Daydream Kingdom - ก๊วนสหายตะลุยแดนฝัน

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย taleoftrue, 9 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    บทนำ

    สังคมมนุษย์มักเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลต่างๆนานา บางครั้งเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า และบางครั้งก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันดั่งเช่นเหตุการณ์เมื่อประมาณ 300ปีก่อน เหตุการณ์ซึ่งถูกเรียกขานในภายหลังว่า 'เสียงกระซิบของภูติพราย'

    บันทึกเหตุการณ์ที่เก็บรักษาไว้ได้เล่าถึงวันนั้นว่า บนท้องฟ้าจู่ๆได้ปรากฏแสงสว่างเรืองรองขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวคล้ายกับเสียงบรรเลงของเครื่องเป่า แม้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีก่อนจะหายไปทว่าหลังจากนั้นมนุษย์ก็จำต้องเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่เมื่อการสื่อสารผ่านคลื่นสัญญาณต่างๆไม่สามารถใช้การได้แม้แต่น้อย ผลกระทบนั้นก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นเป็นวงกว้างจนเรียกได้ว่าสังคมมนุษย์นั้นได้รับความบอบช้ำอย่างหนักอีกทั้งในยุคนั้นได้มีปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิงอยู่ก่อนหน้าแล้วทำให้การเดินทางหรือการติดต่อสื่อสารระหว่างชุมชนต่างๆนั้นเกิดความยากลำบากมากขึ้นอย่างกระทันหัน

    กระทั่งหลายสิบปีให้หลังความวุ่นวายต่างๆก็เริ่มสงบลงเมื่อมนุษย์เริ่มปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่อีกครั้ง จากนั้นเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงประมาณ 200ปีหลังเกิด 'เสียงกระซิบของภูติพราย' การค้นพบครั้งใหม่ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง...


    ข้อมูลที่หญิงสาวกำลังไล่อ่านอยู่นั้นเป็นเรื่องที่คนทั่วไปในปัจจุบันต่างก็เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ทว่าขณะนี้เธอต้องตั้งใจอ่านมันอีกครั้งเพราะในวิชาประวัติศาสตร์ของมัธยมปลายนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้โดยเพิ่มรายละเอียดให้เหมาะสมมากขึ้น แต่กระนั้นข้อมูลที่มีก็ถือได้ว่าน้อยและขาดความชัดเจนอย่างยิ่งเนื่องจากช่วงเวลาที่การสื่อสารขาดหายไปนั้นได้มีข้อมูลตกหล่นไปเป็นจำนวนมากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะมีความชัดเจนมากขึ้นนั้นก็เป็นช่วงที่ได้มีการค้นพบดังที่กล่าวไปข้างต้น

    การค้นพบที่ว่านั้นคือระบบเครือข่ายสัญญาณชนิดใหม่ซึ่งถูกเรียกว่า 'อิกดราซิล' โดยพื้นฐานแล้วระบบการทำงานนั้นมีความคล้ายคลึงกับระบบอินเตอร์เน็ต ทว่าความยอดเยี่ยมของมันนั้นอยู่ที่การไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลางในการส่งสัญญาณ ขอเพียงแค่มีอุปกรณ์สำหรับใช้งานเครือข่ายก็เข้าสู่ระบบของอิกดราซิลได้ในทุกพื้นที่แถมยังไม่มีปัญหาเรื่องข้อติดขัดในการส่งข้อมูลแม้แต่น้อย ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวระบบอิกดราซิลจึงกลายเป็นอุปกรณ์แพร่หลายไปในสังคมมนุษย์อย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้สังคมมนุษย์จึงเชื่อมต่อถึงกันและเริ่มเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง...
    Last edited: 10 กุมภาพันธ์ 2015
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนที่ 1 - Dive In

    ปลายนิ้วของเด็กสาวละจากแป้นพิมพ์หลังจากพิมพ์งานของตนเรียบร้อย เมื่อเหลือบดูนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ข้างๆก็เห็นตัวเลข '10.56' อยู่บนนั้นเธอจึงเริ่มปิดคอมพิวเตอร์แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปนอกบ้าน

    ..ดีจังเสร็จงานเร็วกว่าที่คิดอีก แบบนี้คงพอมีเวลาไปทำธุระให้เสร็จก่อนเวลานัด...

    ขณะกำลังคิดอยู่นั้นเองเธอสังเกตเห็นปลอกข้อมือกำลังส่องแสงสีน้ำเงินจางๆออกมา พอสัมผัสมันด้วยปลายนิ้วปลอกข้อมือก็ส่องสว่างขึ้นพร้อมละอองแสงที่ลอยออกมารวมตัวกันอยู่บนอากาศ

    อุปกรณ์ที่ดูเหมือนปลอกข้อมูลนี้ถูกเรียกว่า 'ลิงเกอร์ (Linker)' ซึ่งเป็นของที่คนในยุคปัจจุบันต่างมีไว้ใช้กัน คุณสมบัติของมันโดยรวมนั้นใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวพร้อมความสามารถในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอิกดราซิลอันเป็นเครือข่ายสำคัญสำหรับการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน

    กระบวนการที่ละอองแสงรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างนั้นกินเวลาราววินาทีหนึ่งก่อนปรากฏรูปร่างของจอภาพสีฟ้าบนอากาศ ซึ่งเป็นรูปแบบการแสดงผลชนิดหนึ่งของลิงเกอร์ที่เรียกว่า 'สกรีน (Screen)'

    ดูเหมือนว่าที่ลิงเกอร์ของหญิงสาวจะส่องแสงขึ้นมาเพราะมีการติดต่อจากคนอื่นเธอจึงมองไปยังไอคอนอันหนึ่งซึ่งกำลังกระพริบอยู่บนสกรีน เธอสัมผัสลงไปบนนั้นเบาๆจนเกิดระลอกคลื่นบนพื้นผิวของสกรีนและในขณะเดียวกันภาพที่ปรากฏบนนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นหน้าจอที่แสดงข้อมูลการติดต่อ

    "นี่ฟ้า ยังมาไม่ถึงอีกเหรอมันจะถึงเวลานัดแล้วนะ"

    เสียงที่พูดมานั้นเป็นเสียงของหญิงสาววัยมัธยมปลายเช่นเดียวกับฟ้า พอได้ยินเช่นนั้นเธอเลยทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป

    "เอ๋? ทิพย์จ๊ะ เรานัดกันไว้ตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ"

    พอฟ้าตอบกลับไปอีกฝ่ายก็เหมือนจะเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะมีเสียงตอบกลับมาอีกครั้ง

    "แหม~ ขอโทษน้าสงสัยจะเผลอบอกผิดไปหน่อยน่ะ" อีกฝ่ายขอโทษด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่นักแต่พวกเธอก็สนิทกันเกินจะใส่ใจกับท่าทีแบบนั้น ฟ้าจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วรีบเตรียมตัวออกจากบ้าน

    "จะรีบไปจ้ะ อีกซักพักก็คงถึง"

    ฟ้าบอกกับอีกฝ่ายขณะกำลังวิ่งไปตามถนนท่ามกลางแสงแดดจ้า ไม่นานนักก็ถึงบริเวณปากซอยที่มีจุดรับส่งผู้โดยสารของรถประจำทาง เวลาแบบนี้ไม่ค่อยมีคนออกเดินทางกันมากนักเพราะความร้อนและแสงแดดนอกจากฟ้าแล้วก็มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนรอรถอยู่เช่นกัน

    ชายหนุ่มคนนั้นดูโดดเด่นมาแต่ไกลเพราะส่วนสูงร่วม 180เซนติเมตรซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงทีเดียวสำหรับคนในประเทศของเธอ เส้นผมกับดวงตาของเขานั้นมีสีน้ำตาลอ่อนและมีผิวขาวแบบชาวตะวันตกเช่นเดียวกับเค้าหน้าคมคายที่บ่งบอกลักษณะเชื้อชาติของเจ้าตัว

    ระหว่างที่มองสังเกตอยู่นั้นเธอก็เผลอสบตากับอีกฝ่ายเข้า ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาเธอจนฟ้าเผลอนึกไปว่าตนจ้องเขาจนเสียมารยาทไปหรือเปล่า

    "รบกวนถามอะไรหน่อยสิครับ"

    "มีอะไรหรือคะ?" แม้จะตกใจอยู่บ้างที่ถูกทัก แต่โชคดีที่สมัยนี้มีระบบช่วยสนับสนุนในการสื่อสารจนแทบไม่มีปัญหาเรื่องกำแพงภาษาเท่าไหร่แล้ว

    ชายหนุ่มเปิดสกรีนแผ่นเล็กๆขึ้นมาก่อนเปิดข้อมูลภายในนั้นให้ฟ้าดู มันเป็นนามบัตรอิเล็คโทรนิคของสถานที่แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคยทีเดียว

    "ถ้าจะไปที่นี่ขึ้นรถตรงนี้ไปได้หรือเปล่าครับ?"

    "ได้ค่ะ จากตรงนี้รถประจำทางผ่านตรงนั้นหมดอยู่แล้วไม่นานก็ถึงค่ะ"

    ฟ้าตอบชายหนุ่มก่อนจะเหลือบไปเห็นรถโดยสารที่กำลังมาถึงพอดี

    "เดี๋ยวไปด้วยกันมั้ยล่ะคะ ฉันเองก็กำลังจะแวะไปใกล้ๆแถวนั้นพอดีแล้วจะบอกตำแหน่งให้ค่ะ" เธอเสนอกลับไปชายหนุ่มจึงพยักหน้าเบาๆแทนคำตอบ


    บนรถมีผู้โดยสารอยู่ไม่มากนักทั้งสองคนเลยหาที่นั่งได้โดยไม่ต้องลำบากนัก ฟ้าเลือกนั่งริมหน้าต่างมองดูวิวทิวทัศน์ข้างนอกไปเงียบๆเพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาชายหนุ่มก็เปิดสกรีนทำอะไรบางอย่างไปเรื่อยอย่างไรเสียพวกเธอก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นมีเรื่องอะไรให้คุยกันแต่อย่างใด

    บรรยากาศเงียบๆที่มีเสียงพูดคุยของผู้โดยสารคนอื่นดังแทรกมาเป็นระยะผ่านไปเช่นนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มมองเห็นสถานที่ซึ่งเป็นที่หมายของเธอ

    "เดี๋ยวฉันลงป้ายหน้าแล้วล่ะค่ะ ส่วนอพาตเมนท์ที่คุณจะไปต้องเลยไปอีกป้ายนึงรถน่าจะจอดแถวๆหน้าอพาร์ตเมนท์พอดีไม่น่าจะหลงแล้วล่ะค่ะ" ฟ้าหันไปบอกชายหนุ่มก่อนรถเข้าเทียบตรงป้ายจอด เธอบอกลาเขาสั้นๆแล้วลงจากรถพร้อมๆกับผู้โดยสารคนอื่นอีกหลายคน

    สถานที่ที่ทิพย์นัดให้ฟ้ามาหาก็คือห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาด เนื่องด้วยตำแหน่งที่ตั้งซึ่งสะดวกในการเดินทางทั้งยังมีลานกว้างเปิดโล่งให้ผู้คนเข้ามาใช้สอยจึงทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดนัดหมายสำหรับคนหลายๆคนโดยเฉพาะในช่วงวันหยุด

    เวลานี้มีคนรวมตัวกันอยู่หลายสิบคนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ พวกเขาต่างกระจายตัวกันจับกลุ่มอยู่ตามจุดต่างๆในลานกว้าง ส่วนมากนั้นจะเป็นกลุ่มขนาดเล็กประมาณ 4-6คน แต่ก็มีกลุ่มขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกเกินสิบคนอยู่สองกลุ่ม นอกนั้นก็เป็นพวกที่ไม่ได้เข้าไปจับกลุ่มกับใครเลยอย่างเช่นฟ้าซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก

    "ทางนี้จ้า ขอโทษจริงๆน้าวันก่อนยุ่งจนลืมบอกเลยว่าเขาเปลี่ยนเวลานัดหมายกันน่ะ" ทิพย์โบกมือเรียกพลางขอโทษฟ้าเรื่องเวลานัด แต่พอทักทายกันเสร็จจนได้สังเกตชุดที่ฟ้าใส่ก็เผลออุทานออกมา "ไหงแต่งตัวลวกๆอย่างงี้ล่ะฟ้า"

    ทิพย์มองดูเสื้อผ้าที่ฟ้าเลือกใส่มาแล้วก็อดบ่นไม่ได้ เสื้อยืดเนื้อหนาไร้ลวดลายใส่คู่กับกางเกงขายาวที่สีทึบๆทึมๆทั้งคู่ ถึงจะรีบออกมาก็เถอะแต่ฟ้าเองก็อายุเท่าๆกับเธอน่าจะลองหัดแต่งตัวให้ดูสดใสบ้าง

    "แต่งตัวสดใสเข้าไว้จิตใจก็พลอยแจ่มใสไปด้วยนะ ดูอย่างฉันสิ"

    ทิพย์หมุนตัวช้าๆโชว์ชุดเดรสสีขาวอมฟ้าที่ปักลายลูกไม้ไว้ตามชายผ้า เธอสวมเสื้อนอกเนื้อบางสีส้มสดใสไว้อีกชั้นหนึ่ง อีกทั้งเส้นผมยาวสลวยยังเป็นสีชมพูหวานแหววแถมดูเข้ากับบุคลิกของเธออย่างน่าประหลาด

    "เอ๊ะ ไปทำสีผมมาใหม่เหรอจ๊ะ?" ฟ้าทักขึ้นเพราะสังเกตได้ว่าโทนสีผมของทิพย์เหมือนจะเปลี่ยนไป

    "เพิ่งถึงคิวเมื่อวานเองล่ะ สวยมั้ย?" ทิพย์หมุนตัวโชว์เพื่อนสาวอีกรอบอย่างพออกพอใจเพราะเธออุตส่าห์จองคิวไว้นานเป็นเดือนถึงได้มีโอกาสใช้บริการรานเสริมสวยเจ้าดังที่มีคัลเลอร์ดีไซเนอร์ประจำร้านอยู่ด้วย สมัยนี้ระบบของลิ้งเกอร์ที่ใช้ในเกมๆหนึ่งทำให้ผู้เล่นสามารถปรับเปลี่ยนสีผมที่แสดงผลด้วยกราฟฟิคเกมได้จนกลายเป็นที่นิยมของเหล่าวัยรุ่น แต่การจะปรับแต่งสีให้เข้ากับเส้นผมของแต่ละคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักการใช้บริการคัลเลอร์ดีไซเนอร์ซึ่งเป็นผู้ชำนาญด้านนี้จึงให้ผลออกมาเป็นที่พอใจแถมยังไม่ต้องสิ้นเปลืองไปกับค่าไอเท็มสำหรับการลองผิดลองถูกด้วย (การปรับสีผมยังต้องใช้ไอเท็มสำหรับเปลี่ยนสีผมในเกมซึ่งจะมีแต่โทนสีพื้นฐาน ส่วนสีอื่นๆนั้นผู้เล่นต้องผสมเอาเอง)

    ด้วยเหตุดังกล่าวแม้ทิพย์จะมีสีผมแบบนี้ก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจมากนักเพราะหากมองดูรอบๆแล้วล่ะก็ยังมีวัยรุ่นที่ทำสีผมแปลกตาอยู่อีกเยอะแยะ

    ระหว่างที่ทิพย์กับฟ้ากำลังคุยกันได้ที่เสียงเรียกจากทางกลุ่มเพื่อนที่พวกเธอนัดกันไว้ก็ดังขึ้นพวกเธอเลยต้องหยุดบทสนทนาไว้แล้วรีบไปหาพวกเขา

    "ชักช้าชะมัด มัวทำอะไรอยู่ฟะยัยทิพย์" ชายที่ยืนบ่นอยู่ตอนนี้มีชื่อว่า 'อัคคี' เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของฟ้าเช่นเดียวกับทิพย์ เขาเองก็ทำการปรับแต่งสีผมเหมือนกันตอนนี้จึงมองเห็นเส้นผมของชายหนุ่มเป็นสีส้มแก่ ใบหน้าคมสันแสดงสีหน้าหงุดหงิดตามประสาคนใจร้อนซึ่งเหมือนว่านั่นจะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เขาไม่ค่อยเป็นที่นิยมของสาวๆในโรงเรียนเท่าไหร่ทั้งที่ติดอันดับต้นๆของลิสต์หนุ่มหล่อในโรงเรียนแท้ๆ

    ทำไมฟ้าถึงได้รู้น่ะเหรอก็เพราะตัวตั้งตัวตีให้ทำการจัดอันดับที่ว่าเป็นเพื่อนสาวเธอนี่เองล่ะ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านั้นทิพย์จะไปรู้มาว่าพวกผู้ชายแอบจัดอันดับสาวๆกันไว้เธอก็เลยเสนอให้พวกสาวๆช่วยกันจัดอันดับบ้างซะเลย แต่พอจัดอันดับเสร็จแล้วทิพย์กลับแอบมาบ่นกับฟ้าว่า 'อีตานั่นนิสัยกวนโมโหแท้ๆแล้วทำไมอันดับของอีตานั่นถึงได้ดีกว่าฉันกันล่ะยะ!'

