[AF fic ] Wheel of fate CH01 child of Fate

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย yoshiki, 6 พฤศจิกายน 2014.

  1. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    ก่อนอื่นเลยครับ เรื่องนี้ไม่ตลก บอกก่อนเลยว่าไม่ขำ พูดแบบนี้อาจจะแปลกไปหน่อยแต่เดี๋ยวนี้ตลกไม่ออกครับกลายเป็นคนซีเรียสอย่างไม่น่าเชื่อ คือถ้าเป็นตัวผมสมัยโลดแล่นในบอร์ดนี้ทุกวันมาเห็นเข้านี่มันคงด่าตายห่าอะ

    โครงเรื่องผมวางไว้นานมากหลายปี แต่มาเขียนจริงๆเอาช่วงปีทีแล้วละก็หยุดไป เผอิญช่วงนี้อยากได้อ้างอิงสำหรับทำเพลงก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องราวอะไรสักอย่างมาประกอบงาน แต่ไปๆมาๆก็เอางานเก่าๆมาผนวกกับชีวิตตัวเองทุกวันนี้มาลงซะเต็มที่

    เรื่องนี้ base on story ของผมเอง ตัวละครในเรื่องลักษณะตัวหลักๆก็คือคนรอบข้างของผมส่วนนึงและก็อวตารร่างต่างๆของผมอีกส่วนนึง และต้องขอโทษอีกทีเพราะมันไม่ขำ

    ผมได้วางเรื่องให้บอกเล่าผ่านตัวละครหลัก 7 คน ซึ่งมีความซวยในชีวิตต่างกันไป จะเป็นยังไงก็ลองๆมาอ่านละกัน มีคนอ่านสัก 5 คนต่อตอนก็โอเคละ ไม่ซีเรียส

    ปล.คิดถึงบอร์ดจริงๆ เพื่อนหาย

    ปล.2 บอร์ดนี่้เล่นไงเนี่ย ฟั่งชั่นหายไปหนายยยย

    ปล.3 จะลงเฉพาะที่อยากลง ช่วงไหนหายก็แสดงว่าทำงานอยู่ หรือถ้าหายไปเลยก็แสดงว่าทำงานอยู่อีกเช่นกัน









    Prologue

    ชีวิตที่ไม่อาจเลือกได้


    ตั้งแต่เด็กยันโต ตัวผมนั้น....ไม่เคยได้เลือกทางเดินของตัวเอง มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อความสุขของคนรอบข้าง แต่สำหรับเด็กอย่างผมที่ไม่อาจเลือกอะไรได้ ทำได้เพียงมองรอยยิ้มของท่านพ่อท่านแม่ที่มองมาเมื่อผมเดินตามทางที่พวกท่านตระเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี

    นั้นถือเป็นทุกสิ่งสำหรับผม...


    แม้ว่าจะไม่ใช่บางสิ่งที่ผมอยากจะทำลงไปก็ตาม แม้ว่ามันจะทำให้ผมต้องฝืนใจเพื่อทำมันก็ตาม แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดก็ตาม ผมไม่ได้..ชื่นชอบถ้อยคำเยิ่นยอเหล่านั้น แต่ก็ต้องทำให้ดีขึ้นไปอีก เพื่อความรักที่มากขึ้นจากครอบครัว

    ถ้าไม่ทำก็จะถูกตำหนิ แต่ทำได้น่าพอใจก็จะได้รางวัล ผมมีชีวิตโดยไม่อาจเลือกได้มาโดยตลอด

    และเมื่อทุกอย่างมันพังทลายลง ผมก็ถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี พร้อมกับความพยายามอันไร้ค่าตลอดชีวิตอันแสนสั้น




    ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้



    ตัวชั้นเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์อันมหาศาล ....

    ทุกครั้งที่ชั้นมองไปใบหน้าของผู้คนรอบตัว...มีเพียงความหวาดกลัวบนหน้าของพวกเขา

    แม้คำพูดที่ออกจากริมฝีปากเหล่านั้นจะเป็นเพียงคำชมอันหลอกลวงก็ตาม แต่ชั้นเข้าใจดี ชั้นเข้าใจมันดียิ่งกว่าใคร ไม่ว่าใครต่างก็เกรงกลัวชั้น เด็กสาวตัวเล็กๆที่มาพร้อมบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะไม่หวาดกลัว

    อ่า....อยากจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาที่วิ่งเล่นท่ามกลางแสงตะวัน ใส่เสื้อผ้าสวยๆ หัวเราะไปพร้อมเพื่อนๆ แต่นั้นก็คงเป็นเพียงความฝันอันแสนหวานเมื่อยามที่ชั้นหลับตาลง ท่ามกลางความเป็นจริงอันแสนว่างเปล่า

    ไม่ได้อยากจะเกิดมาเพียบพร้อมสักหน่อย แต่เมื่อเกิดมาแล้วก็กลายเป็นเพียงเรื่องที่ “ช่วยไม่ได้” ถ้าไม่ตายก็จงใช้ชีวิตอยู่กับมัน และ เฉยชากับมันซะ

    ชั้นทำได้เพียงแค่นั้น เพราะชั้นยังไม่อยากตาย ยังมีอะไรอีกมากมายที่ชั้นยังอยากจะเห็น อยากจะดูอีกมากมาย นอกหอคอยนี้......





    ชีวิตช่างแสนน่าเบื่อ

    ทุกอย่างช่างง่ายดาย เพียงแค่เอ่ยปากพูด

    ไม่ว่าจะสัตว์หรือผู้คน ก็ต้องก้มหัวให้กับดิฉัน ...แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีอำนาจยศศักดิ์เพียงใด พวกเขาก็จะยอมศิโรราบต่อคำพูดเพียงไม่กี่คำ

    ง่ายดายเหลือเกิน โลกใบนี้ ...

