World Revival

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 12 พฤศจิกายน 2014.

  1. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนที่ 1 - คำเชื้อเชิญที่ไม่ได้บอกกล่าว

    "รับไปเถอะครับ"
    เด็กหนุ่มเลื่อนซองจดหมายสีขาวให้กับพ่อบ้านชราผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ หากแต่อีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าลำบากใจและส่ายหน้าปฏิเสธที่จะรับมันเอาไว้
    "กระผมมิอาจรับไว้ได้หรอกขอรับนายน้อย ที่นายน้อยกรุณาจัดแจงหาที่อยู่กับงานใหม่ให้กระผมก็ถือเป็นเรื่องรบกวนมากแล้ว" เสียงแหบพร่าแสดงเจตนาอย่างชัดเจน นัยน์ตาสีน้ำข้าวนั้นแฝงด้วยความเคารพแก่ผู้ที่ถูกจับจ้องอยู่ "นายน้อยกรุณาอย่าทำให้กระผมต้องเป็นห่วงนักเลยขอรับ คนรับใช้คนอื่นๆก็เช่นกันพวกเขาต่างเป็นห่วงนายน้อยกันทั้งนั้น ดังนั้นกรุณาเก็บเงินนั่นไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นเถอะขอรับ"
    เบื้องหน้าของพ่อบ้านชรานั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ส่วนสูงยังไม่ถึง 160เซนติเมตร ลักษณะร่างกายนั้นดูผอมบางอ่อนแอเพราะขาดกล้ามเนื้ออย่างที่เด็กหนุ่มวัยรุ่นสมควรมีจนชวนให้รู้สึกอยากปกป้อง
    "ทางผมไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ เป็นทุกคนต่างหากที่ต้องลำบากหาที่อยู่กับงานใหม่เพราะทางผมตัดสินใจขายคฤหาสน์หลังนี้"
    เด็กหนุ่มมองกวาดไปรอบๆด้วยแววตาเจือความอาวรณ์ ทันทีที่เขาเกิดคฤหาสน์แถบหลังนี้ก็ถูกสร้างทันทีเพื่อให้เด็กร่างกายอ่อนแออย่างเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องพบเจอกับมลพิษ แถมตัวเขาเองยังแทบไม่ได้ออกไปไหนโดยไม่จำเป็นเรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันที่นี่ก็เปรียบเหมือนโลกทั้งใบสำหรับเขา แต่ผู้คนที่นี่ต่างก็ดีต่อเขามากจริงๆแม้กระทั่งตอนที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพวกเขาก็พากันคอยเป็นห่วงเอาใจใส่จนตัวเขาผ่านพ้นกับห้วงทุกข์มาได้
    ทว่าอุปสรรคชีวิตก็เวียนมาอีกครั้งจนได้ เมื่อคุณปู่ของเขาเสียชีวิตอย่างกระทันหันจนทำให้เครือธุรกิจของตระกูลเขาเจอกับปัญหาใหญ่ในขณะที่ระบบภายในไม่ลงตัว แม้คุณอาที่เข้ามาทำหน้าที่แทนจะพยายามกู้สถานการณ์แต่ก็จนแล้วจนรอดเงินทุนที่จะใช้ให้กิจการดำเนินต่อไปได้ก็ตกต่ำเสียจนเป็นปัญหา สุดท้ายแล้วคุณอาของเขาจึงตัดสินใจขอร้องให้ขายคฤหาสน์หลังนี้กับพื้นที่บริเวณภูเขาด้านหลังคฤหาสน์ไปพร้อมๆกันเพื่อนำเงินจำนวนนั้นมาใช้เป็นเงินทุน
    "นายน้อยขอรับ"
    เสียงแหบพร่าเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มกลับมาการสนทนาอีกครั้ง เขามองดูแววตาของชายชราแล้วก็รู้สึกได้ว่าไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ไปแน่ๆจนเขาเผลอถอนหายใจเบาๆออกมา
    "ถึงจะขอร้องให้ผมขายคฤหาสน์นี้แต่คุณอาก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอกนะครับ หลังคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตคุณอาก็ควรช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลของตัวผมมาตลอดแล้วหลังจากนี้ก็เดินเรื่องให้ผมได้เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลดีๆด้วยแล้วเพราะอย่างนั้นไม่ต้องเป็นห่วงผมนักหรอกครับ"
    เมื่อจบคำเด็กหนุ่มก็มองไปยังซองจดหมายบนโต๊ะ
    "เอาเป็นว่าเงินจำนวนนี้... รบกวนโธมัสช่วยนำไปจัดการใช้จัดงานเลี้ยงที่นี่ก็แล้วกันนะครับ มะรืนนี้ก็จำเป็นต้องขนย้ายข้าวของออกไปแล้วคงมีเวลาเตรียมการไม่มากเพราะอย่างนั้นขอเป็นงานแบบง่ายๆที่จัดได้ภายในพรุ่งนี้ก็แล้วกันครับ อย่างน้อยก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปผมก็อยากได้กินอาหารพร้อมหน้ากับทุกคนสักครั้ง...ดังนั้นช่วยหน่อยนะครับโธมัส"
    ในเมื่อทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจรับเงินจำนวนนี้ไปไม่ได้เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจนำมันมาใช้เช่นนี้แทน
    "เข้าใจแล้วขอรับนายน้อย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพอทุกคนกลับมา..."
