Legendary - บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี [ 28 ตอนจบ ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 กรกฎาคม 2011.

  1. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ส่วนตัวว่าโอเคแล้วนะ ไม่ยืดเยื้อจนเกินไปแล้วก็มองเห็นภาพง่ายด้วย แต่ถ้าเป็นตอนที่อยู่ระหว่างฉากแอคชั่นการสื่ออารมณ์ของตัวละครจะดูเบาบางลงไปพอสมควร

    ส่วนเรื่องมาเรียไม่ได้หมายความว่าฟื้นไม่ได้นะ แต่บทบาทเรื่องดราม่าหรืออารมณ์หดหู่ของมาเรียน่ะยังสามารถเว้นระยะไปเดินเรื่องในช่วงพักอื่นแทนที่จะเอามาลงติดๆกันกับบทดราม่าของตัวละครอื่นในบทนั้นทันทีจนกลายเป็นแย่งซีนกันไปน่ะ

    อย่างตรงนี้ ถ้าจบบทสู้ไปยังสามารถทำเรื่องประมาณว่ามาเรียมานั่งกลุ่มคนเดียวทีหลังแล้วมีเพื่อนๆมาปลอบใจได้เหมือนกันนะ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  2. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    เข้าเฮือกสุดท้ายแล้วปมขมวดไว้เต็มที่ น่าจะถึงเวลาที่ทุกอย่างจะคลี่คลายออกแล้ว อูอาา
  3. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    คาร์แรคเตอร์แนวที่ชอบมาอีกแล้ว... ดาร์คสตาร์...
    เนื้อเรื่องตอนนี้ค่อนข้างกระชับดี โอเคอยู่ รอตอนต่อไปจ้ะ
  4. choco

    choco Interpreter

    EXP:
    65
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    18
    ตัวละครที่น่าสงสารที่สุด : ไบท์
    ( ; _ ; )....กุห์ฟาน เสร็จเรื่องแล้วรีบไปโขกหัวขอโทษทีหลุมศพไบท์ให้ไวเลยนะเฟ้ย

    ทำไมภาพดาร์คสตาร์ในหัวผมถึงได้เป็นตัวดำๆ ใส่หน้ากากติดผ้าคลุมถือไลท์เซเบอร์สีแดงก็ไม่รู้นี่สิ

    คอมเมนต์ไม่เป็นสาระบ้าง หลังๆไม่มีอะไรให้ยิงเลยน้อ (มีตอนนึงที่แลดูพิมพ์ผิดเรียงกัน แต่ก็มีไม่มาก) ชอบฉากอาวุธสุดท้ายเบลลานี่(ชื่อตั้งเอง)เป็นฉากที่ให้ความรู้สึกว่า ฉากแบบนี้หาไม่ได้ในแนวอื่นนอกจากแนวแฟนตาซีเวทมนต์แน่ๆ

    เห็นว่าใกล้จบแล้ว จะรอดูฉากสุดท้ายอยู่ห่างๆนะครับ :3

    แซวเล็กน้อย(ทำใจก่อนลากอ่าน)
    ดาร์คสตาร์"พ่อของท่านที่ข้าเป็นคนฆ่ายังไงละ "
    อเซแม็ก"เดี๋ยว ขอเรียบเรียงอีกรอบ...พ่อของเจ้าที่ข้า...?"
    ดาร์คฯ"พ่อของท่านที่ฆ่าเป็นคนค่า..."
    อเซแม็ก "หา?อะไรของใครนะ?"
    ดาร์คฯ "...ช่างมันเถอะ"
    อเซฯ"ข้าก็ว่างั้น"
    แบบว่าประโยคนี้อ่านแวบแรกไม่เก็ทจริงๆนะ...
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    คิดไว้เหมือนกันครับ แต่พล็อตหลังจากนี้มีเหตุทำให้ทำแบบนั้นไม่ได้ (ฮา) เลยตัดใจให้ตื่นมาปุ๊ป ร้องไห้แสดงอารมณ์เลย มันน่าจะพีคดึงความสนใจของทุกคนที่ปกติแล้วมาเรียเป็นคนเข้มแข็งแต่กลับร้องไห้น่ะครับ เอาเป็นว่ารอดูช่วงหลังละกันครับ (ฮา)

    อูอา ไม่คลายปมก็จบไม่ได้น่ะสิ

    รู้สึกจะชอบคาร์ฯ แนวโรคจิตนะ -3-

    ไม่ใช่ดาร์คเวเดอร์ครับ = =;
    ไอ้ตรงถมขาวนี่มัน.... กลายเป็นฟิคขำขันได้เลยนะ -3-

    ขอบคุณทุกคอมเมนต์ครับ
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 25



    ความเงียบปกคลุมค่ำคืนเดือนเพ็ญ ทุกสิ่งอย่างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงหัวใจที่เต้นระทึกตื่นตะลึงไปกับคำพูดจากปากของจ้าวแห่งมารร้าย


    รอยยิ้มบนใบหน้าของดาร์คสตาร์สร้างอารมณ์ชวนหงุดหงิดให้กับทุกคน เพียงแต่ว่าคนที่ได้สิทธิ์ที่จะชกหน้าของหมอนั่นคงมีเพียงผู้เดียว – อเซแมก แมคโดเวล


    ผู้ที่สูญเสียพ่อแท้ๆไปเพราะถูกดาร์คสตาร์สังหารเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน


    เขากำลังโกรธ รอยยับย่นปรากฏอยู่ระหว่างคิ้ว แววตาจ้องเขม็ง มือขวากำด้ามดาบแน่นจนสั่นระริก ความอึดอัดดันแน่นอยู่ในทรวงอกราวกับภูเขาไฟใกล้ปะทุ



    “นี่คงเป็นอีกเหตุผลสำหรับการต่อสู้...สินะ ?” มารร้ายใช้โอกาสที่อีกฝ่ายสูญเสียความเยือกเย็นพูดกระตุ้นโทสะ



    ลำแสงสายฟ้าสีเงินเจิดจรัสขนาดใหญ่พุ่งออกจากปลายดาบตรงไปยังผู้ที่เอ่ยปากว่าเป็นคนลงมือสังหารบิดา


    ดาร์คสตาร์เปลี่ยนท่าร่าง ธนูเพลิงดำในมือแปรเปลี่ยนเป็นดาบยาวสีดำทรงเดียวกับดาบวิหคสายฟ้า เขางอศอกให้แขนท่อนล่างตั้งฉากกับพื้นแล้วตวัดเหยียดตรง สายฟ้าสีเงินที่พุ่งเข้ามาถูกสกัดกั้นด้วยสายฟ้าสีดำที่ฟาดเปรี้ยงลงมาจากฟากฟ้า


    เสียงปะทะดังสนั่น สองบุรุษชี้ดาบเข้าหากันเหมือนภาพสะท้อนบนผิวกระจก ฝ่ายหนึ่งคือเผ่ามาร อีกฝ่ายคือมนุษย์ คนหนึ่งโกรธบึ้งขึงขัง อีกฝั่งยิ้มแย้มหน้าตาย



    “งั้นเริ่มกันเลยดีกว่า”



    ดาร์คสตาร์หายวับไปโผล่ด้านหลังกุห์ฟานที่ยืนอยู่เพียงคนเดียว ดาบดำในมือสะบัดขึ้นฟันกลางแผ่นหลังของจอมเวทผมแดงจนเลือดกระจายเปรอะใบหน้าและแว่น ตามด้วยสายฟ้าสีดำจากดาบช็อตร่างของเขาจนสลบไปในทันที



    “แก!”



    ถึงแม้กุห์ฟานเป็นศัตรูที่ต่อสู้แลกชีวิตกันเมื่อไม่นาน แต่อากิรอสยั้งความโกรธไม่ได้เมื่อเห็นเขาถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา จอมเวทผมดำพุ่งออกไปพร้อมกับดาบน้ำแข็งคู่ใจ อเซแมกและทากะออกตัวพุ่งตามมาเพราะรู้ดีว่าดาร์คสตาร์แข็งแกร่งเกินกว่าที่อากิรอสจะรับมือได้เพียงลำพัง


    สายฟ้าสีดำสามสายฟาดเปรี้ยงลงมายังพวกเขาทั้งสามคนอย่างแม่นยำเหมือนคำนวณไว้แล้ว อากิรอสทรุดลงคุกเข่ากับพื้นแต่ยังไม่หมดสติ ทากะใช้ดาบซันเซโนะยะคะประคองร่างไว้ทัน ส่วนอเซแมกแม้จะมีพลังสายฟ้าสีเงินป้องกันตัวแต่สภาพก็ไม่ต่างกับคนอื่นมากนัก



    “ขออภัย...ข้าประเมินพวกท่านต่ำเกินไป”



    ดาร์คสตาร์ชี้ดาบขึ้นฟ้า สายฟ้าสีดำฟาดใส่ร่างของทั้งสามอีกครั้งในทันทีจนคราวนี้ทุกคนล้มฟุบนอนแน่นิ่ง สี่นักรบถูกสยบลงนอนแทบเท้ามารร้ายสี่ตาในเวลาเพียงเจ็ดวินาที


    เบลลานี่ มาเรีย และไอแซคต่างเข้าสู่สภาวะพร้อมรบในทันที แต่เทรนกลับยืนตะลึงตาค้างเมื่อเห็นอาจารย์ถูกพิชิตได้โดยง่าย



    “เทรน แมคโดเวล!” ไอแซคตวาดเสียงดัง “จะอยู่หรือตายเจ้าเลือกเองนะ”



    ไอแซคเหนี่ยวสายธนูยิงลูกศรสายรุ้งเข้าใส่ดาร์คสตาร์ทันที แต่การโจมตีแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรจ้าวแห่งมารได้เมื่อเพลิงไฟสีดำลุกโชนขึ้นขวางกั้นเป็นปราการป้องกัน เบลลานี่สร้างกงล้อเพลิงช่วยโจมตีเสริมเพื่อเปิดทางให้มาเรียเข้าไปช่วยทุกคนออกมา


    อลันกับอลิสทำท่าจะลุกขึ้นมาขัดขวาง แต่ดาร์คสตาร์ยกมือห้ามไว้



    “ข้าจัดการได้”



    ดาร์คสตาร์ออมมือไว้ไม่ได้ตั้งใจเอาชนะหรือฆ่าในทันที เหมือนราชสีห์หยอกล้อกับสมันน้อยกลางทุ่งหญ้าก่อนจะงับจมเขี้ยวจนขาดใจตายในที่สุด


    จู่ๆนักดาบสาวก็ตะโกนกร้าว ควงดาบพุ่งเข้าหาจ้าวแห่งมาร ในดวงตาของเธอเจือปนไปด้วยความโกรธและความแค้นจนไม่เห็นสิ่งใดอื่นอีก



    “เทรน!” เบลลานี่ตะโกนห้าม แต่เสียงแห่งความห่วงใยนั้นไปไม่ถึงเธอเสียแล้ว



    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ลอยขึ้นบนใบหน้าของหนึ่งในห้าผู้พิทักษ์แห่งราชามาร มือซ้ายยกขึ้น ชี้สองนิ้วไปยังนักดาบสาวที่วิ่งฝ่าทุกอย่างเข้ามา คลื่นพลังหมุนวนแล้วบีบอัดเป็นลูกบอลสีดำขนาดพอๆกับลูกฟุตบอล ลำแสงสีดำสาดส่องไปทั่วบริเวณ


    เบลรู้ดีว่าเทรนไม่มีทางรอดพ้นจากความตายได้หากถูกสิ่งนั้นปะทะบดขยี้ร่างของเธอจนแหลกสลาย


    ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาให้เกิดขึ้นต่อหน้า โดยเฉพาะความตายของคนรู้จักหรือมีสัมพันธ์ด้วย และด้วยเหตุผลเช่นนี้ได้บังคับให้เบลลานี่ก้าวเท้ากระโจนตามนักดาบสาวเข้าสู่เส้นแบ่งความเป็นและความตาย


    ไอแซคชาร์จพลังทั้งหมดไว้ในศรสายรุ้งเพื่อใช้ต่อต้านกับลูกบอลมรณะ


    เมื่อเท้าของนักดาบสาวหยั่งลงบนพื้นศิลาในระยะเจ็ดก้าวสุดท้าย ลูกบอลมรณะก็ถูกปลดปล่อยออกจากปลายนิ้วให้เป็นอิสระพุ่งไปหาเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้า ศรสายรุ้งพุ่งออกจากคันธนูของไอแซคพร้อมกัน เบลลานี่พุ่งเข้าขวางหน้าใช้พลังมนตราที่มีทั้งหมดในร่างสร้างเป็นม่านพลังป้องกัน


    พลังสามสายปะทะกันจนเกิดการระเบิดที่รุนแรงสร้างสายลมปั่นป่วนพัดทุกอย่างปลิวกระเด็น


    มาเรียถูกลมหอบลอยไปจนตกจากเทวลัย ยังดีที่เธอสะบัดแส้เกี่ยวเข้ากับเสาต้นหนึ่งรั้งตัวเองไว้ได้ทันเลยไม่ตกลงไปด้านล่าง ไอแซคจำเป็นต้องกระโจนถอยหลังไปไกลเพราะไม่อาจต้านทานกับคลื่นพลังได้เช่นกัน


    ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งเต็มอากาศ



    “เป็นอย่างที่คิดจริงๆ มีพลังบางอย่างปกป้องสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย” ดาร์คสตาร์พูดกับตัวเอง “เป็นพลังของศิลาผนึกนิรันดร์อย่างแน่นอน”



    ร่องขนาดใหญ่บนพื้นเกิดขึ้นจากพลังของดาร์คสตาร์ปะทะกับม่านมนตราของจอมเวทสาวยาวร่วมๆยี่สิบเมตร


    ร่างของนักดาบสาวเลือดร้อนนอนสลบในอ้อมกอดของเบลลานี่ที่เสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องจนเธอเองบาดเจ็บสาหัส ตั้งแต่ไหล่ซ้ายไปจนถึงกลางหลังเป็นแผลเหวอะ



    “เปลี่ยนพลังทั้งหมดเป็นเกราะป้องกัน...เลยไม่ตายสินะ ?”



    ลอร์ดแห่งมารก้าวเท้าเข้าหาพร้อมกับดาบทมิฬ ไอแซครีบเข้ามาเพื่อสกัดกั้นแต่ระยะทางมันไกลเกินไปและเขาเองก็หมดพลังที่จะสร้างศรสายรุ้งได้อีกแล้ว


    ทว่าอากิรอสและอเซแมกกระโจนเข้าฟันดาร์คสตาร์จากด้านหลังพร้อมกันขัดขวางไม่ให้มารร้ายลงมือสังหารคนสำคัญของพวกเขาได้ ดาบสองเล่มตัดกันเป็นรูปไม้กางเขนผ่านจุดสำคัญกลางลำตัวคือหัวใจ แต่ว่าร่างของลอร์ดแห่งมารเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น


    ดาร์คสตาร์กลับไปปรากฏ ณ จุดเดิมที่เคยยืนปะทะคารมกับอเซแมกก่อนการต่อสู้


    สภาพของทั้งสองนักรบล้วนสะบักสะบอม ทั่วร่างสั่นเทิ้ม การโจมตีเมื่อครู่ก็เรียกได้ว่าใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ที่ยังประคองตัวยืนอยู่ได้ก็เพียงเพราะความฮึดสู้เท่านั้น



    “ยังทำอะไร...ไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนเดิม...นะขอรับ” นักดาบพเนจรพูดไม่ปะติดปะต่อเพราะเขาบาดเจ็บไม่น้อยไปกว่าทั้งสองคนเลย

    “ก็เหมือนนายน่ะแหละ” อากิรอสตอบกลับ

    “แต่ข้าไม่อยากเหมือนเจ้าเลยนะ อากิ”



    อเซแมกแซวกลับทำเอาจอมเวทหนุ่มโวยวาย ไอแซคก็เข้ามาดูอาการของสองสาวแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเธอทั้งสองยังมีลมหายใจอยู่



    “ทุกท่านแข็งแกร่งจริงๆ” เสียงปรบมือดังมาจากดาร์คสตาร์พร้อมกับรอยยิ้มกวนประสาทเหมือนเดิม
    “ถึงข้าจะออมมือให้แต่ก็ยังรอดตายกันมาได้” คำพูดในประโยคหลังจงใจกดดันทุกคนให้รู้ว่าเมื่อครู่นี้ไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขา

    “เอาไงต่อดี ?” นักมนตราผมดำถามขึ้น “หรือจะใช้แผนถ่วงเวลาให้ไอแซคใช้ท่าไม้ตายอีกครั้ง ?”

    “ข้าถึงขีดจำกัดแล้ว” ไอแซคเป็นคนตอบ “การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังธรรมชาติสิ้นเปลืองพลังกายและพลังมนตราในปริมาณมหาศาล”

    “แล้วกันสิ” นักเวทหนุ่มถอนหายใจ “ให้เจ้าตัดสินใจก็แล้วกัน” เขาโบ้ยหน้าไปทางอเซแมก

    “มีแค่สู้ตายกับสู้ตายเท่านั้นแหละ” นักดาบอัสนีบอก

    “ก็ว่าอย่างนั้นแหละขอรับ” ทากะย้ำคำตอบที่มีแต่ความตายรออยู่ตรงหน้าเท่านั้น

    “ปรึกษากันเสร็จแล้วสินะ ?” ดาร์คสตาร์ถามแทรกกลางคัน
    “ข้าขอถามอีกครั้งแล้วกัน จะสู้ต่อหรือว่ารับข้อเสนอต่างคนต่างแยกย้ายกันไป”

    “เจ้าจะถามทำไมในเมื่อแจ้งแก่ใจในคำตอบ” อากิรอสย้อนคำคืน

    “อย่างนั้นสินะ...ถ้างั้นข้าก็หมดเหตุผลที่จะออมมืออีกต่อไปแล้ว”



    ดาบมารในมือของดาร์คสตาร์เปล่งพลังแห่งความมืดเข้าครอบงำทั่วบริเวณกลายเป็นอีกมิติที่มีเขาพร้อมกับลูกน้องทั้งสอง มนุษย์สามและเอลฟ์อีกหนึ่ง


    เป็นมิติที่มีความมืดไร้ขอบเขตบรรจุอยู่เพียงสิ่งเดียว ไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดอีก



    ----------​



    การต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในห้วงมิติปิดแห่งนี้


    แต่จะเรียกว่าการต่อสู้ก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเป็นการไล่เข่นฆ่าเพียงฝ่ายเดียวของดาร์คสตาร์มารร้ายระดับชั้นลอร์ดโดยที่อเซแมก ทากะ อากิรอสและไอแซคทำได้เพียงป้องกันตัวเท่านั้น


    พวกเขาทำได้เพียงเท่านั้นจริงๆ เพราะความต่างระดับของพลังและร่างกายที่บาดเจ็บหนักมาจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้


    แต่...ต่อให้ทั้งสี่คนอยู่ในสภาพพร้อมรบเต็มร้อยก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้เช่นกัน


    ถึงดาร์คสตาร์พูดว่าเอาจริง ด้วยพลังของเขาย่อมกุดหัวหรือทะลวงหัวใจของทุกคนได้ในพริบตาแต่ก็ไม่ทำ เพราะเขากำลังสนุกกับเกมส์แห่งการทรมานอีกฝ่ายให้ตายอย่างช้าๆ




    มาเรียกระเสือกกระสนปีนกลับขึ้นมาด้านบนเทวลัยอย่างความทุลักทุเล ผลกระทบจากแรงปะทะทำให้แผลที่ไหล่เปิดออก เลือดไหลจนชุ่มผ้าพันแผลจนแดงฉาน เธอตะลึงเพราะทุกตารางนิ้วถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดำแต่ไม่มีผู้ใดอื่นอีกนอกจากเบลลานี่ เทรน และกุห์ฟานที่นอนสลบอยู่




    ภายในมิติแห่งความมืด สถานการณ์ของทุกคนยังย่ำแย่เพราะไม่อาจสู้กับดาร์คสตาร์ได้เลยแม้แต่น้อย และเรื่องที่อากิรอสวิตกกังวลเป็นที่สุดตั้งแต่ตอนสู้กับอลันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ทากะเริ่มถูกดาบซันเซโนะยะคะเข้าควบคุมร่างกายอีกครั้ง และความเร็วในการกลืนกินของดาบนั้นรวดเร็วจนน่ากลัว เพียงเวลาไม่นานสติสัมปชัญญะของทากะก็ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์