    น่าเบื่ออะไรแบบนี้ ง่ายเกินไป ได้มาง่ายเกินไป ทอดทิ้งง่ายเกินไป ง่ายเกินไปซะหมด

    คุณค่าของตัวตนเหล่านั้นคืออะไร ดิฉันไม่เคยเข้าใจมันเลยตั้งแต่เกิดมา เพียงแค่พูด คนพวกนั้นก็จะกลายเป็นแค่สุนัขที่กระดิกหางให้เจ้าของ

    อยากจะรู้เหลือเกิน โลกภายนอกนั้น จะมีอะไรที่ทำให้ดิฉันหลุดไปจากความน่าเบื่อนี้ได้ไหมนะ






    ชีวิตในกรงทองคำ


    ข้าอยากจะกระโจนออกไปนอกหน้าต่างนั้น

    ข้าชื่นชอบทุกสิ่งในตอนนี้ก็จริง แต่ข้าก็อยากได้มากกว่านั้น ชีวิตที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการพจญภัย !!
    ทำไมมีแต่คนคอยห้าม..มันก็เป็นเพียงแค่บทนึงในนิทานก่อนนอนเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ ข้าไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดๆที่ต้องห้ามปรามเลย คนพวกนั้นคิดมากเกินไปแท้ๆ

    ใช่ และสุดท้ายข้าก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งเหมือนอย่างที่ท่านปู่บอกไว้

    ฉะนั้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนี่หน่า ข้าจะมีอิสระตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งข้าได้






    ชีวิตแสนว่างเปล่า


    มีเพียงเพดานสูงสีขาวกับหลอดไฟนีออนชวนแสบตาทุกครั้งที่เราลืมตาตื่น

    ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างล้วนถูกย้อมเป็นสีขาวหรือมันเป็นสีขาวแต่แรกกันแน่เราก็ไม่อาจรู้ แม้แต่คนที่แวะเวียนเข้ามาก็ล้วนสวมชุดสีขาว พลางกระซิบอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยได้ยิน

    ว่างเปล่าเหลือเกิน ....เราเกิดมาทำไม มีชีวิตไปเพื่ออะไร ช่างเป็นคำถามที่ไม่ว่าจะภาวนาเท่าไรก็ไม่อาจได้คำตอบ

    มีเพียงห้องสีขาวนี้ที่ยังคงอยู่กับเรา เฝ้ามองเราด้วยความเงียบสงบ คอยปลอบประโลมและสาปแช่ง ตัวเราซึ่งว่างเปล่า เต็มไปด้วยที่ว่างที่ไม่มีสิ่งใดเข้ามาเติมเต็ม....







    ชีวตที่ขาดหายไป


    ผมออกตามหาบางสิ่งมาตลอด....

    ไม่ว่าจะไปที่ไหน อันตรายเพียงใดก็ยังไม่เคยได้พบเจอ ไม่มีเบาะแส ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งชี้ ทำได้แต่เพียงค้นหาไปตามสถานที่ต่างๆ แม้จะรู้ว่าโอกาสเจอนั้นน้อยนิด...แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

    สิ่งนั้นบางทีอาจจะไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ บางทีอาจะเป็นเพียงแค่การมโนไปเอง แต่ทำไมกันนะ..ถึงได้รู้สึกมั่นใจขนาดนี้

    ว่ามันต้องอยู่สักที่บนโลกอันกว้างใหญ่นี้...







    ชีวิตที่ต้องคำสาป



    อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับหลายๆคน แต่ตัวชั้นคงขำไม่ออก..



    ทั้งๆที่น่าจะเป็นแค่เรื่องเล่าเขย่าขวัญธรรมดาแท้ๆ...ทำไมถึงมาเกิดขึ้นกับชั้นได้นะ ชั้นไปทำอะไรผิดเหรอ ชั้นเคยทำให้ใครแค้นเคืองงั้นเหรอ

    ชีวิตอันแสนธรรมดาและสงบสุขของชั้น กลายเป็นผุยผงในพริบตา

    ลวดลายสีดำอันวิจิตรแต่ก็ชวนให้เกรงกลัวปรากฏไปทุกที่ และทุกสายตาก็มองชั้นเหมือนเป็นพาหะที่พร้อมจะแพร่โรคร้ายได้ทุกเวลา

    ครอบครัว เพื่อน ทุกคน......ต่างขยะแขยงชั้น

    แม้จะร้องไห้สักเท่าใดก็ไม่มีใครได้ยิน แม้จะร้องเรียกให้ช่วยแค่ไหนก็ไม่มีใครมา มีเพียงตัวเองที่จะช่วยตัวเองได้ ช่างเป็นชีวิตที่เลวร้ายสิ้นดี



    ---------------------------------------
    ----------------------
    --------------
    -------
    Gunfinal ถูกใจสิ่งนี้
  2. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    มาลงชื่ออ่าน

    บางทีอาจะเป็นเพียงแค่การมโนไปเอง > อาจจะ ส่วนมโน ใช้คิดไปเองหรือมโนภาพน่าจะดีกว่าละมั้ง
  3. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    ความรู้สึกเหมือนเอาหมูชิ้นใหญ่ๆโยนลงไปในน้ำร้อนแล้วมันหดเล็กนิดเดียว จำได้ว่าตอนเขียนรู้สึกตอนนี้มันยาวมากพอลงจริงทำไมมันสั้นจัง

    ปล. รำคาญชีวิตตัวเองจริงวุ้ย

    เริ่มตอนเถิด T^T


    -----------------------
    --------------
    ----------



    Child of Fate



    ผมมองขึ้นไปบนพระราชวังสีขาวอันเปรอะเปื้อน เสียงหวีดร้องและกลิ่นของการเผาไหม้กำลังย้อมสถานทีแห่งนี้ให้เป็นเพียงอดีต...


    “โย่ เฟท” เสียงอันสดใสของเด็กหนุ่มดังกังวาล เด็กหนุ่มอีกคนผู้กำลังนอนรับลมอ่อนๆใต้ต้นไม้ใหญ่ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เขาดันตัวเองขึ้นอย่างเกียจคร้านพลางบิดตัวสลัดความเมื่อยล้า ดวงตาสีดำแต่กลับดูสว่างลึกล้ำยังไม่ยอมทำงานเท่าไร

    สถานที่นั้นเป็นเนินเตี้ยๆที่มีต้นไม้อยู่โดยรอบ ต้นหญ้าเล็กๆอ่อนนุ่มกระจายตัวไปทั่ว แต่ที่โดดเด่นเกินกว่าสิ่งใดคือต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตรงอยู่บนเนินนี้ มันแผ่กิ่งก้านสาขาสร้างร่มเงาขนาดมหึมา ซึ่งเป็นที่ ที่พวกเขาสามคนมั่กจะมาใช้เวลาว่างร่วมกัน

    “ใกล้ได้เวลาแล้วนะ มั่วแต่นอนแบบนี้เดี๋ยวก็ไปสายหรอก” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยืนมองเขาด้วยสายตาเบื่อหน่าย แต่เด็กหนุ่มผู้แสนขี้เกียจไม่สนใจเขาแถมทำท่าจะล้มลงไปนอนอีกรอบ


    “เฮ้ยๆ ลุกเดี๋ยวนะเว้ย เฟท !!”

