยู่ดี และกว่าจะถึงเมืองตายายก็แทบนอนหมดสภาพที่หน้าประตูเมือง มิเชลไล่แลกบันทึกชื่อเพื่อนทั้งสี่ลงสมุดก่อนโบกมือลา

    ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ มิเชลกลับมายืนอยู่ในเมืองตายายอีกครั้ง เท้าของเด็กสาวเดินย่ำบนพื้นขัดเงาสะอาดตา รอบเมืองมีโต๊ะกับม้านั่งหินอ่อนว่างๆเกลื่อนกลาด แต่ใครบางคน.... ดันเลือกไปงีบกลางถนนแถวๆ บริเวณน้ำพุเฉย เขากำลังนอนท่าคอหักหลังหักพิงเสา ดูแล้วเมื่อยแทน

    “โทนี่...” มิเชลเขย่าตัวปลุก

    เด็กชายเอามือนวดคอ หน้าตาสลึมสลือดูทรมาณ เหมือนกำลังปวดเมื่อยจากการนอนผิดท่า และยังทำหน้างงอยู่พักใหญ่ๆ เธอรู้สึกเซ็งเล็กน้อย ไม่อยากคิดเลยว่าตั้งแต่เข้าเกมส์มา เขาก็นั่งหลับอยู่ตรงนี้ตลอด นัยแรกนั้น ให้มอง ตนคงเป็นคนใจร้าย ปล่อยให้เพื่อนรอหลายชั่วโมง ส่วนนัยที่สอง โทนี่บื้อมาก!

    พอเด็กสาวอ้าปากบ่น โทนี่ก็รีบค้าน เขาเปล่านั่งคอยเฉยๆ แต่เพิ่งได้เรียนทักษะมาต่างหาก ว่าแล้วจึงรีบโชว์ผลผลิตจากช่างฝีมือฝึกหัดให้ดู เป็นหมวกผ้าไหมถักขนาดพอดีศีรษะมิเชล ทว่า เธอกลับปฏิเสธห้ามมันมาวางอยู่บนหัวของตนเพราะกระดุม.. กระดุม... มีแต่กระดุมติดเต็มไปหมด! ไม่รู้เด็กชายถูกใจอะไรกับกระดุม!

    "แต่กระดุมนี่มีคุณสมบัติรับแรงกระแทกด้วยนะ! คล้ายๆ หมวกกันน็อคเลยเห็นมั้ย"

    ใช่.... มันเหมือนหมวกกันน็อคมาก แต่นั่นก็เพราะพื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยกระดุมสารพัดสีและขนาด.... เอามือคลำหาสัมผัสผ้าไหมไม่เจอ...

    โทนี่เริ่มต้นเล่า ดูเหมือนเสื้อโค้ทราชาสัตว์อสูรแห่งถ้ำภูเขาไฟเป็นต้นเรื่องทั้งหมด ระหว่างที่เด็กชายแวะดูไอเท็มในตลาด อยู่ๆ เถ้าแก่ร้านเจ้าหนึ่งเอ่ยปากขอแงะขนหมาป่าคิเมร่าจากชุดดื้อๆ ตอนแรกยังอิดออด แต่สู้ธารน้ำตาลุงวัยกลางคนไม่ไหวเลยต้องยอม เมื่อให้ไปแล้ว เฮียแกก็เผยตัวว่าตนคือลูกศิษย์ลำดับสี่ของเซียนถักทอ และจะมอบวิชาทำหมวกตอบแทน

    เล่าถึงตรงนี้ มิเชลเหลือบตามองชุดโล้นเลี่ยนของเพื่อน พอขนหายไป มันก็ดูเหมือนโค้ทหนังสีครีมธรรมดา ไม่ได้สวยแต่ไม่ถึงขั้นขี้เหร่ และยังดีกว่าใส่แค่เสื้อกล้ามตัวใน นับว่าผ่านเกณฑ์อยู่ เธอเลยฟังต่อเงียบๆ

    เด็กชายเรียนมาแค่ทักษะทอหมวกด้วยผ้า ส่วนวัตถุดิบอื่นเช่นไม้ โลหะ หรืออัญมณีต้องตามหาเอาเองทีหลัง แต่ถ้าใช้ของดี อัตราล้มเหลวก็สูงตาม โทนี่พลิกหนังสือช่างฝีมือให้ดู มีจำนวนหน้าเพิ่มขึ้นยี่สิบกว่าแผ่น โดยมากเป็นรูปเครื่องหมายอะไรเอ่ยเพราะเขายังไม่ได้ลองทำ