    "คุยกันนิดหน่อยจะเป็นอะไรยะ ยังไม่ถึงเวลาเคลื่อนพลซักหน่อย" ทิพย์เถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้จนกลายเป็นว่าเธอกับอัคคีเริ่มเปิดประเด็นเถียงกันไม่หยุด ทางฟ้ากับเพื่อนในกลุ่มที่เหลือจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเพราะสองคนนี้ก็มีเรื่องให้ถกเถียงกันได้บ่อยๆอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้รุนแรงมากนักเพื่อนๆเลยไม่ต้องกังวลกันเท่าไหร่ ถึงจะลำบากใจอยู่บ้างที่เสียงของทั้งสองคนไปรบกวนคนรอบข้างเอานี่สิ

    "ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า" ฟ้าหันไปพูดกับเพื่อนอีกสองคนที่เหลือเมื่อเห็นว่าทิพย์กับอัคคีคงเถียงกันไปอีกซักพัก

    "ไม่เป็นไรหรอกครับคุณฟ้า พวกกลุ่มหลักยังประชุมแผนกันไม่เสร็จเลยล่ะครับ" หนุ่มเสื้อดำตอบกลับมาด้วยท่าทีเกรงใจ

    "ฮ่าๆๆ เจ้าพวกนั้นคงคิดหนักเพราะประกาศของเดย์ดรีมคิงดอมเมื่อวานนั่นล่ะ" ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆพูดเสริมขึ้นมา

    เดย์ดรีมคิงดอมที่เขาพูดถึงนั้นก็คือชื่อของเกมๆหนึ่งที่พวกเขาเล่นกันอยู่ เปรียบแล้วคงเรียกได้ว่าเป็นเกมออนไลน์ที่อาศัยเครือข่ายอิกดราซิลในการเชื่อมต่อแทนการใช้อินเตอร์เน็ต ทว่าจริงๆแล้วจะเรียกเดย์ดรีมคิงดอมว่าเกมออนไลน์ก็ไม่เชิงซะทีเดียวเพราะมันมีจุดที่ต่างออกไปอยู่บ้าง

    "ประกาศอะไรเหรอคะพี่หมีใหญ่" ฟ้าถามชายตัวใหญ่สมชื่อด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่เมื่อวานเธออยากมีสมาธิกับการทำรายงานเลยปิดการรับประกาศของเกมเอาไว้จนถึงตอนนี้

    "อ้าว น้องฟ้าไม่รู้หรอกเหรอ" หมีใหญ่ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป "หลักๆก็เป็นเรื่องปลดเพดานเลเวล*ของผู้เล่นจากเดิม 70กลายเป็น 100น่ะ แต่ที่ปัญหาจริงๆน่ะเป็นอีกเรื่องมากกว่าเพราะดันเพิ่มบทลงโทษเวลาเกมโอเวอร์เข้ามาด้วย"
    (*เพดานเลเวล หมายถึงระดับเลเวลสูงสุดที่ผู้เล่นสามารถมีได้ในปัจจุบัน)

    "พอเป็นแบบนั้นก็เลยต้องวางแผนกันใหม่เพราะทำอะไรเสี่ยงๆสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้แล้วน่ะครับ" หนุ่มเสื้อดำกล่าวเสริมพลางหันไปมองทางกลุ่มวางแผนที่ยืนคุยกันอยู่กลางลานกว้างด้วยความหวั่นใจว่าการนัดล่าบอสคราวนี้อาจจะต้องล้มเลิกไป เพราะก่อนหน้านี้บทลงโทษของการเกมโอเวอร์ก็แค่เสียค่าประสบการณ์ที่สะสมไว้แต่สำหรับคนที่เลเวลเต็ม 70แล้วต่อให้เสียค่าประสบการณ์จนหมดเลเวลก็ยังคงเดิม ทว่าพอปรับบทลงโทษใหม่ค่าประสบการณ์ที่มีนั้นสามารถติดลบได้แถมยิ่งเลเวลสูงมากเท่าไหร่ค่าประสบการณ์ที่เสียจากการเกมโอเวอร์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วยเลยกลายเป็นว่าแผนการเสี่ยงๆจะเอามาใช้ก็ไม่คุ้มไปซะแล้ว


    หลังจากรอกลุ่มแกนนำล่าบอสประชุมกันอยู่จนฟ้าเริ่มรู้สึกว่าถึงไม่ต้องรีบมาก็คงมาทันอยู่ดี ตอนนั้นเองก็มีเสียงประกาศดังขึ้นมาจากกลางลานกว้าง

    "ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านต้องเสียเวลากัน หลังจากปรึกษากันแล้วพวกเราได้ข้อสรุปที่จะประกาศให้ทราบตรงกันดังนี้" ผู้พูดเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดต่อ "อย่างแรกเราตกลงแล้วว่าจะทำตามแผนการเดิมเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน"

    เสียงบ่นแสดงความไม่พอใจเริ่มดังขึ้นมาจากกลุ่มคนรอบๆโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องรับหน้าที่ตัวล่อในแผนการที่โอกาสเกมโอเวอร์สูงมาก แน่นอนว่ากลุ่มแกนนำของแผนล่าบอสคาดถึงจุดนี้ไว้แล้วเลยต้องเสียเวลาประชุมเพื่อตกลงว่าจะใช้แผนการใหม่ที่ความเสี่ยงลดลงแต่โอกาสที่จะปราบบอสได้ก็ลดลงด้วยหรือจะเลือกใช้แผนการเดิมที่สมาชิกบางส่วนมีโอกาสเกมโอเวอร์สูง

    "ทุกท่านโปรดฟังก่อนครับ ทางเราเข้าใจดีว่าไม่มีใครอยากโดนบทลงโทษตอนเกมโอเวอร์แน่ๆและเราก็จะไม่บังคับให้ท่านรับหน้าที่เสี่ยงโดยไม่เต็มใจ แต่เพื่อให้สามารถทำตามแผนการเดิมได้ดังนั้นเราจึงจะปรับส่วนแบ่งตามข้อตกลงกันใหม่โดยเพิ่มส่วนแบ่งให้กับตำแหน่งที่ต้องรับบทเสี่ยงมากขึ้น"

    เมื่อได้ยินเรื่องส่วนแบ่งเสียงบ่นก็เงียบลง ชายในชุดอัศวินจึงเริ่มพูดต่อไป "จากเดิมรางวัลตอบแทนจะโอนให้กับตัวแทนของกลุ่มต่างๆที่เข้าร่วมแผนการครั้งนี้ แต่เราจะขอลดส่วนแบ่งที่ให้แต่ละกลุ่มลงแล้วเพิ่มรางวัลพิเศษให้กับคนที่อาสารับบทตัวล่อแทนครับ โดยส่วนแบ่งที่หักมานั้นจะแบ่งให้กับผู้รับบทตัวล่อเท่าๆกัน นอกจากนั้นหากผู้รับบทตัวล่อเกมโอเวอร์ระหว่างแผนการล่ะก็ไม่ว่าจะปราบบอสได้สำเร็จหรือไม่ก็ตามคุณแม็กซ์เวลหัวหน้ากิลด์โกลด์อาร์มี่ของเราจะมอบเงินชดเชยให้แต่ละท่านเลเวลละ 500เอล*ครับ"
    (*เอล - หน่วยเงินของเกมเดย์ดรีมคิงดอม เนื่องจากเกมนี้มีระบบแลกเปลี่ยนระหว่างเงินในเกมกับเงินจริงๆทำให้บรรดาคนที่เล่นเกมนี้มักจะใช้หน่วยเอลมาเป็นค่ากลางในการเทียบหน่วยเงินต่างๆ)

    สิ้นคำประกาศเสียงโห่ก่อนหน้ากลับกลายเป็นเสียงฮือฮาด้วยความพอใจแทน แม้แต่ฟ้าเองที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องผลประโยชน์เองก็ยังรู้สึกประหลาดใจกับข้อเสนอนี้เพราะหากกะคร่าวๆแล้วเลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นในที่นี้คงอยู่ประมาณ 50 แน่นอนว่าคนที่รับบทตัวล่อก็ควรมีเลเวลขั้นต่ำอยู่ระดับนั้นไม่อย่างนั้นคงเอาตัวรอดได้ไม่นานพอทำหน้าที่ หากใช้จำนวนคนตามแผนการเดิมคนที่รับบทตัวล่อคงจะมีราว 10คนได้เท่ากับว่าอย่างน้อยก็ต้องจ่ายมากกว่า 2แสนเอลเข้าไปแล้ว

    เงินจำนวน 2แสนเอลนั้นเทียบได้กับมูลค่าคงคลังของกิลด์ขนาดเล็กกิลด์หนึ่ง ส่วนผู้เล่นเลเวล 70นั้นถ้ายึดตามที่ฟ้ามีอยู่ก็น่าจะมีทรัพย์สินประมาณ 5หมื่นเอล ถือได้ว่าทรัพย์สินมูลค่าขนาดนี้สูงมากพอให้คนไม่น้อยเสนอตัวรับหน้าที่เสี่ยงๆทันทีที่เริ่มประกาศรับอาสาสมัครเป็นตัวล่อ แม้แต่ทิพย์เองยังถึงเลิกทะเลาะกับอัคคีแล้วหันมาจดๆจ้องๆการรับอาสาสมัครตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทว่าฟ้ากลับรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ดีเกินไปจนชวนให้รู้สึกกังวลขึ้นมา จริงอยู่ว่าบอสที่พวกเธอกำลังจะไปจัดการนั้นก็ให้ผลตอบแทนสูงพอจะจ่ายส่วนแบ่งจำนวนมากนั่นแล้วยังเหลือกำไรอยู่บ้าง แต่สาเหตุที่ทำให้ฟ้ากังวลนั้นเพราะค่าตอบแทนพิเศษพวกนั้นจะจ่ายเป็นเงินเอลต่างหาก

    เดย์ดรีมคิงดอมนั้นมีจุดเด่นที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือจำนวนเงินในระบบที่มีอยู่จำกัด เนื่องจากเวลาผู้เล่นจัดการมอนสเตอร์จะไม่ได้รับเงินแม้แต่เอลเดียวส่วนสิ่งที่ได้นั้นก็คือไอเท็มต่างๆ แถม NPC* ร้านค้าทั้งหมดก็มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะซื้อของจากผู้เล่น(โดยเฉพาะเวลานำไอเท็มที่ไม่ตรงความต้องการมาขาย)ทั้งนี้เพราะเงินที่ใช้จ่ายกันทางผู้ดูแลเกมจะผลิตออกมาจำนวนหนึ่งเท่านั้น(โดยจะผลิตเพิ่มในช่วงเวลาหนึ่งตามจำนวนผู้เล่นที่มีในปัจจุบัน) ทำให้เกิดภาวะที่มีความต้องการจะซื้อแต่กลับไม่มีเงินมากพอจะซื้อได้จนกลายเป็นว่าต่อให้มีไอเท็มอยู่เยอะจนล้นคลังก็ไม่มีที่ให้ขายจนต้องทิ้งเสียเปล่าไปไม่น้อย ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ผู้เล่นจึงนิยมแลกเปลี่ยนไอเท็มกันเองแล้วเก็บเงินเอลไว้ใช้ในเรื่องที่จำเป็นอย่างเช่นบริการของระบบบางอย่าง
    (*NPC (Non-Player Character) - ตัวละครซึ่งไม่ใช่ผู้เล่น มักมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านระบบต่างๆ เช่น คลังเก็บของ, ร้านค้า, พาหนะเดินทาง ฯลฯ และมีบางส่วนที่มีหน้าที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกมดำเนินต่อไปได้)

    สรุปคือกิลด์โกลด์อาร์มี่ที่สามารถจ่ายเงินเอลจำนวนมากได้ในทีเดียวดูจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกพอตัวเลยทีเดียว

    "แล้วพวกเราจะเอายังไง ไม่ต้องส่งตัวแทนกลุ่มไปช่วยเป็นตัวล่อแล้วจะยังไปสมัครกับเจ้าพวกนั้นรึเปล่า?" อัคคีถามขึ้นระหว่างที่พวกเขามองดูการคัดตัวอาสาสมัครกันอยู่

    "ฉันคงไม่ล่ะจ้ะ" ฟ้าตอบ

    "เงื่อนไขดีจนน่าเสียดายออกน้า งั้นฉันไปแทนดีมั้ย"

    "ปวกเปียกขนาดนั้นได้ตายก่อนทันทำอะไรกันพอดีฝ่ะยัยบื้อ"

    "ปากเสียอีกแล้วนะตาเบื๊อก!"

