Grand Gaia Online บทที่ 45 [ UPDATE ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 10 ตุลาคม 2012.

  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ความจนเป็นมิตรกับแคลนมัลดิโตครับ
  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 31 – The Great Grave and brave men




    เอเซ แมคโดเวล นั่งพิงกำแพงเมืองอารันด์อยู่ใต้เพิงหมาแหงน ฐานทัพหลักของพวกเขาในฐานะทหารรับจ้าง อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆที่กุห์ฟานซื้อมา เป็นหนังสือพิมพ์ภายในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของผู้เล่นกลุ่มหนึ่ง เป็นหนังสือพิมพ์กึ่งบทสรุปเกมเพราะนอกจากจะรายงานเหตุการณ์ที่สำคัญภายในเกมแล้วยังมีคอลัมน์วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็นภารกิจ มอนสเตอร์ อาวุธและเครื่องป้องกันต่างๆ รวมถึงแม็ปดาตาเบสที่แม่นยำเชื่อถือได้

    เพียงแค่อ่านพาดหัวข่าว หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นก็ถูกโยนไปให้ ซารุวาตาริ ทากะ หัวหน้าแคลนมัลดิโตที่นั่งเหม่อมองก้อนเมฆสีขาวบนฟ้ากว้าง


    ตะลึง! สัตว์เวทระดับบอสตัวแรกของเกม

    แบล็คแซนด์ราบ ฝีมือมัลดิโตอีกแล้ว!


    “มีอะไรอย่างนั้นรึสหายเอเซ”

    “พาดหัวแบบต่อไปจะมีใครกล้ามาขอให้เราไปช่วยเคลียร์ภารกิจละ?” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

    “ไม่เห็นแปลก ไม่มีใครอยากจะถูกนับรวมเป็นหนึ่งในขบวนการสร้างความพินาศวอดวายอยู่แล้วนี่นา” นักเวทผมเทาที่นอนคว่ำหน้าอยู่อีกมุมของเพิงหมาแหงนตอบกลับมา เขารู้ดีถึงสิ่งที่พูดออกไปเพราะเพิ่งถูกชาวเมืองแบล็คแซนด์ชี้หน้าด่าจนหูชาเมื่อไม่นานนี้

    “งานน้อยลงไม่ดีเหรอพี่เอเซ?” วันนี้น้องเล็กประจำแคลน กุห์ฟาน รีส ริยาส ยังวุ่นวายกับหน้าต่างสนทนารอบตัวเหมือนเช่นเคย

    “เรื่องนั้นมันก็ดีอยู่หรอก แต่พี่ไม่ชอบพาดหัวข่าวแบบนี้ว่ะ”

    “ช่างมันเถอะสหายเอเซ” ทากะโยนหนังสือไว้กลางวง ไม่มีใครหยิบมาอ่านต่อและปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น

    ช่วงเช้าผ่านไปอย่างสงบสันติสุข มีผู้เล่นออกมาต่อสู้ในทุ่งหญ้าแดนใต้ให้เห็นประปราย คาราวานสินค้าจากไปแล้วหลายชั่วโมง ผู้เล่นที่คุ้นหน้าคุ้นตาแวะมาทักทายแล้วจากไป จนป่านนี้ยังไม่มีใครแวะมาขอความช่วยเหลือจากแคลนมัลดิโตเลยแม้แต่รายเดียว

    หากมีเวลาว่าง...พวกเขาจะสุมหัวเล่นไพ่วางเดิมพันประหลาดๆกัน แต่ดูเหมือนว่าจังหวะเวลาที่แสนเฉื่อยชาของวันนี้จะทำให้พวกเขาขี้เกียจจนไม่อยากทำอะไรไปด้วย

    “ว่าแต่ทำไมสัตว์เวทถึงตามเข้าไปฆ่าเป้าหมายถึงในเมืองได้ด้วยละ ปกติแล้วจะมีต้องระบบป้องกันไม่ให้มอนสเตอร์บุกเมืองยกเว้นว่าจะมีอีเวนต์นี่?”

    กุห์ฟานปิดหน้าต่างสนทนาสุดท้ายไปแล้วค่อยตอบคำถาม “พี่เอเซเล่นถามเองตอบเองแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบอะไรดีละ?”

    “ยังไงวะไอ้ถามเองตอบเองเนี่ย? อธิบายหน่อยได้ไหมไอ้น้องชาย”

    “คีย์เวิร์ดคือมอนสเตอร์”

    “นายจะบอกว่าสัตว์เวทไม่ใช่มอนสเตอร์ตามแมปสินะ”

    เอเซยังไม่ยอมรับคำอธิบาย “ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าจะปล่อยให้มันเข้าเมืองไปง่ายๆแบบนั้นสิ”

    “เพราะกฎของ ‘เพลย์เยอร์คิลเลอร์’ ละมั้ง ฝ่ายโน้นติดสถานะอาชญากรไปแล้วสัตว์เวทก็เลยตามไปฆ่าได้ ลองนึกถึงตอนเล่น ‘ฟิโอออนไลน์’ สิ...ถ้าใครถูกตราหน้าเป็นอาชญากรจะโดนตามล่าค่าหัวได้ทุกแห่งไม่เว้นแม้แต่ในเมือง ต้องหมกตัวอยู่ในโรงแรมสิบวันจนกว่าจะยกเลิกสถานะอาชญากร ตอนนั้นอาจจะนับว่าพวกเรากำลังสู้กับอาชญากรอยู่ ต่างกับตอนสู้กันในเมืองบลูเพิร์ลที่สู้ในกฎพีวีพีปกติ สมาคมพ่อค้าเลยเรียกเก็บค่าเสียหายไม่ได้”

    รุ่นพี่ทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสรุปของกุห์ฟาน

    “จะแบบไหนก็ช่าง หนี้ไม่เพิ่มขึ้นก็ถือว่าดีแล้ว”

    “หนี้เพิ่มแล้วไง? นายไม่เคยได้ยินวลีนี้เหรอ ‘ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย’ น่ะ” เอเซพูดจบแล้วยักไหล่แบบกวนๆให้อากิรอสหนึ่งครั้ง

    “สหายนิสัยไม่ดีเลยนะ”

    “เลิกพูดเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า ลูกค้ามาโน่นละ”

    เอเซ ทากะและอากิรอสหันไปมองที่ปลายสายตาของกุห์ฟาน ลูกค้าที่เจ้ารุ่นน้องว่าเป็นผู้เล่นในชุดนักบวชสีขาวพิสุทธิ์กำลังเดินมาทางนี้ด้วยอาการสำรวม ผมสีบลอนด์แดงยาวสยายตามสายลมพร้อมกับผ้าคลุมผมสีขาวเช่นเดียวกับชุดที่ใส่อยู่ สวมสร้อยกางเขนเส้นหนึ่งยาวลงมาถึงกลางตัวบอกสถานะว่าเป็นผู้ศรัทธาของพระเจ้า

    “นายรู้ได้ไงว่านักบวชนั่นจะมาขอคำช่วยเหลือจากพวกเรา?”

    “วันนี้เซนส์พี่เอเซไม่ทำงานเหรอ? พนันกันพันนึงเลยก็ได้นะ”

    “ไม่ใช่นายรู้จากเน็ตเวิร์คก่อนแล้วเหรอไงว่าวันนี้จะมีนักบวชมาขอความช่วยเหลือน่ะ?”

    กุห์ฟานปิดปากเงียบไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มอยู่ที่มุมปากเท่านั้น

    เอเซหยิบหินก้อนโยนลงกลางหัวเจ้ารุ่นน้อง “จะมาหลอกกินตังค์กันนี่หว่าไอ้เวรตะไล”

    อากิรอสลุกพรวดแล้วเดินออกไปต้อนรับนักบวชคนนั้น เพื่อนร่วมแคลนอีกสามคนได้แต่ถอนส่ายหน้า ไม่ว่าที่ไหนหรือเวลาใดเพื่อนของเขาก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลายในเรื่องความเจ้าชู้อยู่ดี

    “สวัสดีครับคุณนักบวชคนสวย ไม่ทราบว่าจะมาติดต่อกับกลุ่มทหารรับจ้างมัลดิโตใช่ไหมครับ?”

    อากิรอสฉีกยิ้มกว้างถามอย่างสุภาพเต็มที่ นักบวชคนนั้นสะดุ้งตกใจเล็กน้อยแล้วพยักหน้าตอบด้วยอาการตื่นตระหนก ไม่รู้ทำไมอากิรอส คีฟ ถึงมองกริยานั้นว่า ‘โมเอะ’ ไปได้

    นักเวทผมเทาเชิญอีกฝ่ายเข้าสู่เพิงหมาแหงนโทรมๆที่มีเพียงเสาสองต้นและหลังคามุงหญ้าแห้งไว้กันแดดกันฝนเท่านั้น ทหารรับจ้างทั้งสี่นายและแขกอีกหนึ่งคนนั่งล้อมวงรอบโต๊ะเตี้ย ของว่างสำหรับต้อนรับแขกมีเพียงน้ำชาและขนมปังกระเทียมอบกรอบ แต่ดูเหมือนแขกจะกินไม่ทันเจ้าบ้านอย่างเอเซสักเท่าไรได้แต่นั่งจิบน้ำชาอย่างเดียว

    “มาขอให้ช่วยเคลียร์ภารกิจปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดของอาชีพนักบวชสินะ? ต้องทำอะไรบ้างละ?”

    หน้าต่างภารกิจถูกเปิดและหมุนให้กุห์ฟานอ่าน

    “ชำระล้างสิ่งมีชีวิตที่แปดเปื้อนมลทินแห่งความชั่วร้ายจำนวนหนึ่งพันตัว”

    “พวกปีศาจใต้เมืองอารันด์สินะ พันตัวก็เยอะเอาการอยู่นา”

    นักบวชผมบลอนด์แดงในชุดสีขาวยกมือขึ้นอย่างกล้ากลัวๆ พูดด้วยเสียงเบามากๆ “เคยลองลงไปกำจัดปีศาจที่ดันเจียนใต้เมืองอารันด์แล้วแต่จำนวนศัตรูในภารกิจกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย”

    สี่หนุ่มมัลดิโตลอบมองกันด้วยคำถามว่าถ้าไม่ใช่มอนสเตอร์เผ่าปีศาจแล้วเป็นมอนสเตอร์แบบไหนกันแน่

    “ถ้าพูดถึงสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าก็น่าจะหมายถึงพวกปีศาจนี่นา หรือว่ามีเงื่อนไขอื่นอีก?”

    กุห์ฟานอ่านข้อความในหน้าต่างภารกิจแล้วตอบอากิรอส “ไม่มีแล้วนะ”

    “ถ้าไม่ใช่เดมอนแล้วจะเป็นอะไรละ?”

    คำตอบออกจากปากของซารุวาตาริ ทากะ ผู้เชี่ยวชาญเกมอาร์พีจี “อันเดธ”

    “แล้วจะหามอนสเตอร์อันเดธได้ที่ไหนละ?” เอเซทักขึ้นมาทำให้สมาชิกร่วมแคลนอีกสามคนหยุดคิดตาม ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยต่อสู้กับมอนสเตอร์อันเดธไทป์เลยแม้แต่ตัวเดียว

    “นั่นคือเรื่องที่มาขอร้องสินะ?”

    นักบวชผมบลอนด์แดงพยักหน้าตอบรับ

    “โทษทีนะตอนนี้พวกเรายังไม่มีข้อมูลมอนสเตอร์เผ่าอันเดธเลย ถ้ายังไงขอแอดคอนแทคไว้ก่อนละกันถ้าได้เรื่องแล้วจะติดต่อไปหา”






    หลังจากบันทึกรายชื่อไว้สำหรับติดต่อแล้ว นักบวชคนนั้นจากไปด้วยสีหน้าเปี่ยมหวังแต่ปัญหาหนักกลับตกมาอยู่กับแคลนมัลดิโตในฐานะทหารรับจ้างแทน ปัจจุบัน...มอนสเตอร์เผ่าอันเดธยังไม่ปรากฏข้อมูลใดๆออกมาเลย แม้แต่สมัยเทสต์เบต้าก็ไม่มีมอนสเตอร์ประเภทนี้ด้วยซ้ำ กุห์ฟานจึงเปิดประชุม ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ เพื่อปรึกษาเรื่องนี้

    “กุห์ฟาน! ทำไมวันนี้ทำไมเอ็งโง่จังวะทั้งที่ปกติฉลาดเป็นกรดเลยนะ”

    “ถ้าฉลาดจนรู้ทุกเรื่องในเกมก็คงไปสมัครเป็นจีเอ็มแล้วละ”

    “อย่างนายน่ะนะจะไปเป็นจีเอ็ม? เราว่านายทำงานเป็นล่ามเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว”

    “หรือว่ากุห์ฟานจะโดนไล่ออกวะถึงได้อยากเป็นจีเอ็ม?”

    “ไม่แน่ๆ”

    “แต่ละคนดีๆทั้งนั้น ขอปรึกษาเรื่องมอนสเตอร์อันเดธดันลากไปเรื่องอื่นได้”

    “ก็นายดันมาถามเรื่องที่มันเบสิคโคตรๆเลยนี่หว่า”

    “นั่นดิ”

    “คีย์เวิร์ดคืออันเดธ นายคิดว่ามอนสเตอร์อันเดธน่าจะอยู่ตรงไหนในโลกได้บ้างละ?”

    “ก็น่าจะอยู่ในแมปหรือฟิลด์ที่มีสุสาน แต่ในเกมมันไม่ได้ถูกจำกัดตายตัวแบบนั้น อาจจะเป็นฟิลด์ปกติที่มีเงื่อนไขว่าหากมอนสเตอร์ถูกฆ่าตายครบจำนวนเท่านั้นเท่านี้ก็อาจะปรากฏมอนสเตอร์อันเดธได้นี่นา พวกดราก้อนซอมบี้อะไรอย่างนั้น”

    “เบสิคโว้ย ตูบอกว่าเบสิคฟังกันบ้างสิ”

    “จริงๆที่กุห์ฟานพูดก็ถูกต้องแล้วนะ แต่มันดันคิดลึกคิดไกลไปนี่สิ”

    “งั้นเพิ่มคีย์เวิร์ดให้ก็ได้ คนตายกับสุสาน เข้าใจยังวะ?”

    “ถ้าพูดถึงสุสานก็มีที่ด้านหลังเมืองตะวันตกแต่มันยังเป็นพื้นที่ว่างๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอไง”

    “โว๊ย! ขี้เกียจเล่นเกมใบ้คำละ ข้าเฉลยให้ก็ได้ ‘สุสานที่สูญหาย’ ยังไงละเว้ย พวกแกมีอังก์สำหรับเข้าดันเจียนอยู่ไม่ใช่เรอะ?”

    “เออ...นั่นสินะ”

    “ยังจะมีหน้ามาเออนั่นสินะอีก วันนี้กินอะไรผิดสำแดงวะสมองถึงได้เบลอขนาดนี้เนี่ย”

    “น่ากลัวจะเป็นไม่ได้กินอาหารฝีมือไนซ์ซะมากกว่า”

    “หึหึหึหึ”

    “แค่นี้นะ”

    หน้าต่างสนทนารวมถูกปิดลงพร้อมกับเสียงทอดถอนใจของกุห์ฟาน รีส ริยาส






    น้องเล็กแห่งแคลนมัลดิโตบอกข้อมูลที่ได้มาให้รุ่นพี่ทั้งสามคนรับรู้ เป้าหมายต่อไปของพวกเขาคือการลุยดันเจียน ‘สุสานที่สูญหาย’ เพื่อช่วยเหลือนักบวชฝึกหัดให้เป็นนักบวชอย่างเต็มตัว งานนี้ต้องลำบากให้กุห์ฟานวางแผนอย่างละเอียดยิบ ส่วนรุ่นพี่ทั้งสามรับหน้าที่นายพรานหาเนื้อสัตว์มาเป็นเสบียงหลักส่วนเครื่องปรุงและวัตถุดิบอื่นๆให้ไนซ์จัดการให้ จากนั้นเขาจึงติดต่อไปทางนักบวชฝึกหัดเพื่อบอกแผนการและนัดหมายเวลาล็อกอินเข้าเกมให้ตรงกัน

    อาจเป็นผลพวงจากพาดหัวในหนังสือพิมพ์ตามที่เอเซคิด ตลอดช่วงบ่ายไม่มีผู้เล่นคนไหนมาขอความช่วยเหลือเลยทั้งที่ปกติแล้วพวกเขาวุ่นวายจนต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทางอยู่เสมอ ส่วน ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ จะหยุดความเคลื่อนไหวรอดูท่าทีของแคลนเซเลสเทียลซึ่งหายเข้ากลีบเมฆไปเลยหลังจากเหตุการณ์สัตว์เวทถล่มเมืองแบล็คแซนด์ และถือโอกาสให้กลุ่มของกุห์ฟานสำรวจดันเจียน ‘สุสานที่สูญหาย’ ให้เรียบร้อยเลยด้วย

    เมื่อถึงเวลานัดหมายกับนักบวชฝึกหัดให้มาเจอกันที่ประตูเมือง ครั้งนี้กุห์ฟานไม่ได้เช่าม้ามาใช้งานเพราะไปกันแค่ห้าคนแต่จะลองใช้บริการรถม้าขนส่งข้ามเมืองแทน ระหว่างที่รอให้ขบวนรถม้าขนส่งเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง เอเซขยิบตาให้ทากะเป็นนัยว่าเรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้น

    “เชิญทางนี้เลยนะครับ” อากิรอสผายมือขวาไปทางรถ ยื่นมือซ้ายไปให้อีกฝ่ายจับมือ พอนักบวชไม่ยื่นมือมาให้อากิรอสก็คว้าข้อมือโดยพลการและส่งยิ้มหวานเพื่อใช้ระงับความโกรธ

    จู่ๆนักบวชฝึกหัดกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าขวาออกไปครึ่งก้าว ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมหมุนตัวในพริบตา กลายเป็นนักเวทผมเทาถูกดึงขึ้นกลางอากาศด้วยท่าบิดตัวทุ่มของยูโด เสียงแผ่นหลังกระแทกพื้นดังพลั่ก!

    “อ่อ! ผมลืมบอกพี่อากิไปเลยว่าพี่เมลม็อกน่ะเป็นผู้ชายนะ”

    เสียงหัวเราะก๊ากดังลั่นของเอเซ แมคโดเวล ทำให้ผู้เล่นคนอื่นที่รอขึ้นรถม้าหันมองด้วยความสงสัย นักบวชในชุดสีขาวที่กุห์ฟานเรียกชื่อว่า ‘เมลม็อก’ รีบจ้ำอ้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าทันที

    ทากะก้าวเท้าข้ามตัวอากิรอสที่นอนทำหน้าเหวออยู่พื้นไปขึ้นรถม้าเหมือนอากิรอสไม่มีตัวตน

    “จะออกเดินทางแล้วนะลุกขึ้นได้แล้วพี่อากิ พี่เอเซก็เหมือนกันหยุดหัวเราะแล้วขึ้นรถได้แล้ว”

    ขบวนเริ่มขยับช้าๆเมื่อคนคุมรถฟาดแส้ลงที่ก้นม้าเมื่อถึงเวลาเก้านาฬิกา ความเร็วของรถม้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสียงเกือกม้าย่ำบนพื้นดังแข่งกับเสียงกึกกักของล้อรถ ทัศนียภาพนอกหน้าต่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนถูกเร่งเวลา

    “นี่พวกนายรู้กันอยู่ก่อนแล้วเหรอ?” อากิรอสโวยวายใส่เพื่อนอีกสองคน

    “นายไม่สังเกตเองว่าผมบลอนด์แดงนั่นคือวิก”

    “สหายอากิจะหน้าม่อจนหน้ามืดเกินไปแล้วนะ”

    “แล้วไหงนายถึงได้ใส่ชุดนักบวชหญิงแถมยังใส่วิกอีกละเนี่ย? อยากเป็นสาวดุ้นขนาดนั้นเลยเรอะ?”

    “นายอย่าพูดเหมือนรู้ดีได้ปะ? เราก็ไม่ได้อยากใส่หรอกแต่อาชีพนักบวชโดนบังคับชุดสวมใส่ แถมฟาเธอร์ที่โบสถ์บอกว่าไม่คิดว่าจะมีผู้ชายมาสมัครเป็นนักบวชก็เลยไม่ได้สั่งตัดชุดไว้มีแต่ชุดนักบวชหญิงเท่านั้น คิดว่าเราไม่อายเหรอไงที่ต้องใส่ชุดแบบนี้เดินไปเดินมาให้คนมองกันทั้งเมืองจนต้องไป สุดท้ายก็ต้องไปทำภารกิจหาวิกมาสวมตบตาเนี่ย ที่จะเคลียร์เงื่อนไขนักบวชฝึกหัดก็เพราะอยากจะเปลี่ยนชุดด้วยเนี่ยแหละ”

    เมลม็อกแจกแจงเป็นชุดโดยไม่ต้องฝืนพูดเบาๆอีกแล้ว

    เอเซถามขึ้นมา “ว่าแต่อาชีพนี้มันเล่นยากนักเหรอทำไมถึงไม่ค่อยมีใครเล่นกัน ทั้งที่ปกติแล้วอาชีพนักบวชสำคัญและจำเป็นกับปาร์ตี้ที่สุดเลยนะ”

    “ก็ไม่ได้เล่นยากหรอกแต่นักบวชเกมนี้ฮีลให้คนอื่นไม่ได้นอกจากนักบวชด้วยกัน พอเป็นแบบนั้นแล้วก็กลายเป็นอาชีพที่ไร้ประโยชน์ไปเลย”

    “นักบวชฮีลคนอื่นไม่ได้นอกจากนักบวช? เกมนี้มันแหวกแนวสุดๆไปเลยแฮะ”

    “พอไปถามฟาเธอร์ๆตอบว่าเพราะผู้อื่นไม่มีศรัทธาในพระเจ้าจึงไม่ได้รับผลจากพลังศักดิ์สิทธิ์”

    “แถไปข้างคูๆเลยนี่หว่า”

    “พี่เมลม็อก อาชีพนักบวชมีทักษะอะไรบ้างละ?” กุห์ฟานหยิบสมุดและปากกาขึ้นมาเตรียมจด

    “เรียกม็อกเฉยๆก็ได้ มีทักษะเพิ่มลดพลังของเผ่าปีศาจและมอนสเตอร์สังกัดธาตุความมืด สร้างน้ำมนต์ใช้ถอนคำสาปกับเพิ่มคุณสมบัติธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้อาวุธและเครื่องป้องกัน เพิ่มพลังโจมตีเวทมนต์ของคทาและไม้เท้า ส่วนท่าโจมตีตอนนี้มีแค่ท่าเดียว”

    “แค่นี้เองเหรอ?”

    “ก็ยังเป็นนักบวชฝึกหัดอยู่เลยนี่นา”

    ระหว่างที่กุห์ฟานซักถามข้อมูลจากนักบวชฝึกหัด สามหนุ่มสามสไตล์หยิบสำรับไพ่ขึ้นมาเล่นไพ่อีแก่แก้เซ็งระหว่างเดินทาง หลังจากจบกระบวนการสัมภาษณ์แล้วทั้งสองคนก็มาร่วมวงเล่นด้วยเพราะยังไงก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้วแถมวันนี้ยังไม่มี ‘อีเวนต์’ ระหว่างเดินทางให้เกิดความตื่นเต้นเลยด้วย

    ขบวนรถม้าถึงเมืองแบล็คแซนด์ตอนสามทุ่มหน่อยๆ พวกเขายึดเอาที่ว่างนอกเมืองตั้งกระโจมเป็นที่พักเหมือนเช่นเคย ซุ้มประตูและกำแพงเมืองยังอยู่ในสภาพพังทลายเช่นเดิมเพียงแค่เก็บกวาดก้อนอิฐบนพื้นออกไปเท่านั้น กุห์ฟานวางแผนไว้ว่าจะพักอยู่ที่นี่ถึงแค่ตีสามแล้วออกเดินทางทันทีถึงจะเสี่ยงกับมอนสเตอร์ที่ดุร้ายและแข็งแกร่งขึ้นในเวลากลางคืนก็ตาม เอเซและอากิรอสเป็นกองหน้าเบิกทาง กุห์ฟานและทากะระวังอยู่ด้านหลังให้นักบวชฝึกหัดอยู่ตรงกลางขบวน มุ่งหน้าไปทางตะวันออกตามการชี้นำของอังก์ที่ใช้เป็นเข็มทิศค้นหาตำแหน่งของดันเจียน

    ฝ่าฝูงมอนสเตอร์ตั้งแต่ก่อนตีสามจนถึงตอนสาย ในที่สุดทั้งห้าคนก็มาถึงดันเจียน ‘สุสานที่สูญหาย’

    ถึงจะได้ชื่อว่าสุสานแต่จริงๆแล้วก็คือปีรามิดขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งกระจายกันไปทั่วพื้นที่กว้างขวาง ถ้าไม่มีอังก์ช่วยระบุว่าปีรามิดแห่งไหนเป็นดันเจียนก็ต้องงมหากันไปทีละแห่ง หรือต่อให้มีทักษะค้นหาดันเจียนระดับสูงของอาชีพนักสำรวจก็เข้าดันเจียนไม่ได้อยู่ดีหากไม่มีอังก์เป็นกุญแจเปิดประตู

    ทางเข้าดันเจียนอยู่ที่มุมด้านซ้ายบนของฐานปีรามิดทรงสี่เหลี่ยม เป็นซอกเล็กๆระหว่างหินก้อนใหญ่สองก้อน สุดทางเป็นประตูหินบานหนึ่งมีช่องกุญแจอยู่ตรงกลาง กุห์ฟานใช้อังก์เปิดประตู มีเสียงกลไกบางอย่างเริ่มต้นทำงานและประตูหินบานนั้นเลื่อนเปิดไปทางซ้ายมือจนสุดเปิดเป็นทางเข้าสู่ด้านในปีรามิด อุโมงค์แคบและเตี้ยลาดลึกลงสู่ด้านล่าง สุดทางเป็นทางใหญ่แยกออกไปซ้ายและขวาและมีอักษรภาพ ‘เฮียโรกริฟฟิค’ จารึกไว้บนกำแพงใหญ่ฝั่งตรงข้าม

    หลังจากเห็นเฟรเทียร์ใช้แปรงสำรวจอักษรโบราณที่ดันเจียนลับใต้ซากเมืองโบราณเมื่อครั้งก่อน เขาจึงใช้ค่าประสบการณ์เรียนรู้ทักษะ ‘ถอดความ’ ของอาชีพนักสำรวจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง ทากะหยิบแปรงออกมาปัดบนอักษรภาพจนหมด มีหน้าต่างแจ้งข้อความปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา


    “จงมอบความกล้าและสัจจะนิรันดรเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจมิฉะนั้นจะต้องตายใต้คมดาบคมหอก หนทางที่แท้จริงเพียงหนึ่งจะปรากฏต่อปราชญ์ผู้ชาญฉลาดมิใช่คนขลาดเขลา”


    แผนที่คร่าวๆที่เกิดจากทักษะตรวจสอบเส้นทางของอาชีพนักล่าสมบัติบอกว่าดันเจียนชั้นแรกมีลักษณะเป็นทางวงกต

    “ถ้ายังไงวนไปรอบๆก่อนแล้วค่อยสำรวจลึกเข้าไปเรื่อยๆละกัน” กุห์ฟานวางแผนอย่างรวดเร็ว

    ยังไปได้ไม่เท่าไรศัตรูก็โผล่มาขวางทางแต่นี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว ‘สเกเลตันโซลเดอร์’ ทหารโครงกระดูกถือโล่ถือดาบจำนวนยี่สิบตัวตรงเข้ามาขับไล่ผู้บุกรุก พวกมันเป็นศัตรูระดับกลางในแรงค์เอฟ เอเซวิ่งลุยเข้าไปกลางดงศัตรูก่อนคนอื่น ใช้ดาบที่ไม่ถอดปลอกไล่ฟาดไล่ทุบผีตายซากจนทั่วพื้นมีแต่กระดูกหล่นเกลื่อนกลาด

    “เรื่องง่ายๆ”

    “สหายเข้าใจผิดแล้วละ” ทากะชี้ให้ดูชิ้นส่วนกระดูกที่หล่นกระจัดกระจายได้กลับมารวมตัวเป็นโครงกระดูกอีกครั้งหนึ่ง

    “เหวย นี่มัน...”

    “นี่คือคุณสมบัติของมอนสเตอร์เผ่าอันเดธ การโจมตีปกติทำอะไรพวกมันไม่ได้หรอก”

    “สาวดุ้นแสดงฝีมือให้ดูหน่อยดิ๊”

    “ไม่ใช่สาวดุ้นว๊อย!”

    นักบวชหนุ่มหันไปโวยใส่อากิรอสแล้วเรียกอาวุธประจำตัวออกมา เป็นไม้เท้าในรูปลักษณ์ของไม้กางเขนยาวเกือบสองเมตร เมื่อชี้ด้านที่เป็นหัวไม้กางเขนไปที่เหล่ามอนสเตอร์อันเดธ มวลพลังเวทสีขาวบริสุทธิ์ทะยานออกไปเป็นเส้นลำแสง สเกเลตันโซลเดอร์ถูกชำระล้างด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์แตกสลายไปตัวแล้วตัวเล่าจนหมดทั้งฝูง

    “พี่ม็อกเช็กดูหน่อยว่าจำนวนเป้าหมายที่ต้องกำจัดลดลงรึเปล่า?”

    “ลดลงแล้ว ตะกี๊ฆ่าไปยี่สิบตัวเหลืออีกเก้าร้อยเจ็ดสิบเก้าตัว”

    “โอเค ถ้าไม่ผิดไปจากที่ผมคิดไว้ คนในปาร์ตี้เดียวกันฆ่าศัตรูได้ก็คงนับให้ได้ เดี๋ยวพี่ม็อกลองทำให้ดาบของพี่เอเซเปลี่ยนเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์แล้วปล่อยลุยเดี่ยวอีกรอบ”

    “จัดมาโลด”

    เมื่อดาบเคลย์มอร์ถูกฉาบด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์แล้ว สเกเลตันโซลเดอร์อีกหนึ่งฝูงได้ถูกส่งรายงานตัวต่อพระผู้เป็นเจ้าบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในเวลาชั่วอึดใจ การสำรวจเส้นทางรุดหน้าไปมากโดยที่คนอื่นแทบไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้เอเซในโหมดบ้าพลังฉายเดี่ยวแต่เพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว

    เมื่อสำรวจรอบนอกหมดแล้วจึงขยับลึกเข้าสู่ใจกลางดันเจียน มีบันไดแคบๆพาขึ้นไปสู่ห้องกว้างแห่งหนึ่ง มีโลงศพไม้กระจายอยู่เต็มห้อง ตรงกลางห้องมีโลงหินแกะสลักเป็นรูปคนไขว้มืออยู่บนอกอีกสี่โลงตั้งอยู่ ทั้งห้าคนแยกย้ายสำรวจจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบประตูหรือทางลับสำหรับออกจากห้องนี้

    “หรือว่าจะมาผิดที่?”

    “ไม่น่าจะผิดนะ ที่ชั้นหนึ่งก็ไม่มีทางลับอื่นด้วย สงสัยต้องเคลียร์เงื่อนไขบางอย่างก่อนละมั้ง” กุห์ฟานตอบคำถามของเอเซ

    อากิรอส คีฟ ลูบคลำโลงศพไม้อย่างทึ่งๆ “ทำได้สมจริงดีแฮะอย่างกับบ้านผีสิงเลย นี่ถ้ามีมัมมี่ลุกขึ้นมาอาละวาดแบบในหนังละโป๊ะเชะใช่เลย”

    ทุกคนหันมองนักเวทผมเทาพร้อมกัน

    “หือ? มีอะไรเหรอ?”

    พอเขาพูดจบ มีเสียงครางที่ไม่น่าจะมีได้ดังออกมาจากภายโลงศพที่เขาเอามือวางทาบไว้ โลงอื่นๆเริ่มมีเสียงครางออกมาด้วยเช่นกัน มือซึ่งเน่าเฟะเหลือแต่เศษเนื้อสีดำทะลวงโลงออกมาเหมือนในหนังสยองขวัญที่อากิรอสอยากเห็นไม่มีผิด โลงหินทั้งสี่กลางห้องเริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่าง เสียงกึกกักเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในยิ่งเร่งเร้าให้มัมมี่พังโลงไม้ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

    ทั้งห้าคนรีบถอยไปรวมตัวกันที่กำแพงด้านหนึ่ง นักบวชฝึกหัดรีบร่ายมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่อาวุธของทุกคนทันที

    “เข้าป่าอย่าถามหาเสือ ลงเรืออย่าถามถึงพายุ สหายอากิไม่เคยได้ยินคำพูดพวกนี้หรือไง?”

    “เคยได้ยินแต่ตักบาตรอย่าถามพระว่ะ”

    “ถ้าต้องลงเรือลำเดียวกับนายแล้วไปเกิดมีพายุละก็ เราจะขอโหวตให้โยนนายลงจากเรือสังเวยเทพสมุทรเป็นคนแรกเลย”

    “เห็นด้วย” เอเซและกุห์ฟานตอบรับคำพูดของเมลม็อกพร้อมกัน

    “โวะ! เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะพวกนาย”

    “มัมมี่เรอะ? จะมีถุงมือเพิ่มความแม่นยำดรอปให้รึเปล่านะ?”

    “ไม่ใช่เกมแรคนาร็อคนะเฟ้ย!”

    แม้จะโดนฝูงมัมมี่ล้อมไว้แต่พวกเขาก็ยังหัวเราะและพูดแซวกันได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    มัมมี่ตัวแรกที่โผนเข้ามาถูกตัดหัวขาดกระเด็นในเสี้ยววินาทีด้วยดาบคาตะนะ ลูกบอลไฟสีแสดจากไม้เท้าอากิรอสเผาร่างที่เน่าเปื่อยจนหลอมละลาย สายลมรุนแรงดั่งพายุฉีกร่างของเหล่าตายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลำแสงศักดิ์สิทธิ์จากไม้เท้ากางเขนชำระล้างความชั่วร้ายและส่งดวงวิญญาณไปสู่สุคติ ทุกคนต่างกำจัดศัตรูโดยมีกุห์ฟานคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

    ฝาครอบของโลงหินทั้งสี่กลางห้องถูกทะลวงออกมาด้วยปลายหอกเหล็ก

    ‘คีปเปอร์’ ทหารองครักษ์ประจำสุสาน สวมเกราะและหมวกทำจากทองแดง มือขวาถือหอกยาว มือซ้ายถือโล่กลมแบน แม้ร่างกายจะเน่าเปื่อยเหลือแต่เนื้อหุ้มกระดูกแต่เฉพาะดวงตาเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ คีปเปอร์ทั้งสี่กระโจนออกจากโลงดุจม้าศึก เอเซไล่ฆ่าฝูงมัมมี่จนอยู่ใกล้กับพวกมันเกินไปถูกหอกฟาดเข้ากลางลำตัวลอยละลิ่วไปชนกำแพงหินอย่างจัง

    อากิรอสสร้างลูกไฟโจมตีคีปเปอร์อีกตัวที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ว่ามันยกโล่ขึ้นป้องกันลูกไฟนั้นได้ กลายเป็นนักเวทผมเทาต้องวิ่งหน้าตั้งหนีอย่างสุดชีวิต แม้แต่คนที่มีฝีมือการต่อสู้สูงที่สุดอย่างทากะยังตึงมือเมื่อต่อสู้กับคีปเปอร์

    เอเซเพิ่งจะลุกขึ้นก็ถูกหอกแทงซ้ำ โชคดีที่ใช้ดาบปัดทันจึงถูกปลายหอกถากชายโครงไปเท่านั้น

    “เฮ้ย! ตัวอะไรเนี่ยทำไมมันเก่งจังวะ?”

    กุห์ฟานไม่มีเวลาแม้แต่จะตรวจข้อมูลศัตรูหรือตอบคำถามเพราะเขาเองก็ตกเป็นฝ่ายตั้งรับเหมือนกัน

    “ยื้อเอาไว้แปปนึง!” เมลม็อกตะโกนบอกพลางวิ่งหลบมัมมี่ไปหาที่ว่างเพื่อเริ่มต้นร่ายเวท

    “เร็วๆเว้ย!”

    “อย่าเร่งนักเดะฟะ!”

    นักบวชฝึกหัดเริ่มต้นร่ายบทสวดเป็นภาษาละตินตามเงื่อนไขของทักษะ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแรงกดดันหนักหน่วง บทสวดที่ท่องจำจนขึ้นใจเหมือนถูกลบหายไปจากความทรงจำอย่างกะทันหัน กว่าจะเปล่งแต่ละคำออกมาได้มันยากเย็นเหลือเกิน

    “ขอแบ่งพลังจากพระองค์ให้ลูกด้วย เอเมน!”

    แสงศักดิ์สิทธิ์จากปลายกางเขนส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง ฝูงมัมมี่สูญสลายไปทันทีเมื่อต้องแสงศักดิ์สิทธิ์ คีปเปอร์ทั้งสี่ดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานเปิดโอกาสให้ชาวมัลดิโตทั้งสี่ตอบโต้คืนด้วยกำลังความสามารถทั้งหมดส่งพวกมันไปกลับไปสู่โลกแห่งความตายอีกครั้ง

    อากิรอสทรุดลงนั่งคุกเข่าด้วยความเหนื่อย “ตะกี๊มันตัวอะไรวะ? ตอนชั้นแรกไม่เห็นมีอย่างนี้เลย”

    “เป็นมอนสเตอร์แรงค์ซีน่ะพี่ ตะกี๊เอาแว่นขยายส่องได้ทันพอดี”

    “แรงค์ซี! ขนาดในแม็ปปกติยังไม่ค่อยได้เจอเลยนะเนี่ย”

    “ถ้าเป็นในดันเจียนก็ไม่แปลกหรอกสหายเอเซ”

    ในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ การต่อสู้กับมอนสเตอร์ในแต่ละแรงค์จำเป็นต้องใช้อาวุธในแรงค์เดียวกันหรือสูงกว่า หากใช้อาวุธแรงค์ต่ำกว่านอกจากจะสร้างความเสียหายน้อยแล้วยังมีโอกาสที่อาวุธจะพังอีกด้วย ต้องใช้สเตตัสพลังโจมตีและพลังโจมตีเวทมนต์ในระดับสูงเพื่อถมช่องว่างระหว่างอาวุธและมอนสเตอร์ให้น้อยลง

    ใช้อังก์ที่ได้จากคีปเปอร์เป็นไอเท็มค้นหาทางลับที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงเปิดทางไปสู่ห้องถัดไปที่มีสภาพแบบเดียวกับห้องแรกไม่มีผิดเพี้ยน

    สี่หนุ่มมัลดิโตกับอีกหนึ่งนักบวชฝึกหัดมองหน้ากันอย่างเข้าใจในความคิดของแต่ละคน ต้องพูดคีย์เวิร์ดเพื่อให้มัมมี่ทะลวงโลงศพออกมาและสู้กับคีปเปอร์อีกสี่ตัวเหมือนเดิม ประสบการณ์จากห้องที่แล้วทำให้พวกเขาไม่ปะทะกับคีปเปอร์ตรงๆ ใช้วิธีสู้พลางถอยถ่วงเวลาให้เมลม็อกร่ายมนต์ศักดิ์สิทธิ์ลดพลังของศัตรูลงก่อนแล้วค่อยทุ่มแรงจัดการในตอนท้าย

    เมื่อเห็นเพื่อนใหม่ทั้งสี่คนเริ่มบาดเจ็บจากการต่อสู้ นักบวชฝึกหัดจึงมอบ ‘สร้อยกางเขนศักดิ์สิทธิ์’ ให้พวกเขาสวมคอเพื่อลดความเสียหายจากศัตรูเผ่าปีศาจและอันเดธ

    “โวะ! ทำไมไม่ให้ตั้งแต่แรกวะ”

    “ก็ได้ยินกิตติศัพท์พวกนายมานานว่าเก่งนักเก่งหนาเลยคิดว่าไม่จำเป็น ตอนแรกยังเห็นพลิ้วๆกันอยู่เลยไหงตะกี๊ถึงโดนโจมตีกันได้ละ”

    “ไอ้คุณม็อกๆ นายจะลองออกไปเป็นแนวหน้าบ้างเอาปะ?” เอเซแขวะเข้าให้หนึ่งที

    “เกรงใจพวกนายว่ะ ขออยู่ข้างหลังเหมือนเดิมดีแล้ว”

    “พูดจาแบบนี้แถวบ้านเรียกกวนส้นเท้านะครับ”

    “โถๆคุณอากิรอสไม่พูดจากวนส้นเท้าเลยนะ”

    ยิ่งผ่านลึกเข้าไปในดันเจียนชั้นที่สองลึกเท่าไร จำนวนมัมมี่และคีปเปอร์ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแถมห้องยังเล็กลงอีกด้วย นอกจากพวกเขาแล้วยากจะมีผู้เล่นกลุ่มไหนฝ่าฝูงผีดิบตายซากเข้าไปจนสุดทางของดันเจียนชั้นที่สองได้

    ที่ห้องสุดท้าย การต่อสู้ตะลุมบอนระหว่างผู้เล่นห้าคนกับกองทัพมัมมี่ร้อยตัวบวกคีปเปอร์อีกสิบสองตนจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายผู้เล่นในสภาพยักแย่ยักยันใกล้ตายเต็มที

    “ขอโพชั่นขวดดิวะเพื่อน”

    เอเซโยนโพชั่นให้อากิรอสตามที่เขาร้องขอ แต่พอเจ้าตัวเปิดขวดแล้วดื่มโพชั่นอึกแรกเข้าไปกลับส่งเสียงร้องออกมาอย่างกับดื่มยาพิษแถมลงไปชักดิ้นชักงออย่างทรมานอีกด้วย

    ทากะใช้เท้าขวาเขี่ยตัวเพื่อนที่นอนบิดไปบิดมาเหมือนหนอนโดนน้ำร้อนลวก “ม็อกมาช่วยไล่ผีหน่อยดิ๊”

    คนถูกเรียกเดินมาใช้เท้าเขี่ยด้วยอีกคน “ไปๆ ชิ่วๆ”

    “พี่อากิโดนสาปเป็นอันเดธสินะดื่มโพชั่นแทนที่จะฟื้นพลังชีวิตดันไปลดซะงั้น” กุห์ฟานใช้แว่นขยายส่องดูคนเจ็บที่โดนรุมแกล้ง

    “มันไปโดนสาปตอนไหนวะ?”

    “สหายเอเซคิดว่าเราจะรู้เรอะ?”

    “รีบๆช่วยพี่อากิเหอะจะได้ไปต่อสักที”

    นักบวชหนุ่มในชุดนักบวชหญิงหยิบน้ำมนต์ออกมาหนึ่งขวด เปิดฝาออกแล้วกรอกใส่ปากอากิรอสจนหมดแล้วเริ่มสวดมนต์เพื่อเริ่มพิธีกรรมถอนคำสาป

    หลังประตูลับที่ใช้อังก์ค้นหาและเปิดคือช่องบันไดแคบๆสูงชันขึ้น ด้านบนคือประตูสู่ดันเจียนชั้นที่สาม ดันเจียนชั้นนี้กลับไปมีเป็นทางเดินแคบๆระหว่างกำแพงหินสูงทั้งสองด้านที่ขึ้นไปบรรจบกันด้านบน มีภาพแกะสลักตลอดกำแพงหินเหมือนที่พบได้ในปีรามิดทั่วไป

    แต่ที่นี่ไม่ใช่ปีรามิดทั่วไป แต่เป็นดันเจียนภายในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์

    ทรายสีดำไหลทะลักออกมาจากภาพแกะสลักเทพอนูบิสบนกำแพง ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของนักรบร่างสูงใหญ่กำยำ มีหัวเป็นสุนัข สวมแผงคอและกำไลทอง ถือขวานสองคมเล่มโตเป็นอาวุธ เสียงขู่คำรามเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังการต่อสู้

    อนูบิสสี่ตัววิ่งหน้ากระดานเรียงสี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว เอเซ ทากะและกุห์ฟานวิ่งออกไปรับมือในขณะที่อากิรอสเริ่มต้นร่ายเวทมนต์ทำลายล้างอย่างรวดเร็ว เมลม็อกเองก็รีบร่ายมนต์เพื่อลดพลังของศัตรูด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์

    “ไอ้พวกนี้มันไม่ใช่อันเดธโว้ย!”

    เอเซแหกปากตะโกนบอก สถานการณ์เช่นนี้นักบวชฝึกหัดที่ฮีลไม่ได้แถมต่อสู้ไม่เป็นจึงกลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย ดาบที่ฉาบพลังเวทไว้ฟันฝ่าร่างของอนูบิสแยกเป็นสองส่วน แต่ว่าส่วนที่แยกออกกลับสลายเป็นเม็ดทรายสีดำและกลับมาหลอมรวมกันเป็นร่างกายอีกครั้ง แม้แต่ลูกบอลเพลิงของอากิรอสก็ไม่สามารถแผดเผาพวกมันได้

    สถานการณ์คับขันขึ้นมาทันที ไม่มีเงื่อนงำใดๆที่จะช่วยคลี่คลายวิกฤตนี้ได้เลย อนูบิสกว่ายี่สิบตัวดาหน้าเข้ามาดุจพายุทรายบ้าคลั่ง หน่วยหน้าทั้งสามคนทำได้เพียงสู้ถ่วงเวลาจนกว่าจะค้นพบคำตอบที่ถูกต้องสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้

    น้ำมนต์ขวดหนึ่งลอยข้ามหัวกุห์ฟานไปกระทบร่างของอนูบิส ของเหลวด้านในแตกออกมารดร่างกายของนักรบสุนัขไนจนเปียกชุ่ม มีควันสีดำพวยพุ่งออกจากทั่วร่างที่เกิดจากทรายดำ หลังจากนั้นการเคลื่อนไหวของมันช้าลงอย่างเห็นได้ชัด นักล่าสมบัติผมแดงฉวยโอกาสโจมตีอนูบิสตัวนั้น คราวนี้ส่วนที่ถูกมีดปาดออกไม่ได้สลายเป็นทรายดำแต่กลายเป็นก้อนทรายเปียกๆและไม่กลับมารวมร่างเดิมอีก

    “พี่ม็อก มีน้ำมนต์เท่าไรโยนให้หมดเลย”

    “อากิ! เอ็งลองใช้เวทน้ำบ้างดิ๊”

    นักเวทผมเทาเปลี่ยนไปใช้เวทมนต์แห่งน้ำบ้างตามที่เอเซบอก น้ำจากพลังเวทมนต์แม้จะไม่ได้ผลเท่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ทำให้พวกมันคืนชีพช้าลง เมื่อเจอน้ำมนต์จากนักบวชฝึกหัดซ้ำสองพวกมันจึงหมดฤทธิ์ถูกกำจัดได้อย่างง่ายดาย

    พอจัดการกับอนูบิสได้แล้ว ศัตรูระลอกต่อไปดันเป็นคีปเปอร์หน้าเดิมแต่คราวนี้มาพร้อมกันยี่สิบตัว ถืออาวุธต่างกันสี่ชนิด ทั้งหอกยาว ขวานใหญ่ ดาบโคเพช และมีดปลายโค้ง การต่อสู้รอบนี้เอเซและกุห์ฟานเกือบไปรายงานตัวกับหมออีวานที่โรงพยาบาล เมื่อคีปเปอร์ตัวสุดท้ายถูกจัดการลงทั้งสองคนก็เหลือพลังชีวิตแค่แปดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น รอดมาได้อย่างฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ

    สู้กับกองทัพอนูบิสสลับกับคีปเปอร์อีกสามรอบ ในที่สุดพวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางของดันเจียนชั้นที่สามได้

    ที่ใจกลางดันเจียนชั้นที่สามมีหีบสมบัติอยู่หนึ่งหีบ มีอังก์ทองคำบรรจุไว้ภายใน ใช้สำหรับค้นหาและเปิดทางสู้ดันเจียนชั้นที่สี่ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย มีอักษรภาพจารึกอยู่บนกำแพงหินเหนือหีบสมบัติ ทากะจึงตรวจสอบตามหน้าที่ของนักสำรวจที่ดี


    “ห้องบรรทมแห่งกษัตริย์และถนนสู่พิภพรวมเป็นหนึ่ง”


    แม้จะยังตีความปริศนาไม่ออกทั้งหมดแต่ก็เข้าใจได้ในบางส่วน ดันเจียนชั้นสี่จะต้องมีบอสอยู่อย่างแน่นอน

    งานหลักที่ต้องช่วยนักบวชฝึกหัดกำจัดอันเดธหนึ่งพันตนยังไม่เสร็จ พวกเขาจึงย้อนเดินในทางวงกตของดันเจียนชั้นสามเพื่อต่อสู้กับศัตรูให้ครบจำนวนที่ภารกิจกำหนด ส่วนดันเจียนชั้นสี่ค่อยขึ้นไปเมื่อทำหน้าที่ของทหารรับจ้างเสร็จสิ้นแล้ว

    ความสนุกที่ได้ต่อสู้กับมอนสเตอร์บอสเป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำงาน...เป็นคติของแคลนมัลดิโต






    ด้านหลังประตูลับที่อังก์ทองคำช่วยบอกทางคือทางออกสู่ด้านนอกปีรามิดที่ความสูงประมาณสองในสาม ดวงอาทิตย์สีแสดกลมโตกำลังจมหายไปที่ขอบฟ้าทิศตะวันตก พวกเขาอยู่ในดันเจียนตั้งครึ่งค่อนวันจนสัมผัสด้านเวลาเพี้ยนไป พอรู้ว่าเป็นเวลาเย็นความหิวก็จู่โจมเข้ามาทันที เตาย่างบาร์บีคิวถูกเรียกออกมาใช้งาน ถ่านหินถูกไฟเผาจนเป็นสีแดงส่งความร้อนออกมาทำให้เนื้อวัวและพริกหยวกเสียบไม้สุกระอุส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย สี่หนุ่มมัลดิโตกินกันเหมือนอดยากมาแรมปีจนคนนอกอย่างเมลม็อกรู้สึกกระดากที่จะร่วมแข่งขันกินเร็วกินจุด้วย

    “แล้วนายจะเอายังไงต่อ?” อากิรอส คีฟ ถามเสียงอู้อี้เพราะเคี้ยวเนื้อย่างอยู่เต็มปาก

    “เหลือดันเจียนชั้นสี่ไม่ใช่เหรอ? ไหนๆก็มากันถึงนี่แล้วก็ลุยต่อให้จบเรื่องจบราวไปเลยดีกว่า”

    “แน่ใจนะ? นายเคยร่วมปาร์ตี้ไปสู้กับบอสที่ไหนบ้างรึเปล่า?”

    “นายไม่เคยได้ยินรึไง? ทุกอย่างมันต้องมีครั้งแรก!”