    "ไปก่อนเถอะครับถ้ารอจนทุกคนกลับมาจากติดต่อเรื่องย้ายที่อยู่คงมืดจนไม่ทันเตรียมการอะไรกันพอดี ผมอยู่ที่นี่คนเดียวได้ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกครับ"
    พ่อบ้านชราทำสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่พอเด็กหนุ่มย้ำอีกครั้งก็ยอมออกไปจัดการตามที่ขอร้องในที่สุด
    "พอไม่มีใครอยูแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกเหงาจังเลยนะ"
    เขาเปรยขึ้นมาเบาๆพลางเอนกายพิงเก้าอี้ ดวงตาสีอำพันปิดลงอย่างช้าๆขณะฟังเสียงใบไม้สั่นไหวด้วยกระแสลมจากนอกหน้าต่าง
    'อากาศดีจังนะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้จัดเป็นปาร์ตี้กลางแจ้งก็คงดี น่าเสียดายที่เวลาน้อยไปไม่อย่างนั้นคงเตรียมการอะไรได้มากกว่านี้ แต่อย่างน้อยก็อยากทำอะไรให้ทุกคนบ้างจังเลยนะ ถ้าอย่างนั้นลองขอให้มาธาช่วยสอนอบขนมแล้วทำให้ทุกคนกินพรุ่งนี้ดีกว่า...'
    ขณะที่กำลังคิดถึงงานเลี้ยงในวันรุ่งขึ้นอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น จู่ๆความรู้สึกเจ็บปวดก็เสียดแทงขึ้นมาอย่างกระทันหันพร้อมๆกับลมหายใจที่ติดขัดจนรู้สึกอึดอัด เด็กหนุ่มกุมอกตัวเองแน่นพลางลืมตาขึ้นเพื่อมองหาสิ่งที่ตนวางไว้บนโต๊ะ
    'กด...สวิตช์ฉุกเฉิน..'
    เขารีบเอื้อมมือไปคว้าสิ่งนั้นทว่ามือที่อ่อนแรงก็เผลอทำมันร่วงหล่นลงไป ส่วนเด็กหนุ่มที่พยายามคว้าจับสิ่งนั้นได้เผลอเสียหลักจนกระทั่งล้มไปที่พื้นอย่างแรง ภายใต้ภาพที่พร่าเลือนเพราะความรู้สึกเจ็บปวดนั้น เด็กหนุ่มพยายามเอื้อมไปสุดแขนจนคว้าจับสิ่่งนั้นไว้ได้
    จากนั้นเสียงสัญญาณฉุกเฉินก็ดังขึ้นไปทั่วคฤหาสน์ก่อนที่สติของเด็กหนุ่มจะดับวูบลงไป

    ในห้วงอันลางเลือนราวกับความฝัน ความทรงจำเก่าๆค่อยๆหวนกลับมาให้รำลึกถึง ทั้งวันเวลาที่พ่อแม่ยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งช่วงเวลาที่ได้พบเจอกับผู้คนที่สำคัญราวกับคนในครอบครัว
    ...ต้องรีบตื่นแล้ว...
    ..คงต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนกังวลด้วยสินะ...
    ....แต่แบบนี้ก็คงไมได้จัดงานเลี้ยงแล้วสินะ..น่าเสียดาย...

    ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางความมืด เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจอยู่ชั่วครู่แต่พอสังเกตดูคร่าวๆก็รู้ว่าที่นี่นั้นเป็นภายในห้องนอนของเขา ตอนนั้นเองเขาก็เพิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกอย่างเพราะปกติเวลาอาการป่วยกำเริบเขามักจะต้องนอนซมอยู่ในโรงพยาบาลอยู่นานกว่าร่างกายจะฟื้นตัวได้ แต่ตอนนี้นอกจากจะรู้สึกอ่อนแรงมากแล้วร่างกายกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแม้แต่น้อย
    "ฟื้นแล้วสินะคะ"
    ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ๆเสียงของหญิงสาวก็ดังแว่วขึ้นมาพร้อมกับดวงแสงขนาดพอๆกับผลแอปเปิลซึ่งกำลังส่องแสงระเรื่อราวกับหิ่งห้อย
    "ต้องขออภัยด้วยที่มิได้มาสนทนากับท่านตรงๆหวังว่าท่านจะยอมรับฟังเรื่องที่เรากำลังจะกล่าวนี้ก่อน" เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้งจากดวงแสงนั่น
    "ตัวเรานั้นมีนามว่าลีฟาน หรือที่ผู้คนในโลกนี้เรียกขานว่าเทพธิดาแห่งพงไพร"
    "โลกนี้?"