    "หยุดเถียงกันได้แล้วน่าพวกเด็กๆ" คราวนี้หมีใหญ่ชิงห้ามทั้งคู่ก่อนจะเสียเวลาปรึกษากันไปมากกว่านี้ "พี่ว่าคราวนี้พวกเรารวมกลุ่มกันทำหน้าที่สนับสนุนเหมือนเคยดีกว่า จะได้ให้เจ้าเอกได้ฝึกประสานงานเวลาสู้เป็นกลุ่มบ้าง"

    "อย่างที่เฮียหมีใหญ่ว่าล่ะครับ" เจ้าหนุ่มเสื้อดำตอบเสริม

    "ถ้าพี่หมีใหญ่ว่าอย่างงั้นก็เอาตามนั้นแล้วกันครับ/ค่ะ" ทั้งอัคคีและทิพย์ตอบกลับพร้อมกันจนพาลเขม่นใส่กันไปอีกรอบหนึ่ง

    ระหว่างที่กำลังคุยกันการคัดตัวก็จบลง สุดท้ายแล้วคนที่รับหน้าที่ตัวล่อมีถึง 12คน ส่วนคนที่เหลือก็แบ่งหน้าที่กันไปตามกลุ่มต่างๆโดยมีคนของกิลด์โกลด์อาร์มี่เป็นกำลังหลักแบ่งเป็น กองหน้าที่ต้องเข้าปะทะกับบอสกับกองหลังที่คอยโจมตีจากระยะไกลรวมไปถึงการสนับสนุนกองหน้าด้วยทักษะต่างๆ ส่วนคนที่ไม่ได้สังกัดโกลด์อาร์มี่นั้นจะแบ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนย่อยๆคอยจัดการกับพวกลูกน้องของบอสเพื่อเปิดทางให้กำลังหลักสามารถต่อสู้ได้เต็มกำลัง

    หลังจากทวนแผนการและยืนยันตำแหน่งของกลุ่มต่างๆเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักเตรียมตัวก่อนจะถึงเวลาเริ่มแผนการในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า


    พวกฟ้าเลือกคาเฟ่เจ้าหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าเช่นเดียวกับผู้เล่นอื่นๆที่เลือกกระจายกันไปตามร้านต่างๆในห้าง หลังสั่งอาหารไปพวกเขาก็นั่งคุยตกลงเรื่องหน้าที่ในกลุ่มกันอีกครั้งจนกระทั่งพนักงานนำอาหารมาเสิร์พให้

    "ดูเหมือนจะใกล้เวลาแล้วนะ" หมีใหญ่ดูนาฬิกาเห็นเวลาอีก 10นาทีก่อนถึงเวลานัดหมายพวกเขาจึงเริ่มเรียกสกรีนของระบบเกมขึ้นมา

    ฟ้ามองดูสกรีนของเธอที่ตกแต่งพื้นหลังให้เป็นภาพของท้องฟ้าสีครามกับก้อนเมฆสีขาวสะอาด ตรงกลางสกรีนนั้นมีตัวอักษรขนาดใหญ่พอให้สังเกตเห็นได้ชัดเจนเขียนไว้ว่า

    [Dive In Activation?]
    [Yes / No]

    พอปลายนิ้วของเธอสัมผัสลงบนปุ่มเพื่อตกลงใช้งานระบบดังกล่าว บนสกรีนก็เปลี่ยนเป็นตัวเลขที่เริ่มนับถอยหลังจากเลข 9ลงมาเรื่อยๆจนกระทั่งนับถึงเลข 1 สกรีนของเธอก็เริ่มส่องแสงสว่างออกมาเช่นเดียวกับคนอื่นๆก่อนจะมีละอองแสงแผ่กระจายออกมาห่อหุ้มร่างของฟ้าเอาไว้ พร้อมกันนั้นบนสกรีนก็ปรากฏประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า

    [Welcome to Evertale]
    Last edited: 10 กุมภาพันธ์ 2015
  3. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนที่ 2 - Boss Battle

    เนื้อหาของเกมเดย์ดรีมคิงดอมนั้นกล่าวถึงโลกแห่งความฝันซึ่งถูกเรียกว่า "เอเวอร์เทล(Evertale)" และโลกแห่งความจริงที่ผู้คนใช้ชีวิตกันตามปกติ โลกทั้งสองนั้นต่างมีความเกี่ยวโยงทับซ้อนและเกื้อหนุนกันอยู่ ทว่าวันหนึ่งภายในเอเวอร์เทลได้ปรากฏตัวตนแปลกปลอมขึ้นและสิ่งนั้นนี่เองที่ค่อยๆแทรกแซงกลืนกินสิ่งต่างๆในเอเวอร์เทลไปทีละน้อยซึ่งส่งผลกระทบต่อความฝันของผู้คนบนโลกแห่งความจริง ยิ่งเอเวอร์เทลถูกกลืนกินมากเท่าใดผู้คนในโลกแห่งความจริงก็ยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้น ตัวตนแปลกปลอมนั้นจึงถูกเรียกว่า "ไนท์แมร์(Nightmare)"

    การรุกรานของไนท์แมร์นั้นนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเหล่าผู้อาศัยอยู่ในเอเวอร์เทลยากจะต่อกรไหวพวกเขาจึงได้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากโลกแห่งความจริง จากผู้คนซึ่งสามารถมองเห็นโลกแห่งความฝันที่ทับซ้อนอยู่บนโลกของพวกเขาหรือก็คือเหล่าผู้เล่นที่รับบทดังกล่าวและถูกเรียกว่านักท่องฝัน(dream traveller)อันมีหน้าที่คอยช่วยเหลือและจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในเอเวอร์เทล

    Dive In คือระบบของเกมที่อ้างอิงจากเนื้อหาดังกล่าว โดยการทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าไปในพื้นที่ของเกมจากสถานที่ต่างๆบนโลกจริงๆได้และพื้นที่ในเกมก็จะอ้างอิงลักษณะและคุณสมบัติบางอย่างตามโลกแห่งความจริงไปด้วย อย่างเช่นในขณะนี้หลังจากละอองแสงที่ล้อมรอบตัวอยู่จางหายไปภาพที่ฟ้าเห็นก็คือห้องโพรงหินซึ่งถูกเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางที่มีลักษณะคล้ายกับรังมด ทั้งห้องโพรงหินและเส้นทางเหล่านี้ต่างก็อยู่ภายในก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขาอันมีชื่อเรียกว่า "เกรทซีร็อค(Great Sea Rock)"

    ภายในเกรทซีร็อคนั้นจำลองตำแหน่งห้องโพรงหินต่างๆตามตำแหน่งของร้านค้าในห้างสรรพสินค้าเช่นเดียวกับเส้นทางเชื่อมต่อต่างๆภายใน ส่วนที่ต่างกันนั้นคือภายในเกรทซีร็อคนั้นจะเป็นที่อยู่อาศัยของ NPC เผ่าเงือกและถือเป็นแหล่งชุมชนที่ชาวเงือกมีไว้เพื่อติดต่อสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่นภายในเกรทซีร็อคจึงมีลักษณะคล้ายกับชุมชนการค้าขนาดย่อมๆรวมไปถึงมีพื้นที่เปิดว่างให้ผู้เล่นสามารถเข้ามาค้าขายสินค้าหรือหากผู้เล่นสามารถเคลียร์เงื่อนไขของภารกิจที่ NPC มอบให้ได้แล้วล่ะก็แม้แต่การขอสิทธิ์ใช้สอยห้องโพรงหินเปิดเป็นร้านค้าส่วนตัวก็สามารถทำได้

    แต่การไดฟ์อิน(Dive In)นั้นมีลักษณะที่แตกต่างจากการล็อกอินเล่นเกมออนไลน์ทั่วไปอยู่จุดหนึ่งเพราะระหว่างที่ผู้เล่นในเกมสามารถรับรู้ถึงโลกของเกมในขณะเดียวกันตัวผู้เล่นในความเป็นจริงก็ยังคงมีสติรับรู้และสามารถกระทำสิ่งต่างๆได้ตามปกติเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หากผู้เล่นมีสมาธิมากพอล่ะก็จะเล่นเกมไปพร้อมๆกับการทำกิจวัตรประจำวันก็ยังทำได้ ด้วยเหตุนั้นถึงจะสั่งของว่างมาทานไปพลางระหว่างเล่นก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนัก


    หลังจากไดฟ์อินเรียบร้อยแล้วแต่ละคนก็ปรากฏตัวในเครื่องแต่งกายที่ต่างไปจากเดิม ฟ้าอยู่ในชุดนักสำรวจสีน้ำตาลอ่อน, ทิพย์แต่งตัวด้วยชุดสีขาวที่คล้ายกับนักบวชในโลกแฟนตาซีแต่ดัดแปลงเพิ่มระบายลูกไม้เข้าไปจนดูหวานแหวว, อัคคีนั้นเลือกใส่เสื้อผ้าพื้นๆอย่างเสื้อกับกางเกงขายาวแล้วสวมเกราะเพิ่มตามจุดสำคัญ ส่วนหมีใหญ่กับเอกนั้นแต่งตัวเหมือนพ่อค้ากับพ่อมดในโลกแฟนตาซี

    พวกเขาออกจากเกรทซีร็อคผ่านทางช่องว่างของผนังถ้ำที่ดูคล้ายช่องหน้าต่าง ถึงแม้จะค่อนข้างสูงเพราะตำแหน่งร้านที่พวกเขาอยู่นั้นอยู่บนชั้นสามของห้างทำให้เข้าเกมมาในบริเวณที่มีความสูงใกล้เคียงกันแต่ความสามารถทางร่างกายของนักท่องฝันนั้นค่อนข้างดีเลยไม่มีปัญหากับความสูงระดับนี้

    จากนั้นทั้ง 5ก็มุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายซึ่งเป็นบริเวณชายหาดแคบๆที่ห่างจากเกรทซีร็อคประมาณ 300เมตร มีผู้เล่นจำนวนมากต่างรวมตัวกันอยู่ตรงนี้แต่นอกจากคนในกลุ่มที่นัดหมายกันไว้ก็ยังมีพวกผู้เล่นที่ตั้งใจมาเปิดร้านขายไอเท็มให้กับคนที่มาเตรียมสู้กับบอสด้วย

    ตอนนี้เหลืออีกประมาณ 5นาทีก่อนเวลานัดพวกฟ้าเลยเดินดูไอเท็มต่างๆที่พวกพ่อค้าเอามาวางขายกัน จำนวนร้านมีอยู่ประมาณ 20-30ร้านส่วนใหญ่เป็นพวกผู้เล่นสายค้าขายที่ไม่ได้ร่วมการล่าบอสแต่ก็มีคนที่เข้าร่วมแต่มาเปิดขายฆ่าเวลารออยู่บ้างโดยจะเปิดขายกันอยู่สองข้างของเส้นทางเดินเลียบชายหาดแล้วหากเดินต่อไปอีกสักหน่อยก็จะถึงบริเวณชายหาดที่เป็นจุดนัดรวมพล

    "อ๊ะ นั่นมันร้านของสาระนี่" ทิพย์ชี้ไปทางซุ้มขายของร้านหนึ่ง ตัวร้านทำจากไม้สีน้ำตาลแก่และทาหลังคาร้านด้วยสีเขียวสดเช่นเดียวกับใบไม้นอกจากนั้นยังมีป้ายรูปหน้าแมวยิ้มสีครีมประดับอยู่ให้เห็นได้ชัดเจน

    "สวัสดีครับ เตรียมตัวสำหรับสู้บอสเรียบร้อยแล้วเหรอครับ?" เด็กหนุ่มร่างเล็กในชุดพ่อครัวสีขาวเอ่ยทักระหว่างจัดการคีบซาลาเปาในซึ้งนึ่งใส่กล่องกระดาษส่งให้กับลูกค้า

    "อื้ม ไอเท็มส่วนใหญ่พี่หมีใหญ่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะจ้ะ" ฟ้าตอบกลับไปอย่างเป็นกันเอง "ว่าแต่ที่ว่ามีธุระน่ะเรื่องนี้เองเหรอจ๊ะ?"

    ไอเท็มในคลังเริ่มเยอะแล้วก็เลยต้องทำออกมาขายบ้างน่ะครับ" เด็กหนุ่มอธิบายพลางรับไอเท็มที่ลูกค้าใช้จ่ายแทนค่าสินค้ากลับมาก่อนจะเอาใส่ไว้ในลังไม้ข้างตัว จากนั้นก็หยิบเอากล่องใส่อาหารออกมาแล้วส่งให้กับฟ้า "เอานี่ไปสิครับ ผมทำเผื่อไว้ให้ก่อนแล้วล่ะ"

    พอส่งกล่องอาหารให้เสร็จเด็กหนุ่มก็หันกลับไปรับลูกค้าคนต่อไป ดูเหมือนว่าลูกค้าคนนี้จะสนใจไอเท็มที่คนก่อนหน้าใช้จ่ายค่าสินค้าก็เลยเจรจาขอซื้อซาลาเปารวมกับไอเท็มพวกนั้นด้วยแล้วจ่ายค่าสินค้าด้วยไอเท็มที่มูลค่าใกล้เคียงกัน ทั้งฟ้าเห็นว่าเด็กหนุ่มคงจะยุ่งกับการค้าขายอีกซักพักก็เลยปลีกตัวออกมาไม่ให้เป็นการรบกวน

    "ยังเหลือเวลาอยู่อีกหน่อย ทานกันก่อนดีมั้ยจ๊ะ?" ดูจากขนาดของกล่องอาหารท่าทางว่าเด็กหนุ่มจะตั้งใจทำเผื่อให้กับคนในกลุ่มด้วยอยู่แล้วฟ้าจึงชวนทุกคนกินกันก่อนที่จะถึงเวลานัด พอแกะผ้าที่ใช้ห่อกล่องอาหารก็พบว่ามันเป็นกล่องสองชั้นแต่ละชั้นบรรจุซาลาเปาไว้ 5ลูกพร้อมกับผักต้มที่หั่นเป็นชิ้นๆจัดเรียงไว้เป็นเครื่องเคียง

    ทุกคนพากันหยิบเอาซาลาเปาอุ่นๆขึ้นมาแบ่งกัน สัมผัสแรกเมื่อกัดลงไปก็คือรสชาติเข้มข้นของหมูผัดกับกลิ่นอ่อนๆของกระเทียมพอเคี้ยวลงไปก็จะเริ่มรู้สึกถึงรสชาติของผักอื่นๆที่ช่วยให้รู้สึกกลมกล่อมมากขึ้น เอกที่เพิ่งเคยกินอาหารฝีมือของเด็กหนุ่มถึงกับเผลอเคี้ยวคำโตจนเต็มปากไม่พูดไม่จา

    ในเดย์ดรีมนั้นอาหารถือเป็นไอเท็มเสริมพลังประเภทหนึ่งซึ่งอาจจะเสริมการฟื้นฟูพลังชีวิต, พลังเวท หรืออาจจะเพิ่มค่าพลังบางค่าให้มากขึ้นเล็กน้อยภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่นอกจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้วอาหารยังช่วยฟื้นฟูค่าพลังอีกแบบหนึ่งซึ่งเรียกว่า 'ค่าพลังแฝง' ได้ด้วย โดยที่ค่าพลังแฝงนั้นถือได้ว่ามีความจำเป็นไม่น้อยเพราะการฟื้นฟูพลังชีวิตและพลังเวทตามธรรมชาติ*นั้นจะเป็นการเปลี่ยนค่าพลังแฝงมาเป็นอัตราฟื้นพลังดังกล่าวอีกทั้งทักษะบางประเภทยังต้องการค่าพลังแฝงเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย
    (*หมายถึงการฟื้นฟูค่าพลังชีวิต(HP), พลังเวท(MP) ตามระยะเวลาโดยไม่เกี่ยวกับผลของทักษะหรือไอเท็ม)

    ด้วยเหตุดังกล่าวไอเท็มประเภทอาหารจึงเป็นที่ต้องการของบรรดาผู้เล่น ทว่าด้วยหลายๆปัจจัยทำให้จำนวนผู้เล่นที่เน้นฝึกฝนทักษะทำอาหารมีอยู่ไม่มากนัก ทั้งเรื่องของไอเท็มวัตถุดิบและตัวอาหารเองที่มีวันหมดอายุ ทั้งการที่ไอเท็มอาหารสามารถทำขึ้นมาได้โดยไม่ต้องการทักษะทำอาหาร(ฟื้นฟูแค่ค่าพลังแฝงเท่านั้นและฟื้นฟูน้อยกว่าอาหารที่ทำโดยผู้ที่มีทักษะ) และที่สำคัญคือรสชาติอาหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับระดับของทักษะแต่ขึ้นกับฝีมือการทำอาหารของผู้ทำโดยตรง ถึงกับเคยมีกรณีที่มีคนฝึกทักษะทำอาหารจนอาหารที่ทำออกมาเพิ่มค่าพลังได้ค่อนข้างเยอะแต่กลายเป็นว่าขายแทบไม่ได้เพราะรสชาติแย่เกินไป

    หลังทานกันเสร็จแล้วเสียงแตรเรียกรวมพลก็ดังขึ้น ผู้เล่นที่เข้าร่วมเริ่มเข้าประจำตำแหน่งของตัวเองกันโดยใช้เวลาไม่นานนักก็จัดทัพกันได้เรียบร้อย กองหน้าประจำอยู่ตรงกลางโดยมีกองสนับสนุนขนาบปีกซ้ายขวาส่วนกองหลังนั้นอยู่รั้งท้ายสุดกับกลุ่มตัวล่อซึ่งยังไม่มีหน้าที่ในช่วงแรก

    พวกเขาคงการจัดวางกองกำลังไว้ขณะรอคอยเวลาที่ใกล้เข้ามาถึง ผ่านไปไม่นานท้องฟ้าที่สว่างจ้าพลันเริ่มมืดครึ้มขึ้นมาอย่างกระทันหันก่อนเม็ดฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมาภายในไม่กี่อึดใจ

    "ฝนนี่ไม่เย็นอย่างที่คิดนะครับ" เอกเอ่ยทักขึ้นมาเพราะจำข้อมูลได้ว่าฝนที่ตกขณะบอสปรากฏตัวนั้นเป็นผลจากเวทมนตร์ของบอสซึ่งมีไอเย็นแฝงอยู่กับเม็ดฝนที่ตกลงมาทำให้ผู้เล่นที่ตากฝนเวทนี้ขยับร่างกายได้ลำบากขึ้นแถมความสามารถในการฟื้นตัวตามธรรมชาติก็ลดลงอีกด้วย