    กุห์ฟานใช่ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา “งั้นผมไม่รับประกันความปลอดภัยของพี่ม็อกนะ ถือว่าสัญญาช่วยเคลียร์ภารกิจสิ้นสุดลงแล้ว”

    “ไม่ต้องคิดมาก สู้บอสครั้งแรก-ตายครั้งแรก-ไปโรงพยาบาลครั้งแรก เห็นมะว่าอะไรๆก็ครั้งแรกทั้งนั้น”

    “อย่างกับโฆษณาของธนาคารไทยพาณิชย์เลยวุ้ย” เอเซบอกแล้วตั้งหน้าตั้งตากินบาร์บีคิวต่อไป

    เมื่อทุกคนอิ่มท้องและหายเหนื่อยก็พอดีกับที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำและถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาวมากมาย กุห์ฟานใช้อังก์ทองคำนำทางจนไปก้อนหินที่มีช่องกุญแจอยู่ นักล่าสมบัติผมแดงคิดว่าหลังก้อนหินก้อนนี้จะเป็นทางลับขึ้นสู่ดันเจียนชั้นสุดท้าย แต่ผิดคาดที่เมื่อสอดอังก์ทองคำเข้าไปแล้วด้านข้างหินก้อนนั้นกลับกลายเป็นบันไดทอดยาวขึ้นสู่ยอดปีรามิด ขณะเดียวกันก็ทอดยาวลงสู่เบื้องล่างด้วยเช่นกัน

    ทั้งห้าคนขึ้นสู่ยอดปีรามิดพร้อมกัน ประตูทองคำบานใหญ่ทางเข้าสู่ชั้นสุดท้ายของดันเจียนตั้งตระหง่านอยู่ ทั่วทั้งห้องสว่างไฟด้วยแสงสีส้มอ่อนๆจากคบไฟที่ลุกไหม้นิรันดร กำแพงห้องทั้งสี่ด้านมีโลงศพหินตั้งอยู่นับร้อย เห็นแล้วรู้ทันทีว่าด้านในต้องมีคีปเปอร์อยู่อย่างแน่นอน พื้นตรงกลางห้องถูกยกพื้นขึ้นสูงประดิษฐานโลงศพทองคำรับแสงจันทร์จากช่องที่เจาะไว้บนเพดาน

    อังก์ทองคำในมือขวาของกุห์ฟานเปล่งแสงสีทองอร่าม เขารู้ทันทีว่าสิ่งที่ต้องทำคืออะไร

    แต่ก่อนที่กุห์ฟานจะใช้อังก์นั้นเปิดโลงศพทองคำของฟาโรห์ มือซ้ายของทากะตบลงบนบ่าของเขาและหยุดเขาไว้ก่อน น้องเล็กแห่งแคลนมัลดิโตมองตามปลายนิ้วชี้ของทากะซึ่งชี้ไปยังอักษรภาพที่สลักอยู่บนพื้นผิวโลงทองคำ


    “พิธีกรรมคืนชีวิตให้ฟาโรห์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้สมบัติจากเทพคุ้มครองทั้งสี่ หาไม่แล้ววิญญาณชั่วร้ายจะสิ่งสู่ร่างผู้สืบสายเลือดแห่งสุริยะเทพแทนวิญญาณแห่งแสง เกิดภัยพิบัตินานัปการต่อพิภพและสวรรค์จนกว่ายุคสมัยจะสูญสิ้น”


    มีหน้าต่างภารกิจปรากฏขึ้นมา – ให้ตามหาไอเท็มเพื่อคืนชีพแก่ฟาโรห์

    “ภารกิจทางเลือกงั้นรึ?”

    กุห์ฟานบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วตกห้วงภวังค์ความคิดไปเรียบร้อยแล้ว ทากะเห็นแบบนั้นจึงหันไปขอความคิดเห็นจากเอเซแทน

    “สหายเอเซถนัดเรื่องประวัติศาสตร์กับโบราณคดีนี่นา คิดว่าไงบ้าง?”

    “สมบัติจากเทพคุ้มครองทั้งสี่...น่าจะหมายถึงอวัยวะภายในสี่อย่างที่ถูกนำออกจากร่างกายใส่ไหก่อนจะทำมัมมี่และแยกเก็บรักษาไว้ภายในปีรามิด ตามความเชื่อแล้วถ้าวิญญาณกลับมาจากโลกแห่งความตายเพื่อคืนชีพก็ต้องเอาอวัยวะภายในกลับมาใส่ร่างเดิมด้วย”

    เมลม็อกไม่เข้าใจเรื่องที่พวกเขาคุยแม้แต่นิด “เดี๋ยวๆ พวกนายพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย? ตกลงไม่ต้องสู้กับบอสแล้วเหรอ?”

    อากิรอสยัดอังก์ทองคำเข้ามือนักบวชหนุ่ม “นายอยากสู้เหรอ? งั้นเอากุญแจนี่เปิดหีบแล้วโดนฟาโรห์ลุกมาแทะสมองเป็นคนแรกก็แล้วกัน”

    “นี่เป็นอีเวนต์น่ะ น่าจะให้เลือกระหว่างเปิดโลงศพเรียกบอสออกมาสู้หรือว่าจะไปตามหาไอเท็มมาเพื่อคืนชีพฟาโรห์”

    “แล้วพวกนายจะเอายังไงละ?”

    สมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสี่คนมองอังก์ทองคำที่นักบวชฝึกหัดยกขึ้นแล้วก็มองหน้ากันเอง ทั้งสองตัวเลือกต่างมีข้อดีข้อเสียและความคุ้มค่าต่างกัน กลายเป็นสถานการณ์รักพี่เสียดายน้องที่ไม่ว่าจะเลือกคนไหนก็เสียดายทั้งนั้น

    เมื่อเลือกไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องให้เทพีแห่งโชคชะตาเป็นผู้กำหนด

    “ออกหัวปลุกบอส ออกก้อยไปตามหาไอเท็มมาคืนชีพฟาโรห์ โอเคนะ?”

    เอเซ แมคโดเวล หยิบเหรียญเงินออกมาวางบนนิ้วชี้และรองไว้ด้วยนิ้วโป้ง เมื่อทุกคนพยักหน้าต่อข้อกำหนด เหรียญเงินถูกดีดลอยขึ้นสู่กลางอากาศหมุนพลิ้วหลายตลบ ทิ้งตัวตกลงสู่พื้นเกิดเสียงดังกิ๊ง! ครั้งหนึ่งแล้วพลิกกลับลอยขึ้นอีกครั้งด้วยแรงสะท้อน เมื่อเหรียญหยุดนิ่งเผยให้เห็นถึงรูปนูนต่ำของช่อมะกอก พวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ต้องทำคือย้อนกลับลงไปตามหาไอเท็มที่ถูกรักษาไว้กับเทพซึ่งไม่รู้ว่าซ่อนไว้ตรงไหนของปีรามิดใหญ่โตแห่งนี้

    นั่นหมายความว่าการต่อสู้กับมอนสเตอร์อันเดธสุดหฤโหดทั้งดันเจียนกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  3. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 32 – Righteousness




    “เชิญครับ”

    เจ้าหน้าที่สมาคมพ่อค้าเมืองแบล็คแซนด์ผายมือเชิญ กลอเรียส อัลติมัส รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลเข้าสู่ด้านในห้องประชุม ประตูหินแกรนิตแกะสลักเป็นรูปม้ากระโจนสองตัวหันหน้าเข้าหากันเปิดออกกว้างต้อนรับแขกผู้มาเยือน พื้นปูด้วยพรมกำมะหยี่สีแดงสด ผ้าม่านสีขาวสะอาดแขวนกั้นกรองแสงที่บานกระจก มีผู้บริหารสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็คแซนด์นั่งอยู่ครบถ้วนทั้งสิบสองคนรอบโต๊ะโค้งยาวสีดำโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม แต่ละคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีราคาสูง สวมใส่เครื่องประดับล้ำค่าทำจากเพชร พลอยและทองคำ

    กลอเรียส อัลติม่า ก้มหัวคำนับชายวัยกลางคนท่าทางสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงกลางสมาชิกแห่งสมาคมพ่อค้า รังสีแห่งอำนาจและความน่ายำเกรงของผู้นำออกมาจากเขา กระดาษแผ่นหนึ่งถูกปล่อยจากมือของเขาพร้อมคำถาม

    “อยากฟังเหตุผลที่เสนอเรื่องนี้มาสักหน่อย”

    รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลเผยรอยยิ้มและเริ่มต้นอธิบาย

    “แคลนของเซเลสเทียลทำภารกิจกับสมาคมจนได้ครอบครองพื้นที่เฉพาะ มีสิทธิ์เรียกเก็บเงินจากผู้เล่นที่เข้าไปต่อสู้แสวงหาทรัพยากรในพื้นที่และมอบเงินตอบแทนสิบเปอร์เซ็นต์ให้สมาคมทุกเดือน ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีผู้เล่นกลุ่มหนึ่งปฏิเสธการจ่ายเงิน เรื่องราวบานปลายถึงขนาดเกิดความเสียหายขึ้นในเมืองแบล็คแซนด์อย่างร้ายแรง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้เล่นกลุ่มอื่นและเพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ผมในฐานะตัวแทนแคลนเซเลสเทียลจึงขอใช้กฎภายในเกมเป็นบทลงโทษสำหรับผู้เล่นกลุ่มดังกล่าวโดยความเห็นชอบจากสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็คแซนด์เจ้าของสิทธิ์แห่งพื้นที่อย่างแท้จริง”

    ผู้บริหารสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็คแซนด์ส่วนใหญ่คล้อยตามเหตุผลของกลอเรียส

    “มีสมาชิกท่านใดจะใช้สิทธิ์คัดค้านหรือไม่?”

    ชายวัยกลายคนผู้เป็นประธานสมาคมถามขึ้น สิบวินาทีผ่านไปไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงใดออกมา ประธานในที่ประชุมยกตราประทับจากถาดหมึกประทับลงบนเอกสารคำร้อง

    ‘อนุมัติ’

    กลอเรียสก้มหัวทำความเคารพ เดินเข้าไปรับเอกสารประทับตรารับรองและกลับออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว หยิบคริสตัลขึ้นมาก้อนหนึ่ง

    “แอคทีฟ”

    เขาปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหน้าอาคารสภาผู้บริหารเมืองบลูเพิร์ล เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่เร่งรีบด้วยท่วงท่าสง่างาม สมาชิกแคลนเซเลเสเทียลหลายคนที่นั่งเล่นนั่งคุยอยู่แถวนั้นต่างลุกขึ้นทำความเคารพเขาอย่างพร้อมเพรียง

    “ช่วยตามคุณไวโอเล็ตแซฟไฟร์กับอีกสองคนให้ด้วย บอกว่าผมมีเรื่องสำคัญจะคุยและให้ไปเจอกันที่ห้องอาหารบนชั้นสอง”

    สมาชิกที่ได้รับคำสั่งรีบถ่ายทอดข้อความออกไป ไวโอเล็ตแซฟไฟร์และอีกสองคนที่กลอเรียสต้องการพบรีบเดินทางมาที่อาคารสภาผู้บริหารเมืองทันที ทั้งสามคนเข้าไปภายในห้องอาหารซึ่งเป็นโถงกว้าง จัดวางอาหารไว้ให้ผู้เล่นบริการตัวเอง กลอเรียส อัลติมัส รออยู่ในห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสอง

    แขกทั้งสามเข้าไปในห้อง ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะโดยไม่ได้รอให้เชิญ

    “เรียบร้อยแล้ว?”

    กลอเรียสส่งเอกสารที่ได้จากสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็คแซนด์ให้ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ เธออ่านจบแล้วจึงส่งให้อีกสองคนอ่านด้วย

    หนึ่งในแขกที่กลอเรียสเชิญมาเป็นผู้เล่นหญิงหน้าตาสะสวย ผมสีดำหยักศกยาวถึงเอว ดวงตาสีแดงเหมือนทับทิมบริสุทธิ์ ผิวขาวผุดผ่องราวหิมะ เธอสวมชุดวันพีซสีขาวสะอาด สวมผ้าคลุมสีดำแบบเดียวกับผ้าคลุมที่จอมเวททั่วไปใช้กัน – เอรันดา วิเลนเซีย ‘ปรินเซสเอรันดา’ หัวหน้าแคลนเฮฟเวนลี่ปรินเซส แคลนผู้เล่นหญิงล้วนและเป็นแคลนพันธมิตรของแคลนเซเลสเทียล

    เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะเล็กๆที่แสนไพเราะ “ไม่นึกเลยว่านายจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสไปได้ ไปกล่อมพวกนั้นแบบไหนถึงได้ยอมปั๊มตราอนุมัติแบบนี้มาได้นะ”

    “ผมก็แค่บอกความจริงให้พวกเขาฟังเท่านั้น”

    “ความจริง?” เอรันดาหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี

    “อย่ามัวพูดเรื่องยิบย่อยอยู่เลย ที่นายเรียกพวกเรามาก็ได้เวลาที่พวกเราจะออกโรงแล้วสินะ?”

    ผู้ที่พูดแทรกขึ้นด้วยเสียงดังคือ แพททริค โอลิเวีย กิ๊บสัน ชายผู้มีเส้นผมและดวงตาเป็นประกายสีทอง ใบหน้าเรียวรับกับสันจมูกโด่ง หล่อเหลาเหมือนรูปปั้นเทพบุตรของไมเคิล แองเจโล เพียงแต่ชุดที่เขาสวมไม่ใช่ชุดของเทพบุตรแต่เป็นเสื้อเกราะหนังสีดำของนักรบ ความหล่อของเขาทำให้ผู้เล่นหญิงหลายคนหมายปองจะได้สนิทชิดเชื้อด้วย นอกจากรูปงามแล้วเขายังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแคลนโฮลี่คิงดอม อีกหนึ่งแคลนพันธมิตรของแคลนเซเลสเทียลด้วย

    สมาชิกของทั้งสามแคลนนี้รวมกันเท่ากับหนึ่งในสี่ของผู้เล่นทั้งหมดในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ ณ เวลาปัจจุบัน ความสามารถของพวกเขาแต่ละคนจัดอยู่ในระดับยอดมนุษย์ ได้รับยกย่องให้เป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าของเกมได้อย่างแท้จริง

    “อยากจะลองสู้กับคนที่เสมอกับนายได้จริงๆ ท่าทางจะมันส์ไม่หยอก”

    “แพททริค นายอย่าประมาทเกินไปละฝั่งโน้นเขาแข็งแกร่งจริงๆแถมยังมีของเล่นน่าสนใจอยู่ในมืออีกด้วย”

    “หมายถึงสัตว์เวทระดับบอสนั่นเหรอ? จะสู้กับไอ้ตัวนั้นมันก็น่าสนุกอยู่หรอกแต่เท่ากับว่าพวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่นรึเปล่า?”

    ปรินเซสเอรันด้าหยิบมีดปักลงกลางรูปของ อากิรอส คีฟ ใบหน้าสะสวยเมื่อยิ้มด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วดูน่ากลัวขึ้นมาทันใด “งั้นก็เก็บเจ้าหมอนี่ก่อนเลยสิ”

    “งั้นให้เป็นหน้าที่ของเธอนะเอรันดา ฉันอยากจะสู้กับคุณหัวหน้าแคลนมาดนิ่งมากกว่าผู้ชายปากหมาทำตากะลิ้มกะเหลี่ยตลอดเวลาหรอก”

    “ไม่ต้องห่วงน่า น้องไม่ไปยุ่มย่ามกับสุดที่รักของพี่ไวโอเล็ตหรอกหรอก”

    “ทั้งสามคนอยากทำอะไรก็ตามใจเลยนะ ยังไงตอนนี้ ‘ความชอบธรรม’ ก็อยู่ในมือของพวกเราแล้ว”

    กลอเรียส อัลติมัสจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หยิบกระดาษแผ่นสำคัญที่ยืนยันการตั้งค่าหัวของสมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสี่คนด้วยรอยยิ้มพิเศษเฉพาะตัว รอยยิ้มที่เดาไม่ออกว่าเจ้าของรอยยิ้มกำลังคิดอะไรอยู่










    ที่เพิ่งหมาแหงนริมกำแพงเมืองอารันด์ฝั่งทิศใต้ สี่หนุ่มมัลดิโตนอนแผ่หลาอย่างสุขีกับอากาศสบายๆในตอนสายและยังมีสายลมเย็นๆโชยพัดมาตลอดเวลา หลังจากช่วยเหลือเมลม็อกให้ผ่านภารกิจปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดของอาชีพนักบวช พวกเขาต้องลำบากตรากตรำขึ้นลงปีรามิดอีกหลายต่อหลายรอบเพื่อช่วยเหลือนักบวชฝึกหัดคนอื่นเพื่อผ่านเงื่อนไขด้วยเช่นกัน

    เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อเมลม็อกติดต่อกลับมาว่าหลังจากเป็นนักบวชเต็มตัวแล้วก็ยังฮีลให้ผู้เล่นคนอื่นไม่ได้อยู่ดี

    “พอไปถามฟาเธอร์ๆก็บอกเหมือนเดิมว่าผู้ไม่ศรัทธาย่อมไม่ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า พอเป็นแบบนั้นก็เลยถามว่าต้องทำยังไงถึงฮีลคนที่ไม่ศรัทธาได้ ฟาเธอร์บอกว่าต้องเลื่อนขั้นจากนักบวชเป็นนักบวชชั้นสูง หลังจากนั้นถึงเลือกได้ว่าจะเป็นบิชอปหรือนักบุญ ถ้าเป็นนักบุญถึงจะฮีลให้คนที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าได้ บ้าป่าววะ!? คิดดูดิต้องคลาสอัพถึงสองรอบเลยนะ แล้วชาตินี้จะเก็บค่าประสบการณ์พอไหมเนี่ย?”

    เมลม็อกบ่นยาวชุดใหญ่พลางระบายความโมโหด้วยการทุบโต๊ะเสียงดังอีกหลายรอบ

    “แบบนี้ก็แย่สิพี่ม็อก”

    กุห์ฟานถอนหายใจด้วยความรู้สึกเห็นใจจริงๆ แต่อากิรอส คีฟ ตบไหล่นักบวชหนุ่มด้วยรอยยิ้มสมน้ำหน้า

    “ยกเลิกอาชีพนักบวชแล้วไปเล่นอาชีพอื่นได้ไหมวะ?” เอเซนอนพิงกำแพงถามขึ้น

    “ทำแบบนั้นก็ได้อยู่แต่ผมไม่แนะนำหรอก ยังไงก็ได้อาชีพมาแล้วแต่ไม่ต้องเล่นให้มาสเตอร์เพื่อคลาสอัพก็ได้ ให้พี่ม็อกไปทำภารกิจของสมาคมอาชีพอื่นจนครบเงื่อนไขแล้วคลาสเชนจ์เปลี่ยนสายไปเลยดีกว่า อย่างเช่นได้ทักษะของอัศวินมาเอามารวมกับของเดิมอาจจะคลาสเชนจ์เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ครูเซเดอร์ก็ได้นะ”

    “เออดีแฮะ แล้วอาชีพนักดาบเวทของพี่มันเปลี่ยนไปเป็นอะไรได้มั่งละ?”

    “นักดาบเวทแบบพี่เอเซตัวเลือกมีน้อย แนะนำให้คลาสอัพขึ้นไปเรื่อยๆจากนักดาบเวทเป็นนักรบอาคม แล้วก็อัพอีกทีเป็นอัศวินมนตราอะไรแบบนั้นดีกว่า”

    “สหายเอเซอย่าเพิ่งคิดเรื่องไกลตัวเลย มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะช่วยสหายม็อกๆยังไงดี”

    “ก็แล้วแต่พี่ม็อกเหมือนกัน ถ้าอยากจะคลาสอัพมีฮีลไว้ใช้ผมก็จะแนะนำแม็ปที่ให้ค่าประสบการณ์ดีๆ แต่ถ้าอยากคลาสเชนจ์ผมจะได้ช่วยเรื่องข้อมูลภารกิจของสมาคมอาชีพให้”

    “ชักอยากเปลี่ยนไปเล่นสายบู๊แล้วว่ะแต่ก็ไม่อยากทิ้งอาชีพนักบวช มีอาชีพที่มิกซ์กับสายนักบวชแล้วเข้าท่าๆบ้างรึเปล่า?”

    “เรื่องมากเหลือเกินนะนาย”

    “หุบปากไปเลยไอ้คุณอากิรอส ช่วยไม่ได้แล้วยังมาป่วนอีกนะ”

    เมลม็อกแกะมือของนักเวทผมเทาออกจากบ่าแล้วหันไปรอคำตอบจากกุห์ฟานที่ขอคำปรึกษาจากเน็ตเวิร์คอยู่ ครึ่งชั่วโมงให้หลังรายชื่ออาชีพที่น่าสนใจและข้อมูลอื่นๆถูกส่งต่อให้นักบวชผู้หมดศรัทธาในระบบของเกมพิจารณาข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมต่างๆ

    “เลือกไม่ได้จะโยนหัวตัดสินก็ได้นะ”

    เอเซแซวอย่างอารมณ์ดีเพราะครั้งที่ลุยดันเจียน ‘สุสานที่สูญหาย’ จนถึงชั้นสี่ ไปยืนอยู่ต่อหน้าโลงศพทองคำรอปลุก ‘ฟาโรห์’ ขึ้นมาสู้แล้ว เขาดันโยนเหรียญได้ด้านก้อยต้องลุยกลับลงไปที่ดันเจียนชั้นหนึ่ง ค้นหาทางลับลงสู่ชั้นใต้ดินเพื่อตามหา ‘คาโปนิค’ ซึ่งเก็บรักษาอวัยวะภายในทั้งสี่ที่จำเป็นต่อภารกิจอีเวนต์ ‘คืนชีพให้ฟาโรห์’ ลุยกันสุดตัวจากชั้นสี่ลงไปชั้นใต้ดินแล้วลุยกลับขึ้นมาทำเอาพวกเขาเหนื่อยแทบขาดใจแถมไอเท็มฟื้นพลังยังหมดเกลี้ยงไปด้วย แต่ไอเท็มที่ได้เป็นรางวัลก็นับว่าคุ้มค่าอยู่

    “เราว่าทำเป็นเซียมซีแล้วเขย่าเอาดีกว่านะ”

    อากิรอสเสนอขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าทั้งโยนเหรียญและเสี่ยงเซียมซีจะแบบไหนเมลม็อกก็ไม่เอาด้วยทั้งนั้น

    สุดท้ายแล้วนักบวชหนุ่มก็เลือกอาชีพเอ็กโซซิสต์ที่สามารถคลาสเชนจ์จากอาชีพนักบวชได้เลยเมื่อศึกษาทักษะที่จำเป็นครบถ้วนแค่ไม่กี่ทักษะ หลังจากนั้นจึงเป็นมหกรรมลุยแหลกเก็บค่าประสบการณ์ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน

    หลังจากช่วยให้เมลม็อกคลาสเชนจ์จากอาชีพนักบวชเป็นเอ็กโซซิสต์สำเร็จ จู่ๆก็พวกเขาก็กลายเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ภายในเกมอีกแล้ว

    “เอ็กโซซิสต์คนแรก! มัลดิโตช่วยลุยดันเจียนลับจนคลาสเชนจ์ได้”

    ไม่มีใครรู้ว่าพวกผู้เล่นที่เขียนข่าวให้หนังสือพิมพ์หาข่าวด้วยวิธีไหน แต่ที่ข้อมูลเขียนไว้คือความจริงทั้งหมด แม้แต่กุห์ฟานยังจับหางไม่ได้ว่าใครกันที่คอยตามสืบข้อมูลของพวกเขาอยู่

    ชาวมัลดิโตทั้งสี่คนกลับมาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอีกครั้งเมื่อผู้เล่นอาชีพนักบวชฝึกหัดหลายคนมาขอความช่วยเหลือ ทั้งกลุ่มที่ต้องการปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัด ทั้งกลุ่มที่ต้องการคลาสอัพให้สูงขึ้นและคลาสเชนจ์เป็นเอ็กโซซิสต์ ไหนจะผู้เล่นที่ต้องการข้อมูลภายในดันเจียนสุสานที่สูญหายอีก

    พอจู่ๆคิวทองขึ้นมากะทันหันพวกเขาดันอยากกลับไปว่างงานเหมือนแต่ก่อน แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ไปอีกนาน

    เป็นเวลานานแรมเดือนที่ทั้งสี่คนไปกลับๆระหว่างเมืองอารันด์และดันเจียนกลางทะเลทราย ช่วยเหลือนักบวชฝึกหัดหลายร้อยคนให้เป็นนักบวชเต็มตัว เพิ่มจำนวนผู้เล่นอาชีพเอ็กโซซิสต์อีกห้าสิบกว่าคน ทำแผนที่และเส้นทางลับภายในดันเจียน วิจัยมอนสเตอร์ประเภทอันเดธละเอียดยิบจนพวกเขาเบื่อหน้ามัมมี่และเกรฟคีปเปอร์ไปอีกนาน แถมมารู้เอาทีหลังด้วยว่าสามารถใช้อังก์ค้นหาบันไดลับและเปิดทางขึ้นสู่ห้องของฟาโรห์ที่ดันเจียนชั้นสี่เพื่อรับภารกิจแล้วค่อยย้อนกลับลงไปชั้นใต้ดินซึ่งประหยัดเวลาเกือบครึ่งหนึ่ง กว่าจะรู้ความลับนี้พวกเขาได้ขึ้นลงๆปีรามิดไปหลายสิบครั้งแล้ว

    วันนี้และพรุ่งนี้คือวันว่างที่พวกเขาจัดตารางให้เป็นวันหยุดหนึ่งวันสำหรับบริหารจัดการไอเท็ม ทั้งส่วนที่นำไปแลกเปลี่ยนและแปรรูปเป็นวัตถุดิบใช้งานเอง และเพื่อตุนเสบียงอาหารไว้สำหรับลุยยาวๆ

    แต่ระหว่างนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเสื่อหญ้าถัก จู่ๆทั้งทากะและเอเซได้รับข้อความในเวลาไล่เลี่ยกัน

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตได้รับข้อความจากหัวหน้าหมู่บ้านเจ้าของเหมืองบนภูเขาหิมะที่เขาเคยช่วยเหลือขับไล่วิลเลียมและพรรคพวกแลกกับแร่เหล็กไปใช้ตีดาบ ส่วนนักดาบเวทได้รับข้อความจากหัวหน้าหมู่บ้านที่เขาเคยช่วยขับไล่เสือให้ก่อนจะเข้าสู่ป่าดำไปตามล่ามังกรบรรพกาล

    “หลานสาวของหัวหน้าหมู่บ้านหายตัวไป อยากได้คนไปช่วยตามหา”

    “ส่วนทางนี้หลานสาวของเมียผู้ใหญ่บ้านป่วยหนัก ต้องการยารักษาเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”

    “บังเอิญเกินไปนะฮะ”

    “พวกพี่สองคนจะเอายังไงละ?”

    “เอ็นพีซีส่งคำร้องขอมาเองแบบนี้คงเป็นอีเวนต์เฉพาะ เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าปฏิเสธหรอก”

    “ก็คงต้องไปช่วยว่ะเขาอุตส่าห์ขอร้องมาทั้งที ไหนๆก็แวะไปรับภารกิจจากบาร์แล้วก็หมออีวานเลยด้วย เข้าป่าดำเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเบื่อทะเลทรายแล้ว พี่ฝากนายช่วยจัดไอเท็มเตรียมเข้าป่าดำให้ด้วยนะ”

    “ได้เลยพี่”

    กุห์ฟานติดต่อหาไนซ์และเล่าเรื่องให้เพื่อนสาวฟัง เธอยินดีเป็นธุระให้อย่างเช่นเคยเพียงแต่วันนี้เธอมีนัดคุยกับเอ็นพีซีจึงต้องให้ใครสักเข้าไปรับไอเท็มที่ร้านเอง

    หลังจากวัดดวงด้วยไม้สั้นไม้ยาว คนที่รับหน้าที่นั้นก็คืออากิรอส คีฟ










    เอเซเข้าเมืองไปพร้อมอากิรอสด้วยเพราะเขาต้องไปติดต่อหมออีวาน ไอแซค ที่โรงพยาบาล เขาแยกทางไปลานกว้างที่ปักธงรูปกาชาดเอาไว้ ชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอ่านหนังสือคุ้นหน้าคุ้นตากับชายหนุ่มผู้มาเยือนดีอยู่แล้วเพราะมาใช้บริการเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าเอเซตายจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆแต่เพราะต้องคอยหาวัตถุดิบไปส่งให้นายแพทย์จอมโวยวายอยู่เสมอ

    แสงสว่างอ่อนๆห่อหุ้มร่างกายของนักดาบเวทและพาเขาวาร์ปไปสู่ทุ่งหญ้ากว้างขวางไร้ขอบเขต มีเพียงอาคารทรงโบราณก่อสร้างจากอิฐสีน้ำตาลตั้งอยู่เท่านั้น พยาบาลฝาแฝดสุดสวยในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยิ้มกว้างเมื่อเอเซเดินเข้าสู่ด้านในอาคาร เธอหยิบป้ายติดหน้าอกสำหรับแขกให้เขาและเมาท์ให้ฟังว่าช่วงนี้หมออีวานบ่นอยากกินอาหารทะเลตลอดเลย

    เขายิ้มแห้งๆแล้วขึ้นบันไดไปยังชั้นห้า เลี้ยวซ้ายไปยังห้องหมายเลขห้าศูนย์ห้า เคาะประตูเบาๆสามครั้ง

    มีมีดผ่าตัดเล่มหนึ่งทะลวงออกมาจากด้านใน ปักคาประตูอยู่อย่างนั้น

    “หายหัวไปไหนมาตั้งนานวะ? ข้ากินแต่แซนด์วิชทูน่าจนหน้าจะเป็นปลาแมคคาเรลอยู่แล้ว!”

    นายแพทย์อีวาน ไอแซคสวมเสื้อกราวน์สีขาวทับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มทักทายด้วยน้ำเสียงเจืออารมณ์ขุ่นมัว เอกสารบนโต๊ะกองสูงท่วมหัวเหมือนเช่นเดิม บนพื้นรกไปด้วยก้อนกระดาษยับๆหลายสิบก้อน ข้างกายเขามีแก้วกาแฟที่เขรอะด้วยคราบสีน้ำตาลเข้มเหมือนกับไม่เคยเอาไปล้างสักครั้ง

    “ก็นะ ธุรกิจกำลังไปได้ดีเลยไม่ค่อยว่างเท่าไร วันนี้ถ้าไม่ล็อกเอาไว้ว่าเป็นวันหยุดก็คงไม่ได้มาที่นี่หรอก”

    “แล้วมีอะไรติดไม้ติดมือมามั่งไหม?”

    เอเซเปิดหน้าต่างไอเท็ม เรียกกล่องรักษาสภาพออกมา หยิบข้าวกล่องฝีมือไนซ์ส่งให้คุณหมอผู้ขาดแคลนของอร่อยสี่กล่อง

    “แค่นี้เอง?”

    “แค่นี้ก็ดีแล้วน่า อยากกินอะไรก็บอกมาเหมือนเดิมนั่นแหละเดี๋ยวไปหาให้”

    “เอาเป็นปลาดอรี่หวานฉ่ำตัวโตๆ หนวดปลาหมึกยักษ์สดๆ กุ้งมังกรตัวโตๆ หอยนางรมเท่าฝ่ามือ แล้วก็...”

    “สต็อปเลย! ช่วยอยากกินอะไรที่มันไม่ลำบากต้องไปไกลๆได้ไหมเนี่ย แถมที่เมืองท่าน่ะโจทก์เพียบเลยนะ”

    “ไรแว๊ ก็อยากกินอาหารทะเลนี่หว่า ไม่กินซะบ้างเดี๋ยวจะขาดสารไอโอดีนทำให้เกิดโรคคอพอกและอีกสารพัดเลยนะ”

    “แค่อยากก็บอกมาตรงๆเถอะไม่ต้องยกเหตุผลทางการแพทย์มาอ้างหรอก รอบนี้ว่าจะเข้าป่าดำเอาเป็นเนื้อมังกรเหมือนเดิมได้ไหม? แถมเนื้อกวางกับหมูดำให้ด้วย”

    หมออีวานรีบเปิดหน้าต่างสร้างภารกิจทันที

    “พอดีมีชาวป่าในหมู่บ้านป่วยหนักต้องการยาอย่างด่วนเลย รอบนี้ขอเบิกรางวัลเป็นพวกยาลดไข้กับยาอื่นๆที่จำเป็นล่วงหน้าไปก่อนเลยได้ปะ? ขอเยอะๆเลยด้วย”

    “หือ? ได้ดิ เดี๋ยวเขียนใบสั่งยาให้ไปเบิกเอากับพยาบาลข้างล่างละกัน”

    เมื่อรับภารกิจและได้ยาที่จำเป็นจากโรงพยาบาลแล้ว เอเซ แมคโดเวล กลับสู่เมืองอารันด์ มุ่งหน้าไปยังบาร์ไร้นามที่ตอนนี้ตั้งชื่อเป็น ‘แบล็คจังเกิล’ อีกหนึ่งสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี มาสเตอร์ผู้รักในการผจญภัยและหลงใหลการเดินป่าอยู่ในชุดเดินป่าทะมัดทะแมงกำลังคุยโขมงกับลูกค้าอยู่ที่เตาท์เตอร์ด้านในสุด วันนี้ร้านของเขายังคงคึกคักด้วยผู้เล่นที่แวะเวียนมาลิ้มลองรสชาติอาหารป่าเช่นเคย เอเซมองบรรดาของตกแต่งร้าน พวกหัวสัตว์สตัฟฟ์ของบรรดาเจ้าเขางามทั้งหลายอย่างเก้ง กวาง สมัน เลียงผา หรือกระทั่งสัตว์ใหญ่อย่างกระทิงและควายป่า งาช้างคู่งามในตู้โชว์หลังเคาท์เตอร์ทำให้เขาหวนนึกไปถึงตอนลุยกับช้างทั้งโขลงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

    เมื่อมาสเตอร์รับรู้ถึงการมาถึงของแขกคนสำคัญก็รีบเรียกให้มานั่งด้านในทันที

    “ว่าไงพรานมือฉมัง วันนี้ลมอะไรหอบมากินข้าวป่าถึงร้านนี้ได้?”

    “ก็ลมหิวนั่นแหละมาสเตอร์”

    ชายวัยกลางคนซึ่งมีเคราดกหัวเราะดั่งลั่น ตะโกนให้เด็กประจำร้านรีบไปสั่งพ่อครัวให้ลงมือทำเมนูพิเศษทันที “ได้ข่าวว่าช่วงนี้งานยุ่งไม่ใช่เรอะ?”

    เอเซรับเบียร์เย็นๆมาดื่มอึกใหญ่แล้วตอบคำถาม “ก็ยุ่งเหมือนเดิมนั่นแหละมาสเตอร์ พอดีว่างวดนี้ต้องเข้าป่าดำเลยแวะมาถามว่ามาสเตอร์อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”

    “ฮ่าๆๆ ดีเลย กำลังอยากได้เนื้อหมูป่ากับเนื้องูเพิ่มสักหน่อย ใครมันไปโฆษณาเมนูให้ก็ไม่รู้เหมือนกันคนเลยแห่มากินอย่างกับแจกฟรีแน่ะ”

    มาสเตอร์หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีเพราะคนที่พูดถึงกำลังนั่งละเลียดเบียร์อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

    มื้อกลางวันของวันนี้เอเซมีลาภปากได้กินแกงป่ารสจัดจ้านหอมกลิ่นเครื่องเทศร้อนแรง กระดูกอ่อนหมูป่าผัดพริกแกง หนังงูเห่าย่างกรุบกรอบ ปลาเนื้อขาวนึ่งมะนาว เนื้อกวางผัดหยวกกล้วยกินกับข้าวหลามกระบอกใหญ่โดยไม่ต้องจ่ายสักกิลเดียว แถมได้ของแถมกลับไปฝากเพื่อนฝูงอีกด้วย

    รับภารกิจหาของป่าเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับไปที่เพิงหมาแหงนริมกำแพงเมือง จัดแจงส่งกับเสบียงชุดใหญ่ให้ทากะและกุห์ฟาน

    “ไอ้หมอนั่นยังไม่กลับมาเรอะ?”

    “นึกว่าไปด้วยกันกับพี่เอเซซะอีก นี่แยกกันเหรอ?”

    “แยกกันตั้งแต่เข้าประตูเมืองแล้ว มันจะตามไปที่โรงพยาบาลทำไมละวะ?”

    “พยาบาลสาวๆ สวยๆ อึ๋มๆ ยังไงละสหายเอเซ”

    “ความเห็นเข้าท่าแต่ว่ามันไม่ได้ไปว่ะ กินๆเข้าไปเหอะไม่ต้องรอมันหรอก”

    “กลัวว่าพี่อากิจะไปจีบหญิงที่ไหนแล้วโดนแฟนผู้หญิงคนนั้นเอาท่อนไม้แพ่นกบาลเอาน่ะสิ”

    “ถ้ามันหน้ามืดจนเข้าไปจีบโดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็ปล่อยมันเหอะ เดี๋ยวมันก็กลับมาเองนั่นแหละ”

    หลังจากกินมื้อใหญ่จนอิ่มหนำสำราญแล้วทั้งสามคนจึงนั่งเล่นไพ่ด้วยกันอย่างสบายอารมณ์ ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง นักเวทจอมกวนก็ยังไม่กลับมาแต่คนที่ติดต่อมาคือไนซ์ เธอบอกว่ารออยู่ที่ร้านตั้งนานไม่เห็นมีใครไปรับไอเท็มสักที

    สามหนุ่มมองหน้ากัน แม้ว่าอากิรอสจะเจ้าชู้ไม่เลือกสถานที่และเวลาขนาดไหนก็ตามแต่ก็ไม่เคยผิดนัดหรือลืมหน้าที่ตัวเองอย่างแน่นอน กุห์ฟานลองติดต่อผ่านช่องทางของแคลนก็พบว่ารุ่นพี่ของเขาอยู่ในสถานะไม่สามารถติดต่อได้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่รู้จักกันมาหลายปี

    พวกเขารีบเข้าเมืองไปหาไนซ์ที่ร้านก่อนเพราะเธอจะต้องไปติดต่อค้าขายกับเอ็นพีซีอีกหลายราย แต่เมื่อเธอรู้ข่าวว่าอากิรอสหายตัวไปก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กุห์ฟานต้องบอกว่าเดี๋ยวพวกเขาหาทางแก้ปัญหาเองเธอจึงวางใจและออกไปทำธุระของตัวเองได้

    “รอยเท้าไม่ได้มุ่งมาทางนี้แต่เลี้ยวออกไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันตกสินะ?” เอเซถามกับทากะเพื่อยืนยันว่ารอยเท้าของอากิรอสที่เขาเห็นจากทักษะแกะรอยเป็นเช่นนั้นจริงๆ

    ทากะพยักหน้ายืนยันข้อมูล










    ทั้งสามคนย้อนกลับมาที่ประตูเมืองทิศใต้อีกครั้ง เดินไปในเส้นทางที่อากิรอสทิ้งร่องรอยไว้ จากประตูเมืองทิศใต้มุ่งหน้าสู่จัตุรัสกลางเมืองเลี้ยวซ้ายไปทางประตูเมืองทิศตะวันตก ข้อมูลจากรอยเท้าบอกว่าเขาเดินช้ากว่าปกติ ระยะห่างระหว่างเท้าซ้ายและเท้าขวาแคบชิดเหมือนเดินชะลอฝีเท้า ลักษณะการเดินแบบนี้ถ้าไม่ใช่เจ้าจงใจลดความเร็วตัวเองเพราะถูกสะกดรอยตามหลังก็เป็นไปได้ว่าเขาปรับความเร็วของตัวเองให้เข้ากับความเร็วในการเดินของคนอื่น

    รอยเท้านำทางไปถึงประตูเมือง กุห์ฟานเข้าไปหาข่าวจากป้อมทหารปล่อยให้รุ่นพี่อีกสองคนตามแกะรอยต่อไปถึงทุ่งหญ้านอกเมืองก่อน รอยเท้าของนักเวทที่หายตัวไปมุ่งหน้าไปที่ผืนป่าทางตะวันตกเฉียงใต้

    “ภารกิจ?”

    เอเซเอียงคอมองตามรอยเท้านั้นอย่างแปลกใจ ปกติแล้วผู้เล่นที่เดินทางเข้าไปในป่าผืนนั้นก็มีแต่ต้องไปทำภารกิจที่เกี่ยวข้องกับ ‘คิลเลอร์ฮอร์เน็ต’ เท่านั้น

    “ไปดูกันก่อนเถอะ”

    พวกเขาระวังตัวเต็มที่แต่แสร้งทำตัวตามสบายเป็นปรกติ อาจมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกวินาทีนับจากนี้ หางตาคอยชำเลืองมองรอบตัวตลอดเวลา ตั้งสมาธิรับฟังทุกเสียงที่เกิดขึ้น

    ยังไม่ทันได้เข้าสู่ป่าลึกหนาทึบเบื้อหน้า กุห์ฟานติดต่อมาบอกให้พวกเขารีบกลับเข้ามาในเมืองให้เร็วที่สุด

    “มีไรวะ?” เอเซถามเมื่อเจอหน้ารุ่นน้องทันที

    “ตอนนี้พี่อากิอยู่ที่โรงพยาบาล รายละเอียดไปคุยกันที่นั่น”

    เมื่อเห็นสายตาซีเรียสอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากกุห์ฟาน รีส ริยาส ทั้งเอเซและทากะจึงไม่ซักไซ้ให้มากความ รีบไปที่โรงพยาบาลเพื่อพบหน้าอากิรอสและรอฟังความจริงจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

    ทั้งสามคนยิ้มเล็กๆเมื่อพยาบาลสาวฝาแฝดที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และต้อนรับยิ้มกว้างให้ เมื่อได้รับแจ้งหมายเลขห้องพักของอากิรอสแล้วพวกเขาจึงตรงดิ่งไปที่ห้องนั้นทันที

    “อ้าว? ว่าไง ไม่เจอกันนานนะ”

    รอยยิ้มไม่เป็นธรรมชาติและความพยายามจะเล่นมุกของนักเวทผมเทาในชุดคนไข้ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแม้แต่น้อย

    “สหายอธิบายให้ฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

    “ก็พอเราแยกกับเอเซจะไปที่ร้านของไนซ์ตามที่ตั้งใจไว้ พอไปเกือบถึงกลางเมืองก็เจอผู้หญิงคนนึงมาขอความช่วยเหลือจากเราในฐานะทหารรับจ้าง”

    “เหอะ! เห็นว่าสวยน่ารักดีก็เลยตามไปช่วยก่อนงั้นเหรอ?”

    เมื่อเห็นอารมณ์หนักแน่นของเอเซ เขาจึงไม่กล้าโกหก “เออ! โคตรสวยเลยแต่เห็นหน้าไม่ชัดหรอกนะเพราะมีผ้าสีดำคลุมหัวไว้อยู่ พอคุยกันเสร็จผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าต้องไปทำภารกิจรวบรวมน้ำผึ้งในป่าแต่สู้ผึ้งไม่ไหวก็เลยจะไปหาพวกเราที่นอกเมืองพอดี เราก็เลยตอบโอเคไป”

    “หลังจากนั้น?”

    “ก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงป่านอกเมือง พอผู้หญิงคนนั้นหยิบกระดิ่งเล็กๆออกมาแล้วเราก็วูบเลย รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ในโรงพยาบาลแล้วว่ะ”

    เพื่อนร่วมแคลนทั้งสามคนมองหน้ากันและพยักหน้ากุห์ฟานเป็นคนอธิบาย

    “ตอนนี้พวกเราสี่คนโดนตั้งค่าหัวจากสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็คแซนด์แล้วละ กระดิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นใช้คงเป็นไอเท็มสร้างสถานะผิดปกติสักอย่างที่ทำให้พี่เบลอจนไม่รู้ตัวว่าโดนฆ่าตายส่งมานอนโรงพยาบาลนี่ไง พี่อากิน่าจะโดนแผนนางนกต่อแอ๊บแบ๊วหลอกพี่ไปเชือดทิ้งในป่าแหงๆ”

    “หะ!? ค่าหัว? ค่าหัวเรื่องที่พวกเราไปถล่มเมืองจนเละเทะน่ะเหรอ”

    “ผิดแล้ว เป็นค่าหัวเรื่องที่พวกเรารุกล้ำพื้นที่สิทธิ์เฉพาะของเซเลสเทียลต่างหาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเพิ่งประกาศค่าหัวเอาตอนนี้แต่สาเหตุที่บอกไว้ในประกาศน่ะเป็นแบบนั้น แถมค่าหัวคนละแสนกิลด้วยนะ”

    “แสนกิล!” อากิรอสพูดเสียงดังเป็นรอบที่สองในเวลาติดๆกัน

    “ตอนที่พี่เอเซกับพี่ทากะแกะรอยออกไปถึงนอกเมือง เพื่อนใน ‘เน็ตเวิร์ค’ ติดต่อเข้ามาพอดีว่ามีข้อความแจ้งจากระบบว่าค่าหัวของพี่อากิถูกยกเลิกเพราะถูกฆ่าแล้ว เพื่อนผมเลยให้คนอื่นที่อยู่ในเมืองแบล็คแซนด์เข้าไปดูในตึกของสมาคมพ่อค้าถึงได้รู้ว่ามีติดประกาศค่าหัวของพวกเรา ผมเลยรีบเรียกพี่เอเซกับพี่ทากะกลับมาก่อนเพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นดักซุ่มคนไว้ในป่าอีกรึเปล่า”

    บานประตูห้องพักคนไข้ถูกเปิดออก คนที่มาเยือนคืออีวาน ไอแซค นายแพทย์เพียงหนึ่งเดียวของโรงพยาบาล “อ้าว? อยู่กันครบแกงค์เลยนี่นา ตะกี๊ลืมบอกว่าคนที่ติดสถานะอาชญากรต้องนอนโรงพยาบาลครบยี่สิบสี่ชั่วโมง รับภารกิจออกไปก่อนกำหนดไม่ได้น่ะ”

    นายแพทย์ผู้มีดวงตาสีฟ้าเย็นชาถอนหายใจหน่ายๆ “ถามจริงเหอะว่าไปสู้กับอีท่าไหนทำไมสภาพศพมันถึงได้เละเทะขนาดนั้น รู้ไหนว่าตอนผ่าตัดลำบากโคตรเลยนะ”

    “แหะๆ บอกตรงๆว่าจำไม่ได้เหมือนกันอะ ตายตอนไหนยังไม่รู้เลย”

    นายแพทย์อีวานมองคนไข้ของเขาด้วยสายตาเวทนาสุดขีด “จะบอกให้นะว่าแกน่ะโดนผ่าท้องแล้วจุดไฟเผาจากข้างในแล้วจับทำท่าโคตรอุบาทว์แช่แข็งไว้ในน้ำแข็ง พยาบาลหลายคนเห็นแล้วถึงกับหลุดขำกันแทบเป็นแทบตายแน่ะ”

    “จะมาบอกแค่นี้แหละ กลับไปทำงานต่อละ”

    คุณหมอผู้มีดวงตาสีฟ้าเย็นชาโบกมือแล้วกลับออกไปแถมยังมือหนักจนปิดประตูเสียงดังสนั่นอีกด้วย

    “ถ้ามาสู้กันตรงๆแล้วชนะได้จะไม่ว่าเลยแต่ไหนจะหลอกไปเชือดแล้วยังวิธีฆ่าอีก แบบนี้ถือว่าเล่นกันแรงมากเลยนะ” อารมณ์ของเอเซเริ่มเดือด

    “ผิดที่เพื่อนเรามันหน้ามืดเกินไปด้วยแหละนะ นี่ดีนะว่าเป็นแค่ในเกม...ถ้าเป็นนอกเกมละก็ป่านนี้พวกเราคงได้ไปนั่งกินข้าวต้มบนศาลาแล้วละ” ทากะบอกแล้วมองอากิรอสด้วยสายตาเวทนาด้วยอีกคน

    “โวะ! เราไม่ได้เป็นพวก หวัง-ฟัน-เจ้า ขนาดนั้นสักหน่อย”

    “เหรอ? ไอ้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่แบบนั้นเลยเนอะ? ต้องให้พูดชื่อเด็กๆที่มาเรียนพิเศษเป็นตัวอย่างด้วยไหม?”

    “เราว่า...เปลี่ยนมาคุยเรื่องที่พวกเราโดนตั้งค่าหัวดีกว่านะ เราโดนเก็บค่าหัวไปเรียบร้อยก็เหลือแต่พวกนายสามคนละ จากนี้ไปอาจจะโดนลอบกัดมากขึ้นก็ได้นะ”

    “เฮอะ! ไหนๆก็มีค่าหัวแล้วก็ขออาละวาดให้สะใจหน่อยเหอะ ไอ้หน้าไหนตัวไหนมันกล้ามาลอบกัดจะสั่งสอนให้มันจำไปจนวันตายเลยว่าคิดลอบกัดผิดคนแล้ว” เอเซ แมคโดเวลหักข้อนิ้วดังลั่น ไฟแห่งโทสะลุกโชนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาล

    “ยอๆๆ ใจเย็นๆหน่อยสหาย นี่อาจเป็นแผนซ้อนแผนยั่วยุให้นายหลงกลก็ได้นะ ให้กุห์ฟานมันหาข่าวได้เยอะกว่านี้ก่อนค่อยเคลื่อนไหวจะดีกว่านะ” ทากะตบบ่าปลอบใจเพื่อน

    “เรารู้ว่าพวกนายไม่เป็นไรหรอกแต่ระวังตัวหน่อยก็ดี”

    “ขอรบกวนหน่อยนะคะ ได้เวลาตรวจไข้แล้วค่ะ”

    นางพยาบาลแปดคนในชุดสีขาวยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง แต่ละคนหุ่นดีสุดยอดแถมยังสวยหวานต่างสไตล์กันทุกคน หากเปลี่ยนชุดแล้วขึ้นไปเดินบนแคทวอร์คคงมีนางแบบอาชีพบางคนต้องตกงานแน่ๆ

    “งั้นคืนนี้นายก็นอนในโรงพยาบาลให้สบายใจไปเลยนะ เราขออวยพรให้นายโชคดีและมีความสุขมากๆเลย”

    เอเซตบบ่าเพื่อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเลห์สุดๆ เขารู้ดีว่าต่อจากนี้ไปเพื่อนของเขาจะเจออะไรบ้าง อากิรอสถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล สถานที่ที่ผู้เล่นหวาดกลัวเป็นอันดับหนึ่งในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ยิ่งกว่าดันเจียนที่มีแต่มอนสเตอร์ระดับดับเบิลเอสเสียอีก

    เพื่อนทั้งสามของเขาจากไป ประตูห้องปิดสนิทและลงกลอนจากด้านใน เหลือเพียงเขากับนางพยาบาลแปดคนเท่านั้น










    แสงสว่างบนลานหินกว้างปรากฏขึ้นพร้อมกับหัวหน้าแคลนมัลดิโตและสมาชิกแคลนอีกสองคน ชายวัยกลางคนผู้ดูแลที่นี่ยิ้มทักทายตามหน้าที่แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือตามเดิม ทั้งสามคนเดินเลาะเรียบริมกำแพงเมืองมาจนถึงประตูเมืองทิศใต้เลี่ยงการเดินในถนนหลักหลบสายตาของพวกล่าค่าหัวและพวกสอดแนมสะกดรอย

    แต่เมื่อออกจากประตูเมืองกลับไปที่ฐานทัพของทหารรับจ้างพวกเขาก็ต้องโกรธสุดขีดกับสภาพของเพิงหมาแหงนที่กลายเป็นกองเถ้าถ่าน ควันยังลอยกรุ่นอยู่โดยมีทหารประจำประตูเมืองถือถังน้ำเปล่าๆอยู่ในมือคนละถัง พวกเขามาช่วยดับไฟให้แม้จะไม่ทันก็ตาม

    “แม่งเอ๊ย! ถ้าจะทำแบบนี้ละก็ออกมาต่อยกันตัวต่อตัวสิเว้ย!”

    เอเซระงับความโกรธไว้ไม่อยู่จนได้ แม้แต่ทากะที่ใจเย็นที่สุดยังหน้าเปลี่ยนสี ความน่ากลัวปะทุออกจากดวงตาสีดำอย่างชัดเจน

    ทั้งสามคนยืนดูเศษซากซึ่งครั้งหนึ่งเป็นที่พักพิงของพวกเขาด้วยความเดือดดาลถึงขีดสุด

    ทากะได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากกำลังมุ่งมาทางพวกเขา เอเซและกุห์ฟานรับรู้ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้เล่นกลุ่มใหญ่ร่วมสองร้อยคนเดินเรียงหน้ากระดานล้อมพวกเขาไว้ห่างๆ เอเซเหลือบมองคนกลุ่มนั้นแล้วความโกรธที่เพิ่งสงบลงก็ปะทุขึ้นใหม่อีกครั้ง สัญลักษณ์มังกรสามเขาประทับอยู่บนเสื้อผ้าของทุกคน และคนที่เดินออกมาจากในกลุ่มเพียงลำพังเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดด้วย

    ดับเบิลฮาร์ท กัปตันแห่งแคลนเซเลสเทียล

    เอเซลุกขึ้นไปยืนประจันหน้ากับแขกผู้มาเยือนนับร้อยโดยมีทากะและกุห์ฟานคอยคุมเชิงอยู่ทั้งปีกซ้ายขวา

    “ยังกล้ามาเสนอหน้าอีกนะ!?”