    เด็กหนุ่มเผลอทวนคำๆนั้นขึ้นมาด้วยความสงสัย
    "ใช่ค่ะ ที่นี่คือโลกอีกใบหนึ่งมิใช่โลกใบเดิมที่ท่านเคยอยู่ ตัวเราได้ถือวิสาสะนำตัวท่านมาจากโลกแห่งนั้นเพื่อเรื่องบางอย่าง.."
    เพี๊ยะ!
    คำพูดของลีฟานหยุดชะงักไปจากเสียงที่ดังแทรกขึ้นมากระทันหัน
    "ดูเหมือนจะไม่ใช่ฝันสินะครับ" เด็กหนุ่มกล่าวพลางกุมแก้มของตนที่เจ็บแปลบเอาไว้
    "ก็มีอยู่หลายท่านทีเดียวที่คิดว่านี่เป็นเพียงความฝันค่ะ"
    "หลายคน? มีคนอื่นนอกจากผมด้วยหรือครับ?"
    "ใช่ค่ะ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ทำให้เราต้องการผู้คนจำนวนมากจากโลกของท่านเพื่อช่วยให้มันคลี่คลายไปได้"
    "ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงเป็นผมล่ะครับ? เทพเจ้าอย่างคุณก็น่าจะรู้ถึงสภาพร่างกายของผมดี.."
    เมื่อสิ้นคำถามของเด็กหนุ่ม ลีฟานก็เงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่ากำลังครุ่นคิดตัดสินใจบางอย่าง
    "ขออภัยที่จู่ๆก็เงียบไป ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่พวกเราควรจะบอกให้พวกท่านได้ทราบก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่เราอยากจะแน่ใจก่อนว่าท่านจะสามารถตั้งสติรับฟังเรื่องนี้ได้"
    "เข้าใจแล้วครับ" เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนที่ลีฟานจะเริ่มเล่าต่อ
    "ก่อนอื่นเรื่องสภาพร่างกายของท่านนั้นเราได้ประเมินแล้วว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของเรานัก อีกทั้งเรายังได้ทำการรักษาต้นตอของอาการป่วยของท่านให้ด้วยแล้วแม้ร่างกายของท่านจะยังคงอ่อนแอกว่าคนปกติอยู่บ้างก็ตามที
    ส่วนสาเหตุที่้เลือกท่านมานั้นเนื่องจากทางเราเองก็มีข้อจำกัดอยู่ เพราะเทพเจ้าของแต่ละโลกนั้นไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายเปลี่ยนแปลงโลกอื่นโดยตรงได้ ทางเราจึงได้เจรจากับเทพเจ้าในโลกของท่านและลือกใช้วิธีที่ค่อนข้างจะคาบเส้นอยู่บ้าง.."
    ถึงตรงนี้เสียงของลีฟานพลันเงียบไปอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
    "คนที่ถูกพามาคือคนที่มีชะตาจะต้องตายในโลกของผมสินะครับ"
    ".......ถูกต้องตามที่ท่านคาดค่ะ เราได้นำพวกท่านมายังโลกนี้ก่อนจะถึงเวลาตายเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแทรงเรื่องราวของทางโลกนั้น....รวมทั้งใช้ร่างจำลองรับบทผู้ตายแทนพวกท่านด้วย"
    "แปลว่าต่อให้ปัญหาของโลกนี้ถูกสะสางเรียบร้อยแล้วก็ไม่สามารถส่งพวกผมกลับไปได้สินะครับ"
    เด็กหนุ่มถามสรุปออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา ภายใต้ความเงียบทีเปรียบดั่งคำตอบนั้นเขาหลับตาลงอีกครั้งพลางพยายามปรับลมหายใจที่ปั่นป่วนของตนให้กลับมาเป็นปกติ
    "เข้าใจแล้วครับ ยังไงที่โลกเดิมผมก็ต้องตายอยู่ดีถ้าคุณไม่พาผมมาที่นี่แถมยังให้โอกาสที่ผมได้ใช้ชีวิตใหม่ในโลกนี้อีกต่างหาก.."