    "ผลของซาลาเปาที่พวกเรากินก่อนหน้านี้น่ะค่ะ" ฟ้าพูดถึงซาลาเปาที่พวกเขาได้มาจากสาระ เธอคิดว่าเด็กหนุ่มคงรู้ข้อมูลของบอสตัวนี้อยู่แล้วเลยจงใจทำอาหารที่มีผลแบบนี้ออกมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีผลเสริมค่าพลังต่างๆแต่ก็มีผลให้ความอบอุุ่นกับร่างกายได้มากพอจนหักล้างกับไอเย็นจากฝนเวทได้นอกจากนั้นมันยังมีผลช่วยให้ค่าพลังแฝงฟื้นฟูเล็กน้อยตลอดช่วงเวลาที่ผลสนับสนุนของอาหารยังแสดงผลอยู่อีกด้วย

    "เจ้าหนูสาระก็ช่างสรรหาช่องทำกำไรได้อยู่เรื่อยนั่นล่ะ" หมีใหญ่เองก็เพิ่งสังเกตสถานะของตัวเองเอาตอนที่ฟ้าบอกเพราะไอเท็มอาหารโดยปกติแล้วจะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ากินแล้วจะให้ผลแบบไหนดังนั้นจึงต้องกินดูก่อนแล้วถึงจะสามารถตรวจดูได้ว่ามีผลสนับสนุนแบบไหนจากสถานะของผู้เล่น

    "เฮ้..ไว้คุยทีหลังน่าพวกมันมาโน่นแล้ว" อัคคีส่งเสียงเตือนเมื่อเริ่มเห็นเงาของพวกมอนสเตอร์กำลังเคลื่อนไหวอยู่กลางสายฝน ซึ่งหน้าที่ของกองสนับสนุนอย่างพวกเขาคือการเข้าปะทะกับพวกมอนสเตอร์เหล่านี้เพื่อเปิดทางให้กองหน้าเข้าไปต่อสู้กับบอสได้โดยสะดวก

    หน่วยสนับสนุนทั้งหมดยังไม่รีบร้อนเข้าปะทะแต่ให้นักเวทประจำกลุ่มเริ่มร่ายเวทมนตร์เตรียมพร้อมไว้ก่อน โดยกลุ่มของฟ้ายกหน้าที่ใช้เวทโจมตีใหญ่ๆให้กับเอกที่เล่นอาชีพพ่อมดส่วนหน้าที่ร่ายเวทสนับสนุนกับเวทรักษาเป็นหน้าที่ของทิพย์ที่เล่นอาชีพสายนักบวช ที่จริงแล้วฟ้าเองก็เป็นอาชีพลูกผสมระหว่างอาชีพสายนักเดินทางกับสายเวทมนตร์แต่ทักษะส่วนใหญ่ไปเน้นสนับสนุนด้านอื่นเสียมากกว่าจึงไม่ค่อยมีเวทโจมตีที่เน้นความรุนแรงเท่าไหร่นัก เธอจึงรับหน้าที่คอยโจมตีสนับสนุนจากระยะไกลเพื่อสร้างโอกาสให้พรรคพวกหรือขัดขวางการบุกของศัตรูเป็นหลัก

    สถานการณ์นิ่งเงียบซึ่งดูเหมือนจะนานนี้ที่จริงแล้วกินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในที่สุดศัตรูที่มองเห็นแต่เงาก็เริ่มปรากฏตัวให้เห็นต่อหน้า เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมๆกับการระดมโจมตีด้วยเวทมนตร์หลากชนิดตามความชำนาญของนักเวทแต่ละคน ทางเอกนั้นเลือกใช้เวทสายธาตุความมืดสร้างลูกบอลสีดำขนาดใหญ่ก่อนจะปล่อยมันออกไปโจมตีใส่พวกมอนสเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า พอลูกบอลเข้าปะทะกับร่างของมอนสเตอร์มันก็แตกออกราวกับลูกโป่งถูกเจาะแล้วระเบิดควันสีดำออกมารอบๆ ถึงแม้เวทนี้จะสร้างความเสียหายไม่มากนักถ้าเทียบกับเวทโจมตีที่ทีมอื่นส่วนใหญ่ใช้แต่ควันสีดำที่ถูกปล่อยออกมานั้นก็ลอยเข้าไปเกาะตามตัวของพวกมอนสเตอร์ทำให้พวกมันมองเห็นได้ไม่ถนัด พอพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวสะเปะสะปะอัคคีกับหมีใหญ่ก็สบโอกาสเข้าไปโจมตีทันที

    หลังเริ่มการปะทะครู่หนึ่งทีมสนับสนุนก็เริ่มแยกออกไปทางซ้ายและขวาของขบวนทัพล่อให้พวกมอนเสตอร์เคลื่อนไหวตามจนพื้นที่ตรงกลางเปิดโล่ง จังหวะนั้นพวกกองหน้าที่รอคอยช่องว่างอยู่ก็บุกเข้าไปตามทางที่เปิดออกก่อนจะหายเข้าไปในม่านฝน

    "แย่จังเลยน้า~ แบบนี้ก็ไม่เห็นตอนสู้กับบอสเลยน่ะสิ" ทิพย์เปรยออกมาขณะคอยใช้เวทรักษาอย่างเซ็งๆเพราะมอนสเตอร์พวกนี้ไม่ได้เก่งขนาดทำให้ผู้เล่นเลเวล 70ต้องลำบากอะไรเลยไม่ค่อยจะบาดเจ็บให้เธอต้องรีบฟื้นพลังชีวิตให้ "หน้าตาของบอสก็ยังไม่ได้เห็นซักทีเลย"

    "ตอนนัดประชุมก็มีแจกเอกสารข้อมูลบอสให้แล้วไม่ใช่หรือไงฟะยัยบื้อ" อัคคีพูดแทรกพลางออกแรงแทงหอกเข้าใส่มอนสเตอร์ตรงหน้าแล้วออกแรงเหวี่ยงฟาดมอนสเตอร์ตัวนั้นใส่มอนสเตอร์อีกตัวที่อยู่ข้างๆ

    "ฮึ่ย! ไม่คิดจะตอบก็เงียบไปเถอะย่ะอีตาปากเสีย" ถึงปากจะเถียงทะเลาะกันแบบนี้แต่ทิพย์ก็ยังไม่ลืมหน้าที่คอยใช้เวทสนับสนุนเสริมพลังโจมตีที่หมดฤทธิ์ไปแล้วให้อีกครั้ง

    "เอ.." ฟ้าหันไปมองเงาขนาดยักษ์หลังจากยิงลูกศรเวทจากธนูใส่มอนสเตอร์ตัวหนึ่งจนมันชะงักแล้วถูกหมีใหญ่เอาค้อนฟาดเข้าเต็มๆ "..ดูเหมือนว่าบอสตัวนี้จะเป็นแมงกะพรุนน่ะจ้ะทิพย์"

    ตัวฟ้านั้นมีทักษะที่ช่วยการมองเห็นอยู่เธอจึงไม่ลำบากในการมองเท่าผู้เล่นอื่น ดังนั้นจึงมองเห็นบอสที่คนอื่นเห็นเพียงเงาเป็นแมงกะพรุนสีน้ำทะเลที่มีความสูงร่วม 5เมตรแต่เพราะระยะห่างค่อนข้างไกลแถมยังมีพวกมอนสเตอร์กับผู้เล่นอื่นๆที่สู้กันอยู่บังเอาไว้เลยมองไม่เห็นสถานการณ์ของทางนั้น

    ที่จริงพวกฟ้าเองก็พอจะรู้ข้อมูลคร่าวๆของบอสจากเอกสารที่ได้รับแจกมาแล้วบ้าง แต่ตัวฟ้าเองก็เพิ่งจะรู้หน้าตาของบอสเอาตอนนี้นี่เองเนื่องจากเกมเดย์ดรีมนั้นนอกจากบอสประจำสถานที่ซึ่งค่อนข้างตายตัวแล้วยังมีบอสอยู่อีกประเภทหนึ่งซึ่งการปรากฏตัวไม่แน่นอน ไม่ใช่ว่าพวกมันจะสุ่มเวลาปรากฏตัวแต่ว่าทั้งสถานที่, เวลาและประเภทของบอสประเภทนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนบางครั้งผู้เล่นก็แทบไม่มีข้อมูลของบอสที่ตนจะต้องสู้ด้วยแถมบอสประเภทนี้ก็ถือเป็นบอสที่ผู้เล่นได้สู้บ่อยมากยิ่งกว่าบอสประเภทตายตัวเสียอีก ยังดีที่บอสพวกนี้เมื่อมันปรากฏตัวครั้งนึงแล้วมันจะยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกกำจัด บ้างก็เข้าครอบครองพื้นที่นั้นไปเลย บ้างก็ปรากฏตัวเป็นเวลาเหมือนอย่างบอสแมงกะพรุนตัวนี้ รูปแบบการกระทำของบอสที่ปรากฏตัวแบบสุ่มนี้ก็ยังแตกต่างกันออกไปอีกด้วย

    หลังจากการต่อสู้เริ่มไปได้พักใหญ่ฝนเวทก็เริ่มซาลงจนทัศนวิสัยของผู้เล่นกลับมาเป็นปกติ พวกมอนสเตอร์ที่เป็นลูกน้องนั้นถูกกำจัดจนเกือบหมดไปแล้วหน่วยสนับสนุนจึงเริ่มถอยทัพทิ้งระยะห่างออกมา ส่วนกองหลังที่ไม่มีหน้าที่จนถึงตอนนี้จะเริ่มระดมใช้เวทรักษากับเวทป้องกันหลากหลายชนิดให้กับกองหน้าทั้งหมด นอกจากนั้นคนที่รับหน้าที่ตัวล่อเองก็เริ่มออกมาประจำที่ตรงด้านหน้าแนวทัพของกลุ่มสนับสนุน

    จนถึงตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ พอลูกน้องของบอสถูกกำจัดหมดพวกฟ้าจึงมีเวลาว่างสังเกตการต่อสู้กับบอส เธอไม่รู้ว่าพลังชีวิตของบอสเหลือมากน้อยแค่ไหนเพราะการจะเช็คค่าพลังของเป้าหมายนั้นจำเป็นต้องมีทักษะประเภทตรวจสอบข้อมูล แต่ถ้าข้อมูลของบอสที่แจกมาก่อนหน้าไม่ผิดตอนนี้บอสน่าจะเหลือพลังชีวิตน้อยกว่า 3/10 เพราะบอสจะดึงเอาพลังเวทที่ใช้สร้างฝนไปใช้เพื่อป้องกันตัวเองแทน

    นักรบที่เป็นหัวหน้ากลุ่มฟันดาบใส่ผิวของแมงกะพรุนที่ฉาบเวทป้องกันเอาไว้ พลังเวทที่จับตัวแข็งนั้นถูกคมดาบขูดออกไปทีละน้อยทุกครั้งที่บอสรับการโจมตีจนโปรยปรายออกมาคล้ายกับละอองน้ำแข็ง ถึงแม้บอสจะพยายามใช้เส้นหนวดที่มีปลายแหลมราวกับหอกแทงใส่แต่การโจมตีนั้นก็ไม่ค่อยเร็วนักจนถูกหลบเอาได้ง่ายๆ พอเกราะเวทที่ฉาบผิวบอสถูกเฉือนออกจนบางมากแล้วผู้เล่นที่ใช้การโจมตีระยะไกลก็จะระดมยิงเข้าใส่จุดนั้นเพื่อสร้างความเสียหายก่อนที่บอสจะใช้พลังเวทฉาบบนผิวตัวเองอีกครั้ง

    รูปแบบการต่อสู้กับบอสตัวนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย นอกจากการโจมตีด้วยหนวดกับเวทโจมตีที่จะใช้นานๆครั้งแล้วบอสก็แทบไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายกับผู้เล่นเลย ทว่าความน่ากลัวจริงๆของบอสตัวนี้คงจะเริ่มหลังจากนี้...

    "############....."

    เสียงร้องไม่เป็นภาษาดังขึ้นจากบอสเมื่อนักธนูยิงศรระเบิดเข้าใส่มันอย่างจัง ตอนนั้นเองนักรบหัวหน้ากลุ่มได้ออกคำสั่งให้คนในกลุ่มถอยห่างออกจากบอสไปรวมตัวกันอยู่ในจุดหนึ่ง จากนั้นกลุ่มแนวหลังก็เริ่มร่ายเวทป้องกันให้อีกชุดใหญ่ๆพร้อมกับร่ายเกราะเวทป้องกันคลุมรอบๆกลุ่มแนวหน้าเข้าไปอีกชั้น

    "...############!"

    ร่างของมันพองโตราวกับลูกโป่งที่อัดลมเข้าไปจนแน่นแล้วระเบิดออกทันทีก่อให้เกิดมวลน้ำมหาศาลที่พร้อมกลืนกินสิ่งต่างๆเข้าไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือแกนกลางทรงกลมสีน้ำเงินเข้มที่มีรัศมีประมาณ 30เซนติเมตรซึ่งกำลังรวบรวมมวลน้ำจากปริเวณรอบๆเข้าไปเพื่อสร้างร่างกายของมันขึ้นมาอีกครั้ง

    การเกิดใหม่นี่ล่ะคือความสามารถที่ยุ่งยากที่สุดของบอสแมงกะพรุนตัวนี้ ทันทีที่ค่าพลังชีวิตของเหลือ 0 บอสจะเริ่มระเบิดตัวเองทันที ในจุดนี้ผู้เล่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็จะถูกแรงระเบิดกำจัดไปเพราะแม้แต่ผู้เล่นเลเวล 70ที่มีพลังชีวิตอยู่เต็มก็ยังถูกแรงระเบิดนี่ทำให้เกมโอเวอร์เอาได้ แต่ถึงจะมีคนรอดอยู่น้ำที่อัดพลังเวทของบอสไว้จะเริ่มกลายสภาพเป็นแมงกะพรุนขนาดย่อมๆแล้วเข้าจู่โจมผู้เล่นที่ยังเหลือรอดอยู่ ในขณะเดียวกันน้ำที่ถูกแรงระเบิดส่งขึ้นฟ้าจะตกลงมาราวกับฝนและทำให้ทัศนวิสัยรอบๆแย่ลงไปอีกพักหนึ่ง

    ทว่าพวกเขาได้วางแผนการโดยคำนึงถึงความสามารถนี้ไว้แล้ว (หลังจากกิลด์โกลด์อาร์มี่ส่งคนมาทดลองสู้เก็บข้อมูลจากบอส) หลังจากกำจัดลูกน้องของบอสหมดกลุ่มสนับสนุนจะถอยออกมาในระยะที่ไม่ได้รับอันตรายจากแรงระเบิดของบอสในขณะเดียวกันกลุ่มแนวหน้าก็จะได้รับการคุ้มกันจากเวทที่แนวหลังใช้ให้

    จากนั้นผู้เล่นที่ทำหน้าที่ตัวล่อจะเข้าไปล่อพวกมอนสเตอร์ที่คุ้มครองแกนกลางของบอสอยู่ออกมาโดยใช้ทักษะที่มีดึงความสนใจจากพวกลูกน้องทั้งหมดเอาไว้แล้วล่อให้มันออกห่างจากจุดนั้น เนื่องจากขาดบอสคอยสั่งการการเคลื่อนไหวของพวกลูกน้องจึงไม่มีแบบแผนนักและตอบสนองต่อการจู่โจมแบบง่ายๆจึงไม่ยากในจุดนี้ เพียงแต่จำนวนมอนสเตอร์นั้นมีร่วม 200ตัวต่อให้คนที่ทำหน้าที่ตัวล่อมีเลเวล 70ก็ยังถือว่าเสี่ยงที่จะเกมโอเวอร์ได้ง่ายๆถ้าต้องถูกมอนสเตอร์จำนวนรุมโจมตีพร้อมๆกัน

    พอเส้นทางถูกเปิดออกผู้เล่นที่เหลือก็รีบฝ่าม่านฝนเข้าไปในระยะที่มองเห็นแกนกลางของบอสแล้วเริ่มระดมโจมตีด้วยการโจมตีระยะไกลเป็นหลักโดยมีผู้เล่นที่เน้นสู้ระยะประชิดคอยคุ้มครองในกรณีที่มีมอนสเตอร์บางตัวไม่ถูกล่อออกไป เนื่องจากแกนกลางนั้นมีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่นักหากมีผู้เล่นเข้าไปโจมตีในระยะใกล้จะเป็นการบังวิถีโจมตีจนโจมตีกันได้ไม่เต็มที่ซะมากกว่า ตอนนี้ในกลุ่มของฟ้าจึงมีแค่ฟ้ากับเอกที่รับหน้าที่โจมตี

    ถึงแม้แกนกลางจะมีม่านน้ำคอยดูดซับการโจมตีเอาไว้ แต่การโจมตีของผู้เล่นหลายคนก็ยังสร้างความเสียหายได้มากพออยู่ดี แกนกลางนั้นเริ่มมีรอยร้าวเพิ่มขึ้นทีละน้อยและอีกไม่นานนักก็คงถูกทำลายก่อนที่บอสจะฟื้นสภาพกลับมาสำเร็จทว่าตอนนั้นเองที่ฟ้าเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปจากตำแหน่งที่มีแกนกลางอยู่ตรงนั้นมีแสงสว่างวูบวาบเลือนรางอยู่ ทีแรกเธอบังเอิญเหลือบเห็นมันพอดีแล้วคิดว่าเป็นแสงสะท้อนจากเวทมนตร์ของผู้เล่นสักคน แต่พอผ่านมาสักพักเธอก็เริ่มมองเห็นมันบ่อยขึ้นเรื่อยๆจนรู้สึกผิดสังเกต

    "ทิพย์ช่วยกางเวทคุ้มกันหน่อยได้มั้ยจ๊ะ?" ฟ้าร้องบอกทิพย์ขณะที่ยังคงยิงเวทโจมตีออกไปตามหน้าที่

    "เอ๊ะ? ทำไมเหรอฟ้า?"

