No Throne King กษัตริย์ไร้บัลลังก์ [5 ตอน]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย pentita, 21 เมษายน 2013.

  1. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    NO THRONE KING : กษัตริย์ไร้บัลลังก์

    มันคือรีไรท์ชุดใหญ่จากเรื่อง prince's adventure ที่เคยลงใน AF ตอนนั้นตั้งใจว่าจะแต่งไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดจบ มันเลยออกทะเลและยืดเยื้อจนกู่ไม่กลับ ซึ่งตอนนี้มี plot แล้วเลยทำเนื้อเรื่องไว้กระชับขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องที่แต่งคั่นอารมณ์

    ซึ่งสองตอนแรกก็เหมือน บทสรุปของ introduction ในนิยายเรื่องนี้ เลยดองไว้แค่สองตอนก่อนครับ 55555+ ถ้าไม่ดอง เดี๋ยว พาราเรล ออนไลน์จะเข้าไหแทน

    (ประกาศดองล่วงหน้ากันทีเดียว)

    เนื้อเรื่องก็แนว แฟนตาซี+การเมือง+เวทมนตร์

    นิยายเรื่องนี้มีตัวละครเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่คิดจะใช้คำราชาศัพท์เด็ดขาด เพราะผมไม่ค่อยรู้เรื่อง เดี๋ยวใช้ผิดใช้ถูก ถือซะว่าไม่ใช่ประเทศไทย ไม่ต้องใช้ละกัน 55555+

    ในช่วงครึ่งแรก กลิ่นการเมืองจะยังไม่ค่อยออกนักครับ
  2. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    บทที่ 1 เจ้าชายอารุค

    อาณาจักรเซีย …ดินแดนที่มีระบบสืบบัลลังก์ประหลาดต่างจากประเทศอื่น เมื่อเจ้าชายถึงช่วงอายุหนึ่งจะต้องไปเป็นนักบวช เขาไร้สิทธิในการเมืองทุกด้าน ส่วนเจ้าหญิงคือผู้นั่งบัลลังก์ เซียนั้นถูกดูแลมาด้วยบรรดาราชินีนักปกครองหลายรุ่น

    จวบจนรุ่นปัจจุบัน ราชินีให้กำเนิดลูกคนแรกเป็นชาย นามว่าอารุค ราชินีค่อนข้างผิดหวัง ตำแหน่งเจ้าหญิงว่างหมายถึงความไม่มั่นคงของราชวงศ์ ทว่า เธอก็ยินดีและรักเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนมากอยู่ดี

    เมื่ออารุคโตขึ้นเรื่อยๆ เค้าหน้าเริ่มค่อนไปทางราชินี ซึ่งเมื่อรวมกับเส้นผมสีทองคำจากพ่อ เจ้าชายน้อยจึงกลายเป็นเด็กน่ารักให้ใครต่อใครรู้สึกเอ็นดู ทว่า หากดูแค่ด้านนิสัยแล้ว หลายคนต้องส่ายหัวหนีเพราะความเอาแต่ใจและขี้เกียจอย่างร้ายกาจ

    เขาเพิ่งผ่านวันเกิดอายุครบห้าขวบไปหมาดๆ แต่ยังดื้อเสมอต้นเสมอปลาย และตอนนี้กำลังแผลงฤทธิ์ใส่อาจารย์

    “กระดาษไม่ดี เขียนไม่ถนัด!” เขาเขวี้ยงสมุดจดทิ้งลงพื้น ส่วนสายตามองไปที่ประตูทางออก

    “นั่นเป็นกระดาษคุณภาพดีมากแล้ว หากจะเอาให้ดีกว่านั้นเพื่อใช้ในการคัดลายมือมันก็ออกจะเกินไปหน่อย เงินที่ท่านใช้คือเงินของประชาชน” อาจารย์วัยชรากล่าวพร้อมกับเดินไปเก็บสมุดเล่มนั้นขึ้นโต๊ะ

    “แต่ของมีตำหนิทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง! เราจะไปเอาสมุดเล่มใหม่มา!” เจ้าชายน้อยวิ่งออกนอกห้องโดยไม่สนใจฟังเลยแม้แต่นิดเดียว

    ประตูกระแทกปิดดังปัง แล้วตามมาด้วยเสียงแกร๊กสองครั้ง คนสอนลอบถอนหายใจ เขารู้ว่านั่นคือหนึ่งในข้ออ้างเพื่อลดทอนเวลาเรียน เจ้าชายน้อยมักหาเรื่องวิ่งเข้าวิ่งออกห้อง หรือบางครั้งก็แกล้งลืมของไว้ที่นั่นที่นี่ สุดท้ายจึงได้เรียนอะไรกันจริงๆ น้อยมาก และจนป่านนี้แล้ว แค่ตัวหนังสือง่ายๆ ก็ยังลากเส้นผิดอยู่เลย

    ชายแก่แบกร่างท้วมๆ ไปที่ประตูเพื่อจะเดินตามเจ้าชายอารุค... ปรากฏว่าเปิดไม่ได้เพราะถูกล็อคจากข้างนอกแล้ว ครั้งนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายเนื่องจากกุญแจควรอยู่ที่เขา

    เขารีบถอดเสื้อนอกสีเขียวออกแล้วจับมันเขย่า พจนานุกรมจิ๋ว ปากกาขนนก แว่นขยายหล่นลงมากองบนพื้น เว้นไว้แค่กุญแจของห้องนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันอยู่กับเจ้าชายอารุค ชายแก่จึงต้องเริ่มทุบประตูตะโกนเรียกหาคนช่วย

    ด้านเจ้าชายตัวแสบกำลังหลบไปใช้ทางที่คนผ่านน้อย จากนั้นก็เดินซ่อกแซ่กกลับถึงห้องนอนโดยสวัสดิภาพ เขาพบว่าเตียงสีเหลืองถูกเปลี่ยนเป็นผ้าปูผืนสีขาว ส่วนเศษอาหารเช้ากับผ้าเช็ดตัวบนพื้นได้ถูกเก็บกวาดออกเรียบร้อย นั่นหมายความว่าเหล่าสาวใช้จะไม่กลับมาอีกครั้งจนพรุ่งนี้สายๆ

    อารุคก้มมุดลงใต้เตียงเพื่อดึงกล่องสีดำใบโตออกมา ภายในมีสมบัติจิปาถะเล็กๆ ตั้งแต่ของราคาแพงอย่างเข็มทิศเคลือบทองกับนาฬิกาทรายรูปทรงงดงาม ทว่า บางสิ่งกลับดูธรรมดาสมวัย เช่น...ก้อนหินหน้าตาประหลาด และกุญแจของอาจารย์ที่เพิ่งโยนเข้าไป...

    เขาผลักกล่องกลับเข้าที่แล้วกระโดดขึ้นเตียง ภายในห้อง เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนทำจากไม้และเคลือบสีทับอีกชั้น อย่างเช่นตู้ ชั้นหนังสือ และเก้าอี้นอน ทั้งหมดจะถูกจัดเรียงตามตำแหน่งเป็นระเบียบสวยงาม แต่เฉพาะโต๊ะสำหรับกินอาหารเช้าเท่านั้นที่ดูไม่เข้ากับห้องเอาเสียเลย

    การกินอาหารเช้าหลังตื่นนอนแสดงถึงความหรูหราสะดวกสบาย เพราะนั่นแปลว่าพวกเขามีหญิงรับใช้และเนื้อกับผักพร้อมเสิร์ฟในตอนเช้า โต๊ะตัวเล็กสำหรับวางลงบนเตียงจึงกลายเป็นธรรมเนียมนิยมที่เหล่าชนชั้นสูงต้องหามาประดับห้องนอนไว้

    ส่วนสาเหตุที่มันไม่เข้ากับห้องก็เพราะเจ้าชายอารุคเอาหมึกสำหรับเขียนหนังสือไปละเลงจนเละเทะ... เขาไม่ชอบนั่งกินข้าวเฉยๆ และสนุกกับการแหย่พี่เลี้ยงที่พยายามห้ามปรามทุกวัน โต๊ะประจำห้องเขาจึงมีสีดำลากผ่านเป็นปื้นเลอะเทอะไม่น่าดู

    อารุคมั่นใจว่าเขาคงหลบอยู่ในนี้ได้ตลอดจนถึงตอนเช้า เพราะเจ้าชายขังอาจารย์ไว้เป็นห้องเรียนหนังสือซึ่งอยู่ในมุมสงบ มีคนเดินผ่านน้อย ฉะนั้นเขาจึงกลิ้งเล่นบนเตียงได้อย่างสบายใจ

    ทว่า จู่ๆ ประตูห้องนอนก็โดนผลักออกกะทันหัน อารุคตกใจจนสะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง

    “เจ้าชาย!”

    หญิงสาวรูปร่างเล็กในชุดสีฟ้ายืนอยู่หน้าประตู เธอเป็นพี่เลี้ยงประจำตัวของเขา เจ้าชายน้อยเริ่มคิดหาข้อแก้ตัวที่มาอยู่ในห้องขณะเวลาเรียน แต่ก่อนจะได้พูดอะไร เจ้าหล่อนก็เสียมารยาทกระชากแขนอารุคให้วิ่งไปด้วยกัน

    “มาดูเองค่ะ! เจ้าหญิง เจ้าหญิงมาแล้ว!” เธอร้องเสียงตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้นสุดชีวิต

    ทั้งสองจ้ำเท้าไปบนโถงทางเดินสีครีม แต่ฝ่ายพี่เลี้ยงหญิงขายาวกว่า จึงกึ่งวิ่งกึ่งลากเจ้าชายน้อยมาด้วยกัน อารุคไม่เข้าใจ เขาร้องให้ปล่อยแต่เธอไม่ฟังคำสั่งเขาเลย แปลว่ามันต้องมีเรื่องรุนแรงอะไรสักอย่างเกิดขึ้น

    พี่เลี้ยงสาวพาวิ่งมาถึงห้องนอนท่านแม่ของเขาผู้เป็นราชินีประจำอาณาจักรเซีย และบอกให้เข้าไป อารุคค้อนเธอด้วยสายตาไม่พอใจแต่ก็ทำตาม

    “อารุค” เสียงอ่อนหวานของราชินีแห่งเซียลอยเข้าหู

    หญิงสาวในวัยสามสิบนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าอิดโรยแต่ก็ยังพอดูออกว่าเป็นคนสวย เธอมีเส้นผมสีน้ำตาลหนา ดวงตาสีเขียวสดใส และผิวขาวนุ่มที่ชวนให้อารุคไปออดอ้อนทุกครั้ง เจ้าชายน้อยเองก็ไม่ได้เห็นแม่มาหลายเดือนแล้ว พอเปิดประตูมาเจอจึงวิ่งเข้าใส่ทันที

    “เดี๋ยว แม่เจ้ายังไม่แข็งแรงพอเพราะเพิ่งเดินทางกลับมา อย่าเพิ่งกระโดด”

    คนที่ยื่นมือออกมาขวางเป็นชายวัยสามสิบเช่นเดียวกัน เขามีเส้นผมสีทองคำเหมือนอารุคและรูปร่างสูงใหญ่แบบนักรบ

    “ท่านพ่อ!”

    เขาคือพ่อของอารุค แต่ถึงจะเป็นพ่อของเจ้าชายก็เป็นเพียงขุนนางไม่ใช่พระราชา อาณาจักรอย่างเซียมีราชินีในฐานะผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

    ท่านพ่อเรียกให้เขาไปดูตะกร้าใบเล็กข้างเตียงท่านแม่ อารุคทำตามนั้น และก็ต้องตกใจเมื่อพบกับลูกลิงไร้ขนหน้าตาน่าเกลียด

    “น้องสาวของลูก เจ้าหญิงนาเกียน่ารักใช่ไหม” ราชินีพูดด้วยเสียงเบา “ตอนนี้ก็สามเดือนแล้ว”

    อารุคพยายามมองหาความน่ารักจากลูกลิงจมูกบี้ในตะกร้า ทั้งที่เป็นเด็กผู้หญิงแต่มีผมบนหัวหรอมแหรม แถมตัวยังแดงจนน่าขนลุก ขี้เหร่ขนาดนี้ทำไมถึงบอกว่าน่ารักได้...

    หลังจากนั้น อารุคพบว่าปฏิกิริยาคนในวังเปลี่ยนไป เด็กชายได้รับการเอาอกใจน้อยลง ส่วนเจ้าหญิงนาเกียกลายเป็นบทสนทนาประจำวันตลอดเวลา ไม่ว่าอาจารย์สอนหนังสือ พวกพี่เลี้ยง หรือทหารต่างก็ยกเรื่องน้องสาวสุดขี้เหร่ของเขามาพล่ามให้ฟังจนเอียน

    เด็กชายไม่เข้าใจว่ายายเด็กจมูกบ้ีหัวล้านน่ารักได้อย่างไร นาเกียเอาแต่นอนหยีตาทั้งวัน พอตื่นก็ร้องไห้ เขารู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ไปเยี่ยมแม่ของตัวเองแล้วโดนน้องสาวแย่งเอาเวลาอันมีค่านั้นไปด้วยเสียงร้องไห้เสมอ

    เจ้าชายน้อยเริ่มมีความคิดว่า... ในเมื่อนาเกียมีความสำคัญขนาดนั้น ถ้าลองหายตัวสักหนึ่งคืนก็คงจะวุ่นวายจนน่าดูสุดๆ แน่นอน!