    “แม็กนี่นายเป็นท่านแม่ผมหรือไง ......โดดเหอะวันนี้” เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าเฟท ขยี้ผมสีเงินบนหัวตัวเองก่อนจะพยายามทิ้งตัวนอนอีกรอบ แต่แม็กรีบเอาเท้ายันเจ้าตัวขี้เกียจนี่ไว้ก่อนจะล้มตัว

    “โดดบ้าไรฟระ วันนี้มีการทดสอบการเป็นอัศวินหลวงนะเฟ้ย วันสำคัญ เอ็งเข้าใจปะ วันสำคัญสุดๆ ความยากลำบากของพวกเราจะได้กันพิสูจน์ในวันนี้นะ”

    “งั้นไว้ค่อยพิสูจน์ปีหน้าละกัน ปีนี้ผมขี้เกียจแล้ว” เฟทพูดพลางนั่งหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจเพื่อนที่พยายามจะพลักให้ลุกขึ้น

    แม็กถอนหายใจเบาๆ ใช่ว่าเค้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว พวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมาด้วยกัน แข็งแกร่งขึ้นด้วยกัน และต่างก็ถือกำเนิดมาในตระกูลขุนนางชั้นสูง พ่วงด้วยความอัจฉริยะแต่ความกระตือรือร้นของทั้งคู่นั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว

    “มาถึงขั้นนี้แล้วชั้นก็อยากให้เราสองคนผ่านในปีเดียวกันหน่า จะได้เป็นองครักษ์รับใช้เจ้าหญิงพร้อมกันไง” แม็กเอ่ยพลันยิ้มขึ้นอย่างสดใส ทำให้เพื่อนผมเงินอดคิดไม่ได้ว่าไอ้หมอนี่มันช่างเจิดจ้าดีจริงๆ

    “นายนี่ดูไม่เดือดร้อนกับอะไรเลยจริงๆแหละนะ”

    “หะ ? เมื่อกี้แกว่าไงนะ”

    “เปล่าๆ ลุกก็ลุก” เฟท ค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาเขาหยิบดาบที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาสีดำสว่างมองขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ อะไรๆในวันนี้ก็ช่างดูสว่างไปหมดจริงๆขนาดแสงที่ลอดผ่านแมกไม้มายังชวนแสบตาได้ขนาดนี้

    รวมทั้งเพื่อนคนนี้ก็เช่นกัน

    “ทางบ้านของเราก็คาดหวังไว้มากเหมือนกันละนะ เต็มที่ละเฟ้ยวันนี้” แม็กตั้งท่ากำหมัดพลางจับไปที่ต้นแขนเหมือนพวกบ้ากล้าม เป็นการให้กำลังใจตัวเองของเด็กหนุ่มผู้เจิดจ้าคนนี้ ซึ่งผิดกับเด็กหนุ่มผมเงินที่ยังคงทำหน้าสะลึมสะลือราวกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่าเล็กๆของเขา

    “ทางบ้านงั้นเหรอ....” เฟทเปรยออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาพลางถอนหายใจ

    ใช่ ตั้งแต่เกิดมาเราก็อยู่บนความคาดหวังมาโดยตลอด ....


    15 ปีก่อนเด็กหนุ่มสองคนได้ถือกำเนิดขึ้นในชนชั้นขุนนางชั้นสูงของอาณาจักรอเล็กซานไดรฟ์ ซึ่งเป็นปีเดียวกับคำทำนายอันยิ่งใหญ่ที่ถูกทำนายไว้ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน “วีรบุรุษผู้เกรียงไกรจะถือกำเนิดในชนชั้นสูงแห่งอเล็กซานไดรฟ์” ถึงจะไม่ได้ระบุไว้ว่าวีรบุรุษที่จะถือกำเนิดที่ว่านั้นมีกี่คน แต่เด็กน้อยทั้งสองก็พกพาบางสิ่งที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงกว่าเด็กวัยๆเดียวกัน การเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้อย่างง่ายดาย พวกเขาจึงถูกคาดหวังเป็นอย่างมากจากทั้งทางบ้านเองและผู้คนในอาณาจักร

    “ผู้กล้าอะไรนั้น ไร้สาระชะมัด....” เฟทมักจะเปรยๆคำพูดแบบนี้อยู่เสมอซึ่งแม็กเพื่อนของเค้าก็จะตำหนิคำพูดเลื่อนลอยนี้บ่อยๆ เป็นภาระอันยิ่งใหญ่บ้างละ พลังเพื่อปกป้องมวลชนบ้างละ แม้กระนั้นเด็กหนุ่มผมเงินก็ไม่เคยปริปากบ่นอะไรเพื่อนของเค้าเลย กลับกันเค้ายิ่งรู้สึกว่าสหายรักคนนี้เหมาะสมกับคำว่าวีรบุรุษยิ่งกว่าใคร


    “ยังไงก็อยากเรียนเวทย์มนต์ให้มันจริงจังกว่านี้อยู่ดีละน้า” เฟทพูดพลางออกเดินไปบนพื้นหญ้าเตี้ยๆ ใช่ เค้าไมได้อยากจะเป็นวีรบุรุษผู้เกรียงไกรอะไร แต่อยากเป็นจอมเวทย์น้อยๆคนนึง ที่ไม่ต้องมีชื่อเสียงโด่งดังอะไรมากแต่ด้วยความคาดหวังเหล่านั้นทำให้เค้าไม่มีสิทธิเลือกใช้ชีวิตของตนเอง


    ใครรับได้ก็แล้วไป แต่สำหรับคนที่ต้องฝืนใจมาหัดวิชาดาบอยู่ทุกวี่ทุกวัน แถมเวลาที่จะศึกษาเวทย์มนต์ก็น้อยนิด ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่ทำก็จะโดนท่านพ่อท่านแม่ว่า เค้าได้แต่เพียงฝืนยิ้มกับทุกสิ่งเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจเท่านั้นยกเว้นกับคนเพียงสามคน



    หนึ่งคือเพื่อนรักคนนี้ สองคือเจ้าหญิงที่เป็นเพื่อนเล่นมาด้วยกัน และสามคือน้องสาวของเค้า

    แต่ถึงอย่างนึงเฟทก็ไม่เคยเปิดเผยความในใจทั้งหมดให้พวกเขา ไม่ว่าจะยังไงเขาก็มั่กเลือกที่จะยิ้มต่อหน้าผู้คนและเพื่อนๆมากกว่าที่จะมานั่งระบายเรื่องโศกเศร้าของตัวเองให้คนรอบข้างไม่สบายใจไปด้วย

    “แล้วเป็นจอมเวทย์นี้มันผิดตรงไหนเน้อ”

    “เอาหน่าเลิกบ่นได้แล้วสหาย ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกนายหรอกนะ หลังจากพวกเราเข้ารับตำแหน่งแล้วค่อยๆหาเวลาทำสิ่งที่นายอยากทำกันดีมะ ?”

