Eliminate Chaos Chapter 13 - บทที่ 3 ตอนที่ 1

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 27 พฤศจิกายน 2011.

  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ขอต้อนรับเพื่อนสมาชิกทุกท่านเข้าสู่นิยายแฟนตาซีไร้คุณค่าไร้ราคาแต่เขียนขึ้นด้วยใจของกระผม Azemag McDowell แห่งบอร์ด all-final.com

    หวังว่านิยายเรื่องนี้จะสร้างความสำราญให้กับเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน
    และผู้เขียนเองจะพยายามเขียนให้ดีที่สุด สร้างความสำราญให้เพื่อนๆสมาิชิกทุกท่าน

    ปล. แต่หลังจบตอนแรกแล้ว ตอนสองคงนานหน่อยครับเพราะคนเขียนติดงานยาวเจ็ดวันรวด แล้วหลังจากนั้นต้องไปขนข้าวขนของที่ มธ.รังสิต อีก

    หากมีส่วนใดบกพร่องตกหล่น ผู้เขียนขอชี้เชิญให้เพื่อนสมาชิกทุกท่านแนะนำสั่งสอนได้เต็มที่ ยินดีน้อมศีรษะที่บรรจุขี้เลื่อยรับฟังทุกข้อเสนอแนะครับ

    Azemag A.C. McDowell
  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    บทที่ 1 นักล่าค่าหัว
    1-1 วิหคสายฟ้า

    แสงอาทิตย์ในเวลาบ่ายร้อนแรงเจิดจ้า สายลมโชยเอื่อยด้วยความเกียจคร้าน ต้นหญ้าน้อยอ่อนโอนโรยตัวลงราบลู่พื้น ฝูงนกกระจิบลงเล่นน้ำคลายร้อนที่หาดทรายริมธาร เหล่าแมลงน้อยใหญ่ซุกตัวหลบเร้นใต้ซากใบไม้แห้ง บนถนนกรวดที่ไอแดดระอุขึ้นในเวลานี้ไม่มีใครใช้สัญจรผ่านไปมา

    ยกเว้น...ชายคนหนึ่งที่มีเส้นผมและดวงตาสีน้ำตาลเข้มใต้ผ้าคลุมสีหม่นหนาทึบ

    เขาก้าวเท้าอย่างช้าๆราวกับไม่มีเรื่องเร่งร้อนใดบนโลกนี้ เท้าซ้ายขวาเหยียบย่างอย่างมั่นคงและเป็นจังหวะต่อเนื่องสม่ำเสมอไปบนถนนสีส้มอมแดง

    ถนนเส้นนี้นำทางไปสู่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายป่าแห่งหนึ่ง ฟากตะวันออกเต็มไปด้วยทุ่งข้าวสาลีที่กำลังออกรวงเป็นสีเหลืองอร่ามยามต้องแสงอาทิตย์งดงามราวกับประกายระยิบระยับของทองคำ

    ชายหนุ่มก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูไม้ที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ป่า แต่เวลานี้มันกลับซีดจางหมองหม่นหล่นร่วงลงสู่ผืนดินเช่นเดียวกับบรรยากาศของหมู่บ้านนี้ที่เงียบเชียบวังเวงผิดกับหมู่บ้านอื่นๆ เขารับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ในทันทีแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

    แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจในเมื่อตอนนี้สองขาต้องการพักและหาอะไรมาเติมเต็มท้องให้อิ่มหนำ

    เขาก้าวเข้าไปภายในบ้านไม้เก่าๆสองชั้นหลังหนึ่ง ขนาดกว้างพอประมาณ ด้านหน้ามีป้ายไม้ที่ตัวอักษรสีดำซีดจางไปตามกาลเวลาแต่ยังพออ่านแปลความได้ว่า ‘โรงแรม’

    ประตูไม้ถูกสองมือผลักดันให้เคลื่อนไหวส่งเสียงดังเอี๊ยดพร้อมผงฝุ่นคลุ้งขึ้นจากพื้น ภายในมีโต๊ะสี่เหลี่ยมมากมายตั้งอยู่พร้อมเก้าอี้ครบทั้งสี่ด้านแต่ไม่มีลูกค้าสักคน ด้านหลังเป็นบาร์ขนาดเล็ก ชั้นวางแก้วและช่องสำหรับใส่ขวดไวน์ที่ว่างเปล่า

    ชายมีอายุที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของกล่าวทักขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่แฝงด้วยความดีใจ


    “มีอะไรให้รับใช้หรือ ? คุณลูกค้า”

    “มีที่พักว่างไหมครับ ? มาสเตอร์” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตอบกลับอย่างสุภาพ

    “มี มีแน่นอน”


    ชายชราที่มีเส้นผมสีดำแกมขาวเหลือไม่มากบนศีรษะตอบ ชายหนุ่มพยักหน้าตกลงพักที่นี่ มาสเตอร์ล้วงหยิบป้ายหมายเลขห้องให้เขาจากใต้บาร์ เขารับไว้และเดินขึ้นไดที่อยู่ซ้ายมือของบาร์ไปที่ชั้นสอง เสียงของชายชราตะโกนสั่งคนที่อยู่ในครัวให้ยกถังน้ำขึ้นไปให้แขก

    ชายหนุ่มเปิดประตูไม้บานเล็กที่มีหมายเลขตรงกับป้ายในมือเข้าไป ห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป เตียงไม้ขนาดนอนได้หนึ่งคนปูด้วยฟูกเก่าๆกับผ้าห่มที่พับอย่างหยาบๆและหมอนที่ดูแล้วภายในคงเหลือนุ่นไม่มากเท่าไร นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว

    เขาปลดปมผ้าคลุมที่อยู่ใต้คอออก ม้วนกับแขนแล้ววางไว้ที่หัวเตียง ถอดเสื้อกั๊กสีดำสนิทออกวางพาดทับผ้าคลุม ปลดดาบเคลย์มอร์ยาวร่วมๆเมตรครึ่งออกจากเข็มขัดหนังวางไว้บนเตียง เอื้อมมือดึงมีดสั้นอีกสามเล่มที่เหน็บไว้กับเข็มขัดวางไว้ด้วยกันแล้วหย่อนตัวลงนั่งปลดเชือกผูกรองเท้าออกถอดไว้ที่ปลายเตียง

    เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่ถูกเปิดออก เด็กชายสองคนอายุราวๆเจ็ดแปดปีช่วยกันยกถังไม้ที่สูงไล่เลี่ยกับความสูงของตัวเองเข้ามาวางที่ปลายเตียง ระหว่างทางมีน้ำกระฉอกเปื้อนพื้นเป็นหย่อมๆ เด็กคนหนึ่งเหลือบมองดาบแล้วสะกิดเพื่อนอีกคนให้มองตามจากนั้นก็รีบวิ่งออกประตูไปอย่างรวดเร็วจนไม่ได้ปิดประตูห้อง

    เขาลุกขึ้นไปประตูลงกลอนแล้วกลับมานอนที่เตียงยกมือลูบท้องป้อยๆ


    “เฮ้อ! หิวแฮะ”


    ไม่รู้ว่าเผลอผล็อยหลับไปตอนไหนแต่เสียงเคาะประตูและเสียงจอแจหน้าห้องราวกับมีการชุมนุมประท้วงขึ้นภาษีทำให้เขารู้สึกตัว ชายหนุ่มลุกขึ้นสะบัดหัวไล่ความง่วงแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู เด็กสองคนที่ยกถังน้ำมาพร้อมกับเด็กชายหญิงรุ่นเดียวกับอีกร่วมสิบคน


    “พี่ชายๆ ท่านเป็นนักดาบเหรอ ?”

    “พี่ต้องช่วยพวกเรานะ” เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งมาเกาะขาเขาแล้วเริ่มร้องไห้

    “ท่านนักดาบ ท่านต้องช่วยพวกเรานะ” เสียงของเด็กอีกหลายคนดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อประสานกับเสียงร้องไห้ก็กลายเป็นสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่องไปเสียแล้ว

    “เฮ้ย! มารบกวนอะไรพี่เขาน่ะ ไป! ไปให้หมดเลย”


    เสียงของมาสเตอร์ตวาดดังลั่นมาจากชั้นล่างทำเอาเด็กๆแตกฮือวิ่งหนียิ่งกว่ามดแดงแตกรัง ชายหนุ่มคว้าจับคอเสื้อเด็กสองคนที่เป็นหัวโจกยกลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ยากเย็น


    “เอาละ ก่อนอื่นไปหาขนมปังหรืออะไรก็ได้มาให้ข้ากินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


    หลังจากกินขนมปังอบสามก้อนเป็นอาหารเที่ยงที่เลยเวลามาร่วมสองชั่วโมงกับเด็กๆนับสิบคนในห้องเล็กๆ เขาก็พร้อมใช้สมองรับฟังทุกเรื่อง


    “ที่ว่าจะให้ข้าช่วยเนี่ยมันเรื่องอะไรกันละ” พอสิ้นประโยค เด็กๆก็แย่งกันพูดจนฟังไม่รู้เรื่อง

    “พอก่อนๆ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นห้ามแล้วชี้ไปที่หนึ่งในสองหัวโจก “เจ้านั่นละ เล่ามาซิ”

    “เมื่อสี่เดือนก่อนจู่ๆก็มีกลุ่มโจรที่ไหนไม่รู้บุกเข้ามาในหมู่บ้านของพวกเรา พวกมันเอาอาหารเอาม้าลาของพวกเราไปจนหมด ใครที่เข้าไปขัดขวางมันก็ฆ่าจนหมด”


    พอเล่ามาได้ถึงตรงนี้เด็กชายก็เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า “พ่อกับพี่ของข้าก็ถูกมันฆ่าตาย”


    “แล้วจะให้ข้าไปฆ่าโจรพวกนั้น ?” เขาถาม

    “ใช่! ใช่!” เด็กๆประสานเสียงตอบ

    “รู้รึเปล่าว่าข้าเป็นใคร ?” ทุกคนส่ายหน้ากับคำถามของเขา

    “ข้ามีความแค้นกับพวกโจรรึเปล่า ?” เด็กๆยังคงส่ายหน้า

    “แล้วทำไมข้าต้องทำ ?” พวกเด็กๆนิ่งเงียบมองหน้ากันไปมา เงียบไปพักใหญ่

    “ถ้าเข้าใจแล้วก็ออกไปจากห้องข้าให้หมด ข้าจะนอน”

    “แง~~!” เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สุดร้องไห้ออกมาเสียงดัง “พี่จ๋า พี่ช่วยพวกเราด้วยเถอะนะ”

    “ถ้ายังไม่ฟังกันอย่าหาว่าข้าใจร้ายละ” เขาใช้น้ำเสียงที่ดุขึ้นเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอที่จะให้เด็กๆลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป

    “ขี้ขลาด! พี่ชายขี้ขลาดที่สุด พี่ของข้าใช้ดาบไม่เป็นยังกล้าสู้กับพวกโจรเลย”


    เด็กหัวโจกตะคอกใส่เขาแล้วปิดประตูห้องเสียงดังลั่นแล้ววิ่งลงบันไดไป เขาปิดตาลงถอนหายใจแล้วลงตัวลงใช้สองมือหนุนหัวนอนหลับไปตลอดทั้งบ่าย


    เสียงเคาะประตูไม้ปลุกเขาตื่นขึ้นจากการหลับใหลอีกครั้ง คนที่มาในกาลหัวค่ำที่ดวงดาวเริ่มเผยโฉมกลางฟ้าคือมาสเตอร์ผู้เป็นเจ้าของโรงแรม ชายชรายกถาดใส่อาหารประกอบด้วยขนมปังอบสองก้อนและเนื้อผัดเนยหนึ่งจาน


    ชายหนุ่มรับถาดอาหาร ปิดประตูแล้วกลับมานั่งทานที่ปลายเตียงเพียงลำพังในความมืดยามรัตติกาล


    รุ่งเช้ามาเยือนแผ่นดินอีกครั้ง แสงสีส้มแดงสดสาดส่องท้องฟ้าฟากตะวันออก นกตัวเล็กตัวใหญ่ประสานเสียงก่อนออกบิน ใบไม้มากมายเสียดส่ายเป็นทำนองประสานจากสายลมยามเช้า บรรยากาศในเวลานี้หากเป็นหมู่บ้านอื่นคงคึกคักสนุกสนานเต็มไปด้วยหนุ่มสาวที่เตรียมตัวออกไปทำงานในทุ่งข้าวสาลี หากแต่หมู่บ้านนี้ถูกคุกคามจากกลุ่มโจรป่าทุกอย่างจึงพลิกกลับเป็นคนละด้านของเหรียญ


    มีเพียงคนเฒ่าคนแก่ออกมาปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือน เด็กเล็กถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านห้ามออกมาวิ่งเล่น ในท้องทุ่งมีเพียงเด็กหนุ่มแรกรุ่นเจ็ดแปดคนเกี่ยวเก็บรวงทวงลงในถุงผ้าที่ผูกอยู่ข้างเอวเท่านั้น


    ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีน้ำตาลเข้มออกมายืนบนระเบียงชั้นสองคล้ายครุ่นคิดบางอย่างภายในจิตใจพลางสังเกตทุกอย่างรอบตัวไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง อาคาร โรงเรือนน้อยใหญ่ ล้วนแต่จืดชืดไร้ชีวิตชีวาวังเวงยิ่งกว่าป่าช้า


    แต่ความวิเวกวังเวงถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและเสียงม้าที่ควบมาอย่างรวดเร็วจนฝุ่นคละคลุ้ง


    ชายสองคนบนหลังม้าสีน้ำตาลอ่อนสองตัว


    และชายวัยกลางคนที่ถูกมัดล่ามลากมาด้วยม้า เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นดิน สภาพอิดโรยอ่อนแรง ตาขวาว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดบรรจุนอกจากก้อนหินก้อนใหญ่ที่ชุมไปด้วยเลือด


    “เอาไอ้แก่นี่คืนไป”

    “แล้วถ้าใครอยากจะไล่พวกเราอีก เชิญขี่ม้ากลับไปกับพวกเราได้เลย”


    เงียบสนิทไม่มีใครกล้าพูดอะไร หญิงชราคนหนึ่งตกใจจนล้มฟุบลงจนคนอื่นๆต้องรีบเข้าไปดูอาการ เสียงร้องเรียกของหญิงสาวคนหนึ่งดังจากบ้านหลังหนึ่งตามด้วยเสียงฝีเท้าควบวิ่งอย่างรวดเร็ว


    “พ่อ! พ่อ!”


    เด็กสาววัยรุ่นที่มีเรือนผมสีน้ำเงินสะดุดตาสวมชุดผ้าฝ้ายสีชมพูวิ่งตรงดิ่งไปยังร่างของชายวัยกลางคนที่นอนสั่นเทิ้มอยู่กลางถนน หยาดน้ำตารินไหลรดเปื้อนสองแก้ม ปากพร่ำร้องเรียกพ่อไม่หยุดขาด


    เสียงดังสนั่นราวฟ้าฟาดแผดลั่นตามด้วยเสียงหวีดร้องตกใจ ควันดินปืนเลื่อนลอยออกจากปากกระบอกปืนในมือของหนึ่งในสองโจรที่อยู่บนหลังม้า กระดิ่งลมที่แขวนอยู่ไกลออกไปหน้าบ้านหลังหนึ่งแตกกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


    “เอาอาหารไปให้พวกข้าตอนเที่ยงตรง ไม่อย่างนั้นก็เตรียมขุดหลุมศพเพิ่มได้เลย”


    มันประกาศก้องแล้วควบม้ากลับไปอย่างเร็วรี่


    ชาวบ้านหลายคนช่วยกันแบกหามร่างที่ใกล้จะสิ้นลมเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งโดยที่มีลูกสาวของเขาประคองมือที่ซีดซูบตามไปไม่ห่าง


    ชายหนุ่มลอบหลบอยู่หลังเสาไม้ แต่ทุกเรื่องราวทุกการเคลื่อนไหวของทุกคนล้วนแต่อยู่ในสายตาเขา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ลงคมกริบดุจตาพญาเหยี่ยวที่จ้องจับเหยื่อ เมื่อเหตุการณ์สงบลงเขาก็กลับเข้าไปในห้องทิ้งตัวลงนอนเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


    ถึงเวลาเที่ยงตรงก็มีคนจัดอาหารใส่ตะกร้าออกจากหมู่ไปตามที่พวกโจรสั่ง พอบ่ายคล้อยเสียงร้องไห้โฮก็ดังลั่นขึ้นจากบ้านหลังที่ชาวบ้านหามร่างของชายวัยกลางคนเข้าไป เพียงแค่นี้ก็ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่นอนอยู่ในห้องรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


    เสียงร้องไห้นั้นดังอยู่นานร่วมชั่วโมง เขาได้แต่ฟังจนผล็อยหลับไปและสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อประตูห้องถูกทุบเสียงดังลั่น ยังไม่ทันที่เขาจะลุกไปเปิดประตูไม้ก็ถูกแรงบางอย่างกระแทกจนเปิดออกเหวี่ยงฟาดเข้ากับกำแพงจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


    เด็กสาวผมสีน้ำเงินก้าวเข้ามาในห้อง ที่ระเบียงด้านนอกมีกลุ่มเด็กเมื่อวานยืนอยู่เต็มไปหมดรวมถึงคนเฒ่าคนแก่อีกสี่ห้าคน


    “ข้าชื่อเทรน โคลฟเวอร์ลีฟ” เด็กสาวแนะนำตัว แต่เสียงของเธอดังและห้วนมากกว่าจะเป็นการแนะนำตัวอย่างสุภาพ

    ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงจ้องเธอไม่วางตาแต่ไม่พูดอะไรสักคำ

    “เป็นใบ้หรือไงกัน ? ข้าแนะนำชื่อของตัวเองแล้ว เจ้าก็ต้องแนะนำชื่อของเจ้าสิ”

    ชายหนุ่มถอนหายใจช้าๆก่อนจะตอบ “ข้าขอให้เจ้าแนะนำตัวด้วยหรือ ?”

    “ไม่! แต่เมื่อคนหนึ่งบอกชื่อตัวเองออกไป อีกคนก็ควรจะบอกด้วย นั่นเป็นมารยาทไม่ใช่รึไงกัน ?” เด็กสาวยังคงพูดด้วยเสียงที่ดัง

    “เอเซ” ชายหนุ่มตอบเธอ

    “นามสกุลละ ?”

    “.....แมคโดเวล”

    “ได้ยินจากพวกเด็กๆว่าเจ้ามีทั้งดาบทั้งมีดแต่ไม่ยอมไปสู้กับพวกโจร”

    “ใช่”

    “ทำไมละ ? ทำไมถึงไม่ยอมไปไล่พวกโจรพวกนั้น สองเดือนก่อนมีนักดาบเหมือนท่านเดินทางมา พอรู้เรื่องก็ถลาออกไปทันที ถึงเขาจะสู้ไม่ได้และต้องตายแต่เขาก็แสดงความกล้าหาญให้เห็น”

    “ข้าไม่ใช่คนกล้าหาญ” ชายหนุ่มสวนกลับทันทีทำเอาเด็กสาวชะงัก นิ่งไปสักครู่หนึ่ง

    “แล้วเจ้ามีดาบไว้ทำไมกัน พกไว้เท่ๆเหรอ ?”