    คืนนั้นอารุคกลับเข้าห้อง เขามองบรรดาลูกบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศแล้วคว้าลงมาปั้นเป็นก้อนใหญ่ๆ เจ้าชายน้อยเสียเวลาทำอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้ลูกบอลขนาดยักษ์พอที่จะเข้าไปยืนได้ทั้งตัว

    ตั้งแต่จำความได้ เขามักจะมองเห็นลูกบอลกลมๆ ลอยเต้งเท้งในอากาศ มันมีทั้งเล็กและใหญ่ ถ้าอารุคคิดอยากให้มันขยับ มันก็จะขยับตามคำสั่งในใจเขา แต่เจ้าชายน้อยค้นพบว่าการเดินไปเอามือจับบังคับเองเร็วที่สุดแล้ว

    และยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เจ้าลูกบอลพวกนี้กลายเป็นอุปกรณ์การแกล้งชั้นยอด นั่นคือบรรดาผู้ใหญ่มองไม่เห็นลูกบอลเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นหากเอามันมาคลุมตัว เขาก็จะล่องหนไปโดยสิ้นเชิง

    เจ้าชายอารุคสอดแขนสอดขาและค่อยๆ เอาตัวเข้าไปอยู่ข้างในลูกบอลยักษ์แบบระวังมันแตก เขาแง้มประตูห้องเบาๆ แล้วแอบย่องออกไป

    อารุคยืนอยู่ในลูกบอลขนาดยักษ์ เขาเห็นทหารองครักษ์หน้าห้องกำลังสัปหงกจนไม่ทันสังเกตว่าประตูแง้มออกเอง ปกติแล้ว เจ้าชายน้อยจะต้องสร้างปรากฏการณ์ผีหลอกโดยแกล้งทำให้นายทหารคนนั้นเห็นของลอยอยู่กลางอากาศ

    เขาสนุกกับการได้เห็นสีหน้าสุดสะพรึงในหลายๆ แบบ บางคนจะหลับตาปี๋แล้วภาวนาถึงเจ้าแม่แห่งผืนดินผู้เป็นเทพอารักษ์ประจำอาณาจักร... หรือไม่ก็พยายามต่อรองกับผีปลอมๆ ของอารุคว่าจะหาของมาเซ่นไหว้จนเจ้าชายต้องฝืนกลั้นหัวเราะสุดชีวิต

    แต่ ไม่ว่านายทหารหน้าห้องของเขาจะดูเชื้อเชิญต่อการแกล้งอย่างไรก็ตาม คืนนี้อารุคจำต้องระงับใจไว้ก่อนเพราะเป้าหมายหลักคือนาเกีย

    อารุคค่อนข้างสนุกกับการสังเกตผู้คนระหว่างเดินอยู่ในลูกบอล บางครั้งจะเจอหญิงรับใช้เอามือจีบกระโปรงแล้วทำท่าประหลาดๆ อยู่หน้ากำแพงที่ขัดเสียเงาวับจนใช้แทนกระจกได้ ส่วนบรรดาขุนนางผู้มีมารยาทดีก็แอบผายลมเสียงดังโดยคิดว่าไม่มีใครได้ยิน

    สำหรับกรณีแรก อารุคจะยืนดู แต่กรณีที่สอง เขาจะไม่อยู่ดมกลิ่นไส้เน่าเด็ดขาด!

    เขาค่อยๆ กระดื๊บตัวเองไปพร้อมกับระวังลูกบอลแตกจนถึงชั้นบนสุดของหอคอยปราสาท ทั้งชั้นเป็นห้องนอนแม่กับนาเกีย เมื่อก้าวขึ้นบันไดมาจะพบทางเดินกว้าง พื้นถูกปูด้วยหินแก้ว มันเป็นหินสีเขียวใสและก่อให้เกิดเสียงฝีเท้าได้ง่ายกว่าหินประเภทอื่น อารุคที่ตั้งใจจะเข้ามาย่องเบาจึงตั้งใจไม่สวมรองเท้ามา

    เขาเห็นทหารองครักษ์ในเครื่องแบบสีน้ำตาลกับเข็มขัดสีดำสิบสี่คนยืนขวางอยู่หน้าประตู ทุกคนต่างกำลังเอนตัวพิงกับกำแพงในท่าสบายๆ เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีใครบุกรุกขึ้นมาถึงหอคอยชั้นบนสุดได้แน่นอน... อย่างน้อยๆ ตามแนวบันไดก่อนจะถึงห้องแม่ อารุคก็เดินผ่านทหารมาประมาณหกสิบคนแล้ว

    แต่ไม่ว่าจะกี่ร้อยคนก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าชายน้อยผู้ล่องหนได้ เขาขยับเข้าใกล้นายทหารที่แต่งเครื่องแบบต่างจากคนอื่นเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดกุญแจออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงไขกุญแจให้เบาที่สุด

    พอประตูเปิด ทหารองครักษ์ทั้งสิบสี่ก็สะดุ้ง อารุครีบเอากุญแจคืนไปพร้อมกับพุ่งเข้าข้างในทันที บรรดาทหารหน้าห้องคิ้วขมวดแล้วรีบมองสำรวจทั้งในห้องนอกห้อง สุดท้ายเมื่อพบว่าไม่มีอะไรจึงทำแค่ปิดประตูแล้วลงกลอนซ้ำ

    “กลอนคงเสีย” ทหารคนหนึ่งพูด

    “อันตรายมาก เจ้าหญิงรัชทายาทเพิ่งกลับมาด้วย เจ้ารีบไปเดินเรื่องซ่อมประตูตั้งแต่คืนนี้ พอเช้ามาจะได้เปลี่ยนทันที”

    ส่วนอารุคก็กำลังย่องอยู่ในความมืด เจ้าชายน้อยจำตำแหน่งภายในห้องได้ทั้งหมดจึงเข้าถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มลงมือปั้นลูกบอลล่องหนเพิ่มอีกลูกสำหรับคลุมตัวน้องสาว พรุ่งนี้ทุกคนจะต้องแตกตื่นเพราะการหายตัวของเธอ

    พอตาเริ่มชินกับความมืด อารุคจึงมองเห็นหน้าน้องสาวตนได้ชัดเจนขึ้น นาเกียกำลังหลับสนิท ใบหน้าที่เคยแดงก่ำก็เริ่มจางลง แต่มือที่เคยกำอย่างไรก็ยังกำอยู่แบบนั้น นั่นเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายน้อยได้พิจารณาดูเธออย่างละเอียด

    นาเกียนอนหยีตาตลอดเวลา จมูกก็บี้ แต่เส้นผมเริ่มดกขึ้นจากครั้งล่าสุดที่เคยเห็น บางทีเธอกำลังจะวิวัฒนาการจากลูกลิงกลายเป็นลูกคน...

    อารุคลืมลูกบอลที่อุตสาหะใช้เวลาปั้นหลายนาทีแล้วเริ่มสนใจว่าน้องสาวตนกำลังกำอะไรอยู่ได้ตลอดเวลา... เจ้าชายน้อยเอานิ้วชี้เขี่ยให้เธอแบมือออก ปรากฏว่านาเกียเปลี่ยนไปคว้ามือของเขาแทน

    เจ้าชายน้อยนิ่งเหมือนโดนไฟช็อต เขาทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกนุ่มนิ่มและไออุ่นจากกำปั้นเด็กทารกเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน มันต่างกับอ้อมกอดทรงพลังของท่านพ่อ หรือมือที่คอยลูบหัวแบบอ่อนโยนอย่างท่านแม่

    สักพักใหญ่ อารุคก็เพิ่งสังเกตเห็นลูกบอลที่ทิ้งไว้บวมเป่งพร้อมส่องแสงจ้า เขารู้ทันทีว่าต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น... ถ้าเขาปั้นลูกบอกขนาดใหญ่ไว้แต่ลืมดู ส่วนใหญ่มันจะแตกตัวกลับไปอยู่ในสภาพเดิม หรือไม่ก็... ระเบิด

    อารุคหน้าซีด เขารีบถอดเอาลูกบอลที่คลุมตัวออกแล้วจับมันแยกส่วนอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นหากบอลลูกใหญ่มาชนกันเองระเบิดจะยิ่งแรงขึ้นกว่าเดิม ในตอนนี้ แสงสว่างของลูกบอลที่จวนระเบิดทำให้เจ้าชายน้อยมองเห็นทั้งห้องอย่างชัดเจน

    เขาไม่มีทางเลือกจึงรีบปลุกท่านแม่ เธอสะดุ้งลุกขึ้นมาแบบงงๆ แล้วรวบคออารุคกระแทกลงกับพื้นเพราะนึกว่าคนร้าย

    “ข้าเอง!” อารุคตกใจเพราะไม่เคยเห็นแมที่ท่าทางน่ากลัวขนาดนั้นมาก่อน
    แม้ลูกบอลจวนระเบิดจะเปล่งแสงสว่างจ้า แต่ท่านแม่ก็ยังมองไม่เห็น ห้องนี้จึงมืดสนิทสำหรับเธอ

    “อารุค.. เข้ามาทำอะไรตอนกลางคืน!?” แม่ของเขารีบจุดตะเกียงเพื่อยืนยันว่าเป็นลูกตัวเอง

    “ในห้องมีระเบิด ท่านแม่ต้องพานาเกียออกจากห้องเดี๋ยวนี้!” เขาตะโกน

    “ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เจ้าแกล้งคนทั้งวังยังไม่พอ ต้องมากวนพวกเราต่อด้วยหรือไง รู้ไหมว่าตอนนี้แม่เจ้านอนไม่พอ” ท่านแม่ส่ายหัว

    “เรื่องจริงนะ! เพราะว่าระเบิดนั่น ข้า..”

    “ข้าเชื่อก็ได้ แต่ถ้าไม่มีระเบิด เจ้าจะมีปัญหาแน่ๆ” ท่านแม่อุ้มนาเกียออกจากเปล “ตอนนี้ แม่จะหลบออกจากห้องตามที่ลูกพูด”

    อารุคดีใจที่ลากเอาท่านแม่ออกมาได้สำเร็จ พอเปิดประตูออกมา ทหารองครักษ์ถึงกับทำหน้ามึนที่เห็นเจ้าชายเดินออกมาจากในห้อง

    “พวกเจ้าเฝ้ากันแบบไหนถึงปล่อยให้เจ้าชายมุดเข้าไปในห้อง”

    ท่านแม่กำลังหงุดหงิดเพราะอดนอนและโดนปลุกให้ตื่นกลางดึก หลังจากที่ถามพวกทหาร เธอก็หันมาจ้องเขาด้วยดวงตาสีเขียวดุๆ อารุคคิดว่าตนคงงานเข้าแล้ว...

    “องค์ราชินี... พวกเราอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา” ทหารที่โดนอารุคขโมยกุญแจเป็นคนตอบ

    “ท่านหัวหน้า” ทหารอีกคนรีบขัด “ตอนที่ประตูเปิดออกเองตอนนั้นไง ที่พวกเราคิดว่ากลอนเสีย เจ้าชายตัวเล็กนิดเดียว คงแอบมุดโดยพวกเราไม่เห็น”

    “แต่พวกเรามีตั้งสิบสี่คน จะไม่เห็นตอนที่เจ้าชายเดินมาเลยหรือไง” คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าพูดพร้อมกับมองหน้าอารุคตรงๆ หลังจากนั้นจึงหลบตาเพราะมันเป็นการเสียมารยาท

    และแล้ว ลูกบอลยักษ์ก็ระเบิดเสียงดังลั่น มันช่วยอารุคออกจากสถานการณ์ชวนอึกอักเพราะทุกคนหันไปสนใจเสียงระเบิดในห้อง พอไม่ได้ยินเสียงระเบิดครั้งที่สอง นายทหารคนหนึ่งจึงค่อยๆ แง้มประตูดู

    ห้องนอนของท่านแม่เละเทะไปหมด โดยเฉพาะเปลของนาเกียเพราะตรงนั้นเป็นบริเวณที่อารุคโยนลูกบอลทิ้งพอดี พอทุกคนเห็นสภาพแบบนั้นจึงปักใจเชื่อว่ามันคือการลอบสังหารเจ้าหญิงวัยหกเดือนอย่างไม่มีเงื่อนไข เด็กชายจึงยิ่งคำพูดจุกปาก เขาไม่กล้าบอกว่าระเบิดเป็นฝีมือตัวเอง

    ในคืนนั้น อารุคหลับไปด้วยความง่วงเพราะเลยเวลานอนของเด็กแล้ว เขาตื่นขึ้นมาตอนสายๆ และพบว่ามีทหารองครักษ์ที่ถูกส่งมาประกบติดตัวเขาไว้ตลอดเดือนจนกว่าจะมั่นใจในสถานการณ์