    “พูดเหมือนอะไรๆมันก็ง่ายจริงนะแม็ก ถึงพวกเราจะเข้าได้ง่ายๆอย่างที่พูดก็เหอะ แต่จะเอาเวลาไหนมาทำเรื่องที่ชอบละเนี่ย แค่เห็นหน้าที่รับผิดชอบในพระราชวังก็รู้สึกอยากจะอาเจียน”

    “มันต้องพอมีเวลาบ้างเด้ !!”

    “มองโลกแง่ดีจริงน้า” เฟทยิ้มขึ้น เขาสูดลมหายใจลึกๆรับเอาอากาศเย็นสบายเข้าไปเต็มปอดพลางกระชั้บดาบในมือแน่น เขาชักมันออกมาด้วยความรวดเร็วท่วงท่านั้นสง่างามราวกับภาพศิลปะชั้นสูงซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากเด็กหนุ่มที่ดูขี้เกียจตลอดเวลาคนนี้ได้

    “ไหนๆก็ฝืนทำมาถึงขั้นนี้ละ ก็ไม่อยากให้มันสูญเปล่าละนะ”

    “เยี่ยมมากสหาย เอ้างั้นไปกันเหอะ !!!”

    “ใจเย็น !!!” แม็กคว้าคอเพื่อนพร้อมออกวิ่งลงเนินสีเขียวขจี รอยยิ้มที่สดใสดั่งพระอาทิตย์นั้นหลายๆครั้งก็ทำให้เฟทอิจฉาไม่ใช่น้อย


    -------------------------------

    -----------------

    ----------


    การสอบเข้ารับตำแหน่งอัศวินหลวงหรือราชองครักษ์ประจำพระราชวังอเล็กซานไดรฟ์นั้นจัดขึ้นปีละครั้ง ซึ่งจะต้องผ่านการคัดเลือกจากคณะอัศวินประจำพระราชวังซะก่อนถึงจะมีสิทธิสอบได้ ในแต่ละปีจะรับคนที่สอบผ่านไม่จำกัดจำนวนแต่เนื่องด้วยการสอบที่ยากจนเลื่องลือไปทั่ว ทำให้หลายๆปีไม่มีคนสอบผ่านเลย บางปีก็มีแค่คนหรือสองคน อย่างมากสุดก็แค่สี่คนในปีนั้น

    แถมการคัดเลือกก็ถือว่าเข้มงวดมากไม่ใช่ว่าเป็นนักดาบที่ไหนก็เข้ารับการทดสอบนี้ได้ คณะอัศวินจะทำการเลือกจากเหล่าผู้ดีที่มีฝืมือและมีความเพียบพร้อมที่จะเป็นอัศวินเท่านั้น หากเป็นลูกชาวบ้านทั่วๆไปก็ลืมไปได้เลย

    แต่เฟทและแม็กนั้นได้ถือสถิติผู้เข้ารับการสอบอายุน้อยที่สุดเพียง 15 ปีเท่านั้นเด็กน้อยสองคนมีฝีมือดาบอันเฉียบคมขนาดล้มผู้ใหญ่ตัวโตได้สบายๆ ทั้งเซ้นในการต่อสู้แต่ละครั้งก็ดูไม่เหมือนเด็กที่ไม่มีประสบการณ์เลยแม้แต่น้อย การศึกษาก็อยู่ในเกณท์ดีทั้งคู่พวกเขาจึงถูกพลักดันให้เข้าสอบในปีนี้ด้วยวัย 15 ปี


    ถือเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง

    สองหนุ่มทอดสายตาไปตามทางเดินในพระราชวังที่เข้ามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทุกสายตาล้วนมองมาที่พวกเขา บ้างอิจฉา บ้างชื่นชม บ้างอยากพูดคุย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สองหนุ่มมั่กจะเจอเป็นประจำ ยังไม่นับเรื่องที่หน้าตาก็พอไปวัดไปวาทั้งคู่

    “พร้อมแล้วสินะ” ภายในโถงใหญ่ที่ถูกสร้างจากก้อนอิฐสีเทาขนาดยักษ์ ประดับประดาไปด้วยธงทิว อาวุธที่ติดตามผนังกับเสื้อเกราะสีเงินวาบวับตามทางเดิน เหล่าอัศวินและทหารจะมารวมตัวกันเพื่อรับภารกิจหรือเรียกรวมพล ชายร่างโตพร้อมกับดาบบัสตาดเล่มโตบนหลังกล่าวทักทายสองหนุ่มอย่างอารมณ์ดี เขาแต่งกายด้วยชุดเกราะเบาประดับตราหัวหน้าราชองครักษ์ ใบหน้าที่ดูน่ากลัวแต่กลับไม่รู้สึกถึงการคุกคาม เขาจับหัวทั้งสองหนุ่ม “ผ่านให้ได้ละ ศิษย์รัก”

    “ครับอาจารย์ !!”