    “ก็ระหว่างที่รอเธอ ฉันออกไปล่าสัตว์อสูรหาวัตถุดิบตามในหนังสือมาทำ นอกจากหมวกผ้าไหมแล้ว เลยมีหมวกขนลามะด้วย อันนี้ของฉันเอง” เด็กชายยื่นหมวกขนสีขาวเทาขุ่นๆให้ดู มันทำขึ้นมาเป็นทรงโดมคว่ำ ขนาดพอดีหัวตน และไม่มีกระดุม! “เสียดายเงินน้อย ซื้อกระดุมได้จำกัด หมวกขนลามะเลยต้องโล้นเลี่ยนแบบนี้”

    “มิเชลยินดีสละกระดุมทั้งหมดให้โทนี่เลย.... ว่าแต่โทนี่เย็บปักถักร้อย... อยากเห็นจัง” เธอนึกภาพตาม

    “หยุดจินตนาการอะไรแบบนั้นซะ ที่จริงแค่เอาของทั้งหมดโยนลงช่องเล็กๆของกล่องเครื่องมือเอง พอปิดแล้วเปิดมาอีกทีก็ได้หมวกแล้ว ขนาดของหมวกขึ้นกับปริมาณผ้าไหมที่ใส่ลงไป” เขายื่นหมวกกันน็อคกระดุมให้อีกครั้ง “เห็นมั้ยว่าทำมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ พอดีหัวมาก อย่าให้เสียน้ำใจ ใส่ซะดีๆ!”

    “ไม่!!”

    *********************************

    ทีแรก เด็กสาวนีกสนใจช่วยเพื่อนหาวัตถุดิบทำหมวก จึงขอเปิดดูหนังสือ แต่พลิกไปพลิกมาก็ต้องปิด เพราะไม่เห็นรู้จักสักกะชิ้น มิเชลโชว์ผ้าคลุมหนังมังกรของตนบ้าง แล้วส่งดอกบัวสีดำให้พร้อมเสนอพาทัวร์บ้านกระท่อมน้อยเพื่อจบภารกิจ

    โทนี่ปฏิเสธโดยบอกว่าอยากใช้ฝีมือตัวเอง มิเชลไม่แม้แต่พยายามจะเข้าใจ แถมยังยัดเยียดต่อ พอบังคับมากๆเข้า เขาก็โมโห เงียบลงเอาดื้อๆ เธอเพิ่งเคยโดนเพื่อนเชื้อสายจีนคนนี้อารมณ์เสียใส่ครั้งแรก จึงโกรธคืนอย่างไร้เหตุผล แล้วทำหน้ามุ่ยเบ้ปาก เสียที่เป็นร่างของผู้ชายโตแล้ว อาการงอนประสาเด็กแลดูน่าเกลียดสิ้นดี

    "ถ้าฉันเก่งพอเมื่อไหร่ ฉันจะเข้าไปเอาดอกบัวอันนั้นมาเอง" โทนี่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวชิงพูดขึ้นมาก่อน "อันที่เธอเก็บมา เอาไปขายเถอะ เพื่อนใหม่ของเธอก็เอาไปขายกันไม่ใช่เหรอ"

    "แต่มิเชลหยิบมาตั้งเยอะ ทำไมต้องเสียเวลาเข้าไปใหม่อีกรอบด้วย ขนาดมิเชลยังไม่อยากเข้าไปเป็นรอบที่สองเลย โทนี่ไม่ไหวหรอก"

    "จะให้ไม่ไหวไปตลอดก็ไม่ได้ ฉันจะเข้าไปเก็บใหม่เอง"

    "งั้นเราก็จะเข้าไปเก็บดอกบัวด้วยกันอีกรอบใช่มั้ย" มิเชลรู้สึกไม่แน่ใจความคิดเพื่อนตน

    "แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์กับเธอน่ะสิ เธอไปมาแล้ว กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันค่อยเข้าไปเอาเองทีหลังดีกว่า"