    และเมื่อไร้ซึ่งสติรับรู้ใดๆ มีเพียงสัญชาตญาณในการเข่นฆ่าที่ถูกปลุกขึ้นมาแทนที่ ร่างของทากะที่ถูกจิตของดาบควบคุมจึงอาละวาดไปทั่ว มุ่งเป้าสังหารไม่แยกมิตรหรือศัตรูอีกต่อไป



    ----------​



    ภายในความเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ขอบเขต มีเพียงพื้นดินสีดำแตกระแหง ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีแดงฉานหนาทึบ สายฝนโลหิตโปรยปรายทั่วบริเวณ แสงวาบจากฟ้าร้องมีให้เห็นเป็นหย่อมๆแล้วตามด้วยเสียงฟ้าร้องดังสนั่น


    ร่างของบุรุษสูงโปร่งผู้หนึ่งยืนอยู่เพียงลำพังอาบฝนโลหิตจนชุ่มฉ่ำเปียกปอน ผมสีดำลู่ราบปรกหน้า ดวงตาเหม่อลอยมองไปอย่างไร้จุดหมายใดๆในความว่างเปล่า



    “อย่าขัดขืนอีกเลย” เสียงหนึ่งดังก้องลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน

    “ปล่อยข้าน้อยออกไปเถอะขอรับ ข้าน้อยยังมีสิ่งที่ต้องทำ” ทากะแหงนหน้าพูดกับท้องฟ้าสีเลือด

    “การต่อรองคือพลัง คนไร้พลังไร้การต่อรอง”

    “ข้าน้อยไม่มีเวลาแล้วขอรับ”

    “แสดงให้ข้าดู แสดงพลังอำนาจของเจ้าให้ข้ายอมรับ”



    สิ้นเสียงจากฟากฟ้า ดาบเล่มหนึ่งร่วงหล่นทะลุมวลเมฆลงมาปักอยู่เบื้องหน้าทากะ ดาบที่เขาไม่เคยให้อยู่ห่างกาย - ซันเซโนะยะคะ



    “แสดงให้ข้าดู”



    เสียงนั้นพูดย้ำคำเดิม และพลันโลหิตที่เจิ่งนองทั่วพื้นได้ก่อรูปขึ้นเป็นนักรบในชุดเกราะซามูไรนับไม่ถ้วนละลานตา


    ดาบในมือถูกยกขึ้นฟาด ฟัน แทง ต้านรับ ปัดป้องผ่านกระบวนท่าวิชา ดวงตาของเขายังคงเหม่อลอยไร้จุดหมาย แต่ร่างกายทุกส่วนขยับเคลื่อนไหวไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตี นักรบโลหิตตนแล้วตนเล่าถูกฟาดฟันกลับกลายเป็นของเหลวสีแดงข้น


    ด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาลเหมือนหยดน้ำฝนจากฟากฟ้าไม่อาจนับได้ สุดท้ายแล้วร่างของนักดาบหนุ่มก็ถูกฟาดฟันให้บาดเจ็บ เขากัดฟันตอบโต้ตีฝ่าวงล้อมออกสู่ที่กว้าง แต่เลือดบนพื้นได้ก่อตัวเป็นมือมากมายเกี่ยวพันรั้งสองขา พันธการสองมือ ปิดตา ปิดปาก ปิดหู



    “เจ็บ ข้าเจ็บเหลือเกิน”

    “อ๊ากกกกก”

    “อย่าฆ่าข้า ข้าไม่อยากตาย”



    เสียงมากมายดังเข้าสู่สมอง มโนภาพของผู้คนมากมายที่สังเวยชีวิตให้กับดาบซันเซโนะยะคะในห้วงของกาลเวลาที่เนิ่นนานปรากฏขึ้นในความคิด



    “หนี หนี หนี หนี หนี หนี หนี หนี หนี”

    “อ่อนแอ อ่อนแอ อ่อนแอ อ่อนแอ อ่อนแอ อ่อนแอ”



    เสียงเดิมดังจากฟากฟ้าอีกครั้ง ร่างของทากะค่อยๆจมหายลงไปในบ่อเลือดทีละน้อย มีเพียงเสียงดังอื้อๆแสดงการต่อต้านออกมาจากลำคอของนักดาบพเนจร ก่อนที่ร่างของเขาจะจมหายไปจนหมด



    ----------​



    ทากะร้องคำรามดุจสัตว์ป่าที่ถูกปลดปล่อยจากโซ่ตรวน พุ่งเข้าฟันไอแซคที่อยู่ใกล้ที่สุด ยังดีที่อากิรอสตอบสนองได้ทันท่วงทีสร้างกำแพงน้ำแข็งป้องกันไว้ มิฉะนั้นเอลฟ์ผมทองคงร่างขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว



    “เฮ้! เจ้าบ้า ตั้งสติหน่อยสิ” นักมนตราหนุ่มเอาหัวโขกเข้าเต็มขมับทากะหวังจะให้เขาได้สติและใช้น้ำแข็งผนึกการเคลื่อนไหวของดาบ

    “อ้าวๆ แตกคอกันเองแล้วรึ ? แบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง” ดาร์คสตาร์หยุดมือแล้วคอนดาบดำขึ้นบ่า



    อากิรอสถูกเหวี่ยงกระเด็นออกมา น้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นเพื่อผนึกดาบซันเซโนยะคะละลายอย่างรวดเร็วราวกับถูกโยนเข้าไปในกองไฟ และนักมนตราหนุ่มก็ต้องขับพลังมนตราออกมาต้านคมดาบสุญญากาศขนาดใหญ่ที่ถูกฟาดฟันเข้าหาถี่ยิบราวกับห่าฝน



    “บ้าเอ๊ย!” ไม่บ่อยครั้งที่อากิรอสจะสบถออกมาอย่างหัวเสีย



    เมื่อต้องต่อสู้กับคนรู้จักโดยเฉพาะสหายร่วมรบร่วมเดินทาง เขาก็ทำใจโจมตีกลับคืนไม่ได้ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนป้องกันตัวเองเพียงอย่างเดียว




    “เฮ้~~~~~~~~~~~~! หายหัวไปไหนกันหมดวะ ?” เสียงของมาเรียที่ไม่น่าจะดังเข้ามาถึงมิตินี้ได้กลับดังลั่นราวกับอยู่ร่วมมิติเดียวกัน

    “โว๊ย~~~~~~~~~~~! ตายกันไปหมดแล้วเรอะ ?”



    ลอร์ดแห่งมารเบิกตากว้างตกตะลึง สิ่งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เขาไม่คิดว่าเสียงของใครจะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในมิติมรณะได้เช่นนี้

    “หรือว่าผู้หญิงคนนั้นมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง ?”

    มารร้ายขยับดันแว่นขึ้นบนสันจมูก แววตาเปี่ยมด้วยความสงสัย เขาต้องรู้คำตอบให้ได้

    “อลัน...อลิส ฝากจัดการในนี้หน่อยนะ” เขาสั่งการแล้วเลือนหายไปราวกับสายหมอกก่อนที่จะได้ยินคำขานรับจากปากของสองมารชายหญิง

    “แย่แล้ว!” อเซแมกปราดเข้าไปรับมือกับอลันและอลิสทั้งที่เขาเองก็ใกล้หมดสภาพต่อสู้เต็มที

    “ทากะโว๊ยยยยยยย ตื่นสักทีสิวะ!” นักดาบอัสนีกู่ร้องตะโกนหวังว่าเสียงของเขาจะช่วยปลุกสำนึกของสหายขึ้นมาได้




    “โธ่เว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!”

    อากิรอสตะโกนเสียงดังอย่างหงุดหงิดเมื่อชีวิตของเบลลานี่กำลังตกอยู่ในอันตราย



    ----------​

    มาเรียที่กำลังเขย่าร่างของเบลลานี่สะดุ้งเฮือกตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบร่างของดาร์คสตาร์ยืนตระหง่านอยู่ในม่านหมอกสีดำ



    “ท่านทำได้ยังไงกัน ?” ดาร์คสตาร์เอ่ยปากถามอย่างสุภาพแต่แววตาเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย

    “ทำ ? ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจ้าทำอะไรต่างหาก” โจรสาวลุกขึ้นสะบัดแส้เตรียมพร้อมรับมือแม้จะรู้ดีว่าเธออาจจะถูกฆ่าในพริบตา

    “อ้อ...ก็แค่พาทุกคนไปยังมิติปิดของข้า” แววตาหลังกรอบแว่นวงกลมยังคงจับจ้อง

    “และเมื่อครู่ก็ได้ยินเสียงของท่านจากภายในมิติปิด ข้าสงสัยว่ามันเป็นไปได้ยังไงก็เลยออกมาดู” รอยยิ้มเยือกเย็นไร้ชีวิตจิตใจปรากฏขึ้นหลังจากสิ้นคำอธิบาย

    “ข้าตะโกนเรียกคนอื่นๆมันผิดรึไง ?” มาเรียยิ้มแย้มกลับเช่นกัน

    “นั่นแหละๆ” ดาร์คสตาร์ยกมือขึ้นตบ “ช่วยตะโกนให้ข้าฟังหน่อยได้ไหมครับ ?”

    “หา ?” มาเรียไม่เข้าใจและเธอก็แสดงปฏิกิริยาตามจริง



    วูบเดียวร่างของลอร์ดแห่งเผ่ามารก็ย้ายไปประชิดด้านหลังโจรสาว มือหยาบแข็งบีบเข้าที่ต้นคอขาวๆแต่ออมแรงไว้ไม่ทำให้อีกฝ่ายตายคาที่ มาเรียฟาดแส้ออกไปแล้วสะบัดกลับเข้าหาตัว ปลายแส้พุ่งเฉียดข้างใบหูตัวเองเข้าหาหน้าผากของดาร์คสตาร์


    แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อปลายแส้นั้นถูกรวบจับอย่างง่ายดายแล้วเอามันไปพาดบ่าเจ้าของไว้



    “เอ้า! ตะโกนเรียกให้พวกนั้นมาช่วยสิ” เขาผ่อนแรงที่ข้อมือลงเล็กน้อยให้อีกฝ่ายพอที่จะออกเสียงได้ มาเรียรู้ดีว่าการขัดขืนไม่เป็นประโยชน์จึงยอมตะโกนตามที่เขาต้องการ

    “ช่วยด้วย! ทากะ อากิ” และก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ

    “น่าแปลก ทำไมเสียงไปไม่ถึงมิติปิด ตั้งใจตะโกนอีกครั้งได้ไหมครับ ?” ดาร์คสตาร์ยกร่างของเธอลอยขึ้นจากพื้นทีละนิด ปลายขาของโจรสาวสะบัดไปมาเคว้งคว้าง

    “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ข้าจะตายอยู่แล้วยนะ ไอแซค อเซแมก” เธอตะโกนเสียงดังขึ้นแต่ได้ผลไม่ต่างจากเดิม



    ดาร์คสตาร์หลับตาเงี่ยหูฟังว่าเสียงของเธอดังไปถึงด้านในมิติปิดหรือไม่


    ในจังหวะที่มารร้ายสี่ตาปันสมาธิกลับไปยังมิติปิด เงาร่างหนึ่งเข้าประชิดด้านข้างแล้วยกขาถีบเข้าเต็มๆชายโครงของเขาจนกระเด็นไปและเผลอปล่อยมือจากคอของมาเรีย มือหนึ่งประคองร่างของจอมโจรสาวไม่ให้ทรุดลงกับพื้นแล้วพยุงให้ถอยไปยืนด้านหลัง


    ผมสีบลอนด์สยายตามการเคลื่อนไหวแล้วกลับสงบนิ่งที่กลางแผ่นหลัง – เบลลานี่ เฟลมมิอาส


    ทว่าดวงตาของเธอกลับกลายเป็นสีฟ้าสวยสดใสและทอแสงจางๆออกมา ท่วงท่าเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่นักมนตราสาวคนเดิม ออร่าพลังสีฟ้ากระจายออกจากทั่วร่างแทนที่จะเป็นสีแดงเปลวเพลิงเช่นปกติ



    “เจ้าเป็นใคร ?” สีหน้าของดาร์คสตาร์เกรี้ยวกราด แววตาถมึงทึงน่ากลัว สำเนียงเสียงคำราม

    “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ หน้าที่ของข้ามีเพียงกำจัดมารให้หมดสิ้น”



    เสียงนุ่มนวลแผ่วเบาแต่ทรงพลังตอบกลับจากร่างของนักมนตราสาวโดยที่ปากไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย มันดังออกมาจากภายในและไม่ใช่เสียงของเธอ


    ลำแสงสีฟ้าพุ่งออกจากตรงหน้าเป็นเส้นตรงดิ่งเข้าหาดาร์คสตาร์เร็วรี่ มารร้ายโต้ตอบด้วยลำแสงสีดำ


    พลังทั้งสองปะทะกัน แต่เป็นคลื่นพลังสีฟ้าที่ทะลวงทำลายพลังของดาร์คสตาร์จนกระจุยกระจายแล้วพุ่งตรงไปต่อราวกับไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้


    เสียงระเบิดดังกึกก้องที่ร่างของลอร์ดแห่งเผ่ามารพร้อมกับเปลวเพลิงสีฟ้าใส ดาร์คสตาร์ฉีกตัวออกมาจากกองเพลิง แขนซ้ายได้รับบาดเจ็บ เลือดสีดำไหลโชก



    “พลังนี่มัน...ศิลาผนึกนิรันดร์ !?” มารร้ายเบิกตากว้างตื่นตระหนก “จิตของศิลาผนึกนิรัดนร์ย้ายมาอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้?”



    ลำแสงสีฟ้าถูกกราดยิงเข้าใส่ราวกับกระสุนจากปากปืนกล ความแข็งแกร่งของดาร์คสตาร์กลายเป็นเพียงเด็กน้อยเมื่อเทียบกับสภาพในตอนนี้ที่ทำได้แค่ตั้งรับการโจมตี



    “แบบนี้ก็ผิดแผนหมดน่ะสิ” ดาร์คสตาร์เดาะลิ้นอย่างขัดใจ ดีดนิ้วดึงพลังที่ใช้สร้างมิติปิดกลับคืน



    เกิดรอยร้าวขึ้นในอากาศราวกับมีโดมแก้วใสครอบอยู่ อากาศแตกออกเป็นแผ่นเล็กแผ่นน้อยแล้วสลายกลายเป็นฝุ่นผง ร่างของคนทั้งสี่คนปรากฏขึ้นกลางอากาศและร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงของโลก พวกเขาลงสู่พื้นแล้วตั้งหลักสังเกตรอบตัว อลันกับอลิสไปโผล่ที่ด้านหลังดาร์คสตาร์


    เบลลานี่ยืนอยู่ตรงกลางลานให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นดั่งแสงที่เจิดจ้าแต่อบอุ่นและเย็นสบายในเวลาเดียวกันอย่างน่าประหลาด



    “นี่มันอะไรกัน ?” ไอแซคสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลจากนักมนตราสาวอย่างไม่เคยรู้สึกได้มาก่อน

    “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆเธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้วก็เป็นแบบนี้” มาเรียตอบ



    แต่ยังไม่ทันจะพูดคุยกันมากไปกว่านี้ การโจมตีหนึ่งพุ่งเข้าหาเสียก่อนทำให้ไอแซคต้องคว้าร่างมาเรียออกจากจุดนั้น


    ทากะคลุ้มคลั่งมากขึ้นและเริ่มโจมตีทุกคนที่อยู่โดยรอบ



    “นี่มันอะไรกัน ?” คราวนี้มาเรียถามด้วยคำถามนี้แทน

    “เรื่องมันยาว” ไอแซคอธิบายแค่นั้นแล้วรีบไปประคองร่างไร้สติของเทรนขึ้นจากพื้นไปหลบยังที่ปลอดภัยก่อน ปล่อยให้อากิรอสและอเซแมกเข้าไปรับมือกับนักดาบพเนจรที่กลายเป็นนักดาบไร้สติ



    อีกด้านหนึ่ง ดาร์คสตาร์และมารร้ายผู้ติดตามทั้งสองกำลังจะเปิดศึกกับเบลลานี่ ร่างสถิตของจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์


    เรื่องราวสลับซับซ้อนไปกันใหญ่ราวกับปมเชือกก้อนใหญ่ที่ยุ่งเหยิง





    To be continue…




    - คุยกันท้ายตอน -


    ตอนนี้สั้นๆครับ เพราะมันเป็นบทปูเนื้อเรื่องก่อนเข้าสู่ไคลแมกซ์ในตอนต่อไป


    ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าดำเนินเรื่องไวเกินไปรึเปล่าหรือมีตรงไหนแปลกๆไปบ้าง ยังไงก็รบกวนติชมแนะนำด้วยครับ


    Azemag A.C. McDowell
  7. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อูอาาตอนใหม่มาไวกระชับฉับไว้เช่นเดิมไม่รู้จะเม้นอะไรเพราะมันเข้าเฮือกสุดท้ายและ แต่ทากะนี่มันอ่อนขัดใจจริงวุ้ยฮ่าๆไปเก็บLvมาใหม่นะน้อง
  8. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    (เมนท์ยังไม่เสร็จค่ะ มันยาว ขอผุดเป็นดอกเห็ดมาหนึ่งกระจุกก่อนนะคะ ( ´Д`)ノ(´・ω・`) )

    มาคอมเมนต์ละ หลังจากที่ติดค้างอยู่นาน แสนนาน นานมากๆ (ฮา)

    ...คือ จะเริ่มยังไงดีล่ะ ก็มันก็มาหลายตอนแล้วนะที่ไม่ได้คอมเมนต์ ซึ่งเป็นความผิดของเราเองอีกนั่นแหละ ที่ไม่มาซักที มัวแต่ไปเมนท์คนอื่นๆอยู่ (ซะงั้น) เอาเป็นว่า จะเริ่มจากตรงที่พี่เขียนไว้ท้ายตอนที่ 24 แล้วกัน...

