[ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 final/Update 06/02/51)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Siegfried, 3 ธันวาคม 2007.

  1. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 2/Update 05/12/50)

    หะ โหด -A- เฟย์เรียโหดเข้าขั้นดีจริงๆ

    อ่านๆไปแล้วเห็นสองคนวิ่งวนรอบๆคาซเหมือนกับพี่อีวานว่าเลย มันช่าง...เอ้อ พูดไม่ถูก รู้แต่ขำ><
  2. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 2/Update 05/12/50)

    Chapter 1 : เพลงโหมโรงแห่งไฮเดิร์น
    phase : 3





    การเดินทางเริ่มแล้ว.....
    การเดินทางเพื่อตามหาบางสิ่งของแต่ละคน
    สิ่งที่ไม่มีวันมองเห็นได้ สิ่งที่อยู่ไกลลับตา
    ถึงกระนั้นเราก็ยังคงตามหามันอยู่ดี

    เมืองที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า อควาเฟย์ย่ำเท้าลงไปบนผืนดินที่แตกระแหงของเมืองนั้น
    ตึกรามบ้านช่องสร้างจากเหล็กทุกหลังคาเรือน ท่ออลูมิเนียมเชื่อจากตึกหนึ่งไปสู่ตึกหนึ่ง โยงใยกันไปมาราวกับใยแมงมุมก็ไม่ปาน
    ตามพื้นก็มีแต่กองขยะเกลื่อนกลาด เศษเหล็กเหลือใช้ถูกทิ้งขว้างอยู่ข้างถนน หรือแม้กระทั่งชีวิตของมนุษย์เองก็ไม่ต่างจากขยะเท่าไรนัก พวกเขาทิ้งตัวเองบนเสื่อข้างทาง บ้างก็มีแมลงวันตอม


    เมืองแสนทรุดโทรม ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำ
    ผู้คนแสนเสื่อมโทรม ถูกละเลงด้วยสีดำ


    ชายหนุ่มถือกระเป๋าเดินทางผ่านซอยแคบๆ ไปยังลานกว้างใจกลางเมือง ที่นี่มีบ่อน้ำพุซึ่งสร้างจากเหล็กตรงกลางและมีน้ำพุ่งขึ้นมา น่าหดหู่นักที่น้ำนั้นเป็นสีโคลนไม่สามารถดื่มกินได้

    ความกระหายทำให้อควาเฟย์ต้องกลืนน้ำลายตัวเองลงไปแทน เนื่องจากอากาศบริเวณนี้ไม่ดี การสร้างน้ำด้วยเทมนตร์ถนัดของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะสร้างได้ น้ำที่สร้างขึ้นมาก็ไม่สามารถดื่มกินได้อยู่ดี
    ตรงข้ามน้ำพุมีทางเดินผ่านต่อไปยังอีกฟากหนึ่ง อควาเฟย์ตัดสินใจเดินต่อไปเพื่อมองหาสิ่งที่ดีกว่า
    เขาพบว่าอีกฟากฝั่งหนึ่งที่เขามานี้แตกต่างกับเมืองสีดำข้างหลังอย่างสิ้นเชิง

    หลังจากผ่านช่องแคบของตึกรามบ้านช่องอันสกปรกมาได้พักหนึ่งแล้ว บรรยากาศของเมืองก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
    ต้นไม้สีเขียวขจีเริ่มขึ้นอยู่ตามสองข้างทาง กระถางต้นไม้วางเอาไว้ตามระเบียงบ้านชั้นสองของบ้านทุกหลัง พวกมันได้รับการดูแลอย่างดี
    ผู้คนดูมีชีวิตชีวาและร่าเริง บนใบหน้าของพวกเขามีแต่รอยยิ้ม เมืองดูสะอาดสะอ้าน ราวกับเป็นอีกโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
    เมื่อเดินตามถนนมาได้พักใหญ่ อควาเฟย์ก็พบกับลานกว้างที่เหมือนกับลานกว้างเมื่อครู่ ทว่าน้ำพุที่อยู่ตรงกลางก่อด้วยอิฐขาว น้ำที่พุ่งขึ้นมาก็ใสสะอาดสามารถดื่มได้ รอบๆ ก็เป็นพุ่มชาทองถูกตัดแต่งได้สวยงาม รู้ได้เลยว่ามีคนคอยดูแลมันอยู่ตลอด

    เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างทาง ใช้กระเป๋าต่างโต๊ะ วาดนิ้วเป็นรูปวงกลมสองสามวงก่อนจะปรากฏกลุ่มน้ำบนอากาศขึ้นมา พวกมันแยกตัวออกจากกันกลายสภาพเป็นตุ๊กตาผู้หญิงใส่ชุดบัลเล่ต์สามตัวซึ่งขนาดเท่าฝ่ามือ ร่อนลงบนกระเป๋าของควาเฟย์แล้วเริ่มเต้นระบำ ประกายแสงรอบๆ ตัวของมันส่องประกายระยิบระยับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสีบนตัวของพวกมันก็เริ่มปรากฏขึ้น ชุดบัลเล่ต์เป็นสีชมพู เรือนผมกลายเป็นสีทองสดสวย ดูราวกับมนุษย์ไม่มีผิด ทว่านี่เป็นเพียงน้ำที่อควาเฟย์สร้างขึ้น โยใช้การสะท้อนแสงให้เกิดสีเท่านั้น มิได้เป็นมนุษย์จริงๆ


    นี่เป็นวิธีหาเงินของอควาเฟย์ เขามักจะเริ่มการแสดงระบำตุ๊กตาหรืเล่านิทานทุกๆ ครั้งที่เงินร่อยหลอระหว่างการเดินทาง ได้มากบ้างน้อยบ้าง ตามความสนใจของผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปมา แน่นอนว่าการแสดงไม่ได้มีเพียงแค่การเต้นรำของตุ๊กตา ยังมีเสียงบรรเลงจากขลุ่ยของอควาเฟย์เป็นดนตรีประกอบอีกด้วย
    เขาหยิบมันขึ้นมาจากข้างตัว ลูบไล้ไปมาอย่างทะนุถนอม นี่คือสิ่งเดียวที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ตอนที่จำความได้


    แม่น้ำที่ถูกย้อมด้วยสีเลือด
    ร่างกายที่ถูกย้อมด้วยสีเลือด
    ความว่างเปล่าได้ตื่นขึ้น

    อควาเฟย์ยืนอยู่ตรงนั้น
    ข้างแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ด้วยสภาพใกล้ตายเต็มที แรงเฮือกสุดท้ายถูกดึงออกมาใช้เพื่อยืนหยัดขึ้นด้วยขาของตัวเอง มือกำขลุ่ยเงินไว้แน่นไม่ยอมให้ห่างกาย แล้วเจ้านั่นก็ปรากฏตัวขึ้นมา


    คาห์ซาน ครอคซ์


    พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงกระนั้นร่างกายไม่ตอบสนองต่อสติสัมปชัญญะ มันกลับทำตามสันชาตญาณซึ่งหลับใหลอยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ


    ฆ่ามัน....ต้องฆ่ามัน.... ต้องฆ่าให้ได้!


    ภาพรอบด้านมืดไปหมด มองเห็นเพียงบุรุษตรงหน้าซึ่งเขาจำได้ว่าเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันต้องเป็นครั้งแรกสิ.... เพราะในหัวของเขาขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรอยู่เลย
    เป็นโลกสีขาวที่มีแต่ความว่างเปล่า กับปีศาจหนึ่งตัวถูกจองจำ
    เครื่องดนตรีถูกใช้ต่างอาวุธ ร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าหมายฟาดศีรษะของชายแปลกหน้าให้แตกยับ แต่แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปเสียเฉยๆ....


    อย่างไรเสียความว่างเปล่าก็คือความว่างเปล่า
    ความว่างเปล่ากว้างเท่ามหาสมุทร
    ยากที่จะเติมน้ำให้เต็มได้



    อควาเฟย์ยกขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปากและเริ่มบรรเลงเพลงของเขา ตุ๊กตาน้ำยังคงระบำของมันอยู่อย่างนั้นไม่ได้สนใจจังหวะเพลงเลย แม้มือสมัครเล่นก็ดูออก แต่ท่วงทำนองที่ขัดกันนี้กลับลงตัวอย่างน่าประหลาด
    อิสระเสรีแห่งดนตรีและเริงระบำ สะกดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมาได้ดีนัก


    พวกเขาหยุดยืนดูท่วงทำนองที่ขัดกันนี้อย่างมีอารมณ์ร่วม บ้างโยนเศษเงินลงบนพื้นให้แล้วก็จากไป
    เสียงขลุ่ยหยุดลง นักบัลเล่ต์ตัวน้อยโค้งคำนับคนดู ตามด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งของเหรียญนับไม่ถ้วน แล้วทุกอย่างก็พลันเงียบลง
    ชายหนุ่มรวบรวมเหรียญที่กระจายอยู่บนพื้นหลังจากคนดูหายไปหมดแล้ว ระหว่างที่กำลังก้มเห็บไปก็พาลคิดว่าหนาวหน้าหากล่องมาใส่ดีกว่า กล่องหากินอันเก่าก็ดันลืมทิ้งเอาไว้ที่บ้านเพราะมัวแต่คุยกับเจ้าคาห์ซานแท้ๆ เชียว


    หลังจากที่เขาออกจากหมู่บ้านมาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าคาห์ซานมันจะทำอะไรต่อไป ระหว่างกินๆ นอนๆ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนที่ผ่านมา หรือทำอะไรซักอย่างกับจดหมายฉบับนั้น

    หากลองมาคิดดูดีๆ แล้ว รอบๆ ตัวคาห์ซานก็มีอะไรให้น่าสงสัยเต็มไปหมด

    ทั้งการที่มันมีเงินขนาดว่างมานั่งกินนอนกินถึงสองปีเต็มโดยไม่ทำงานทำการ แถมยังฝีมือร้ายกาจและรอยยิ้มรับลูกค้าของมัน
    มีอะไรบางอย่าง.... ไม่สิ หลายอย่างที่มันยังปิดบังเอาไว้อยู่ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวของเขาด้วยก็ได้
    บางครั้งก็เคยถาม แต่มันก็ตอบแค่ว่าไม่รู้ท่าเดียว

    เขาจึงได้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอคนที่รู้จักตัวเอง หรือสถานที่ที่เคยผ่าน เพื่อกระตุ้นให้ความทรงจำกลับมา
    ระหว่างนั้นเองเด็กๆ กลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามา มีทั้งเด็กชายและเด็กหญิง เด็กๆ มองดูตุ๊กตานักระบำของอควาเฟย์อย่างสนอกสนใจ เด็กบางคนเกาะอยู่หลังเพื่อนไม่กล้าเข้าใกล้มัน

    ชายหนุ่มมองดูเด็กพวกนี้อย่างเอ็นดูเช่นกัน มันทำให้เขาคิดว่าช่วงเวลาเด็กของเขาจะเป็นแบบไหนบ้างกันนะ? คงจะเที่ยวเล่นไปวันๆ เหมือนเด็กพวกนี้แน่ๆ
    แล้วเด็กคนหนึ่งร้องถามขึ้นด้วยความอยากรู้ แต่ทำเอาอควาเฟย์เส้นกระตุกไปแวบหนึ่ง

    “ลุง! นี่อะไร”

    “นี่คือตุ๊กตาขยับได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่ลุงด้วยเฟ้ย เรียกพี่เซ่”

    “แล้วมันขยับยังไงหรือคะ?”

    “อยากเห็นเหรอ? แต่ถ้าเห็นแล้วฉันเก็บเงินนะ”
    อควาเฟย์พูดหน้าตาย พวกเด็กๆ ทำหน้าเหวอมองหน้าเขา จนเด็กผู้ชายคนหนึ่งโวยขึ้น

    “อะไรเนี่ย ลุง! ขอดูแค่นี้ก็เก็บเงินด้วยเหรอ!”

    “เออเซ่! นี่มันเครื่องมือทำมาหากินฉันเชียวนะ! ฉันจะอิ่มหรืออดก็ขึ้นอยู่กับเจ้านี่แหละ!”

    ทั้งสองจ้องตากนเขม็ง ไม่มีฝ่ายไหนยอดลดราวาศอกเลยแม้แต่นิดเดียว ดูราวกับหมากำลังจะดวลกันเพื่อแย่งกระดูกก็มิปาน โอ.... ใช่แล้ว เด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนข้างๆ เด็กชาย เธอคิดแบบนี้จริงๆ
    แต่ด้วยความอยากจะดู เด็กสาวจึงกระตุกเสื้อเด็กชายเบาๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน

    “พี่คะๆ หนูอยากเห็น มันขยับยังไง”

    “เอ๋!!?”

    เด็กชายร้องพลางทำหน้าเบ้ แค่คิดว่าต้องยอมแพ้ตาลุงผมยาวคนนี้แล้วก็รู้สึกเสียชาติเกิดไปจนกระทั่งชาติหน้า
    เขากำหมัดไม่ยอมแพ้ จ้องหน้าอควาเฟย์ที่เผยรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างชัดเจน แต่ด้วยพลังรักน้องก็ต้องยอมจนได้

    “เอ้า! ก็ได้ จ่ายก็จ่าย! ถ้าเล่นห่วยล่ะก็เจอดีแน่!”

    “หึ ช่างเป็นเด็กที่อวดดี”
    ชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้น ก่อนจะวาดมือเป็นวงกลมเหนือตุ๊กตานักระบำ

    “จงดูฝีมือระดับเทพของฉันแล้วควักเงินในกระเป๋าออกมาด้วยความปลาบปลื้มเสียเถอะ”
    พลันตุ๊กตาทั้งหมดก็กลายเป็นก้อนน้ำรวมตัวกันอยู่กลางอากาศ ห่างจากมืออควาเฟย์ซึ่งทำท่าคล้ายประคองมันด้วยมือสองข้างราวๆ 20 เซนติเมตร
    “พวกนายเป็นลูกค้าวีไอพี อยากดูอะไรสั่งได้”

    กลุ่มเด็กๆ ดวงตาลุกวาวทันที ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้ชายคนพี่ที่ต่อล้อต่อเถียงกับอควาเฟย์เมื่อครู่ เด็กหญิงดูตื่นเต้นกว่าใครๆ เธอก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อให้มองเห็นลูกบอลน้ำได้ชัด

    “อยากดูอะไรก็ได้จริงหรือคะ?”

    “แน่นอน อะไรก็ได้”

    “งั้น หนูอยากดูนิทาน อยากเห็นมันขยับได้”

    “เอางั้นเรอะ? นิทานนะ จัดให้ๆ”

    อควาเฟย์กล่าว ก่อนจะแยกมือทั้งสองของเขาให้ห่างกันมากขึ้นอีก ลูกบอลน้ำแตกตัวออกเป็นหลายๆ ลูก แล้วจึงเปลี่ยนรูปร่างของมันตามที่เจ้าของบันดาล

    ลูกหนึ่งกลายเป็นเด็กสาวผมสีน้ำตาลจนออกแดง สวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใส ดูเป็นเด็กหญิงทั่วๆ ไป อีกลูกหนึ่งกลายเป็นเด็กผู้ชายผมสีดำยาวมัดหางม้า ส่วนอีกลูกกลายเป็นเด็กผู้ชายเช่นกัน แต่เขาคนนี้มีผมสั้นสีดำ ลูกอื่นๆ ที่เหลือกลายเป็นต้นไม้ล้อมรอบเด็กทั้งสามและเป็นเมฆ ลอยอยู่เหนือหัวพวกเขา

    กลุ่มเด็กที่มามุงดูกลั้นหายใจกับความตื่นตาของฉากเบื้องหน้า ไม่น่าเชื่อว่านี่คือน้ำที่ปั้นจนเป็นรูปเป็นร่างบนกระเป๋า มันดูสมจริงทั้งสีสันและบรรยากาศ แม้ตัวละครจะมีขนาดเล็กและดูไม่สมส่วนก็ตาม
    ตัวละครทั้งสามเดินเข้ามารวมกันตรงกลางและกอดคอกันโยกไปมาราวกับกำลังเต้นรำประกอบเพลง ก่อนอควาเฟย์จะเริ่มเล่า

    “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่อันแสนสงบสุขแห่งหนึ่งซึ่งมักจะถูกทำให้เป็นที่เล่นของเด็กๆ เหล่านี้เสมอ พวกเขามาเล่นกันเหมือนอย่างที่เคยทำเช่นทุกๆ วัน เด็กชายวิ่งเล่นสนุกสนาน และในบางวันพวกเขาก็จะได้ฟังเพลงสุดแสนวิเศษจากเด็กหญิง เธอมีเสียงที่ไพเราะมากกว่าใครๆ และเพลงของเธอก็ทำให้หมู่บ้านสงบสุขได้ ทำให้ไม่ว่าใครต่างก็หลงใหลในเพลงของเธอทั้งนั้น
    จนกระทั่งวันหนึ่ง เหล่าสัตว์ป่าก็โผล่ออกมาหาเด็กๆ พวกมันบอกว่า

    ‘เพลงของเธอเพราะจัง ร้องให้เราฟังบ้างสิ ทำให้ป่าของเราสงบสุขบ้างเถอะ’

    และแล้ว สิงโตตัวหนึ่งก็กระโจนคาบเด็กสาวแล้วหันหลังเดินกลับไปกับพวกสัตว์ตัวอื่นๆ......”