    นอกจากเรื่องระเบิดที่ไม่กล้าบอกใคร อารุคยังพบว่าลูกบอลที่เคยลอยอยู่กลางอากาศมากมายนั้นหายไปแล้ว ในตอนแรก เจ้าชายน้อยก็พยายามตามหามันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขารู้สึกว่าตนกำลังสูญเสียสิ่งพิเศษของตัวเองไป

    ทว่า เมื่อวันเดือนคล้อยผ่าน เขาก็เริ่มเจอเรื่องน่าสนุกอื่นๆ ให้ทำ สุดท้ายจึงค่อยๆ ลืมไปว่าครั้งหนึ่ง... เคยมีกองทัพลูกบอลที่ตนมองเห็นและควบคุมได้เพียงคนเดียว
    taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  3. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    บทที่ 2 พลิกผัน

    อารุคเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างห่างเหินกับน้องสาว เขาตีตัวออกเอง และจะเข้าใกล้เฉพาะยามอยากแกล้งเท่านั้น ส่วนนาเกียที่เหงาเพราะไม่มีเพื่อนอายุใกล้เคียงกันจะพยายามตามเพื่อขอเล่นด้วยตลอดเวลา และนั่นก็แค่ส่งผลให้เจ้าชายอารุครังแกได้ง่ายขึ้น


    เมื่อเวลาผ่านไป เด็กชายเริ่มเป็นผู้ใหญ่ บวกกับสภาพแวดล้อมของสังคมชั้นสูง เขาเลยยิ่งโตเร็วมากเพราะความกดดันรอบตัว เขานิ่งขึ้น เลิกแกล้ง แต่ก็ไม่ยุ่ง... พอนาเกียเห็นการวางตัวแบบใหม่จึงไม่กล้าตามติดเหมือนเคย เธอเล่นอยู่คนเดียวจนชินแล้ว และความเป็นเจ้าหญิงรัชทายาททำให้มีบทเรียนมากมาย


    เมื่อร่างเล็กๆ ที่เคยเดินตามให้โดนแกล้งค่อยๆ หายจากสายตา และโผล่ไปอยู่ในห้องเรียนเพื่อเรียนวิชาที่อารุคไม่มีโอกาสเพราะมันไม่จำเป็นต่อเจ้าชายผู้ไร้สิทธิในบัลลังก์ เขาก็รู้สึกเจ็บแปล็บในอก


    เขาไม่เคยชอบบทเรียน แต่เมื่อเห็นน้องได้มีโอกาสมากกว่าก็อิจฉา เด็กชายเริ่มเห็นคุณค่าและตั้งใจขึ้น ขนาดอาจารย์ที่สอนเขายังรู้สึกแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลง


    “ท่านกำลังจะกลายเป็นเจ้าชายที่ดี” อาจารย์ชื่นชมหลังจากเห็นการปรับปรุงตัวของเขาใหม่


    “อาณาจักรนี้ไม่ได้ต้องการเจ้าชายที่ดี... แต่เป็นเจ้าหญิงที่ดีต่างหาก” อารุคตอบประชด


    เจ้าชายอารุคมีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ สักพักก็จับหลักและไล่ตามสิ่งที่ทิ้งมาตลอดได้ในเวลาสั้นๆ เด็กชายกลายเป็นอัจฉริยะเรื่องตัวเลข จดจำประวัติศาสตร์กับศาสนา ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ทุกคนยอมรับความสามารถ แต่มันก็ยังสู้นาเกียไม่ได้


    นาเกียไม่ใช่เด็กเก่ง ทุกอย่างที่เธอทำนั้นอยู่ในระดับมาตราฐาน แต่เหล่าขุนนางและอาจารย์จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทั้งยังตื่นเต้นกันราวกับเป็นเรื่องตัวเอง เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าเธอคือราชินีคนถัดไปของประเทศนี้


    เด็กชายเข้าใจเหตุผล... แต่ด้วยอารมณ์อิจฉา... จึงยอมรับไม่ลง


    นาเกียยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอารมณ์อารุค เธอจึงมีแค่ความรู้สึกชื่นชมพี่ชายที่ทำอะไรก็เก่งไปหมดและอยากเป็นเหมือนเขาเพื่อจะได้ตอบรับความคาดหวังของทุกคน


    ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในลักษณะไม่พูดไม่จายังดำเนินต่อไปจนเขาอายุสิบสามและนาเกียอายุแปดขวบ อารุคจะเลือกทักทายน้องสาวตัวเองเฉพาะเวลามีคนอื่นมองอยู่เท่านั้น... และเธอก็สัมผัสได้ถึงการเว้นระยะห่างจากพี่ชายตัวเอง


    ทว่า ในปีนั้น จู่ๆ ท่านพ่อก็เรียกไปพบในห้องทำงานของท่านแม่ และเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปก็ต้องตกใจ


    ท่านแม่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน เธออายุเกือบสี่สิบแล้ว... แต่ผิวที่เนียนสวย และการดูแลตัวเองทำให้คงบุคลิคสวยสง่าราวกับสาวพันปี เส้นผมสีน้ำตาลหนาๆ ถูกมัดรวบไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย และมันก็เข้ากับดวงตาสีเขียวมาก


    อารุคภูมิใจกับท่านแม่ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีที่สวยสง่าที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อเทียบกับท่านพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงจะอายุเท่ากันกลับดูแก่กว่าหนึ่งรอบ เขาโกนหนวกตัดผมมาเรียบร้อยดี แต่การเลือกใส่เฉพาะเสื้อขนสัตว์สีเทาตุ่นๆ นั้นมีผลอย่างมาก


    ทว่า เรื่องการแต่งกายของพ่อแม่ตัวเองไม่ใช่สาเหตุที่อารุคตกใจ เขาตกใจกับคนที่ท่านพ่อพามาอยู่ในห้องมากกว่า...


    ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาเข้มทั้งตัว เขาไว้เครากับผมสีขาวยาว และยังถือไม้เท้าที่ดูไม่น่าไว้ใจอีกด้วย... การแต่งกายและอุปกรณ์ในมือบ่งบอกทันทีว่าเขาคือพ่อมดลัทธิเถื่อน พ่อมดลัทธิเถื่อนคือผู้ไม่นับถือเจ้าแม่แห่งผืนดิน เทพเจ้าสูงสุดแห่งอาณาจักรเซีย


    “ท่านพ่อคบหาคนนอกศาสนาหรือครับ” เขายิงคำถามตรงๆ


    พ่อมดลัทธิเถื่อนดูเหมือนจะสะดุ้งไปเล็กน้อย เขาจัดเคราขาวๆ ของตนให้เข้าที่ แล้วยิ้มให้


    “อารุค พ่อแม่เจ้าไม่เคยบอกอะไรเลยสินะ”


    “นอกจากครอบครัว ข้าไม่อนุญาตให้เรียกชื่อห้วนๆ” อารุคทำเสียงแข็ง เขาถึงเป็นเจ้าชายของอาณาจักรนี้จึงไม่ชอบเวลาโดนคนระดับต่ำกว่าตีสนิท


    “ก็ได้ เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร ข้าแค่แวะมาดูหน้าลูกชายที่เพื่อนของข้าพูดถึงเท่านั้น”


    “อารุค นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมีพิธีรีตองอะไรอีกแล้ว...” ท่านแม่แทรกขึ้น “พ่อเจ้ากำลังจะออกเดินทางกับเขา และเจ้าโตพอจะรู้เรื่องแล้วเลยต้องบอกไว้”


    “ท่านพ่อจะเดินทางกับพ่อมดลัทธิเถื่อน? ทำไมครับ ทุกคนในอาณาจักรรู้ว่าเวทมนตร์เป็นสิ่งชั่วร้าย มันผิดต่อเจ้าแม่แห่งผืนดิน...”


    อารุคแอบต่อท้ายในใจไปว่าขนาดเด็กบื้อๆ อย่างนาเกียยังรู้เลยด้วยซ้ำ!


    “มันจำเป็น แต่พ่อไปไม่นาน แค่สามเดือนเท่านั้น” พ่อของเขาล้วงเอาอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยัดลงมืออารุค “ต่างหูอันนี้ให้ใส่เอาไว้


    “ให้ใส่ต่างหูอันนี้หรือครับ...” อารุคมองหน้าพ่อของตนสลับกับต่างหูหินสีเทาบนมือ
    ต่างหูเป็นที่นิยมของขุนนางกับชนชั้นสูง แต่มันต้องประดับด้วยเพชรพลอย ไม่ใช่หินธรรมดาแบบเจ้าของชิ้นนี้


    “ถ้าพ่อกลับมาเมื่อไรก็จะอธิบายเหตุผลให้เจ้าฟังทั้งหมด และหยุดเรียกเขาว่าพ่อมดลัทธิเถื่อนได้แล้ว เขามีชื่อว่าเซยาฟ”


    “ต้องเรียกข้าว่าพ่อมดเซยาฟ เพราะข้าก็ไม่ชอบให้เด็กอย่างเจ้ามาเรียกชื่อข้าห้วนๆ เหมือนกัน” พ่อมดชราได้ทีรีบสวนกลับ


    ดูเหมือนบรรดาขุนนางจะไม่รู้เรื่องพ่อมดเซยาฟ ตอนที่ท่านพ่อออกเดินทางก็ให้เหตุผลกับทุกคนว่าไปหาเพื่อนเก่า แน่นอนว่าพวกในวังพยายามห้ามเขาไว้เพราะการเดินทางออกนอกอาณาจักรคนเดียวมันอันตราย


    อารุคเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ห้าม เขาไม่ชอบให้พ่อตนเดินทางกับพ่อมดลัทธิเถื่อน แต่คงเพราะยังเด็กอยู่จึงเสียงไม่ดังพอ


    จริงๆ แล้วเขามีตำแหน่งสูงกว่าพ่อตัวเอง อารุคเป็นเจ้าชายและลูกของราชินี ส่วนท่านพ่อเป็นเพียงท่านลอร์ดระดับบนๆ คนหนึ่ง ระบบการปกครองโดยมีราชินีเป็นใหญ่ของเซียนั้นสืบเนื่องมาจากหลักศาสนาที่มีเจ้าแม่แห่งผืนดินเป็นเทพเจ้าสูงสุด


    พวกเขาเชื่อกันว่าราชวงศ์เซียสืบสายเลือดมาจากเจ้าแม่แห่งผืนดิน ดังนั้นผู้หญิงจึงสมควรเป็นตัวแทนของนางในการปกครองประเทศ เพราะเหตุนี้ อารุคเลยมีความอิจฉาในตัวนาเกียมาตลอด เด็กชายเกิดก่อน อายุมากกว่า แต่พออายุครบสิบสี่ซึ่งก็คือปีหน้า เจ้าชายอารุคต้องถูกบังคับให้ถือสถานะนักบวชละทิ้งทางโลก และตัดขาดจากครอบครัวโดยสิ้นเชิง


    เจ้าแม่แห่งผืนดินคือสิ่งดีงาม แต่ทุกตำนานย่อมมีด้านมืดแฝงเข้าไปเสมอ เจ้าแม่แห่งผืนดินมีพี่ชายหนึ่งคน เรียกกันว่าเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า... เขาเป็นพ่อมดและใช้เวทมนตร์อันชั่วร้าย ดังนั้นเพื่อระงับสายเลือดของพ่อมดชั่วร้าย เหล่าเจ้าชายในราชวงศ์จึงต้องอยู่ใกล้ชิดเจ้าแม่ผู้ศักสิทธิ์ไปตลอดชีวิตด้วยการบวช


    อารุครับรู้ในเส้นทางชีวิตนี้ตั้งแต่เล็ก เขาต้องแยกจากท่านพ่อท่านแม่ ย้ายออกจากวังไปอยู่วิหาร และอุทิศชีวิตเพื่อการสวดภาวนาจนตาย...


