Elterfia School โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 7

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย joi100, 26 กรกฎาคม 2012.

  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    สั้นๆง่ายๆ...................ซวยแท้ๆ
    เดาว่าต่อจากนี้พวกปีสาม + เจ๊กรรมการนักเรียนจะคอยปั่นหัวไอ้พวกนี้ แล้วความพินาศฉิบหายก็จะบังเกิด
  2. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    เป็นคนพรูฟให้ เลยได้อ่านแล้ววววว

    แต่ก็ตามมาเม้นท์แบบเกรียน ๆ ว่า

    มาต่อเถอะ!!!

    แก๊งนี้มันเกรียนได้ใจยังกับชีวิตจริง!!!


    ไม่น่าเล้ยยยย ต้องบอกว่า...

    ว้าววว คนสติไม่ดีสี่คนมารวมกัน แย่ ๆ :E
  3. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ดีนะ ฮิโยโกะมาจัดการซะก่อน ไม่งั้นเกิดแผ่นดินไหวในโรงเรียนแหง

    ว่าแต่ มันมาจากไหนหว่า หรือแค่มาหาที่นอนสงบๆ ???

    ปล.ที่มาเรียนนี่ คงไม่ใด้มาเรียนการต่อสู้ใช่ไหม เหมือนมาหาประสพการณ์มากกว่า
  4. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    อยากจะกู่ก้องบ้าง "นั้นลูกเจี้ยบแน่เหรอว่ะ !!!!"
  5. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ห้องรับแขกกับอีตานักเดินทาง

    ตอนหกยังคงมาดึกๆแบบงงๆไม่เลิก

  6. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ElterfiaSchool โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 6







    ในหอประชุมใหญ่ นักเรียนชั้นปีสามซึ่งเป็นชั้นปีสูงสุดต่างยืนเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรอรับโอวาทจากท่านผู้อำนวยการอัลฟรีดในพิธีปฐมนิเทศก่อนเปิดภาคเรียนใหม่

    แต่ ถึงจะเรียกว่าชั้นปีสามหลายคนได้ใช้เวลามากกว่าสามปีถึงจะเลื่อนมาอยู่ใน ชั้นปีสูงสุด นั่นหมายความว่าจากปีหนึ่งถึงปีสามต้องใช้เวลาเรียนไม่ต่ำกว่าห้าปี

    ตอน นี้นักเรียนในห้องประชุมทั้งหมดใส่ชุดสีขาวเพราะนักเรียนทุกคนเมื่อเลื่อน ชั้นจากปีสองจะต้องเข้าเป็นกรรมการนักเรียนทั้งสามฝ่ายตามความถนัด

    “ฝ่ายวินัย” มีสัญลักษณ์เป็นเข็มกลัดที่ปกคอรูปวิหคกำลังกางปีก มีหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในโรงเรียนและทำในภารกิจต่างๆภายนอกโรงเรียนซึ่งต้องใช้ผู้ที่มีฝีมือ กรรมการนักเรียนฝ่ายนี้ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มีฝีมือในการต่อสู้อยู่ในระดับสูง โดยมี “หนึ่งเคียว” เชลลี ไอแซค เป็นหัวหน้าซึ่งตอนนี้เขายืนอยู่หน้าสุดของแถว

    “ฝ่ายวิชาการ” มีสัญลักษณ์เป็นเข็มกลัดที่ปกคอเป็นรูปมังกรยืนหุบปีก มีหน้าที่ดูแลการสอบและเนื้อหาการเรียนการสอน เป็นวิทยากรฝึกสอนในด้านต่างๆแก่นักเรียนชั้นปีหนึ่งและปีสองรวมถึงบุคคลภายนอกโรงเรียนที่ได้ส่งคำขอร้องเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนมีความสามารถเฉพาะทางในระดับสูงและพร้อมที่จะถ่ายทอดไปยังผู้อื่น โดยมี “ราชินีแห่งรัตติกาล” นอร์ริมอร์ ทาเลวิย่า เป็นหัวหน้าซึ่งตอนนี้เธอก็ยืนอยู่หน้าสุดของแถวเช่นกัน

    “ฝ่ายกิจกรรม” มีสัญลักษณ์เป็นเข็มกลัดที่ปกคอเป็นรูปราชสีห์หมอบ หน้าที่หลักๆคือประสานงานกิจกรรมต่างๆไม่ว่าการเรียนการสอนหรือภารกิจทั้งที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนแห่งนี้และภายนอก กรรมการนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนที่มีความสามารถไม่เด่นด้านใดด้านหนึ่ง แต่มีความคล่องตัวในด้านการเจรจา จัดเตรียมสิ่งของสถานที่และติดต่อกับผู้อื่นทั้งในและนอกโรงเรียน โดยมี “เทพธิดาแห่งคันศร” ราเคล เอลรอน เป็นหัวหน้า ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่หน้าแถวเช่นหัวหน้าอีกสองคนแต่กำลังดูแลการจัดเตรียมเวทีรวมไปถึงความเรียบร้อยต่างๆภายในหอประชุมกับกรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรมอีกราวๆสิบคน

    หลังจากมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย ราเคลและกรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรมก็กลับมาประจำตำแหน่งของตนภายในแถวเพื่อรอคณาจารย์และท่านผู้อำนวยการมายังที่ประชุม


    ทุกคนต่างพูดคุยกันเพื่อฆ่าเวลา หนึ่งในเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจเป็นอย่างมากก็คือนักเรียนใหม่สี่คนที่สอบผ่านจากห้องทดสอบที่ใครๆก็เรียกว่า ‘นรก’ และถูกทดสอบจากท่านผู้อำนวยการโดยตรง นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า ‘ภาคีอัศวินโลหิต’ ยี่สิบตัวที่ท่านผู้อำนวยการเรียกออกมาเพื่อทดสอบถูกจัดการได้อย่างสบายๆโดยนักเรียนใหม่กลุ่มนั้นซะด้วย

    เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่ออาจารย์ทยอยเดินเข้ามาในห้องประชุมรวมถึงท่านผู้อำนวยการอัลฟรีด


    และแล้วการประชุมเหล่านักเรียนปีสามก็เริ่มขึ้นหลังจากการให้โอวาทจากท่านผู้อำนวยการ ตามด้วยการแนะนำตัวอาจารย์ที่จะสอนวิชาต่างๆให้แก่นักเรียนชั้นปีสามซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิษย์เก่าของที่นี่เกือบทั้งหมด

    ตอนนี้ด้านนอกหอประชุม เด็กหนุ่มสี่คนกำลังแอบมองสถานการณ์ด้านในจากหน้าต่างบานหนึ่ง

    “ชิบหายแล้ว!! เขาประชุมกันจะเสร็จอยู่แล้วแถมแต่ละคนใส่ชุดขาวทั้งนั้นเลย” เอเซที่ตอนนี้กำลังแบกเขาของมังกรมรกตทั้งสองข้างพาดไว้บนบ่าหันมาปรึกษาเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสามคน

    “เป็นไงล่ะฮะ มัวแต่ไปแล่หนังแยกส่วนมังกรเลยมาสายเลย แต่ถึงมาเร็วแต่ใส่ชุดดำของปีหนึ่งเข้าไปแบบนี้มันก็ตกเป็นเป้าสายตาอยู่ดีล่ะน๊า” อากิรอสเอ่ยพลางโคลงหัวช้าๆด้วยน้ำเสียงน่าหมันไส้

    “แต่อย่างน้อยเราก็มาทันฟังท่านผู้อำนวยการให้โอวาทกับแนะนำตัวอาจารย์ล่ะนะ” กุห์ฟานที่ตอนนี้แบกห่อผ้าขนาดใหญ่สีตุ่นๆไว้บนบ่าเอ่ยออกมาพลางพยายามตั้งใจฟังการแนะนำตัวของอาจารย์