    “อาจารย์ดีริค หัวผมยุ่งไปหมดแล้ว…”

    “เฟท แม้แต่เวลานี้แกยังทำหน้าเหมือนคนท้องผูกอยู่อีกเหรอ นี่เป็นช่วงเวลาที่ใครหลายคนพยายามทั้งชีวิตก็ยังคว้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำไปนะ”

    “อะครับ ผมเข้าใจแล้วแต่ช่วยเอามือเอาไปทีเถอะ”


    “อะไรกันดูแม็กสิ เจ้านี่มันยังชอบให้ข้าลูบหัวเลย” ดีริคหันไปมองแม็กที่เริ่มยิ้มเห่ยๆเพราะรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้หัวเขาคงยุ่งน่าดู


    “เจ้าหญิงกันไฟนอล ทิล อเล็กซานไดรฟ์ เสด็จ !!” เหล่าอัศวินทุกนาย รวมไปถึงทหารและข้าราชบริพารต่างก้มตัวลงและเปิดทางให้เจ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งราชอาณาจักรอเล็กซานไดร์ฟ เธอสวมชุดเดรสสีขาวเรือนผมสีดำสนิทนั้นถูกมัดไว้พร้อมปิ่นปักผมสีทองดูโดดเด่น เธอเสด็จมาส่วนของเหล่าอัศวินบ่อยครั้งจนเรียกได้ว่าสนิทกับเหล่าอัศวินและทหารมากยิ่งกว่าใครในราชวงศ์

    แต่วันนี้เธอมาด้วยเหตุผลพิเศษ “เจอพวกเจ้าแล้ว” เจ้าหญิงกันฉีกยิ้มสดใสพร้อมออกวิ่งทั้งๆที่ใส่ชุดเดรสยาวจนเหล่าเมดต้องรีบวิ่งถือกระโปรงของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงแสนซนพระองค์นี้สะดุดล้มไปซะก่อน

    “องค์หญิงเพคะ ช่วยสำรวมด้วยเถอะ” เมดสูงอายุท่านนึงรีบติงขึ้น

    “ไม่มีทางซะละ ฮาๆๆๆ” แต่เธอก็ยังคงไม่หยุดวิ่งพร้อมส่งเสียงหัวเราะลั่น


    “อุหว่ามาแล้วๆ”

    “ตัวยุ่งมาแล้วแหะ”

    “องค์หญิงของพวกเรานี่ไม่มีเหมือนใครจริงๆแหะ พวกแกคิดว่าไงบ้างหะ ไอ้ศิษย์รัก” เฟทกับแม็กได้แต่ยิ้มแหย่ๆที่มุมปาก


    เจ้าหญิงกันไฟนอลหยุดยืนที่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสอง เธอเกลือกตามองทั้งสองราวเพื่อนเล่น “พยายามเข้านะทั้งคู่”

    “แน่นอนครับองค์หญิง” แม็กตอบรับเสียงแข็งขัน พลันหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ยังไงซะพวกเขาสามคนก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก

    “ถ่อมาจากพระตำหนักชั้นในเพื่อเรื่องนี้เลยสินะครับ” เฟท ยิ้มพลางถอนหายใจเล็กๆ

    “อะไรกันเฟท นายไม่พอใจอะไรเหรอ เราผู้สูงศักดิ์อุตส่าห์มาให้กำลังใจพวกเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ”


    “เจ้านั้นมันก็เป็นแบบนี้เสมอแหละองค์หญิง แต่จริงๆมันก็ดีใจแหละหน่า ใช่ปะเฟท”


    “ไอ้คนที่ดีใจกว่านั้นมันนายละม้าง แม็ก”

    ความเงียบก่อตัวขึ้นชั่วครู่และทั้งสามก็หัวเราะออกมา พวกเขาเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันจนเวลาล่วงเลยเป็นสิบปีพวกเขาก็ยังคงเปล่งประกาย จนหลายๆคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาทั้งสามคืออนาคตอันสดใสของอาณาจักร และหนึ่งในสองหนุ่มสักคนคงจะได้อภิเษกกับเจ้าหญิง

    “อะแฮ่ม องค์หญิงกันไฟนอลข้าขออภัย แต่ตอนนี้ได้เวลารับการทดสอบแล้ว” ดีริคเอ่ยขึ้นขัดจังหวะทั้งสาม


    “อืม “ เธอพยักหน้าเล็กๆรับคำ ก่อนจะหันไปทางสองหนุ่ม “จงผ่านการทดสอบและมารับใช้เราซะ นี่เป็นคำสั่ง”


    “แน่นอนครับ”


    “จะพยายามละกันนะครับ”

    สองหนุ่มลดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าเจ้าหญิง ก่อนที่แม็กจะเอ่ยขึ้น “พวกเราจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อจะได้อยู่เคียงข้างเจ้าหญิงกันไฟนอลครับ”

    เฟทที่ยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยโดยไม่เงยหน้านั้นรู้เจตนาของเพื่อนดีกว่าใคร เขาไม่ได้อยากจะพูดว่า “พวกเรา” เท่าไรหรอก ที่อยากจะเคียงข้างองค์หญิงจริงๆมีเพียงตัวของแม็กเองเท่านั้น แต่ที่อดคิดไม่ได้จริงๆคงเป็นไอ้บ้านี่พูดเรื่องน้ำเน่าออกมากลางที่สาธารณะได้หน้าตาเฉย

    “เฟท ละเจ้าไม่อยากพูดอะไรบ้างเหรอ”

    เด็กหนุ่มผมเงินเงยหน้าขึ้น “ผมว่าผมพูดแล้วนะ จะพยายามละกัน” เจ้าหญิงยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


    “เอาละ พวกเจ้าไปได้แล้ว เราขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสองสอบผ่าน”


    -----------------

    ----------

    ----

    เมื่อเดินผ่านอุโมงค์ที่ทอดยาวที่เห็นเพียงแค่แสงสว่างปลายอุโมงค์นั้นก็จะเจอกับลานประลองขนาดใหญ่ผู้ชมจากทั่วอาณาจักรต่างเข้ามาจับจ้องพื้นที่ที่ดี่ที่สุดในการเข้าชมการทดสอบ ปีนี้มีผู้เข้าสอบเพียงแค่สองคนเท่านั้น และยังเป็นผู้เข้าสอบเด็กที่สุดในประวัติศาสตร์ทำให้มีผู้ชมเข้ามามากกว่าปีก่อนๆพอสมควร


    แม็กซึ่งเดินสวนกลับมาจากปลายอุโมงค์ตบเข้าที่ไหล่เพื่อน ตัวของเขามอมแมมและมีรอยแผลอยู่หลายที่แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รอยยิ้มที่สดใสนั้นไม่เปลียนไปแม้แต่น้อย

    “ผ่านสินะ”


    “อ่า ก็ยากกว่าที่คิดอยู่ แต่ก็ไม่ใช่อะไรทีผ่านไม่ได้ แกเองก็ต้องผ่านได้แน่”