    “ข้ามีดาบไว้ปกป้องชีวิตตัวเองแต่ไม่ใช่ชีวิตผู้อื่น โดยเฉพาะพ่อของเด็กขี้โวยวาย” เขาตอบโดยจงใจเน้นเสียงท้ายประโยค


    เด็กสาวตะลึงงัน ท่าทีแข็งกร้าวตั้งแต่เริ่มเปิดประตูเข้ามาจนถึงสิ้นประโยคเมื่อครู่มลายหายไปเหมือนใบไม้แห้งที่ถูกไฟแผดเผา น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาสีน้ำเงินเป็นสายแต่เธอยังแข็งใจกลั้นอาการสะอึกเอาไว้ในอก


    “เจ้า...เจ้าใช้ดาบเป็นไหม ?” เธอถามออกไป

    “เป็น”

    “สอนข้าได้ไหม ?”

    เอเซนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับว่า “เพื่ออะไร ?”

    “แก้แค้น!” เด็กสาวกัดฟันคำราม สองมือกำแน่นอยู่ข้างตัว ดวงตาแข็งเขม็งด้วยโทสะ “ข้าจะแก้แค้นให้พ่อข้า”

    “สอนให้ข้า!” เทรนพูดเหมือนออกคำสั่ง


    เอเซลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าหาเธอทีละก้าว แรงกดดันจากเขาทำให้เธอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พริบตาเดียวเธอก็ถอยพ้นเขตประตู ชายหนุ่มเอื้อมมือปิดประตูใส่หน้าเธอเสียงดัง ลงกลอนใหม่แล้วเดินกลับไปนั่งที่เตียง


    “ไอ้บ้า!”


    เสียงสองเท้าย่ำลงบันไดแรงๆดังห่างออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนเช่นเคย


    ที่หน้าหมู่บ้าน เทรนถือมีดคมเดียวที่ใช้สำหรับตัดหญ้าเดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กๆวิ่งไปบอกผู้ใหญ่ให้รีบไปห้ามแต่ก็สายเกินไปแล้ว เทรนหายเข้าไปในป่าด้านข้างหมู่บ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกโจร เมื่อมาสเตอร์รู้เรื่องก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับไปที่โรงแรม ขึ้นไปบนชั้นสอง เคาะประตูห้องหมายเลขห้าตะโกนเรียกไม่ขาดปาก


    “คุณลูกค้า! ได้โปรดช่วยด้วยเถอะ ขอร้องละ”

    “คุณลูกค้า!”


    แต่ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับออกมา


    เด็กสาวเดินตัดป่าโปร่งทะลุออกลานกว้าง สิ่งที่เห็นทำให้เธออดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ หญิงสาวในหมู่บ้านที่เธอรู้จักล้วนอยู่สภาพเปลือยเปล่าถูกมัดตรึงอยู่กับหลักไม้ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าไม่เหลือความสะพรั่งของวัยสาวอีกต่อไป บางคนมีแผลถูกเฆี่ยนตีเป็นจ้ำเป็นรอยทั่วร่าง


    นอกจากอารมณ์โศกเศร้าเสียใจแล้ว สิ่งที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจนยากจะควบคุมได้


    ‘โทสะ’


    เธอวิ่งตะบึงรุดไปยังเบื้องหน้าอย่างลืมตัว เพิงไม้ทำขึ้นลวกๆตรงหน้าคือเป้าหมายของเธอ ประตูไม้ถูกถีบเปิดออกแต่ภายในว่างเปล่า ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่


    พริบตานั้นเด็กสาวรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกที่ต้นคอ พลันรอบข้างมืดมิดลง


    เด็กสาวรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง ร่างของเธอนอนราบอยู่กับพื้น ข้อมือทั้งสองถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กปักตรึงกับหมุดไม้ พวกโจรนับสิบคนรายล้อมเธอ พวกมันซดเหล้าในไหต่างน้ำหัวเราะเสียงดังลั่นทั่วหน้า


    “ลูกพี่ ยัยเด็กนี่ตื่นแล้วละ ฮ่าๆๆ”


    ชายที่ถูกเรียกว่า ‘ลูกพี่’ อยู่ในชุดหนังสีดำทั้งตัว ผมหยิกหยักยาวระต้นคอ ตาขวามีที่ปิดตา หนวดเครายาวรุงรัง ในมือถือมืดตัดหญ้าที่เทรนเอาติดตัวมา


    “คิดว่าไอ้ท่อนเหล็กนี่จะทำอะไรได้ หือ ? ยัยหนู”


    มันขว้างมีดนั้นไปปักบนพื้นไม่ห่างจากแขนของเธอ เสียงโห่หัวเราะชอบใจของพวกโจรดังเกรียวกราว


    “ได้ยินมาว่ามีนักดาบมาพักในหมู่บ้าน อุตส่าห์เตรียมการต้อนรับอย่างดีแต่สุดท้ายคนที่มาก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง”

    “สงสัยยัยเด็กนี่คงรอให้เราไปฉุดไม่ไหวมั้ง ลูกพี่” เสียงหัวเราะดังลั่นรอบวง เทรนได้แต่กัดฟันกรอดพยายามดันตัวลุกขึ้นแล้วตะโกนด่าเสียงดัง

    “คืนพี่สาวข้ามานะ ไอ้พวกชั่ว! ไอ้พวกสารเลว!”

    “เอาตัวเองไม่รอดแล้วยังคิดจะช่วยใครอีก หา ?”


    โจรคนหนึ่งหัวล้านเลี่ยนเตียนโล่งเดินถือขวดเหล้าเข้ามานั่งอยู่ข้างๆ เทรนหันไปถ่มน้ำลายใส่หน้ามันอย่างไม่กลัวเกรง เสียงหัวเราะของพวกโจรดังยิ่งกว่าเก่าแถมท้ายด้วยเสียงเป่าปากเหมือนกำลังดูการแสดงก็ไม่ปาน


    “บัลคัสโดนเข้าแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ”


    เมื่อถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็กกระทำให้อับอาย มันก็ยกมือขึ้นบีบปากของเธอให้อ้าออกแล้วกรอกเหล้าในขวดลำลงคอของเธอ เด็กสาวดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไร้ประโยชน์จนเมื่อมันถอนขวดเหล้าออกจากปาก เธอก็ได้แต่ลำสักและไอแรงๆ กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนขึ้นจมูกบวกกับรสขมฝาดลิ้นพานทำให้น้ำหูน้ำตาไหลพราก เสียงหัวเราะโห่ห่าดังลั่นไม่ขาดห้วง

    “ใจเย็นๆบัลคัส ข้ามีเรื่องที่ต้องถามยัยเด็กนี่ก่อน หลังจากนี้จะเล่นสนุกกันยันเช้าก็เรื่องของพวกแก” ลูกพี่ของพวกมันกล่าวอย่างใจเย็น “ไอ้นักดาบนั่นหน้าตามันเป็นยังไง ?”

    “ข้าไม่รู้ ข้าจะฆ่าพวกแกให้หมด” เทรนระบายอารมณ์ด้วยการด่ากราด

    “แล้วมันเก่งไหมละ ?” อีกฝ่ายก็ยังถามอย่างเย็นใจไม่สะทกสะท้าน

    “ไปถามแม่แกดูสิ!” เทรนด่าแล้วถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วตะโกนด่าอีกหลายคำ


    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อาจให้ข้อมูลได้ ลูกพี่ตาเดียวก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้บัลคัส มันฉวยจับข้อเท้าของเธอแล้วยกขึ้นด้วยกำลังแขน เทรนได้แต่ดิ้นพราดๆส่งเสียงกรี๊ดตะโกนสั่งให้ปล่อย แต่มันมีหรือจะปล่อย


    เจ้าหัวล้านยกเหล้าขึ้นซดจนหมดแล้วโยนขวดทิ้งไปไกลใช้มือที่ว่างฉีกกระชากเสื้อผ้าผืนบางของเด็กสาวออกจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่าแล้วปล่อยเธอร่วงลงพื้น


    มันคร่อมทับร่างของเธออย่างรวดเร็ว เด็กสาวไม่อาจขัดขืนได้เพราะสองแขนถูกตรึงไว้มีเพียงสองขาที่เป็นอิสระ แต่เธอจะทำสิ่งใดได้นอกจากดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้ตัวของผู้ชายที่สูงใหญ่กว่าเธอมากนัก


    ลิ้นสากๆลากเลียไปตามลำคอและใบหน้าขาวๆของเธอ เสียงกรี๊ดแสบแก้วหูดังลั่นไม่ขาดห้วงแต่ก็ไม่อาจทำให้ทุกสิ่งหยุดลง มือหนึ่งของบัลคัสขยำขยี้หน้าอกของเธออย่างแรง อีกมือก็ตะปบลงหว่างขาที่เปลือยเปล่า


    “ดิ้นสิ! ดิ้นเยอะๆเลย ข้าชอบ ฮ่าๆๆๆ”


    บัลคัสหัวเราะร่า หน้าตาหื่นกระหาย เด็กสาวร้องกรี๊ด ตะโกนด่าและดิ้นไปดิ้นมาแต่ไม่อาจหยุดการรุกไล้เลียโลมของมันได้ น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม


    “แหม! ท่าทางน่าสนุกดีนะ พี่ชาย” สุ้มเสียงทุ้มหนักดังมาจากอีกฟาก ทุกคนในกลุ่มโจรหัวไปมองรวมถึงบัลคัสที่หยุดมือจากร่างของเทรน


    บุรุษผู้มีเส้นผมและดวงตาสีน้ำตาลเข้มยืนพิงต้นไม้มองอย่างใจเย็น – เอเซ แมคโดเวล


    “แกเป็นใครวะ ?” หนึ่งในกลุ่มโจรตะโกนถาม แต่ละคนปลดอาวุธของตนมาถือกระชับในมือ

    “ก็แค่นักดาบที่ผ่านทางมาเท่านั้น เห็นพวกพี่ๆกำลังสนุกก็เลยมาขอร่วมวงด้วยน่ะ”

    เอเซเดินตรงเข้ากลางวงเหล้าโดยที่มีปลายสารพัดอาวุธหันเข้าหา เขาไม่ยี่หระแม้แต่น้อยก้มหยิบขวดเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่

    “เหล้าดี กับแกล้มเยี่ยม แถมยังมีผู้หญิงอีก ที่นี่วิเศษจริงๆ”

    “เจ้าไม่ได้มาเพื่อฆ่าพวกข้าเรอะ”

    “ข้าจะฆ่าพวกท่านทำไมกัน ? เราไม่ได้มีความแค้นต่อกันแล้วทำไมข้าต้องแส่หาเรื่องเหมือนยัยนั่นกัน” เอเซยกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้งพลางบุ้ยหน้าไปทางเทรน

    “คนในหมู่บ้านไม่ได้ขอร้องเจ้ามา ?” ลูกพี่ตาเดียวถามขึ้น

    “ข้าไม่ชอบทำงานฟรีหรอกนะ” เสียงของพวกโจรหัวเราะครืนขึ้นเมื่อเขาพูดจบ

    “เอเซ! ช่วยข้าสิ ฆ่าพวกมันให้หมดเลย” เทรนตะโกนเรียกเขา


    เอเซเดินเข้าไปหาบัลคัสที่กำลังคร่อมร่างเปลือยเปล่าของเทรนอยู่ มันลุกขึ้นยืนอย่างไม่ไว้ใจ


    “พี่ชายไม่ต้องรีบ ข้ารอได้”

    “ไอ้บ้า! ช่วยข้าสิ” เทรนตะโกนด่าเอเซ

    “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ชอบทำงานฟรี”

    “ไอ้บ้า! เวลานี้เจ้ายังงกเงินอีกเหรอ ?”

    “ข้าไม่ชอบทำงานฟรี” เอเซยืนยันคำเดิม

    “ก็ได้ งั้นข้าจ้างเจ้า พอใจรึยังละ!”

    “ดี!”


    เอเซโยนขวดเหล้าลงพื้น มันแตกกระจายพร้อมกับหัวของบัลคัสที่ขาดกระเด็น ร่างที่ไร้หัวของมันทรุดลงคุกเข่าแทบเท้าเอเซ จากนั้นโซ่ที่ล่ามมือของเทรนก็ถูกตัดขาดในพริบตา


    “แก!”


    พวกโจรที่เหลือเห็นพวกพ้องของตัวเองถูกฆ่าต่อหน้าย่อมบังเกิดโทสะ พุ่งเข้าหาเขาทันที เอเซยิ้มมุมปากเล็กน้อย พริบตาเดียวโจรสามคนก็ถูกฟาดฟันถึงแก่ชีวิตล้มตายลงแม้แต่อาวุธในมือก็แตกหักยับเยิน นักดาบหนุ่มอาศัยจังหวะที่พวกมันตกตะลึงพุ่งพรวดเข้ากลางกลุ่มหมุนตัวกวาดดาบเพียงครั้งก็ปลิดชีวิตพวกโจรไปได้อีกสี่ชีวิต


    คนที่เหลืออีกนับสิบคนโจนเข้าหาหมายสังหารเขาล้างแค้นให้เพื่อนพ้อง


    ห้านาทีผ่านพ้น เด็กสาวแทบไม่เชื่อสายตาว่าผู้ชายท่าทางไม่เต็มแถมชอบพูดจากวนประสาทจะเป็นนักดาบที่มีฝีมือถึงขนาดล้มพวกโจรร่วมยี่สิบคนในพริบตา ตอนนี้เหลือเพียงเขายืนประจันหน้ากับลูกพี่ตาเดียวของพวกมัน


    “เจ้าเป็นใครกันแน่ ? ฝีมือขนาดนี้คงไม่ใช่นักดาบธรรมดาแน่ๆ” มันถามอย่างใจเย็นไม่สะทกสะท้านใดๆแม้จะเห็นถึงความร้ายกาจของอีกฝ่าย

    “ถ้าเจ้ามีหูก็น่าจะได้ยินว่ายัยเด็กนั่นเรียกข้าว่า ‘เอเซ’ นะ”

    “นักล่าค่าหัวไร้สังกัด วิหคสายฟ้า เอเซ แมคโดเวล” หัวหน้าโจรตาเดียวบอกออกมา

    “ตัวจริงแน่นอน”

    “ก็ดี ถ้าฆ่าเจ้าได้ชื่อเสียงของข้าย่อมโด่งดังไปทั่วแน่แล้วใครหน้าไหนจะกล้ามาขัดขวางข้าอีก”


    เอเซไม่ตอบอะไรได้แค่ยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายเตะดาบใหญ่เล่มหนึ่งขึ้นจากพื้นมาถือในมือซ้ายแล้วหมุนควงอย่างคล่องแคล่วชำนาญ


    “จงดีใจที่ได้ตายด้วยมือข้าเสียเถอะ”


    หัวหน้าโจรตาเดียวพุ่งปราดเข้าหา แต่มันต้องเบิกตากว้างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


    มีดเล่มยาวถูกขว้างออกจากมือของเอเซปักทะลุคอหอยของมันในพริบตา


    “มีใครบอกรึเปล่าว่าเจ้าพูดมากเกินไปน่ะ”


    ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีแม้เสียงใดเล็ดลอดออกมาจากร่างของมันอีกต่อไปแล้ว


    หลังจากจัดพิธีศพของคนในหมู่บ้านที่ตายลงเพราะฝีมือของพวกโจร ในจำนวนนั้นมีพ่อและพี่สาวของเทรนรวมอยู่ด้วย เอเซนั่งเก้าอี้โยกอยู่หน้าโรงแรมรับลมเย็นในเวลาเช้า


    เทรน เด็กสาววัยสิบหกนั่งอยู่บนพื้นไม่ไกลจากเขานัก


    เด็กชายสองคนหิ้วเป้สัมภาระรวมถึงผ้าคลุมของเขาลงจากชั้นบนมาให้เขา เบื้องหน้ามีกลุ่มคนแก่รวมตัวกันอยู่


    “คิดดูอีกทีเถอะนะ ท่านนักดาบ”

    “เธอยังเด็กอยู่ อย่าพาเธอไปเลยนะคะ”


    พวกเขามารบเร้าอ้อนวอนให้เอเซเปลี่ยนใจไม่พาเทรนไปจากหมู่บ้าน เนื่องมาจากค่าจ้างที่เอเซเรียกร้องกับเทรนเพื่อช่วยเหลือและฆ่าพวกโจรนั้นสูงถึงสองร้อยเหรียญทองซึ่งมากเกินไปกว่าเด็กผู้หญิงกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่งจะจ่ายให้ได้


    “พวกท่านจะจ่ายแทน ?” เอเซถามพลางตรวจสอบของในเป้

    “พวกเราจะจ่ายไหวได้ยังไงกัน ได้โปรดไตร่ตรองดูเถิด”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าคุยกันจบแล้ว ข้ากำจัดโจรไปมากกว่ายี่สิบคน ถ้าเทียบกับพวกมีค่าหัวทั่วไปก็ตกหัวละสิบเหรียญทอง นี่ข้าใจดีลดราคาให้แล้วนะ”

    “นางรับปากข้าแล้ว เมื่อไม่มีเงินจ่ายย่อมต้องทำงานชดใช้ให้ข้า”

    “แต่นางยังเด็กอยู่เลย” ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยขัดขึ้น

    “พอเถอะ ข้าเป็นคนก่อเรื่องเองข้าต้องแก้ไขเอง” เทรนพูดแทรก

    “ที่นี่ไม่มีพ่อ ไม่มีพี่อีกแล้ว ข้าก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมกัน”

    “ถ้างั้นก็ไปกันเลย”


    เอเซรูดเชือกปิดปากเป้สะพายขึ้นหลังแล้วห่มผ้าคลุมอย่างรวดเร็ว ทั่วร่างของเขาถูกผืนผ้าสีหม่นปกคลุมจนหมดแล้วออกเดินนำไปอย่างรวดเร็ว เทรนกอดลากับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่เปรียบเหมือนญาติของเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วฝืนปาดน้ำตาวิ่งตามชายหนุ่มไปและเป็นเวลาเดียวกับที่ดวงอาทิตย์สีส้มโผล่พ้นขอบฟ้า
  3. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    ฟิคเรื่องใหม่!!