    ส่วนนาเกียกลับมีเส้นทางอันแสนอบอุ่นรออยู่ เธอไม่จำเป็นต้องย้ายออกจากวัง และมีสิทธิได้อยู่ใกล้ท่านพ่อท่านแม่เพื่อเรียนรู้หนทางของราชินีไปอีกหลายสิบปี และตัวเขาจะกลายเป็นเพียงเงาที่เลือนหายไปตามกาลเวลา


    อารุคคิดว่าท่านพ่อคงเป็นเงาที่หายไปกับกาลเวลาด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากออกเดินทางกับพ่อมดลัทธิเถื่อน... เขาก็สาปสูญไปเงียบๆ และไม่มีใครจริงจังกับการส่งกองกำลังทหารเพื่อออกตามหาเลย


    อารุคเก็บความน้อยใจนี้ไว้จนถึงวันที่ต้องถวายตัวต่อเจ้าแม่แห่งผืนดิน เขากำลังจะเป็นนักบวชแล้วแต่ก็ยังละทิ้งทางโลกไม่ได้ ภายในใจของเด็กอายุสิบสี่นั้นมีความฝันและเรื่องที่อยากทำอยู่มากมาย


    ภาพตรงหน้าเขาตอนนี้คือวังที่ปูด้วยพรมสีน้ำตาลสะอาด สีน้ำตาลเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่แห่งผืนดิน อารุคค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ โดยรอบข้างมีหญิงรับใช้ พี่เลี้ยง อาจารย์ และทหารทุกคนก้มหัวเพื่ออำลาเขา


    พอเดินจนถึงประตูใหญ่ คนที่ยืนรอส่งออกจากวังคือแม่กับน้องสาวของเขา ทั้งคู่แต่งกายด้วยสีน้ำตาลทั้งตัว ท่านแม่ยังคงสวยสง่าไม่เปลี่ยนเหมือนเคย วันนี้เธอเกล้าผมขึ้นแล้วประดับด้วยมุก ส่วนนาเกียในสายตาอารุคเหมือนจะดูดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย


    นาเกียถอดรูปหน้ากับเส้นผมสีน้ำตาลจากแม่ที่เขาแอบเรียกในใจว่าสาวพันปี เสียอย่างเดียวคือเธอได้จมูกแบนๆ ของพ่อมา ไม่งั้นก็คงจะกลายเป็นหญิงงามเหมือนท่านแม่ในอนาคตอย่างแน่นอน


    ถึงจะจมูกแบน แต่ในภาพรวม นาเกียนับว่าดูดีขึ้นตามวัย แปลว่าลูกลิงขี้เหร่ก็ยังมีพัฒนาการอยู่บ้าง


    “พวกเราไปกับเจ้าได้ถึงรั้วเท่านั้น” ราชินีดึงเขาเข้าไปกอดแน่น ส่วนนาเกียยืนอยู่ข้างๆ โดยทำท่าเหมือนอยากมีส่วนร่วม


    เจ้าชายรู้สึกว่าขณะโดนกอด ราชินีแอบยัดอะไรลงในกระเป๋ากางเกง เขาพยายามจะเอามือล้วงเข้าไปหยิบแต่ถูกเธอห้ามไว้


    “นั่นคือค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่แม่อยากให้เจ้าไว้เป็นก้อนสุดท้าย” เธอกระซิบข้างหูเขา


    “แต่นักบวชคือผู้ละทิ้งทางโลก” อารุครู้สึกงงที่แม่ของตนยุให้ทำเรื่องผิดต่อเจ้าแม่แห่งผืนดิน


    “ถึงนักบวชจะละทิ้งทางโลก แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่บนโลก เก็บมันเอาไว้ให้ดี”


    นาเกียทำท่าอยากเข้าไปกอดด้วยแต่ไม่กล้าเพราะเขาคอยแสดงอาการไม่ชอบใจเธอตลอดเวลา ทว่าอารุคในวันนี้กลับใจดีผิดปกติ เขากลายเป็นฝ่ายดึงเธอเข้าไปลูบหัวเบาๆ


    “ข้าต้องไปอยู่วิหาร คงไม่มีสิทธิทำอะไรอีก แต่ถ้าเจ้าโตขึ้นเมื่อไร อย่าลืมตามหาท่านพ่อด้วยนะ”


    ราชินีเกือบน้ำร่วงตอนที่เจ้าหญิงนาเกียพยักหน้ารับคำ เธอพยายามทำเรื่องขอกำลังทหารไปหลายครั้ง แต่ประเทศนี้ไม่ได้ปกครองด้วยราชินีคนเดียว มันยังติดขั้นตอนต่างๆ ในสภาขุนนาง เธอรู้สึกแน่นในหน้าอกเมื่อพบว่าพวกลูกๆ ยังไม่ลืมพ่อของตน


    อารุคยังคงรู้สึกไม่ชอบน้องสาวที่จะได้ครอบครองทุกอย่างในประเทศนี้ รวมถึงตัวท่านพ่อท่านแม่ด้วย แต่ท่านแม่เหลือเพียงนาเกียคนเดียวแล้ว ทุกอย่างจึงต้องฝากไว้กับเธอเท่านั้น


    เจ้าชายอารุคก้าวออกจากรั้ววังเพียงคนเดียว ราชินีกับเจ้าหญิงยืนส่งด้านหลัง ตามปกติแล้ว เขาไม่สามารถพกอะไรติดตัวไปได้เลยเพื่อแสดงถึงการถวายตัวต่อเจ้าแม่แห่งผืนดิน และยังต้องเดินเท้าเปล่าไปจนถึงวิหารที่ห่างออกไปประมาณห้าถนนหลัก


    วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน พื้นถนนที่ทำจากหินจึงระอุเป็นพิเศษด้วย อารุครู้สึกว่าเท้ากำลังใกล้จะพอง แต่เขาจำเป็นต้องเดินต่อไปด้วยท่าทีสง่างามเพราะตามทางนั้นมีประชาชนมายืนดูอยู่ตลอด


    เขาได้ยินเสียงซุบซิบชื่นชมในใบหน้าของเขาที่ลอกแบบมาจากท่านแม่ผู้มีความนิยมสูง แต่ก็แอบได้ยินคนนินทาถึงสีผมและสีตาสุดประหลาดของตัวเองเช่นกัน


    “คนนั้นหรือเจ้าชายอารุค” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ


    “อืม.. เขาหน้าเหมือนองค์ราชินี แต่ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก...” เสียงหญิงแก่อีกคนตอบกลับ


    “ทำไมยายถึงคิดว่าน่ากลัวล่ะ ถ้าหน้าเหมือนองค์ราชินีก็ต้องแปลว่าหน้าตาดีสิ”


    “สีผมสีตาของเขา ไม่เหมือนของใครในราชวงศ์ มันเป็น.. สีของปีศาจร้าย”


    “ยาย เบาจ้ะเบา... พูดดังเกินไปแล้ว...”


    อารุคสะดุ้งไปนิดหน่อย เขามีผมและตาสีทองคำซึ่งต่างจากทุกคนในครอบครัว... จริงๆ ท่านพ่อก็มีผมสีทอง เพียงแต่ของอารุคนั้นสีอ่อนกว่ามาก หลายคนจึงรู้สึกหลอนกับสีที่เกิดมาแบบไม่มีที่มาที่ไป... แต่การโดนเรียกว่าปีศาจร้ายนี้เป็นครั้งแรก


    อารุคยังคงรักษาท่วงท่าการเดินต่ออย่างสงบ เบื้องหน้าเขาเป็นทางเดินหินร้อนๆ ทอดยาว และไม่ว่าจะมีประชาชนสักกี่คนแอบดูหรือนินทาก็ต้องไปให้ถึงวิหารเจ้าแม่


    ทว่า จู่ๆ เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ รอบข้างไม่ควรจะเงียบขนาดนี้... อารุคได้ยินเพียงแค่เสียงของใบไม้ส่ายตามลมเท่านั้น เจ้าชายผู้กำลังจะเป็นนักบวชเริ่มทำตาเหล่มองซ้ายขวา และก็ต้องตกใจสุดๆ


    ทุกคนที่มารอยืนดูเขากำลังนอนหลับบนพื้นหินร้อนฉ่า ขนาดเท้าเขายังใกล้จะสุกแล้ว ทำไมคนพวกนี้กล้านอนโดยเอาหน้าทาบลงไปได้ ไม่กลัวผิวไหม้กันหรือไง..? ตามพิธีการ เจ้าชายจะต้องเดินต่อไปโดยห้ามออกนอกเส้นทาง แต่เขาทนดูประชาชนตัวเองอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้


    อารุควิ่งไปประคองหญิงแก่ใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาและพยายามตบหน้าให้ตื่น แต่เธอหลับสนิทจนน่ากลัว ราวกับว่าเป็นอาคมของพ่อมดลัทธิเถื่อน...


    ‘อารุค’


    เจ้าชายได้ยินเสียงคนเรียก.. มันเป็นเสียงผู้หญิงสาว


    “นางแม่มด... เจ้าทำอะไรกับประชาชนของเรา” อารุคตะโกนตอบโต้ทันที


    ‘ข้าไม่ใช่แม่มด แต่ข้าอยากให้เจ้าเลือก... คนทั้งเมืองจะหลับไปอีกครึ่งวัน เจ้ามีโอกาสแล้ว’


    อารุคเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงนี้มันดังก้องจากในหัวของเขา


    ‘จงเลือกว่าจะเดินไปถึงวิหารและถวายตัวเป็นนักบวช หรือใช้เวลาครึ่งวันนี้ในการเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง...’


    น้ำเสียงที่อบอุ่นและอ่อนหวานคล้อยผ่าน มันชวนให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้ม เขารู้มาแต่เด็กว่าตนต้องเป็นนักบวชเพราะมันคือหน้าที่ ใช่ว่าอยากจะทำจริงๆ


    “ข้าคือเจ้าชายแห่งเซีย!” อารุคสลัดเสียงที่อ่อนหวานนั้นออกจากหัว “ชะตาชีวิตของข้าอยู่ในอุ้งมือเจ้าแม่แห่งผืนดิน ปีศาจร้ายไม่สามารถบ่ายเบี่ยงใจข้าได้!”


    ‘ชีวิตของเจ้าไม่ได้อยู่ในอุ้งมือใครนอกจากตัวเจ้าเอง...’


    “เงียบซะ! นางแม่มด ทำให้ประชาชนของข้าหลุดจากมนตร์สะกดเดี๋ยวนี้!”


    อารุคตะโกนเรียกให้นางแม่มดปรากฏตัว แต่เธอเงียบและไม่พูดอะไรอีกเลย เขาจึงรีบวิ่งไปวิหารให้เร็วที่สุด ที่นั่นเจ้าแม่แห่งผืนดินคงช่วยคลายมนตร์สะกดของปีศาจร้ายได้


    เจ้าชายอารุคพบคนนอนสลบตลอดเส้นทางที่ผ่าน เขาเริ่มเร่งฝีเท้ามากขึ้น และเมื่อวิ่งมาถึงหน้าวิหารก็พบสภาพไม่ต่างกัน เหล่านักบวชในชุดคลุมสีน้ำตาลสิบกว่าคนนอนพาดร่างบนขั้นบันได สภาพโดยรอบนั้นเงียบสนิทเพราะทุกชีวิตกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงนิทรา


    อารุคก้าวขึ้นบันไดแล้วหยุดอยู่หน้าประตูวิหารที่เปิดรอการมาของเขา ตัววิหารเป็นสีขาวสะอาดตา แต่มีแต่งแต้มผนังบางส่วนด้วยสีน้ำตาลเพื่อใช้สื่อถึงเจ้าแม่แห่งผืนดิน เจ้าชายก้มลงมองที่เท้าและรู้สึกถึงความขัดแย้งภายในใจ...


    ขนาดนักบวชเฒ่าที่อยู่ระดับสูงสุดของวิหารยังนอนสลบอยู่บนพื้นข้างๆ เท้าของเขา ทำไมเวทมนตร์ชั่วร้ายถึงสามารถเข้ามาคุกคามได้ถึงถิ่นของเจ้าแม่แห่งผืนดิน...


    ‘พวกเขาแค่หลับไป... ไม่มีอันตรายอะไร’


    อารุคสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวคนเดิมพูดขึ้นในหัว


    “เจ้าต้องการอะไร”


    ‘อารุค เจ้าเป็นเจ้าชายที่เติบโตตามแบบแผน... ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้ให้แล้ว ไม่เคยคิดอยากต่อต้านหรือมีอะไรอื่นที่อยากลองทำเลยหรือ’


    “ข้าอาจจะมีอะไรที่อยากทำก็จริง แต่ในวันนี้ได้เตรียมใจเพื่อการถวายตัวแล้ว”


    ‘เจ้าเตรียมใจเพราะคิดว่ามันไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้ทางเลือกได้แบ่งออกเป็นสอง... ระหว่าง อยู่ที่นี่เป็นนักบวชที่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวตลอดชีวิต หรือ... เดินออกจากเมืองและกำหนดก้าวเดินด้วยตัวเอง’


    “เจ้าพยายามโน้มน้าวไม่ให้ข้าเป็นนักบวช”


    ‘นั่นเพราะข้ารู้มาตลอดว่าความต้องการอันแท้จริงของเจ้าคืออะไร...’