    นักดาบเวทตะโกนเสียงกร้าว ดวงตาและใบหน้าบอกว่าเขากำลังโกรธจัด ดาบเคลย์มอร์ถูกกระชากออกจากปลอกเหล็กเกิดเป็นเสียงดัง ผู้เล่นฝ่ายเซเลสเทียลต้องหยิบอาวุธและโล่ออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อมไว้ก่อน

    “พูดเรื่องอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ?”

    เอเซชี้ดาบไปที่กองเถ้าถ่าน “แกล้งโง่เหรอ? แล้วใครกันที่จุดไฟเผาเพิงที่พักของพวกเราน่ะ?”

    “โทษทีนะที่เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตรงนั้นแม้แต่น้อย ที่มาวันนี้ก็เพราะต้องการค่าหัวพวกนายไปจัดงานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่เท่านั้นแหละ”

    “ปากดีนักนะ!”

    “ไม่ได้มีดีแต่ปากหรอกนะ” ดับเบิลฮาร์ทดึงดาบออกจากปลอกเช่นกัน เป็นดาบมือเดียวสองคมที่สวยงามเล่มหนึ่ง

    เพียงแค่เห็นดาบเล่มนั้นกุห์ฟานก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นอาวุธระดับสูงอย่างแน่นอน “นั่นดาบแรงค์ซีสินะ”

    “ตาถึงดีนี่ ขอเตือนไว้ก่อนละกันว่าอย่าคิดจะเสี่ยงกับอาวุธไฮแรงค์ดีกว่าเดี๋ยวจะเจ็บตัวซะเปล่าๆ” ดับเบิลฮาร์ทยกดาบชี้หน้าเอเซตรงๆ

    แรงลมกระชากวูบหนึ่งจากด้านหลังเอเซก่อนที่เขาจะได้ทันขยับเข้าไปฟาดปากกับดับเบิลฮาร์ทเพราะทนคำยั่วยุไม่ไหว

    ทากะที่อยู่ด้านหลังชิงเป็นฝ่ายลงมือเองก่อน ดับเบิลฮาร์ทมัวแต่โม้ไม่ทันได้ระวังตัวจึงถูกดาบทั้งปลอกไม้ฟาดเข้าให้เต็มขมับจนล้มคว่ำ ประกายดาบสีฟ้าสะบัดวูบจ่อคอหอยของเขาในพริบตา ผู้เล่นที่ติดตามมาด้านหลังร่วมสองร้อยคนไม่มีตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของทากะได้แม้แต่คนเดียว พอคิดจะขยับเข้าไปช่วยกัปตันของพวกเขาก็ช้าไปแล้ว

    สายฟ้านับสิบสายจากท้องฟ้าฟาดลงมาอย่างไร้ปราณีกลางกลุ่มคนทั้งสองร้อย เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมเปลวเพลิงจากการระเบิดพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เอเซโถมเข้ากลางวงอย่างบ้าคลั่งราวกับเสือหลุดกรง สังหารผู้เล่นฝ่ายเซเลสเทียลที่ขวางหน้าล้มลงแทบเท้าทีละคนๆ ผู้เล่นคนที่ล้มลงยังไม่ทันได้ลุกก็ถูกกุห์ฟานเข้าประชิดใช้มีดสั้นปาดคอซ้ำ แถมรอบตัวห้าเมตรเขาเป็นอาณาเขตที่ทำให้ศัตรูถูกจำกัดขอบเขตการมองเห็น หลายคนตายไปทั้งที่ยังไม่มีโอกาสจะชักอาวุธด้วยซ้ำ

    ดับเบิลฮาร์ทมองลูกน้องใต้สังกัดคนแล้วคนเล่าถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย แผนที่วางไว้พังครืนไม่เป็นท่า ตัวเขาเองก็ถูกเหยียบอกไว้ จะขยับก็ขยับไม่ได้เพราะมีดาบคาตะนะจ่อคออยู่

    “ฝากคำพูดไปถึงท่านผู้สูงส่งทั้งหลายในแคลนของพวกนายหน่อยนะ ถ้ายังเป็นคนอยู่ก็ให้ออกมาสู้กันซึ่งๆหน้า อย่าทำตัวเป็นสัตว์สี่ขาคอยลอบกัดจากที่มืดนักเลย มันไม่เท่หรอก”

    ซารุวาตาริ ทากะ พลิกข้อมือสะบัดดาบด้วยความเร็วที่สายตามองตามไม่ทัน ผืนดินชุ่มฉ่ำด้วยโลหิตแดงฉานไปแถบหนึ่งจากคอของดับเบิลฮาร์ท หัวหน้าแคลนมัลดิโตยังไม่หนำใจปักดาบลงกลางอกส่งท้ายให้กัปตันแห่งแคลนเซเลสเทียล จากนั้นโถมเข้าสู่วงต่อสู้ที่กำลังโกลาหลวุ่นวาย บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายด้วยฝีมือใครและอย่างไร คนที่อยู่ไกลเห็นเพียงเงาดำโฉบไปโฉบมาอย่างรวดเร็วแล้วเพื่อนร่วมแคลนก็ล้มลงเท่านั้น

    เมื่อดับเบิลฮาร์ทถูกฆ่าอย่างง่ายดายทำให้หลายคนไม่คิดจะอยู่สู้รีบใช้คริสตัลส่งตัวเองกลับเมืองบลูเพิร์ลไปเลย ผู้เล่นคนสุดท้ายที่หนีไม่ทันถูกเอเซกระหน่ำเตะสีข้างจนทรุดลงนั่งอย่างหมดทางสู้ นักดาบเวทบิดตัวทุ่มกำลังทั้งหมดตัดคออย่างไร้ปราณี

    ผู้เล่นที่ทำตัวเป็นไทยมุงบนกำแพงเมืองต่างช็อกไปตามๆกันที่ได้เห็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยสายตาตัวเอง การต่อสู้แบบสามต่อสองร้อยจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนหมู่มากจะพ่ายแพ้หมดรูปได้ถึงขนาดนี้ ฝ่ายเซเลสเทียลที่ตายในการต่อสู้มีถึงร้อยยี่สิบแปดคน

    เสียงปรบมือช้าๆ เน้นๆ ดังขึ้นที่ซุ้มประตูเมืองเรียกความสนใจของทุกคนให้มองลงไป รวมถึงสามหนุ่มแคลนมัลดิโตด้วย

    เจ้าของเสียงปรบมือคือแพททริค โอลิเวีย กิ๊บสัน ซึ่งมาพร้อมกับไวโอเล็ตแซฟไฟร์และเอรันดา วิเลนเซีย

    นอกจากไวโอเล็ตแซฟไฟร์แล้วอีกสองคนเป็นใครทั้งเอเซ ทากะและกุห์ฟานไม่รู้จัก แต่ลองได้มายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับรองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลอย่างไวโอเล็ตแซฟไฟร์ได้ก็ยืนยันได้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่ผู้เล่นระดับธรรมดา แต่ที่เอเซรู้สึกแปลกใจมากกว่าคือทำไมถึงไม่เห็นกลอเรียส อัลติมัสแม้แต่เงาต่างหาก

    แพททริคเรียกดาบใหญ่ออกมา ใบดาบกว้างเป็นฟุต ยาวเท่ากับความสูงของเจ้าของ เป็นอาวุธเฉพาะของอาชีพ ‘เบอเซิร์กเกอร์’ นักรบผู้เป็นอันดับหนึ่งในด้านพละกำลังและพลังโจมตีมหาศาลที่ว่ากันว่าสามารถป่นเกล็ดของมังกรได้ในการโจมตีแค่ครั้งเดียว เขายกดาบขึ้นพาดบ่าด้วยมือข้างเดียวอย่างง่ายดายแสดงให้เห็นว่ากำลังแขนของเขามีมากเพียงใด

    หนึ่งชายสองหญิงเดินเข้ามาประจันหน้ากับสามหนุ่มมัลดิโตที่กลางทุ่งหญ้า

    “เจอหน้ากันครั้งแรกก็ยกดาบขู่ก่อนเลยแบบนี้จะดีเหรอ?” เอเซ แมคโดเวล ยกดาบเคลย์มอร์ขึ้นพาดบ่าบ้าง ดวงตาสีน้ำตาลจ้องใส่ดวงตาสีทองโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

    ทากะต้องยกมือขึ้นกันไม่ให้เอเซออกตัวไปละเลงเลือดกับชายผู้ถือดาบใหญ่ ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ก็ต้องยกมือห้ามแพททริคไว้เช่นกัน

    “จะไม่แนะนำตัวกันหน่อยเหรอ?” กุห์ฟานบอกไปทางไวโอเล็ตแซฟไฟร์

    “แหม ไม่คิดเลยนะว่าแม้แต่กุห์ฟาน รีส ริยาส เสนาธิการของแคลนมัลดิโตจะไม่รู้จักพวกเรา” เอรันดาลอยหน้าลอยตาบอกแถมยกมือขึ้นมาดูเล็บที่ทาสีไว้อีกด้วย

    ทากะต้องยกมือกันกุห์ฟานไว้ด้วยอีกคนหนึ่ง เวลาที่เจ้ารุ่นน้องอารมณ์ร้อนขึ้นมาก็เป็นประเภทลุยดะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าเอเซเสียอีก

    “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแนะนำให้รู้จักกันก่อน สุภาพบุรุษทางนี้คือหัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อม แพททริค โอลิเวีย กิ๊บสัน และสุภาพสตรีทางนี้คือหัวหน้าแคลนเฮฟเวนลี่ปรินเซส เอรันดา วิเลนเซีย”

    “สุภาพสตรี...เหรอ?” กุห์ฟานแค่นถามด้วยเสียงสูง คนถูกกระทบกระเทียบถึงกับเงยหน้าขึ้นมาจิกตามองด้วยความโกรธ

    เดือดร้อนไวโอเล็ตแซฟไฟร์ต้องปรามเอรันดาด้วยหางตา




    ผู้เล่นบนกำแพงเมืองต่างรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้องไปตามกัน ทั้งที่หกคนยืนประจันหน้ากันไกลออกไปแต่พวกเขากลับรู้สึกถึงบรรยากาศกดดันตึงเครียดไปด้วย ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีถัดไป เพียงแค่ฉากแนะนำตัวยังดุเดือดร้อนแรงได้ขนาดนี้ยังไงก็คงไม่จบเรื่องด้วยการพูดคุยแน่ๆ งานนี้ต้องได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    งานนี้ท่าทางใกล้จะได้คู่ปรับกันครบทั้ง 4คนแล้วแฮะ
  5. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ว่าแต่ใครติดpkหัวแดงบ้างเนี่ย

    edit - พึ่งมานึกใด้ อยู่ในGGOแล้วนี่นา การประชุมภาพและเสียงน่าจะทำใด้ง่ายๆแล้วนิ ทำไมยังต้องมาพิมพ์อยู่อีก
  6. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    เหมือนเอเซจะได้สองเลยนะครับ

    มัลดิโตไม่ได้ติดหัวแดงครับ (ไม่ได้ไปฆ่าใคร) แต่โดนประกาศค่าหัวเพราะทำผิดกฎโดยสมาคมพ่อค้า อนุญาตให้ผู้เล่นอื่นฆ่าได้โดยไม่ติดหัวแดง
    แล้วเรื่องตอนพิมพ์...นี่หมายถึงตอนไหนเหรอครับ ?
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 33 – Never surrender






    ผู้เล่นหลายพันคนหรืออาจจะถึงหลักหมื่นรีบเดินทางมาเมืองอารันด์ หลังจากมีข่าวว่าฝั่งมัลดิโตแค่สามคนเอาชนะฝั่งเซเลสเทียลที่ขนกันมามากถึงสองร้อยคนเพราะต้องการค่าหัวพวกเขา และตอนนี้กำลังคุยอยู่กับรองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียล หัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมและหัวหน้าแคลนเฮฟเวนลี่ปรินเซสด้วย บางคนลงทุนใช้วาร์ปคริสตัลส่งตัวเองไปโผล่ที่ลานน้ำพุกลางเมืองแล้วรีบวิ่งมาที่ประตูเมืองทิศใต้เลยทีเดียว ส่วนมากมาเพราะอยากเห็นการต่อสู้มันส์ๆของแคลนมัลดิโตโดยเฉพาะ แต่ก็มีบางคนอยากเห็นฝีมือของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคเทสต์เบต้า อีกหลายคนมาเพราะอยากเห็นฝีมือของหัวหน้าแคลนพันธมิตรของเซเลสเทียลทั้งสองคนที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาว่าจะแข็งแกร่งในระดับไหนกันแน่

    แต่ไม่มีสักคนเดียวฉุกใจคิดเลยว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์






    บรรยากาศตึงเครียดยังคงครอบคลุมทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่องโดยมีศูนย์กลางที่ผู้เล่นหกคนในทุ่งหญ้า

    “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบทุกคนนะคะ” เอรันดา วิเลนเซีย ฉีกยิ้มหวานให้ทากะในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าแคลน ถึงเป็นแคลนเล็กๆที่มีสมาชิกเพียงสี่คนแต่ก็ความสำคัญของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าแคลนใหญ่ๆเลย

    แต่ยังไม่ทันที่ทากะจะตอบ เอเซชิงพูดขึ้นมาก่อน “รู้สึก...น่ารังเกียจมากกว่านะ”

    ปรินเซสเอรันดาถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ชี้นิ้วใส่หน้าเขาทันที “จริงอย่างที่พี่ไวโอเล็ตว่าไว้จริงๆว่านายน่ะไม่มีมารยาทผู้ดีแถมยังหยาบคายอีก คนพรรค์นี้แหละน่ารังเกียจที่สุด”

    “ผู้ดีอย่างนั้นเหรอ? ผู้ดีเขาทำกันแบบนั้นรึไง?” นักดาบเวทสะบัดดาบออกจากบ่าหันปลายไปทางกองเถ้าถ่านริมกำแพงเมืองที่ยังมีควันลอยขึ้นมาจางๆ

    “พี่เอเซไม่เคยได้ยินเหรอ? การลอบกัดเป็นสมบัติของผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินใช้เงินฟาดหัวคนน่ะ” กุห์ฟานจ้องหน้าผู้หญิงที่เรียกร้องหามารยาทผู้ดีอย่างดุดัน อีกฝ่ายก็จ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด

    “ไม่ทราบว่าพอจะมีคำอธิบายที่ฟังเข้าหูบ้างรึเปล่าครับ?” ทากะถามไปถึงไวโอเล็ตแซฟไฟร์

    “พวกนายนี่ท่าทางจะประสาทกลับ จับมือใครดมไม่ได้เลยป้ายสีให้พวกเรางั้นเรอะ?”

    “กล้าทำไม่กล้ารับรึไงวะ?” เอเซตะคอกสวนใส่แพททริคทันควัน

    ผู้สังเกตการณ์บนกำแพงต่างใจหายใจคว่ำนึกว่าจะได้เปิดฉากซัดกันซะแล้ว แต่โชคดีที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากการจ้องตากันอย่างเข้มข้นของชายเลือดเดือดสองคน

    “อย่างที่คุณแพททริคพูดนั่นแหละค่ะ พวกเราไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่คุณกล่าวถึงและรวมถึงเรื่องที่ดับเบิลฮาร์ทพาสมาชิกใต้สังกัดของตัวเองมาสู้กับคุณก่อนหน้านี้ด้วย”

    “เหอะ! พูดน่ะใครก็พูดได้นะ ทำอะไรน่าจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองดี”

    “ประทานโทษนะคุณเอเซ แมคโดเวล! ถ้าคุณปักใจเชื่อแล้วว่าพวกเราพูดโกหกงั้นก็ไม่ต้องถามแต่แรกสิ!”

    สายลมกรรโชกสะบัดออกจากตัวเขาพร้อมกับดาบเคลย์มอร์อาบพลังเวทเปล่งประกายเจิดจ้า “เออ! ก็ไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้วโว้ย!”

    เสียงปะทะดังลั่นพร้อมกับอาการใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มของหลายคน ดาบใหญ่ของแพททริคป้องกันดาบเคลย์มอร์ไม่ให้เข้าถึงตัวของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ เคียวยาวของเธอตอบโต้กลับอย่างว่องไวในวินาทีต่อมาแต่ถูกดาบคาตะนะของทากะฟันขวางไว้ก่อน ในขณะที่เอรันด้าเรียกไม้เท้าคริสตัลออกมาหันใส่ใบหน้ากุห์ฟานที่เข้าประชิดข้างใช้มีดจ่อคอของเธอไว้ซึ่งเธอเองก็พร้อมปลดปล่อยเวทมนต์โจมตีเช่นกัน

    สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอีกหลายระดับ ไม่มีใครยอมถอยและถอนอาวุธออก

    “เอาไง? ฟาดปากกันก่อนแล้วค่อยคุย?” แพททริคแยกเขี้ยวถามเอเซด้วยใบหน้ากระสันการต่อสู้

    “กลัวจะปากแตกพูดไม่ได้อีกน่ะสิโว้ย!”

    เอเซสะบัดดาบออกพร้อมสร้างคมดาบสายลมจู่โจมเข้าใส่ในระยะประชิด อีกฝ่ายพลิกดาบใช้ความกว้างและความหนาป้องกันไว้ได้ ทั้งหกคนพร้อมใจกระโดดถอยหลังออกห่างจากกันหลังจากการปะทะเมื่อครู่ แพททริคตั้งท่าจะกระโจนเข้าใส่เอเซแต่ถูกเคียวยาวสีดำขวางไว้

    “ไม่อยากปลดประกาศค่าหัวเหรอคะ?”

    จู่ๆไวโอเล็ตแซฟไฟร์ก็เปลี่ยนเรื่องทำให้ทุกคนที่ได้ยินพากันสับสน มีเพียงกุห์ฟานคนเดียวที่คิดตามทัน

    “แลกกับการเป็นสุนัขรับใช้ให้เซเลสเทียล?”

    “พูดอย่างนั้นก็เกินไปนะคะคุณกุห์ฟาน เงื่อนไขยกเลิกค่าหัวเป็นของสมาคมพ่อค้าผู้ออกประกาศต่างหาก พวกเราก็แค่มาเป็นคนกลางเท่านั้น”

    “ยาพิษอาบน้ำผึ้ง! หน้าซื่อใจคด! คิดว่าพวกเราจะยอมเชื่อง่ายๆรึไง?”

    เอรันดาทนฟังคำดูหมิ่นจากปากเอเซไม่ได้ “พี่ไวโอเล็ตไม่ต้องพูดแล้วค่ะ ในเมื่อเสนอทางที่ดีกว่าให้แล้วยังไม่ฟังก็ต้องให้เจ็บตัวกันบ้างละ”

    “เรื่องง่ายๆแค่พวกนายยอมยุบแคลนภายในวันนี้พวกเราจะเจรจายกเลิกค่าหัวให้เอง ถ้าไม่งั้นก็ต้องเจอกับการตามล่าค่าหัวไปตลอดตราบใดที่พวกนายยังอยู่ในเกมนี้ละนะ”

    แพททริคพูดข่มทับหวังจะให้อีกฝ่ายกลัว แต่มัลดิโตไม่ใช่ผู้เล่นทั่วไปที่จะหงอและยอมทำตามพวกเขาง่ายๆ

    “คิดจะเชือดพวกเราให้ผู้เล่นคนอื่นกลุ่มอื่นที่กระด้างกระเดื่องกับพวกคุณยอมศิโรราบสินะ”

    “หึหึหึ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่าคุณหัวหน้าแคลนมัลดิโต? แค่ฆ่าพวกคุณสี่คนจะมีประโยชน์อะไร ต่อให้มีใครหน้าไหนขวัญกล้าลุกขึ้นมาขวางทาง สมาชิกหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคนของสามแคลนพันธมิตรก็พร้อมที่จะทำให้คนพวกนั้นหายไปจากเส้นทางของพวกเราได้อยู่ดี”

    “อยากเจ็บตัวและตายอย่างอนาถเพื่อรักษาศักดิ์ศรีงี่เง่าหรือยอมทำตามเงื่อนไขของพวกเรา ตัวเลือกง่ายๆพวกนายเลือกเอาเองนะ”

    “ถ้าจะให้พวกเราเป็นสุนัขรับใช้ก็คิดผิดแล้วละ” ทากะตั้งดาบพาดเฉียงลำตัว บอกเป็นนัยว่าเขาพร้อมสู้จนกว่าจะตัวเขาหรืออีกฝ่ายจะล้มลง

    “ไม่อยากเป็นสุนัขรับใช้แต่สุดท้ายก็ต้องตายอย่างหมาข้างถนน! เหมือนกับเพื่อนนายชื่ออากิรอสอยู่ดีนั่นแหละนะ!”

    ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเอรันดา วิเลนเซีย หัวหน้าแคลนเฮฟเวนลี่ปรินเซส เอเซกู่ร้องโดยโทสะ พุ่งเข้าไปหาเธอด้วย ความรู้สึกอยากจะฆ่าให้สาสมกับสิ่งที่ทำไว้กับเพื่อนของเขา

    ดาบเล่มมหึมาเหวี่ยงสวนมาจากทางซ้ายมือของเอเซในจังหวะที่เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเคลื่อนที่มาทางนี้อย่างแน่นอน นักดาบเวทแห่งแคลนมัลดิโตถูกบังคับให้ต้องหยุดและยกดาบป้องกันตัว ทันทีที่ดาบสองเล่มปะทะกันเขาถูกแรงมหาศาลดันให้ถอยกลับจนสองขาลอยเหนือพื้นไปชั่วขณะเลย

    เสียงดาบปะทะดาบเป็นเสียงระฆังเปิดฉากการต่อสู้

    เอรันด้ายิงลูกไฟรัวเป็นปืนกลเข้าใส่กุห์ฟานทันที แต่การโจมตีเล็กน้อยแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขากลัวแม้แต่น้อย ลูกไฟทั้งหมดถูกตัดกลางอย่างแม่นยำด้วยมีดคู่ที่มีคุณสมบัติ ‘แอนตี้แมจิค’ สลายไปจนหมด พริบตาที่นักเวทสาวชะงักเพราะตกตะลึง กุห์ฟานแทงมีดใส่เข้าใส่หลายครั้งจนเธอต้องใช้คทาคริสตัลปัดป้องจนมือไม้ปั่นป่วนไม่มีเวลาเริ่มต้นร่ายเวทแม้แต่คำเดียว

    ทากะและไวโอเล็ตแซฟไฟร์เคลื่อนที่เข้าหากันในพริบตา ดาบคาตะนะปะทะกับเคียวดำเล่มยาวหลายครั้งในพริบตาเดียว สาวสวยในชุดโกธิคโลลิตารองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลสะบัดอาวุธโจมตีอย่างดุเดือดในขณะที่ชายหนุ่มหัวหน้าแคลนมัลดิโตรับศึกอย่างเยือกเย็น

    ผู้ชมบนกำแพงเมืองส่งเสียงเซ็งแซ่เมื่อการต่อสู้เกิดขึ้นในที่สุด แยกย้ายวิ่งตามไปดูการต่อสู้ของคู่ที่ตัวเองอยากดู เอเซและแพททริคแยกออกไปทางซ้าย เอรันด้าและกุห์ฟานค่อยๆขยับออกทางขวา ส่วนใครที่สนใจการต่อสู้ของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ถือว่าโชคดีเพราะทั้งเธอและทากะแทบไม่ได้ขยับไปจากจุดเดิม ชายกระโปรงระบายลูกไม้สีม่วงอ่อนพลิ้วไหวดูเพลินตาผิดกับการโจมตีที่ดุดันและรวดเร็วต่อเนื่อง เธอเป็นฝ่ายรุกจนทากะเข้าใกล้ไม่ได้ แผลที่เกิดจากปลายเคียวเพิ่มขึ้นบนแขนและไหล่ของเขาเรื่อยๆ

    ทากะก้าวถอยหลบเคียวดำที่ฟาดลงมา ไวโอเล็ตลอบยิ้มเมื่อการเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปตามที่คาดไว้ ปลายเคียวปักลงพื้นและถูกสะบัดขึ้นมาพร้อมดินและหญ้ากระจุกหนึ่ง มากเพียงพอจะรบกวนการมองเห็นของคู่ต่อสู้ได้ชั่วขณะหนึ่ง ทากะยกดาบขึ้นป้องกันหัวตามสัญชาตญาณเพราะเคียวของไวโอเล็ตลอยอยู่ด้านบน แต่คู่มือของเขากลับบิดข้อมือให้เคียวฉีกกฎการเคลื่อนไหวของอาวุธยาว คมดาบใหญ่ที่ปลายด้ามถูกฉุดให้เคลื่อนที่เป็นวงโค้งไม่ต่างจากแส้ตวัดลงมาเกี่ยวสีข้างของเป้าหมายอย่างถนัดถนี่

    ดอกหญ้าสีขาวนวลถูกย้อมให้เป็นสีแดงเข้มเช่นเดียวกับสีของเลือด

    ในท่วงท่านั้น หญิงสาวผู้ใช้เคียวจิกปลายเท้าทั้งสองข้างเป็นแกนหมุนตัวเหวี่ยงอาวุธรอบตัวหนึ่งรอบแล้วใช้แรงหมุนเพิ่มกำลังในการโจมตีให้มากขึ้น ทากะแม้มองเห็นอย่างเลือนรางแต่ก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาหมุนตัวจึงพอเดารูปแบบการโจมตีได้จึงทิ้งตัวหมอบลงกับพื้นโดยเร็ว

    แรงลมกระชากผ่านหลังคอเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

    การโจมตีอย่างดุดันยังไม่จบแค่นั้น รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลบิดตัวกวาดเคียวไถลเรียดพื้นตัดปลายยอดหญ้าขาดกระจุยเป็นแถบโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ลำคอของทากะ ชายหนุ่มใช้สองแขนดันพื้นยกตัวเองขึ้นด้วยท่าวิดพื้นหลบได้อย่างฉิวเฉียด เขารู้สึกได้ถึงอาการแสบรุนแรงเหมือนถูกมีดโกนบาดตอนโกนหนวดเหนือคอหอย

    ปมผ้าคลุมที่ผูกไว้ขาดออก ผ้าคลุมสีหม่นๆลอยปลิวตามสายลมไปตกอยู่บนพื้นห่างออกไป

    หญิงสาวควงเคียวหนึ่งรอบสะบัดปักลงกับพื้นในขณะที่ทากะเพิ่งจะนั่งชันเข่าได้ข้างเดียว เธอจงใจหยุดโจมตีเพื่อมองเหยียดลงมาจากด้านบน “ฝีมือที่แท้จริงของคุณมีแค่นี้เองอย่างนั้นเหรอคะ? หรือว่าครั้งก่อนก็แค่ฟลุคเท่านั้น?”

    ชายหนุ่มเงยหน้ามองกลับด้วยสายตาว่างเปล่า “ที่ลงทุนทำเรื่องยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้ก็แค่อยากให้ผมเอาจริง?”

    ไวโอเล็ตแซฟไฟร์จ้องดวงตาสีดำคู่นั้น “ก็แค่งาน แต่ระหว่างทำงานถ้ามีเรื่องให้สนุกได้สักนิดก็คงจะดี แต่ตัวคุณตอนนี้น่าเบื่อพอๆกับก็อบลินเท่านั้นแหละ”

    ทากะยันตัวลุกขึ้นมายืน ใช้มือซ้ายปัดฝุ่นตรงไหล่ออก “สำหรับแคลนที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งไม่ว่ามองใครก็คงเห็นเป็นแค่ก็อบลินหรือไม่ก็สไลม์อยู่แล้วละนะ”

    หญิงสาวดึงเคียวขึ้นจากพื้น ชี้ตรงไปที่คู่ต่อสู้ของเธอ “ดิฉันจะให้โอกาสอีกครั้ง จะยอมแพ้ตรงนี้หรือว่าจะถูกไล่ล่าจนกว่าจะไม่มีที่ให้หลบซ่อน”

    “รู้ไหม? สิ่งที่ผมไม่ชอบใจคือการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจทำ และสิ่งที่ไม่ชอบใจที่สุดก็คือเรื่องที่คนที่คิดว่าฐานะของตัวเองสูงส่งกว่าเที่ยวดูถูกกดขี่คนอื่น พูดตรงๆเลย ตัวคุณและแคลนของคุณน่ะเป็นแบบที่ผมไม่ชอบใจที่สุดเลย จะบอกว่าเกลียดก็คงไม่เกินไป”

    “แล้วยังไงคะ?”

    สิ้นเสียงของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ ปลายเคียวของเธอถูกปัดกระเด็นไปพร้อมกับทากะเข้ามาประชิดตัวได้ในพริบตา เธอถูกกระแทกถอยผงะในท่ายกเคียวขึ้นป้องกันตัว ด้ามเคียวสั่นระริกเพราะการปะทะที่รุนแรงมาก เมื่อมองทากะในตอนนี้ เธอสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตต่อสู้’ หลั่งไหลออกจากตัวเขาราวกับเปลวไฟโหมกระหน่ำ ดวงตาสีดำดุดันแข็งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยความโกรธรุนแรง

    ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ยิ้มกว้าง เธอรอคอยเวลานี้มานานแสนนาน เวลาที่ซารุวาตาริ ทากะ ปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่แล้ว เธอตั้งท่าแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม แต่สิ่งที่ปลายเคียวเกี่ยวคว้าได้คือความว่างเปล่า

    ทากะเข้าประชิดด้านหลังของเธอด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามาก ดาบคาตะนะวาดวงโค้งทิ้งประกายแสงสีฟ้าวูบหนึ่ง เลือดทะลักจากแผลที่ไหลของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ที่ม้วนตัวหลบการโจมตีจุดตายที่คอได้ แขนเสื้อสีขาวใต้ชุดโกธิคโลลิต้าสีม่วงถูกเลือดย้อมเป็นสีแดงจากไหล่ลงมาถึงข้อมือ

    ซารุวาตาริ ทากะ สะบัดดาบอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงประกายแสง

    ร่างกายของหญิงสาวก็ได้แผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวเธอโทรมยิ่งกว่าตุ๊กตาที่ถูกทิ้งในกองขยะ กลายเป็นไวโอเล็ตต้องทรุดลงนั่งชันเข่ารับรู้การถูกมองเหยียดด้วยสายตาเย็นชาบ้าง ทากะก้าวเท้าเข้าหาเป้าหมายอย่างเยือกเย็น จ้องด้วยดวงตาที่ไร้ความปราณี คนที่ทะนงในศักดิ์ศรีและมีทิฐิสูงเช่นเธอย่อมทนการดูหมิ่นแบบนี้ไม่ได้ เพลิงโทสะในใจผลักดันให้เธอลุกขึ้นตอบโต้โจมตีเพื่อล้างอายให้แก่ตัวเอง เคียวดำตวัดขึ้นจากด้านล่าง ดาบคาตะนะฟันสวนลงไปจากด้านบน เสียงปะทะดังกังวานราวกับเสียงระฆัง หากแต่เกิดจากการอาวุธสองชนิดห้ำหั่นกัน

    “จำความรู้สึกเมื่อครู่ให้ดีนะ คนที่โดนมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามทุกคนรู้สึกแบบนั้นแหละ”

    ทากะเก็บดาบลงปลอกไม้เกิดเสียงเบาๆดังกริ๊ก ในขณะที่เคียวดำของไวโอเล็ตแตกร้าวร่วงหล่นนอนแน่นิ่งแทบเท้าผู้เป็นเจ้าของ

    ในขณะที่หลายคนคิดว่าการต่อสู้ระหว่างเขาและเธอจบลงแล้วหลังจากไวโอเล็ตแซฟไฟร์สูญเสียอาวุธประจำตัวไป หญิงสาวผู้มีตำแหน่งรองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลกลับหัวเราะร่วนเสียงดัง เธอยันตัวลุกขึ้นยืนช้าๆทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุด

    เพียงแค่อาวุธถูกทำลายไม่ได้ทำให้ไวโอเล็ตแซฟไฟร์คิดจะยอมแพ้ เธอกลับเผยรอยยิ้มพึงใจออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข บุคลิกของเธอเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรง ริมฝีปากครางเสียงกระเส่าเหมือนได้เสพสุขจนถึงจุดสุดยอด ดวงตาเคลิบเคลิ้มตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข ขยับปลายนิ้วถูกับฝ่ามือซ้ำไปซ้ำมา

    “มันต้องแบบนี้สิคะถึงจะสมกับเป็นคุณทากะที่ดิฉันใฝ่ฝันถึงอยู่ทุกคืน คุณทำให้ดิฉันเป็นสุขสุดยอดได้เหมือนที่คิดจริงๆ”

    “ยินดีเถอะนะคะ คุณเป็นคนแรกที่ได้เห็นดิฉันในโหมด ‘ชาโดว์วอริเออร์’ แบบนี้”

    เธอทิ้งเคียวที่เหลือแต่ด้ามลงพื้น เงาดำใต้รองเท้าส้นสูงแผ่ขยายออกและยืดขึ้นมาราวกับมีชีวิตและเปลี่ยนรูปเป็นเคียวเล่มใหญ่ในมือของเธอ เงาบางส่วนบิดพันรอบข้อมือ สะโพก ไหล่และหน้าอกกลายเป็นเกราะเงาสีดำสนิท

    เงาดำบนพื้นขยายออกและเปลี่ยนเป็นใบดาบแล่นเข้าหาทากะราวกับมีฝูงฉลามอยู่ใต้พื้นดิน หัวหน้าแคลนมัลดิโตหลบดาบเงาบนพื้นได้อย่างไม่ยาก แต่เมื่อเข้าจะขยับเข้าไปเล่นงานตัวผู้บงการเงาโดยตรง ไวโอเล็ตแซฟไฟร์กลับหายไปตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่เขาไม่ได้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

    สัญชาตญาณระวังภัยของทากะร้องเตือนในระดับสูงสุด เขายกดาบขึ้นป้องกันไว้เหนือหัวทันที แรงกระแทกจากเคียวเงาทำให้เขาเข่าทรุดลงไป แรงกดมหาศาลทำให้เขาเสียสมดุล ชายหนุ่มต้องยกมือซ้ายขึ้นช่วยยันอีกข้างหนึ่งถึงจะหยุดเคียวเงาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

    เคียวเงาผุดขึ้นมาจู่โจมจากพื้นรอบตัวทากะ ในห้วงเวลาวิกฤต เขาออกแรงยันเคียวเงาเหนือศีรษะกลับไป ถีบเท้าลอยตัวขึ้นจากพื้นพุ่งหลบออกไปด้วยท่ากระโดด พอเท้าแตะพื้นเคียวเงาก็เหวี่ยงเข้ามาห่างจากคอแค่หนึ่งไม้บรรทัดแล้ว ระยะห่างแค่นี้ทากะหลบไม่พ้นจึงต้องเกร็งแรงที่ไหล่ซ้ายยกดาบปะทะหยุดด้วยกำลังเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกผลักไถลไปกับพื้นเกือบครึ่งเมตร

    ทากะถูกดึงเข้าหาไวโอเล็ตแซฟไฟร์ด้วยพลังมหาศาล และสิ่งที่รออยู่ไม่ใช่อ้อมกอดอบอุ่นจากผู้เล่นหญิงที่ถูกจัดไว้ในทำเนียบสาวงามของเกมแต่เป็นเคียวเงาหลายเล่ม ถ้าโดนเข้าจังๆต่อให้ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัสเขาต้องเค้นพลังจากทั้งร่างกายกระแทกด้ามเคียวออกและบิดตัวออกหลบอย่างฉิวเฉียด

    ทากะก้มหัวหลบเคียวเงาที่โจมตีเข้ามาจากด้านหลังเมื่อมองไม่เห็นไวโอเล็ตแซฟไฟร์ในขอบเขตสายตาอีกครั้ง

    พลังและความเร็วของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ในโหมด ‘ชาโดว์วอริเออร์’ เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่าตัว และยังมีความสามารถเปลี่ยนตำแหน่งกับเงาได้อย่างอิสระอีกด้วย

    หญิงสาวจับเคียวด้วยมือทั้งสองข้างฟาดลงมาตรงๆ แววตาของทากะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในพริบตาและฟันดาบคาตะนะสวนขึ้นไป เสียงปะทะคล้ายวัตถุที่มีมวลหนักกระแทกกันอย่างรุนแรงซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้จากอาวุธประเภทเคียวและดาบ แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน

    ดาบและเคียวต้านกันอยู่ตรงกลาง รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของไวโอเล็ตแซฟไฟร์

    “ต่อให้ทักษะ ‘เวพอนเบรค’ เต็มพันก็ทำลายเคียวเงาไม่ได้หรอกนะคะ”

    ทากะถูกเคี่ยวเกี่ยวกระกระชากอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ฝืนแรงแต่โน้มตัวและเข้าประชิดด้วยแรงกระชากจากตัวคู่ต่อสู้เอง ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ไม่ได้ตั้งท่าป้องกันตัวเพราะมั่นใจในพลังป้องกันของ ‘ชาโดว์สูท’

    หญิงสาวในชุดชาโดว์สูทเบิกตากว้าง เป้าหมายของทากะไม่ใช่การฟันแต่เป็นแทงดาบเข้าใส่ใบหน้า ดาบคาตะนะผ่านเลยไปพร้อมกับฝากรอยแผลเป็นทางยาวตั้งแต่ใต้ตาถึงใบหู พวงแก้มขาวผ่องย้อมด้วยเลือดของตัวเธอเอง

    “ถ้าไม่ใช้เงาคลุมทั้งตัวยังไงก็มีจุดให้เล่นงานได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้า คอ หัวเข่าหรือกระทั่งหลังเท้า”

    แววตาเด็ดเดี่ยวของทากะทำให้ไวโอเล็ตแซฟไฟร์หัวเราะร่า ควงเคียวเงาเข้าต่อสู้อย่างสะใจและสมใจเป็นที่สุด








    อีกฟากหนึ่งของทุ่งหญ้า การต่อสู้ระหว่างเอเซ แมคโดเวล และแพททริค กิ๊บสัน ก็ดุเดือดร้อนแรงไม่แพ้กัน เสียงปะทะของดาบเคลย์มอร์และดาบใหญ่เกรทซอร์ดดังถี่ยิบ ถูกอกถูกใจบรรดาไทยมุงหลายพันคนผู้ชื่นชอบการต่อสู้แบบฮาร์ดคอร์ที่ติดตามมาดู

    ชายหนุ่มเลือดร้อนสองคนผละออกหลังจากฟาดดาบใส่กันไม่ยั้งมือก่อนที่จะโถมเข้าใส่กันอีกครั้ง

    ดาบเคยร์มอร์เหวี่ยงจากด้านล่างทางขวาเฉียดยอดอกของแพททริคที่เอี้ยวหลบ เกรทซอร์ดฟันกวาดเฉียงๆถูกปัดเบี่ยงไปเกิดประกายไฟวูบหนึ่ง เอเซยันเท้าซ้ายลงพื้นเป็นฐานถีบเท้าขวาแทงดาบโจมตี อีกฝ่ายตั้งดาบรับตรงๆอย่างไม่สะทกสะท้านและกระแทกคู่ต่อสู้กลับไป จากนั้นบิดข้อมือเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีจากฟันเป็นฟาดด้วยใบดาบราวกับจะทุบบดเอเซให้แหลกเละ คนที่กำลังจะถูกทุบไม่คิดจะหนีแต่ปักหลักแทงดาบสวนกลับขึ้นไปตรงๆ

    เกิดเสียงกัมปนาทราวภูเขาถล่ม เกรทซอร์ดกระดอนกลับขึ้นไปประมาณสองฟุต เอเซเข่าทรุด สองแขนสั่นระริก แพททริคเกร็งกำลังแขนฟาดดาบลงมาอีกครั้ง เอเซแทงดาบสวนขึ้นไปแบบเดิมด้วยทิฐิเต็มเปี่ยม

    เมื่อเกรทซอร์ดฟาดลงมาเป็นครั้งที่แปด เอเซจำใจเป็นฝ่ายถอยเพราะสองขาจมลึกลงในดินทุกครั้งที่ปะทะ ยิ่งยื้อฝืนนานไปเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงทักษะ ‘แมจิคเอกเชนจ์’ ทำให้เขาสู้กับพลังมหาศาลของเบอเซิกเกอร์ได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยงแต่ชนะไม่ได้อยู่ดี

    แพททริคยกดาบพาดบ่า ยกมือลูบคางอย่างทึ่งๆ “นายนี่เจ๋งดีแฮะแถมใจกล้าด้วย ถ้าเป็นคนอื่นคงเละไปตั้งแต่ดาบแรกแล้ว”

    “เฮอะ! ได้ยินแบบนี้ก็ไม่ดีใจหรอกโว้ย!”

    เอเซ แมคโดเวล ย่อตัวลง เหยียดแขนขวาไปด้านหลังจนสุดแล้วสะบัดกลับมา สายลมม้วนพันรอบดาบและแปรเปลี่ยนเป็นคมดาบวายุนับสิบสาย หัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมเหวี่ยงดาบเกรทซอร์ดให้หมุนกลางอากาศกลายเป็นโล่ป้องกัน คมดาบวายุเข้าปะทะแล้วสลายไปทั้งหมด

    “ลูกเล่นจิ๊บจ๊อยใช้ไม่ได้ผลหรอกน่า”

    นักดาบเวทแห่งแคลนมัลดิโตเปลี่ยนพลังเวทในกายให้เป็นสายฟ้าฟาดจากท้องฟ้า พลังของมนต์สายฟ้าแรงค์อีสามารถล้มมอนสเตอร์ระดับสูงในแรงค์เดียวกันให้ล้มได้ในครั้งเดียว

    “บอกแล้วไงว่าลูกเล่นพรรค์นี้ใช้ไม่ได้ผลหรอก!” เบอเซิกเกอร์ยกเกรทซอร์ดขึ้นเหนือศีรษะ ดูดซับพลังอสุนีบาตทั้งหมดไว้จากนั้นปักดาบลงกับพื้นถ่ายทอดพลังงานลงสู่ผืนดินกว้างใหญ่ด้วยหลักการเดียวกับสายล่อฟ้า

    “จะบอกอะไรให้สักอย่างนะ ดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลบจุดบอดของอาชีพเบอเซิกเกอร์ที่แพ้ทางเวทมนต์ เป็นอาวุธแรงค์ซีที่เพิ่มออพชั่นต้านทานเวทมนต์ทั้งสี่ธาตุ ถ้าเวทมนต์ของนายไม่สูงไปกว่าแรงค์ของดาบเล่มนี้ก็อย่าเสียเวลาเปล่าเลย”

    “อยากลองไหมละ?” เอเซยิ้มแสยะ มองด้วยสายตาท้าทาย “มนต์บทที่สูงกว่าแรงค์ซีน่ะ”

    แพททริคแสยะยิ้มกลับ “อะไรกัน? ถ้ามีของดีก็รีบๆใช้ออกมาแต่แรก อย่ามัวแต่กั๊กสิ”

    กลุ่มเมฆสีดำก่อตัวเหนือท้องฟ้าเมืองอารันด์ ท้องฟ้ามืดครึ้มขาดแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามดังครืนครามต่อเนื่องราวกับจะเกิดพายุขึ้นจริงๆ กระแสลมปั่นป่วนหอบทั้งฝุ่นดิน ก้อนหิน ใบไม้ ใบหญ้าปลิวว่อน ต้นไม้ใหญ่ไหวโยกสั่นสะเทือนตามๆกัน

    หัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมตื่นเต้นสุดขีด อยากจะรู้ว่าท่าไม้ตายของชายที่เป็นคู่ต่อสู้จะอลังการสมกับที่พูดจาไว้ใหญ่โตรึเปล่า

    ท้องฟ้าสว่างวาบจากฟ้าแลบหนึ่งครั้ง และถี่มากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแสงสีเงินสาดส่องลงไปทั่ว สายฟ้าพร้อมใจกันฟาดเปรี้ยงเข้าใส่ร่างของนักดาบเวทเกิดเป็นแสงสว่างรุนแรง วินาทีนั้นเอเซ แมคโดเวล ทะยานเข้าหาแพททริค กิ๊บสันด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ทั้งร่างกายและดาบเคลย์มอร์ถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าราวกับเขาเป็นร่างอวตารของเทพสายฟ้า

    แพททริคยกเกรทซอร์ดขึ้นป้องกันตัวตามสัญชาตญาณก่อนจะโดนฟันขาดกลางลำตัว ความเร็ว แรงปะทะ และไฟฟ้าช็อตรุนแรงทำให้หัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมถึงกับสั่นสะท้านและขยับตัวไม่ได้

    เอเซที่พุ่งผ่านไปจิกเท้ากับพื้นบิดตัวกลับมาโจมตีซ้ำ แพททริคพยายามขยับตัวแต่ขยับไม่ได้ดั่งใจ ดาบเคลย์มอร์โจมตีผ่านการป้องกันของเกรทซอร์ดเข้ามาครึ่งหนึ่ง แขนซ้ายของเขาถูกฟันยังเจ็บไม่เท่าผลจากไฟฟ้าแรงสูงช็อตจากปากแผลลามไปทั้งตัว เอเซวกกลับมาโจมตีซ้ำครั้งที่สาม สี่ ในพริบตาเดียว แม้แพททริคจะป้องกันไม่ให้ถูกฟันโดนตรงๆได้ทุกครั้ง แต่เขาไม่สามารถป้องกันอาการบาดเจ็บจากการถูกไฟฟ้าช็อตได้

    ในขณะที่เอเซวกกลับมาเพื่อโจมตีเป็นครั้งที่ห้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี แพททริคกัดฟันฝืนขยับด้วยแรงฮึดขั้นสุดยอด สะบัดดาบโจมตีสวนกลับไป

    เสียงปะทะดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า

    เอเซทรุดเข่าลงหลังจากใช้พลังทั้งหมดโจมตีจนครบเงื่อนไขของทักษะแล้ว เขากัดฟันกรอดและพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาที่มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน

    “บ้าเอ๊ย!”

    ชายโครงขวาของเขามีแผลขนาดใหญ่ที่เกิดจากเกรทซอร์ดตอนปะทะกันครั้งสุดท้าย เพราะแผลนี้ทำให้การโจมตีครั้งสุดท้ายไม่สามารถเชื่อมต่อไปถึงการโจมตีพิเศษของเวทมนต์สายฟ้าแรงค์บีได้ นั่นคือ ‘สกิลเฟล’ – การใช้ทักษะล้มเหลว

    การปะทะกับครั้งสุดท้ายระหว่างดาบเคลย์มอร์กับเกรทซอร์ดในห้วงวินาทีเป็นตาย ดาบเคลย์มอร์เป็นฝ่ายแตกสลายเพราะทนแรงปะทะไม่ได้ แตกหักกลายเป็นเศษเหล็กนับร้อยชิ้นและยังไม่สามารถเบี่ยงการโจมตีของเกรทซอร์ดออกให้พ้นไปจากวิถีอันตรายได้ เอเซถึงบาดเจ็บหนัก

    ดาบเคลย์มอร์เหลือเพียงใบดาบที่แตกร้าวประมาณหนึ่งฟุตเท่านั้น

    อาวุธแรงค์ต่ำเมื่อต่อสู้กับมอนสเตอร์หรืออาวุธที่มีแรงค์สูงกว่ามีโอกาสถูกทำลายได้ เป็นหนึ่งในกฎเหล็กในแกรนด์ไกอาออนไลน์

    “สู้กับนายนี่มันส์สะใจจริงๆเลย แต่ว่านะ...สุดท้ายแล้วปัจจัยพื้นฐานที่จะตัดสินผลแพ้ชนะก็คือพลังอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ”

    หัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมใช้ทักษะ ‘ออลเอาท์แอคเกรซซีฟ’ ของอาชีพเบอเซิกเกอร์ เปลี่ยนพลังชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดเป็นพลังโจมตีมหาศาลได้สำเร็จก่อนการปะทะครั้งสุดท้ายเพียงสองวินาที ผลแพ้ชนะจึงพลิกกลับ ถึงตอนนี้พลังชีวิตของเขาจะเหลือเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์แต่ว่าเอเซไม่มีอาวุธอะไรจะใช้ฆ่าเขาได้อีกแล้ว

    “จบกันแค่นี้แหละ!”

    แพททริค วิ่งชาร์จเข้าหาเอเซ เหวี่ยงเกรทซอร์ดฟันด้วยกำลังมหาศาล เอเซยกดาบขึ้นมาป้องกันตัวตามคำสั่งจิตใต้สำนึก ผลคือดาบที่แตกหักได้ทำหน้าที่ปกป้องผู้ใช้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแหลกสลายไปจนหมดเหลือเพียงด้ามเท่านั้น เขากระเด็นไปไกลจนถึงกำแพงเมือง

    ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อดี จู่ๆกุห์ฟานกระเด็นก็ถูกซัดกระเด็นมาชนกำแพงเมืองในสภาพบาดเจ็บและบอบช้ำพอสมควร มือทั้งสองข้างเป็นแผลไหม้รุนแรงแต่เจ้าตัวยังไม่ยอมปล่อยมีดออก ใบหน้าและลำคอมีรอยแผลช้ำเป็นจ้ำเต็มไปหมด เลือดกบปาก ขมับและคิ้วมีเลือดไหลเป็นทางยาวลงมาถึงคาง

    เอรันดา วิเลนเซีย เดินเข้ามาพลางผิวปากดูเล็บมือตัวเองอย่างอารมณ์ดี เธอไม่มีบาดแผลสักแห่งบนร่างมีแต่รอยขาดวิ่นบนเสื้อผ้าแค่ไม่กี่แห่ง

    เอเซไม่คิดเลยว่าเจ้ารุ่นน้องจะแพ้หมดรูปถึงขนาดนี้

    กุห์ฟานปาดเลือดออกจากปาก เพียงแค่มองสีหน้าของรุ่นพี่เขาก็เข้าใจความคิดได้ “จะไม่แพ้ได้ไงเล่าพี่เอเซ ยัยนั่นเล่นใช้คริสตัลสลายทักษะอาณาเขตของผมหมดเลย ใช้คริสตัลก้อนละแปดหมื่นกิลเป็นยางลบก้อนละห้าบาทไปได้”

    “แพ้แล้วไม่ยอมรับเนี่ยเป็นนิสัยของพวกขี้แพ้มาตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีประวัติศาสตร์เลยนะ ฉันจะใช้ไอเท็มอะไรก็เรื่องของฉัน ถ้าจะเรียกร้องหาความเท่าเทียมก็หัดหาคริสตัลมาใช้บ้างสิ” ปรินเซสเอรันด้าทั้งพูดทับถม ยิ้มเหยียดๆ และมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลน

    รุ่นน้องโดนหยามต่อหน้าต่อตา เอเซวิ่งเข้าหาเอรันด้าทั้งที่ไม่มีดาบกะจะต่อยปากเธอสักหมัด แต่ยังไม่ทันเข้าถึงตัวผู้หญิงที่อยากจะต่อยปาก ทากะก็โดนไวโอเล็ตแซฟไฟร์ฟาดด้วยเคียวเงาจนลอยมาตกทับเขาอย่างพอดิบพอดี

    “แพ้รึไงวะ?”

    “ยังไม่แพ้สักหน่อย” ทากะยกแขนปาดผมที่ปรกหน้าออก ดวงตาสีดำยังไม่คลายความแข็งกร้าวลง

    “ไม่แพ้...แต่ก็ไม่ชนะหรอกนะคะ ต่อให้คุณชนะดิฉันได้ก็ยังเหลือแพททริคและเอรันด้าอยู่ดี คุณกลอเรียสเองอีกไม่นานก็คงเดินทางมาถึงพร้อมกับสมาชิกที่ขึ้นตรงกับเขาอีกห้าพันคน ไม่นับสมาชิกคนอื่นที่อยากมาด้วยอีกไม่รู้เท่าไร”

    ไวโอเล็ตแซฟไฟร์เดินเข้ามายืนตรงกลางระหว่างแพททริคและเอรันด้าล้อมสมาชิกแคลนมัลดิโตที่หมดสภาพต่อสู้ไปแล้วสองคน เหลือเพียงหัวหน้าแคลนอย่างทากะเท่านั้นที่ยังพอจะสู้ไหว

    “ยอมจำนนตอนนี้ยังไม่สายไปนะคะ”

    เธอยื่นข้อเสนออีกครั้งในสถานการณ์ที่ไม่มีตัวเลือกอื่นอีกแล้ว

    กุห์ฟานส่งมีดในมือซ้ายให้รุ่นพี่ ยังไงก็คำตอบของพวกเขาก็คือไม่มีทางยอมทำตามข้อเสนอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “สู้ตายกันสักตั้งไหมพี่เอเซ?”