    มาถึงตรงนี้เด็กๆ ต่างพากันกลั้นหายใจอีกครั้ง เด็กหญิงถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก เพราะลูกบอลน้ำที่เป็นรูปสิงโตนั้นกระโจนเข้าไปคาบเด็กสาวซึ่งเป็นตัวละครจริงๆ


    “เด็กชายทั้งสองตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ดูสิงโตคาบเด็กสาวหายเข้าไปในป่า พวกเขารีบไปบอกพวกผู้ใหญ่ทันที แต่ผู้ใหญ่ทำอะไรไมได้เลย ลุงแก่คนหนึ่งบอกพวกเด็กๆ ว่า ‘ป่านั่นต้องสาป พวกสัตว์ก็เข้มแข็งมาก เราเอาตัวเธอคืนมาไม่ได้หรอก ตัดใจเสียเถอะ’

    แต่เด็กทั้งสองไม่ยอมแพ้ พวกเขาฝึกฝนตัวเองจนเก่ง แล้วตามเข้าป่าไป เมื่อพบพวกสัตว์จึงเกิดการต่อสู้ขึ้น เด็กทั้งสองสามารถเอาชนะสัตว์ได้ทั้งหมด เหลือเพียงสิงโตแค่ตัวเดียว ส่วนเด็กสาวที่ถูกพาตัวมานั้น นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างหลัง ดูการต่อสู้ด้วยความกังวล แต่แล้วไม่ทันที่เด็กทั้งสองและสิงโตจะสู้กัน จอมปีศาจก็ปรากฏตัวขึ้นมา.....”

    พวกเด็กๆ ส่งเสียงร้องด้วยความทึ่ง เมื่อมีมือยักษ์แหวกเมฆลงมาจับตัวเด็กสาวเอาไว้ มือนั้นเป็นสีดำดูน่ากลัวจนเด็กหญิงเผลอเข้าไปเกาะพี่ชายโดยไม่รู้ตัว

    “จอมปีศาจโผล่มาในรูปร่างของมือยักษ์ มันหัวเราะลั่นจนฟ้าสะเทือนแล้วบอกว่า

    ‘อ้ายพวกหน้าโง่ทั้งหลาย! เพลงนี้ทำให้ป่าของเจ้าสงบสุขไม่ได้หรอก เราจะนำตัวนางไป เพื่อให้ป่าของพวกเจ้าสับสนวุ่นวาย แล้วพวกเจ้าจะไม่มีวันอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดกาล!’

    พูดจบ มือยักษ์ก็ดึงเด็กสาวหายเข้าไปในกลีบเมฆและไม่กลับมาอีกเลย พวกสัตว์โศกเศร้าเสียใจมาก แต่เด็กชายทั้งสองไม่ยอมแพ้ พวกเขาถามถึงวังของจอมปีศาจ แต่ก็ไร้ความหวังเหลือเกิน เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่ที่ไหน
    ถึงกระนั้นเด็กทั้งสองก็ยังไม่ยอมแพ้ และออกค้นหาเด็กสาวจวบจนถึงวันทุกนี้...........”


    และแล้วฉากและตัวละครทั้งหมดก็แตกกระจายกลายเป็นลูกบอลน้ำเหมือนเก่า ก่อนจะรวมกันเป็นลูกใหญ่ลูกเดียวกลางอากาศ


    “จบแล้ว!”
    อควาเฟย์ตะโกน จนพวกเด็กๆ สะดุ้งตื่นจากโลกของนิทาน
    “เป็นไง ฝีมือฉัน ระดับเทพ”

    “สุดยอด! ทำได้ไง”
    เด็กชายคนหนึ่งร้องขึ้น ก่อนเด็กๆ ที่เหลือจะเสริมตามขึ้นมา

    “มีสีด้วย!”

    “ขยับได้ เหมือนจริงมาก เจ๋งสุดๆ!”

    “หึ... ก็ใช้ได้ละนะ”
    เด็กชายคนเก่าพูดวางท่า แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่ดูตื่นเต้นมากที่สุดในกลุ่มเด็กตอนที่ตัวละครเอกสองคนกำลังสู้ตะลุมบอนกับพวกสัตว์

    “สนุกมากเลยค่ะพี่ชาย! หนูชอบจัง”
    เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาทอประกายบ่งบอกถึงความประทับใจ

    “ถ้าชอบก็ดีใจ” อควาเฟย์ว่า “ถ้างั้นก็ถึงเวลาจ่ายตังค์แล้วล่ะนะ”

    เด็กๆ ควักเหรียญเงินออกมาจากกระเป๋าคนละเหรียญ แล้ววางลงบนกระเป๋าของอควาเฟย์ เขามองมันพลางถอนหายใจ เพราะมีแต่เหรียญเงินล้วนๆ หกเหรียญ ไม่มีเหรียญทองเลยซักกะเหรียญเดียว แต่อย่างน้อยก็พอข้าวหนึ่งมื้อ ส่วนเงินก่อนหน้านี้ก็เก็บเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่นได้อีก
    ระหว่างที่พวกเด็กๆ กำลังทยอยเอาเงินออกมาวางนั้น เด็กหญิงก็ถามอควาเฟย์ด้วยความสงสัย

    “นี่พี่คะ เรื่องจบเท่านี้เองเหรอ แล้วพวกเขาตามหาเด็กผู้หญิงคนนั้นเจอไหม?”

    ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจวูบหายไปในอากาศ ดวงตาเบิกโพลงโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะค่อยๆ หรี่ลงเมื่อเริ่มได้สติ

    “ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกัน มันก็จบเท่านี้แหละ”

    เขาตอบ คำว่า ‘ไม่รู้’ สะกิดใจเขาอย่างประหลาดแม้เขาจะเป็นคนพูดเองก็ตาม เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน ไม่รู้อะไรเลย
    นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ได้ยินมา ไม่ใช่เรื่องเล่าสืบต่อกันมา แต่เป็นเรื่องที่เขาอยากเล่า นิทานเรื่องนี้ออกมาจากส่วนไหนซักแห่งในตัวของเขา อควาเฟย์เล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับตัวเองเล่นเป็นตัวเอก

    ทั้งๆ ที่เป็นนิทานที่เพิ่งคิดออกก่อนเล่าเท่านั้นเอง พอเด็กๆ บอกว่าอยากดูนิทาน เรื่องนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไปๆ มาๆ มันก็จบเสียแล้ว


    น่าประหลาดนัก....


    “งั้นหรือคะ น่าสงสารพวกเขาจัง” เด็กหญิงพูดทำตาละห้อย

    หลังจากเด็กๆ วางเงินกันครบแล้วพวกเขาก็บอกลาอควาเฟย์ก่อนจะจากไป มีเพียงเด็กหญิงตัวน้อยและเด็กชายจอมเถียงที่หันกลับมาตะโกนบอกอะไรบางอย่างกับชายหนุ่ม

    “นี่ลุง! ขอให้พวกนั้นหาเจอนะ!”
    “ขอให้หาเจอนะคะ!”

    แล้วพวกเขาก็วิ่งตามไปสมทบกับเด็กคนอื่นๆ
    อควาเฟย์ได้แต่นั่งนิ่งๆ ยิ้มให้ความไร้เดียงสาของเด็กๆ เท่านั้น เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมีคนให้กำลังใจ ทว่าสิ่งที่เขาตามหา... มันคงไม่ได้มาง่ายๆ อย่างนั้น

    ชายหนุ่มเสกตุ๊กตานักระบำและเป่าขลุ่ยแสดงข้างถนนของเขาไปอย่างนั้นจนตะวันลับฟ้า อากาศเริ่มเย็นลงจนเขาต้องเลิกแสดงแล้วหยิบเสื้อคลุมอเนกประสงค์สีน้ำตาลตัวใหญ่ยาวจรดพื้นออกมาสวมเพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ก่อนจะเดินออกจากลานกว้างนี้ไปหาที่พัก แต่ไฉนเลยราคาห้องพักของโรงแรมแถบนี้จึงได้แพงนักหนา

    อควาเฟย์ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นป้ายหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งเขียนติดเอาไว้ว่า ‘ห้องเดี่ยว 1 คืน 7 เหรียญทอง’
    เขามีเงินมากพอจะจ่ายค่าห้องพักได้ก็จริง แต่ถ้าขืนจ่ายออกไปตอนนี้ล่ะก็ เงินสำหรับเดินทางไปเมืองต่อไปจะต้องมีไม่พอแน่นอน ดังนั้นการนอนพักในโรงแรมแถบนี้จึงเป็นไปบ่ได้ เขาจึงเดินคอตกกลับไปหาโรงแรมในเขตเสื่อมโทรมซึ่งเป็นเขตที่เขาผ่านมาตอนแรก

    เมืองนี้เป็นเมืองแปลกประหลาดเมืองหนึ่งในสายตาชายหนุ่ม มันแบ่งเขตเสื่อมโทรมและเขตเจริญออกอย่างชัดเจน ราวกับเป็นโลกสองโลกที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รับรู้การมีตัวตนของกันและกันแม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ตาม

    ผู้คนในเขตเจริญก็ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติของเขาไปอย่างสุขสบาย กลับกัน คนในเขตเสื่อมโทรมดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก ด้วยสภาพแวดล้อมย่ำแย่ เต็มไปด้วยอาคารเก่าๆ ไม่น่าพิสมัย ขยะเกลื่อนกลาดและคนจรจัดเต็มไปหมด อควาเฟย์กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในคนจรจัดเหล่านั้น เมื่อเขาพบว่าในเขตเสื่อมโทรมไม่มีโรงแรมเลยซักที่


    นี่มันอะไรกันฟะ....... ตรูต้องนอนข้างถนนแบบเจ้านั่นจริงๆ หรือนี่


    เขาคิดพลางเหลือบไปมองชายคนหนึ่งนั่งไอโขลกๆ อยู่ข้างถังขยะ โดยมีเพียงผ้าห่มเก่าๆ คลุมตัวเท่านั้น
    คิดอีกทีมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เพราะเขามีเงินไม่มากพอสำหรับหาที่นอนดีๆ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเลือกทำเลดีๆ ข้างตึกมีหลังคาให้แน่ใจว่าจะไม่โดยน้ำค้างเล่นงาน

    ทว่าครู่ต่อมาสวรรค์ก็เล่นตลก โปรยปรายหิมะสีขาวลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย อากาศที่หนาวอยู่แล้วก็ยิ่งหนาวมากขึ้นไปอีก อควาเฟย์ถึงกับต้องนั่งขดตัวเหมือนชายคนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน

    “หนาวโว้ย......”

    เขาบ่นกับตัวเอง พลางถูมือไปมาเพื่อคลายหนาวแม้มันจะช่วยไมได้มากก็ตาม


    กริ๊ง....


    ท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปราย ร่างบางของเด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เธอมาพร้อมกับเสียงกระดิ่งเสียงแหลมทว่ากังวานอย่างไพเราะ


    กริ๊ง....


    เธอยืนเบื้องหน้าอควาเฟย์ สวมผ้าคลุมมีฮู้ดสีน้ำตาลเก่าๆ ขาดๆ ยาวเพียงครึ่งเข่า แขนคล้องตะกร้าซึ่งมีกล่องไม้ขีดไฟเต็มไปหมด ใบหน้าของเด็กสาวเปื้อนฝุ่นเป็นจุดๆ กึงกระนั้นดวงตาสีฟ้ากลมโตของเธอก็ยังดูสดใส ผมสั้นสีทองอ่อนหยักเป็นลอนนิดๆ ทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตา แต่เป็นตุ๊กตาเก่าๆ ที่ไม่ได้รับการดูแล

    กล่องไม้ขีดกล่องหนึ่งถูกยื่นให้อควาเฟย์โดยที่เด็กสาวไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าสงบนิ่งไม่มีความรู้สึกราวกับเป็นตุ๊กตารูปร่างมนุษย์

    “เอ๋... ขายไม้ขีดเหรอ โทษทีนะฉันไม่เอาหรอก”
    อควาเฟย์ปฏิเสธ เขาไม่มีเงินจะเสียให้กับไม้ขีดหรอก เพราต้องเสียให้อะไรอื่นๆ อีกมากมาย ทว่าเด็กสาวก็ยังคงยืนค้างท่านั้นไม่ไปไหน ชายหนุ่มจึงหันหน้าหนี

    เห็นอย่างนั้นเธอจึงนั่งลงและวางมันลงกระเป๋าของอควาเฟย์ พลางตบมันเบาๆ ลูบๆ ไปมาปัดหิมะที่เกาะอยู่บนกระเป๋าออก อควาเฟย์ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเด็กสาวเท่าไรนัก เธอดูท่าทางจะไม่สนใจไม้ขีดไฟแล้ว แต่หันไปสนใจกระเป๋าแทนเพราะเธอเอาแต่จ้องมันท่าเดียว
    เขาหยิบไม้ขีดไฟขึ้นมาสำรวจ ก่อนจะถามเด็กสาว

    “นี่... ให้ฉันเหรอ?”

    เด็กสาวพยักหน้า ดวงตายังคงจ้องบนกระเป๋า

    “เธอมีอะไรกับกระเป๋าของฉันรึเปล่าเนี่ย? ในนั้นไม่มีอะไรหรอก มีแต่ของจุกจิกกับเสื้อผ้านิดหน่อยเท่านั้น”

    เด็กสาวไม่ตอบ ยังคงจ้องมันต่อไป อควาเฟย์จึงฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

    “หรือว่าเธออยากดูนี่? ฉันจะให้เธอดูก็แล้วกัน ถือว่าเป็นค่าไม้ขีดไฟ”

    แล้วชายหนุ่มก็สร้างลูกบอลน้ำขึ้นมาและทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตานักระบำ ก่อนจะหยิบขลุ่ยเงินขึ้นมาเป่าเพื่อให้ตุ๊กตาเต้นระบำตามหน้าที่ของมัน
    ดวงตาของเด็กสาวทอประกายขึ้นมาทันที เธอกำลังตื่นเต้นกับท่วงทำนองที่ไม่ประสานกันกับท่าเต้นของตุ๊กตา ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มสดใส

    ท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปราย เด็กสาวนั่งอยู่ตรงนั้น
    สดับฟังท่วงทำนองแสนประหลาดอย่างมีความสุข

    ท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปราย ชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้น
    บรรเลงท่วงทำนองแสนประหลาดอย่างมีความสุข

    ค่ำคืนไร้ดาวอันครื้นเครง ราวกับเป็นอีกโลกที่ถูกสร้างขึ้น
    จากท่วงทำนองแสนประหลาด ที่มีเพียงเด็กสาวและชายหนุ่ม

    ตุ๊กตาตานักระบำหยุดเต้นเมื่อเสียงเพลงหายไป เด็กสาวยังคงดูประทับใจกับการแสดงโดยปราศจากคำพูดใดๆ

    “เธอชอบเหรอ?”

    อควาเฟย์ถามขึ้น เธอเพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

    “งั้นเหรอ ถ้าชอบฉันก็ดีใจ”

    แต่แล้วร่างบางก็ล้มลงไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อควาเฟย์ตกใจจึงรีบลุกขึ้นไปดูทันที

    “เฮ้ย! เธอ เป็นอะไรรึเปล่า?”