    “งั้นก็พอที่จะโมเมว่าเราเข้าร่วมประชุมตามคำสั่งท่านผู้อำนวยการได้สินะขอรับ” ทากะที่นั่งอยู่บนหางมังกรขนาดใหญ่ที่เขาเดินแบกมาจากหอสมุดเอ่ยออกมาเนิบๆ

    “ปิโย ปิโย” เสียงอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยดังมาจากข้างๆพวกเขาทำเอาทั้งที่สะดุ้งเฮือก เมื่อเหลือบไปยังต้นเสียงก็พบลูกเจี๊ยบคนคุมหอของเขาที่ชื่อ “ฮิโยโกะ” ยืนตาขวางอยู่ข้างๆ

    ทั้งสี่คนเหงื่อแตกพลั่กมองหน้ากันเลิกลั่ก แต่ก่อนที่จะมีใครลงไปนอนกับพื้นเพราะลูกเจี๊ยบคุมหอขี้โมโห ทากะก็หยิบขนมปังที่ซื้อมาจากโรงอาหารแล้วบิครึ่งหนึ่งวางตรงหน้าฮิโยโกะ


    “อร่อยนะขอรับ”

    ลูกเจี๊ยบขี้โมโหตรงหน้าจิกขนมปังกินอย่างอารมณ์ดีทันที กุห์ฟานลองหยิบขนมเค้กแบบไม่มีครีมที่เขาซื้อมาจากโรงอาหารวางให้ลูกเจี๊ยบตรงหน้าเขาบ้าง เอเซเอาขนมปังกรอบวางให้ ส่วนอากิรอสมีลูกอม

    ทั้งสี่คนนั่งดูลูกเจี๊ยบคนคุมหอของพวกเขาจัดการกับของบรรณาการ หลังจากกินเสร็จฮิโยโกะดูจะอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็นกระโดดขึ้นมาอยู่บนไหล่ของทากะอย่างสนิทสนม

    “เข้าท่าๆ ลูกเจี๊ยบกับเหยี่ยวฝึกหัด” เอเซมองภาพตรงหน้าแล้วพยักหน้าหงึกๆ ทำเอาอีกสองคนที่ได้เห็นภาพนี้อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

    “ถ้าจะขยายความซักนิดก็คือลูกเจี๊ยบที่เตะมังกรตายกับเหยี่ยวฝึกหัดที่ตัดมังกรเป็นชิ้นๆภายในไม่กี่ดาบ มันเกินคำว่าเข้าท่าไปเยอะเลยนะฮะ” อากิรอสโยนลูกอมให้กุห์ฟานที่แบมืออยู่ตรงหน้าเขา

    “เอาล่ะแนะนำตัวอาจารย์เสร็จแล้วกำลังจะเลิกประชุมคงไม่มีอะไรแล้วมั๊ง” กุห์ฟานที่ยืนเงี่ยหูฟังภายในหอประชุมแกะลูกอมที่ได้รับจากจอมเวทผมเทาซึ่งทุกคนก็ชะโงกมาดูที่หน้าต่างอย่างสนใจ

    ภายในหอประชุมหลังจากแนะนำตัวอาจารย์เสร็จท่านผู้อำนวยการอัลฟรีดได้ขึ้นมายืนบนเวทีอีกครั้ง


    “นักเรียนปีสามหลายๆคนคงรู้แล้วว่าปีนี้เรามีนักเรียนใหม่สอบผ่านเข้ามาเป็นรุ่นน้องของพวกเรา แต่มีอยู่สี่คนที่ตัวข้าและคณาอาจารย์ได้ทำการอนุมัติเป็นกรณีพิเศษให้เลื่อนชั้นขึ้นมาเรียนปีสาม” แล้วผู้อำนวยการของโรงเรียนแห่งนี้ก็ชี้ไปยังหน้าต่างที่ทั้งสี่คนกำลังชะโงกหัวมาแอบดูอยู่


    “เอเซ แมคโดเวล จากรีเวเรีย”

    “อากิรอส คีฟ จากริมุเน่”

    “กุห์ฟาน ริยาส จากเวลเจ”

    “ซารุวาตาริ ทากะ จากอุเอรุโตะ”



    “พวกเจ้าทั้งสี่คนเข้ามาในหอประชุมเดี๋ยวนี้” เสียงเรียบๆแต่เฉียบขาดเต็มไปอำนาจของผู้อำนวยการอัลฟรีดผิดจากที่พวกเขาเคยได้ยิน ซึ่งหมายความว่าถ้าพวกเขาตุกติกไม่เข้าไปละก็มีหวังเรื่องยาวแน่ๆ

    เด็กหนุ่มทั้งสี่ที่ถูกเรียกชื่อมองหน้ากันเองพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

    เอเซสะพายดาบเคลย์มอร์ของตนแล้วแบกเขามังกรขึ้นบ่า เดินเข้าหอประชุมเป็นคนแรกตามรายชื่อที่ถูกเรียก

    อากิรอส แกะลูกอมโยนเข้าปากอีกเม็ดแล้วเดินตามเข้าไปเป็นคนที่สอง

    กุห์ฟานแบกห่อผ้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเกล็ดมังกรเท่าที่เขาพอจะแบกไหวรวมไปถึงเขี้ยวมังกรอีกสี่ข้าง

    ทากะเป็นคนสุดท้ายที่เดินลากหางมังกรที่ขนาดพอๆกับซุงท่อนใหญ่ระดับสองคนโอบตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย

    ทั้งสี่แปลกตากว่านักเรียนปีสามคนอื่นทั้งชุดที่ใส่ การปรากฏตัวที่ช้ากว่าคนอื่น และซากของมังกรมรกตที่ถูกแยกส่วนอย่างประณีต ทั้งสี่คนได้แต่ยืนตีหน้ามึนเพราะตกเป็นเป้าสายตาของนักเรียนปีสามเกือบร้อยคน เสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วทั้งหอประชุม มีแค่หัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนทั้งสามคนและเหล่าอาจารย์ที่อยู่ในอาการปกติ

    “ดิฉันยอมรับการตัดสินครั้งนี้ไม่ได้ค่ะ”

    เสียงของสาวน้อยคนหนึ่งดังขึ้น เธอเดินออกจากแถวมาเผชิญหน้าพวกเขาทั้งสี่ที่ รูปร่างของเธอเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก ผมหยักศกยาวถึงกลางหลังสีขาวราวไข่มุก ดวงตากลมโตสีแดงสดราวกับไฟ ใบหน้ารูปไข่ ผีวสีแทนเข้ม หน้าตาคมคาย ริมฝีปากบาง คิ้วโก่ง จมูกโด่งเป็นสัน มีลักยิ้มเล็กข้างแก้ม

    ชุดนักเรียนสีขาวของเธอนอกจากเข็มกลัดรูปวิหคที่กลัดอยู่ตรงปกเสื้อยังมีผ้าพันคอฟ้าเฉกเช่นท้องฟ้าที่แจ่มใสพันไว้อย่างสวยงามลงตัวทำให้ดูสะดุดตาจากคนอื่น

    อากิรอสที่ไม่ได้หอบอะไรเหมือนเพื่อนร่วมหอของเขาอีกสามคนยิ้มละไมเดินล้ำออกมาด้านหน้า สำหรับคนที่เรียนและเติบโตมามาจากริมุเน่ย่อมรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าคือใคร