    ใครจะบอกว่าเป็นเรื่องใหม่ไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนเลย แต่ยังไงก็ขอคอมเมนต์โดยอิงจากLegendaryละครับ <(จริงๆก็แค่อดเทียบไม่ได้)

    เอเซ...ดูยังไงก็ท่านอาจารย์อเซแม็กครับ ^ ^!!
    หลายๆอย่างที่ทำให้นึกถึงเรื่องก่อน ข้อเสียก็คือเวลาอ่านแล้วจะทำให้รู้สึกว่าเป็นSpin-off Remake Expansion Alternative หรืออะไรสักอย่างมากกว่าที่จะเป็นเรื่องใหม่
    ส่วนข้อดี...อย่างนึงที่พอจะบอกได้ก็คือความแตกต่างในความเหมือน ถึงแคสต์จะเป็นตัวละครที่คุ้นเคยแต่จุดยืน อเซแม็กในLegendaryดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่มีวิญญาณอัศวิน แต่มาเรื่องนี้เป็นนักดาบพเนจรจากไหนไม่รู้แถมนิสัยก็ดูแย่ ชวนให้อยากรู้ว่าหมอนี่มาจากไหนและจะเจอกับอะไร
    แต่เทรนนี่ไม่ค่อยต่างเท่าไหร่แฮะ...^^' (เป็นตัวละครที่ทั้งบทบาทและชะตากรรมถูกกำหนดโดยตัวเอกทั้งคู่) ส่วนเซ็ตติ้ง ทางนี้ไม่มีการเกริ่นถึงตำนานหรือความเป็นมาก่อนเริ่มเรื่องเหมือนเรื่องเก่า เริ่มนับ 0 จากก้าวแรกของตัวละครเลย ทำให้ดูดิบขึ้นมาถนัดตา (ส่วนตัวคิดว่าความดิบเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของผู้เขียนจริงๆ)

    เปิดมาตอนแรกก็มีทั้งศพแรก ทั้งเลือดนอง ทั้งฆ่ากัน ทั้งภัยสตรี โทนมืดใช้ได้เลยทีเดียว
    ทำให้รู้สึกว่าประเด็นของเรื่องต่อจากนี้คือ เทรนน้อยจะได้พบเจอและเรียนรู้อะไรจากโลกกว้างที่เปรอะเปื้อน....ทำนองนั้นครับ ^^'

    ปล. คอมเมนต์แรก....ทันมั้ย!!!?
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    /me เข้ามานั่งอ่าน

    ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้เริ่มเรื่องได้น่าสนใจดีแฮะ บทบาทการแสดงอารมณ์ของตัวละครก็ไม่น้อยไปแบบ legendary การบรรยากาศสภาพโดยรอบก็กำลังดี

    แต่พล็อตเรื่องนี่คงต้องรอดูไปก่อนล่ะนะ ตอนแรกยังไม่ค่อยรู่อะไรมากเท่าไหร่ แต่น่าจะเป็นอารมณ์บ้านป่าเมืองเถื่อนทางการยังดูแลได้ไม่ทั่วถึงสินะ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  5. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    /*ตบเข่าฉาด

    มันต้องให้ได้แบบนี้สิวะ อาเซ!!!!!
    ภาษาดีมาก บรรยายได้ดีสุดๆ ดึงดูดอารมณืให้คล้อยตามได้หลายช่วง
    ช่วงที่ผมชอบมากและ "อิน" ไปกับเนื้อเรื่อง คือ
    - เอเซนิสัยไม่ดี ปิดประตูกระแทกหน้าเทรนหน้าตาเฉย ตรงนี้ใช้การกระทำสืื่่อคาแรคเตอร์ได้ดีมากๆ เทียบกับ Legend ที่นิยมบรรยายเป็นตัวอักษร ถือเป็นพัฒนาการที่น่าตกใจ ไม่ต้องอ่านจนตาลาย ก็บอกได้เลยว่า เอเซนิสัยแย่จริงๆ!
    นัยหนึ่ง คาแรคเตอร์เอเซแหวกแนวฟิคแฟนตาซีทุกๆเรื่อง นอกจากไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว ยังเป็นคนนิสัยขวางโลก ไม่แคร์อะไรอีกต่างหากฟิคมีสเน่ห์ที่ตัวเอกแล้วนะครับ ดีใจด้วย
    - ช่วงเทรนกำลังจะโดนทำมิดีมิร้าย ...ขอบอกว่าโจรแต่ละคนหื่นมาก บรรยายได้เห็นภาพหมดเลย แต่ผมถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ต้องมีเพื่อ build อารมณ์ให้กับฟิค

    นอกจากเอเซ คาแรคเตอร์ของเทรนก็ดูชัดเจนขึ้นมาก ความเป็นเด็กสาวที่ไม่มีอะไรเลย (แม้แต่ฝีมือดาบน้อยนิดก็ไม่มี ซึ่งสอดคล้องกับสภาพการณ์ในฟิค คือสาวชาวบ้านจะสู้อะไรเป็นได้อย่างไรกัน) มีแต่ใจที่มุ่งมั่นอย่างเดียว และไม่ถึงขั้นห้าวเป็นเด็กชายเหมือนเทรนใน Legend ผมชอบบทบาทตรงนี้มากๆ

    ผมว่าเนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้แปลกเด่นอะไร แต่กลับรู้สึกว่าความสมจริงที่อาเซใส่มา ทำให้โทนของฟิคเรื่องนี้ (ผมขอเรียกสั้นๆว่า EC ละกัน) มีเอกลักษณืในตัวเอง ไม่ใช่เปิดมาก็แฟนตาซีจ๋า เหมือนหลักลอย แต่ในนี้ ทั้งนิสัยตัวเอก สภาพหมู่บ้าน นิสัยสันดานโจร และเด็กสาวอย่างเทรน สมจริงมากๆ ดีใจด้วยที่ adapt วิชาสังคมของตัวเองให้ลงตัวได้แล้ว (คนเรียนสังคมมันต้อง base บนความจริงใช่ไหมล่ะ)

    จุดบกพร่องเรื่องภาษาที่อยากให้แก้ไข

    บันได

    ตรงนี้น่าจะแทรกบทแย่งกันพูดของเด็กๆ จะได้เห็นภาพที่เซ็งแซ่ เช่น
    "มีเรื่องใหญ่!"
    "พวกมันมากันอีกแล้ว!"
    "มาเยอะเลย!"
    "ช่วยพวกเราด้วยนะๆๆ"

    รับรองเจี๊ยวจ๊าวได้ใจครับ

    ชุ่ม
    แล้วตาขวาที่บรรจุหินนี่..... แปลว่าถูกหินยัดเบ้าตาเรอะ!! เหยดดด
    โหดมาก แต่อ่านทีแรกมันมึนๆ เพราะเป็นวิธีที่ไม่ค่อยพบเห็น

    โห่ฮา

    ผมยอมรับตรงๆว่าสนุกกว่าของเดิมหลายเท่า รักษาระดับไว้ อย่าตกม้าตายซะล่ะครับ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  6. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    เอเซซัง เกรียนว่ะครับ

    ตัวจริงเกรีนยแบบนี้ป่าวครับเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  7. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    จิตมากพี่เกม เรื่องบรรยายก็เยี่ยมเหมือนเดิม แต่ผมว่าตอนสู้กับลูกกระจ๊อกนี่ปุ๊ปปั๊ปยังไงบอกไม่ถูกเหมือนอ่านสามก๊กเลย ฮ่าๆๆๆๆ

    แต่งวดนี้พระเอก?สงสัยจะหน้าเงินจริงๆ

    ปอลอ.สงสารเทรนจริงๆทำให้นึกถึงนางเอกเรื่องฮาเมรุนยังไงบอกไม่ถูก
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  8. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    พออ่านแล้วให้ความรู้สึก...........อยากแต่งบ้างอ่ะ กร๊ากกก แต่ตอนนี้ภาษาดรอปมากเพราะไม่มีเวลาแต่ง พรากกกกกกกกกก

    คิดว่าจุดที่น่าจะแปลกกว่าอันอื่นคงเป็นอารมร์ฟิคแล้วก็คาแรคเตอร์นะ....แต่ก็ยังพูดอะไรมากไม่ได้ต้องรอตามต่อ

    ขออภัยที่คอมมเนท์สั้นไป กร๊ากกกกกกกกกก อ่านมารอดได้นี่บุญแล้ว นะ เบลอมากมาย ไว้จะมาแก้ตัวตอนหน้า

    พยายามเข้าสู้ ๆ!!
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  9. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    เทรนยังต้องเจออะไรอีกเยอะครับ

    ส่วนเรื่องชื่อตัวละครนั้น บอกตรงๆผมขี้เกียจคิดใหม่ (ฮา) หยิบเอาชื่อผองเพื่อนพี่น้องร่วมบอร์ดมาใช้นี่แหละ สนุกดี(?)


    ขอบคุณครับ จะค่อยๆแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดไปเรื่อยๆครับ


    เป็นคอมเมนต์ที่ยาวมากแต่คนเขียนชอบครับ ชอบคอมเมนต์ยาวๆ
    น้อมรับทุกคำชมคำติครับ

    ไอ้ฉากยัดหินใตาขวานั่นก็ตามนั้นครับ ถูกเอาหินอัดกระแทกเข้าไปในเบ้าตา โหด เถื่อน สะใจคนเขียน

    ปล. คนเขียนก็เรียกเรื่องนี้ว่า EC [วิชาเศรษฐศาสตร์(?)] เหมือนกันแหละ ขี้เกียจเรียกยาว

    ตัวจริงเกรียนยิ่งกว่าเอเซสามเท่าครับ


    สู้กับลูกกระจ๊อกจะบรรยายทำไม ขนาดเจอหัวหน้ายังปามีดใส่ทีเดียวจบเลย

    ไม่เคยอ่านฮาเมรุนเลยไม่รู้ว่านางเอกโชคร้ายขนาดไหน แต่บอกได้เลยว่า เทรนติดหนึ่งในสิบนางเอกโชคร้ายแน่นอน


    เขียนสิเธอว์ เขาก็อยากอ่านงานของเธอว์นะ เขียนๆไปเดี๋ยวภาษาก็สวยเองแหละ


    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​

    ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากครับ เป็นกำลังใจให้คนเขียนมีแรงฮึดเขียนตอนใหม่มาให้อ่านอยู่เรื่อยๆ

    ส่วนตัวแล้ว ผมชอบ EC มากกว่า Legendary นะ (แหงสิ เรื่องเก่าเขียนได้ไม่ดีเท่าไร)
    มันดิบ-โหด-โฉด-เถื่อน-ดำมืด สะใจคนเขียน รู้สึกว่าตัวเองเขียนฉากการฆ่าการทำมิดีมิร้ายผู้หญิงได้ลื่นดีแฮะ //โดนคนอ่านกระโดดถีบ

    จะพยายามเขียนให้คงเส้นคงวาตลอดไปครับ

    Azemag A.C. McDowell
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    บทที่ 1
    1-2 น้ำใจ

    เวลาบ่ายแก่ๆกลางป่าทึบ เสียงเท้าย่ำใบไม้แห้งส่งเสียงดังไม่ขาดระยะผสานกับเสียงหอบหายใจของเด็กสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ทันกับผู้ชายที่เดินนำอยู่ข้างหน้า เขาเดิน เดิน และเดินมาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เทรนทั้งเหนื่อยและหิวแสบท้องเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำหยดเดียว


    “นี่! ข้าขอพักหน่อย เหนื่อยจะตายแล้ว” เด็กสาวบอกด้วยเสียงแหบแห้ง แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มได้ยินหรือแกล้งไม่ได้ยินกันแน่เพราะเขายังคงก้าวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ

    “ข้าบอกว่าขอพักหน่อยไม่ได้ยินรึไงกัน อีตาบ้า”

    เอเซหยุดเดินหันกลับมามองเด็กสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อยากพักก็ตามใจแต่ตามข้าให้ทันละ”

    “จะบ้ารึไง เดินเร็วอย่างกับจะไปตามควายหายที่ไหน ขนาดวิ่งยังตามไม่ทันขืนหยุดนั่งสักนาทีข้าคงหลงป่าตายแน่ๆ” เทรนโวยออกมาเป็นชุด

    “ดูเหมือนยังไม่หมดแรงที่จะด่าข้านะ”

    “ก็ข้าด่าเจ้าน่ะสิ เดินเข้าป่ามาตั้งครึ่งค่อนวัน เดินๆๆมาตั้งแต่เช้าข้าวก็ยังไม่ได้กินสักคำจะให้ข้าชมเจ้ารึไง”

    “ข้าไม่ได้ให้เจ้าตามมาด่าข้าแต่ให้มาทำงานให้ข้านะ” น้ำเสียงเย็นชาของเอเซทำให้เทรนชะงัก

    “เรื่องนั้นข้ารู้อยู่เต็มหัวแต่ขอทีเถอะนะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยมากต้องการพักสักเดี๋ยวหาอะไรกินสักคำดื่มน้ำสักอึกก็ยังดี ข้าขอแค่นี้คงไม่มากไปใช่ไหมคะ ? คุณ-เอ-เซ”


    เด็กสาวร่ายยาวเป็นหางว่าวก่อนจะเน้นเสียงท้ายประโยคประชดคู่สนทนาจ้องตาอีกฝ่ายไม่กระพริบ เอเซเป็นฝ่ายถอนหายใจแล้วทรุดตัวลงนั่งที่โคนต้นไม้

    “หายเหนื่อยเมื่อไรก็บอกข้าแล้วกัน”

    เทรนทิ้งตัวลงนั่งแผ่ขาแทบจะทันทีที่เขาพูดจบ สองมือประคบนวดสองขาและฝ่าเท้าให้คลายความตึงล้าอยู่พักใหญ่

    “แล้วนี่ข้าต้องทำอะไรให้เจ้าบ้างละ ?” เด็กสาวถามเริ่มบทสนทนา

    “...แล้วจะบอก”

    “ข้าต้องทำงานให้เจ้านานขนาดไหน ?” เธอยังถามต่อ

    “...หมดแล้วจะบอก”

    เด็กสาวเงียบไปสักพัก “ข้าจำเป็นต้องรู้อะไรบ้างเนี่ย ?”

    เอเซตอบกลับทันที


    “สิ่งที่จำเป็นสำหรับเจ้าในตอนนี้คือเงียบแล้วก็คิด คิดดูให้ดีว่าจะต้องทำอะไรบ้างให้ชีวิตรอดพ้นคืนนี้ ข้าจะไม่ช่วยเวลาเจ้าถูกงูกัดและไม่วิ่งไล่เสือที่คาบเจ้าไปแน่นอน”

    “ไอ้...”

    ยังไม่ทันที่เทรนจะอ้าปากด่าเขาให้ถนัด กระเป๋าหนังสีดำใบหนึ่งก็ถูกโยนจากมือของเขาเข้ากลางอกของเธอก่อน

    “งานชิ้นแรกที่ต้องทำ ในรัศมีสามร้อยเมตรจะต้องมีต้นไม้ที่มีใบแบบเดียวกับที่อยู่ในกระเป๋า จงไปเก็บใส่กระเป๋ามาให้เต็มก่อนค่ำ ถ้าต้นไหนมีดอกสีเหลืองอ่อนๆก็เด็ดมาทั้งดอกทั้งใบ หวังว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้คงทำได้นะ” เอเซสั่งงานรวดเดียวแล้วหลับตาเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ในทันที

    เด็กสาวเปิดกระเป๋าแล้วล้วงหยิบใบไม้ที่ว่าขึ้นมาดู มันเหมือนใบไม้ทั่วไปเพียงแต่มีความยาวกว่ามากจนคล้ายต้นหญ้า สีเขียวอ่อน ขอบใบเป็นหยักเล็กๆตั้งแต่โคนจนถึงปลายเสมอกันทั้งสองฝั่ง เธอหมุนใบไม้ในมือสองสามรอบ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    “ให้ทำงานน่ะก็ได้อยู่หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มองไปตรงไหนก็เห็นแต่ต้นไม้เหมือนกันไปหมด ถ้าข้าหลงป่าไปจะทำยังไง ?”

    เอเซเปิดเปลือกตาขวาขึ้นข้างเดียวมองเด็กสาวผมสีน้ำเงินตรงหน้า ล้วงเข้าไปในเป้หลังแล้วหยิบแกนไม้ที่ถูกกลึงจนเป็นทรงกระบอกขนาดพอดีมือมีด้ายสีดำพันอยู่ เขาปลดปลายด้ายถือไว้ในมือแล้วโยนแกนไม้ให้เทรน

    “ถึงจะโง่ขนาดไหนก็คงไม่ทำด้ายขาดหรอกนะ”

    เอเซว่าแล้วก็เอนตัวลงนอนเช่นเดิม เทรนนึกโมโหในท่าทีของเขาแต่ทำได้แค่ฮึดฮัดในใจ ลุกขึ้นปัดฝุ่นจากกางเกงออกเดินห่างไปเรื่อยๆ

    อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กสาวกลับมาพร้อมกระเป๋าที่บรรจุใบไม้มาเต็มปรี่ เธอเหนื่อยล้าไปทั้งกาย เหงื่อไหลซึมไปทั่วร่าง หิวจนมวนท้องหน้ามืด กระหายจนแสบคอ แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้เธอโกรธเคืองเท่ากับภาพตรงหน้า

    ไก่ป่าตัวหนึ่งเหลือแต่โครงกระดูกอยู่ข้างกองไฟ ขนาดของมันทำให้ครอบครัวหนึ่งอิ่มได้หนึ่งมื้อแต่บัดนี้เลือดเนื้อทั้งหมดของมันถูกเอเซกินลงกระเพาะไปหมดแล้วและเขากำลังนอนเอนกายพิงต้นไม้อย่างสบายใจ

    เทรนโมโหจัดเดินเข้าไปเหวี่ยงกระเป๋าลงข้างตัวเขา

    “คงอิ่มสบายเลยสิท่า โลกนี้คงไม่มีใครใจดำเท่ากับเจ้าอีกแล้วละ”

    เอเซหยิบกระเป๋ามาเปิดดูแล้วเก็บลงเป้หลังก่อนจะถามเธอ “ระหว่างทางเจ้าเห็นผลไม้สุกบ้างไหม ?”

    “...เห็น”

    “แล้วทำไมเจ้าไม่เก็บมันกิน ?”

    “แล้วทำไมเจ้าไม่เหลือเนื้อให้ข้าบ้าง ?”