    ...ถึงจะรู้สึกเหงาอยู่ก็เถอะ... เด็กหนุ่มเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจตนโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนที่ 2 - การต่อสู้แรก

    บนโลกที่อุดมสมบูรณ์นี้นับแต่อดีตกาลก็ได้รับได้การคุ้มครองจากทวยเทพทั้งหลายทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอยู่กันมาอย่างสงบสุข จวบจนกาลเวลาได้ล่วงเลยมาอย่างยาวนานกระทั่งเกิดเผ่าพันธุ์ซึ่งทรงสติปัญญาขึ้นมาได้แก่ เผ่าพราย, เผ่ามนุษย์ และเผ่าเกล็ด
    เผ่าพรายนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณของธรรมชาติได้ทั้งยังสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเหล่าทวยเทพจึงได้ริเริ่มให้มีการสร้างวิหารสำหรับบูชาและต่อสื่อสารกับเทพเจ้าต่างๆ
    เผ่ามนุษย์นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประดิษฐ์คิดค้น พวกเขาได้ประยุกต์เอาความรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณที่เหล่าพรายสอนให้มาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆจนก่อร่างสร้างเมืองที่มั่นคงขึ้นมาได้
    ส่วนเผ่าเกล็ดนั้นใช้ความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ตนคอยปกป้องคุ้มครองอีกสองเผ่าจากอันตรายต่างๆที่มากล้ำกราย
    ทั้งสามเผ่าต่างคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสมดุลย์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เผ่ามนุษย์นั้นมีประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่าอีกสองเผ่าอยู่หลายเท่าตัวจนกระทั่งเผ่ามนุษย์เริ่มมีความแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายออกเป็นประเทศต่างๆ เมื่อมองเห็นสถานการณ์ดังกล่าวเผ่าพรายผู้ฝักใฝ่ในความสงบจึงได้แยกตัวออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งป่าลึก เช่นเดียวกับเผ่าเกล็ดที่ไม่อยากมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งของมนุษย์จึงออกย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย
    หลังจากเผ่าพันธุ์ทั้งสองปลีกตัวจากไปความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศต่างๆซึ่งดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน นานเสียจนสมรภูมินั้นกลายเป็นดินแดนรกร้างไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหลือเพียงแต่ซากศพที่กองทับถมเน่าเปื่อย
    เวลานั้นเองที่ตัวตนของความเสื่อมสลายเริ่มปรากฏขึ้น เริ่มจากการพบเห็นสิ่งที่คล้ายซากศพวนเวียนอยู่ในสถามรบบ้างก็เข้าจู่โจมเหล่าทหารในบริเวณใกล้เคียง จนเวลาผ่านไปความเสื่อมสลายก็เริ่มแผ่ขยายไปทั่วจนกลืนกินสนามรบทั้งหมดจากนั้นทุกๆประเทศที่อยู่ใกล้เคียงก็เริ่มถูกโจมตี แม้ในช่วงแรกประเทศต่างๆจะสามารถต้านทานไว้ได้แต่การรบอย่างยาวนานทำให้เหล่าทหารที่ต่อสู้ได้ลดลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งความเสื่อมสลายได้เริ่มแผ่ขยายออกไป...
    "..พูดถึงแล้วก็เป็นเรื่องน่าอับอายที่พวกเราไม่ทันได้ล่วงรู้ถึงสิ่งนั้นเลยจนกระทั่งไม่ทันการณ์ไปเสียแล้ว แม้พวกเราจะพยายามหยุดยั้งการแผ่ขยายของความเสื่อมสลายก็ทำได้เพียงหยุดยั้งจิตของมันที่กัดกินสิ่งต่างๆเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่ก่อร่างขึ้นจากจิตแห่งความเสื่อมสลายนั้นยังคงรุกคืบเข้าโจมตีกัดกินชีวิตแล้วหากไอแห่งชีวิตในพื้นที่ใดอ่อนแรงลงอำนาจคุ้มครองของพวกเราที่ต้านทานจิตแห่งความเสื่อมสลายก็จะอ่อนแรงลงไปด้วย"
    เมื่อเล่าถึงตรงนี้เสียงของเทพธิดาแห่งพงไพรก็เงียบลงไปก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจือความรีบเร่งอยู่เล็กน้อย
    "ต้องขออภัยด้วยแต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีเวลาเล่ารายละเอียดแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการให้พวกท่านเหล่าผู้ถูกพาตัวมาทำนั้นก็คือการมีชีวิตอยู่ค่ะ เพื่อสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับดินแดนต่างๆเพราะนั่นก็เป็นเหมือนขั้วที่ตรงข้ามกับความเสื่อมสลายและเป็นจุดอ่อนของมันเช่นกัน นอกจากนั้นก็คือการต่อสู้กับสิ่งที่เกิดมาจากความเสื่อมสลายเพื่อยับยั้งการกัดกินไม่ให้แผ่ขยายไปได้อีก
    นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราจำต้องเรียกพวกท่านมาค่ะ เพราะสิ่งที่มีจิตวิญญาณหากข้ามผ่านโลกที่ตนอยู่ไปยังโลกอื่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นและสำหรับมนุษย์จากโลกของท่านนั้นความเปลี่ยนแปลงที่ว่าก็คือการได้รับอำนาจพิเศษค่ะ ช่วงที่ท่านหมดสติอยู่นั้นเราได้ทำการตรวจสอบถึงพลังของท่านแล้วพลังของท่านก็คือ..."