    “พวกเราทั้งสี่คนต่างเป็นเพียงเด็กฝึกหัด แต่เมื่อได้รับความเชื่อถือจากท่านผู้อำนวยการและคณาจารย์ที่ให้ขึ้นมาเรียนยังชั้นปีสามของโรงเรียนอันทรงเกียรติแห่งนี้ อย่างน้อยขอให้พวกเราได้พิสูจน์ได้หรือไม่? รองหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายวินัย องค์หญิงเอรันดา วิเลนเซีย บุตรีแห่งเจ้าเมืองริมุเน่ ผู้ครอบครองฉายา ‘เจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง’ อันเป็นที่ล่ำลือไปทั่วแคว้นถึงความสวยงาม ความเก่งกาจในด้านเวทมนต์และน้ำใจอันกว้างขวาง”

    “หวังว่านักเวทชั้นสองอย่างอากิรอส คีฟผู้นี้จะได้รับน้ำใจอันกว้างขวางจากท่านหญิงเอรันดาเฉกเช่นผู้อื่น”


    อากิรอส คีฟเอ่ยเสียงนุ่มแต่ดังพอที่ทุกคนจะได้ยินพร้อมเอามือแนบอกก้มหัวทำความเคารพสาวน้อยตรงหน้าอย่างนอบน้อม แต่คงไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของปีศาจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของจอมเวทย์ผมเทา นอกจากเด็กสาวตรงหน้าที่บัดนี้ยืนคอแข็งเพราะถูกลูบคมซึ่งๆหน้าจากคนที่เรียกขานตัวเองว่า ‘จอมเวทชั้นสอง’

    ข้างๆเธอมีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ด้วย ผมยาวตรงประบ่าสีดำสนิท ใบหน้าสวยดุจเทพธิดาแต่ดวงตาสีไพลินคู่นั้นกลับเย็นชาราวกับจะแช่แข็งผู้ที่ได้สบตา ดาบที่เหน็บอยู่กับโล่ขนาดใหญ่สีน้ำเงินสดขลิบลายสีทองเป็นรูปปีกนางฟ้าในมือของเธอคือสิ่งแสนจะสะดุดตานักดาบผู้เป็นหลายชายของวิหคสายฟ้า


    เอเซ แมคโดเวลวางเขามังกรในมือแล้วเดินออกมายืนข้างๆอากิรอส คีฟ

    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องไปยังดวงตาอันแสนเย็นชาคู่นั้นอย่างแน่วแน่ไม่หวาดหวั่น รอยยิ้มราวกับเด็กน้อยที่ได้เห็นของเล่นที่แสนตื่นตาตื่นใจปรากฏบนใบหน้าของผู้สืบทอดฉายา ‘วิหคสายฟ้า’ เขาไม่รู้จักแม่สาวอัศวินคนนี้ แต่ดาบโล่คู่นั้นเขารู้จักมันดี


    ดาบแห่งแสงเอ็กคาริเบอร์และโล่ปีกนางฟ้าแองเจอลิคชิล อาวุธในตำนานที่เขาเคยเห็นแค่รูปและฟังคำบอกเล่าจากปู่เท่านั้น

    “ร่ำลือกันว่าข้างกายขององค์หญิงเอรันด้านั้นถูกพิทักษ์ด้วยยอดอัศวินอย่าง ‘วัลคีรี่แห่งดาบ’ คิริชินู เอลรอนเซ่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบนะครับ”

    อากิรอสก้มหัวอย่างนอบน้อมอีกครั้ง นักเวทผมเทาเลือกที่จะเป็นฝ่ายพูดเองเพราะการแสดงออกที่ผิดปกติของนักดาบผมน้ำตาลผู้โผงผางตรงไปตรงมา ถึงจะเพิ่งรู้จักกันแต่คงไม่ดีแน่ๆถ้าปล่อยให้เจ้านักดาบใจร้อนเป็นฝ่ายเดินหมากบนกระดานเอง

    เอเซเหลือบมองเพื่อนร่วมหอที่ห้ามทัพเขากลายๆแล้วกระซิบรอดไรฟันออกมา “สนุกคนเดียวไม่แบ่ง ข้าจะป่วนให้มันวอดวายเลยคอยดู”

    อากิรอสบตากลับขณะเงยหน้าจากการก้มคำนับ แล้วขยิบตาให้เล็กน้อย

    “เอาล่ะครับ ทุกท่านในที่นี้ต้องการจะให้พวกผมพิสูจน์อย่างไรถึงจะหายข้องใจในคำตัดสินของท่านผู้อำนวยการและเหล่าคณาจารย์ หากการพิสูจน์คือการประลองกับจอมเวทย์อันดับหนึ่งของแผ่นดินอย่าง ‘เจ้าหญิงแห่งแสงสว่าง’ จอมเวทชั้นสองอย่างกระผมก็พร้อมจะกระทำตามพระประสงค์ขององค์หญิง”


    อากิรอสยังคงเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลแต่ดังกังวาน คราวนี้ใบหน้าของจอมเวทหนุ่มผมเทากลับเรียบเฉยมีเพียงดวงตาที่แน่วแน่อันจับจ้องร่างของสาวน้อยผมสีไข่มุกตรงหน้า

    แม้จะเป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลนอบน้อมแค่ไหนแต่ใจความความของประโยครวมไปถึงแววตาของคนพูดมันหมายถึงการสู้ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว บรรยากาศทั้งหอประชุมตึงเครียดขึ้นในพริบตา


    เอเซปลดดาบที่สะพายหลังอยู่เอามาปักลงตรงหน้าของตนแล้วเอามือสองข้างกุมประสานบนด้ามดาบ กุห์ฟานเองก็ปลดห่อผ้าขนาดใหญ่บนไหล่ของตนกระชับมีดสั้นที่ขัดหลังอยู่แล้วเดินมายืนข้างอากิรอสอีกฝั่ง ทากะเป็นคนสุดท้ายที่เดินมาเป็นคนสุดท้ายพร้อมๆกับปลดดาบที่เหน็บออกจากเอว มาถือไว้ในมือซ้าย แล้วมายืนอยู่ข้างๆเอเซ

    กริยาของทั้งสี่คนในเวลานี้ ถึงจะเป็นเป็นเด็กไม่ประสีประสาก็รู้ว่าทั้งสี่คนพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร

    ภายในหอประชุมตึงเครียดสุดๆจนไม่มีใครพูดหรือขยับตัวไม่เว้นแม้กระทั่งองค์หญิงเอรันดาเอง ส่วนอัศวินข้างกายของเธอในเวลานี้ก็อยู่ในภาวะเดียวกับทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคือพร้อมที่จะลงมือทุกวินาที

    ภายใต้ความกดดัน มีสามคนเดินมาจากหัวแถวมายืนขวางหน้าองค์หญิงผมสีไข่มุกและอัศวินข้างกาย จะเป็นใครไม่ได้นอกจากหัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนทั้งสาม ‘เชลลี ไอแซค’‘นอร์ริมอร์ ทาเลวิย่า’‘ราเคล เอลรอน’

    เอลฟ์หนุ่มขยับแว่นตาเล็กน้อย “เป็นการแนะนำตัวที่ประทับใจมาก เอาล่ะการประชุมคงจบลงตรงนี้ คุณเอรันดาคำสั่งของท่านผู้อำนวยการถือเป็นที่สิ้นสุดแล้วนะครับผมขอให้เลิกรากันแค่นี้ หรือคุณเองไม่เชื่อในวิจารณญาณของท่านผู้อำนวยการและเหล่าคณาจารย์” ท้ายประโยคเชลลีหันไปเอ่ยกับสาวน้อยผมสีไข่มุกด้วยสายตาคมกริบ ทำเอาเธอได้แต่มองหน้าอากิรอสอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วเดินกลับเข้าไปในแถว

    “สิ่งที่คนพวกนี้แบกมาคือซากของมังกรมรกตในภารกิจระดับแปด ดิฉันและราเคลเป็นคนมอบหมายและเฝ้าดูระหว่างทำภารกิจ คงพอจะเป็นข้อพิสูจน์เบื้องต้นให้แก่ทุกคนได้แล้วนะคะ” ปีศาจสาวผมบ๊อบหันไปพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงและท่าทางดุจจักรพรรดินีตามฉายาของเธอ ทำเอาทั้งสี่คนถึงกับเข้าใจในที่มาของฉายาเลยทีเดียว