    “ข้าเคยพูดเหรอว่าจะดูแลเจ้า คอยหาข้าวหาปลาให้กินทุกมื้อ”

    เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ในอกจนอึดอัดหายใจไม่ถนัด ใบหน้าชาด้านเหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่

    “ข้าไม่ได้หวังว่าเจ้าจะใจดีขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ควรมี ‘น้ำใจ’ กับข้าสักหน่อย”

    “สิ่งที่เจ้าเรียกร้องคงจะหาจากข้าไม่ได้” เขาตอบแล้วเอื้อมมือหยิบกระเป๋าสะพายบ่าและถุงกระเพาะวัวที่ว่างเปล่าออกมาวางข้างตัว

    “ของพวกนี้เป็นของเจ้า เดินไปทางทิศใต้มีลำธารเล็กๆอยู่ ระหว่างทางก็หาของกินให้อิ่ม หายเหนื่อยเมื่อไรก็บอก ข้าจะได้เดินทางต่อ”

    ชายหนุ่มพิงกายกับต้นไม้แล้วปิดตาลง เด็กสาวทำได้เพียงหยิบถุงกระเพาะวัวเดินไปตามทางที่เขาบอกด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่าโกรธหรือเสียใจกันแน่


    เด็กสาวกรอกน้ำและเก็บผลไม้เต็มกระเป๋าแล้วพักจนหายเหนื่อย จวบจนพระอาทิตย์เริ่มใกล้ลับขอบฟ้าเอเซก็ออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้รีบร้อนเดินทางแต่สังเกตพื้นที่รอบตัวอย่างละเอียดทั้งความสูงของต้นไม้ ทิศทางของลม ความลาดเอียงของพื้น ฯลฯ

    เขาเดินวนอยู่รอบพื้นที่เป็นเวลานานจนพอใจ ก่อกองไฟแล้วหย่อนตัวลงนั่งพิงต้นไม้พักผ่อนเงียบๆโดยมีเทรนนั่งอยู่ที่ต้นไม้ฝั่งตรงข้าม

    ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเหน็บ บรรยากาศมืดมิดวังเวงมีเพียงเสียงเพลงที่เหล่าแมลงกลางคืนช่วยกันขับร้องสอดประสาน ฝูงยุงป่าและแมลงมากมายบินวนว่อนรอบกองไฟแล้วค่อยๆผล็อยร่วงลงสู่พื้นเพราะปีกที่แสนเปราะบางถูกความร้อนแผดเผาจนสูญสลาย

    เด็กสาวปัดป่ายเนื้อตัวเพราะถูกยุงร่อนลงกัดตลอดเวลา เธอเหลือบมองผู้ชายตรงหน้าที่นอนหลับลงโดยไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด เธอแหงนหน้ามองลอดใบ้ไม้มองผืนผ้าสีดำที่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงดาวพราวพร่าง ไกลออกไปเป็นพระจันทร์เสี้ยวสุกสว่างลอยเด่น

    บางทีพระจันทร์กับเธอคงจะเหมือนกัน อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในค่ำคืนนี้


    เทรนถูกปลุกแต่เช้ามืด ถึงจะมีแสงสว่างบ้างแต่ยังมองรอบตัวไม่ชัด กองไฟดับสนิทและถูกกลบด้วยดิน เธองัวเงียหันมองซ้ายขวาแล้วแหงนมองเอเซยืนพิงต้นไม้ในสภาพพร้อมเดินทางก็รู้ดีว่าหมดเวลาสำหรับการพักผ่อนแล้ว เด็กสาวสะบัดหัวไล่ความง่วงแล้วตบแก้มตัวเองสองสามทีคว้ากระเป๋าสะพายบ่าแล้วยืนขึ้นทันที

    เอเซหันมองเธอเล็กน้อยไม่พูดอะไรแล้วออกเดินทางทันที

    เหตุการณ์เช่นนี้วนเวียนราวกับภาพฉายซ้ำ ทั้งสองไม่พูดคุยกัน มีเพียงการเดินตัดป่าข้ามทุ่งเลาะห้วยไปเรื่อยๆราวกับไม่มีจุดหมายปลายทาง จนกระทั่งวันที่สามของการเดินทาง

    “พอจะบอกได้ไหมว่าเจ้าจะไปไหนกันแน่ ?” เทรนหมดความอดทนกับความเงียบโพล่งถามขณะเดินตามหลัง

    “ข้าไปทุกแห่งที่มีงานให้ข้าทำ”

    “ล่าค่าหัว ?” เด็กสาวถามอีกครั้ง

    เขาไม่ตอบคำถามแต่เดินเร็วขึ้นจนเทรนต้องจ้ำเท้าตาม แต่ครู่เดียวเขาก็หยุดเท้าหันหลังกลับมาสั่งเธอด้วยเสียงที่จริงจังกว่าปรกติ

    “ยืนอยู่นิ่งๆอย่าขยับ”

    เทรนไม่เข้าใจกำลังจะถาม แต่ถูกเขาจ้องด้วยสายตาคมปลาบจึงต้องเงียบและทำตามที่เขาสั่ง

    เสียงต้นไม้ล้มตึงดังสนั่นป่าพร้อมกับเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ไม่ห่างจากจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่ เสียงฝีเท้าหนักๆกดเหยียบใบไม้และกิ่งไม้เล็กตามพื้นเข้าใกล้มาเรื่อยๆ

    หมีป่าตัวใหญ่เดินสี่เท้าเข้ามาใกล้เอเซเรื่อยๆ มันคำรามด้วยเสียงห้าวทุ้มแล้วหยัดยืนขึ้นฟาดเล็บแหลมคมเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆจนเปลือกไม้แตกกระจาย ความสูงมากกว่าสองเมตรครึ่ง ดวงตาสีเหลืองสดแสดงให้เห็นถึงความเกรี้ยวกราดดุดัน

    เด็กสาววัยสิบหกเพิ่งเคยเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าดุร้ายในระยะประชิดเป็นครั้งแรกแทบจะครองสติไม่อยู่ ทั่วร่างสั่นเทิ้มราวกับเป็นไข้ เหงื่อไหลย้อยทั่วร่างกระทั่งซอกมือยังชื้นชุ่ม หัวใจเต้นระส่ำรุนแรงไม่เป็นจังหวะหายใจไม่ถนัดเหมือนถูกบางอย่างรัดคอเอาไว้

    “อย่าส่งเสียง”

    เอเซบอกเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบสงบนิ่ง ยืนกอดอกพิงต้นไม้ไม่ไหวกายแต่ดวงตาจับจ้องประสานสบเข้ากับดวงตาของหมียักษ์ มันแยกเขี้ยวขู่คำรามเหมือนจะไล่ให้มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าไปให้พ้นเสียมิฉะนั้นจะขย้ำฆ่าให้ตาย

    นักล่าค่าหัวหนุ่มยังคงรักษาอิริยาบถที่สงบนิ่งไว้ จมูกยู่ย่นของหมียักษ์ขยับส่งเสียงฟุดฟิดพ่นลมหายใจออกมายาวๆ มันคำรามอีกครั้งแต่เสียงเบาลงกว่าครั้งแรกมากแล้วย่อตัวลงแล้วเดินสี่ขาผ่านเอเซหายเข้าป่าด้านหลังเขาไป

    เทรนเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งปากสั่นยังไม่หายตระหนกตกใจ

    “พยายามอย่าพูดมากเกินจำเป็นนัก”

    เอเซเตือนเธอแล้วขยับเดินต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากออก กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วลุกขึ้นเดินตามเขาไปทั้งที่ยังหน้าซีดตัวสั่นไม่หาย


    เป็นเวลาเกือบห้าวันนับตั้งแต่เริ่มเดินทาง เด็กสาวที่เพิ่งก้าวเท้าออกสู่โลกกว้างกำลังตื่นตากับหมู่บ้านที่ใหญ่โตและคึกคักต่างจากหมู่บ้านเล็กๆที่เธอเกิดและเติบโตมา หมู่บ้านของเธอเป็นชุมชนของเกษตรกรและชาวปศุสัตว์เช่นเดียวกับครอบครัวของเธอ แต่ที่นี่เป็นหมู่บ้านของพวกพ่อค้าวานิช ร้านรวงและสินค้ามากมายมีให้เลือกซื้อแทบทุกหัวมุมถนน ลานกลางหมู่บ้านแปรสภาพเป็นตลาดขนาดใหญ่ เสียงคนซื้อและคนขายดังอึงมี่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

    เอเซและเทรนเข้าพักในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนไปด้านหลังของหมู่บ้าน ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบและห่างไกลจากแหล่งค้าขาย

    “เฮ้ นี่มันอะไรกันเนี่ย ?” เทรนโวยวายเมื่อตามหลังเอเซเข้าไปในห้องที่มีเพียงเตียงเดียว ชายหนุ่มหันกลับมามองเธอต่างคำถามว่ามันเป็นปัญหาตรงไหน

    “จะให้...ให้ข้านอนเตียงเดียวกับเจ้ารึไงกัน ?” เด็กสาวละล่ำละลักถาม

    “แล้วใครบอกให้เจ้ามานอนเบียดข้าบนเตียง ?” เอเซทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ปลดสัมภาระ ดาบและมีดวางไว้ ถอดรองเท้าออกวางไว้ที่ปลายเตียงอย่างรวดเร็ว

    “เจ้าจะให้ข้านอนพื้นงั้นเรอะ”

    “ใช่”

    “โว๊ย ข้าละปวดหัวกับเจ้าจริงๆเลย” เด็กสาวหัวเสียกระฟัดกระเฟียดสุดขีด

    “อยากนอนตรงไหนก็ตามใจเจ้าแล้วกัน”

    เอเซซุกมีดไว้ใต้หมอนกอดดาบต่างหมอนข้างแล้วปิดตานอนทันที เทรนโกรธจนตัวสั่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตะโกนเสียงดัง

    “โธ่เว้ย!”

    กลางดึกคืนนั้นเด็กสาวนอนตัวสั่นด้วยความหนาวอยู่บนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ ไม่มีผ้าปูรอง ไม่มีผ้าห่มสักผืน น้ำตาเอ่อรินไหลโดยไม่รู้ตัว


    เทรนตื่นขึ้นมาเมื่อแสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบร่างของเธอจนร้อน เอเซตื่นและออกไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้มีเพียงเป้สัมภาระอยู่ปลายเตียงให้เธออุ่นใจได้ว่าเขาไม่ได้หลอกเธอมาทิ้งไว้ที่นี่

    เธอเดินเข้าไปในห้องเล็กๆอีกห้องหนึ่ง วักน้ำขึ้นล้างหน้าให้สดชื่นแล้วกลับมานั่งบนเตียงตั้งใจจะเปิดดูภายในเป้ของเอเซแต่แล้วก็เปลี่ยนใจล้วงหยิบผลไม้ในกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมากินแก้หิว สักพักหนึ่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามครั้งและเปิดออก

    “ตื่นแล้วเหรอคะ ?” ผู้ที่มาเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุราวๆยี่สิบปี เทรนสังเกตการแต่งกายก็เข้าใจได้ว่าเธอเป็นคนของโรงแรมแห่งนี้

    “คุณเอเซฝากข้อความไว้ว่าหากตื่นแล้วให้รออยู่ในห้องอย่าไปไหนนะคะ”
    “อ้อ แล้วนี่ก็อาหารสำหรับวันนี้ค่ะ”

    หญิงสาวยกถาดใส่จานที่มีขนมปังยาวอบสามก้อนวางไว้ที่โต๊ะข้างประตู โค้งหัวเล็กน้อย ปิดประตูแล้วเดินกลับลงไปข้างล่าง

    “รออยู่ในห้องรึ ?” เด็กสาวยิ้มมุมปาก

    “ฝันไปเถอะ”เทรนดีดตัวขึ้นจากเตียงวิ่งไปที่ประตูห้องทันที


    ถนนพลุกพล่านด้วยผู้คนมากมาย รถและเกวียนเทียมวัวเทียมม้าวิ่งสวนทางไปมาบนถนนจนดูลายตา เสียงโหวกเหวกโวยวายขายซื้อสินค้าดังลั่นจนปวดหู

    แต่ทั้งหมดคือความน่าตื่นตาตื่นใจของเด็กสาว

    เทรนเดินดูของตามร้านต่างๆรวมถึงแผงลอยของพ่อค้าเร่ข้างทาง ตุ๊กตากลที่แค่ไขลานก็สามารถเดินหมุนเป็นวงกลมได้เองเหมือนมีชีวิต ตุ๊กตาผ้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตบรรจงสวยงาม แต่สิ่งที่เธอสนอกสนใจเป็นพิเศษคือหีบเพลงที่เพียงเปิดออกก็สร้างท่วงทำนองไพเราะฟังได้ไม่รู้เบื่อ เธอนั่งอมยิ้มฟังเพลงจากกล่องมากมายที่เจ้าของร้านเปิดให้ฟังจนแทบจะลืมทุกสิ่งรอบกาย

    เด็กสาวรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเหมือนกับหายไปจากร่างกายจนหมดสิ้น

    เทรนเดินทอดน่องวนดูทุกตรอกซอกซอยอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่าย เธอเห็นฝูงคนมุงล้อมอะไรบางอย่างจึงสนใจเข้าไปดู

    “จะจ่ายหรือไม่จ่ายวะ ?” เสียงห้าวแหบๆของใครคนหนึ่งดังมาจากกลางวงล้อม

    “คนแถวนี้เขาก็จ่ายกันทั้งนั้น เอ็งกล้ามาจากไหนวะถึงไม่ยอมจ่าย”


    เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้ชายดังลั่นตามมา เทรนรีบแทรกตัวเบียดกายฝ่าคนที่ล้อมอยู่เข้าไปจนเห็นผู้ชายสามคนรุมกระทืบผู้ชายคนหนึ่ง ชายผมดำนั่งเก้าอี้อยู่บนระเบียงหน้าร้านเหล้ากำลังจิบเบียร์แก้วใหญ่มองดูอย่างเย็นใจ

    เสียงซุบซิบจากบรรดาคนที่มุงอยู่จับใจความได้ว่าหมอนี่เป็นพ่อค้าหน้าใหม่มาจากทางเหนือไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้กับเจ้าถิ่น บ้างก็บอกว่ายอมจ่ายไปก็จบเรื่องแล้วแท้ๆ


    “จะจ่ายหรือไม่จ่าย หา ?”

    หนึ่งในสามลิ่วล้อคนหนึ่งเอื้อมลงบีบคอพ่อค้าที่บังอาจขัดขืน ยกขึ้นจนขาลอยจากพื้นแล้วอัดด้วยกำปั้นเข้าที่สีข้างเต็มแรง ร่างนั้นทรุดลงตัวงอกับพื้นไอแรงๆเพราะจุกเสียด ลิ่วล้ออีกคนตามกระทืบซ้ำที่หน้าอก ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

    ขวานเล่มหนึ่งถูกโยนลงมาจากหน้าร้านเหล้าปักลงข้างๆร่างของพ่อค้า

    “ถ้ามันไม่จ่ายก็ตัดแขนซ้ายเอาเลือดมันมาแกล้มเบียร์”

    เสียงของชายผมดำที่อยู่หน้าร้านเหล้าดังก้องสะท้านและทรงพลัง ไม่มีใครกล้าทัดทานแม้แต่คำเดียว

    สิ้นคำบัญชาของเขา ขวานก็ถูกฉวยขึ้นเงื้อเหนือหัวแล้วฟาดสับตัดแขนซ้ายของเหยื่อทันที เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องตกใจของหญิงสาวรอบรายและเสียงตะโกนห้ามของเทรนดังขึ้นในวินาทีเดียวกัน เลือดสดๆพวยพุ่งออกจากแขนซ้ายที่ไร้ข้อมือสาดไปทั่วบริเวณ เสียงร่ำร้องด้วยความทรมานจากปากของพ่อค้าหนุ่มดังต่อเนื่องไม่ขาดตอน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเขาแม้แต่คนเดียว

    “พอ พอได้แล้ว!”

    เทรนดันตัวเองออกจากบรรดาคนที่มุงดูเข้าไปดูอาการของชายหนุ่มที่กลายเป็นคนพิการ แต่ยังไม่ทันที่จะถึงร่างของเขากลับกลายเป็นเธอเองที่ถูกคว้าจับข้อมือแล้วบิดไพล่หลัง ความเจ็บปวดที่ข้อมือ ข้อศอกและหัวไหล่ทำให้เธอกรีดร้องออกมา

    “ปล่อยนะ ปล่อย!” เด็กสาวพยายามดิ้นให้หลุดแต่ก็ไร้ประโยชน์

    “กล้าจริงนะยัยหนู” คนที่ล็อกแขนของเธอเป็นชายร่างเล็กผมเผ้ารุงรังมีรอยสักที่ไหล่ทั้งสองข้าง ผมสีดำสั้นเรียบ

    “ลูกสาวใครวะ หน้าไม่คุ้นเลย”คนที่ใช้ขวานทำร้ายพ่อค้าเป็นชายร่างใหญ่บึกบึน หัวล้านเลี่ยน

    “ลูกไอ้ขี้งกนี่รึเปล่า ?” ชายร่างสูงโปร่งอีกคนพูดพร้อมพยักพเยิดหน้าไปทางพ่อค้าแขนด้วน

    “ไอ้พวกบ้า! ทำไมต้องทำร้ายคนไม่มีทางสู้ด้วย ปล่อยนะ ปล่อย!”

    “อุตส่าห์มาให้เชือดถึงที่ ปล่อยก็โง่สิวะ” ชายร่างเล็กที่ล็อกแขนอยู่ตะคอกใส่หูของเธอสุดเสียง

    “ยังมีใครกล้าเข้ามาช่วยอีกไหมวะ ? เข้ามาเลยถ้าไม่กลัวแขนขาดเหมือนมันน่ะ” ไอ้ถึกชูแขนควงขวานเข้าหาฝูงคนมุงจนแตกกระจายไปคนละทาง

    “เอาไงดีพี่ ?” อีกคนหันไปถามชายที่อยู่บนร้านเหล้า

    คนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่’ ลุกขึ้นจากเกาอี้เดินลงมาพร้อมแก้วใบเขื่องในมือขวาใส่เบียร์สีเหลืองสดไว้เต็ม เขายกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

    “ทุกคนก็รู้ดีว่าที่หมู่บ้านนี้ไม่มีพวกโจรบุกโจมตีหรือดักปล้นสินค้าของก็เพราะพวกเราคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ กับเงินตอบแทนเล็กน้อยๆทำไมถึงมีปัญหานักนะ”

    ทุกคนที่ยืนล้อมอยู่เงียบงัน ไม่มีใครเถียง ไม่มีใครสอดปากแทรก ทางด้านพ่อค้าที่ถูกตัดมือซ้ายสลบไปแล้วและอีกไม่นานก็คงต้องตาย

    “ต่อไปนี้ถ้าใครกล้าไม่จ่ายก็เตรียมตัวขุดหลุมศพได้เลย” เขาขว้างแก้วเปล่าลงพื้นจนแตกยับแล้วกวาดตามองรอบตัว ไม่มีใครสักคนกล้าสบตาเขา

    “แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากโจรหรอก” เทรนตะโกนด่าสวนมา “ไอ้พวกทำนาบนหลังคน!”