    เขาประคองเด็กสาวขึ้นมา พยายามเขย่าเรียกยังไงเธอก็ไม่ตื่น จึงลองเอามือแตะหน้าผากดูแล้วก็ต้องรีบชักออกทันที เพราะหน้าผากของเธอร้อนจี๋เหมือนถูกไฟไหม้เลยทีเดียว

    “ตัวร้อนนี่.... ยัยนี่ไม่สบายงั้นเรอะ”

    ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย แต่เหมือนมีอะไรจุกอยู่ตรงลำคอทำให้กลืนลงไปลำบาก รอบๆ นี้ไม่มีใครอยู่เลย จึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ จะปล่อยเด็กคนนี้ทิ้งไว้แบบนี้ก็ไม่ได้.....
    อควาเฟย์เริ่มมองเห็นเค้าลางแห่งหายนะมาเยือนเสียแล้ว

    “ซวยแล้วไงตู...... ท่าทางต้องเสียเงินจนได้”


    + + + + + + + + + + + +​

    Character
    Aquafay Von Athalius - AQUAFAY -



    Freetalk

    สวัสดีครับ^^
    เฟส 3 นี้ค่อนข้างห่างจากเฟส 2 พอควรเลยเพราะว่าผมสอบแล้วครับ จริงๆกะจะโพสท์ตอนวันเสาร์ เพราะสอบเสร็จพอดี
    แต่กลัวว่าจะทิ้งห่างนานเกินไป ก็เลยเลือกโพสท์วันนี้เพราะผมหยุดพอดี ส่วนวันเสาร์หรืออาทิตย์ก็คงจะต่อด้วยเฟส 4 ต่อเลย
    ตอนนี้ก้มีแค่อควาเฟย์คนเดียวล่ะ^^" กับสาวน้อยปริศนาที่จะมีบทบาทสำคัญในเรื่องต่อไป ถึงมันจะดูไม่มีอะไร แต่มีประเด็นสำคัญของเรื่องอยู่ถึงสองประเด็นเชียวนะ........ (แปลว่าแกก็ยังปูเรื่องอยู่ใช่ไหมเนี่ย ดำเนินรอยตามกันดั้ม 00)

    ตอนที่แต่งตอนนี้ออกมา กะให้คิดว่าเข้าฤดูหนาวแล้วมีหิมะตกพอดี ถ้าพูดถึงหิมะก็นึกถึงหนูน้อยขายไม้ีขีดไฟขึ้นมาเลยล่ะ เด็กคนนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น=A= (เธอเป็น NPC น่ะ) ภายใต้คอนเซ็ปต์ว่า

    'หนุ่มพเนจรกับสาวน้อยขายไม้ขีดไฟ'

    อะไรทำนองนั้นแหละมั้ง.....

    อีกอย่างเรื่องการแบ่งเฟส พอเห็นแองเจิลจังทักว่า ทำไมไม่ใช้ opus ล่ะ....... เออแฮะ คิดไม่ถึง 55555+
    พอคิดว่าตัวเองจะแบ่งเป็นเฟสๆ เลยใช้คำว่าเฟสไปเลย ง่ายดี ก๊ากกกกก

    ส่วนตอนหน้าคาห์ซานก็เดินทางไปถึงไฮเดิร์นแล้วล่ะ ตัวละครใหม่ที่จะมีบทบาทสำคัญในภายภาคหน้า โผล่ออกมามากมายหลายคนทีเดียว ติดตามชมเน่อ*-*/

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะ> <

    ปล. ถึงอีวานคุง บางคนสเป็คเขาก็ชอบแบบโหดๆ นะ ไม่แน่โซนาเร่แบบโหดๆ อาจจะโดนใจใครหลายๆ คกน็ได้นะเอ้อ- -+
  3. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 3/Update 12/12/50)

    ก๊ากกกกกกกกกกกกกก ระดับเทพพพพพพ

    555....นึกถึงอะไรบางอย่าง อะหุๆ

    ภาษายังดีเหมือนเดิมเลยครับ บรรยากาศในเรื่องดูสบาย ๆ แบบ ไงดี ดูเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับบรรยากาศอ่ะ กร๊ากกกกก พูดไม่ถูก

    เอาเป็นว่ารอตามต่อไปครับ - -+b
  4. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 3/Update 12/12/50)

    โอ้ ในที่สุดก็มาต่อแล้ว ตรงท่อนที่ว่า"ดังนั้นการนอนพักในโรงแรมแถบนี้จึงเป็นไปบ่ได้" ตรงคำว่าบ่มันทำให้ผมสะดุดแปลกๆ อาจเพราะภาษาไม่เหมือนกัน ^^!! แต่คำนี้ก็ช่วยเสริมให้เรื่องดูสบายๆแหละนะ โดยรวมแล้วภาษาดีมากครับ >w</ คำตรงที่เฟย์บอกว่า ฝีมือระดับเทพ กร๊าก
  5. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 3/Update 12/12/50)

    ตอนนี้เป็นตอนที่ผมชอบเป็นพิเศษแฮะ (ไม่ใช่เพราะตัวละครผมได้ออกเยอะสุดนะ ไม่เกี่ยวๆ) รู้สึกว่ามีฉากที่สวยงามหลายฉาก ผมชอบอะไรที่เพ้อฝัน จินตนาการอยู่แล้วด้วย เลยรู้สึกว่าการเล่านิทานของเฟย์เหมือนเป็นจุดที่สวยงามมากๆ ของตอนเลย

    ชอบฉาก ชายพเนจรกับเด็กหญิงไม้ขีดไฟ เป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไม ให้ความรู้สึกเหงาๆ แต่ก็อบอุ่น

    รอตอนต่อไปนะครับผม
  6. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 3/Update 12/12/50)

    รู้สึกเหมือนแดนนี่เลยว่า มันอบอุ่นอย่างเหงาๆประหลาด ซิกจินตนาการล้ำเลิศสุดๆ ภาษาพูดมีแปร่งบ้าง แต่ภาษาบรรยายผมว่าโอเคนะ ชอบตอนเสกตุ๊กตาเริงระบำมากครับ เห็นแล้วรู้สึกโลกนี้สดใสและน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย

    มีกลิ่นรังสีม่วงแปลกๆด้วย =A= ตอนนี้รู้สึกหนักไปทางสื่อภาพลักษณ์ตัวละครมากกว่าเล่าเรื่องสินะ ซิกบรรยายได้ดีสุดตอนอควาเฟย์เล่านิทานให้เด็กฟัง เห็นทีผมต้องเรียนรู้วิธีตัดฉากแบบนั้นซะแล้วสิ ^^"

    รอตอนต่อไปนะครับ

    ปล. ตอบซิก : ไม่ว่ากันเรื่องโซนาเร่โหดๆ บางทีคนเราก็มีสองด้านได้ เฟย์(โซนาเร่)อาจจะดูโหดๆ แต่จริงๆอาจเป็นคนอ่อนโยนน่ารักก็ได้ เพียงแต่ส่วนตัวผมมีภาพลักษณ์โซนาเร่คล้ายๆเงือกอยู่ในหัวกระมัง เลยคิดว่าโซนาเร่ควรจะหวานและอ่อนโยน่
  7. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 3/Update 12/12/50)

    อุ.... อควาเฟย์เล่านิทานให้เด็กๆฟังนี่ทำเอาอินไปเลยแฮะ =w=

    ปล.โซนาเร่โหด...... อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมคนนึงล่ะ 555+
  8. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    Chapter 1 : เพลงโหมโรงแห่งไฮเดิร์น
    phase 4




    เสียงหวูดของรถจักรไอน้ำดังขึ้นเป็นระยะ ขบวนเหล็กยาวเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงบนรางผ่านชนบทที่มีแต่ทุ่งนาและแปลผัก ไร่ สวน ก่อนจะเริ่มมีทิวทัศน์ของตัวเมืองให้เห็น จากนั้นตัวรางก็ยกระดับขึ้น เพื่อหลบเลี่ยงบ้านเรือนข้างล่าง รางคดเคี้ยวไปเรื่อยๆ แทรกผ่านตึกสีครีมหลายอาคารซึ่งสูงเลยรางรถไฟมากโข
    รางรถไฟเส้นอื่นๆ ก็ตัดพาดกันไปมาดูราวกับเป็นใยแมงมุม ส่วนตึกที่สูงๆ ก็บดบังทัศนียภาพมิดจนเกือบมองไม่เห็นท้องฟ้า

    ภาพทั้งหมดคาห์ซานมองผ่านทางหน้าต่างรถไฟ เขาออกเดินทางจากหมู่บ้านมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่ 3 ซึ่งมาถึงจุดหมายที่เขาต้องการมาเสียที เมืองอันเต็มไปด้วยความอึกทึก วิทยาการใหม่ และผู้คนมากมาย

    'ไฮเดิร์น’

    ที่นี่เราจะได้เห็นรถพลังงานหินเหินซึ่งไม่มีล้อ เพราะมันใช้พลังงานที่สกัดมาจาหินเหินเป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้เพื่อขับเคลื่อน โดยที่ตัวรถนั้นจะลอยอยู่เหนือถนน ตึกรามบ้านช่องโอ่อ่ามากมายเบียดเสียดกันทั่วเมือง และรางรถไฟตวัดผ่านหัวผู้คนข้างล่างราวใยแมงมุม และประชากรมากมายที่เดินอัดกันบนทางเท้าคล้ายกำลังพยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นปลากระป๋อง
    ไฮเดิร์นแห่งนี้เป็นเมืองหลวงซึ่งมีอารยธรรมเจริญที่สุดในบรรดาทุกเมืองของอาณาจักรไฮเดิร์นนี้ ด้วยวิทยาการล้ำยุคจากการหลอมรวมกันของวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์


    เป็นไปได้ไม่อยากกลับมาเมืองนี้เลยจริงๆ


    เขานั่งถอนหายใจข้างในรถจักรไอน้ำซึ่งก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่แพ้กัน ดวงตาสองสีมองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างเบื่อหน่าย
    ถ้าไม่ต้องกลับมาก็ดี.... ชายหนุ่มคิดแบบนั้น แต่สถานที่ที่สามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับจดหมายได้ก็มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เพราะนอกจากไฮเดิร์นแล้วเขาก็ไม่เคยไปเยือนเมืองอื่นเลย
    สมัยก่อนคาห์ซานเคยใช้ชีวิตอยู่ในไฮเดิร์นพักหนึ่ง แต่ก็ต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิด มีเรื่องต่างๆ มากมายเกิดขึ้น ณ เมืองแห่งนี้ และเขาก็ไม่ต้องการจะถูกภาพหลอนของมันตามรังควาน จึงได้ย้ายออกไป
    แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
    ภาพหลอนที่ว่าก็ยังตามไปหลอกหลอนถึงบ้านนอกอยู่ดี

    จากข้างในหน้าต่างคาห์ซานมองเห็นเกาะลอยฟ้าซึ่งถูกล่ามไว้ด้วยโซ่สี่เส้น ลอยอยู่เหนือเมืองไฮเดิร์น ข้างล่างของเกาะนั้นมีปราสาทสีขาวหลังใหญ่ ตกแต่งด้วยรูปปั้นนางไซเรนสีทองตามยอดหลังคาทรงแหลม ตรงกลางปราสาทมีหอคอยหลังหนึ่งยื่นขึ้นไปเสียบกับดินของเกาะรอยฟ้า คล้ายเป็นทางเชื่อมต่อขึ้นไปบนนั้น
    ส่วนบนเกาะลอยฟ้าเองก็มีปราสาทเช่นกัน รูปทรงของมันคล้ายกัน ทว่าปราสาทข้างบนเกาะลอยฟ้าถูกล้อมไว้ด้วยผลึกคริสตัลใสซึ่งแทงทะลุขึ้นมาจากพื้นดินเป็นจำนวนมาก และมีแท่งหนึ่งยื่นยาวขึ้นไปบนฟ้า ทะลุกลีบเมฆขึ้นไปจนมองไม่เห็นยอดของมัน


    นั่นคือ.... โอราโทริโอ


    หอคอยที่เชื่อมผืนโลกเข้ากับอวกาศ คาห์ซานเคยขึ้นไปบนนั้นอยู่หลายครั้งแต่ก็นานมากแล้ว
    เกาะลอยฟ้าโอราโทริโอ้ไม่ใช่ว่าใครก็ขึ้นไปได้ จะต้องเป็นคนที่มีหน้าที่พิเศษหรือได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษเท่านั้นจึงจะขึ้นไปได้
    และจะต้องผ่านขั้นตอนหลากหลายมาก กว่าจะได้รับการรับรองจากเจ้าหญิงวังล่างซึ่งเป็นผู้ดูแลปราสาทชั้นล่างของเกาะลอยฟ้า และอีกหลายขั้นตอนเช่นกันกว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหญิงวังบนซึ่งเป็นผู้ดูแลเกาะลอยฟ้า

    คาห์ซานขึ้นไปบนนั้นได้เพราะเข็มกลัดไวโอลินที่เขามีอยู่.... เขาเองก็เคยเป็นคนที่มีหน้าที่พิเศษเช่นกัน

    แต่มันก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว....
    ในระหว่างที่ขบวนกำลังเคลื่อนตัวไปตามรางคดเคี้ยว ฝูงเปกาซัสก็บินผ่านขบวนรถไฟไป มันเป็นเปกาซัสสีขาวทั้งฝูง สวมหมวกเหล็กและมีผู้บังคับแปลว่ามันเป็นม้าศึกอย่างแน่นอน ไม่ใช่หน่วยราดตระเวนด้วย เพราะทหารที่ขี่พวกมันอยู่ใส่เกราะเต็มยศ เกราะสีขาวขลิบน้ำเงินกลืนไปกับสีของม้า

    พวกเขาออกมาทำอะไรกันในชุดเกราะแบบนั้น? คาห์ซานมองตามหลังฝูงเปกาซัสนั้นไปพลางคิด มีม้าศึกและพลขี่ไม่ถึง 20 นาย บนเปกาซัสบางตัวมีพลขี่ถึงสองคน เพราะอีกคนเหมือนจะบาดเจ็บ ขนสีขาวของม้าเองหากดูดีๆ แล้วก็จะพบว่ามันเขรอะฝุ่นและคราบเลือดด้วย


    มีการต่อสู้เกิดขึ้นแน่นอน


    เป็นข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้ แต่กลับใครล่ะ? ยุคสมัยนี้ไม่มีสงครามแล้วนี่นา ไม่น่าจะเกิดการต่อสู้ระหว่างทหารด้วยกันได้ อีกอย่างกองเปกาซัสก็ไม่ใช่หน่วยที่จะต้องออกไปปราบปรามสัตว์ประหลาดโดยตรงด้วย

    “แย่จังเลยนะ ท่าทางไฮเดิร์นเองก็คงลำบาก”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างคาห์ซาน เป็นเสียงของหญิงสาวผมบลอนด์หน้าตาสะสวย แต่งด้วยเครื่องสำอางพอเหมาะ สวมเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยสีดำ กระโปรงสั้นสีเดียวกันที่คาห์ซานคิดว่าถ้าเธอนั่งไม่ระวังล่ะก็ น้องลิงจะต้องออกมาซุกซนบนรถไฟเป็นแน่ โชคยังดีที่เสื้อโค้ทสีดำยาวของเธอช่วยปิดไว้ได้มาก

    คาห์ซานมองหญิงสาวคนนี้ด้วยความประหลาดใจ เพราะจู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาคนเดียวซะอย่างนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ หลังจากที่เธอเหลือบตามามองเขาพร้อมรอยยิ้มเขาก็เข้าใจว่าเธอจงใจดึงความสนใจของเขามา
    ดวงตาสีแดงของเธอดูมีเลศนัยแปลกๆ เมื่อเขามองตอบ ทว่ามันแฝงไว้ด้วยความลึกลับน่าค้นหา เป็นเสน่ห์ในตัวของมันเอง แน่นอนว่ามันเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนให้เธออีกเป็นกอง

    ชายหนุ่มไม่คิดจะปฏิเสธคำเชิญชวนของเจ้าหล่อน การพูดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยชาวบ้านที่ไหนเขาไม่ทำกันหรอก มีเพียงคนที่อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้นที่จะทำ

    “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? ที่ไฮเดิร์นนี่น่ะ”

    “อลิซาเบธ ริชเชอร์จ้ะ”

    “เอ๋......?”

    คาห์ซานตกใจเล็กน้อย เพราะเธอไม่ตอบคำถามของเขาไม่พอ ยังแนะนำตัวขึ้นมาเฉยๆ ซะงั้น ตามมารยาทคงจะมัวแต่งงอยู่ไม่ได้

    “คาห์ซาน ครอคซ์ครับ... ยินดีที่ได้รู้จัก คุณอลิซาเบธ”

    “เช่นกันค่ะ ขอโทษทีนะ พอดีฉันจะไม่คุยกับคนแปลกหน้าน่ะ แต่ถ้ารู้จักชื่อกันแล้วคงไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้วล่ะ จริงไหม?”