    ก่อนที่ใครจะเอ่ยขัดปีศาจสาวที่กำลังชี้แจงกับทุกคนในหอประชุม ราเคลขยิบตาให้ทั้งสี่คนคนราวกับว่าตามน้ำไปก่อน ทั้งหมดพยักหน้าหงึกๆตอบรับเอลฟ์สาวแล้วกลับไปตีหน้ามึนทำตัวสบายๆต่อทันทีราวกับท่าทางอันองอาจเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

    เวลาเดียวกันบนเวทีผู้อำนวยการอัลฟรีดยิ้มออกมาอย่างพอใจ พูดกับตนเองเบาๆ “สมเป็นผู้สืบทอดของเจ้าพวกนั้นจริงๆ”
  7. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อ้าว ข้ามจบภารกิจไปซธเรียบร้อยเลยงั้นเหรอเนี่ย

    แต่ตอนนี้อ่านไปเบลอๆไปเพราะชื่อกับฉายากับชื่ออะไรหลายๆอย่างมันโผล่มาเยอะเกินจนไม่ค่อยจะเก็ตเท่าไหร่ >_<"
  8. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ราชินีแห่งรัตติกาล ทำไมถึงเป็นจักรพรรดินีไปใด้นะหรือมันคล้ายๆกัน
    แล้วทำไมผมถึงจิ้นเป็นโมริแกนภาคSMหว่า

    โฮะ โฮะ โฮะ เพียะๆๆ วัลคิรี่ เทิร์น!
  9. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    โหดจริงๆ ไม่รู้จะบรรยายอะไรนอกจากคำว่าเนื้อหาใหม่ๆที่ไม่ค่อยได้อ่านจากที่อื่นเพราะนอกลู่นอกทาง ฮ่าๆๆๆ แต่อ่านแล้วสะใจกับการ ลูบคมรุ่นพี่ของทั่งสี่ซะเหลือเกิน อีกหน่อยถ้าเจออะไรโหดๆสงสัยจะมีท่าประสานสี่คน ตูมตาม ฮาๆๆๆๆ รออยู่เหมือนเดิมนะพี่

    ช่วงนี้ต้อง มาจองๆๆๆๆๆๆสินะ
  10. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    ห้องรับแขกกับอีตานักเดินทาง

    ตอนเจ็ดดองกันข้ามปีจากฮาโลวีน ลงมันเอาจะวันเด็กอยู่แล้วฮ่าๆ

  11. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Elterfia School โรงเรียนเฮี้ยนนักเรียนแสบ บทที่ 7

    กว่าทั้งสี่จะกลับถึงหอก็เกือบสี่โมงเย็น โชคดีที่อากิรอสช่วยเขียนวงแหวนเวทย์เคลื่อนย้ายจากหลังห้องผู้อำนวยการทำให้พวกเขาไม่ต้องเหนื่อยแบกซากมังกรมรกตกลับหอพักที่อยู่สุดขอบโรงเรียนติดชายป่าอย่างหอมัลดิโต้

    ทากะรีบขึ้นไปที่ห้อง หยิบมีดทำครัวคมกริบพร้อมกระเป๋าหนังเล็กๆใบหนึ่งลงมาง่วนอยู่กับหางมังกร คนที่เหลือต่างแยกย้ายเอาของไปเก็บและพักผ่อน แต่ประเดี๋ยวเดียวกลิ่นเนื้อย่างหอมฉุยก็เรียกให้ทั้งสามคนต้องเดินลงมาที่หน้าหอ ตอนนี้มีกองไฟพร้อมร้านย่างเนื้อแบบง่ายๆ ปลายหางมังกรสุกได้ที่ส่งกลิ่นหอมลอยไปตามลม

    “เฮ้ยไอ้เอ๋อ ท่าทางจะอร่อยนะ สูตรไหนวะเนี่ย?” เอเซเข้ามายืนกอดอกข้างๆทากะที่ค่อยๆหมุนหางมังกรให้สุกโดยทั่ว

    “ระหว่างเดินทางติดตามอาจารย์ ข้าน้อยได้ยินมาว่าบริเวณหางของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ทุกชนิดมีรสชาติยอดเยี่ยม ข้าน้อยก็สงสัยมานานเลยอยากจะลองพิสูจน์ดูซักทีขอรับ” ทากะตอบขณะหมุนหางของมังกรมรกตที่เหลือแต่เนื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ

    “ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันนะ ที่เคยชิมก็แค่หางของพวกมังกรขนาดเล็กเท่านั้นแต่ราคาของมันก็กินเนื้อผัดเนยสิบจานได้สบายๆ ระดับหางมังกรมรกตนี่ถ้าเสิร์ฟบนภัตตาคารหรูๆซักสองสามจานคงซื้อบ้านได้ทั้งหลัง” กุห์ฟานบุตรชายช่างใหญ่แห่งเวลเจเดินเข้ามาด้อมมองๆพร้อมตีราคาให้ฟัง

    “งั้นมื้อนี้เย็นนี่เราก็ได้กินของไฮโซสินะฮะ” อากิรอสยิ้มแป้นลากขอนไม้มานั่งลงใกล้ๆกองไฟพร้อมชูขวดแก้วสีเขียวเข้มที่มองกันแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นอะไร

    “อุวะ!! มันมีทีเด็ด รอแปปข้าเองก็มี” เอเซเดินเข้าไปในหออึดใจใหญ่ก็กลับมาพร้อมขวดแก้วสี่เหลี่ยมบรรจุของเหลวใสไม่มีอะไรเจือปนดุจน้ำบริสุทธิ์ แต่รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของผู้ถือแสดงชัดเจนว่ามันไม่ใช่น้ำเปล่าธรรมดาแหงๆ

    “ไวน์องุ่น ‘ฮาแลน’ สุดยอดเหล้าหมักจากริมุเน่ที่เหล่าผู้ลิ้มลองต่างเคลิบเคลิ้มไปพร้อมความหอมและนุ่มละมุน และ ‘เตกิล่า’ สุดยอดเหล้ากลั่นจากกรานาด้า สุราที่พร้อมจะแผดเผาผู้ที่ดื่มให้มอดไหม้ไปกับรสชาติที่จัดจ้านของมัน กินแกล้มกับหางมังกรมรกตย่างสูตรพิเศษโดยพ่อครัวจากเกาะแดนใต้ ผมว่าอาหารมื้อแรกของชาวหอมัลดิโต้ออกจะหรูราเกินไปนะเนี่ย” กุห์ฟานเอ่ยออกมาหลังจากกวาดตามองขวดในมืออากิรอสและเอเซ

    “ก็แค่เด็กไม่ดีที่แอบย่างแย้กินแกล้มเหล้าเท่านั้นไม่ใช่เรอะ” คำพูดของเอเซเรียกรอยยิ้มจากทุกคนรวมถึงทากะที่ค่อยๆเอาทรายกลบกองไฟเพื่อลดความร้อนให้อยู่ในระดับแค่อุ่นเนื้อก้อนเขื่องด้านบนเท่านั้น

    “ข้าน้อยคิดว่าก่อนที่พวกเราจะได้กินมื้อเย็นกันคงต้องทักทาย ‘แขก’ ก่อนนะขอรับ” นักดาบจากแดนใต้หันไปเก็บเครื่องปรุงต่างๆใสย่ามของตน