    คือ ไงดีล่ะ เราอ่านฟิคของพี่อเซมา พบว่า มันเป็นแฟนตาซี'ทางตรง' ทั้งภาษา การรบรรยาย และพล็อตเรื่องเอง โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่มีการสู้กับจอมมารนี้ คือ มันเป็นเรื่องธรรมดาๆแบบเล่นเกม RPG เช่น Final Fantasy นี่แหละ พอบอสใหญ่มา ปาร์ตี้ที่มีนักดาบ นักรบ นักเวท นักล่า บลาๆก็กรูกันอัดจอมมาร

    ข้อเสียเปรียบสำคัญคือ ฟิคพี่อเซไม่มีความโดดเด่นมากเท่าที่ควร คืออย่างที่บอกไปด้านบน ว่าแต่ละอย่างของพี่อเซค่อนข้างไปตามแนวแฟนตาซีทางตรง ภาษาการบรรยายก็พบได้ตามหนังสือนิยายแฟนตาซีตามท้องตลาด ไม่แย่ แต่ก็ไม่หวือหวา หรือโดดเด่นขึ้นมาจนเตะตา พล็อตก็เช่นเดียวกัน แต่พล็อตพี่อเซค่อนข้างจะหายากใน 'นิยายแฟนตาซีไทย' เพราะแฟนตาซีเด็กไทยตอนนี้มี 'แฟนตาซีโรงเรียน' และ 'แฟนตาซีเกมออนไลน์' ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัด อะไรที่เป็น 'เรียลแฟนตาซี'ล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นผสมผสานเช่น Legendary นี้ ค่อนข้างหาแบบเป็น 'นิยาย' ยากทีเดียว (ส่วนมา่กจะเจอในเกมมากกว่า ดังที่บอกด้านบนไปแล้ว)
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  9. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    คอมเม้นท์มาแล้ว

    Part 24

    สะดุดกับบทต่อสู้หลายๆตอน โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครเยอะๆในฉากเดียว อาเซจะสะดุดเสมอ ยิ่งมาแยกเป็นมารสาวมารชายอีก ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
    การแยกตัวละครโจมตีจะต้องคำนึงถึงว่า จะทำยังไงให้คนอ่านเข้าใจในภาพที่สับสนวุ่นวาย ค่อยๆโฟกัสไปทีละคนอาจจะีดีกว่า
    ในแง่นึงก็ทำได้ดีที่ให้เบลลานี่ solo ค่อนข้างมาก (ส่วนมาเรียนี่ งงๆอยู่ว่า เจ๊หายไปไหนจากภาพของนักสู้สาวซาดิสก์ มางานนี้เงียบไปเลยนะครับ) บางภาพ อย่างเทรนที่โดยแส้ฟาด ก็ดูจะไม่ค่อยบาดเจ็บเท่าไร เหมือนภาพมันหายไปซะเฉยๆ
    แต่เบลลานี่นี่..แกร่งจริงๆ ภาพสุดท้ายที่เธอพยายามลุกขึ้นมา เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ = =b
    การต่อสู้ฝั่งมารชายดูจะเข้าใจง่ายกว่า อาจจะเพราะระยะการโจมตีแต่ละคนค่อนข้างเด่นชัด บวกกับแทคติคการต่อสู้แบบตรงๆตามประสา "ลูกผู้ชาย"
    ไอแซ็คตั้งท่านานไปหน่อยนะ (ฮา)

    จุดเด่นของตอนนี้ ในแง่การบรรยาย คือการครีเอทมารทั้งสอง โดยเฉพาะมารสาวนี่ สวย เซะซี่สุดๆ (อูอา...) ชอบการบรรยายกับการออกแบบ รวมถึงภาพสายฟ้า กับมวลอากาศที่กดดัน แต่ผมกลับไม่ค่อยชอบดาร์คสตาร์เท่าไร โดยเฉพาะชื่อ ที่อยากให้ใช้ชื่อภาษาโบราณ เพิ่มความอลังการไปเลย
    ส่วนด้านเนื้อเีรื่อง ต้องตามอ่านตอน 25 สินะ

    Part 25

    นอกจากความแค้นแล้ว ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้เลยหรือขอรับ
    อยากให้มีปมอะไรอีกเยอะๆ เพราะหวังกับอาเซแม็กมากในฐานะตัวเอกที่น่าจะพกปูมหลังมาไม่น้อย ไม่อยากให้ฟิคเรื่องนี้เน้นไปที่ "ความโกรธ" "ความแค้น" ทางตรงเพียงอย่างเดียว
    บทที่ผ่านๆมามีเรื่องความรักความผูกพันของเบล อากิรอส กุห์ฟาน ซึ่งผมว่ามันลึกดี ในแง่ของลอร์ดดาร์คสตาร์ กับราชาแห่งมาร ผมหวังว่าในบทต่อๆไปจะมีอะไรให้ดูลึกกว่านี้อีก

    ความรู้สึกของตอนนี้คือ ทากะร่ายบทยาวมาก และการขัดจังหวะที่มันตัดบทมากไปของมาเรีย คือเข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร แต่อารมณ์ฟิคมันเดินไปแบบเคร่งเครียด ต่อให้มาเรียต้องขัด ก็รู้สึกว่าตัดอารมณ์มากไปนิด
    เงื่อนปมที่ซับซ้อนครีเอทได้ดี สร้างวิกฤตในการต่อสู้ได้มาก
    ทากะไม่อ่อนไปหรอกเฮีย ผมว่ามันโคตรเก่งเลยนะนั่น = ="คนที่อ่อนผิดปกติน่ะคือกุห์ฟาน มันโดนมาสองดอกแล้วนะ (ฮา)

    เม้นท์เรื่องภาษา

    ในฐานะฟิคแฟนตาซี เรื่องที่อยากให้ปรับมากๆคือการใช้การเปรียบเทียบที่กระโดดไปในภาพปัจจุบัน นั่นคือ

    =[]=! ลูกฟุตบอล!
    มันกระโดดอ่ะครับอาเซ แนวเรื่องมันเป็นโลกแฟนตาซี ผมไม่อยากให้เทียบอะไรกับโลกปัจจุบัน มันไม่ค่อย smooth ง่ะ
    แต่อบบนี้โอเคเลย (งงนะเนี่ย ทำไมประโยคนึงแต่ไงด้ดี อีกบทมาเป็นอีกแบบ ฮาๆ อย่าซีเรียส ผมแค่ชี้ให้ดู)
    v
    v

    อารมณ์ของความ "เก่า" มันอยู่ตรงนี้ ตรงที่สื่ออะไรที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งสังเคราะห์ซึ่งไม่มีในโลกนั้นๆ

    ตอนนี้อ่านไป ผมก็คิดอยู่ว่าแล้วพวกมันจะเอาชนะยังไง (วะ)
    แต่ศิลานั่นดันย้ายไปอยู่กับเบลซะนี่ .......
    ไม่ค่อยอยากเดาชะตากรรมเบลเลย
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  10. Jammaster

    Jammaster New Member

    EXP:
    26
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    เพิ่งกลับมาอ่าน ขอติดคอมเม้นไว้ก่อนนะครับ จริงๆอยากคอมเม้นยาว เลยเพราะมีคำถามหลายอย่างอยู่ เดี๋ยวเรียบเรียงแล้วจะมาอีกทีครับผม
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ทากะมันไม่อ่อนหรอก แค่ดาบมันเก่งกว่าต่างหาก -3-

    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของน้องแบมมากๆเลยนะครับ
    แน่นอนว่าที่นิยายเรื่องนี้มันเป็นเส้นตรงก็เพราะมันเป็น ฟิคเขียนสด (ฮา) มีพล็อตแค่หลวมๆเท่านั้น ที่เหลือรายละเอียดนั้นด้นสด แถสดตลอดเลย
    และก็อย่างที่น้องแบมรู้แล้ว นิยายเรื่องนี้เป็นการเขียนซ้อมมือก่อนจะเขียนงานใหญ่ส่งสำนักพิมพ์ เพราะฉะนั้นพี่ก็เลยยังไม่ใส่อะไรมากนัก ผลงานเรื่องนี้มันจึงออกมาเป็นเช่นนี้แหละจ้า

    อูอา เม้นท์ซะยาวเลย น้อมรับทุกคำชี้แนะครับ

    จะรอครับ
  12. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 26


    ค่ำคืนเดินทางมากึ่งหนึ่ง ดวงจันทร์คล้อยต่ำจากกลางฟ้าทีละน้อย ดวงดาวยังเจิดจ้าจรัสแสง เช่นเดียวกับการต่อสู้ที่ยังไม่สิ้นสุด


    ลอร์ดแห่งเผ่ามารต้านลำแสงสีฟ้าอ่อนกลับไปด้วยคลื่นพลังสีดำ มารร้ายอีกสองอาศัยจังหวะที่พลังสองสายปะทะกันจนสูญสลายเข้าประชิดด้านหลังนักมนตราสาวที่ตอนนี้เป็นร่างทรงของจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์


    กรงเล็บแหลมคมและกำปั้นกล้าแกร่งของสองมารไม่อาจทะลวงผ่านม่านมนตราเข้าถึงตัวของเบลลานี่และถูกกระแทกให้ถอยห่างเพียงแค่เธอสะบัดมืออย่างแผ่วเบาเหมือนปัดแมลงที่บินรบกวน


    ฝ่ามือเล็กๆกระแทกเข้ากลางอกของอลันพร้อมกับคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์กระจายไปทั่วร่าง เลือดสีดำจำนวนมากที่กระอักออกจากปากบ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บในขั้นสาหัส


    มารสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดจนช่วงอกโป่งพองคับแน่นแล้วพ่นออกมาเป็นพายุลูกใหญ่ นักมนตราสาวโต้ตอบเพียงแค่เป่าลมออกจากริมฝีปากเบาๆเหมือนเป่าเทียนให้ดับก็สามารถลบล้างการจู่โจมของอลิสได้


    มือซ้ายของเบลลานี่ยกขึ้นคว้าอากาศตรงหน้าแล้วลากลงสู่เบื้องล่าง ร่างของอลิสถูกดึงด้วยแรงมหาศาลตกลงกระแทกพื้นเสียงดังลั่นแผ่นศิลาแตกหักยับเยิน และในชั่วพริบตาร่างทรงแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ก็ไปปรากฏอยู่ข้างๆ ฝ่ามือเรียวเล็กวางกลางกระหม่อมแล้วลูบเพียงเบาๆก็ทำให้อลิสสั่นสะท้านพร้อมกับเลือดทะลักออกทวารทั้งห้าในทันที


    สองมารร้ายชายหญิงที่เล่นงานทุกคนจนย่ำแย่ถูกสยบลงโดยง่ายในเวลาชั่วพริบตา


    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์หายไปจากใบหน้าของดาร์คสตาร์ นิ้วชี้ขยับดันแว่นให้เข้าที่ปิดซ่อนแววตาไว้ด้านหลังเลนส์หนาขุ่น


    “คืนนี้คงเหนื่อยแย่เลย”


    เส้นแสงสีดำวิ่งออกซ้ายขวาจากจุดที่ดาร์คสตาร์ยืนอยู่แล้วหักเป็นมุมฉากวิ่งขนานกันไปจนพ้นร่างของนักมนตราสาวแล้วตีฉากหักเลี้ยวบรรจบกันเป็นทรงสี่เหลี่ยม แสงสีดำพุ่งขึ้นจากเส้นที่ขีดลากไว้เป็นดั่งกระจกทึบปิดสนิททุกด้านกลายเป็นกล่องสีดำขนาดใหญ่


    เสียงระฆังของการต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งจะดังขึ้นเท่านั้น






    อีกฟากหนึ่ง อเซแมกและอากิรอสต่อสู้กับทากะ ทั้งสองไม่ได้ต่อสู้เต็มกำลังเพราะไม่ต้องการฆ่าเขา เพียงแค่ตั้งรับถ่วงเวลาจนกว่าจะคิดหาหนทางทำให้อีกฝ่ายกลับมาเป็นคนเดิม


    แต่ยิ่งเนิ่นนาน ทากะยิ่งคลุ้มคลั่ง ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งรวดเร็วว่องไว ต่อสู้ด้วยพละกำลังไม่มีหมดราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด


    อากิรอสถูกซัดกระเด็นออกมาและตามมาด้วยร่างของอเซแมกในวินาทีถัดมา


    “แย่แฮะ” นักมนตราหนุ่มยกแขนขึ้นปาดเลือดจากมุมปาก จริงๆแล้วทั่วทั้งหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด ผมเผ้ารุงรังหมดมาดหนุ่มเจ้าสำราญ

    “ข้ารู้แล้วน่าว่ามันแย่” นักดาบอัสนีก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เหนือคิ้วซ้ายมีแผลบาดยาว เลือดกำเดาสดๆไหลเปรอะกลบปาก

    “มีทางแก้ไขไหมละ ?” อากิรอสถาม

    “เจ้าจะถามข้าทำไมในเมื่อรู้คำตอบอยู่แล้ว” อเซแมกตอบกลับทันที


    แต่ไม่มีเวลาให้พูดคุยนานกว่านี้เพราะคมดาบสุญญากาศพุ่งตรงมานับสิบสาย พลังแต่ละสายกรีดแผ่นศิลาที่แข็งแกร่งขาดเรียบราวกับเป็นเพียงกระดาษเนื้อบาง


    นักดาบพเนจรหักเลี้ยวพุ่งเข้าใส่อเซแมกพร้อมกับฟาดดาบเข้าใส่เต็มกำลัง นักดาบผมสีน้ำตาลเข้มยกดาบวิหคสายฟ้าขึ้นต้านรับได้ แต่แรงกระแทกทำให้พื้นศิลาแตกร้าวสองขายุบจมลงขยับเขยื้อนไม่ได้ อีกฝ่ายยิ่งกระหน่ำฟาดกดให้เขาจมลึกมากขึ้น


    อากิรอสหมุนตัวเตะสีข้างของทากะ แต่จังหวะเดียวกันนั้นนักดาบคลั่งได้ตวัดดาบลงมาที่หัวเข่าของนักมนตราผมดำเช่นกัน


    เคร้ง!


    อเซแมกพุ่งตัวเหยียดดาบสุดแขนคั่นกลางป้องกันไม่ให้อากิรอสถูกตัดขาไว้ได้ แต่หน้าขาของนักมนตราหนุ่มก็ถูกดาบซันเซโนะยะคะบาดเป็นแผลลึกและยาวจนเลือดสาดกระจาย


    ทากะเหวี่ยงหัวโขกกับหัวของอเซแมกจนเขาเสียหลัก ส่วนขาซ้ายยกถีบเสยปลายคางอากิรอสจนหน้าหงายในเวลาเดียวกัน ตามด้วยตวัดดาบในมือสร้างคมดาบสุญญากาศขนาดใหญ่เข้าใส่จนทั้งคู่ต้องกระโจนหนีไปคนละทาง


    นักดาบพเนจรพุ่งตัวตามโจมตีอเซแมกซ้ำ แต่รอบนี้หลานชายเหยี่ยวสายฟ้ากวาดดาบขึ้นโจมตีสวนเต็มกำลัง ดาบสองเล่มปะทะกัน ทั้งสองคนยันกันไว้อยู่ในท่าประสานดาบ


    “พอได้แล้ว! ทากะ” นักดาบอัสนีตะโกนใส่หน้า
    “ถ้าเจ้าไม่หยุด ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าละนะ”


    อเซแมกกระแทกทากะให้กระเด็นถอยหลัง ในดวงตาสีน้ำตาลแดงไม่เหลือความลังเลใจอีกแล้ว


    แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าห้ำหั่นกัน พลังน้ำจากฝ่ามือของอากิรอสโถมเข้าท่วมทากะและม้วนตัวกักขังเขาไว้ นักมนตราผมดำร่ายเวทอีกบทหนึ่งอย่างรวดเร็ว พลันสายน้ำที่โอบล้อมร่างของทากะกลายเป็นเสาน้ำแข็งในพริบตา


    แต่ไม่นานนักก็มีเสียงลั่นน้ำแข็งแตกลั่นเปรี๊ยะ รอยร้าวแผ่ขยายออกจากร่างของทากะมากขึ้นเรื่อยๆ


    “ดื้อเป็นบ้า” อากิรอสสร้างสายน้ำเข้าโอบล้อมเสาน้ำแข็งแล้วเปลี่ยนให้มันเป็นผนึกน้ำแข็งชั้นที่สอง ชั้นที่สามและชั้นที่สี่ปิดท้ายกลายเป็นปีรามิดน้ำแข็งขนาดย่อมๆ


    มาเรียและไอแซคตามมาสมทบหลังจากยืนดูสถานการณ์อยู่วงนอก


    “เจ้าเป็นไงบ้าง ?” อากิถามเมื่อเห็นข้อศอกซ้ายของมาเรียบิดเบี้ยวอย่างผิดธรรมชาติ

    “ถามมาได้ ก็เจ็บน่ะสิ” เธอตอบก่อนที่จะเหลือบหางตามองปีรามิดน้ำแข็ง

    “ยังไม่ตายหรอก ไม่ต้องห่วง” อากิบอกเมื่อเห็นท่าทีของเธอ

    “ใครว่าข้าห่วงมันกัน ? ” โจรสาวโวยวายแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่างมากก็ไปช่วยเบลโน่น”


    คำพูดของมาเรียทำให้อเซแมกฉุกคิดขึ้นได้และหันมองหาร่างของลูกศิษย์สาว


    “ยังไม่ตาย อยู่บนหลังคาทางโน้น” ไอแซคว่า เอียงคอบอกทิศทางให้รู้

    “อย่างงั้นรึ” ผู้เป็นอาจารย์เป่าปากโล่งอก


    สายตาของเอลฟ์หนุ่มจ้องถามเขาเป็นนัยว่า ‘เอายังไงต่อ ?’ นักดาบสายฟ้าเบนสายตาไปยังนักมนตราหนุ่มที่จับจ้องไปยังเบลลานี่อีกทอดหนึ่ง


    “เข้าไปก็เกะกะเปล่าๆ” นักมนตราผมดำตอบกลับขณะรักษาอาการบาดเจ็บให้มาเรีย

    “แล้ว...ทางโน้นละ ?” ไอแซคชี้ไปทางนักดาบเพนจรที่ถูกแช่แข็งไว้

    “ก็แค่ถ่วงเวลา นอกนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว” อเซแมกตอบคำถามแทน “จะอยู่หรือตายก็แล้วแต่เจ้าเถอะ ทากะ”






    ภายในอีกห้วงมิติที่ถูกสร้างขึ้นมีเพียงความมืดกว้างไพศาล จิตสองดวงกำลังสนทนากัน หนึ่งเป็นของดาร์คสตาร์และอีกหนึ่งเป็นอิสตรีผมยาวสยายเปล่งแสงสีฟ้าอ่อน


    “ไม่นึกเลยว่าคืนนี้จะมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ” ดาร์คสตาร์ยกนิ้วดันแว่นให้เข้าที่

    “กลับไปแล้วจงบอกแก่ราชารัตติกาล เมื่อข้าตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่ยอมโลกถูกทำลายเด็ดขาด”

    “ท่านไม่ยอม ?” ลอร์ดแห่งเผ่ามารตอบกลับทันที
    “ท่านไม่มีร่างกายมีเพียงแค่จิตที่อยู่ข้ามกาลเวลามาหลายหมื่นปี...แล้วคิดว่าจะทำอะไรได้ !?”


    อุกกาบาตเพลิงนับไม่ถ้วนตกลงมาโจมตีดวงจิตของศิลาผนึกนิรันดร์ เสียงระเบิดดังกึกก้องเปลวเพลิงสีดำลุกโชนโหมกระหน่ำเป็นวงกว้าง แต่เพียงครู่เดียวสายลมรุนแรงจากร่างของเธอได้พัดเปลวเพลิงกระจัดกระจายหายไปจนหมด ไม่มีแม้ริ้วรอยขีดข่วนใดๆแม้แต่น้อย


    “อย่าคิดว่าอยู่ในมิตินี้แล้วข้าจะใช้พลังไม่ได้”


    จิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์กล่าวเสียงเรียบ สายลมสีฟ้าก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่เข้าโจมตี ดาร์คสตาร์สะบัดมือสร้างพายุสีดำออกมาต่อต้าน พลังสองสายปะทะกันจนสูญสลายไป


    “ทำไม...ถึงต้องปกป้องมนุษย์ ?” มารร้ายผู้มีผมสีเงินถาม
    “เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอสมควรแล้วที่เป็นอาหารเป็นทาสให้แก่เผ่าพันธุ์ที่เข้มแข็งกว่าเหมือนที่มนุษย์ทำกับเผ่าพันธุ์อื่น” ดาร์คสตาร์ตวาดเสียงดัง

    “อย่าดูแคลนมนุษย์เกินไป” จิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ตอบด้วยความสงบ

    “...ดูท่าการเจรจาคงไม่เป็นผล” มารร้ายยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว ห้วงมิติเริ่มพังทลายลงช้าๆพร้อมกับจิตของทั้งสองคนที่เริ่มเลือนหาย






    อากิรอสและอเซแมกยืนอยู่เบื้องหน้าเขตแดน แม้จะกรำศึกหนักมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงกลางดึกจน ร่างกายอ่อนล้าอ่อนแรง บาดแผลน้อยใหญ่มากมาย กำลังกายถดถอย พลังมนตราเหลือน้อยนิด แต่พวกเขาก็พร้อมรับมือกับชะตากรรมทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


    ไอแซคแบกร่างของเทรนขึ้นหลังยืนอยู่ที่บันไดกับมาเรีย เอลฟ์หนุ่มหันกลับมามองชายหนุ่มทั้งสองก่อนที่จะก้าวเดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆเพราะรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงไม่มีคำพูดใดเหมาะสมพอที่จะถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้



    ห้านาทีก่อนหน้านี้



    “หมายความว่ายังไงกัน ?” มาเรียถามด้วยเสียงดังแสบแก้วหู

    อากิรอสถอนหายใจช้าๆแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ก็อย่างที่บอก จะต้องให้ข้าพูดซ้ำทำไมกัน ?”

