Infinite Hero Legends “Cyber Judge” (พลิกตำนานฮีโร่ แบบฉบับไร้ขอบเขต) ชีวิตที่เคยอยู่ไปวันๆหมดลงไปแล้ว ... กลายเป็นชีวิตที่แขวนอยู่บนโลกที่ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวจากนี้ไปจักต้องทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลังเพื่อขจัดพิษร้ายที่แทรกซึมอยู่ในจิตใจของผู้คนในฐานะของผู้ผดุงความยุติธรรม... ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเองเลยให้ตายสิ ..แต่เมื่อมองหน้าเธอแล้วแรงปฏิเสธก็หายไปจนหมดเพียงเพราะว่าดวงตาใสๆคู่นั่นเหรอ ? ไม่หรอกเพราะไม่เคยเดาออกเลยต่างหากว่าจริงๆแล้วเธอคิดอะไรอยู่ แต่ด้วยความน่ารักและความคาดไม่ถึงของเธอนี่แหละที่ทำให้ผมต้องเสี่ยงชีวิตนับไม่ถ้วน.... เอ๋อะไรนะ ? นี่ไม่ใช่นิยายรักหรอกเป็นนิยายฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมต่างหากล่ะ ! เชื่อกันหน่อยสิ ก็ยัยเด็กนี่น่ะ หน้าตาย ปากก็ร้าย พอสวนคืนเข้าหน่อยก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แถมยังอ้อนเงียบอีกนะ ! ถ้ายังไม่เชื่ออีกละก็ ตามมาอ่านได้เลย !!!! ---------------------------------------------------------- Possibility 1 ตัดสินใจผิดชีวิตเป็นฮีโร่ ! เสียงคร่ำครวญอย่างโหยหวนกำลังร้องเรียกผมอย่างต่อเนื่อง... หลายปีก่อนผมเคยเป็นบุคคลที่ไม่มีใครต้องการในที่แห่งนี้ ไม่แม้จะอยากเห็นหน้าเสียด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เหล่าผู้ประสาทวิชาทั้งหลายต่างก็กลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเชิญชวนให้ผมอยู่ที่นี่ พร้อมข้อเสนออันน่าดีใจเป็นแน่แท้ ทว่าในส่วนลึกของจิตใจที่มิอาจหวั่นไหวต่อเพียงแค่เงินตรา ทำให้ผมยังคงยึดมั่นคำสัญญากับตัวเองไว้อย่างเหนี่ยวแน่น 'จบจากนอก เพื่อกลับมาพัฒนาประเทศ !!' นี่คือคำที่ผมพูดกับตัวเองเมื่อหลายปีก่อน มันถูกกลั่นออกมาจากอุดมการณ์อันแรงกล้า และมันก็เป็นแรงผลักดันให้ผมยอมอดทนดั้นด้นข้ามโพ้นข้ามน้ำข้ามทะเลแสนไกลเพื่อไปเรียนต่อยัง ต่างแดนประเทศที่เป็นศิวิไลซ์ หมายว่าปริญญาเมืองนอกจากช่วยให้สิ่งที่ตั้งหวังไว้เป็นจริงได้ง่ายขึ้น ฐานะครอบครัวที่ไม่ได้ดีนักเมื่อเทียบกับนักเรียนนอกคนอื่นทำให้ต้องเหนื่อยเจียนตาย กับการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่ในที่สุดแล้วผมก็ทำความฝันให้เป็นจริงได้ครึ่งหนึ่ง นั่นคือสำเร็จการศึกษาและได้ปริญญานอกมาการันตีความสามารถ จะเหลือฝันอีกครึ่งหนึ่งคือการนำองค์ความรู้นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่แผ่นดินมาตุภูมิ... แล้วผมก็กลับประเทศด้วยความภาคภูมิเต็มเปี่ยม พร้อมเริ่มงานทันที หวังว่าจะเติมเต็มความฝันส่วนที่เหลือให้ลุล่วงจงได้โดยไม่คิดยอมแพ้ ต่อให้เส้นทางความฝันนี้จะยาวไกลและยากลำบางเพียงใดก็ตาม …………………. เฮ้ย! คอมของท่านรองติดไวรัส ไปแก้ด่วนเลย!! เสียงของเลขาหน้าห้องปลุกผมจากภวังค์... "อา... ครับ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ" ผมพยักหน้ารับแล้วจึงลุกจากเก้าอี้พร้อมกันหยิบสมาร์ทโฟนคู่ใจที่ใส่โปรแกรมสารพัดไปด้วย อะไรของมันวะเนี่ย คอมที่ไว้อ่านเอกสารจะไปติดไวรัสมาได้ไง... อีแบบนี้สงสัยใช้คอมทำอะไรอย่างอื่นแน่ๆ ผมอดบ่นในใจเสียไม่ได้ พักหลังมานี่หลายคนชักเริ่มเห็นผมเป็นช่างจับฉ่ายพร้อมเรียกใช้ไปแล้ว ผมบ่นเซ็งเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องท่านรอง ยังไม่ทันทีจะได้เคาะก็มีเสียงของท่านรองดังด้วยความเซ็งเสียยิ่งกว่า "ลื้อทำไงให้คอมอั๊วติดไวรัสวะ! รู้มั้ยว่ามันจะเสียหายกี่ล้าน!?" เขาชิงถามแกมด่าออกมาก่อนจะได้เจอหน้า ผมต้องสงบสติอารมณ์ลงและทำใจเย็น เสียงตวาดที่ดังลอดออกมาจากห้องที่ควรจะเก็บเสียงระดับนึงได้ แปลว่าคนบ่นจะต้องโมโหมากจริงๆ ขืนปะทะสุ่มสี่สุ่มห้าจะพาลซวยเอา พอเข้าห้องไปแล้วก็เห็นว่าท่านรองเดือดดาลจัด ใบหน้าหงุดหงิดเขียวปัดเหมือนคนไขมันจุกขึ้นมาถึงคอจนหายใจไม่ออกชอบกล และแน่นอนว่ายิ่งเจอหน้าก็ยิ่งบ่นใส่ผมเป็นหมีกินผึ้ง... ในสถานการณ์แบบนี้ผมต้องพยายามทำหูให้กลวงไว้ เสียงไหนที่ด่าเข้าซ้ายจะได้ไหลออกขวา ไม่กวนสมาธิการทำงาน การแก้ไขปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์ไม่ได้ยากเย็นนัก ต่อให้ code ของไวรัสมันซับซ้อนแค่ไหนก็ตามที ทั้งนี้เป็นเพราะการทำงานของมันภายใต้ระบบปฎิบัติการจะมีอยู่ไม่กี่แพทเทริน์เท่านั้น ส่วนเวิร์มที่สามารถทะลุระบบไฟร์วอลมาได้ก็มีแต่พวกโทรจันเท่านั้น พูดตรงๆว่าต่อให้พวกหมวกดำเจาะเข้ามาเองผมก็ไม่หวั่นหรอก แน่นอนว่าฝีมือระดับผม ดีกรีปริญญาจากมหา'ลัยชื่อดังด้าน IT และ Network Security แล้วการที่จะแก้ไขระบบก่อนที่ไวรัสจะสามารถเข้าไปลบข้อมูลที่สำคัญของรัฐบาลได้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก และมันจะง่ายกว่านี้อีกถ้าไม่มีท่านรองมาคอยด่าไม่เลิกข้างหู... ผมใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีในการกู้ระบบทุกอย่างกลับมาหมดรวมถึงกำจัดต้นตอของรูทคิทที่แฝงเข้ามา ในระบบได้อย่างหมดจด "เสร็จแล้วครับท่าน !" ผมกล่าวพลางกดให้กลับมาหน้า Desktop แสดงว่าพร้อมใช้งานจริง "เออ! ถ้าเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป" เห็นเช่นนั้นแล้วท่านรองก็ไสส่งผมทันทีโดยไม่มีแม้คำขอบคุณ ท่านรองผลักผมออกจากคอมแล้วรีบทิ้งก้นลงบนเก้าอี้พร้อมกับเลื่อนล้อเข้าประชิดหน้าจอ ดูแล้วร้อนรนมากชอบกล ตอนแรกผมก็หลงคิดว่าในคอมตัวนี้คงมีเอกสารประเภทลับสุดยอด หรือข้อมูลระดับสูงทางราชการที่ให้ใครดูไม่ได้ แม้แต่จะเป็นพนักงานในสังกัดก็ตาม แต่พอท่านรองนั่งเก้าอี้จับเม้าท์ขยับนั่นนี่สักพักแล้วผมก็รู้ว่าที่คิดนั้นผิดสิ้นดี... ความมั่นใจนั่นเกิดขึ้นหลังจากที่มีเสียงปริศนาก็ดังขึ้น อ่อค อ่อค !! เสียงอะไรวะนั่น...? ผมหยุดกึกหน้าห้องเลิกคิ้วสงสัย ข้อมูลอะไรทำไมมันพาลให้นึกถึงสัตว์สี่ขาชนิดหนึ่งที่มนุษย์หลายชนชาติใช้เป็นอาหาร... พอหันกลับไปดูก็พอว่าต้นเสียงนั้นมากจากลำโพงท่านรอง มุมที่ผมยืนอยู่ไม่เห็นหน้าจอว่าใช่อย่างที่คิดไหม แต่ผมว่าเสียงมันคล้ายกับเกมที่ไม่น่าจะมีอยู่ในเครื่องกัน... โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการระดับสูง... แต่หลังจากที่ฟังเสียงประกอบอื่นๆแล้ว ก็ยิ่งมั่นใจว่ามันเป็นความจริง สุกรมาสเตอร์... (Sugorn Master) มันเป็นเกมเล่นบนอินเตอร์เนทที่ผู้เล่นจะจำลองตัวเองเป็นเจ้าของฟาร์ม ซึ่งตอนนี้เป็นเกมยอดนิยมของเหล่าผู้ใหญ่วัยบริหารหลายคน หรือว่าที่ท่านรองหงุดหงิดเรียกผมมาด่วนก็เพราะคอมเล่นเกมไม่ได้งั้นเหรอ? "เกือบไม่ทันซะแล้วสิ ดีนะไม่เสียหายเท่าไหร่" ได้ยินเสียงท่านรองบ่นผมยิ่งแน่ใจในความคิดนี้... ถูกเรียกด่วนไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องเกมเนี่ยช่างปวดตับเสียกระไร เห็นผมยืนนิ่งเช่นนั้นแล้ว ท่านรองคงรู้สึกเกะกะ เขาโบกมือไล่ผมซ้ำอีกครั้งไม่ให้เป็นมลภาวะทางสายตา "แล้วมายืนเฉยอะไรล่ะ ลื๊อมีงานอะไรค้างก็กลับไปได้แล้ว" "เอ่อ... ท่านครับ แล้วโครงการที่ผมส่งไปละครับ ?" ผมถือโอกาสได้เจอตัวนี้ถามถึงโครงการที่ส่งให้ไปเมื่อเดือนก่อน "ยังไม่ว่างอ่าน บ่ายนี้ต้องเข้าประชุมสภาอีก" "แล้วสักตอนไหนถึงจะ..." "เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ!ไป๊ไป๊ !!" ในที่สุดผมก็โดนไล่มานั่งเฝ้าโต๊ะเหมือนเดิม... …………………. ผ่านมาแล้วสามเดือนหลังจากที่ผมเรียนจบมา... ปริญญานอกที่ได้มาด้วยความยากลำบากทำให้ผมสมัครงานกับหน่วยงานภาครัฐได้ง่ายอย่างที่คนนินทากัน แต่ว่างานที่ได้ทำทุกวันนี้มันก็ไม่สมกับที่ลำบากเรียนมาเลย งานเช็คนั้น ซ่อมบำรุงนี่ เอาเด็กจบ ปวส. ที่มีความรู้เรื่องคอมมาทำได้ถมเถือก แถมเงินเดือนก็ถูกกว่าด้วย ตัวผมน่ะเฉยๆ เอาจริงๆแล้วผมไปสมัครงานเอกชนเงินเดือนสูงกว่านี้ก็ยังได้ แต่การเลือกหน่วยงานภาครัฐกระทรวงดังก็หวังว่าจะช่วยปูทางให้ฝันเป็นจริงไวขึ้น ก็เลยยอมทนๆทำไป ตอนแรกที่ได้เห็นหนังสือตอบรับทำงานผมก็พอใจ แต่พอทำงานแล้วชักรู้สึกว่าไม่ใช่ล่ะ... ดูๆไปแล้วกระทรวงอยากได้คนที่มีวุฒิสูงๆมาประดับเพื่อให้ไม่เป็นข้อครหาว่าเอาพวกผู้มีอิทธิพลที่จบแค่ ป. 4 หรือว่าหัวหน้ากลุ่มประท้วงมาบริหารเท่านั้นเอง พูดอีกอย่างแบบภาษาชาวบ้านก็คือ ผมเป็นเหมือนของประดับบ้านไม่ก็ยันต์กันผีดีๆนี่เอง... ไม่เพียงแค่เจ้านายที่เฮงซวยเท่านั้น งานไม่มีอะไรท้าทายเท่าไหร่ ความรู้ที่จบมาก็ไม่ได้ใช้ ที่ปวดใจที่สุดก็คือการที่ไม่ได้ทำอะไรให้ประเทศตามความฝันที่หวังไว้... พอจะคิดโครงการดีๆเสนอไปก็ถูกดองไว้อีก... บ้าจริง... นี่เราจะต้องมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายหรือไงกัน...? วันนี้ทั้งวันผมได้แต่นั่งเซ็ง ความคิดหน่ายชีวิตวนเวียนอยู่ในหัวจนถึงเวลาเลิกงาน... …………………. หลังจากอยู่โอฟรีเพราะต้องลงไปช่วยหน่วยงานไล่บล็อกเวปจนเย็น ผมตัดสินใจที่จะไปหาอะไรกินเล่นต่ออีกสักพักเป็นการฆ่าเวลา หมายจะรอให้พ้นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่คนทำงานในบริษัทเอกชนแห่กลับบ้านด้วยรถส่วนตัวจนติดกันเป็นหางว่าว มันเป็นเพียงแค่ความคิดทั่วไป ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนเลย แต่ผมก็หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนตารางชีวิตเล็กๆน้อยๆแค่นี้ มันจะกลายเป็นการตัดสินใจผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตไปได้... ในเมื่อไม่ต้องรีบกลับผมก็ปล่อยตัวไปเรื่อยๆไม่เร่งอะไร เดินทอดน่องหยุดดูนั่นทีนี่ที จนกระทั่งมาถึงตึกๆหนึ่งก่อนที่จะถึงร้านอาหารที่ฝากท้องประจำนั่นเอง ผมได้ไปสะดุดตากับจอโปรเจคเตอร์ที่อยู่ข้างตึกตึกหนึ่ง มันกำลังฉายภาพสาวน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูกำลังวิ่งอยู่... ผมหยุดดูด้วยความสนใจ เทคโนโลยีสมัยนี้มันพัฒนาได้น่าทึ่งจริงๆ เก็บลายละเอียดได้ชัดเสมือนจริงมาก ทำเอาผมทึ่งไปเลย แถมการที่สาวน้อยในจอมีลักษณะแบบที่ผมชอบแล้วมันก็ยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดมากขึ้นไปอีก ดูไปก็อดคิดในใจไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าหากมีสาวน้อยน่ารักแบบนี้อยู่เคียงข้างซักคนละก็ อย่างน้อยก็คงช่วยทำให้อบอุ่นใจไม่รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในโลกอันเส็งเคร็งนี้ก็เป็นได้ ระหว่างที่ยืนดูอยู่นั้น ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆอะไรบางอย่างขึ้นมา... เหมือนกับว่าแผ่นโปคเจตเตอร์มันสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหว หรือไม่ก็มีใครเขย่าให้ฐานหรือที่แขวนมันสะเทือน ยิ่งพอเพ่งมองแล้วก็ยิ่งพิรุธว่าฉากมันแปลกๆไป ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าผมกำลังถูกเรียกหา แล้วพลันนั้นก็ได้มีสาวน้อยพุ่งทะลุออกมาจากแผ่นฉายโปรเจคเตอร์เข้าให้จริงๆ! "เฮ้ย! คิดเล่นๆดันกลายเป็นจริงหรือนั่น!?" ผมสบถขึ้นพร้อมๆกับมองตาไม่กระพริบ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะพุ่งทะลุจอโปรเจคเตอร์ออกมาจากความสูงร่วมยี่สิบเมตร ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการกระโดดลงมาจากตึกเฉกเช่นกำลังแสดงหนังแอ็กชันไล่ล่าหนีตายก็มิปาน การที่ดูเหมือนจะหล่นจากความสูงขนาดนั้นต่อให้เป็นสตันท์แมนมืออาชีพก็มีโอกาสกลายเป็นเศษเนื้อได้ไม่ยากนัก แต่ไม่รู้อะไรดลใจ แทนที่จะหนีผมกลับห่วงว่าร่างเล็กๆนั้นอาจบาดเจ็บหนักได้ จิตใต้สำนึกของผมจึงผลักดันให้ร่างกายของขยับไปโดยไม่ทันได้คิดอะไรต่ออีก โชคดีที่ระยะที่ไม่ห่างมากนักผมเลยวิ่งเข้าไปเพื่อรับเด็กคนนั้นได้อย่างทันท่วงที แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้เก่งกาจอย่างพระเอกหนัง แถมยังใส่สูทอีกต่างหากเลยดูขัดๆเขินๆชอบกล... แต่ว่าช่างมันเถอะ ขอให้รับได้ก็พอแล้วล่ะน่า...! พลั่ก!!! จะด้วยความที่กะจังหวะผิดพลาดหรืออย่างไรไม่ทราบ เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตกมาในวงแขนที่ผมรองช้อนไว้ แต่กลายเป็นว่าทั้งตัวของเธอกระแทกเข้ากลางตัวผมอย่างจัง ใช่แล้วละผมลืมคิดไปว่าในมือของเด็กคนนี้ถือกระเป๋าอยู่ด้วย ทำเอาผมล้มตึงไปข้างหลังอย่างหมดท่า... ถึงผิดแผนไปหน่อยแต่อย่างน้อยที่สุดก็เอาเป็นว่า... ผมช่วยเธอได้ก็แล้วกัน... โดยที่ร่างท่อนกลางของผมกลายเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกให้กับเธอไปแล้ว ทำเอาจุกหน้ามืดไปเหมือนกัน ผมวูบไปราวๆสิบวินาทีเห็นจะได้... เมื่อได้สติผมก็รีบลืมตาขึ้นมองหมายจะดูว่าเด็กคนนั้นยังอยู่รอดปลอดภัยดีไหม แต่เธอก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ซ้ำยังนั่งนิ่งอยู่บนตัวผมพร้อมกับจ้องมาที่หน้าผมด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย พอดูใกล้ๆแล้วก็รู้สึกว่าเธอดูจะแปลกตากว่าเด็กหญิงบ้านเมืองเรานิดหน่อย โดยเฉพาะผมสีบลอนด์อ่อนๆที่เหมือนคนต่างชาติพร้อมกับประดับด้วยริบบิ้นสีชมพู ดวงตาสีฟ้าที่สดใส ผิวขาวๆที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตากแดดตากลมเหมือนกับเด็กทั่วไป ส่วนอายุอานามก็น่าจะสักสิบสองสิบสามได้มั้งเรียกได้ว่ากำลังน่ารักสุดๆไปเลยทีเดียว แต่... จะยังไงก็เถอะตอนนี้ผมว่าควรจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ เพราะเธอนั่งทับผมอยู่ในตำแหน่งที่ดูผิดจารีตและทำให้คนที่มาเห็นเข้าใจผิดได้อย่างแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกลางกรุงแบบนี้... น่าแปลกที่เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่โดยไม่คิดจะลุกออกและนั่นยิ่งทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวได้เข้าไปใหญ่ เพราะหากขยับผิดท่าแล้วละก็สถานการณ์อาจจะแย่กว่าเดิมก็เป็นได้ เพราะตอนนี้แล้วร่างของเธอแนบชิดกับผมโดยมีเพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้นที่เป็นสิ่งขวางกั้น คงจะไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า สวรรค์กับนรกถูกกั้นอยู่ด้วยสิ่งบางๆเท่านั้นเอง... เด็กสาวตัวน้อยเพียงจ้องมองมาทางผมด้วยสีหน้านิ่งๆโดยไม่เอ่ยปากใดๆทำตัวเสมือนว่าผมเป็นเพียงวัตถุช่วยชีวิตเท่านั้น เราสบตากันโดยไม่พูดอะไร... ไม่สิ ผมไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกับเธอมากกว่า การพบกันครั้งแรกมันดูพิศดารเกินไป "เอ้อ... นี่เธอ" ในที่สุดผมก็กล้าที่จะทำลายความเงียบขึ้น มิฉะนั้นแล้วคงได้เป็นข่าวหรือนอนห้องกรงแหงๆ แต่แล้วในระหว่างนั้นเองบรรดาชายชุดดำก็กรูกันเข้ามาทำลายความเงียบ "เจอตัวแล้ว! คิดว่าจะหนีไปไหนพ้น!?" ผมเห็นเข้าก็พลางคิดไปว่า อะไรจะมาได้เร็วขนาดนี้ฟะ...!? ขนาดคนที่ไปโพสข้อความล่อแหลมตามเวปบอร์ดสาธาณะทั่วไปยังใช้ว่าไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงกว่าจะหาต้นทางเจอ แล้วนี่ผมยังไม่ทันจะได้ก่ออาญชากรรมซะหน่อย เหตุอันใดพวกคนชุดดำราวกับหน่วยเฉพาะกิจถึงได้มารุมล้อมได้อย่างทันท่วงทีแบบนี้ "เฮ้ๆ นี่ผมยังไม่ได้ทำอะไรนะ เด็กคนนี้ที่ร่วงลงมาเท่านั้นเอง !!" ผมพยายามพูดแก้ตัว แต่ด้วยสถานการณ์ที่ชวนเข้าใจผิดแบบนี้เห็นตำตาคงจะทำให้คนชุดดำพวกนั้นเชื่อยากแหงๆ... เผลอๆอาจจะต้องนอนคุกแบบไม่ได้รับการประกันตัวก็เป็นได้... แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่ผมกังวลจะไม่เกี่ยวกันเลย เมื่อชายในชุดดำคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงข่มขู่ พร้อมกับชักปืนออกมาพร้อมยิง โดยพวกที่เหลือก็ทำเฉกเช่นเดียวกัน "ส่งมันมา!!!" ปืนถูกชี้มาทางผมกับเธอ มันอะไรกันล่ะเนี่ย...!? ผมสับสนไปหมดแล้ว จากรู้สึกเหมือนจะโดนคดีพรากผู้เยาว์ ตอนนี้กลับเปลี่ยนบทมาเป็นปล้นบรรลือโลกงั้นเหรอ?? ผมเริ่มงงปนสับสน ผิดกับทางเด็กหญิงตัวน้อยมองไปทางกลุ่มชายชุดดำด้วยสีหน้านิ่งเฉย แม้ว่าได้ยินคำขู่เป็นรอบที่สองแล้ว เธอก็ยังนั่งอยู่บนตัวของผมพลางกอดกระเป๋าที่เธอถือมาด้วยแขนอันบอบบางทั้งสองราวกับว่ามันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก มันเป็นเรื่องแปลก... ทั้งๆที่ผมไม่ถนัดกับเรื่องแบบนี้ ทั้งๆที่ควรจะลุกขึ้นแล้ววิ่งหนี แต่ไม่รู้ทำไมตัวผมถึงได้ตัดสินใจลุกขึ้นมายืนขวางระหว่างทางปืนให้กับเด็กสาวปริศนาอย่างไม่กลัวตายขึ้นมาเสียอย่างนั้น... ชายชุดดำขมวดคิ้วมองผมประหลาดใจ อาจคิดว่าไอ้หนุ่มนี้มันเสียสติไปแล้ว? นั่นสิ... ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากปกป้องคนที่ไม่รู้จักคนนี้เหมือนกัน... เรียกได้ว่าตกบันไดพลอยกระโจนไปแล้วคงได้ ผมลองชายตามองดูเผื่อว่าจะมีใครมาช่วยบ้าง แต่เปล่าประโยชน์สิ้นดี ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ทั้งที่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านแท้ๆ จะว่าไปแล้วมันก็แปลกจริงๆนั่นล่ะ ที่มาชักปืนปล้นกันกลางกรุง แถมเมืองหลวงแบบนี้ที่มีกล้องรักษาความปลอดภัยอยู่มากมายหลายจุดด้วย ถ้าไม่ใช่ของที่มีราคาขนาดนั้น บางทีอาจจะเป็นรายการดาราจำเป็นก็ได้... แต่เพื่อความมั่นใจ ผมเบนสายตามองไปยังกล้องตัวที่เหมือนจะใกล้ตัว หมายว่าจะค่อยๆขยับตัวดันสาวน้อยให้ไปติดหน้ากล้อง ถึงไม่มีพลเมืองดีมาช่วย แต่ว่าถ้าใช้ประโยชน์จากกล้องตรวจจับล่ะก็ ขอเพียงถ่วงเวลาได้หน่อย คนที่ดูอยู่เห็นเข้าก็อาจจะส่งตำรวจมาช่วยได้ล่ะน่ะ ผมค่อยๆกวาดตามองว่ามุมไหนจะดีที่สุดและมีพิรุธน้อยสุด... แต่ทว่าในจังหวะที่สายตามองเห็นกล้องแล้ว ผมก็แทบจะบ้าตาย ! เมื่อผมเห็นว่ากล้องที่น่าจะเป็นตัวช่วยสุดท้ายจะช่วยผมได้นั้น มันเป็นกล่องเปล่า ! ข้างในไม่มีกล้อง !!!? พอรีบกวาดสายตามองไปทางตรงข้ามดูกล้องไกลตัว ปรากฎว่านั่นก็กล่องเปล่าอีกเหมือนกัน แถมสายไฟก็ไม่ต่อด้วย อะไรวะเนี่ย!? บ้านเมืองไหนมันทำกันแบบนี้ ติดกล้องดัมมี่แต่ดันไม่มีกล้องจริงมาเป็นตัวหลัก!? จังหวะนั้นเองพวกชายชุดดำก็หมดความอดทน พวกเขาหันกระบอกปืนมาทางผมด้วยสีหน้าไม่มีความลังเลใจที่จะยิงสักนิด... อา... ดูท่าวันนี้จะเป็นวันซวย... ไม่สิ... วันตายของผมแน่ๆ... กระสุนปืนหลายนัดยิงใส่โดยไร้ความลังเลใจ แม้ผมจะมองไม่เห็นว่ากระสุนมาจากทางไหนบ้างแต่ดูเหมือนว่าผมจะต้องกลายเป็นโล่มนุษย์กันกระสุนให้กับสาวน้อยที่ไม่รู้จักชื่อข้างหลังแน่ๆ ภาพทุกอย่างช้าลงเหมือนสโลว์โมชัน ราวกับที่เขาว่ากันว่าวินาทีก่อนถึงความตายนั้นทุกอย่างจะดูช้าไปหมด... ผมยืนแน่นิ่งดูกระสุนปืนนับสิบที่ถูกยิงรัวเข้าใส่ สายตาเห็นภาพทุกอย่างชัดไปหมด แต่ร่างกายไม่ยอมขยับตามเลย นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของผมที่เป็นพลเมืองดีไร้ค่าสินะ... ทว่าในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง... แกร๊ก !!! วัตถุโลหะรูปร่างคล้ายเข็มขัดถูกคล้องเข้าที่เอวของผมโดยมือทั้งสองของสาวน้อยเบื้องหลัง แล้วเข็มขัดที่ว่าก็พลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวจนผมสับสนไปหมด มารู้ตัวอีกก็ตอนที่เสียงกดไกปืนที่ยิงจนหมดแม๊กหลังจากที่แสงจางหายไปแล้วก็ตามที พอลืมตามองเห็นว่าพวกชายดำกำลังตกใจในอะไรซักอย่าง พวกมันทำหน้าเหมือนเห็นผีบางคนถึงกับฉี่ราดทั้งๆที่ยืนเล็งปืนอยู่นั่นเอง หนึ่งในนั้นถึงกับทิ้งปืนและวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่หวาดกลัวแต่ต้องสู้ด้วยภารกิจที่เลี่ยงเสียไม่ได้ มันเหวี่ยงหมัดสุดแรงเกิดเข้าใส่ผม แต่ผมก็ขยับด้วยสัญชาตญาณฮุคสวนมันกระเด็นไปเสียแทน "นี่มัน... อะไรกันเนี่ย...!?" ผมมองหมัดตัวเองแล้วกวาดตาต่อไปมองชายผู้ถูกชกกระเด็นไปไกล การต่อสู้ดูท่าจะไม่จบง่ายๆด้วยหมัดเดียว... พวกชุดดำคนอื่นยังไม่ได้ถอดใจ บางคนก็ชักมีดก่อนวิ่งเข้ามา บางคนก็หยิบท่อนไม้ใกล้มือก่อนจะบุกเข้ามาอย่างลืมตาย ในความจริงแล้วผมควรถอยตั้งหลักอย่างที่บอกไม่รู้เกิดอะไรขึ้น แต่ความรู้สึกหวาดกลัวได้อันตรธานหายไปกับแสงจ้าเมื่อครู่เสียแล้ว การเคลื่อนไหวของเหล่าชายชุดดำดูเหมือนจะช้าลงไปถนัดตา... ผมรู้สึกว่าเหนือกว่าอย่าชัดเจนราวกับว่าเป็นความฝัน หากแต่มันดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ภาพหลอนก่อนตาย... ชายชุดดำผู้ดูเหมือนจะมีเข็มประดับยศที่เสื้อสูททำหน้าแสดงความร้อนใจผิดกับตอนแรก เขาหยิบเอาเข็มฉีดยาอันใหญ่ออกมาจากแขนเสื้อก่อนที่จะปักมันเข้ากลางหัวใจของตนและฉีดของเหลวเรืองแสงเข้าไปอย่างไม่มีความลังเล และเพียงชั่วอึดใจร่างกายท่อนบนก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเสื้อสูทขาดเป็นริ้ว ใบหน้าที่บูดเบี้ยวและดูเหมือนจะพูดไม่รู้เรื่องจ้องมาทางผมอย่างกับจะกิน เลือดกินเนื้อเลยทีเดียว! แม้ว่าจะรู้สึกสยองปนขยะแขยงอยู่บ้างแต่ด้วยความรู้สึกที่ว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว แถมดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้หนีด้วย งั้นซัดกับมันซักตั้งก็ไม่เห็นจะเสียหาย! ผมตัดสินใจวิ่งเข้าใส่เจ้านั่นพร้อมกับประเคนหมัดเข้าที่หน้ามันอย่างจัง ตูม! หมัดของผมทรงพลังขึ้นอย่างที่คิด หลังจากถูกชกเข้าที่แก้มแล้ว ร่างกายที่กำยำของตัวประหลาดตรงหน้าถึงกับเซถลาไปราวกับคนเมา แต่เรื่องน่าอัศจรรย์ก็ยังไม่หมดเท่านั้น หลังจากที่ปล่อยหมัดไปแล้ว ทันใดนั้นเองเสียงดิจิตัลก็ดังขึ้น อัลติเมทออน!! แทบจะเรียกได้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะลงมือด้วยความคิดตัวเอง แต่มันเป็นเหมือนแรงกระตุ้นและสัญชาตญาณบางอย่างเป็นตัวผลักดัน ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นที่ทั่วร่างขึ้นมาก่อน แล้วจากนั้นร่างกายผมก็ขยับไปเอง ผมกระโดดขึ้นได้สูงเกือบห้าเมตร แล้วจากนั้นก็เหยียดขาไปข้างหน้าสุดก่อนจะพุ่งเข้าถีบเจ้าตัวประหลาดนั่นที่กลางยอดอกของมันอย่างเต็มฝ่าเท้า ผลของการถีบเหลือเชื่อกว่าการชกก่อนหน้า ผมไม่ได้วิ่งเต็มที่อะไรเลย แค่กระโดดไปข้างหน้าและถีบออกไปเท่านั้น แต่ก็แรงเกินพอที่จะทำให้ปีศาจร่างมนุษย์คนนั้นกระเด็นไปหลายหลาพร้อมส่งเสียงโหยหวนขึ้น จากนั้นแล้วร่างมหึมาค่อยๆกลับกลายเป็นมนุษย์เหมือนเดิมและหมดแรงล้มตัวลงไป... ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนไม่มีเวลาตั้งตัวนัก จนหลังจากลูกถีบสุดท้ายนั่นเอง ชายชุดดำที่เหลือจึงได้วิ่งหนีป่าราบไปเปิดโอกาสให้พักหายใจจากเหตุการณ์เหลือเชื่อนั่น หลังจากพักหายใจตามที่ได้รับโอกาสนั้นมา ในจังหวะหนึ่งที่จะหันไปมองว่าสาวน้อยยังปลอดภัยหรือเปล่า สายตาผมก็เกิดเหลือบไปที่กระจกแตกบานหนึ่ง... นั่นเองที่ทำให้ผมเห็นสะท้อนที่ทำเอาผมตะลึงจนร้องไม่ออก สิ่งที่ผมเห็นก็คือชุดเกราะไฮเทคที่เหมือนกับผู้พิทักษ์อวกาศในภาพยนตร์... มันเหมือนพวกสินค้าหลอกเด็กให้ซื้อเป็นบ้าเป็นหลัง... ใช่... ไอ้บ้าๆที่ว่านี่น่ะ... ผมกำลังสวมใส่มันอยู่...!? ผมขยับตัวไปมาพร้อมกับมองกระจกจนแน่ใจแล้วว่าไอ้ที่อยู่ตรงนี้น่ะคือตัวผมเอง นี่สินะที่เป็นสาเหตุให้พวกชายชุดดำนั่นทำหน้าเหมือนเห็นผี... แต่ถ้าดูจากสิ่งที่ผมทำลงไปแล้วมันก็สมควรจริงๆ... ชุดนี้ดูน่ากลัวนัก ขนาดผมที่ไม่ได้เล่นกีฬาโดดเด่นยังมีทั้งแรงชกแรงกระโดดได้มากเสียยิ่งกว่านักกีฬาโอลิมปิก ใจหนึ่งว่าดูน่ากลัวว่าถ้าพลาดพลั้งออกแรงมากเกินไปผมอาจฆ่าใครสักคนด้วยมือตัวเองได้ง่ายๆเลย... แต่ใจนึงก็คิดว่ามันเยี่ยมไปเลยในเมื่อเด็กๆหลายๆคนฝันที่จะได้เป็นฮีโร่ ชุดนี้ทำให้ใครก็เป็นฮีโร่ผดุงความยุติธรรมได้ จะให้ไปถล่มซุ้มมือปืน บ้านเจ้าพ่ออิทธิพลเถื่อนก็ยังได้... แต่ก่อนอื่น... ต้องกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงก่อน... ผมจะเอาไงต่อไปดีนะ... แต่ไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจอะไร เสียงรถหวอเริ่มดังขึ้นตัดสินใจแทนผม ถูกจับไปสอบสวนคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ผมตัดสินใจที่จะถอยโดยไม่ลืมที่จะคว้าตัวเด็กหญิงปริศนาไว้ในอ้อมกอดก่อนที่จะอาศัยความเร็วและความมืดหลบหนีจากที่เกิดเหตุไปโดยไม่ยากเย็นนัก... …………………. เป็นไปตามที่คิด สวมชุดนี้แล้วผมวิ่งได้ไวกว่ายูเซน โบลท์เสียอีก แถมไม่เหนื่อยด้วย แบบนี้คงไม่ต้องเสียเงินค่าแท๊กซี่เวลาไปทำงานเป็นแน่แท้ ... ไม่เกินครึ่งชั่วโมงจากนั้นผมกับสาวน้อยก็มาถึงบ้านที่เช่าไว้อย่างปลอดภัย... โชคดีที่คนเมืองนี้ไม่เคยสนใจว่าบ้านใกล้เรือนเคียงจะกลับมาตอนไหน ขอเป็นเพียงแค่เวลาที่ฉายละครน้ำเน่าหลังข่าวเท่านั้น หากไม่ใช่ไฟไหม้ ตึกถล่ม ระเบิดลงแล้วล่ะก็ พวกเขาก็พร้อมที่จะเพ่งแต่หน้าจอโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกแล้ว เอาเถอะ... มาถึงบ้านโดยไม่มีใครเห็นก็ดีแล้ว ปัญหาต่อมาคือผมจะทำยังไงกับไอ้ชุดประหลาดนี่ดีล่ะ? เด็กสาวจ้องมองมาเหมือนกับจะรู้ทัน เธอชี้ไปที่อุปกรณ์ที่เหมือนจะเป็นเข็มขัด "ถอดออกสินะ?" ผมถาม แต่สาวน้อยก็เอาแต่เงียบแล้วมองทั้งแบบนั้น เออ... งั้นขอทำตามใจชอบละกัน เข็มขัดประหลาดนี่ถอดง่ายจนไม่น่าเชื่อ เพียงแค่ดึงออกมามันก็ปลดล็อคและออกมาจากเอวผมอย่างง่ายดาย หลังจากถอดมันออกแล้วผมกลับกลายเป็นเหมือนเดิม ชุดแปลกๆที่เคยสวมอยู่หายไปแล้ว มันดูราวกับภาพรีเพลย์ ประกายแสงส่องสว่างขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะเหลือเพียงแค่เข็มขัดดังเดิม ส่วนไอ้ชุดโลหะที่ผมสวมใส่อยู่เมื่อครู่กลับสลายไปกับแสงราวกับเป็นภาพโฮโลแกรมซะอย่างนั้น ผมตะลึงมองเข็มขัด แล้วจากนั้นก็มองไปที่สาวน้อยตรงหน้าหมายจะถาม... ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอคนนั้นจ้องมาที่ตาผม และแน่นอนว่าเธอยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ผมทั้งให้ความช่วยเหลือถึงขนาดที่อย่างน้อยเสี่ยงตายก็ทำมาแล้ว จะให้ทิ้งเธอไว้ก็ใช่ที่ แต่แทนที่จะได้คำตอบที่ฟังดูคุ้มกับการลงแรงไปมาก ทุกอย่างก็กลับตรงข้าม "พาเด็กผู้หญิงที่เข้ามาในบ้านแบบนี้คิดจะทำอะไรไม่ดีสินะ !?" "คนไร้มารยาท!" "โรคจิต!" "โลลิค่อน!" อ่า............ ในที่สุดเธอก็พูดแล้วครับ... แต่มันไม่ใช่คำพูดที่น่าจะออกมาจากเด็กสาวน่ารักแบบนี้เลยให้ตายสิมาเป็นชุดรัวเป็นปืนกลไม่พอแถมยังพูดด้วยสีหน้าเย็นชาอีกต่างหาก ตกลงว่าเด็กคนนี้มันยังไงกันแน่น่ะ เดาอารมณ์ไม่ถูกเลยจริงๆ "เดี๋ยวสิ !! เธอไม่ใช่เหรอไงที่นำพาเอาความยุ่งยากมาให้ชั้นน่ะ!?" ผมขึ้นเสียงกลับ ยอมรับว่าเจอแบบนี้ก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเหมือนกัน ได้ผล... เธอชะงักไป "แล้วก็อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลย ทั้งเรื่องคนชุดดำกับตัวประหลาดนั่นแถมยังเข็มขัดนี่อีก" ผมชูเข็มขัดที่เหมือนกับเป็นของเล่นขึ้น ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เด็กหญิงตรงหน้าแสดงสีหน้าเป็นอื่นที่นอกจากนิ่งเฉยเป็นครั้งแรก เธอแสดงสีหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ จากนั้นก็วิ่งเข้ามาชิงเอาไปจากมือผม ก่อนที่จะถอยกลับไปอยู่ห่างๆดังเดิม ช่างเข็มขัดไปก่อนก็ได้มั้ง บางทีผมอาจจะรีบร้อนเกินไป "บ้านของเธอล่ะ ?" ผมถามคำถามอื่น แต่คำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นเพียงแค่การส่ายหน้า... "ผู้ปกครอง? คนรู้จัก? จะให้ติดต่อใครได้บ้าง?” ผมรัวเป็นชุดบ้าง แต่คำถามทั้งหมดก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกันจนผมเริ่มเบื่อ ใจนึงก็คิดว่ามันจะเกินรับมือไหวแล้ว เอายัยนี่ไปปล่อยไว้นอกบ้านซะก็สิ้นเรื่อง ไหนๆก็หนีชายชุดดำมาได้แล้ว ระวังหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก... "อย่างน้อยก็บอกมาเถอะว่าชั้นจะช่วยอะไรได้บ้างไหม ? ไม่อย่างนั้นละก็คงต้องพาเธอไปส่งใกล้ๆสถานีตำรวจเท่านั้นละนะ " พอคิดว่าจะต้องเสียเวลากับเธออีก ผมชักจะคิดหนักแล้วสิ วันนี้ผมเจอแต่เรื่องบ้าๆมาทั้งวันแล้วเลยว่าจะโทรหาตำรวจให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ในตอนนั้นเองมือน้อยๆของเธอก็จับชายเสื้อด้านหลังผมแล้วกระตุกรั้งไว้... "ชั้นไม่มีที่ไปแล้ว..." เธอเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงสั่นเครือนี้ฟังดูแล้วรู้สึกได้เลยว่าไม่ใช่เสแสร้งแน่ พอหันกลับไปดูก็เห็นถึงดวงตาที่เศร้าสร้อยเหมือนกับพยายามจะอธิบายบางสิ่งให้ผมรู้ หากแต่อาจเพราะพูดไม่เก่งหรือเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ เธอจึงได้ปิดปากแน่นแล้ววิงวอนด้วยสายตาแทน นั่นเองทำให้ผมใจอ่อน... "เอาเถอะ... พูดดีๆแต่แรกก็เข้าใจแล้วแท้ๆ" ผมถอนหายใจแล้วยอมใจอ่อน "ถ้าไม่รังเกียจละก็นะ อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน! แล้วถ้าคิดอะไรออก มีอะไรอยากบอกก็ว่ามาวันพรุ่งนี้ก็ได้" ความสงสารทำให้ผมพูดออกไปอย่างไม่ค่อยได้ไตร่ตรองนัก ซึ่งลางสังหรณ์บอกผมว่าเรื่องซวยๆคงจะมีมาอีกเป็นแน่แท้.... และในระหว่างที่เดินเข้ามาในบ้านนั้นผมก็ได้ยินเธอบ่นขึ้นลอยๆอย่างไม่เกรงใจ "บ้านเล็กนิดเดียว โกโรโกโส แถมยังไร้รสนิยมอีกต่างหาก…" ยัยตัวแสบเอ้ย... จับโยนออกไปเลยดีไหมเนี่ย...!? พูดตรงๆเลยว่าผมอ่านความคิดเด็กคนนี้ไม่ออกเลย แถมนิสัยก็ดูแปลกๆ ปากก็เพิ่งบอกไปว่าไม่ชอบบ้าน แต่พอเข้ามาก็ได้วิ่งไปวิ่งมาอย่างกับเป็นลูกแมวที่เพิ่งพาเข้ามาในบ้านใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่อย่างนั้นแหละ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปขัดจังหวะหรือพูดอะไรต่อ เลยปล่อยให้ลูกแมวน้อยตัวนี้วิ่งซนในบ้านไปก่อน... หวังว่าคงไม่ทำข้าวของตกแตกเหมือนกับที่ลูกแมววิ่งเล่นไปทั่วบ้านแล้วกัน …………………. หลังจากที่ผมไปล้างหน้าในครัวพร้อมกับกระดกน้ำซักขวดให้หายเหนื่อยนั้น เสียงวิ่งไปมาก็เงียบหายไปเสียแล้ว ดูท่าว่าลูกแมวน้อยจะหมดฤทธิ์แล้วล่ะนะ... แต่ด้วยความที่ยัยเด็กเจ้าปัญหาวิ่งไปมาทั่วบ้านทำให้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหยุดลงตรงไหน ? เอาอีกแล้วไง... ไปหลบที่ไหนอีกล่ะ...? ค่ำป่านนี้แล้ว แถมยังเหนื่อยอีก นี่จะต้องให้เล่นซ่อนหากันต่อหรือไงกัน ผมเดินกลับมาในห้องนั่งเล่นแล้วกวาดตามองพร้อมพิจารณา ด้วยความที่เป็นบ้านเช่าสองชั้นขนาดเล็กจึงมีแค่ห้องรับแขกด้านล่าง ห้องครัว ห้องน้ำ และห้องนอนด้านบนเท่านั้น ในเมื่อห้องรับแขกว่างเปล่าผมจึงข้ามห้องน้ำไปก่อน เธอคงไม่มีอารมณ์มาอาบน้ำเล่นหรอกน่าถึงมีผมก็คงไม่เสี่ยงไปหาเรื่องเข้าคุกแน่ๆ เมื่อขึ้นมาที่ชั้นสองแล้วเข้าไปในห้องแล้ว มันก็เป็นไปตามคาด ยัยตัวแสบขึ้นมายึดเตียงผมเป็นที่นอนเป็นที่เรียบร้อย แถมยังหลับไปอย่างไร้เดียงสาน่ารักน่าชังอีกต่างหาก เฮ้อ... เอาเถอะ... เรื่องที่ผ่านมาในวันนี้คงจะหนักหนาสำหรับเด็กตัวเล็กๆแบบนี้จริงๆนั่นแหละ พออดูใกล้ๆแล้วก็รู้สึกโกรธที่เธอพูดอะไรๆไม่ดีไม่ลงเลย เห็นแล้วผมเผลอขยับมือขึ้นจะลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู ..... ก็ยัยเด็กนี่มันน่ารักไม่หยอกเลย ! แต่ในตอนนั้นเอง... แชะ!!! เสียงเก่าๆที่คุ้นเคยดังขึ้นจากมุมอับสายตาทำเอาผมสะดุ้งหันกลับไปในทันที! แล้วผมก็เห็นถึงกล้องโพลารอยด์ดิจิตัลกำลังค่อยๆผลิตรูปที่ผมจากด้านหลัง ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยื่นมือเข้าใกล้เด็กสาวที่กำลังหลับบนเตียง... จากนั้นก็มีรูปชายคนเดิมกำลังหันเข้าหากล้องด้วยสีหน้าตระหนกอย่างพอดิบพอดีราวกับคำนวนไว้แล้ว... หรือว่า...!? พลันที่ผมหันกลับมาก็พบว่ายัยตัวแสบไม่ได้หลับ เธอแค่แกล้งเท่านั้น ขณะที่ผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เธอก็ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่งเหมือนกับกำลังใช้ความคิด จากนั้นแล้วเธอก็ใช้สายตาทิ่มแทงผมพร้อมกับเอ่ยปากอีกครั้ง "นายนี่เป็นพวกวิปริตชอบเด็กอย่างที่คิดไว้เลยสินะ!" "จะบ้าเรอะ...!? ก็เธอ..." "คราวนี้หลักฐานก็พร้อมแล้วด้วย แต่ไม่ต้องห่วงเลย นี่เป็นกล้องรุ่นที่ทั้งอัดภาพและส่งข้อมูลไปเก็บไว้ยังเวปไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน แถมตอนนี้ข้อมูลพื้นฐานที่อยู่ก็ถูกใส่รอไว้แล้ว ถ้าไม่เข้าไปกดรหัสต่อเวลาเป็นระยะแล้วล่ะก็... ลิงค์ข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เอง" "อะไรนะ!?" บ้าไปแล้วยายตัวแสบนี่มันเป็นอัจฉริยะปางไหนมา แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้อีกไอ้กล้องที่ตั้งไว้นั่นก็ถ้าไม่ใช่มืออาชีพไม่มีทางทำได้แนบเนียนจนไม่คิดว่าจะทำโดยเด็กวัยเพียงสิบสองสิบสามหรอกนะ "เล่นแบบนี้เลยเรอะ ...!?" ผมกระอักกระอ่วมเนื่องด้วยกำลังเจอเด็กแบล็กเมล์สินะเนี่ย "นั่นสินะ" เธอกลับมาทำหน้านิ่งๆแบบเดิมอีกแล้ว ทำไมทำหน้าเย็นชาได้เก่งเหลือเกินนะนี่ แต่จะว่าไปมันก็เย็นชาพอๆกับการกระทำด้วยล่ะนะ... เด็กแบบนี้รับมือยากที่สุด อ่านใจเธอไม่ออกจริงๆ ผมยอมรับเลย เธอมองหน้าผมด้วยสายตาน้ำแข็งอีกครั้ง จากนั้นจึงได้เอ่ยปากสั้นๆออกมา "นับแต่นี้ไป นายจะต้องทำงานให้กับฉัน" "หา?" "ไม่ต้องห่วง.... มันไม่ใช่งานผิดกฏหมายหรอก และที่สำคัญมันเป็นงานของผู้ผดุงความยุติธรรมด้วยนะ !" เป็นคำขอที่ฟังดูแปลกๆ ตกลงแล้วมันยังไง เธอคิดอะไรกับผมกันแน่ แล้วจะให้ทำงานอะไร เกี่ยวข้องกับเข็มขัด ชายชุดดำนั้นด้วยหรือเปล่า? "งานที่ว่าเนี่ย..." ผมสงสัย "ได้เวลานอนของสุภาพสตรีแล้วละ " เธอพูดพลางชี้นิ้วไล่ น้ำเสียงเยือกเย็นสายตาเยือกเย็น แต่ไม่รู้ยังไงผมกลับเถียงหรือพูดอะไรไม่ออกเลย ราวกับความเย็นนั้นจับเป็นน้ำแข็งเข้าให้แล้ว เอาวะ... ตอนนี้ผมคงต้องยอมทำตามไปก่อนก็ได้ เพื่อสวัสดิภาพและอนาคตอันเหมือนจะหาดีไม่เจอของผม ผมอาบน้ำแล้วไปเอนหลังนอนที่โซฟาในห้องรับแขก ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ หมายว่าตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างมันจะไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าที่ผมคิดไปนั้นมันเป็นเพียงแค่การหลอกตัวเองเท่านั้น เพราะหลังจากที่ผมรับปากกับยายตัวแสบ นั่นก็เท่ากับว่าผมกำลังจะได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว... Story by Jammaster X Illus. by Folko Character Profile 1 นางเอกของเรื่อง เด็กสาวปริศนาปั้นหน้าเฉยสนิทคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ชื่อ อายุ และสัดส่วนยังคงเป็นความลับ เห็นน่ารักแบบนี้ปากร้ายไม่เบาเลยล่ะ ของที่ชอบ : เชอร์เบท, ซอร์ฟครีม ของที่เกลียด : งู ตะขาบ ฟ้าผ่า Character Profile 2 พระเอก (ตัวดำเนินเรื่อง) เรื่องนี้มองผ่านมุมมองของตัวเอกที่คิดผิดในการทิ้งอนาคตของตัวเองมาเพื่อมาตุภูมิแต่โชคชะตายังคงลากให้เขาต้องกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติเลยทีเดียวในฐานะของ [Cyber Judge]
ถ้าใจเย็นๆคิดดีๆ พระเอก(?)ของเราไม่น่าจะตระหนกกับการแบล็กเมล์อันนี้ ส่งให้สำนักงานตำรวจคิดหรือว่าจะมีเรื่อง เด็กสาวผู้ไม่ทันโลก คิดหรือว่าส่งหลักฐานแบบนี้ไปให้ตำรวจ แล้วตำรวจจะ(คิด)ทำอะไร (อนุมาณว่า ตำรวจในเรื่องนี้เป็นตำรวจของประเทศเทย) โพสขึ้นเฟสจะได้เรื่องมากกว่าเสียอีก (ตอนที่1นี้สอนให้รู้ว่า อย่าช่วยเหลือคนแปลกหน้าเพียงเพราะเขาเป็นเด็กสาว ) ไม่แน่ใจว่าจะใช่คนเดียวกันหรือไม่ แต่จากเครื่องหมาย X ก็น่าจะพอบอกได้ว่าคนเดียวกันหรือไม่? (แบบยังไม่เคยเห็นท่านลงผลงานที่นี้เท่าไหร่ เลยแปลกใจนิดหน่อย)
หะๆ มันไม่ใช่ประเทศเทยซะทีเดียวน่า ถึงจะมีบางอย่างชวนให้รู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลา ส่วนตัวเอกจะทำยังไงต่อน่ะเหรอ ต้องรอดูตอนต่อไปครับ คือผมไม่ได้โพสฟิกมานานละแล้วก็ไหนๆเพิ่งเข้ามาตามอ่านฟิกในบอร์ดนี้เลยถือโอกาสโพสที่นี่เพื่อขอความคิดเห็นเลยน่ะครับ โพสความเห็นได้ตามสบายนะครับผมน้อมรับหมด
Possibility 2 การไม่เข้าใจตนเองเป็นเรื่องที่ดี ? ผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความเป็นตายของชีวิตอีกแล้ว .. ทำไมน่ะเหรอ ? ก็เพราะรอบๆตัวผมมีเหล่าซอมบี้ที่พร้อมจะสูบเลือดกินเนื้อแทะกระดูกจนผมไม่เหลือสภาพของความเป็นคนนะสิถามได้ ! พวกมันรายล้อมพร้อมที่จะเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นพวกเดียวกับพวกมัน..... ใช่ครับซอมบี้ พวกมันหน้าตาซีดเซียวพูดจาไม่รู้เรื่องพล่ามประโยคแปลกๆราวกับภาษาต่างดาวมากกว่าภาษาต่างประเทศ จะพอเดาบางคำที่ชัดๆได้บ้างก็เช่นคำว่า " โซล ....ไทเป.... แสกนดิเนเวีย... มัลดีฟ..............อลาสก้า !!!!! " ไม่ต้องอธิบายต่อก็น่าจะรู้ ไอ้พวกซอมบี้ขายตรงที่มัวแต่หลงว่าจะได้ไปเที่ยวหรูๆด้วยการลากคนอื่นเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วบังคับซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากเพื่อทำยอดแข่งกันเนี่ยมันช่างเลวร้ายเสียกระไร ส่วนเหตุผลใดที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะเหรอ ? ....................................... เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า .... ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสน เด็กสาวปริศนาที่พุ่งทะลุออกมาจากจอโปรเจคเตอร์ได้ลากผมเข้าไปสู่โลกที่ไม่อาจคาดเดาได้ ใจนึงอยากให้มันเป็นความฝันที่ตื่นขึ้นมาแล้วหายไป แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็อดรนทนไม่ไหวอยากจะก้าวไปสัมผัสเสียให้ได้.... ดวงตาที่เย็นชาของเธอมีเสน่ห์อย่างประหลาด แม้จะยังเป็นเด็กแต่ก็มีความฉลาดและสุขุมเกินวัยยิ่งนักแถมยังความลับที่ดูเหมือนจะกระตุ้นต่อมอยากรู้ของผมเข้าอย่างจัง แม้ยัยเด็กนี่จะทำตัวน่าไล่ออกจากบ้านแค่ไหนแต่พอมองหน้าตาที่น่ารักนั่นแล้วผมก็ทำใจหินไม่ลงซะที .... ชีวิตของชายโสดคนเดียวอยู่บ้านจึงต้องทำอาหารเช้าเองอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมเองไม่พิศมัยอาหารกล่องเจือปนสารกันบูดจากร้านสะดวกซื้อที่ราคาแพงแถมยังขีดฆ่าวันหมดอายุออกอีกต่างหากแบบนั้น การตื่นเช้าขึ้นมาอีกนิดแล้วทำอาหารที่ตัวเองอยากกินดีกว่า ไหนๆก็อยู่คนเดียวแล้วจะกลับมาล้างตอนเย็นหลังจากแช่ไว้ในน้ำผสมน้ำยาล้างจานก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก สิ่งที่ผมกังวลกว่าคือยัยหนูนั่นจะกินอาหารเช้าหรือเปล่า ? ผมสีชาอ่อนๆกับท่าทางเหมือนลูกครึ่งน่าจะชอบอาหารเช้าแบบฝรั่งมากกว่าข้าวราดแกงแหงๆ ถึงจะเป็นอาหารที่ทำแล้วเก็บไว้ต่อมื้อหน้าไม่ได้ก็ตามทีแต่ก็ดีกว่าเธอไม่ยอมกินละนะ ผมคิด.... การทำอาหารพร้อมกับดูข่าวยามเช้าเป็นกิจวัตรประจำวันของผมอยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ที่มีข่าวเกี่ยวกับน้ำหลากและอุทกภัยเสียด้วย ถึงทางการจะประกาศไปว่าเขตเมืองหลวงอยู่ในความเสี่ยงต่ำก็ตามทีแต่การติดตามข่าวไว้ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด ถ้าจะถามว่าอะไรเสียหายกว่าคงเป็นการเปลี่ยนตารางแวะซื้ออาหารแหงๆเด็กกำลังโตแบบนี้จะปล่อยให้ออกไปกินอาหารที่ไว้ใจไม่ได้นอกบ้านก็ใช่ที่เหลือเกิน ไม่สิ...นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันเนี่ย ไข่ดาวแบบโอเวอร์อีซี่ (ไข่แดงไม่สุก) โทสท์ (ขนมปังปิ้ง) สลัดแตงกวา และแอปเปิ้ล ถูกวางไว้บนโต๊ะอาหารก่อนที่ผมจะขึ้นไปบนห้องแล้วปลุกยัยเด็กนั่นในใจคิดไว้ว่าเด็กอะไรไม่ต้องไปโรงเรียนรึไง แถมจะทิ้งไว้ในบ้านก็รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ ยัยนี่ไม่ใช่แมวซะหน่อย... หลังจากเคาะประตูหลายครั้งแล้วยังไม่มีเสียงตอบ ผมจึงตัดสินใจเปิดเข้าไปดู ถึงจะรู้สึกตื่นเต้นบ้างนิดหน่อย แต่ ผมเป็นเจ้าของบ้านนะย่อมมีสิทธิ์สิ ! แม้จะคิดแบบนั้นแต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่ดี .... อารมณ์เหมือนกับกำลังทำผิดอยู่ก็มิปาน แต่แล้วสิ่งที่ผมพบอยู่ในห้องกลับเหนือความคาดหมายยิ่งนักใครจะคิดว่าเด็กตัวเล็กๆจะสามารถทำอะไรได้แบบนี้กัน !!!! กระเป๋าสีเงินที่เปิดอ้าไว้ ถูกบรรจุไว้ด้วยธนบัตรเต็มเอี๊ยด พร้อมกับกระดาษข้อความที่เขียนด้วยลายมืออันเรียบร้อย ดูท่าเธอจะตื่นก่อนผมจนเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยเลยทีเดียว ส่วนข้อความในกระดาษกลับทำให้ผมประหลาดใจจนบอกไม่ถูก ... ' ถึงนายทึ่มที่ให้ความช่วยเหลือ ' ' นี่เป็นธนบัตรเก่าไม่เรียงเลขและไม่ถูกบันทึกว่าเป็นเงินที่ผ่านการฟอก จึงสามารถใช้ได้อย่างไม่ต้องห่วงใดๆ กรุณาคิดเสียว่าเป็นค่าหลบภัยเมื่อคืนรวมถึงค่าเสียเวลาด้วย จากนี้ไปขอให้คิดว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นแค่เศษเสี้ยวของความฝันก็พอแล้ว ' " จะ....