    "จะเอาแบบนั้นเหรอ เข้าใจแล้ว" ในใจเธออยากค้าน แต่ไม่ต้องการให้มาโกรธกันใหม่จึงยอมๆ ไป

    โทนี่สนใจสาวนักเต้นผมแดงอีกคนที่เพื่อนเล่าให้ฟัง จึงพากันแวะไปดู ปรากฏว่า ตอนนี้เป็นเวลาทำงานของเจสสิก้า เจ้าหล่อนยังคงต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทียั่วยวน เธอวางมือเท้าคางบนเคาน์เตอร์ ใช้แขนสองข้างบีบหน้าอกรวมไว้ตรงกลาง... ขนาดมิเชล พอเห็นอะไรใหญ่ๆ แบบนั้น ยังอยากลองเอานิ้วจิ้มดูสักที

    "คิดถึงจังเลย" สาวนักเต้นรวบเอาเด็กทั้งสองควบเข้าไปกอดพร้อมกัน แถมจุ๊บที่แก้มคนละครั้ง

    "ฮะๆ" มิเชลหัวเราะชอบใจ รู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยเพราะเธอก็คิดถึงเจสสิก้าเหมือนกัน ส่วนโทนี่พยายามขัดขืน แต่ตัวเล็กสู้ขนาดไม่ได้

    "คุณมิเชลน่ะไม่เป็นไร แต่ดิฉันว่าคุณโทนี่ไม่ควรอยู่ในนี้นานนะคะ" เธอเริ่มเอ่ยเตือน "การที่ดิฉันคอยประกาศให้ทุกคนในร้านเหล้ากับสมาคมผู้กล้ารับรู้เมื่อมีคนล้มหมาป่าคิเมร่าเป็นหน้าที่ก็จริง แต่ดิฉันไม่ได้เห็นด้วยกับระบบนี้เท่าไหร่ ผู้เล่นเก่งขนาดไหนหากโดนรุมก็เท่านั้น ส่วนใหญ่ของรางวัลจากราชาสัตว์อสูรจะโดนเล็งขโมยกันเพราะแบบนี้ ยิ่งคุณโทนี่มีลักษณะที่จำง่ายมากเพราะคนที่เลือกใช้ตัวละครตัวเตี้ยๆ มีน้อย"

    "มีระบบขโมยด้วยเหรอครับ"

    "ขโมยกันทางอ้อมค่ะ ถ้าไม่ยอมให้ไอเท็มก็จะโดนฆ่าลดเลเวล ผู้เล่นที่ตายจะกลับไปเมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่แล้ว ที่จุดเกิดก็จะมีคนมารอฆ่าต่อจนเลเวลไม่เหลือ หรือจนกว่าจะให้ของ"

    พวกเขาทำตากะปริบ ที่จริงความเจ็บปวดจากการตายเป็นเรื่องสยองยิ่งกว่าเลเวลลดซะอีก

    "ต่อไปเวลาจบภารกิจยากๆ ของสมาคมผู้กล้า กรุณาปลอมตัวมานะคะ แต่งชุดปิดหน้าตาอย่างไรก็ได้ไม่ให้คนรู้ เพราะดิฉันจะไม่ประกาศชื่อของผู้จบภารกิจออกมาตรงๆค่ะ หน้าที่ของพนักงานสายแจกภารกิจอย่างดิฉันคือการแสดงความยินดีเท่านั้น" เธอก้มลงหยิกแก้มโทนี่เบาๆ แล้วฉีกยิ้มหวานใส่พวกเขา "ขอให้สนุกกับการเล่นเกมส์ค่ะ"

    มิเชลเปิดแผนที่ดู ทวีปตายายลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมืองหลวงปักตรงกลาง ล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว แหล่งกำเนิดสัตว์อสูรรักสงบ ฝั่งซ้ายเป็นโซนผู้เริ่มต้น เธอเจอลาล่ากับอิลจากในนั้น ข้างบนคือถ้ำภูเขาไฟสองคูหาของหมาป่าคิเมร่า ทะเลทรายกะทะร้อนและบ้านกระท่อมน้อยอยู่ทิศตะวันออก เดินเลยอีกนิดก็พอดีถึงทะเล ส่วนเมืองท่าบรรพบุรุษตั้งซะสุดขอบขวาล่าง จะไปต้องผ่านป่าต้นสนดงฟ้า