    “นั่นแหละที่ข้าไม่พอใจ” เสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่ใช่ผู้หญิงขี้ขลาดกลัวตายหรอกนะ”

    “ข้ารู้แล้ว แต่...” ยังไม่ทันที่อากิจะพูดจบ มาเรียก็ตบเขาจนหน้าสะบัด

    “รู้แล้วก็หยุดพูด ไม่ต้องมาออกคำสั่งกับข้า ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น” โจรสาวตัดบทการสนทนาแล้วกลับหลังหันเดินออกไปยืนอยู่ห่างๆ อากิรอสได้แต่ส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของเธอ

    “ถ้างั้น...ถึงคราวข้าต้องติดหนี้ท่านแล้วละนะ ไอแซค” นักดาบอัสนีเดินมาหยุดตรงหน้าเอลฟ์ผมสีทองแล้วตบบ่าเขา

    “พาลูกศิษย์ข้ากลับไปที่อาณาจักรของท่านก่อน อีกสามวันให้หลังพวกข้าจะกลับยังจุดที่พวกเราพบกันครั้งแรก หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ช่วยพาลูกศิษย์ข้าไปส่งที่ชิลโซลิธีให้ด้วย”
    “ข้าหวังว่าท่านคงเต็มใจยอมติดหนี้ข้า”


    อเซแมกบีบมือที่กุมไหล่ของเขาไว้แน่นขึ้น ไอแซคมองดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เป็นสิ่งแสดงความรู้สึกของเขาอยู่เนิ่นนานก่อนจะยกมือของตัวเองแกะมือของนักดาบหนุ่มออก


    “ได้ เจ้าติดหนี้ข้า”


    ทั้งสองกำหมัดแล้วประสานกันเบาๆ


    “มาเรีย” อเซแมกหันไปเรียกแต่เธอไม่ยอมหันกลับมา
    “มาเรีย ซินนาส” เขาเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น


    ฝ่ายที่ถูกเรียกค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้า สายตาที่จับจ้องมาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ


    “อะไร ?” เธอถาม

    “ข้ามีงานจะจ้างวานเจ้า”

    “เสียใจด้วย ข้างดรับงานชั่วคราว” มาเรียปฏิเสธทันที

    “นึกว่าเจ้ามีปนิธาณ ‘รักเงินมากกว่าชีวิต’ เสียอีก หรือว่าข้าจำผิดกันนะ ?” ประโยคนี้ทำเอาโจรสาวสะดุ้งเพราะถูกพูดจี้ใจดำ
    “ข้าไม่เสียดายชีวิต เพียงแต่ว่าข้าให้คำสัญญากับคนๆหนึ่งไว้ว่าจะไปพบหลังจากเสร็จภารกิจนี้ แต่ถ้าข้าโชคร้ายตายไปก่อน อย่างน้อยข้าก็อยากให้เขาได้รู้ว่าข้าตายไปแล้วจะได้ไม่ต้องรอให้เสียเวลา”
    “เจ้าจะช่วยข้าครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ ‘ผู้แจ้งข่าว’ ได้ไหม ? รับรองว่าข้าจ่ายค่าจ้างเต็มราคาแน่นอน”


    มาเรียมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจนักแต่สุดท้ายก็ต้องยักไหล่ถอนหายใจยอมรับคำขอของเขา

    “ก็ได้”



    อเซแมกมองส่งไอแซคด้วยหางตาจนกระทั่งเขาหายลงไปทั้งตัว


    “ไปแล้ว...นะ” อากิรอสพูดออกมาลอยๆแล้วก็หลับตายิ้มที่มุมปาก “นึกไม่ถึงว่าคนซื่อๆอย่างเจ้าก็เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลย”

    “ก็เรียนรู้มาจากเจ้านั่นแหละ โบราณว่าถ้าอยู่ใกล้สีดำนานๆจะถูกสีดำย้อมไปด้วย” อเซแมกตอบกลับทำเอานักมนตราหัวเราะออกมาเสียงดัง

    “ฮ่า ๆ ๆ ๆ นี่ถ้าเจ้ากลายเป็นคนเจ้าชู้ ข้าคงผิดอีกกระทงสินะ ?”

    “แน่นอน”

    “แล้ว...จะเอายังไงกับสหายเส้นลึกของเราดีละ ?” อากิรอสยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ปีรามิดน้ำแข็งด้านหลังที่เล็กลงและมีรอยแตกร้าวไปทั่ว

    “นั่นสินะ...” อเซแมกหันกลับไปมองตามนิ้วของอากิ

    “ออกมาแล้วค่อยว่ากันตอนนั้นก็แล้วกัน ทางนี้สิน่าสนใจกว่า” อเซแมกชี้นิ้วไปที่เขตแดนสีดำที่กำลังแตกร้าวอย่างรวดเร็ว

    “เอาละ...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละนะ” นักมนตราผมดำยืดแขนขึ้นเหนือหัวแล้วบิดตัวไปมา


    เขตแดนรูปทรงกล่องสีดำระเบิดออกดังเพล้งเหมือนเสียงกระจกแตกไม่มีผิด หมอกควันสีดำแผ่กระจายออกแล้วจางลงจนเห็นเงาร่างของคนสองคนอยู่ภายใน


    ดาร์คสตาร์ยืนประจันหน้ากับเบลลานี่ที่ทอแสงสีฟ้าอ่อนรอบตัว


    “ก่อนอื่นก็...” ลอร์ดแห่งเผ่ามารดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ร่างของอลันและอลิสถูกวาร์ปหายไปจากพื้นทันที “ขอบใจที่ไม่ฆ่าลูกน้องของข้านะ”


    เขาฉีกยิ้มกว้างถอดแว่นตาพับเก็บในเสื้อโค้ท ดวงตาเป็นสีเงินทั้งหมดไม่มีแบ่งแยกเป็นตาดำและตาขาวเหมือนมนุษย์ปกติ แต่มีจุดสีดำเล็กๆมากมายอยู่ในดวงตาเสมือนท้องฟ้าสีเงินที่บรรจุดวงดาวสีดำไว้นับไม่ถ้วน เป็นที่มาของชื่อ ‘ดาร์คสตาร์’ ของเขา


    จิตมารแผ่ออกจากตัวเขาอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นออร่าสีดำมืด พลังมนตรากดดันเสียดแทงทั่วร่างเหมือนตกลงสู่มหาสมุทรหนาวเย็นยะเยือก


    อากิรอสสบตากับอเซแมก นักมนตราหนุ่มเปล่งพลังมนตราที่มีอยู่ในกายออกมาทั้งหมดพร้อมกับสร้างดาบน้ำแข็งอาวุธคู่ใจออกมา เช่นเดียวกับนักดาบอัสนีที่เรียกพลังสายฟ้าออกมาห่อหุ้มกายแล้วพุ่งตัวเข้าหาดาร์คสตาร์พร้อมกัน


    “ให้พวกเราจัดการเถอะ” อากิรอสตะโกนบอกเมื่อพุ่งผ่านเบลลานี่ไป


    ลอร์ดแห่งเผ่ามารเรียกดาบคู่เพลิงดำออกมาตั้งท่ารับมือ อเซแมกรัวดาบวิหคสายฟ้าโจมตีถี่ยิบอยู่ทางขวา อากิรอสคอนดาบด้วยสองมือโจมตีอยู่ทางซ้าย ทั้งสองรุกไร่ด้วยพลังที่มีทั้งหมดโดยไม่กลัวเกรงต่อพลังอำนาจของอีกฝ่ายที่เหนือกว่ามาก


    “ง่ายไป!”


    ดาร์คสตาร์ปลดปล่อยพลังมหาศาลทั้งสองกัดฟันเกร็งกำลังทั่วร่างต้านเอาไว้ มารร้ายยกมือขึ้นชี้สองนิ้ว คลื่นพลังสีดำหลอมรวมเข้าหากันแล้วถูกยิงออกเป็นลำแสงตรงดิ่งเข้าหาอเซแมก นักดาบอัสนีตะโกนกร้าวดังเปล่งพลังทั้งหมดสร้างลำแสงสายฟ้ายิงสวนกลับไปพร้อมๆกับอากิรอสที่ยิงพลังมนตราแห่งน้ำแข็งออกมาช่วยจากอีกฟาก


    พลังทั้งหมดปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่น แรงสั่นสะเทือนโยกคลอนเทวลัยราวกับเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง


    เมื่อการปะทะสิ้นสุดลง สองนักสู้ผู้ห้าวหาญพุ่งฝ่าม่านควันเข้าต่อสู้กับศัตรูต่อในทันที


    ลอร์ดเผ่ามารเริ่มมีท่าทีหงุดหงิดขึ้น ในอดีตที่ผ่านมายาวนานนับพันนับหมื่นปี ไม่ว่าครั้งใดที่เขาปลดปล่อยรังสีมรณะเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กองทัพที่มีแสนยานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกรต้องระส่ำระสาย ไพร่พลนับแสนสั่นสะท้านหวาดกลัวต่อความตาย


    แต่มนุษย์สองคนนี้แตกต่างออกไป


    พวกเขาไม่หวาดกลัวต่อพลังแห่งความมืด ไม่หวั่นต่อความแตกต่างที่เหมือนยอดเขาสูงเสียดฟ้ากับหุบเหว ต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนก็กัดฟันสู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ลุกขึ้นพุ่งเข้าหาเหมือนวัวกระทิงพุ่งเข้าใส่ผ้าสีแดงสด


    ยิ่งเห็นแววตาของมนุษย์ทั้งสอง ดาร์คสตาร์ก็ยิ่งหงุดหงิดจนเผลอขบกรามแน่น


    “อย่ากำแหงมากนัก! เจ้าพวกมนุษย์”


    สายฟ้าสีดำแผ่กระจายออกมาทั่วทุกทิศทาง ทั้งอเซแมกและอากิรอสถูกช็อตร่างด้วยพลังมหาศาลไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีกต่อไป


    แต่ว่า...


    ทั้งสองยังคงหยัดยืนอยู่ ควันสีเทาลอยกรุ่นออกจากร่างกาย เลือดไหลรดอาบใบหน้า ร่างกายบอบช้ำทั้งภายในภายนอกสั่นเทิ้มไปทั่วทุกอนูตั้งแต่ริมฝีปากยันปลายนิ้ว แต่แววตายังคงเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นสองขาพยายามขยับเดินเข้าหาศัตรู


    “พอเถอะ” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความอ่อนโยนแว่วมา ฝ่ามืออบอุ่นแตะทาบกลางหลังพร้อมกระแสพลังที่สดชื่นเหมือนสายน้ำเย็นฉ่ำให้ความรู้สึกผ่อนคลายถึงขีดสุด

    “ทำได้ดีแล้วลูกหลานของข้า” ฝ่ามือเลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะอย่างเอ็นดูเหมือนแม่ที่ดูแลปกป้องลูกๆ


    สองนักรบทิ้งตัวลงด้านหลังอยู่ในวงแขนอย่างง่ายดาย สายลมสีฟ้าอ่อนพัดวนรอบกายแล้วโอบอุ้มพวกเขาให้ถอยไปด้านหลัง ทั่วร่างเรืองแสงขึ้นจางๆ บาดแผลกำลังสมานตัวอย่างช้าๆ


    เบลลานี่ในฐานะร่างสถิตของศิลาผนึกนิรันดร์ก้าวเข้าหาดาร์คสตาร์ทีละก้าว


    “ก็ดี...ข้ากำลังมันส์มือเลย ฆ่าผู้หญิงคนนี้กับสองคนด้านหลังเมื่อไรข้าจะบดขยี้ที่นี่ให้ราบพนาสูรไปเลย”

    “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ?” จิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ถาม “เผ่ามารที่กำเนิดมาพร้อมพลังมากมายใช้ไม่มีวันหมดย่อมไม่มีทางเข้าถึงวิถีแห่งมนุษย์ได้”

    “เข้าใจมนุษย์ ? อย่าพูดให้ขำดีกว่าน่า”


    ดาร์คสตาร์กราดยิงพลังสีดำเข้าใส่นับร้อยนับพันลำแสง “จงหายไปให้หมดพร้อมๆกันนั่นแหละ”


    เธอยกฝ่ามือที่เปล่งแสงสีฟ้าขึ้นห้ามสร้างเป็นกำแพงแสงสีฟ้าก็สามารถสลายพลังมารทั้งหมดของอีกฝ่ายได้ กำแพงแสงเคลื่อนเข้าหามารร้ายผู้มีดวงตาสีเงินอย่างรวดเร็ว


    เขายกสองมือขึ้นแล้วขับพลังมารออกเป็นกำแพงสีดำมืดมิดเข้าปะทะด้วย พลังทั้งสองปะทะผลักดันกันไปมา ประกายพลังจากการเสียดสีแผ่ขยายออกเรื่อยๆพร้อมกับกระแสลมรุนแรง


    “จำคำของข้าไว้ให้ดี” จิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ควบคุมร่างของเบลลานี่ให้ยกมืออีกข้างขึ้นมาในระดับเดียวกันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
    “ข้าจะหยุดยั้งความทะเยอทะยานของราชารัตติกาล”


    กำแพงแสงขยายตัวผลักพลังแห่งความมืดร่นถอยไปจนหมดสิ้น ทุกสิ่งเบื้องหน้าของเธอมีแต่แสงสว่าง


    ดาร์คสตาร์เบิกตากว้างไม่อาจต่อต้านพลังแห่งแสงได้ ร่างของเขากลายเป็นจุดศูนย์กลางของการระเบิดครั้งใหญ่


    อเซแมกและอากิรอสหรี่ตาลงจนเกือบปิดยกมือขึ้นป้องตาจากแสงที่เจิดจ้า


    เมื่อทุกอย่างสงบลง ภาพที่ปรากฏให้เห็นแก่สายตาของสองหนุ่มคือภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปโหว่แหว่งราวกับถูกเข็มขนาดยักษ์เจาะทะลวง


    “สุดยอด” อากิรอสขยับริมฝีปากเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา

    “ยังไม่จบ!” อเซแมกพยายามตะโกนบอกแต่เสียงของเขาก็ไม่ได้ดังลั่นอย่างที่ใจหวัง


    ดาร์คสตาร์ในสภาพยับเยินบาดเจ็บสาหัสจนเลือดอาบทั่วหน้าและร่างกาย ควันไฟลอยฟุ้งเหมือนก้อนเนื้อที่ถูกย่าง พลังกดดันมหาศาลที่เคยรู้สึกได้จากเขาในตอนนี้หายไปจนหมดสิ้น


    “บ้าน่า!” นักมนตราหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาว่าหมอนั่นยังรอดชีวิตอยู่ได้

    “บังอาจนักนะเจ้าพวกเศษสวะ!!” มารร้ายพึมพัมกับตัวเองแล้วยิงพลังใส่เบลานี่ เธอป้องกันมันไว้ได้อย่างง่ายดาย

    “ไม่มีประโยชน์ เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก” จิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์บอก


    ใบหน้าของดาร์คสตาร์บิดเบี้ยวด้วยโทสะกัดฟันแน่น เขาตัดสินใจบางอย่างได้ก็พุ่งทะยานเข้าหาอเซแมกและอากิรอสที่อยู่ด้านหลัง


    “ขอฆ่าเจ้าพวกนี้ก่อนเถอะ ตายซะ!”


    วินาทีที่ศัตรูพุ่งเข้าหา ทั้งสองไม่ขยับหลบหรือตั้งท่ารับมือแต่อย่างใดเพียงแค่หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


    พลังดาบสุญญากาศพุ่งแทรกระหว่างร่างของทั้งสองเข้าปะทะกับกลางร่างของดาร์คสตาร์ตามด้วยลำแสงสีขาวอีกเจ็ดสายตามมาเป็นระลอกที่สอง อากิรอสและอเซแมกลืมตาขึ้นแล้วออกตัวพุ่งเข้าตวัดดาบฟันร่างของดาร์คสตาร์ตัดกันเป็นรูปไม้กางเขนในวินาทีถัดมา


    ดาร์คสตาร์มองลอดผ่านม่านเลือดสีดำของตัวเองเห็นทากะและกุห์ฟานกำลังพุ่งเข้ามา


    “เป็น...เป็นไปไม่ได้!”


    และในชั่วพริบตาเขาก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอีกนับครั้งไม่ถ้วนจากคมดาบวิหคสายฟ้าและศาสตราน้ำแข็งที่กระหน่ำฟาดฟันร่างของเขา


    “อ๊ากกกกกกกกก!” มารร้ายตะโกนกร้าวและพุ่งตัวขึ้นบนท้องฟ้า เลือดหลั่งรินร่วงลงเบื้องล่าง เขามองลงมายังคนทั้งสี่ ดวงตาของพวกเขาใสกระจ่างและเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นสว่างไสว


    “นี่รึพลังของมนุษย์ ?” มารร้ายหวนคิดถึงคำพูดของจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์

    “คราวนี้พวกเจ้าโชคดีที่มีคนช่วย คราวหน้าข้าจะฆ่าพวกเจ้าด้วยมือของข้าให้ได้”



    ร่างของลอร์ดแห่งเผ่ามารผู้มีดวงตาดุจดั่งจักรวาลสีเงินเลือนหายไปจากท้องฟ้าพร้อมกับลำแสงสีส้มอ่อนที่ขอบฟ้าทิศตะวันออก




    To be continue…





    - คุยกันท้ายตอน –

    เจอพิษน้ำท่วมกว่าจะได้เขียนตอนนี้ก็ทิ้งระยะห่างกันตอนที่แล้วพอสมควร แถมเขียนแล้วรู้สึกว่าไม่ปะติดปะต่อเท่าไรด้วย สำนวนก็แปลกไป ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขอน้อมรับคำติทั้งปวงครับ

    ด้านเนื้อเรื่อง ก็เข้า Final Phrase แล้ว เป็นช่วงสุดท้ายจริงๆ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนให้ยาวกว่านี้แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนใจแล้ว (ฮา) อีกไม่นานก็จะเข้าสู่บทสรุปการเดินทางและคลี่คลายปริศนาทั้งหมดแล้ว ขอแรงติดตามอ่านต่อกันอีกนิดนะครับ m(_ _)m

    เช่นเคย ติชมแนะนำได้เต็มที่ครับ

    Azemag A.C. McDowell
  13. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โค้งสุดท้ายเหมือนจะทิ้งปมหลายๆอย่างไว้ หลังจากนี้คงเข้าบทส่งท้ายของเรื่องราวหนนี้แล้วสินะ
  14. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตรงฉากช่วงต้นคิดว่ายังอ่อนสำนวนไปนิดน่ะฮะ เรื่องรายละเอียดการบรรยายชัดเจนไม่มีปัญหาอะไรอ่านดูก็พอจะรู้ว่าจิตที่อยู่ในร่างเบลเก่งแค่ไหน แต่มันดูยังดูขาดภาพลักษณ์ของความสง่าทรงอำนาจไปบ้างฉากก็เลยทำให้ความประทับใจของฉากไคลแมกซ์ตรงนี้ลดลงไป

    ปล. ทากะโดนแช่แข็งลืมไปซะแล้ว (แต่ตอนท้ายนี่โจมตีมาขวางช่วยเอาไว้สินะ)
  15. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อูอา เข้าแล้วๆ จะจบแล้ว

    อืม รับทราบครับ
  16. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 27


    รุ่งอรุณสว่างไสวด้วยแสงแห่งสุริยา ทั่วทุกตารางนิ้วกลับคืนจากความมืดตื่นจากการหลับไหลเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง


    ชายหนุ่มสามคนนั่งล้อมวงอยู่ใกล้ๆกัน รอบตัวพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความเสียหายจากการต่อสู้ที่รุนแรง เศษหินใหญ่เล็ก หลุมบ่อมากมาย คราบเลือดเกรอะกรังเป็นหย่อนย่านอยู่บนพื้น


    ตักของนักมนตราหนุ่มหนุนศีรษะของเบลลานี่ไว้ต่างหมอน สายตาของชายหนุ่มแฝงความอ่อนโยนและความห่วงหาอาทรไว้เต็มเปี่ยม มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลลูบไล้เรือนผมสีบลอนด์อย่างแผ่วเบา


    “อยากได้กาแฟร้อนๆแฮะ” นักดาบสายฟ้าพูดพร้อมกับถอนหายใจเหนื่อยๆ

    “กาแฟ ?” อากิเงยหน้าขึ้นถาม

    “ใช่”

    “อารมณ์ไหนกันเนี่ย คนไม่ดื่มกาแฟอยากดื่มกาแฟ ?” นักเวทผมดำสงสัย

    “ก็แค่อยากลองละมั้ง” อเซแมกพูดจบก็ทิ้งตัวลงนอน “ว่าแต่...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ?”