    เพียงอึดใจถัดมามีเสียงฝีเท้าของม้านับสิบตัวมุ่งตรงมายังหอแห่งนี้

    “ม้าศึกชั้นดีสิบสองตัวหนึ่งหน่วยรบตามหลักตำราพิชัยยุทธ์ งานนี้คงไม่ได้มาทักทายเฉยๆแน่” เอเซที่คลุกคลีอยู่กับม้าศึกและการจัดทัพของเหล่าอัศวินพูดแบบไม่ต้องคิด เขาวางขวดสุรากลั่นสีใสชั้นดีในมือและคว้าดาบเคลย์มอร์ที่วางไว้ที่ข้างกองไฟขึ้นพาดบ่า

    “คงเป็นหน่วยรบกุหลาบขาวที่ขึ้นตรงกับองค์หญิงเอรันดา เป็นที่เลื่องลือในริมุเน่ถึงชื่อเสียงของอัศวินสาวทั้งสิบสองคนที่เพียบพร้อมทั้งความงามและความเก่งกาจ ท่าทางคงไม่พอใจที่มีคนไปลูบคมเจ้าหญิงที่แสนสูงศักดิ์ของพวกเธอ ใครกันนะนิสัยไม่ดีเลย” อากิรอสปั้นหน้าเคร่งเครียดถอนหายใจแล้วส่ายหัวอย่างระอาใจ

    “ผมต้องตบมุขนี้มั๊ยอ่ะ? หรือปล่อยให้ตลกกริบไปแบบนี้ดี?” กุห์ฟานหันไปถามเอเซที่ทำหน้าตาเบื่อโลก และทากะที่ยืนทำหน้ามึนเอาดื้อๆ

    “อ้อ!! ข้าน้อยต้องตบมุขสินะขอรับ” ทากะเอียงคอคิดอยู่อึดใจแล้วเอาแล้วเอากำปั้นทุบบนมือทำท่าเหมือนเพิ่งคิดออกแล้วปั้นหน้าขึงขังหันไปทางอากิรอส

    “ก็เจ้านั่นแหละที่เป็นคนก่อนเรื่องไว้”

    “ว้าว!! เราเองเหรอฮะเนี่ยที่ก่อเรื่องไว้” อากิรอสไม่ละความพยายามที่จะเล่นมุกต่อ แสร้งทำหน้าเศร้าเหมือนคนสำนึกผิด

    กุห์ฟานและเอเซหัวเราะก๊ากพร้อมกัน และเสียงหัวเราะของสองหนุ่มก็เงียบลงพร้อมๆกับการมาถึงของม้าศึกกำยำ สาวงามสิบสองนางในชุดเกราะอัศวินที่มีลวดลายประดับอยู่อย่างประณีตงดงามมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชุดเกราะชั้นสูง ทั้งสี่คนเดินออกไปเผชิญหน้ากับแขกยามเย็นของหอมัลดิโต้ทันที

    “ไม่ทราบว่าหน่วยรบกุหลาบขาวที่เลื่องชื่อมีธุระอันใดกับเด็กใหม่อย่างพวกผมหรือฮะ” อากิรอสเอ่ยปากทักทายขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

    อัศวินสาวผมบลอนด์ทรงโคโรเน็ตผู้เป็นหัวหน้าชักม้าศึกของเธอออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าอากิรอส คีฟที่ยืนยิ้มเป็นทองไม่รู้ร้อน

    อากิรอส คีฟ!! เจ้าจอมเวทย์ชั้นสองผู้สามหาว เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ดูหมิ่นองค์หญิงเอรันดากลางห้องประชุมใหญ่เมื่อตอนกลางวัน!!” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่คุกคามอย่างไม่ปิดบัง

    อากิรอสเลียนแบบท่าทางของทากะ เอียงคอคิดอยู่อึดใจแล้วเอาแล้วเอากำปั้นทุบบนมือทำท่าเหมือนเพิ่งคิดออก

    “เรื่องที่หอประชุมสินะฮะ เราก็ไม่เห็นว่าเราจะได้ไปลบหลู่หรือดูหมิ่นองค์หญิงเอรันด้าผู้สูงศักดิ์ดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ของพวกท่านเลยแม้แต่น้อย คงเป็นการเข้าใจผิดการมากกว่านะฮะ”

    “เจ้านี่ถ้าไม่โดนสั่งสอนคงไม่หลาบจำสินะ!!”

    อัศวินสาวผมบลอนด์ทรงโคโรเน็ตชูมือขึ้นเป็นสัญญาณ พริบตาเดียวอัศวินสาวบนหลังม้าศึกอีกสิบเอ็ดคนแปรขบวนล้อมชาวหอมัลดิโต้ทั้งสี่พร้อมกระชากดาบออกมาอยู่ในท่าที่พร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ

    “แปรขบวนทัพได้อย่างรวดเร็วเป็นไปตามแบบแผนในการล้อมกรอบศัตรูที่มีจำนวนน้อยกว่า สมแล้วที่เป็นหน่วยรบกุหลาบขาวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในริมุเน่” อากิรอส คีฟยังคงยิ้มอย่างใจเย็นพร้อมคำนวณทุกความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

    แต่แผนการที่เขาวางไว้ล้มครืนลงทันทีเมื่อคนที่เขาคิดว่าคงไม่ยอมเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างทากะเดินเข้าไปยืนประจันหน้ากับหัวหน้าอัศวินสาว นักดาบจากแดนใต้ไม่ได้สนใจในตัวอากิรอส คีฟแต่เงยหน้าขึ้นไปเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มอัศวินกุหลาบขาว

    “อาวุธที่พวกท่านถืออยู่นั้นถูกกวัดแกว่งเพื่อสิ่งใดหรือขอรับ?”

    อัศวินผมบลอนด์จ้องหน้าทากะด้วยสายตาดูหมิ่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอำมหิต “ก็เพื่อนสั่งสอนเพื่อนของเจ้าให้รู้จักที่ต่ำที่สูงยังไงล่ะ”

    “อาวุธเหล่านี้ถูกใช้ในเจตนาเพื่อที่จะทำร้ายสหายของข้าน้อย ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็คงเตรียมใจที่จะถูกทำร้ายคืนเช่นกันสินะขอรับ” ทากะถามด้วยน้ำเสียงซื่อๆ

    หัวหน้าอัศวินกุหลาบขาวยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ลองแสดงให้ชั้นดูหน่อยว่านักดาบกระจอกอย่างเจ้าจะทำอะไรหน่วยรบบนหลังม้าศึกอันเกรียงไกรนี้ได้!!”

    ทันทีที่จบประโยค จิตมุ่งร้ายราวกับปีศาจพุ่งเข้าใส่ม้าศึกทั้งสิบสองตัวทันที พวกมันพยศอย่างหวาดกลัวแม้เหล่าอัศวินสาวจะพยายามบังคับอย่างสุดกำลัง แต่สัญชาตญาณของสัตว์ไม่อาจทนต่อจิตมุ่งร้ายที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆราวกับน้ำป่าทะลัก

    ก่อนที่ม้าเหล่านั้นจะวิ่งเตลิดออกไปจิตมุ่งร้ายเหล่านั้นก็หายไปดื้อๆ

    ทั้งเอเซ อากิรอส และกุห์ฟาน ต่างให้ความเห็นตรงกันว่าไอ้นักดาบหัวดำหน้ามึนเนี่ยมัน ‘ตัวอันตราย’ ชัดๆ

    ทากะรอจนม้าเหล่านั้นสงบลง เขาเงยหน้ามองหญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าที่กำลังเหนื่อยหอบเพราะฝืนควบคุมม้าพยศ

    “นักดาบกระจอกอย่างข้าน้อยคงทำได้เพียงเท่านี้ขอรับ และข้าน้อยมีเพียงคำถามเดียวว่าการใช้กำลังและคนหมู่มากเข้าข่มเพื่อให้เกิดความกลัวคือวิถีของอัศวินแห่งริมุเน่หรือขอรับ?”