จะบ้ารึไง !! " ผมสบถกับตัวเอง ยัยเด็กนั่นมาแล้วก็หนีไปแบบนี้งั้นเหรอ ? ความหงุดหงิดพุ่งปรี๊ดจนผมลงไปทานอาหารเช้าสำหรับสองคนหมดในรวดเดียวก็ยังไม่หาย เสียงนาฬิกาบอกเวลาที่จะต้องออกไปทำงานแล้วแต่สิ่งที่ค้างคาใจกลับทำให้ผมกล้าตัดสินใจในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิด ... ใช่แล้วละผมมองกระเป๋าที่มีเงินบรรจุอยู่ก่อนที่จะตัดสินใจคว้ามันแล้วออกเดินทาง ! .................................... ท่ามกลางย่านธุรกิจติดกับเขตชอปปิ้งของชาวไฮโซ ผมเดินไปมากลางกรุงทั้งๆที่ไม่เหมือนกับเมจเซ็นเจอร์ส่งเอกสารซักนิด แม้จะแต่งเสื้อสูทกับพกกระเป๋าเอกสารสีเงินสะดุดตาก็ตาม อย่างน้อยพวกนี้ก็ขี่จักรยานละนะแต่ด้วยสายตาที่มองกวาดไปรอบๆแบบซ้ายทีขวาที ยิ่งทำให้ผมดูเหมือนผู้ก่อการร้ายเข้าไปอีกใช่สิก็ตอนนี้ผมหงุดหงิดจนไม่รู้จะว่าไงแล้ว ยัยเด็กบ้านั่นคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปงั้นเหรอ ? ไม่ได้รู้หรือไงว่าผมคิดหนักขนาดไหนที่จะตกลงใจช่วยเหลือ ด้วยอารมณ์ที่ส่งผ่านมายังใบหน้าที่ปั้นไม่เป็นของผมด้วยแล้วเนี่ยไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าชวนลากเข้าคุกขนาดไหน หากไม่เป็นเพราะบัตรข้าราชการที่ขึ้นกับกระทรวงที่ทำงานอยู่แล้วละก็ผมคงโดนลากเข้าซังเตไปตั้งแต่เช้าแล้วแหงๆ จะว่าไปก็อาจจะเป็นเพราะประกาศเตือนภัยด้วยกระมังเจ้าหน้าที่เลยไปอยู่ตรงจุดสำคัญต่างๆเสียหมดและคงไม่สนใจการโทรแจ้งผู้ต้องสงสัยซักเท่าไหร่หรอกยิ่งสื่อที่ชอบนำเสนอเกินจริงจนทำให้คนทั่วไปบ้าซื้อของตุนกันจนเกินกว่าเหตุเนี่ย แถมยังปล่อยให้การขึ้นราคาเป็นไปแบบน่าเกลียดโดยไร้การควบคุมอีก เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายผมก็ยังคงเคว้งคว้างราวอยู่เช่นเดิม นอกจากจะไม่ได้ไปทำงานแล้วยังลืมโทรไปลากิจอีกต่างหาก แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีสายตาที่จ้องมองผมอยู่จากมุมที่ผมไม่อาจจะมองเห็น .... ไม่นานนักที่ลางสังหรณ์กลายเป็นจริง ! อยู่ๆมือถือก็ดังขึ้น ผมจึงหยิบขึ้นมาราวกับว่าผมกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ! ไอคอนของแอปพลิเคชั่นที่ผมไม่รู้จักกระพริบขึ้นบนหน้าจอแสดงผลทำให้ผมตกใจบ้างเล็กน้อยแต่ผมกลับไม่ลังเลที่จะเปิดมันขึ้น แม้รูปแบบของมันจะคล้ายๆกับระบบจีพีเอสแต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ลางสังหรณ์ของผมบอกให้ไปตามข้อมูลที่แสดงผลออกมาโดยที่ผมไม่ได้ฉุกใจเลยว่ามันจะพาซวยมาให้อีกตามเคย ..... .................................. " ไอ้พวกนี้มาจากไหนวะเนี่ย !!! " ผมติดอยู่ท่ามกลางอดีตย่านธุรกิจที่เคยโด่งดังมาก่อน หลังจากเศรษกิจตกสะเก็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจึงกลายเป็นเหมือนถนนร้างๆที่คนสัญจรแค่วันสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการเท่านั้น นานๆทีถึงจะมีพวกว่างงานหรือคุณท่านคุณนายแวะมาเป็นครั้งคราว สองข้างของถนนจึงมีแต่ร้านแบรนด์เนมราคาสูงลิบลิ่วอยู่ชั้นล่างและด้านบนเป็นออฟฟิศสำหรับเช่าทำงานชั่วคราว พูดถึงราคาของร้านพวกนี้แล้วละก็ประชาชนเดินดินก็ทำได้แค่มองหน้ากระจกและหวังว่าซักวันจะมีโอกาสที่จะมีโอกาสจับจองเป็นเจ้าของบ้างเท่านั้น แต่เพราะแบบนั้นเองจึงทำให้เหล่าซอมบี้พวกนี้อาศัยเป็นที่หากิน ... เหล่าพวกที่ตกเป็นทาสของวงจรขายตรงที่วันๆแต่งตัวหรูและวิ่งหาคนมาเป็นเหยื่อต่อยอดกรูกันเข้ามาไม่ต่างกับหมาล่าเนื้อ พวกมันคงได้กลิ่นเงินที่อัดแน่นในกระเป๋าของผมเป็นแน่แท้ ... ช่วงเวลาที่ผมกำลังคิดว่าจะหนียังไงให้พ้นพวกนี้ดี ก็ดันมีเสียงที่คุ้นเคยมาจากอีกด้านของตึก.... " ไปให้พ้น ! " เสียงแบบนี้ผมไม่ลืมแน่ๆ ไวเท่าใจคิดผมวิ่งฝ่าพวกซอมบี้รอบๆไปยังต้นเสียงใสๆอย่างไม่คิดชีวิต และแล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ยัยนี่ยังคงพาเอาปัญหามาให้ทั้งๆที่หนีออกมาได้ไม่ถึงวันเลย .... ไอ้กลุ่มรายล้อมเธออยู่ดูเหมือนจะต่างกับไอ้พวกซอมบี้ขายตรงเมื่อครู่นิดหน่อย วัตถุสีดำขนาดใหญ่ปลายมนพร้อมส่องแสงวูบวาบสลับกับภาษาที่เหมือนจะไม่ใช่ของประเทศนี้ซักเท่าไหร่ " โลลิ ! โมเอ้ !!! " พวกมันตะโกนศัพท์แปลกๆพร้อมถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งพลางทำเสียงฟืดฟาดราวกับอดข้าวมาเป็นเวลาหลายวันยิ่งไปกว่านั้นพวกมันแต่ละคนก็ดูเหมือนจะพยายามถ่ายภาพในมุมแปลกๆเสียด้วยถ้าผมจำไม่ผิดแล้วละก็พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า 'คิโม่ย โอตากร๊วก' ซักอย่างที่วันๆเอาแต่บ้ากับเรื่องไม่เป็นเรื่องแถมยังแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่ฉายในทีวีกับโลกของความเป็นจริง แม้ว่าผมจะไม่เคยคิดว่าพวกนี้จะมีพิษภัยต่อสังคมเหมือนกับที่สื่อประโคมข่าวโครมๆเพื่อให้ขายได้ก็ตาม... รู้ตัวอีกทีเท้าของผมก็ยันเข้าไปที่กลางหลังของพวกมันคนหนึ่งเพื่อเป็นการเปิดทางเสียแล้ว ! และเมื่อสบโอกาสผมก็เข้าไปขวางระหว่างยัยเด็กเจ้าปัญหากับไอ้พวกบ้านี่โดยที่ร่างกายมันขยับไปเอง " ยัยเด็กบ้า รู้มั้ยว่าชั้นตามหาเธอทั้งวันเลยเนี่ย " ผมพูดพลางมองไปด้วยความโมโหหากแต่เธอตอบกลับด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย " เฮ้ย กล้อง DXCK 00122485 กรูว !!!! " ไอ้พุงกระเพื่อมที่ผมสะกิดมันด้วยความสุภาพด้วยฝ่าเท้าลุกขึ้นมาพร้อมกับตาที่แดงก่ำ ดูท่ามันคงจะตกมันอยู่.... ร่างอันอุ้ยอ้ายของมันเดินส่ายไปมาเข้าหายัยเด็กนี่ พร้อมกับกลิ่นประหลาดๆที่โชยมาเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำ พลางเงื้อแขนหมายจะสัมผัส ' พลั่ก !! ' คราวนี้ฝ่าเท้าผมประทับเข้าที่หน้าของมันและถีบส่งออกไปอย่างสุดแรงพลันหันมาดุยัยเด็กแสบต่อ " แล้วนี่อะไร มาแหล่งที่มีไอ้พวกบ้าๆบอๆแบบนี้คิดมั่งมั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหน ? " สีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของเธอเหมือนกับจะท้าทายความโกรธของผมอย่างไม่ลดละ แค่โดดงานก็หงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว มาเจอเด็กแบบนี้ยังไม่พอดันแถมไอ้พวกทุเรศนี่อีกแต่ผมจะตวาดเธอมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้อีก " อยู่ๆมารุมล้อมเด็กคนนี้โดยที่เขาไม่เต็มใจเนี่ยพวกแกมีจิตสำนึกมั่งมั้ย ? " ผมเปลี่ยนเป้าไปตะโกนใส่พวกนี้แทนและดูเหมือนจะได้ผลพวกมันแสดงท่าทางเหมือนจะยังเข้าใจภาษามนุษย์อยู่ บ้างก็เงียบไปราวๆสิบวินาทีได้ " ธุระไม่ใช่อย่ามาสะเออะมนุษย์เงินเดือนอย่างแกมาทำอะไรในย่านศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ? " พวกมันตอบเกือบจะเป็นเสียงเดียวกัน ทำเอาผมอึ้งกับความพร้อมเพรียงของเสียเหลือเกิน หากไอ้พวกนี้บุกเข้ามาพร้อมๆกันหมดผมคงโดนรุมทับเป็นกล้วยปิ้งแน่ๆ " เตรียมวิ่ง ! " เสียงของเธอแว่วมาขณะที่เข้ามาจับแขนของผมเพื่อหลบมุมกล้องจากพวกนั้น เธออาศัยช่วงที่หลบเข้าข้างหลังผมและโยนสิ่งที่เรียกว่าฟิกเกอร์ขึ้นบนฟ้าเป็นจำนวนหลายตัว เฮ่ยทำไมยัยเด็กนี่มีของแบบนี้ได้ละนี่ ? หรือเพราะว่าร้านแถวนี้มีขายยัยนี่เลยซื้อไว้ ? และแล้วสิ่งที่ผมไม่คาดว่าจะได้เห็นก็ปรากฏขึ้น พวกนั้นวิ่งเข้าไปรับฟิกเกอร์ที่หล่นลงมาอย่างทันควันไม่สมกับรูปร่างอันไม่สมส่วนราวกับฝึกวิชาบาทาย่ำคลื่นมาอย่างช่ำชองเลยทีเดียว และเมื่อแขนเสื้อของผมถูกเธอกระตุกอีกครั้งผมก็ออกตัววิ่งพร้อมๆกับจับมือของยัยเด็กตัวน้อยๆนี่ไว้ แต่เพราะการที่ใส่สูทบวกกับมีเด็กสาวพ่วงมาด้วยทำให้ไม่สามารถไปไหนได้อย่างใจคิด ไม่นานนักที่ผมกับเธอจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้ ข้างหน้าเป็นซอมบี้ขายตรง ข้างหลังเป็นคิโม่ย ช่างสถานการณ์ที่เลวร้ายเสียเหลือเกินเลยทีเดียว ..... ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็รอดยาก ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเองอยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงตะโกนที่ผิดแผกขึ้นมา ! ดูเหมือนว่าจะมาจากด้านหลังโอตากร๊วกที่จับจ้องมายังยัยเด็กนี่มากกว่าผม เสียงของมันระเส่าจนน่าขยะแขยงจริงๆ " ต...ต....แตก...แตกแล้ว !!!!! " " อะไรวะแค่นี้จะแตกได้ไง ? " อีกเสียงตะโกนถามขึ้น โดยที่อีกฝั่งยังคงอ้ำๆอึ้งๆ ไม่ทันที่จะได้คำตอบเสียงครืนที่ดังก้องก็เป็นฝ่ายตอบแทนที่ มวลน้ำมหาศาลกำลังทะลักมาอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเมืองศิวิไลซ์แบบนี้เลยดันทะลักมาจนได้ ฟังจากเสียงแล้วเขื่อนกระสอบฉุกเฉินซักที่คงพังลงมามากกว่าที่จะเป็นน้ำหลาก ซึ่งไม่ว่าจะพังเพราะวัสดุห่วยหรือมีพวกรับจ้างมาพังก็ตามที.... " ไหนเทศมนตรีบอกเอาอยู่ไงฟะ ? " ผมสบถขึ้นอย่างหัวเสีย พลางใช้จังหวะที่พวกมันกำลังตื่นตระหนกกันคว้ายัยเด็กเจ้าปัญหาวิ่งขึ้นทางลาดสูงเพื่อหนีจากน้ำท่วมอย่างเต็มสปีด ผมคาดการณ์ไว้แล้วบ้างว่าน้ำอาจจะทะลักเข้ามาในเมืองหลวงได้บ้าง แต่ท่อระบายน้ำระหว่างทางดูเหมือนจะใช้การไม่ได้เอาเสียเลยเพราะน้ำที่ไหลมานั้นดูเหมือนจะไม่ไหลลงท่อระบายน้ำเลยมันผ่านไปเหมือนกับผ่านถนนเรียบๆที่ลาดลงมาเสียอย่างนั้น แถมปริมาณน้ำเองก็เรียกได้ว่าท่วมถึงเอวผู้ใหญ่ได้เลยทีเดียวละ ถึงจะไม่เก่งขนาดวิ่งได้เหรียญแต่หากรู้หลักในการหนีน้ำที่ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำแล้วละก็การมองหาพื้นที่ซึ่งสูงกว่าปรกติเช่นลานกว้างน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่าวิ่งหนีทิศตรงข้ามกับเสียงน้ำที่กำลังซัดมายิ่งนักและผมก็ตัดสินใจถูก บริเวณโดยรอบถูกน้ำท่วมไปเยอะมากผิดกับพื้นที่ซึ่งได้รับการถมได้อย่างดีสมกับเป็นโซนไฮโซเลยทีเดียวที่ไม่โดนน้ำท่วมผิดกับย่านประกอบธุรกิจข้างๆ คงเพราะตรงนี้ทำเงินได้มากกว่าเป็นแน่แท้แต่เพราะมันเป็นพื้นที่ซึ่งไม่ท่วมจึงไม่ยากนักที่เหล่าซอมบี้ขายตรงและคิโม่ยโอตากร๊วกจะตามมาทันในช่วงที่ผมกำลังพักหายใจ....... แต่ทว่าดูเหมือนว่าพวกมันทั้งสองกลุ่มจะดูผิดแผกไปจากเมื่อกี้พอสมควร หน้าตาที่ดูจะบูดเบี้ยวกว่าคนอารมณ์เสียซ้ำยังมีทั้งแดงก่ำและแบบออกเขียวๆเหมือนกับไม่ใช่คน ... สัญชาติญาณเตือนผมว่าเข้าขั้นอันตรายแล้วแน่นอนเป็นที่สุด ในใจพลางนึกถึงกระเป๋าที่หยิบมาด้วย ใช่แล้วในนั้นมีเงินสดอยู่น่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้หลายเปราะเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะชนชั้นกลุ่มไหนก็ใช้เงินคุยได้ทั้งนั้นในสังคมปัจจุบัน ทว่าความหวังนั้นหายไปแล้ว ทำไมน่ะเหรอ ? ก็เพราะว่าในวงแขนของผมกลับอุ้มยัยเด็กแสบนี่มาโดยทิ้งกระเป๋าไปตอนไหนก็ไม่รู้..... ความซวยยังคงไม่จบสิ้นเมื่อพวกซอมบี้นั่นค่อยๆก้าวเข้ามาหาผมทีละก้าว ทีละก้าว และยิ่งไปกว่านั้นไอ้ตัวที่เหมือนจะเป็นหัวโจกของซอมบี้ขายตรงและคิโม่ยโอตากร๊วกมันค่อยๆกลืนร่างของกันและกันเข้าจนเป็นร่างเดียวกัน ข้างหนึ่งหน้าเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธส่วนอีกข้างสีเขียวคล้ำราวกับหายใจไม่ออก ในมือของมันถือตุ๊กตาที่เหมือนจะหัวขาดไปแล้ว ส่วนมืออีกข้างก็ถือสัญญายับๆเปียกน้ำที่น่าจะเอาไปขึ้นทะเบียนไม่ได้แหงๆ ดูท่าพวกมันจะสูญเสียสิ่งที่รักยิ่งในชีวิตไปแล้วก็ไม่ปานเลยกลายเป็นตัวประหลาดแบบนี้ ส่วนพวกที่เหลือก็ค่อยๆทำแบบเดียวกัน และในเวลาชั่วอึดใจกองกำลังตัวประหลาดก็รายล้อมผมกับเธอ " จะมีตัวอะไรทุเรศไปกว่านี้มั้ยเนี่ย.... " ผมตัดพ้อกับตัวเอง " ปล่อย !! " เสียงใสๆของยัยเด็กนี่ดังขึ้นพร้อมกับดิ้นออกจากแขนที่อุ้มเธออยู่ เธออาศัยจังหวะที่เหล่าตัวประหลาดเล็งเป้ามาที่ผมในการวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งซึ่งผมเองก็ทำได้แค่มองตามไปเท่านั้น... จะเรียกว่าโชคดีรึเปล่าก็ไม่รู้ที่พวกมันไม่ทันได้สนใจเหยื่อตัวน้อยที่วิ่งหนีไปเท่าไหร่ แต่มองในอีกแง่ยัยนี่ดิ้นหนีแล้วทิ้งเราไปรึเปล่าเนี่ย ! หากในใจของผมคิดว่าถ้าเธอหนีพ้นก็คงจะดีจึงตะโกนเสียงและวิ่งฝ่าพวกมันออกไปเช่นกัน ผมตะโกนขึ้นพลางพยายามจะวิ่งฝ่าฝูงตัวประหลาดตามเธอไปแต่พวกมันกลับล็อคตัวผมไว้และระดมมือเท้าใส่พร้อมกับเสียงหัวเราะด้วยความยินดีของพวกมัน " ทำเป็นเก่งว่ะ " " ไอ้โง่เอ้ย โดนทิ้งแล้วไหมละ " แต่ว่าทิศที่เธอวิ่งไปนั้นมีสิ่งที่สะท้อนแสงจนสะดุดตาอยู่ ....นั่นมันกระเป๋าสีเงินที่ผมทำหลุดมือไปนี่นา ! ทว่าตอนนี้กระเป๋าที่ว่ากำลังลอยอยู่กลางน้ำที่ท่วมอยู่อีกฝั่งถนน และยัยเด็กนั่นก็กระโดดลงน้ำอย่างไม่ลังเล ! " จะบ้ารึไง ?" ผมสบถ แค่กระเป๋าถึงกับโดดลงไปในน้ำมีเงินแล้วก็เท่านั้นแหละสู้วิ่งหนีไปเลยดีกว่ามั้ย ? ร่างของผมทรุดลงด้วยความเจ็บปวด พวกมันปล่อยให้ผมมีอิสระอีกครั้งหลังจากหัวหน้าของพวกมันให้สัญญาณ แต่ผมเองก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เจ้าตัวประหลาดพวกนี้ล้อมหน้าหลังอยู่ราวกับว่ามันรอให้ผมทำอะไรซักอย่าง ? ไม่นานนักที่ตัวหัวหน้าของพวกมันจะเดินเข้ามาใกล้ผม " เอาละได้เวลาแล้ว เรามาทำสัญญากันเถอะ !! " เจ้าตัวหัวหน้าพูดขึ้น พลางยื่นกระดาษกับแท่นปั้มลายนิ้วมือให้ผม .... นี่มันยุคไหนแล้ววะเนี่ยไหงยังใช้วิธีปั้มนิ้วกันอีก ! แต่ผมจะมีทางเลือกอะไรละ ระหว่างโดนพวกมันรุมทึ้งจนเป็นซากตรงนี้หรือจะยอมกลายเป็นพวกซอมบี้แบบพวกมันดี ..... ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง และมันก็ยังเจิดจ้ามากกว่าอนาคตของผมเช่นเดิม " รับ !!! " เสียงใสๆที่ดังขึ้นเรียกสติผมกลับมาแทบจะทันที มือของผมคว้าเอาวัตถุสะท้อนแสงที่ลอยเข้ามาได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องมอง ไม่สิมันเหมือนกับว่าสิ่งนี้ถูกดึงดูดเข้ามาหาผมเลยทีเดียว ให้ตายสิผมลืมไปได้อย่างไรว่าในกระเป๋ามีเจ้านี่อยู่ด้วย !!! เข็มขัดไฮเทคสีเงินถูกสวมเข้าที่เอวพร้อมกับเปล่งแสงลานตาเฉกเช่นเดียวกับครั้งก่อน ทำเอาเจ้าพวกที่ล้อมผมอยู่ถึงกับลนลานและตื่นตระหนก เจ้าตัวหัวหน้าถึงกับสั่งให้ลูกน้องรุมกระทืบผมในทันทีที่มันตั้งสติได้ แต่คราวนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วชุดโลหะที่ดูเหมือนจะหนักกลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วผิดกับที่เห็นซ้ำผมยังรู้สึกเหมือนกับคุ้นเคยกับการต่อสู้แบบนี้ซะแล้ว เหล่าตัวประหลาดพวกนี้แต่เดิมก็เป็นแค่พวกไม่สมประกอบทางจิตอยู่แล้วด้วยไม่ใช่นักฆ่ามือฉมังที่ฝึกมาอย่างดีเพียงแค่ฟาดกลับสองสามทีก็ง่อยกระรอกเสียแล้ว เหลืออยู่ก็แค่ตัวหัวหน้าที่ดูเหมือนจะดูมีภาษีดีกว่าลูกน้องนิดหน่อย อย่างน้อยมันก็มีสี่แขนละนะผมคิดในใจ ทว่าความน่ากลัวของตัวระดับหัวหน้าก็ยังคงมี มันอาศัยจังหวะที่ผมเก็บกวาดลูกน้องของมันโยนทิ้งไว้ใกล้ๆท่อระบายน้ำไปเอารถนอกนำเข้าสุดหรูมาตอนไหนก็ไม่รู้ หน้าตาของเจ้านั่นบ่งบอกถึงความอาฆาตแค้นเหลือคณาและเดาได้ไม่ยากว่ามันจะทำอะไรต่อ รถคันงามกำลังเบิ้ลเครื่องเพื่อให้ได้ความเร็วที่สามารถวิ่งชนผมให้แหลกได้ในการออกตัวครั้งเดียว ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อนักว่าหมอนี่จะถึงขนาดกล้าขับรถชนคนอื่นได้หน้าตาเฉยขนาดนี้จนกระทั่งมันพูดว่า .... " เดี๋ยวไปหงิกเอาในศาลก็รอดคดีแล้ว ส่วนแกน่ะเป็นขี้ดินใต้ล้อรถไปซะเถอะ ! " ตัวหัวหน้าพูดขึ้น อีกแล้วสินะไอ้พวกที่ก่ออาชญากรรมได้โดยหน้าตาเฉย....