    "รีบทำก่อนเถอะจ้ะ" ฟ้าเร่งทิพย์อีกครั้งขณะเงยหน้ามองแสงสว่างนั่น ตอนนี้เธอเห็นมันเป็นแสงกระพริบถี่ๆซ้ำไปมาอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู้ว่ายังมีผู้เล่นอื่นสังเกตเห็นสิ่งนั้นอยู่อีกมั้ยแต่ดูเหมือนว่าผู้เล่นส่วนใหญ่จะไม่ทันสังเกตเห็นมันเพราะฝนที่ยังกระหน่ำตกลงมา

    เห็นเพื่อนสาวเร่งขึ้นมาขนาดนั้นทิพย์จึงรีบร่ายเวทสร้างเกราะป้องกันให้กับสมาชิกในกลุ่มโดยไม่อิดออด บนพื้นปรากฏแสงสว่างส่องขึ้นมาเป็นรูป 7เหลี่ยมด้านเท่าล้อมรอบกลุ่มของฟ้าเอาไว้

    ไม่นานนักแกนกลางก็เริ่มรับความเสียหายไม่ไหวจนปริแตกและระเบิดออก มันไม่ใช่การระเบิดรุนแรงอย่างคราวก่อนทว่ากลับมีไอเย็นแผ่ออกไปรอบๆและทำให้ผู้เล่นบางคนที่รับมือไม่ทันถูกแช่การเคลื่อนไหวเอาไว้จนขยับตัวไม่ได้ ตอนนั้นเองบนท้องฟ้าก็มีแสงสว่างวาบออกมาราวกับฟ้าแลบจนผู้เล่นทุกคนสังเกตเห็นได้ จากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมายังตำแหน่งที่แกนกลางเคยอยู่ก่อนกระแสไฟฟ้าจะแผ่กระจายออกไปรอบๆจนผู้เล่นได้รับความเสียหายไปตามๆกัน

    โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ตรงตำแหน่งที่สายฟ้าฟาดลงมาจึงโดนความเสียหายไม่เต็มที่นัก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้เล่นเลเวล 70หลายคนถึงกับเสียพลังชีวิตไปเกือบครึ่งแถมผู้เล่นบางคนที่ประมาทปล่อยให้พลังชีวิตเหลือน้อยอยู่ก็ถึงกับเกมโอเวอร์สลายกลายเป็นละอองแสงไป

    ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้นน้ำในบริเวณรอบๆรวมไปถึงเม็ดฝนที่ตกลงมาก็กลับลอยขึ้นไปบนฟ้า ตอนนั้นเองที่ทุกคนต่างมองเห็นแกนกลางสีเหลืองอมเขียวซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ มันค่อยๆรวมตัวกับกระแสน้ำที่ถูกดูดขึ้นไปก่อนจะกลายสภาพเป็นแมงกะพรุนที่มีขนาดเล็กลงเหลือประมาณ 3เมตร และโดยไม่รีรอประจุไฟฟ้าพลันเกิดขึ้นบนปลายหนวดแต่ละหนวดของมันแล้วถูกยิงออกมาเบื้องล่างจนผู้เล่นรีบหลบกันจ้าละหวั่น

    พอถูกการโจมตีของบอสเข้ามาอีกระลอกจำนวนผู้เล่นที่เกมโอเวอร์ก็เพิ่มขึ้นอีก จากตอนแรกที่มีคนของกิลด์โกลด์อาร์มี่อยู่ 40คนกับคนสังกัดอื่นๆอีก 30คน ถ้ารวมคนที่รับหน้าที่ตัวล่อด้วยแล้วก็มีร่วม 82คน แต่ตอนนี้โกลด์อาร์มี่กลับเหลือสมาชิกเพียง 14คนส่วนคนอื่นๆนั้นเพราะอยู่ห่างจากบริเวณกึ่งกลางเลยไม่ได้รับการโจมตีเต็มๆแบบกิลด์โกลด์อาร์มี่จึงยังมีคนเหลืออยู่ 22คน ทว่าในจังหวะไล่เลี่ยกันนั้นเสียงข้อความเตือนการเกมโอเวอร์ของบรรดาตัวล่อก็ดังตามขึ้นมาติดๆเท่ากับว่าคนที่เหลือรอดอยู่ตอนนี้มีจำนวนไม่ถึงครึ่งจากตอนแรก

    "ยกเลิกแผนการ ถอยทัพเร็วเข้า!" นักรบที่เป็นหัวหน้ากลุ่มของโกลด์อาร์มี่ออกคำสั่งลูกทีมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สถานการณ์ตอนนี้ผู้เล่นต่างหนีเอาตัวรอดจนชุลมุนไปหมดต่อให้เขาพยายามรวบรวมคนเข้าสู่ต่อก็คงไม่มีใครสนใจฟังอีกแล้ว ถึงตอนนี้ก็คงได้แต่พยายามช่วยให้สมาชิกกิลด์รอดกลับไปให้ได้มากที่สุดเผื่อว่าหัวหน้ากิลด์จะยอมลดบทลงโทษฐานที่เขาทำภารกิจล้มเหลวลงบ้าง

    "หวาย เละเทะหมดเลยนะเนี่ย" ทิพย์บ่นขณะที่กลุ่มของพวกเธอกำลังหลบหนีการโจมตีของบอสอยู่เช่นเดียวกับผู้เล่นอื่นๆ ตอนนั้นโชคดีที่เธอสร้างอาณาเขตป้องกันตามที่ฟ้าเตือนทันเพราะอย่างนั้นกลุ่มของพวกเธอเลยได้รับความเสียหายน้อยมากจนแทบไม่เป็นอะไรกันเลย

    "แล้วเราจะเอายังไงต่อดีล่ะจ๊ะ?"

    "เฮียว่าคงต้องยอมแพ้แล้วล่ะมั้ง ต่างคนต่างหนีกันวุ่นไปหมดแบบนี้คงรวมตัวกันไม่ติดแล้วล่ะ" หมีใหญ่ออกความเห็น

    "ชิ.. น่าหงุดหงิดชะมัดต้องมาหนีแบบนี้"

    "งั้นนายก็เข้าไปลุยกับบอสมันเลยสิยะ"

    "หนวกหูเฟ้ยยัยเบ๊อะ!"

    "ทั้งสองคนพอได้แล้วน่า เวลาแบบนี้อย่ามาทะเลาะกันเองสิจ๊ะ" ฟ้ารีบปรามทั้งคู่ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ จะว่าสมกับเป็นสองคนนี้ก็คงใช่แต่ถ้ามัวทะเลาะกันตอนนี้มีหวังได้เกมโอเวอร์ตามผู้เล่นคนอื่นแน่ๆ

    "แต่ว่าจะหนีก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่แล้วล่ะครับ" เอกที่เงียบมาตลอดชี้ไปยังพวกมอนสเตอร์ลูกน้องที่ถูกล่อออกไป คงเพราะพวกตัวล่อเน้นถ่วงเวลาเป็นหลักจำนวนของพวกลูกน้องเลยแทบไม่ลดลงเลยแถมยังกลายเป็นว่าพวกมอนที่ย้อนกลับมากลายเป็นฝ่ายล้อมพวกผู้เล่นแทนซะแล้ว

    "ก็มีแต่ต้องลุยล่ะฟะ!" อัคคีพุ่งเข้าไปหามอนสเตอร์ตัวนึงที่อยู่ใกล้ๆแล้วใช้ดาบฟันมันจนขาดครึ่ง แต่เพราะความเสียหายยังไม่มากพอจะจัดการมันได้มันจึงเริ่มคืนสภาพร่างกายตัวเองทว่ายังไม่ทันคืนสภาพสำเร็จก็โดนฟ้ายิงซ้ำเข้าไปอีกจนสลายหายไป

    ถึงแม้พวกแมงกะพรุนลูกน้องจะไม่ได้เก่งกาจอะไรนักแต่เวทไฟฟ้าที่ถูกยิงออกมาเรื่อยๆก็ทำให้ผู้เล่นรับมือได้ลำบาก ส่วนกลุ่มของฟ้านั้นเรียกได้ว่าเพราะตั้งหลักทันทิพย์จึงมีเวลาพอร่ายเวทสร้างเกราะป้องกันให้ทุกคนในกลุ่มได้ ถึงแม้เกราะเวทจะทนกระสุนไฟฟ้าของบอสได้ไม่กี่นัดแต่ก็ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องพะวงกับการโจมตีของบอสมากนัก พอจัดการพวกลูกน้องไปจำนวนหนึ่งพวกฟ้าก็ฝ่าวงล้อมออกมาได้สำเร็จ

    พอฟ้าหันกลับไปเห็นว่ายังมีผู้เล่นที่ยังหนีออกจากวงล้อมของมอนสเตอร์ไม่ได้อยู่อีกเธอจึงตั้งท่ารั้งสายธนูเตรียมช่วยผู้เล่นกลุ่มนั้น ทว่าก่อนเธอจะได้ยิงออกไปสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน

    สิ่งนั้นพุ่งมาด้วยความเร็วสูงจนเห็นเป็นเพียงเงารางๆเข้าชนกับมอนสเตอร์ตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้กับผู้เล่นกลุ่มนั้น แรงปะทะนั่นรุนแรงขนาดทำให้มอนสเตอร์แตกกระจายเป็นชิ้นๆก่อนที่เงานั่นจะพุ่งเข้าใส่มอนสเตอร์ตัวถัดไปอีกเป็นทอดๆ

    ดูเหมือนว่าแมงกะพรุนยักษ์จะเริ่มรู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวนั้นมันจึงพยายามยิงกระสุนไฟฟ้าเข้าใส่ แต่กว่ากระสุนจะพุ่งไปถึงจุดที่เงานั่นเคยอยู่มอนสเตอร์ตัวที่อยู่ห่างออกไปก็โดนจัดการไปแล้ว

    ระหว่างนั้นฟ้าพยายามเพ่งสมาธิมองดูจนรู้ตัวจริงของเงานั่นจนได้ 'เขา'เป็นผู้เล่นคนหนึ่งแต่ด้วยระยะห่างกับความเร็วทำให้เธอมองรายละเอียดไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก เท่าที่เห็นคร่าวๆก็พอรู้ได้ว่าเป็นผู้เล่นชายสวมชุดค่อนข้างแปลกตาแต่ดูจากลักษณะปลอกแขนแล้วน่าจะเป็นอาชีพประเภทนักสู้ วิธีที่เขาใช้โจมตีมอนสเตอร์นั้นเรียบง่ายจนเกินคาดเพราะเขาเพียงแค่พุ่งเข้าไปถีบมอนสเตอร์ตัวหนึ่งในขณะเดียวกันก็จะใช้แรงถีบนั่นเป็นแรงส่งพุ่งให้ตัวเขาพุ่งเข้าไปหามอนเสตอร์ตัวถัดไปจากนั้นก็เพียงเคลื่อนไหวแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ

    ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีพวกมอนสเตอร์กลับถูกกำจัดไปแล้วหลายสิบตัว จากนั้น'เขา'ก็ใช้มอนสเตอร์ตัวหนึ่งเป็นแท่นเหยียบพุ่งขึ้นไปหาแมงกะพรุนยักษ์ที่ลอยอยู่บนฟ้าแล้วต่อยลงบนตัวของมันเข้าอย่างจัง แรงปะทะนั้นรุนแรงมากเสียจนบอสปลิวไปตามแรงโจมตีแม้มันจะยั้งตัวไว้ได้ก่นอจะกระแทกกับพื้นที่ตำแหน่งที่มันลอยอยู่นั้นก็ไม่สุงมากเท่าตอนแรก ส่วนชายคนนั้นอาศัยแรงปะทะที่ว่าถอยออกไปทิ้งระยะห่างจากบอสอยู่ช่วงหนึ่ง

    พอ'เขา'หยุดเคลื่อนไหวในที่สุดผู้เล่นที่ตกใจกับสถานการณืตรงหน้าจึงเพิ่งจะทันสังเกตเห็นลักษณ์ของชายตรงหน้า เขาสวมชุดคล้ายกับผู้ดีสมัยก่อนของประเทศหนึ่งทางแถบตะวันตกแต่ก็มีบางส่วนที่ประยุกต์ให้ดูเข้ากับสมัยใหม่ แขนขวาของเขาสวมปลอกแขนแบบยาวส่วนข้างซ้ายนั้นสวมเพียงถุงมือแบบเปิดนิ้วเช่นเดียวกับข้างขวา ดูจากอุปกรณ์สวมใส่แล้วน่าจะเป็นผู้เล่นที่อยู่ในช่วงเลเวล 70เหมือนกัน เพียงแต่จุดที่ทำให้ฟ้าประหลาดใจนั้นดูจะต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆอยู่บ้างเพราะคนๆนั้น...ก็คือชายหนุ่มที่เธอเจอตรงป้ายรอรถโดยสารนั่นเอง
    Last edited: 10 กุมภาพันธ์ 2015
  4. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    จู่ๆเห็นลงเรื่องใหม่อีกแล้วคงจะแปลกใจกัน แต่เรื่องที่เป็นแนวหลุดไปต่างโลกนั่นเป็นเรื่องที่แต่งทีหลังตอนว่างๆไว้ เปลี่ยนบรรยากาศน่ะครับ

    ส่วนเรื่องนี้เป็นแนวเกมออนไลน์ที่วางพล๊อตไว้นานแล้วแต่ก็เพิ่งจะกำหนดราย ละเอียดหลายๆอย่างชัดซักที กว่าจะมีแรงฮึดแต่งจนออกมาได้สองตอนนี่ก็นานเอาเรื่องอยู่