    ลีฟานเริ่มอธิบายแจกแจงคุณสมบัติของพลังที่เด็กหนุ่มมีอยู่รวมทั้งกล่าวเตือนถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้ก่อนที่ดวงแสงจะค่อยๆจางหายไป
    ...เป็นเทพเจ้าเองก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกเรื่องสินะ....
    เด็กหนุ่มรู้สึกว่าระหว่างฟังเรื่องราวต่างๆเรื่องแรงของเขาเองก็เริ่มฟื้นกลับมามากแล้ว คงเพราะต้นตอของอาการป่วยถูกรักษาไปแล้วตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกมีเรี่ยวแรงมากกว่าสมัยก่อนเสียอีก ถึงแม้เทพเจ้าจะบอกว่ากำลังของเขาจะยังถือว่าอ่อนแอกว่าคนปกติอยู่ก็เถอะ เขาลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิท ที่จริงตอนฟื้นขึ้นมาพระอาทิตย์ก็น่าจะตกดินไปแล้วแถมเขายังนั่งฟังเรื่องต่างๆอยู่อีกพักใหญ่ดังนั้นตอนนี้คงค่อนข้างดึกมากพอตัว
    ระหว่างกำลังคิดเรียบเรียงอยู่นั้นจู่ๆเด็กหนุ่มพลันรู้สึกถึงบางอย่างเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนมีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ ตอนนั้นแม้คนในคฤหาสน์จะพยายามจัดการเรื่องเงียบๆเพื่อไม่ให้เขากังวลแต่ก็พอจะรู้สึกถึงบรรยากาศวุ่นวายที่มีอยู่ได้
    แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีใครอื่นอยู่ในคฤหาสน์อีกหากแต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นกลับมาจากตัวคฤหาสน์และพื้นที่รอบๆโดยตรง
    ...นี่สินะพลังของเราที่คุณลีฟานบอก....
    เขาพยายามมองดูว่าอะไรกันแน่ที่บุกรุกเข้ามาในเขตของคฤหาสน์แต่เพราะความมืดจึงเห็นได้ไม่สะดวกนักเด็กหนุ่มจึงคิดจินตนาการให้ไฟภายในคฤหาสน์และในสวนสว่างขึ้น พริบตานั้นไฟทั้งหมดก็สว่างขึ้นมาเผยให้เขาได้เห็นถึงสิ่งที่บุกรุกเข้ามาในสวน
    สิ่งนั้นมีโครงร่างคล้ายกับมนุษย์ แต่ในความรู้สึกของเด็กหนุ่มแล้วมันช่างคล้ายกับก้อนโคลนสีดำสนิทที่ถูกปั้นอย่างหยาบๆให้พอมีรูปทรงคล้ายมนุษย์ พวกมันชนผ่านทะลุช่องว่างของรั้วและเดินฝ่าพุ่มไม้ที่อยู่รอบๆเข้ามาภายในสวนก่อนจะตรงมายังตัวคฤหาสน์
    ....พวกนี้สินะรัสต์แมนที่ว่า...น่ากลัวกว่าที่คิดซะอีก..
    เมื่อยืนยันเป้าหมายได้เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังอีกห้องหนึ่งบนชั้นเดียวกัน ภายในห้องนั้นมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ชั้นวางหนังสือ อุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ รวมไปถึงของตั้งโชว์ประดับห้องอีกจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังมองหาอยู่นั้นคือปืนล่าสัตว์ที่ถูกแขวนประดับไว้บนผนัง
    เพล้ง!
    ในเวลาเดียวกับที่เด็กหนุ่มหยิบปืนออกมาเสียงกระจกแตกก็ดังมาจากชั้นล่างพร้อมๆกันนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าพวกรัสต์แมนเข้ามาถึงข้างในตัวคฤหาสน์แล้ว เขาจึงรีบออกจากห้องไปยังบริเวณบันไดใหญ่เพื่อดักรอศัตรู
    "ไม่ได้ทำอะไรรีบร้อนแบบนี้นานแค่ไหนกันแล้วนะ.."
    เด็กหนุ่มพูดพึมพำกับตัวเองไม่ให้รู้สึกว่ามันเงียบเกินไปนัก ถึงสมองจะพอยอมรับเรื่องต่างๆได้ก็เถอะแต่การที่จู่ๆก็พบว่าตนเองหลุดมาอยู่ต่างโลกแถมต้องมาต่อสู้กับสิ่งที่ดูเหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญด้วยอีกนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำใจให้รับได้ยากอยู่
    ขณะกำลังหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความตื่นเต้นเสียงครวญครางของรัสต์แมนก็ดังแว่วมาจากทางเดินก่อนเด็กหนุ่มจะมองเห็นร่างของพวกมันออกมา เขาหันลำกล้องไปที่เจ้าสิ่งนั้นแล้วกลั้นใจยิงออกไป
    ลูกกระสุนพุ่งตรงออกจากรังเพลิงก่อนทะลวงช่วงขาของรัสต์แมนจนมันล้มลงกับพื้น แต่กระนั้นมันก็ยังคงพยายามใช้แขนทั้งสองข้างคืบคลานมาตามพื้น
    ...ยิงปืนให้แม่นนี่ยากกว่าที่คิดอีก....