ฆ่าโดยเจตนาแล้วก็ทำเป็นจิตบกพร่องตอนไปศาลแล้วก็จ้างทนายวิ่งความเก่งๆลดโทษกับเปลี่ยนรูปคดีแล้วก็รอให้ข่าวซาลงซักหน่อยก็ออกมาทำตัวเลวๆได้เหมือนเดิม เงินที่มีก็ได้มาจากการหลอกคนที่งมงายเอา ..... เหมือนมีอะไรดลใจให้ผมอยากลองสวิทซ์ที่อยู่ข้างๆเข็มขัดด้านขวา ผมกดมันลงไปพร้อมกับค่อยๆจินตนาการภาพในสมองถึงสิ่งที่จะชนสวนกับรถนำเข้าคันงามตรงหน้า และแล้วเจ้าชุดโลหะที่ผมสวมใส่อยู่นี่ก็ค่อยๆเรนเดอร์เอาโฮโลแกรมหัวรถไฟขนาดใหญ่มาซ้อนทับกับตัวของผมไว้ ส่วนมือขวาก็หยิบเอาแท่งโลหะที่ดูเหมือนจะเป็นด้ามดาบออกมาถือไว้ในมือก่อนที่มันจะเปล่งแสงออกมาเป็นตัวดาบ " มันต้องแบบนี้สิ อยากรู้เหมือนกันว่ารถหรูมันจะปะทะรถไฟรอดมั้ย ?? " " แก..............ตาย !!!!! " เจ้านั่นยังคงไม่ยอมแพ้มันเบิ้ลเครื่องอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าหาผมอย่างเต็มกำลัง ' เดนฉะ แสมช !!! ' ผมตะโกนขึ้นพร้อมกับฟาดดาบเข้าใส่กลางรถที่พุ่งเข้าหา และแน่นอนถังเหล็กนั่นก็ถูกพลังงานจากภาพโฮโลแกรมชนไปติดกำแพงจนยับ ส่วนเจ้าหัวหน้าซอมบี้ที่อยู่ในรถน่ะเหรอ น้ำลายฟูมปากได้หงิกจริงๆสมใจไปแล้ว แต่พูดก็พูดเหอะเพราะมันกลายเป็นตัวประหลาดเลยรอดมาได้สินะ ดีแล้วหละพวกนี้น่าจะต้องอยู่ใช้กรรมที่ก่อไว้อีกนานแสนนานเลยทีเดียว ดูจากสภาพแล้วคงไม่ต้องโทรเรียกรถมูลนิธิหรือว่าเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ไหนจะพวกไม่สมประกอบที่กลับร่างเป็นมนุษย์แล้วหลักฐานการฉ้อโกงก็ปลิวว่อนเต็มไปหมดและที่สำคัญประโยคเด็ดที่มันพูดตอนขับรถก็ถูกบันทึกไว้ในเข็มขัดเรียบร้อย ผมจึงสอดสายตาไปรอบๆแทน ใช่แล้วล่ะจะเสียเวลากับเจ้าพวกนี้อยู่ไม่ได้หรอก เพราะอาละวาดเสียขนาดนี้ไม่นานเจ้าหน้าที่คงต้องมาเป็นแน่แถมน้ำก็เริ่มลดแล้วด้วย อย่างน้อยก็สมกับที่เสียภาษีไปบ้างละน่าผมคิด ...ถึงตอนนี้แล้วผมจึงถอยห่างจากที่เกิดเหตุและถอดเข็มขัดแปลงร่างออกก่อนจะมีปัญหาตามมา เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าไม่ใช่พวกบ้านี่ ผมกลัวว่ายัยเด็กแสบนั่นจะถือโอกาสหนีไปอีกจึงกวาดสายตาไปรอบๆจนไปสะดุดที่รอยหยดน้ำที่เป็นทางไปยังตึกอีกด้าน และผมก็เดาไม่ผิด ยัยเด็กตัวแสบที่กำลังนั่งหนาวสั่นเพราะตัวเปียกน้ำอยู่ ร่างเล็กๆที่คุดคู้เหมือนลูกแมวเปียกน้ำแต่ไม่รู้จะไปไหนทำเอาผมตะลึงไปชั่วขณะ แม้ว่าจะไม่ใช่หน้าหนาวแต่ก็ใกล้แล้ว สายลมที่พัดผ่านย่อมเย็นพอที่จะทำให้คนที่เปียกไปทั้งตัวหนาวได้ แต่ว่ายัยเด็กนี่เล่นกระโดดลงไปในน้ำเพื่อหยิบกระเป๋าใบสำคัญกลับมาแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเท่ากับการที่เธอหนีออกมาตั้งแต่แรก " คิดยังไงถึงได้หนีออกมากันน่ะ ? ยัยลูกแมวตกน้ำ" ผมชิงถาม ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหนแต่ตอนนี้ความอัดอั้นมันก็เต็มไปหมด ไหนยัยนี่จะลำบากตั้งแต่เช้ายันบ่าย แล้วยังทำท่าเหมือนจะหนีไปอีกแล้วด้วย " นายไม่ได้คิดว่าชั้นเป็นตัวปัญหาอย่างนั้นเหรอ ? " เธอถามผมกลับ .... " ใช่สิทำไมจะไม่ใช่ ...... ในเมื่อแทนที่จะบอกกันดีๆก็ไม่ได้กลับทำเชิด ไม่เรียกว่าเป็นตัวปัญหาแล้วจะเรียกว่าทำอะไรล่ะ ? ในเมื่อมีอะไรละก็บอกสิไม่ใช่อยู่ๆก็หนีมาแบบนี้ รู้มั้ยว่าการตามหาเด็กคนนึงเนี่ยมันยากแค่ไหน ? หาเจอปุปก็อยู่กลางวงปัญหาแบบนี้อีก " หลังจากบ่นไปผมก็ฉุกคิด แล้วไอ้โปรแกรมในมือถือนั่นมายังไง ? แล้วทำไมเธอถึงยอมกระโดดลงไปในน้ำเพื่อหยิบเอาเข็มขัดในกระเป๋ามาอีกไม่สิ เล่นเก็บมาทั้งกระเป๋าเลยด้วย แต่ไม่ทันที่ผมจะได้คาดคั้นต่อเธอก็กระโจนเข้ามากอดแนบชิดกับผมเสียแล้ว ..... " เฮ้...ย ยัยนี่" ผมไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อย ยัยเด็กนี่เป็นแมวรึไงพอเข้าใกล้ก็หนีแล้วอยู่ๆก็เข้ามาหา " หนาว.... " เธอพูดขึ้น ....จริงอยู่ที่ตัวก็เปียกจากการโดดลงน้ำไปหยิบกระเป๋าสีเงินนั่น แต่ว่าการที่เข้ามากอดเพื่อจะได้อบอุ่นขึ้นนี่มันไม่ใช่แล้ว ผมไม่ได้ห่วงเสื้อสูทหรอกแต่ยัยนี่จะคิดมั่งไหมน่ะ ว่าทำแบบนี้มันอันตรายแค่ไหนกัน ...... ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ เธอก็ชี้ไปยังตึกอีกด้านที่มีป้ายระยิบระยับประดับอยู่นั่น ! ตาผมคงไม่ได้ฝาดสินะโซนแบบนี้ก็ยังมีจนได้สิ ไม่จริงน่าสถานแบบนี้มันมีให้สำหรับคนที่เป็นคู่รักเข้าไปกันแต่นี่เป็นผมกับเด็กสาวตัวแค่นี้น่ะนะ !!! ยัยเด็กนี่คิดอะไรของเธอกันถึงได้ชวนให้ผมเข้าไปกันใจเย็นก่อนสิ นี่คงล้อเล่นใช่มั้ยยิ่งในเวลาแบบนี้อีก แต่สายตาที่เหมือนจะอ้อนวอนนั่นกำลังทำลายกำแพงเหตุผลของผมอยู่ ... ใช่สิเธอตัวเปียกไปหมดแถมยังใกล้หน้าหนาวแล้วด้วยแต่ถ้าใครมาเห็นเข้าละจะเป็นยังไง ? ไม่สิถ้ามีคนเห็นผมกับยัยเด็กนี่ตอนนี้ก็ชวนเข้าใจผิดอยู่แล้วต่างหากสู้เข้าไปก่อนดีกว่ามั้ย ? ไม่นานนักที่ระบบการยับยั้งชั่งใจของผมจะพังทลายลง........... ........................................................................ ................................................... ตอนนี้..... ผมกำลังรอเธออยู่ด้วยหัวใจที่สั่นระทึกเพราะสิ่งที่กั้นระหว่างผมกับยัยเด็กนั่นมีแค่ผ้าม่านเท่านั้นและผมก็ได้ยินเสียงถอดเสื้ออยู่... ไม่จริงน่า ! ใจผมเต้นจนแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วทั้งๆที่อีกฝ่ายเป็นเด็กแท้ๆ ผมในตอนนี้พยายามจะไม่จินตนาการว่าอีกฝั่งเป็นอย่างไรแต่เพราะอยู่ใกล้กันแบบนี้ต่อให้ไม่คิดมันก็ ..... ขณะที่พยายามบอกตัวเองให้สงบอยู่นั้นเองความเงียบก็ได้ถูกทำลายลงด้วยผ้าม่านที่เปิดออกมา ถึงแม้จะพยายามสงบใจแค่ไหนแต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าช่างเกินกว่าจินตนาการของผมนัก ... " น่ารัก เหลือเกิน ! " เสียงของพนักงานสาวประจำแผนกดังขึ้นจนดึงให้ผมกลับมามีสติอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่ายัยเด็กกะโปโลที่เปียกเป็นลูกแมวตกน้ำตะกี้จะเปลี่ยนชุดใหม่แล้วน่ารักขึ้นสี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ราวกับซิงโครกับชุดได้อย่างเหมาะเจาะ ใจจริงอยากจะชมพนักงานสาวคนที่เลือกชุดให้จริงๆถ้าหล่อนไม่ปากมากจนเกินพอดีแบบนี้ " แต่ก่อนชั้นก็น่ารักแบบนี้ละนะ " พนักงานสาวกล่าวขึ้นพลางทำท่าเหมือนจะเข้าสู่ห้วงอดีต " จนโดนธนูปักเข้าที่หัวเข่าสินะ......" ผมตัดมุข พลางมองไปยังยัยเด็กน้อยนี่ ชุดสีขาวมีระบายจีบและดอกไม้เข้ากันดีกับผิวออกชมพูของเธอมาก แถมหมวกนั่นก็ทำให้อยากจะพาไปเที่ยวทะเลจริงๆ " ว่าแต่น้องสาวของคุณชั้นบอกเลยว่าไม่นานเกินรอแน่ " เจ้าหล่อนเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ พลางกระซิบผมเบาๆต่อไปอีกว่า "ตอนที่วัดตัวให้น่ะ" อะไรไม่นานเกินรอฟะนั่น แล้วไหงน้องสาวล่ะ ? นี่ผมถูกมองเป็นพวกค้ำคอร์ไปแล้วเรอะ ? แต่สถานการณ์แบบนี้บอกว่าเป็นน้องสาวดูท่าจะปลอดภัยต่อคุกมากกว่าจริงๆ แถมยัยเด็กนี่ก็รับมุขซะด้วยสิเข้ามาเกาะแขนผมไม่ห่างเลยทีเดียว จนผมคิดไปว่าถ้ามีน้องสาวน่ารักแบบนี้ซักคนก็ดีสิแต่จะปลอดภัยแน่รึเปล่าอีกเรื่อง คิดไปแล้วผมก็รีบไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินให้จบๆเรื่องดีกว่าขืนอยู่นานกว่านี้จะเป็นภัยต่อหัวใจแหงๆ แค่เห็นใบเสร็จก็แทบแย่แล้วยัยเด็กนั่นเลือกแต่ของแพงทั้งนั้น ผมเองไม่อยากอ่านรายละเอียดหรอกว่าเธอซื้ออะไรบ้างแค่มองตัวเลขก็คิดหนักแล้วเพราะเงินที่อยู่ในกระเป๋าจะเอาออกมาใช้ก็กระไรอยู่ใครมันจะพกเงินฟ่อนมาซื้อของกันสุดท้ายเลยต้องพึ่งบัตรเครดิตที่หวังว่าวงเงินสูงสุดคงจะพอ.... เพิ่งจะได้เดินออกจากแผนกเสื้อผ้ามือน้อยๆของยัยนี่ก็กระตุกแขนเสื้อผมพร้อมกับมองตาราวกับอยากจะบอกอะไรซักอย่างแต่พอถามกลับก็ทำหลบตาซะนี่ บางทีเธออาจจะอยากได้อะไรอีก ? " อยากเดินเที่ยวเหรอ ? " ผมเลยถือโอกาสหยอกเสียบ้างเพราะยัยนี่ไม่มีทางกล้าปากเสียต่อหน้าสาธารณชนหรอกในเมื่อแกล้งมารยาเป็นน้องสาวขี้อายแบบนี้ แต่นึกๆดูแล้วออกจากเนียนไปหน่อยราวกับว่าอยากจะเดินเที่ยวในห้างจริงๆซะอย่างนั้น แต่บรรยากาศเป็นใจขนาดนี้จะให้ทำใจหินลากกลับบ้านคงจะงอนแน่นอน ถูกเผง... เธอซ่อนหน้าลงใต้หมวกแต่ผมก็แอบสังเกตเห็นท่าที่อายๆนั่นอยู่ มือเล็กๆนั่นยังไม่ยอมปล่อยแขนเสื้อผมเสียด้วย อะไรจะน่ารักขนาดนี้ผมเลยต้องรับบทพี่ชายพาคุณน้องเที่ยวห้างอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ระหว่างที่เดินไปมานั่นผมสังเกตเห็นสายตาหลายคู่มองมาที่ยัยเด็กนี่ ถึงจะยอมรับว่าชุดออกจากสะดุดตานิดๆก็เถอะนะแต่การที่ไม่มีใครแจ้งตำรวจคงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจกว่า ... หวังว่าคนคงจะคิดว่าเป็นพี่ชายกับน้องสาวจริงๆใช่มั้ย ....... หลังจากเดินห้างจนแทบจะครบทุกแผนกแล้วยังต่อด้วยภัตตาคารหรูต่ออีก เหมือนเหตุการณ์จะเป็นใจเลยทีเดียวที่สวมสูทมาแถมชุดที่ยัยเด็กนี่เลือกมาก็ดูดีระดับที่ขึ้นมากินที่นี่ได้เสียอีกถ้าไม่นับหนี้บัตรที่ผมจะต้องจ่าย แม้จะเที่ยวกันสองคนแต่เราสองกลับไม่ได้คุยกันจริงๆเท่าไหร่นัก คำถามมากมายที่อยากจะถามเธอกลับยังคงไม่มีโอกาสเช่นเดิม และดูเหมือนกับว่าโอกาสยังจะมาไม่ถึงซักทีมากกว่า รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปถึงเที่ยงคืนแล้วเรียกได้ว่าเป็นเวลาก่อนที่ชั้นดาดฟ้าจะปิดตัวลงเล็กน้อย ท่ามกลางดาดฟ้าและแสงดาวที่ริบหรี่กลางเมืองหลวง ตรงหน้าของผมกลับมีดาวดวงน้อยๆที่เปล่งกระกายอยู่ " ได้เวลาที่เจ้าหญิงจะกลับไปที่ปราสาทแล้วรึยัง ? " ผมเย้า " ราชรถมารอแล้วละ " เธอตอบกลับ รถลีมูซีนคันหรูพาผมกับยัยเด็กนี่กลับบ้านอย่างช่วยไม่ได้ ดึกป่านนี้แล้วแถมยังชุดอีกคงไม่เหมาะแน่ๆที่จะกลับด้วยอย่างอื่น แต่ปัญหาคือบ้านเช่าโกโรโกโสของผมน่ะสินึกไม่ออกเลยว่าคนขับรถมันจะทำหน้าอย่างไรตอนไปเห็น แต่ก็ช่วยไม่ได้ผมจำใจใส่แอดเดรสบ้านที่อยู่ไปและนั่งคิดไปถึงเรื่องวุ่นๆที่ผ่านมาตอนนั้นเองที่เธอกลับเป็นฝ่ายถามขึ้นในระหว่างเดินทางกลับ " ดีแล้วเหรอ ? " เธอถามขึ้น " หมายความว่าไงกันละ ถ้าเรื่องชุดกับอื่นๆละก็เธอก็จ่ายผมมาล่วงหน้าแล้วไม่ใช่รึไง ? " ผมตอบพลางยกกระเป๋าสีเงินที่ยังมีธนบัตรอัดแน่นอยู่เต็มกระเป๋า ถึงจะยังคิดไม่ออกว่าจะเอาเข้าธนาคารยังไงให้ไม่โดนตรวจสอบทรัพย์สินดีก็ตามเหอะ " ช่างเป็นนายทึ่ม จนน่าโมโหเลยนะ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่ ? " "จะเรียกแกล้งไม่รู้ก็ไม่ถูกหรอกนะ คำถามน่ะมีเยอะไปหมดเลยทีเดียวละแต่ผมรู้ว่าเธอยังไม่ตอบแน่ๆเลยไม่ถามต่างหากล่ะ " ผมย้อนกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและก็เป็นอย่างที่ผมคาดไว้เธอหยุดคิด " กลับกันนะผมมีเรื่องอยากจะบอกมากกว่า " " อยากจะบอก ? นายนี่แปลกคนจริงๆด้วยสินะ " " อย่าหายไปไหนอีกละ ยัยเด็กเจ้าปัญหานี่ " คำพูดนี้ทำให้เธอชะงัก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ทั้งๆที่เป็นตัวปัญหาแต่ผมกลับปล่อยไปไม่ได้ แม้ว่าจะไม่เข้าว่าจริงๆแล้วยัยนี่คิดอะไรอยู่กันแน่แต่สิ่งเดียวที่บอกได้จากดวงตาของเธอคือความรู้สึกที่พยายามบอกว่า ' อย่าทิ้งชั้นไป ' แต่ขืนผมพูดออกมาละก็ยัยนี่ได้วีนแตกแหงๆ " ฮึ...นายนี่มันเกินเยียวยาจริงๆด้วยสินะ" เธอตอบผมด้วยน้ำเสียงที่แปลกออกไปพลางแกล้งมองไปนอกหน้าต่างราวกับจะปกปิดความรู้สึกอย่างนั้นแหละ จนเวลาผ่านไปโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนขับบอกว่าถึงที่หมายแล้วเท่านั้นแต่ว่า....ไอ้คฤหาสถ์นี่มันอะไรกัน !? ถนนหนทางรอบๆเปลี่ยนไปพอสมควรแต่จุดยืนยันในแผนที่ก็ไม่ผิดเพี้ยนบ้านเลขที่ก็ถูกต้องแต่ไอ้ที่อยู่ตรงหน้าผมมันควรจะเป็นบ้านเช่าราคาถูกติดสลัมซึ่งไม่มีใครมาสนใจไม่ใช่เหรอแล้วนี่มันโผล่มาได้ยังไง ? เอะอะตอนนี้ไปก็ใช่ที่ผมรอจนรถที่มาส่งลับตาไปแล้วก็เดินเข้าประตูคฤหาสถ์ไป " เล่นตลกอะไรอีกละคราวนี้ ? " ผมถาม " ไม่เลยตรงนี้เคยเป็นบ้านเช่าของนายจริงๆ แต่มันซ่อมซ่อเกินไปก็เลยต้องปรับปรุงเสียหน่อย " เธอตอบด้วยเสียงอันราบเรียบอีกแล้ว แถมยังเดินตรงเข้าไปเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองแล้วซะอีก นับจากเวลาที่ผมออกจากบ้านก็ราวๆ หกโมงเช้า กลับมาถึงก็เลยเที่ยงคืนไปหน่อย นี่เผลอๆคือเธอวางแผนให้ผมออกมาจากบ้านจะได้จัดการทุกอย่างได้สะดวกงั้นสิ ? นี่มันจะเกินขอบเขตไปแล้วนะ ไม่สิไอ้ท่าทางน่ารักๆเมื่อกี้หายไปไหนแล้วไหงกลับกลายเป็นเยื่อหยิ่งจองหองแบบเดิมเหมือนกับเมื่อวานซะงั้น แถมสายตาที่บ่งบอกถึงชัยชนะนี่มันอะไรกัน ? ยัยนี่เองเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไรก็ชิงหันกลับมาก่อน " ไอริส ...." " ว่าไงนะ ? " " ชื่อของชั้น ไอริส ... เลิกเรียกยัยเด็กนี่ซะที ตาทึ่ม " เธอพูดขึ้นก่อนจะวิ่งหนีเข้าคฤหาสถ์ไป " ไอริส งั้นเหรอ... ? ชื่อดอกไม้ที่มีความหมายของ Complement(คำชมเชย) Wisdom(ความฉลาดเฉลียด) Faith(ความเชื่อมัน) และ Hope (ความหวัง) ในดอกเดียวแถมในภาษาดอกไม้ยังเป็นประโยคที่ว่า มีเรื่องที่จะบอกคุณ ช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับยัยนี่จริงๆแต่เดี๋ยวสิแล้วไอ้ที่ถามไว้ตะกี้ละ..... " ผมอุทานขึ้น หลังจากรู้สึกตัวว่าเผลอตะลึงไปกับชื่อของเธอเมื่อครู่ นี่ชีวิตผมจะถูกปั่นหัวไปอีกที่รอบกันถ้าเป็นฝันละก็ผมขอตื่นตอนนี้เลยได้มั้ยเนี่ย !!!!