    หลานชายเหยี่ยวสายฟ้าไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร แต่อากิรอสก็ผินหน้าไปทางผู้ร่วมวงอีกคนหนึ่งที่เงียบมาตลอด


    นักดาบพเนจรลืมตามองทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่งแล้วปิดเปลือกตาช้าๆ


    “ทั้งหมดเป็นความอ่อนหัดของข้าน้อยขอรับ”

    “เกริ่นนำสักนิดคงช่วยให้ข้าเข้าใจได้มากขึ้นนะ” นักมนตราผมดำบอก


    ทากะหยิบดาบซันเซโนะยะคะจากข้างตัวมาวางพาดบนหน้าขา


    “ดาบญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อเรื่องความคมที่ไม่เป็นสองรองใครอีกทั้งยังแข็งแกร่งและงดงาม ทว่า...”

    “เหมือนเหรียญที่มีสองด้านดาบก็เช่นกันขอรับ หากเข่นฆ่าอาบโลหิตมากเท่าไรดาบยิ่งงดงาม แต่จิตของดาบกลับยิ่งดำมืดขึ้นเป็นเท่าทวีอันเป็นผลจากคำสาปของผู้ที่ต้องสังเวยชีวิต หากจิตใจของผู้ใช้ดาบไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านได้ย่อมถูกครอบงำจากจิตของดาบเพื่อเข่นฆ่าลิ้มรสโลหิตให้มากยิ่งขึ้น”


    นักดาบพเนจรดึงดาบออกจากฝัก เหยียดแขนออกสุดขวางดาบขนานพื้น ตัวดาบวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ดูงดงามยิ่งนัก


    “ข้าน้อยเลี่ยงที่จะถูกควบคุมด้วยการใช้วิชาอิไอมาตลอดจนกระทั่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในการต่อสู้เมื่อคืนนี้”

    “เจ้าก็เลยถูกดาบควบคุม ?” อากิรอสถาม

    “ขอรับ”

    “แล้ว...เจ้าเอาชนะได้ยังไง ?”


    ผู้ที่ถูกถามเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบคำถาม


    “ข้าน้อยนึกถึงสิ่งที่ต้องทำ หากต้องตายอยู่ตรงนี้ข้าน้อยจะไม่มีวันทำคำสาบานให้เป็นจริงได้ คำสาบานที่ให้ไว้กับคนที่สำคัญที่สุด คำสาบานที่ให้ไว้กับวิญญาณตัวเอง”


    ดาบซันเซโนะยะคะเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับตอบรับความมุ่งมั่นของเขา


    “เพราะเหตุนี้ข้าน้อยจึงกลับมาจากความมืดได้ขอรับ”

    “อืม”


    นักมนตราหนุ่มพยักหน้าว่าเข้าใจแล้วก็ต้องแหงนคอมองตามทากะที่ลุกขึ้นยืนตรง


    นักดาบพเนจรค้อมตัวโค้งศีรษะให้อย่างนอบน้อมนุ่มนวล ทั้งอเซแมกและอากิรอสต่างตะลึงเพราะรู้ดีว่าการกระทำของทากะเป็นการแสดงความเคารพขั้นสูงสุดของชาวอาณาจักรมายา


    “ขอโทษ...แล้วก็ขอบคุณขอรับ”

    “จะมาเกรงใจทำไมกันตอนนี้ ?” อเซแมกยกมือโบกให้เข้านั่งลง

    “พาพวกข้าไปเยี่ยมชมอาณาจักรมายาแทนคำขอโทษก็แล้วกัน ข้าอยากไปที่นั่นมานานแล้วละ” อากิรอสยื่นข้อเสนอ

    “ข้าน้อยรับปากขอรับ”


    อากิรอสหัวเราะออกมาเสียงดังทำให้อีกอเซแมกและทากะหัวเราะตามด้วย


    อเซแมกเหลือบไปมองด้านหลังของทั้งสองคนที่เป็นบันไดหิน แสงอาทิตย์ส่องผ่านข้ามไหล่ของหญิงสาวคนหนึ่งจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ร่างนั้นโผวิ่งมาทั้งน้ำตากระโจนกอดเขาทันที


    เทรนร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบกอดผู้เป็นอาจารย์ไว้แน่น


    อเซแมกหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมวง ทั้งสองพวกเขายักไหล่ถอนพร้อมกับยิ้มบางๆ


    “เอ้าๆ ข้ายังไม่ทันตายก็ร้องไห้แล้ว จะแช่งข้ารึไงกัน ?” ผู้เป็นอาจารย์พูดแหย่แต่กลับทำให้เธอร้องไห้หนักขึ้น สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเอ็นดู


    ฝีเท้าของคนอีกสองเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ


    “ลืมของไว้หรือไงกันท่านราชองค์รักษ์” อากิรอสพูดแหย่ขึ้นมาทั้งๆที่นั่งหันหลัง อีกฝ่ายตอบกลับด้วยการยิงลูกศรปักอยู่ข้างตัวอีกฝ่าย

    “แค่นี้ก็ยิงไม่โดน” นักมนตราหนุ่มยังไม่หยุดพูดแหย่อีกฝ่าย

    “กลับมาทำไมกัน ? หรือว่าลืมของอย่างที่อากิว่าจริงๆ” อเซแมกเงยหน้าขึ้นถามบ้าง

    “ก็ลูกศิษย์เจ้าน่ะสิ ตื่นมาปุ๊ปก็โวยวายแล้วก็วิ่งกลับมาเนี่ยแหละ” มาเรียบ่นอุบ

    “แล้วก็...เจ้ายังไม่ได้จ่ายค้าจ้างข้าเลย ข้ามีคติว่า ‘เงินไม่มางานไม่เดิน’ นะ” โจรสาวยกนิ้วโป้งขึ้นแล้วคว่ำลงชี้พื้น

    “แบบนี้ก็แย่สิ ข้าไม่มีเงินเหลือแล้วด้วย”

    “งั้นข้าใช้สิทธิ์ยกเลิกงานเลยก็แล้วกันเพราะเจ้าคุยกับข้าได้ก็น่าจะไปทำธุระของเจ้าได้เหมือนกัน โอ๊ย! จะร้องไห้ไปถึงไหนกัน อาจารย์เจ้ายังไม่ตายสักหน่อย” มาเรียโวย

    “อย่ามาปากเสียกับอาจารย์ข้านะ!” เทรนหันมาตวาดกลับ

    “ก็แหกตาดูซะบ้างสิ อาจารย์เจ้าแค่เละเหมือนผ้าขี้ริ้วเท่านั้นเอง”

    “บอกว่าอย่าปากเสียกับอาจารย์ข้า”


    เทรนลุกพรวดขึ้นยืนประจันหน้ากับมาเรีย แต่โจรสาวออกตัวพูดก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่แววตาจริงจัง


    “ไม่เข้าใจรึไงทำไมเขาต้อง ‘ขอร้อง’ ให้พาเจ้ากลับไป ก็เพราะเจ้าใช้แต่อารมณ์ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่รู้จักคิดแบบนี้ไง”


    เทรนชะงักคำที่ตั้งใจจะตะโกนออกไปหยุดนิ่งคิดตามที่อีกฝ่ายพูด


    “ข้าละเบื่อจริงๆต้องคอยดูแลพวกเด็กไม่ประสีประสา” มาเรียบ่นเบาๆพอให้ได้ยินแล้วเดินอ้อมไปนั่งข้างๆอากิรอสที่เบลลานี่นอนหนุนตักอยู่

    “เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ข้าไม่อยู่บ้างละ ?” เธอถาม






    เมื่อดาร์คสตาร์ล่าถอยกลับไปเพราะไม่อาจเอาชนะจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ได้ กุห์ฟานทิ้งคำพูดถึงเบลลานี่ไว้กับอากิรอสเพียงแค่ว่า ‘ขอโทษ’ แล้วก็หายไปพร้อมกับสายลมยามเช้า


    “ท่าน...เป็นใครกันแน่ ?” อากิรอสเอ่ยถามกับดวงจิตปริศนาที่บังคับร่างกายของเบล

    “ข้าคือความปราถนาของทุกคนที่ต้องการสันติสุข เป็นพลังร่วมของทุกคนทีบรรจุไว้ภายในศิลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อผนึกราชาแห่งรัตติกาล”

    “สถานที่แห่งนี้...”

    “เป็นสิ่งก่อสร้างที่ผู้เหลือรอดภายหลังภัยพิบัติจากการตื่นขึ้นของราชาแห่งรัตติกาลสร้างขึ้นเพื่อรักษาเศษเสี้ยวของศิลาศักดิ์สิทธิ์”

    “อือ...” นักมนตรหนุ่มครางในลำคอเบาๆขณะที่คิดปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด

    “หากเจ้ามีคำถามอื่นก็จงรอก่อน กายนี้รับภาระมากเกินไปจวนจะถึงขีดจำกัดแล้ว”

    “เราจะรออยู่เบื้องล่าง ณ ห้องแห่งเทพ”


    เมื่อเสียงของจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์หายไปร่างของเบลลานี่ก็ทรุดฮวบลง ยังดีที่อากิโผเข้าประคองไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะกระแทกพื้น






    “เรื่องก็แค่นั้นแหละ”


    อากิรอสเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้มาเรีย เทรนและไอแซคฟัง


    “อืมมมม” มาเรียกลอกตาไปมาเหมือนคิดอะไรอยู่ “แล้วดอกไม้รุ้งสวรรค์ละ ?”

    “ต้องถามคนนำทางแล้วละ” นักเวทหนุ่มโบ้ยหน้าไปทางไอแซค

    “ข้าเป็นแค่คนนำทาง ต้องถามผู้นำกลุ่มสิ” ไอแซคโบ้ยต่อไปยังอเซแมกทำให้ทุกคนหันไปมองเขาพร้อมกัน

    “แล้วกันสิ...ข้ากลายเป็นผู้นำกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไร ?”


    แต่ดูเหมือนการปฏิเสธของเขาจะไม่เป็นผลเมื่อทุกคนยังคงจ้องมาที่เขาเพื่อรอการตัดสินใจ


    “งั้นขอเวลาข้าคิดหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ก็พักกันไปก่อนข้าเองก็อยากนอนเต็มแก่แล้ว”

    “ตักขวาข้ายังว่างอยู่นะ” อากิรอสพูดแหย่

    “เก็บไว้ให้ไอแซคเหอะ” อเซแมกตอกกลับแล้วล้มตัวลงนอนไม่สนใจอะไรอีก

    “ส่วนคำตอบก็รอตอนข้าตื่นนะ”






    อีกหลายชั่วโมงผ่านไปดวงอาทิตย์เริ่มยกตัวขึ้นสูงตั้งฉากกับพื้น แดดแรงจนเผาแผ่นหินให้ร้อนระอุชนิดที่ว่าถ้าตอกไข่สดลงไปก็คงสุกกลายเป็นไข่ดาวในพริบตา ทุกคนย้ายตำแหน่งมาหลบแดดอยู่หน้าทางเข้าเทวลัยตรงแท่นหินที่เคยมีร่างไร้ชีวิตของผู้หญิงที่กุห์ฟานหามา แต่ตอนนี้ร่างนั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่มีใครรู้


    กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นลอยไปเตะจมูกอเซแมกปลุกเขาให้ตื่นขึ้น เมื่อยันตัวลุกขึ้นก็พบว่าทุกคนกำลังนั่งล้อมวงรอบกองไฟย่างสัตว์โชคร้ายชะตาขาดสักอย่าง


    “อ้าว ? ตื่นแล้วเรอะ” อากิรอสที่กำลังเคี้ยวเนื้อชิ้นใหญ่ในปากหันไปถาม

    “เห็นไหม ? ข้าบอกแล้วว่าวิธีนี้ได้ผลแน่นอน” เทรนพูดด้วยความภาคภูมิใจ

    “อยากได้เนื้อน่องหรือว่าเนื้อสะโพกละ ?” อากิรอสแกล้งถาม

    “ไปหามาจากไหนเนี่ย ? อย่าบอกนะว่า...” อเซแมกลุกขึ้นมานั่งร่วมวงมื้อกลางวันกับทุกคนซึ่งเบลลานี่ตื่นขึ้นมาแล้ว

    “ทุกคนพยายามปลุกเท่าไรท่านก็ไม่ยอมตื่น จนเทรนเสนอว่าให้ปลุกด้วยกลิ่นเนื้อย่างจากนั้นเธอกับท่านไอแซคก็ย้อนกลับไปเพื่อล่ามังกรจากในหุบเขา” จอมเวทสาวเป็นผู้อธิบายและจัดแจงส่งเนื้อย่างเสียบไม้ให้กับเขา

    “มื้อนี้หรูจริงๆแฮะ” อเซแมกว่าแล้วก็ลิ้มรสเนื้อมังกรย่างเข้าปากทันที

    “แล้วคำตอบละขอรับ ?” ทากะทวงถึงสิ่งที่ทุกคนอยากรู้


    นักดาบสายฟ้ากลืนเนื้อลงคอแล้วกรอกน้ำตาม


    “แน่นอนว่าเป้าหมายหลักคือการนำดอกไม้รุ้งสวรรค์กลับไปที่นครชิลโซลิธี”

    “แต่ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าสิ่งที่อาจจะเป็นกุญแจแห่งชัยชนะในการสู้กับเผ่ามาร”

    “อันดับแรก ลงไปยังห้องแห่งเทพเพื่อพบกับดวงจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ก่อน จากนั้นค่อยไปตามหาดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังหน้าผานี้ สุดท้ายก็กลับชิลโซลิธีเสร็จสิ้นภารกิจนี้“

    “คิดว่าไง ?” อเซแมกถามความคิดเห็นของทุกคน

    “ตามนั้น!” ไอแซคและอากิรอสประสานเสียงตอบแทบจะพร้อมกัน

    “เช่นกันขอรับ” ทากะเห็นด้วยกับแผนการ ส่วนสามสาวก็พยักหน้าว่าตกลง

    “งั้นก็กินกันให้อิ่มแล้วก็เดินทางต่อเลย”


    ทุกคนจึงสุมหัวกันกินเนื้อมังกรย่างไฟหอมกรุ่นเหมือนตายอดตายอยากไม่ได้กินอะไรมานาน ไม่เว้นแม้แต่เบลลานี่ที่ปกติเป็นคนกินอะไรนิดหน่อยๆเท่านั้น






    จากหน้าประตูที่อยู่บนสุด ทุกคนต้องเดินย้อนลงไปห้องที่คาดว่าน่าจะอยู่ลึกที่สุด คบไฟจึงถูกจุดขึ้นมาเพื่อให้แสงสว่างนำทาง


    ห้องโถงเล็กใหญ่มากมายถูกบรรจุไว้ตามชั้นต่างๆ สิ่งของมากมายบอกเล่าเรื่องราวว่าในสถานที่แห่งนี้เคยมีคนอยู่พลุกพล่าน ชุดโต๊ะและเก้าอี้จำนวนมาก ชั้นวางต่างๆ แจกันดินเผาขนาดไล่เรียงกันไปตั้งแต่เล็กไม่ถึงคืบจนถึงสูงใหญ่เท่ากับคน บางชิ้นเป็นงานหยาบๆแต่บางอันก็มีลวดลายงดงาม บ้างก็สมบูรณ์ดีพร้อมบ้างก็แตกหักบุบสลายตามกาลเวลา


    เสียงของจิตแห่งศิลาผนึกนิรันดร์ที่ดังเข้าสู่จิตใจอย่างนุ่มนวลช่วยบอกเส้นทางที่ถูกต้องให้ มิฉะนั้นทุกคนคงวนเวียนหลงทางอยู่ภายในเทวลัยที่ซับซ้อนเป็นเขาวงกตแน่นอน


    ใช้เวลาประมาณเปลวไฟลามเลียเผาคบเพลิงในมือจนเกือบหมด เส้นทางก็สิ้นสุดลงที่บันไดขั้นสุดท้าย ปลายทางคือห้องที่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างจางๆ ศิลาที่ถูกก่อขึ้นเป็นกำแพงและผนังเรืองแสงในตัวเองอย่างไม่น่าเป็นไปได้


    ณ ใจกลางห้องที่กำแพงก่อตัวโค้งขึ้นไปบรรจบกันเป็นครึ่งวงกลมคว่ำครอบพื้นหินอ่อนสีขาวนวลอมเหลือง เศษศิลาก้อนเล็กไร้ค่าไร้ราคาลอยตัวอยู่กลางอากาศ รัศมีสีฟ้าอ่อนเปล่งออกทั่วทุกทิศทางให้ความรู้สึกเบาสบายเหมือนลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆละเอียดนุ่ม


    “ยินดีต้อนรับทุกคน” เสียงที่คุ้นเคยดังก้องกังวาล

    “ข้ามาตามคำเชิญของท่าน” อากิรอสเป็นตัวแทนทุกคนสนทนากับศิลาศักดิ์สิทธิ์

    “เจ้ามาเพราะมีข้อสงสัยในใจ”

    “ถูกต้อง”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ถามมาเถิด”

    “ข้ารู้มาว่าในอดีตไกลโพ้น ราชารัตติกาลได้ก่อสงครามขึ้นเพื่อให้เผ่ามารเป็นผู้ปกครองโลกเพียงหนึ่งเดียว ข้าอยากรู้ว่ามันเป็นจริงใช่หรือไม่ ?” นักเวทหนุ่มถามคำถามแรก

    “ถูกต้อง! มหาสงครามแห่งความมืดที่ทำลายล้างทุกเผ่าพันธุ์ให้พินาศ”

    “ท่าน...พอจะเล่าถึงเหตุการณ์นั้นให้พวกข้าทุกคนฟังได้ไหมครับ ?”


    แสงสว่างจ้าขึ้นมาชั่วเวลาหนึ่งจากทั่วห้องจากนั้นทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป ผืนดินเขียวขจีอยู่เบื้องล่างใต้สองเท้าที่ลอยอยู่บนฟ้ากว้าง


    “นี่มัน...เหมือนตอนอยู่ในอาณาจักรเอลฟ์เลย” เทรนร้องบอก

    “ใช่” ไอแซคยืนยันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


    “อย่างที่ทุกคนรู้ ในอดีตกาลยุคแรกเริ่มมีสี่ชนเผ่าที่ได้รับพรวิเศษจากทวยเทพผู้สรรสร้างชีวิต เผ่ามารนั้นเป็นหนึ่งเดียวที่ต้องอยู่ภายในเงามืดไม่อาจอยู่ภายใต้แสงสว่างได้ เผ่ามารปรารถนาที่จะดำรงชีวิตภายใต้แสงแห่งดวงอาทิตย์เฉกเช่นเผ่าพันธุ์อื่นๆ”

    “พวกเขาอ้อนวอนและบวงสรวงเหล่าเทพไม่เคยขาดโดยหวังว่าจะได้รับความเมตตาในสักวันหนึ่ง แต่แล้ว...”