    คำพูดของนางแม่มดดูน่าสงสัยอย่างที่สุด เขาไม่ควรจะเชื่อ แต่เพราะเธอพูดแทงใจเรื่องความต้องการอันแท้จริง และเนื้อเสียงแบบนั้น... อารุครู้สึกคุ้นเหมือนเคยได้ยินมาก่อนในอดีตแสนไกล


    “เจ้า..เป็นใคร”


    ‘คนที่ห่วงใยเจ้าเพียงสองคนในโลกนี้’


    เจ้าชายนิ่งไปเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้าย เขาเริ่มจับทางได้ว่าใครคือคนพูด... อารุคค่อยๆ ก้มหน้ามองชุดคลุมนักบวชสีน้ำตาลของตัวเอง


    เขามีเพียงความคิดว่าอยากอยู่ในวัง ใช้ชีวิตอยู่ข้างๆ ท่านพ่อท่านแม่ และคอยเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ จากอาจารย์ผู้สอนหนังสือเท่านั้น หากต้องเลือกทางเดินของตัวเองแล้ว อารุคก็คิดไม่ออกว่ามันจะเป็นอย่างไร


    แต่การถวายตัวต่อเจ้าแม่แห่งผืนดินและใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัดภายใต้หลักศาสนานั้นก็ไม่ใช่ตัวเขาอีก... ทว่า ถ้ายังยืนอยู่ตรงนี้ รอจนทุกคนตื่นขึ้นมา อารุคต้องเข้าสู่เส้นทางนักบวชอย่างเต็มตัว แล้วโอกาสเล็กๆ ที่ถูกหยิบยื่นให้ก็จะปิดตายลง


    เจ้าชายอารุคเดินลงบันไดอย่างช้าๆ แล้วหยุดยืนนิ่งก่อนจะก้าวขาออกจากอาณาเขตของวิหาร ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีต่างๆ เริ่มตีกันในหัว... เพราะตอนนี้เขากำลังจะหนีจากเจ้าแม่แห่งผืนดินละภาระหน้าที่ไปหาความต้องการอันเห็นแก่ตัวของตนเอง


    อารุคมองย้อนกลับไปยังประตูวิหาร แล้วหันไปทางปราสาทที่ตนเพิ่งจากมาพร้อมกับเอ่ยเบาๆ


    “ข้าเองก็ห่วงใยท่านเหมือนกัน”


    ในปราสาทมีคนที่เขารักอยู่ ท่านแม่กับอาจารย์ ส่วนท่านพ่อหายสาปสูญ ดังนั้นจะต้องไปตามตัวกลับมาให้ได้ และอารุคเองก็ไม่จำเป็นต้องฝากเรื่องต่างๆ ไว้กับนาเกียอีกแล้ว... เพราะถัดจากนี้ ชีวิตได้กลายเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น


    อารุคเดินผ่านประชาชนที่กำลังหลับไหลโดยไม่ย้อนกลับมามองเป็นครั้งที่สอง เขาได้เลือกชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งนักบวชหรือเจ้าชายแห่งเซียแล้ว
    taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  4. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    เฮ้ย เห็นชื่อซาลเด้งขึ้นมา ใน read this thread

    ไวชะมัด =[]=
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อารมณ์เหมือนอ่านนิทานดิสนีย์เลยแฮะ

    เจ้าชายออกเดินทางตามหาความหมายของชีวิตและกลับมาอย่างองอาจยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงอาณาจักรและเป็นกษัตริย์ที่ดี
    pentita ถูกใจสิ่งนี้
  6. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    เหวย อย่าสปอยเนื้อเรื่องผมจนถึงตอนสุดท้ายสิ

    เอ๊ยยย ไม่ใช่

    มันเป็นกษัตริย์ไม่ได้หรอก ในเมื่ออาณาจักรนี้รับแต่สาวๆ - -+
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  7. A.K.Thathap

    A.K.Thathap Active Member

    EXP:
    128
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    28
    แวะเข้ามาเป็นกำลังใจให้จ้า!
    pentita ถูกใจสิ่งนี้
  8. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อ่านจบตอน 2 เรียบร้อย >_< ตอนที่จู่ๆมีคนมาทำให้ชาวบ้านหลับไปนี่ค่อนข้างปุบปับไปอยู่ซักหน่อย แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเค
    pentita ถูกใจสิ่งนี้
  9. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    รับกำลังใจคร้าบ :oops:

    ตอนที่ 2 ได้ปรับปรุงบทบรรยายกับ ยืดเรื่องออกมานิดหน่อย เลยมีเนื้อหาเพิ่มขึ้น

    ตอนแรกไม่กล้าใส่เยอะ กลัวคนอ่านจะตามไม่ทัน ^^"
  10. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    บทที่ 3 หัวขโมยกำมะลอ

    ในป่าดิบชื้นใกล้เขตชายแดน เด็กผู้ชายผมทองคนหนึ่งกำลังเดินแบบท้าให้โจรเข้ามาปล้น... ที่จริงเขาแค่เดินกลางเส้นทางเท่านั้น แต่เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมื่อพ้นจากเขตเมืองหลวง ความปลอดภัยก็ไม่มีอีกแล้ว


    รอบข้างเป็นต้นไม้ขึ้นรก กลิ่นของซากใบไม้แห้งกับดินเลนฉุนมากจนอารุคต้องยกนิ้วขึ้นมาขยี้จมูกอยู่บ่อยๆ เขายังคงสวมชุดคลุมสีน้ำตาลของนักบวชที่มีชายกระโปรงลากยาวเกือบติดพื้น และมันทำให้เจ้าชายผู้ไม่เคยก้าวออกจากวังต้องสะดุดล้มสิบกว่าครั้งในวันเดียว ในตอนนี้ ทั้งแขนขาก็มีแต่คราบโคลนเหนอะหนะ สภาพเลอะเทอะไปทั้งตัว


    เขาคิดถึงเตียงนุ่มๆ กับหนังสือที่อ่านค้างไว้ อารุคไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเดินป่าจะลำบากขนาดนี้ ในวันแรกที่เพิ่งออกมายังสบายๆ อยู่เพราะกำลังตื่นเต้นกับโลกใบใหม่่ แต่พอฟ้าเริ่มมืดลง อดีตเจ้าชายก็ต้องช็อคกับฝูงแมลงจำนวนมหาศาล!

    อาณาจักรเซียอยู่ในเขตอบอุ่น ช่วงหน้าหนาว แมลงที่จำศีลไม่ทันต่างตายหมด แต่เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้จึงพากันขยันแตกหน่อแตกใบ และแมลงก็จะกลับมาครองป่าอีกครั้ง แม้ปริมาณไม่มากเท่าพวกประเทศเขตร้อน แต่แค่นี้ก็มากพอสำหรับอารุคแล้ว

    อารุคสู้รบปรบมือกับฝูงแมลงตลอดคืนจนม่อยหลับไปเองกลางคันเพราะความเหนื่อย และเมื่อตื่นมาก็เห็นรอยถูกกัดเป็นจ้ำแดงทั่วตัว นอกจากนั้น ท้องยังเริ่มแสบนิดๆ ร่างกายค่อยๆ อ่อนเปลี้ยหมดแรง ลำคอแห้งผาก เขาคิดว่าตนคงไม่สบายเพราะโดนแมลงมีพิษกัดแน่ๆ บางทีอาจจะเป็นไข้ป่า...

    แต่...เมื่อเดินจนเจอลำธารและได้ลองก้มหัวดื่มน้ำ อารุคก็คิดว่าตนช่างโง่สิ้นดี เพราะนั่นคืออาการหิวข้าวหิวน้ำต่างหาก! อดีตเจ้าชายไม่เคยอดข้าวจึงเพิ่งได้สัมผัสกับการแสบท้องหิวเป็นครั้งแรก

    อารุคเป็นหนอนหนังสือ เขาเขียนหนังสือด้วยภาษาประเทศเพื่อนบ้านได้ เขาพยายามศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ แถมยังชอบตัวเลขและคอยสร้างสมการขึ้นมาท้าทายอาจารย์บ่อยๆ อาจารย์เคยบอกว่าเจ้าชายแห่งเซียที่ตนสอนเป็นเด็กฉลาดมีหัวคิดก้าวไกล แต่ตอนนี้เด็กฉลาดหัวคิดก้าวไกลกลับรู้สึกว่าโลกที่เคยอยู่เป็นเพียงห้องแคบๆ เท่านั้น

    หนังสือหลายเล่มมีเขียนไว้ว่าป่าคือแหล่งอาหาร แต่พอมองไปรอบๆ ก็นึกไม่ออกว่าจะเอาของกินมาจากไหน ผลหมากรากไม้ก็ไม่มีติดอยู่บนกิ่งตามแบบที่เคยเห็นจากหนังสือภาพแม้แต่นิดเดียว

    อดีตเจ้าชายเดินโซเซในชุดคลุมสีน้ำตาล ใบหน้าอิดโรย สักพักก็สะดุดรากไม้หกล้มหน้าคะมำ ดินเปรอะเต็มตัว เขาไม่พยายามจะลุกขึ้น แถมยังปล่อยตัวเองนอนพังพาบราบไปกับพื้น อารุคคิดว่าขอพักสักครู่เดียวเท่านั้น...

    พอหลับตาลง ภาพในอดีตอันแสนสบายก็ค่อยๆ กลับมาวนเวียนในหัว เขาเห็นท่านแม่กับนาเกียยืนอยู่หน้าปราสาท ทั้งคู่สวมชุดลำลองสำหรับใส่เดินสบายๆ ในห้องส่วนตัว ท่านแม่เริ่มเอ่ยเอื้อนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอบอุ่น เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ

    อารุคใจเต้นระรัว เขากำลังจะวิ่งไปหาแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นรอยยิ้มแสนหวานจากนาเกียเสียก่อน... เขาแสดงท่าทางเย็นชาใส่นาเกียมาตลอด เธอจึงอึดอัดและลำบากใจยามอยู่กับเขา ดังนั้น เด็กสาวผมสีน้ำตาลตรงหน้าย่อมเป็นเพียงภาพหลอน

    ท่านแม่ยังคงเรียกชื่อเขาอยู่ แต่เพราะเริ่มตั้งสติได้ น้ำเสียงอันอ่อนหวานชวนคล้อยฝันจึงค่อยๆ แผ่วลง และเงียบสนิทเสียเอง อารุคลืมตาแล้วรีบลุกขึ้นนั่งเนื่องจากกลัวว่าจะต้องหลับไปตลอดกาล อดีตเจ้าชายยกมือขึ้นตบหน้าแรงๆ สองทีเพื่อสลัดความง่วงก่อนฮึดเดินต่อ

    ป่าในวันนี้ดูน่ากลัวกว่าเดิม แม้กลิ่นเหม็นจากดินจางลงเพราะจมูกเขาเริ่มชิน แต่มันก็เดินยากขึ้นเพราะมีแนวต้นไม้เบียดทางเดินเข้ามา อารุคต้องเอามือผลักลำต้นอ่อนๆ ออกเพื่อเปิดช่องให้ตัวเองผ่านไปได้ ส่วนเจ้าเสื้อคลุมนักบวชยังคงเป็นตัวเกะกะเพราะมันคอยเกี่ยวรั้งเขาเอาไว้

    ถึงแม้อยู่ในช่วงเวลากลางวัน แต่ท้องฟ้ายังถูกบดบังด้วยร่มไม้สูงที่แผ่ออกเป็นแพต่อๆ กัน เด็กชายเริ่มตาลายอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตนเห็นเงาอยู่ไกลๆ ทว่ายิ่งเดินมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเงานั้นมาหยุดตรงหน้าและกระแทกท้องอารุคเข้าเต็มๆ

    เงานั้นกำถุงอะไรบางอย่างแล้ววิ่งจากไปอย่างเร็วที่สุด อารุคได้แต่กุมท้องแล้วมองตามหลัง เงาที่ว่าคือเด็กผู้ชายตัวมอมแมม รูปร่างเล็กกว่าเขาพอสมควร ทว่า เมื่อได้เพ่งมองถุงในมืออีกฝ่ายดีๆ อดีตเจ้าชายก็ต้องลุกขึ้นรีบไล่ตามทันที

    “เอาคืนมา!” อารุคตะโกนเสียงดังลั่น เพราะค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่แม่เขาให้ถูกขโมยไปแล้ว

    หัวขโมยตัวเล็กดูจะรู้เส้นทางในป่าเป็นอย่างดี เขาซ่อกแซ่กลอดไปตามช่องว่างของแนวต้นไม้ ส่วนอารุคที่พยายามไล่ตามก็โดนชายเสื้อคลุมเกี่ยวรั้งอยู่ตลอดเวลา ระยะห่างระหว่างทั้งสองจึงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่า… จู่ๆ เจ้าคนวิ่งหนีกลับหยุดเอาดื้อๆ และเปิดโอกาสให้อารุคกระโดดตะครุบตัว

    “ปล่อย!” ร่างนั้นกรีดเสียงแหลม อารุคทำตาโต... เธอเป็นเด็กผู้หญิง

    ทีแรกเขามองไม่ออก เพราะผู้หญิงทุกคนในปราสาทไม่มีใครไว้ผมสั้นกุดและไม่ตัวสกปรกขนาดนี้

    “ไอ้บ้า! ดูสถานการณ์บ้าง” เธอแผดเสียงต่อ “ข้างหลัง!”

    อารุคค่อยๆ เหล่มองด้านหลังโดยพยายามไม่ละสายตาจากเธอไปด้วย ปรากฏว่าข้างหลังมีผูู้้ชายสามคนยืนอยู่ ทั้งสามรูปร่างผอมแห้ง แต่ไหล่ค่อนข้างใหญ่ แขนขาเก้งก้าง และเมื่อดูจากรอยย่นบนหน้าแล้วคาดว่าอายุคงใกล้แตะเลขสี่เต็มที

    “ต้องการอะไร” อารุคเริ่มหวั่น ถ้าทั้งสี่คนเป็นพวกเดียวกันก็ไม่ต้องพูดเรื่องเอาเงินคืนอีกเลย สิ่งที่น่าห่วงมากกว่าคงเป็น... ‘ชีวิต’

    “ลุกสักที!” เธอแผดเสียงแล้วผลักเขาออก

    อารุคล้มหน้าคะมำ เด็กสาวตั้งท่าจะวิ่ง แต่สุดท้ายโดนคนทั้งสามช่วยกันรุมจับเอาไว้ เขาเริ่มสงสัยว่าผู้ชายแปลกหน้าพวกนี้พยายามช่วยเอาเงินคืนมาให้หรือเปล่า... และแล้วก็ได้คำตอบ...