    “ไม่รู้สิ” เฟทพูดพลางสูดลมหายใจ เขาจับดาบเซเบอร์ที่แน่บเอวไว้เล็กน้อย “งั้นผมไปละ”

    เมื่อร่างของเด็กหนุ่มผมเงินปรากฏขึ้นที่ลานประลองเสียงโห่ร้องของผู้ชมก็ดังสนั่น เฟทมองพื้นที่รอบๆที่ยังหลงเหลือร่องรอยของการต่อสู้ไว้พลางค่อยๆคิดถึงบทสนทนาก่อนสอบเมื่อสองสามวันก่อน

    “โจทย์ปีนี้คือหุ่นกลเวทย์มนต์ เมจิคเทค สินะ”

    เนื่องด้วยโจทย์การสอบเปลี่ยนไปทุกปีทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าแต่ละปีจะเจอโจทย์แบบไหน อย่างสองปีก่อนก็เป็นสัตว์อสูร ปีที่แล้วก็เป็นดวลกับอัศวินระดับสูง ส่วนปีนี้เป็นเมจิคเทค หรือหุ่นกลเวทย์มนต์ อาวุธและความภาคภูมิใจของอาณาจักรกัสทราพันธมิตรอันยาวนานของอเล็กซานไดรฟ์

    “ผู้เข้าทดสอบ เฟท เรเกียส เซน่อน” เสียงของหัวหน้าองครักษ์ดีริคดังกวาลไปทั่ว พร้อมกับความนิ่งสงบทั่วทั้งสนามประลอง

    “การทดสอบนี่จะได้รับการควบคุมอย่างดีหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะรับประกันชีวิตผู้เข้าสอบได้ เจ้ายังจะรับการทดสอบอีกหรือไม่”

    เฟทนึกเพียงในใจของตนเอง อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าไม่ได้อยากจะทดสอบแล้วกลับบ้านไปนอนกินขนมจิบชาให้สบายใจมากกว่า เขาเงยหน้ามองไปบนอัฒจันทร์ชั้นพิเศษ ครอบครัวของเขาอยู่ตรงนั้นเขาส่งยิ้มน้อยๆให้กับเด็กสาวผมสีฟ้าที่พยายามตะโกนชื่อเขาอย่างสุดเสียง


    เฟทสูดหายใจลึกก่อนจะตอบรับออกไปอย่างมั่นคงไร้ซึ่งความประหม่า “แน่นอน”

    ดีริคฉีกยิ้มพลันยกแขนขวาขึ้น “เช่นนั้นข้าขอเริ่มการทดสอบ ณ บัดนี้”

    สิ้นเสียง หุ่นกลขนาดสูงเกือบสามเมตรก็เดินลอดทางเข้าฝั่งตรงข้าม สีของมันเหมือนสีสนิม รูปร่างคล้ายมังกรที่ยืนสองขาเป็นรูปแบบไร้คนขับ ทุกก้าวเดินดุจแผ่นดินไหว

    “แค่ทำลายมันให้ได้สินะ....” เฟทเบิกตาสีดำสว่างขึ้น พร้อมถีบเท้าตัวเองออกไปอย่างรวดเร็วมือขวากระชั้บดาบในมือแน่นก่อนจะชักออกมาเป็นแนวตรงเข้าใส่ส่วนข้อต่อของหุ่นกลที่ดูเหมือนจะยังไม่ทันตั้งตัว


    แต่มันไม่สะทกสะท้าน แถมยังปล่อยคลืนไฟฟ้าออกมาทั่วบริเวณจนเด็กหนุ่มต้องรีบถอยหนี “ไม่เห็นเหมือนทีเคยอ่านในหนังสือเลยแหะ อย่างน้อยโดนข้อต่อเต็มๆก็น่าจะสะดุ้งบ้างดิ”

    เมจิคเทคไม่ปล่อยให้เฟทคิดอะไรนาน มันพ่นคลืนความร้อนขนาดใหญ่ เด็กหนุ่มรีบกระโจนออกมาจากจุดเดิมเสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับเสียงโห่ร้องของเหล่าผู้ชม รูกว้างปรากฏขึ้นตรงจุดที่เค้าเคยยืนอยู่

    “ช้ากว่านั้นอีกนิดสงสัยได้ตายแหง” เฟทยิ้มขึ้นช้าๆเหงื่อเรี่มผุดขึ้นตามใบหน้า เด็กหนุ่มวิ่งเข้าหาเมจิคเทคอีกครั้งพลันกระโดดโยกหลบซ้ายทีขวาทีเพื่อหลอกล่อหุ่นกล แต่หุ่นกลทรงมังกรไม่หลงไปกับความเคลื่อนไหวมันเปิดท่อยิงด้านหลังพร้อมกับมิสไซส์จำนวนมากถูกยิงขึ้นและกำลังบินมาทางเค้า


    เฟทกัดฟันเปลี่ยนเส้นทางไปทางด้านข้างของหุ่นกล มิสไซส์ตกไล่หลังมาเป็นห่าฝนฝุ่นควันลอยกลบทุกสิ่งรอบตัว เฟทอาศัยจังหวะนี้กระโจนขึ้นไปอยู่บนหัวมังกรและเสียบดาบเซเบอร์ในมือลงไปที่รอยแยกตรงคอ


    เจ้าจักรกลโยกคออย่างรุนแรงหวังให้เด็กหนุ่มร่วงลงไปกับพื้น แต่เฟทไม่ยอมง่ายๆเขาแทงดาบลงไปลึกขึ้น แต่จังหวะนั้นเองหุ่นกลกระโดดทิ้งตัวลงพื้นหวังจะใช้น้ำหนักตัวทับเด็กหนุ่มผมเงินที่ยังไม่ยอมผละออกจากตัวมัน เฟทไม่มีทางเลือกจึงรีบถีบตัวออกมาทันที

    “อ่า ให้มันได้อย่างงี้สิ...” เฟทลุกขึ้นจากพื้น เขาปัดฝุ่นออกจากเสื้อเกราะเบาที่สวมอยู่ ดวงตาสีดำสว่างนั้นมองไปที่ร่างเมจิคเทคที่ค่อยๆลุกยืนขึ้นพร้อมกับซากดาบของเค้าที่แตกหัก จังหวะที่เค้ากระโดดหลบออกไปเฟทไม่ได้ชักดาบออกมาด้วยเพราะมันปักลงไปจนเขาดึงไม่ออก