    “ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าแห่งเป็นที่ตั้งอาณาจักรของเผ่าพันธุ์ที่ได้รับเลือกจากเทพผู้สร้าง มีสี่ชนเผ่าที่ได้รับเลือกแล้วคือ เผ่าเอลฟ์ เผ่ายักษ์ เผ่าคนแคระ และเผ่ามนุษย์”

    “และเมื่อเวลามาถึง เหล่าเทพกลับเลือกเผ่าวานรให้เป็นเผ่าพันธุ์สุดท้ายที่จะได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ ‘พรแห่งวิวัฒนาการ’”

    “เผ่ามารโกรธแค้นที่พวกตนไม่ได้รับเลือกจึงก่อสงครามขึ้นโดยผู้นำเผ่ามารที่แข็งแกร่งที่สุด – ราชารัตติกาล”

    “สงครามได้ทำลายโลกอย่างย่อยยับ ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แต่เผ่ามารไม่ยอมหยุดสงคราม พวกเขายิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งทำลายล้าง ยิ่งเข่นฆ่าเป็นเท่าทวี”

    “ทุกเผ่าพันธุ์บนโลกนี้นับหมื่นเผ่าพันธุ์หลอมรวมจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวไว้ภายในศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าเทพประทานมาให้เพื่อใช้ทำลายล้างเผ่ามาร”

    “ทว่าพลังแห่งความมืดของราชารัตติกาลนั้นแข็งแกร่งเทียบเทียมเหล่าเทพ พลังของศิลาศักดิ์สิทธิ์จึงไม่อาจสังหารเขาได้ ทำได้เพียงผนึกเขาไว้ให้หลับใหลอยู่ใต้ผืนดินตลอดกาล”


    ภาพเหตุการณ์ดำเนินไปตามคำบรรยายของจิตแห่งศิลาศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราวแต่หนหลังถูกถ่ายทอดให้ทุกคนรับรู้จนหมดสิ้น


    “แล้ว...ทำไมราชารัตติกาลถึงหลุดจากการจองจำได้ละ ?” เทรนถาม


    ทิวทัศน์เปลี่ยนไปอีกครั้งหลัง


    “ทุกเผ่าพันธุ์ล่มสลายหลังจากมหาสงครามแห่งความมืด มีเพียงเผ่าวานรที่เหลือรอดและปรับตัวอยู่กับสภาพของโลกที่โหดร้ายได้เพราะได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้า”

    “ลูกหลานของเผ่าวานรวิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆตามกาลเวลา จนในที่สุดก็สามารถก้าวข้ามเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนและสถาปนาตนเองเป็น ‘มนุษย์’”

    “ซึ่งก็คือบรรพบุรุษของพวกเจ้า”

    “พวกเขาสรรสร้างทุกอย่างเพื่อใช้ดำรงชีวิต แต่ในขณะเดียวกันก็ทำร้ายโลกไปพร้อมกัน”

    “พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สะกดราชารัตติกาลค่อยๆสูญสลายเพราะสมดุลที่เสียไปของโลก”

    “จนในที่สุด ราชารัตติกาลได้บันดาลให้แผ่นดินแยกตัวออกจากกัน ปราสาทของเขาจึงปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง บรรพบุรุษของพวกเจ้าจึงเข้าไปสำรวจเพียงเพราะคิดว่าเป็นอาณาจักรโบราณ”

    “และพวกเขาได้ทำให้ศิลาศักดิ์สิทธิ์หลุดออกจากปราสาทแห่งความมืด ราชารัตติกาลจึงหลุดพ้นจากจองจำและบันดาลภัยพิบัติทำลายล้างทุกอย่าง”

    “ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปเราจึงผนึกราชารัตติกาลอีกครั้งหนึ่ง แต่เพราะพลังของศิลาศักดิ์สิทธิ์อ่อนลงไปมากจึงสะกดราชารัตติกาลได้เพียงชั่วคราว และศิลาศักดิ์สิทธิ์จึงถูกทำลายกระจัดกระจายไปทั่วโลก”

    “ก้อนศิลาที่อยู่ที่นี่คือหนึ่งในเศษส่วนของศิลาศักดิ์สิทธิ์”

    “ทุกร้อยปี พลังศักดิ์สิทธิ์จากทั่วโลกจะหลอมรวมกันเป็นผลึกเพื่อใช้สะกดราชารัตติกาลเพื่อรอเวลาที่จะให้ทุกอย่างกลับสู่สมดุลและกำจัดราชารัตติกาลให้ได้”


    ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทุกคนยืนอยู่ที่เดิมในห้องครึ่งวงกลมที่สุกสว่าง


    “แบบนี้นี่เอง” อากิรอสพึมพัมออกมา เศษส่วนของรูปภาพที่กระจัดกระจายเหมือนจิ๊กซอว์ได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ควรเป็น ปริศนาและข้อสงสัยจึงถูกแก้ปมออกจนหมด

    “พวกข้าดั้นด้นเดินทางมายังที่นี่ก็เพื่อตามหาดอกไม้รุ้งสวรรค์เพื่อนำกลับไปช่วยชีวิตผู้คนอีกมากในสงครามกับกองทัพเผ่ามารที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่านบอกได้หรือไม่ว่าดอกไม้นั่นอยู่ที่ใด ?” อเซแมกบอกจุดประสงค์ของตนและถามถึงที่อยู่ของดอกไม้วิเศษ

    “สิ่งที่ท่านตามหาอยู่ด้านหลังภูผาแห่งนี้อีกไม่ไกลนัก” ดวงจิตแห่งศิลาศักดิ์สิทธิ์ตอบข้อสงสัย

    “ขอบคุณครับ”

    “คำถามสุดท้ายของข้าแล้ว” อากิรอสพูดขึ้น

    “มีหนทางใดบ้างที่จะเอาชนะเผ่ามารและราชารัตติกาลได้อย่างเด็ดขาดบ้าง ? ข้าไม่อยากให้มันยืดเยื้อยาวนานไปกว่านี้ ข้าต้องการเป็นอิสระจากความมืด”

    “พลังของศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหนึ่งเดียวสามารถเอาชนะพลังแห่งความมืดได้ ทว่า”

    “หากปราศจากความเป็นหนึ่งเดียวของทุกคน ผลลัพธ์ที่คาดหวังก็คงไม่บังเกิดขึ้น”

    “ข้าเข้าใจแล้ว” นักมนตราผมดำค้อมหัวทำความเคารพเล็กน้อย

    “สุดท้ายนี้ ข้ามีคำขอร้องต่อพวกเจ้า”

    “นำพาศิลาศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากที่นี่และรวบรวมให้เป็นหนึ่งเดียว ข้าจักช่วยเหลือพวกเจ้าในการต่อสู้กับเผ่ามาร”

    “จะได้หรือไม่ ?”

    “ย่อมไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ ใช่ไหมทุกคน ?” อากิรอสตอบและถามขึ้น ทุกคนพยักหน้ารับ

    “ถ้าอย่างนั้น ให้ข้าได้เป็นส่วนหนึ่งกับผู้หญิงคนนี้รอเวลาที่จะตัดสินชะตากรรมพร้อมกับพวกเจ้า”


    ศิลาศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงวาบหนึ่งครั้งแล้วหายไป บนคอของเบลลานี่ปรากฏสายสร้อยขึ้นมาหนึ่งเส้นพร้อมอัญมณีสีฟ้าโปร่งใสรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด


    “ด้วยความยินดีค่ะ” เบลลานี่กุมสร้อยไว้ในมือด้วยใบหน้าปีติยินดี






    เมื่อเสร็จสิ้นสิ่งที่ต้องทำในลำดับแรกของกำหนดการแล้ว ทุกคนย้อนกลับขึ้นมาด้วยการนำทางของเบลลานี่ที่รู้ที่ซอกทุกมุมของเทวลัย กลไกประตูลับต่างๆถูกค้นพบและเปิดเส้นทางใหม่ที่นำไปสู่ทางออกที่เชื่อมต่อกับหุบเขากว้างใหญ่


    แมกไม้เขียวขจีขึ้นครึ้ม ดอกไม้เบ่งบานส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ สายธารที่เกิดจากน้ำตกขนาดใหญ่ไหลพาดผ่านผืนดินเป็นเส้นสีเงินระยิบระยับ สถานที่แห่งนี้ราวกับสวงสวรรค์ก็ไม่ปาน


    ทั้งหมดเดินย้อนขึ้นไปตามสายธารมุ่งสู่น้ำตกใหญ่เบื้องหน้าที่มีสายรุ้งพาดผ่านไขว้ขัดไปมาราวกับบันไดสวรรค์


    “อาจารย์! ทุกคน! ดูนี่สิ” เทรนตะโกนเรียกอย่างตื่นเต้นขณะที่ทุกคนหยุดพักริมตลิ่งธาร

    “มีอะไร ?” อเซแมกถาม

    “น้ำในลำธารเนี่ยเป็นน้ำวิเศษแน่ๆ แค่เอาน้ำราดแผลก็หายแล้วละ” เธอวักน้ำด้วยมือขวาและราดรดแผลบนแขนซ้ายช้าๆ แผลที่มีเลือดซึมอยู่ปิดสนิทในพริบตา

    “คงเป็นผลจากดอกไม้รุ้งสวรรค์แน่ๆ” ไอแซควิเคราะห์

    “คงจะใช่นะ” อากิรอสเห็นด้วยกับเขา


    ทากะลองวักน้ำขึ้นดื่มสองสามอึก ผลที่ได้ก็เหมือนกันคือบาดแผลทั่วร่างเริ่มสมานตัว กำลังกายฟื้นคืนขึ้นเหมือนไม่เคยต่อสู้ห้ำหั่นอย่างดุเดือดมาก่อน


    “วิเศษสมชื่อจริงๆขอรับ”



    หลังจากพักเอาแรงและฟื้นฟูร่างกายแล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปต่อ


    สายน้ำสีขาวร่วงหล่นลงกระแทกพื้นจนแตกกระจายเป็นละอองฝอย แสงที่ส่องผ่านม่านน้ำถูกหักเหเป็นเส้นสีเจ็ดเส้นวาดผ่านอากาศ เนินดินใหญ่กลางน้ำมีดอกไม้หลากสีเบ่งบานชู่ช่อรับแสง ตรงกลางหมู่มวลดอกไม้ทั้งหมดนั้นมีต้นไม้เล็กๆที่ออกดอกเต็มต้น ดอกไม้นั้นมีกลีบเจ็ดกลีบคละสีกัน – ม่วง คราม ฟ้า เขียว เหลือง แสด แดง


    ดอกไม้รุ้งสวรรค์ที่ทุกคนดั้นด้นเสี่ยงชีวิตเดินทางค้นหาอยู่ตรงหน้าแล้ว


    เบลลานี่เดินฝ่าสายน้ำขึ้นไปบนเนินดินหลับตารวบรวมพลังมนตราอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดฟองใสๆขึ้นบนฝ่ามือแล้วขยายใหญ่ขึ้น เธอประคองฟองนั้นครอบผ่านดอกไม้เจ็ดสีดอกหนึ่งแล้วดึงออกมา ดอกไม้นั้นเบ่งบานอยู่กลางฟองพร้อมกับประกายสายรุ้งอย่างน่ามหัศจรรย์


    “ขอฝากดอกไม้ไว้กับท่านนะคะ” เธอยกจี้หินสีฟ้าใสขึ้นแตะกับฟองที่มีดอกไม้อยู่ พลันฟองนั้นถูกดูดเข้าไปภายในจี้จนหมดแล้วเดินกลับมาหาทุกคน


    “ภารกิจเสร็จสิ้นแล้วค่ะ”


    เสียงเฮของเทรนดังลั่นตามด้วยเสียงหัวเราะของอากิรอส รอยยิ้มฉาบฉายอยู่บนใบหน้าของทุกคนไม่เว้นแม้แต่เสือยิ้มยากอย่างทากะด้วย


    บทสุดท้ายของการเดินทางค้นหาดอกไม้สวรรค์อยู่อีกไม่ไกลแล้ว






    To be continue…



    - คุยกันท้ายตอน –

    ปลายทางที่มุ่งหวัง สิ่งที่มุ่งมั่นค้นหาอยู่ในมือแล้ว


    ปล. สำหรับตอนหน้า เจอกันหลังน้ำลดครับ

    Azemag A.C. McDowell
  17. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    วิจารณ์สองบทรวบ อาอู

    บท 26 เป็นการสู้แบบมันๆ เน้นๆ จู่มีตัวละครเทพโผล่มา สถานการณ์แทบผลิกทันใด ฮะฮ่า แต่ก็เป็นอย่างที่พี่ซาลว่า...

    คือ ไงดีหว่า... (เกาหัว) ถ้าเล่นแง่จิตใจทากะมากกว่านี้ว่าหลุดออกมาได้ยังไง สุดท้ายทำไมดาบถึงยอมรับคำสัญญา มันก็จะพีคกว่านี้นะเออ

    มีประโยคที่เตะตาตั้งแต่อ่านครั้งแรกอยู่ประโยคนึง

    คือ รูปที่เห็นในหัวมัน... เอ่อ... เอ่อ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ คือ มารสาว มันก็บอกอยู่แล้วอ่ะว่าเป็นตัวละครผู้หญิง แล้ว "ช่วงอกโป่ง" เนี่ย ในหัวเรามีภาพแบบ "หน้าอกบึ้มๆ" ขึ้นมาซะงั้น 555+ คือมัน ไงอ่ะ จะว่าเราหื่นก็ได้ เอ้า! >,.<

    ถ้าให้ดีล่ะก็ บอกว่า "มารสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดจนกระบังลมขยาย" มันจะดูดีกว่านะ

    บท 27 เป็นบทกิ่งๆสรุป...

    บทนี้ดูรวบรัดไปหน่อยแฮะ ภาษาการบรรยายก็ถูกลดทอนความสวยงามลง เหมือนพยายามตัดฉากให้มันจบๆไป ความจริงเล่นแง่กุห์ฟานกับทากะให้มากกว่านี้หน่อย ก็จะติดตรึงกับเนื้อเรื่องได้มากกว่านี้

    สุดท้ายปาร์ตี้ก็กลับมารวมกันจนได้ ก็ทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาแฮะ ว่าตกลงเรื่องที่อเซแม็กขอร้องมาเรียให้ทำคืออะไร คือ ดูท่ามันจะไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก เพราะถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญ แค่เทรนคนเดียว เจอนิสัยอย่างไอแซคแล้ว คงไม่ยอมปล่อยไป เหตุผลที่มาเรียพูดกับอเซฯก็ดูเบาบางไปหน่อย เพราะครั้งที่แล้วก็ตกลงอะไรกันเสร็จจนเดินทาง มาเรียดูจะไม่ใช่คนกลับใจอะไรง่ายๆอย่างนั้น

    ไงล่ะ บทนี้อะไรๆก็ดูจบง่ายๆ ทำให้ความพีคในการที่มันเชื่อมไปสู่ตอนจบ ออกอาการ Climax ไม่พอ (ความจริงคือ พี่ข้ามช่วง Climax จากบทที่แล้วไปอย่างน่าเสียดาย) เข้าใจว่าพี่อเซรีบ แต่มันดูฮวบๆลงไปหน่อย

    ช่างเถอะ มาถึงตอนจิตผนึกเล่าเรื่องเลยดีกว่า...

    มันเหมือนจะเคลียร์แต่ก็ยังงงๆอยู่

    ตรงนี้เขียนเหมือนเผ่ามนุษย์กับเผ่าวานรไม่ใช่เผ่าเดียวกัน...

    ข้างบนบอกว่าเผ่ามารอ้อนวอนเทพไม่ขาด แต่ต่อมากลับบอกว่า...

    ถ้าเราเข้าใจอะไรผิด คงเป็นที่เราเองนี่แหละที่มึนเมา (โคลงหัว)

    ที่สำคัญ คือเล่าเรื่องเป็นพรืดๆแล้วมันอ่านยาก ดูมันสับสนไปหมด ตอนรีไรท์อยากให้แก้ตรงจุดนี้นะคะ

    สุดท้ายก็หาดอกไม้เจ็ดสีเจอจนได้ ถึงมันจะมีเหตุการณ์แทรกหลายๆอย่าง แถมมีน้ำศักดิสิทธิ์ฮีลพร้อมด้วยแฮะ ครบสูตรฮีโร่ดีมากค่ะ -w-b

    ยังไงก็ ขอรอดูตอนต่อๆไปนะคะ :cool:
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  18. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    /me รายงานตัวว่าอ่านแล้ว

    ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรจะคอมเมนท์เท่าไหร่ไว้รออ่านตอนต่อไปละกัน >_<
  19. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    อือม์..........

    ไม่ค่อยกังขาเรื่องสำนวนเท่าไร หลักๆแบมๆก็เม้นท์ไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของการลำดับเรื่องราวต่างๆมากกว่า
    ตั้งแต่บท 25 แล้ว บทต่อสู้กินเวลายาวนานมาก ควบไปร่วม 3-4 ตอน ส่วนตัวผมมองว่ามันยืดเยื้อนะ ถึงจะสร้างความซับซ้อนและวิกฤตเพื่อให้มันเร้าใจ แต่ก็ยังยืดไปอยู่ดี

    อาเซยังต้องเน้นมากๆเรื่องการแจกบทตัวละคร คือย่างบทที่เทรนวิ่งกลับมาหาอาจารย์ คำพูดที่ว่า “ก็ลูกศิษย์เจ้าน่ะสิ ตื่นมาปุ๊ปก็โวยวายแล้วก็วิ่งกลับมาเนี่ยแหละ” น่าจะเป็นไอแซ็คที่พูดมากกว่า โดยนัยที่ว่า ไอแซ็คเป็นคนที่ถูกมอบหมายให้พาเทรนกลับ ไม่ใช่มาเรีย โทนของคำพูดน่าจะไปตกที่ไอแซ็ค
    หรืออย่าง "โอ๊ย! จะร้องไห้ไปถึงไหนกัน อาจารย์เจ้ายังไม่ตายสักหน่อย” อาเซน่าเป็นคนโวยมากกว่า ถูกเทรนเขย่าคอซะขนาดนั้น
    เป็นเรื่องที่พบมาตลอดการเขียนของอาเซ ว่าบทนี้ใครควรพูดมากกว่าใคร คนแต่งบางครั้งมองออกยาก แต่คนอ่านมองง่ายกว่า

    ลอร์ดดาร์คสตาร์มีจุดจบแบบนี้ ก็สมควรแล้ว = =b แต่ถ้าเป็นไปได้ ความชั่วร้ายไม่อยากให้เป็นแค่ความแค้น เพราาะมันเกร่อไปแล้ว ในอนาคต รู้ว่าจะรีไรท์ เพราะงั้นแม้แต่ตัวร้ายเองก็ต้องให้ความสำคัญในฐานะคาแรคเตอร์ด้วยเน้

    บท 27 ม่างงงงงงงงงง เบาเหลือเชื่อ!! หนุ่มๆหมดแรงกันเป็นแถบๆ จะบอกว่ามีตัวนึงที่แสดงออกดีตลอด มันคือทากะ! เป็นตัวที่ไม่ค่อยหลุดเลย

    การเฉลยปมทีเดียวก็ไม่มีอะไรงงสำหรับผม เพียงแต่ มันแลดูเหมือนมาหนักตอนท้าย แล้วทำให้ content ที่ผ่านๆมาเบาโหวง ต้องค่อยๆคลี่ปมทีละนิด มาตลอดทาง มากกว่าจะมาบึ้มใส่ตอนสุดท้ายแบบนี้ นี่เป็นข้อเสนอแนะอ่ะนะ
    บทวิวัฒนาการน่ะรู้นะ ... ว่ามาจากอะไร /gg
    จะดีมากถ้าบอกด้วยว่า ทำไมเผ่ามารถึงไม่ถูกเลือก มันต้องมีสาเหตุที่ไม่ใช่อคติสิครับ

    ปล. อาเซแม็กมัน.... ยุให้อากิรอสวายกับไอแซ็ค!! SHIT!
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  20. Livic

    Livic ผู้กล้า

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    ^
    ^
    สุดยอดคอมเม้นเตเตอร์
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    บทส่งท้าย



    ตั้งแต่วันคัดเลือกผู้กล้าเพื่อทำภารกิจให้กับจักรพรรดิแห่งนครชิลโซลิธี “ภารกิจตามหาดอกไม้รุ้งสวรรค์” จนถึงวันนี้นับเป็นเวลาร่วมสามเดือนผ่านพ้นหนึ่งฤดูกาลบนโลกนี้ จากคิมหันต์กาลเปลี่ยนผ่านสู่วสันต์ฤดู หมู่เมฆดำทะมึนปกคลุมทั่วนภาโปรยหว่านหยดน้ำให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนดินและสรรพสิ่งทั้งมวล


    แม้จะเป็นเวลาเที่ยงกว่าๆแต่บรรยากาศโดยรอบก็หมองมัวเพราะแสงแห่งดวงอาทิตย์ไม่อาจแทรกตัวผ่านมวลเมฆลงมาได้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้จังหวะชีวิตต้องหยุดตามไปด้วย คนกลุ่มวิ่งตัดผ่านพงไพรแข่งกับสายฝนแทรกตัวไปตามช่องว่างของต้มไม้น้อยใหญ่รวดเร็วยิ่งกว่าลมพายุ