    เมื่อครู่เด็กหนุ่มตั้งใจเล็งกลางตัวแต่จุดที่โดนก็คลาดเคลื่อนไปไม่น้อย เรื่องยิงปืนหรือต่อสู้ต่างก็เป็นเรื่องที่เขาแทบไม่มีประสบการณ์ทั้งนั้นแต่ก็ยังโชคดีที่พลังของเขาทำให้ปืนนี่อยู่ในสภาพที่ไม่ทำให้เขารู้สึกหนักแถมแรงถีบที่ปืนปืนควรจะมีก็น้อยลงแค่ทำให้รู้สึกถึงแรงสั่นเพียงเล็กน้อย
    ที่สำคัญปืนล่าสัตว์นี่เป็นประเภทบรรจุกระสุนยิงได้ทีละนัดแต่เด้กหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องเติมกระสุนเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เขาจินตนาการให้มีกระสุนถูกบรรจุลงไปในรังเพลิงแล้วเหนี่ยวไกเขาก็สามารถยิงออกไปได้อีกโดยไม่ต้องเสียเวลา
    กระสุนนัดที่สองนั้นถูกกลางลำตัวของรัสต์แมนที่ล้มอยู่พอดีจากนั้นเสียงคล้ายอะไรบางอย่างแตกก็ดังขึ้นเบาๆก่อนที่ร่างของรัสต์แมนตนนั้นจะเริ่มสลายหายไป ทว่าระหว่างนั้นพวกรัสต์แมนตนอื่นๆก็มาถึงตีนบันไดแล้วเริ่มทยอยเดินขึ้นมากัน
    เด็กหนุ่มรีบยิงใส่กลุ่มรัสต์แมนอีกหลายต่อหลายครั้งบ้างก็จัดการมันลงได้บ้างก็ทำได้เพียงชะลอการเคลื่อนไหวของมันให้ช้าลงบ้างจนกระทั่งพวกมันขึ้นมาถึงกลางทางเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจก้มตัวลงแตะพื้นและจินตนาการบางอย่าง ทันใดนั้นเองขั้นบันไดก็เปลี่ยนรูปร่างไปจนกลายเป็นทางลาดสูงชันทำให้พวกรัสต์แมนบางตัวลื่นไถลเสียหลักจนร่วงลงไปกองอยู่ที่ชั้นหนึ่งหลายตัว ส่วนบางตัวที่ยังเกาะติดอยู่ได้ก็ถูกยิงจัดการไปทีละตัว
    "พอใช้แบบนี้แล้วทำให้เหนื่อยจริงๆซะด้วย"
    เสียงบ่นดังตะกุกตะกักเพราะความเหนื่อยล้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกแรงอะไรมากนักแต่การใช้พลังพิเศษของเขา'สิทธิ์ควบคุมเบ็ดเสร็จ'นั้นจำเป็นต้องจ่ายพลังเวทในการใช้งานไปด้วยทำให้รู้สึกเหนื่อยขึ้นทุกครั้งที่เขาใช้พลัง
    สิทธิ์ควบคุมเบ็ดเสร็จที่ว่าก็คือพลังที่ทำให้เขาสามารถสร้าง, เปลี่ยนแปลง และควบคุมสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในอาณาบริเวณของคฤหาสน์หลังนี้ได้(ตัวคฤหาสน์และสวนเองก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังของเขา)ที่ผ่านมาเขาใช้พลังทำให้หลอดไฟในคฤหาสน์ส่องสว่างได้และใช้สร้างกระสุนปืน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบันไดเมื่อครู่ด้วย
    พอเปลี่ยนบันไดให้กลายเป็นทางลาดแล้วเด็กหนุ่มก็จัดการกับพวกรัสต์แมนได้ง่ายขึ้นมาก พวกมันดูจะไม่ค่อยมีความคิดเท่าไหร่นักจึงได้แต่บุกเข้าเล่นงานเป้าหมายตรงๆเพียงเท่านั้นจึงกลายเป็นว่าพวกมันจึงได้แต่ตะเกียกตะกายพยายามปีนขึ้นมาตามทางลาดอย่างเชื่องช้าเสียจนเด็กหนุ่มพอมีเวลาจัดการพวกมันไปทีละตัวโดยไม่ถึงกับต้องรีบร้อนนัก
    ทว่ากว่าจะจัดการรัสต์แมนได้ตัวหนึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะหากไม่ทำลายแกนกลางที่อยู่ภายในตัวพวกมันแล้วรัสต์แมนก็ยังสามารถฟื้นคืนสภาพขึ้นมาได้อีก จนเวลาผ่านไปพักใหญ่พื้นที่บนชั้นหนึ่งก็มีพวกรัสต์แมนเข้ามาแออัดกันอยู่เต็มไปหมดเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจควบคุมสิ่งของอีกอย่างหนึ่งภายในคฤหาสน์นี้
    แกร็ก...