    เป้าหมายถัดไปคือทวีปใหม่ แต่ต้องขึ้นเรือที่เมืองท่าซะก่อน พวกเขาสอบถามระยะเวลาเดินจากเจสสิก้าได้ความว่าประมาณสามวัน เหตุเพราะทางคดเคี้ยว ให้เตรียมค้างคืนไว้ดีๆด้วย

    “เอ้อ... เธอไปค้างคืนในทะเลทรายกับคนอื่นมานี่นา เตรียมอะไรไปบ้างล่ะ”

    “น้ำอย่างเดียว...​ก็ทะเลทรายมันร้อน” เธอเริ่มนึกถึงตอนที่ต้องถูกแบ่งของกินให้...

    “ของอย่างอื่นไม่มีเลยเหรอ?”

    “กลางทางมีของกินตั้งเยอะ....” เด็กสาวพยายามตอบอ้อมๆ ..ที่จริงกระทิงร้อนน่าจะกินได้อยู่นะ

    “งั้นช่างมันเหอะ...”​โทนี่ตัดบท “ในตลาดฉันเดินจนทั่วแล้ว มีร้านขายของสำหรับการพักแรมอยู่ เธอตามฉันมาละกัน”

    เด็กชายเปลี่ยนฝั่ง จากผู้ตามกลายเป็นคนเดินนำ เขาคงไปมาทั่วเมืองแล้วในระหว่างเธอไม่อยู่ด้วย เพราะเล่นรู้จักทางลัดทุกซอกมุม โทนี่พาเข้าตรอกสุดแคบ ปีนบันไดขึ้นหลังคา จากนั้นกระโดดข้ามตึกหลายตึก และถึงตลาดเร็วกว่าเดิมสิบนาที

    “...จากสามสิบนาที เหลือยี่สิบนาที..​ก็เร็วนะ แต่ดูไม่คุ้มค่าพลังงานยังไงบอกไม่ถูก” มิเชลเปรย
  20. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    Azemag
    ขอบคุณครับ แต่ที่จริง ผมมีปัญหากะขนาดตัวอักษรมากกว่าแต่แก้ไปแล้ว ^^" เรื่องย่อหน้านี่ กะว่าจะทำตอนที่ไม่มีการเกลาสำนวนขึ้นมาใหม่แล้วจริงๆ เพราะเวลาทำย่อหน้าด้วยตัวหนังสือสีขาวแล้ว ตอนกลับไปเกลาสำนวนใหม่ มันนรกมาก T.T

    kolonel
    ใช่เลยครับ นิยายเด็กดี 555
    พ่อผมติดราชาแห่งราชันเลยไปซื้อนิยายเกมส์ออนไลน์กลับมาเป็นสิบเล่มแบบไม่รีวิว
    แต่พ่อผมชอบเรื่องสุดท้ายนะเพราะมันฮาเร็ม

    taleoftrue
    คิดเหมือนกันเลย!

    ตอนนี้เพิ่งย้ายมาใช้ mac แต่มันไม่ซัพพอร์ตภาษาไทยเลย T^T
    word2011 ตัดคำภาษาไทยไม่ได้
    open office มี cursor ไม่ตรงตำแหน่ง เวลาพิมพ์ไปยาวๆ
    pages ไม่มีตัวเอียงภาษาไทย!?!

    แต่ก็เลือกใช้ pages เพราะความน่ารำคาญตอนพิมพ์ไทยมันน้อยสุด เลยต้องมาตามเพิ่มตัวเอียงบนเวปเอา

    ใครพอจะมีอะไรแนะนำมั้ยครับ >,<?
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนใหม่มาไว...แถมยาวมาก




    เรื่อง MAC นี่ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไงครับเพราะผมก็ไม่มีวาสนาจะใช้เหมือนกัน
    ว่าแต่ไม่มีเครื่อง windows ปกติเหรอครับ ? ถ้ามีก็ทำตามในกระทู้ที่บอกไว้ข้างบนครับ

    copy ลง notepad แล้วลงบอร์ด
    แล้วปรับตัวหนา ตัวเอียงในบอร์ดจะง่ายกว่าเยอะ

    ยกเว้น "จัดกลาง" "จัดขวา" ที่จะต้องทำ code
    ใน notepad ต่างหากครับ


    ปล. แก้หัวกระทู้ให้ครับ​
  22. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    Azemag