    คนที่ถูกด่าหยุดมองหน้าคนด่าแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง ยกนิ้วขึ้นกวักเป็นสัญญาณให้พาตัวเด็กสาวปากดีตามเขาไป ชายร่างเล็กเข้าใจในทันทีออกแรงดันตัวเทรนจากด้านหลังให้เดิน

    “ปล่อยนะ ปล่อย! ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

    เทรนตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดัง รอบข้างก็มีคนไม่ต่ำกว่าร้อยมุงดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แต่ไม่มีใครสักคนขยับกาย บางคนก้มหน้าทอดสายตาสู่ผืนดินไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น บ้างก็ส่ายหน้าถอนหายใจให้กับโชคชะตาของเธอ

    เสียงร้องขอความช่วยเหลือและร่างของเด็กสาวหายเข้าไปในร้านเหล้า เสียงโห่ฮาดังลั่นขึ้นและเงียบหายไปเมื่อประตูไม้หนาทึบถูกปิดสนิท

    ไม่นานนักเสียงกรีดร้องของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้งที่ชั้นสอง
  11. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    จบค้างเกินไปแล้ว!! =o=

    แต่ไม่นึกว่าจะช่วยไม่ทันขนาดนี้แฮะ งานเข้าซะแล้วล่ะเทรนเอ๋ย
  12. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อูอาาตอนใหม่ๆ อารมณืเหมือนดูละครช่องเจ็ดตอนพระเอกลากนางเอกเข้าป่าไม่มีผิด ยิ่งเขียนฟิคยิ่งหนักและดำมืดขึ้นเรื่อยๆ แอบสงสารเทรนจริงๆนะเนี่ยหุๆ
  13. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ไม่เม้นท์เรื่องสำนวนแล้วนะ ถือว่าผ่านแล้ว ควรจะดีใจนะที่ไม่เจอเม้นท์ยาวๆ เพราะมันแปลว่าคุณภาพงานดีขึ้นจนไม่มีอะไรให้ติแล้ว

    EC ตอน 2 มีตัวละครแค่สองคน แต่เขียนออกมาได้ดีมากๆ ตอนกลางเป็นการเดินทางที่ไม่มีอะไร ถ้าเขียนไม่ดีก็น่าเบื่อ แต่นี่อ่านแล้วลุ้นตลอด ลุ้นว่าเอเซจะช่วยเทรนเมื่อไร และเทรนจะเจออะไรอีก เอเซก็พอมีน้ำใจนิดหน่อยนะในมุมมองผม แต่เป็นน้ำใจเถื่อนๆตามประสานักเดินทางเดียวดาย ช่วยก็ช่วยแบบพยุงไม่ให้ตาย ที่เหลือเจ้าตัวต้องเอาตัวรอดเอง
    เรื่องนี้ไม่กลัวที่จะใส่ฉากโหดเพื่อดึงอารมณ์เลย = =" ฉากพ่อค้าถูกสับแขนนี่เป็นอะไรที่..... นึกว่าเทรนจะพุ่งเข้าไปช่วยก่อน
    เทรนเป็นเด็กสาวคุณธรรมสูง แต่ไม่มีฝีมือ เลยซวยซ้ำซวยซ้อน น่าสงสารมากๆ ...

    ลืมไปว่า ช่วยบรรยายเสื้อผ้าเทรนหน่อยได้ไหม นึกภาพอะไรไม่ค่อยออกเลย

    ผมชอบรายละเอียดที่ใส่มาเรื่องกล่องดนตรี ตุ๊กตาไขลาน ในตลาดของเมือง รู้สึกว่ามันเป็นสินค้าที่ทันสมัยแต่ก็มีความเก่า กลมกลืนกับยุคสมัยในเรื่อง ผมถือว่าทำออกมาได้ดีครับ อ่านแล้วไม่ขัด ไม่เหมือนนิยายหลายๆเรื่อง

    สองตอนสอบผ่านโคตรๆ เราจะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
  14. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    มาคอมเม้นท์แล้วตามที่เคยบอกไว้แบบเลทมาก ๆ

    รู้สึกว่าคนเขียนตั้งใจเขียนมากสำหรับเรื่องนี้ เพราะงั้นก็จะตั้งใจเม้นท์แบบมีสาระสุด ๆ ให้ละกันนะ (จริง ๆ อ่านแล้วอยากเม้นท์แบบนั้นด้วย ฮา)


    ขอคอมเม้นท์เฉพาะตอนแรกก่อนละกัน ตอนนี้มีเวลาอ่านแค่ตอนแรกตอนเดียวอ่ะ
    จะตั้งใจคอมเม้นท์ทุก ๆ ตอนเหมือนที่นายตั้งใจเขียน


    คิดอยู่เหมือนกันว่าหลายคนคงจะแปลกตากับสไตล์การเขียนแบบใหม่ของนายพอสมควร และเราเองก็เป็นแบบนั้น
    ความรู้สึกตอนแรกที่เริ่มอ่านคือ ... นี่มันอะไรกันวะ ?

    ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ แต่คิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจพอสมควร

    และขออธิบายความแตกต่างในความรู้สึกนี้แบบเปรียบเทียบจุดเด่นของ EC กับ Legendary ละกัน (ซึ่งจริง ๆ คนอื่นก็พูดไปหมดแล้วละมั้ง แต่เราจะเม้นท์ให้สมใจอยากนาย ฮา)


    รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดของ Legendary คือการใช้บทรับ บทส่ง และบทพูดที่ (เรียกว่าไงดีหว่า) ... ลื่นไหล มีการแทรกมุข และอารมณ์ขันแบบเป็นตัวของคนเขียนมาก (และลักษณะของตัวละครก็โดดเด่นจากส่วนนั้น) ซึ่งมันน่าสนใจมากขึ้นเพราะบทบรรยายระหว่างพูดด้วย และนั่นคือสิ่งที่เราเห็นว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดมากอย่างหนึ่ง

    แตกต่างจาก EC อย่างชัดเจน

    ความเป็นแฟนตาซีและความสบายตาเวลาอ่านแบบนั้นยังไม่ปรากฏสำหรับเรานะ -- แต่ขอย้ำว่ามันไม่ใช่เรื่องไม่ดี มันเป็นแค่สไตล์ที่เปลี่ยนไป เพราะ EC มีสิ่งที่ Legendary ขาดหลาย ๆ อย่างมาก

    การเขียนแบบแฟนตาซี ลื่นไหล และเน้นบทรับส่ง ให้คนอ่านเหมือนมีส่วนร่วมในวงสนทนา เป็นสัญลักษณ์ในการเขียนแบบหนึ่งของการ "เปิดเผย" ทุกอย่าง
    โดยทั่วไปแล้ว
    การเขียนแบบนี้มักทำให้คนอ่านรู้สึกว่า "คนเขียนไม่ปิดบัง" (แม้ว่าคนเขียนจะพยายามซ่อนปมและนิสัยของตัวละครไว้จากอดีตหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ตาม)
    แต่การทำให้ลักษณะนิสัยของตัวละคนเด่นชัดจากบทพูด อาจให้ความรู้สึกเปิดเผย ชัดเจน
    เราสามารถจินตนาการลักษณะนิสัย ความคิด ความรู้สึกของตัวละครต่าง ๆ ได้จากสิ่งที่เขาพูดตรง ๆ

    แต่...

    มันให้การกระตุ้นอารมณ์กับลักษณะนิสัยของตัวละครที่ต่ำมาก

    เพราะทุกอย่างอยู่ในเพียงบทพูด... ไม่มีสิ่งแยบคายกว่านั้น

    Legendary จึงมีแต่การบรรยายฉาก และบทพูด และสิ่งที่เรามองว่ามันขาดเสมอคือ การให้อารมณ์ ความรู้สึก ของการมีปมและความซับซ้อนในเนื้อเรื่อง

    แน่นอนว่านิยายทุกเรื่องย่อมมีปมให้เรื่องเดินไป Legendary ก็มีแบบนั้น เพียงแต่มันถูกถ่ายทอดมาแบบง่าย ๆ และไปแบบง่าย ๆ
    เมื่อตัวละคนเสียใจ เมื่อตัวละครโกรธแค้น... เรารู้ได้แค่จากคำพูดของเขา และพฤติกรรมแบบฉาบฉวย
    เรื่องราวและความเป็นมาของตัวละครคือบทบรรยาย ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่ไม่มี "บรรยากาศ" ที่ทำให้เราร่วมเศร้าตามไปกับตัวละคร

    แตกต่างจาก EC อย่างชัดเจน


    และนั่นคือสิ่งที่เราประหลาดใจมาก มากกว่าที่เคยได้อ่านใน Legendary นัก เพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนเขียนเดียวกันด้วยซ้ำ
    (อย่างนี้เรียกว่าพัฒนาขึ้นมากสินะ ในแง่ของการเขียนบรรยายและดึงอารมณ์)

    เอเซ -- ซึ่งขอเปรียบเทียบกับ อาเซแม็ก
    พูดน้อยมาก ไม่ใช่อัศวินใจดี (อย่าง Legendary) มันไม่ได้มีความเป็นไอเดียล (ideal) แบบพล๊อตนิยายแฟนตาซีปกติ และการปิดบังคำพูด เพื่อไปเสริมให้คนอ่านคิดว่า "ไอ้นี่แม่งรู้สึกยังไงอยู่นะ ? ทำไมมันถึงพูดแบบนี้ล่ะ ?" คือจุดที่สำคัญของการเปลี่ยนมิติในการบรรยายตัวละครด้วยคำพูด เป็นการบรรยายตัวละครด้วยเนื้อเรื่อง

    นี่ต่างหาก... ที่เป็นการบรรยายความคิด และความรู้สึกของตัวละคร แบบที่ไม่ต้องใช้อักษร แบบที่ไม่ต้องบอกว่า "เอเซเกรี้ยวกร๊าดวาดดาบไม่ไว้หน้า"

    มันให้ความรู้สึกตึง... กับนิสัยของเอเซ ให้ความรู้สึกว่า คนแบบนี้สิที่ควรจะพูดแบบนี้ และทำแบบนี้

    โดยไม่ต้องบอก


    นี่คือข้อดีข้อใหม่ของ EC ที่เราประหลาดใจมาก ๆ จริงๆ


    เทรน -- ซึ่งก็ขอเปรียบเทียบกับ เทรน (Legendary)
    ยังให้อารมณ์เดิม ๆ และลักษณะนิสัยเดิม ๆ แต่...
    มีมิติของการแสดงออกมากกกกกกกกก

    คนเขียนไม่บอกว่า เทรนคิดอะไร... แต่คนเขียนให้เทรนทำอะไร
    แล้วใช้คำพูดนั่นหล่ะที่สื่อสิ่งที่เทรนคิด

    แตกต่างจากใน Legendary ที่เทรนพูด เทรนคิด เทรนทำ... แต่เนื้อเรื่องที่ดำเนินไปไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกร่วมกับสิ่งที่เทรนทำเท่ากับ EC


    ขอพูดเรื่องบทบรรยายบ้าง...
    เราคิดว่าภาษาที่ใช้บรรยายฉากและเหตุการณ์ของ Legendary มันให้สำนวนทางภาษาที่สละสลวยกว่า EC
    แต่คำบรรยายแบบ EC เหมาะกับการเขียนแนวนี้มากกว่ามั้ง

    ถ้าเป็นไปได้ก็ลองปรับใช้สำนวนภาษาแบบ Legendary ใน EC ในบางช่วงอาจจะโอเคขึ้นในมุมมองเรามากกว่านี้นะ... แต่ถ้าติด ๆ ขัด ๆ แนะนำให้คงคอนเซปต์ของ EC ต่อไป
    เพราะบางทีเปลี่ยนการใช้ภาษาอาจทำให้อารมณ์และการดำเนินเรื่องรวน

    จนมันไม่เป็นแบบนี้


    ฟิคนี้เป็นอะไรที่น่าอ่านจาก Legendary คนละแบบดี... และเราก็ชอบสไตล์การดำเนินเรื่องแบบนี้ซะด้วย

    ปล. เห็นด้วยกับโบะ ๆ ว่ายังไงคนอ่านก็คิดเทียบกับ Legendary อยู่บ้างเหมือนกันแหะ
  15. Jammaster

    Jammaster New Member

    EXP:
    26
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    ผมมองว่าเป็น spin off ที่ทำให้ เอเซ กับ เทรน มีความเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาเยอะเลยครับจากนักดาบสุดเงียบกับศิษย์สาวกะโปโล กลายมาเป็นตัวเดินเรื่องที่แม้จะคาดเดาได้แต่ก็ไม่คิดว่าจะแสดงออกมาได้แบบนี้ทั้งสองตัวเลยทีเดียว การตัดตอนจบแต่ละช่วงถือว่าน่าติดตามขึ้นมากรอตอนต่อไปอยู่นะครับ
  16. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    จบแบบค้างๆคาๆนี่แหละ ชวนให้คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

    มันจะหนัก ดำมืด ยิ่งกว่านี้อีก
    อูอาาาาา

    ถ้าระดับภาษาตกเมื่อไร รบกวนช่วยชี้แนะด้วยขอรับ
    เรื่องเครื่องแต่งกายของเทรนต้องรออธิบายตอนจะออกเดินทางครั้งหน้าทีเดียวครับผม

    ดีใจที่นายมาคอมเมนต์
    คอมเมนต์ยาวๆแบบนี้คนเขียนชอบครับ

    ขอบคุณที่ติดตามครับ ช่วงหลังอาจจะลงช้าหน่อยเพราะว่างานเยอะครับ

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    RED ALERT !

    เนื้อหาตอนที่สามค่อนข้างรุนแรงและกระเทือนอารมณ์ (20++)
    โปรดพิจารณาและเตรียมตัวเตรียมใจก่อนอ่านครับ

    ปล. ดำเนินการ ถมขาว ไว้ 1 ย่อหน้า ลากเมาส์เพื่ออ่านครับ

    Aze McDowell
  17. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ========================================
    มีการถมขาวไว้ 1 ย่อหน้า กด Ctrl + A เพื่ออ่านครับ

    Aze McDowell
    ========================================



    บทที่ 1 นักล่าค่าหัว
    1-3 คลี่คลาย




    “โอ๊ย!”


    เด็กสาวถูกผลักเข้ามาในห้อง ร่างของเธอไถลกับพื้นไม้จนข้อศอกได้แผลถลอกเลือดไหลซึม

    เสียงปิดประตูดังลั่นทำให้เทรนละสติจากความเจ็บปวดและฉุกคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถลาไปที่ประตูไม้บานใหญ่ ผลักสุดแรงแขนแต่ก็ไร้ผล

    ประตูบานนี้มีกลอนสำหรับเปิดปิดจากด้านนอกเท่านั้น

    เทรนหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางออกอื่น มีขวดเหล้าเปล่าจำนวนหนึ่งที่มุมห้องทางขวาและ ‘หน้าต่าง’ อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

    เธอวิ่งไปทางออกแห่งสุดท้าย สองแขนเหยียดผลักเปิดบานหน้าต่างสุดแรง เสียงของโซ่เหล็กที่เหยียดตึงดังลั่นและหน้าต่างเปิดอ้ากว้างเพียงคืบ


    “บ้าเอ๊ย!” เทรนสบถออกมาอย่างหัวเสีย


    ประตูถูกเปิดออก เสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์จากข้างล่างดังให้ได้ยินพร้อมกับชายผมดำก้าวเข้ามาในห้อง เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อปฏิกิริยาของเหยื่อเป็นไปตามที่คิด เด็กสาววิ่งสุดกำลังหวังกระโจนผ่านด้านข้างออกประตูไป

    ข้อมือของเทรนถูกคว้าไว้ ร่างของเธอถูกเหวี่ยงกลับไปกลางห้อง ประตูปิดลงอีกครั้งหนึ่ง

    ชายผมดำยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มจนหมด โยนขวดเปล่าทิ้งไปมองเด็กสาววัยแรกรุ่นที่หน้าซีดตัวสั่น เขาขยับเดินเข้าหาพร้อมปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด


    “ถอยไป อย่าเข้ามานะ!” เทรนข่มความกลัวไว้ในใจตวาดเสียงดัง อีกฝ่ายเผยสีหน้าหื่นกามออกมาแล้วกระโจนเข้าหาในทันที


    เด็กสาวยกมือขวาขึ้นจะตบหน้าอีกฝ่ายเพื่อป้องกันตัว ทว่าข้อมือของเธอกลับถูกคว้าจับไว้ได้ก่อน ความเจ็บปวดเหมือนถูกคีมเหล็กบีบแน่นทำให้เด็กสาวร้องด้วยความเจ็บปวด

    เข่าแข็งๆพุ่งกระแทกท้องน้อยของเด็กสาววัยแรกรุ่น ความเจ็บแปลบวิ่งซ่านทั่วร่าง สองขาเต้นสั่นไม่อาจพยุงกายได้อีกต่อไป

    ชายผมดำเลื่อนมือลงต่ำปลดเข็มขัดทั้งๆที่ยังจับข้อมือของเด็กสาว กางเกงขาวยาวสีน้ำตาลหลุดลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงไปกองที่ข้อเท้า กลิ่นเหม็นหืนโชยปะทะจมูกของเด็กสาวจนเธอต้องเบือนหน้าหนี

    ร่างของเธอถูกคร่อมทับในจังหวะต่อมา ลิ้นสากๆถูกลากเลียไปทั่วคอขาวผ่อง เด็กสาวรู้สึกสะอิดสะเอียนพยายามดันตัวหนีแต่ก็ไม่เป็นผล ปากของอีกฝ่ายรุกไล่ลงต่ำถึงเนินอก เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากขาดจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า

    ภาพความทรงจำเลวร้ายเมื่อครั้งบุกไปหาพวกโจรที่ฆ่าพ่อขอเธอผุดขึ้นมาในหัวสมอง ชะตากรรมเช่นนั้นหวนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง

    เทรนน้ำตารินไหลโดยไม่รู้ตัว สองแขนสองขาหยุดนิ่งปล่อยเรือนร่างถูกอีกฝ่ายลูบไล้โลมเลียเค้นคลึงโดยไร้การขัดขืน

    เด็กสาวกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดสุดเสียง ร่างบิดดิ้นทุรนทุรายเมื่อนิ้วที่หยาบกร้านสอดใส่ผ่านจุดบ่งชี้เพศ อีกฝ่ายกลับหัวเราะสะใจเมื่อเด็กสาวดิ้นทุรนทุรายเลือดไหลซึมเปรอะหว่างขาจนแดงฉาน มันจับข้อเท้าของเทรนยกสูงขึ้นพาดบ่าเตรียมตัวที่จะเผด็จศึกในขั้นตอนสุดท้าย


    ในวินาทีคับขันที่เทรนกำลังจะถูกย่ำยีพรหมจรรย์ วัตถุบางอย่างได้พุ่งมาจากหน้าต่างโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ขมับของชายผมดำ

    ฝ่ายที่เป็นเป้าสังหารพลิกตัวหลบไปด้านหลัง มีดเล่มใหญ่จึงพุ่งปักตรึงกับกำแพงไม้แทนพร้อมกับปลายผมที่ถูกตัดขาดร่วงลงสู่พื้น


    “ลอบกัดคนตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเนี่ยไม่น่าชื่นชมเลยนะ” ชายผมดำลุกขึ้นยืนบอกกับชายปริศนาที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง


    เทรนเหลือบมองไปยังทิศทางนั้น ม่านน้ำตาและแสงสว่างจ้าทำให้มองหน้าชายคนนั้นไม่ชัด เพียงเห็นแค่เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเท่านั้น

    “เอ...เซ ?” เสียงแผ่วเบาเล็ดรอดออกจากลำคอของเทรน


    “ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่ถ้ากล้าแหย่หนวดเสือก็คงรู้นะว่าจะเกิ...”