    “เอ่อ.... คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”

    เขาเออออตามอลิซาเบธ สิ่งที่เธอพูดนี่อาจจะเป็นเรื่องถูกก้ได้ล่ะมั้ง?
    แน่นอนว่าเขาไม่ลืมถามคำถามเดิมของเขา

    “ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไฮเดิร์นนี่กันแน่ครับ? คุณรู้อะไรรึเปล่า?”

    “ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละ ฉันว่านะ” อลิซาเบธกล่าว ดวงตาทอแววขบขันกับพ่อหนุ่มบ้านนอก
    “ยกเว้นซะว่าเธอจะมาจากบ้านนอกคอกนาที่ห่างไกลความเจริญแบบสุดๆ”

    ถูกต้องแล้วครับผม แล้วผิดด้วยหรือไงเนี่ย คาห์ซานแอบคิด
    แต่เขาก็ปล่อยอลิซาเบธอธิบายต่อไป โดยไม่แสดงความคิดออกมาทางสีหน้า

    “ตอนนี้ไฮเดิร์นกำลังมีสงครามขนาดย่อมกับซีนี่อยู่ พวกเขาเริ่มชิงดินแดนรอบๆ นี่มาได้พักใหญ่แล้วล่ะ”

    “ชิงดินแดน!? ทำไมล่ะ?”
    คาห์ซานโพล่งขึ้นด้วยความตกใจ นี่มันไม่ใช่ยุคจะมาล่าอาณานิคมกันแล้วนี่นา สนธิสัญญาสันติภาพก็มี ทำไมพวกเขาละเมิดมันซะล่ะ?

    “ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เธอรู้ไหม? ช่วงนี้สภาพแวดล้อมมันแปรปรวนผิดปกตินะ ทั้งฝนฟ้าอากาศก็ไม่ดี ฤดูฝนที่ผ่านมาของเมืองทางใต้น่ะไม่มีฝนร่วงลงมาเลยซักหยดเดียว เชื่อไหม? ฉันกล้าพนันได้เลยว่าซีนี่ที่อยู่ทางใต้จะต้องแห้งแล้งสุดๆ การเกษตรจะต้องย่ำแย่แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าดินแดนบางส่วนของพวกเขาจะกลายเป็นดินแดนล้างไปซะแล้วน่ะสิ แย่หน่อยที่ไฮเดิร์นก็เจอปัญหาเดียวกัน จึงต้องรีบเอาเขตที่ยังอุดมสมบูรณ์มาเป็นของตัวเอง”

    “ก็เลยเกิดการแย่งชิงดินแดนระหว่างสองอาณาจักร?”
    เขาถามย้ำความแน่ใจ

    “ถูกต้อง ปัญหาใหญ่เลยล่ะ”
    อลิซาเบธขยิบตาราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ผิดกับคาห์ซานที่เริ่มคิดหนัก

    เรื่องมันชักจะวุ่นวายขึ้นทุกที เพราะหายนะเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างแท้จริงแล้ว ไม่เพียงแต่ธรรมชาติเท่านั้นที่ปั่นป่วน หัวใจของผู้คนก็ปั่นป่วนด้วยเช่นกัน
    เจ้าตัวที่หลับอยู่เหนือฟ้ากำลังจะตื่นแล้วอย่างนั้นหรือ? เพราะอย่างนั้นถึงได้มีจดหมายส่งมาถึงเขาเพื่อให้หาโซนาเร่คนใหม่มาเพื่อร้องเพลงขับกล่อมมัน

    แทนเฟย์เรีย.....
    สาวน้อยที่ถูกพาตัวไปเมื่อ 4 ปีก่อน และหายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน..... เฟย์เรีย รูจ

    คาห์ซานนึกภาพของเธอในห้วงความทรงจำ
    สาวน้อยผู้มากับเสียงเพลง
    ผมสีน้ำตาลจนเกือบแดงขงเธอมักจะพลิ้วตามสายลมเสมอ
    เสียงเพลงแสนไพเราะ
    เสียงนั้นหายไปเมื่อ 2 ปีก่อน..... พร้อมทั้งตัวเธอ

    แต่เขาจะไม่ทำตามจดหมายนั่น เขาจะไม่ทำตามที่มันบอกเด็ดขาด
    ที่เดินทางกลับมาไฮเดิร์นก็เพื่อจะหาตัวคนเขียนเท่านั้น ไม่ได้จะมายุ่มย่ามกับสงครามหรือเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
    เป้าหมายของเขามีเพียงแค่อย่างเดียว คือการยัดจดหมายคืนใส่มือคนเขียนก็เท่านั้น

    “ฉันรู้สึกกลัวๆ”
    จู่ๆ อลิซาเบธก็พูดขึ้นมาอีก ดวงตาของเธอมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
    รางรถไฟเริ่มลดระดับต่ำลงแล้ว มันใกล้จะถึงสถานีเต็มที

    “กลัว... เหรอครับ?”

    “ใช่ กลัวมากเลยล่ะ..... กลัวว่าเจ้าตัวที่นอนอยู่บนฟ้านั่นมันจะตื่นขึ้นมาจริงๆ เธอก็รู้ใช่ไหม ไม่มีทางที่จู่ๆ อะไรๆ มันจะแย่ลงไปได้ขนาดนี้หรอก นอกเสียจากพลังของเจ้าตัวนั้นกำลังไหลออกจากตัวมันเท่านั้นแหละ ถ้ามันเกิดตื่นขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นคงวุ่นวายกันน่าดู”


    “ไม่มีทาง”


    เสียงของคาห์ซานแทรกขึ้นมา ดวงตาของเขาแข็งกร้าวดุจสัตว์ป่า มันก้าวร้าวขึ้นจนอลิซาเบธสังเกตเห็นได้ชัด
    ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ไปเลย เธอจึงมองเขาตาไม่กระพริบด้วยความแปลกใจ
    ถึงกระนั้นคาห์ซานก็ไม่หวั่นไหวต่อดวงตาของเธอที่อาจจะมองว่าเขาเป็นตัวประหลาด
    แต่แน่นอน.... เรื่องอย่างนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้น

    “มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น แน่นอน... จะต้องไม่เกิดขึ้น”

    เขาพูดซ้ำๆ ไปมา ดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับอลิซาเบธ

    เด็กหนุ่มคนนี้มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไป อลิซาเบธคิดอย่างนั้น ในดวงตาของเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกตรึงไว้ข้างใน ตามติดเหมือนเงาที่ไม่มีทางสลัดไปได้
    ตอนนั่งเฉยๆ คล้ายกับวิญญาณของเขาได้หลุดลอยออกนอกโลกไปแล้วอย่างนั้นแหละ อลิซาเบธสังเกตเขาตลอดจนเริ่มพูดขึ้นมาเพื่อดึงความสนใจของคาห์ซานมาที่เธอ

    เขาดูเป็นชายหนุ่มที่ผ่านอะไรมามาก แต่ในสายตาเธอก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มโชคร้ายที่มีบาดแผลจากประสบการณ์เท่านั้นเอง

    อลิซาเบธหยิบกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งในกระเป๋าส่งให้คาห์ซาน มันเป็นแผนที่เขียนหยาบๆ

    “ฉันทำงานอยู่ที่ร้านนี้น่ะ ถ้าเธอว่างก็มาเที่ยวสิ แต่ต้องบรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้นนะ”

    เธอพูดพลางขยิบตาให้

    รถไฟเข้าเทียบชานชาลาแล้ว ประตูของมันเปิดออกและอลิซาเบธก็ลุกออกไปโดยไม่บอกลาเขา ทิ้งแค่แผนที่แผ่นเล็กๆ ไว้ให้เท่านั้น

    คาห์ซานเองก็ลงจากรถไฟตรงสถานีนี้เช่นกัน สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือหาที่พักสำหรับอยู่ในเมืองไฮเดิร์น อาจจะต้องหลายวันหน่อย ดังนั้นควรเลือกโรงแรมถูกๆ เอาไว้ก่อนก็คงจะดีกว่า
    เขาเดินฝ่าผู้คนแออัดในสถานีเข้าสู่ตัวเมือง บนบาทวิถีก็มีคนจำนวนมากสัญจรอยู่เช่นกัน พวกเขาดูเร่งรีบเกินกว่าจะสนใจคนรอบข้าง ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงตัวเองที่ต้องเดินไปให้ได้ คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่างประไร

    บรรยากาศแออัดแบบนี้ คาห์ซานไม่ชอบเลยจริงๆ มันทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เขาควรจะต้งรีบหาโรงแมโดยไวและไม่มีคนพลุกพล่าน เขาจึงตัดสินใจเดินห่างจากตัวเมืองออกไปเรื่อยๆ โบกรถโดยสารประจำทางเพื่อไปยังชานเมืองซึ่งใกล้กับเกาะลอยฟ้ามากที่สุด แถวนี้มีคนอาศัยอยู่ไม่มากเพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็ไม่บ้านนอกคอกนาเหมือนหมู่บ้านของเขา ยังมีถนนปูด้วยตัวหนอน และร้านอาหารมากมาย ซึ่งถือว่าค่อนข้างเจริญ

    จากหมู่บ้านนี้เกาะลอยฟ้าดูใหญ่มาก ตัวปราสาทชั้นล่างเองก็ดูโออ่าเมื่อมองดูใกล้ๆ มันอยู่ห่างจากหมู่บ้านนี้ไปไม่ถึง 20 กิโลเมตร ทำให้เงาขงเกาะลอยฟ้าทอดลงมาบังพื้นที่บางส่วนของหมู่บ้านไป ตรงนั้นเขาทำให้เป็นลานกว้าง ปลูกต้นไม้รอบๆ และมีน้ำพุตรงกลาง ใช้ร่มเงาให้เป็นประโยชน์ ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนที่ไม่เลวเลยทีเดียว

    คาห์ซานเลือกโรงแรมใกล้ๆ กับลานกว้างแห่งนี้ ดูราคาแล้วมันถูกว่าในเมืองมาก เพราะคืนหนึ่งแค่สี่เหรียญทองเท่านั้นเอง แม้ห้องจะไม่กว้างมาก แต่ก็มีเตียงกับโต๊ะให้ และมีห้องน้ำในตัว ถือว่าสะดวกดีใช้ได้
    หลังจากเอาสัมภาระเก็บเข้าที่หมดแล้ว เขาจึงออกมาเดินเล่นข้างนอก

    หมู่บ้านนี้มีอากาศดี เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ต่างจากตัวเมืองซึ่งมีคนเดินอัดกันเหมือนปลากระป๋อง บนถนนของหมู่บ้านแทบไร้ผู้คน มันเงียบสงบ
    ถ้าหากมีเสียงเพลงของโซนาเร่ซักคนแว่วมาก็ไม่น่าแปลกใจเลย

    เสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งหน้าประตูของร้านคอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งดังขึ้นเมื่อคาห์ซานเปิดเข้าไป มันเป็นร้านเล็กๆ ที่ถูกทาด้วยสีฟ้า โต๊ะสี่ตัววางอยู่กลางร้านเป็นสีฟ้าด้วยเช่นกัน
    เขาเข้าไปนั่งตรงบาร์ซึ่งมีผู้ชายสวมชุดแดงนั่งอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงสั่งเอสเพรสโซมาดมกลิ่นไปพลาง ฟังเพลงที่ทางร้านเปิดไปพลาง
    ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหนก่อนดีสำหรับเรื่องจดหมาย

    บางทีตรงไปที่ปราสาทชั้นล่างของเกาะลอยฟ้าแล้วขอเข้าพบใครซักคนที่เขารู้จักเลยคงจะง่ายกว่า แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์อย่างนั้น
    หลังจากได้พบกับอลิซาเบธและฟังเรื่องที่เธอพูดมันทำให้เขาคิดมาก ถึงเขาจะบอกว่าไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่นอน ไม่มีทางที่เจ้าอสูรร้ายจะตื่นขึ้นแน่นอน แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาบอกว่ามันอาจจะเป็นไปได้
    เจ้าอสูรกำลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว นั่นคือความเป็นไปได้

    เพราะเฟย์เรียไม่อยู่แล้ว..... ไม่อยู่บนหอคอยอีกต่อไป เธอหายตัวไปจากหอคอยโอราโทริโอเมื่อ 2 ปีก่อน



    ท่วงทำนองของบทเพลงอันรุนแรง
    สายลมกระหน่ำกรรโชกอันรุนแรง
    อารมณ์คุกรุ่นพลุ่งพล่านอันรุนแรง
    เสียงที่ไม่มีความไพเราะอีกต่อไป

    ในตอนนั้น ร่างของคาห์ซานและอควาเฟย์ลอยคว้างอยู่ในอากาศ พวกเขาอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารของไฮเดิร์นสีขาวขลิบขอบน้ำเงิน ติดเข็มกลัดไวโอลินและวิโอล่าไว้ที่อกขวา ผ้าคลุมไหล่ซ้ายซึ่งมีตรารูปไวโอลินสีทองขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวของทั้งคู่สกปรกมอมแมมดูไม่ได้เลย

    ทั้งสองกำลังร่วงลงจากท้องฟ้า มือขงคาห์ซานจับแขนอควาเฟย์ไว้แน่นเพื่อไม่ให้หลุดตกลงไปก่อน ตอนนี้เขาพยายามสุดขีดในการใช้เวทย์ลมเพื่อยับยั้งการตกให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ถ้าทำได้ก็รอด..... แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ตาย

    แต่แล้วสายลมก็กรรโชกแรงขึ้นอีก คาห์ซานไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้
    ร่างของอควาเฟย์หลุดลอยออกไปในอากาศเสียแล้ว

    “เฟย์!! เฟย์!!”

    เขาพยายามเรียก แต่ไม่เป็นผล อควาเฟย์หมดสติไปนานแล้ว

    เรื่องนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย ไม่สิ.... เรื่องพวกนี้ต่างหาก
    มันไม่น่าเกิดขึ้นเลยจริงๆ ......เรื่องราวของหอคอยแห่งนั้น

    ความทรงจำที่อยากลืม
    ความรู้สึกที่อยากลืม
    หลั่งไหลเข้ามาเสมอเมื่อเราพยายามจะหนีมัน



    กลิ่นของเอสเพรสโซปลุกคาห์ซานให้ตื่นจากภวังค์ เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดื่มกาแฟเลยซักอึก อาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมของมัน บรรยากาศเงียบสงบของร้าน และเสียงเพลงเบาๆ จากวิทยุที่เล่นอยู่ตลอดเวลา
    คราวนี้เขายกกาแฟขึ้นมาซดบ้างแล้ว เพราะกลัวจะไม่ได้ลิ้มรสชาติขมๆ ของมันตอนยังร้อนๆ อยู่ เขาสังเกตเห็นว่าชายสวมชุดแดงข้างๆ ยังไม่ไปไหน และท่าทางเหม่อลอยไม่แพ้เขาเลย

    ชายคนนี้มีผมสีบลอนด์สั้นหยักนิดๆ และใบหน้าคมคาย ดวงตาสีมรกตสวย สวมชุดทหารสีแดงซึ่งบ่งบอกถึงยศระดับหัวหน้าหน่วย ทว่าสิ่งเดียวที่สะดุดตายิ่งกว่าส่วนไหนๆ คือรอยบากพาดผ่านดั้งจมูก ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าคมคายของเขาเสียสมดุลไป กลับกันแล้วยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามมากขึ้น
    ยิ่งมองชายหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่เคยรู้จัก ใครคนนั้นก็มีสีผม ทรงผม สีตาและหน้าตาอย่างนี้เหมือนกัน ในตอนนั้นคนที่เขาคิดถึงยังเป็นเพียงทหารธรรมดาๆ คนหนึ่ง บางทีตอนนี้อาจจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานไปมากแล้วก็ได้ เหมือนชายคนนี้.....


    เหมือนชายคนนี้.....


    “เฮ้ย!? ไม่เหมือนธรรมดาล่ะ ใช่เลยนี่หว่า อเล็กซ์!”

    ชายหนุ่มชุดแดงหันกลับมา เขาทำหน้าตาตกใจไม่แพ้คาห์ซาน

    “คุณคาห์ซาน!”

    ทั้งสองนั่งชี้หน้ากันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในร้านกาแฟโดยบังเอิญขนาดนี้ เขาคือชาร์ อเล็กซานเดอร์ เอเปี้ยน เคยร่วมทีมกับคาห์ซานมาก่อน
    อเล็กซ์ตื่นเต้นมากที่ได้พบกับคาห์ซานอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบมานานแสนนาน ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน คาห์ซานออกจากโอราโทริโอ้ไป พร้อมทั้งหายตัวไปจากไฮเดิร์นด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน แต่ตอนนี้อเล็กซ์ได้พบกับคาห์ซานแล้ว ง่ายๆ เลยด้วย

    “ไม่น่าเชื่อ.... เป็นคุณจริงๆ”
    ชายหนุ่มผมทองอุทาน

    “อ่า..... นั่นสินะ บังเอิญจริงๆ”

    “เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีเหรอ?”