    ชายหนุ่มผู้สูญเสียดาบเพียงหนึ่งเดียวไปรับมีดมาถือ “ก็ตั้งใจแต่แรกอยู่แล้วว่ะ”

    “ใจเย็นก่อน”

    ทากะพูดปรามขึ้นมาก่อนที่ทั้งเพื่อนและรุ่นน้องจะทำอะไรหุนหันพลันแล่น ทั้งสองคนมองตาทากะก็รู้ว่าเขาไม่คิดยอมแพ้อยู่แล้วแต่พูดห้ามขึ้นมาแบบนี้แสดงว่ายังมีแผนรับมืออยู่บ้าง

    “ถ้านี่เป็นสมัยยังเรียนอาชีวะอยู่ก็คงหมดทางหนีแล้วละ แต่นี่เป็นเกมเสมือนจริงเราก็หนีด้วยวิธีอื่นได้อยู่”

    กุห์ฟานและเอเซคิดได้ทันทีว่าทากะหมายถึงอะไรจึงขยิบตาส่งสัญญาณไปว่าเข้าใจแล้ว

    เมื่อหัวหน้าแคลนหยัดยืนขึ้น สมาชิกแคลนอีกสองคนจึงหยัดยืนขึ้นด้วย

    “ตัดสินใจได้แล้วรึยังคะ?”

    “ไม่น่าจะต้องถามซ้ำนะ ยังไงพวกเราก็ไม่ยอมทำตามเงื่อนไขของพวกคุณตั้งแต่แรกแล้ว”

    “อย่างงั้นหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอชีวิตของพวกคุณสามคนไว้เป็นค่าเหนื่อยละค่ะ”

    เอเซ ทากะและกุห์ฟานหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

    “พวกเรายอมรับว่าวันนี้แพ้ก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะยอมตายสักหน่อยนะ”

    “นั่นสิพี่เอเซ ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สาย”

    “อาจไม่ต้องรอถึงสิบปี พรุ่งนี้อาจจะกลับมาแก้แค้นแล้วก็ได้นา”

    “สหายเอเซพูดเข้าท่า”

    ทั้งสามคนยกมือขึ้นทำท่าคารวะของพวกจอมยุทธ์ในภาพยนตร์จีน พอคารวะกันเองเสร็จแล้วก็หันกลับมาคารวะให้ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคน

    กว่าจะรู้ว่าอะไรอยู่ในมือพวกเขา ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ก็ตอบสนองและลงมือช้าไปแล้ว

    วาร์ปคริสตัลส่องสว่างและพาสมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสามคนหายตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยการต่อสู้ไว้ให้เป็นของดูต่างหน้า ผู้เล่นนับหมื่นที่ร่วมเป็นสักขีพยานต่างพากันยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่ใช่เพื่อไว้อาลัยแด่การจากไปแต่เพราะไม่มีใครฉุกใจคิดได้ว่าพวกเขาจะหนีกันด้วยวิธีนั้นต่างหาก








    สมาชิกของแคลนเซเลสเทียลห้าพันคนที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับกลอเรียส อัลติมัส ได้รับคำสั่งให้แยกย้ายกันหาตัวสมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสามรอบเมืองอารันด์ รวมถึงสมาชิกที่แยกย้ายอยู่ตามเมืองอื่นๆด้วยเช่นกันจวบจนเวลายี่สิบสองนาฬิกาสามสิบนาที การค้นหาถูกยกเลิกแต่เปลี่ยนเป็นเฝ้าระวังและสังเกตการณ์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หากพบเห็นสมาชิกแคลนมัลดิโตให้รีบแจ้งพิกัดถึงกลอเรียส ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ แพททริคและเอรันด้าได้โดยตรงทันที

    ณ ห้องอาหารส่วนตัว อาคารสภาผู้บริหารเมืองบลูเพิร์ล

    รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลทั้งสองคนรวมถึงหัวหน้าแคลนพันธมิตรอีกสองคนนั่งล้อมวงจิบชาอยู่รอบโต๊ะกลม

    “วันนี้เป็นยังไงบ้างละ?”

    “ก็โอเคดี ผิดแผนไปหน่อยตรงที่ปล่อยให้หนีไปด้วยคริสตัลนั่นแหละ” แพททริคตอบและยกแก้วชาเอิร์ลเกรย์ขึ้นชื่นชมในความหอม

    “ก็เพราะคนของนายดันหนีด้วยคริสตัลให้พวกนั้นดูเป็นตัวอย่างนั่นแหละ น่าจับมัดกับหลักแล้วโบยให้สาสมกับความขี้ขลาดตาขาวเหลือเกิน ฉันว่าพวกสมาชิกใหม่ที่รับเข้ามาเนี่ยมีปัญหาแล้วนะ คัดคนดีๆเข้ามาบ้างสิอัลจัง” เอรันด้าพูดด้วยอารมณ์กระฟัดกระเฟียดถึงขีดสุด

    “เรื่องแบบนี้ไปบังคับกันได้ยังไงละเอรันด้า ขนาดสามเสือที่ว่าแน่ๆยังหนีพวกเธอด้วยวิธีนี้เลยไม่ใช่รึไง?”

    ปรินเซสเอรันด้ากระแทกแก้วชาลงกับจานรองเสียงดัง “พูดแล้วก็เจ็บใจชะมัดเลย อีกนิดเดียวแท้ๆเชียว”

    “ยังไงก็ไม่กระทบกับแผนการหรอก ที่พวกนั้นหนีไปอาจจะเป็นเรื่องดีต่อพวกเราก็ได้นะ”

    “ฉันละนับถือนายจริงๆเลยนะอัลจัง นี่นายคิดตาเดินล่วงหน้าไปถึงไหนกันแน่นะ?”

    กลอเรียส อัลติมัสจิบชาไปยิ้มไป เป็นรอยยิ้มเฉพาะตัวของเขาที่ไม่สามารถอ่านได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    “แล้วนายละแพททริค สู้กับเอเซสะใจดีไหม?”

    “โคตรมันส์เลย เข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงอยากสู้กับหมอนั่นอีก เจอกันครั้งหน้าต้องแก้มือให้ได้เลย”

    ไวโอเล็ตแซฟไฟร์ชะงักจังหวะดื่มชาเมื่อได้ยินแพททริคพูด “หมายความว่ายังไง? ก็นายชนะมาได้นี่นา”

    หัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมหัวเราะในคอ ยกดาบเกรทซอร์ดให้ทุกคนดู รอยแตกและรอยบิ่นบนใบดาบทำให้กลอเรียสและอีกสองสาวเปลี่ยนสีหน้า อาวุธแรงค์ซีไม่ใช่ของที่จะเสียหายได้ง่ายๆเมื่อปะทะกับอาวุธแรงค์ต่ำกว่า โอกาสเกิดเรื่องแบบนี้มีน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นเสียอีก

    “ถ้าไม่ใช่ดาบเล่มนี้ ฉันอาจจะแพ้ก็ได้ ถึงบอกไงเจอกันครั้งหน้าต้องแก้มือให้ได้”

    “ครั้งหน้าคงยากแล้วละ ต่อให้พวกเขามีโอกาสจริงๆถึงตอนนั้นก็เท่ากับไม่มีโอกาสอยู่ดีนะ”

    ชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งรองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะเผลอกลัวด้านมืดของกลอเรียส อัลติมัส ที่เผยออกมาชั่วขณะแม้จะรู้จักกันมานานแล้วก็ตาม
  8. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อันนี้ค่อยให้เห็นความต่างชั้นระหว่างเลเวลของผู้เล่นหน่อยแฮะ คงต้องดูว่ามัลดิโต้จะแก้เกมหมากนี้กันยังไง
  9. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ดูคำตอบได้ในตอน 34 ครับ
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 34 – Subcontinent






    หนึ่งวันหลังจากเหตุการณ์ ‘ล่าค่าหัวมัลดิโต’ ที่เมืองอารันด์ เวลาสิบเจ็ดนาฬิกากับอีกสิบหกนาที

    ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น ชาวเมืองต่างทำงานของตัวเองให้เสร็จเพื่อพักผ่อนอย่างสบายใจในยามค่ำที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า ผู้เล่นต่างแยกย้ายทำภารกิจหาเงินไว้จับจ่ายใช้สอยสิ่งของจำเป็นในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ บรรยากาศทั่วไปของเมืองยังคงคึกคักพลุกพล่าน หากแต่แฝงไว้ด้วยความตึงเครียดของหน่วยสอดแนมจากแคลนเซเลสเทียลที่กระจายอยู่ทุกๆทางแยก

    “จี-ห้าสิบสอง เป้าหมายมุ่งหน้าไปทางนั้นแล้ว”

    “รับทราบ”

    เป้าหมายที่พวกเขากำลังสะกดรอยตามและสังเกตการณ์คือ อากิรอส คีฟ ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล

    นักเวทผมเทาเดินทอดน่องชมความเป็นไปของเมืองอย่างคนไม่รีบร้อน แวะดูตู้โชว์สินค้าร้านโน้นทีร้านนี้ที จากนั้นเดินเข้าภัตตาคาร สั่งอาหารหรูหรามาทานอย่างสบายอารมณ์และตบท้ายด้วยไวน์แดง ในขณะที่เขากำลังจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สายตาคมกริบมองทะลุผ่านกระจกไปถึงผู้สังเกตการณ์ที่แกล้งยืนพิงต้นไม้ฝั่งตรงข้ามร้าน หน่วยสอดแนมถึงกับเย็นสันหลังวาบเมื่อเป้าหมายดันจ้องเขม็งมาทางนี้แต่ก็ยังแกล้งทำตัวเป็นปกติอยู่ทั้งที่ขาสั่นไปหมดแล้ว หลังจากอากิรอสออกจากภัตตาคาร เขาถึงกับต้องขอเปลี่ยนตัวให้คนอื่นทำหน้าที่ด้วยเหตุผลข้างคูๆว่าเดี๋ยวเป้าหมายจะรู้ตัวก่อน

    อากิรอส คีฟ มุ่งหน้าลงสู่ประตูเมืองทิศใต้ แวะซื้อดอกไม้หนึ่งช่อจากร้านริมทาง พอออกพ้นประตูเมืองก็เดินเข้าไปที่ซากของเพิงพักที่ถูกใครก็ไม่รู้ลอบเผาตอนที่เพื่อนๆไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล วางดอกไม้ที่เพิ่งซื้อมาแทนการไว้อาลัย และเพราะหันหลังให้กับคนที่สะกดรอยจึงไม่มีใครได้เห็นใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นของเขา

    เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและผ่อนออกช้า บิดคอไปซ้ายทีขวาที และจู่ๆก็ออกวิ่งอย่างกะทันหัน หน่วยสังเกตการณ์จากแคลนเซเลสเทียลต้องรีบวิ่งตามและประกาศระดมความช่วยเหลือจากสมาชิกคนอื่นทันที

    “ฉุกเฉินๆ เป้าหมายเคลื่อนไหวแล้ว! กำลังวิ่งมุ่งหน้าลงใต้เร็วมาก”

    “หมอนั่นคงรู้ตัวแล้วจะสลัดหนีไปสมทบกับไอ้สามตัวนั้นแหงๆ”

    “รีบแจ้งคุณกลอเรียสกับคนอื่นด้วย คนที่เหลือรีบตามไป”

    สมาชิกแคลนเซเลสเทียลในเมืองอารันด์ร่วมพันคนรีบกรูออกจากเมืองวิ่งไล่ตามไปทันที ผู้เล่นคนอื่นที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างตกใจเมื่อเห็นกลุ่มผู้เล่นจำนวนมากวิ่งออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว บางคนคิดว่ามีอีเวนต์พิเศษเกิดขึ้น แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่มีประกาศอีเวนต์พิเศษและคนกลุ่มนั้นคือแคลนเซเลสเทียล ปริศนาทุกอย่างจึงกระจ่าง

    คนวิ่งไล่ตามเป็นขบวนเริ่มหอบเหนื่อย หลายคนกลั้นใจวิ่งต่อไปไม่ไหวทยอยหยุดพักไปทีละคนสองคน แต่คนวิ่งหนียังวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอแถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ สุดท้ายก็เหลือเพียงแต่คนที่มีพลังกายมากหน่อยที่ยังวิ่งไล่กวดตามหลังไป

    วิ่งด้วยสปีดระดับเดียวกับการแข่งวิ่งร้อยเมตรมาร่วมหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดอากิรอสก็ชะลอความเร็วลงและเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่าโปร่งแห่งหนึ่ง ผู้เล่นของเซเลสเทียลที่เหลือรอดวิ่งตามมาประมาณห้าสิบคนไม่กล้าบุ่มบ่ามตามเข้าไปเพราะกลัวว่าปีศาจอีกสามตนจะดักซุ่มรออยู่ด้านใน

    “เอาไงดี? ถ้าเกิดไม่มีใครดักอยู่แล้วไอ้อากิรอสหนีไปละโดนคุณเอรันด้าเล่นงานตายแน่ๆ”

    “ใจเย็นๆดิ ใครมีสกิลตรวจสอบมั่งวะ ลองตรวจดูก่อนว่ามีใครซุ่มโป่งอยู่จริงรึเปล่า”

    “มันหยุดพักอยู่ด้านหลังโน่นแน่ะ ใครก็ได้รีบไปลากตัวมันมาที”

    รอจนสมาชิกที่มีทักษะตรวจสอบมาถึง ทุกคนถึงได้รู้ว่าไม่มีใครซุ่มอยู่และอากิรอสเดินเข้าไปในป่าลึกแล้ว หลังจากรอพรรคพวกส่วนใหญ่มาสมทบและปรึกษาร่วมกัน พวกเขาจึงตัดสินใจตามเข้าไป ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วทิ้งไว้เพียงแสงสลัวๆยามหัวค่ำ บรรยากาศในป่าเงียบสงัดวังเวงยิ่งทำให้พวกเขาหวาดระแวงมากขึ้นไปอีก เสียงสวบสาบขณะเดินย่ำผ่านใบไม้แห้งบนพื้นจากรอบด้านฟังคล้ายเสียงเพรียกกระซิบของปีศาจในความมืด

    รอยเท้ามุ่งหน้าเข้าไปถึงใจกลางป่า แต่นอกจากต้นไม้ ใบหญ้า เห็ดโคน และกระดาษแผ่นหนึ่งตรึงไว้กับต้นไม้ใหญ่ให้เห็นง่ายๆแล้วแล้วสมาชิกแคลนเซเลสเทียลก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ต้องการตัว

    ข้อความบนกระดาษก็มีเพียง ‘ขอให้มีความสุขสนุกสนาน’ ลงชื่ออากิรอส คีฟ

    ยังไม่ทันได้ตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม กลุ่มโจรป่าก็กระโดดลงมาต่อสู้กับแคลนเซเลสเทียลจนอุตลุดวุ่นวายไปหมด ถึงฝั่งเซเลสเทียลจะมีมากกว่าแต่เจอการจู่โจมกะทันหันแถมเป็นการต่อสู้ในที่มืด หลายคนที่ไม่มีทักษะมองที่มืดจึงเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทั้งที่ฝีมือเหนือกว่าพวกโจรมาก

    ในขณะที่เกิดการต่อสู้ในป่า นักเวทผมเทาไปปรากฏตัวที่หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือห่างจากเมืองอารันด์เพียงนิดหน่อยเท่านั้นด้วยพลังของวาร์ปคริสตัล หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆตกสำรวจจากผู้เล่นคนอื่นที่มีชาวบ้านเพียงแค่เจ็ดสิบกว่าคน โรงแรมประจำหมู่บ้านก็มีเพียงห้าห้องเท่านั้น เอเซมาเจอหมู่บ้านนี้โดยบังเอิญตอนที่กลับจากป่าดำเลยบันทึกจุดวาร์ปเอาไว้และกลายเป็นสถานที่หลบภัยไปโดยปริยาย

    อากิรอสร่วมมือกับกุห์ฟานวางแผนล่อคนของเซเลสเทียลออกจากเมืองอารันด์ให้ได้มากที่สุด เพราะนอกจากเขาแล้ว...ไนซ์ยังถูกสะกดรอยตามด้วยเช่นกัน ที่แกล้งทำเป็นหนีก็เพื่อเปิดทางให้ไนซ์ออกจากเมืองอารันด์ได้สะดวกขึ้น ส่วนเรื่องจะถูกกลุ่มโจรป่าโจมตีเป็นเพียงผลพลอยได้

    เสียงเคาะประตูห้องของห้องพักหมายเลขห้าบนชั้นสองของโรงแรมดังหกครั้งตรงตามสัญญาณที่นัดแนะไว้ แต่เพื่อความปลอดภัยกุห์ฟานจึงถามคำถามออกไป

    “นั่นใคร?”

    “อากิรอส คีฟ”

    “อายุเท่าไร?”

    “ยี่สิบเจ็ด”

    “มีแฟนรึยัง?”

    “ไม่มีโว้ย! รีบๆเปิดประตูเลย!”

    พอประตูเปิดออกนักเวทผมเทาก็เห็นทากะทำหน้ามึนมองออกไปนอกหน้าต่าง เอเซขำอย่างอารมณ์ดีแถมตบโต๊ะเสียงดัง ไนซ์ส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นห่วง และเจ้ารุ่นน้องตัวดียักคิ้วให้อย่างกวนๆ เมื่อสมาชิกมากันพร้อมหน้าแล้วกุห์ฟานจึงเปิดประชุมโดยมีเพื่อนของเขาใน ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ รวมถึงมิยูและเฟรเทียร์ผ่านช่องสนทนารวมด้วย

    “ตอนนี้ทุกเมืองมีแต่คนของเซเลสเทียลกับพันธมิตรอยู่เต็มไปหมดเลยไม่ว่าจะไวท์พิลลาหรือว่าเวเนส แม้แต่เมืองตะวันตกที่ห่างไกลยังมีพวกนั้นอยู่ คงกะว่าพวกนายสี่คนโผล่หางไปเมื่อไรก็จะจัดการเก็บทันที”

    “นายคงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดใช่ไหม? กุห์ฟาน”

    “เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่จะกลับออกไปตอนไหนแบบไหนเท่านั้นเอง”

    “มีแผนอะไรรึเปล่า?”

    “ยังไม่มีถึงได้เรียกประชุมนี่แหละ”

    “เวลานี้ยังมัวพูดเล่นอยู่อีกนะ!” เสียงแหลมสูงของเฟรเทียร์ดังแทรกขึ้นมาจนไนซ์สะดุ้ง

    “พี่เฟรเทียร์ใจเย็นๆก่อนค่ะ”

    เสียงหวานๆของมิยูพูดปรามเธอ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเพราะบังเอิญไปเจอกันที่เมืองบลูเพิร์ลเลยทำภารกิจด้วยกันและเพิ่งรู้ข่าวร้ายจากไนซ์เมื่อคืน ทีแรกพวกเธอตั้งใจจะเดินทางกลับมาที่เมืองอารันด์ทันทีแต่ไนซ์ห้ามไว้ก่อนเพราะตอนนั้นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากุห์ฟานและคนอื่นไปหลบอยู่มุมไหนของโลก

    “อย่างนายน่ะนะไม่มีแผน? อย่ามาพูดให้ตลกเลยน่า จะเอายังไงก็รีบบอกมาเลยแล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกมาไม่ต้องเกรงใจ”

    ทุกคนเงียบรอฟังคำตอบจากเขา นักล่าสมบัติผมแดงถอนหายใจเบาๆ

    “ที่เงียบก็เผื่อว่าใครจะเสนอไอเดียอะไรก่อนแต่เป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้นะ ยังไงทุกคนก็ถนัดเรื่องอื่นมากกว่าคิดอยู่แล้ว”

    “ยังจะมาแขวะกันอีกแน่ะ!” เฟรเทียร์ตวาดมาอีกครั้ง

    “พี่เอเซกับพี่ทากะรู้รึเปล่าว่าที่เมื่อวานนี้แพ้น่ะแพ้เพราะอะไร?”

    “เข้าใจผิดแล้วไอ้น้องชาย ที่แพ้น่ะมีแค่เอเซคนเดียวนะ” หัวหน้าแคลนมัลดิโตมองรุ่นน้องแวบหนึ่งแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ว่ากันตรงๆเลยนะฝีมือน่ะสูสีกันแต่แพ้เพราะอาวุธเท่านั้นแหละ พี่เอเซดาบพังก็เพราะเอาอาวุธแรงค์อีไปฟาดกับอาวุธแรงค์ซีห่างกันตั้งสองระดับ ถ้าพี่เอเซไม่แพ้ซะก่อนยังไงโมเมนตัมของการต่อสู้ก็พลิกมาอยู่ฝ่ายเราแน่ๆ”

    นักดาบเวททำหน้าบูดทันที

    “ก่อนอื่นเลยต้องรวบรวมวัตถุดิบสร้างอาวุธแรงค์สูงมาอยู่ในครอบครอง ดาบของพี่ทากะแรงค์สูงพอสมควรแล้วก็อัพเกรดให้สูงขึ้นกว่านี้ มีดของผมก็ต้องอัพเกรดขึ้นเหมือนกัน ส่วนพี่อากิก็ต้องใช้แมจิคไอเท็มระดับสูงมาทำเป็นไม้เท้าเหมือนกันและก็ต้องฝึกควบคุมสัตว์เวทให้ชำนาญด้วย”

    “แล้วนายจะไปหาวัตถุดิบจากไหน? อย่าลืมว่าวัตถุดิบสำหรับสร้างอุปกรณ์แรงค์สูงได้จากภารกิจต่อเนื่องที่แถมเซเลสเทียลเขาเป็นเจ้าประจำอยู่แล้วด้วย แถมตอนนี้พวกนายยังออกไปทำภารกิจหรือต่อสู้ประเจิดประเจ้อไม่ได้ด้วย ทางเลือกก็มีแค่หมกตัวอยู่ในฟิลด์หรือดันเจียนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่านั้นแหละ”

    “อื้อ! ที่นายพูดน่ะถูกต้องแล้ว”

    “เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าจะไป...ที่นั่นน่ะ”

    “ถูกต้อง”

    เฟรเทียร์ไม่เข้าใจจนอดไม่ได้ที่ต้องถามแทรก “เดี๋ยวๆ อย่าคุยรู้เรื่องกันแค่พวกนายสิ”

    “เร็วๆนี้คนในเน็ตเวิร์คเพิ่งจะไปเจอฟิลด์หนึ่งที่น่าสนใจเข้า ข้อมูลเบื้องต้นที่ตรวจสอบได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อจากสุดเขตแดนของทุ่งน้ำแข็งเข้าสู่ ‘อนุทวีป’ ที่ยังไม่ถูกสำรวจ ตอนแรกผมว่าจะหาเวลาไปตรวจสอบเองเหมือนกันแต่ดันเกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานซะก่อน”

    “อนุทวีปเป็นพื้นที่ที่ทั้งอันตรายและซับซ้อนมากมาตั้งแต่สมัยเทสต์เบต้าแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมอนสเตอร์เลย มีแต่พวกเขี้ยวลากดินเดินกันให้ยุบยับ ทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศจัดว่าเลวร้ายเข้าขั้นนรกบนดิน ทะเลทรายทางผ่านไปเมืองเวเนสว่าหินแล้วผมมั่นใจว่าอนุทวีปโหดกว่านั้นหลายเท่าแน่ๆ”

    “แต่อีกนัยหนึ่งที่นั่นก็เหมาะที่จะใช้หลบสายตาของเซเลสเทียล เป็นแหล่งสรรหาวัตถุดิบระดับสูงและวัตถุดิบหายากอื่นๆ ได้ฝึกต่อสู้กับมอนสเตอร์ระดับสูงและพัฒนาสกิลอื่นๆไปด้วย อาจจะเจอสมบัติลับจำพวกยูนีคไอเท็มหรือดีไม่ดีอาจจะได้เปิดภารกิจลับเฉพาะพื้นที่อนุทวีปก็เป็นได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูงตามสไตล์ถนัดของนายเลยนะกุห์ฟาน”

    “หลักการง่ายๆ ไฮริคไฮรีเทิร์น” กุห์ฟานตอบ

    เอเซช่วยเสริม “ถ้าไม่เสี่ยงขนาดนี้ก็เลิกหวังเรื่องกลับมาเอาคืนได้เลย”

    “ก็ตามนั้นแหละพี่”

    เฟรเทียร์พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “เดี๋ยวสิ ถ้านายหมายถึงพื้นที่ทุ่งน้ำแข็งทางเหนือละก็ตรงนั้นฉันสำรวจจนปรุมาตั้งนานแล้วนะ ถ้ามีพื้นที่เชื่อมต่อไปอนุทวีปจริงๆละก็ไม่น่าจะรอดหูรอดตาฉันไปได้หรอก”

    “งั้นดีเลยเจ๊ ผมขอดาต้าแมปที่มีอยู่ทั้งหมดเลยละกัน”

    “เรื่องที่ว่าทำไมพื้นที่นั้นถึงรอดหูรอดตาคุณเฟรเทียร์ไปได้ก็เพราะมันเกิดขึ้นตามอีเวนต์น่ะสิ ตอนนี้อีเวนต์ต่างๆในเกมคืบหน้าไปเร็วมากเพราะพวกเซเลสเทียลเร่งทำภารกิจต่อเนื่องและภารกิจระดับสูงเพื่อจะครอบครองอาวุธแรงค์เอให้ได้เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ฝ่ายเน็ตเวิร์คอย่างพวกผมก็ถูกปิดประตูตีแมวเลยนะ”

    “เข้าใจละ งั้นคุยกันเสร็จฉันจะส่งแผนที่ไปให้ทางทากะนะ”

    “แต๊งหลายๆเจ๊คนสวย”

    “แล้วไปเมื่อไรละ ไนซ์จะได้ช่วยเตรียมไอเท็มที่จำเป็นให้” เทรดเดอร์สาวนั่งฟังเงียบๆอยู่นานได้โอกาสถาม

    “ขอรวบรวมข้อมูลอีกสักสองสามวันก่อนละกัน ถ้ายังไงไอเท็มฟื้นพลังช่วยเตรียมไว้เยอะๆหน่อยนะงวดนี้คงได้ใช้รัวๆแน่นอน”

    “ผิดอีกแล้วนะไอ้น้องชาย เวลาที่จะไปสำรวจอนุทวีปอะไรนั่นคงอีกนานเลยละ” จู่ๆทากะก็พูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจสุดๆ จนทำให้กุห์ฟานและหลายคนสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

    “หลังจากที่พวกเราไปทำภารกิจก่อนสินะ” เอเซเป็นคนตอบข้อข้องใจ

    “พวกพี่คิดจะไปทำภารกิจที่เอ็นพีซีขอร้องมาจริงๆเหรอ? ผมว่าตอนนี้พวกเราไม่ควรเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นนะ”

    “เพราะเป็นช่วงเวลานี้ยังไงละถึงต้องรีบทำให้เสร็จ พวกนั้นคงคิดไม่ถึงหรอกว่าขณะที่พวกเราโดนล่าก็ยังกล้าไปทำภารกิจอีก เป็นการดัดหลังพวกนั้นไปในตัวด้วยเลยเป็นไง”

    “โอเคเอาแบบนั้นก็ได้ งั้นพี่เอเซเข้าป่าดำแล้วจะตามไปสมทบกับพวกผมสามคนที่เมืองเหนือสินะ”

    “ผิดอีกแล้วไอ้น้อง พวกนายแค่สองคนต่างหาก!”

    เอเซพูดปุ๊ปก็หันไปมองเพื่อนอีกคนที่ทำตัวสงบไม่พูดไม่จาตั้งแต่มาถึงที่นี่

    “หือ? อะไร?” อากิรอสแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจนเอเซง้างหมัดเข้าใส่ถึงต้องเลิกแกล้งโง่

    “นายจะให้เราเข้าป่าดำไปกับนาย? ขอเหตุผลที่น่าฟังหน่อยสิ”

    “เอาไปชดใช้ความผิดที่เสือกหน้าม่อไม่ดูเวล่ำเวลาจนทำให้เพื่อนฝูงลำบากแบบนี้ไง! เข้าป่าไปช่วยผู้หญิงสู้กับคิลเลอร์ฮอร์เน็ตได้แต่เข้าป่าดำไปช่วยเราไม่ได้รึไง?”

    “ป๊าว!” อากิรอสขึ้นเสียงสูงปรี๊ด “เราแค่ขอฟังเหตุผลเฉยๆยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ไป”

    “เอาละๆ งั้นถ้าไม่มีประเด็นอะไรแล้วขอปิดการประชุมแค่นี้แหละ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินจะติดต่อไปทันทีนะ” กุห์ฟานตบมือกระตุ้นความสนใจแล้วพูดตัดบททันที

    “ทากะเปิดช่องทางสนทนาไว้ด้วยนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายโดยเฉพาะ” เฟรเทียร์พูดจบก็ปิดการต่อไปในหน้าต่างสนทนารวมทันที

    “งั้นพวกเราก็ขอตัวละกัน เดี๋ยวจะหาข้อมูลของฟิลด์ที่ว่าไว้ให้ละกัน”

    เมื่อหน้าต่างสนทนาถูกปิดลงเรียบร้อย เอเซและทากะพร้อมใจกันลุกขึ้นและลากคออากิรอสออกจากห้อง ปล่อยให้รุ่นน้องมีเวลาส่วนตัว เพราะไนซ์ได้แต่มองกุห์ฟานด้วยสายตาห่วงใยตั้งแต่วินาทีแรกที่มาถึงที่ห้องนี้ กุห์ฟานไปนั่งที่เตียง ถอนหายใจแล้วทิ้งตัวนอนปิดตาปิดลง เทรดเดอร์สาวในชุดเมดใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดทั่วใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน

    เธอถูกดึงลงไปซบกับแผ่นอกของกุห์ฟาน

    “ไม่ต้องห่วงหรอก”

    “ไม่ได้ห่วงสักหน่อย”

    “ไม่ห่วงจริงเหรอ?”

    เธอหลับตาลง รอยยิ้มมีความสุขปรากฏขึ้นมา “อื้อ! ไม่ห่วงหรอกเพราะรู้ว่าเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ยังไงก็เจอกันทุกเสาร์อาทิตย์อยู่แล้วนี่”

    “นั่นสินะ เป็นเด็กน้อยขี้หลงทาง ไปเที่ยวคนเดียวก็ไม่ได้ ดูหนังคนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนคอยพาไปตลอด”

    ไนซ์ทุบกำปั้นลงบนตัวกุห์ฟาน เขาเอื้อมมือซ้ายมาคลายกำปั้นนั้นและกุมไว้อย่างทะนุถนอม มือขวาลูบไล้เรือนผมอย่างแผ่วเบาด้วยความรัก ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีกปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันและบอกเล่าความรู้สึกผ่านร่างกายของกันและกัน








    รุ่งเช้ามาเยือนหมู่บ้านเล็กๆพร้อมกับการเริ่มต้นเดินทางสู่ป่าดำของเอเซ แมคโดเวลและอากิรอส คีฟ ส่วนทากะมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เมืองไวท์พิลล่าล่วงหน้าไปก่อนเพียงลำพัง เดินทางสองวันเต็มๆหัวหน้าแคลนมัลดิโตก็ถึงเขตภูเขาหิมะที่ครั้งหนึ่งเคยเดินทางมาถึง เมื่อขึ้นสู่ยอดเขาได้แล้วประตูเมืองไวท์พิลล่าก็เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น

    บนกำแพงเมืองมีคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนของแคลนเซเลสเทียลทำหน้าที่สอดส่องมองหาสมาชิกแคลนมัลดิโตเช่นเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ทุกทางเข้าออกเมืองมีแต่คนจำพวกนี้อยู่เต็มไปหมด แน่นอนว่าภายในเมืองก็คงไม่ต่างกันนัก

    ค่ำแล้ว แสงสลัวๆปกคลุมทั่วทั้งภูเขา อากาศเย็นลงอีกหลายองศา

    เขาเปลี่ยนผ้าคลุมเป็นสีเทาเข้มให้กลืนกับบรรยากาศตอนกลางคืน เปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบรองเท้าสไปค์สำหรับเดินบนหิมะและพื้นน้ำแข็งโดยเฉพาะ หยิบแว่นตากันลมมาสวม ด้วยทักษะ ‘ไนท์วิชั่น’ ที่มีอยู่ก็ช่วยให้เขาไม่ต้องใช้คบไฟให้เป็นจุดเด่นมองเห็นง่ายทั้งคนและมอนสเตอร์ เดินอ้อมเลี่ยงเมืองไวท์พิลล่าไปเพราะที่นี่ก็ไม่ใช่เป้าหมายตั้งแต่แรก

    มอนสเตอร์ประจำถิ่นคือหมีขาว คราวก่อนเพราะความอ่อนหัดของเขาทำให้กลายเป็นยิ่งหนียิ่งโดนตามล่า คราวนี้ไม่ว่าจะมีหมีขาวโผล่มาขวางหน้ากี่ตัวเขาก็สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ขึ้นสู่ยอดเขาย้อนลงอีกทางเดินลงใต้หุบเขาที่เป็นหุบเหวมรณะ ร่างของเขาถูกความมืดกลืนหายไปราวกับเป็นเส้นทางลงสู่นรก

    นักสำรวจหัวหน้าแคลนมัลดิโตกลับขึ้นมาจากนรกที่อีกฟากของเหวลึก ตรงจุดนี้เป็นพื้นที่ที่เขาหนักใจที่สุดเพราะมีเกลอเก่า ‘ไอซ์ซิงกริฟฟิน’ มอนสเตอร์บอสที่ทำตัวเป็นหมาเฝ้าทางอยู่ ทักษะค้นหาศัตรูบอกว่าในรัศมีห้าร้อยเมตรรอบตัวเขาปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ระยะทางแค่นี้เป็นเพียงช่วงสั้นๆของแอ่งกระทะกว้างใหญ่ แต่ทางเลือกมีเพียงทางเดียวคือเดินหน้าต่อไป ทากะตัดสินใจวิ่งฝ่าไปรวดเดียวเดิมพันวัดดวงด้วยดวงที่ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร

    เขาผ่านมาได้โดยไม่เห็นแม้แต่เงาของบอสกริฟฟินน้ำแข็งตัวนั้น บอกไม่ได้ว่าวันนี้ดวงดีกว่าปกติหรือดวงซวยยังไม่ทำงานกันแน่

    ถึงหมู่บ้านชาวเหมืองแร่ก่อนเที่ยงคืนนิดหน่อย ทากะแปลกใจที่หัวหน้าหมู่บ้านและสมาชิกคนอื่นๆอยู่กันพร้อมหน้าเหมือนรู้ว่าเขาจะมาถึงตอนไหนแถมยังเตรียมมื้อดึกไว้พร้อม ในระหว่างที่ทากะกินมื้อดึกอย่างไม่เกรงใจหัวหน้าหมู่บ้านก็เล่ารายละเอียดเรื่องที่หลานสาวหายตัวไปให้ฟังด้วยใบหน้านองน้ำตา แกเล่าว่าลูกชายและลูกสะใภ้ตายไปเหลือทิ้งไว้เพียงหลานสาววัยสิบขวบ นึกไม่ถึงว่าอีกเจ็ดปีต่อมาเธอจะประสบชะตากรรมเดียวกับพ่อแม่คือเข้าไปหาของป่าแล้วหายตัวไป ชาวบ้านช่วยกันหาเท่าไรก็หาไม่พบแถมในป่ายังมีมอนสเตอร์ดุร้ายอีกด้วย ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านหมดปัญญาจึงต้องขอความช่วยจากทากะที่เคยแสดงฝีมือให้เห็นมาแล้ว หัวหน้าแคลนมัลดิโตไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายไปกับบทพูดตามสคริปสักเท่าไร แต่ก็ต้องตีสีหน้าว่าเข้าอกเข้าใจเนียนตามน้ำไปเรื่อยๆ เขารับปากว่าจะช่วยเหลือเต็มที่พรุ่งนี้จะออกไปสืบหาร่องรอยแต่เช้าตรู่ทันที

    แสงรุ่งอรุณสะท้อนเกล็ดน้ำแข็งและละอองหิมะเป็นประกายระยิบระยับ แต่ตอนนี้ทากะไม่มีอารมณ์สนใจชื่นชมทัศนียภาพยามเช้าสักเท่าไร ร่องรอยต่างๆของหลานสาวหมู่บ้านเมื่อสามวันก่อนถูกหิมะกลบฝังไปจนหมดแล้วจึงเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับทากะที่ถนัดบู๊มากกว่าบุ๋น ในขณะที่นักสำรวจเปิดแผนที่ขึ้นดูว่าป่าผืนนี้กว้างใหญ่สักเพียงใด เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นจากรอบตัวดังสะท้อนไปทั้งภูเขา ทากะถอนหายใจ ปิดแผนที่ ไม่ถึงสิบนาทีรอบตัวเขามีแต่หมาป่าสองหาง ‘ทวินเทล’ ไม่น้อยกว่าห้าสิบตัว เขาถอนหายใจคิดว่าที่วันนี้ดวงซวยขนาดนี้เพราะเมื่อวานเอาดวงไปใช้จนหมดแหงๆ

    หมาป่าสองหางตัวแรกกระโจนมาจากทางซ้าย ดาบคาตะนะสะบัดวูบหนึ่งคราพร้อมกับเลือดสีแดงเข้มหยดย้อมเกล็ดน้ำแข็งสีขาว หมาป่าอีกสี่ตัวขยับเข้ามาใกล้และแยกเขี้ยวขู่เท่านั้น ทากะแปลกใจที่พวกมันไม่ได้เข้ามาโจมตีตรงๆแต่ล้อมไว้และจงใจเปิดช่องให้เขาหนีเพียงด้านเดียวเข้าไปในป่าลึก ทีแรกเขากะจะฝ่าออกไปแต่เปลี่ยนใจหนีไปตามทางที่พวกหมาป่าเปิดช่องไว้

    เขาวิ่งไปพร้อมกับมีหมาป่าขนาบทั้งฝั่งซ้ายและขวา ฝ่าป่าสนหนาทึบไปถึงถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ช่องโพรงกว้างใหญ่ลึกลงในไปภูเขาหินที่มีแต่ความมืด พอเขาหยุดเคลื่อนไหวหมาป่าทั้งฝูงก็พร้อมใจกันหอนและขู่คำรามราวกับบอกว่าให้เขาเข้าไปด้านในถ้ำ ลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริงที่ว่าหมาป่าสองหางพวกนี้นำทางมาสู่อีเวนต์บางอย่าง แต่เขาไม่อยากเข้าไปสำรวจในถ้ำโดยมีหมาป่าทั้งฝูงตามหลังไปด้วย

    ระเบิดแสงถูกนำออกมาใช้งาน เหล่าหมาป่าสองหางโหยหวนยิ่งกว่าโดนเฆี่ยนด้วยแส้ พริบตาที่พวกมันตาพร่าทากะก็ฝ่าออกมาได้อย่างสบายๆวิ่งรวดเดียวลงจากภูเขากลับไปที่หมู่บ้าน

    หัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งออกมารออยู่ที่หน้าหมู่บ้านด้วยสีหน้าเปี่ยมหวัง แต่เมื่อเห็นทากะกลับมาเพียงคนเดียวชายชราก็หน้าสลดลงด้วยแววตาหม่นหมอง

    “ได้เบาะแสแล้วละครับ”

    คำพูดของนักสำรวจหนุ่มเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชุบชโลมหัวใจของชายชราให้กลับมามีชีวิต

    “หมาป่าไล่ต้อนผมไปจนถึงถ้ำใหญ่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ตรงปากถ้ำผมเห็นเศษผ้าที่คล้ายชุดของผู้หญิงอยู่แต่ยังไม่มีเวลาตรวจสอบเพราะหมาป่ามันล้อมไว้เลยหนีกลับลงมา ตอนนี้ขอสันนิษฐานไว้ก่อนว่าหลานสาวหัวหน้าหมู่บ้านอาจจะหนีหมาป่าเข้าไปหลบในถ้ำแล้วคงหลงทางกลับออกมาไม่ได้ ก่อน ถ้ายังไงอีกสองสามวันจะมีเพื่อนผมตามมาสมทบถึงตอนนั้นคงช่วยกันเข้าไปหาเบาะแสในถ้ำได้น่ะครับ”

    ข่าวสารจากปากทากะทำให้คนทั้งหมู่บ้านใจชื้นขึ้นมาบ้าง

    พอเข้ามาในห้องพักหัวหน้าแคลนมัลดิโตรีบติดต่อรุ่นน้องทันที

    “โทษทีนะพี่ทากะผมคงตามไปช้าหน่อย ต้องเคลียร์ข้อมูลฝากไว้กับเพื่อนในเน็ตเวิร์คก่อนเพราะตอนนี้คอนเฟิร์มแล้วว่าถ้าเข้าไปในเขตอนุทวีปจะติดต่อกับคนอื่นไม่ได้เลย จะเสร็จเมื่อไรผมก็ฟันธงไม่ได้เหมือนกัน”

    “โอเคไม่เป็นไร เดี๋ยวทางนี้พี่หาทางทำอะไรสักอย่างเอง”

    “อ้อ! พี่เอเซติดต่อมาบอกว่าพี่อากิตายไปรอบนึงแต่ชุบชีวิตทันไม่งั้นได้ไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองอารันด์แน่ๆ”

    “มันโดนตัวอะไรตีตายวะ?”

    “พี่เอเซบอกว่าโดนเม่นระเบิดหนามใส่ พี่อากิซวยจัดโดนหนามแทงตาฉึกเดียวตายเลย แต่ตอนนี้ไปถึงหมู่บ้านแรกแล้วละอีกไม่นานคงเสร็จภารกิจแล้วตามมา ว่าแต่พี่ทากะจะเอาอะไรเป็นพิเศษป่าวจะได้เตรียมขึ้นไปรอบเดียวเลย”

    “ไม่น่าจะมีละมั้ง”

    “งั้นผมกลับไปทำงานต่อละ”

    “เคๆ เจอกัน”

    ทากะทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ขาเตียงส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแล้วสงบลงเหลือเพียงเสียงลมหนาวจากนอกโรงแรมที่กำลังโหมพัดอย่างรุนแรง แผนการที่วางไว้ดีแค่ไหนไม่เคยจะได้ใช้จริงต้องไปแก้ปัญหาหน้างานตลอดแทบทุกครั้ง ถึงการสู้กับหมาป่าสองหางทั้งฝูงจะไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไรแต่ถ้ามีกุห์ฟานมาช่วยย่อมเป็นเรื่องดีกว่า

    “ตัวช่วยๆ อ๊ะ!?”

    เหมือนสวรรค์บันดาลใจให้เขาคิดได้ว่าจะไปหาตัวช่วยจากไหน เขาลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อโค้ทมาสวมแล้วออกจากห้อง ลงไปชั้นล่างของโรงแรมแล้วมุ่งหน้าไปที่ทางออกหมู่บ้านฝั่งทิศเหนือ เดินฝ่าลมหนาวและเกล็ดน้ำแข็งไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่ห่างจากหมู่บ้านมากนัก

    สถานที่แห่งนั้นคือโรงเรือนขนาดใหญ่ของพวกมนุษย์หนู

    ในเวลากลางคืนแถมอากาศหนาวแบบนี้พวกมนุษย์หนูส่วนใหญ่ขดตัวนอนเบียดกันจนดูเหมือนมีใครเอาก้อนหิมะขนาดใหญ่วางเรียงกัน ด้านในสุดโรงเรือนมีดวงตาคู่หนึ่งเรืองแสงให้

    “มีธุระอะไร?”

    เสียงของวิลเลียม กษัตริย์ต้องสาปในร่างของมนุษย์หนูปลุกบรรดาลูกน้องให้ตื่นขึ้น ดวงตาสีแดงจับจ้องมองทากะเป็นจุดเดียว

    “จะขอแรงนายไปช่วยคุ้มกันหมาป่าหน่อยน่ะ”

    “หมาป่า? เนื้อของพวกมันอร่อยรึเปล่า?”

    “ไม่เคยกินเลยไม่รู้เหมือนกัน ถ้าฆ่าพวกมันได้ก็ลองเอากลับมากินดูสิ”

    “จะไปเมื่อไร?”

    “พรุ่งนี้เช้าเลย”

    “ตกลงตามนั้น”

    การเจรจาจบลงอย่างเรียบง่ายและรวบรัดที่สุด มนุษย์หนูทั้งหลายพากันล้มตัวลงนอนหลับใหลเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

    เช้าวันถัดมา วิลเลียมมายืนรอที่หน้าโรงแรมตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ชาวบ้านหลายคนยังหวาดผวาไม่กล้าเข้าใกล้มัน ความน่ากลัวของมนุษย์หนูตนนี้ยังตราตรึงในใจของพวกเขาแม้ว่าตอนนี้มันจะยืนนิ่งเป็นรูปสลักก็ตาม เมื่อทากะออกมาจากโรงแรมถึงมันก็เดินตามหลังเขาไปเงียบๆ

    เสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้นต้อนรับเมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงความสูงระดับหนึ่งพันเมตร วิลเลียมขยับหูไปมาฟังเสียงจากรอบตัวแล้วบอกกับทากะ

    “ศัตรูมีเจ็ดสิบสองตัว ล้อมอยู่ทุกทิศทางในระยะสี่สิบเจ็ดเมตร จะให้ทำอย่างไร?”

    “ยังไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้ามันโจมตีเมื่อไรก็ฆ่ามันให้เรียบได้เลย”

    ราชามนุษย์หนูดึงดาบเล่มใหญ่ออกจากฝักข้างเอวมาถือเตรียมพร้อมไว้

    ทากะเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆโดยมีวิลเลียมคอยรายงานให้รู้ตลอดเวลาว่าศัตรูอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน เขาลองทดสอบเปลี่ยนทิศทางไปทางอื่นที่ไม่ใช่ทางไปถ้ำปรากฏว่าหมาป่าสองหางมุ่งหน้ามาขวางทางยิงฟันแยกเขี้ยวขู่ใส่ซึ่งเขาก็ให้เจ้าวิลเลียมจัดการฆ่าจนหมด พวกหมาป่าที่ถูกวิลเลียมฆ่าไม่ได้แตกสลายไปเหมือนถูกผู้เล่นฆ่า พอวิลเลียมเข้าไปแตะซากศพหมาป่า ซากศพเหล่านั้นกลับหดลงหายไปดื้อๆเหมือนถูกย่อส่วนด้วยมือของมัน ฆ่าหมาป่าหมดไปหนึ่งฝูงก็มีอีกฝูงก็โผล่มา ทากะลองเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้งพวกหมาป่าสองหางก็เข้ามาขู่ล้อม พอเดินตรงไปที่ถ้ำพวกมันก็แค่เดินประกบอยู่ห่างๆทำให้ทากะมั่นใจว่าถ้ำที่กำลังจะไปจะต้องเกี่ยวข้องกับภารกิจช่วยเหลือหลานสาวหัวหน้าหมู่บ้านอย่างแน่นอน

    พอมาถึงปากถ้ำ ทากะก็สั่งให้วิลเลียมฆ่าหมาป่าให้หมดและเฝ้าปากถ้ำไว้อย่าให้ตัวอะไรตามเขาเข้าไปด้านในได้อย่างเด็ดขาด ยิ่งเดินลึกลงไปด้านในถ้ำยิ่งกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น เพดานและผนังเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย และสิ่งที่เขาตามหาและอยากเห็นมาตลอดก็ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด

    รอยเท้ามนุษย์ที่ประทับไว้บนดินโคลน

    แต่นอกจากรอยเท้าที่คาดว่าน่าจะเป็นของหลานสาวหมู่บ้านแล้วยังมีรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตอีกรอยหนึ่งด้วย ดูแล้วเป็นรอยเท้าของหมาป่า แต่เป็นรอยเท้าขนาดใหญ่มากและเป็นการเดินแบบสองขา คะเนจากรอยเท้าแล้วเจ้าหมาป่าเดินสองขาน่าจะสูงไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกเมตร มีความเป็นไปได้ว่าตัวที่ฝากรอยเท้าไว้อาจจะเป็นมอนสเตอร์บอสก็ได้

    ทากะยิ้มมุมปากความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ห่างหายไปเนิ่นนานตั้งแต่เริ่มเป็นทหารรับจ้างเกิดขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้

    ความตื่นเต้น!

    เขาตามรอยเท้าที่มุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำ ใช้เสียงน้ำหยดจากปลายหินงอกหินย้อยกลบเสียงรอยเท้าของตัวเองค่อยๆคืบไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างระมัดระวัง จู่ๆเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้นราวกับรู้ว่ามีแขกมาเยือนถ้ำอันเป็นสถานที่ของมัน ทากะที่ว่าประสาทแข็งยังรู้สึกขนลุกเกรียวเย็นสันหลังวาบ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เขากระโจนพรวดขึ้นบนก้อนหินและกวาดตามองหารอยเท้าและทิศทางที่มุ่งไป เขาวิ่งรวดเดียวโดยใช้ร่องรอยนั้นเป็นเครื่องชี้นำไปสู่สถานที่ซ่อนตัวของหลานสาวหัวหน้าหมู่บ้าน

    เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง เพราะเสียงสะท้อนภายในถ้ำทำให้ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่มาของเสียงได้อย่างแน่ชัด รู้เพียงอย่างเดียวว่าสัตว์ร้ายเจ้าของเสียงคำรามเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมแล้ว

    นักสำรวจหนุ่มขึ้นไปถึงรอยแตกของผนังและตะโกนชื่อของหลานสาวหัวหน้าหมู่บ้าน

    “ลิซ่าซ่อนตัวอยู่ในนี้ใช่ไหม?”

    “ใช่...ค่ะ”

    เสียงตอบรับจากความมืดในซอกหินทั้งแหบแห้งและแฝงด้วยความหวาดกลัว มือซูบซีดค่อยๆขยับออกมาจากด้านในอย่างกล้ากลัวๆ ทากะคว้าข้อมือนั้นได้แล้วดึงเธอออกมาทันที หญิงสาววัยสิบเจ็ดผูกผมเปียมัดใหญ่ใบหน้ามอมแมมล้มลงอย่างอ่อนแรง เดือดร้อนทากะต้องแบกเธอขึ้นหลังและรีบถอนตัวออกจากถ้ำ

    ที่โพรงถ้ำอีกฟากหนึ่ง เงาดำทะมึนของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่มีดวงตาสีแดงเป็นประกายในความมืดแยกเขี้ยวขู่คำรามด้วยเสียงดังทรงพลัง มันกระโดดไปปิดทางออกไว้ มันคือมนุษย์หมาป่าแบบเดียวกับเฟนริล ต่างกันเพียงขนของมันเป็นสีขาวอมเหลือง มีหางสองหางเป็นพวงโค้ง ถือดาบหินเล่มใหญ่สองเล่ม

    มอนสเตอร์ระดับบอสแรงค์ซี จ้าวแห่งหมาป่าสองหาง ‘ดับเบิลเอดจ์’

    มันวิ่งพรวดเข้าหาทากะและเหวี่ยงดาบโจมตี หัวหน้าแคลนมัลดิโตกระโดดหลบอย่างว่องไว ก้อนหินที่เขายืนอยู่ถูกดาบหินป่นกระแทกแตกละเอียดอย่างง่ายดาย ทากะกะจะวิ่งอ้อมออกจากถ้ำไป แต่จ้าวหมาป่าสองหางไม่ปล่อยให้เขาทำแบบนั้นได้ มันโจมตีด้วยดาบศิลาทั้งสองเล่มไล่ต้อนให้เขาถอยกลับเข้าไปด้านในถ้ำ ถ้าสถานการณ์ตอนนี้มีทากะเพียงคนเดียวเขาคงหนีออกไปได้ไม่ยาก ติดตรงหญิงสาวที่เขาแบกอยู่บนหลังทำให้เขาต่อสู้ไม่ได้และเคลื่อนไหวได้จำกัด

    มอนสเตอร์บอสแยกเขี้ยวขู่ ย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อแสนโอชะของมัน

    เงาร่างอีกเงาหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับประกายแสงวูบหนึ่ง วิลเลียมฟันดาบใส่กลางหลังมอนสเตอร์บอสเต็มๆจนมันล้มคว่ำ ทากะใช้โอกาสที่ราชาแห่งมนุษย์หนูสร้างขึ้นถีบเท้าวิ่งไปที่ปากถ้ำด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด เสียงคำรามของบอสหมาป่าดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดโกรธแค้นตามด้วยเสียงอาวุธปะทะดังถี่ยิบ

    เขาพาลิซ่า หลานสาวหัวหน้าหมู่บ้านออกจากถ้ำได้ในที่สุดแล้วก็ยืนตะลึงไปชั่วขณะเพราะซากหมาป่าสองหางที่นอนตายเกลื่อนทุ่งน้ำแข็งมีนับไม่ถ้วน เขาแทบไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันนี้มาคนเดียวโดยไม่มีวิลเลียมมาด้วยจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

    เสียงร้องของวิลเลียมเรียกสัมปชัญญะของทากะให้กลับคืนมา เขารีบย้อนกลับลงไปในถ้ำโดยพลัน

    ราชามนุษย์หนูบาดเจ็ดมีแผลทั่วทั้งตัว แต่บอสหมาป่าดับเบิลเอดจ์ก็ไม่ได้สบายไปกว่ากัน แค่แปปเดียวพวกมันสองตัวฟัดกันถึงขั้นปางตายเลย

    “วิลเลียม หนี!”