    ทากะเงยหน้าถามกับคนที่อยู่บนหลังม้าที่บัดนี้มองชายหนุ่มทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้อล่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะ สัญญาณมือถูกส่งออกไป อัศวินสาวอีกสิบเอ็ดคนออกแรงกระตุกบังเหียนเพื่อให้ม้าศึกของตนพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มทั้งสี่คน

    แต่ก่อนที่อาวุธของอัศวินสาวจะถึงเด็กหนุ่มทุ้งสี่ ทั้งหมดต้องผงะถอยเพราะมีลำแสงสีทองพุ่งลงมากลางวงเฉียดหน้าอากิรอสไปไม่ถึงนิ้วพร้อมกับคำสั่งที่เต็มไปด้วยอำนาจ

    “หยุดเดี๋ยวนี้!!”

    ร่างของ ‘วัลคีรี่แห่งดาบ’ คิริชินู เอลรอนเซ่ หญิงสาวผมดำที่มาพร้อมกับความเย็นยะเยือกราวกับตัวเธอนั้นสร้างขึ้นมาจากน้ำแข็ง

    “ทำไมพวกเธอถึงทำอะไรโดยพลการ!?” สายตาคมกริบกวาดมองอัศวินสาวทั้งสิบสองคน ไม่มีคำตอบใดๆเพราะแต่ละคนอยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก

    “ไม่มีคำตอบอย่างนั้นหรือ?”

    เธอถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบหลังจากทุกคนตกอยู่ในความเงียบอยู่ชั่วอึดใจใหญ่ๆ ตอนนี้ชาวหอมัลดิโต้ทั้งสี่คนกลับไปมุงหางมังกรย่างของทากะต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อัศวินสาวผมดำมองด้วยหางตาแล้วกลับมามองอัศวินสาวรายคน แต่ละคนมีสีหน้าเหมือนกบโดนงูจ้องไม่ผิด

    “พวกเธอตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้องค์หญิงเอรันด้ากำลังรอพบพวกเธออยู่ที่หอพัก”

    ทันทีที่จบประโยคม้าศึกทั้งสิบสองตัวถูกควบออกไปอย่างเร่งรีบ เหลือแค่เพียง ‘วัลคีรี่แห่งดาบ’ และชาวหอมัลดิโต้

    อากิรอสเดินเข้ามาก้มหัวพร้อมเอ่ยคำขอบคุณ

    อัศวินสาวผมดำมองอากิรอสด้วยสายตาเย็นชาอันเป็นปกติของเธอ เอเซเดินตรงไปยังจุดที่ลำแสงสีทองตกลงมา สิ่งนั้นคือดาบแห่งแสงเอ็กคาริเบอร์ยอดศาตราวุธคู่กายของวัลคีรี่แห่งดาบ ตัวดาบสีทองปักลงพื้นดินมากกว่าครึ่งเล่มและพื้นดินตรงนั้นยุบลงไปราวกับมีหินอุกกาบาตตกใส่

    “ถ้าซัดเต็มแรงแถวนี้คงมีสระน้ำเพิ่มขึ้นเวลาฝนตกแน่ๆ” หลานชายของวิหคสายฟ้าเอ่ยขึ้นลอยๆขณะเอื้อมไปจับด้ามดาบแห่งแสงเล่มนั้นแล้วดึงมันขึ้นมาง่ายๆ จากนั้นก็เอามืออีกข้างจับปลายดาบแล้วยื่นด้ามให้เจ้าของที่เดินตรงเข้ามาหาเขา

    ดาบเล่มนั้นถูกรับและเก็บเข้าฝักข้างตัว คิริชินูจ้องหลานชายของอัศวินชื่อก้องแผ่นดิน “ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเอเซ แมคโดเวลมาหนาหูพอสมควร เราน่าจะมีโอกาสประลองกันสักครั้งนะ”

    เอเซแสยะยิ้ม “ตรงนี้เวลานี้เลยก็ได้นะคุณคิริชินู ผมไม่มีรสนิยมขัดศรัทธาหญิงสาวที่ทั้งสวยและเก่งแบบคุณอยู่แล้ว”

    “ดิฉันไม่ชอบเอาเปรียบใครในการประลองหรอกนะคะ คุณมั่นใจหรือคะว่าสามารถใช้ดาบที่อยู่ในฝักเล่มนั้นประลองกับดิฉันได้?” สายตาอันเย็นชาและรอยยิ้มบางๆที่แสนจะขัดแย้งกันเองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอัศวินสาวราวกับกำลังท้าทายชายผู้สืบทอดฉายาวิหคสายฟ้า

    เอเซยักไหล่แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “ดาบธรรมดาคงไม่มีทางเอาชนะดาบในตำนานได้สินะ เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งของมันเช่นกัน ถ้าหากคุณคิริชินูว่างแล้วล่ะก็ตอนนี้พวกเรากำลังจะจัดการมื้อเย็นกันอยู่พอดีจะร่วมด้วยกันรึเปล่าละครับ?”

    ปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดไปจากการคาดคำนวณทำให้อัศวินสาวผู้แสนเย็นชาประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำให้หน้ากากน้ำแข็งของเธอแตกง่ายๆ “คงต้องขอปฏิเสธและขอตัว”

    เสียงผิวปากดังขึ้นเบาๆพร้อมกับเสียงสัตว์ปีกขนาดใหญ่บินถลาลงมาตรงหน้าชาวหอมัลดิโต

    ‘กริฟอน’ สิงโตที่มีหัวและปีกแบบอินทรี หนึ่งในสัตว์พาหนะที่หายากที่สุดในเอลเทอเฟีย ทั้งสี่ได้แต่มองตาปริบๆยามที่มันกางปีกพาผู้เป็นนายบินจากไป

    “มีไอ้ตัวแบบเป็นสัตว์รับใช้ด้วยแน่ะ ได้ข่าวมันเป็นสัตว์หายากไม่ใช่เรอะ?” เอเซเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆพลางรินน้ำสีใสออกจากขวดใส่แก้วใบเล็กที่เขาเตรียมไว้แล้วยกกระดกทีเดียวหมด

    “ดาบในตำนาน โล่ในตำนาน สัตว์พาหนะในตำนาน ออกจะหรูหราไฮโซสมเป็นราชองค์รักษ์ของเจ้าหญิงแห่งริมุเน่นะฮะ” อากิรอส คีฟตอบทีเล่นทีจริงพลางยื่นมือไปรับแก้วในมือเอเซที่กำลังรินน้ำสีใสใส่ลงในแก้วอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ยื่นให้ง่ายๆโดยไม่ถามอะไร อากิรอสรับแก้วใบนั้นมาคลึงในมือพลางมองน้ำสีใสในแก้วอย่างสนอกสนใจ

    “มันแรงกว่าไวน์อันแสนนุ่มละมุนของริมุเน่เยอะนา ไม่แน่จริงกระดกเฮือกเดียวมีหลับ” เอเซเอ่ยยิ้มๆพลางรินใส่แก้วอีกใบที่กุห์ฟานเป็นคนยื่นให้

    “เหล้ากลั่นชั้นเลิศมันต้องกระดกทีเดียวหมดแก้วสินะ” จบประโยคอากิยกแก้วที่บรรจุน้ำสีใสดื่มรวดเดียวหมดแล้วค่อยๆระบายลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ “ความรู้สึกร้อนแรงและหอมหวนแบบนี้สินะที่ทำให้นักเลงสุราทั้งหลายต่างร่ำลือกันว่ามันคือสุดยอดแห่งเหล้ากลั่น”

    กุห์ฟานที่รับแก้วจากเอเซมาก็กระดกเฮือกเดียวหมดแก้วเช่นกัน “ตัวของเหล้า‘เตกิล่า’ นั้นก็จัดแบ่งเป็นหลายเกรด แต่เหล้ารสชาติดีเช่นนี้มันไม่ได้มีขายตามท้องตลาดแต่ผ่านการต้มด้วยผู้ผลิตชั้นเลิศที่มีไว้มอบให้แด่มิตรสหายเท่านั้น แสดงว่าพี่ชายเอเซมีมิตรสหายอยู่ที่เมืองแห่งทะเลทรายกรานาด้าสินะ”

    เอเซเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังพลางรับแก้วที่อากิรอสยื่นคืนให้ “แค่กินเหล้าก็รู้ถึงเกรดและแหล่งที่มา หนำซ้ำยังเชื่อมโยงเรื่องราวไดเป็นคุ้งเป็นแควเลยทีเดียว แล้วนายมีความเห็นว่าไงบ้างล่ะจอมเวทย์ชั้นสองครึ่ง อากิรอส คีฟ?”