    เพราะทั้งฝูงสัตว์ป่าและสัตว์อสูรจำนวนมากวิ่งไล่กวดตามมาหลังมา


    “ว๊อย! วันนี้มันวันโคตรซวยรึไงเนี่ย” มาเรีย ซินนาส โจรสาวแสนสวยแผดเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ

    “จริงๆแล้ววันนี้เป็นวันอังคารนะ” เสียงของอากิรอส คีฟ ที่วิ่งรั้งท้ายตะโกนตอบมา

    “รู้แล้วโว๊ย!” เสียงของมาเรียดังกว่าเดิมและทำให้สัตว์อสูรด้านหลังคำรามกระหึ่มก้องป่า

    “ดูเหมือนยังอารมณ์ดีกันนะขอรับ” ทากะ นักดาบพเนจรพูดขึ้น

    “เพราะใครกันละ ‘ท่าน-ไอ-แซค’ พอจะรู้รึเปล่าน๊า ?” นักมนตราหนุ่มส่งเสียงประชดประชันไปทางเอลฟ์ผมทองที่วิ่งน้ำทางอยู่หน้าสุด

    “แล้วไอ้หน้าไหนที่บ่นว่าอยากยืดเส้นยืดสายละ หา ?” ผู้ที่ถูกพาดพิงโวยกลับ

    “ระวัง!” อเซแมกตะโกนเตือนทุกคนเมื่อมีบางอย่างพุ่งเข้าหา



    มังกรแดงบินโฉบลงมากวาดทั้งป่าให้ราบเหี้ยนเสียงดังสนั่น พวกสัตว์ป่าที่วิ่งตามหลังมาบางส่วนถูกกวาดเข้าปากกลายเป็นมื้อเที่ยงส่วนที่เหลือต่างหนีเอาชีวิตรอดกันไปรวมถึงทุกคนที่กระโจนหนีตายไปคนละทิศละทาง


    แต่ดูเหมือนแค่คำเดียวจะไม่สามารถเติมเต็มกระเพาะอาหารได้ มันคำรามแล้วบินกลับลงมายังอากิรอสที่กระโดดขึ้นไปยอดไม้


    นักเวทผมดำฉีกตัวหลบปากที่เข้าขย้ำออกด้านข้างแล้วสร้างหอกน้ำแข็งจำนวนมากยิงปักเข้าที่ข้างคอของมัน เจ้ามังกรคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดกระพือปีกบินหนีขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง


    “อเซแมก! มื้อนี้สนใจฟาดเนื้อมังกรย่างอีกป่าว ?” อากิรอสตะโกนถามเมื่อไปหยุดตั้งหลักบนยอดไม้อีกแห่งหนึ่ง

    “ได้ก็ดี มีก็เอา” อเซแมกตอบรับคำชวนของเขาแล้วกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ข้างๆ




    มังกรแดงบินโฉบลงมาอีกครั้ง มันอ้าปากกว้างหมายจะขย้ำทั้งสองให้จมเขี้ยว แต่สิ่งที่มันได้รับกลับไม่ใช่เลือดเนื้อของเป้าหมาย แต่เป็นความเจ็บปวดที่ปีกทั้งสองข้างถูกฟันขาดด้วยดาบสายฟ้าของอเซแมกและดาบวารีของอากิรอส ร่างใหญ่ยักษ์ของมันร่วงสู่ผืนป่าต้นไม้หักโค่นย่อยยับแต่มันก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ เจ้ามังกรแดงอ้าปากกว้างขับมวลพลังความร้อนมหาศาลออกมา เปลวเพลิงสีแดงบิดเป็นเกลียวเข้าหาชายหนุ่มทั้งสอง


    เบลลานี่พุ่งขึ้นมาขวางกลางระหว่างพวกเขาและมังกรและต้านทานไฟมังกรด้วยไฟของเธออย่างง่ายดาย และในจังหวะเดียวกัน หัวของเจ้ามังกรโชคร้ายก็ขาดปลิวกระเด็นขึ้นฟ้าแล้วตกห่างออกไป ร่างของมันล้มลงแผ่พังพาบอยู่ด้านหลังทากะที่กำลังเก็บดาบซันเซโนะยะคะกลับเข้าฝัก



    “อ้าว! นึกว่าจะยืนดูห่างๆเหมือนเคยนะเนี่ย” อากิรอสตะโกนบอก

    “ทั้งที่สังหารในดาบเดียวได้แต่กลับไม่ทำ ชอบเล่นกันเสียจริงนะขอรับ” นักดาบหัวยุ่งตอบกลับ

    “คิดช้าไปหน่อยว่าจะเอาเขี้ยวมังกรไฟไปทำอะไรดีน่ะ” อเซแมกคลายจากสภาพร่างสายฟ้าแล้วกระโดดลงจากต้นไม้

    “งั้นข้าขอเกล็ดก็แล้วกัน” มาเรียตามมาสมทบทีหลัง “นี่! ยัยเด็กน้อย รีบๆไปชำแหละเนื้อแล้วเก็บเกล็ดมังกรให้ข้าด้วย เลือกเอาที่เกล็ดใหญ่ๆสวยๆนะ” แล้วก็สั่งงานเทรนทันที

    “ทำไมข้าต้องทำตามที่เจ้าสั่งด้วย ?” นักดาบสาวปฏิเสธกลับนิ่มๆ

    “จะ-ทำ-หรือ-ไม่-ทำ ?” มาเรียแสยะยิ้มสะบัดแส้ฟาดต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆจนเปลือกนอกแตกยับ

    ไอแซคเดินเข้าไปตบบ่าเธอจากด้านหลัง “รอดตายจากมังกรไฟแต่ก็อย่าเสี่ยงกับมังกรอีกตัวดีกว่า...นะ”

    “เป็นเด็กเป็นเล็กก็ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่...นะ” อากิรอสตบบ่าอีกข้างของเธอ




    ทั้งสองพร้อมใจกันพยักหน้าว่าอย่าลองของจะดีกว่า และเมื่อเป็นเช่นนั้นนักดาบสาวก็ต้องยอมทำตามที่มาเรียบอกอย่าเลี่ยงไม่ได้


    มื้อกลางวันผ่านพ้นด้วยความรวดเร็ว เลือดมังกรสดๆเป็นบัตรเชิญชั้นดีที่เรียกบรรดาสัตว์ป่าและสัตว์อสูรทั้งหลายที่แตกฮือไปแล้วให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ดีหน่อยตรงที่พวกมันไม่ต้องไล่กวดพวกเขาเพราะมีอาหารชั้นเลิศให้พวกมันเรียบร้อยแล้ว







    เดินทางอีกประมาณสองชั่วโมงไอแซคก็พาทุกคนออกมาถึงชายป่าเนมุส ถัดไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกล รอยต่อระหว่างดินแดนตะวันตกกับหุบเขามรณะ


    “ส่งแค่นี้ก็คงพอ” ไอแซคหันหลังกลับมาบอกทุกคน

    “อ้าว ? ข้านึกว่าท่านไอแซคจะไปด้วยกันจนถึงที่ชิลโซลิธีซะอีก” เทรนร้องด้วยความเสียดาย

    “ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ของข้าและหน้าที่ของข้าก็สิ้นสุดลงตรงนี้เช่นกัน” เอลฟ์หนุ่มตอบ

    “เคร่งครัดเสียจริงนะท่านราชองครักษ์”


    อากิรอสที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลพูดขึ้นมาแล้วลอยหน้าลอยตาดูนกชมไม้ไปเรื่อย ไอแซคจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ


    “ข้าอยากกลับอาณาจักรใจจะขาด อยู่กับเจ้านานจนกลิ่นสาบมนุษย์ติดตัวหมดแล้ว”

    “ข้าถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน”




    แม้ว่าบทสนทนาฟังเหมือนพูดประชดประชันกัน แต่บนใบหน้าของทั้งสองกลับแสดงถึงสิ่งอื่นอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มจางๆและแววตาเหงาๆที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มนั้น


    “แล้วข้าจะส่งเทียบเชิญเที่ยวชมอาณาจักรมนตรามาให้นะ” อากิรอสว่าแล้วผุดตัวออกเดินแต่ไอแซคจับไหล่เขารั้งไว้ให้หยุด

    “คิดว่าข้าอยากได้ ?”

    “นั่นเป็นปัญหาของเจ้า แต่ถึงเจ้าไม่อยากได้ข้าก็จะส่งให้อยู่ดี”




    นักเวทหนุ่มแกะมือของเอลฟ์นักธนูออกจากไหล่แล้วเดินจากมา สวนกลับอเซแมกที่เข้าไปยืนมือขวาอยู่ตรงหน้าของไอแซค


    “ขอบคุณมาก”


    หลานชายเหยี่ยวสายฟ้ากล่าวอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายได้ฟังแล้วก็ยื่นมือขวาขึ้นมาตอบรับ


    “ข้าจะไม่กล่าวคำว่าลาก่อนเพราะหากโชคชะตายังเล่นตลกให้พวกเราเจอกัน คำพูดของข้าคงไร้ความหมาย” ไอแซคบอก

    “ถ้าหากโชคชะตาไม่ให้พวกเราเจอกันอีก ข้าก็จะสู้กับโชคชะตาอย่างแน่นอน”



    ไอแซคกำหมัดขึ้นชกที่หน้าอกของอเซแมกเบาๆแล้วก้าวเท้าถอยหลังเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาก่อนที่ร่างจะหายลับไป



    “เคอร์เอล มาท” (โชคดี สหาย)







    ทุกคนเดินทางข้ามผ่านทุ่งหญ้าที่เริ่มกลายสภาพเป็นบึงขนาดใหญ่เพราะน้ำฝนจำนวนมากจากท้องฟ้าและน้ำหลากจากเทือกเขาใหญ่ไหลมารวมกัน แต่ถึงจะยากลำบากขนาดต้องว่ายน้ำข้ามไปก็ไม่มีใครปริปากบ่น การเดินทางกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า อีกไม่นานก็จะได้กลับบ้านกลับเมืองของตัวเองกันเสียที


    แม้จะเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เปียกปอนฉ่ำชุ่มทั่วสรรพางกาย แต่รอยยิ้มที่ไม่มีความหมายก็ผุดขึ้นบนใบหน้าตลอดเวลา


    การเดินทางทั้งหมดได้สอนอะไรพวกเขาไว้หลายอย่าง มันไม่สามารถสื่อออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่อาจบรรยายได้ว่ารู้สึกอย่างไร


    แค่รับรู้ด้วยหัวใจก็เพียงพอแล้ว


    สิ่งต่างๆตกค้างอยู่ตามเส้นทางที่ผ่านมา หุบเขามรณะที่วกวนซับซ้อนเกือบจะทำให้ทุกคนเอาชีวิตไมรอด ป่าเนมุสที่ถูกพวกออคบุกโจมตีอย่างกะทันหัน ทุ่งหญ้าที่อิเซเรียและไบท์มาท้าสู้กับพวกเขา ป่าทึบที่เคยล้อมวงดื่มเหล้าจนเกิดเรื่อง


    ความทรงจำของทุกคนติดตรึงอยู่ทั่วทุกแห่งหน


    การเดินทางให้ความรู้สึกแปลกๆอยู่เสมอ ในครั้งออกเดินทางรู้สึกเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จุดหมายปลายทางอยู่ไกลจนมองไม่เห็นไม่อาจคาดคะเนได้ว่าจะไปถึงในตอนไหน


    แต่การเดินทางกลับ บนถนนเส้นเดิมเส้นเดียวกันกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไว...จนเกินไป อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว


    คงเป็นเพราะในใจรู้ดีว่าเมื่อใดที่บรรลุเป้าหมาย เมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก เวลาแห่งการล่ำลา






    สิบวันของการเดินทางผ่านพ้น ทุกคนมาถึงหน้าประตูทิศตะวันออกของมหานครแห่งยุค – ชิลโซลิธี


    นักรบหญิงชายทั้งหกคนเดินผ่านสองข้างทางที่เต็มไปด้วยชาวเมืองมากมายกำลังโห่ร้องยินดีปรีดาที่เหล่าผู้กล้าเดินทางกลับมาถึงพร้อมกับดอกไม้วิเศษที่เป็นความหวังของพวกเขาทุกคน เด็กๆกระโดดโลดเต้นอยู่รอบๆพร้อมเสียงหัวเราะ ฝูงชนโปรยปรายกลีบดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์ขึ้นฟ้าตลอดทางที่พวกเขาก้าวเดินไป ทุกระเบียงชั้นสองตลอดฟากถนนมีคนขึ้นไปจับกลุ่มอยู่อย่างแออัด


    “แบบนี้คงได้จัดงานเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนแหงๆ” อากิรอสผิวปากอย่างอารมณ์ดี

    “แล้วสหายอากิก็จะไปคุยกับสาวๆทั้งเมืองว่าการเดินทางลำบากยากเข็ญแค่ไหน” อเซแมกแซวขึ้น

    “จากนั้นก็ออดอ้อนออเซาะดิ้นไปดิ้นมาบนตักสาวๆสินะขอรับ” ทากะรับมุขต่อทันที

    “แล้วท่านเบลก็จะตามไปเขกกระโหลกแล้วก็ลากศพกลับมาตามถนน” เทรนสรุปปิดท้าย

    “อ้าวๆ” นักเวทหนุ่มโวยวายที่โดนแซว

    เบลลานี่ก้มตัวไปอุ้มเด็กผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมากอดแล้วหันไปส่งยิ้มให้คู่หู “อยากไปก็ไปสิ ข้าห้ามเจ้าไม่ได้หรอกเพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” พูดเสร็จก็หอมแก้มเด็กน้อยไปฟอดใหญ่ไม่สนใจที่อีกฝ่ายยืนตะลึงอ้าปากค้าง

    เทรนทำท่าจะหัวเราะสะใจแต่ถูกมือของมาเรียปิดปากจากด้านหลังไว้ก่อน




    “เบล...ข้า...เอ่อ”


    อากิรอสเกิดอาการติดอ่างขึ้นมากะทันหัน เบลลานี่ได้ยินที่เขาพูดแต่ก็แกล้งทำเป็นไมได้ยินเล่นกับเด็กในอ้อมกอดไปเรื่อย


    “เดี๋ยวก่อน...เบล” นักเวทหนุ่มหยุดเดินแล้วพูดเสียงดังขึ้น

    “หือ ?” เบลหันหลังกลับมามองเขา “มีอะไรก็พูดมาสิ ทุกคนกำลังรีบนะ”

    “ข้า...”


    อากิรอสหันรีหันขวางดูรอบตัวที่มีแต่ชาวเมืองกำลังโห่ร้องยินดีแล้วก็ต้องถอนหายใจหนักๆให้กับตัวเอง


    “ถ้าไม่พูดตอนนี้ข้าก็ไม่อยากฟังอีกนะ”


    เจอประโยคเด็ดที่เป็นหมัดตายแบบนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็ยิ่งหมดทางหนีมากขึ้น



    “ข้ารักเจ้า!”



    อากิรอสแหกปากตะโกนสุดเสียงสารภาพความในใจออกมาทำเอาชาวเมืองที่อยู่ตรงนั้นเงียบกริบ แล้วความเงียบก็ค่อยๆลามไปทั่วถนนทั้งเส้น


    เบลลานี่ปล่อยเด็กตัวน้อยในอ้อมกอดลงพื้นแล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนหน้าแดงแจ๋ทำอะไรไม่ถูก


    “เหลือเชื่อเลย มีใครเขาบอกรักด้วยการตะโกนบ้างละ ? แล้วอีกอย่างนะ ตอนบอกรักก็ช่วยมองตาข้าหน่อยเถอะ”

    หญิงสาวพูดจบก็โน้มตัวเข้าไปจูบอากิรอสที่ยืนบื้อเป็นท่อนไม้



    ทุกคนส่งเสียงเฮหนักๆ เสียงเป่าปากดังลั่นไปทั่ว เทรนตะลึงอ้าปากค้างส่วนคนอื่นที่เหลือก็พลอยยิ้มดีใจที่เห็นทั้งสองได้ลงเอยด้วยกันเสียที


    เมื่อริมฝีปากของเบลลานี่ถอนออกจากปากของอากิรอส เธอก็พูดทิ้งท้ายแถมไว้ว่า


    “ลองนอกใจข้าดูสิ ข้าจะเผาไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซากเลย”


    เบลเดินหันหลังกลับด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าออกเดินนำไป เมื่ออากิหันไปมองคนอื่นๆก็พบว่าทุกคนโบกมือไล่ให้รีบตามเธอไปไวๆ ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งตามไปพร้อมเสียงเฮไล่หลังดังสนั่น







    ขบวนทหารเกียรติยศตั้งแถวรอรับทุกคนอยู่หน้าอาคารหลักของหมู่อาคารบัญชาการกองทัพแห่งชิลโซลิธี เมื่อพวกเขามาถึงบรรดาทหารก็ดึงดาบชูขึ้นฟ้าแล้วดึงกลับมาแนบอกเป็นการทำความเคารพ


    ประตูไม้บานใหญ่เปิดออกกว้าง ชายหนุ่มวัยกลางคนในชุดอัศวินเต็มยศ ชุดเกราะสีเงินเงาวับ ผ้าคลุมสีแดงสดพลิ้วสะบัดตามจังหวะก้าวเท้า แม่ทัพใหญ่แห่งสิบสองกองทัพชิลโซลิธี พีอุส อเลกซานดรอส ผู้ครองฉายาแม่ทัพการ์เน็ต


    “ยินดีต้อนรับกลับสู่ชิลโซลิธี ท่านผู้กล้าทั้งหลาย”


    แม่ทัพใหญ่ยกมือทาบอกแล้วค้อมหัวให้อย่างไม่ถือตัวในความอาวุโส



    “ต้องขอบคุณจริงๆ พวกท่านได้นำพาแสงสว่างแห่งชัยชนะให้ปรากฏแก่พวกเรา แก่ชาวเมืองทุกคน แก่มวลมนุษยชาติ”

    “เป็นเกียรติอย่างยิ่งเช่นกันครับ” อเซแมกยกมือทาบอกแล้วค้อมหัวตอบ



    เบลลานี่ประสานสองมือไว้ที่สร้อยแล้วกางออก ดอกไม้วิเศษในฟองใสปรากฏขึ้นส่องแสงเจ็ดสีที่อบอุ่นอ่อนโยนไปทั่วบริเวณ บรรดาทหารและชาวเมืองที่ห้อมล้อมอยู่ต่างส่งเสียงฮือฮาที่ได้เห็นดอกไม้วิเศษ


    นักเวทสาวเดินประคองดอกไม้วิเศษไปส่งให้ถึงมือแม่ทัพใหญ่ ก้มหัวทำความเคารพแล้วถอยกลับมายืนที่เดิม


    เสียงโห่ร้องยินดีก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เสียงแตรเกียรติยศถูกเป่าขับพร้อมกับเสียงสลุตของปืนใหญ่ปิดท้าย







    ประตูของร้านอาหารที่คึกคักที่สุดในย่านตะวันตกของนครบุษราคัมถูกเปิดกว้าง บรรยากาศภายในร้านที่กำลังเฮฮาได้ที่เพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณมึนเมาหยุดลงในทันทีที่ชายหญิงสามคู่ก้าวเท้าเข้ามา


    เวลานี้ในเมืองแห่งนี้จะมีใครบ้างที่ไม่รู้จักพวกเขา เสียงเฮดังลั่นร้านหนักกว่าเก่าเพราะผู้ที่มาเยือนคือผู้กล้าที่นำดอกไม้รุ้งสวรรค์มาสู่ชิลโซลิธี


    แก้วเหล้ามากมายถูกหยิบยื่นส่งต่อให้พวกเขา และก็เป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่สามที่ต้องกระดกเครื่องดื่มทั้งหมดลงคอ โดยเฉพาะทากะที่ต้องระวังไม่ให้มีเครื่องดื่มที่ว่าได้สัมผัสกับลิ้นของมาเรียเป็นอันขาด



    “รอดตายกลับมาได้ ไม่น่าเชื่อเลย” เสียงของมาสเตอร์ที่อยู่ด้านหลังบาร์ดังขึ้น สีหน้าเปี่ยมยิ้มเหมือนพ่อที่รอรับลูกชายกลับสู่บ้าน

    อเซแมกแหวกทางเข้าไปหาเขา “ก็เกือบไปเหมือนกันแหละ” นักดาบหนุ่มหันมองซ้ายขวาหาภรรยาคู่ใจของเจ้าของร้าน

    “กำลังทุ่มสุดชีวิตผัดสปาเก็ตตี้ให้เจ้าอยู่ในครัวแน่ะ” มาสเตอร์ตอบ ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ

    “คืนนี้ข้ากับทุกคนกะจะนอนที่นี่ มีห้องเหลือรึเปล่าครับ ?”