    อ่านไวจัง O.O!
    แว้กกกกกก คือประโยคสุดท้ายที่เจสสิก้าพูด เห็นมันขัดๆ
    ผมเลยแอบแก้ให้เป็นบทสนทนาระหว่างมิเชลกับโทนี่แทน นึกว่าจะแอบแก้ทันนนนนนน

    รบกวนไปอ่านท่อนนั้นแทน ท่อนเดิมด้วยคร้าบ =[]=

    เครื่องวินโดว์ปกติมีครับ แต่ตั้งใจย้ายมาปักหลักที่แมค เพราะเครื่องวินโดว์เดิม มันเป็นเครื่องประจำบ้าน เวลาใช้ต้องตบตีแย่งชิงกันนิดหน่อย
    เลยอยากเอามาเขียนในแมคถาวรมากกว่า ตอนนี้เขียนบน pages ที่ไม่มีตัวเอียงภาษาไทย แล้วปรับตัวเอียงในบอร์ดเอาครับ

    ตอนนี้ที่มันยาวๆ คงเพราะตัวละครเพิ่มเลยเขียนให้มันยาวๆ ง่ายขึ้น (โดยเฉพาะบทพูด)
    ขอบคุณสำหรับการแก้หัวกระทู้ให้ครับผม
  23. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ปกติผมใช้ LibreOffice น่ะครับ ใช้งานได้พอๆกับ word ค่อนข้างสะดวกดีเหมือนกันนะ

    แนะนำลองหา "อาหมวยออนไลน์" มาอ่านดู เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมค่อนข้างชอบเลยล่ะสำหรับแนวออนไลน์นะ ส่วนอีกเรื่องก็ "Boss จินตนาการพิศดาร" อันนี้ไม่ใช่ออนไลน์เสมือนจริงแต่เป็นนั่งเล่นกันหน้าจอคอมธรรมดา ค่อนข้างสนุกต่างจากออนไลน์อื่นๆอยู่ (บอสนี่เป็นนิยายแปลครับ)
  24. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    อ่านแล้วคร้าบทั้งสองเรื่องเลย ที่จริง บ้านผมแทบจะมีเล่มหนึ่งของทุกเล่มที่วางแผงแล้ว เพราะพ่อซื้อเล่มหนึ่งมาทุกเรื่อง ^^!!

    ถูกใจ บอส มากที่สุดในบรรดานิยายออนไลน์ที่ยังไม่จบ xD แต่น้องกะพ่อดันไม่ชอบเพราะพระเอกไม่ค่อยได้ลุย มีผมสนุกอยู่คนเดียวในบ้าน
    อาหมวยออนไลน์ผมก็ชอบ แต่ยังไม่ซื้อเล่มสองเพราะมีเพื่อนมารีวิวว่าเล่มสองไม่สนุก+นางเอกตอนปลายเล่มหนึ่ง นิสัยแย่ลง =w= เลยรอดูท่าทีเล่มหลังๆ ว่าเป็นไง

    LibreOffice โหลดมาเมื่อวาน ไว้จะลองๆ ใช้คืนนี้ดูครับ
  25. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    รสนิยมต่างกันเรื่องที่ชอบก็ต่างกันแฮะ >_<

    ส่วนอาหมวยออนไลน์หลังๆนางเอกจะไม่ค่อยทำตัวเป็นเด็กเท่าไหร่แล้วล่ะอารมณ์ว่าขี้เกียจแกล้งทำ แถมเพราะเริ่มโดนจับตามองจากพวกผู้เล่นอื่นเลยยิ่งระแวดระวังพวกที่เข้ามาหา แถมอารมณ์โหดใส่ผู้เล่นอื่นเพราะเข้ามาระรานก็มี ส่วนตัวมองว่านางเอกเป็นพวกชอบเล่มตามสบายช่วยคนอื่นถ้าอยากช่วยแต่ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบแล้วก็ออกจะตามใจเด็กๆ(พวกสัตว์เลี้ยง)ของตัวเองมากหน่อย

    ต่อจากตรงนี้สปอยล์นะ

Share This Page