    “เฮ้ย เหรียญทองเพียบเลย!” หนึ่งในสามแย่งถุงมาจากเธอแล้วเปิดสำรวจ

    “แล้วก็นี่อีก... เด็กสองคน! ลูกพี่คงดีใจ ตอนนี้เด็กขาดตลาด ราคากำลังดีด้วย”

    หลังได้ยินประโยคสุดท้าย อารุคก็ถูกเอามีดสั้นจี้ไว้ที่ท้องและบังคับให้เดินไปด้วยกันพร้อมกับแม่หัวขโมยสาว พอเขามองหน้าเธอ เธอก็หันหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย

    อารุครู้เพียงอย่างเดียวคือเดินไม่ไหวแล้ว จะให้ขัดขืนก็ไม่ไหวเหมือนกัน... ดังนั้นถ้าใครอยากเอาเขาไปขายต้องลงทุนลงแรงด้วย... เมื่อคิดได้ดังนั้น อดีตเจ้าชายจึงจงใจล้มตัวลงนอนกลิ้งบนพื้นและหลับทันทีที่หัวแตะดิน

    อารุคไม่ได้ใช้ความพยายามมากในการบังคับให้ตัวเองสลบ เพราะตอนนี้มันเกินขีดจำกัดร่างกายเขาไปไกลแล้ว
  11. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    บทที่ 4 ฮาเล่

    อารุคตื่นมาอีกครั้งและพบตัวเองนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นแข็งๆ เขาพยายามระลึกชาติว่าตนหลับไปตอนไหน เด็กชายพลิกตัวเตรียมจะลุก แต่กลับขยับไม่ได้เพราะแขนขาถูกมัดด้วยเชือกเส้นหนา

    แขนอารุคถูกมัดไพล่อยู่ด้านหลัง ส่วนข้อเท้ามีเชือกเส้นหนามัดเอาไว้ อารุคค่อยๆ ทวนความทรงจำก่อนที่ตนจะสลบ เขาถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขโมยเงิน พอวิ่งไล่ตามเอาคืนก็เจอกับชายร่างผอมแห้งสามคน หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีก

    ตอนนี้เขาพลิกตัวจนนอนหงายได้สำเร็จ จึงได้เห็นว่าตนอยู่ในกระโจมผ้าสีฟ้าและเป็นเวลากลางวันเพราะแสงแดดส่องทะลุผ่านเข้ามาในระดับที่พอมองเห็นสภาพภายในกระโจม

    สักพัก อารุคก็เอามือไปชนกับก้อนอะไรเหนียวๆ พอหันมามองจึงค่อยรู้ว่านั่นคือยายหัวขโมยที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด! เธอกำลังนอนหลับสนิทโดยมีเชือกเส้นใหญ่มัดแขนขาไว้เหมือนกัน จากนั้น อดีตเจ้าชายก็แทบกลั้นหายใจไม่ทันเพราะกลิ่นตัวเหม็นหึ่งจากเจ้าหล่อน!

    เขาไม่เคยเจอคนที่มีกลิ่นตัวเหลือร้ายขนาดนี้มาก่อน มันเป็นกลิ่นขมๆ สาปๆ เมื่อวานอารุคยังไม่ทันสังเกตเพราะกำลังวุ่นวายกับการแย่งเอาเงินคืน แต่พอตอนนี้โดนมัดให้นอนอยู่นิ่งๆ จึงเผลอสูดเอากลิ่นกายเธอเข้ามาเต็มจมูก และมันก็เหม็นชวนอ้วกสุดๆ

    นอกจากตัวเหม็นแล้ว เธอยังสวมชุดกระโปรงยาวสีเทาที่ดูเหมือนถุงเจาะรูให้พอเอาแขนขาและหัวยื่นออกมาได้ สภาพก็แสนจะเลวร้ายเพราะมันทั้งเลอะทั้งขาด บางส่วนของชุดก็เหมือนจะขึ้นราเป็นจุดๆ อารุคถึงกับต้องกระพริบตาแล้วเพ่งอีกรอบให้แน่ใจว่านั่นคือผู้หญิง... ผู้หญิงที่เขารู้จัก ไม่ว่าจะท่านแม่ นาเกีย หรือสาวใช้ล้วนแต่งกายดีและมีกลิ่นกายสะอาดทั้งสิ้น

    หลังจากอารุคนอนนินทาคนตรงหน้าในใจไปหลายประโยค ยายตัวเหม็นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น... ตาสีเขียวของเธอกลมใส และดูสวยเด่นโดดออกมาจากเสื้อผ้าหน้าผมที่สกปรกมอมแมมอย่างชัดเจน

    เธอพยายามลุกขึ้น แต่ก็หกล้มทันทีเพราะเชือกที่ล่ามขาทั้งสองข้าง จากนั้นค่อยมองเห็นอารุค เด็กสาวผงะ พร้อมกับหันหน้าหนี เด็กชายเริ่มฉุกคิดได้ว่าโดนเธอขโมยเงิน แต่เมื่ออยู่ในสภาพโดนมัดจนขยับไม่ได้ทั้งคู่... การทวงเงินคืนตอนนี้ดูจะผิดเวลาไปหน่อย

    อารุคพยายามบิดตัวเพื่อขยับเข้าไปใกล้ แล้วใช้ฟันกัดเชือกที่มัดข้อมือของเด็กสาว เขาคิดว่าอย่างน้อยถ้ากัดจนขาด ยายตัวเหม็นก็จะมือว่างมาช่วยแกะเชือกให้ได้

    “เรื่องเงินข้ายอมยกเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พวกเราต้องออกจากที่นี่ก่อน” อารุคชิงพูดก่อนที่เธอจะอ้าปากถาม

    เด็กสาวผมแดงเบิกตากว้าง เธอนิ่งไปพักใหญ่ แล้วค่อยพยักหน้าตอบรับเบาๆ

    เขาพยายามขบเชือกเส้นหนาโดยค่อยๆ ไล่จากขอบๆ มันแข็งมากจนฟันระบม แถมต้องโดนเชือกสีกับมุมปากทั้งสองข้างจนแสบ แต่อารุคถือว่าดีกว่านอนรอเฉยๆ ฝ่ายเด็กสาวก็ให้ความร่วมมือ เธอคอยหมุนข้อมือช่วยไปด้วย

    “เจ้าชื่ออะไร” จู่ๆ เธอก็เปรยขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “อารุค”

    หลังบอกชื่อ เด็กหญิงก็เงียบไปและไม่ต่อบทสนทนาอีกเลย เธอทำเพียงขยับข้อมือช่วยให้อารุคกัดเชือกได้ง่ายขึ้น

    “แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไร” สุดท้าย อารุคที่ทนความเงียบไม่ไหวจึงถามกลับ

    “ฮาเล่”

    “เป็นชื่อที่แปลกดี” อารุคตอบ “คล้ายกับชื่อของดวงดาว”

    “เจ้ารู้จักดาวฮาเล่ด้วย!?” เธอสะดุ้ง

    “นิดหน่อย... เป็นกลุ่มดาวเจ็ดดวงที่มีประกายแสงในตัวเองและอยู่ทางทิศใต้ตลอดเวลา ถูกไหม?”

    “ใช่” ตาสีเขียวของเธอเป็นประกาย “ข้าเพิ่งเคยเจอคนที่รู้จักกลุ่มดาวฮาเล่ครั้งแรก”

    “มันไม่ได้แปลกอะไรนี่ กลุ่มดาวฮาเล่จำง่ายเพราะการเรียงตัวที่เหมือนลูกศร แถมยังอยู่ทิศใต้ตลอดเวลา”

    “แต่ข้าเคยนึกว่าคนทั้งโลกนอกจากข้ากับแม่จะใช้ดาวนำทางไม่เป็นเสียแล้ว”

    “นำทางอะไรนะ?” อารุคทวน

    “คนส่วนใหญ่เดินทางในเวลากลางวัน แต่จริงๆ ถ้าคืนไหนมีเมฆไม่มาก ไปตอนกลางคืนโดยใช้ดาวนำทางจะดีที่สุด” เธออธิบาย “เจ้าไม่ได้จำกลุ่มดาวเพื่อใช้ในการนำทางหรือ?”

    อารุคยิ้มเจื่อนๆ ในใจ เขาต้องเตรียมตัวเป็นนักบวช ก็เลยท่องจำแผนที่ดวงดาวเกือบทั้งกระดานสำหรับการทำนายทายทักให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นเท่านั้น อดีตเจ้าชายไม่เคยนึกว่ามันจะใช้งานแบบนี้ได้ด้วย

    “อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องดาวตอนนี้เลย” อารุคเปลี่ยนเรื่อง “เราต้องออกจากที่นี่ก่อน”

    เด็กชายหันมาลงแรงกับเชือกเส้นเดิม เขากัดซ้ำมุมเดิมไปเรื่อยๆ โดยมีฮาเล่ช่วยหมุนข้อมือให้

    พลัน กระโจมถูกเลิกขึ้น กล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลโดนโยนเข้ามาข้างใน ทั้งคู่สะดุ้งพร้อมกับหันไปมองตามเสียงกระทบของกล่อง จากนั้นก็มีกลิ่นหวานปะแล่มๆ ลอยมาแตะจมูก

    “กลิ่นกำยาน” อารุคทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นมันแรงมาก จากที่หอมจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเหม็น

    “พวกเราไม่รอดแล้ว” ฮาเล่หน้าซีดเผือก “กลิ่นนรกนั่นมัน...”

    เสียงของฮาเล่เริ่มขาดช่วง แววตาเด็กสาวเริ่มหรี่เล็กลง ปากที่เคยปิดสนิทก็เผยอออก สภาพเหมือนมีสติเพียงกึ่งหนึ่ง

    "เฮ้ เป็นอะไร” อารุคเอาไหล่กระแทกฮาเล่

    เธอไม่ตอบ ไม่ว่าอารุคจะเรียกอีกกี่ครั้งเด็กสาวผมแดงก็นิ่งเฉย แววตาเธอเลื่อนลอย ปากอ้าแบบคนไม่ได้สติ อารุคคิดว่าเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมที่ปล่อยกลิ่นหวานปะแล่มนั่นต้องเป็นต้นเหตุอย่างแน่นอน เด็กชายพยายามกลิ้งตัวไปทางมันแล้วพยายามใช้เท้าเขี่ยให้ออกจากกระโจม

    พอเขี่ยออกไป มือลึกลับก็หยิบมันโยนกลับเข้ามาใหม่ อารุคชักไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮาเล่ เขาก็ดมกลิ่นกำยานนั่นเหมือนกันแท้ๆ แต่สภาพเธอกลับเหมือนคนเสียสติอยู่คนเดียว
    อารุคนอนอยู่กับฮาเล่ผู้ไม่ได้สติไปตลอดคืน เขาตื่นมาอีกครั้งโดยมีคนมาเตะปลุกด้วยเท้า คนปลุกเป็นชายหนุ่มร่างกายผอมแห้ง หัวยุ่ง มีรอยแผลเป็นใหญ่กลางใบหน้าเป็นขีดยาวที่ลากผ่านจมูกไปถึงคาง อารุคจ้องมองด้วยสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ขยับตัวไม่ได้เพราะถูกมัดไว้

    ดูจากใบหน้า อารุคคิดว่าอีกฝ่ายคงอายุประมาณสี่สิบปี รอบดวงตาสีดำของเขายังมีแต่รอยย่น ผิวพรรณหมองคล้ำ ลักษณะเหมือนคนอดนอน นอกจากนั้นชายหนุ่มยังไม่ใส่เสื้อทั้งที่ผอมจนมีรอยซี่โครงปูดออกมาอย่างชัดเจน

    ชายหน้าบากมองเด็กทั้งสองอยู่สักพักก่อนจะก้มลงไปแกะเชือกออกให้ฮาเล่คนเดียว ฮาเล่ที่ถูกปลุกก็สลึมสลือลุกขึ้น เธอกวาดสายตามองรอบทิศ ทว่า แววตาสีเขียวนั้นกลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เลย อารุครู้สึกว่านั่นไม่ใช่ยายตัวเหม็นคนที่เขาพูดคุยด้วยเมื่อคืน

    พอฮาเล่เป็นอิสระ เธอก็ทำเรื่องน่าตกใจด้วยการพุ่งตัวตะครุบกล่องสีน้ำตาลแล้วเอาหน้าแนบเพื่อพยายามสูดกลิ่นของมัน อารุคอ้าปากค้างกับกระทำสุดประหลาด ถึงกลิ่นกำยานจะหอมขนาดไหน แต่พอต้องนอนดมทั้งคืนมันก็ไม่ใช่ของน่าดมอะไรขนาดนั้น

    ชายหน้าบากแค่นยิ้ม แล้วแย่งกล่องสี่เหลี่ยมไปจากฮาเล่ จากนั้นจึงใช้มือจับแขนฮาเล่แล้วลากเธอออกนอกกระโจม ส่วนกล่องกำยานก็ถูกโยนทิ้งไว้ที่เดิม

    อารุคยังคงโดนมัดอยู่บนพื้นอย่างงงๆ ต่อไป พอท้องเริ่มส่งเสียงร้อง เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน ระหว่างที่เด็กชายกำลังนอนหิวและคอแห้ง กลับมีคนหน้าใหม่เลิกกระโจมเดินเข้ามา

    อารุคคิดว่าเขาอายุพอๆ กับตัวเอง เขามีผมและตาสีดำสนิท ผิวคล้ำ ร่างกายผอมแห้ง เสื้อก็หลวมโครก ส่วนกางเกงขาสั้นมีรอยขาดเยอะพอสมควร แขนขาเด็กหนุ่มเลอะดินเลอะโคลนสกปรก สภาพมอมแมม และในมือนั้นถือกระบอกไม้ไว้หนึ่งกระบอก

    แววตาของเขาเหมือนกับฮาเล่ไม่มีผิด มันเลื่อนลอยและดูไร้ซึ่งชีวิต...