    “ก็อร่อยดีนะฮะ เหมาะกับการย่างเนื้อกินกลางแจ้งในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแบบนี้เป็นที่สุด”จอมเวทย์ผมเทารับจานเปล่าจากทากะที่ยื่นจานพร้อมส้อม

    “ข้าน้อยว่ามันแปลกๆอยู่นะขอรับ” ทากะเอ่ยออกมาเนือยๆขณะที่กำลังจัดแจงแล่เนื้อมังกรย่างหอมฉุยใส่จานของตนแล้วยื่นมีดหันเนื้อไปให้เอเซที่นั่งอยู่ใกล้ๆแลกกับแก้วใส่น้ำสีใส

    “มีอะไรน่าสนใจเรอะไอ้เอ๋อ?” เอเซลุกขึ้นไปหั่นเนื้อมังกรใส่จานของเขาจนเป็นที่พอใจแล้ว ยื่นมีดให้กุห์ฟานที่เดินมารับต่อ

    “คงเป็นดาบเล่มนั้นสินะพี่ชายทากะ ผมเองก็ว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกัน” กุห์ฟานเอ่ยขณะหั่นเนื้อหางมังกรที่กำลังส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอ

    “ทำไมดาบและโล่ในตำนานอันเกรียงไกรของรีเวเรียถึงอยู่ในมือองค์รักษ์ของเจ้าหญิงแห่งริมุเน่ล่ะขอรับ?” ทากะหมุนแก้วที่บรรจุน้ำสีใสในมือช้าๆในขณะที่ใช้ความคิด

    “ฝีมือระดับเจ้าหญิงแห่งแสง ‘เอรันดา’ ถึงจะมีทิฐิสูงไปหน่อยแต่ว่ากันตามตรงก็ไม่จำเป็นต้องมีใครมาปกป้องเสียด้วยซ้ำ แต่นี่ถึงกับให้ราชองค์รักษ์ถือดาบและโล่ในตำนานของ ‘รีเวเรีย’ นครแห่งอัศวินอันเกรียงไกร หากหยุดคิดซักนิดก็จะได้คำถามที่ว่า ‘ตอนนี้ทั้งริมุเน่และรีเวเรียกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?’ ประมาณนั้นมั้งฮะ” อากิรอสเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นมารับมีดมาแล่เนื้ออธิบาย

    “นั่นคือเหตุผลที่พวกเรากึ่งๆโดนบังคับให้มาเรียนที่นี่ใช่ไหมปู่?” เอเซยื่นแก้วที่เพิ่งรินเตกิล่าให้กับจอมเวทย์ชราในชุดสีขาวผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของโรงเรียนแห่งนี้ที่กำลังเดินตรงมายังพวกเขา

    จอมปราชญ์แห่งทวีปทรุดตัวลงนั่งง่ายๆอย่างไม่ถือตัวแล้ว ยกแก้วสุราดื่มรวดเดียวหมดแล้วคืนเอเซโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่มองเด็กหนุ่มทั้งสี่แทะเนื้อหางมังกรโดยไม่ตกใจอะไรกับการปรากฏตัวของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างเขาแม้แต่น้อย

    จอมเวทย์ชราถอนหายใจออกมาเบาๆ “เห็นพวกเจ้าแล้วทำให้ข้านึกถึงอดีตสมัยยังร่วมผจญภัยเพื่อปกป้องทวีปแห่งนี้ไปกับผู้ปกครองของพวกเจ้าแต่ละคนเสียจริง”

    “ถ้าเรื่องนั้นผมฟังปู่โม้เป็นพันๆรอบเลยล่ะ” เอเซตอบพลางเคี้ยวเนื้อมังกรตุ้ยๆ ทั้งทากะ อากิรอส กุห์ฟานต่างพยักหน้าเหมือนกัน

    “ข้าตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นมาเพื่อจะให้พวกเด็กๆอย่างพวกเจ้ามีความรู้ความสามารถที่จะรับมือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแบบครั้งนั้น ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่โรงเรียนแห่งนี้กลายเป็นเครื่องมือของเหล่าผู้มีอำนาจในเมืองใหญ่มาขยายอำนาจและสร้างฐานกำลังของตน”

    ประโยคของผู้อำนวยการชราของโรงเรียนแห่งนี้ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งสี่หยุดการกินของพวกเขาลง อากิรอสขอแก้วจากเอเซแล้วรับมากระดกเฮือกเดียวจนหมดแล้วเอ่ยสิ่งที่เขากำลังคิดออกมาช้าๆ

    “คำตอบของคำถามที่ว่า ‘ทำไมองค์หญิงแห่งริมุเน่ถึงได้มีผู้พิทักษ์เป็นอัศวินจากริเวเรียผู้ครอบครองดาบและโล่ในตำนาน’ คือ การสำแดงแสนยานุภาพแบบหนึ่งสินะครับ”

    “ใช่หรือไม่ใช่...ข้าเองก็ไม่สามารถยืนยันให้ชัดเจนได้ แต่ในเวลานี้ภายในโรงเรียนแห่งนี้มีอะไรแปลกๆมากขึ้นทุกที ลำพังตัวข้าเองที่เป็นผู้อำนวยการถึงมีอำนาจเด็ดขาดแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้โดยอิสระนักเพราะต้องพะวงถึงความมั่งคงของโรงเรียนแห่งนี้เป็นสำคัญ”

    แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าไปพร้อมกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่าน บทสนทนาของจอมเวทย์ชราทำให้เด็กหนุ่มทั้งสี่เห็นเค้าลางแห่งความวุ่นวายที่มาเคาะประตูเรียก แต่ยังไม่ทันที่ชาวหอมัลดิโด้ทั้งสี่จะได้เอ่ยถามอะไร จู่ๆบรรยากาศโดยรอบก็ลดฮวบลงอย่างน่าตกใจทั้งๆที่พระอาทิตย์ยังไม่ได้ลับขอบฟ้าดีนัก

    “นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ข้าบอกว่ามันแปลก หากมีใครก็ตามมีพฤติกรรมหรือความคิดเป็นปรปักษ์กับคนของรีเวเรียและริมุเน่ ใครคนนั้นจะถูกโจมตีหรือสั่งสอนจนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ แต่ที่ผ่านก็ไม่มีเจ้าทุกข์คนไหนมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับข้าสักรายเดียว”

    อัลฟรีดรับแก้วสุราจากเอเซมาดื่มอีกครั้งพร้อมกับเสียงคำรามของอะไรบางอย่างที่มาพร้อมๆกับหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างผิดธรรมชาติ

    “เวทอัญเชิญชั้นสูง แถมคราวนี้ตัวใหญ่ซะด้วยนะฮะ” อากิรอสเลือกที่จะหยิบกิ่งไม้ที่กองอยู่ไม่ห่างจากร้านย่างเนื้อมาก่อกองไฟขึ้นมาใหม่โดยไม่สนใจสีฝีเท้าของอะไรบางอย่างที่ย่างกรายตรงมาที่พวกเขา