    “ก็ดีนะ เรื่อยๆ”

    คำถามและคำตอบสามัญสำหรับบทสนทนาของคนไมได้พบกันนานผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนถูกเขียนบทเอาไว้ก่อนแล้ว ถึงกระนั้นอเล็กซ์ยังคงยิ้มแป้นแม้มันจะเป็นเพียงบทสนทนาธรรมดาๆ ก็ตาม เพราะคาห์ซานคือเป้าหมายที่เขาอยากจะไปให้ถึงเมื่อนานมาแล้ว
    แต่เหตุไฉนชายหนุ่มผู้หายตัวไปจากไฮเดิร์นถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เวลานี้กันล่ะ?

    “ว่าแต่คุณคาห์ซานไปยังไงมายังไงครับ ถึงได้กลับมาไฮเดิร์นแบบนี้?”

    “อ่ะ...อ๋อ ฉันมาตามหาคนน่ะ”

    “ใครเหรอครับ?”

    “ก็..... ไม่รู้สินะ บางทีนายอาจจะรู้จักก็ได้”

    ว่าแล้วชายหนุ่มตาสองสีก็ล้วงจดหมายส่งให้อเล็กซ์ เขาเปิดซองขึ้นมาดู อ่านรายละเอียดในนั้นอย่างถี่ถ้วนด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา

    “คนเขียนจดหมายนี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโอราโทริโอ้!”

    “ใช่.... ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องเมื่อสองปีก่อน ทั้งๆ ที่มีการปิดเป็นความลับไม่ให้ใครนอกจากขุนนางกับทหารระดับสูงเท่านั้นที่รู้”
    คาห์ซานพูดเสียงเรียบพลางยกแก้วเอกเพรสโซขึ้นมาดื่มในขณะที่อเล็กซ์แสดงความตึงเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะหากข่าวการหายตัวไปของโซนาเร่ที่เป็นคนทรงแห่งโอราโทริโอ้รู้ถึงหูประชาชนล่ะก็ได้เกิดจลาจลแน่
    แต่ว่า.... มีอะไรสะกิดอเล็กซ์ตั้งแต่เขาอ่านจดหมายนี้แล้ว อะไรบางอย่างที่มองเห็นได้ง่าย

    “ลายมือของคนเขียน..... ดูคุ้นๆ นะครับ”

    “เอ๊ะ!?”

    “เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยครับ... ลายมือแบบนี้น่ะ”

    “จริงเหรอ!? ที่ไหน!?”
    ชายหนุ่มตะโกนเสียดัง ในที่สุดเบาะแสก็โผล่ออกมาแล้ว โชคดีจริงๆ ที่กลับมาไฮเดิร์น

    “ไม่แน่ใจครับ... มันติดอยู่ในหัว คุณคาห์ซานลองดูดีๆ สิครับ เผื่อคุณอาจจะเคยเห็นเหมือนกัน”

    อเล็กซ์ส่งกลับให้คาห์ซาน เขาเอามันมาพิจารณาดูดีๆ อีกที ปรากฏว่าคุ้นเหมือนกัน ทำไมเขาไมเอะใจให้เร็วกว่านี้นะ นี่มันต้องเป็นลายมือของใครซักคนที่เขารู้จักแน่ เขาต้องเคยเห็น ต้องเคยผ่านตามาอย่างแน่นอน ทว่ามันติดอยู่ในหัว นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

    “จริงด้วย... ฉันเคยเห็น เคยเห็นแน่ๆ”
    เขาว่า กำจดหมายไว้แน่นจนแทบจะบีบมันอยู่แล้ว

    “บางทีอาจจะเป็นใครซักคนในโอราโทริโอ้ก็ได้นครับ” อเล็กซ์แสดงความเห็น “เพราะมีแต่คนในหอคอยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และรู้จักพวกคุณ แถมพวกเรายังรู้สึกคุ้นๆ กับลายมือ ก็แปลว่าต้องเคยทำงานด้วยกันมาก่อน ถ้าลองกลับไปที่โอราโทริโอ้อาจจะรู้อะไรมากกว่านี้ก็ได้นะ”

    “นั่นสินะ.... ฉันต้องไปที่นั่นแน่”
    พูดจบคาห์ซานก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋า ยกกาแฟขึ้นมาซดรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนจะวางเงินเอาไว้บนเคาท์เตอร์แล้วลุกออกไปในทันที
    ทว่าเสียงของอเล็กซ์ก็รั้งคาห์ซานเอาไวได้ทัน เขาจึงหันกลับมาตามเสียงเรียก

    “เดี๋ยวก่อนสิครับ คุณคาห์ซาน!”

    “มีอะไรเหรอ?”

    “ไม่คิดจะกลับมาจริงๆ เหรอครับ?”

    คาห์ซานนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร ดวงตาสองสีมองไปทางโต๊ะว่างตัวหนึ่งราวกับไม่ได้สนใจสิ่งที่ชายหนุ่มผมทองพูดเลย ถึงกระนั้นอเล็กซ์ก็ยังพูดต่อไป

    “ทุกคนยังรออยู่นะครับ รอให้คุณกับคุณเฟย์กลับมา ทุกคนรออยู่ตลอด ทั้งผม ทั้งคุณกลีน ท่านเครฟา ท่านเมโลเธีย ทุกคนรออย่างใจจดใจจ่อ เชื่อว่าคุณจะต้องกลับมาแน่”



    ถ้าที่นั่นไม่มีเฟย์เรีย ฉันก็ไม่กลับไป



    ชายหนุ่มตาสองสีทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
    จิตใจอันแน่วแน่ หรือจิตใจอันหวาดกลัว
    อย่างไหนกันแน่ที่สกัดใจเขาไม่ให้หวนกลับมายังเมืองแห่งนี้ ทั้งๆ ที่มีสหายรอคอยมากมาย

    แน่วแน่ที่จะไม่กลับมาเพราะไม่มีเพื่อนรักอยู่ งั้นหรือ?
    แน่วแน่เพราะหวาดกลัวเหตุการณ์แห่งโศกนาฏกรรมนั้น ใช่หรือเปล่า?

    อเล็กซ์ย้อนคิดถึงวันที่ท้องฟ้าแยกออกจากกันในวันนั้น ผลึกรอบหอคอยโอราโทริโอ้ถูกย้อมให้กลายเป็นสีดำทะมึน มัวหมองไม่ผ่องแผ้วเหมือนเสาหินธรรมดา

    แสงสว่างพุ่งทะลวงนภา ดั่งหอกศาสตราประหัตศัตรู

    ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก วันนั้นอเล็กซ์อยู่ที่วังล่างในห้องทำงานของเขา วังล่างมักจะมืดสนิทเสนอ เพราะถูกเงาจากเกาะลอยฟ้าบดบัง แต่แล้วก็กลับสว่างจ้าขึ้นราวกับมีดวงอาทิตย์ลอยลงมาอยู่ใกล้ผิวโลกแค่กิโลเดียว ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด ไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นๆ ได้

    ทว่าวินาทีที่แสงจางลง เขาก็รีบออกจากห้องไปทันที ไปให้ไกลจากวังล่างเพื่อจะได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นได้ถนัดตา มันเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อเมื่อหอคอยโอราโทริโอ้เปลี่ยนสีไป และปล่อยแสงสว่างพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาต่อมาก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ส่วนหนึ่งของโอราโทริโอ้แตกกระจายตกลงมาใส่เมืองข้างล่าง ไม่นานทุกอย่างก็หยุดลง ความโกลาหลเกิดขึ้นในเมืองทันที แต่อเล็กซ์ไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เขาอยากรู้มากที่สุดในตอนนั้นคือ เกิดอะไรขึ้นบนหอคอย

    สิ่งที่ได้คือความว่างเปล่า ไม่มีใครรู้อะไรเลย เมโลเธีย แองเจิล ลาเฟย์น เจ้าหญิงวังบนผู้ดูแลหอคอยโอราโทริโอ้บาดเจ็บสาหัส คาห์ซาน ครอคซ์กับอควาเฟย์ วอน เอธาเลียส ถูกแรงระเบิดกระแทกตกจากหอคอย ต้องจัดทีมค้นหา ซึ่งในตอนนั้นอเล็กซ์เกือบคิดว่าพวกเขากลายเป็นศพไปแล้วเสียอีก เพราะหอคอยสูงจนเกือบถึงชั้นบรรยากาศ
    ตกลงมาจากยอดของมัน ช่างเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่ลื่นหูเอาเสียเลย
    มีอีกคนที่หาตัวไม่พบ นั่นคือ เฟย์เรีย รูจ คนทรงแห่งโอราโทริโอ้
    ไม่มีศพยืนยัน ไม่มีร่องรอยว่าจะออกจากหอคอยด้วย


    หายสาบสูญโดยสมบูรณ์แบบ


    แม้กระทั่งเมโลเธียก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย บอกว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุและให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับอย่าให้คนภายนอกรู้ ต่อมาคาห์ซานมาลาออกจากหน่วย อควาเฟย์หายตัวไปอีกคน

    อเล็กซ์คิดว่าคงมีเพียงบุคคลทั้ง 4 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นเท่านั้นจึงจะรู้เรื่องทั้งหมด ถ้าไม่นับเฟย์เรีย รูจที่หายตัวไปแล้ว ก็เหลือ 3 ตัดอควาเฟย์ที่ความจำเสื่อมออกไปก็เหลือแค่ 2 เท่านั้น ปัญหาอยู่ที่สองคนนี้ปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรเลย จึงทำได้แค่ปล่อยให้เรื่องมันเงียบลงเท่านั้น


    ถูกเร้นเอาไว้หลังม่านหมอก
    ถูกซ่อนเอาไว้ในเงามืด
    ลั่นกุญแจลงกลอนแน่นหนา
    กล่องฤทธานุภาพแห่งความทรงจำ


    เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูไม้ดังขึ้นบ่งบอกว่ามีลูกค้าเข้ามา เธอเป็นหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลจนออกแดง มัดรวบเป็นทรงหางม้า สวมชุดเครื่องแบบทหารสีน้ำเงิน มีผ้าคลุมไหล่ซ้ายยาวถึงครึ่งหัวเข่าปักลายเปียโนสีทองเอาไว้
    ดวงตาสีแดงกวาดตามองทั่วร้าน จนเห็นอเล็กซ์นั่งอยู่จึงเดินเข้ามาหา

    “มาอู้งานอยู่ตรงนี้อีกแล้วเหรอคะ ผู้พัน”

    “อ่ะ..... ฟอร์เต้ เอส เครสเซนโด้ ตามมาถึงนี่เลยเหรอ”
    อเล็กซ์เกาหัว ยิ้มแห้งๆ

    “แน่นอนค่ะ ผู้พันยังจะมีที่อื่นให้ไปอีกเหรอ ดิฉันจะมาบอกว่าท่านเมโลเธียเรียกพบค่ะ นานแล้วด้วย”

    “หา!? จริงเหรอ ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ!”

    ชายหนุ่มรีบวางเงินแล้วลุกขึ้นทันที ฟอร์เต้ถึงกับถอนหายใจเมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของชายหนุ่มตรงหน้า เป็นคนเก่งกาจมีความสามารถแท้ๆ แต่ในบางเรื่องก็อ่อนหัดเสียเหลือเกิน

    “ดิฉันตามหาตัวผู้พันตั้งนานแล้วค่ะ รีบไปดีกว่า เดี๋ยวหัวกระเด็นนะคะ”

    “ถูกต้องตามนั้นเลย ขอบใจนะฟอร์เต้”

    ว่าแล้วพ่อหนุ่มชุดแดงก็ตาลีตาเหลือกออกจากร้านไปอย่างเร่งรีบ หญิงสาวจึงเดินตามออกไปด้วยสีหน้าท่าทางอยากจะบ่นว่า ‘ให้สิน่า ต้องให้ดูแลกันอยู่เรื่อย’



    ปราสาทสีขาวบนเกาะลอยฟ้า
    หอคอยแก้วบนเกาะลอยฟ้า
    สายลมพัดพา กลิ่นกุหลาบอบอวล

    หนึ่งดอกสีแดงสดสวย หนึ่งดอกสีขาวสดใส
    ทั้งสองมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ฝากไว้บนกลีบกุหลาบงาม

    กล่าวว่าหญิงสาวคือดอกกุหลาบ หนามแหลมคมอันตรายนักหนา
    ถึงกระนั้นสีสันก็งามตา ดึงดูดชักพาผู้อยากเด็ดดม

    สองเจ้าหญิงแห่งดงกุหลาบ คนหนึ่งมาดมั่น คนหนึ่งอ่อนช้อย
    สีแดงเร่าร้อน สีขาวนุ่มนวล
    แม้กระทั่งแสงแดดจากหน้าต่าง ก็เป็นเพียงเครื่องประดับ
    ที่ทำให้ความงามดูโดดเด่นขึ้นเท่านั้น


    ในห้องสีขาวกว้างขวางห้องหนึ่งในวังบนของเกาะลอยฟ้า อเล็กซ์ถูกเรียกให้มาที่นี่
    พื้นห้องปูพรหมวงกลมสีน้ำเงินขลิบขอบทอง เก้าอี้นวมสีชมพู 4 ตัวตั้งอยู่บนพรหมกลางห้อง มีโต๊ะกระจกใสเตี้ยๆ วางไว้ตรงกลางเก้าอี้นวมเหล่านั้น ส่วนผนังห้องมีกระจกบานใหญ่รูปวงกลม ติดม่านบางๆ สีขาว

    ที่นั่นหญิงสาวสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งเป็นหญิงสาวผมสีบลอนด์ยาวสลวยจนถึงเอว ดวงตาสีเขียวอมฟ้าและชุดสีขาวฟูฟ่องทำให้เธอดูเหมือนเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ในเทพนิยาย ร่างของเธอเหมือนจะเปล่งแสงออกมาได้ตลอดเวลายามแสงแดดอาบไล้ผิวพรรณ

    ส่วนอีกคนมีผมสีน้ำตาลจนเกือบแดงหยักศกยาวจรดกลางหลัง ดวงตาสีม่วงส่อแววซุกซนทว่าแฝงไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม สวมชุดเกระโปรงเหมือนคนแรกไม่มีผิด ต่างกันตรงที่ชุดของเธอคนนี้เป็นสีแดงโดดเด่น
    ทั้งสองดูแตกต่าง คนหนึ่งร้อนแรง คนหนึ่งเรียบง่าย แต่ก็เข้ากันอย่างลงตัว

    ชายหนุ่มผมทองเดินเข้ามาด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขาเอามือประทับไว้ตรงหน้าอกซ้าย ยืนตัวตรง
    “พันเอกชาร์ อเล็กซานเดอร์ เอเปี้ยนมารายงานตัวแล้วครับ”

    หญิงสาวทั้งสองหยุดคุยกันแล้วเมื่ออเล็กซ์มาถึง ชายหนุ่มไม่ประหลาดใจเลยว่าทำไมเขาถึงเรียกมาพบ เจ้าหญิงกุหลาบขาวแห่งวังบนเมโลเธีย แองเจิล ลาเฟย์น กับ เจ้าหญิงกุหลาบแดงแห่งวังล่างเครฟา เดลดอเรส คงอยากจะรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกที่พวกเธอไม่อาจออกไปสัมผัสได้นั่นเอง

    “ขอบคุณที่มานะคะพันเอก เชิญนั่งค่ะ”
    เมโลเธียผายมือไปยังเก้าอี้นวมตัวตรงข้าม อเล็กซ์กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินอ้อมมานั่ง ไม่นานสาวใช้ก็นำน้ำมาบริการ เขาจึงยิ้มให้เธอ
    “ดิฉันได้ยินว่าเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการปะทะกันกับทหารของซีนี่อีกแล้วหรือคะ?”