    เขายืนใจลอยอยู่สักพักก็วางกระบอกไม้ลงตรงหน้าอารุค อารุคมองเห็นว่าข้างในมีน้ำเติมอยู่เต็ม พอเขาเตรียมจะหันหลัง อารุคก็รีบหยุดเอาไว้

    "เดี๋ยวก่อน!"

    เขาหันกลับมา แต่สีหน้าเลื่อนลอยแบบเมื่อครู่หายไปแล้ว เด็กหนุ่มจ้องมองอารุคด้วยการกวาดสายตาจากหัวจรดเท้า

    “นายชื่ออะไร?”

    “อารุค”


    “ถ้าพรุ่งนี้ยังจำชื่อตัวเองได้ ข้าถึงจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ยังช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นอกจากวางน้ำไว้ให้ อย่าเพิ่งตายละกัน"


    เด็กหนุ่มผมดำชักสีหน้ากลับมาเป็นแบบไร้อารมณ์เหมือนเดิม จากนั้นก็เดินออกจากกระโจมด้วยท่าทางเหม่อลอยเหมือนกับตอนที่เดินเข้ามา


    อารุคไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ตอนนี้หิวน้ำมากจึงหันไปเอาปากจ่อกระบอกไม้เพื่อสูดน้ำลงท้อง พอน้ำเริ่มลดระดับจนดื่มต่อไม่ได้ เขาก็เอียงมันลงโดยใช้ปากช่วยประคอง และดื่มจนเหลือเพียงครึ่งเดียว


    อารุคล้มตัวลงนอนต่อ เขากลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นนานกว่าจะหลับ แต่เพราะนอนกับพื้นมันไม่สบาย ไม่นานนักก็ตื่นขึ้นมาอีก พร้อมกับเห็นว่าขาเปียกจากการที่ถีบกระบอกน้ำล้มตอนนอน และมันก็เหนอะหนะจนคันยิบๆ ไปหมดทั้งตัว


    อดีตเจ้าชายนอนไม่สบายนัก แต่ความง่วงยังพอบังคับร่างกายให้ลงนอนได้บ้าง เขาตั้งใจว่าจะต้องตื่นมาฟังเรื่องที่เด็กหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้


    กลิ่นกำยานยังคงล่องลอยอยู่ในกระโจมที่อารุคนอน มันเป็นกลิ่นหอมรุนแรง ทีแรกเขารู้สึกมึนหัวเพราะความฉุนของมัน แต่พอดมเข้ามากๆ ก็ชักจะเริ่มชินไปเอง เปลือกตาของอดีตเจ้าชายแห่งเซียค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา
  12. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    บทที่ 5 พ่อค้าทาส

    อารุคได้นอน แต่ก็หลับไม่สนิท เขาคันยิบๆ ไปทั้งตัวเพราะขาดการอาบน้ำมาสามวันติดกันและก่อนเวลาเช้าเพียงไม่กี่นาที เด็กหนุ่มผมดำคนเมื่อวานก็โผล่หน้ามาทักทาย

    อดีตเจ้าชายเพิ่งได้สังเกตุรูปร่างของเด็กผมดำตรงหน้าดีๆ ว่าสูงกว่าตนอยู่หนึ่งคืบฝ่ามือ และถึงไม่ได้สระผมเหมือนฮาเล่ แต่เสื้อตัวหลวมโครกของเขากลับสะอาดกว่าเธอมาก แขนขาก็ยาว แต่มันดูเก้งก้างเพราะเขาผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก

    “ชื่ออะไร?” เด็กหนุ่มผมดำเอ่ยถาม

    “อา….รุค”

    “ดีมาก สมองยังไม่โดนกลิ่นบ้าๆ นั่นทำลาย ส่วนข้าชื่อซิค”

    อารุคหรี่ตา เขาหิวจนแทบครองสติไม่อยู่แล้ว

    “จำกลิ่นกำยานเมื่อคืนได้ป้ะ ที่มันหอมๆ” ซิคอธิบาย “มันทำให้คนเสพย์ติด และยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้ดมกลิ่นนั่น”

    อารุคนึกถึงสภาพฮาเล่เมื่อวาน พอกล่องที่ปล่อยกลิ่นกำยานหอมโดนหยิบออก เธอก็กระโจนวิ่งเข้าใส่มันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สภาพเขาตอนนี้เองก็ไม่น่าต่างกันนัก สีหน้าเขาซีดมากเพราะหิวจนหมดแรง

    “ข้า… ไม่หลงกลิ่นนั้นแน่นอน... มันฉุนมาก” อารุคเค้นคำพูดออกมา

    “ไม่รู้สิ เจ้ากับข้ามันพิเศษกว่าคนอื่นมั้ง” ซิคล้วงกระเป๋าหยิบก้อนสีขาวเหลืองขนาดเท่ากำปั้นออกมา จากนั้นก็บิเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วยัดใส่ปากอารุค “เคี้ยวให้หมด ข้าอุตส่าห์แอบเหลือข้าวเช้าส่วนของตัวเองไว้ให้ ถ้าเจ้าคายทิ้งข้าจะฆ่าเจ้าซะตรงนี้เลย”

    อารุคเคี้ยวแล้วกลืนอย่างรวดเร็ว มันเป็นหัวมันต้มที่เย็นชืด แต่เขาหิวมาก จะอะไรก็กินได้ทั้งนั้น ภายในเวลาสั้นๆ มันก็หายลงไปอยู่ในท้องของอารุคจนหมด

    “ที่นี่..” อารุคสำลักเพราะกินเร็วเกินไป เขาสูดลมหายใจแรงๆ เข้าเต็มปอดก่อนจะพูดต่อ “ที่..ไหน”

    “ตลาดค้าทาส” เด็กหนุ่มผมดำตอบ​สั้นๆ

    “อะไรนะ ถ้างั้น... ข้าไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเซียหรือ”

    “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ที่นี่คือป่าข้างเมืองหลวง”

    “เซียห้ามค้าทาส เป็นไปไม่ได้...ที่จะมีตลาดมาตั้งอยู่ซะใจกลางประเทศขนาดนี้” อารุคตอบอย่างมั่นใจ

    เซียเป็นประเทศที่มีเมืองหลวงอยู่ตรงกลาง และเมืองหลวงจะถูกรายล้อมด้วยหัวเมืองลูกๆ ดังนั้นป่าจึงถือเป็นเขตแดนระหว่างเมืองหลวงกับเมืองลูกนั่นเอง ส่วนการค้าทาสนั้นผิดกฏหมายขั้นร้ายแรง อดีตเจ้าชายแห่งเซียอย่างอารุคจึงไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรว่ามีตลาดค้าทาสอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้

    “เป็นไปได้สิ” ซิคหัวเราะ ”จ่ายเงินให้ก็ได้แล้ว ทหารเซียซื้อง่ายจะตาย”

    “ไม่มีทาง ทหารของเซียมีเงินเดือนมากอยู่แล้ว เงินซื้อพวกเขาไม่ได้แน่นอน”

    คำพูดของอารุคทำให้อีกฝ่ายหัวเราะหนักกว่าเดิม

    “ข้า… เพิ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนั้นครั้งแรกนะเนี่ย” ซิคพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อพูดต่อให้จบ “เคยแต่ได้ยินคนเขาพูดว่าทหารเซียเบี้ยน้อยหอยน้อย เพราะขุนนางโกงเงินหลวงเข้ากระเป๋ากันหมด เจ้าเป็นคนที่ไหนเนี่ย ดูท่าทางโง่ๆ ดี”

    อารุคพูดต่อไม่ออก เขาเพิ่งถูกด่าว่า ‘โง่’ เป็นครั้งแรก ที่จริงเขาอยากอยากตะโกนใส่คนตรงหน้าว่าตนนี่แหละคือเจ้าชายแห่งเซีย และเรื่องเหลวไหลแบบนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่... ทั้งหมดนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แถมตอนนี้ยังอยู่ในสถาพชวนน่าเวทนาสุดๆ เพราะเนื้อตัวมอมแมมเลอะเทอะ เสื้อผ้าก็ขาด อารุคคิดว่าตนควรเงียบเพื่อช่วยรักษาชื่อเสียงให้ราชวงศ์เซียสักหน่อย

    นอกจากนั้น ซิคยังเป็นใครจากไหนไม่รู้ เขาอาจจะไปฟังข่าวลือผิดๆ หรือไม่ก็จงใจปล่อยข่าวลวงออกมาเองเพื่อหวังผลบางอย่าง ดังนั้นยิ่งไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจเลย

    “ข้าจะรีบพูด เวลามีน้อย” ซิคเร่ง “พวกมันจะเอากลิ่นบ้านั่นทำให้ทาสใหม่ๆ ดมจนกว่าจะยอม แต่ถ้าเจ้ายังไม่ยอมเสียสติ มันก็จะปล่อยเจ้าอดตายไปนั่นแหละ... อย่างดีสุดก็คือให้กินน้ำวันละกระบอกเท่านั้น”

    ซิคมองหน้าอารุคด้วยสายตาจริงจัง

    “เจ้าต้องแกล้งเอ๋อ ทำท่าหลงในกลิ่นสวรรค์บ้าบอของพวกมัน หรือจะวิ่งไล่ตามกล่องเหมือนยายคนเมื่อวานได้ยิ่งดี แต่เอาให้เนียนๆ ล่ะ พวกมันจะได้ปล่อยเจ้าออกมาร่วมกลุ่มกับทาสคนอื่นๆ”

    อารุคตอบสายตาจริงจังของซิคด้วยใบหน้าเหรอหรา

    “เออ หน้าแบบนั้นแหละ” ซิคย้ำ “ทำตาโง่ๆ เข้าไว้ให้เหมือนยายคนเมื่อวาน”

    หลังจากซิคพูดจบ เด็กหนุ่มก็เดินหลบออกจากกระโจม รอไม่นานก็เป็นเวลาเช้า ชายหน้าบากคนเมื่อวานกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อเช็คสภาพของอารุค อารุคจึงจงใจทำตาลอย และพยายามเอื้อมมือไปคว้าเอากล่องกำยานเพื่อแสดงอาการหลงไหลในกลิ่นสวรรค์แบบที่ถูกบอก

    “อยากได้ไอ้นี่ใช่มั้ย”

    อารุคพยักหน้าหงึกๆ ส่วนสายตาก็มองแต่เจ้ากล่องสี่เหลี่ยมใบเล็ก

    “ถ้าเจ้าทำงานก็จะได้สูดดมมันตามที่ใจอยาก”

    ชายหน้าบากแกะโซ่ออกจากขาให้อารุค แต่ยังเหลือส่วนที่ล่ามมือไว้อยู่ เขาคว้าไหล่เด็กชาย แล้วกระชากให้ออกจากกระโจมในฐานะทาสหน้าใหม่ ส่วนอารุคก็เกือบล้มเพราะตัวพุ่งไปข้างหน้ากะทันหัน

    เด็กชายนอนอยู่ในกระโจมมืดๆ มาสองวัน ตาก็เลยพร่าไปชั่วขณะเพราะแดดยามเช้า พอเริ่มชินกับแสงอาทิตย์ เขาก็ต้องตกใจกับกลุ่มคนหลายร้อยคนเดินเรียงแถวกัน ทุกคนสวมเสื้อผ้าขาดๆ และสภาพเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายเดือน

    บริเวณนั้นดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ป่าที่โดนถางต้นไม้ออก เพราะมันไม่มีต้นไม้ขึ้นสักต้นในขณะที่รอบๆ กลับมีหญ้าขึ้นเขียวเต็มไปหมด อากาศก็เรียกว่าดีและเย็นสบายถ้าไม่นับเรื่องบรรยากาศอันน่าอึดอัดของกลุ่มทาสหลายร้อยคน

    อารุคถูกผลักให้ไปเดินต่อแถวเป็นคนสุดท้าย เขาเห็นว่าทุกคนจะเดินโซเซ ใบหน้ามอมแมม ท่าทางเหม่อลอย และไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ เด็กชายพยายามแอบกลอกตาเพื่อมองหาฮาเล่แต่ก็ไม่เจอเธออยู่ในแถว