    ยังไม่ทันที่ชายผมดำจะพูดข่มขู่จบมีดอีกเล่มก็พุ่งเข้ามาจนเขาต้องฉีกตัวหลบ และเมื่อรู้ตัวอีกทีเบื้องหน้าของเขาก็ถูกบดบังด้วยเงาทะมึนของศัตรูแล้ว



    บรรดาพ่อค้าและชาวเมืองบางส่วนที่ยังจับกลุ่มอยู่หน้าร้านเหล้าต่างตื่นตระหนกอกสั่นขวัญแขวนอีกคราเมื่อร่างของยอดนักเลงที่คอยกดขี่ข่มเหงทุกคนลอยละลิ่วจากหน้าต่างชั้นสองลงมานอนเปลือยกายสลบเหมือดอยู่กลางถนน

    ลิ่วล้อสี่คนที่นั่งอยู่หน้าร้านต่างสำลักเบียร์กันถ้วนหน้าเมื่อเห็น ‘ลูกพี่’ ของพวกมันอยู่ในสภาพปางตาย

    “เฮ้ย! ลูกพี่เกิดเรื่อง”

    ใครคนหนึ่งยกเท้าเปิดประตูร้านสุดแรงแล้วตะโกนบอกเข้าไป เสียงเฮฮาเงียบลงในอึดใจ มีคนโผล่หน้าออกมาดูข้างนอกสองสามคนแล้วหันกลับเข้าไปพร้อมเสียงโหวกเหวกโวยวายดังฮือขึ้นอีกครั้ง

    “ข้างบนโว๊ย” ชายร่างผอมบางที่มีรอยสักบนบ่าทั้งสองข้างชักดาบออกจากฝักชี้ขึ้นบนชั้นสอง ชายฉกรรจ์กว่าสามสิบคนในร้านเหล้ากรูขึ้นบนชั้นสองเหมือนฝูงหมาป่าได้กลิ่นเนื้อสด


    เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก สองคนที่นำอยู่หัวขบวนกลับถูกดาบที่ไวดุจสายฟ้าแทงทะลุคอหอยแทบจะพร้อมกัน ร่างที่ไร้วิญญาณหงายหลังพร้อมเลือดแดงฉานที่พุ่งจากปากแผลสาดกระเซ็นไปทั่ว

    พริบตานั้นคมดาบสีเงินก็ตวัดปาดคอคนที่ตามมาด้านหลังกลายเป็นศพไปอีกสามราย

    เลือดที่พุ่งออกมาเป็นห่าฝนบดบังสายตาของคนอื่นที่เหลือบวกกับทางเข้าที่ค่อนข้างแคบทำให้เอเซมีเวลาใช้มือขวาเอื้อมหยิบแท่งไดนาไมต์ที่เหน็บอยู่กับเข็มขัด มือซ้ายหยิบก้านไม้ขีดลากกับเข็มขัดจนเปลวไฟสีส้มอ่อนลุกไหม้ขึ้น

    เมื่อสายชนวนติดไฟจนเกิดเสียงดังชี่ๆ ไดนาไมต์สามแท่งก็ลอยละลิ่วออกจากประตูลงสู่ชั้นล่างที่โกลาหนวุ่นวาย

    สามวินาทีไม่ขาดไม่เกิน เสียงระเบิดดังสนั่นปะทุขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้อาคารทั้งหลังโยกคลอน กระจกแก้วแตกร้าว เสียงไม้ปริฉีก ฝุ่นผงจากหลังคาร่วงกราวเป็นม่านหมอกควันสีดำพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวด

    เมื่อชายร่างยักษ์ที่เป็นคนลงขวานตัดแขนของพ่อค้าได้สติเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงแสงสีเงินตวัดวูบอยู่ท่ามกล่างเขม่าควัน ร่างของพรรคพวกล้มตายดุจใบไม้ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง เสียงฝีเท้าที่ขยับเข้าใกล้ทีละก้าวทำให้สติของมันกระเจิดกระเจิงจนฉี่ราดไม่รู้ตัว

    รสชาติสุดท้ายที่มันสัมผัสคือได้คือคมดาบที่เย็นเฉียบไร้ปรานี



    หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ชายผมดำ – โดมินิค เอนริเก้ ถูกเปลือยกายจับมัดล่ามโซ่ไว้ในคอก นอนคลุกหญ้าฟางไม่ต่างกับวัวควาย

    เอเซนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆพิงเสาต้นหนึ่งหน้าคอกม้าปล่อยให้เวลาผ่านไปคล้ายรอคอยบางสิ่ง



    จวบคนกระทั่งสามวันให้หลัง นายทหารสิบนายควบม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในเวลาไม่สายมากนัก ทั้งหมดลงจากหลังม้ายืนแยกยืนเป็นสองแถวหน้ากระดานเรียงห้าอย่างแข็งขัน ผ่านไปได้ไม่นานบุรุษผู้หนึ่งควบม้าเข้ามาในหมู่บ้าน นายทหารทั้งสิบตบเท้าทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน

    ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่พากันจับกลุ่มมุงดูปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากในชีวิตนี้อยู่ห่างๆ

    ผู้ที่มามีดวงตาสีทองเปล่งประกาย เส้นผมหนาสั้นสีเข้มกว่าดวงตาเล็กน้อยชวนให้ดูแปลกตา ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย

    แม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้นำหน่วยทหารแต่เขากลับอยู่ในชุดลำลองธรรมดาๆ เสื้อเนื้อละเอียดสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีเดียวกัน กางเกงเนื้อหนาสีน้ำตาลแก่และรองเท้าหุ้มข้อสีขาวที่เปรอะโคลนเหมือนไม่เคยล้าง

    ผิดกับทหารใต้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มเก็บชายไว้ในกางเกงขายาวสีดำคาดด้วยเข็ดขัดสีขาวสนิท รองเท้าหนังสีดำสวมทับปลายกางเกงสูงถึงใต้เข่า มือทั้งสองก็อยู่ภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาดสะอ้าน สวมหมวกปีกกว้างสีเดียวกับเสื้อประดับด้วยขนนกที่ถูกย้อมเป็นสีของท้องฟ้า ดาบยาวถูกบรรจุในฝักเงินห้อยอยู่ข้างตัวอย่างเป็นระเบียบ

    ชายผมทองลงจากหลังม้าตรงไปยังคอกวัวที่เอเซนั่งอยู่พลางกล่าวทักทายอย่างสนิทสนม “โทษทีที่ต้องให้รอนานพอดีงานมันเยอะ”

    แต่เอเซไม่ตอบคำถามทั้งยังไม่ทักทายกลับสักคำเดียว

    “แขกคนสำคัญของข้าเป็นยังไงบ้างละ ?”

    เอเซยกมือชี้ไปยังด้านหลัง ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปในด้วยท่วงท่าสบายเหมือนเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง

    “ไง เพิ่งพบกันครั้งแรกสินะคุณโดมินิค เอนริเก้”

    “เจ้า...เป็นใคร”

    “ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าชื่อ ‘เนียร์ เซเวนสตาร์’ หัวหน้าหน่วยเคลื่อนที่เร็วแห่งสหพันธรัฐออกัสตินัส ได้รับมอบหมายให้คุมตัวนักโทษผู้มีค่าหัวในเขตใต้ไปรับการตัดสินโทษ ณ นครออกัสตินัส รวมถึงสิทธิ์ในการประหารชีวิตหากนักโทษขัดขืนการจับกุมหรือคิดหลบหนี”

    คำตอบแม้จะสุภาพแต่ก็แฝงแรงกดดันที่ทำให้คนฟังต้องตัวหดลีบลำคอขยับกล้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

    “ถ้าอย่างนั้น...โปรดรอข้าสักครู่ก็แล้วกัน ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางก่อน”


    เนียร์ เซเวนสตาร์กลับหลังหันออกจากคอกม้ามุ่งตรงไปยังอาคารไม้ที่อยู่ใจกลางหมู่บ้าน ที่นั่นมีชาวหมู่บ้านมารออยู่กันอย่างคับคั่ง

    ภายในห้องกว้างมีทั้งชายหนุ่มหญิงสาวคนเฒ่าคนแก่และเด็กตัวเล็กๆนั่งอยู่ ตรงกลางห้องมีโต๊ะและเก้าอี้หนึ่งชุด บนโต๊ะประกอบไปด้วยอาหารที่จัดเตรียมไว้สำหรับเขา

    เนียร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เลี้ยวซ้ายไปอุ้มเด็กหญิงวัยห้าหกขวบคนหนึ่งไว้ เดินไปที่กลางห้องแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วชิงพูดขึ้นท่ามกลางความตกใจของทุกคน


    “ขอบคุณในความหวังดีของทุกท่าน แต่ข้าชอบล้อมวงนั่งคุยแบบนี้มากกว่านะ”

    “ข้าชื่อ เนียร์ เซเวนสตาร์ เป็นทหารในกองทัพสหพันธรัฐออกัสตินัส เรียกข้าว่าเนียร์เฉยๆก็ได้ ข้าไม่ใช่คนมากพิธีรีตอง”


    เขาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแต่น้ำเสียงเป็นกันเอง ชาวบ้านต่างนิ่งเงียบเหมือนถูกสะกดด้วยมนต์ชนิดหนึ่ง เนียร์ทิ้งจังหวะเหลือบมองไปรอบๆแล้วพูดต่อว่า


    “เพื่อไม่ให้เสียเวลา ข้าขอถามอะไรบางอย่างก็แล้วกันนะ”


    เนียร์ซักถามอย่างเรียบง่าย ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างถ้วนถี่ทุกถ้อยคำ ถามแล้วฟังฟังแล้วถามซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งเขาหมดข้อสงสัย

    เขากล่าวขอบคุณชาวบ้านและย้อนกลับมายังคอกม้าซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวนักโทษชั่วคราว ตรงเข้าไปหาเอเซที่นั่งบนเก้าอี้หลับตาพิงเสาอยู่


    “ถึงเวลาสะสางหนี้สินะ ?” เนียร์ถาม อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าตอบ

    หัวหน้าหน่วยเคลื่อนที่เร็วพยักหน้าตอบแล้วออกคำสั่ง “นายทหารบัญชี รับคำสั่ง”

    “ครับ” เสียงขานรับดังขึ้นจากนายทหารลำดับที่เก้าในแถว ผู้ที่ถูกเรียกเดินหน้าสามก้าวแล้วหักเลี้ยวขวามายืนอยู่ด้านซ้ายมือเยื้องไปข้างหลังผู้บังคับบัญชาเล็กน้อย

    “บันทึกไว้ว่าวันที่สิบหก เดือนสาม นักโทษคดีปล้นฆ่า โดมินิค เอ็นริเก้ได้ถูกจับกุมตัวโดยนักล่าค่าหัว ส่วนรางวัลนำจับให้ทบเพิ่มในบัญชี - 012605”

    “รับทราบครับ” นายทหารบัญชีรับคำสั่ง ทำความเคารพแล้วถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิม

    “หมดธุระของข้าแล้ว ขอตัวก่อน”

    เอเซลุกขึ้นโดยพลันเมื่อกระบวนการนี้สิ้นสุด สาวเท้าเดินออกไปจากคอกม้าแห่งนี้ไปในทันที เนียร์ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งสัญญาณมือให้ทหารในบังคับบัญชาดำเนินการควบคุมตัวนักโทษตรงหน้าออกไป



    บนเตียงอ่อนนุ่มและอบอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้จางๆ เทรนนอนหลับใหลไม่ได้สติมาสามวันสามคืนซ้ำยังมีไข้ขึ้นสูง หลานสาวเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่เฝ้าพยาบาลเสมือนเธอเป็นน้องสาวแท้ๆแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนสามวันสามคืนติดเช่นกัน

    ประตูห้องถูกเปิดออก แม้จะแฝงไว้ด้วยความเบามือแต่ด้วยอายุการใช้งานของมันก็ทำให้เกิดเสียงและเพียงพอที่ทำให้หญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ปลายเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้

    เมื่อหล่อนเห็นคนที่เดินเข้ามาก็เป่าปากถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านนี่เอง ข้าตกใจแทบแย่แน่ะ”


    “เมื่อไรจะฟื้น ?”

    “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไข้ของนางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยด้วย” หลานสาวเจ้าของโรงแรมตอบด้วยความเหนื่อยอ่อน

    “ข้าจะเดินทางอีกสามชั่วโมง ปลุกยัยเด็กนี่ให้เตรียมตัวไว้ด้วย”

    “หา ?” หญิงสาวร้องเสียงหลงแต่ก็รีบยกมือขึ้นปิดปากทันที “แต่ว่า...แต่ว่าไข้ของเธอยังไม่ลดเลยทำไมไม่ให้เธอพักให้หายก่อนละคะ ?”

    “ข้าให้เจ้าปลุกนางไม่ได้ให้เจ้าย้อนถามข้า อีกสามชั่วโมงถ้ายัยเด็กนี่ไม่ตื่นข้าจะปลุกเอง”

    “แต่ว่า...”


    ยังไม่ทันจะได้พูดจบหญิงสาวก็ต้องรีบเก็บปากก้มหน้ามองพื้นเมื่อสายตาเย็นเยียบของคู่สนทนาจ้องลงมาอย่าเงียบงัน


    “ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปเตรียมตัว”

    เอเซสั่งเฉียบขาดแล้วหันหลังกลับแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนที่ยืนขวางประตูอยู่เป็นเนียร์ เซเวนสตาร์


    “ข้าว่า...ข้าหมดธุระกับเจ้าแล้วนะ”

    “ก็ว่างั้น” เนียร์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

    “แล้ว...ต้องการอะไรอีก”

    “ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นสาวน้อยที่อยู่บนเตียงโน่นต่างหาก” ชายหนุ่มผมทองตอบพลางชี้นิ้วไปที่เทรน

    เอเซปฏิเสธทันที “เสียใจด้วย ข้าจะออกเดินทางต่อและยัยเด็กนั่นก็ต้องไปกับข้า”

    “จะรีบร้อนไปไหนกันละ”

    “เรื่องนั้นข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”


    เอเซตอบแล้วเดินออกประตูไป แต่เนียร์พูดขัดขึ้นอีกครั้ง


    “เด็กสาวคนนี้เป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญนอกจากนั้นยังเป็นผู้รับเคราะห์คนหนึ่ง นอกจากนี้ข้าเองก็มีหน้าที่สืบสวนหาข้อมูลของเหตุการณ์ทั้งหมด”


    เนียร์หยุดพักถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม

    “เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรละ ?”

    เอเซหันกลับมาสบตากับชายหนุ่มผมทอง จ้องมองเพียงชั่วครู่ก็หันหลังกลับพร้อมกับพูดว่า “หากหน้าที่ของเจ้ายังไม่สิ้นสุดข้าก็คงไปไหนไม่ได้...เจ้าหมายความอย่างนี้สินะ”

    “ก็ราวๆนั้น” เนียร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง แต่คนถามไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบแล้ว

    ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง ยื่นถุงผ้าถุงหนึ่งให้กับหลานสาวเจ้าของโรงแรม

    “ต้มยานี้ป้อนให้เธอทุกชั่วโมงด้วยนะครับ”

    หญิงสาวรับถุงยาแล้วรีบออกไปดำเนินการทันที

    เนียร์มองดูเด็กสาวหน้าตาสะสวยที่นอนหลับอยู่บนเตียงชั่วครู่แล้วถอยออกจากห้องไปเงียบๆ
  18. Jammaster

    Jammaster New Member

    EXP:
    26
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    เดี๋ยวนะ มีตอนที่บุกไปหาโจรที่ฆ่าพ่อของเทรนด้วยเหรอ เอหรือผมอ่านข้ามไป ตอนนี้จบไม่คาใจแล้วแต่ก็เต็มอิ่มดีครับถึงจะเป็นเนื้อหาไม่มาก
  19. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนนี้รู้สึกเหมือนการบรรยายที่มีมาในสองตอนแรกจะดรอปลงไปนะ บางส่วนสำนวนออกแข็งทื่อไปซะหน่อยแต่ส่วนที่เหลือก็รู้สึกว่าดีแล้วน่ะนะ

    ว่าแต่เอเซนี่ใจร้อนจริงแฮะ กะจะลากไปทั้งที่ยังป่วยๆอยู่นี่เลยหรือไงเนี่ย
  20. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    จริง ๆ เหมือนจะต้องคอมเม้นท์ตอน 1-2 ด้วย แต่ขอรวบเป็นฉากเดียวกับ 1-3 เลยละกันนะ เพราะเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน -- จริงก็มีคอมเม้นท์ของ 1-2 อยู่ในเม้นท์นี้ด้วยหล่ะ เพราะมันต้องเทียบกับ 1-3

    (ยังคงคอนเซปต์เฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นนะ พวกเนื้อเรื่องทั้งหมด จะขอดูต่อไปก่อนอีกยาว ๆ ฮา)
    และตามที่เจ้าตัวรีเควสมาว่าขอคอมเม้นท์"ด้านภาษา"ก็จะจัดให้

    จากการอ่าน 1-2 กับ 1-3 ขอคอมเม้นท์ใน 3 ส่วนนะ

    ส่วนที่ 1) การใช้ภาษา
    จริง ๆ แล้วไม่ค่อยอยากคอมเม้นท์ทางด้านภาษาเท่าไหร่ เพราะบางทีเหมือนรู้สึกยัดเยียดความสละสลวยทางภาษาที่ตัวเองชอบให้คนอื่น แต่...เมื่อเจ้าขอมา เราก็จะจัดให้
    (แต่จะพยายามละเรื่องสำนวนไว้ละกันนะ จะเน้นคอมเม้นท์การใช้ภาษาและการใช้ภาษาให้ไหลลื่นไปกับเนื้อเรื่อง)

    จริง ๆ ส่วนตัวเริ่มชินกับการใช้ภาษาในเรื่องแล้ว ตั้งแต่บท 1-1 กับ 1-2
    แต่พอมาอ่าน 1-3 แล้วแอบกระตุกตรงคำซ้ำ

    ไม่ใช่ 1-1 กับ 1-2 ไม่เป็นนะ... มันมีการใช้คำซ้ำบ้าง ซึ่งโดยส่วนตัวถือว่าเกินความจำเป็น แต่ยังไม่ทำให้อรรถรสเสียเพราะอ่านแล้วไม่ได้รู้สึกชะงัก
    แต่พอเข้าบท 1-3 ไปได้ไม่นานแล้วเจอการใช้ภาษาประเภทนี้เลยแอบนิ่ง ๆ
    จริง ๆ สำนวนการบรรยายทางภาษาตรงนี้โอเคเลยนะ เห็นภาพ มีการเล่นสัมผัส แล้วก็ดึงอารมณ์ได้ดี
    เพียงแต่...
    สิ่งที่ทำให้มันเสียอรรถรสทางภาษาไปมาก คือ "สรรพนาม"