    “สัตว์สี่ขาตัวใหญ่ ฟังจากเสียงบวกกับอากาศที่เย็นแบบนี้ ไม่แคล้วที่จะเป็น ‘กราม’ หมาป่าน้ำแข็งผู้หิวกระหายใช่ไหมปู่อัลฟรีด?” เอเซรับแก้วคืนจากท่านผู้อำนวยการ

    “ให้ข้าช่วยไหม?”จอมเวทย์ชราถามง่ายๆ

    “ไม่ต้องหรอกขอรับท่านอัลฟรีด ข้าน้อยเองไม่ค่อยชอบอากาศหนาวๆแบบนี้ซักเท่าไรคงใช้เวลาไม่นานนักขอรับ” ทากะวางจานใส่หางมังกรย่างลงแล้วหยิบดาบคู่มือของตนพุ่งฝ่าหิมะที่โปรยปรายลงมาที่เงาของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่กระโจนเข้ามา

    อากิรอสหัวเราะชอบอกชอบใจ “หนึ่งในสัตว์อสูรชั้นสูงที่ว่ากันว่าบนแผ่นดินนี้มีนักเวทไม่กี่คนที่สามารถอัญเชิญได้ แต่นักดาบคนหนึ่งที่พูดติดปากตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นเพียงนักดาบฝึกหัดบอกว่าจะใช้เวลาจัดการไม่นานนัก มันอดที่จะขำไม่ได้จริงๆนะฮะ”

    “แล้วแกคิดว่าเจ้าเอ๋อนั่นมันทำได้อย่างที่มันพูดป่ะ?” เอเซแสยะยิ้มแล้วบุ้ยปากไปทางทากะที่กำลังติดพันอยู่กับหมาป่าน้ำแข็งที่ตัวใหญ่กว่าหอมัลดิโต้

    “ไม่ว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ จะใช้เวลานานหรือไม่นาน ไม่ว่าแบบไหนมันก็สวยงามไม่ใช่หรือ เอเซ แมคโดเวล?” อากิรอสยักไหล่เอียงคอเล็กน้อยตอบกลับมา “เพราะยังไงเราก็ยังมียอดอัศวินผู้สืบทอดฉายาวิหคสายฟ้าอยู่ทั้งคน”

    “มือหนึ่งเอาไม่ลงก็ยังมีมือสองสินะพี่ชายอากิรอส แต่ต้องเสริมไปอีกนิดว่าถึงมือสองเอาไม่ลงยังมีจอมเวทย์อัจริยะอย่างอากิรอส คีฟเป็นมือที่สามอยู่ ฉะนั้นหมาป่าน้ำแข็งตัวนี้จึงไม่มีอะไรน่ากังวลแม้แต่นิดเดียว” บุตรชายของช่างใหญ่แห่งเวลเจเอ่ยขึ้น “แต่จะว่าไปท่าทางพี่ชายทากะช่วงนี้จะไม่ค่อยสบอารมณ์กับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเท่าไรนะฮะ”


    “เห็นทีแรกนึกว่าจะต่างกับคนใจเย็นไม่เป็นเหมือนใครบางคนแถวนี้ แต่สุดท้ายก็ออกไปลุยเองเหมือนกันซะงั้น” อากิรอสอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมหลานชายของวิหคสายฟ้าที่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มพลางดูนักดาบจากแดนใต้รับมือกับหมาป่าน้ำแข็ง

    “แกเอาตาตุ่มดูรึไงวะถึงคิดว่าไอ้เอ๋อนั่นใจเย็น มันขี้เกียจที่จะยุ่งต่างหากแต่ถ้ามันเลือกที่จะลงมือมันสนใจใครซะที่ไหน ใช่มะปู่? ผมว่าผมดูไม่ผิดนา” ท้ายประโยคถูกเอ่ยพร้อมกับยื่นแก้วสุรากลั่นสีใสให้จอมเวทย์ชรา

    “เจ้าหมอนี่มันแทบจะลอกนิสัยอาจารย์ของมันมาทั้งหมดนั่นแหละ เขาว่าคนเลี้ยงเป็นอย่างไรเด็กที่เติบโตมามันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก พวกเจ้าก็ไม่ต่างกันนัก” อัลฟรีดยิ้มออกมาบางๆอย่างอารมณ์ดีแล้วกระดกแก้วเหล้ารวดเดียวหมดพลางดูการต่อสู้ของทากะกับกรามอย่างสนอกสนใจ

    ไม่เวลาไม่นานตามที่ทากะบอกไว้ หมาป่าน้ำแข็งผู้มาพร้อมกับความหนาวเหน็บก็กลายเป็นแสงกลับสู่ท้องฟ้าพร้อมกับอากาศที่อุ่นขึ้นทันที นักดาบฝึกหัดเก็บดาบคู่มือกลับเข้าฝักแล้วเดินกลับมายังร้านย่างเนื้อที่ทุกคนนั่งดื่มเตกิลาอย่างสบายอารมณ์

    “ที่โรงเรียนแห่งนี้รับพวกหลุดโลกสี่คนเข้ามาพร้อมกันอาจเป็นเพราะฟ้าลิขิตก็ได้ ข้าเองก็อยากจะเดิมพันกับความบังเอิญครั้งนี้ดูซักหน่อย”

    จอมเวทย์ชราในชุดขาวโยนอะไรบางอย่างให้เด็กหนุ่มทั้งสี่คน

    ทั้งสี่พลิกสิ่งนั้นดูอย่างละเอียดแล้วขมวดคิ้วแต่ยังไม่ได้ที่ใครจะได้เอ่ยปากถามจอมเวทย์ชราก็ลุกยืนขึ้น

    “ตามกฎของโรงเรียนแห่งนี้ นักเรียนปีสามต้องเป็นกรรมการนักเรียนอย่างไม่มีข้อยกเว้น นับจากนี้ไปพวกเจ้าเป็นกรรมการนักเรียนพิเศษที่ไม่ขึ้นตรงต่อฝ่ายใด มีหน้าที่รับภารกิจที่ไม่มีใครเขาอยากจะทำ เข็มกลัดหมาป่าสีดำที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้เป็นเครื่องหมายว่าพวกเจ้าสี่คนเป็นหนึ่งในกรรมการนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว เครื่องแบบพวกเจ้าก็ใส่สีดำของปีหนึ่งหรือถ้าอยากใส่สีขาวให้ไปติดต่อฝ่ายสวัสดิการ ส่วนภารกิจของพวกเจ้าลองไปติดต่อพวกหัวหน้ากรรมการนักเรียนดู”

    จบประโยคร่างของผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ก็เดินหายไปในวงแหวนเวทย์เคลื่อนย้ายที่อากิรอสวาดไว้ ปล่อยให้เด็กหนุ่มทั้งสี่คนยืนใบ้กินเพราะว่าอยู่เรื่องวุ่นวายชนิดปวดตับขั้นสุดก็หล่นตูมลงมาบนหัวของพวกเขาจนได้
    taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  12. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ว้าว! สงสัยเล่นGGOมากไป ฝันเป็นตุเป็นตะเลย

    /me หยิกแก้มตัวเอง
  13. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    ทำไมพี่จ้อยไม่เขียนต่ออยากอ่านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
  14. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    หมดไฟว่ะน้อง บาดเจ็บทางจิตใจฮ่าๆ
  15. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ไม่กล้าทวง... เดี๋ยวโดนทวงกลับ ;(
  16. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    รวมหัวกัน เขียนคนละตอน o O
  17. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    เย้ยยยยยยยยย นักแต่งในกำยาน เอ๊ย ตำนาน

    พี่จ้อยหนีไปลงเด็ก ดีลแล้ววว

Share This Page