ส่วนตัวว่าคำบรรยายดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติซักเท่าไหร่เพราะไปเน้นที่การอธิบายรายละเอียดรอบข้างมากเกินไป ประกอบกับยัดอีเวนท์เข้ามามากเกินไปในช่วงไม่กี่ย่อหน้าเลยทำให้เนื้อเรื่องดูรีบเร่งไปมากน่ะฮะ ส่วนรูปถ้าวาดเป็นภาพที่ทำให้เห็นสภาพการณ์โดยรอบ (สำหรับบางฉากเหตุการณ์ เช่น ตอนนางเอกหล่นมาทับพระเอก, ตอนวิ่งหนีซอมบี้ขายตรงกับน้ำท่วม) จะน่าสนใจกว่านี้นะ อย่างตอนสองคนเดินห้างกันเนี่ยโอเคเลยเพราะมันทำให้ได้เห็นท่าทางการแสดงออกของตัวละครบ้าง ทำให้คนเห็นได้เห็นรายละเอียดมากไปกว่าการวาดภาพโฟกัสแค่ตัวละครเฉยๆน่ะครับ
ตามที่คอมเม้นข้างต้นว่าไป อย่าง "อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นในภาพ" หรือ "นิยายเรื่องนี้จงใจอ้างอิงถึงประเทศและเหตุการณ์ที่มีอยู่จริง ถ้าไปกระทบกับบุคคลท่านใด คนแต่งและผู้อื่นขอยืนยันว่า เป็นแค่เรื่องที่จงใจอย่างบังเอิญเท่านั้น"
Possibility 3 Maid Panic ! กับ การถูกจู่โจมอย่างไม่คาดคิด แสงแดดอ่อนๆเล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกผมอย่างเป็นมิตร จนอดคิดไม่ได้ว่าเช้าที่สดใสแบบนี้น่าจะมีเรื่องอะไรดีๆรออยู่ ถึงแม้นาฬิกาปลุกจะยังไม่ส่งเสียงเตือนให้ถึงเวลาก็ตาม ทว่าความนุ่มสบายของเตียงก็มีอำนาจแรงดึงดูดที่ชักจูงให้นอนต่อได้ไม่แพ้กัน ช่างเป็นยามเช้าที่ดีจริงๆ..... ระหว่างที่ความรู้สึกสองอย่างกำลังต่อสู้กันอยู่นั้นเองผมก็รู้สึกว่ามีเสียงเรียกที่ไม่คิดว่าจะได้ยินดังขึ้น " อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ นายท่าน !!! " เสียงปลุกที่อ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างไม่คุ้นหู แว่วมาในขณะที่เปลือกตาของผมยังไม่เปิดไม่สนิท ภาพรางๆของหญิงสาวในชุดเมดปรากฏขึ้นข้างๆเตียงราวกับเป็นความฝัน แต่เมื่อได้ยินเสียงอีกครั้งสติทั้งหมดของผมก็ตื่นตัวขึ้นมาในทันที เจ้าของเสียงนั้นก็อยู่ข้างๆเตียงของผมนั่นแหละ!! เรือนร่างอันผอมบางกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ปล่อยยาวลงมากำลังพลิ้วไหวบ่งบอกถึงความกระฉับกระเฉง ใบหน้าเข้ากับทรงผมได้อย่างไม่มีที่ติกำลังส่งยิ้มให้และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหล่อนยังสวมชุดสาวใช้ (Maid Costume) เสียด้วย ! ผมซึ่งในสถาพที่กำลังไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันอยู่รึเปล่า จึงคิดได้ว่าในความฝันมันก็ไม่สวยหรูเท่านี้ และที่แน่ๆผมไม่ได้จ้างสาวใช้นี่หว่า !! แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าผมด้วยท่าทางยิ้มแย้มสุดๆนี่มันใครกันเนี่ย !! เดี๋ยวสิแล้วตัวผมในตอนนี้ซึ่งสวมเสื้อยืดกับขาสั้นที่ไม่น่าดูเอาเสียเลยแต่กำลังถูกมองจากด้านข้างโดยคุณเมดเนี่ยนะ แถมหล่อนยังไม่มีทีท่าอย่างอื่นนอกจากยิ้มแย้มเสียด้วย ว่าแต่มองมาแบบนี้ใครน่าจะเป็นฝ่ายอายกันแน่ " จะเปลี่ยนชุดก่อนหรือจะให้จุมพิตรับอรุณก่อนดีคะ ? " คุณสาวใช้พูดต่ออย่างไม่มีอาการติดขัด ใช่แล้วหล่อนพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างงั้นแหละ " ผมขอเปลี่ยนชุดก่อนละก ................เฮ้ยไม่ใช่แล้วว้อย !!! " ในที่สุดสติของผมก็กลับมาครบพอที่จะโยนคุณสาวใช้ออกไปนอกห้องได้สำเร็จ แม้จะตามมาด้วยการได้ยินเสียงตัดพ้อเล็กน้อยแต่พองาม แต่ถ้าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วละก็ขืนปล่อยไปคงเกิดเรื่องไม่เข้าท่าอีกแน่ ในใจผมก็คิดว่าเกือบไปแล้วสิ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มกับเสียงหวานๆนั่นทำให้ผมเกือบจะลืมไปเลยว่าชีวิตบ้าๆของผมไม่มีทางเรียบง่ายแบบนี้แน่นอน ส่วนสภาพห้องจะแปลกตาไปบ้างแต่ทุกอย่างก็แทบจะจัดเรียงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างออกไปก็คือคุณภาพของเครื่องเรือนที่เปลี่ยนจากของถูกๆกลายมาเป็นเครื่องเรือนระดับพรีเมี่ยมที่ไม่เคยคิดจะซื้อแม้แต่น้อย เมื่อวานที่ผมไม่อยู่นั้นบ้านเช่าราคาถูกติดสลัมทั้งหลังถูกเปลี่ยนจากบ้านและสลัมรอบข้างกลายเป็นคฤหาสถ์สุดหรูในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง นี่ถ้าเอาไปแข่งต่อบ้านคงจะอยู่ในอันดับต้นๆแหงๆแต่ยัยเด็กนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงเรื่องนี้จะน่าแปลกใจน้อยไปกว่าเข็มขัดแปลงร่างก็ตามทีแต่เล่นเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นเขาโดยไม่บอกก่อนเนี่ยวันนี้คงต้องนั่งคุยให้รู้เรื่องกันซะทีแต่แล้วงานล่ะ ? เมื่อวานก็เล่นโดดงานโดยไม่แจ้งไม่ติดต่อเลยด้วยซ้ำแบบนี้จะโดนรายงานไหมเนี่ยให้ตายสิ " นายท่าน คุณหนูไอรออยู่ที่ห้องโถงค่ะ " เสียงของสาวใช้ดังขึ้นหลังจากหล่อนเคาะประตูเรียกผม ให้ตายสิยังกับรู้ทันเลยนะว่าแต่ผมไม่ใช่นายท่านซะหน่อยแต่จะให้มาเถียงตอนนี้ก็ใช่ที่เดี๋ยวต้องรีบไปทำงานอีกแต่วันนี้ตื่นมาเช้ากว่าปรกติตั้งเยอะปัญหาที่ผมคาใจอีกเรื่องกลับกลายเป็นว่าบ้านไม่คุ้นแบบนี้จะทำอาหารเช้ายังไงดี .... .............................. .................. ........ ณ ห้องโถง ยัยเด็กตัวแสบกำลังจิบชาแกล้มคุกกี้อยู่ " อรุณสวัสดิ์ .... นั่งสิ " ไอริสกล่าวทักทายแบบเป็นพิธี ก่อนที่เธอจะหันไปสนใจกับคุกกี้น่ารักๆบนโต๊ะ ดูแบบนี้แล้วก็สมวัยดีแฮะผมคิดไปพลางเรียบเรียงเรื่องในหัวไป พลางมองเผลอมองไปที่ยัยตัวแสบซึ่งกำลังสั่งอะไรซักอย่างกับเมดอยู่ และผมก็นึกขึ้นมาได้จึงชิงลงมือถามซะที " เดี๋ยวสิ แล้วสรุปนี่มันเกิดอะไรกันขึ้นทำไมบ้านของผมกลายเป็นคฤหาสถ์ไปได้ ? แล้วเมดนั่น ? " " ก็ในเมื่อนายจะให้ชั้นมาอยู่ด้วยแล้วนี่จะให้อยู่กระท่อมโกโรโกโสต่อไปยังไงละ ? แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน โฉนดหรือว่าเอกสารทางการต่างๆหรอกนะ วุลแฟรมจัดการให้หมดแล้วละ " ไอริสตอบด้วยเสียงเรียบๆ ก็จริงอยู่เรื่องบอกว่าอย่าหายไปไหนอีกแต่กลับกลายเป็นว่าผมขอให้เธอมาอยู่ด้วยเลยเรอะ ? ไม่สินี่มันเข้ามายึดครองชัดๆแล้วนี่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดมีใครมาเยี่ยมบ้านจะทำไงเนี่ย ? ลำพังบ้านหรูอย่างดีก็คงโดนสงสัยว่าร่ำรวยผิดปรกติหรืออะไรทำนองนี้แต่ผมไม่ได้เล่นการเมืองคงไม่เท่าไหร่แต่เล่นมียัยคุณหนูกับเมดอยู่ด้วยเนี่ยมันชักจะยังไงๆแล้ว ไม่สิปัญหาต่อมาคือทำไมตะกี้ผมถูกเมดเรียกว่านายท่านกัน ? มุข ? นี่คงไม่ใช่ว่าจัดการเรื่องเอกสารไปถึงขั้น.......ไปแล้วหรอกนะ ? ขณะที่ผมกำลังพยายามรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้นเองไอริสก็เดินเข้ามาใกล้ผมเสียแล้วพลางชี้นิ้วมาที่ผมพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉยแบบเดิมอีกแล้ว " ส่วนนายก็เป็นคนรับใช้ของชั้นยังไงละ !!! " " หา..!? " ผมอุทานขึ้น คนรับใช้เลยเรอะไหงอยู่ๆลดระดับกันดื้อๆแบบนี้ละ ? ไม่สิอยู่ๆมาชี้นิ้วบงการชีวิตของคนอื่นแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ยัยเด็กนี่ได้รับการอบรมแบบไหนมากันเนี่ยพอได้ทีนี่มาเป็นชุดเลยทีเมื่อวานยังทำตัวน่ารักจนผมใจไม่อยู่กับตัวอยู่เลย แต่ดูตอนนี้สิทำหน้ามุ่ยๆเหมือนจะโกรธอีกแล้วแถมยังพูดห้วนๆเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกอีกนี่มันเด็กคนเดียวกันแน่เหรอทำไมเปลี่ยนไปมาได้แบบนี้ " มองแบบนี้ไม่พอใจรึไง ? " ไอริสตอบกลับ แต่ไม่ทันไรคุณเมดก็แว่บมาห้ามทัพได้ทันก่อนที่ผมจะโมโห " แหมคุณหนูนี่ละก็อายไปได้ แต่ก็เพราะถูกคุณโคลท์จ้องซะไม่กระพริบแบบนั้นนี่นา ? " คุณเมดพูดขึ้น " ด..เดี๋ยวสิ ผมเนี่ยนะจ้องยัยเด็กนี่แบบตาไม่กระพริบ ?" ผมตอบไปทั้งๆที่ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันแต่ตะกี้สาวใช้นั่นเรียกชื่อผมด้วย .... เอาละสิตกลงมันยังไงแน่ ? " เพื่อจะได้รับใช้ได้อย่างไม่ขาดตอนชั้นศึกษาข้อมูลของคุณโคลท์มาเรียบร้อยแล้วค่ะ แบบถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว ไม่เชื่อแล้วละก็ชั้นก็จะสาธยายให้ฟังเป็นตัวอย่างนะคะ " คุณเมดเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยม ! " คอลเลคชั่นหนังสือลับของคุณโคลท์ เป็นสาวน้อยผมบลอนด์ในชุดว่ายน้ำ มิโกะสาวกับพิธีนุ่งน้อยห่มน้อย สาวฮิเมะคัทในชุดเมด แล้วก็ยังหนุ่มน้อยหน้าสวยกับกางเกงรัดรูปไม่ใช่เหรอคะ ไม่ต้องทำเป็นอายหรอกในเมื่อตอนย้ายของน่ะชั้นเป็นคนจัดเก็บทุกอย่างเองค่ะรับรองไม่มีหายหรือตกหล่นซักเล่ม แถมเพราะทำงานในหน่วยงานเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์คุณเลยเลือกที่จะซื้อเป็นแบบเล่มมากว่าเพราะสามารถซื้อได้ด้วยเงินสด และไม่สามารถระบุหลักฐานการซื้อขายได้ค่ะ ! " คุณเมดตอบหน้าตายโดยไม่สนใจเลยว่าคนที่ฟังอยู่ไม่ได้มีแค่ผมซะหน่อย....แบบนี้รสนิยมผมก็โดนรู้หมดนะสิ แต่เดี๋ยว ไอ้อันหลังมันไม่ใช่แล้ว อย่าถือโอกาสใส่ไข่มาสิเฟ้ย ไม่ทันที่ผมพูดแก้ตัวคุณเมดก็ฉวยจังหวะกระแซะเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบว่า " ไม่ต้องห่วงนะเรื่องโอกาสน่ะชั้นจัดเตรียมให้ได้เสมอเลยค่า ขอให้บอกมาคำเดียวพอ" " โอกาสอะไรกัน .... จะหาเรื่องให้ผมเข้าคุกเรอะ? " ผมตบมุขคืนแล้วหันไปทางไอริส คราวนี้ยัยคุณหนูดันเข้าใจมุขเสื่อมๆนี่แถมทำหน้าแดงแป๊ดอีก แถมยังหันหน้าหนีต่างหาก คนที่ควรจะอายมันเป็นผมมากกว่าไม่ใช่รึไง ? " นายนี่มันโรคจิตจริงๆด้วย .......... " ไอริสพูดทับถมโดยไม่กลับมามองผม นี่มันอะไรกัน ผมกลายเป็นแบบนี้ในสายตาของสองคนนี่ไปแล้วเรอะ ชักคิดผิดซะแล้วสิที่ปล่อยให้คนพวกนี้เข้ามาในชีวิตผม ไอ้การเป็นฮีโร่พิทักษ์ธรรมน่ะพอไหวแต่กลายเป็นคนโรคจิตนี่มัน ......... " . ... . . . . . " ไอริสเหมือนจะพึมพัมอะไรซักอย่างที่ผมไม่ค่อยอยากจะเดาต่อเท่าไหร่ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นซะหน่อยนี่ก็ได้เวลาไปทำงานแล้วด้วย ในเมื่อยัยเด็กนี่มีพี่เลี้ยง(?)แล้ว ผมไปทำงานเลยดีกว่าดูท่าการทะเลาะกันต่อคงจะไม่จบแหงๆ เสียงเตือนจากมือถือของผมก็ดังเตือนให้รู้ว่าต้องละเลยอาหารเช้ามิ้อนี้แล้วรีบไปเคลียร์งานค้างดีกว่า ถึงจะดูเหมือนไม่มีก็เหอะแต่ถ้าไม่เสนอหน้าไปสองวันติดคงจะผิดปรกติแน่ๆและผมก็ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้ " ฟังอยู่รึเปล่านายทึ่ม ?? " ไอริสพูดต่อโดยที่เหมือนเธอจะสังเกตเห็นว่าผมทำเหมือนกับไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไหร่เอาแต่ตบมุขกับคุณเมด แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ไม่สนใจหรอกแต่มันปรับตัวไม่ทัน เอาว่าขอหนีไปตั้งหลักก่อนดีกว่าเจอเรื่องแบบนี้แต่เช้าสุขภาพจิตพังหมด " แล้วเจอกันนะ คุณหนูไอ " ผมแกล้งเรียกแบบที่ได้ยินมาเมื่อกี้ แต่ดูเหมือนกับว่าเธอจะแสดงความไม่พอใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พลางเดินเข้ามาจับเข้าที่ชายเสื้อผมพร้อมกับใบหน้าที่แดงนิดๆเหมือนจะโกรธ " ไอริส ! ชื่อของชั้นจำให้ได้สินายงี่เง่า " เธอยังพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบแต่พออยู่ใกล้ๆแล้วผมก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติไป ถึงจะไม่เข้าใจนักแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคุณเมดถึงไม่เรียกชื่อเต็มของยัยนี่แต่ ไม่ทันจะถาม ร่างของไอริสก็ได้เอนเข้ามาหาผมและแนบเข้ามาชิดเหมือนกับคราวก่อน........... ยัยนี่ท่าจะใช้ลูกอ้อนอีกแล้วสินะ ? ไม่ได้ผลหรอกน่าคราวนี้ผมไม่หลงกลง่ายๆแล้วละ ! แต่ทำไมเหมือนผมจะได้ยินเสียงหายใจที่เหมือนจะติดขัดกันแถมตัวเธอก็ร้อนแปลกๆซะด้วย เห็นท่าไม่ดีแบบนี้ผมก็ย่อตัวลงมาประคองเธอไว้พร้อมกับช้อนตัวเธอไว้ในอ้อมแขน " ไอ ! นี่ล้อเล่นใช่มั้ย ยัยเด็กนี่ !" ผมชักใจไม่ดีละ ทำไมอยู่ๆอาการมันเฉียบพลันแบบนี้ " แหม แหม แหม !! เร่าร้อนกันแต่เช้าเลยนะเจ้าคะ " สาวใช้ผมน้ำตาลกลับเข้าใจไปอีกอย่างซะนี่ " ใช่ที่ไหนเล่า ! " " ยัยนี่ไม่สบายต่างหากตัวร้อนจี๋เลย ! เรียกรถพยาบาลที " ผมพูดกลับโดยไม่อยากเสียเวลาโดยใช่เหตุ .................................................... ณ โรงพยาบาลกลาง ซึ่งไม่นานนักที่จะมาถึง.... ความจริงแล้วผมไม่ค่อยอยากจะมาที่นี่ซักเท่าไหร่หรอก ก็ตั้งแต่มีระบบค่ารักษาราคาถูกด้วยระบบแต้มจากประกันสังคมที่บังคับใช้ในทุกโรงพยาบาลไม่ว่าเอกชนหรือรัฐต่างกันแค่จำนวนแต้มที่หักทำให้อัตราคนป่วยเพิ่มขึ้นจากเดิมในปริมาณสูงมากจนน่ากลัว เท่ากับว่าการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพจะน้อยลงไปด้วย ขืนแอดมิดแบบผู้ป่วยธรรมดาคงไม่ดีแน่ ผมตัดสินใจโชว์บัตรประจำตำแหน่งพร้อมวางเงินสด(ที่ดันพกติดมาด้วย)ประกันค่ารักษาไว้ก่อนเลย แค่นี้เรื่องก็เดินเร็วราวกับเชคอินเข้าโรงแรมวีไอพี ถึงจะรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างแต่ถ้ายัยนี่เป็นอะไรไปละก็ .... ไม่นานนักที่การตรวจจะเสร็จสิ้น ด้วยเหตุผลนิดหน่อยทำให้ไอริสได้ห้องเดี่ยวสุดทางเดินที่ไม่ค่อยจะมีคนใด้ใช้นัก ผมเองก็คิดว่าเป็นการดีเสียอีกที่จะได้ห้องเงียบๆคนเดียวไร้คนกวน หลับสบายหายเร็วๆเนี่ยดีที่สุดแล้วละถ้าไม่ยึดติดกับข่าวลือว่ามีเหตุการณ์หนึ่งเคยเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน " วิญญาณคนที่ป่วยตายเพราะห่วงแต่ว่าจะฟ้องโรงบาลยังไงให้ไม่ต้องจ่ายค่ารักษา จนไม่เป็นอันพักผ่อนและเสียชีวิตลงในที่สุด และเมื่อเขาตายไปแล้ววิญญาณก็ยังเดินวนเวียนหาผู้ป่วยที่ไม่ยอมดูแลสุขภาพตัวเองแล้วก็จะลากไปอยู่ด้วยกัน !!! " เสียงที่แหลมขึ้นของคุณพยาบาลดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้ยัยเด็กตัวแสบนี่กลัวได้ ซึ่งจะว่าไปการที่เห็นตัวประหลาดบนถนนสองวันติดทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าถ้าเจอผีจริงๆยังจะกลัวไหม ? ไอริสที่ทำหน้านิ่งเงียบแถมว่าง่ายตามคำสั่งคุณหมอและพยาบาลเสียอีกที่ผมแปลกใจกว่า ทีแรกผมนึกว่าเธอจะอาละวาดกว่านี้เสียอีก แม้แต่ตอนที่คุณหมอฉีดยาก็ไม่ร้องซักแอะ "คุณพี่ชาย ช่วยออกไปเดินเล่นแปปนึงได้ไหมคะ ? " พยาบาลสาวเอ่ยขึ้น " ครับ ? " ผมทำหน้างงๆเพราะนึกไม่ออกว่าหล่อนจะมามุขไหน " จะเปลี่ยนชุดให้คนไข้กับเช็ดตัวน่ะค่ะ สงสัยน้องสาวคุณจะอายเลยทำเงียบเชียว ! " หา..ยัยเด็กนี่หาบอกว่าผมเป็นพี่อีกแล้วเรอะ ? ไม่สิเป็นพี่แหละดีแล้วเดี๋ยวจะพาซวยทางที่ดีรีบชิ่งออกไปเดินเล่นก่อนท่าจะเป็นการเข้าท่ากว่า ... ผมไม่รอช้า หันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องด้วยมาดที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยก่อนจะหลุดฟอร์ม " F-404 ... ให้ตายสิ เบอร์ห้องตลกดีชะมัดเลย " ผมบ่นพลางสังเกตรอบข้างไปพลาง จริงอยู่ที่การจะได้ห้องเดี่ยวในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะมันจะถูกสำรองไว้ให้คนใหญ่ๆโตๆมากกว่า ส่วนห้องนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้มานานมาก นานถึงขนาดที่ว่าพยาบาลเองยังลืมว่ามีห้องนี้อยู่ด้วยเลย ! พอนึกถึงไอ้เรื่องที่ฟังเมื่อกี้แล้วชวนให้คิดว่าเป็นห้องของคนไข้ในข่าวลือนั่นยังไงก็ไม่รู้สิ รู้ตัวอีกทีผมก็เดินดุ่มๆมาถึงตรงไหนของโรงพยาบาลแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน ป้ายบอกทางที่เยอะผิดปรกติของแผนกที่เพิ่มขึ้นเหมือนเขาวงกตจริงๆไม่ว่าโรงพยาบาลไหนสิ่งที่มีเหมือนกันก็คือคนป่วย คนรักษา แล้ว ก็คนมาเยี่ยมแค่นี้ไม่เพียงพอหรอกเหรอ ? วันคืนในอดีตถูกรำลึกเข้ามาในห้วงความคิดของผมราวกับฉายหนัง.............. ครั้งเมื่อผมยังเป็นเด็กและไม่ได้อยู่ในชนชั้นอันถูกเรียกว่าเซเลป... การไปโรงพยาบาลไม่ต่างอะไรกับถูกพิพากษา ใบหน้าอันเคร่งเครียดของแพทย์ผู้อ่านใบรายงานจากการตรวจแล้วจึงประกาศโทษทัณฑ์ ชื่อของโรคที่ป่วยมิต่างกับผลคำพิพากษา คนที่ป่วยถูกลากไปยังห้องถัดไปในการ 'ทำตามขั้นตอน' ให้เร็วที่สุด เหล่าเจ้าหน้าที่มีสีหน้าเรียบเฉยราวกับผู้คุมนักโทษ พวกเขาเพียงแค่ย้าย 'ผู้ป่วย' ไปยังการปฏิบัติการขั้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผ่านเครื่องแสกน เจาะตัวอย่างเลือด หรือว่าการให้ยาก็ตามที ทุกอย่างถูกทำไปโดยหน้าที่เพราะต้องแยก รายละเอียดของโรค ความถนัดทางการแพทย์ และชนิดของประกันสุขภาพ เพื่อให้ยากต่อการถูกฟ้อง ผ่านขั้นตอน ....รายงานผล....ผ่านขั้นตอน ...