    แท้จริงแล้วหากเสียอาวุธไปและประกาศยอมแพ้การสอบก็จะจบลง แต่เด็กหนุ่มผมเงินไม่ใช่คนแบบนั้น เขายิ้มขึ้นหาใช่สิ้นหวัง และเมื่อเริ่มสนุกแล้วเขาจะไม่ยอมให้มันจบลงง่ายๆแน่ เมจิคเทคพ่นคลืนความร้อนอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบหลบไปด้านข้างแต่หัวมังกรนั้นก็ยังพ่นไฟไล่ตามมา


    เฟทวิ่งด้วยสปีดเหนือมนุษย์เข้าไปหาจักรกลอย่างไม่เกรงกลัว ทันใดนั้น “ข้าแต่วิญญาณแห่งอัศนี ด้วยบัญญัติแห่งพันธสัญญา” ท้องฟ้าสีครามรอบข้างก็มืดครึ้มขึ้น


    “หมู่เมฆหมอกอันเปี่ยมด้วยพลัง นามแห่งข้า เฟท เรเกียส เซน่อน ขอหยิบยืมพลังจากเส้นขอบฟ้าสู่มือขวานี้ Thunder Bolt !!”



    พริบตานั้นสายฟ้าก็ฟ้าลงสู่หลังคอหุ่นกลอย่างจังหาใช่เล่นงานที่ตัวเมจิคเทค แต่เป็นดาบที่แม้ด้ามจับจะหักไปแต่ส่วนคมดาบที่ยังปักคาอยู่ เมจิคเทคทรงมังกรอยู่นิ่งไปชั่วครู่มันควันสีดำออกมาก็จะเสียหลักล้มลงไปกองบนพื้น


    แม้เมจิคเทคจะขึ้นชื่อเรื่องความทนทานต่อเวทย์มนต์แต่เมื่อมีสื่อนำไฟฟ้าไปเสียบอยู่ในกลไกทำให้สายฟ้าที่เฟทเรียกออกมาเข้าไปทำลายชิ้นส่วนภายในตัวมังกรอย่างไร้ความปราณี ชัยชนะจึงตกกับเด็กหนุ่มอย่างง่ายดาย


    แต่กลับไม่มีเสียงใดๆแม้แต่เสียงโห่ร้องด้วยความยินดี.....

    “แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว......... เราเผลอไป “เฟทยืนตัวแข็งเมื่อเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป


    แม้แต่แม็กและเจ้าหญิงกันที่ทรงทอดพระเนตรอยู่บนอัฒจันทร์ก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดได้ หัวหน้าราชองครักษ์ดีริคลุกยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะอย่างที่สุด “เฟท เรเกียส เซน่อน เจ้าได้ทรยศต่อการสอบแห่งอัศวินด้วยการใช้เวทย์มนต์อย่างโจ้งแจ้ง ถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียอย่างที่สุดตั้งแต่มีการสอบคัดเลือกนี้มา ด้วยสิทธิแห่งหัวหน้าอัศวินข้าขอปรับตก และไม่อนุญาตให้เข้ารับการสอบได้อีกต่อไป !!”

    ..................................................................................................

    ...............................................................

    ......................................

    .......................




    ความผิดผลาดเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่ผู้คนรอบข้างไม่อาจให้อภัยได้........ผมนั่งเล่นอยู่บนอัฒจรรย์สูงที่กลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง พลางคิดถึงเรื่องในอดีต

    แกมันก็เป็นแค่ไอ้คนไร้ค่าในตระกูล !!” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นโทมเข้าใส่เด็กหนุ่ม ผิวสีขาวซีดนั้นถูกโบยจะเป็นแผลไปทั้งตัว โลหะสีแดงฉานหยดลงพื้น มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการและถูกแขวนจนตัวลอยจากพื้น เด็กหนุ่มกัดฟันรับแส่ที่ฟาดลงมาอย่างไร้ความปราณี


    “ทุกอย่างมันพังไม่เป็นท่าเพราะแกคนเดียว !!” ชายในชุดขุนนางสีดำ ด่าทอเด็กหนุ่มด้วยทุกถ้อยคำที่เขาจะระบายออกมาได้ มือขวาที่กำแส้ยาวนั้นแดงฉาน ไม่ต่างกับใบหน้าที่แดงไปด้วยความโกรธ

    “ทำไมแกถึงทำอะไรโง่เขลาลงไปแบบนั้น ทั้งที่พ่อคาดหวังในตัวแกไว้แล้วแท้ๆ แต่แกกลับนำความอับอายมาสู่ตระกูลเซน่อนอันยิ่งใหญ่ของเรา !!”

    เด็กสาวผมสีฟ้ายาวนั่งกุมมืออยู่ที่ห้องโถงกลางด้านนอก แม้ว่าต้นเสียงจะมาจากห้องใต้ดินแต่มันก็ดังที่เสียงการลงแส่แต่ละครั้งจะดังมาถึงจุดที่เธออยู่ เด็กสาวในชุดโลลิต้าสีแดงสดเฝ้าภาวนา “ท่านพี่คะ.....”


    “หึ ยังไม่ร้องออกมาซักนิด น่ารังเกียจจริงๆ”


    “ท่านแม่คะ !! ทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้นท่านพี่น่ะ....”


    “ชั้นคนนี้ไม่นับมันเป็นลูกอีกต่อไปแล้ว ก็แค่ขยะไร้ค่าที่นำความอับอายสู่วงตระกูลเท่านั้นแหละ รู้ทั้งรู้ว่าการสอบอัศวินห้ามใช้เวทย์มนต์ใดๆ ก็ยังจะทำเรื่องพรรคนั้นออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แสดงว่ามันเป็นพวกไร้ความสามารถต้องเพิ่งเวทย์มนต์เท่านั้นแหละ”

    คุณนายแห่งบ้านเซน่อนร่ายยาว เด็กสาวไม่อาจจะเถียงผู้เป็นแม่ได้เลย แม้ในใจของเธออยากจะพูดปกป้องพี่ชายเพียงคนเดียวของเธอเพียงใดแต่ถ้ายิ่งพูดมากไปกว่านี้พี่ชายของเธออาจได้รับโทษมากขึ้น