    “ไม่! ไอ้ตัวนี้น่าอร่อย จะเอากลับไปกินด้วย”

    ทากะสรรเสริญทีมสร้างเกมในใจว่าออกแบบสติปัญญาของวิลเลียมได้สมจริงแบบนี้ “เดี๋ยวหาอย่างอื่นที่อร่อยกว่าให้กินน่า ไอ้ตัวนี้หนังเหนียวเนื้อหยาบไม่อร่อยหรอก”

    ดวงตาของราชามนุษย์หนูเปล่งประกาย ดาบในมือของมันปลดปล่อยไอเย็นออกมา วิลเลียมสะบัดดาบสร้างน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำผนึกการเคลื่อนไหวของจ้าวแห่งหมาป่าไว้และกลับขึ้นมาที่ปากถ้ำอย่างว่าง่าย ทากะแบกลิซ่าขึ้นหลังแล้ววิ่งรวดเดียวลงจากภูเขากลับไปที่หมู่บ้านทันที

    หัวหน้าหมู่บ้านดีใจจนหลั่งน้ำตานองหน้าที่หลานสาวรอดชีวิตกลับมาได้อย่างเหลือเชื่อ ชาวบ้านคนอื่นพากันมาขอบอกขอบใจทากะกันยกใหญ่

    “ขอบคุณ ขอบคุณท่านผู้กล้าจริงๆ”

    “จริงๆแล้วผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ คนที่เข้าไปช่วยสู้กับบอสหมาป่าน่ะ...เจ้าวิลเลียมต่างหาก”

    ทุกคนหันไปมองมนุษย์หนูที่นั่งพิงกำแพงบ้าน ทั่วตัวของมันมีแต่บาดแผล ขนสีขาวเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปใกล้ๆและยกมือลูบหัวมันด้วยใบหน้าเอ็นดู

    “ขอบใจจริงๆนะเจ้าหนู”

    มันกระดิกหูตอบรับคำพูดนั้น

    “ช่วยหาอะไรอร่อยๆให้มันกินหน่อยละกันครับ ผมสัญญากับมันไว้อย่างนั้น”




    กองไฟถูกจุดขึ้นที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านมารวมตัวกันที่นี่และดื่มกินกันอย่างสนุกสนานราวกับจัดงานเทศกาล ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มร้องรำทำเพลงกันอย่างออกรสชาติ เด็กๆวิ่งเล่นหยอกล้อกันไปทั่ว หนุ่มสาวจับคู่เต้นรำด้วยความรื่นเริงเบิกบาน ส่วนรางวัลของราชามนุษย์หนูคือเนื้อวัวรมควันและไส้กรอกปลาแสนอร่อยกินได้ไม่อั้น
    soulmaster และ joi100 ถูกใจสิ่งนี้
  11. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ช่วงท้ายตอนนี้ถ้าเขียนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิลเลียมกับชาวบ้านน่าจะประทับใจกว่านี้นะฮะ เพราะอันนี้ดูเป็นบทสรุปของเรื่องมากไปหน่อยจนขาดอีเวนท์ช่วงที่ทั้งสองฝ่ายได้มีปฏิสัมพันธ์กันไปเลย
  12. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    คำตอบอาจสปอยล์เด้อ ลากเมาส์ดูคำตอบเอานะครับ ใช้แทคสปอยล์ไม่ได้

    ============================================
    ที่เข้าใจว่าเป็นบทสรุปของเรื่อง...ก็ถูกต้องแล้วครับ

    เพราะอีเวนต์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวบ้านเชื่อใจวิลเลียมและพวกมนุษย์หนูมากขึ้น เมื่อพวกทากะกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้งถึงได้รู้ว่าชาวบ้านกับมนุษย์หนูเข้ากันได้ดีแล้ว ดังนั้นช่วงที่ชาวบ้านและมนุษย์หนูมีปฏิสัมพันธ์กันจึงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แคลนมัลดิโตเข้าไปในอนุทวีปครับ
    ============================================
  13. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 35 – Newbie






    ช่วงสายในวันที่อากาศหนาวเหน็บจับใจ หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้านไปจนถึงโรงแรมซึ่งอยู่อีกฟาก บานประตูไม้เปิดออกกระแทกกับผนังเกิดเป็นเสียงดัง กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกโยนไปไว้บนโซฟา เธอมัดรวบผมสีดำเป็นทรงหางม้าอย่างรวดเร็ว รูดซิปถอดเสื้อกันหนาวสีส้มออกม้วนอย่างง่ายๆวางไว้ข้างๆเป้ใบโปรด เดินฉับๆขึ้นบันไดไปชั้นสองโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของคุณป้าวัยห้าสิบผู้เป็นเจ้าของโรงแรม

    “เดี๋ยวจ๊ะๆหนูเฟรเทียร์”

    ประตูห้องพักหมายเลขสองศูนย์สี่ถูกถีบให้เปิดด้วยเท้าขวาที่สวมบูทหนังสีดำ ในห้องมีเพียงเตียง ตู้ โต๊ะและเก้าอี้ไม้สองตัว ไม่เห็นแม้แต่เงาของซารุวาตาริ ทากะ

    “ออกไปแต่กลางดึกแล้วจ๊ะ พอเพื่อนอีกสามคนมาถึงก็เช็คเอาท์ออกไปเลย”

    คุณป้าเจ้าของโรงแรมบอกหลังจากค่อยๆเดินขึ้นบันไดมาจนทันเฟรเทียร์ เอเดลไรย์ที่ตอนนี้กำลังยืนโกรธจนตัวสั่น ก็สมควรแล้วที่เธอจะโมโหโทโสขนาดนี้เพราะเธอเร่งเคลียร์ภารกิจที่เมืองบลูเพิร์ลแล้วรีบกลับมาที่หมู่บ้านเพราะอยากไปสำรวจอนุทวีปด้วย ทั้งที่อุตส่าห์บอกทั้งกุห์ฟานและทากะไว้ว่าให้รอด้วยแท้ๆแต่สุดท้ายพวกเขาก็ทิ้งเธอและออกเดินทางไปก่อน

    “อีตาบ้าๆๆ กลับมาเมื่อไรฉันจะเล่นงานให้น่วมเลยคอยดู!”

    นักสำรวจสาวได้แต่กำหมัดทุบกำแพงและกรีดร้องระบายอารมณ์

    ซารุวาตาริ ทากะจามแรงๆหนึ่งครั้งระหว่างเดินทางปีนขึ้นจากหน้าผาบนภูเขาหิมะที่ความสูงกว่าสี่พันเมตรเพราะถูกคนไกลอาฆาตแค้น

    “เป็นไรวะ? เขาว่าคนบ้ามักจะไม่เป็นหวัดนะเว้ย”

    เสียงกวนๆของอากิรอส คีฟ ดังขึ้นมาจากด้านใต้ชะง่อนหน้าผาด้วยเจตนาเย้าแหย่ ทากะก็เย้าแหย่คืนไปด้วยการเตะหมุดที่ใช้คล้องเชือกนิรภัยออก เมื่อเชือกไม่มีหลักรั้งให้แนบกับพื้นก็ดีดออกเพราะทนต่อน้ำหนักไม่ได้และดีดหมุดยึดตัวอื่นๆให้กระเด็นออกตามไปด้วย ร่างของอากิรอสและเอเซที่ปีนขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางถูกดึงไปห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ หมุนไปหมุนมาด้วยแรงเหวี่ยง เสียงลั่นของเชือกที่ถูกฉุดด้วยน้ำหนักของคนสองคนเป็นสัญญาณว่ามันพร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ

    “ไอ้ฉิบหายทากะ! รอให้มันขึ้นไปก่อนแล้วค่อยถีบมันลงมาคนเดียวเด้ กูเกี่ยวอะไรด้วยวะเนี่ย”

    เอเซ แมคโดเวลชูนิ้วกลางให้เพื่อนตัวแสบที่ชะโงกมาดูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

    “โทษทีๆ ลืมไปเลยว่าสหายเอเซปีนขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย”

    “ไอ้เวรเอ๊ย! รีบๆดึงขึ้นไปเลยนะเว้ย”

    สุดท้ายก็ต้องลำบากกุห์ฟานมาช่วยดึงรุ่นพี่ทั้งสองคนขึ้นมาก่อนที่จะตกลงไปตายอนาถอยู่ใต้เหว

    “พวกพี่จะเล่นอะไรกันก็ระวังหน่อยสิ เชือกนี่มันแพงนะถ้าขาดขึ้นมาจะทำยังไง?”

    เอเซเตะก้นเจ้ารุ่นน้องดังป้าบ “ไอ้นี่ก็อีกตัว ห่วงเชือกมากกว่าชีวิตพวกพี่เรอะ?”

    “คิดซะว่าฝึกจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างเดินทางไงพี่เอเซ ทีนี้ก็รู้แล้วว่าเชือกนี่รับน้ำหนักคนสองคนได้ตั้งสิบนาทีแน่ะ”

    แล้วกุห์ฟานก็โดนเตะอีกป้าบหนึ่ง

    เบื้องหน้าพวกเขาคือป่าสนผืนใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตาที่ถูกหิมะและน้ำแข็งย้อมจนเป็นสีขาว แนวเทือกเขาสูงชันเห็นอยู่ไกลลิบๆ ในขณะที่ฝั่งขวามือคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ไปจนถึงเส้นขอบฟ้า

    “ไปทางไหนต่อ?”

    “ลงจากภูเขาลูกนี้แล้วไปทางตะวันตกเรื่อยๆ” กุห์ฟานเปิดดูแผนที่แล้วตอบทากะ

    “เพื่อนนายในเน็ตเวิร์คไปได้ไกลสุดแค่ไหน?”

    “จากนี้ไปอีกไม่เกินสองวัน เพื่อนผมบอกว่าข้างหน้ามีแต่โกเล็มน้ำแข็งเดินกันยั้วเยี้ย บนฟ้าก็มีแต่เงามังกรบินโฉบไปโฉบมา มอนสเตอร์แรงค์ซีทั้งนั้น”

    “อุวะ! แรงค์ซีเลยเรอะ? หวังว่าดาบเล่มนี้คงไม่พังตั้งแต่ฟาดกับมังกรหรือโกเล็มตัวแรกหรอกนะ ยังไม่ได้จ่ายค่าดาบสักแดงเดียวเลยเหอะ”

    ดาบเคลย์มอร์เล่มใหม่ที่เขาฝากให้ไนซ์หาจากบรรดาผู้เล่นสายช่างทำอาวุธในกุห์ฟานเน็ตเวิร์คมีมูลค่าถึงหนึ่งแปดพันเหรียญ แต่แพงถึงขนาดนี้ก็ยังเป็นแค่อาวุธในแรงค์อีเท่ากับดาบเล่มเก่าเท่านั้น ที่ผ่านมาดาบเคลย์มอร์เล่มเก่าของเอเซไม่ได้รับความเสียหายมากก็เพราะทักษะ ‘ซอร์ดมาสเตรี่’ ที่เขายอมใช้ค่าประสบการณ์เรียนรู้ถึงระดับสี่ร้อย ซึ่งนอกจากช่วยเพิ่มพลังโจมตีแล้วยังช่วยลดความเสียหายที่เกิดระหว่างการต่อสู้ด้วย แต่เมื่อใช้ปะทะหนักๆกับอาวุธแรงค์สูงกว่าก็ยังมีโอกาสพังอยู่ดี

    “ถ้าเกิดดาบเล่มนี้สู้กับมอนสเตอร์แรงค์ซีแล้วพังอีกนายจะทำยังไงวะ? เอาไม้เท้าอันเก่าของเราไปใช้แทนได้รึเปล่า?”

    “ไม่ได้ว่ะ เราใช้ได้แค่ดาบหรือไม่ก็มีดเท่านั้น”

    “สหายเอเซก็ประจุพลังเวทใส่หมัดแล้ววิ่งเข้าไปตั๊นหน้าโกเล็มเลยสิ”

    “แบบนั้นก็ทำไม่ได้เหมือนกันพี่ทากะ อาชีพนักดาบเวทต้องใช้พลังผ่านอาวุธเท่านั้นไม่เหมือนกับนักเวทที่ต่อให้ไม่มีไม้เท้าก็ยังร่ายเวทแล้วปล่อยผ่านมือได้ ถ้าอยากใช้อาวุธได้หลากหลายกว่าดาบและมีดก็ต้องคลาสอัพไปเป็นนักรบอาคมล่ะนะ”

    “แลดูเป็นอาชีพที่ยุ่งยากอยู่เหมือนกันนะ”

    “เออน่ะ! จะพยายามไม่ให้ดาบพังก็แล้วกันแต่ถ้ามันพังขึ้นมาถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที”

    ทั้งสี่คนค่อยๆไต่จากยอดเขาลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง กระแสลมแรงทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกและต้องพยายามเกาะหน้าผาที่ลื่นชันและหนาวเย็นเพราะน้ำแข็ง บางครั้งที่ตอกหมุดยึดแรงเกินไปทำให้แผ่นน้ำแข็งกะเทาะออกเป็นอันตรายอย่างมาก ถ้ารอยร้าวลามไปถึงหมุดที่ตอกอยู่ด้านบนเมื่อไรก็บอกลาภูเขาหิมะลูกนี้แล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่โรงพยาบาลได้เลย

    พวกเขาเดินฝ่าป่าสนหนาทึบที่ต้นสนแต่ละต้นสูงชนิดแหงนคอมองไม่เห็นยอด ย่ำเท้าลงบนหิมะแต่ละครั้งจมลึกถึงเข่าต้องอาศัยเอเซที่ถึกและบ้าพลังเป็นคนกรุยทางฝ่าไปด้วยพลั่วตักหิมะ

    ลุยฝ่าไปได้ประมาณสองหกร้อยเมตร คนนำทางหยุดและส่งสัญญาณมือให้คนตามหลังหยุดด้วย เขาชี้ไปทางขวามือ ที่โคนต้นสนห่างออกไปไม่เกินสิบห้าเมตรมีกระต่ายขนสีขาวกลมกลืนกับหิมะตัวหนึ่งกำลังเล็มกินต้นมอสอยู่ กุห์ฟานหยิบมีดสำหรับปาจากซองมีดที่ต้นขาขึ้นมาเล็งแค่อึดใจเดียวแล้วปาออกไป มีดสีดำพุ่งเรียดพื้นปักเข้าตรงกกหูอย่างแม่นยำ

    แต่นอกจากมันไม่ล้มลงตายแล้วยังกระโดดดึ๋งๆตรงดิ่งมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

    เป็นเพราะสองขาถูกฝังในหิมะจนขยับลำบากหรืออาจเป็นเพราะประมาทเกินไป กระต่ายขนปุกปุยหน้าตาน่ารักพุ่งชนเต็มๆหน้ากุห์ฟานแถมยังฝากรอยเล็บไว้ที่แก้มด้วย แต่ที่สำคัญกว่าคือพลังชีวิตของเขาลดลงไปสิบเปอร์เซ็นต์จากท่าโจมตีที่เบสิคที่สุด

    เอเซฉุกใจคิดทันเอาแว่นขยายส่องกระต่ายตัวนั้นทันที

    “ฉิบหาย! กระต่ายแรงค์ซีว่ะ”

    ยังไม่ทันได้ขยับไล่ตามโจมตีกระต่ายที่ยังมีมีดปาของกุห์ฟานปักคออยู่ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นก้อนหิมะรอบตัวก็ขยับดุกดิกและมีหูสีขาวปลายดำแบบเดียวกับกระต่ายตัวแรกโผล่ขึ้นมาสลอน กลายเป็นพวกเขามากระตุกหนวดกระต่ายถึงกลางฝูงของพวกมัน คนเคราะห์ร้ายรายที่สองคืออากิรอสที่ถูกกระต่ายพุ่งชนสองตัวพร้อมกันจนหงายท้องจมลงในหิมะ

    ดาบเคลย์มอร์ มีดคู่ และดาบคาตะนะถูกปลุกขึ้นมาต่อสู้ในทันที ทั้งสี่คนถอยมายืนหันหลังชนกันรับมือกับกระต่ายหน้าตาน่ารักแบบเดียวกับที่เจอในบีกินเนอร์แอเรียไม่มีผิดแต่ความโหดต่างกันลิบลับ การจัดรูปแบบนี้ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องถูกรุมจากศัตรูรอบด้าน ต่างคนต่างคอยป้องกันเฉพาะด้านหน้าของตัวเองเท่านั้น และด้วยเวทแห่งสายลม ‘กำแพงลม’ สร้างพายุขนาดเล็กโดยมีพวกเขาเป็นตาพายุก็ช่วยลดความเร็วในการบุกของกระต่ายโหดแรงค์ซีลงได้ทำให้การต่อสู้ง่ายลงอีกระดับหนึ่ง

    แต่กว่าจะปราบกระต่ายหมดฝูงใหญ่ก็ทำให้พวกเขาเสียเวลาเดินทางไปถึงสี่สิบนาทีแถมยังบาดเจ็บกันถ้วนหน้าจนต้องงัดน้ำยาฟื้นพลังมาใช้ไปหลายสิบขวดตั้งแต่ศึกแรก

    “ตะกละดีนัก เกือบจะได้โดนกระต่ายกินแล้วไหมละ” อากิรอสแขวะเอเซเข้าให้หนึ่งดอก

    “เออดี! งั้นคนไม่ตะกละไม่ต้องกิน” เอเซยึดเนื้อกระต่ายซึ่งถือเป็นวัตถุดิบระดับแรงค์ซีจากกองส่วนแบ่งของนักเวทผมเทาเอาดื้อๆ

    “อ้าวเฮ้ย!”

    อากิรอสจะยึดหนังกระต่ายส่วนของเอเซบ้างกลับโดนดาบเคลย์มอร์จ่อคอพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ทากะตบบ่าปลอบนักเวทผมเทาให้ทำใจเสียเถอะ

    ระหว่างทางเจอกระต่ายอีกหลายฝูงแต่พวกมันก็ไม่ได้โจมตีถ้าคนแปลกหน้าที่ผ่านทางมา พวกเขาเองก็ไม่อยากยุ่งกับพวกมันเช่นกันเพราะรู้ซึ้งถึงพิษสงภายใต้ความน่ารักดีแล้ว








    หนึ่งวันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งสี่คนมาถึงจุดหมายปลายทางที่กุห์ฟานกำหนดไว้ได้แม้จะช้ากว่าที่คิดไปหลายชั่วโมงก็ตาม พวกเขาตัดต้นสนมาสร้างเป็นเพิงพักกันลมกันฝนแบบชั่วคราวเพราะยิ่งดึกอุณหภูมิยิ่งลดต่ำ ขนาดพวกเขาใส่เสื้อกันหนาวคนละสองตัวยังรู้สึกหนาวเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย ตอนนี้ถ้ายังทนไหวพวกเขาก็จะทนเพราะ ‘ฮีทอัพโพชั่น’ หรือที่ทากะชอบเรียกว่ายาร้อนควรจะเอาไว้ใช้ตอนจำเป็นมากกว่านี้

    ในเขตที่ภูมิอากาศหนาวจัดเช่นนี้ผู้เล่นจะสูญเสียพลังกายมากกว่าปกติทุกการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหรือการต่อสู้ ตอนนี้พวกเขาชักอยากกลับไปฆ่ากระต่ายที่เดินผ่านมาหลายฝูงซะแล้วเพราะเนื้อของมันนอกจากอร่อยยังมีผลช่วยฟื้นฟูพลังกายได้มากกกว่าปกติอีกด้วย

    พวกเขาสุมหัวเล่นไพ่และประชุมไปพร้อมกันหลังจากจัดการมื้อเย็นแรกในเขตอนุทวีปดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้

    “ตรงนี้ยังแค่พื้นที่ช่วงแรกของอนุทวีปเท่านั้นนะ จากนี้ไปถึงจะเป็นของจริง”

    กุห์ฟานกางแผนที่สองฉบับเทียบกัน

    “แผนที่แผ่นซ้ายคือขอบเขตของทวีปแรกที่ทีมงานประกาศออกมา ส่วนแผ่นขวาคือแผนที่ฉบับที่ผู้เล่นช่วยกันสำรวจแล้วนำมารวมกัน พวกพี่คงจะเห็นแล้วว่าส่วนที่ยังแหว่งโหว่ๆอยู่คือด้านเหนือซึ่งก็คืออนุทวีปที่พวกเรากำลังสำรวจกันอยู่ อีกแห่งคือบริเวณป่าดำตรงที่คาดว่าน่าจะเป็นป่าบรรพกาล ส่วนที่สามคือฝั่งตะวันตกของทวีปที่ยังไม่มีใครเข้าไปบุกเบิกมากนักเพราะเป็นที่ราบสูงแห้งแล้งและไม่มีเมืองใหญ่ ส่วนที่สี่คือชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่ใต้เมืองบลูเพิร์ลลงมา และจุดสุดท้ายคือใจกลางทวีป”

    “ถือว่าสำรวจไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วละ”

    “น่าจะแค่หกสิบไม่เกินเจ็ดสิบนะพี่”

    “ขาดเยอะอยู่เหมือนกันนะ อย่างนี้เงื่อนไขการเคลียร์ทวีปแรกก็ถือว่ายังห่างไกลพอสมควรเลย”

    “แล้วเรื่องสร้างทางรถไฟละ พวกแคลนใหญ่ทำไปถึงไหนแล้ว”

    “ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไรส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาหาซื้อแร่เหล็กไม่ได้มากเท่าที่คิด อีกส่วนก็เพราะเป็นอีเวนต์ใหญ่จึงมีเงื่อนไขต้องเคลียร์ค่อนข้างเยอะ ไหนจะพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นตลอดเส้นทางก่อสร้างอีก”

    “พวกสหายอย่าเพิ่งไปห่วงเรื่องของคนอื่นเลย ช่วยกันคิดก่อนดีกว่าไหมว่าจะสำรวจอนุทวีปยังไงดี?” ทากะพูดแทรกขึ้นมา “คิดว่าถ้าจะสำรวจพื้นที่ทั้งหมดจริงๆจะใช้เวลาสักเท่าไร”

    “ราวๆสองหรือสามเดือน แต่ถ้าเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ก็คงใช้เวลามากกว่านั้น แน่นอนว่าถ้าไอเท็มที่จำเป็นหมดลงก่อนพวกเราก็ต้องถอนตัวก่อนเหมือนกัน”

    “งั้นก็มาตกลงกันก่อน ถ้ามีใครพลาดเกมโอเวอร์ต้องไปนอนโรงพยาบาลจะทำยังไง?”

    “ผมกำลังจะพูดเรื่องที่พี่เอเซถามพอดี ถ้าเกิดสถานการณ์แบบนั้นก็ให้ติดต่อไนซ์แล้วไปสำรวจฝั่งตะวันตกกับคนของเน็ตเวิร์ค แล้วก็พยายามเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนของสามแคลนนั้นไว้ด้วย”

    รุ่นพี่ทั้งสามคนพยักหน้าตกลง

    “งั้นผมจะบอกเส้นทางสำรวจคร่าวๆให้ฟัง ตัดป่านี้ไปจนถึงเทือกเขาให้ได้ภายในพรุ่งนี้ พอข้ามเขาลูกนี้ไปแล้วถึงจะเข้าเขตอนุทวีปจริงๆ เราจะสำรวจวนรอบนอกก่อนแล้วค่อยตัดเข้าไปด้านในระหว่างนั้นรบกวนพี่ทากะทำแผนที่ไว้ด้วย พอสำรวจในเขตอนุทวีปหมดแล้วค่อยย้อนกลับมาสำรวจพื้นที่ป่าตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายแล้วค่อยถอนตัวกลับ”

    “เรื่องไอเท็มละคิดว่าจะพอไหม?” อากิรอสเป็นห่วงเรื่องไอเท็มฟื้นพลังมากกว่าเพราะวันนี้วันเดียวเขาซดโพชั่นไปร่วมสิบขวดแล้ว

    “รอบนี้ขนมาเต็มพิกัดทั้งหีบหลักกับหีบสำรองอีกสองหีบ ถ้าสู้แบบระวังๆกันหน่อยก็คงพอไหว”

    หีบสมบัติประจำตัวของกุห์ฟานที่ได้จากการเคลียร์ดันเจียนเมืองอารันด์สามารถเก็บของได้ถึงสองพันรายการ แต่ละรายการใส่ซ้ำได้พันชิ้นและไม่จำกัดน้ำหนัก ไหนจะมีหีบสำรองอีกสองใบซึ่งเก็บไอเท็มได้ไม่น้อยเช่นกัน รวมถึงทากะ เอเซ และอากิรอสที่แบกน้ำหนักมาเกือบจะถึงจุดวิกฤต เตรียมกันมาขนาดนี้กุห์ฟานยังบอกว่าอาจจะไม่พอ เอเซที่ไม่มีประสบการณ์เล่นเทสต์เบต้ามาก่อนยังไม่เท่าไร แต่สำหรับทากะและอากิรอสที่มีประสบการณ์มาก่อนแล้วเริ่มรู้สึกแล้วว่าประเมินการเดินทางครั้งนี้ต่ำไปแล้ว

    กุห์ฟานคาดเดาความคิดของรุ่นพี่ทั้งสองคนได้ “ตั้งแต่พรุ่งนี้ต้องจัดแถวเดินใหม่แค่กระต่ายพวกเรายังลำบากกันแทบแย่ แต่แผนนี้พี่เอเซต้องเหนื่อยเพิ่มเป็นสองเท่าเลยนะ คิดว่าไหวรึเปล่า?”

    “ไม่ไหวก็ต้องทำเท่านั้นแหละวะ”

    “งั้นพรุ่งนี้จัดตำแหน่งแบบไดมอนด์ พี่เอเซนำหน้า ผมกับพี่อากิจะดูทางปีก ให้พี่ทากะห้อยท้ายปิดแถว ถ้าเจอศัตรูเป็นกลุ่มให้เขยิบไลน์ของแต่ละคนขึ้นหน้าไปก่อนถ้าไม่ไหวค่อยขยับลงมารวมตัวกันแบบวันนี้ ถ้าเป็นศัตรูเดี่ยวๆให้พี่เอเซลุยนำแล้วให้พี่ทากะแทรกขึ้นไปเสริมเหมือนปกติ ถ้าคับขันจำเป็นจริงๆพี่เอเซกับพี่อากิโจมตีประสานด้วยเวทคู่ไปเลย คิดไว้อย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องฝ่าไปให้ได้”

    “แผนนี้ก็เข้าท่าอยู่หรอกแต่อย่าลืมนะว่าถ้าลุยนำแล้วดาบพังขึ้นมาจะทำยังไงต่อ?”

    “จบการต่อสู้แล้วพี่เช็คเลยว่าดาบเสียหายแค่ไหนถ้าไม่มากไม่เป็นไร แต่ถ้าเยอะก็ให้พี่ทากะซ่อม ผมเตรียมดาบแรงค์เอฟมาให้พี่แหกอีกสิบเล่มคิดว่าพอไหมละ? แร่เหล็กสำหรับซ่อมก็เตรียมมาเยอะพอสมควรเหมือนกัน ใช้วิธีตีไปซ่อมไปจนกว่ามันจะพังหมดนั่นแหละ ถ้ามันพังหมดจริงๆก็ค่อยว่ากันอีกที แล้วก็พี่อากิเปลี่ยนไปใช้คทาที่เพิ่มพลังโจมตีได้เลยต่อจากนี้อัดเวทหนักๆเน้นตูมเดียวจบ ส่วนพี่ทากะเน้นทำแผนที่กับตรวจจับศัตรูรอบๆตัว ส่วนผมจะเน้นใช้ทักษะอาณาเขตหนุนการต่อสู้กับฟื้นฟูพลังให้”

    กุห์ฟานแจกแจงแผนการให้ฟังอย่างละเอียดยิบ เมื่อรุ่นพี่ทั้งสามคนเข้าใจแล้วที่เหลือก็เป็นเวลาพักผ่อนและเล่นไพ่ให้หนำใจก่อนออกไปเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของวันพรุ่งนี้

    ทั้งสี่คนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเสียอีก พวกเขาเร่งเดินทางกะให้หมดแรงแล้วค่อยหยุดพักทีเดียว มอนสเตอร์ในป่านี้ก็มีเพียงกระต่ายและหมีขาวเท่านั้นแต่ก็เป็นถึงมอนสเตอร์แรงค์ซีทั้งคู่ กระต่ายอาศัยเล่นงานบางตัวที่อยู่ห่างจากฝูง หมีขาวมักอยู่เดี่ยวๆหรือไม่ก็เป็นคู่อาศัยพวกมากรีบรุมให้ตัวหนึ่งล้มก่อนแล้วค่อยจัดการอีกตัวทีหลัง

    การต่อสู้กับมอนสเตอร์แรงค์สูงเป็นเรื่องลำบากก็จริงแต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาถือว่าคุ้มค่า ทั้งค่าประสบการณ์และไอเท็ม เนื้อใช้ปรุงเป็นอาหาร หนังและขนสามารถนำไปฟอกทำเป็นชุดสวมใส่ รองเท้าและถุงมือในแรงค์ซีได้ เขี้ยวและเล็บยิ่งมีค่ามากเพราะเป็นวัตถุดิบในการสร้างและอัพเกรดอาวุธ แถมหมีขาวมีโอกาสให้ไอเท็ม ‘ดีหมี’ ที่นำไปทำยาฟื้นพลังระดับกลางและระดับสูงได้ ถ้าโชคดีได้ ‘อุ้งตีนหมี’ ถือว่าดวงเฮงขั้นสุดเพราะเป็นแรร์ไอเท็ม ซึ่งพวกเขาไม่กลัวเรื่องวัตถุดิบจะเน่าเสียเพราะมีกล่องรักษาความสดกันทุกคนอยู่แล้ว

    ถ้านำไอเท็มทั้งหมดไปปล่อยขายคงได้เงินมากพอจะปลดหนี้แน่ๆ

    พอพ้นเขตป่าออกมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีธารน้ำไหลจากภูเขาลงสู่ทะเล พวกเขาแวะพักกันที่ริมน้ำ รวบข้าวเช้าและข้าวกลางวันเป็นมื้อเดียว

    ผลการจับไม้สั้นไม้ยาว...เอเซและกุห์ฟานแค่ก่อไฟเตรียมพร้อมทำอาหาร อากิรอสตักน้ำมาต้มทำน้ำดื่มสำรองเก็บไว้ ในขณะที่ทากะซวยสุดๆต้องขึ้นไปจับปลาที่ต้นธาร หัวหน้าแคลนมัลดิโตเดินเลาะไปจนเจอแก่งหิน ไปดักยืนนิ่งๆอยู่กลางธารรอจังหวะโจมตีปลากระโดดข้ามแก่งแบบเดียวกับที่หมีขาวทำจากสารคดีที่เขาเคยดู เขาไม่ได้ฟันปลาให้ตายแต่ตีด้วยปลอกดาบให้มันไปกองรวมกันบนฝั่งเท่านั้น

    ไม่รู้ว่าวันนี้ทากะดวงซวยถึงที่สุดหรือยังไง นอกจากต้องมาจับปลากลางน้ำเย็นๆแล้วยังเจอกับหมีตัวใหญ่มีขนสีตุ่นๆผิดจากหมีขาวทั่วไป มันคำรามอย่างเกรี้ยวกราดเพราะถูกมนุษย์รุกล้ำถิ่นหากินหรือเพราะบังอาจเลียนแบบวิธีจับปลาของมันไม่มีใครบอกได้ แต่ตอนนี้มันกระโจนลงน้ำตรงดิ่งเข้าหาทากะอย่างรวดเร็วผิดกับขนาดตัวที่ดูเทอะทะงุ่มง่าม

    ทากะรู้ดีว่ายืนสู้กลางลำธารไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆจึงรีบถอยกลับขึ้นฝั่งและไม่ลืมเก็บปลาที่อุตส่าห์ดักตีมาอย่างยากลำบากลงถุงตาข่ายด้วย เจ้าหมีตัวนั้นยิ่งคำรามเสียงดังราวกับจะบอกว่าให้วางปลาไว้ที่เดิม

    “ปลาพวกนี้กระผมเป็นคนจับได้ มาแย่งกันแบบนี้ไม่ดีนะ”

    พูดจบทากะก็วิ่งกลับไปทางปลายน้ำทันที

    เอเซกำลังจะทักเพื่อนว่าอาหารเสร็จแล้วแต่พอเห็นหมีตัวใหญ่ไล่กวดมาด้านหลังก็แทบสำลักเนื้อย่าง “ให้ไปจับปลาโว้ยไม่ได้ให้ไปล่อหมีมาไอ้บ้าทากะ!”

    “ของฝากให้สหายออกกำลังกายหลังกินข้าวไง”

    “ไม่ได้ขอไม่ต้องเอามาเผื่อโว้ย”

    เอเซประจุพลังเวทลงดาบกระโดดเข้าขวางทางระหว่างหมีตัวนั้นกับทากะ มันคำรามขู่แล้วยืนสองขาด้วยความสูงมากกว่าสามเมตร

    “ถ้าล้มมันได้ตูเก่งระดับเดียวกับฮันมะ ยูจิโร่แหงๆ”

    “พี่เอเซระวัง!”

    จังหวะที่เอเซพุ่งเข้าหาหมียักษ์ มันคำรามสร้างคลื่นพลังอัดกระแทกเขากระเด็นจนล้มกลิ้ง

    “โกรล่า หมีพันธุ์ผสมระหว่างหมีขั้วโลกกับหมีกริซลี่ แรร์มอนสเตอร์แรงค์ซี พี่ทากะไปพาตัวอะไรมาเนี่ย!?”

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”

    ทากะและกุห์ฟานเข้าไปต่อสู้แทนเอเซที่ยังไม่หายอาการปวดหูและมึนหัวจากคลื่นเสียงทำลายล้าง ทั้งสองคนค่อยๆล่อให้เจ้าหมีโกรล่าถอยออกห่างจากเอเซ ในขณะเดียวกันอากิรอสตั้งสมาธิร่ายมนต์บทใหญ่จนใกล้จะเสร็จแล้ว

    “สไปรัลไฟเยอร์!”

    สำแสงสีแดงที่เกิดจากการบีบอัดมนตราแห่งไฟพุ่งเป็นเส้นตรงเข้าหาแรร์มอนสเตอร์

    เจ้าหมียักษ์โน้มตัวลงใช้สองขาหน้าตะปบใส่พื้นเกิดเป็นกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกันการโจมตีด้วยเวทมนต์ได้อย่างเหลือเชื่อ ท่าโจมตีที่อากิรอส คีฟ สุดแสนมั่นใจทำได้เพียงเจาะกำแพงน้ำแข็งเป็นช่องโหว่แต่ไปไม่ถึงตัวศัตรู

    “โวะ! มันใช้เวทได้ด้วยเรอะ?”

    “ถอยออกมาเลยไอ้น้อง”

    เอเซหายจากอาการมึนหัวสลับเข้าไปสู้แทนกุห์ฟาน ขนาดใช้ทักษะ ‘เมจิคเอ็กเชนจ์’ ช่วยเพิ่มพลังให้ตัวเองแล้วยังแทบกระเด็นผงะทุกครั้งที่ใช้ดาบรับการโจมตีจากอุ้งมือขนาดใหญ่ แม้แต่ทากะที่รวดเร็วที่สุดในบรรดาทั้งสี่คนยังต้องหลบการโจมตีแบบฉิวเฉียดไม่มีโอกาสจะโจมตีสวนกลับสักเท่าไร การเคลื่อนไหวของแรร์มอนสเตอร์ช้าลงนิดหน่อยเพราะทักษะ ‘อาณาเขตลดความเร็ว’ ของกุห์ฟานเริ่มต้นขึ้นแล้ว ถึงไม่ได้ช่วยให้รุ่นพี่ทั้งสองคนได้เปรียบมากขึ้นสักเท่าไรแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

    อากิรอสรอจนหมดช่วงสกิลดีเลย์แล้วเริ่มต้นร่ายเวทอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ตั้งท่าทำอะไรก็มีหมาป่าตัวใหญ่กระโจนใส่เขาจากด้านหลังและกัดเข้าที่หัวไหล่และพยายามลากเขาออกจากวงต่อสู้ เสียงร้องของรุ่นพี่ทำให้กุห์ฟานต้องถอนตัวออกไปช่วยและทำให้ผลของทักษะ ‘อาณาเขต’ สิ้นสุดลง และนั่นก็ทำให้เอเซถูกตะปบโดยหมีโกรล่าอย่างจังหนึ่งครั้งจนปลิวกระเด็น

    กุห์ฟานไปช่วยอากิรอสจากคมเขี้ยวหมาป่าได้ทัน และเพิ่งจะสังเกตว่าพวกเขาถูกหมาป่าล้อมไว้แล้ว

    ‘ไวท์แฟงก์’ มอนสเตอร์ระดับซี หมาป่าที่ออกล่าอาหารพร้อมกันเป็นฝูงใหญ่ไม่น้อยกว่าสามสิบตัว พวกมันมีขนสีขาวกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมแถมยังมีทักษะ ‘พรางตัว’ จึงสามารถย่องมาล้อมเหยื่อไว้ได้อย่าเงียบเชียบไร้ร่องรอย

    เอเซที่บาดเจ็บหนักกระเสือกกระสนเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมแคลนได้ในที่สุด “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกเรอะ?”

    หมาป่าส่วนใหญ่เข้าไปล้อมหมีโกรล่าและเปิดฉากกัดกันอย่างดุเดือดราวกับพวกมันแค้นกันมานานแล้ว แต่หมาป่าอีกส่วนหนึ่งเข้ามาล้อมมนุษย์ทั้งสี่เอาไว้

    “ไปทางโน้นสิเฮ้ย”

    หมาป่าตัวหนึ่งเห่าใส่ทันทีที่เอเซพูดจบ

    “เอาไงดีพี่ทากะ?”

    “นับสามแล้วหลับตา เดี๋ยวจะใช้ระเบิดแสง”

    นักสำรวจถอดสลักระเบิดแสงสองลูกในมือแต่ยังถือไว้ในมือ รอจนระเบิดใกล้จะทำงานถึงค่อยโยนออกไปพร้อมกันกับที่ทุกคนหลับตาลง เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างรุนแรงที่รู้สึกได้แม้จะหลับตาอยู่ก็ตาม ทั้งสี่คนออกวิ่งสุดฝีเท้าข้ามลำธารไปอีกฝั่ง ผลจากระเบิดแสงทำให้หมาป่าทั้งฝูงสับสนไปชั่วขณะและทำให้เจ้าหมีโกรล่าหนีรอดไปได้ พวกหมาป่าจึงพากันวิ่งข้ามลำธารตามล่าพวกเขาแทน สี่หนุ่มมัลดิโตวิ่งกันหน้าตั้งเข้าป่าไม่คิดจะสู้กับศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้

    ระยะห่างระหว่างฝ่ายถูกล่ากับฝ่ายตามล่าลดลงเรื่อยๆ

    “ทาก๊าาาา! ใช้ระเบิดนั่นอีกทีเด๊ะ” อากิรอสกลัวตายทั้งที่วิ่งนำอยู่หน้าสุดแท้ๆ

    “เดี๋ยวก่อนพี่ทากะ แบบนั้นแค่ช่วยถ่วงเวลาไม่กี่วินาทียังไงก็หนีไม่พ้น” กุห์ฟานหยิบคริสตัลแจกให้ทุกคนจนครบ “ใช้ระเบิดแสงปุ๊ปให้ใช้สปีดคริสตัลนี่ทันทีแล้วสับสี่คูณร้อยไม่ต้องคิดชีวิตเลยนะ”

    เมื่อทุกคนรู้แผนการแล้ว ทากะใช้ปากดึงสลักนิรภัยของระเบิดแสง ถือหน่วงไว้กับตัวสองวินาทีแล้วหย่อนลงกับพื้น พอระเบิดทำงานพวกเขาก็พูดคำว่าแอคทีฟพร้อมกันเพื่อใช้งานสปีดคริสตัล ผลของคริสตัลประเภทนี้คือเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้เล่นเป็นสองเท่าในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาไม่ปล่อยให้เวลามีค่าเสียเปล่าไปแม้แต่เสียววินาที ต่างคนต่างวิ่งกันอย่างลืมตายทั้งที่ร่างกายอยู่ในสภาวะหิวแถมยังเหนื่อยจากการต่อสู้อีก ถึงจะไม่มีวี่แววว่าฝูงหมาป่าจะติดตามมาแต่ทั้งสี่คนยังคงวิ่งต่อไปไม่ยอมหยุด

    ในที่สุดพวกเขาก็หยุดลงหลังจากวิ่งกันมาหนึ่งชั่วโมงเต็ม ค่าพลังกายหมดเกลี้ยงจนทำให้ขยับร่างกายไม่ได้ชั่วคราว ทั้งสี่คนนอนแผ่กางแขนกับพื้นสิ้นสภาพ ‘ปีศาจทั้งสี่’ ที่เคยสร้างความเกรียงไกรไล่เตะมอนสเตอร์เกือบทั่วทั้งทวีปมาแล้ว


    มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ในทวีปแรกของเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์เป็นเพียงแรงค์เอฟและอี มอนสเตอร์แรงค์สูงกว่านั้นมักจะปรากฏตัวตามเงื่อนไขของอีเวนต์หรือภารกิจเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยมากที่เดินเพ่นพ่านอยู่ในแผนที่ทั่วไป


    ระดับของมอนสเตอร์ในอนุทวีปที่เพิ่มขึ้นเพียงสองขั้นก็ทำให้ทั้งสี่คนไม่ต่างอะไรกับมือใหม่ที่เพิ่งจะล็อกอินเข้าสู่เกมเป็นวันแรก
  14. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ถ้าเปรียบกับ Diablo ก็เหมือนคนที่เพิ่งฝ่าระดับ normal มาได้แบบเฉียดฉิวแล้วเจอมอนระดับไนท์แมร์เลยสินะเนี่ย >_<
  15. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ในggoมีฮิโยโกะไหมนะ :E
  16. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ไม่เคยเล่น diablo เลยไม่รู้ว่าระดับไนท์แมร์โหดขนาดไหน
    ถ้าพูดให้เห็นภาพชัดๆหน่อย มอนสเตอร์แรงค์ซีในอนุทวีปเก่งกว่า คีปเปอร์/อนูบิส ในดันเจียนสุสานที่สูญหาย 2-3 เท่าตัวได้

    ตอนแรกไม่คิดว่าจะให้มี แต่ถ้าอยากเห็นก็จัดให้ได้ครับ
  17. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 36 – I will survive






    เสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามดังไม่ขาดสาย ทั่วผืนฟ้าถูกเมฆดำทะมึนปกคลุมจนมืดมิด ท้องทะเลปั่นป่วนด้วยความพิโรธของเทพสมุทร แพลำน้อยถูกคลื่นโยนไปทางโน้นทีเหวี่ยงมาทางนี้บ้าง ชายหนุ่มทั้งสี่ต่างจับเชือกที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวและภาวนาให้มันไม่ขาดเสียก่อนท่ามกลางความปั่นป่วนแปรปรวนของมหาสมุทร นานนับชั่วโมงแล้วที่พวกเขาตกระกำลำบากท่ามกลางมรสุมรุนแรงทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเค้าลางของพายุเลยแม้แต่น้อย

    ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อนบนภูเขาหิมะ สี่หนุ่มมัลดิโตต้องหยุดพักกันในถ้ำแห่งหนึ่งเพราะพายุหิมะแรงจัดจนไปต่อไม่ได้และพวกเขากำลังจะหมดแรงแล้วด้วย กองไฟถูกจุดขึ้นมาให้ความอบอุ่นและปรุงอาหารอย่างง่ายๆด้วยการปิ้งย่าง

    “พี่ทากะเหลือระเบิดแสงอีกกี่ลูก?”

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตเปิดหน้าต่างไอเท็มตรวจจำนวนแล้วตอบคำถามของรุ่นน้อง “อีกแปดสิบสองลูก หมดแล้วหมดเลย”

    “นายคราฟใหม่ไม่ได้เหรอวะ ไอเท็มพวกระเบิดนี่มีแต่นักสำรวจเท่านั้นที่สร้างได้นี่นา”

    “ถ้าทำได้เราทำไปนานแล้วสหายอากิ ตอนนี้วัตถุดิบก็ไม่มีสักอย่างแถมสกิลผสมระเบิดก็ยังพัฒนาไปไม่ถึงไหนเลย”

    “ค่าประสบการณ์ก็มีตั้งเยอะแยะก็ใช้ๆไปบ้างสิวะ”

    “ติดเงื่อนไขของสกิลน่ะสิ ต้องผสมชิ้นแรกให้สำเร็จก่อนจากนั้นถึงใช้ค่าประสบการณ์พัฒนาระดับสกิลได้”

    “แล้วรู้รึยังต้องผสมระเบิดนั่นยังไง?”

    นักสำรวจผมดำส่ายหน้า

    “แล้วทำไมไม่ถามเฟรเทียร์ละ?”

    “สหายเอเซก็รู้ดีว่าค่าตอบแทนของคำถามคือเราต้องโดนลากไปไหนต่อไหนยังจะให้เราถามอีกเหรอ?”

    เอเซหัวเราะก๊ากใหญ่สะใจในอารมณ์อย่างเต็มที่

    “งั้นคงต้องเพลาๆการใช้ระเบิดแสงลงบ้างแล้วละ นี่เรายังไปไม่ถึงไหนเลยแต่ระเบิดเหลือแค่แปดสิบสองลูกเองนะ”

    คำพูดของกุห์ฟานเป็นสิ่งที่ทั้งสามคนรู้ดีอยู่แล้ว ตลอดสัปดาห์ของการสำรวจอนุทวีปที่พวกเขาเอาตัวรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณระเบิดแสงที่เฟรเทียร์ยัดเยียดมาให้ตอนกลับจากเมืองเวเนส แต่ตอนนี้ไอเท็มช่วยชีวิตเหลือเพียงนิดเดียวเมื่อเทียบกับหนทางยาวไกลที่พวกเขาต้องไปต่อ

    น้ำหมดไปสองกา กาแฟดื่มกันไปคนละหลายแก้ว ข้าวปลาก็กินกันอิ่มพุงแล้ว ร่างกายค่อยๆฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเรื่อยๆจนเกือบเต็มร้อย พายุอ่อนกำลังลงสายลมเริ่มสงบทิ้งไว้เพียงหิมะสีขาวบริสุทธิ์หนาทึบ แสงอาทิตย์ส่องทะลุชั้นเมฆหนาทึบลงมาสู่พื้นดินบ้างแล้ว เอเซลุกขึ้นบิดขี้เกียจออกไปดูหน้าปากถ้ำสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมเย็นของหิมะ กุห์ฟานเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง

    เสียงคำรามดังกึกก้องของสัตว์ร้ายดังขึ้น ไม่ใช่จากในถ้ำแต่มาจากบนฟากฟ้า เงาของปีกขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นลางๆในกลุ่มเมฆเหนือยอดเขา เงาหางยาวเรียวตวัดพลิ้วไหวไปมา สี่หนุ่มแคลนมัลดิโตรู้ดีว่าเสียงคำรามและรูปร่างแบบนี้หมายถึงตัวอะไร ไม่ต้องรอให้มันบินวนกลับมาให้เห็นตัวชัดๆ ทั้งสี่คนกระโดดพรวดเดียวจากปากถ้ำไถลลงสู่ด้านล่าง เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามอย่างพอดิบพอดี มังกรตัวหนึ่งบินทะลุกลุ่มเมฆสีคล้ำร่อนลงมาตามความลาดเอียงของภูเขา แรงลมกระชากจากปีกทั้งสองกรีดหิมะฟุ้งกระจายตลบขึ้นมาเป็นหมอกสีขาว

    ทั้งสี่คนกระโจนหลบกันสุดชีวิต ลำพังแค่มอนสเตอร์รายทางพวกเขายังสู้ได้อย่างยากลำบาก ไม่ต้องหวังเรื่องจะล้มมังกรได้เลย

    ปีกทั้งสองข้างของมันไม่ใช่พังพืดแบบมังกรทั่วไปแต่เหมือนน้ำแข็ง เขาทั้งสองข้างที่งอกออกมากจากปุ่มเนื้อเหนือคิ้วเป็นแบบเดียวเช่นกัน คะเนด้วยสายตาคร่าวๆมันน่าจะยาวหลายสิบเมตร ความแข็งแกร่งของมันอาจเทียบเท่าหรือเก่งกว่ามอนสเตอร์ระดับบอสในแรงค์ดีบางตัวเสียอีก

    ‘ฟรอสวิง’ คือชื่อของมังกรตัวนี้ แต่นอกจากชื่อแล้วท้ายชื่อของมันยังมีดาวสีทองตามหลังอีกสามดวง เป็นครั้งแรกที่กุห์ฟานเห็นสัญลักษณ์แบบนี้ต่อท้ายชื่อมอนสเตอร์ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าความหมายของดาวพวกนั้นคืออะไรและยังไม่มีเวลาจะค้นหาคำตอบเพราะฟรอสวิงผงกหัวกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นวกกลับลงมาเล่นงานพวกเขาทันที

    ตะกี๊กุห์ฟานเพิ่งจะพูดแหมบๆว่าให้ประหยัดการใช้ระเบิดแสง แต่เพื่อความอยู่รอดของทุกคนทากะจึงไม่ลังเลที่จะใช้มันทันทีที่ศัตรูเข้ามาในระยะอันตราย

    แต่ครั้งนี้...กับฟรอสวิง เหมือนเป็นการกระตุ้นให้มันโกรธจัด ถึงระเบิดแสงจะทำให้มันตาพร่ามัวไปชั่วขณะ แต่มันก็ไม่ปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้ง่ายๆ ปีกทั้งสองสะบัดอย่างรวดเร็วต่อเนื่องเกิดกระแสลมแรงสกัดการเคลื่อนไหวของทั้งสี่คนให้ต้องหมอบลงกับพื้นไม่ให้ถูกลมหอบลอยขึ้นฟ้า

    เมื่อผลจากระเบิดแสงหายไป ฟรอสวิงคำรามอย่างดุร้ายผงกหัวลงมาโจมตีคนที่อยู่ใกล้มันที่สุด กุห์ฟานต้องกระโจนหนีสุดแรง

    “ว้ากกกกกกกก!”