รายงานผล......... หลังจากนรกของการ'ทำตามขั้นตอนเสร็จสิ้น' นักโทษก็ถูกย้ายไปยังที่คุมขัง พร้อมกับการถูกอธิบายกฏระเบียบในเรือนจำแห่งใหม่และเวลาที่จะได้ออก วันหนึ่งๆก็จะได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานและปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฏหมายทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่มีใครพูดอะไรที่เกินความจำเป็น... ทุกคนกลัวการถูกฟ้อง.... ทุกคนจึงทำตามหน้าที่ซึ่งถูกกำหนด และรอให้ทุกอย่างผ่านไป..... นั่นคือสายใยระหว่างผู้ป่วยกับโรงพยาบาล .......................................................... เวลาผ่านไปหลายปี วิถีชีวิตแบบเคร่งเครียดของสถานพยาบาลถูกกำจัดไปด้วยการแทนที่ของเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ความไว้ใจถูกฝากเอาไว้กับเครื่องมือมากกว่าบุคคลเสียอีก ก็ในเมื่อมันไม่เหนื่อยไม่บ่นไม่ต้องให้ใครมาเห็นใจ ไม่ต้องไปกลับ ทำงานไปตามสเปคที่กำหนด เหตุผลเดียวที่โรงพยาบาลยังมีคนทำงานอยู่ด้วยกลับกลายเป็นส่วนประกอบทางด้านเยียวยาจิตใจเสียมากกว่าไปแล้ว ทุกฝ่ายควรจะดีใจ ไม่ต้องห้ำหั่นใส่กันเหมือนในอดีตสิ่งที่จะการันตีผลสำเร็จของการรักษาถูกย้ายไปยังมาตรฐานของเครื่องมือในการรักษาซึ่งก็แล้วแต่ฐานันดรของแต่ละคน ยุติธรรมดีว่ามั้ย ??? " อ๊ากกกกกกก !!!! " " ปวดดดดด !!!" " ทรรรรมาณณณณณณณณ !!!!!! " เสียงร้องอันโหยหวนเรียกผมจากภาพย้อนในอดีตให้กลับมาสู่ปัจจุบันและมันดังมาจากมุมมืดของชั้นใต้ดิน! เสียงร้องดังขึ้นเป็นระยะ เป็นระยะ.... แต่ทิศทางของเสียงร้องกลับไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมน่ะเหรอ ? เพราะปลายทางที่ป้ายบอกเขียนไว้คือห้องดับจิตแล้วมันจะมีเสียงร้องแปลกๆมาได้ยังไง ? ผมเคยได้ยินว่าพวกที่ชอบการแต่งตัวเลียนแบบการ์ตูนหรือที่เรียกกันว่า ' คอสเพลย์ ' บางส่วนมักจะชอบหาที่แปลกๆมาเป็นพื้นหลังของการแต่งตัวเพื่อให้เด่นขึ้นไปในสายตาคนดู แถมพวกนี้ยังเล่นบ้าๆไม่เลือกสถานที่อีก มีหลายครั้งที่คนพวกนี้ทำตัวถึงขนาดก่อความเดือดร้อนให้คนรอบข้างจนสื่อเอาไปประโคมข่าว แต่นี่มันโรงพยาบาลนะ ? ไม่น่าจะปล่อยให้พวกนี้เข้ามาได้ง่ายๆหรอกมั้ง ? ถึงจะเคยได้ยินว่าเคยมีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นแต่มันก็ไม่น่าจะถ่อมาถึงชั้นใต้ดินแบบนี้แน่ๆ ! ยิ่งใกล้เสียงที่ได้ยินก็ยิ่งชัด ความแตกต่างของเสียงทำให้ผมรู้ว่ามีมากกว่าหนึ่งที่กำลังร้องโหยหวนด้วยความทรมาณ บางทีผมอาจจะอยู่ใกล้กับสิ่งที่เรียกว่าประตูนรกจริงๆก็ได้ .... ในเมื่อผมเพิ่งเดินผ่านป้ายห้องเก็บศพมาตะกี้นี้เองและผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองก็พบเจ้าพวกซอมบี้ขายตรงกับพวกโอตากร๊วกนั่นกำลังนอนโอดโอยราวกับผู้ป่วยอนาถาเรียงรายกันอยู่หลายสิบเตียง นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ดูจากสภาพห้องแล้วท่าทางประกันที่พวกมันทำแล้วขายกันเองจะมีคุณภาพห่วยจริงๆไม่ก็คงรบกวนผู้ป่วยคนอื่นจนต้องอัปเปหิมาไว้ตรงนี้ แม้ไอ้ตัวหัวหน้าก็นอนหงิกอยู่มุมห้องสมใจอยาก ถึงขนาดต้องใช้พื้นที่ของห้องเก็บศพเนี่ยโรงพยาบาลคงอยากเอาพวกมันไปทิ้งแล้วแหงๆเลยสิให้ตายสิ...... ไม่แน่อาจจะสะดวกดีก็ได้พวกขยะสังคมพวกนี้น่าจะจับมันยัดตู้แช่ไปเลยด้วยซ้ำ ผมคิด และตอนที่ผมไม่ทันระวังตัวนั้นเอง มือใหญ่ๆก็วางประทับลงบนไหล่ผมอย่างไม่ทันตั้งตัว...... " มาเยี่ยมผู้ป่วยเหรอ ? " ชายในเสื้อกาวน์ผมขึ้น " เปล่าครับผมหลงทาง จะกลับไปที่แผนกผู้ป่วยเด็กไปทางไหนครับ ?" ผมตอบกลับด้วยความตกใจ ก็หน้าหมอนี่มันเหมือนแฟรงเก้นสไตน์ไม่มีผิด... " เดินไปตามเส้นสีเขียว แล้วหักไปเส้นสีแดง หลังจากนั้นก็........ เส้นไหนวะ .... " " อ้าวเฮ้ย คุณเป็นหมอในโรงบาลไม่ใช่เรอะทำไมงงเองล่ะ ? " เอาแล้วไงผมเจออะไรเข้าเนี่ย " เปล่าผมเป็นยาม นี่เดี๋ยวจะไปซดมาม่าแล้วเขียนรายงานต่อแล้ว " ชายในร่างใหญ่เกาหัว แล้วจะมันใส่เสื้อกาวน์ทำไมเนี่ย ? สรุปไอ้พวกบ้าๆพวกนี้ก็ยังมีหลงเหลือสินะ .......... .................................... .................... กลับมาที่ห้อง F - 404 ไอริสมองผมด้วยสายตาเย็นชาอีกแล้ว .... ดูเหมือนว่าเธอจะตื่นขึ้นมาเพราะเขาให้ทานอาหารเย็นเร็วกว่าเวลาปรกตินิดหน่อย และผมเดาว่าเธอคงไม่พอใจนักที่ต้องอยู่ห้องเงียบๆเหงาๆนี่คนเดียว แถมผมไปเดิน(หลงทาง)เล่นมา ก็ไม่มีของฝากติดมือซักอย่าง... " อาการเป็นไงบ้าง " ผมพยายามทำลายความเงียบ " ฮึ.... " ไอริสทำเสียงขุ่นๆพร้อมกับเมินหน้าหนี " เหงาเหรอ " ผมยังไม่ยอมแพ้ เธอส่ายหัวเป็นคำตอบ ........ โอ้ย....ยัยนี่ ตอนอยู่บ้านละก็พูดเป็นปืนกลเลยนะ พอมาอยู่ข้างนอกทำเป็นโหมดเงียบ เป็นคนป่วยน่ะงอนให้มันน้อยๆหน่อยสิ " คุยกับคุณหมอแล้วนะเป็นแค่หวัดธรรมดา พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะ ดีใจมั้ย " ผมพยายามเปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ทันคิดว่ามันจะเป็นประโยคฆ่าตัวตาย ....... ใช่พรุ่งนี้ แต่คืนนี้ละ ? ใครจะอยู่เฝ้ายัยนี่ ? ขืนโทรกลับบ้านแล้วเรียกยัยเมดนั่นมามีหวังมาทั้งๆชุดเมดแหงๆ ดีไม่ดีจะมีคนไข้หัวใจวายเพิ่มขึ้นเปล่าๆ จะทิ้งไว้คนเดียวก็ใช่ที่ แถมนั่นไงสายตาที่จ้องมองมานั่นอีกแล้ว อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ จะบีบบังคับทางสายตาให้ผมออกปากว่าจะอยู่เฝ้าใช่มั้ย ?? ผมไม่มีทางเลือก .... หลังจากไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีผมจึงต้องลงไปนั่งบนโซฟาอย่างช่วยไม่ได้ ตอนแรกว่าจะเปิดทีวีซักหน่อยแต่คิดอีกทีมันเป็นการรบกวนผู้ป่วยเปล่าๆ จริงๆได้นั่งเอกเขนกเฉยๆผมไม่มีปัญหาหรอก ถ้าไม่ใช่มีสายตาที่มองตามผมทุกฝีก้าวแบบนี้ ...... ยัยเด็กนี่ไม่ว่าผมจะเดินไปตรงไหนของห้องก็จ้องมองผมอยู่ตลอด " เป็นคนป่วยก็ทำตัวให้สมเป็นคนป่วยหน่อยสิ " ผมพูดขึ้น " นายนี่เรื่องมากจัง " ไอริสย้อนให้ ส่วนผมคิดในใจว่า เอาล่ะอย่างน้อยก็ไม่เงียบแล้ว ! " เพราะใครกันล่ะ ? " ผมเริ่มเถียง " เพราะนายนะสิ " เธอโต้กลับ แต่ไม่ทันจะได้ทะเลาะกันต่อเสียงฟ้าผ่าก็ฟาดลงมา มันแรงจนกระทั่งไฟขาดไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว แถมยังกระหน่ำตามด้วยสายฟ้าย่อยๆอีกเป็นระยะ ผมเองน่ะไม่เท่าไหร่แค่ไม่ชอบเสียงดังๆเท่านั้นแต่ว่า...เจ้าก้อนผ้าห่มกลมๆบนเตียงผู้ป่วยนั่นมันอะไรกัน ? ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆพร้อมกับเอามือตบลงบนผ้าห่มเบาๆ และนั่นเองใบหน้าเล็กๆที่ทำหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ก็โผล่ออกมา .... " อย่าบอกนะว่าเธอกลัวฟ้าผ่าน่ะ ไอ " " มะ...ไม่กลัว " ' เปรี้ยง !!' เสียงสายฟ้ายังคงกระหน่ำพร้อมกับสายฝนที่เย็นเฉียบ ไฟที่ดับลงอีกครั้งน่าจะเพราะฟ้าผ่าแรงจนไฟลัดวงจรแหงๆ แม้ว่าไฟสำรองจะทำงานได้อย่างไม่บกพร่องแต่กับห้องผู้ป่วยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พยุงชีพใดๆจึงเหลือแค่ไฟฉุกเฉินที่ทำงาน ส่วนไอความหนาวที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างมาได้ทำเอายะเยือกเหมือนกัน ส่งผลให้ไอริสเข้าไปซุกในผ้าห่มอีกครั้ง ต่อให้เธอปากแข็งแค่ไหนสิ่งที่แสดงออกก็รู้แล้วว่าไม่มีทางที่ยัยเด็กนี่จะไม่กลัวฟ้าผ่า เสียงสะอื้นเล็กๆลอดผ่านผ้าห่มให้ผมได้ยินแผ่วๆ ผมจึงตัดสินใจกระซิบลงไปเบาๆ " ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้แล้วไง " ผมพูดขึ้น และมันก็ได้ผล .. เธอยอมโผล่หน้าออกมา " เดี๋ยวนายก็หายไปอีก ! " ไอริสยังคงตอบเหมือนกับจะร้องไห้ " ผมจะอยู่ข้างๆเธอและไม่หนีไปไหนหรอก เชื่อผมสิสัญญาเลยเอ้า " ผมตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งแต่ดูเหมือนกับว่าผมจะเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของเธอนิดๆ แบบนี้แล้วละก็ต้องรีบคุยต่อให้เธอสบายใจเร็วๆ " คิดว่า คุณเมดจะเป็นห่วงเรามั้ย ? " ผมถามต่อ " ฟีโอเร่น่ะเหรอ ? ป่านนี้คงนั่งดูหนังผีสบายใจเฉิบแล้วละ" ไอริสแขวะให้ทันควัน " อ้าวผมนึกว่าคุณเมดชื่อวุลแฟรมเสียอีกเห็นเธอพูดชื่อนี้ขึ้นมา " " วุลแฟรมเป็นพ่อบ้าน " พ่อบ้านภาษาอะไรฟะไม่เคยเห็นหัวเลย ...แต่เอาเหอะ ถ้าชวนคุยไปเรื่อยๆเธอคงไม่คิดถึงเรื่องฟ้าผ่ามั้งทางที่ดีคุยต่ออย่าหยุดดีกว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นก้อนกลมๆอีก พายุที่แอบสงบลงพร้อมๆกับไฟที่กลับมาเรียกเอาโหมดเงียบของไอริสเข้ามาแทนที่ราวกับสับสวิทซ์ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้จะพยศน้อยลงแล้วละ เธอล้มตัวลงนอนอย่างง่ายดายราวกับยังอ่อนล้าอยู่ แต่คราวนี้ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆที่ปลายมือ ..... ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก มือเล็กๆของยัยเด็กนี่จับมือของผมอยู่ ดูเหมือนว่าเธอยังไม่หายกลัวซักเท่าไหร่แต่ช่างเถอะ งีบบนเก้าอี้ซักคืนคงไม่ตายหรอกน่า อย่างน้อยใบหน้าที่หลับอย่างไร้กังวลนี่คงไม่ได้วางแผนอะไรไว้หรอก ผมคิด.... .................................... ณ คฤหาสถ์ คุณหนูไอริสกลับมาบ้านเรียบร้อย เธอเปลี่ยนเป็นโหมดคุณหนูปากร้ายเหมือนเดิม.... ทันทีที่กลับถึงคุณเมดก็เข้ามากอดไอริสเป็นการยกใหญ่ แม้เธอจะทำหน้าตาเหมือนกับไม่ชอบเท่าไหร่แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดออกมาได้จนกระทั่งโดนกอดเสียหนำใจ ผมเห็นแบบนี้แล้วก็โล่งใจทีเดียวว่าแม้จะเจอเรื่องราวที่ไม่คาดคิดแต่สุดท้ายการได้กลับมาบ้าน(ที่ไม่ค่อยจะเป็นของตัวเองเท่าไหร่แล้ว) เป็นเรื่องที่น่ายินดีกว่าที่คิดตอนนี้ผมก็ไม่ได้กลับมาอย่างหงอยเหงาอีกแล้วด้วยไหนจะมี ยัยคุณหนูที่ยังไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่กับคุณเมดที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยนัก แต่ทว่าผมกลับคิดผิดโดยสิ้นเชิง ...... เพราะเมื่อถึงมื้อเย็นในวันเดียวกัน " น่าเสียดายจังนึกว่าจะได้หุงข้าวแดงเสียแล้วสิ ไม่ใช่หรอกเหรอ ? " ฟีโอเร่พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แน่นอนว่าประโยคนั้นทำให้ผมทำช้อนร่วงจากมือเลยทีเดียว มาพูดอะไรแบบนี้ยัยเมดนี่ท่าทางจะไม่ใช่พวกฝันหวานไปวันๆซะแล้ว แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกจินตนาการสูงแบบแปลกๆสุดขั้วเลยละ จริงๆผมน่าจะรู้ตั้งแต่เห็นชุดเมดแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่ออกจะแปลกเกินไปหน่อยแล้วละ " แบบนี้คุณโคลท์ก็จัดเต็มได้เลยสินะคะ " เจ้าหล่อนยังคงหยอดมุขต่อพลางขยิบตาให้ผมต่างหาก คราวนี้ผมถึงกับสำลักอาหารเลยทีเดียว ดีว่าคว้าผ้ามาปิดปากได้ทัน..... " ไร้มารยาทจริง " ไอริสถือโอกาสซ้ำเติมทั้งๆที่ใบหน้าของเธอยังคงแดงๆอยู่ " แค่ก...โอย เพราะใครกันล่ะ นี่เธอไม่รู้จักสอนเมดของเธอให้รู้จักพูดในสิ่งที่ถูกกาละเทศะหน่อยรึไงคนอื่นได้ยินเข้าจะคิดยังไงกัน .... " ผมสวนขึ้น พลางนึกได้ว่าขาดงานโดยไม่ลาเป็นวันที่สามแล้วนี่หว่า แต่แล้ว..... " เออนายไม่ต้องไปที่กระทรวงแล้วนะ วุลแฟรมจัดการทำเรื่องพักราชการให้เรียบร้อยแล้วละไม่ต้องเป็นห่วง ทีนี้นายก็เป็นคนรับใช้ของชั้นโดยสมบูรณ์แล้ว ! " คำตอบของไอริสก็ทำให้ผมอึ้งกว่าเดิมอีก " เดี๋ยวสิผมไปตกลงใจลาออกจากงานเป็นคนรับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? " ผมถามกลับ แต่แล้วอุปกรณ์เล็กๆในมือของยัยคุณหนูตัวแสบก็ทำงานขึ้น..... ' ผมจะอยู่ข้างๆเธอและไม่หนีไปไหนหรอก เชื่อผมสิสัญญาเลยเอ้า ' นั่นมันคำพูดของผมตอนที่เฝ้าไข้เธอนี่หว่า ... เล่นอัดเอาไว้แต่ตรงนี้เลยเรอะ !! ขืนเป็นแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยนะนี่ ไม่สิคราวก่อนก็รูปถ่ายคราวนี้อัดเสียงยัยเด็กนี่จะแสบไม่เลือกเวลาไปหน่อยแล้ว ! แถมคุณเมดก็ทำหน้าราวกับกำลังดูช่วงไคลแม๊กซ์ของหนังรักอมตะอยู่ก็ไม่ปาน.... สรุปแล้วตอนนี้จากการจบนอกอย่างเลิศหรูกลายมาเป็นข้าราชการตกอับไม่พอสุดท้ายกลายมาเป็นคนรับใช้ให้ยัยเด็กแสบพรรค์นี้อีก ชีวิตผมจะมีอะไรตกต่ำไปกว่านี้มั้ยเนี่ย ! คุณพ่อคุณแม่ที่เคารพครับ ผมเดินทางผิดที่ตรงไหน ใครก็ได้บอกผมที !!!!!!!!! ................................................................. Character Profile 3 เมดประจำบ้าน ฟีโอเร่ คุณเมดผู้ยิ้มแย้มและปล่อยมุขได้อย่างหน้าตาเฉยแถมยังรู้ดีในหลายเรื่อง (?) ต่างหาก นอกจากจะอยู่ๆโผล่มาแล้วหล่อนยังมีความลับในใจที่รอจะบอกกับตัวเอกแต่ตอนนี้กำลังรวบรวมความกล้าอยู่ เห็นแบบนี้ฟีโอเร่ถนัดทำงานบ้านทุกชนิดแถมยังหูตาไว (?) และช่างสังเกตกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยนะ ภาพแถม : คุณหนูไอริสกับฟีโอเร่ในชุดเมด
ตอนนี้ภาพประกอบดูเข้ากับอีเวนท์ขึ้นมากกว่าตอนก่อนๆเยอะ เพราะเห็นปฏิกิริยากับการแสดงออกของตัวละครชัดเจนกว่าล่ะ >_< ปล. แต่ส่วนเนื้อเรื่องดูโล่งๆไปหน่อยคงเพราะไม่่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรเท่าไหร่นอกจากพานางเอกเข้า รพ. ล่ะมั้ง
ตอนนี้ focus ไปที่ความสัมพันธ์ของนางเอกกับตัวเอกครับ แล้วผ่อนคลายอารมณ์ด้วยตัวละครใหม่ พอเข้าตอนหน้าก็จะเริ่มเดินเนื้อเรื่องละ
Possibility 4 ถล่มโรงเรียนด้วยพลังเกรียนเทพ ! วันสองวันมานี่ยัยเด็กนั่นเหมือนจะทำตัวเงียบผิดปรกติและนั่นเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในฐานะของผู้ปกครอง-เจ้าบ้าน-คนรับใช้จำยอมและผู้พิทักษ์ธรรมจำเป็นที่ถูกปั่นรวมกันเละแล้วเอามายัดเยียดให้ผมเป็นอยู่ตอนนี้ แล้วก็นึกไม่ออกว่ายอมรับได้ตอนไหนเหมือนกัน เทียบกับแต่ก่อนแล้วก็เหมือนจะสงบสุขดีกว่าแต่ก่อน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องรับคำสั่งจากไอ้พวกหมูตอนที่นอนกินภาษีงานการไม่ทำแถมเอาแต่ปากพล่อยด่าฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไปวันๆ ผมคิดว่างั้น... ไอริสเป็นเด็กฉลาดที่ดูเหมือนจะมากเกินไปหน่อยสำหรับเด็กวัยเดียวกันเป็นเรื่องที่คาใจผมมาได้ซักพักแล้วเผลอๆแล้วจะมากไปกว่าเรื่องที่เข็มขัดที่ทำให้แปลงร่างได้นี่ซะอีก แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ... ผมรู้สึกว่ากำลังมองข้ามอะไรบางอย่างไปแน่ๆ ไม่นานนักหลังจากที่ผมเห็นข่าวเด็กเกือบทั้งประเทศสอบตกเอ็กซ์-เนท และนึกไปถึงตอนที่ต้องมาไล่เก็บข้อมูลของเหล่าเวปที่มีข้อมูลการวิจารณ์อย่างถึงพริกถึงขิงของการออกข้อสอบวัดระดับความรู้เด็กที่ออกโดยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้นั่งตำแหน่งกระทรวงศึกษาฯ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่การวิจารณ์ในทางที่สร้างชื่อเป็นแน่และนั่นเองทำให้คนส่วนหนึ่งตระหนักถึงความสิ้นหวังของระบบการศึกษาที่กำลังเริ่มต้นขึ้น....... " เอ แล้วถ้าเป็นอย่างไอริสจะมีปัญหากับข้อสอบพรรค์นี้ไหมหว่า " ผมคิดเล่นๆจนกระทั่งนึกออก ' โรงเรียน ! ' ยัยเด็กนั่นไม่ต้องไปโรงเรียนรึไงหว่า .... แต่เจอกันครั้งแรกเธอก็หนีมาราวกับว่าไม่มีที่ไปที่ไหนแล้วแบบนี้ยังจะต้องไปโรงเรียนหรือเปล่า ในเมื่อบ้านตอนนี้ก็กลายเป็นเซฟเฮาส์*กลายๆซะแล้ว ส่วนเอกสารบ้านกับที่ดินถูกโอนให้เป็นชื่อผมเรียบร้อยวางอยู่ในห้องของผมเองแบบงงๆเลยก็ว่าได้ แต่ไอ้ครั้นจะไม่ถามมันก็ไม่ใช่นิสัยของผมซะด้วยสิ " เอ๋ โรงเรียนเหรอออ .... อย่างคุณหนูน่ะไม่ต้องไปหรอกค่ะ " ฟีโอเร่ตอบด้วยโทนเสียงราวกับจะล้อผมเล่นแต่ยัยนี่ปรกติแล้วก็พูดเรื่องจริงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ตลอดอยู่แล้วด้วย " ก็คุณหนูน่ะ จบจาก M.i.t.H แล้วนะคะคุณโคลท์ จะเลนซ้ายเลนขวาเดี่ยวกลางหรือว่าฟาร์มป่า อย่างคุณหนูก็ก๊อดไลท์ได้ทั้งนั้นละค่า" ไม่ใช่แล้วเฟ้ย ...... ก็ว่าอยู่ว่าไม่เคยได้ยินชื่อสถาบัน แต่ไอ้ประโยคข้างหลังนั่นมันไม่เกี่ยวกับการเรียนแล้ว " ว่างจนมาให้ฟีโอปั่นหัวเลยรึไงนายทึ่ม " เสียงใสๆของไอริสดังมาจากข้างหลังพร้อมกับใบหน้าที่กลับไปเป็นโหมดไร้อารมณ์อีกแล้ว แปลว่ามีอะไรอยู่ในใจแหงๆถึงได้โผล่มาแบบนี้แล้วผมก็คิดไม่ผิดเท่าไหร่ " ไงครับคุณหนูไอ ? " ผมทักทายเธอเหมือนกับทุกครั้ง แต่เพิ่มคำว่าคุณหนูลงไปตามหน้าที่ แต่ดูเหมือนกับว่าการที่ผมเรียกเธอแบบนี้จะแอบขัดใจเธอเล็กน้อยซึ่งผมก็ค่อนข้างจะจงใจนิดๆ " วุลแฟรมจัดการเรื่องเอกสารเสร็จแล้วพรุ่งนี้นายก็ไปที่โรงเรียนได้เลยนะ " ไอริสสั่งแบบห้วนๆ " เดี๋ยวสิยังไงนะ ? ผม ไปที่โรงเรียนนี่ถามเพราะห่วงว่าเธอได้ไปโรงเรียนหรือเปล่าต่างหากละ ! " " อีกชั่วโมงนึงฟีโอเร่จะเอาเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้นายละกัน ตอนนี้ได้เวลาน้ำชาแล้ว " ไอริสสั่ง " เจ้าค่ะคุณหนู ส่วนคุณโคลท์ช่วยไปรอที่ห้องรับแขกทีนะคะ " ฟีโอเร่ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเดินลิ่วไป เอาอีกแล้วสินะ... ผมคิดเห็นว่าเงียบๆไปคงไม่ไปก่อเรื่องที่ไหนแล้วแต่ไม่ใช่เลยแฮะ ยัยเด็กนี่กำลังวางแผนอะไรอยู่ตามเคย แม้จะดูเหมือนกับว่าคราวนี้จะไม่มีพิษภัยเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดว่าผมยังไม่ได้คำตอบที่ผมอยากรู้.. หลังจากนั่งจิบชาในห้องรับแขกคนเดียวเนื่องจากยัยคุณหนูนั่นไม่ยอมลงมา สงสัยจะงอนอะไรอีกแล้วแต่สำหรับเด็กวัยนี้จะมีการแสดงอารมณ์แบบนี้บ้างก็ไม่แปลกอะไร ผมก็นั่งอ่านประวัติของโรงเรียนกับชื่อเสียงที่สั่งสมมาจนเป็นเอกสารหนาปึ้กรวมถึงข้อมูลบางอย่างที่นึกไม่ถึงว่าจะถูกรวบรวมมาเสียด้วย ครั้นมาถึงไอ้คู่มือที่เหมือนจริงเกินกว่าเหตุของเข็มขัดแปลงร่างทำเอาผมไม่เข้าใจตัวเองนิดๆว่าอ่านรู้เรื่องเข้าไปได้ยังไง เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงหลังจากหมดแรงกับการอ่านคู่มือที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะอ่านจบผมก็ตัดสินใจมาดูพาหนะที่ถูกเตรียมไว้ให้ขับไปโรงเรียน รถยนต์สไตล์เฉียบราวกับดีไซน์ของยุคอนาคตตามแบบฉบับตำรวจอวกาศ มอเตอร์ไซด์ฉลามบกแบบที่มีไซด์คาร์พ่วงมาด้วย และ เฮลิคอปเตอร์ชนิดบินต่ำได้สำหรับปฏิบัติการในเมือง ............ แล้วไอ้ของแบบนี้มันจะขับไปให้ใครเห็นได้ยังไง !!! .......................................................................................... เบื้องหน้าของผมตอนนี้ คือสถานที่ซึ่งเรียกว่าโรงเรียน.... สถานประสิทธิ์ประสาทวิชาที่เด็กมองว่าเป็นคุก พ่อแม่มองว่าเป็นที่รับภาระทางการเลี้ยงดู คนภายนอกมองว่าเป็นสถานขัดเกลาและชี้ฐานะทางสังคม ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตามมาตรบ่งชี้ความก้าวหน้าทางสังคมก็เริ่มจากที่โรงเรียนทั้งสิ้น และแน่นอนจุดเริ่มต้นของสังคมสำหรับเด็กก็อยู่ ณ ที่นี่ ตำแหน่งอาจารย์ฝึกสอนพ่วงวิทยากรทางด้านเทคโนโลยี เป็นฉากบังหน้าให้ผมเข้ามายังโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่ผลิตนักเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศ ผมเองก็เคยอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาสั้นๆก่อนจะย้ายไปเรียนยังต่างแดน แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่ผมก็จำได้ดีถึงความแก่งแย่งในการขึ้นเป็นที่หนึ่งของเหล่าเด็กอัจฉริยะจากทั่วสารทิศได้ จะแปลกใจก็แค่ว่าแล้วสถานที่แบบนี้ทำไมถึงต้องการผู้พิทักษ์ความยุติธรรมกัน ? ระหว่างที่ผมกำลังมองดูรอบๆนั้นเอง หางตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กๆที่คุ้นตาอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน กำลังทำท่ากล้ากลัวๆในการเข้ามาอยู่ ไอริสนั่นเอง…. นึกไม่ออกเลยว่าอย่างยัยเด็กนี่จะตื่นกลัวโรงเรียนด้วย ตอนแรกก็เอะใจนิดๆแล้วว่าเด็กเงียบๆที่ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์แบบนี้จะเป็นอย่างไรถ้าต้องมาโรงเรียนที่คนเยอะขนาดนี้ แม้จะยังเช้าอยู่แต่นักเรียนส่วนมากก็เหมือนจะมากันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วหน้าประตูจึงมีเพียงไอริสเท่านั้น ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาและท่าทางของเธอบ่งบอกได้เลยว่าคงจะอายที่จะใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน … ไอริสเดินเข้าประตูมาอย่างช้าๆ น่าแปลกที่เธอไม่เอ่ยคำพูดแปลกๆอะไรออกมาเหมือนกับตอนที่อยู่ที่บ้าน สงสัยจะเข้าโหมดเงียบเวลาอยู่ในที่ๆคนเยอะๆซะละมั้ง " ว่าไง ? " ผมเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน " ......... " แต่ไอริสกลับนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าเธอจะอายที่สวมชุดนี้มาใช่น้อยเลยแฮะ เห็นแบบนี้แล้วจะไม่เข้าไปหยอกก็กระไรอยู่จริงๆ ส่วนยัยไอริสก็ดูเหมือนกับว่าจะกล้าๆกลัวๆอยู่ซะด้วยสิ ผมเดินเข้าไปสองก้าวยัยนี่ก็ถอยหลังไปก้าว ดูแล้วนอกจากจะไม่คุ้นกับการแต่งตัวแบบนี้เธออาจจะกลัวผมหัวเราะเยาะก็ได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็เหมาะสมกับวัยดีออก ผมเองก็เคยเห็นเธอในชุดไปรเวทแต่ชุดนักเรียนนี่ก็น่ารักน่าเอ็นดูทีเดียว เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลูบศรีษะเล็กๆนั่นพร้อมกับชมว่าน่ารัก ใบหน้าสีชมพูเรือๆนั่นบ่งบอกว่าไอริสเองก็ดีใจเล็กๆที่ผมชม เธอก้มหน้าซ่อนความอายแล้วเดินเข้าตึกเรียนไปอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่ผมคิดว่ายัยเด็กนั่นก็ทำตัวแบบนี้ได้ด้วยแฮะ .... ----------------------------------------------------------------------------------- เบื้องหน้าของผมตอนนี้คือเหล่าผู้บริหารของโรงเรียนผู้น่าเกรงขาม ! ผมไม่แสดงสีหน้าใดๆราวกับไม่รู้สึกรู้สาของความยิ่งใหญ่ทางตำแหน่งแต่ร่างกายกลับสั่นระริกไม่เลิกตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในห้องแล้ว สำหรับคนทั่วไปความรู้สึกสั่นอาจจะเป็นอาการประหม่าจากการที่ถูกรุมจ้องจากเหล่าคนผู้มีตำแหน่งเหล่านี้ แต่กับผมแล้วอากาศที่หนาวเหน็บจากเครื่องปรับอากาศระดับเดียวกับสำหรับเก็บเนื้อในห้องเย็นนี่ต่างหากที่ทำให้เหมือนร่างกายจะสั่นนิดๆ ซึ่งนึกแล้วก็ชวนขำใช่น้อยที่ห้องของฝ่ายบริหารจะต้องมีแอร์เย็นขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ว่า .... หมูตอนในชุดสูทเต็มยศ ... ยัยเพิ้งที่พอกหน้าราวกับเป็นหุ่นขี้ผึ้ง... คนสตึที่ใส่เสื้อกาวน์ครบเซ็ทนอกห้องวิจัย... แล้วก็ไอ้บ้าเครื่องแบบที่จะแต่งเต็มยศมาอย่างกับวันพิธีรับเหรียญกรำศึกนี่ .... ผมชักคิดหนักแล้วว่าค่าเล่าเรียนที่พ่อแม่อุตสาห์เสียมาเพื่อการศึกษาถูกใช้ในเรื่องไม่เข้าท่าตั้งแต่แรกเลยเรอะแต่ก็นะนี่ไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ต้องแฝงตัวเข้ามาที่นี่คงต้องจำใจดูท่าทีไปก่อนน่าจะดีกว่า " คุณโคลท์ จบจากเมืองนอกมาก็ได้รับตำแหน่งข้าราชการในกระทรวงดังเลยสินะ ? " ผู้บริหารหมูตอนถามขึ้น " แต่ก็หันมาเข้าวงการศึกษาเพื่อเป็นตัวอย่างและแนวทางให้เด็กๆแบบนี้ช่างน่าชื่นใจเสียจริงๆคนหนุ่มที่อนาคตไกลแต่ก็เลือกที่จะเป็นคนชี้นำอนาคตให้กับคนรุ่นต่อไปเนี่ย " คนใส่เสื้อกาวน์พูดเสริม " เดี๊ยนก็อยากให้มีอาจารย์เก่งๆเข้ามานานแล้วละเคอะ " คราวนี้ยัยเพิ้งพูดมั่ง " เป็นอาจารย์มันไม่ง่ายนะ " คนใส่เครื่องแบบเต็มยศถือโอกาสเตือน "และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ........... " เหล่าผู้บริหารกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน ผมรับคำอย่างสุภาพก่อนจะโค้งคำนับและออกจากห้องเพื่อไปเตรียมตัว คาบที่จะต้องเข้าไปชมการสอนของอาจารย์ที่นี่อยู่คาบที่สาม ตอนนี้ยังมีเวลามากพอที่จะกลับไปยังโต๊ะของตัวเองก่อน... โรงเรียนแห่งนี้มีห้องให้อาจารย์คนละห้องเลยทีเดียวรวมถึงห้องของอาจารย์ทดลองอย่างผมด้วย แต่ที่น่าตกใจกว่าคงเป็นเจ้ากระเป๋าสีเงินที่คุ้นตาวางอยู่ข้างๆโต๊ะต่างหาก " ดูเหมือนจะเตรียมการให้พร้อมเลยสินะ " ผมบ่นกับตัวเอง ----------------------------------------------------------------------------------- คาบเรียนช่วงเช้าผ่านไปอย่างปรกติสุข แม้จะดูเหมือนว่านักเรียนเหล่านี้มีความซนน้อยกว่าเด็กมัธยมต้นทั่วไปเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆแต่เด็กก็ยังเป็นเด็กเสียงหัวเราะยังคงมีให้ได้ยินประปราย จะผิดแผกไปบ้างก็ตรงที่นักเรียนเกือบครึ่งเปิดสมุดทบทวนบทเรียนทันทีหลังจากเริ่มพักกลางวัน ต่างกับเด็กทั่วๆไปที่จะวิ่งไปโรงอาหารหรือไม่ก็ไปเล่นช่วงเวลากลางวัน แต่แล้ว เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ผมเองก็ไม่อยู่เฉยรีบตามไปยังต้นเสียงฮือฮานั่นในทันที " เด็กใหม่ๆ !! " , " นี่เธอชื่ออะไรน่ะ ??? " , " เพิ่งย้ายมาเหรอ ??? " คำถามหลากหลายดังขึ้นในหมู่นักเรียนชายหญิงที่รวมกระจุกเป็นก้อน แต่ที่น่าตกใจกว่ากลับเป็นสาเหตุของเสียงฮือฮาทั้งหลาย ... กลับเป็นคนที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ไอริสนั่นเอง..... ดูเหมือนว่าผมสีบลอนด์อ่อนๆของเธอจะดึงดูดความสนใจคนรอบข้างได้มากกว่าที่คิด ทว่าต่อหน้าคนเยอะๆมารุมถามแบบนี้เดี๋ยวยัยเด็กนี่ต้องปากปืนกลใส่แหงๆ แต่ผมกลับคาดผิด ไอริสยังคงอยู่ในโหมดเงียบไม่ตอบโต้ใดๆ แถมยังพยักหน้าหงึกๆทุกครั้งที่มีคนมาแนะนำตัวกับเธออีก ... หนอยแน่ะทีตอนผมพยายามทำความรู้จักกลับกราดซะไม่มีชิ้นดี จนกระทั่งหลายนาทีผ่านไป... ทีท่าของคนรุมล้อมก็ไม่ลดลงเสียทีจนกระทั่งกลุ่มนักเรียนหญิงมาช่วยแยกเธอออกไปจากวงล้อมของพวกเด็กผู้ชายนั่น ซึ่งทำให้โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยยัยไอริสก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงทุกฝีก้าวทว่าการที่อยู่ๆกลายเป็นขวัญใจเกือบถึงขนาดไอดอลได้ในพริบตาแบบนี้ ดูท่าทางโตกว่านี้อีกนิดคงจะหวังได้ไม่น้อยเลยทีเดียวละแบบนี้ ผมคิดในใจ หลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วผมก็นึกถึงคำพูดของเหล่าพวกผู้บริหารนั่น .... " สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชื่อเสียงของโรงเรียน !!!! " ให้ตายสิ ฟังแล้วน่าหงุดหงิดชะมัดสถานศึกษาเดี๋ยวนี้มัวแต่ห่วงชื่อเสียงเพื่อต่อยอดทางธุรกิจมากกว่าจะห่วงตัวเด็กส่วนกระทรวงที่ดูแลการศึกษาก็ดันแสดงอีโก้ด้วยการออกข้อสอบประหลาดๆที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนเป็นการแก้เผ็ดสถานกวดวิชาโดยไม่คำนึงว่าคนที่รับกรรมจริงๆคือเด็กที่เสียคะแนนจากข้อสอบพรรค์นี้ แล้วเด็กจะเอาสมองที่ไหนไปพัฒนาประเทศกันผมคิด ... ออดเข้าเรียนคาบบ่ายดังขึ้นเรียกผมกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง เด็กๆทั้งหลายพากันวิ่งกรูกันผ่านไปอย่างน่าแปลกใจแต่ทิศทางที่พวกนั้นวิ่งไปกลับไม่ใช่ห้องเรียน เป้าหมายของเด็กๆกลับกลายเป็นดาดฟ้าของตึกแทน... " อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลยนะ ! " ผมเปรยกับตัวเองพลางฝ่าวงล้อมเด็กๆขึ้นไปถึงชั้นบนสุดในเวลาไม่นาน แต่ทว่าสถานการณ์ไม่ได้ดีอย่างที่หวังแม้แต่น้อย เด็กชายที่ยืนอยู่ตรงระเบียงของดาดฟ้ามีใบหน้าซีดเซียวและท่าที่หลุกหลิก บ่งบอกได้อย่างดีว่ากำลังอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกและควบคุมตัวเองไม่ได้ หากคุมสถานการณ์ไม่ได้ละก็เด็กนั่นอาจจะโดดตึกลงไปได้ทุกเมื่อ " อย่าเข้ามานะ! " เด็กนักเรียนชายตะโกนขึ้น " เล่นอะไรของเธอน่ะ กลับมาทางนี้ ! " ผมพยายามพูดเตือนสติ แต่เหมือนจะทำให้อีกฝ่ายกลัวมากขึ้นไปอีก และระหว่างที่ผมพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรดีเสียงตะโกนดังลั่นก็มาจากด้านหลัง " กลับไปที่ชั้นเรียนได้แล้ว !!!!! " เจ้าของเสียงเป็นชายผมสั้นผู้แต่งชุดทหารพร้อมประดับยศเต็มเสื้อ กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดุดัน และมันส่งผลให้นักเรียนมุงทั้งหลายกลับไปอย่างไร้เสียงโต้แย้งใดๆ ยกเว้นแต่เด็กชายที่กำลังจะโดดตึกนั่น ... " ฟังคำสั่งไม่รู้เรื่องรึไง ไอ้เด็กสมองทึบ ! " ผู้อยู่ในชุดสีขี้ม้าตวาดซ้ำ โดยไม่มองสีหน้าของเด็กชายด้วยซ้ำ " เดี๋ยวสิครับ เด็กคนนั้นกำลังอยู่ในสภาวะจิตใจสั่นคลอนอยู่นะครับ ! แบบนี้มีแต่จะเพิ่มผลเสีย " ผมพยายามเตือนแต่กลับเป็นการราดน้ำมันลงในกองไฟแทนที่ " ใครจะไปสน ! ฟังนะไอ้อาจารย์หน้าใหม่กฏของโรงเรียนถูกตั้งขึ้นเพื่อให้เด็กคุ้นเคยและสามารถปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด เมื่อออกสู่สังคมก็จะได้ไม่ก่อปัญหา " " ถ้าไม่หาสาเหตุแล้วใช้เหตุผลมันจะเป็นการแก้ปัญหาได้ยังไงครับ ? " ผมเริ่มหงุดหงิดละ คนเราแต่ละคนมีความคิดของตัวเองนะ แล้วก็มีสมองพอที่จะสื่อสารกันได้ด้วยไม่ใช่ปลวกที่รับคำสั่งแล้ว ก็ทำตามไปตลอดชีวิตซะหน่อย การแก้ปัญหาด้วยวิธีใช้อำนาจเข้าข่มไม่ได้สร้างผลดีเลยในสายตาของผม " ไอ้เด็กจบนอกอย่างแกคงไม่เข้าใจกรอบของสังคมสินะ ? " คราวนี้อาจารย์ในชุดสีขี้ม้าหันมาแสดงความเกรี้ยวกราดกับผมแทนที่ซะแล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สิ่งที่สัมผัสได้มันคือจิตสังหาร... ----------------------------------------------------------------------------------------------- ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายถึงขั้นขีดสุด สถานการณ์ที่น่าตื่นตระหนกกว่าก็เข้ามาแทนที่ ! แสงสะท้อนจากผมสีบลอนด์ที่โดดเด่นกำลังปลิวลู่ไปตามลมนั้นผ่านหางตาผมเข้าไปอยู่ข้างๆเด็กชายผู้กำลังตื่นตระหนกได้ในช่วงไม่กี่วินาที ไอริสกำลังจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีน้ำเงินของเธอ " คิดว่าโดดลงไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ? " เธอชิงถามขึ้น " มะ...ไม่รู้ " เด็กชายอ้ำๆอึ้งๆตอบ " เธออยากจะหนี ? เท่านั้นเองสินะ ? " ไอริสยังคงถามต่อ " อย่างเธอจะเข้าใจได้ยังไง ชั้นน่ะไม่มีอนาคต ! สอบเอ็กซ์-เนทก็ตก ! สาวก็ไม่แล ! " เด็กชายระบายออกมา " อืมชั้นไม่เข้าใจหรอก ... ทว่า การโดดลงไปไม่ได้ช่วยอะไร ... และชั้นจะแสดงให้ดู " พูดจบไอริสก็ได้เป็นฝ่ายชิงกระโดดลงไปก่อน ในขณะที่เด็กชายผละตัวออกจากระเบียงดาดฟ้าในทันที !!! " ไอริส !!!! " ผมตะโกนสุดเสียงพร้อมกับกระโจนตามไป แต่ทุกอย่างกลับชะลอลงเหมือนกับเวลากำลังจะหยุด ผมรู้ดีว่าระยะห่างขนาดนั้นไม่มีทางจะคว้าเธอซึ่งชิงกระโดดลงไปก่อนได้ แต่ผมกลับได้ยินเสียงก้องในรูหู.... " ปกป้องชั้นให้ได้สิ นายทึ่ม ! " ไวเท่าใจคิด วินาทีที่ผมโดดตามลงไปมือของผมก็หยิบเอาหัวเข็มขัดแปลงร่างออกมาจากเสื้อสูทและแนบมันเข้ากับเอวในเวลาเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย ประกายแสงที่ส่องกล้าท้าแสงอาทิตย์ช่วยบดบังให้ร่างในชุดเกราะโลหะไม่ถูกเห็นได้อย่างอัศจรรย์ ! ผมคว้าตัวไอริสไว้ได้ก่อนจะถึงพื้น เคราะห์ดีที่นักเรียนคนอื่นถูกสั่งให้กลับไปยังห้องเรียนหมดแล้ว ส่วนบนดาดฟ้านั่นก็ดูเหมือนกับว่านักเรียนชายคนนั้นคงจะช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่คิดที่จะกระโดดตึกอีกแล้ว เรื่องที่น่าห่วงจึงเหลือเพียงแค่ยัยคุณหนูจอมหาเรื่องที่สลบอยู่ในอ้อมแขนของผมนี่แหละ .... ไม่คิดเลยว่าเข้าสอนในโรงเรียนวันแรกก็มีเรื่องตื่นเต้นขนาดนี้ซะแล้ว ! ----------------------------------------------------------------------- สมองของผมตอนนี้กำลังเค้นเหตุผลร้อยแปดในการพาไอริสที่สลบอยู่เข้าไปในห้องพยาบาล ร่างเล็กๆกำลังหายใจอย่างช้าๆราวกับหลับอยู่ โดยไม่รู้ว่าตนเองได้ทำให้ผมเป็นห่วงขนาดไหน และตอนนี้ก็กำลังทำให้ผมอยู่ในสภาพลำบากใจอย่างที่สุดในชีวิตอีกครั้ง ! ผมหวังว่าพอถึงแล้วภาระจะได้หมดลง ทว่าหน้าห้องพยาบาลขณะนี้กลับมีป้ายที่ไม่คาดฝัน .... ใช่แล้วป้ายแสดงว่าอาจารย์ห้องพยาบาลไม่อยู่ ! แบบนี้ก็แปลว่ามีแค่ผมกับไอริสที่จะเข้าไปในห้องปิดกันแค่สองคนนะสิ ! ไม่ตลกแล้วนะรู้อยู่ว่ายัยนี่ไม่น่าเป็นอะไรมากหรอกแต่ว่าถ้าพาเข้าไปแล้วดันเกิดตื่นขึ้นมาตอนที่กำลังวางเธอลงบนเตียงละ ? แบบนั้นแล้วจะโดนมองว่าเป็นอย่างไร ? ไม่สิวางลงบนเตียงแล้วก็ยังต้องเฝ้า แถมไม่รู้ด้วยว่าอาจารย์พยาบาลจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่อยู่ในห้องแบบนี้กันสองคนมันออกจะ.... เป็นสถานการณ์ที่อธิบายได้ยากเย็นสิ้นดี !!! และแล้วผมก็ตัดสินใจช้าเกินไป ..... ยัยคุณหนูได้สติขึ้นมาตอนที่ผมกำลังอยู่ในห้วงภวังค์อยู่นั่นเอง แถมยังอายจนหน้าแดงแป๊ดอีกต่างหาก ! ความจริงแล้วคนที่ควรจะอายมันผมต่างหากเล่า ! แล้วมองมาด้วยสายตาแบบนี้เนี่ยมันหมายความว่ายังไงกัน ? ขอร้องละพูดอะไรออกมาก็ได้ ! " คนฉวยโอกาส.... " ไอริสตอกย้ำผมด้วยวาจาที่เสียดแทงและเยือกเย็นอีกแล้ว ผมควรจะดีใจดีมั้ยเนี่ยที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ร้องกรี๊ดหรือว่าโวยวายอะไรให้เป็นเรื่อง แต่นึกๆดูแล้วหากใครมาเห็นละก็ไม่ต้องอนาคตในอาชีพปลอมๆนี่หรอก อนาคตผมคงอยู่ในคุกแหงๆ .... ว่าแล้วผมก็เข่าทรุดลงและปล่อยให้ยัยคุณหนูลงมายืนถากถางต่ออย่างไร้ความปราณี นี่ผมกำลังทำผิดพลาดอีกแล้วใช่มั้ย.....