    แม้ไม่ใช่ประเทศที่จะกีดกันเรื่องเวทย์มนต์แต่การทดสอบของอัศวินหลวงนั้นถือเป็นการพิสูจน์วิถีทางแห่งอัศวินไม่อาจใช้เครื่องทุนแรงอื่นๆเช่นเวทย์มนต์ในการสอบได้ การกระทำอันอุกอาจนั้นจะไม่ต่างกับการโกงการสอบ


    และการเป็นอัศวินก็ถือยศถามากกว่าการเป็นจอมเวทย์จึงเป็นเหตุผลหลักๆที่เจ้าบ้านเซน่อนบังคับให้เฟทเป็นอัศวิน ลูกชายของเขาก็ทำหน้าที่ตลอดหลายสิบปีนี้ไม่เคยบกพร่องและไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย นี่ถือเป็นความผิดผลาดครั้งแรกของเด็กหนุ่ม


    เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ชายวัยกลางคนเปิดประตูเข้ามาในห้องโถงกลางเข้าเหน็ดเหนื่อยกับการลงโทษเด็กที่เคยเรียกว่าลูกชายอย่างประคบประงม ชายคนนั้นทิ้งตัวลงบนโซฟากำมะหยีสีแดงพลางถอนหายใจ

    “มันหมดสติไปแล้ว” เด็กสาวที่ได้ยินดังนั้นรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องทันที ทิ้งเพียงพ่อและแม่ของเธอไว้ในห้องโถง

    “ไม่ห้ามเหรอคะคุณ”


    “ปล่อยให้คุยกันเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้ชั้นจะถีบส่งมันออกไปจากบ้านและชื่อของเซน่อน นี่ถือเป็นความกรุณาแล้ว”

    ประตูไม้เปิดกว้างสู่ห้องใต้ดิน เสียงฝีเท้าน้อยๆแต่เร่งรีบพุ่งลงไปสู่ความมืดโดยไม่เกรงกลัว ร่างสีขาวซีดที่ถูกย้อมด้วยเลือดของพี่ชายนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงตรงนั้น เด็กหนุ่มเหมือนจะตายได้ในทุกลมหายใจ


    .”พี่ค่ะ” เด็กสาวผมฟ้าน้ำตานองหน้า เธออุ้มตัวพี่ชายของเธอมาไว้บนตักเล็กๆ

    “เฟน่า......พี่ทำอะไรผิดเหรอ”


    “พี่ไม่เคยทำอะไรผิดค่ะ พี่เป็นพี่ชายที่ยอดเยี่ยมที่สุด...ฮึกๆ”


    “อ่า อย่างงั้นเหรอ....” ทั้งสองไม่พูดสิ่งใดออกมา เฟน่ายังคงร้องไห้ไม่หยุดเธอไม่รู้จะทำยังไงก็สถานการณ์แบบนี้ พี่ชายที่กำลังจะตายอยู่บนตักของเธอ ไม่มีแม้แต่เมดหรือพ่อบ้านคนใดมาสนใจเหมือนทุกที มีเพียงเธอเท่านั้น

    “พี่....ทำทุกอย่างเพื่อท่านพ่อ ท่านแม่มาตลอด...” อยู่เฟทก็เอ่ยขึ้น ดวงตาสีดำนั้นเลื่อนลอย

    “ทิ้งความฝัน ทิ้งความทะเย่อทะยานของตัวเอง ใช้ชีวิตเพื่อคนรอบข้างมาโดยตลอด..” คำพูดของเขาเหมือนคนไม่ได้สติ

    “ความผิดผลาดเพียงครั้งเดียว ทุกสิ่งก็กลายเป็นเพียงแค่ความฝันหรือนี่”


    “ท่านพี่ค่ะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เดี๋ยวจะรีบกลับมาทำแผลนะคะ” น้องสาวเห็นพี่ชายเริ่มอาการแย่ลงรีบเช็ดน้ำตา เธอวางพี่ชายลงกับพื้นที่ยังเต็มไปด้วยเลือด เธอวิ่งออกไปจากห้องใต้ดินอย่างรีบเร่ง


    เฟทมองตามน้องสาวของเขาออกไป พลางเม่อมองขึ้นไปบนเพดานที่มีแต่ความมืด ใช่ ทุกอย่างน่าจะหายไปให้หมดซะ เหมือนกับความมืดที่ก่อตัวอยู่ทุกหนแห่ง กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ส่งทุกสิ่งลงสู่ความว่างเปล่าให้หมดซะ



    ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ..........จงหายไปสู่ความว่างเปล่าซะ



    เด็กหนุ่มดันตัวเองขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ดวงตาสีดำนั้นว่างเปล่า ลมหายใจที่แผ่วเบาราวกับคนใกล้ตายกำลังประคองร่างกายอันสาหัส.....


    ออกจากห้องใต้ดิน.....


    ... ไปตามทางเดินที่กำลังจะกลายเป็นอดีตบ้านอันแสนสุข เหล่าบริวารที่เคยรับใช้ต่างเมินหน้าหนี เลือดสีแดงสดไหลรินไปตามทาง แม้แต่เสียงของน้องสาวที่วิ่งกลับมาพยายามประคองเขาไว้ก็ไม่ได้ยิน


    เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหันมามอง

    ไม่แม้แต่จะบอกลาใดๆ

    ไม่แม้แต่จะคำนึงถึง

    แม้แต่น้องสาวที่พยายามจะไล่ตามก็ค่อยๆเลือนหาย ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นเคลื่อนที่ผ่านเงามืดไปอย่างช้าๆ และไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขาอีก ทิ้งไว้เพียงบาดแผลลึกในใจและความอัปยศอันเป็นนิรันดร์ไว้เบื้องหลัง



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Special Thx to

    - Maxlancer

    - Gunfinal

    - Derick

    - Feena [original character]
    Last edited: 10 พฤศจิกายน 2014
    Gunfinal ถูกใจสิ่งนี้
  4. Gunfinal

    Gunfinal Member

    EXP:
    152
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    โรงงานผลิตน้ำหมึกเริ่มขึ้นแล้ว!
    เรื่องนี้ท่าทางจะดราม่าหนักเลย หรือนี้คอืการเริ่มต้นการเดินทางของเฮียกันคะ!

    ปล.เค้าเป็นเจ้าหญิงด้วยล่ะ *///*
    ปล2. อย่าดองล่ะ...

Share This Page