    เสียงเบาๆดังขึ้นมาจากทางเพดานก่อนที่โคมระย้าตัวใหญ่จะร่วงลงมาทับพวกรัสต์แมนที่อยู่ข้างล่างจนเกิดเสียงดังสนั่น แน่นอนว่าพวกรัสต์แมนส่วนใหญ่โดนทำลายไปส่วนพวกที่เหลืออยู่นั้นเด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานนักก็จัดการได้หมด
    ..ยังเหลืออยู่อีกหรือเปล่านะ....
    เด็กหนุ่มมองดูรอบๆพลางพยายามจับสัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมภายในบริเวณคฤหาสน์อีกครั้งจนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าไม่มีศัตรูเหลืออยู่อีกเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดแรง
    "เหนื่อยที่สุดเท่าที่เคยเจอมาทั้งชีวิตเลยล่ะมั้ง"
    ขณะที่กำลังบ่นออกมาอย่างสบายใจนั้นจู่ๆเด็กหนุ่มพลันรู้สึกถึงบางสิ่งที่พุ่งฝ่าเข้ามาในสวนคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว พอเขารีบยันตัวขึ้นมาตั้งหลักได้เสียงกระจกหน้าต่างแตกก็ดังมาจากห้องทำงานซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร อีกอึดใจถัดจากนั้นประตูห้องก็ถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนบานประตูนูนขึ้นมาตามแรงปะทะก่อนจะถูกแขนข้างหนึ่งทะลวงผ่านออกมา
    "กรรรรรร...!!!"
    เสียงคำรามลั่นดังขึ้นในเวลาเดียวกับที่ประตูถูกฉีกกระชากออกเปิดทางให้ผู้บุกรุกตนใหม่เดินออกมาที่ระเบียงชั้นสอง มันจ้องมองเหยื่อด้วยแววตาแดงฉานจากนั้นมันก็กระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
    ความเร็วนั่นหากไม่ระวังตัวเด็กหนุ่มคงถูกขย้ำเละภายในชั่วอึดใจแต่โชคดีที่เขาพุ่งตัวหลบทันและอาศัยบันไดที่ถูกเปลี่ยนเป็นทางลาดไถลตัวทิ้งระยะห่างออกจากศัตรูตัวใหม่ ทว่ามันที่จู่โจมพลาดเป้าก็กระโดดตามออกมาแทบจะทันที เร็วเสียจนเด็กหนุ่มไม่มีเวลาหันกลับไปยิงใส่เลยเสียด้วยซ้ำเพราะเขารู้สึกได้ว่าระยะห่างระหว่างเขากับมันนั้นกำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ
    ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างเด็กหนุ่มรีบยื่นมือไปสัมผัสกับโคมระย้าและใช้พลังแปรสภาพมันให้กลายเป็นกรงเหล็กล้อมรอบตัวของเขาซึ่งทันเวลาอย่างฉิวเฉียดเพราะเขาได้ยินเสียงบางอย่างปะทะเข้ากับกรงเหล็กในเวลาไล่เลี่ยกัน เขารีบหันกลับไปลั่นไกยิงทว่ากระสุนนั่นกลับทำได้แค่สร้างบาดแผลเล็กๆซ้ำร้ายนั่นกลับทำให้มันฟาดใส่กรงเหล็กอย่างรุนแรงด้วยความโกรธจนโครงเหล็กบิดเบี้ยวด้วยแรงโจมตี
    ด้วยความตกใจทำให้เด็กหนุ่มเข่าอ่อนทรุดตัวลงแต่นั่นทำให้เขารอดอย่างหวุดหวิดเพราะการโจมตีในครั้งถัดมาถึงกับฉีกกระชากส่วนบนของกรงเหล็กออกไป ถึงตอนนี้ในหัวเด็กหนุ่มแทบไม่เหลือแผนการอะไรแล้วเขาจึงได้เพียงแต่พยายามลั่นไกปืนใส่ศัตรูให้ได้มากที่สุด
    กระสุนส่วนใหญ่นั้นทำได้เพียงสร้างบาดแผลเล็กๆบนร่างของศัตรูแต่กลับมีนัดหนึ่งที่เจาะเข้าเบ้าตาของมันอย่างพอดิบพอดีจนมันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มใช้เวลาขณะนั้นเปลี่ยนกรงเหล็กให้กลายเป็นโซ่ล่ามมันไว้กับราวบันไดก่อนจะรีบถีบตัวทิ้งระยะห่างออกมาจากมัน