    เอเซประจุพลังเวทลงในดาบเคลย์มอร์ กระโดดฟันคอยาวๆของมังกรฟรอสวิงอย่างไม่กลัวตาย แรงปะทะดีดสะท้อนเขากระเด็นกลับลงมาแถมยังเสียหลักกลิ้งตกลงมาไกลกว่าเดิมในขณะที่เกล็ดตรงคอของมันมีรอยร้าวเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ฟรอสวิงหันมองเอเซด้วยดวงตาสีฟ้า ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นและตกลงมาจากโจมตีถี่ยิบจากด้านบน นักดาบเวทหลบหลีกสุดชีวิตจากลูกเห็บห่าใหญ่

    เปลวเพลิงบีบอัดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวและปลดปล่อยออกมาเป็นลำแสงเข้าใส่มังกรที่มีปีกใสอย่างจัง มันผงะเพราะแรงปะทะจนต้องกางปีกบินถอยออกห่าง และเพราะมันมัวแต่หันไปสนใจอากิรอสที่เพิ่งโจมตีใส่มันทำให้ทากะลอดเข้าไปใต้ตัวและกระโดดขึ้นฟันตรงโคนปีกของมันอย่างถนัดถนี่ เสียงปะทะฟังเหมือนเสียงน้ำแข็งแตกร้าวมากกว่าจะเป็นเสียงเนื้อถูกฟันด้วยของมีคม ฟรอสวิงคำรามด้วยความเจ็บปวด คงมีเพียงดาบคาตะนะแรงค์ดีของทากะเท่านั้นที่พอจะโจมตีให้มันบาดเจ็บได้

    ระเบิดแสงที่ถูกถอดสลักไว้ล่วงหน้าลอยตกลงมาตรงหน้าของมันพอดี เสียงระเบิดและแสงสว่างจ้าทำให้มันตาพร่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่สามารถใช้ปีกสร้างลมแรงได้อีกแล้วเพราะปีกข้างหนึ่งของมันถูกฟันจนบาดเจ็บ

    “คริสตัลล่องหน!”

    กุห์ฟานตะโกนบอกเสียงดัง ทุกคนหยิบคริสตัลมาใช้ทันที

    กว่าที่ฟรอสวิงจะหายแสบตา เหยื่อของมันก็หลุดรอดไปแล้วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆให้ติดตามได้อีก เสียงคำรามของมันดังสะท้านสะเทือนไปทั้งภูเขา ได้ยินเข้ามาถึงในถ้ำที่ทั้งสี่คนย้อนกลับมาใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว

    “เกือบแย่แน่ะวุ้ย”

    “ไม่ใช่เกือบแย่ แต่แย่จริงๆต่างหากละ ลองมันอยู่ข้างนอกแบบนั้นเราก็คงไม่ได้ออกไปไหนแน่ๆ จำที่เพื่อนผมบอกไม่ได้เหรอว่าแถวนี้มีแต่มังกรบินกันให้ว่อนเลย”

    “รอดูสักพักละกัน ถ้ามันไปแล้วพวกเราค่อยไปต่อ”

    เอเซส่งดาบที่ความทนทานลดลงไปสิบเจ็ดหน่วยจากเต็มร้อยให้ “ทากะ...ซ่อมดาบให้หน่อยดิ๊”

    “แล้วใครใช้ให้สหายเอเซบ้าบิ่นแบบนั้นกันละ?”

    “ช่วยไม่ได้นี่หว่า ถ้าไม่มีใครสักคนลุยเข้าไปป่านนี้ก็คงตายโหงโดนมันกินลงท้องยกกลุ่มไปแล้ว”

    “พี่ทากะอย่าเพิ่งซ่อมตอนนี้เลย รอให้ชัวร์ก่อนว่ามังกรมันไปแล้วค่อยซ่อมดีกว่า เผื่อมันได้ยินเสียงแล้วทลายถ้ำเข้ามาพวกเราคงไม่รอด ต่อให้ฟังดูเหมือนบ้าแต่ผมว่าสถานการณ์แบบนี้เพลย์เซฟกันดีกว่า” กุห์ฟานแย่งดาบจากมือทากะและส่งคืนให้เอเซ

    เป็นอย่างที่กุห์ฟานคิด ฟรอสวิงยังบินวนเวียนรอบภูเขาและป่าด้านล่างไม่ยอมไปไหนอย่างกับรู้ว่าเหยื่อของมันไม่ได้หนีไปแต่ซ่อนตัวอยู่ตรงไหนสักแห่ง ผ่านไปสองชั่วโมงก็แล้วจนพายุเริ่มจะตั้งเค้าอีกรอบมันก็ยังไม่ยอมจากไปสักที

    หิมะตกหนักและหยุดไปอีกหนึ่งครั้งแล้ว มันก็ยังบินวนไปวนมา

    “เป็นไงบ้าง?” นักเวทผมเทาถามรุ่นน้องนักล่าสมบัติและเพื่อนนักสำรวจที่ออกไปสำรวจหาทางออกทางอื่นในถ้ำ

    “มีทางออกอื่น แต่ว่า...”

    “สหายสองคนไปดูเองดีกว่า”

    เอเซและอากิรอสเดินถามหลังทากะและกุห์ฟานเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำ เดินวกวนขึ้นลงๆไปจนถึงทางออกอีกฝั่งหนึ่งของภูเขา แต่ปลายทางที่พวกเขาจะลงไปไม่ใช่ที่รกร้างซึ่งถูกหิมะปกคลุมแต่เป็นผืนทะเลกว้างใหญ่ ทากะยื่นกล้องส่องทางไกลให้เอเซและชี้ทิศทางที่ต้องการเขาดูบอกไป

    “มีสิ่งที่คล้ายบ้านคนอยู่ที่ปลายแหลมโตรงโน้น นั่นหมายความว่าอาจจะมีหมู่บ้านของคนท้องถิ่นก็ได้”

    เอเซส่งกล้องให้อากิรอสดูบ้าง

    “จริงๆด้วยแฮะ ถึงจะไม่ค่อยชัดก็เถอะแต่ก็น่าจะเป็นบ้านคนจริงๆ แล้วตกลงจะไปที่นั่นเหรอ? ไปยังไงละ?”

    กุห์ฟานและทากะตบบ่าอากิรอสคนละข้างพร้อมกัน เอเซจับหัวเพื่อนบิดไปทางป่าสนที่อยู่ด้านบนหน้าผา

    “อย่าบอกนะว่า...”






    และนั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขามาลอยเท้งเต้งกลางทะเลและโดนพายุเล่นงานจนย่ำแย่

    แพที่ทำจากลำต้นของต้นสนมัดประกอบกันเริ่มคลอนแคลน เชือกที่มัดไว้อย่างแน่นหนาและผูกปมแข็งแรงไว้หลายชั้นเริ่มคลายตัวออก คลื่นลูกใหญ่ราวกับกำแพงน้ำถาโถมเข้ามา อากิรอสหลุดจากแพเกือบถูกกลืนหายไปกับสายน้ำแต่โชคยังดีที่มือของเขายังไม่ปล่อยเชือกแม้จะถูกบาดจนเลือดไหลแล้วก็ตาม

    “แม่งเอ๊ย ความคิดของใครให้ต่อแพข้ามทะเลวะเนี่ย!?”

    “อย่าบ่นน่า!” เอเซดึงอากิรอสกลับขึ้นมา เพื่อนของเขาตัวสั่นเป็นจ้าวเข้าเพราะน้ำเย็นเฉียบ

    “สหายรีบๆไปหัดว่ายน้ำได้แล้วนะ”

    “โวะ! ไม่เอาเว้ยยยยย! รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนว่ายน้ำไม่เป็นแถมกลัวทะเลขนาดหนักยังทำแบบนี้อีก พวกนายนี่เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆเลย”

    “พี่เอเซไม่น่าช่วยเลย ตะกี๊น่าจะให้พี่อากิได้ฝึกลอยตัวนะ”

    “โวะ!”

    เสียงโวยวายของอากิรอส คีฟ ถูกเสียงฟ้าร้องกลบไปจนหมดพร้อมกับคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามาจากทางซ้าย อีกลูกโถมมาจากทางขวาบรรจบกันตรงกลาง หลงเหลือไว้แต่เพียงซากต้นสนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแพมาก่อน

    แสงสว่างจ้ากระทบเปลือกตาของอากิรอส คีฟ จนรู้สึกร้อนผ่าว มีตัวอะไรจิกแขนซ้ายเขาอยู่ สติและสัมปชัญญะค่อยๆคืนกลับมา นักเวทผมเทาหันคอมองดูเพนกวินตัวน้อยที่จ้องตาแป๋วมาที่เขาด้วยความไร้เดียงสา

    กลิ่นปลาย่างหอมๆโชยแตะจมูกของเขา พอลุกขึ้นก็เห็นเพื่อนทั้งสองและเจ้ารุ่นน้องกำลังก่อกองไฟย่างปลากินกันอย่างเอร็ดอร่อย

    “ขี้เซาจริงๆเลยนะอากิรอส”

    “ถ้ามีเวลาย่างปลากินกันแบบนี้ก็น่าจะช่วยปลุกหน่อยสิวะ”

    “เห็นนายกำลังฝันหวานอยู่เลยไม่อยากปลุกน่ะสิ”

    “โวะ!”

    เขาลุกไปนั่งร่วมวงกับเพื่อนร่วมแคลน อย่างน้อยความอบอุ่นจากกองไฟก็ช่วยให้เขาคลายความหนาวลงบ้าง ทากะส่งปลาที่ไม่รู้ว่าเป็นปลาพันธุ์อะไรเสียบไม้ย่างจนสุกให้ ทั้งสี่คนนั่งกินปลาย่างหวานมันฉ่ำเยิ้มอย่างไม่แคร์สายตาของเพกวินทั้งฝูงที่เดินกันขวักไขว่บนชายหาด

    อากิรอสสลบไปนานกว่าสองชั่วโมงหลังจากแพแตกกลางพายุ ตอนนี้พวกเขาหลุดมาอยู่ตรงส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือพวกเขายังเห็นปลายแหลมที่มีบ้านยื่นออกไปในทะเลอยู่เหมือนเดิม

    “จะไปตรงนั้นหรือจะสำรวจพื้นที่ต่อ?”

    เงียบ...ไม่มีใครตอบคำถามกุห์ฟาน รุ่นน้องนักล่าสมบัติถอนหายใจเหนื่อยๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าถามไปก็ไม่มีใครตอบ เขาควักเหรียญออกมาส่งให้เอเซและพยักหน้าให้

    “ออกหัวไปบ้านหลังนั้น ออกก้อยไปสำรวจพื้นที่”

    รุ่นพี่รับเหรียญจากรุ่นน้องแล้วดีดให้มันลอยขึ้นไปกลางอากาศ เหรียญเงินหมุนตกลงบนพื้นทรายแสดงรูปอินทรีย์ที่เป็นด้านหัว สมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสี่เกลี่ยทรายกลบกองไฟและออกเดินทางทันที

    หาดทรายสีขาวทอดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด โค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ลึกเข้าไปในแผ่นดินก็ยังคงเป็นพื้นทรายละเอียดกว้างใหญ่ไปไกลสุดสายตาจนถึงแนวผาหินขนานกับแนวชายฝั่ง เพนกวินตัวเล็กตัวน้อยเดินกันหน้าสลอนนับจำนวนไม่ได้ ฝูงนกนางนวลจับกลุ่มบินเหนือท้องทะเล เป็นทิวทัศน์ที่งดงามเกินบรรยายแต่ไม่มีใครสนใจจะชม ทั้งสี่คนเดินฝ่าลมหนาวที่พัดอย่างไม่หยุดยั้งแม้จะใส่เสื้อกันหนาวกันแล้วก็ยังหนาวเหมือนไม่ได้ใส่อยู่ดี

    เดินกันมาเกือบสองชั่วโมงเป็นระยะทางมากกว่าสิบกิโลเมตรก็เหมือนเดินย่ำอยู่ที่เดิม ชายหาดสีขาวยังคงทอดตัวไปเบื้องหน้า บ้านบนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลยังเห็นลิบๆอยู่อีกไกล แม้จะไม่มีใครปริปากบ่นแต่ภาพที่มองเห็นซ้ำๆทำให้รู้สึกราวกับพวกเขาเหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนมายาที่ไม่มีอยู่จริง

    เสียงแตกตื่นของเพนกวินดังระงมขึ้นราวกับเสียงร้องเตือนต่อภัยอันตรายที่เข้ามาใกล้ปลุกสติและความระแวดระวังของแคลนมัลดิโตให้กลับมา เพนกวินนับพันตัวกระโดดผ่านหน้าพวกเขาลงทะเลและรีบว่ายน้ำออกห่างจากชายฝั่ง เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเพนกวินดังมาจากชายหาดด้านบน ถึงจะไม่รู้ว่าพวกมันถูกตัวอะไรทำร้ายแต่ทั้งสี่คนก็ตัดสินใจเหมือนกันโดยไม่ต้องถามไถ่ว่าควรจะรีบหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

    แต่ดูเหมือนดวงซวยที่เกาะหลังพวกเขามาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เขตอนุทวีปจะยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น

    แมวน้ำตัวมหึมาคาบเพนกวินชะตาขาดตัวหนึ่งอยู่ในปากแล่นไถลมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสี่คนอย่างพอดิบพอดี พวกเขาเผชิญหน้า ‘แมวน้ำเสือดาว’ เจ้าถิ่นประจำชายหาดแห่งนี้เข้าอย่างจัง มันปล่อยเพนกวินน้อยที่หมดลมหายใจแล้วออกจากปาก หันมาขู่ใส่มนุษย์ทั้งสี่ราวกับจะบอกว่าพวกเขาน่ากินกว่าเจ้าเพนกวันตัวนั้นหลายเท่า

    มันถลาไถลเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็วผิดกับร่างใหญ่โตจ้ำม่ำ ทั้งสี่คนแยกย้ายออกไปประจำตำแหน่งเพื่อรับศึกเจ้าแมวน้ำเสือดาวจอมตะกละทันทีเช่นกัน แต่ในขณะที่มันไถลผ่านเหยื่อที่หลบการพุ่งชนได้มันก็สะบัดหางใส่เอเซที่อยู่ใกล้สุดจนล้มคว่ำกลิ้งกระเด็น แถมไม่ทันไรเจ้าแมวน้ำเสือดาวตัวนั้นพลิกตัวกลับมาพุ่งกัดเขาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่กุห์ฟานคว้าคอเสื้อโค้ทลากตัวรุ่นพี่ออกมาได้ทัน

    “เฮ้ย! แมวน้ำพันธุ์อะไรทำไมมันเร็วอย่างงี้วะ?”

    “พี่คงต้องไปถามจีเอ็มเองแล้วละ”

    ลูกไฟลูกใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้าลงกลางตัวแมวน้ำเสือดาว เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง แต่เมื่อควันจางหายเจ้าแมวน้ำเสือดาวกลับไม่เป็นอะไรเลย

    “เอ็งไปสอบนักเวทใหม่ไปเลยไป๊ไอ้อากิ มอนสเตอร์ธาตุน้ำดันเอาเวทไฟโจมตีมันคงจะเจ็บหรอกเนอะ!?”

    เอเซหันไปด่าและชูนิ้วกลางให้เพื่อนนักเวทตัวดีที่หนีไปอยู่ซะไกลเลย แมวน้ำเสือดาวขัดจังหวะการสนทนาด้วยการผงกหัวกัดเอเซ เขาใช้ดาบฟาดใส่ส่วนหัวของมันเป็นการตอบโต้ แต่แมวน้ำตัวนี้เป็นถึงมอนสเตอร์แรงค์ซี มันก้มหัวหลบการโจมตีได้แถมยังสะบัดกลับมาปัดดาบได้อีกด้วย

    เอเซ แมคโดเวล ถอยอย่างไม่เป็นกระบวนเพราะดาบเปลือยเปล่าที่ไม่ได้ห่อหุ้มด้วยพลังเวทแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทากะฉวยจังหวะที่ศัตรูกำลังเล่นงานเอเซวกอ้อมไปด้านหลังสะบัดดาบคาตะนะฟันใส่ช่วงโคนหางของแมวน้ำเสือดาว แต่ดาบคาตะนะที่ขึ้นชื่อว่ามีความคมเป็นเลิศกลับลื่นเมือกเหนียวๆบนผิวหนังจนฟันไม่เข้าแม้แต่แผลถลอก ฟางอวบอ้วนสะบัดตอบโต้คืน ยังดีที่ทากะรวดเร็วพอที่จะก้าวถอยหลังได้ทันจึงไม่บาดเจ็บมาก

    กุห์ฟานเข้าไปเบี่ยงความสนใจของแมวน้ำเสือดาวให้เอเซถอยไปประจุพลังเวทลงดาบ

    “ไลท์นิงช็อต!”

    เวทสายฟ้าพุ่งเป็นลำแสงลงมาจากฟากฟ้าราวกับฟ้าผ่า เสียงช็อตดังเปรี๊ยะๆดังถี่ยิบพร้อมกับแสงสว่างแสบตาจากตัวแมวน้ำที่ถูกไฟฟ้าช็อตจนดิ้นพล่าน ผลจากเวทสายฟ้าแรงค์ดีที่เป็นธาตุตรงข้ามกับธาตุสังกัดของมอนสเตอร์สร้างความเสียหายได้มากพอสมควร แต่เป้าหมายจริงๆของเอเซไม่ใช่เพื่อจัดการศัตรูแต่เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมันเพื่อเปิดโอกาสหนีให้กับตัวเขาและพรรคพวก

    ทั้งสี่คนโกยอ้าววิ่งหน้าตั้งอีกครั้ง

    “แม่งเอ๊ย สู้มังกรไม่ได้ยังพอว่า แต่สู้แมวน้ำไม่ได้นี่เคืองนะโว้ย!!” เอเซวิ่งไปโวยวายไป

    “สหายเจ็บใจก็กลับไปสู้สิ”

    “กลับไปให้โง่เรอะ! ขนาดดาบเอ็งยังฟันมันไม่เข้าเลย”

    “พี่อากิ ผมว่าพี่ต้องอัพเวทสายอื่นบ้างแล้วนะ”

    “แหะๆ ได้จ๊ะ เดี๋ยวจะอัพให้ครบสี่สายเลยจ๊ะ”

    เอเซอยากจะตบกะโหลกเจ้านักเวทผมเทาสักทีแต่ติดตรงที่หมอนั่นวิ่งนำหน้าอยู่หลายช่วงตัว

    แต่การวิ่งนำก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยเสมอไป เจ้าแมวน้ำเสือดาวที่พกความอาฆาตมาเต็มเปี่ยมไม่ได้ไล่ตามมาบนพื้นทรายแต่ลงน้ำแล้วว่ายน้ำมาจนทันแล้วกระโจนขึ้นจากน้ำมาดักหน้า มันอ้าปากยิงลูกบอลน้ำใส่อากิรอสอย่างเต็มเหนี่ยว นักเวทผมเทาโดนอัดกระเด็นกลับหลังกลิ้งหลายตลบยิ่งกว่าถูกรถชน ทั้งสามคนที่วิ่งตามมาเบรกกันตัวโก่งเมื่อเจ้าแมวน้ำเสือดาวขู่คำรามไถลตัวเข้าใส่ เอเซจับอากิรอสที่ช็อคจนขยับไม่ได้ขึ้นพาดบ่าวิ่งลึกเข้าไปในแผ่นดิน แมวน้ำเสือดาวยิงลูกบอลน้ำเข้าใส่อีกหลายชุดจนแต่ละคนต้องวิ่งซิกแซกหลบกันปั่นป่วนไปหมด

    เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ทิศที่พวกเขาวิ่งหนีขึ้นมาดันเป็นชายหาดส่วนตัวที่พวกแมวน้ำเสือดาวนอนอาบแดดกันเกลื่อนกลาดหลายสิบตัว พวกมันตอบสนองต่อเสียงร้องของพวกเดียวกันลุกขึ้นมาเล่นงานมนุษย์ทั้งสี่ระดมยิงลูกบอลน้ำเข้าใส่จนพวกเขาต้องวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดจะหันกลับไปสู้แม้แต่นิดเดียว

    เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่สี่หนุ่มมัลดิโตอยู่ในเขตอนุทวีปดินแดนแห่งน้ำแข็งและความหนาวเหน็บ หนึ่งเดือนเต็มๆที่พวกเขาได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนและหลบซ่อนพลางคืบหน้าไปอย่างช้าๆ แผนการที่จะสำรวจพื้นที่ทั้งหมดภายในหนึ่งเดือนล้มเหลวไม่เป็นท่า ตั้งแต่ถูกพายุซัดจนแพแตก...เป้าหมายแรกที่พวกเขาวางไว้ว่าจะไปให้ถึงบ้านปริศนาที่แหลมแห่งหนึ่งยังไม่สำเร็จเลย

    และปัญหาใหม่กำลังคุกคามเข้ามาอีกระลอก...ตอนนี้พวกเขาอยู่ในภาวะขาดแคลนเสบียง วัตถุดิบที่เตรียมมากำลังจะหมดลงในมื้อเย็นของวันนี้ เป็นความผิดพลาดจากการแบ่งสัดส่วนไอเท็มที่เตรียมมา กุห์ฟานเน้นหนักไปทางโพชั่นฟื้นฟูพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์ ยาแก้สถานะผิดปกติต่างๆถึงเจ็ดส่วนโดยหวังจะไปล่ามอนสเตอร์ที่ให้เนื้อให้หนังมากินเป็นอาหารเอาข้างหน้า แต่เมื่อเข้าในเขตอนุทวีปแล้วมอนสเตอร์ชนิดเดียวรอบตัวพวกเขาที่สามารถล่ามาเป็นอาหารได้ก็คือมังกร

    การชนะมังกรไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่สามครั้งแล้วที่พวกเขาเกือบชนะมังกรตัวหนึ่งได้ก็ดันมีมังกรตัวใหญ่โผล่มาคาบมังกรร่อแร่ปางตายตัวนั้นตายไปต่อหน้าต่อตา แถมยังมีมังกรตัวที่สามโผล่มาเล่นงานพวกเขาที่หมดแรงต่อสู้แล้วจนต้องหนีตายจ้าละหวั่น อย่างช้าที่สุดไม่เกินเที่ยงของวันพรุ่งนี้ ถ้าพวกเขายังไปไม่ถึงบ้านที่ปลายแหลมหรือล่ามังกรมากิน พวกเขาคงต้องจบชีวิตลงในดินแดนแห่งนี้อย่างแน่นอนเพราะไม่สามารถใช้วาร์ปคริสตัลได้ในเขตพื้นที่นี้ได้ พวกเขาจะหิวจนขยับร่างกายไม่ได้ จบชีวิตลงในหนึ่งชั่วโมงให้หลังและถูกส่งไปที่โรงพยาบาลโดยอัตโนมัติ แค่นึกถึงสายตาสมเพชเวทนาของหมออีวานที่รู้ว่าตายเพราะสาเหตุอะไรก็ทำให้พวกเขาเกิดแรงฮึดรีบเดินจ้ำขึ้นเขาไปให้ถึงอีกฟากหนึ่งของยอดเขาแห่งนี้ให้ได้ หรืออย่างน้อยถ้าจะไม่รอดจริงๆ พวกเขาขอตายใต้คมเขี้ยวมังกรดีกว่าตายเพราะความหิวเป็นไหนๆ









    และเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่งหลังจากเหตุการณ์ ‘ล่าค่าหัวมัลดิโต’ ณ เมืองอารันด์

    แคลนเซเลสเทียลย้ายสมาชิกส่วนหนึ่งกลับมาทำภารกิจที่เมืองนี้ภายใต้การบัญชาการของกลอเรียส อัลติมัส พวกเขาทำภารกิจระดับต่อเนื่องหลายอย่างจนนำไปสู่การก่อตั้งสมาคมพ่อค้าเมืองอารันด์ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้สิทธิ์พิเศษจากสมาคมมากกว่าผู้เล่นทั่วไป นอกจากนั้นแล้วยังทำภารกิจจนได้สิทธิ์บริหารบริการรถม้าขนส่งระหว่างเมืองอารันด์และเมืองแบล็คแซนด์อีกด้วย ส่งผลให้ค่าบริการแพงขึ้นอีกเกือบครึ่งเท่าตัว สำหรับผู้เล่นที่ไม่มีความสามารถพอที่จะสู้กับโจรป่าและมอนสเตอร์ในเขตทะเลทรายได้นี่คือการขูดรีดที่พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายเพื่อความปลอดภัยและความสะดวก

    ภารกิจหลายๆอย่างเมื่อมีผู้เล่นทำจนครบเงื่อนไขก็ปรับระดับความยากขึ้น ทั้งหมดเป็นฝีมือของสมาชิกแคลนเซเลสเทียลที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ผู้เล่นทั่วไปแทบจะหมดสิทธิ์เคลียร์เงื่อนไขของภารกิจที่ปรับระดับขึ้น ถ้าอยากมีส่วนร่วมในภารกิจก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขที่แคลนเซเลสเทียลประกาศไว้ ภารกิจบางอย่างถูกปรับให้เป็นการแข่งขันระหว่างผู้เล่นหลายกลุ่ม เช่น การรวบรวมวัตถุดิบทำอาหารส่งให้ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ผู้เล่นกลุ่มแรกที่เคลียร์ภารกิจได้จะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าปกติและกลุ่มที่เคลียร์เงื่อนไขได้ในลำดับถัดไปก็ได้ค่าตอบแทนลดหลั่นลงไป แน่นอนว่ากลุ่มผู้เล่นที่ผูกขาดภารกิจประเภทนี้ก็คือแคลนเซเลสเทียล

    การลงดันเจียนประจำเมืองอารันด์กลายเป็นช่องทางทำเงินมหาศาลให้พวกเขาเมื่อไม่มีแคลนมัลดิโตเป็นก้างขวางคออีกต่อไป เงื่อนไขของการลงดันเจียนนี้...ผู้เล่นอื่นต้องร่วมกลุ่มกับผู้เล่นที่ได้สิทธิ์เข้าดันเจียนเท่านั้น และนั่นนำไปสู่การเรียกเก็บค่าผ่านทางเหมือนที่พวกเขาเคยผูกขาดเหมือนที่เคยทำในสมัยเทสต์เบต้า

    ผู้เล่นส่วนใหญ่ย่อมไม่ชอบใจต่อสิ่งที่แคลนเซเลสเทียลทำ แต่ใครกันจะกล้าหาญและแข็งแกร่งพอที่จะลุกขึ้นมาคานอำนาจพวกเขา ในเมื่อสี่ปีศาจทหารรับจ้างยังถูกเล่นงานจนป่านนี้ไม่รู้หายตัวไปไหน
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  18. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ต่อๆ
  19. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 37 – Try out!




    “สมมตินะ...สมมติ ถ้าบ้านหลังนั้นมันเป็นบ้านร้างละ?”

    ทากะ กุห์ฟานและอากิรอสสะอึกสะดุ้งพร้อมกันเมื่อได้ยินคำถามของเอเซ เพราะลางสังหรณ์และสัมผัสที่หกของหมอนี่จัดว่าแรงเข้าขั้น หลายเหตุการณ์เป็นจริงตามที่เขาคาดไว้และส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องแย่ๆทั้งนั้น

    “ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เราขอให้เซนส์ของนายผิดสักครั้งเหอะนะ” อากิรอสถึงกับพนมมือไหว้ฟ้าไหว้ดิน

    “แค่ถามเผื่อไว้เท่านั้นน่าว่าจะทำยังไงต่อ”

    “ถ้ามันเป็นบ้านร้างจริงๆแบบที่พี่เอเซสงสัย พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาทางฆ่ามังกรให้เร็วที่สุดโดยที่ไม่โดนมังกรตัวอื่นมาโผล่มาคาบไปให้ได้”

    “เป็นวิธีคิดคำตอบที่ง่ายๆแต่ทำยากมากเลยนะน้องชาย”

    ดวงอาทิตย์ลับหายไปหลังภูเขาไม่ทันไรท้องฟ้าก็มืดสนิท แสงดาวผุดพรายขึ้นมาพอให้มองเห็นรอบตัวได้หลังจากนั้นพายุหิมะก็ถาโถมถล่มโลกนี้อย่างบ้าคลั่ง ความหนาวเหน็บเข้าโจมตีทั้งสี่หนุ่มแห่งแคลนมัลดิโตในโพรงดินที่พวกเขาขุดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักชั่วคราว ถึงจะมีกองไฟขนาดใหญ่ให้ความอบอุ่นแต่ก็ยังไม่เพียงพอในสภาพอากาศโหดร้ายทารุณเช่นนี้ กระทาชายทั้งสี่นายได้แต่นั่งขดตัวเล่นไพ่รอจนกว่ารุ่งอรุณจะกลับมาอีกครั้ง

    พอเช้าปุ๊ปพวกเขาทั้งสี่คนรีบออกเดินทางต่อทันที ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมากแต่ชันเหลือเชื่อ พอขึ้นถึงยอดเขา ทิวทัศน์ที่ปรากฏแก่สายตาแคลนมัลดิโตคือหน้าผาที่ยื่นออกยืนอย่างโดดเดี่ยวกลางทะเล มีเสียงคลื่นซัดผาหินดังซ่าๆให้ได้ยินอยู่ไกล สายลมหอบเอากลิ่นเค็มๆทะเลมาแตะจมูก ที่ปลายผามีเพียงบ้านไม้และโรงเรือนหลังใหญ่ปลูกไว้ใกล้ๆกัน ถึงไม่ใช่หมู่บ้านตามที่พวกเขาคาดหวังไว้แต่ก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่จริงๆ

    หิมะที่ตกเมื่อคืนยังเรียบสนิทไม่มีรอยเท้าของคนหรือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาเหยียบย่ำ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆจึงพบว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านร้าง มองดูข้างในผ่านกระจกสีชายังเห็นเครื่องเรือนครบครันอยู่ครบครันในสภาพพร้อมใช้งาน ประตูบ้านไม่ได้ลงกลอนไว้ พวกเขาจึงถือวิสาสะเข้าไปด้านในด้วยความหวังว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อของอีเวนต์พิเศษบางอย่าง

    แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหาเจ้าของบ้านไม่พบ สิ่งที่เจอกลับเป็นเนื้อสารพัดชนิดในกล่องรักษาสภาพวัตถุดิบขนาดใหญ่ในห้องครัวพร้อมเครื่องปรุงและวัตถุดิบอื่นๆอย่างครบครัน กุห์ฟานลองคำนวณปริมาณวัตถุดิบแล้วพบว่าของที่มีอยู่เพียงพอให้พวกเขาสี่คนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้นานเป็นปีเลย

    “คิดว่ายังไง?”

    “ข้าวของเครื่องใช้มีครบถ้วนแต่ไม่มีร่องรอยการใช้งาน ที่นี่อาจจะเป็นเซฟตี้แอเรียสำหรับให้ผู้เล่นมาแวะพักก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็สอดคล้องกับเรื่องที่เราไม่เห็นมอนสเตอร์ในแถบนี้เลย”

    ทากะเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของกุห์ฟานแล้วหันไปถามเอเซ

    “ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง?”

    “ล่ามโซ่ล็อกกุญแจไว้ ลองเอาดาบฟันกำแพงแล้วมีข้อความขึ้นแจ้งเตือนว่าไม่สามารถทำลายวัตถุนี้ได้ ไม่เหมือนกับบ้านในหมู่บ้านหรือเมืองอื่นๆที่พังได้ตามใจชอบเลย”

    “พวกเราก็ยึดเอาที่นี่เป็นที่พักถาวรใช้เป็นจุดเริ่มต้นออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆดีไหมละ?” อากิรอสเสนอความคิดเห็น

    “งั้นสองวันนี้พวกเราพักอยู่ที่นี่ก่อนยังไม่ต้องทำอะไร ระหว่างนี้ผมจะวางแผนว่าจะสำรวจพื้นที่และสู้กับมอนสเตอร์ยังไงดีถึงจะได้ผลดีที่สุด”

    “แล้วแต่นายเลย”

    รุ่นพี่ทั้งสามคนตอบพร้อมกันซึ่งก็ทำให้กุห์ฟานถอนหายใจอย่างเซ็งๆเช่นเคย ถ้าเป็นเรื่องต้องคิดต้องใช้สมองเขาไม่เคยขอความเห็นใดๆจากพวกรุ่นพี่ได้เลย เขาขอข้อมูลแผนที่จากทากะมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ตัวเองมีและนั่งทำงานไปเงียบๆปล่อยให้รุ่นพี่ทั้งสามเข้าครัวไปทำมื้อเที่ยงกันอย่างเต็มที่ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องอดตายแล้ว

    สองวันผ่านไป ไม่มีอีเวนต์อะไรเกิดขึ้นแม้แต่อย่างเดียว รอบหน้าผาแห่งนี้ไม่มีมอนสเตอร์โผล่หน้ามาให้เห็นแม้แต่มังกรที่เคยบินว่อนอย่างกับยุงยังหายตัวไปหมด อากาศแจ่มใสปลอดโปร่งไม่มีพายุพัดผ่านตรงนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวมีเพียงสายลมที่พัดแรงอยู่เนืองนิจ และมีหิมะตกปรอยๆบ้างในตอนกลางคืน

    “งั้นตามนี้นะ คราวนี้เราจะย้อนสำรวจทางเดิมไปจนถึงชายหาด ตรงบล็อกนี้กับบล็อกนี้เราจะเน้นหลบหลีกเพื่อร่นเวลา พอไปถึงชายหาดแล้วเราจะเริ่มปฏิบัติการล่าแมวน้ำกัน”

    “แก้แค้นงั้นเรอะ?” เอเซ แมคโดเวล เหล่ตามองรุ่นน้อง

    “ผมอยากทดสอบอะไรบางอย่าง พี่จำมังกรฟรอสวิงที่เราเจอที่ถ้ำได้รึเปล่า?”

    “จำได้ดิ ทำไมวะ?”

    “มังกรตัวนั้นมีดาวทองตามหลังชื่อมันสามดวง ส่วนเจ้าแมวน้ำที่พวกเราสู้นั่นมีตามหลังสองดวง”

    “นายจะบอกว่ามอนสเตอร์ในเขตนี้ยังมีแบ่งระดับย่อยๆลงไปอีกงั้นเหรอ?” อากิรอสเหล่ตามองกุห์ฟานเลียนแบบท่าทางของเอเซบ้าง

    “พวกกระต่ายหรือหมาป่าที่เจอก่อนเข้าอนุทวีปเป็นมอนสเตอร์แรงค์ซีเหมือนกันแต่ก็ไม่มีดาวตามหลังนะ อย่างน้อยๆถ้าดาวเป็นตัวแบ่งระดับความเก่งจริงเราก็ควรฝึกสู้กับแมวน้ำที่มีดาวเดียวก่อน ถ้าแมวน้ำยังชนะไม่ได้ก็เลิกหวังจะไปต่อได้เลย”

    “พี่อากิมีค่าประสบการณ์เท่าไรเอาไปพัฒนาเวทมนต์สายลมสายฟ้าให้หมด เน้นความหลากหลายของการโจมตีด้วยนะ ต่อไปนี้พี่ต้องจับคู่กับพี่เอเซใช้ท่าประสานให้ได้แบบจริงจังละ ผมกับพี่ทากะจะคอยแทงค์ให้เอง”

    “น้องชาย นายลืมไปรึเปล่าว่าแมวน้ำนั่นขนาดดาบคาตะนะของพี่ยังฟันไม่เข้าเลยนะ”

    “ถ้าดาบพี่ที่เป็นแรงค์ดียังฟันมันไม่เข้างั้นพี่ทากะก็ฝึกทักษะเพิ่มความคมได้แล้ว มอนสเตอร์ในเขตนี้และต่อๆไปพวกเราคงหวังใช้แค่ความสามารถและแผนการเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว พวกพี่ลืมไปแล้วรึไงว่าเป้าหมายที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาฝึกด้วยนะ”

    “ทักษะแชปเนสงั้นเรอะ?” ทากะพึมพำกับตัวเอง

    “ชาร์ปเนสเว้ย!” เอเซโวยขึ้นมาเพราะทักษะภาษาอังกฤษแรงค์เอฟของทากะ

    “สหายอย่าซีเรียสกับการออกเสียงของเรานักเลยน่า”

    “เออน่ะ! แล้วไอ้ทักษะนั้นมันทำไมเรอะ?”

    “เป็นทางผ่านทักษะระดับกลางและระดับสูงของอาวุธประเภทคาตะนะ ทักษะที่เราอยากได้มากที่สุดตอนนี้คือทักษะฟอร์มเลสคัทที่ช่วยให้โจมตีมอนสเตอร์ที่ไม่มีรูปร่างตายตัวอย่างเปลวไฟ สายลม หรือมีร่างกายเป็นโคลนเหลวๆได้ นายจำอนูบิสที่ดันเจียนปีรามิดได้ไหมละ? ถ้าเรามีทักษะนี้สูงพอต่อไปก็คงฟันร่างกายที่เป็นทรายของอนูบิสได้เลย”

    “พี่ทากะคิดจะตัดเกราะเงาของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ให้ได้สินะ”

    ซารุวาตาริ ทากะ พยักหน้าด้วยสายตาหนักแน่น

    “แล้วพี่ไม่ต้องอัพอะไรเพิ่มเรอะ?” เอเซเปิดหน้าต่างทักษะของตัวเองให้กุห์ฟานดูบ้าง

    “อืม...พี่เอเซมีเวทครบทุกสายแต่หนักไปทางสายลมสายฟ้า จะให้ดีพี่ก็อัพสกิลช่วยฟื้นฟูเอ็มพีไว้หน่อยก็ดีเพราะถ้าใช้ท่าประสานคงใช้เอ็มพีเยอะอยู่”

    “อายอาย เซอร์!”

    กุห์ฟานปล่อยให้รุ่นพี่ทั้งสามคนศึกษาแผนผังทักษะส่วนตัวเองก็จัดเตรียมไอเท็มในกระเป๋า บทเรียนจากการขาดแคลนอาหารรอบนี้ทำให้เขาต้องจัดระเบียบความคิดของตัวเองเสียใหม่ เขาจัดเสบียงเพิ่มขึ้นเป็นสี่ส่วนเท่ากับไอเท็มฟื้นพลังและยารักษาอาการผิด อีกหนึ่งส่วนเป็นเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็น ส่วนสุดท้ายเหลือไว้สำหรับเก็บไอเท็มที่ได้จากการต่อสู้ ต่อจากนี้เขาต้องให้ความสำคัญกับปากท้องเป็นอันดับหนึ่ง

    เมื่อพร้อมแล้วพวกเขาก็บ่ายหน้ากลับไปยังชายหาด ประสบการณ์ในเส้นทางเดิมช่วยให้พวกเขากลับมาถึงชายหาดได้ภายในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวย่นเวลาลงได้ถึงสี่เท่า กุห์ฟานเริ่มต้นแผนงานวิจัยมอนสเตอร์ในแถบชายหาดทันที มอนสเตอร์เผ่าพันธุ์แรกที่ถูกเลือกคือ ‘เพนกวิน’ มอนสเตอร์แรงค์ซี-หนึ่งดาว ที่เดินกันหน้าสลอนเต็มชายหาด

    เมื่อบรรดารุ่นพี่สามคนสวมวิญญาณนักล่าเพนกวิน ปรากฏว่าฝูงเพนกวินหลายร้อยตัวกลับแตกฮือวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นปล่อยให้เพนกวินที่โชคร้ายสู้เพียงลำพัง พวกมันไม่ได้เชื่องช้าเหมือนเพนกวินที่เห็นในสารคดี แต่ประเปรียวรวดเร็วแถมยังกระโดดได้สูงมาก แนวหน้าอย่างเอเซและทากะถูกมันกระโดดถีบขาสู่ใส่ท้องและหน้าอกจนจุกเสียดยืนไม่ไหวก็หลายหน แถมพวกมันกัดหนักกัดเจ็บอีกด้วย

    นานๆครั้งจะมี ‘เพนกวินราชา’ มอนสเตอร์แรงค์ซี-สองดาว โผล่มาช่วยเพนกวินที่โดนรังแก นอกจากนี้มีเจ้า ‘ร็อคฮ็อปเปอร์เพนกวิน’ แรงค์ซี-สามดาว เพนกวินอันธพาลที่โจมตีผู้เล่นก่อนและเก่งกว่าเพนกวินธรรมดาหลายเท่าตัวโผล่มาป่วนเป็นระยะ ทั้งกุห์ฟานและเอเซคาดเดาได้เลยว่าถ้ามีมอนสเตอร์ที่ชื่อ ‘เพนกวินจักรพรรดิ’ ละก็...มันคงเป็นมอนสเตอร์บอสของพื้นที่นี้แน่ๆ

    ล่าเพนกวินอยู่สามวันเต็มๆได้ขนของเพนกวินเป็นรางวัลแถมได้คริสตัลฟื้นพลังอีกด้วย เรียกได้ว่าถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่า สุดท้ายพวกเขาก็ปักหลักสร้างที่พักชั่วคราวขึ้นที่ริมป่าเหนือชายหาด ขุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ตัดต้นสนมากั้นเป็นกำแพง ตกแต่งภายนอกด้วยกิ่งไม้ใบไม้และใช้ทักษะอำพรางของทากะทำให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ

    รุ่งเช้าของวันที่สี่ กุห์ฟานยิ้มกริ่มควงมีดสองเล่มในมืออย่างชำนาญ

    “พวกพี่พร้อมจะล่าแมวน้ำกันรึยัง?”

    เหยื่อตัวแรกที่พวกเขาพบกำลังนอนอาบแดดอยู่บนชายหาดเพียงลำพังอย่างมีความสุข เวทสายฟ้า ‘ธันเดอร์สไตร์ค’ จากไม้เท้าของอากิรอสได้ปลุกมันให้ตื่นขึ้นพร้อมกับความโกรธ จากนั้นกุห์ฟานใช้ทักษะอาณาเขตลดความเร็วของศัตรูและจับคู่กับทากะรับมือการอาละวาดของแมวน้ำเสือดาว ทากะฟันเฉียงๆจากด้านล่างแฉลบเมือกไขมันบนผิวหนังเหมือนเดิม แต่คมดาบก็กรีดผิวหนังของมันเป็นแผลตื้นๆได้แล้ว

    ทากะตะโกนบอกสองคนด้านหลังให้ใครก็ได้โจมตีด้วยเวทมนต์สายฟ้าอีกครั้ง เอเซประจุพลังเวทลงดาบแล้วชูขึ้น สายฟ้าเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและตกลงมาเป็นสายฟ้าเส้นมหึมา แมวน้ำเสือดาวถูกช็อตจนดิ้นพล่านด้วยท่าไลท์นิงสไตร์ค เมือกเหนียวบนผิวหนังละลายไปจนหมด ทากะลองโจมตีอีกครั้งและคราวนี้ได้ผลเต็มๆ เมื่อเวทสายฟ้าของอากิรอสโจมตีอีกครั้ง แมวน้ำเสือดาวก็แทบจะหมดสภาพต่อสู้แล้ว หลังจากนั้นทากะ กุห์ฟานและเอเซก็รุมประเคนอาวุธให้มันอย่างมันส์มือ ถือเป็นการระบายความแค้นที่ครั้งก่อนพวกเขาถูกเล่นงานจนแทบเอาชีวิตไม่รอด

    ทดลองสู้กับแมวน้ำเสือดาวอีกห้าหกตัวจนกุห์ฟานได้ข้อสรุปว่า เมือกเหนียวบนผิวหนังของแมวน้ำเสือมีทำให้อาวุธแฉลบไถลและจะหายไปต่อเมื่อถูกโจมตีด้วยเวทมนต์เท่านั้น เมื่อรู้แบบนี้แล้วการล่าแมวน้ำก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องเปลืองเอ็มพีของนักเวทและนักดาบเวททั้งสองคนมากหน่อยและคอยระวังไม่ให้ถูกฝูงแมวน้ำรุมเท่านั้น

    ตลอดสัปดาห์ทั้งสี่คนเริ่มคุ้นชินกับรูปแบบการโจมตีของศัตรูในชายหาดได้เกือบหมดแล้ว นอกจากพนกวินและแมวน้ำเสือดาวแล้ว พวกเขายังสู้กับนกอัลบาทรอส เหยี่ยวทะเลและนกฮูกหิมะ ซึ่งทั้งสามตัวเป็นมอนสเตอร์ฟลายอิ้งไทป์ แรงค์ซี-สองดาว ทั้งหมด และเมื่อรู้ว่าเลือดของเหยี่ยวทะเลและนกฮูกหิมะเป็นส่วนผสมสำหรับผลิตโพชั่นและยาบำรุงกำลัง แคลนมัลดิโตก็เปลี่ยนเป้าหมายจากแมวน้ำเสือดาวเป็นสัตว์ปีกสองตัวนี้ทันที กุห์ฟานวางแผนว่าหลังจากนี้จะต้องหาหาสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมโพชั่นให้เจอให้ได้ แต่ที่ยากที่สุดคือเลือดของมังกรที่ตอนนี้น่าจะยังเป็นศัตรูที่สู้ได้อย่างยากลำบากที่สุด








    เมื่อเสบียงใกล้หมดพวกเขาจึงเดินทางกลับสู่บ้านพัก รอบนี้ใช้เวลาเพียงแค่ห้าวันก็กลับมาถึงแล้ว แต่พอลงจากยอดเขามาถึงริมผาแล้วแล้วพวกเขาทั้งสี่คนก็ต้องหยุดชะงักอยู่เมื่อมีรอยเท้าของใครคนหนึ่งเดินตรงเข้าไปที่บ้านและปล่องควันก็ปล่อยควันออกมาด้วย จะว่าเป็นผู้เล่นที่เข้ามาสำรวจอนุทวีปก็ไม่น่าจะมาเพียงคนเดียวและตำแหน่งของที่นี่ก็อยู่ค่อนข้างลึกในเขตอนุทวีป การที่ผู้เล่นเพียงคนเดียวมาถึงที่นี่ได้จะต้องมีฝีมือสูงอย่างแน่นอน

    ทั้งสี่คนเหลือบมองกัน เป็นไปได้ว่าคนที่อยู่ด้านในบ้านตอนนี้อาจจะเป็น กลอเรียส อัลติมัส รองหัวหน้าแคลนเซเลสเทียลก็ได้ พวกเขาเดินเข้าไปด้วยท่าทางปรกติและเก็บความตึงเครียดไว้ภายใน มือของเอเซและทากะแตะอยู่บนด้ามดาบเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา

    “พวกเอ็งไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอกน่า”

    เสียงห้าวๆดังมาจากด้านในบ้าน เป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยสำหรับพวกเขา

    ชาวมัลดิโตคลายความตึงเครียดลงแต่ยังไม่ไว้ใจคนที่อยู่ด้านใน เอเซเปิดประตูเข้าไปในบ้านเป็นคนแรก ชายคนหนึ่งนั่งสูบซิการ์อยู่บนโซฟา ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลบ่งบอกว่าเขาเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ผมสีน้ำตาลแดงยุ่งเหยิงรุงรังไม่แพ้ทากะ เสื้อวอร์มสีดำแขนยาวกับกางเกงผ้าหนาๆสีกรมท่าไม่อาจปกปิดร่างกายกำยำล่ำสันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อได้

    “รออยู่หลายวันเชียวไอ้พวกมัลดิโต”

    เอเซ แมคโดเวล กระชากดาบออกมาจ่อคออีกฝ่ายในพริบตา ชายปริศนาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดและไม่มีท่าทีหวาดกลัวใดๆเลย

    “ใจเย็นๆ ข้าไม่ได้มาล่าค่าหัวพวกเอ็งหรอกนะ”

    “แล้วเฮียเป็นใคร?”

    “เรียกพี่ก็ได้เว้ย เรียกเฮียเดี๋ยววรรณยุกต์เพี้ยนแล้วไม่น่าฟัง”

    เอเซดันดาบเคลย์มอร์แตะคออีกฝ่ายตรงตำแหน่งเส้นเลือดแดงใหญ่

    “พวกเอ็งนี่เหมือนที่อีวาน ไอแซคบอกไว้ไม่มีผิด”

    พอได้ยินชื่อของ ‘อีวาน ไอแซค’ เอเซก็นึกถึงนายแพทย์ผู้มีดวงตาสีฟ้าเย็นชาแต่กลับชอบบ่นว่างานเยอะงานแยะ นายแพทย์เพียงคนเดียวประจำโรงพยาบาลแกรนด์ไกอาออนไลน์ และสงสัยว่าชายคนนี้เกี่ยวข้องกับหมออีวานคนนั้นอย่างไร

    “เฮียรู้จักกับหมออีวานด้วยเหรอ?”

    “บอกว่าอย่าเรียกเฮียไง”

    “ผมถามว่า...เฮียรู้จักกับหมออีวานด้วยเหรอ?”

    “เออจะเรียกอะไรก็เรียกไปเหอะ ส่วนหมออีวานน่ะเหรอเป็นรุ่นน้องข้าเองแหละ”

    “รุ่นน้อง?” อากิรอสทวนคำเสียงสูง ขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองด้วยความสงสัย

    “เห็นแก่ความกล้าหาญที่พวกเอ็งมาถึงที่นี่ได้ข้าจะบอกอะไรให้เป็นรางวัล ข้ามีสถานะเหมือนหมออีวาน ไอ้เจ้านั่นเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย เรียนจบแล้วก็ยังเสร่อมาทำงานในบริษัทเดียวกันอีก”

    “เฮียเป็นกึ่งเอ็นพีซี?”

    “ถูกต้อง! ข้าชื่อ ‘ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น’ ที่นี่คือบ้านและสถานที่ทำงานของข้าในฐานะช่างตีเหล็ก และพวกเอ็งสี่ตัวก็สวาปามเสบียงกรังของข้าไปตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วพวกเอ็งจะชดใช้ยังไงดีละ?”

    “เฮียซีวิลเป็นคนใจดีไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้หรอกน่า” เอเซเก็บดาบลงฝักลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ คนอื่นๆก็ลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเจ้าของบ้านที่กำลังสูบซิการ์พ่นควันปุ๋ยๆอยู่

    “ไม่ต้องมายอกันให้เปลืองน้ำลาย ของพวกนี้ถึงจะเป็นกึ่งเอ็นพีซีก็ไม่ได้ความว่าจะเสกขึ้นมาได้เองซะเมื่อไร ข้าได้มาแทนค่าจ้างในการทำงานต่างหาก แต่ไอ้เรื่องชดใช้ชดเชยอะไรนั่นไว้ว่ากันทีหลัง ไหนลองเล่าซิว่าพวกเอ็งเกาะหางมังกรมาตกแถวนี้รึไงวะ?”

    เอเซและทากะเอื้อมมือตบบ่ากุห์ฟานพร้อมกันเป็นนัยให้เขาเป็นตัวแทนเล่าเรื่อง น้องเล็กแห่งแคลนมัลดิโตถอนหายใจส่ายหน้า

    “งั้นพี่เอเซไปชงชามากานึงเลย”

    “จัดไป แล้วเฮียซีวิลเอาชาหรือกาแฟดีละ”

    “จะดื่มจะกินกันข้าไม่ว่าหรอกแต่ทางที่เอ็งกำลังจะไปนั่นมันห้องครัวของข้านะโว้ย”

    “เอาน่ะ! แค่นิดหน่อยๆถือว่าหยวนๆก็แล้วกัน”

    กุห์ฟานเริ่มต้นเล่าความเป็นมาและสาเหตุที่พวกเขามาอยู่ที่บ้านหลังได้ให้ซีวิลฟังจนหมด ตั้งแต่พวกเขาเริ่มเล่นเกมแล้วมีปัญหากับแคลนเซเลสเทียลที่เมืองแบล็กแซนด์ การเจรจาหลังปราบบอสหมาป่าเฟนริลที่ล้มเหลว เหตุการณ์เผาโกดังสินค้าที่ท่าเรือเมืองบลูเพิร์ล เรื่องรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวกลางทะเลทรายซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์สัตว์เวทบุกถล่มเมืองแบล็กแซนด์ซึ่งทำให้พวกเขาถูกตั้งค่าหัวและตามล่าจนหนีมาถึงอนุทวีปแห่งนี้

    “จะบอกว่าพวกเอ็งโชคดีหรือยังไม่ถึงที่ตายดีวะเนี่ย ปกติแล้วถ้าแพแตกกลางทะเลแถมมีพายุด้วยเนี่ยไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องตายทั้งนั้น” ซีวิลทำหน้าเหลือเชื่อ

    “สงสัยหมออีวานเบื่อหน้าพวกผมเลยไม่ยอมรับการตายแล้วส่งพวกผมมาที่นี่แทนละมั้ง”

    “ฮ่าๆๆ เป็นไปได้ๆ”

    เจ้าบ้านหัวเราะร่าตบเขาฉาด บ่งบอกว่าเขามีนิสัยเป็นคนง่ายๆสบายๆ

    เอเซ แมคโดเวลตบดาบเคลย์มอร์ที่นอนสงบอยู่ในฝัก “เฮียซีวิลบอกว่าเป็นช่างตีเหล็กแล้วสร้างอาวุธได้ป่าว? หมายถึงตีดาบน่ะ”

    “งานหลักคือตีดาบสร้างอาวุธและชุดเกราะ งานรองคือสร้างของจิปาถะจับฉ่ายแล้วแต่จะมีออเดอร์ ถามทำไมวะ?”