    “ใช่ครับ เราตั้งใจจะยกพลไปสำรวจป่าทางตะวันตก แต่เจอกับทหารของซีนี่เสียก่อนจึงต้องปะทะกันครับ ฝ่ายนั้นเองก็คงมาสำรวจพื้นที่แถบนั้นเหมือนกัน”

    “เห....ใจตรงกันเลยนะ ทั้งเราทั้งพวกนั้น”
    เครฟาเอ่ย กึ่งขำขันกึ่งประชดประชัน

    “เราเอาทหารไปไม่มาก เลยต้องถอยกลับก่อน แต่คาดว่าฝ่ายนั้นเองก็คงไม่อยู่ต่อหรอกครับ จำนวนคนที่มีก็พอๆ กันเลย แถมมีคนบาดเจ็บและล้มตาย คงสำรวจต่อไม่ได้”

    “เราจะเสียพื้นที่ตรงนั้นไปเลยหรือเปล่าคะ?”
    เมโลเธียถามสีหน้ามีกังวลเล็กน้อย

    “คิดว่าไม่แน่นอนครับ เรายังพอมีโอกาสหากเราเคลื่อนไหวเร็วกว่า”

    “ยังไงลองเจรจาของแบ่งเขตได้ไหมคะ? ดิฉันไม่อยากให้มีการสูญเสียในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ประสบปัญหาเดียวกัน”

    “จะพยายามครับ”
    ชาร์ตอบรับ ทว่าเครฟาไม่เห็นด้วยนัก

    “ถ้าฝ่ายนั้นยอมล่ะก็นะ” เธอว่า “แต่ฉันคิดว่าไม่ เพราะพวกเขาคงจะต้องการมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พวกขุนนางของซีนี่มันพวกโลภมากอยู่แล้วนี่ คงไม่ยอมแบ่งเขตกับเราง่ายๆ หรอก พวกนั้นอยากได้ทั้งหมด”

    เป็นเรื่องจริงทั้งหมดดังที่เครฟาบอก สองอาณาจักรใหญ่ ไฮเดิร์นและซีนี่เข้าปะทะกันเพื่อแย่งชิงดินแดนมาหลายต่อหลายครั้งจนกลายเป็นความบาดหมาง เนื่องด้วยความแปรปรวนอย่างระทันหันของธรรมชาติ ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล พืชผลก็ไม่เจริญงอกงาม แห้งตาย ดินแตกระแหง พื้นที่ป่าลดน้อยลง ทุกอย่างเป็นภัยพิบัติที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้

    เคยมีการขอเจรจาเรื่องการแบ่งเขตแดนระหว่างทั้งสองอาณาจักรโดยเมโลเธีย เพราะมีการรุกล้ำอาณาเขตของฝ่ายซีนี่ เมโลเธียเข้าใจว่าปัญหาภัยธรรมชาติแบบนี้เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย จึงเห็นว่าช่วยเหลือกันน่าจะดีกว่า แต่ว่าเรื่องก็เงียบหายไป ทางฝ่ายซีนี่ไม่ยอมตอบรับข้อเสนอของเธอเลย เครฟาจึงเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขอต่อรองกับพวกนั้นอีก
    ถึงอย่างไรเสียการต้องมาสูญเสียทรัพยากรบุคคลไปในเวลานี้ถือเป็นเรื่อที่สร้างความลำบากใจให้กับเมโลเธียอย่างมาก

    “ยังไงดิฉันก็ขอให้ลองพยายามดูอีกครั้งนะคะ พันเอก”

    “ครับ เข้าใจแล้ว”

    เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนอเล็กซ์จะตัดสินใจเล่าเรื่องวันนี้ให้หญิงสาวทั้งสองฟัง
    “วันนี้ผมพบกับคุณคาห์ซานมาด้วยครับ”

    ชื่อนี้ดึงความสนใจของทั้งสองมาทันที เมโลเธียเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนเครฟาที่กำลังสำรวจผนังห้องก็หันขวับกลับมาอัตโนมัติ

    “เจอใครนะ?”
    เครฟาย้ำถามเพื่อความแน่ใจ ทำตาโตพอๆ กับเมโลเธียที่อยากจะฟังคำยืนยันเต็มทน

    “คุณคาห์ซานครับ คาห์ซาน คร็อคซ์ เขามาเมืองนี้ ผมเจอเขาเมื่อครู่ก่อนมาที่นี่”

    “เขาอยู่ในวังล่างหรือคะ?”
    เมโลเธียถามอย่างร้อนรน

    “เปล่าครับ ผมเจอข้างนอก แบบว่า...ผมไปพักเที่ยงมาน่ะครับ”

    “เขามาทำอะไรกันคะ?”

    “ไม่ทราบเหมือนกันครับ เห็นว่ามาตามหาใครซักคน ผมไม่ค่อยแน่ใจ มีจดหมายมาด้วย คาดว่าพรุ่งนี้อาจจะมาพบกับคุณกลีนก็ได้ครับ”

    หญิงสาวทั้งสองดูนิ่งๆ ไปพักหนึ่ง เครฟาได้สติเป็นคนแรก เธอจึงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำเอาอเล็กซ์สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะย่ำเท้าออกจากห้องไปพลางบ่นตลอดทาง

    “หมอนั่นมาเหรอ.... มาแล้วเหรอ แม่จะต่อยให้คว่ำ....”

    ส่วนเมโลเธียไม่บ่นอะไร เพียงแต่นั่งมองโต๊ะกระจกราวกับหวังว่ามันจะสะท้อนภาพสิ่งที่เธออยากเห็นออกมา
    พลางกระซิบกับตัวเองโดยที่ชาร์ไม่ได้ยิน

    “อยากพบเหลือเกินค่ะ......”



    ท้องฟ้าสีครามสดใส ดั่งหนทางสู่จุดหมาย
    หมู่เมฆสีขาวลอยละล่อง ดั่งป้ายบอกทางสองฟากฝั่ง
    สายลมพัดพลิ้ว นำพา ความรู้สึกโหยหาไปสู่เธอ

    ยามนี้ตะวันดวงใหญ่ เคลื่อนผ่านไปกลายเป็นสีส้ม
    แสงสีแสดปลุกระดม กองทัพเหมันต์ให้เคลื่อนพล

    ความหนาวเหน็บเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็วเนื่องจากเข้าฤดูหนาวแล้ว คาห์ซานต้องกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาให้แน่นขึ้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย

    เขาเดินไปตามบาทวิถีในย่านร้านค้าซึ่งยังมีคนเดินอยู่ประปราย บางร้านปิดกันไปนานแล้ว แต่บางร้านเช่น ร้ายขายผลไม้ ร้านขายขนมปัง ร้านคอฟฟี่ช็อป หรือร้านเค้กก็ยังเปิดกันอยู่ แสงไฟจึงเป็นสิ่งเดียวที่ให้แสงสว่างกับเขาในตอนนี้
    แม้มันจะไม่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาก็อุ่นใจอย่างประหลาด คงเป็นเพราะในอากาศหนาวเช่นนี้ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวที่ยังเดินอยู่ข้างนอก

    คาห์ซานกำลังคิดว่าเขาควรทำอะไรเป็นอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ น่าจะเริ่มจากการไปถามจากเพื่อนเก่าในวังล่างเสียก่อนน่าจะดี เพราะหมอนั่นเล่าอะไรให้ฟังได้ทุกอย่าง ปรึกษาได้ทุกอย่าง และมักมีคำแนะนำดีๆกลับมาเสมอ
    ทว่าก็มีบางคนที่เขาไม่อยากพบเช่นกัน แม้ว่าคงจะไม่เจอกันง่ายๆ แต่หากบังเอิญเจอกันเขาคงทำหน้าไม่ถูกแน่ จึงลังเลที่จะไปวังล่างเหมือนกัน

    ความคิดทำให้คาห์ซานลืมตัว ชนกับเด็กสาวที่เดินหลบเลี่ยงผู้คนเข้าอย่างจัง เธอหงายหลังล้มคว่ำลง ข้าวของจากถุงกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่ตกกระจายเกลื่อนกลาด ส่วนคาห์ซานไม่เป็นอะไรเลย

    “ขอโทษที! เป็นอะไรรึเปล่า?”

    เขาพูดก่อนจะส่งมือให้เธอ เพื่อพยุงขึ้น แต่เธอลุกขึ้นเองละทำให้คาห์ซานรู้ว่าเธอสุงเพียงไหล่เขาเท่านั้น
    ดวงตาสีดำกลมโตนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มือก็ปัดฝุ่นออกไปจากเสื้อแขนยาวคอตั้งสีครีมและผมสีน้ำตาลอมส้มยาวทรงทวินเทลซึ่งถูกมัดไว้อย่างหลวมๆ
    หลังจากนั้นจึงก้มลงมองขวดแยมสตรอเบอร์รี่ที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ก้มเก็บขนมปังฝรั่งเศสขึ้นมาปัดฝุ่น ทำเอาคาห์ซานฝืดคอในทันที

    “เปื้อนหมด”

    เธอกล่าวเสียงเรียบ ไม่ได้มองมาทางคาห์ซานแม้แต่น้อย ยังคงง่วนอยู่กับการปัดฝุ่นออกจากขนมปังฝรั่งเศสซึ่งไม่น่าจะเอามากินได้แล้ว

    “ชดใช้ด้วย”

    ดวงตานิ่งๆ จ้องคาห์ซาน แฝงด้วยแรงกดดันมหาศาล ทำเอาชายหนุ่มสามารถเหงื่อตกแม้วันอากาศหนาวได้เลยทีเดียว ด้วยความนิ่งอึ้งทำให้เขาลืมวิธีพูดไปชั่วขณะหนึ่ง เด็กสาวจึงเริ่มร้องตะโกนเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามองตาเป็นมัน

    “เจ้าข้าเอ๊ย! เจ้าหนุ่มนี่ทำ(ของ)ฉันแปดเปื้อนแล้วไม่รับผิดชอบ! เขาไม่รับผิดชอบฉัน!”

    “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน!”
    ชายหนุ่มตาสองสีรีบกระโดดเข้ามาปิดปากทันที
    “ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ใช้คืนให้ซักหน่อยนี่ ใจเย็นๆ ก่อน อย่าตะโกนอย่างนั้นอีกนะ เข้าใจไหม?”

    เด็กสาวพยักหน้า คาห์ซานจึงปล่อยมือออก ใบหน้านิ่งๆ กับดวงตาสีดำกลมโตยังคงไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เรียบเฉย นิ่งสนิทเหมือนเธอไม่รู้จักวิธีแสดงออกทางสีหน้า แต่คาห์ซานก็พอเข้าใจได้ว่าเธอกำลังโกรธอยู่แน่นอน

    “เอาล่ะ ฉันจะชดใช้เธอทุกอย่างที่เสียหายเลยละกัน”

    “ทุกอย่างเลยเหรอ?”

    “ใช่ ทุกอย่างแหละ”

    “อืม...”
    เด็กสาวครางในลำคอ ก่อนจะถามขึ้นมาอีก
    “นายชื่ออะไร”

    “คาห์ซาน คร็อคซ์ เธอล่ะ?”

    “ฟลอร่า ลอมส์ดาวน์”

    “เหรอ ฝากตัวด้วยละกัน”

    ฟลอร่าพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยม อากาศหนาวขึ้นทุกที
    ทันใดนั้นก้อนสีขาวเหมือนสำลีก็เริ่มร่วงลงมาจากท้องฟ้า มากขึ้น มากขึ้น

    หิมะสีขาวส่งผ่านความเย็นจากฟ้าลงสู่พื้นดิน
    หิมะสีขาวส่งผ่านข้อความจากฟ้าลงสู่พื้นดิน

    กระซิบบอกว่า ฤดูหนาวมาแล้วนะ.... ฤดูหนาวมาแล้ว

    หิมะสีขาวโปรยปรายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในคืนไร้แสงดาว
    หากแต่แวววาวด้วยแสงไฟรอบกาย
    หิมะสีขาวโปรยปรายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคลุมบ่าของหนุ่มสาวทั้งสอง
    หากแต่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวกันอีกต่อไป


    ==================================================

    Character

    Flora Loamsdown : ->T r A i N<-
    Crefa Deldores : Kumiko ~Arrow~
    Khazan Croxz :Zan~Naz
    Char Alexander Epyon : Paia Aznable : The Red Comet
    Forte S. Crescendo : ยูคิฮิเมะ~ Gespenst Jaeger
    Melothia Angel Lafayne : Angel Girl
    อลิซาเบธ ริชเชอร์ : ◘ SûmiyØ VåleñtinÈ ◘

    Freetalk
    ห่างจากเฟสที่แล้วพอสมควรเลยล่ะ=A= พอสอบเสร็จแล้วก็ไปทำอย่างอื่นที่มันเร่งด่วนกว่านิดหน่อย ไม่ได้มาเขียนต่อเลย แถมเฟสนี้ก็ค่อนข้างยาว จะจบตรงไหนก็ไม่ได้เลยตัดสินเขียนต่อมาเรื่อยๆ ก่อน ก็ทนกันเอาหน่อยนะครับ^^"
    เฟสนี้ตัวละครออกกันเยอะหน่อย แต่ก็แค่เปิดตัวกันเท่านั้นเอง
    เฟสหน้าก็อาจจะยังคงขยายความต่อจากเฟสนี้และเฟสที่แล้วต่ออีกหน่อยนึง ก่อนจะขึ้นสู่ Chapter 2 ซึ่งตัวละครเกือบทั้งหมดจะมารวมพลกันในตอนนี้ (90-95% เลยล่ะมั้ง)
    ส่วนชุดของตัวละครมีการเปลี่ยนแปลงบ้างตามโอกาสเพื่อให้เข้ากับสถานที่และเวลาในเรื่อง ยังไงชุดที่สมัครมาก็ได้ใช้แน่นอนครับ
    อย่าเพิ่งหาว่าผมเปลี่ยนชุดให้ไปเรื่อยล่ะ*-*"

    ไม่รู้ว่าบางคนสอบเสร็จหรือยังนะ=A=? ยังไงก็อวยพรให้ทำข้อสอบได้ดีๆ ละกันนะครับ
  9. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    ผมยังสอบไม่เสร็จเลยล่ะซิกกี้ =w=.....

    ตอนนี้ยาวมากๆ =[]= ทำไมตอนแรกผมถึงนึกว่ามันสั้นได้นะ - * -"?
    อ่านดูแล้วคำที่ซิกผิดส่วนใหญ่จะผิดตรงการใช้ตัว ร หรือ ล สินะ.....

    ตรงการเล่นคำเป็นช่วงๆ(ที่คล้ายๆบทกลอนน่ะ)ผมว่าให้ความสึกดูเป็นบทเพลงดีแฮะ * 0 * ชอบ~
    ลุงซันนี่เนื้อหอม??? มีแต่สาวๆเต็มไปหมด กร๊าก

    ชอบสองเจ้าหญิงจริงๆ รู้สึกว่าตัดกันสุดขั้วดี * - *b
  10. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    มาเม้นต์แล้วๆ =[]=!!

    มัวแต่เอ้อระเหยเพลิน พอเห็นฟิคอัพแล้วนึกได้ ฉันยังไม่เคยเม้นต์เลยนี่หว่า OwO"

    บรรยากาศฟิคเป็นแฟนตาซีแลนด์เหมือนเดิม แนวถนัดนี่นะ ชอบตรงไอเดียการเล่นคำนะ เขียนได้เยอะ มีสัมผัสคล้องจองแล้วลงตัวดี เป็นอะไรที่ส่วนตัวคงทำไม่ได้ ฮา...

    ชอบอีกอย่างก็คือการเขียนแบบไม่ใช้คำเชื่อมเยอะ แปลกเนอะเพราะส่วนตัวเวลาเขียนเป็นคนที่ใช้คำเชื่อมฟุ่มเฟือยเยอะมาก แถมเป็นโรครับคำซ้ำไม่ได้อีกต่างหาก =A=" เพราะงั้นย่อหน้านึงเลยยาวเฟื้อย ปิ๊กกี้มีความสามารถแฮะเขียนสั้นๆ ใช้คำซ้ำแต่อ่านได้เพลินตาดี ชอบ (ฮา...)

    แต่อ่านไปอ่านมายังรู้สึกว่าการใช้ภาษาขัดแย้งกันเองแปลกๆ บางส่วนเหมือนจะใช้คำโบราณ สวยหรู ไปๆ มาๆ ภาษาถิ่นโพล่งออกมาเสียเฉยๆ = =""

    แถมมุกที่ใส่ๆ ลงไปบางครั้งมันดู...อ่า...อย่างฉากอลิซี่เนี่ย...หลีกเลี่ยงใช้วิธีการบรรยายอย่างอื่นก็ได้มั้ง อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ (ฮา...)

    เบื่อพระเอกเนื้อหอมฟ่ะ = A =,, สาวๆ ห้อมล้อมเยอะจริง อิจฉา (อยากมีมั่ง...อ๊ะ...ไม่ใช่ละ = ="")

    เฟสล่าสุดนี่ยาวมากเลยอ่ะ = =" ออกมาเพียบเลยตัวละคร...เจ้าหญิงกุหลาบแดง...เหอ =[]=" รู้สึกแปลกๆ อกร๊ากกกกก แต่แอบถูกใจประโยคแม่ต่อยคว่ำนิดๆ แฮะ - -,, (ชักชินกับบทแบบนี้ละ = =" แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วมั้งภาพพจน์ฉัน...)