    ตอนนี้เองที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะได้สังเกตเห็นมันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เจ้าสัตว์ร้ายนั่นมีลำตัวและแขนขาคล้ายกับมนุษย์หากแต่มีขนสีดำปกคลุมผิวกับกรงเล็บแหลมคมจากปลายนิ้วมือทั้งสิบ และสิ่งที่ดูแปลกประหลาดที่สุดก็คือส่วนหัวที่ดูคล้ายกับหมาป่าซึ่งกำลังอ้าปากคำรามโชว์เขี้ยวคมๆราวกับใบมีด
    จากตำแหน่งที่อยู่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าเขาจะมีเวลาพอวิ่งหนีไปได้อีกแต่ถึงจะเลือกใช้เวลาที่เหลือยิงสู้กับมัน กระสุนที่มีก็ประสิทธิภาพน้อยเกินจนทำอะไรมันแทบไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นเด็กหนุ่มจึงจินตนาการถึงกระสุนชนิดอื่นขึ้นมา กระสุนที่แรงพอจะเล่นงานมันได้ แต่นั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเครียดไม่ใช่น้อยเพราะการจะสร้างกระสุนที่รุนแรงขนาดนั้นก็เท่ากับว่าต้องใช้พลังเวทมากขึ้นตามไปด้วยและด้วยเรี่ยวแรงที่มีเหลืออยู่เขาคงสร้างมันขึ้นมาได้อีกเพียงนัดเดียว เท่ากับว่าเขาไม่มีโอกาสจะให้ยิงพลาดอีก
    ระหว่างทีกำลังลังเลอยู่นั้นเองสัตว์ร้ายก็กระโจนเข้าใส่เด็กหนุ่ม แรงกระชากนั่นทำเอาราวบันไดกับโซ่ที่ล่ามมันไว้ถึงกับเสียหาย ส่วนเด็กหนุ่มที่ตกใจนั้นก็ผงะล้มไปกับพื้นก่อนที่สัตว์ร้ายจะตั้งหลักและกระโจนออกมาอีกครั้ง
    เด็กหนุ่มจ้องตรงไปที่ดวงตาสีแดงฉานนั่นด้วยความหวาดหวั่น มือที่กุมลำกล้องเกร็งแข็งแต่กระนั้นก็ยังกลั้นใจยิงออกไปได้ก่อนที่คมเขี้ยวจะฝังลงบนร่างของตน ในเสี้ยววินาทีนั้นกระสุนพุ่งตรงออกจากรังเพลิงและตรงเข้าไปในปากของสัตว์ร้ายที่กระโจนเข้ามาพอดี
    ตูม!
    เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมๆกับชิ้นเนื้อที่กระจัดกระจายออกไปเหลือไว้แต่ร่างของสัตว์ร้ายที่ไร้ซึ่งส่วนหัว ไม่นานหลังจากนั้นทั้งร่างกายและชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายก็เริ่มสลายไปเช่นเดียวกับพวกรัสต์แมนจนกระทั่งไม่เหลืออยู่อีกแม้แต่น้อย สิ่งที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นท่ามกลางความเงียบและร่องรอยที่หลงเหลือจากการต่อสู้
    เด็กหนุ่มยังคงหอบหายใจแรงจากความอ่อนล้าไม่เหลือแม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะใช้ส่งเสียงพูดแต่กระนั้นก็ยังคงพยายามฝืนลุกขึ้นและใช้บันไดที่เปลี่ยนสภาพกลับเป็นเช่นเดิมเพื่อกลับไปห้องนอนของตน เขารู้สึกว่าในบริเวณรอบๆไม่มีศัตรูเหลืออยู่อีกแล้วแต่ถึงจะมีศัตรูอยู่อีกเขาก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะสู้ต่อไหวอยู่ดี ทันทีที่กลับมาถึงห้องเด็กหนุ่มจึงทิ้งลงนอนก่อนจะหลับใหลไปพร้อมกับความรู้สึกอ่อนล้าและฝากฝังเรื่องของค่ำคืนนี้ไว้กับโชคชะตา
  3. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    สมกับเป็นซาล ใด้อารมณ์โชตะสู้ผีมาก
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เรื่องนี้แต่งมาลองแนวต่างโลกซะหน่อยน่ะฮะ แต่ยังไม่ได้เริ่มตอนต่อเลย />_<"
  5. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    จะมีเพื่อนร่วมชะตากรรมไหมนะ หรือวันแมนโชว์
  6. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนต่อไปจะพูดถึงตัวละครอื่นบ้าง แต่ยังตัดสินใจรายละเอียดบางอย่างไม่ได้ />_<"

Share This Page