    “ถ้าผมจะให้เฮียตีดาบดีๆให้สักเล่มเนี่ยต้องทำไงมั่ง?”

    ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น ยกมือที่มีแต่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นปูดโปนเกาหลังหัวอย่างขัดใจ “ยังไงดีละเนี่ย ตามหน้าที่แล้วผู้เล่นคนไหนก็ตามที่มาถึงที่นี่ได้ก็สามารถรับภารกิจแลกกับการสร้างไอเท็มที่ต้องการได้ แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีผู้เล่นคนไหนมาถึงที่นี่ได้ไวขนาดนี้เลยยังไม่ได้เตรียมวัตถุดิบอะไรไว้สักอย่าง ที่มีตอนนี้ก็แค่ของที่เตรียมไว้สำหรับของที่ต้องสร้างตามที่ลูกค้าสั่งเท่านั้น”

    “ใช้ไอเท็มอะไรบ้างละพี่ซีวิล?” กุห์ฟานถามและเปิดหน้าต่างไอเท็มไว้พร้อมสรรพ

    “แร่โลหะสิบเจ็ดชนิด แม่เหล็กและผงแร่แม่เหล็ก ถ่านหิน หินสำหรับทำหินลับและหินขัด ดินที่มีแร่ธาตุต่างๆ ไอเท็มอื่นๆที่ใช้พาวเวอร์อัพอาวุธเช่นเขี้ยว เล็บ กระดูกและเกล็ดของสัตว์บางชนิด คริสตัลไทป์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นเอเนจี้คริสตัล พาวเวอร์คริสตัลและเมจิคคริสตัล ศิลาเวทมนตร์รวมถึงอัญมณีที่มีพลังเวทมนต์ในตัวเอง ผลึกธาตุทั้งสี่และผลึกพลังงานอีกหลากหลายชนิด ไม้เนื้อแข็งเนื้ออ่อนและหนังสัตว์อีกมากมายก่ายกอง”

    กุห์ฟานที่มั่นใจว่าในคลังสมบัติของเขาต้องมีไอเท็มที่กึ่งเอ็นพีซีต้องการอย่างน้อยครึ่งหนึ่งถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เลยเปลี่ยนใจสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจแทน

    “งั้นภารกิจต้องทำอะไรบ้าง?”

    “คงรู้หน้าที่ของกึ่งเอ็นพีซีอย่างพวกข้าดีอยู่แล้วสินะว่าต้องคอยควบคุมอีเวนต์ต่างๆให้เป็นไปตามความเหมาะสมของผู้เล่น”

    ทั้งสี่คนพยักหน้า

    “งั้นก็พูดตรงๆเลยนะ ระดับของพวกเจ้าสี่คนยังทำภารกิจของข้าไม่ผ่านหรอก แล้วภารกิจต่อเนื่องถ้าทำล้มเหลวกลางทางเท่ากับทุกอย่างเป็นอันยกเลิก...มีอะไรจะถามอีกไหม?”

    “มี มีเยอะด้วย” กุห์ฟานตอบสวนทันที “ภารกิจที่ต้องทำเกี่ยวข้องกับอนุทวีปนี้อย่างเช่นการสำรวจและค้นหาใช่รึเปล่า?”

    “ใช่”

    “ถ้าอย่างนั้นวัตถุดิบที่ว่ามาสามารถหาได้ในอนุทวีปนี้?”

    “ก็ถูกอีก”

    กุห์ฟานฟังคำตอบที่สองแล้วหยุดคิด รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลเพื่อเดินหมากตาต่อไป แต่ก่อนที่เสนาธิการแห่งแคลนมัลดิโตจะได้ทำตามที่คิด เจ้าบ้านก็โพล่งขึ้นมาก่อน “พวกเอ็งมาที่นี่เร็วเกินไป ฝีมือของพวกเอ็งน่ะไปลึกกว่านี้ก็ตายหยั่งเขียดแน่ๆ”

    ถูกสบประมาทซึ่งหน้าถึงสองครั้งตรงๆ มีหรือที่แคลนมัลดิโตทั้งสี่จะยอมรับง่ายๆ พวกเขาสบตากันและก็รู้ทันทีว่าจะต้องเดินหมากตาต่อไปในรูปแบบใด

    “ยังไม่ทันดูฝีมือพวกผมเลยแล้วมาบอกว่าไม่ไหวมันก็ไม่ถูกต้องนักนะครับ ถ้ายังไงก็ให้ภารกิจมาเลยดีกว่าจะได้รู้กันไปว่าทำสำเร็จหรือล้มเหลว”

    “มั่นใจจริงนะเจ้าหัวเงิน” ซีวิลยิ้มมุมปากตอบรับสายตาท้าทายของอากิรอส

    “ถ้าทำภารกิจล้มเหลว พวกผมยินดีหาเสบียงที่เอาไปมาใช้คืนให้ชนิดไม่ให้ขาดตกแม้แต่เนื้อสักขีดหรือน้ำปลาสักหยดแถมจะยอมเป็นลูกมือช่วยงานให้ฟรีๆด้วย กลับกันถ้าพวกผมทำภารกิจสำเร็จละก็จะต้องยอมให้พวกผมอยู่ที่นี่และสร้างอาวุธให้พวกผม ตกลงรึเปล่า?”

    กุห์ฟานยื่นคำท้าอย่างตรงไปตรงมา

    “ฮ่าๆๆ ไม่ว่าจะทำภารกิจผ่านหรือไม่ผ่านพวกเอ็งก็ได้ชายคาบ้านหลังนี้ไว้ซุกหัวนอนอยู่ดีนี่หว่า”

    “ลูกผู้ชายไม่ยึกยักหรอกนะเฮีย เซย์เยสหรือเซย์โนว่ามาเลยไวๆ”

    สันดานแท้ๆของเอเซ แมคโดเวลคือเป็นพวกชอบลองของ อะไรที่คนอื่นยืนยันว่าทำไม่ได้เขาจะต้องทำให้ได้ และสันดานแบบนี้ก็มีอยู่ในตัวเพื่อนร่วมแคลนอีกสามคนด้วยเช่นกัน ความตื่นเต้นที่ได้ท้าทายเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความสนุกที่ได้เดิมพันทุกอย่างที่มีชนิดเทหมดหน้าตัก ความเร้าใจที่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาที่เป็นดั่งภูเขาลูกใหญ่ซึ่งต้องปีนป่ายข้ามไปให้ได้แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจหรือบาดเจ็บเจียนตายแค่ไหน ของแบบนี้แค่ได้ลองทำดูก็ถือว่าคุ้มแล้วในความคิดของชาวมัลดิโต

    “เอาตามนั้นก็ได้”

    กุห์ฟานยื่นมือไปจับกับซีวิล ทั้งสองคนพูดหนึ่งคำพร้อมกัน

    “ดีล!”

    กึ่งเอ็นพีซี ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น กำหนดเวลาหนึ่งชั่วโมงให้พวกเขาเตรียมพร้อมต่อสู้แถมยังซ่อมแซมอาวุธของเอเซ ทากะและกุห์ฟานให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วทั้งห้าคนก็ออกเดินทางจากบ้านที่ปลายแหลมมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางของอนุทวีป ระหว่างทางแม้จะพบมอนสเตอร์อย่างไอซ์ไททันแต่พวกมันก็ไม่เข้ามาทำอันตรายพวกเขา ซีวิลบอกว่าเขาใช้ความสามารถของกึ่งเอ็นพีซีทำให้ทุกคนอยู่ในสถานะล่องหนชั่วคราวจนกว่าจะไปถึงสถานที่ที่หมายตาไว้

    เขาพาสมาชิกแคลนมัลดิโตทั้งสี่คนมาถึงที่ราบสูงแห่งหนึ่งที่ถูกธารน้ำแข็งแผ่ปกคลุมไปทั่ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวขุ่นของน้ำแข็งและความเวิ้งว้างว่างเปล่า ทว่า...ยอดเขาที่สูงที่สุดของที่ราบสูงแห่งนี้กลับเป็นภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น กลิ่นกรดกำมะถันฉุนๆลอยคลุ้งไปทั่วจนแสบจมูก

    “พี่ซีวิลหลอกพวกผมมาเชือดทิ้งจับโยนลงภูเขาไฟให้ถูกเผาทั้งเป็นใช่ปะ?”

    “ซาดิสใช่เล่นนะเนี่ย หรือว่าตอนอย่างว่ากับแฟนก็ใช้พวกน้ำตาเทียนด้วยนะ”

    กุห์ฟานแค่กะพูดแซวพูดหยอกแต่อากิรอสกลับพูดจาลามปามหนักข้อ

    “ให้มันน้อยๆหน่อยไอ้หัวเงิน เดี๋ยวข้าก็เชือดทิ้งจับหมกภูเขาไฟจริงๆซะหรอก”

    “แหะๆๆ ล้อเล่นคร้าบ”

    “แล้วเฮียจะให้พวกผมทำอะไรละ?”

    “พวกเอ็งนี่ใจร้อนจริงวุ้ย รออีกสักประเดี๋ยวเดี๋ยวก็ได้รู้เองแหละ” ซีวิลมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วปลดความสามารถล่องหนออก ความหนาวเข้าจู่โจมทั้งสี่คนทันทีอย่างไม่มีเวลาให้ตั้งตัว

    “หนาวเข้าไส้เลย ไม่เข้าใจเลยว่าชาวเอสกิโมเขาอยู่ในที่หนาวๆแบบนี้ได้ยังไงกัน” ทากะบ่นไปก็ถูมือแก้หนาวและพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือไปด้วย

    “เหรอ? แต่เราว่าหนาวแบบนี้ดีกว่าร้อนตับแลบนะ” อากิรอสยิ้มแป้นอย่างอารมณ์ดี มีหมอนี่คนเดียวที่ชอบอากาศหนาวๆ

    “ไม่ต้องห่วง อีกเดี๋ยวก็หายหนาวแล้ว แถมน่าจะร้อนเกินไปด้วยนะ”

    ทันทีที่ซีวิลพูดจบ พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนเบาๆและทวีความรุนแรงขึ้น ภูเขาไฟส่งเสียงกึกก้องราวกับช่วงเวลาวิกฤตก่อนที่จะระเบิด หินหลอมเหลวสีแดงร้อนๆพวยพุ่งขึ้นมาจากปากปล่องและหลอมรวมกันเป็นก้อนใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่ามหัศจรรย์ ลูกบอลหินหลอมเหลวค่อยๆเปลี่ยนรูปร่าง มีส่วนที่คล้ายปีกและพังพืดแบบเดียวกับปีกของค้างคาวงออกมา ส่วนล่างบิดเกลียวกลายเป็นหางขนาดใหญ่และมีกรงเล็บขนาดใหญ่มีไฟลุกท่วมทะลวงออกมา ส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตที่แค่เห็นก็บอกได้ทันทีว่าคือมังกรยืดออกมาพร้อมกับเสียงคำราม ในเวลาไม่นานมังกรร่างสมบูรณ์ก็กระพือปีกอย่างองอาจอยู่บนท้องฟ้าสมกับเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด

    “แม็กม่าดราก้อน มอนสเตอร์แรงค์ซี-สี่ดาว เป็นระดับของมินิบอสและแรร์มอนสเตอร์ในอนุทวีป เจ้าตัวนี้หนึ่งวันจะเกิดขึ้นมาเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น ทำยังไงก็ได้ให้มันตายก่อนที่พวกเอ็งจะตายกันหมด ไม่มีกำหนดเวลา ไม่กำหนดวิธีการและไอเท็มที่ใช้ได้ระหว่างต่อสู้”

    ซีวิลบอกรายละเอียดของศัตรูแล้วก็ทำให้ตัวเองเข้าโหมดล่องหนหายตัวไป

    “ขอดูกึ๋นของพวกเอ็งหน่อยเหอะวะ”




    เหมือนแม็กม่าดราก้อนจะรู้ว่ามีผู้เล่นต้องการลองดีด้วย มันจึงสำแดงอานุภาพด้วยการพ่นลูกบอลหินหลอมเหลวออกจากปากทำลายธารน้ำแข็งที่ปกคลุมภูเขาอยู่ให้ระเบิดหายไปซีกหนึ่งอย่างง่ายดาย มันแยกเขี้ยวคำรามและบินตรงดิ่งมาทางแคลนมัลดิโตที่เชิงเขาด้านล่างอย่างรวดเร็ว

    ทั้งสี่คนแสยะยิ้มต้อนรับความหฤหรรษ์และการต่อสู้ที่น่าอภิรมย์!
    taleoftrue และ soulmaster ถูกใจสิ่งนี้
  20. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    เอ่อม 4ดาว จะไหวไหมน้อ
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ของอย่างนี้มันต้องลองครับ
  22. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 38 – Amend




    ภายในโรงเรือนขนาดใหญ่มีเสียง กึง! กึง! กึง! กึง! กึง! ดังออกมาไม่ขาดสาย เป็นเสียงค้อนเหล็กกระหน่ำทุบก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงร้อน ทุกครั้งที่ก้อนเหล็กถูกทุบจะมีสะเก็ดไฟกระดอนออกมาดูคล้ายดอกไม้ไฟระเบิดบนฟากฟ้าในยามค่ำคืนของงานเทศกาล ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น ทำหน้าที่คอยกลับก้อนเหล็กให้ถูกทุบทั่วกันสม่ำเสมอโดยมีแรงงานทาสทั้งสี่คนจากแคลนมัลดิโตหมุนเวียนเหวี่ยงค้อนทุบทีละคู่

    ผลการต่อสู้กับ ‘แม็กม่าดราก้อน’ มอนสเตอร์แรงค์ซี-สี่ดาว จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของแคลนมัลดิโตในเวลาเพียงแค่หกนาที ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นลูกมือช่วยงานกึ่งเอ็นพีซีตามที่ได้ลั่นวาจาไว้

    ซีวิลกำลังตีดาบและอาวุธต่างๆตามรายการสั่งจากผู้เล่น สำหรับเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์แล้วอาวุธและเครื่องป้องกันที่มีขายในร้านเป็นเพียงแรงค์เอฟซึ่งเป็นระดับต่ำสุด ผู้เล่นที่ต้องการครอบครองอาวุธแรงค์สูงต้องทำภารกิจและสู้กับมอนสเตอร์เพื่อรวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็น จากนั้นตามหาเอ็นพีซีเพื่อรับภารกิจแลกกับการที่เขายอมสร้างอาวุธหรืออุปกรณ์อื่นๆให้ หน้าที่ของซีวิลในฐานะกึ่งเอ็นพีซีคือการทำอาวุธ เครื่องป้องกันและอุปกรณ์ต่างๆตามความต้องการของผู้เล่นผ่านเอ็นพีซีและกึ่งเอ็นพีซีคนอื่นๆอีกทอดหนึ่ง ดาบใหญ่เกรทซอร์ดของหัวหน้าแคลนโฮลี่คิงด้อมและดาบแรงค์ซีของดับเบิลฮาร์ทก็ถูกตีขึ้นด้วยมือของเขา

    งานของวันนี้จบลงในตอนค่ำเมื่อพระจันทร์เปล่งแสงสีนวลอยู่ที่ขอบฟ้า ซีวิลเดินไปหยิบเบียร์เย็นๆจากลังแช่น้ำแข็งมาดื่มอย่างสบายใจในขณะที่สี่หนุ่มหมดแรงนอนฟุบกับพื้นบ้านอย่างหมดสภาพ พวกเขารู้สึกว่าวันนี้เหนื่อยยิ่งกว่าต่อสู้กับแม็กม่าดราก้อนเสียอีก

    “แค่นี้ก็หมดแรงแล้ว บ่มีไก๊ไม่มีน้ำยานี่หว่า”

    เอเซพูดแก้ตัว “ก็แค่ยังไม่ชินน่า”

    “นี่แหละคือสิ่งที่บอกว่าพวกเอ็งอ่อนหัดแค่ไหน” ซีวิลเดินไปที่โซฟา วางขวดเบียร์สีน้ำเงินลงข้างตัวแล้วล้วงซิการ์ขึ้นมาสูบพ่นควันเป็นรูปวงกลมอย่างชำนาญ

    “อย่างที่บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าก่อนจะเข้าอนุทวีป ผู้เล่นจะต้องไปรับภารกิจจากเอ็นพีซีในเมืองไวท์พิลล่าเสียก่อน สาเหตุหนึ่งเพื่อทดสอบความสามารถด้านการต่อสู้ อีกสาเหตุหนึ่งก็เพื่อให้ไอเท็มที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด พวกเอ็งน่าจะเคยสู้กับกระต่ายก่อนเข้าเขตอนุทวีปมาแล้วสินะ รู้รึเปล่าว่าขนกระต่ายพวกนั้นเอาไปใช้ทำเสื้อโค้ทกันหนาวซึ่งดีกว่าที่พวกเอ็งมีอยู่ เขี้ยวและเล็บหมาป่าเอาไปอัพเกรดพลังโจมตีของอาวุธได้ ปลาในแม่น้ำเอาไปสกัดน้ำมันเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มบำรุงกำลังและคลายหนาว พืชบางตัวเอาไปทำยาสำหรับใช้ลบกลิ่นและพรางตัว”

    เงียบสนิท ไม่มีใครพูดตอบ

    “ข้ายอมรับว่าพวกเอ็งน่ะเจ๋งแต่ละคนฝีมือดีเข้าขั้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นแค่พวกครึ่งกลางๆเอาดีไม่ได้สักทาง”

    “เฮียหมายความว่าไง?” เอเซถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวบ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจ

    “งั้นข้าถามหน่อยไอ้หัวน้ำตาล เอ็งเล่นอาชีพนักดาบเวทแล้วทำไมถึงเลือกพัฒนาแต่ทักษะเวทมนตร์แต่ทักษะดาบเป็นศูนย์? แถมเวทที่เด่นโด่เด่ก็ดันเป็นเวทสายฟ้าอย่างเดียว ชาติก่อนเป็นปลาไหลไฟฟ้ารึไงถึงได้ชอบสายฟ้าขนาดนี้? แล้วถ้าเอ็งเจอกับศัตรูที่ใช้เวทมนตร์ทำอะไรไม่ได้เอ็งจะทำยังไง? เท่าที่ข้าเห็นเอ็งมีแต่เวทสายโจมตีล้วนๆ เวทป้องกันมีบทเดียวแถมไม่มีเวทสนับสนุนเพื่อนฝูงสักอย่างเลย”

    “เอ็งก็เหมือนกันไอ้หัวดำ ทักษะดีๆประจำอาชีพนักสำรวจมีตั้งเยอะแยะดันไม่ยอมพัฒนา แต่ทักษะดาบคาตะนะมีเยอะแยะแต่ก็ไม่สุดสายสักทาง ท่าโจมตีแรกสุดเพิ่งจะร้อยห้าสิบ ทักษะคริติคอลห้อยอยู่ที่สี่ร้อย เวพอนเบรคสองร้อยนิดๆ ตอนนี้ดันมาเปิดทักษะชาร์ปเนสเพิ่มอีก ตกลงเอ็งจะเก่งแบบเป็ดๆใช่ไหม? ทักษะต้านทานอากาศหนาวก็ไม่ยอมเรียนรู้ ตกลงเอ็งเป็นนักสำรวจจริงๆเหรอวะ?”

    “ไอ้หัวแดง เอ็งเป็นแกนหลักที่จะสนับสนุนปาร์ตี้ด้วยฟิล์ดเอฟเฟกต์ แต่ขอบเขตและเวลาทำไมมันสั้นจุ๊ดจู๋นัก สร้างอาณาเขตกว้างๆให้ผลหลากหลายพร้อมกันไม่ได้รึไง? คนสุดท้ายไอ้หัวเงิน เป็นนักเวทซะเปล่าแต่ดันไม่มีเวทใหญ่ไว้ใช้งาน อาศัยแต่ศิลาเวทเป็นตัวช่วยอย่างเดียวมันไปไม่ไหวหรอกนะ เกมนี้อุตส่าห์ใจดีให้ดัดแปลงทักษะสายเวทมนตร์ได้แท้ๆทำไมถึงไม่คิดทักษะเฉพาะตัวขึ้นมาบ้างละ?”

    แต่ละคนโดนพูดจี้จุดอ่อนอย่างจังได้แต่เงียบยอมรับความเป็นจริง

    “ดีสุดก็คาตานะกับมีดแรงค์ดีแต่ไม่เคยอัพเกรดความสามารถใส่เข้าไป ดาบเคลย์มอร์แรงค์อีกับไม้เท้าแรงค์เอฟกากๆ ชุดป้องกันแรงค์เอฟดีอัพเกรดพลังป้องกันแต่ไม่อัพพลังป้องกันเวท คริสตัลดีๆมีก็ใช้ไม่ถูกวิธี ถึงได้บอกไงว่าพวกเอ็งมันครึ่งกลางๆแถมยังกลวงโบ๋อีกต่างหาก แค่รู้ทริคที่คนอื่นไม่รู้ช่วยให้เล่นง่ายขึ้นบ้างแต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องพึ่งมากกว่าทริคจะทำยังไง? เพราะแบบนั้นไม่ใช่รึไงที่ทำให้แพ้แล้วต้องหนีหางจุกตูดมาที่นี่น่ะ?””

    “ชิ! เรื่องที่แพ้จนต้องหนีมาที่นี่ก็ใช่อยู่หรอก และที่มาที่นี่ก็เพื่อจะทำให้ตัวเองเก่งขึ้นด้วยยังไงละ!” เอเซทนไม่ได้ต้องพูดตอบโต้ไปบ้าง

    “แล้วเป็นไง? คิดว่าตอนนี้ตัวเองเก่งขึ้นบ้างรึเปล่าละ?”

    ทั้งสี่คนตอบเสียงอ่อยว่ายัง

    “รีบๆไปหาอะไรกิน อีกสามชั่วโมงทำงานต่อ”

    ปีศาจทั้งสี่กลายเป็นลูกแมวสี่ตัวเชื่องๆเดินเข้าครัวไปอย่างว่าง่าย

    เสียงค้อนทุบดังต่อเนื่องตลอดทั้งคืนไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งฟ้าสาง ชาวมัลดิโตทั้งสี่คนออกมาจากโรงเรือนในสภาพอิดโรยอ่อนล้ากลับเข้าบ้านหุงหาอาหารเช้ากินกันอย่างหิวโหยเพราะความเหนื่อย มีเวลาพักให้พวกเขาแค่สามชั่วโมงก่อนที่จะลุยทำงานรวดเดียวอีกเจ็ดหรือแปดชั่วโมงก่อนจะได้หยุดพักอีกครั้ง






    กิจวัตรเช่นนี้ดำเนินไปจนหมดเวลาเจ็ดวันในเกมส์ เมื่อพวกเขาล็อกอินกลับเข้ามาอีกครั้งในอีกยี่สิบสี่วันถัดไปซีวิลก็สร้างสรรค์อาวุธทุกชิ้นเสร็จสิ้น เขาต้องนำอาวุธพวกนี้ไปส่งมอบให้เอ็นพีซีคนอื่นๆจึงต้องไปที่เมืองไวท์พิลล่า แต่ก่อนจะไปเขาได้ทิ้งพิกัดแผนที่ไว้ให้แคลนมัลดิโตไปสำรวจและตั้งเงื่อนไขไว้ว่าให้จัดการมอนสเตอร์ในพื้นที่นั้นให้ได้โดยไม่ให้นำเสบียงไปจากที่บ้านพักหลังนี้ไปแม้แต่อย่างเดียว พูดง่ายๆคือให้ล่ามอนสเตอร์เป็นอาหารเองและเอาตัวรอดให้ได้ตลอดเจ็ดวันของการล็อกอิน

    เมื่อทั้งสี่คนพร้อมแล้วก็มุ่งหน้าไปยังพิกัดที่ได้รับ ใช้เวลาเดินทางหนึ่งวันครึ่งก็มาถึงที่ราบกว้างใหญ่ที่ถูกภูเขาโอบล้อมไว้ทุกด้าน หลังจากสร้างที่พักชั่วคราวขึ้นมาแล้วสี่หนุ่มจึงออกไปเดินสำรวจพื้นที่เพื่อตรวจสอบภูมิประเทศ ทำแผนที่และดูว่ามีมอนสเตอร์ชนิดไหนบ้างที่พวกเขาต้องจัดการบ้าง

    ครึ่งวันให้หลังพวกเขาสำรวจพื้นที่รอบๆได้เกือบหมดแล้ว ศัตรูที่ต้องกำจัดก็มี ‘กระต่ายน้ำแข็ง’ ‘วีเซิล’ ‘กวางมูส’ ‘จิ้งจอกขาว’ ‘สุนัขป่าภูเขาหิมะ’ และ ‘เสือดาวหิมะ’ ทั้งหกชนิดเป็นมอนสเตอร์แรงค์ซีไม่มีดาวทั้งหมด

    กระต่ายน้ำแข็งจัดการได้ไม่ยากเมื่อเทียบกับแมวน้ำเสือดาวที่ชายหาด แต่พวกมันมักอยู่รวมกันและช่วยกันเล่นงานศัตรูที่มารบกวนความสงบสุขของฝูง ต้องอาศัยเวทมนตร์กำแพงลมของเอเซทำให้พวกมันเข้ามาโจมตีพร้อมกันไม่ได้แล้วให้อากิรอสโจมตีด้วยเวท ‘ธันเดอร์สตอม’ จัดการทีเดียวหลายๆตัว ปล่อยให้กุห์ฟานและทากะทำหน้าที่คุ้มกันและเก็บกวาดพวกที่บาดเจ็บจากเวทสายฟ้า ถ้าเทียบกับครั้งแรกที่พวกเขาสู้กับกระต่ายชนิดนี้ก่อนเข้าอนุทวีป การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาเจ็บตัวน้อยมากและใช้เวลาในการปราบกระต่ายทั้งฝูงน้อยลง

    ตัวที่จัดการยากที่สุดในบรรดามอนสเตอร์หกชนิดไม่ใช่เสือดาวหิมะที่มีดาวหนึ่งดวงต่อท้ายชื่อแต่เป็น ‘กวางมูส’ ด้วยร่างกายใหญ่โตและสองเขาที่แข็งแกร่งทำให้การขวิดของมันทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ แถมบาดแผลที่ถูกขวิดยังค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งแผ่ออกและกัดกร่อนพลังชีวิตลงเรื่อยๆ มันฉลาดพอที่จะใช้เขาที่แตกแขนงเหมือนพุ่มหนามของมันปัดป้องดาบของเอเซและทากะ ขนหนาๆรอบตัวยังทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันเสทมนตร์สายฟ้าได้อีกด้วย พอพลังชีวิตของมันลดลงเหลือครึ่งหนึ่งมันจะเข้าสู่สถานะพยศซึ่งทำให้มันดุร้ายและโจมตีหนักหน่วงยิ่งขึ้น ลำบากเอเซต้องเพิ่มพลังโจมตีของตัวเองด้วยทักษะแมจิคเอ็กเชนจ์ แล้วประลองกำลังกับมัน และตอนนี้นักดาบเวทแห่งแคลนมัลดิโตก็เข้าใจความหมายที่ซีวิลพูดแล้วว่าถ้าเจอกับมอนสเตอร์ที่เวทมนตร์ใช้ไม่ได้ผลมันเป็นยังไง

    หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดที่ทั้งสี่คนได้จากพื้นที่แห่งนี้คือความมั่นใจที่กลับคืนมาเมื่อสามารถปราบมอนสเตอร์แรงค์ซีทั้งหกชนิดลงได้อย่างราบคาบ และเมื่อภารกิจอย่างไม่เป็นทางการสิ้นสุดลง พวกเขาก็กลับไปทำงานตามสัญญาทาสที่ได้รับปากเอาไว้ต่อ อย่างน้อยซีวิลยังใจดีพอที่จะไม่ให้พวกเขาไปตามหาวัตถุดิบมาคืนจริงๆ เพราะแค่ช่วยงานเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาพวกเขาม่อยกระรอกกันถ้วนหน้าแล้ว

    ช่วยงานตีดาบสร้างอาวุธทำชุดเกราะอีกหนึ่งสัปดาห์ ซีวิลก็มอบพิกัดให้พวกเขาก่อนเอาสินค้าไปส่งโดยมีเงื่อนไขให้ไปล่ามอนสเตอร์ในพื้นที่นั้นเป็นอาหารเหมือนเช่นเคย พิกัดที่สองมีภูมิประเทศไม่ต่างจากพิกัดแรกมากนักเป็นที่ราบและป่าภายใต้การโอบกอดของภูเขาสูง มีลำธารและบึงขนาดย่อมๆอยู่ที่ใจกลางพื้นที่ และมอนสเตอร์ที่พวกเขาต้องสู้ด้วยในรอบนี้ก็คือ ‘แกะดอล’ มอนสเตอร์แรงค์ซี-หนึ่งดาว และ ‘วัวมัสก์’ มอนสเตอร์แรงค์ซี-สองดาว โดยมี ‘หมีขาว’ และ ‘ไวท์แฟงก์’ หมาป่าตัวโตที่มีความสามารถพรางกายได้มาคอยป่วนเป็นระยะ ลำพังแค่สู้กับแกะดอลพวกเขาก็ปั่นป่วนวุ่นวายแทบเอาตัวไม่รอดแล้วเพราะมันเป็นช่วยพวกเดียวกันในฝูง แต่ผลตอบแทนจากความยากลำบากแทบเลือดตากระเด็นนั้นคุ้มค่ามาก เนื้อของมันนอกจากจะอร่อยแล้วยังช่วยฟื้นฟูพลังกายดีกว่าเนื้อกระต่ายอีกด้วย ขนของแกะดอลแค่เอามาคลุมตัวก็ช่วยป้องกันความหนาวได้ดีกว่าชุดกันหนาวสำเร็จรูปเสียอีก เขาของมันก็เป็นส่วนผสมทำยาได้อีกหลายอย่าง

    แต่คนที่ต้องลำบากและเหนื่อยที่สุดในครั้งนี้คือซารุวาตาริ ทากะ เพราะกุห์ฟานขอให้รุ่นพี่จอมขี้เกียจช่วยวิเคราะห์พืชและสมุนไพรที่พบในพื้นที่นี้กว่าห้าสิบชนิด แถมยังให้ดำน้ำลงไปเก็บแร่ที่ก้นบึงซึ่งน้ำเย็นจัดที่อุณหภูมิศูนย์องศาเซลเซียสด้วย ถ้าคนเอ่ยปากไม่ใช่กุห์ฟานแต่เป็นคนอื่นละก็รับรองได้ว่าหัวเด็ดตีนขาดทากะก็ไม่ยอมทำให้แน่นอน

    แคลนมัลดิโตทั้งสี่คนล็อกอินเข้าเกมมาหนึ่งครั้งต้องช่วยงานซีวิลจนครบเจ็ดวัน หลังจากนั้นจึงถูกส่งไปฝึกต่อสู้และเอาชีวิตรอดอีกเจ็ดวันสลับกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ พื้นที่ที่พวกเขาถูกส่งไปนั้นมอนสเตอร์มีความหลากหลายและแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกุห์ฟานเปิดดูแผนที่ประกอบถึงได้เข้าใจว่าอนุทวีปมีลักษณะพื้นที่เป็นรูปวงกลมล้อมรอบด้วยหุบเขาสูงอยู่รอบนอก พื้นที่ด้านในเป็นหุบเขาสลับกับที่ราบแบ่งได้เป็นสิบสามแอเรีย หากเดินทางวนตามเข็มนาฬิกาเข้าไปจะพบกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ส่วนภูเขารอบนอกนั้นเป็นรังของเผ่ามังกรโดยเฉพาะจึงถูกกุห์ฟานตั้งชื่อว่า ‘วงแหวนมังกร’ ไปโดยปริยาย

    รุ่นน้องคุยเรื่องนี้กับรุ่นพี่สามคนจึงได้คำตอบที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดว่า ซีวิลต้องการให้พวกเขาฝึกฝีมือไปทีละขั้นและพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้เหมาะสมกับมอนสเตอร์ที่มีการโจมตีและลูกเล่นที่แตกต่างหลากหลาย แต่ปัญหาใหญ่ของพวกเขาในตอนนี้อยู่ในแอเรียที่เจ็ด มอนสเตอร์ที่ทำให้ทั้งสี่คนปวดเศียรเวียนเกล้าจนปัญญาที่จะหาวิธีฆ่าพวกมันก็คือ ‘สไลม์’

    ปกติแล้ว...มอนสเตอร์เผ่าพันธุ์นี้จะต้องใช้เวทมนตร์เล่นงานเพียงอย่างเดียวเพราะไม่มีอาวุธใดทำอันตรายมันได้ แต่ทีมผู้สร้างเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ได้พัฒนาให้มันไม่ได้รับผลจากเวทมนตร์ใดๆ เวลาเจ็ดวันในแอเรียที่เก้าหมดลงโดยที่ไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขกำจัดมอนสเตอร์ทุกชนิดได้ พวกเขาจึงกลับมาช่วยกันขบคิดที่บ้านพักอย่างไร้ทางเลือกอื่น

    เมื่อได้ฟังปัญหาแล้วซีวิลจึงถามทากะ “ทักษะฟันไร้รูปร่างเรียนถึงระดับไหนแล้ว?”

    “ตอนนี้ก็สองร้อยพอดี”

    “สงสัยนายต้องอัพให้เต็มพันละมั้งถึงจะฟันสไลม์ขาดได้ในดาบเดียว ว่าแต่ระดับสองร้อยนี่ฟันตัวอะไรได้บ้างวะ” เอเซถามแล้วยัดสเตกเนื้อกระต่ายเข้าปากทั้งชิ้น

    “ตอนนี้น่าจะฟันมอนสเตอร์ที่มีร่างกายเป็นโคลนได้แล้วละนะ”

    กุห์ฟานตบบ่าปลอดใจรุ่นพี่ “ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่จะตัดเงาให้ขาดด้วยนะพี่ทากะ แถมทักษะนี้ถ้าจะอัพให้เต็มพันคงต้องใช้ค่าประสบการณ์หกหรือเจ็ดล้านแหงๆ”

    จู่ๆกึ่งเอ็นพีซีร่างใหญ่ที่ทั้งตัวมีแต่กล้ามเนื้อก็ถอนหายใจออกมา “เอ็งเปิดผังสกิลให้ดูหน่อยดิ๊”

    ทากะเปิดหน้าต่างทักษะตามที่ซีวิลบอกแล้วหมุนให้เขาดู

    “วิธีจัดการโดยไม่ต้องอัพทักษะฟันไร้รูปร่างเต็มพันมันก็มีอยู่ในผังสกิลนี่แหละ เอ็งไปดูให้ดีๆ”

    อากิรอสกำลังจะอ้าปากหัวเราะก็ถูกเจ้าของบ้านชี้นิ้วใส่ “เอ็งก็เหมือนกันไอ้หัวเงิน ถึงจะบอกว่าเวทมนตร์ทำอะไรสไลม์ไม่ได้แต่ถ้าเล่นงานตรงๆไม่ได้ผลก็ไปคิดวิธีเล่นงานทางอ้อมมา เอ็งก็อย่ามัวแต่กินไอ้หัวน้ำตาล นักดาบเวทนี่น่าจะเล่นงานมันได้ง่ายที่สุดแล้ว ไปพลิกแพลงทักษะที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ซะ”

    “เซอร์! เยสเซอร์!” อากิรอสตะเบ๊ะรับอย่างขึงขังแต่ดันแลบลิ้นออกมาด้วยความกวนประสาทเป็นสันดานเดิม

    “เปิดแผ่นป้ายคำใบ้เพิ่มไม่ได้เหรอเฮียซีวิล?”

    “บอกแค่นี้ก็ถือว่าช่วยเกินความจำเป็นแล้ว สัปดาห์นี้พวกเอ็งไม่ต้องช่วยงานก็ได้เอาเวลาไปไปหาวิธีจัดการสไลม์นั่นให้ได้ก็พอ”

    “งวดนี้งานน้อยอะดิ”

    “ดาบสี่ มีดอีกสอง หอกกับขวานอย่างละหนึ่ง โล่กลมเยอะหน่อยเจ็ดอัน ทำวันสองวันก็เสร็จ”

    กึ่งเอ็นพีซีช่างโลหะบอกแล้วหยิบซิการ์ขึ้นมาสูบพลางโบกมือไล่ให้พวกเขาไปได้แล้ว สี่หนุ่มมัลดิโตจึงบ่ายหน้ากลับหุบเขาแอเรียที่เจ็ดพลางคิดถึงสิ่งที่ซีวิลบอก ในขณะที่เอเซและอากิรอสตอนนี้ยังมืดแปดด้านอยู่ไม่รู้ว่าจะแก้โจทย์นี้ได้อย่างไร ทากะพอจะรู้รางๆแล้วว่าเขาต้องใช้ทักษะอะไรถึงจะเล่นงานสไลม์ได้






    ทักษะประจำดาบคาตะนะที่ทากะคิดว่าเหมาะที่สุดที่จะใช้ต่อสู้กับมอนสเตอร์เฉพาะอย่างสไลม์คือ ‘พินพอยต์แอทแทค’ ทักษะที่ช่วยให้มองเห็นจุดอ่อนที่ต้องโจมตีบนร่างกายศัตรู ถ้าศัตรูมีเกล็ดหนาหรือสวมชุดเกราะจะช่วยให้มองเห็นตำแหน่งช่องว่างที่สามารถจู่โจมได้ ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยใส่ใจกับทักษะนี้เท่าไรแม้แต่ในสมัยที่เป็นหนึ่งในสิบคาตะนะมาสเตอร์ในยุคเทสต์เบต้าเพราะทักษะนี้เน้นโจมตีด้วยการแทงเป็นหลัก

    นักสำรวจหัวหน้าแคลนมัลดิโตอาสาดวลเดี่ยวกับไอซ์ซิ่งสไลม์เพื่อทดสอบทักษะโดยขอให้เพื่อนร่วมแคลนอีกสามคนช่วยคุ้มกันจากมอนสเตอร์ตัวอื่น เขาเดินเข้าหาสไลม์ตัวกลมๆขนาดประมาณเอว กระชากดาบฟันใส่มันหนึ่งครั้งเพื่อกระตุ้นให้มันโจมตีกลับ ร่างกลมๆที่ประกอบขึ้นจากเมือกเหลวคล้ายเยลลี่เกิดแรงกระเพื่อมที่ผิวนอกและยิงก้อนเมือกใส่ทากะเป็นชุดๆละหลายก้อน ก้อนเมือกที่ยิงออกมาจากร่างกายของสไลม์สามารถฟันให้ขาดได้จึงถูกทากะฟันขาดทั้งหมดก่อนถึงตัวเขา เมื่อการโจมตีไม่ได้ผลหลายๆครั้ง ไอซ์ซิงสไลม์เปลี่ยนไปใช้การโจมตีรูปแบบที่สองคือพองตัวขึ้นและกลิ้งทับเป้าหมาย ดูผิวเผินเหมือนเป็นการโจมตีทื่อๆไม่มีลูกเล่นแต่ความเร็วบวกกับขนาดของสไลม์ทำให้การโจมตีตรงๆกลายเป็นการโจมที่ร้ายกาจที่สุด

    ตำแหน่งจุดอ่อนที่ทากะมองเห็นดันเป็นตำแหน่งกึ่งกลางร่างกายทรงกลมของสไลม์ ถ้าเกิดเขาแทงดาบสวนกลับไปแล้วพลาดคงถูกทับแบนเป็นกล้วยปิ้งแน่ๆ ครั้งนี้เขาจึงตัดสินใจหลบออกทางข้างก่อน ผิวดินที่สไลม์กลิ้งผ่านไปถูกบดเป็นรอยลึกอย่างเห็นได้ชัด ไอซ์ซิงสไลม์หมุนตัวเลี้ยวกลับราวกับมีระบบติดตามเป้าหมายเหมือนมิซไซล์ คราวนี้ตำแหน่งจุดอ่อนเขยิบออกมาทางขวาเล็กน้อยแต่เมื่อศัตรูเคลื่อนไหวด้วยการหมุนจึงทำให้เล็งโจมตียากมาก อดีตคาตะนะมาสเตอร์ยังไม่ผลีผลามลงมือได้แต่เคลื่อนที่หลบเพื่อดูว่าจุดอ่อนจะย้ายตำแหน่งอย่างไร

    อาจเป็นเพราะเขาใช้เวลาเก็บข้อมูลศัตรูนานเกินไป ในจังหวะที่เขาหลบพ้นการกลิ้งทับของไอซ์ซิงสไลม์ไปแล้ว จู่ๆร่างที่เป็นเมือกเหลวของมันก็ระเบิดออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผลของการระเบิดนั้นกลับทำให้ทุกอย่างรอบตัวถูกแช่แข็งด้วยไอเย็นเป็นวงกว้าง สองแขนของทากะที่ยกขึ้นกันใบหน้าตัวเองถูกน้ำแข็งที่เย็นจัดกัดจนเป็นแผลตั้งแต่ข้อมือถึงหัวไหล่

    “พี่ทากะท่าจะแย่แฮะ” กุห์ฟานหรี่ตามองพลางวิเคราะห์การต่อสู้ไปด้วย

    “กลัวว่ายังไม่ทันได้ลองสกิลมันจะตายเอาซะก่อนน่ะสิ” ถึงเอเซจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังไม่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือทากะ ในขณะที่อากิรอสยืนดูเงียบๆมาตั้งแต่ต้น

    ทากะหยิบฮีทโพชั่นหรือยาร้อนมาราดบนแขนทั้งสองข้างที่กลายเป็นน้ำแข็งและหยิบโพชั่นมาดื่มฟื้นฟูพลังชีวิตในช่วงเวลาที่สไลม์กำลังฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่เหมือนเดิม มันเปลี่ยนกลับไปใช้รูปแบบการโจมตีแรกสุดอีกครั้ง และครั้งนี้ทากะไม่รอช้ารีบหลบพลางฟันก้อนเมือกที่ถูกยิงออกมาและเข้าประชิดตัวของไอซ์ซิงสไลม์ได้ในที่สุด

    ดาบคาตะนะถูกกดลงต่ำและแทงเสียจากด้านล่างเข้าสู่ตำแหน่งจุดอ่อนของมัน กุห์ฟานที่สังเกตอย่างไม่วางตาเห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อสไลม์ถูกโจมตีตำแหน่งจุดอ่อน ผิวนอกของมันที่เป็นเหมือนเยลลี่เกิดแรงกระเพื่อมรุนแรง

    “พี่ทากะ! แทงมันอีกทีหน่อยผมจะเก็บข้อมูล”

    “มาแทงเองสิเฮ้ย!”

    การเข้าประชิดสไลม์เพื่อโจมตีเป็นดาบสองคม เมื่ออยู่ใกล้มันมากก็มีโอกาสถูกก้อนเมือกยิงใส่ได้ง่าย เมื่อโจมตีจุดอ่อนได้หนึ่งครั้งแล้วนักสำรวจผู้ใช้ดาบคาตะนะก็ได้แต่สาละวนหลบหลีก พอมีโอกาสเขาก็แทงดาบที่จุดอ่อนของมันอีกครั้งหนึ่ง

    โพละ!

    ร่างของไอซ์ซิงสไลม์ระเบิดกระจายออกและสลายไปเมื่อพลังชีวิตของมันกลายเป็นศูนย์ สิริรวมแล้วทากะต้องแทงจุดอ่อนของมันถึงยี่สิบครั้ง หัวหน้าแคลนมัลดิโตทิ้งตัวนอนแผ่หมดเรี่ยวแรง การต่อสู้เมื่อครู่ใช้เวลานานถึงสิบห้านาทีเลย

    “ยากกว่าที่คิดนะพี่ทากะ”

    “ฮื่อ! ระดับสกิลนี้เพิ่งจะร้อยเดียวเอง ไม่สิ! กลายเป็นร้อยหนึ่งแล้วละ”

    “ระดับที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มความเสียหาย มองเห็นจุดอ่อนได้มากขึ้นและเห็นใหญ่ขึ้นงั้นเหรอ? แบบนี้ถ้าสกิลนี้เต็มพันแล้วรวมกับทักษะอื่นๆละก็ถือว่าโกงเลยนะ” เอเซอ่านคำอธิบายจากหน้าต่างทักษะของทากะ

    “แล้วสหายทั้งสองคนคิดอะไรออกแล้วรึยังละ?”

    เอเซ แมคโดเวลและอากิรอส คีฟ ส่ายหน้าปฏิเสธ

    “งั้นไปสร้างแคมป์กันก่อนดีกว่าแล้วค่อยช่วยพี่เอเซกับพี่อากิคิดดีกว่า”

    กุห์ฟานพยุงทากะให้ลุกขึ้นแล้วทั้งสี่คนก็ลงมือทำที่พักแบบฉบับของมัลดิโตโดยเฉพาะด้วยการขุดดินเป็นหลุมกว้างและนำต้นไม้มาปักเป็นขอบหลุม นำไม้ส่วนหนึ่งวางพาดปิดปากหลุมแล้วกลบด้วยดินและหิมะ ตกแต่งอำพรางด้วยก้อนหินและใบไม้แบบเดียวกับหลุมเพลาะของทหาร

    กว่าจะเสร็จก็มืดค่ำแล้ว การรวมหัวปรึกษาจึงเกิดขึ้นรอบกองไฟและเนื้อย่าง

    “ไอซ์ซิงสไลม์เป็นมอนสเตอร์ฟอร์มเลสไทป์ ไม่มีธาตุ การโจมตีมีสามแบบคือยิงเมือกเข้าใส่ กระโดดหรือกลิ้งทับแล้วก็ระเบิดตัวเองแช่แข็งพื้นที่รอบๆประมาณสิบเมตร ต้องโจมตีจุดอ่อนของมันโดยตรงเท่านั้นถึงจะทำให้มันบาดเจ็บได้ เวทมนตร์ไม่มีผลกับมัน”

    กุห์ฟานสรุปข้อมูลของศัตรูให้ฟัง

    “เราติดใจตรงที่ซีวิลบอกว่าให้ใช้เวทมนตร์โจมตีทางอ้อมนั่นแหละ” อากิรอสพูดสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอด “มันก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นสร้างแท่งน้ำแข็งขึ้นมาโจมตีมันจากทุกทิศทาง แต่ถ้าโจมตีไม่ถูกจุดอ่อนของมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี แล้วนักเวทอย่างเราก็ไม่มีสกิลช่วยให้มองเห็นจุดอ่อนของศัตรูเหมือนสายต่อสู้อีกด้วย”

    “ไอ้เอ๋อ ตอนเทสต์เบต้าไม่เคยสู้กับสไลม์บ้างเหรอ?” เอเซเหล่คิ้วมองไปทางทากะ

    “สมัยเทสต์เบต้า สไลม์เป็นมอนสเตอร์อีเวนต์ที่นานๆจะเจอสักครั้ง เกิดมาแต่ละทีก็มีคนหลายพันรอรุมฆ่ายิ่งกว่านักเวทกับนักบวชในเกมแรคนาร็อครอฆ่ามูนไลท์อีก และตอนนั้นเวทมนตร์ยังใช้ได้ผลอยู่ด้วย”

    “หรือว่าต้องใช้เวทสายพิเศษอย่างเวทมนตร์มิติและกาลเวลา?”

    “โวะ! เวทสายมิติและกาลเวลาใช่ว่าจะได้มาได้ง่ายๆซะที่ไหนละ”

    “พวกพี่ต้องคิดบนพื้นฐานของทักษะที่มีอยู่ก่อนสิ อย่างพี่เอเซถนัดเวทสายลมสายฟ้าส่วนพี่อากิถนัดเวทไฟผสมน้ำแข็ง ลองคิดจากจุดแข็งของแต่ละคนก่อนดีกว่าไหม?”

    “นั่นสินะ”

    ทั้งเอเซและอากิรอสจมดิ่งในห้วงความคิด กุห์ฟานกับทากะก็เงียบลงพร้อมกัน มีเพียงเสียงสายลมที่พัดอย่างรุนแรงก่อนพายุหิมะจะตกในอีกไม่ช้า อากาศเย็นลงอีกระดับเมื่อพายุหอบเอามวลอากาศเย็นปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมด เสียงฟ้าร้องและเสียงลูกเห็บแหวกอากาศลงมาฉีกโค่นต้นไม้ไม่อาจรบกวนสมาธิของคู่หูนักเวทและนักดาบเวทได้เลย






    ค่ำคืนที่หนาวเหน็บและเงียบเชียบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เอเซ แมคโดเวล ลุกขึ้นด้วยดวงตาเปี่ยมประกายแห่งความตื่นเต้นที่จะได้ลองทักษะใหม่ของตัวเอง เช่นเดียวกับอากิรอส คีฟ ที่กระสันอยากจะสู้แล้ว ทั้งสี่คนออกจากหลุมที่พักออกตาหาไอซ์ซิงสไลม์ที่มีอยู่เพียงไม่กี่ตัวในแอเรียที่เจ็ดของอนุทวีป นักดาบเวทขอดาบแรงค์เอฟที่กุห์ฟานเตรียมไว้มาใช้งานแทน

    “พี่เอเซแน่ใจนะ? ดาบแรงค์เอฟแทบจะสร้างความเสียหายให้มอนสเตอร์แรงค์ซีไม่ได้เลยนะ”

    “ก็แค่ลองดูน่า”

    เอเซรับดาบมาเหวี่ยงกะน้ำหนักและระยะจนพอใจแล้วก็ขอให้ทั้งสามคนช่วยคุ้มกันให้ เขาประจุพลังเวทลงดาบและเปลี่ยนให้เป็นพลังโจมตีกระโดดสุดแรงเงื้อแขนฟาดดาบลงมาเต็มเหนี่ยว คมดาบผ่าเนื้อเยลลี่ลึกได้ประมาณฟุตเดียวก็ถูกดีดออกด้วยแรงสะท้อน รอยแผลที่เกิดจากการโจมตีไม่นานก็สมานกลับเป็นเนื้อเดียวในเวลาไม่กี่วินาที เอเซแสยะยิ้มไม่หวั่นเกรงกับมอนสเตอร์ที่มีความสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ เขาพุ่งเข้าไปโจมตีซ้ำอีกหลายสิบครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    ที่จริงแล้วกุห์ฟานก็นึกถึงวิธีนี้อยู่เหมือนกัน การฟื้นฟูตัวเองของสไลม์นั้นมีขีดจำกัดอยู่ ในสมัยเทสต์เบต้าที่ผู้เล่นหลายพันคนสามารถล้มสไลม์ได้ก็เพราะใช้ยุทธวิธีระดมโจมตีอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะฟื้นฟูตัวเองไม่ได้ แต่หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวแบบคราวนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะทำให้มันหมดพลังฟื้นฟูตัวเอง ดีไม่ดีจะกลายเป็นเอเซที่หมดแรงซะก่อน

    อากิรอสก็คิดแบบเดียวกับกุห์ฟาน “สุดท้ายก็กลายเป็นการแข่งความอึดงั้นรึ?”

    ทากะเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา “พวกนายสองคนประเมินมันสมองของเอเซต่ำไปแล้วละนะ”

    “สะใจจริงๆโว้ย ฮ่าๆๆ” นักดาบเวทหัวเราะร่าดีใจสุดขีด ทั้งตัวมีแต่เมือกเหลวๆของสไลม์เปรอะเต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าและเส้นผมสีน้ำตาล แถมพลังชีวิตที่เป็นพลังฟื้นฟูตัวเองของสไลม์ก็ลดลงเกือบสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

    “เป็นไปได้ยังไง?” แม้แต่เสนาธิการแห่งแคลนมัลดิโตยังอดสงสัยไม่ได้

    “ดูการโจมตีของไอ้หมีบ้าพลังตัวนั้นให้ดีสิ”

    กุห์ฟานเพ่งมองดาบเคลย์มอร์ด้วยทักษะ ‘มองไกล’ ของอาชีพนักล่าสมบัติถึงได้รู้คำตอบ รอบๆใบดาบมีสายลมหมุนวนทั้งแนวตั้งเหมือนพายุ ทุกการโจมตีนอกจากจะฟันลึกเข้าไปในร่างกายของไอซ์ซิงสไลม์แล้วสายลมยังคว้านเนื้อที่เหลวเหมือนเยลลี่ให้กระจุย จังหวะที่เอเซแทงดาบโจมตียิ่งเห็นได้ชัดว่าร่างกายที่เป็นก้อนเมือกถูกคว้านออกมามากแค่ไหน

    “หลักการเดียวกับสว่านหรือไม่ก็เลื่อยไฟฟ้า” ทากะสรุปให้อากิรอสฟังเพราะอาชีพนักเวทไม่มีสกิลช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเหมือนนักสำรวจและนักล่าสมบัติ

    “เป็นวิธีที่สมกับหมอนั่นนะ” อากิรอสประสานสองมือไว้ที่ท้ายทอยแล้วผิวปาก

    “วิธีนี้เป็นดาบสองคม อยู่ใกล้แบบนั้นทำให้หลบการโจมตีแทบไม่ได้เลยพลังชีวิตพี่เอเซก็ลดฮวบๆเหมือนกันนะ”

    “ถึงได้บอกว่าสมกับเป็นเอเซไง เดิมพันแบบหมดหน้าตักเหมือนตอนเล่นไพ่ยังไงยังงั้น”

    กุห์ฟานหัวเราะหึหึในคอเป็นนัยเห็นด้วยกับคำพูดของอากิรอส

    เอเซใช้เวลาต่อสู้ไม่ถึงสิบห้านาทีดี ถึงจะใช้เวลาพอๆกับที่ทากะใช้ต่อสู้เมื่อวานก็จริงแต่ผลลัพธ์ของการต่อสู้กลับเป็นคนละเรื่อง หากการต่อสู้ยืดเยื้อกว่านี้อีกนิดเดียวเกรงว่าฝ่ายที่ตายก็คือเอเซเองเพราะทั้งพลังชีวิตและเอ็มพีต่างใกล้จะถึงจุดวิกฤติ พลังกายก็พร่องลงไปมากและดาบเคลย์มอร์แรงค์เอฟที่เสียหายถึงเจ็ดในสิบส่วน

    แต่อย่างน้อย...ทักษะที่เอเซคิดค้นขึ้นเองก็ถูกบันทึกไว้เป็น ‘ยูนีคสกิล’ เรียบร้อยแล้ว เขาตั้งชื่อให้ทักษะนี้อย่างง่ายๆว่า ‘วินดี้ซอร์ด’ ไม่ยอมทำตามคำแนะนำของกุห์ฟานที่ให้ตั้งชื่อให้อย่างกับชื่อวิชากำลังภายในว่า ‘เพลงดาบเมฆาวายุแปร’

    ทักษะที่ผู้เล่นคิดค้นหรือดัดแปลงหรือยูนีคสกิลจะเริ่มต้นที่แรงค์เอฟและค่อยๆเลื่อนแรงค์ขึ้นตามความชำนาญ เมื่อค่าความชำนาญของยูนีคสกิลเต็มหนึ่งพันจะเทียบเท่ากับทักษะแรงค์เอส ในขณะที่ทักษะประจำอาชีพจะค่อยๆเพิ่มประสิทธิภาพตามความชำนาญและเมื่อความชำนาญเต็มหนึ่งพันจะถูกปรับระดับขึ้นอีกสองแรงค์ด้วย

    “เหนื่อยฉิบหายเลย แต่ดีนะที่เอาดาบกากๆไปลองก่อนถ้าดาบที่เพิ่งได้มาพังทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียวนี่คงขำไม่ออกแหงๆ” เอเซนั่งบนขอนไม้และเปิดโพชั่นดื่มรวดเดียวสองขวด

    “แล้วทำไมพี่เอเซไม่สร้างลมหมุนไว้รอบตัวเป็นเกราะสายลมเหมือนเกราะเงาของไวโอเล็ตแซฟไฟร์ละ?”

    “เออว่ะ! ไว้คราวหน้าจะลองดูละกัน”

    จู่ๆทากะก็ตบบ่าเอเซ “ถ้าสหายสำเร็จวิชาเกราะสายลมแล้วละก็ ขอเราลองสกิลฟอร์มเลสคัทหน่อยนะ”

    “แหมๆ ตั้งแต่ตอนไหนกันนะที่ทากะซังกลายเป็นคนกระตือรือร้นแบบนี้ทั้งที่ปกติออกจะขี้เกียจแท้ๆ สงสัยต้องขอบคุณรองหัวหน้าแคลนสาวสวยคนนั้นแล้วสิ”

    “สหายพูดเรื่องอะไรกัน? เราไม่เห็นเข้าใจเลย”

    คนถูกแขวะยิ้มและออกแรงบีบไหล่คนพูดแขวะ เอเซไม่ยอมเจ็บตัวฟรีแทงดาบข้ามหลังคอตัวเองใส่ทากะ แต่คนที่ไวเป็นกรดอย่างทากะย่อมหลบได้สบายๆและตั้งท่าจะดึงดาบออกจากฝักไม้ เอเซต่อยหมัดใส่ด้ามดาบส่งให้มันกลับลงไปอยู่ในฝักอย่างรู้จังหวะว่าทากะจะดึงดาบออกมาตอนไหน ทั้งสองตั้งท่ามองตากันเหมือนจะสู้กันจริงๆ

    “เชิญพวกนายสองคนกัดกันตามสบายเลยนะ” อากิรอสปลดผ้าคลุมออกฝากไว้กับกุห์ฟาน เป็นการแสดงความตั้งใจในแบบฉบับของเขาว่ากำลังจะเอาจริงเต็มที่แล้ว

    “โว้ๆ อากิรอสโหมดเอาจริงเว้ย มาพนันกันดีกว่าไอ้เอ๋อว่ามันจะยืนไหวเกินสิบนาทีรึเปล่า?”

    “สหายประเมินค่าสูงเกินไปรึเปล่า? ร้อยนึงเราว่าไม่เกินเจ็ดนาที”

    “จัดไป”

    “โวะ! ไอ้พวกผีพนัน!”

    “อย่างพี่อากิที่เข้าบ่อนทีไรก็หมดตัวยังมีหน้าไปว่าคนอื่นอีกเหรอ?”

    “โวะ! ไอ้น้องเวร! แทนที่จะช่วยดันเหยียบซ้ำซะอีก”

    อากิรอส คีฟ เดินไปหาศัตรูโดยมีเสียงหัวเราะของเอเซเป็นเพลงประกอบ ไอซ์ซิงสไลม์ตัวหนึ่งกลิ้งไปกลิ้งมาตามประสาของมันจนเมื่อถูกหอกน้ำแข็งเล่มหนึ่งปักฉึกเข้ากลางตัว มันตอบโต้ด้วยการยิงเมือกคืนให้คนที่โจมตีใส่มัน นักเวทผมเทาสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาป้องกันตัวได้ทัน ไอซ์ซิงสไลม์พองตัวขึ้นแล้วกระโดดทับกำแพงน้ำแข็งแตกกระจุยไม่เหลือชิ้นดี

    แต่ด้านหลังกำแพงน้ำแข็งนั้นไม่มีแม้แต่เงาของอากิรอส คีฟ เขาอ้อมไปอยู่อีกฝั่งและนับเวลาที่หอกน้ำแข็งที่ปักอยู่บนตัวศัตรูจะถูกดูดกลืนหายไป “สิบสี่ สิบห้า สิบหก...ไม่ถึงยี่สิบวิฯแฮะ”

    ไอซ์ซิงสไลม์กระโดดเข้าใส่เหมือนติดสปริง แต่อากิรอสก็วิ่งหนีออกห่างได้อย่างรวดเร็ว

    “หนึ่งนาทีละ หึหึหึ” เอเซเองก็จับเวลาการต่อสู้ของเขาอยู่เหมือนกัน

    เมื่อสร้างระยะห่างขึ้นมาได้แล้ว อากิรอสก็เริ่มต้นแผนการที่เขาจำลองสถานการณ์ในสมองเป็นร้อยๆรอบ ก่อนอื่นสร้างกำแพงน้ำแข็งสี่ด้านสามชั้นถูกสร้างขึ้นมาขังเป้าหมายไว้ และโจมตีด้วยหอกน้ำแข็งขนาดใหญ่แปดแท่งจากด้านบน

    ในขณะที่ไอซ์ซิงสไลม์พยายามดิ้นรนแหกด่านกำแพงน้ำแข็งออกมาให้ได้ อากิรอส คีฟ ก็เริ่มต้นร่ายมนต์บทหนึ่ง เอเซแค่ฟังคำขึ้นต้นก็รู้ว่าเป็นมนต์ในหมู่เวทย์สายฟ้าและเวทย์ที่อากิรอสจะใช้ก็แรงเอาเรื่องด้วย

    “โรลลิ่งธันเดอร์!”

    สายฟ้าฟาดกระหน่ำลงมาแปดครั้งพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้า เสียงฟ้าร้องคำรามดังตามหลังมา ร่างของไอซ์ซิงสไลม์ถูกไฟฟ้าช็อตซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเปล่งแสงได้และระเบิดกระจายไปโดยทิ้งไว้เพียงหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิด

    จบการต่อสู้ในเวลาสองนาทีสี่สิบสี่วินาที

    “เฮ้อ! เหนื่อยจังเลย”

    นักเวทผมเทาแกล้งถอนหายใจนวดแขนนวดไหล่ตัวเองและเหล่มองเพื่อนอีกสองคนแทนคำพูดที่ว่า ‘เป็นยังไงละ?’

    “อย่างนี้นี่เอง...ความหมายของโจมตีทางอ้อม ใช้หอกน้ำแข็งแทนสายล่อฟ้าทำให้เวทมนตร์มีผลกับเนื้อในของสไลม์โดยตรงสินะ”

    “คิดทฤษฎีไว้อย่างนั้นแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ผลเกินคาดแบบนี้” อากิรอสรับผ้าคลุมกลับมาสวมเหมือนเดิม

    เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งสี่คนหันไปก็เจอใบหน้าที่คุ้นเคย

    “เฮียมาทำไรเนี่ย? หรือว่าเปลี่ยนใจมาตามกลับไปช่วยงาน”

    “แค่ออกมาเดินเล่นเฉยๆเลยแวะมาทักทาย”

    “แหลสดแหงๆ”

    อากิรอสกระซิบกระซาบกับทากะแต่ก็ซีวิลก็ยังได้ยิน ลูกบอลหิมะที่ปั้นเตรียมไว้จึงถูกขว้างใส่หน้านักเวทผมเทาจนหงายหลังล้มตึงเพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้หมอนี่ปากหมาแค่ไหน

    “แล้วตกลงเฮียมาทำอะไรที่นี่? ห้ามตอบว่าเดินเล่น”

    “วุ้ย! ไม่มีอารมณ์ขำกันซะเลย ข้าเป็นห่วงเลยแวะมาดูว่าพวกเอ็งโดนสไลม์มันกินลงท้องไปแล้วรึยัง แต่ดูท่าจะแก้ปัญหากันได้แล้วสินะ”

    “ก็นะ...ยังไม่น่าพอใจสักเท่าไรหรอก” เอเซตอบตามความรู้สึกจริงๆ






    “อยากให้ผลลัพธ์มันน่าพอใจไหมละ?”

    ทั้งสี่หนุ่มมอง ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น กึ่งเอ็นพีซีที่กำลังแสยะยิ้มและมองพวกเขาด้วยสายตาที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
    taleoftrue และ soulmaster ถูกใจสิ่งนี้
  23. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    น่าสงสัยจริงๆนั่นละ หรือลุงจะเป็น deus ex machina ส่งนีโอแอนเดอสันไปสู้กะสมิธ บลาๆ
  24. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    นี่ก็อยู่ในโลกเสมือนอยู่แล้ว จะให้เสียบเหล็กเข้าหลังหัว Inception ลงไปอีกระดับเหรอครับ ?
    (ฮา)
  25. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 39 – Time to go back






    เวลากลางคืนเป็นเวลาที่อันตรายที่สุดในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ มอนสเตอร์แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าตอนกลางวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนบางจำพวกที่รักความท้าทายออกผจญภัยไปในความมืดอย่างไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกเขาแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจจากการต่อสู้ดุเดือด รวบรวมแรร์ไอเท็มที่หาได้จากมอนสเตอร์ในเวลากลางคืนเท่านั้น บ้างก็นำไปขาย บ้างก็นำไปใช้แปรรูปเพื่อใช้งานเอง แต่ก็มีคนอีกจำพวกที่มีเหตุผลแตกต่างออกไป

    นั่นคือจำใจต้องออกมาเดินในป่าเขาท่ามกลางดงมอนสเตอร์ดุร้าย พูดอีกนัยก็คือถูกบังคับ และนั่นคือเหตุผลของสี่หนุ่มมัลดิโตที่ต้องออกมาขุดหาแร่เหล็กตอนตีหนึ่งนิดๆกลางกลางหนาวสุดขั้ว

    เสียงอีเต้อเจาะกระแทกหน้าผาดังก้องไปทั่วหุบเขาด้วยพละกำลังของเอเซ แมคโดเวล ก้อนหินที่กะเทาะออกมาถูกกุห์ฟาน รีส ริยาส และอากิรอส คีฟ ขนย้ายไปกองรวมกันเป็นภูเขาขนาดย่อมๆอีกลูกหนึ่งรอให้ซารุ วาตาริทากะ ใช้ทักษะ “ตรวจสอบคุณสมบัติ” คัดแยกเพื่อนำไปถลุงแยกแร่เหล็กอีกต่อหนึ่ง

    ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น ยอมรับความสามารถของทั้งสี่คนและรับปากสร้างอาวุธให้แต่มีข้อแม้ว่าวัตถุดิบทั้งหมดต้องหามาเอง พวกเขาจึงมาขุดหาแร่เหล็กที่นี่ตามคำแนะนำของช่างใหญ่ประจำอนุทวีป แน่นอนว่าต้องมีมอนสเตอร์เข้ามาโจมตีพวกเขา “อัลปากา” หนึ่งในมอนสเตอร์เจ้าถิ่นแวะเวียนมาโจมตีพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง คงเพราะมันโมโหที่ถูกรบกวนการนอนแถมมากันทีละไม่ต่ำกว่าสิบตัว นอกจากนั้นก็มี “สโตนลิซาร์ด” มาขโมยกินก้อนหินที่ขุดหามาได้อย่างยากลำบากและ “นกฮูกหิมะ” ที่บินโฉบไปโฉบมาใช้คลื่นเสียงจู่โจมก่อกวนจากบนฟ้าเป็นระยะ

    สองชั่วโมงแรกของการขุดหาแร่เรียกได้ว่าทุกอย่างราบรื่น แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกมอนสเตอร์แวะเวียนมาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าทุกๆสิบนาที สู้กับอัลปากาหมดฝูงหนึ่งยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอก็ถูกนกฮูกหิมะมาเล่นงานซ้ำสอง จนกุห์ฟานเริ่มทนไม่ไหววางกับดักไว้เล่นงานรอบๆพื้นที่ขุดแร่ พวกเขาถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อได้

    แต่การที่มีมอนสเตอร์เข้ามาโจมตีถึงที่แบบนี้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เนื้อของอัลปากาทำเป็นอาหารกินชดเชยพลังกายที่เสียไปจากสภาพอากาศ ในขณะที่เลือดของนกฮูกเมื่อดื่มแล้วจะช่วยให้ทนความหนาวเย็นได้ดีขึ้น

    เมื่อได้แร่เหล็กในปริมาณที่ต้องการแล้ว ถัดไปพวกเขาต้องไปขุดหาถ่านหินที่ถ้ำใต้ดินที่มี “ค้างคาวน้ำแข็ง” หลายฝูงรอสูบเลือดอย่างหิวกระหาย ในถ้ำยังมี “งูเกล็ดหิมะ” ที่พรางตัวกลมกลืนกับแท่งน้ำแข็งที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้ำดักเล่นงานเป็นด่านสอง เข้าไปลึกหน่อยก็เจอ “แบล็คสปอร์” เห็ดยักษ์ที่ไล่กระโดดทับเหยื่อให้แหลกเละเพื่อดูดกลืนเลือดเนื้อให้ตัวเองเจริญเติบโต

    สี่หนุ่มมัลดิโตใช้เวลาสองวันเต็มๆขุดถ่านหินจนพอใจแล้วกลับไปแอเรียที่สามเพื่อค้นหาสายแร่ทองคำใต้พื้นหิมะหนาหลายเมตร หลังจากได้แร่มาแล้วต้องไปร่อนแร่ที่แม่น้ำในแอเรียที่หก ระหว่างร่อนแยกแร่ทองคำพวกเขาเลยถือโอกาสล่า “ฉลามน้ำจืด” ไปในตัว

    กว่าจะได้ไอเท็มครบตามที่ซีวิลต้องการก็กินเวลาถึงห้าสัปดาห์

    “พวกเอ็งต้องการอะไรมั่ง?”

    กุห์ฟานยื่นกระดาษที่จดรายการและรายละเอียดไอเท็มส่งให้เจ้าของบ้านที่กำลังสูบซิการ์อย่างอารมณ์ดี

    “ดาบเคลย์มอร์สองเล่มพร้อมปลอกเหล็กแบบแข็งเป็นพิเศษ ดาบสั้นอีกสามเล่ม มีดอีกเล่ม เสื้อเกราะเชนเมลกับเกราะมือหนึ่งคู่...ไอ้หัวน้ำตาลนี่ขอเยอะแยะเหมือนจะเอาไปขายต่อ ของไอ้หัวดำมีดาบคาตานะกับมีดโบวี่ยาวแปดนิ้ว มีดแล่เนื้อกับเครื่องครัว...ไม่เลวๆเลือกขอได้ฉลาดมาก ต่อไปมีดคู่สองคู่ของไอ้หัวแดงเอาตามรูป เสื้อเกราะครึ่งตัวของไอ้หัวเงิน ที่เหลือเป็นไอเท็มใช้งานทั่วไป”

    ซีวิลอัดควันเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วพ่นออกมาเป็นรูปวงกลมอย่างสวยงาม

    “ก่อนอื่นเลยดาบคาตะนะข้าสร้างให้ไม่ได้เพราะดาบชนิดนี้ต้องสร้างจากเกาะนิฮงเท่านั้น แต่อย่าเพิ่งเสียใจไปเพราะต่อให้สร้างไม่ได้ข้าก็ยังอัพเกรดให้ได้ เพราะฉะนั้นข้าจะอัพเกรดดาบเล่มเก่าของเอ็งให้แทน ส่วนอย่างอื่นที่ขอมาแค่ใช้เวลาเท่านั้น แต่ที่ข้าสงสัยเป็นอย่างมากทำไมเอ็งกับเอ็งไม่เอาชุดป้องกัน ส่วนเอ็งไม่เอาอาวุธ?”

    เขาชี้หน้าทากะ กุห์ฟานและอากิรอสตามลำดับ

    “เอาตามจริงเลยนะเฮียซีวิล ใส่เกราะเหล็กแล้วมันหนักทำให้เคลื่อนไหวช้าลง ผมกับพี่ทากะเป็นสายเน้นความเร็วเลยไม่อยากใส่อะไรถ่วงตัวเอง”

    “แม้ว่าจะเป็นเกราะที่เบามากๆแล้วงั้นเหรอ?”

    “เอาไว้เฮียตีเกราะที่น้ำหนักเป็นศูนย์ได้เมื่อไรค่อยว่ากันใหม่ละกัน” ทากะตอบไปตามตรง

    “อุวะ! ของแบบนั้นมันก็เป็นเครื่องป้องกันแรงค์เอสแล้วสิวะ หัวสูงไปป่าว”

    “มิธทริลในเกมนี้เป็นของแรงค์เอสเลยเหรอ?”

    “บอกไม่ได้ว่ะ ถึงเวลาก็รู้เอง” ซีวิลตอบปัดไปซึ่งทากะก็ไม่ได้ติดใจถามต่อ “แล้วเอ็งละไม่อยากได้อาวุธใหม่หรือคิดว่าข้าทำพวกไม้เท้าของสายนักเวทไม่ได้กันแน่?”

    “ก็เฮียเป็นช่างเหล็กไม่ใช่เหรอ? ผมคงไม่ให้เฮียมานั่งประดิดประดอยแกะสลักไม้เท้าให้ผมหรอก”

    “หึหึหึ ที่พูดมาก็ถูกอยู่”

    อากิรอส คีฟ หรี่ตามองกึ่งเอ็นพีซีร่างใหญ่เหมือนจะคาดคั้นคำที่เขาไม่ยอมพูดออกมา

    “เอาไว้ข้าทำของในรายการนี้เสร็จแล้วข้าจะสมนาคุณให้เอ็งเป็นพิเศษเลยไอ้หัวเงิน”

    “วางแผนอะไรไว้อีกละเนี่ย?” กุห์ฟานก็มองด้วยสายตาสงสัยเช่นกัน

    “ไปหาข้าวหาปลากินไป อีกสองชั่วโมงจะเริ่มงาน”

    ซีวิล ไฮด์ โฟร์ทเฮฟเว่น ลุกขึ้นเดินออกจากไปพร้อมความเจ้าเล่ห์ในแววตาและเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในคอ ทิ้งปริศนาไว้ให้แคลนมัลดิโตทั้งสี่คนขบคิด

    เสียงกระหน่ำค้อนดังขึ้นภายในโรงเรือนซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของซีวิล ทั้งเขาและลูกมือทั้งสี่คนต่างทำงานกันอย่างเข้าขาเพราะรู้จังหวะกันดีทุกอย่างแล้ว ทำงานแปดชั่วโมงพักสองชั่วโมงนับเป็นหนึ่งรอบ ทำซ้ำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบถึงจะได้ดาบเล่มหนึ่ง กว่าจะได้ทุกอย่างครบก็จวนหมดเวลาเจ็ดวันในเกม การทดสอบอาวุธและปริศนาของซีวิลจึงต้องยกยอดไปจนกว่าพวกเขาจะล็อกอินเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง




    เมื่อทั้งสี่คนล็อกอินกลับเข้ามาพร้อมหน้ากันอีกครั้งซึ่งซีวิลก็นั่งสูบซิการ์รออยู่ในบ้านก่อนแล้ว กึ่งเอ็นพีซีหยิบคริสตัลสีน้ำเงินขนาดใหญ่ขึ้นมาและใช้มันพาตัวเขาและเบ๊ทั้งสี่คนวาร์ปไปสู่ยอดเขาแห่งหนึ่ง

    กุห์ฟานเหลียวซ้ายแลขวามองภูมิประเทศที่คุ้นเคย “พวกเราเจอกับมังกรฟรอสวิงที่นี่”

    “ใช่ ถ้ำที่ไปหลบพายุหิมะอยู่เยื้องลงไปตรงโน้นสินะ” เอเซชี้ดาบบอกทิศทาง รุ่นน้องผมแดงพยักหน้าตอบ

    “เอาละ งั้นก็เริ่มเลยละกัน”

    ซีวิลทิ้งซิการ์ที่หมดมวนแล้วเหยียบขยี้จนจมหายไปในหิมะ พอดีกับเสียงคำรามของมังกรดังทะลุลงมาจากกลุ่มเมฆหนาทึบบนท้องฟ้า

    “ถ้าแพ้ละก็คงมีคำแก้ตัวที่ฟังเข้าท่าเข้าทางสินะ?”

    คำพูดกดดันของกึ่งเอ็นพีซีส่งไปไม่ถึงการรับรู้ของชายหนุ่มทั้งสี่คนซึ่งเตรียมพร้อมและรอคอยการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ มังกรตัวใหญ่ที่มีปีกทั้งสองข้างใสดุจน้ำแข็งแกะสลักบินโฉบลงมาจากท้องฟ้า ลมปลายปีกกรีดเมฆออกเป็นริ้วยาว เสียงขู่คำรามของมันทรงพลังน่าเกรงขามสมกับเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด

    เมื่อฟรอสวิงบินวกกลับมาหาทั้งสี่คน การต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้นทันที

    อากิรอส คีฟ เปิดฉากจู่โจมด้วยเวทน้ำแข็งแสนถนัด สร้างก้อนน้ำแข็งเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งไปโจมตีที่ดวงตาของศัตรู เป้าหมายการโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้มันบาดเจ็บแต่เพื่อรบกวนการมองเห็นและสร้างช่องว่างให้เพื่อนในทีมเป็นฝ่ายรุกเข้าหา

    เอเซ แมคโดเวล กูร้องปลุกใจด้วยเสียงดัง วิ่งลากดาบเรียดพื้นกระโดดเข้าหามังกรตัวใหญ่มหึมา ดาบเคลย์มอร์ฉาบด้วยพลังเวทมหาศาลจนเปล่งแสงเจิดจ้าฟาดปะทะกับเกล็ดมังกรเกิดเสียงดังสนั่นบังคับให้มันร่อนลงสู่พื้นซึ่งรุ่นน้องของเขา กุห์ฟาน รีส ริยาส วางกับดับ “ระเบิดกัมปนาท” ไว้แล้ว มังกรฟรอสวิงถูกไฟคลอกท่วมทั้งตัวในพริบตา มันถลาบินออกมาเพื่อหนีจากเปลวไฟอย่างร้อนรนมาเข้าทางซารุวาตาริ ทากะ ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

    เขาขยับเท้าขวาไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า แต่พอฝ่าเท้าแตะพื้นร่างของเขาก็หายวับไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วด้วยทักษะ “เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่” หรือที่เขาชอบเรียกติดปากว่าการแดช ดาบคาตะนะวาดวงโค้งเป็นประกายสีฟ้างดงามตัดทะลุเกล็ดที่คอของฟรอสวิงได้อย่างงายดายเหมือนฟันหยวกกล้วย

    พอดีกับอากิรอสร่ายมนต์เสร็จสิ้นและเอเซที่ชาร์พลังเวทเต็มเปี่ยมพร้อมใช้ท่าประสานแล้ว

    “โรลลิ่งธันเดอร์!”

    “ฟิวเรียสสตอม!”

    เวทสายฟ้าผสานกับเสทสายลมกลายเป็นการโจมตีผสาน ก่อกำเนิดพายุสายฟ้ากระหน่ำโจมตีใส่มังกรฟรอสวิงถี่ยิบในชั่วเสี้ยวเวลา เมื่อเสียงสายฟ้าฟาดดังแสบแก้วหูสงบลง มังกรร่างยักษ์ก็ถลาร่วงลงกับพื้นราวกับนกปีกหัก ปีกทั้งสองข้างที่ใสเหมือนน้ำแข็งแตกกระจัดกระจายไม่เหลือเค้าเดิม ทั่วร่างมีแต่แผลเหวอะหวะหมดสภาพต่อสู้ คอของมันเป็นแผลใหญ่เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด มังกรที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ทั้งพวกเขาลำบากลำบนจนต้องต่อแพหนีไปทางทะเลได้แต่นอนรอความตาย แต่สี่หนุ่มมัลดิโตไม่ได้คาดคิดเลยว่าการต่อสู้จะลงเอยด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ มอนสเตอร์แรงค์ซีสามดาวถูกล้มอย่างง่ายดายในไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น พวกเขาพร้อมใจหันไปมองซีวิลที่บนยอดเขา

    ชายร่างใหญ่ยิ้มเหยียดมุมปากกว้าง

    “ก่อนหน้านี้ที่พวกเอ็งต้องหนีหัวซุกหัวซุนเวลาเจอมอนสเตอร์ระดับสามดาวก็เพราะอาวุธของพวกเอ็งโจมตีมันไม่ได้ผล สเตตัสไม่ได้สูงมากแถมทักษะที่มีก็แค่ครึ่งกลางๆ อีกอย่างหนึ่งก็เพราะไม่มีข้อมูลของมอนสเตอร์เลยด้วย...แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว อาวุธแรงค์ซีทำร้ายมอนสเตอร์แรงค์ซีได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก การประสานเวทมนตร์ให้ผลรุนแรงกว่าการโจมตีปกติก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ละคนพัฒนาทักษะไปมากกว่าห้าร้อยหกร้อยระดับแล้ว ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้ก็แสดงว่าพวกเอ็งมันกากถึงแก่นเป็นพวกปั้นไม่ขึ้นขุนไม่โตเป็นบัวใต้ตมยังไงละ”

    เอเซมองดาบเคลย์มอร์เล่มงามในมือที่สลักอักษร “HYDE” เอาไว้ที่โคนดาบ

    “งั้นก็แสดงว่าพวกผมสอบผ่าน?”

    “จะว่างั้นก็ได้อยู่”

    “แล้วจะให้พวกผมทำอะไรต่อ? เฮียไม่ใช่คนประเภทที่บอกว่า “อื้อ! ทำได้ดีแล้ว” แล้วจบเรื่องหรอกนะ แถมเฮียยังไม่ได้บอกเลยด้วยว่าจะสมนาคุณพิเศษให้อากิยังไง”

    “ข้าก็จะสร้างแมจิคทูลให้มันใช้ยังไงละ”

    อากิรอส คีฟ หูผึ่งทันที “เฮียทำได้ด้วยเหรอ?”

    “ก็ทำได้อยู่ในขอบเขตของช่างเหล็กน่ะนะ แต่อธิบายไปก็เสียเวลาเปล่า เอาเป็นว่าพวกเอ็งมีหน้าที่ฆ่ามังกรทุกตัวที่โผล่หน้ามา...จะฆ่าให้เหี้ยนทั้งหุบเขาเลยก็ได้ถ้ามีปัญญาทำถึงขนาดนั้น สิ่งที่ข้าต้องการมีห้าอย่างก็คือเกล็ด เขา เขี้ยว เล็บและกระดูกหน้าอกของมังกร หามาให้ได้อย่างละสิบชิ้นแล้วข้าจะทำแมจิคทูลให้”

    ซีวิลใช้คริสตัลกลับไปที่บ้านแล้ว ทั้งสี่คนมองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามที่เขาบอก มหกรรมตามล่ามังกรจึงอุบัติขึ้นในพื้นที่ที่กุห์ฟานเรียกว่า “วงแหวนมังกร” พื้นที่รอบนอกสุดของอนุทวีปที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงใหญ่ นอกจากมังกรสารพัดชนิดที่บินเพ่นพ่านเต็มท้องฟ้าแล้วยังมี “ไอซ์เฟเธอร์” มอนสเตอร์ไทป์แมจิคที่มีจุดเด่นอยู่ที่เวทมนต์น้ำแข็งสารพัดชนิด และ “ไอซ์ไททัน” ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ทากะเคยสู้ด้วยมาก่อน

    ที่สำคัญคือสภาพอากาศที่แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พายุหิมะนึกจะมาก็มาแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และพายุยังช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับพวกมอนสเตอร์อีกด้วย

    ต่อสู้ไปได้สักพัก กุห์ฟานก็เริ่มเอะใจกับเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้น

    “สู้มังกรมายี่สิบตัวแต่ได้เขามังกรกับเขี้ยวมังกรอย่างละชิ้น เกล็ดมังกรห้า แต่ไม่ได้กระดูกกับเล็บเลยนะ”

    “เป็นแรร์ไอเท็มรึเปล่า?”

    “ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแต่พอตรวจสอบข้อมูลกับหนังสือเอ็นไซโคพีเดียของพี่ทากะแล้วมันไม่มีข้อมูลไอเท็มสองชิ้นนี้เนี่ยสิ”

    “ฉิบหาย! เฮียซีวิลให้โจทย์ยากๆมาอีกแล้วแถมรอบนี้ไม่มีคำใบ้ให้อีกด้วยแน่ะ”

    “คำใบ้อยู่ที่ตัวพวกเราเนี่ยแหละ” ทากะเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางลมแรงและเกล็ดน้ำแข็งปลิวว่อน

    เอเซทำหน้าหงุดหงิด “ทักษะ...อีกแล้วสินะ”

    “ถ้ายังไงลองสู้มังกรดูอีกสักสิบตัวเก็บข้อมูลดูก่อนละกัน”

    สี่หนุ่มมัลดิโตลุยฆ่ามังกรรวมไปถึงไอซ์เฟเธอร์และไอซ์ไททันที่โผล่มาขวางทางพวกเขาจนเรียบ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีเล็บหรือกระดูกมังกรให้เก็บสักชิ้น แต่กุห์ฟานพอจะจับหลักบางอย่างได้จากสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นหลังจากการต่อสู้ได้แล้ว

    ปกติเมื่อมอนสเตอร์ถูกฆ่าตาย ร่างกายของมันจะเปล่งแสงและระเบิดออกเป็นผลึกโพลิก้อนสุกสว่างและสลายไปจนหมด แต่ถ้าผู้เล่นมีทักษะ “ชำแหละ” ติดตัวอยู่โดยเฉพาะอาชีพนักสำรวจ มอนสเตอร์ที่ถูกฆ่าจะไม่สลายไปแต่จะมีเวลาให้จัดการกับซากศพของมอนสเตอร์เพื่อชำแหละเอาเนื้อหรือส่วนอื่นๆเป็นไอเท็มได้ เมื่อระดับของทักษะชำแหละสูงในระดับหนึ่งผู้เล่นจะได้ไอเท็มที่เป็นวัตถุที่มอนสเตอร์ชนิดนั้นจะให้ได้มาเองโดยอัตโนมัติ ถ้าฆ่ากระต่ายก็จะได้เนื้อหรือขนกระต่าย ฆ่าแมวน้ำก็จะได้เนื้อและหนัง แต่พวกเขาฆ่ามังกรถึงสามสิบตัวแล้วแต่ยังไม่ได้เนื้อมังกรสักกรัมหรือหนังมังกรสักผืนเลย

    “พี่เอเซรอบนี้ออมมือๆหน่อย เอาแค่มังกรเฉียดตายได้ปะ?”

    “ออมมือ? นายคิดว่าคนบ้าพลังเป็นหมีตกมันอย่างเอเซจะออมมือเป็นด้วยเหรอวะ?” ปากของอากิรอสเป็นระบบทำงานอัตโนมัติเช่นกันเมื่อได้โอกาสจิกกัดคนอื่น

    “เออน่ะ! จะพยายามละกันวะ”

    มังกรตัวหนึ่งบินผ่านมาในระยะมองเห็นของพวกเขา ผู้เล่นหลายคนที่พบเจอมังกรมักจะบอกว่าตัวเองโชคร้ายเป็นบ้า แต่กลับกันสำหรับแคลนมัลดิโตในตอนนี้ต้องบอกว่ามังกรตัวนี้โชคร้ายมากๆแทน

    มังกรตัวที่บินร่อนลงมาโจมตีพวกเขาสี่คนคือ “สนีเยค” มอนสเตอร์แรงค์ซี-สามดาว หนึ่งในสายพันธุ์มังกรน้ำแข็ง ร่างกายของมันตั้งแต่หัวยันหางล้วนแล้วแต่เป็นก้อนน้ำแข็งสีฟ้า แม้แต่เกล็ดหนามของมันยังใสราวกับก้อนน้ำแข็ง

    ทากะชอบเรียกมังกรพวกนี้ว่าแย้มีปีกหรือไม่ก็แย้บินได้

    “ไอ้เอ๋อ ช่วยตีตรงจุดอ่อนชี้ตำแหน่งให้หน่อยดิ๊เดี๋ยวที่เหลือจัดการต่อเอง”

    “ถ้าอย่างนั้น สหายอากิรอสช่วยหยุดการเคลื่อนไหวของมังกรให้สักสิบวินาทีละกัน”

    “เฮ้อ...ช่วยไม่ได้แฮะ”

    สนีเยคแยกเขี้ยวคำรามตามสันดานของเผ่าพันธุ์มังกรพร้อมกับพ่นลมหายใจเยือกแข็งที่สามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งกลายเป็นน้ำแข็งได้เพียงแค่สัมผัสถูก ถ้าผู้เล่นหลบการโจมตีนี้ได้มันจะบินโฉบเข้ามากัดหรือใช้กรงเล็บทำร้าย แต่สำหรับแคลนมัลดิโตในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องหลบแต่อย่างใด เอเซ แมคโดเวล ปักดาบลงพื้นหน้าตัวเองและถ่ายทอดพลังเวทลงไปสร้างดาบดินเล่มใหญ่ขึ้นมาขวางหน้าไว้ราวกับเป็นกำแพง ปกติแล้วเวทนี้เป็นเวทสำหรับโจมตีแต่เขาพลิกแพลงมาเอาใช้ตั้งรับในบางสถานการณ์ได้ด้วย

    สายฟ้าเส้นเล็กๆจากปลายนิ้วของอากิรอส คีฟ พุ่งเป็นเส้นตรงไปที่ดวงตาของมังกรซึ่งเป็นตำแหน่งจุดอ่อนของมอนสเตอร์ชนิดนี้อย่างแม่นยำ ในชั่วครู่ที่มันชะงักเพราะถูกจู่โจมจุดอ่อนและรบกวนการมองเห็น เวทสายฟ้าเส้นมหึมาฟาดเปรี้ยงลงมาจากท้องฟ้าโดนเต็มๆที่กลางหลังของมัน ผลจากเวทสายฟ้าทำให้มันถูกช็อตจนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะตามที่ทากะร้องขอ

    ร่างของทากะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนพื้นหิมะสีขาวเห็นเป็นเพียงเงาสีดำที่เกิดจากเสื้อและผ้าคลุมที่เขาใส่อยู่ เขากระโดดลอยตัวอยู่เหนือแผ่นหลังของมังกร ชักดาบคาตะนะออกจากฝักหนึ่งครั้งและเก็บกลับลงฝักอย่างรวดเร็ว ผลของการโจมตีนั้นได้ตัดย้อนเกล็ดบนแผ่นหลังของมังกรสนีเยคออกไปทั้งแถบอย่างง่ายดายด้วยผลจากทักษะชาร์ปเนสที่พัฒนาไปถึงระดับหกร้อยห้าสิบแล้ว

    ร่างใหญ่โตของมังกรตกลงมาพร้อมกันกับสองขาของทากะแตะพื้น

    “สหายอยากเล่นงานตรงไหนก็เอาเลย จุดอ่อนทั้งนั้น”

    “ขี้เกียจขั้นสุดเลยนี่หว่า ไม่อยากมองหาจุดอ่อนเลยขอดเกล็ดให้แทนว่างั้น”

    สนีเยคขยับตัวอีกครั้งหลังจากผลจากการโจมตีด้วยสายฟ้าหมดไป แต่ในจังหวะที่มังกรจะกระพือปีกบินอีกครั้งเอเซก็กระโดดขึ้นไปบนหลัง ปักดาบซึ่งอาบพลังเวทมนตร์ไว้เต็มเปี่ยม

    “ไลท์นิงซอร์ด”

    เขาเปลี่ยนพลังเวทที่ดาบให้มีคุณสมบัติของธาตุสายฟ้า ผลก็คือมังกรสนีเยคถูกไฟช็อตจากภายในร่างกายจนสั่นกระตุกดิ้นพล่านอย่างทรมาน มันพยายามสะบัดศัตรูบนหลังให้หลุดกระเด็นแต่ไม่เป็นผลเพราะเอเซเพิ่มพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้ามังกรสนีเยคสุดซวยถูกช็อตจนพลังชีวิตลดลงเหลือห้าเปอร์เซ็นต์ก็หมดฤทธิ์เดช นอนพังพาบอ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาถูกทุบหัว ถ้ากลุ่มคนรักสัตว์มาเห็นเข้าเอเซคงโดนโห่และปาด้วยก้อนหินไปแล้วโทษฐานทรมาทรกรรมมังกร

    นักดาบเวทตะโกนถามรุ่นน้อง “เอาไงต่อ?”

    “พี่ทากะช่วยชำแหละมังกรหน่อย เริ่มจากตรงเล็บก่อนเลย”

    ทากะหยิบมีดสำหรับชำแหละเล่มใหม่ที่ซีวิลตีให้ขึ้นมาควงและเดินตรงเข้าไปยังมังกรที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน เป็นไปตามที่กุห์ฟานคาด ทากะสามารถชำแหละเอาเล็บมังกรออกมาและเปลี่ยนให้กลายเป็นไอเท็มได้ แถมยังสามารถแล่ส่วนอื่นๆออกมาได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หนัง เส้นเอ็นหรือกระทั่งหัวใจของมังกร ที่สำคัญยังสามารถรองเลือดของมันออกมาได้แทบจะทุกหยด ซึ่งเลือดมังกรเป็นส่วนผสมสำคัญของโพชั่นระดับสูงซึ่งกุห์ฟานต้องการมานานแล้ว

    “เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้นี่เองวิธีรวบรวมวัตถุดิบที่หาไม่ได้จากการต่อสู้ปกติ พี่ทากะคิดถูกแล้วที่เลือกเล่นนักสำรวจแทนนักดาบญี่ปุ่น”

    “อาชีพนี้มันเจ๋งได้ใจจริงๆเลยแฮะ” เอเซมองซากมังกรที่ถูกผ่าเปิดท้อง

    “เราบอกสหายเอเซตั้งแต่ต้นแล้วว่าอาชีพนี้สำคัญขนาดไหนแต่สหายก็ไม่ยอมเชื่อ เกมนี้ต่างจากเกมอาร์พีจีทั่วไปที่ไอเท็มทุกอย่างหาได้จากการต่อสู้ อาชีพสายต่อสู้จึงมีความสำคัญสูงสุดในเกมอื่น แต่กลับกันเกมนี้เน้นความสำคัญที่การเอาชีวิตรอด เงินและวัตถุดิบที่ใช้ดำรงชีวิตจึงหายากยังไงละ”

    “อาชีพสายเทคนิคที่มีความสามารถเสาะแสวงหาวัตถุดิบได้สำคัญที่สุด รองลงมาก็คืออาชีพสายเทคนิคที่มีความสามารถในการสร้างและผลิตไอเท็ม ในขณะที่อาชีพที่เป็นสายต่อสู้เพียวๆแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย” กุห์ฟานอธิบายเพิ่มเติม

    “ที่นายอยากเป็นนักประดิษฐ์ในตอนแรกก็เพราะเหตุผลนี้สินะ?”

    “ใช่ แต่เพราะมันยุ่งยากผมเลยเลือกอาชีพนักล่าสมบัติแทนเพราะข้อได้เปรียบในด้านการสำรวจดันเจียนและค้นหาสมบัติแทน ส่วนทักษะต่อสู้น่ะค่อยเรียนรู้เป็นทักษะเสริมทีหลังได้”

    “อย่าเพิ่งเปิดชั่วโมงเลคเชอร์ตอนนี้สิเว้ย เพื่อนนายแห่กันมาเยี่ยมแล้วแน่ะ” อากิรอสชี้ให้ดูมังกรตัวหนึ่งที่บินมาจากทางตะวันออก ในขณะที่ท้องฟ้าฟากทิศเหนือก็มีเงาของมังกรอีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาเช่นกัน

    “พี่ทากะอีกนานไหมกว่าจะเสร็จ?”

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้าเอาแค่ส่วนที่ต้องการก็ไม่น่านานหรอกแต่ทิ้งส่วนอื่นไปก็เสียดายแย่ ไอเท็มที่ได้จากมังกรน่ะของดีๆทั้งนั้น”

    “โอเค งั้นพี่ตั้งหน้าตั้งตาแล่มังกรไปเลยเพราะอีกเดี๋ยวจะมีให้พี่อีกสองตัว”

    “อย่าเพิ่มงานให้สิเว้ย คืนนี้จะแล่ไอ้ตัวนี้เสร็จรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”

    “นั่นไม่ใช่ปัญหาของผมนี่นา ถ้าผมมีทักษะชำแหละก็คงช่วยพี่ได้บ้างนะแต่ผมไม่มีนี่สิ”

    เอเซหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจบนความทุกข์ยากของทากะก่อนจะหันไปเตรียมตัวรับศึกกับมังกรที่กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา




    สามวันให้หลัง สี่หนุ่มมัลดิโตก็กลับมาถึงบ้านพักริมผาพร้อมไอเท็มที่กึ่งเอ็นพีซีต้องการในปริมาณมหาศาล ถึงจะเป็นเรื่องที่ซีวิลคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะต้องแก้โจทย์นี้ได้แต่ก็ไม่คิดว่ารอบนี้จะตีโจทย์และมองเห็นปัญหาได้รวดเร็วแบบนี้ เมื่อพวกเขาทำได้ตามสัญญา เขาก็รักษาสัญญาด้วยการทำแมจิคทูลให้อากิรอสไว้ใช้งาน

    ของห้าอย่างที่ได้จากมังกรได้แก่ เขา เขี้ยว เกล็ด เล็บและกระดูกอกมังกร ที่แม้แต่กุห์ฟานยังนึกไม่ออกว่าจะเกี่ยวข้องกับทักษะของช่างเหล็กตรงไหนได้บ้าง เมื่ออยู่ในมือซีวิลแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับแร่เหล็กดิบทั่วไป ซีวิลจัดการเผาไอเท็มทั้งห้าอย่างด้วยอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่องและยาวนาน หลอมจนไอเท็มเหล่านั้นถูกสกัดเหลือเพียงแก่นที่บริสุทธิ์เท่านั้น เกล็ดมังกรแผ่นใหญ่เท่าโปสเตอร์เมื่อหลอมสกัดแล้วเหลือเพียงแก่นเล็กๆแค่นิ้วมือเท่านั้น เมื่อได้แก่นของไอเท็มทั้งห้าชิ้นแล้วก็นำมาเผารวมกันอีกครั้ง เผาจนหลอมละลายเป็นของเหลวและนำมาเทลงเบ้าให้เย็นตัวลง

    แมจิคทูลที่ได้จากกระบวนนี้คือแหวนหนึ่งวง และอากิรอสก็อดพูดแซวไม่ได้ว่าคิดจะให้เขาเป็น “ซารอน” หรืออย่างไร ซีวิลไม่ตอบคำถามได้แต่หัวเราะและให้เขาไปทดสอบอานุภาพของแหวนด้วยตัวเอง

    ผลลัพธ์แห่งความพินาศของฝูงแมวน้ำที่ชายหาดซึ่งถูกกวาดล้างฆ่าเรียบด้วยมนต์สายฟ้าระดับต่ำสุดเพียงบทเดียวอยู่เหนือขึ้นไปจากภาพที่สี่หนุ่มแห่งแคลนมัลดิโตจะจินตนาการได้

    “จริงๆแล้วนี่เป็นกรรมวิธีสำหรับสกัดเอาแร่บริสุทธิ์จากเกล็ดมังกรมาชุบอาวุธและชุดเกราะ แต่ข้าก็พัฒนาให้มันกลายเป็นแมจิคไอเท็มอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ แม้แต่ฝ่ายพัฒนาเกมยังคิดไม่ได้เลยนะเว้ย”

    อากิรอสกระทุ้งศอกใส่ซีวิล “หือ? แบบนี้ปลายปีโบนัสอื้อซ่าแหงๆเลยสิ”

    “ฮ่าๆๆ ถ้าได้แบบนั้นก็ดีสิวะ”

    “เฮีย...สร้างแหวนแบบนั้นให้ผมบ้างได้ปะ?” เอเซอยากได้แหวนนั่นขึ้นมาจับใจ

    “หือ? อยากได้ก็แย่งกันเองดิ จะได้เป็นมหาสงครามชิงแหวนไง”

    เอเซดึงดาบออกมาทำท่าจะแทงอากิรอสจริงๆจนซีวิลหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี

    “ทำให้น่ะทำได้แต่อาชีพนักดาบเวทอย่างเอ็งใส่ได้วงเดียวนะ”

    “หมายความว่า...ถ้าเป็นอาชีพนักเวทใส่ได้ไม่จำกัดงั้นเหรอ?” กุห์ฟานฉุกใจคิดถึงความหมายแฝงที่กึ่งเอ็นพีซีพูดได้ในทันที

    “คนเรามีกี่นิ้วก็ใส่ได้เท่านั้นแหละแต่ต้องเป็นแหวนที่มีคุณสมบัติต่างกันนะ ใส่แบบเดียวกันก็ได้แค่ความเท่เท่านั้นแหละ”

    “แล้วไอ้วงนี้มีคุณสมบัติอะไรละ?” นักเวทผมเงินยกมือขวาขึ้นมาดูแหวนซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วชี้

    “ไอ้หัวดำ เอ็งทำหน้าที่หน่อยดิ๊”

    ทากะหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องตรวจสอบคุณสมบัติของแหวนวงนั้น

    “เพิ่มพลังโจมตีเวทมนตร์และขอบเขต ของเวทมนตร์สังกัดธาตุลมที่ต่ำกว่าแรงค์ซีให้เทียบเท่าเวทมนตร์ระดับแรงค์ซี เพิ่มความสามารถให้เวทมนตร์ในสังกัดธาตุลมแรงค์ซีสามสิบเปอร์เซ็นต์ เวทมนตร์ในสังกัดธาตุลมแรงค์บียี่สิบเปอร์เซ็นต์และเวทมนตร์ในสังกัดธาตุลมแรงค์เอสิบเปอร์เซ็นต์”

    “โกงโคตร! ใส่วงเดียวก็โกงขั้นสุดแล้วถ้าใส่ได้สิบวงก็ครองโลกไปเลยเหอะ!” เอเซแหกปากดังลั่นชายหาด

    “เวทมนตร์พื้นฐานมีดินน้ำลมไฟก็สี่วง เหลืออีกหกวงนี่มีคุณสมบัติอะไรบ้างละเฮียซีวิล?”

    “เอ็งไม่ต้องมาหลอกถามข้อมูลจากข้าเลยไอ้หัวแดง”

    “ชิ! เบื่อคนรู้ทันจริงๆเลย”

    กุห์ฟานโดนกึ่งเอ็นพีซีเตะก้นเข้าให้ป้าบหนึ่งจนเซถลา

    “เอ็งอยากได้คุณสมบัติแบบไหนละไอ้หัวน้ำตาล? เดี๋ยวข้าทำให้หนึ่งวง”

    “เฮียทำแบบเพิ่มพลังให้เวททุกสายได้ไหมละ?”

    “ทำได้อยู่แล้ว ฉลาดถามดีนี่หว่า”

    “งั้นเอาสองวง”

    “เอ็งจะเอาไปทำไมสองวง?”

    “เออน่ะ! ผมขอสองวง”

    “เออๆ กลับไปเดี๋ยวทำให้ละกัน”

    และแล้วสี่หนุ่มมัลดิโตก็กลายเป็นลูกมือช่วยงานสร้างอาวุธอีกครั้งแลกกับแหวนสองวงของเอเซและอีกสามวงสำหรับอากิรอส และจากการเซ้าซี้ถามของกุห์ฟานก็แงะข้อมูลจากปากของซีวิลได้อีกว่าแหวนเหล่านี้ใช้ได้เฉพาะอาชีพสายเวทมนตร์เท่านั้น แต่ก็สามารถทำแมจิคทูลที่เพิ่มพลังป้องกันเวทมนตร์ทดแทนสำหรับอาชีพอื่นได้ด้วยกระบวนการเดียวกันแต่ปริมาณไอเท็มที่ต้องใช้ก็แปรผันตรงตามขนาดของไอเท็มที่จะสร้าง แผนของกุห์ฟานจะให้สร้างโล่ที่เพิ่มพลังป้องกันเวทมนตร์สูงๆจึงต้องเลิกล้มความคิดไป สุดท้ายพวกเขาก็อัพเกรดพลังป้องกันและพลังป้องกันเวทมนตร์ของอุปกรณ์สวมใส่ให้เป็นแรงค์ซีด้วยเกล็ดมังกรแทน






    เมื่อไอเท็มสร้างเสร็จตามรายการที่ได้ซีวิลได้รับคำขอจากผู้เล่นผ่านเอ็นพีซีคนกลางมาแล้ว สี่หนุ่มมัลดิโตก็ขออาสาเอาไปส่งให้เพราะได้เวลาที่พวกเขาจะกลับออกจากอนุทวีปแห่งนี้แล้ว
    soulmaster ถูกใจสิ่งนี้

Share This Page