    อ่อ สุดท้ายคำผิดนะก๊ะ ตั้งแต่เฟสแรกจนถึงล่าสุด...ตอนใหม่นี่รีบปั่นสิเนี่ย ผิดเพียบเลย = ="

    สามารถร้งเพลง -- สามารถร้องเพลง
    คัดบทง่ายๆ -- ตัดบทง่ายๆ ??
    เรเว่น -- เรเว่น หรือเรเวนก๊ะ * *?
    เทมนตร์ -- เวทมนตร์?
    โยใช้ -- โดยใช้?
    ร่อยหลอ -- ร่อยหรอ
    ก้มเห็บ -- ก้มเก็บ
    จ้องตากน -- จ้องตากัน
    เพราต้อง -- เพราะต้อง
    ตุ๊กตาตา -- ตุ๊กตาเฉยๆ รึเปล่า?
    แปลผัก -- แปลงผัก
    ก้ได้ -- ก็ได้
    ดินแดนล้าง -- ดินแดนร้าง
    กระพริบ -- กะพริบ
    ต้งรีบ -- ต้องรีบ
    โรงแม -- โรงแรม???
    เงาขงเกาะ -- เงาของเกาะ
    ถูกว่า -- ถูกกว่า
    มือขง -- มือของ
    เวทย์ลม -- เวทลม
    ให้สิน่า -- หมายถึง...ให้ตายสิน่ารึเปล่า??
    ปูพรหม -- ปูพรหมเชียวเหรอ =[]=" พรมก็พอแล้วมั้งจ๊ะ~
    พรหมกลางห้อง -- ท่าทางจะชอบพระพรหมน่าดูชม = =" พรมก็พอแล้วก๊าบ~
    ระทันหัน -- กะทันหัน
    คอฟฟี่ชอป -- คอฟฟี่ช็อปรึเปล่า?
    ฟลอร่า ลอมส์ดาวน์ -- ไม่ผิดหรอก...แต่ตอนแรกอ่านเป็น ฟลอร่า ล้อมดาว = =" ตกใจหมดเลย

    สุดท้าย...เว้นบรรทัดหน่อยเด้ตัวเอ๊ง T[]T,, อ่านยากง่า บอร์ดนี้ฟอนต์มันเล็กอยู่แล้ว นั่งจ้องในคอมพ์แล้วเวียนเฮด ตอนหน้าเว้นบรรทัดถี่สักนิดนะก๊าบ~
  11. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    ยังสอบไม่เสร็จเช่นกันครับกร๊ากกกกกกก ยังไงก็พยายามต่อไป - -+b สู้ให้สุดหูรูด!!!!!

    ตอนนี้เพราะยาวแล้วรีบไปรึเปล่า??? ดูมีที่ผิดพลาดเยอะ บรรยายเหมือนจะลื่นแต่ก็แอบขัดตรงภาษาอย่างที่คุมิว่า

    แต่รวม ๆ แล้วก็ยังคงไม่ทิ้งกลิ่นไอ สู้ ๆ ต่อไปครับ ><
  12. logon

    logon New Member

    EXP:
    59
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    ขออนุญาติเมนท์2ตอนรวด =[]=!!
    ขอโทษนะครับที่ไม่ได้เข้ามาเมนท์ของตอนที่แล้ว - -" ผมอ่านตอนอยู่ที่ม.น่ะ(ไม่ได้ล็อคอิน)
    แล้วสุดท้ายก็ลืมมาเมนท์จนได้ = =....................

    (เถียงกับอีวาน)
    ผมชอบโซนาเร่แบบโหดๆนะ (5555) ผู้หญิงสายต่อสู้(? )เนี่ยมันช่างสนุกสนานเวลาอยู่ด้วยดีแท้ อย่างน้อยๆคนเจ็บตัวก็ไม่ใช่ผมล่ะ ;P
    แล้วผมก็เชื่อว่า พวกผู้หญิงสายซือเจ๊ทั้งหลาย มักจะมีความอ่นโยนแฝงอยู่ในตัวแบบคาดไม่ถึง


    (เมนท์ซิก)
    ผมชอบฉากของ Phase ที่3นะ มันเป็นการตัดกันของย่าน2ย่านในเมืองเดียวกันที่เห็นภาพมากๆ
    ทั้งๆที่เป็นเมืองเดียวกันแท้ๆ แต่แค่เดินทะลุผ่านตรอกเล็กๆออกมา ก็ราวกับเป็นคนละโลกกันได้

    เจ๋งครับ - -b


    ฟิคเรื่องนี้ที่สะดุดผมมากๆอย่างนึงก็คือการแทรกมุขในเนื้อเรื่องนี่แหล่ะ มันดูลื่นๆเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มุขจงใจเกินไป เป็นมุขที่โพล่มาแบบไม่ผิดจังหวะ มาเนียนๆ (55) แต่ผมก็เห็นด้วยกับหลายๆคนนะ ว่าเวลาแทรกมุขด้วยคำที่มันไม่เข้ากับเนื้อเรื่องจะทำให้รู้สึกแปลกๆ ลองเช็คคำดูหน่วยละกันครับ ยังไงซะผมว่ามันคงเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของฟิคซิกไปแล้วล่ะ และมันทำให้มุขนั้นโดดเด่นขึ้นมาด้วย

    ถูกใจครับ - -b

    ลักษณะการบรรยาย ฉากเดินเรื่องของซิกยังเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม ใช้สีแทนความหมาย(หมายถึงสีเลือด/สีแดงฯลฯน่ะไม่ใช่สีตัวอักษรนะ) เล่นคำ แบ่งวรรคตอน ทั้งๆที่ไม่ได้แบ่งให้ขาดออกจากกัน แต่กแยกเนื้อเรื่องออกจากกันได้โดยไม่ทำให้งง แถมเห็นภาพอีกต่างหาก
    เป็นฟิคที่ดูจะเล่นกับภาพลักษณ์ กับอารมณ์มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของมันแฮะ ตัวละครทุกตัวแสดงอารมณ์ออกมาหมด ทั้งอารมณ์ที่แสดงออกมาแบบชัดแจ้ง กับอารมณ์ที่มีแต่คนอ่านถึงจะเห็น และยังอารมณ์ที่ค่อยๆแสดงทีละส่วนเพื่อเก็บไว้เผยทีหลังอีก

    แหล่มครับ - -b

    ผมชอบการตัดคำของซิกด้วย มันเว้นช่วงอารมณ์ดี 555 ทำให้อินตามเรื่องไปได้ง่ายๆ
    ตอนเฟส4นี่ ผมชอบสองเจ้าหญิงวังบนวังล่างแฮะ โดยเฉพาะวังล่าง..................
    กร๊ากกกกกกก ถูกใจโคตร 5555
    [action]มาโซ ว่างั้น?[/action]

    ที่สำคัญ..........................
    เรื่องนี้พระเอกมีสาวรายล้อมว้อย!! (ใช่มั้ย =[]=!!! ใช่เซ่!!!!)

    ถูกใจที่สุดครึ๊บ - -b




    เมนท์ยาวนะ แต่ไร้สาระโคตร ก๊ากกกก
  13. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    คุณคูมิโกะแก้ให้แล้ว และผมก็แก้เพิ่มเติมให้ทางเอ็มแล้วนะครับ ปกติควาคุงไม่ค่อยพิมพ์ผิด แต่คราวนี้พิมพ์ผิดเยอะ เข้าใจว่ารีบลงหรือเปล่าเอ่ย ทางที่ดีก่อนจะโพสต์ลง ส่งให้คนที่ไว้ใจช่วยปรู๊ฟให้ จะทำให้ตัวฟิคดูดีขึ้นนะครับ แต่ก็อย่าเครียดน้อ ^^; ถ้ามองข้ามจุดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ไป นับว่าเฟสนี้เป็นเฟสที่สวยงาม และมีเนื้อแน่นที่สุดในเฟสทั้งหมดที่ผ่านมา และเผลอๆ อาจจะเป็นตอนหนึ่งของฟิคที่ดีที่สุดที่ผมได้อ่านในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เลยด้วยครับ

    ทั้งที่ไฮเดิร์นเป็นมหานครที่ไม่งามตาเท่าไหร่ แต่ผมกลับชอบบรรยากาศที่ควาคุงถ่ายทอดออกมาเอามากๆ เลยแฮะ อาจจะเพราะผมชอบนครที่มีกลิ่นอายแบบแฟนตาซีผสมผสานกับไซไฟอยู่แล้วด้วย เลยรู้สึกถูกชะตากับไฮเดิร์นเป็นพิเศษ หากผมเป็นเด็กหนุ่มเติบโตมาในบ้านนอกคอกนา ผมคงใฝ่ฝันอยากเข้ามาทำงานในไฮเดิร์นน่าดูเลย แต่สาเหตุที่คาห์ซาน และอควาเฟย์เข้ามาทำงานในโอราโทริโอ้คงเป็นเหตุผลอื่น อย่างเช่น เฟย์เรีย สินะ ^^;

    ประทับใจฉากย้อนอดีตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนมากๆๆๆ เลยครับ สุดยอดมากๆๆๆๆ สื่ออารมณ์ และสื่อภาพได้เห็นชัดแจ้งเลย ชอบสุดๆๆๆๆ T T!! ควาคุงประสบความสำเร็จด้านการถ่ายทอดอารมณ์และเนื้อหามากเลยนะเนี่ย โดยเฉพาะฉากที่อควาเฟย์และคาห์ซานร่วงจากเกาะลอยฟ้า แทบจะรับรู้แรงลมตอนตกลงมาได้เลยล่ะ กร๊ากก (เว่อร์ละ)

    อีกฉากที่ประทับใจก็เจ้าหญิงกุหลาบขาว และกุหลาบแดง เมโลเธีย และเครฟา น่ารักมากครับ ^_^

    เขียนต่อไปเน้อ ผมจะรออ่าน
  14. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 4/Update 23/12/50)

    Chapter 1 : เพลงโหมโรงแห่งไฮเดิร์น
    phase 5 - Khasan's side





    หิมะสีขาวยังคงโปรยปรายไม่สิ้นสุด
    แสงไฟสีทองจากเสาริมทางเดินส่องประกาย แทนที่เหล่าดวงดาวผู้ไม่ปรากฏโฉม
    สองหนุ่มสาวเดินเคียงกัน บนเส้นทางสีขาวโพลน


    นอกจากแสงจากเสาไฟบทบาทวิถีแล้ว ตามร้านต่างๆ ก็มีประดับประดาเช่นกัน ไฟหลากสีและพู่สีทอง เงินห้อยไขว้กันไปมา บางร้านมีต้นสนประดับประดาด้วยของตกแต่งตั้งอยู่หน้าร้าน และแขวนกระดาษทองที่มีอักษรเขียนว่า ‘Merry X’mas’ เอาไว้ข้างบนประตู


    อ๊ะ.... พรุ่งนี้จะเป็นวันคริสต์มาสนี่นา


    คาห์ซานเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง ถึงว่าทำไมวันนี้มีการตกแต่งแปลกพิสดาร แม้ตัวเขาจะเพิ่งมาสังเกตเอาตอนนี้ก็เถอะ ว่ากันว่าหิมะแรกมักจะมาตอนคืนคริสต์มาสอีฟ และคืนนี้ก็คือช่วงเวลาที่กล่าวถึงนั่นเอง


    เขากำลังอยู่ระหว่างการพาฟลอร่า ลอมส์ดาวน์ เด็กสาวที่เพิ่งพบกันเมื่อครู่เดินจับจ่ายซื้อของใหม่ หลังจากคาห์ซานเป็นฝ่ายชนเธอล้มหัวคะมำ ข้าวของกระจัดกระจายเสียหาย
    ร้านแรกที่ฟลอร่าเลือกเข้าเป็นร้านขายขนมปัง เธอหยิบขนมปังฝรั่งเศสใหม่มา และเลือกอย่างอื่นอีกสองสามอย่างก่อนจะไปจ่ายเงิน แน่นอนว่าคาห์ซานเป็นคนจ่าย


    ถัดมาก็เป็นร้านแยม แยมส้ม แยมสตรเบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ถูกกอดแนบอกเด็กสาว ก่อนจะถือไปให้คาห์ซานจ่ายเงิน หลังจากนั้นก็มีพวกเครื่องปรุงต่างๆ ซอสมะเขือเทศ คอนเฟล็ค แล้วก็นมเป็นแกลอน
    ทุกครั้งที่ฟลอร่าเดินเข้าร้าน หยิบของ หรือเดินไปหาคนขายเพื่อจ่ายเงิน เธอมักจะมีหน้าตาเรียบเฉยเสมอ ทำหน้าตายแข่งกับรอยยิ้มของคนขาย คาห์ซานคิดว่าคนขายคงจะอึดอัดอยู่ไม่น้อย แต่ก็พยายามยิ้มรับลูกค้า
    ไม่ยิ้ม ไม่พูด ไม่อะไรเลยซักอย่าง ช่างเป็นคนที่ปฏิบัติกิจกรรมได้เหมือนหุ่นยนต์ดีแท้
    พอซื้อของได้ค่อนข้างเยอะแล้ว ฟลอร่าก็ลากคาห์ซานเข้าร้านไอศกรีม


    “หา!? เอาจริงเหรอ”
    ชายหนุ่มถาม ระหว่างที่เธอกำลังเปิดเมนูอย่างใจจดใจจ่อ ฟลอร่าตอบโดยไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ

    “อืม... อยากกิน อ๊ะ...ขอเปลี่ยนจากวนิลลาเป็นแคนตาลูปนะคะ”

    พนักงานจดอย่างขะมักเขม้นตามที่ฟลอร่าสั่ง ส่วนคาห์ซานสั่งแค่กาแฟถ้วยเดียว เมื่อไอศกรีมมาเสิร์ฟจึงทำได้แค่นั่งมองฟลอร่ากิน

    “โห อึดน่าดูนะ หิมะตกยังกินได้อีก”

    “ความอยากไม่เกี่ยวกับอากาศ”


    เธอพูดเสียงเรียบ พลางคว้านเนื้อก้อนไอศกรีมรสแคนตาลูปเข้าปาก
    ไม่นานเจ้าหล่อนก็โซ้ยจนหมด ดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้วแล้วลากคาห์ซานออกมาทันที มาเผชิญกับความหนาวเหน็บข้างนอกจึงทำให้ฟลอร่าตัวสั่นขึ้นมา แต่เธอก็ยังตีหน้าตาย เหมือนอาการตัวสั่นเมื่อครู่เธอไม่ได้เป็นคนสั่น


    “เพราะกินไอติมไปน่ะแหละ เธอเลยหนาวมากกว่าเก่า”

    “ไม่เกี่ยว เพราะเสื้อบางต่างหาก”


    ฟลอร่าเถียง ทำให้คาห์ซานเพิ่งสังเกตว่าเสื้อแขนยาวสีครีมที่เธอใส่นั้นบางจริง เขาจึงถอดเสื้อคลุมของเขาคลุมไหล่เธอ เหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน
    เมื่อเสื้อคลุมย้ายไปอยู่ที่ฟลอร่าแล้วมันทำให้เธอดูตัวเล็กลงไปถนัดตา เพราะเสื้อตัวใหญ่มาก ชายเสื้อยาวเลยไปถึงหน้าแข้งของเธอเลยทีเดียว


    “เอ้านี่ เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ”


    เขาเอ่ย แม้ว่าฟลอร่าจะยังทำหน้าตายเหมือนเดิม แต่เธอก็กระชับเสื้อคลุมเข้ามา ไม่ได้ขอบคุณหรือพูดอะไรอื่น ทำเพียงมองไปยังทางเดินข้างหน้าแล้วเดินต่อไป
    ชายหนุ่มคอยมองพฤติกรรมเฉยชาของเด็กสาวตลอดทางที่เดินไปด้วยกัน คอยดูว่าเมื่อไรเธอจะเปลี่ยนสีหน้าหรือทำอะไรอย่างอื่น แต่ก็ไม่เลย มันเป็นแบบนี้ไปตลอดทาง ดวงตากลมโตสีดำค้างแข็งจนพวกเขาเดินถึงร้านเค้ก จะว่าไปเธอก็กระพริบตาน้อยครั้งเอามากๆ
    ในร้านเค้กเองก็ประดับประดาด้วยของตกแต่งหลายอย่างเช่นกัน ที่สำคัญคือเปิดเพลงไปด้วย เข้ากับบรรยากาศของคืนคริสต์มาสอีฟโดยแท้