    อนึ่ง เรื่องนี้ตั้งใจว่าจะให้เป็นโลกคู่ขนานไปโดยไม่อ้างอิงความจริงเท่าไหร่นัก (เพราะบางทีก็ขี้เกียจควานหาข้อมูลหลายๆอย่าง >_<") แต่ก็อาจมีอ้างอิงข้อมูลบางอย่างอยู่บ้างหากมีข้อผิดพลาดยังไงก็ช่วยแนะนำ ด้วยนะครับ

    edited: ที่ลงทีแรกลืมลงตอน 0ไป ถ้าใครไม่ทันได้อ่านก็ย้อนกลับไปอ่านก่อนนะครับ
  5. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    เอ่อ... อยากสอบถามหน่อยครับที่ซาลโพสเนี่ย ต้องการให้เพื่อนสมาชิก(ที่ไม่ค่อยมี)ได้อ่าน ต้องการต้องการคำแนะนำจากเพื่อนสมาชิก หรือแค่โพสเก็บไว้เป็นหลักฐานเฉยๆครับ เพราะมันติดกันเป็นพรืด อ่านยากมาก ถึงอ่านไม่ไหวเลยล่ะครับ
  6. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เหตุผลก็รวมๆกันล่ะครับ พอดีตอนโพสต์เพิ่งแต่งเสร็จยังอยู่อารมณ์ขี้เกียจมานั่งแก้เว้นบรรทัดเลยปล่อยไว้ก่อน

    edited: แก้เว้นบรรทัดแล้วนะครับ
    Last edited: 10 กุมภาพันธ์ 2015
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    จากบรรดานิยายของซาลทั้งหมดที่อ่านมา Mahjong saga , School Labyrinth , Sorcery Code รวมถึงเรื่องล่าสุดอย่าง World Revival ที่เพิ่งเขียนไป มีเรื่องนี้....Daydream Kingdom ที่เพิ่งลงบทนำ + สองตอนเนี่ย ผมคิดว่ามันมีหลายจุดที่คิดว่าไม่เหมาะก็เลยขอคอมเมนต์แบบยาวๆสักทีละกัน



    เรื่องแรก – บทนำ


    เปิดเรื่องมาด้วยเหตุการณ์ภัยพิบัติระดับโลกด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้


    คลื่นสัญญาณที่เขียนในนี้คืออะไร? ถ้าเขียนมาแค่นั้นมันครอบคลุมแค่การใช้คลื่นวิทยุติดต่อสื่อสารในระยะทางไกลเท่านั้นเองนะครับ พูดง่ายๆคือใช้งานไม่ได้แค่ระบบสัญญาณแบบไร้สายเท่านั้น แค่นั้นไม่ได้ทำให้ระบบสื่อสารของโลกล่มสลายจนติดต่อกันไม่ได้หรอก สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ถูกส่งผ่านเครือข่ายทั่วโลกด้วยระบบสายเคเบิลใต้ดินและใต้ทะเล ต่อให้ตัดสายเคเบิลตรงไหนไปสักจุดหรือต่อให้ตัดไปหลายๆจุดก็หยุดการทำงานของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ทางเดียวที่จะทำได้คือตัดระบบพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการในฐานะ ISP - Internet Service Protocol ทั่วโลก นั่นคือข้อดีและวัตถุประสงค์หลักที่ทำให้อินเตอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นมา

    ต้องเป็นปรากฏการณ์ในระดับที่รุนแรงยิ่งไปกว่าที่คนเขียนเขียนเอาไว้ คือเกิดปรากฏการณ์ที่ส่งผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วทั้งโลกพังไปเลย เป็น EMP ในระดับใหญ่แบบนั้น ซึ่งที่เขียนมาว่าเป็นแสงวาบจากบนท้องฟ้าเนี่ยก็ชวนให้นึกถึง EMP ที่เกิดจากการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศอยู่แล้วด้วย แต่สิ่งที่คนเขียนเขียนมาคือมันไม่ใช่ EMP เพราะไม่ได้บอกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดพังไปด้วย

    แต่ต่อให้เกิดปรากฏการณ์แบบนั้นจริงๆ เกิด EMP ในระดับโลกขึ้นจริงๆ เทคโนโลยีทั้งหมดที่ต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าใช้งานไม่ได้เลย โลกย้อนกลับไปสู่ยุคที่ยังไม่มีระบบไฟฟ้าใช้งานก็หยุดการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ระหว่างเขตแดนต่างๆไม่ได้อยู่ดีครับ เรายังมีทั้งแรงงานสัตว์และแรงงานมนุษย์เอง ใช้สัตว์เป็นพาหนะเดินทาง ใช้แรงงานมนุษย์ผ่านกลไกทดแรงที่มีอยู่ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดเลยก็คือจักรยาน เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีจักรยานพัฒนาไปมากแล้วนะครับ โครงรถมีน้ำหนักเบา ทนทาน มีระบบเฟืองที่ทำให้คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักปั่นจักรยานมืออาชีพเดินทางข้ามจังหวัดในระดับร้อยกิโลเมตรได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ต่อให้ไม่มีจักรยานแบบนั้นกันทุกคน จักรยานธรรมดาก็พาไปถึงที่หมายในระยะทางไกลๆได้เหมือนกันแค่อาจจะช้ากว่า หรือเอาจักรยาน 2 คันผูกประกบข้างรถเข็น....เท่านี้เราก็ได้รถบรรทุกสัมภาระแบบง่ายๆแล้ว ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติ เผ่ามองโกลไปไกลถึงยุโรป อเล็กซานเดอร์มหาราชยกทัพมาไกลถึงอินเดียโดยที่ไม่มีเทคโนโลยีแบบที่เรามีใช้กันในวันนี้ พวกเขาทำยังไง? พวกเขาใช้แรงงานสัตว์และแรงงานของตัวเอง มนุษย์มีศักยภาพมากพอและต่อให้ไม่มีเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกเหมือนเดิม....องค์ความรู้และภูมิปัญญาของมนุษย์ก็ไม่ได้หายไปด้วย

    ถ้าจะเขียนธีมภัยพิบัติระดับโลกเพื่อปูทางให้กับการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ที่คนเขียนเรียกว่า “อิกดราซิล” ในตอนหลัง แบบนั้นสู้เขียนไปอีกทางว่าเทคโนโลยีถูกพัฒนาไปไกลมากจนเกิดการค้นพบระบบสื่อสารแบบใหม่ที่ดีกว่าอินเตอร์เน็ต เพราะถ้าจะเขียนธีมการล่มสลายของระบบสังคมโลกแบบที่เขียนมาในบทนำแค่นั้นมันยังไม่พอครับ


    การขาดการสื่อสารไม่ได้ทำให้การจดบันทึกประวัติศาสตร์หยุดลงหรือขาดตอนหรอกครับ โลกเรามีนักคิด นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการมากมายนักที่ไม่ยอมให้การบันทึกประวัติศาสตร์โลกหยุดลง ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะมันคือการบอกเล่าให้คนรุ่นหลังรู้ว่าโลกเกิดอะไรขึ้นมาบาง มันคือบทเรียนจากอดีตที่ส่งต่อให้คนรุ่นต่อๆไป การบันทึกประวัติศาสตร์ทำได้ง่ายมากครับ แค่กระดาษกับปากกาหรือดินสอก็เพียงพอแล้ว จดข้อมูลที่เห็นอยู่ทุกวันแล้วส่งต่อให้คนรุ่นหลังๆเขียนต่อไป หรือต่อให้กระดาษและดินสอหมดไป ผ้าถัก-ผ้าทอก็สามารถบันทึกประวัติศาสตร์ได้ด้วยลวดลายต่างๆ เช่น Bayeux Tapestry และนั่นคือประเด็นสำคัญเพราะประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่เสมอไป เรื่องเล่าปรัมปรา – ตำนาน – นิทานพื้นบ้าน หรือแม้แต่บทเพลงกล่อมเด็กก็บอกเล่าประวัติศาสตร์ได้ การบอกเล่าแบบปากต่อปากเพื่อรักษาเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ตนเองมีมานานก่อนที่จะมีตัวอักษรเสียอีก



    สิ่งที่ขาดหายไปในธีมการเขียนแบบนี้คือการบอกเล่าว่าโลกหลังจากเกิดภัยพิบัติมีความวุ่นวายโกลาหลในระดับไหน สมมติให้มันร้ายแรงยิ่งกว่าคลื่นสัญญาณใช้งานไม่ได้ตามที่คนเขียนเขียนเอาไว้ ผมสมมติให้มันรุนแรงในระดับเกิด EMP ระดับโลกจนใช้เทคโนโลยีไม่ได้เลยก็แล้วกัน

    ตัวอย่างเช่น....ความวุ่นวายจากการขาดเทคโนโลยีแบบกะทันหันส่งผลต่อความเป็นอยู่ของชีวิตมนุษย์อย่างรุนแรง เกิดการก่อจลาจล - การก่อกบฏในหลายๆประเทศ รัฐควบคุมประชากรไม่ได้ อำนาจรัฐล่มสลายเพราะขาดการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานย่อยในพื้นที่ต่างๆอย่างฉับพลันและเจ้าหน้าที่ละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ ระบบเศรษฐกิจพังทลาย เกิดภาวะอดยาก อาหารขาดแคลน คนร่ำรวยมีเงินล้นฟ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะไม่มีอะไรจะกิน สิ่งยังชีพมีจำกัด สาธารณูปโภคพื้นฐานใช้ไม่ได้ ระบบการแพทย์ล้มเหลวเพราะไม่สามารถผลิตและเก็บรักษายาได้ การผ่าตัดระดับซับซ้อนทำไม่ได้ เกิดโรคระบาดเพราะสุขอนามัยไม่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเหมือนเคย เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมามีร่างกายอ่อนแอและมีอัตราการตายสูง ฯลฯ

    ข้อความข้างบนนั้นอาจจะดูเหมือนเรื่องฟุ่มเฟือยในการเขียนแต่ผมคิดว่ามันจำเป็นในการอธิบายความเป็นไปของโลกหลังจากเกิดภัยพิบัติ เพื่อปูทางต่อไปถึงการฟื้นฟูโลก เช่น การเกิดขึ้นของขั้วอำนาจใหม่ ประเทศมหาอำนาจล่มสลายกลายเป็นประเทศใหม่หลายประเทศ การเกิดขึ้นของกลุ่มลัทธิความเชื่อหรือแม้แต่ศาสนาใหม่ๆ การค่อยๆฟื้นฟูและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิต การปรับตัวของมนุษย์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทีละนิด ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้คนอ่านเห็นภาพได้ชัดมากขึ้นว่าเหตุการณ์นี้มันร้ายแรงจริงๆ มันวิกฤตจริงๆ เป็นการย้ำความสำคัญของเรื่องที่เขียนหลังจากนั้น นั่นคือ....โลกหลังจากนั้นเป็นยังไง ฟื้นฟูขึ้นมาแล้วมีอะไรดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง มีอะไรใหม่บ้าง หรือมีอะไรบางอย่างไม่สามารถเอากลับคืนมาสู่สังคมมนุษย์ได้อีก การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้ปรากฏการณ์เสียงกระซิบแห่งภูติพรายเกิดขึ้นอีก สิ่งนี้จะช่วยให้คนอ่านเห็นภาพของโลกใหม่ในนิยายได้มากขึ้น

    ข้อมูลที่เล่าผ่านตัวเอกหญิงควรมีรายละเอียดมากๆ เช่นยกตัวอย่างให้เธอกำลังทำรายงานและหาข้อมูลทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้ายแบบใหม่ที่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศเพื่อทำลายเทคโนโลยี หรือมีทฤษฎีเรื่องปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อโลกเช่นจู่ๆดวงอาทิตย์ก็ปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นจนโลกอยู่ในสภาพนี้ การเกิดซุปเปอร์โนว่าของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในแกแล็กซี่จนส่งคลื่นพลังงานเข้มข้นมายังโลก การระเบิดรังสีแกมมาของดาวนิวตรอน ฯลฯ แต่แล้วทฤษฎีทั้งหมดก็ถูกหักล้างด้วยข้อมูลอื่นๆจนหมด ซึ่งจะเป็นการเน้นย้ำให้คนอ่านรู้สึก “เชื่อ”

    เชื่อว่าปรากฏการณ์เสียงกระซิบแห่งภูติพรายนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้จริงๆ ขนาดผ่านมา 300 ปีแล้วก็ยังคิดไม่ออก ยังหาคำตอบไม่ได้เลย ธีมแนวนี้ต้องมีข้อมูลครบถ้วน มีเหตุผลและหลักทฤษฎีมาสนับสนุนให้คนเชื่อ ต้องมากกว่าข้อความแค่ 3 ย่อหน้าแล้วปิดท้ายด้วยการบอกว่าข้อมูลขาดหายไป มันเป็นวิธีการเขียนที่ขาดความน่าเชื่อถือไป ตรงจุดนี้เป็นการแสดงความสามารถของคนเขียนด้วยว่า....สามารถเขียนเรื่องน่าเบื่ออย่างหลักการ – ทฤษฎี – สมมติฐานทางวิชาการให้สนุกและน่าติดตามได้ยังไง



    เรื่องที่สอง – การบรรยายเหตุการณ์ในเรื่อง


    มีเรื่องแรกที่อยากจะถามมากๆก็คือ

    ฟ้าเดินทางมาหาเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าริมชายหาดเพื่อประชุมแผนใช่ไหมครับ? นั่นคือยังเป็นโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ แต่ผู้นำการประชุมจากกิลด์โกลด์อาร์มี่ใส่ชุดอัศวินมาประชุมเลยเหรอครับ? คือตรงจุดนี้อ่านรอบแรกงงมากว่าตอนนี้กลุ่มของฟ้าอยู่ที่ไหนกันแน่ ล็อกอินเข้าไปในเกมแล้วรึยัง พอมาอ่านดีๆอีกรอบแล้วถึงได้รู้ว่ายังไม่ได้เชื่อมต่อเลย


    ตกลงอัคคีนี่ใช้หอกหรือดาบกันแน่ หรือเป็นอาชีพที่ใช้อาวุธได้หลากหลาย ถ้าเป็นแบบหลังก็น่าจะอธิบายเพิ่มด้วยว่าอาชีพของอัคคีใช้อาวุธได้หลายชนิด แต่ที่เขาถนัดมากคือหอกกับดาบและเอามาใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย


    ผมว่าตรงนี้ใช้การเปรียบเทียบผิด เสียงร้องไม่เป็นภาษาน่าจะใช้บรรยายเหตุการณ์ที่มนุษย์ซึ่งมี “ภาษา” หวาดกลัวหรือเจ็บปวดจนร้องไม่เป็นภาษามากกว่า ฉากนี้น่าจะอธิบายว่าแมงกะพรุนกรีดร้องด้วยเสียงอันดังเนื่องจากความเจ็บปวดเพราะถูกโจมตีด้วยธนูระเบิด....น่าจะเหมาะกว่า


    อันนี้อาจจะเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆเลย ผู้หญิงคุยกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันหรือต่อให้คุยกับเพื่อนผู้ชายก็เถอะไม่มีใครใช้ “จ๊ะ” กันหรอกครับ มันดูสุภาพเกินไปในการพูดกับเพื่อนที่สนิทกันและก็ไม่เป็นธรรมชาติด้วย เข้าใจว่าคนเขียนคงอยากเขียนให้ตัวละครเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เอาแค่คุยกับคนที่อายุมากกว่าและคนที่ไม่รู้จักมักจี่ด้วยหางเสียง “ค่ะ” ก็น่าจะพอแล้ว



    เรื่องที่สาม – เทคโนโลยีอิกดราซิลกับการไดฟ์ อิน

    ความคิดของคนเขียนอยู่เหนือจินตนาการมาก เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตเลยแต่มันมีจุดบอดในความคิดของผมนะ