    ทีแรกเขาสงสัยว่าทำไมคนเหม่อลอยร้อยกว่าคนถึงมายืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบได้ พอสังเกตดีๆ จึงเพิ่งเห็นว่ารอบๆ นั้นมีกลุ่มผู้คุมยืนประกบ เหล่าผู้คุมจะคอยผลักคนที่หลุดแถวให้กลับเข้าไปด้วยเสียงข่มขู่

    พอแถวที่ต่อเริ่มสั้นลง อารุคจึงค่อยเห็นว่ามันคือแถวแจกอาหาร และอาหารก็เป็นเพียงขนมปังก้อนที่เย็นชืดไร้รสชาติ แต่เวลานี้คงทำตัวเรื่องมากไม่ได้จึงต้องฝืนๆ กินมันเข้าไปให้พอมีชีวิตรอดไปก่อน

    หลังจากกินเสร็จ ทุกคนก็ถูกผู้คุมพาไปต่อแถวใหม่ ครั้งนี้อารุคต้องเดินไปไกลกว่าเดิมโดยลัดเลาะผ่านบริเวณป่าที่ยังไม่ได้โดนถางออก เขาพยายามจะจำทาง แต่ก็จำได้เพียงแค่ครึ่งแรกเท่านั้น เพราะในป่า อะไรๆ ก็ช่างดูคล้ายกันเสียหมด

    เดินได้ประมาณสามสิบนาที อารุคก็โผล่มาบริเวณป่าที่โดนถางออกอีกแห่งหนึ่ง แต่คราวนี้เขาถึงกับยืนอ้าปากค้าง เพราะเบื้องหน้าคือไร่ดอกไม้สีขาวขนาดใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตา จะว่าสวยก็คงใช่ แต่มันยังให้ความรู้สึกหลอนๆ ด้วย เพราะดอกไม้ขาวนั้นมีกลิ่นหอมเดียวกับกำยานที่ซิคเรียกมันว่า ‘กลิ่นสวรรค์’

    ดอกไม้ขาวมีกลีบขึ้นซ้อนทับกันเป็นรูปร่างกลมๆ และบานเผยอออกเล็กน้อย อารุคถูกความสวยงามของมันสะกดจนแทบลืมหายใจ ยิ่งลมที่พัดโชยก็ช่วยส่งให้มันดูเหมือนผืนพรมสีขาวที่มีชีวิต เขายืนชื่นชมความงามได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ซิค เด็กหนุ่มผมดำที่เจอเมื่อเช้ามืดก็เข้ามาแตะไหล่

    “ไอ้เนี่ยแหละ กลิ่นสวรรค์”

    “เจ้า…​“ อารุคสะดุ้ง “โผล่มาจากไหน”

    “ข้าเดินแถวอยู่ด้านหน้าเจ้า” ซิคแอบเหล่มองไปทางเหล่าผู้คุม “เจ้าเป็นคนใหม่ เดี๋ยวพวกผู้คุมจะมาสอนงานอีกที”

    “ไหนเจ้าบอกว่าเป็นตลาดค้าทาส ไม่เห็นมีคนซื้อกับคนขายเลย”

    “ก็เพราะยังไม่มีลูกค้าไง เวลาไม่มีลูกค้า พวกเราก็ต้องมาทำงานที่นี่.... อ๊ะ!”

    พลัน ซิครีบเดินหนีหายไป และในวินาทีนั้น อารุคก็ถูกผลักจากข้างหลังจนหกล้มหน้าคะมำ เด็กชายคิดอะไรไม่ทัน แต่หน้าเขาได้ปักจมลงไปในดินเรียบร้อย จะว่าไป มันก็เย็นสบายดี... สงสัยคงเพราะเริ่มชินกับความมอมแมมของตัวเองแล้ว

    อารุคค่อยๆ พลิกตัวกลับมามองหน้าอีกฝ่าย ทางนั้นมีกันสองคน เป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าเขาร่วมสิบปี ทั้งคู่สวมชุดสีเหลืองที่ใหม่กว่าทาสคนอื่น มันเป็นแบบแขนขายาวพอดีข้อเท้า บนชายกางเกงเลอะคราบดินอยู่นิดหน่อย

    จู่ๆ ฝ่ายหญิงระดับหัวหน้าหยิบเอาไม้พลองที่อยู่ในมือฟาดอารุค อารุคตั้งตัวไม่ทันจึงเอามือยกขึ้นป้องกันหน้าอย่างเดียว ส่วนตัวก็นอนคุดคู้อยู่บนพื้น

    “พอเถอะ เดี๋ยวตายพอดี” ชายคนข้างๆ ร้องห้ามไว้ เสียงของเขาค่อนข้างต่ำและแหบ

    “ข้ารู้สึกเหมือนโดนมองเหยียดไอ้ชุดสีเหลืองน่าเกลียดๆ เนี่ย” เธอหยุดตีอารุค และดึงชายผ้าสีเหลืองออกให้บุคคลข้างกายดู “ข้าไม่ได้ใส่เพราะอยากใส่เองสักหน่อย”

    “คิดมากน่าทูนหัว” ชายหนุ่มตบหัวหญิงสาว “ทาสเด็กราคาสูงนะ พวกเราชดใช้ให้นายท่านไม่ไหวหรอก”

    “แต่… แค่คิดว่าระหว่างสอนงานเจ้านี่ มันต้องมองข้าแบบเหยียดๆ แน่” หญิงสาวเริ่มงอแง

    “ข้า… เสียใจนะ... ที่เจ้าสนใจสายตาผู้ชายคนอื่นนอกจากข้า”

    “ไม่ใช่นะ!” เธอร้อง “ข้าไม่สนใจคนอื่นแน่ๆ แถมนี่ยังเป็นแค่เด็กอีก!... รู้แล้ว ข้าจะสอนงานมัน โดยไม่สนใจสายตามันเลย โอเคนะคะที่รัก”

    หญิงสาวเริ่มสงบลงหลังจากถูกคนรักกล่อม อารุคที่นอนหงายหลังและยกมือขึ้นปิดหน้าได้แต่แอบฟัง เขาเริ่มจับต้นชนปลายได้นิดหน่อย เดาว่าทั้งคู่คงเป็นผู้คุมที่ต้องมาฝึกสอนงานให้และยังเป็นคนรักกันอีกด้วย อะไรจะโรแมนติกขนาดนี้ พลอดรักกันโดยไม่สนใจสถานที่

    “ลุกขึ้น” ชายหนุ่มใช้ไม้พลองเคาะตัวอารุค

    อารุคลุกขึ้นอย่างยากลำบาก หัวเขาแตกข้างหนึ่ง แต่สภาพร่างกายโดยรวมยังดูปกติอยู่ เด็กชายยกมือขึ้นปาดเลือดที่ไหลออกและยืนก้มหน้ารอรับคำสั่งเงียบๆ

    งานแรกของอารุคคือการถอนดอกไม้สีขาวจากทุ่งอันแสนงดงาม เขาต้องเด็ดส่วนหัวออกแล้วฝังมันลงดินเพื่อรอให้มันแตกยอดใหม่ ส่วนรากกับลำต้นนั้นให้เก็บใส่ตะกร้าไว้สกัดกลิ่นหอมเด็กชายต้องรับผิดชอบพื้นที่ๆ ใหญ่พอสมควรจึงก้มๆ เงยๆ จนปวดหลังปวดคอไปหมด

    ซิคทำงานอยู่ไม่ห่างกันมาก เด็กทั้งคู่พอจะแอบคุยกันได้นิดหน่อย แต่ถ้าคู่รักชายหญิงที่เป็นผู้คุมเข้ามาใกล้ พวกเขาก็ต้องรีบทำงานต่อทันที

    “ที่จริง ผู้คุมก็คือทาสเหมือนกันนั่นแหละ แต่แค่เข้ามาคนละวิธีกับพวกเรา” ซิคอธิบาย “พวกเราถูกจับมาดมกลิ่นหอมนี่เพื่อจะได้เชื่อฟังคำสั่ง แต่พวกนั้นไม่ต้องเลยเพราะพร้อมจะเชื่อฟังอยู่แล้ว”

    “ยังไง?”

    “พวกเขาขายตัวเองเข้ามา”

    “ขายตัวเอง..?​“ อารุคเลิกคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ ขายตัวเองเข้ามาก็ต้องได้เงิน แต่ทาสยังมีโอกาสให้ใช้เงินอีกหรือไง?”

    “ชู่วๆ… เบาๆ ” ซิคทำเสียงจุ๊ปากเพราะอารุคเริ่มพูดเสียงดังขึ้น “ถ้าขายตัวเอง คนที่บ้านก็ยังได้ใช้เงิน แถมตัวเองยังได้งานมาทำแลกข้าวกินด้วย”

    “ไม่เห็นคุ้มเลย ต้องทำงานไปตลอดชีวิตเพื่อแลกข้าวเนี่ยนะ”

    “คนเราต้องทำงานตลอดชีวิตอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่มีิกิน”

    “ยังไงข้าก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี ถ้าต้องกลายเป็นทรัพย์สมบัติของคนอื่นไปตลอดชีวิต เท่ากับว่าชีวิตจะไม่เหลืออะไรเลย” อารุคทำหน้าเบ้ มือก็ยังเด็ดดอกไม้ต่อไป

    “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากบ้านไหน แต่ดูจากวิธีถอนรากดอกไม้แล้วคงไม่เคยทำไร่” ซิคหรี่ตา “ถ้าเจ้าเคยหิวมากๆ วิธีคิดก็จะเปลี่ยนไปเอง”

    “ตอนนี้ก็หิวอยู่ หิวมากด้วย”

    “ยังหิวไม่นานพอเฟ้ย...” ซิคทำหน้าเซ็ง

    “แต่เจ้าเอง...ก็ไม่ได้ขายตัวเองเข้ามาใช่ไหมล่ะ” อดีตเจ้าชายย้อนถามกลับ

    “ก็ใช่”

    “ที่จริงเจ้าไม่เห็นว่าเป็นทาสจะดีตรงไหน ไม่งั้นคงขายตัวเองเข้ามาเหมือนกันนั่นแหละ”

    “ไม่ใช่ กรณีข้ามันต่างออกไป” ซิคปฏิเสธ “ข้ามีเด็กๆ ที่บ้านต้องดูแล”

    “เด็กๆ… ซิค..เจ้าเป็นคุณพ่อแล้วหรือ..” อารุคตาเบิกโพลง เพราะซิคดูแก่กว่าเขาเพียงสองสามปีเท่านั้น...


    “ไม่ใช่! น้องชายน้องสาวต่างหาก! ทาสจะอยู่เป็นครอบครัวได้ยากเพราะพวกเราจะถูกเจ้าของจับแยกออกไป” เด็กหนุ่มผมดำทำหน้าเครียด “ข้า.. ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไป ข้าจะต้องกลับไปหาพวกน้องๆ ให้ได้”


    วันนั้น ทั้งคู่ทำงานอยู่จนพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาไม่ได้กินข้าวเที่ยง และมื้อเย็นก็มีเพียงน้ำในลำธารข้างไร่ดอกไม้ขาวเท่านั้น อารุคก้มหน้าดื่มน้ำลงท้องให้มากที่สุด เพราะกว่าจะได้ดื่มอีกรอบก็เช้าพรุ่งนี้เลย เรื่องนี้ซิคเป็นคนช่วยแนะนำเนื่องจากอยู่มานานกว่า


    “ข้ามีอีกเรื่องขอถามหน่อย” อารุคสะกิดซิค เด็กหนุ่มผมดำผู้เป็นเพื่อนใหม่


    “มีอะไร?”


    “ห้องน้ำอยู่ที่ไหน..”


    “ไม่มีนี่ ที่ผ่านมาทำยังไงก็ทำแบบนั้นสิ” ซิคทำหน้างง


    “คือ… ข้าอั้นมาสามวันแล้ว...” อารุคยิ้มแหย ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะจวนถึงขีดจำกัด


    ซิคพูดอะไรไม่ออก... เขาชี้เข้าไปในบริเวณป่า และบอกว่าตรงไหนก็ได้ แต่เดินเข้าไปให้มันลึกๆ หน่อยก็พอกลิ่นจะได้มาไม่ถึง อารุคพยักหน้ารับ และเดินหายไปด้วยท่าทางบิดตัวสุดชีวิต


    “ไอ้บ้า..” ซิคพึมพัมตามหลังอารุคไป
    Ryuto และ Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  13. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    พี่นิคแอบมาอัพช่วงเมษาด้วย lol

    ขอลงชื่ออ่านไว้ก่อน

    ป.ล. ติดใจชื่ออารุคจริงๆ มีอารับหรือเปล่าครับ /me โดนถีบ
    ป.ล.2 เย้ย มา 5 ตอนแล้วเรอะ!!! มาดูอีกที ลงทีเดียว 3 ตอน!!!!
  14. pentita

    pentita Aqouze

    EXP:
    642
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    38
    ไม่มี !!!

    แต่งทิ้งไว้ ไม่นึกว่าจะมีคนมาแอบเมนท์ทิ้งไว้เหมือนกัน 5555 เพิ่งเข้า AF แล้วเห็น

Share This Page