    ที่บอกว่าชินไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ การใช้คำแทนตัว คำเรียก และสรรพนามของตัวละคร ที่คล้าย ๆ กัน เช่น ถ้าจะพูดถึงเทรน ก็จะมี "เทรน" "เด็กสาว" "เธอ" ซะส่วนใหญ่
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และถึงจะมีเยอะ แต่อ่านแล้วไม่ขัด (เหมือนบท 1-1 กับ 1-2) ก็เป็นไปได้

    ที่เป็นแบบนั้นเพราะการใช้สรรพนามซ้ำ ๆ พวกนี้ มักมีเหตุการณ์ หรือสรรพนามของคนอื่นมาเกี่ยวข้อง หรือการบรรยายอื่น ๆ แทรก เช่นการบรรยายฉาก

    และสรรพนามพวกนี้ไม่ได้ถูกวางเรียงต่อ ๆ กันพร้อม ๆ กัน ในสองสามประโยคติด ๆ

    ในทางวรรณกรรมเค้าก็จะมีการใช้คำเรียกอื่น ๆ โดยอาจเอาสถานการณ์หรือสภาวะของตัวละครมาเป็นสรรพนามเรียกแทน
    ถ้าลองเปลี่ยนเป็น
    ภาษาส่วนสองนอกจาก "สรรพนาม" แล้วก็คือ "คำเชื่อม" โดยเฉพาะคำว่า "ที่" ซึ่งนักเขียนทุกคนเผลอเป็นกันทั้งนั้นหล่ะ ตอนเขียนมันก็ไหลไปตามภาษาที่เคยใช้เลยรู้สึกไม่ขัด แต่ถ้าอ่านแบบใส่รายละเอียดจริง ๆ แล้วจะพบว่า บางทีก็ใช้จนเฝือไป
    "ที่" บางอันไม่ต้องใส่ก็ได้
    "ที่" บางอันเปลี่ยนเป็นคำอื่นก็ได้

    เช่น
    ถ้าลองเปลี่ยนเป็น

    มันทำให้ "สำนวนการบรรยาย" ดีดีของนายเสียรสชาติไปเยอะ
    จริง ๆ แล้ว สำนวนการบรรยายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ สรรพนาม และ คำเชื่อม นี่เราว่ามันพริ้วดีแล้วนะ
    และ สรรพนาม กับ คำเชื่อม นี้ ไม่เป็นปัญหาในบท 1-1 กับ 1-2 เท่าไหร่
    คือ... มันมีบ้างหล่ะ แต่ยังอยู่ในส่วนที่รับได้ ไม่เสียอรรถรสมาก

    เฉพาะการใช้ภาษาในสองส่วนนี้ ก็ทำให้สูญเสียสำนวนภาษาและความดึงดูดอารมณ์ผู้อ่านซึ่งทำได้ดีใน 1-1 กับ 1-2 ไปพอสมควรแล้ว


    ส่วนที่ 2) เนื้อเรื่อง
    จริง ๆ ส่วนนี้เป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ (เพราะยังไม่สามารถแสดงความเห็นเต็ม ๆ ได้)
    แต่ที่เอามาพูด เพราะอ่านไปแล้วก็นึกตลกในใจจนอยากแอบแซว

    ด้วยความรู้สึกส่วนตัวที่ได้อ่านตอนนี้ (1-3)
    บท 1-1 กับ 1-3 ยังเป็นส่วนในบทเดียวกันคือบทที่ 1

    แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการดำเนินไปแบบคล้าย ๆ กัน จนแอบนึกว่า
    "เทรน" ต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ ๆ ไปไหน ทำอะไร ก็จะโดนข่มขืนท่าเดียว

    (ฮา)

    เอาจริง ๆ แล้วถ้าอ่านแยกตอนกัน มันก็โอเคนะ ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่ว่าพอมันยังอยู่ในบทเดียวกัน แบบคั่นกลางแค่ตอนย่อย 1 ตอน มันก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นการบรรยายเรื่องเดิม ที่มีอะไรมาคั่นช่วงกลางแว่บนึง

    จริง ๆ ส่วนตัวแล้วคิดว่า การใช้สถานการณ์ซ้ำ ๆ มันไม่แปลกนะ และสามารถเพิ่มอรรถรสได้ ถ้าเว้นระยะหน่อย

    พลาดเองหล่ะที่ย้อนกลับไปอ่านตอน 1-1 กับ 1-2 ด้วย... ถ้าอ่านแยกอย่างเดียวคงไม่ได้นึกถึงส่วนนี้ขึ้นมา

    แต่ก็... มันยังเป็นส่วนของเนื้อเรื่อง... ถือซะว่าเป็นเรื่องแซวละกัน เพราะบางทีเนื้อเรื่องที่ดูแหม่ง ๆ แรก ๆ อาจจะไปส่งผลได้ดีในตอนท้ายก็ได้ (มีหลายเรื่องที่เป็นแบบนี้) ก็เลยไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรไปก่อน เดี๋ยวจะไปทำลายกำลังใจในการเขียนตามพล๊อตคนเขียน (ฮา)]


    ส่วนที่ 3) การดำเนินเรื่อง
    เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่อยู่... ตามความรู้สึกแล้วเป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องภาษาอีก
    การเชื่อมระหว่าง 1-2 กับ 1-3 ทำได้ดีนะ... เพราะแม้ในเรื่องจะเป็นสถานการณ์เดียวกัน แต่เขียนต่างระยะเวลากัน การจะผสานและเชื่อมอารมณ์ของเรื่องที่ถูกเขียนขาดออกจากกันคนละช่วงเวลาเป็นอะไรที่ยากพอดู แต่นายก็ทำได้ดี

    เสียแต่ว่า การเชื่อมฉากและเหตุการณ์ในตอน 1-3 เองที่ทำเสียรสชาติและการปูพื้นบรรยากาศและการบรรยายเรื่องของ 1-1 กับ 1-2 จนสังเกตได้

    หลังฉากที่เอเซมาช่วยเทรนแล้ว ทุกอย่างดู
    "รวบรัด" "ตัดความ" "ใช้บทพูดแทนการบรรยายฉากและท่าที"

    ฉากบางฉากที่ควรตัดระยะเวลาด้วยบทบรรยายเพื่อให้คนอ่านรู้สึก "นาน" ตามเหตุการณ์เนื้อเรื่อง ก็ดูรวบรัดและ "เร็ว" ไม่สมกับเวลาในเรื่อง
    เช่น
    ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะแยกเหตุการณ์เป็นแบบนี้
    และใช้การเชื่อมเหตุการณ์ระหว่างพูดกับชาวบ้าน กับเดินไปหาเอเซ ด้วยการทิ้งช่วงระยะเวลา -- อาจใช้คำบรรยาย หรือเทคนิคอื่น ๆ เข้ามาแทน


    สำหรับ "ใช้บทพูดแทนการบรรยายฉากและท่าที" ก็ทำให้การดำเนินเรื่องดูแปลก ๆ
    -- จริง ๆ แล้ว "การใช้บทพูดแทนการบรรยายและท่าที" มันเป็นกลวิธีที่ดีนะ เอามาใช้ได้ และดึงอารมณ์ได เมื่อมันถูกใส่ไว้ถูกต้อง... แต่การดำเนินเรื่องโดยรวมของตอนนี้ดูไม่เหมาะที่จะเล่นเพราะมันฉีกวิธีการบรรยายเรื่องตั้งแต่ต้นเลย

    การใช้บทพูดแทนการบรรยายฉากและท่าที ที่บอกก็
    เช่น
    ซึ่งตามมาด้วย

    มันเลยทำให้ทุกอย่างดูห้วนไปหมด แล้วสูญเสียความทะมึนของบทที่ 1 ไปจนน่าตกใจ


    จากทั้งสามส่วนที่ว่ามา... เลยทำให้รู้สึกว่ามันต่างจาก "EC" และไม่ได้ไปในทางแบบ "Legendary" ซะทีเดียว

    Legendary มีข้อดีอย่างที่เคยบอกไป คือ มันเล่นด้วยสำนวนและการดำเนินเรื่องแบบเดียว และทำให้ลักษณะต่าง ๆ โดดเด่น (แม้จะไปลดคุณค่าเชิงปมเรื่องและการดำเนินเรื่อง)
    แต่จริง ๆ แล้ว Legendary ก็เคยเจอกรณีสำนวนและการดำเนินเรื่องเพี้ยน ๆ นี่นะ (ฮา)

    ก็หวังว่า... กลับมาเขียนใหม่ แล้วจะไหลลื่นไปได้เหมือนเดิมนะนาย
    เจอกันตอนหน้า อิ อิ อิ

    ปล. ทำไมรู้สึกว่าตัวเองมีสาระขนาดนี้เนี่ยยยยยยย
  21. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    มองเม้นท์บน

    ส่วนตัวผมไม่อะไรกับรอบนี้นะ คือ ผมอาจจะมองต่างจากอากิ แต่ผมว่าตอน 3 นี่สอบผ่านมากๆ

    ผมไม่ได้จะมองไปที่สรรพนามอะไรขนาดนั้น เพราะผมว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องมองผ่านไปบ้าง (ขอแย้งอากิหน่อย หมั่นไส้ว่ะ ฮา) ในฐานะที่ต่างคนต่างก็มีสำนวนไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่ว่าอ่านแล้วได้อารมณ์แค่ไหนมากกว่า
    ซึ่ง EC 3 นี่ อื้อหือ อยากจะชมฉากเรทซะจริงๆว่า ช่างบรรยายได้ถึงพริกถึงขิง ...อย่าหาว่าผมหื่นเลย แต่ตอนไอ้โจรถอดกางเกงจะปล้ำเทรนนั่นมันเป็นอะไรที่กระชากอารมณ์มากๆ มองเห็นทั้งบรรยากาศมืดๆ หน้าหื่นๆ ร่างกายสกปรกโสมมที่กำลังจะย่ำยีสาวรุ่น มันอาจจะเรทในสายตาหลายๆคน แต่ผมว่ามันเป็นองค์ประกอบที่ทำออกมาได้ดี

    เสียอย่างเดียวคือ การบรรยายช่วงนี้ดีมาก จนเด่นเกินช่วงอื่นแบบออกหน้าออกตา อาเซน่าเขียนฟิคโสมมสังคมสกปรก ผมว่ารับรองดังอ่ะ ดังกว่าแฟนตาซีแบบนี้อีก

    อื่นๆไม่มีอะไรจะเม้นท์ เพราะบทยังไม่เดินมาก ขอโทษนะแต่ว่า ผมชอบบทช่วงนั้นจริงๆ

    ถ้าไม่ถมขาวซะจะยิ่งอูอา
  22. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    มีเขียนไว้ในตอนแรกสุดเลยครับ
    ตอน 1-3 นี้เขียนจบช่วงแรกของเนื้อเรื่องแล้ว ต่อไปจะเข้าสู่บทใหม่เพื่อเปิดเผยเนื้อหาให้มากขึ้น รบกวนช่วยติดตามต่อไปด้วยครับ

    ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ครับ ผมก็ว่ามันดรอปลงไป เพื่อนหลายคนก็ทักว่าดรอปลงไปเลยตัดสินใจเขียนช่วงท้ายใหม่ครับ



    คอมเมนต์ของนายมันยาวจน quote ไม่หมด ดีใจด้วยนะ สหาย
    แล้วก็จงดีใจเป็นเท่าทวีเพราะคอมเมนต์ของนายทำให้เรา 'ตาสว่าง' เขียนตอนท้ายของตอนที่ 1-3 ใหม่ ขอบใจนายมาก

    สำหรับเนื้อเรื่อง จริงๆแล้วเทรนไม่ได้หน้าตาดีเท่าไร แค่ผู้ชาย(ตัวร้าย)ในจักรวาลของ EC มันหื่นผิดปกติก็เท่านั้นเอง กร๊ากกกกกก

    อยากให้เขียนฉากติดเรทอีกสินะ สินะ สินะ
    //โดนอีวานเตะ

    อยากจะบอกให้รู้ว่าการเขียนฉากติดเรท ฉากข่มขืนไม่ให้แรงเกินไป ไม่ให้อุจาดเกินไปมันทำยากมากกกกกกกกก
    เพื่อฉากนี้ ผมลงทุนถึงขั้นเสิร์จหาเว็บใต้ดิน (แนวๆนั้น) เพื่อศึกษาวิธีการเขียนฉากติดเรทเลยนะเอ้อ

    และประการสุดท้าย สามตอนที่ผ่านมา โลกในจักรวาล EC ที่นำเสนอไว้มันยังมืดมนไม่เท่ากับสิ่งที่ผมคิดไว้เลยนะ หึหึหึหึหึหึ
    เทรนน้อยยังต้องเจออะไรอีกเยอออออออออะ




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    เมื่อผมอ่านคอมเมนต์ของทุกๆคน รวมถึงพูดคุยกับเพื่อนๆคนอื่น
    ผมจึงตัดสินใจเขียนช่วงท้ายของตอนสามเสียใหม่ เพราะเมื่อผมย้อนกลับไปอ่านมันอย่างตั้งใจก็พบว่ามันมีข้อเสียตามที่หลายคนพูดไว้จริงๆ

    ผลลัพธ์ของมันจึงออกมาเป็นตอน 3-1 ฉบับ optional นี้

    ผมต้องรบกวนเพื่อนๆสมาชิกที่ตอบคอมเมนต์แล้ว อ่านตอนใหม่นี้แล้วช่วยคอมเมนต์ให้อีกรอบครับ

    Aze McDowell
  23. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163

    ========================================
    เขียนแก้ครึ่งหลังของตอนสามใหม่ครับ

    และมีการถมขาวไว้ 1 ย่อหน้า
    กด Ctrl + A เพื่ออ่านครับ

    Aze McDowell
    ========================================


    บทที่ 1 นักล่าค่าหัว
    1-3 คลี่คลาย



    “โอ๊ย!”

    เด็กสาวถูกผลักเข้ามาในห้อง ร่างของเธอไถลกับพื้นไม้จนข้อศอกได้แผลถลอกเลือดไหลซึม

    เสียงปิดประตูดังลั่นทำให้เทรนละสติจากความเจ็บปวดและฉุกคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เธอถลาไปที่ประตูไม้บานใหญ่ ผลักสุดแรงแขนแต่ก็ไร้ผล

    ประตูบานนี้มีกลอนสำหรับเปิดปิดจากด้านนอกเท่านั้น


    เทรนหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางออกอื่น มีขวดเหล้าเปล่าจำนวนหนึ่งที่มุมห้องทางขวาและ ‘หน้าต่าง’ อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

    เธอวิ่งไปทางออกแห่งสุดท้าย สองแขนเหยียดผลักเปิดบานหน้าต่างสุดแรง เสียงของโซ่เหล็กที่เหยียดตึงดังลั่นและหน้าต่างเปิดอ้ากว้างเพียงคืบ


    “บ้าเอ๊ย!” เทรนสบถออกมาอย่างหัวเสีย


    ประตูถูกเปิดออก เสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์จากข้างล่างดังให้ได้ยินพร้อมกับชายผมดำก้าวเข้ามาในห้อง เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อปฏิกิริยาของเหยื่อเป็นไปตามที่คิด เด็กสาววิ่งสุดกำลังหวังกระโจนผ่านด้านข้างออกประตูไป

    ข้อมือของเทรนถูกคว้าไว้ ร่างของเธอถูกเหวี่ยงกลับไปกลางห้อง ประตูปิดลงอีกครั้งหนึ่ง

    ชายผมดำยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มจนหมด โยนขวดเปล่าทิ้งไปมองเด็กสาววัยแรกรุ่นที่หน้าซีดตัวสั่น เขาขยับเดินเข้าหาพร้อมปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด


    “ถอยไป อย่าเข้ามานะ!” เทรนข่มความกลัวไว้ในใจตวาดเสียงดัง อีกฝ่ายเผยสีหน้าหื่นกามออกมาแล้วกระโจนเข้าหาในทันที


    เด็กสาวยกมือขวาขึ้นจะตบหน้าอีกฝ่ายเพื่อป้องกันตัว ทว่าข้อมือของเธอกลับถูกคว้าจับไว้ได้ก่อน ความเจ็บปวดเหมือนถูกคีมเหล็กบีบแน่นทำให้เด็กสาวร้องด้วยความเจ็บปวด

    เข่าแข็งๆพุ่งกระแทกท้องน้อยของเด็กสาววัยแรกรุ่น ความเจ็บแปลบวิ่งซ่านทั่วร่าง สองขาเต้นสั่นไม่อาจพยุงกายได้อีกต่อไป

    ชายผมดำเลื่อนมือลงต่ำปลดเข็มขัดทั้งๆที่ยังจับข้อมือของเด็กสาว กางเกงขาวยาวสีน้ำตาลหลุดลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกลงไปกองที่ข้อเท้า กลิ่นเหม็นหืนโชยปะทะจมูกของเด็กสาวจนเธอต้องเบือนหน้าหนี

    ร่างของเธอถูกคร่อมทับในจังหวะต่อมา ลิ้นสากๆถูกลากเลียไปทั่วคอขาวผ่อง เด็กสาวรู้สึกสะอิดสะเอียนพยายามดันตัวหนีแต่ก็ไม่เป็นผล ปากของอีกฝ่ายรุกไล่ลงต่ำถึงเนินอก เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากขาดจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า

    ภาพความทรงจำเลวร้ายเมื่อครั้งบุกไปหาพวกโจรที่ฆ่าพ่อขอเธอผุดขึ้นมาในหัวสมอง ชะตากรรมเช่นนั้นหวนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง

    เทรนน้ำตารินไหลโดยไม่รู้ตัว สองแขนสองขาหยุดนิ่งปล่อยเรือนร่างถูกอีกฝ่ายลูบไล้โลมเลียเค้นคลึงโดยไร้การขัดขืน

    เด็กสาวกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดสุดเสียง ร่างบิดดิ้นทุรนทุรายเมื่อนิ้วที่หยาบกร้านสอดใส่ผ่านจุดบ่งชี้เพศ อีกฝ่ายกลับหัวเราะสะใจเมื่อเด็กสาวดิ้นทุรนทุรายเลือดไหลซึมเปรอะหว่างขาจนแดงฉาน มันจับข้อเท้าของเทรนยกสูงขึ้นพาดบ่าเตรียมตัวที่จะเผด็จศึกในขั้นตอนสุดท้าย


    ในวินาทีคับขันที่เทรนกำลังจะถูกย่ำยีพรหมจรรย์ วัตถุบางอย่างได้พุ่งมาจากหน้าต่างโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ขมับของชายผมดำ

    ฝ่ายที่เป็นเป้าสังหารพลิกตัวหลบไปด้านหลัง มีดเล่มใหญ่จึงพุ่งปักตรึงกับกำแพงไม้แทนพร้อมกับปลายผมที่ถูกตัดขาดร่วงลงสู่พื้น


    “ลอบกัดคนตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเนี่ยไม่น่าชื่นชมเลยนะ” ชายผมดำลุกขึ้นยืนบอกกับชายปริศนาที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง


    เทรนเหลือบมองไปยังทิศทางนั้น ม่านน้ำตาและแสงสว่างจ้าทำให้มองหน้าชายคนนั้นไม่ชัด เพียงเห็นแค่เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเท่านั้น


    “เอ...เซ ?” เสียงแผ่วเบาเล็ดรอดออกจากลำคอของเทรน

    “ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่ถ้ากล้าแหย่หนวดเสือก็คงรู้นะว่าจะเกิ...”