    อันดับแรก ถ้าไดฟ์ อิน แล้วยังควบคุมร่างกายในโลกจริงได้ตามปกติเนี่ยมันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือแล้วใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงไปพร้อมๆกัน แบบนั้นคือเราใช้ประสาทสัมผัสสองอย่างพร้อมกัน แต่ถ้าควบคุมร่างกายในโลกจริงได้ เดินไปเดินมา - กินข้าว - ซื้อของ ขณะที่ควบคุมร่างกายเสมือนในโลกจำลองด้วยเนี่ยเท่ากับสมองต้องสร้างชุดคำสั่ง 2 ชุดเพื่อขยับแขนขาในโลกจริงไปทางหนึ่ง ขยับแขนขาในโลกเสมือนไปอีกทางหนึ่ง ผมคิดว่ามันไม่ over-technology หรอก แต่น่าจะเกินระบบสั่งการของสมองไปเยอะ ของแบบนี้ต้องฝึกฝนกันพอสมควร แถมคนเขียนยังอธิบายไว้อีกว่า [ หากผู้เล่นมีสมาธิมากพอ ] ซึ่งหมายความว่าทำไม่ได้ทุกคน ใครมีปัญหาเรื่องการแยกแยะการรับรู้ละก็จะต้องไปหาที่สงบๆ ไม่มีใครมารบกวน หรืออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเพื่อไดฟ์ อิน ถ้าจะไม่ให้ความแตกต่างเฉพาะบุคคลมาส่งผลก็เขียนไปว่าทุกคนสามารถทำแบบนี้ได้เพราะได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ...จะดีกว่า

    การทำแบบนั้นได้ก็คล้ายๆกับ....พนักงานคนหนึ่งลาพักร้อนแล้วกำลังขับรถไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ก็ยังปฏิบัติงานได้ตามปกติในออฟฟิศด้วยระบบสั่งการทางไกลผ่านเครือข่ายเพื่อควบคุมหุ่นยนต์ให้ทำงานแทนตัวเอง มือซ้ายในโลกจริงกำลังเปลี่ยนเกียร์ส่วนมือขวาจับพวงมาลัย แต่สติชุดที่สองกำลังควบคุมหุ่นยนต์ให้ใช้มือซ้ายและขวาพิมพ์งานบนคีย์บอร์ด ถ้าทำได้เนี่ย....มันเป็นเทคโนโลยีในอนาคตอย่างที่ผมบอกไว้เลย

    แล้วก็เกมนี้ใช้ระบบเวลาแบบไหน เรียลไทม์หรือว่าเวลาในเกมหมุนเร็วกว่า? เพราะถ้าเวลาในเกมเร็วกว่าแล้วยังสามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ทั้งโลกจริงและโลกเสมือนพร้อมกัน สมองน่าจะสับสนน่าดูเลย


    อันดับที่สอง ไดฟ์ อิน ตรงไหนตัวละครในเกมจะโผล่มาอยู่ตรงนั้น อันนี้ผมว่ามันผิดหลักของการเป็นเกมออนไลน์ไปหน่อย ถ้าสมมติก่อนหน้านี้ผมเล่นเกมอยู่ในฟิลด์ทุ่งนานอกเมืองไกลสัก 20 กิโลเมตรแล้วล็อกเอาท์กลับสู่ชีวิตปกติ วันต่อมาตัวผมในโลกจริงเดินทางไปที่ชายหาดแล้วไดฟ์ อิน ตัวละครของผมจะมาโผล่ที่ชายหาด....ถูกต้องไหมครับ? แล้วถ้าผมกำลังทำภารกิจต่อเนื่องอยู่ที่ทุ่งนาหรือยังทำภารกิจไม่เสร็จ ผมต้องเดินทางไปใหม่งั้นเหรอ?

    ถ้าผมอยากไปล่ามอนสเตอร์ในฟิลด์น้ำตก ผมต้องเดินทางไปที่น้ำตกจริงๆเพื่อไดฟ์ อิน ตรงนั้นรึเปล่า?

    ถ้ามีอีเวนท์ตีบอสแมงกะพรุนที่ชายหาดในหัวหินแต่ผมอยู่เชียงใหม่ และผมมาไดฟ์ อิน ที่ชายหาดในหัวหินไม่ได้เท่ากับผมอดเข้าร่วมอีเวนท์ใช่ไหม?

    ตรงนี้น่าจะอธิบายให้ละเอียดๆและชัดเจนไปเลยนะครับ รวมถึงอธิบายระบบพื้นฐานในเกมพ่วงไปด้วยก็ได้



    เรื่องที่สี่ – ฉากต่อสู้กับบอส

    ประเด็นแรก บอสประเภทที่สองสุ่มทุกอย่างทั้งเวลาเกิด – สถานที่เกิด – ประเภท ที่ผมติดใจคือพฤติกรรมหลังจากที่บอสประเภทนี้เกิดมา บอสสุ่มเกิดที่เกิดมาแล้วยึดครองพื้นที่ ถ้าฟิลด์นั้นมีบอสประจำอยู่แล้วก็กลายเป็นฟิลด์นั้นมีบอส 2 ตัวเลยรึเปล่า? น่าจะอธิบายด้วยว่ามีบอส 2 ตัวอยู่ในฟิลด์เดียวกันได้หรือไม่ อารมณ์แบบตีบอสสุ่มที่มาครองฟิลด์ชายหาดแล้วเจอบอสประจำถิ่นมาซ้ำเนี่ยมันก็น่าสนุกน่าเขียนอยู่หรอก แต่บอกให้รู้ชัดๆไปเลยจะดีสำหรับการเขียนในตอนหลังมากกว่าด้วย

    แล้วแมงกะพรุนจัดเป็นบอสประเภทสุ่ม พอเกิดมาแล้วไม่มีใครฆ่าได้มันจะหายไปแล้วมาปรากฏตัวใหม่เป็นเวลา? คือถ้ามาเที่ยงก็จะมาเที่ยงตลอดอะไรแบบนั้นใช่ไหม อ่านแล้วงงหน่อยๆเพราะตอนเกิดสุ่มเวลาเกิด - สถานที่เกิด แต่ถ้าไม่ตายก็หายตัวแล้วจะกลับมาใหม่ตามเวลาเดิม กลายเป็นว่าพฤติกรรมในการปรากฏตัวกลายเป็นบอสปกติไปเลย หรือพอฆ่ามันแล้วมันจะหายไปจากฟิลด์นั้นแต่กลับมาใหม่ได้ด้วยกฎการสุ่มในภายหลัง ตรงนี้น่าจะอธิบายให้ละเอียดหน่อยครับ ตัวอย่างเช่นแจกแจงไปเลยว่ามี (1) ฟิลด์บอส (2) สตอรี่บอส (3) อีเวนท์บอสหรือแรนด้อมบอส อะไรแบบนั้น

    แล้วก็ตอนฉากบอสปรากฎตัวพร้อมกับเมฆฝนแล้วผู้เล่นที่จัดทัพเข้าไปลุยกับลูกน้องบอส ลูกน้องบอสเป็นตัวอะไรครับ? เป็นแมงกะพรุนขนาดเล็กหรือว่าเป็นเผ่าสัตว์น้ำตัวอื่น เลเวลเท่าไหร่ มีมากแค่ไหน ไม่ได้บอกไว้เลย และที่สำคัญคือสู้กันตรงไหน? บนชายหาด? ในเขตน้ำตื้น? หรือกลางทะเลแต่ผู้เล่นมีไอเท็มสวมใส่ที่ทำให้ยืนบนทะเลได้หรือใช้ไอเท็มหรือเวทมนตร์ลอยตัว? ผมจินตนาการตำแหน่งการต่อสู้ไม่ออกเลย เพราะสภาพพื้นที่เองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการต่อสู้ด้วย อาจใช้มันเป็นความได้เปรียบของผู้เล่นเอง หรือให้ผู้เล่นหาวิธีลดความเสียเปรียบของตัวเองก็เป็นเรื่องของกลยุทธ์ด้วย


    ประเด็นต่อมาตอนประชุมที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อแจ้งรายละเอียดแผนการ ผู้เขียนไม่ได้บอกเกริ่นสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ไว้เลย นั่นคือทำไมต้องประกาศหาอาสาสมัครสู้กับบอสตัวนี้? เป็นภารกิจที่รับจากเอ็นพีซีโดยกิลด์โกลด์อาร์มี่แล้วพวกเขาสู้เองไม่ไหวจนต้องมาหาพรรคพวกเพิ่มเติม? มีแรงจูงใจอะไรที่ทำให้ผู้เล่นจากกิลด์อื่นหรือผู้เล่นอิสระอย่างกลุ่มของฟ้ามาร่วมในการต่อสู้กับบอสครั้งนี้?

    ไหนๆก็อุตส่าห์บอกแล้วว่าตัวล่อจะได้ค่าตอบแทนความเสี่ยงเพิ่มก็น่าจะบอกด้วยว่ารางวัลเดิมที่ตั้งไว้สำหรับปราบบอสคืออะไร เป็นเงินมากน้อยแค่ไหนหรือได้ไอเท็มพิเศษ / ไอเท็มเฉพาะอะไร? เพราะปูมาว่าเกมนี้เงินหายากเพราะไอเท็มขายไม่ค่อยได้ ต้องรอทีมงานสร้างเงินขึ้นมาเองแถมเงินในเกมแลกเป็นเงินจริงได้อีก จะได้อธิบายระบบเศรษฐกิจภายในเกมไปเลย เงินก้อนหนึ่งในเกมทำอะไรได้บ้าง ไอเท็มที่จำเป็นในการต่อสู้ถูกแพงแค่ไหน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้เล่นทั่วไปอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วจะได้โยงไปถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินในเกมกับเงินจริงด้วย ผู้เล่นตัวล่อเลเวล 50 ได้เงินเพิ่มอีกเลเวลละ 500 ก็เท่ากับคนละ 25,000 เอล เงินก้อนนี้มีประโยชน์มากขนาดไหนในเกม แลกออกไปข้างนอกเป็นเงินจริงที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในโลกจริงขนาดไหน อาจจะใช้เป็นตัวอ้างอิงสำหรับอธิบายความเป็นไปของโลกจริงด้วยว่าสภาพการเงิน สภาพเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตเป็นยังไงได้ด้วย

    สมมติกับโลกในตอนนี้เลย เงินเดือนพนักงานออฟฟิศเข้าใหม่เฉลี่ยที่ 12,000 – 15,000 บาท ส่วนเงิน 25,000 เอลแลกเป็นเงินจริงได้ 5,000 บาท หรือ 10,000 บาทหรือสูงกว่านั้นแล้วแต่อัตราแลกเปลี่ยนที่คนเขียนจะกำหนด มันจะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นและเห็นถึงความสำคัญของเงิน และแรงจูงใจในการเข้าร่วมสู้กับกิลด์โกลด์อาร์มี่ในครั้งนี้ด้วย ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพราะการปรับเพดานเลเวลแต่ทำให้ตัวล่อยอมรับความเสี่ยงได้ด้วยเงินในเกมก้อนใหญ่ที่เอาไปแลกเงินจริงได้พอสมควร....ก็สมเหตุสมผลดี เพราะการร่วมปาร์ตี้กับคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น / ไม่สนิทกัน มันส่งผลต่อระบบการต่อสู้มากเลยนะ ถ้าจังหวะไม่ตรงกันหรือมีใครทำอะไรพลาดไปจากแผนการ....ความบรรลัยอาจมาเยือนปาร์ตี้ได้



    ทีนี้ก็มาถึงฉากต่อสู้กับบอส ผมขอแจกแจงเป็นฉากๆละกันจะได้ใช้อ้างอิงได้

    (1) รวมพลด้วยเสียงแตร กองหน้าอยู่ตรงกลาง มีปีกซ้าย-ปีกขวาเป็นกองสนับสนุน กองหลังอยู่รั้งท้ายกับตัวล่อ
    (2) นักเวทโจมตีลูกน้องบอสด้วยเวทมนตร์
    (3) กองสนับสนุนล่อลูกน้องออกไปเพื่อเปิดทางตรงกลาง กองหน้าบุกเข้าไป
    (4) ลูกน้องถูกกำจัดไปเกือบหมด หน่วยสนับสนุนถอยออกมา
    (5) กองหลังเริ่มสนับสนุนกองหน้าด้วยเวทมนตร์ ตัวล่อมาประจำการที่ด้านหน้ากลุ่มสนับสนุน
    (6) โจมตีบอส
    (7) บอสเลือดเหลือ 0 จนระเบิดตัวเองเป็นคลื่นน้ำเหลือแต่แกนกลางขนาด 30 เซนติเมตร และกำลังฟื้นฟูตัวเอง น้ำที่ระเบิดออกมาจากร่างกายบอสกลายเป็นแมงกะพรุนตัวเล็ก 200 ตัว
    (8) ตัวล่อเข้าไปล่อลูกน้อง คนที่เหลือโจมตีแกนกลางด้วยการโจมตีระยะไกล ฟ้าเห็นสิ่งผิดปกติเลยให้ทิพย์กางเวทคุ้มกัน
    (9) แกนกลางระเบิดกลายเป็นไอเย็นแช่แข็งผู้เล่น ตามด้วยการโจมตีด้วยสายฟ้า
    (10) บอสกลายสภาพเป็นแมงกะพรุนขนาด 3 เมตรและโจมตีด้วยสายฟ้าจากหนวด
    (11) ทีมตัวล่อตาย นักรบหัวหน้ากลุ่มสั่งถอยทัพ กลุ่มนางเอกฝ่าวงล้อม
    (12) ปรากฏตัวละครใหม่ที่น่าจะเก่งมาก จบตอน


    ข้อมูลที่ขาดหายไปในแผนการครั้งนี้และผมคิดว่าสำคัญมากคือทั้ง 82 ชีวิตเนี่ย มีใครเล่นอาชีพอะไรบ้าง? แต่ละอาชีพมีกี่คน? แต่ละคนประจำการอยู่ตรงไหน? รู้แค่ว่าตัวล่อมี 12 คนแต่ก็ไม่ได้บอกอาชีพของตัวล่อไว้เลยว่าเป็นสายการ์เดี้ยนที่เลือดเยอะ - ถึกทน หรือมีอาชีพที่เน้นความเร็วเข้ามาผสมด้วย

    รายละเอียดอาชีพมีความสำคัญต่อการจัดสมดุลของปาร์ตี้ ตัวล่อ 12 คนถ้าจะไม่ให้ตัวล่อต้องรับหน้าที่หนักและเสี่ยงตายในดงมอนสเตอร์ก็ต้องมีฮีลเลอร์ประกบอย่างน้อย 1 ฮีลเลอร์ต่อตัวล่อ 1 – 2 คน เท่ากับฮีลเลอร์ทีมตัวล่อ 6 คน แล้วฮีลเลอร์ของกองหน้าก็ต้องแยกไปอีกกลุ่ม ถ้ากองหน้าที่ว่าคือกิลด์โกลด์อาร์มี่ 40 คนซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีหน้าที่เป็น DPS สายโจมตีทางกายภาพก็เท่ากับต้องมีฮีลเลอร์ขั้นต่ำ 20 คน

    ตัวล่อ(12) + ฮีลเลอร์ทีมตัวล่อ(6) + โกลด์อาร์มี่(40) + ฮีลเลอร์ของโกลด์อาร์มี่(20) = 78 คน จะทะลุ 82 อยู่รอมร่อแล้ว ไหนจะนักเวทมนตร์ นักธนู จากกิลด์อื่นหรือเป็นผู้เล่นอิสระ บวกกับกลุ่มของฟ้าอีก 5 คน นับยังไงก็น่าจะเกิน คนเขียนต้องแจกแจงจำนวนผู้เล่นในปาร์ตี้เพราะปาร์ตี้จะล่มหรือไม่ล่มเนี่ยวัดกันที่ฮีลเลอร์ครับ ฮีลเลอร์ทำหน้าทั้งฮีล / บัฟ / แก้ดีบัฟให้กับสมาชิกในปาร์ตี้ ฮีลเลอร์ 1 คนดูแลสมาชิกเยอะมากไม่ได้หรอกครับ ไหนจะเรื่องของดีเลย์สกิล เรื่องของปริมาณ MP ที่ต้องใช้ ข้อนี้อ้างอิงจากที่ตัวเองก็เล่นสายฮีลเลอร์มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าจะบอกว่าฮีลเลอร์มีน้อยได้เพราะฮีลเลอร์เลเวล 70 มีสกิลแบบให้ส่งผลกับผู้เล่นเป็นกลุ่มใหญ่หรือให้ผลทั้งปาร์ตี้เลยก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมไว้ด้วยครับ จำนวนสมาชิกจะได้ดูสมดุลและลงตัว


    ประเด็นที่สองเรื่องรูปแบบการโจมตีของบอส ถ้ากิลด์โกลด์อาร์มี่เคยมาเก็บข้อมูลกับบอสแล้วทำไมถึงไม่ทราบว่าบอสจะระเบิดไอเย็นในรอบสองแล้วโจมตีด้วยฟ้าผ่า? มีเหตุผลสำคัญอะไรที่กิลด์โกลด์อาร์มี่ต้องล่าถอยจากการต่อสู้ครั้งก่อนหน้าโดยที่จัดการบอสไม่ได้ แล้วต้องมาประกาศหาสมาชิกเพิ่ม?