    “ยังติดนิสัยไม่ชอบนอนที่หรูๆเหมือนเคยนะ ฮ่าๆ เดี๋ยวข้าดูให้แปปนึง”



    ชายวัยกลางคนผละไปถามจำนวนห้องว่างในครัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับออกมา


    “เหลือสามห้อง ครบคู่พอดี” มาสเตอร์ยิ้มแบบมีเลศนัยแอบแฝง

    “ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไงเนี่ย มาสเตอร์” อเซแมกรู้ทัน

    “ฮ่าๆๆๆๆ ก็คนเขาพูดกันทั้งเมือง”

    “พูดเรื่องอะไรละครับ”

    “อย่ามาไก๋น่า เจ้าผมดำนั่นกับแม่สาวผมบลอนด์สวยๆนั่นแหละ” มาสเตอร์ชี้ไปที่อากิรอสและเบลานี่

    “ถ้าสองคนนั่นละก็...ใช่ครับ แต่คนที่เหลือไม่ใช่แน่นอน” ชายหนุ่มยกแก้วไวน์องุ่นกระดกลงคอรวดเดียว เพราะรู้ดีว่ามาสเตอร์ไม่ได้หมายความถึงทากะและมาเรียแต่หมายถึงเขากับลูกศิษย์อย่างแน่นอน




    และแล้วเรื่องที่เขาคาดคิดไว้ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อแก้วเหล้าองุ่นถูกยกเข้าปากมาเรียโดยที่ทากะห้ามไม่ทัน จากนั้นเสียงโวยวายล้งเล้งก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงหน้าผากของอากิรอสที่ถูกจับกระแทกกับโต๊ะเต็มแรง ส่วนเทรนนั้นกระโดดหนีออกนอกโต๊ะได้ทันก่อนที่จะถูกมาเรียคว้าตัวได้ โจรสาวเลยหันไปจิกหัวของทากะแล้วยิ้มหวานสุดชีวิตให้แทน


    เบลลานี่ไม่ได้ว่าหรือห้ามอะไรได้แต่นั่งยิ้มให้กับอากิรอสเพียงแค่นั้น




    “หนุ่มสาวนี่คึกคักกันดีจริงเลยพับผ่าสิ ฮ่าๆๆ” มาสเตอร์หัวเราะลั่น

    “เอ้า! วันนี้ข้าอารมณ์ดีกินฟรีดื่มฟรีไม่มีอั้น เต็มที่!”




    คำประกาศของมาสเตอร์เรียกเสียงเฮลั่นร้านยิ่งกว่าตอนผู้กล้าเดินเข้ามาในร้านเสียอีก








    เวลาเช้ามืดที่ทุกคนยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง บ้างก็เมาไม่ได้สตินอนด้วยท่าประหลาดตามโต๊ะ เก้าอี้ หรือแม้แต่พื้น


    แต่ชายหญิงสองคู่กำลังเตรียมพร้อมจะออกเดินทางอีกครั้ง



    “รีบไปกันแต่เช้าเลย ไม่ทานอะไรกันสักหน่อยเหรอ ?” คุณป้าภรรยาของมาสเตอร์ถามด้วยความเป็นห่วง

    “แค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้วค่ะ” เบลลานี่ตอบด้วยรอยยิ้ม

    “ถ้าว่างก็แวะมาทานอาหารที่นี่บ้างนะ” คุณป้าบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและห่วงใยเหมือนเธอเป็นลูกสาวแท้ๆ

    “ค่ะ” นักเวทสาวตอบแล้วหันกลับไปบอกเทรน “อีกสี่เดือนข้าจะมารับตามสัญญานะ”

    “อื้อ!” นักดาบสาวยิ้มแย้มแล้วตรงเข้าไปกอดเธอ “ข้าจะรอ...แน่นอน”

    “แล้วพวกเจ้าละ ?” อเซแมกถามไปยังทากะและมาเรีย

    “ข้าน้อยจะกลับอาณาจักรขอรับ” นักดาบหัวยุ่งตอบ

    “ก็คงไปเรื่อยเปื่อย...มั้ง ข้าเป็นพวกอยู่ไม่ติดที่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” มาเรียตอบพลางมัดผมให้เป็นทรงหางม้า




    คนถามพยักหน้าเบาๆเมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว






    เมื่อท้องฟ้าฟากทิศตะวันออกถูกดวงอาทิตย์ระบายสีส้มทั้งสี่คนก็ออกเดินทางไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในใจ ไม่มีคำบอกลาใดๆถูกกล่าวออกมาให้ได้ยิน


    ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆต่อกัน แต่ทุกคนเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งหากยังมีชีวิตอยู่ย่อมได้พบกันอีก...ไม่เร็วก็ช้าในสักวันหนึ่ง คำบอกลาที่ซาบซึ้งสวยหรูจึงไม่มีความหมายใดๆ มีเพียงการลาจากอย่างเรียบง่ายก็เพียงพอแล้ว







    พอสายขึ้นมาทั่วเมืองก็กลับคึกคักเหมือนเช่นเคยเป็นวัฎจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้นตราบที่ชีวิตยังมีลมหายใจ ผู้คนเดินขวักไขว่เต็มถนน พ่อค้าแผงลอยนำสิ้นค้ามาวางเต็มผืนผ้าใบ เสียงจอแจเซ็งแซ่อยู่ทุกตารางเมตร


    อาจารย์และลูกศิษย์เดินทางมารับม้าที่คอกของทางการเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่หมู่บ้าน สถานที่ที่พวกเขาเกิด เติบโตและอยู่อาศัย


    เจ้าม้าหนุ่มสีดำแสดงอาการดีใจที่เห็นผู้เป็นนายกลับมา ไม่ต่างจากม้าสาวสีน้ำตาลของเทรนที่ร้องเสียงดังและยกสองขาหน้าขึ้นอย่างคึกคัก


    หลังจากจัดการอานและเกือกม้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ควบม้าออกจากเมืองโดยมีชาวเมืองปรบมือและส่งเสียงเรียกไปตลอดทางจนกระทั่งออกประตูทิศใต้ไป ม้าสองตัววิ่งเต็มฝีเท้าเหมือนกับรอคอยที่จะได้ออกวิ่งมานานแสนนานห้อทะยานพาผู้กุมบังเหียนไปดุจสายลมพัด




    “อาจารย์” เสียงของนักดาบสาวที่ควบม้าอยู่ข้างๆดังขึ้น

    “มีอะไร ?”

    “ข้าดีใจมากและได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากการเดินทางครั้งนี้ ได้พบผู้คนมากมายและได้เห็นว่าโลกเป็นเช่นไร”

    “ขอบคุณค่ะที่ให้ข้าร่วมทางไปกับท่าน”



    อเซแมกไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จึงอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มขึ้นที่มุมปาก



    “แล้วยังอยากจะตามข้าไปต่อไหม ?”


    นักดาบสาวดวงตาเปล่งประกายฉีกยิ้มกว้าง “แน่นอนค่ะ”



    อเซแมกหัวเราะเบาๆแล้วเตะข้างลำตัวเจ้าม้าคู่ใจเป็นสัญญาณให้เร่งความเร็วขึ้นไปอีก มันส่งเสียงร้องตอบรับแล้วพุ่งทะยานเร็วขึ้นกว่าเดิม


    “ตามข้าให้ทันละ ยัยตัวแสบ”


    เทรนหัวเราะร่าแล้วเร่งม้าสาวของตัวเองตามหลังผู้เป็นอาจารย์ไป





    ท้องฟ้าวันนี้ก็ยังคงสดใสเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆตราบตนวันที่ความฝันเป็นจริง





    - end –​
  22. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    จากใจ Azemag A.C. McDowell


    นานเหลือเกินกว่านิยายเรื่อง Legendary บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี จะจบลง

    ได้รับความกรุณาจากเพื่อนๆสมาชิกทุกคนที่ร่วมติดตามอ่าน คอมเมนต์ ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและชี้แนะทั้งในบอร์ดนี้และทางช่องทางอื่นๆด้วย ขอบคุณจริงๆครับ


    สำหรับผม นิยายเรื่องนี้ออกจะดิบไปสักนิดเพราะมันเขียนขึ้นมาแบบกะทะหันตามความต้องการ

    เนื้อเรื่องก็ดิบ ตัวละครก็ดิบได้แต่หยิบยืมชื่อและลักษณะนิสัยของเพื่อนฝูงรอบข้างมาใช้งาน

    เขียนไปเขียนมายังมีเป๋มีรวนตามอารมณ์ที่ไม่คงที่ก็หลายตอน ก็คงต้องขอใช้พื้นที่ตรงนี้กล่าวขออภัยไว้สำหรับผลงานเขียนในตอนที่ไม่ได้เรื่องครับ


    ด้วยความสัตย์จริงครับ ผมตัดจบเรื่องไว้ที่ตรงนี้เท่านั้นซึ่งเนื้อเรื่องดิบๆในหัวยังอีกยาวไกลนัก
    และด้วยความสัตย์จริงครั้งที่สองครับ เรื่องนี้ผมแต่งขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อเคาะสนิมการเขียนเรื่องยาวที่ห่างหายไปนาน ขัดเกลาสำนวนภาษาให้เข้าที่และลงตัว เคยคิดจะดองไว้เฉยๆตั้งแต่จบตอนที่ 12 ด้วยซ้ำไปเพราะว่าสิ่งที่ต้องการ คือ สำนวนภาษา ได้กลับมาครบหมดแล้ว

    แต่ถ้าทำแบบนั้นก็คงจะไม่ดีใช่ไหม ? ผู้อ่านหลายคนที่ติดตามอ่านก็คงจะทวงถามว่าเมื่อไรจะเขียนต่อ บางท่านก็บอกว่าอยากอ่าน

    ซึ่งหากผมทิ้งเรื่องนี้ไว้เฉยๆตั้งแต่ตอนนั้น รีพลายนี้ก็คงไม่ได้เกิดขึ้นเป็นแน่แท้

    ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกคนที่ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจอีกครั้งครับ




    หลายคนก็คงจะถามว่า อ้าว? จบแล้วเหรอ? แล้วเนื้อเรื่องอื่นๆที่ยังไม่ได้เปิดเผยละ ? อัญมณีทั้งห้าก็ยังไม่ได้ตามหา แล้วแม่ทัพเฟธเดินทางไปไหน ? แม่ทัพคนอื่นๆที่ยังไม่เปิดตัวละ ?

    แล้วภาคต่อ , SS 2 ที่เคยบอกว่าจะมี ยังจะเขียนไหม ?


    บอกได้คำเดียวว่า ... ไม่มีครับ

    ต้องขออภัยจริงๆหากเนื้อเรื่องส่วนไหนยังไม่กระจ่างหรือติดค้างไว้อยู่ แต่ถามได้นะผมพร้อมจะตอบ แต่ถ้าจะให้เขียนเล่าเรื่องอีกละก็

    คงต้องบอกว่า "พอแล้ว" ละครับ m(_ _)m



    ส่วนแบมๆ แน็ก แล้วก็น้องฝุ่น รวมถึงหลายๆคนที่เคยสอบถามไปว่าจะขอข้อมูลตัวละครมาลงก็ต้องขออภัยไว้ตรงนี้เช่นกันครับ


    ถ้าวันหน้าฟ้าใหม่มีโอกาสจะเขียนบทเพิ่มเติมให้ก็แล้วกันครับ แต่สำหรับเนื้อเรื่องหลักก็คงจบลงแค่ตรงนี้

    ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนจบครับ ขอบคุณจริงๆ



    ด้วยจิตคารวะ

    Azemag A.C. McDowell
  23. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    /me ลงชื่ออ่าน

    น่าเสียดายหน่อยที่ไม่มีต่อ แต่ถ้าต่อก็คงต้องแต่งอีกยาวมากๆล่ะนะ ไว้ถ้ามีเรื่องใหม่มาก็จะตามอ่านอีกนั่นล่ะฮะ >_<
  24. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงบทสุดท้ายซึ่งนี่ก็จะเป็นคอมเม้นสุดท้ายสำหรับฟิคเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งจะขอจัดแบบหนักๆในฐานะเพื่อนฝูงเลยละกันนะหลายคนอาจอ่านแล้วรู้สึกว่าผมปากดี หรือเป็นคอมเม้นที่แรง ต้องขอให้เด็กอายุต่ำกว่า15 และสตรีมีครรภ์หลีกเลี่ยง

    ตั้งแต่ได้อ่านงานเขียนชิ้นนี้ตั้งแต่มันยังไม่ลงตอนแรกจนถึงบทนี้ซึ่งเป็นบทสุดท้ายในด้านสำนวนภาษาเราได้เห็นการพัฒนาในการใช้คำ และการตัดฉากที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับผมที่อ่านจนจบครบทุกตอนความรู้สึกก็คือเนื้อเรื่องมัน"ธรรมดา"เหลือเกิน

    และในความ"ธรรมดา"กลับไม่มีอะไรที่น่าประทับใจซักเท่าไรเลยทั้งในเรื่องของจังหวะในการดำเนินเรื่องที่ขึ้นๆลงๆไม่คงเส้นคงวาบ้างก็เร็วไปบ้างก็ห้วนไป

    บุคลิคของตัวละครหลายๆตัวที่ไม่ชัดเจน และแกว่ง ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่ง่าย และชัดเจนที่สุดคงไม่พ้นตัวละครอย่าง"มาเรีย" ที่บุคลิคของเธอเปลี่ยนไปพอสมควรในบางช่วงแกว่งไปแกว่งมา และการที่คนเขียนเข็นตัวละครออกมา"มาก"จนเกินไป ทำให้คุมตัวละครทั้งหมดไม่อยู่หลายๆตัวละครคนอ่านแทบจำไม่ได้ซะด้วยซ้ำ​

    อีกหลายตัวละครที่เหมือนจะมีอะไรแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรจนจบเรื่อง ทำให้ตรงนี้ถือเป็นจุดบอดจุดใหญ่ของฟิคเรื่องนี้ สังเกตได้ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงบทสุดท้าย

    ส่วนเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรงที่หลายๆคนพูดถึงนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนักแต่สิ่งที่ฟิคเรื่องนี้ขาดไปสำหรับผมมันคือ "ความประทับใจ" หลายๆครั้งหลายๆตอนในการดำเนินเรื่องมันเร็วจนเกินไปง่ายจนเกินไป และบางที่เหตุและผลของหลายๆอย่างในเรื่องในเบาจนทำให้รู้สึกธรรมดาเหลือเกินจนไม่มีอะไรน่าประทับใจ หรือจดจำในตัวละครหรือเหตุการณ์นั้นๆ

    ต่อให้เนื้อเรื่องมันเป็นเส้นตรงคนอ่านเดาทางได้แต่ถ้ามันมีฉากมีเหตุการณ์ที่อ่านแล้วรู้สึกอินรู้สึกน่าติดตามต่อให้รู้เนื้อเรื่องจนจบแล้ว มันก็ยังน่าสนุกอยู่ดีในการติดตามอ่านว่า



    "ทำไม?"เนื้อเรื่องถึงเป็นแบบนั้น


    "ทำไม?"เหตุการณ์นั้นๆมันถึงลงเอยได้แบบนั้น


    ตัวละครตัวนี้เป็นมา"ยังไง?"ถึงออกมาเป็นแบบนี้นะ



    การดำเนินเรื่องที่ฉับไวจนเกินไปของฟิคเรื่องนี้มันทำให้หลายๆครั้งที่ความอยากที่จะรู้ในเรื่องราวต่างๆภายในฟิคมันหายไปเพราะบทสรุปมันออกมาที่ปลายย่อหน้า หรือย่อหน้าถัดไปยังไม่ทันที่คนอ่านได้เสพอะไรเลยเรื่องราวมันก็จบลงซะแล้ว

    แต่ถึงกระนั้นในฐานะคนเขียนนิยายคนหนึ่งผมขอนับถือในความพยายามและความสามารถของAzemagที่ลากเข็นฟิคเรื่องนี้ผ่านสิ่งต่างๆมากมาย จนมาถึงในบทสุดท้าย

    ขอบคุณสำหรับเวลาว่างของคุณที่มาเขียนนิยายให้เราอ่าน

    ขอบคุณสำหรับความคิดหลายๆอย่างที่ผมได้มาจากฟิคของคุณ

    ขอบคุณที่เขียนจนจบ


    นักเดินทางแห่งมิดการ์ด
    19/11/2554​
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  25. Jammaster

    Jammaster New Member

    EXP:
    26
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    นานจนลืมรึยังเนี่ยว่าจะเม้นฟิกท่านตั้งแต่กลางทาง กลับมาอีกทีจบซะแล้ว ขอลงไว้ตรงนี้เลยละกันครับ
    แม้ว่าจะเปิดเรื่องมาแบบการผจญภัยเพื่อกอบกู้หายนะตามสูตรนิยมแต่สิ่งที่ท่านใส่ไว้ในฟิกคือการที่มีเนื้อหาของความไม่เป็นสูตรสำเร็จจนน่าเบื่อแบบเรื่องราวทั่วๆไป การรวบรวมเพื่อนที่ดูเหมือนจะง่ายแต่จริงๆแล้วเป็นทีมที่ทำขึ้นมาแบบหลวมๆที่ไม่เก็ทว่าไปสนิทขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นิสัยของตัวละครเองก็แกว่งๆอย่างมาเรียกับเบลล่า จุดที่ผมสงสัยมากๆก็เช่นการที่กุนฟานร่วมมือด้วยในนาทีสุดท้ายซะงั้นไม่นับช่วงที่อยู่ๆ เทพพิทักษ์สิงมาเรียแล้วก็ย้ายไปเบลล่าตอนแรกยังคิดว่าจะย้ายไปเทรนด้วยอีกตัว ไอแซคเองเป็นตัวละครที่สร้างความอิมแพคให้กับทีมน้อยแปลกๆอาจจะเพราะใส่มาทีหลังเพื่อให้จิ้นกับอากิรอส (เรอะ ?) ต้องยอมรับว่าทำเนื้อหาส่วนของ อากิกับเบลได้ชัดเจนดีคาแรกก็แน่นกว่าตัวอื่นๆในเรื่องครับ

    ผมชอบความไม่เย่นเย้อที่ไม่ต้องมีอะไรมากนัก แต่จากที่สร้างตัวละครฟากเมืองเยอะแยะ กับสเกลของจอมมารที่มีลูกน้องนิดเดียวทำให้มันดูแปลกๆครับ ยังช่วงของการที่ เผ่า ที่ 5 วานรกลายเป็นเผ่ามนุษย์แทนอีก มันยังไงน่ะ ผมเข้าใจว่าคุณ อเซคงไม่ได้ตามเก็บจุดเล็กๆที่ทิ้งไว้ เพราะอยากนำเสนอเนื้อหาให้จบมากกว่าแต่ส่วนอื่นๆคงทิ้งไว้ข้างหลัง

    สิ่งที่ขาดไปจริงๆคือการที่โลกดูแคบไปนิดสำหรับสเกลมนุษย์ชาติสูญสิ้น มีแค่ประเทศๆหนึ่งส่ง 1 ทีมมาหาดอกไม้เจ็ดสี เจอป่าเอลฟ์กลางทาง ระหว่างการตามหากลุ่มที่ขัดขวางกลับเป็นแค่ของกุนฟานที่ทำเพราะเรื่องของคนรัก นอกนั้นแล้วถือว่าอ่านได้สนุกมากเลยครับ

Share This Page