    ยังไม่ทันที่ชายผมดำจะพูดข่มขู่จบมีดอีกเล่มก็พุ่งเข้ามาจนเขาต้องฉีกตัวหลบ และเมื่อรู้ตัวอีกทีเบื้องหน้าของเขาก็ถูกบดบังด้วยเงาทะมึนของศัตรูแล้ว




    บรรดาพ่อค้าและชาวเมืองบางส่วนที่ยังจับกลุ่มอยู่หน้าร้านเหล้าต่างตื่นตระหนกอกสั่นขวัญแขวนอีกคราเมื่อร่างของยอดนักเลงที่คอยกดขี่ข่มเหงทุกคนลอยละลิ่วจากหน้าต่างชั้นสองลงมานอนเปลือยกายสลบเหมือดอยู่กลางถนน

    ลิ่วล้อสี่คนที่นั่งอยู่หน้าร้านต่างสำลักเบียร์กันถ้วนหน้าเมื่อเห็น ‘ลูกพี่’ ของพวกมันอยู่ในสภาพปางตาย


    “เฮ้ย! ลูกพี่เกิดเรื่อง”


    ใครคนหนึ่งยกเท้าเปิดประตูร้านสุดแรงแล้วตะโกนบอกเข้าไป เสียงเฮฮาเงียบลงในอึดใจ มีคนโผล่หน้าออกมาดูข้างนอกสองสามคนแล้วหันกลับเข้าไปพร้อมเสียงโหวกเหวกโวยวายดังฮือขึ้นอีกครั้ง


    “ข้างบนโว๊ย” ชายร่างผอมบางที่มีรอยสักบนบ่าทั้งสองข้างชักดาบออกจากฝักชี้ขึ้นบนชั้นสอง ชายฉกรรจ์กว่าสามสิบคนในร้านเหล้ากรูขึ้นบนชั้นสองเหมือนฝูงหมาป่าได้กลิ่นเนื้อสด



    เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก สองคนที่นำอยู่หัวขบวนกลับถูกดาบที่ไวดุจสายฟ้าแทงทะลุคอหอยแทบจะพร้อมกัน ร่างที่ไร้วิญญาณหงายหลังพร้อมเลือดแดงฉานที่พุ่งจากปากแผลสาดกระเซ็นไปทั่ว

    พริบตานั้นคมดาบสีเงินก็ตวัดปาดคอคนที่ตามมาด้านหลังกลายเป็นศพไปอีกสามราย

    เลือดที่พุ่งออกมาเป็นห่าฝนบดบังสายตาของคนอื่นที่เหลือบวกกับทางเข้าที่ค่อนข้างแคบทำให้เอเซมีเวลาใช้มือขวาเอื้อมหยิบแท่งไดนาไมต์ที่เหน็บอยู่กับเข็มขัด มือซ้ายหยิบก้านไม้ขีดลากกับเข็มขัดจนเปลวไฟสีส้มอ่อนลุกไหม้ขึ้น

    เมื่อสายชนวนติดไฟจนเกิดเสียงดังชี่ๆ ไดนาไมต์สามแท่งก็ลอยละลิ่วออกจากประตูลงสู่ชั้นล่างที่โกลาหนวุ่นวาย

    สามวินาทีไม่ขาดไม่เกิน เสียงระเบิดดังสนั่นปะทุขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้อาคารทั้งหลังโยกคลอน กระจกแก้วแตกร้าว เสียงไม้ปริฉีก ฝุ่นผงจากหลังคาร่วงกราวเป็นม่านหมอกควันสีดำพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวด

    เมื่อชายร่างยักษ์ที่เป็นคนลงขวานตัดแขนของพ่อค้าได้สติเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงแสงสีเงินตวัดวูบอยู่ท่ามกล่างเขม่าควัน ร่างของพรรคพวกล้มตายดุจใบไม้ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง เสียงฝีเท้าที่ขยับเข้าใกล้ทีละก้าวทำให้สติของมันกระเจิดกระเจิงจนฉี่ราดไม่รู้ตัว

    รสชาติสุดท้ายที่มันสัมผัสคือได้คือคมดาบที่เย็นเฉียบไร้ปรานี




    หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ชายผมดำ – โดมินิค เอนริเก้ ถูกเปลือยกายจับมัดล่ามโซ่ไว้ในคอก นอนคลุกหญ้าฟางไม่ต่างกับวัวควาย

    เอเซนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆพิงเสาต้นหนึ่งหน้าคอกม้าปล่อยให้เวลาผ่านไปคล้ายรอคอยบางสิ่ง




    จวบคนกระทั่งสามวันให้หลัง นายทหารสิบนายควบม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในเวลาไม่สายมากนัก ทั้งหมดลงจากหลังม้ายืนแยกยืนเป็นสองแถวหน้ากระดานเรียงห้าอย่างแข็งขัน ผ่านไปได้ไม่นานบุรุษผู้หนึ่งควบม้าเข้ามาในหมู่บ้าน นายทหารทั้งสิบตบเท้าทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน

    ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่พากันจับกลุ่มมุงดูปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากในชีวิตนี้อยู่ห่างๆ

    ผู้ที่มามีดวงตาสีทองเปล่งประกาย เส้นผมหนาสั้นสีเข้มกว่าดวงตาเล็กน้อยชวนให้ดูแปลกตา ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย

    แม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้นำหน่วยทหารแต่เขากลับอยู่ในชุดลำลองธรรมดาๆ เสื้อเนื้อละเอียดสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีเดียวกัน กางเกงเนื้อหนาสีน้ำตาลแก่และรองเท้าหุ้มข้อสีขาวที่เปรอะโคลนเหมือนไม่เคยล้าง

    ผิดกับทหารใต้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มเก็บชายไว้ในกางเกงขายาวสีดำคาดด้วยเข็ดขัดสีขาวสนิท รองเท้าหนังสีดำสวมทับปลายกางเกงสูงถึงใต้เข่า มือทั้งสองก็อยู่ภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาดสะอ้าน สวมหมวกปีกกว้างสีเดียวกับเสื้อประดับด้วยขนนกที่ถูกย้อมเป็นสีของท้องฟ้า ดาบยาวถูกบรรจุในฝักเงินห้อยอยู่ข้างตัวอย่างเป็นระเบียบ

    บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างซุบซิบกันเซ็งแซ่เพราะหากคาดเดาอายุของเขา คำตอบที่ออกมาคงไม่มากไปกว่าตัวเลข 20 ปี

    เด็กหนุ่มวัยแค่นี้กลับมีหน้าที่ที่สำคัญยิ่ง ความสามารถของเขาย่อมไม่ธรรมดา



    ชาวเมืองคนหนึ่งออกมาต้อนรับเขาอย่างละล่ำละลักด้วยความหวั่นเกรงและเชื้อเชิญให้เขาตามไปยังอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ศูนย์กลางการค้าขายของหมู่บ้าน

    ภายในนั้นมีมีทั้งชายหนุ่มหญิงสาวคนเฒ่าคนแก่และเด็กตัวเล็กๆนั่งอยู่ ตรงกลางห้องมีโต๊ะและเก้าอี้หนึ่งชุด บนโต๊ะประกอบไปด้วยอาหารที่จัดเตรียมไว้สำหรับเขา

    หัวหน้าหน่วยหนุ่มยิ้มเล็กๆที่มุมปาก เลี้ยวซ้ายไปอุ้มเด็กน้อยอายุราวห้าหกขวบคนหนึ่งขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด เดินไปกลางห้องแล้วทิ้งตัวนั่งลงทันที

    เขาชิงพูดขึ้นท่ามกลางความตกใจของทุกคน


    “ขอบคุณในความหวังดีของทุกท่าน แต่ข้าชอบล้อมวงนั่งคุยแบบนี้มากกว่านะ”

    “ข้าชื่อ เนียร์ เซเวนสตาร์ เป็นทหารในกองทัพสหพันธรัฐออกัสตินัส เรียกข้าว่าเนียร์เฉยๆก็ได้ ข้าไม่ใช่คนมากพิธีรีตอง”


    เนียร์แนะนำตัวอย่างเป็นทางการด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ชาวบ้านต่างนิ่งเงียบเหมือนถูกสะกดด้วยมนต์ชนิดหนึ่ง เขาทิ้งจังหวะเหลือบมองไปรอบๆแล้วพูดต่อ


    “เพื่อไม่ให้เสียเวลา ข้าขอถามอะไรบางอย่างก็แล้วกันนะ”


    เขาถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่พ่อค้าผู้โชคร้ายถูกทุบตีแล้วพาตัวไปยังร้านเหล้า เด็กสาวคนหนึ่งโผล่มาแล้วถูกฉุดไปจนกระทั่งหลังชายหนุ่มที่มีผมและดวงตาสีน้ำตาลปรากฏตัวขึ้นหลังจากเกิดการระเบิดในร้านเหล้า

    เมื่อฟังเรื่องทั้งหมด นายทหารหนุ่มผมทองทำหน้าครุ่นคิดถึงบางสิ่งเป็นเวลาชั่วครู่ จากนั้นกล่าวขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ




    ณ คอกม้าหน้าหมู่บ้าน ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออกกว้าง ผู้ที่มาพร้อมแสงสว่างในตอนเที่ยงคือหัวหน้าหน่วยเคลื่อนที่เร็วแห่งสหพันธรัฐออกัสตินัส – เนียร์ เซเวนสตาร์


    “ไง...เอเซ ไม่เจอกันนานนะ”

    “ถ้าไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากเจอเจ้านักหรอกนะ เนียร์”

    ชายผมสีทองกล่าวทักชายผมสีน้ำตาลอย่างเป็นกันเอง แต่คำตอบที่เขาได้รับความห่างเหิน

    “ยังทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”

    “....'แขก' ของเจ้าอยู่ด้านหลังโน่นแน่ะ”


    นักล่าค่าหัวพูดตัดบท ยกนิ้วโป้งชี้ข้ามหัวตัวเองไปด้านหลัง

    เนียร์เหลือบตามองตามแล้วขยับเดินตามการชี้นำ


    “ไง เพิ่งพบกันครั้งแรกสินะคุณโดมินิค เอนริเก้”

    “เจ้า...เป็นใคร”

    “ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าชื่อ ‘เนียร์ เซเวนสตาร์’ นายทหารกินเงินเดือนแห่งสหพันธรัฐออกัสตินัส ได้รับมอบหมายให้คุมตัวนักโทษผู้มีค่าหัวในเขตใต้ไปรับการตัดสินโทษ ณ นครออกัสตินัส รวมถึงสิทธิ์ในการประหารชีวิตหากนักโทษขัดขืนการจับกุมหรือคิดหลบหนี”


    คำตอบจากปากของเขาทำให้คนถามต้องกล้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก คำพูดแม้จะสุภาพแต่แฝงด้วยแรงกดดันที่หนักหน่วง โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในโลกมืดมาอย่างโดมินิคย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขามี มีฝีมืออยู่ในระดับใดและมีอำนาจมากเพียงพอสำหรับชี้เป็นชี้ตายเขา

    เนียร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ หันหลังกลับมายืนต่อหน้าเอเซ

    “รีบๆทำให้มันจบเถอะ” นักล่าค่าหัวหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ

    “นายทหารบัญชี รับคำสั่ง”

    “ครับ” เสียงขานรับดังขึ้นจากนายทหารลำดับที่เก้าในแถว ผู้ที่ถูกเรียกเดินหน้าสามก้าวแล้วหักเลี้ยวขวามายืนอยู่ด้านซ้ายมือเยื้องไปข้างหลังผู้บังคับบัญชาเล็กน้อย

    “บันทึกไว้ว่าวันที่สิบหก เดือนสาม นักโทษคดีปล้นฆ่า โดมินิค เอ็นริเก้ได้ถูกจับกุมตัวโดยนักล่าค่าหัว ส่วนรางวัลนำจับให้ทบเพิ่มในบัญชี 012605”

    “รับทราบครับ” นายทหารบัญชีรับคำสั่ง ทำความเคารพแล้วถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิม

    “หมดธุระของข้าแล้ว ขอตัวก่อน”


    เอเซลุกขึ้นโดยพลันเมื่อกระบวนการนี้สิ้นสุด สาวเท้าเดินออกไปจากคอกม้าแห่งนี้ไปในทันที เนียร์ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งสัญญาณมือให้ทหารในบังคับบัญชาดำเนินการควบคุมตัวนักโทษตรงหน้าออกไป




    บนเตียงอ่อนนุ่มและอบอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้จางๆ เทรนนอนหลับใหลไม่ได้สติมาสามวันสามคืนซ้ำยังมีไข้ขึ้นสูง หลานสาวเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่เฝ้าพยาบาลเสมือนเธอเป็นน้องสาวแท้ๆแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนสามวันสามคืนติดเช่นกัน

    ประตูห้องถูกเปิดออก แม้จะแฝงไว้ด้วยความเบามือแต่ด้วยอายุการใช้งานของมันก็ทำให้เกิดเสียงและเพียงพอที่ทำให้หญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ปลายเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้

    เมื่อหล่อนเห็นคนที่เดินเข้ามาก็เป่าปากถอนหายใจอย่างโล่งอก


    “ท่านนี่เอง ข้าตกใจแทบแย่แน่ะ”

    “...เมื่อไรจะฟื้น ?” เอเซถามสั้นๆ

    “เธอยังมีไข้สูง คาดว่าอีกสามวันอาการคงทุเลาค่ะ” หลานสาวเจ้าของโรงแรมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยกมือขึ้นลูบหน้าผากเด็กสาวอย่างแผ่วเบา

    “อีกสามชั่วโมงข้าจะออกเดินทาง ปลุกยัยเด็กนี้ขึ้นมาแต่งตัวให้พร้อมไว้”

    “อะไรนะคะ ?” หญิงสาวร้องถามด้วยความตกใจ “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะเธอยังไม่หายเลย”


    เอเซเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้นเล็กน้อย


    “อีกสามชั่วโมงถ้ายัยเด็กนี่ยังไม่ตื่น ข้าจะเอาเชือกมัดขาแล้วลากไปเอง”

    “อย่านะคะ!”


    หญิงสาวผุดลุกขึ้นทำท่าจะห้ามแต่เธอก็ทรุดกลับลงไปนั่งตามเดิมเมื่อสายตาคมปลาบน่ากลัวราวสัตว์ป่าของเอเซจับจ้องลง เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าชายที่ยืนอยู่หน้าเธอสามารถฆ่าคนเป็นสิบได้ในชั่วเสียงกระดิ่งดัง พริบตานั้นเธอรู้สึกหนาวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก


    “เข้าใจแล้วนะ ?” เอเซถามซ้ำ แต่หญิงชาวบ้านอย่างเธอกลับรู้สึกว่ามันเป็นประกาศิตที่ต้องทำตาม




    “จะรีบร้อนไปไหนกัน หือ ?”

    เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากหน้าประตู ชายหนุ่มหันไปมองตามทิศทางเสียงและพบว่าผู้ถามคือเนียร์


    “ข้าว่าข้าหมดธุระกับเจ้าแล้วนะ”

    “ถูกต้อง” หัวหน้าหน่วยผมทองตอบคำถามของเอเซ

    “แล้วโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกทำไมกัน” นักล่าค่าหัวฉายาวิหคสายฟ้าถามแล้วเดินผ่านเขาออกประตูไป

    “ข้าไม่ได้มาหาเจ้า แต่เป็นสาวน้อยที่อยู่บนเตียงต่างหาก” เนียร์ตอบพลางชี้นิ้วไปที่เทรน

    เอเซปฏิเสธทันที “เสียใจด้วย ข้าจะออกเดินทางต่อและยัยเด็กนั่นก็ต้องไปกับข้า”

    “เด็กสาวคนนี้เป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญนอกจากนั้นยังเป็นผู้รับเคราะห์คนหนึ่ง นอกจากนี้ข้าเองก็มีหน้าที่สืบสวนหาข้อมูลของเหตุการณ์ทั้งหมด”

    “เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรละ ?” น้ำเสียงของนายทหารหนุ่มแข็งขึ้นเล็กน้อย

    “หากหน้าที่ของเจ้ายังไม่สิ้นสุดข้าก็คงไปไหนไม่ได้...เจ้าหมายความอย่างนี้สินะ”

    “ก็ราวๆนั้น” เนียร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง แต่คนถามไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบแล้ว



    นายทหารแห่งตระกูลเซเว่นสตาร์ถอนหายใจยาวๆ เดินเข้าไปประคองหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นให้ลุกขึ้น ประคองมือเธอรับห่อกระดาษขนาดใหญ่


    “ข้ารบกวนต้มยานี้ให้เธอดื่มทุกชั่วโมงด้วยครับ”

    หลานสาวเจ้าของโรงแรมคลายท่าทีหวาดหวั่น รับห่อยาก้มหัวขอบคุณเขาเป็นการใหญ่แล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที





    เนียร์มองดูเด็กสาวหน้าตาสะสวยที่นอนหลับอยู่บนเตียงชั่วครู่แล้วถอยออกจากห้องไปเงียบๆ
  24. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ปล. จากคนเขียน


    หลังจากตอน 1 - 3 นี้แล้ว
    คนเขียนคงหายหน้าไปอีกสักพัก (อีกแล้ว) เพราะมีงานชิ้นใหม่ที่ต้องทำครับ

    รวมถึงการทำ story line , character profile ใหม่หมดเลย



    หวังว่าทุกท่านคงให้อภัยครับ

    Aze McDowell
  25. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ของเก่าที่ยังไม่ได้แก้ ทั้งอากิ และ อิวานนี่ต่างให้ทรรศนะกันไปหมดแล้ว ซึ่งการแก้ใขบทที่สามในครับนี้นับว่าทำได้ตรงประเด็นเลยทีเดียว กลิ่นไอของEC ที่หายไปใปสามารถเรียกออกมาได้อย่างครบถ้วน อาจจะแป๊กๆไปบ้างเพราะไม่ได้เขียนมานาน แต่ก็แก้ใขกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี กลิ่นไอของความดิบเถื่อน ความโหดร้ายของสังคม ตอนนี้ถือว่าทำออกมาได้ชัดเจน

Share This Page