    มันสำคัญนะครับ เพราะนั่นเท่ากับกิลด์โกลด์อาร์มี่กำลังปิดบังข้อมูลการระเบิดตัวเองครั้งที่ 2 ของบอสกับสมาชิกคนอื่น และถ้ารู้อยู่แล้วทำไมครั้งนี้ถึงไม่เตรียมการป้องกัน? ถ้าไม่รู้ว่าบอสมีท่านี้ทำไมครั้งที่แล้วถึงเก็บข้อมูลให้ครบ? อันนี้ผมขอพูดตรงๆเลยว่า “หละหลวม” นะครับ

    ที่สำคัญ ตายแล้วตายเลยไม่เหลือซากให้ชุบชีวิตเหรอครับ เกมนี้โหดร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?


    มาสู้กับมอนสเตอร์บอสแต่ “ประมาท” ให้พลังชีวิตเหลือน้อย ???? ผิดวิสัยมากๆครับ

    ฮีลเลอร์ทำไมถึงฮีลไม่ทัน? ถ้าฮีลเลอร์ฮีลไม่ทันทำไม่ฟื้นฟูพลังตัวเองด้วยโพชั่นหรือไอเท็มอื่น? แถมในการระเบิดครั้งแรกกองหลังก็ร่ายเวทมนตร์ป้องกันไว้ให้แล้วด้วย ผลของเวทมนตร์หมดเหรอครับ? จากการระเบิดตัวเองครั้งแรกจนเหลือแกนแค่ 30 เซ็นติเมตรจนถึงการระเบิดครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการปล่อยไอเย็นไม่น่าจะนานจนผลของเวทมนตร์สนับสนุนหมดนะครับ จะว่าป้องกันได้ครั้งเดียวก็แลดูจะเป็นเวทมนตร์ป้องกันระดับต่ำเกินไปที่จะใช้ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ระดับบอส


    ประเด็นที่สาม ตัวของฟ้าเอง ในช่วงที่บอสระเบิดตัวครั้งแรกจนเหลือแกนแค่ 30 เซนติเมตรแล้วฟ้ารับหน้าที่โจมตีบอสเพราะใช้ธนู ทำไมฟ้าถึงละสมาธิจากการโจมตีไปมองบนฟ้าได้? ตามธรรมชาติแล้วนักธนูที่เข้าจังหวะวัฏจักร “หยิบศร – พาดสาย – ง้างสาย – เล็ง – ยิง” สมาธิทั้งหมดอยู่ที่เป้านะครับ ไม่น่าจะละสายตาไปมองที่อื่นได้ ถ้าจะแจกบทให้ดีกว่านี้ลองให้คนที่เห็นเป็นคนอื่น เช่น อัคคีหรือพี่หมีใหญ่ที่กำลังว่าง เอกก็ได้ หรือถ้าจะให้ฟ้าเป็นตัวละครสายใช้ลางสังหรณ์ มีญาณพิเศษ ก็ต้องเขียนแนวๆว่า “มีอะไรบางอย่างภายในใจเตือนให้ฟ้าระวัง” แล้วเน้นย้ำไปว่าเพื่อนๆเองก็รู้ดีว่า 6th sense ของฟ้าเชื่อถือได้จึงทำตาม อะไรแบบนั้น

    และสำคัญมาก ทำไมถึงไม่บอกกับคนอื่น? นี่เท่ากับกลุ่มของฟ้ารอดได้เพราะความเห็นแก่ตัวของฟ้านะ ที่ปาร์ตี้นี้ “วิป” ก็เพราะฟ้าคนเดียวเลย วิป....มาจากวิปโยค เป็นศัพท์ของชาวเกม FF14 พฤติกรรมของฟ้าในฐานะนักเล่นเกมนี่ผมรับไม่ได้และถือว่าฉากนี้เขียนไม่ดีเลย


    ประเด็นที่สี่ คนที่ขาดไปอีกคนในปาร์ตี้นี้คือ “คนออกคำสั่ง” หรือ “คนประสานงานระหว่างกลุ่ม” ปาร์ตี้ 82 คนไม่มีคนที่ทำหน้าที่เป็นคนกำหนดแผน เป็นขงเบ้งคอยโบกพัดเลยเหรอครับ เห็นบอกว่ามีเสียงแตรแสดงว่ามีคนทำหน้าที่เป่าแตรแต่นอกนั้นก็ไม่เห็นทำอะไรอีก นักรบสวมเกราะที่เป็นคนนำการประชุมและดูเหมือจะเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ก็ไม่เห็นออกคำสั่งอะไรเลยนอกจากสั่งถอนตอนโดนบอสยิงสายฟ้าใส่ แถมบุคลิกยังปอดลอยมากๆ กลัวว่าถ้าสมาชิกในกิลด์ตายเยอะแล้วหัวหน้ากิลด์จะต่อว่าและลงโทษ

    นี่มาตีบอสนะครับ ความเสี่ยงในการตายมันมีสูงอยู่แล้วแถมทุกคนเองก่อนจะมาถึงเลเวล 70 และมาตีบอสครั้งนี้ก็ต้องเคยตายระหว่างเก็บเลเวลมาแล้วทั้งนั้น สถานการณ์ตอนนั้นบอสเองก็เลือดเหลือไม่น่าจะมากแล้ว สั่งการให้ดีแล้วลุยเข้าไปอีกอึดใจเดียวก็จะจบอยู่แล้ว ต่อให้แพ้แต่ถ้ายืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายเพียงตัวคนเดียว ไม่มีหัวหน้ากิลด์คนไหนลงโทษหรอกครับ ต้องชื่นชมและให้กำลังใจเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นการกำหนดบุคลิกตัวละครที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย


    และสำหรับผม....สาเหตุหนึ่งที่ปาร์ตี้ “วิป” ก็เพราะฟ้าส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คือตัวล่อ

    ตัวล่อ 12 คนกับแมงกะพรุนตัวน้อยร่วม 200 ตัว ตีเป็นตัวเลขกลมๆง่ายๆก็เท่ากับ 1 คนต้องฆ่าศัตรู 20 ตัว แต่อันที่เป็นจุดผิดพลาดในการเขียนฉากนี้คือ....ทำไมถึงเน้นถ่วงเวลาแต่ไม่จัดการฆ่าไปเลยจะได้มาสมทบกับกองหน้า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเล่นเจ้าล่อเอาเถิดโดยไม่รีบฆ่าลูกน้องบอส ทีมฮีลเลอร์ส่วนตัวแบบที่อธิบายไปก็ไม่รู้มีรึเปล่า ปล่อยพวกเขาสู้ตามยถากรรมแบบนี้ยังไงก็ตายอนาถครับ คนเขียนยังบอกเองเลยว่า [ต่อให้คนที่ทำหน้าที่ตัวล่อมีเลเวล 70ก็ยังถือว่าเสี่ยงที่จะเกมโอเวอร์ได้ง่ายๆถ้าต้องถูกมอนสเตอร์จำนวนรุมโจมตีพร้อมๆกัน ]


    ประเด็นที่ห้าและเป็นประเด็นค้างคาในของผมมากที่สุดในการต่อสู้กับบอสแมงกะพรุนตัวนี้คือลำดับการต่อสู้ใน 2 ฉากนี้


    (7) บอสเลือดเหลือ 0 จนระเบิดตัวเองเป็นคลื่นน้ำเหลือแต่แกนกลางขนาด 30 เซนติเมตร และกำลังฟื้นฟูตัวเอง น้ำที่ระเบิดออกมาจากร่างกายบอสกลายเป็นแมงกะพรุนตัวเล็ก 200 ตัว และ (8) ตัวล่อเข้าไปล่อลูกน้อง คนที่เหลือโจมตีแกนกลางด้วยการโจมตีระยะไกล ฟ้าเห็นสิ่งผิดปกติเลยให้ทิพย์กางเวทคุ้มกัน


    บอสเลือดเหลือ 0 และกำลังฟื้นฟู มีลูกน้อง 200 ตัวป้องกันอยู่รอบๆ ทำไมถึงไม่ให้นักเวทมนตร์โจมตีด้วยเวทมนตร์โจมตีหมู่แบบ AOE - Area Of Effect ไปเลยครับ? ล้างฉากเลย แถมคนเขียนยังบอกว่ากิลด์โกลด์อาร์มี่รู้ว่าบอสจะระเบิดตัวเองเพราะเก็บข้อมูลมาแล้ว ตอนประชุมก็ต้องบอกสมาชิกในปาร์ตี้ถึงข้อนี้ ทุกคนเองก็ต้องรู้เพราะมีเอกสารแจก ทำไมนักเวทมนตร์ถึงไม่ร่ายเวทมนตร์รอสวนกลับไป ฆ่าทั้งลูกน้องทั้งบอสไปเลย ต่อให้ฆ่าลูกน้องไม่หมดก็ไม่ต้องสนใจแล้ว เอาคนที่โจมตีหนักที่สุดชุดหนึ่งลุยเข้าไปฟาดบอสก็ปิดฉากการต่อสู้ได้ ถ้าบอสในสภาวะนี้ป้องกันเวทมนตร์ได้เลยต้องล่อลูกน้องและโจมตีทางกายภาพต้องอธิบาย เพราะต่อจากนี้คือการระเบิดปล่อยไอเย็น ถ้าคราวที่แล้วพลาดเพราะเหตุนี้ตามสมมติฐานด้านบนที่เขียนไว้ เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเพราะกำจัดบอสได้แล้วด้วยเวทมนตร์ล้างฉาก

    ตรงนี้เป็นจุดที่ไม่สมเหตุสมผลที่เสนอให้ลองปรับแก้การต่อสู้ดูครับ


    ประเด็นที่หก อาจเป็นประเด็นที่ผมคิดว่าผิดพลาดมากที่สุดด้วย

    ตรรกะนี้ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดเลยในความคิดของผม ต่อให้อาหารนั้นรสชาติห่วยแตกยิ่งกว่าน้ำคั้นผักของอินูอิ ใน Prince of Tennis แต่ถ้ามันมีสรรพคุณเพิ่ม status และความสามารถมหาศาล ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยผู้เล่นก็ต้องกินครับ นี่คือไอเท็มเพิ่มสเตตัสระหว่างการต่อสู้และยิ่งถ้าเป็นการต่อสู้กับบอสด้วยแล้ว ต่อให้เป็นโพชั่นฟื้นพลังแต่รสชาติเหมือนนมบูดก็ต้องกระเดือกมันลงไปให้ได้ มันคือสิ่งที่รับประกันความอยู่รอดของคุณ คุณจะไม่ดื่มมันเหรอ?

    คนเขียนเองก็เคยเล่นเกมมาก็น่าจะเยอะอยู่ ผมขอยกตัวอย่างเรื่องอุปกรณ์สวมใส่ละกัน ถ้ามีอุปกรณ์ที่ให้ผลดีอย่างมากแต่หน้าตาไม่สวยไม่น่าใส่ ใส่แล้วตัวละครดูน่าเกลียดแต่มันช่วยให้รอดตายหรือช่วยให้ผ่านภารกิจได้จะใส่ไหมครับ? เหตุผลเดียวกันกับเรื่องของรสชาติอาหารเพิ่ม status เลย




    สำหรับเรื่องนี้ที่ต้องอ่านถึง 3 รอบเพื่อทำความเข้าใจและคิดทบทวนสิ่งที่อยู่ภายในเนื้อหา 2 ตอน + บทนำแล้วผมคิดว่าจุดหลักๆที่ต้องปรับปรุงมันมีเยอะมาก มากเสียจนต้องคอมเมนต์ยาวเหยียดแบบนี้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่กับคนเขียนครับ อาจจะมองข้ามคอมเมนต์นี้ไปแล้วเขียนต่อตามเดิมก็เป็นสิทธิ์เต็มของคนเขียน แต่สิ่งที่เขียนไปทั้งหมดคือสิ่งที่คิดว่าคนเขียนน่าจะทำได้ดีกว่านี้ น่าจะอธิบายอะไรๆหลายๆอย่างได้เยอะกว่านี้เพื่อทำให้เรื่องราวสมเหตุสมผลมากขึ้น



    ด้วยจิตคารวะ

    Azemag A.C. McDowells
    Aki ถูกใจสิ่งนี้
  8. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    อูอา ขอตัวอ่านแป้ป

    edit - รู้สึกว่าข้อมูลหลายๆอย่างไม่ปะติดปะต่อกัน เวลาจิ้นตามเลยสะดุดตกบันไดหัวทิ่ม
    เหมือนดูหนังด้วยแผ่นซีดีที่มีรอยขูดขีดอ่า
    Last edited: 19 กุมภาพันธ์ 2015
  9. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ได้จุดที่ต้องแก้เยอะเลยแฮะยังดีที่แต่งมาแค่สองตอนก่อน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ >_<

    ส่วนที่ถามๆไว้มีบางส่วนที่พอแต่งๆไปข้อมูลอยู่ในหัวแล้วเกิดแก้จนไม่ทันสังเกตเองก็มี (อย่างเช่นเรื่องอาวุธของอัคคี จริงๆก็ทำมาเป็นตัวละครที่จะถนัดอาวุธหลายๆแบบนั่นล่ะ ที่ยังไม่กะจะให้โชว์ออกมาตอนแรกๆแต่ตอนเขียนแก้บางท่อนแล้วลืมสังเกตแก้เรื่องอาวุธไปด้วย) ที่ดันไม่ได้นึกถึงเลยก็มี (อย่างเรื่องที่ว่าทำไมไม่ใช้สกิล AoE โจมตีพวกลูกน้องบอส) แล้วก็มีหลายๆอันที่ละไว้ไม่ได้พูดถึงเพราะความบกพร่องด้านการแต่งเองก็มี (อย่างพื้นที่ต่อสู้ บทของตัวละครประกอบอย่างพวกโกลด์อาร์มี่)

    แต่รวมๆแล้วคงต้องมานั่งแจกแจงรายละเอียดแล้วแต่งใหม่ตั้งกะพล๊อตแรกสุดเลยแฮะอันนี้ เดี๋ยวหลังจากนี้อาจจะขอรบกวนเรื่องปรึกษาเรื่องพล๊อตหน่อยนะฮะ

    ส่วนเรื่องระบบบอส ที่ตั้งใจไว้คือแบบสุ่มนี่คือ ทั้งสถานที่, เวลา, ชนิด/ประเภท/สกิลของบอส ที่ออกมาจะไม่แน่นอนทุกอย่างเลยเหมือนมาสู้กับมอนที่ไม่เคยมีข้อมูลสู้มาเลยนั่นล่ะครับ แต่ยังเขียนอธิบายได้ไม่ชัดเจนพอสินะอันนี้ (ส่วนโกลด์อาร์มี่สาเหตุที่ไม่รู้เพราะว่าตอนมาตีทดสอบนี่แค่จัดการบอสได้จนเหลือคอร์แต่ตีต่อจากนั้นไม่สำเร็จ)

    เรื่องอาหารนี่ส่วนตัวคิดว่าถ้ามันมีไอเท็มอาหารขายเหมือนกัน มีคนฝึกทักษะระดับสูงพอกันคนก็น่าจะเลือกซื้อที่รสชาติดีกว่า แต่ดูๆแล้วก็แต่งบกพร่องไม่ได้พูดถึงในแง่สินค้าประเภทอาหารในตลาดกับความต้องการด้วยนี่ล่ะนะเป็นอีกอันที่แต่งตกๆหล่นๆเอาเรื่อง
    Last edited: 22 กุมภาพันธ์ 2015

Share This Page