    ฟลอร่าสั่งไวท์ช็อกโกแลตมาสองชิ้น ส่วนอีกสองชิ้นเป็นบลูเบอร์รี่ชีสเค้กกับแบล็คฟอเรสท์ จากนั้นจึงลงมือสังหารไวท์ช็อกโกแลตชิ้นที่หนึ่งเป็นชิ้นแรก
    เวลากินก็ทำตัวเหมือนว่าโลกนี้มีฉันกับเธอแค่สองคน ซึ่งสองคนที่ว่าหมายถึงฟลอร่ากับเค้ก เอาส้อมปาด ตักใส่ปาก เอาส้มปาด ตักใส่ปาก ซดน้ำเปล่า แล้วก็ส้อมปาดตักใสปากเป็นสูตรการกิน บางครั้งบางคราวก็ตัดชิ้นใหญ่เกินจนยัดไม่เข้าก็มี แต่ก็พยายามดันเข้าไปไม่คายออกมาจนได้นั่นแหละ เวลามีเค้กติดขอบปาก ก็เหมือนมีสันชาตญาณรับรู้อัตโนมัติ เพราะลิ้นจะตวัดออกมาทำความสะอาดออกไปจนเกลี้ยงเองได้ด้วย


    คาห์ซานมองไปก็ยิ้มไป ในสายตาเขาเธอเป็นเด็กสาวที่ประหลาด เพราะเธอสามารถไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้าได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แถมยังทำตัวตามสบายได้เสียอีก
    นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ไปไหนมาไหนกับใคร ตั้งแต่กลับไปอยู่หมู่บ้าน คาห์ซานแทบไม่ได้ติดต่อกับใครเลย เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน ไม่เลยซักคนเดียว

    ช่วงเวลานี้จึงทำให้เขาหวนคิดถึงวันเวลาที่เคยได้อยู่ร่วมกับคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเฟย์เรีย เฟย์ กลีน เบียเจอร์ แม้ว่าเขาไม่มั่นใจนักว่าคนเหล่านี้จะยังจำเขาได้หรือเปล่าก็ตาม อาจไม่นับอควาเฟย์เพราะหมอนั่นความจำเสื่อมไปแล้ว แต่การได้กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนอื่น ได้ไปไหนมาไหนกับคนอื่น ก็ทำให้เขามีความสุขไม่น้อยเลย


    “ซะที่ไหนเล่า! นี่เธอ!” คาห์ซานตะโกนเสียงดัง จ้องหน้าฟลอร่าเขม็ง ตอนนี้เด็กสาวเริ่มทำการฆาตกรรมแบล็คฟอเรสท์แล้ว

    “หืม?”

    “ไหนบอกให้ชดใช้ของที่ฉันทำพังไง! นี่เธอกินไอติมก็แล้ว เค้กก็แล้ว แถมฉันจำได้ว่าแยมที่ทำแตกไปน่ะมีแค่แยมสตรอเบอร์รี่ไม่ใช่เหรอ!? ไหงตอนไปซื้อใหม่มันมีแยมส้มกับบลูเบอร์รี่พ่วงมาด้วยล่ะ? แล้วนมเนี่ย ฉันจำไม่ได้เลยนะว่าอยู่ในถุงของเธอด้วย”

    “นายจำผิดรึเปล่า?”
    ฟลอร่าตอบแบบขอไปที พลางจิ้มเชอร์รี่เชื่อมใส่ปาก

    “ไม่มั้ง ฉันว่าฉันพูดถูกหมดนะ”

    “นายคิดมากไปเอง”

    “ฉันยอมรับว่าเป็นคนคิดมากก็จริง สามตอนก่อนฉันคิดคนเดียวทั้งตอน ตอนนี้ก็ด้วย แต่เพราะฉันคิดคนเดียวฉันเลยจำได้ว่าเธอไม่มีของพวกนี้ในรายการที่ต้องซื้อไม่ใช่หรือไง!?”
    คาห์ซานไม่ยอมแพ้ เมื่อย้อนคิดถึงเหรียญอันมีค่าซึ่งถูกใช้อย่างรวดเร็วเหมือนเทน้ำทิ้งก็มิปาน

    “ก็ไหนนายบอกซื้อให้ได้ทุกย่างไง”
    ฟลอร่าเริ่มเถียงบ้าง หลังจากแบล็คฟอเรสท์ถูกกำจัดออกจากจานไปแล้ว

    “ฉันพูดแบบนั้นก็จริง แต่หมายถึงของที่ฉันทำเสียไปต่างหาก”

    “แต่ฉันหมายถึงนายจะซื้อให้ทุกอย่างตามใจฉัน ถึงได้ถามไปแบบนั้น”


    เจอประโยคนี้เข้าไปถึงกับจุก ความจริงแล้วคาห์ซานเป็นคนไม่พูดมาก ไม่ต่อล้อต่อเถียง เฉพาะกับเพื่อนฝูงหรือเวลามีปัญหาเรื่องเงินเท่านั้นเขาจึงจะงัดฝีปากที่มีน้อยนิดออกมาใช้ จึงทำให้เวลาเถียงกับฟลอร่าต้องใช้เวลาสรรหาคำพูดก่อนจะปล่อยออกไปนิดหน่อย


    “ก็นั่นมันเธอ---”

    “อิ่มแล้ว”
    เด็กสาวตัดบท ดันจานเปล่าสามจานไปไว้ข้างหน้า เหลือแค่ไวท์ช็อกโกแลตอีกชิ้นเดียว ต่อมาเธอจึงดันมันไปให้คาห์ซาน
    “นายเอาไปกินสิ เสียดาย”

    “เงินฉันอยู่แล้วล่ะน่ะ”


    ถึงจะบ่นแบบนั้น แต่คาห์ซานก็กินอย่างเลี่ยงไมได้ แน่นอนสิ มาไฮเดิร์นอาจจะต้องพักอีกหลายวัน ดังนั้นควรประหยัดเงินเข้าไว้ แต่ไอ้ที่เสียไปแล้วก็เรียกคืนมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ใช้ให้คุ้มจะดีกว่า
    ไม่นานนักเขาก็ฟาดไวท์ช็อกโกแลตจนหมด แม้ว่าคะแนนความเร็วเมื่อเทียบกับฟลอร่าแล้วจะเป็นศูนย์แต้มก็ตาม พวกเขาจ่ายเงิน(คาห์ซานเป็นคนออก) แล้วจึงออกจากร้านไป


    พวกเขาเดินเล่นกันอยู่พักใหญ่ เดินไปเรื่อยๆ บนถนนซึ่งถูกประดับประดาด้วยไฟหลากสีมากขึ้นทุกที จนไปถึงบริเวณลานกว้างที่มีต้นสนต้นใหญ่ถูกตกแต่งจนกลายเป็นต้นคริสต์มาส ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นในลานกว้างแห่งนี้ มีทั้งที่มากันเป็นครอบครัว มากันเป็นคู่ มากับเพื่อนฝูง ผู้คนมากหน้าหลายตามารวมกัน เพื่อรอเวลาเที่ยงคืนตรง ฟลอร่าเดินเล่นอยู่แถวนั้นพักหนึ่ง ซื้อโกโก้มาสองแก้ว(เงินของคาห์ซาน) แล้วนั่งลงดื่มบริเวณใต้ต้นคริสท์มาสซึ่งมีปูนโบกสูงรอบโคนต้น กลายเป็นที่นั่งไป


    “พรุ่งนี้ก็จะคริสต์มาสแล้วแฮะ”
    คาห์ซานเอ่ยขึ้น พลางแหงนฟ้า ฟลอร่านิ่งเงียบไม่พูดอะไร ยังคงซดโกโก้ของเธอต่อไป พอหมดแล้วก็โยนแก้วกระดาษลงถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะลุกขึ้น

    “อยากเดินเล่นไหม?”


    ชายหนุ่มตาสองสีไม่ตอบ เพียงแค่ลุกขึ้น แล้วพวกเขาก็เดินฝ่าฝูงคนออกไปยังทิศตรงกันข้ามของทางที่มา ยิ่งห่างออกจากลานกว้างผู้คนก็ยิ่งบางตาลง บนถนนมีเพียงแสงไฟจากโคมบนบาทวิถี และพวกเขาสองคน


    เขาย้อนนึกถึงความคิดเหม่อลอยในร้านเค้กเมื่อครู่หลังจากใช้หางตามองดูฟลอร่าแล้ว ว่าทำไมกันหนอ เด็กผู้หญิงคนนี้จึงได้เข้ากับคนแปลกหน้าได้ทั้งๆ ที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก เธอไม่มีท่าทีว่าจะตีตัวออกห่าง หรือหวาดระแวงเลยซักนิด ยังคงทำตัวตามสบายไม่คิดมากอะไร ทำให้คาห์ซานเผลอหลุดปากออกมา


    “แปลกคน”

    “อะไร?”
    ฟลอร่าสวนทันทีที่เธอได้ยิน

    “ก็เธอน่ะสิ แปลกดี ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักฉันแท้ๆ แต่ไปไหนมาไหนด้วยกันได้อย่างสบายใจเชียวนะ”

    “แล้วไง? นายคิดว่าแปลกเหรอ”

    “ก็อะไรทำนองนั้น”

    บทสนทนาขาดลง ฟลอร่าก้าวเท้ายาวๆ เดินนำไปข้างหน้า กางแขนรับลมเย็นๆ และหิมะ ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาคาห์ซาน

    “สำหรับฉันคิดว่าไม่แปลกหรอก” เธอว่า ยังคงกางแขนแบฝ่ามือรับหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พลางหมุนตัวราวกับเต้นรำบนเวที ริมฝีปากแย้มยิ้ม ใบหน้าเปี่ยมสุข
    “ฉันรู้จักนายมากกว่าที่นายคิด ฉันรู้จักนายดี รู้จักดียิ่งกว่าโลกใบนี้เสียอีก”


    ค่ำคืนไร้แสงดาว ราตรีสีขาว
    ถนนไร้ผู้คน หิมะร่วงหล่น
    แสงจากโคมเทียน เปล่งประกายเจิดจ้า


    ทว่าที่นี่ คาห์ซานได้พบกับเด็กสาว ที่เจิดจรัสยิ่งกว่าแสงดาว สวยงามยิ่งกว่าหิมะ และเริงร่ายิ่งกว่าแสงเทียน ร่ายรำอยู่ท่ามกลางเวทีอันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า หิมะสีขาวโปรยปราย ดั่งทุ่งอันห่างไกลแสนรกร้าง
    ผมสีน้ำตาลพลิ้วไหว ภายใต้การปกครองของราชินีแห่งรัตติกาล


    เสียงระฆังดังขึ้นจากที่ไหนซักแห่ง ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนมากมาย ดอกไม้ไฟถูกยิงขึ้นฟ้า ออกดอกเบ่งบานหลากสีสันบนม่านสีดำของราตรีกาล แต่คาห์ซานไม่ได้ใส่ใจพวกมันเลยซักนิด จนกระทั่งเสียงของเธอปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์


    “มองอะไรอยู่ได้”

    “ปะ....เปล่า โทษที”

    เขาตอบพลางหลบตาฟลอร่าแล้วหันไปมองดอกไม้ไฟแทน เด็กสาวหยุดนิ่ง จ้องคาห์ซานตาไม่กระพริบ ก่อนจะพูดขึ้น เรียกความสนใจของชายหนุ่มกลับมา

    “ฉันต้องไปแล้ว”

    “เอ๋?”

    “หมดเวลาแล้ว ไปก่อนล่ะ”


    เมื่อพูดจบ เธอก็ออกวิ่งไปตามถนน หายลับไปในความมืด คาห์ซานไม่ทันได้บอกลาหรือพูดอะไรกับเธอเลยในโอกาสสุดท้าย ทั้งๆ ที่เขามีสิ่งที่อยากบอกเธออยู่แท้ๆ ความคิดที่อัดแน่นซึ่งอยากบอกออกไปให้เธอได้รับรู้ ทว่าก็ไม่สามารถทำได้แล้ว จึงต้องรำพึงรำพันกับตัวเองอยู่คนเดียว


    “เธอใส่เสื้อฉันติดไปด้วยนะ ฟลอร่า.....”


    ===================================

    Character
    Flora Loamsdown - ->T r A i N<-
    Khazan Croxz - Zan~Naz



    Freetalk

    Merry X'mas ครับ
    แหม ที่เอาตอนนี้มาลงเร็วก็เพราะเหตุผลข้างบนี่แหละนะ อาจจะสงสัยว่าเพิ่งลงไปเมื่อสองวันก่อนเองไม่ใช่เหรอ?
    ทำไมเอามาลงไวจัง ก็เพราะผมคิดฟิคเกี่ยวกับคริสท์มาสไม่ออกน่ะสิครับ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ เลยดัดแปลงตอนนี้แล้วเอามาลงไวขึ้นแทน=A=
    (ตอนแรกที่เขียนไว้นั้นไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคริสท์มาสเลยซักนิดเดียว)

    จริงๆ แล้วมันมีต่อจากนี้อีก แต่ว่าก็ตัดช่วงนั้นออกไป ไว้รอลงหลังเฟสของอควาเฟยครับ ไม่งั้นเนื้อหาจะไม่ต่อกับ Chapter 2
    คนที่ต้องสอบช่วงคริสท์มาสก็กัดฟันผ่านพ้นไปให้ได้ละกันนะ=A=b

    Credit
    AQUAFAY แดนนี่จังที่ตรวจทานให้ก่อนนะ
  15. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    ฟลอร่าน่ารักดีวุ้ย ถึงนิสัยจะแปลกๆ ไปบ้าง ชอบฉากที่เธอกางแขนออกไปเล่นกับหิมะเป็นพิเศษเลย จะกลายเป็นนางเอกไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย คาห์ซานทำท่าเหมือนจะชอบซะด้วย กร๊ากกก

    ชอบที่ลงท้ายด้วยประโยคหักมุมครับ =[]=b นึกว่าจะบอกคำซึ้งๆ ที่แท้ก็...
  16. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    อุ๊บส์ =[]= ถึงว่าเร็วแท้ที่ก็ฉลองคริสต์มาส~~
    ชอบบทฟลอร่ามากเลยซิกกี้ >[]<,,~ ดูน่ารักแปลกๆ ฮาๆ นอกจากนั้นก็ดูลึกลับด้วย แต่นิสัยเธอนี่...........อุ๊ก.....คาห์ซานโดนหลอกซะแล้ว (กร๊ากกกกก)
    [action]เกาะลุง 'ดีมากลุง เลี้ยง(อาหาร)ป๋มต่อไปนะ * - *'[/action]
    /me โดนลุงเตะทันควัน
  17. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    แหม นึกว่าตอนนี้จะไม่มีเล่นคำซะแล้ว อือ จากที่ปิ๊กกี้บอกทำให้นึกขึ้นมาได้...สำนวนไลท์โนเวลจริงๆ ด้วยแฮะ = A ="

    ตอนสั้นๆ อ่านง่ายเม้นต์ง่ายดี (ฮา...)

    ฟลอร่า ลอมน์ดาวน์ใช่มั้ย??

    จะพยายามไม่อ่านเป็นล้อมดาวนะฮะ เทรนคุง =A=""

    ว่าแต่....หมดเงินไปเท่าไหร่ล่ะนั่นพี่ชาย เลี้ยงสาวซะหมดตัวเลย (ฮา...)

    คำผิดจ้า *w*/~

    บทบาทวิถี -- บนบาทวิถี?
    กระพริบตา -- กะพริบตา
    ส้มปาด -- ส้อมปาด
    ตักใส -- ตักใส่
    คริสท์มาส -- คริสต์มาส

    ขำมุก ก๊ากกกกกกกกก! เข้าใจแซวนะ ฮ่าฮ่า
  18. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    ระ เร็ว :confused:

    ฟอร์เต้ออกมาแล้ววว>///< ขอบคุณค่ะ ออกมาซะสวยเลย^^ ดวงเราปะเหมาะมาเจอกันอีกแล้วนะไพอาคุง เอิ้กๆ

    ว่าแต่หนูฟลอร่านี่กินเก่งจริงๆ หน้าหนาว ไอศครีม นึกถึงเพื่อนเลยแฮะ หน้าหนาวทีไรมาถึงโรงเรียนตอนเช้าๆเป็นฟาดไอศครีมรสกาแฟ สามารถจริงๆ - -"
  19. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    ฟลอร่าน่าร้ากกก เทรนคุงครีเอทตัวละครทีไรต้องมีสเน่ห์ทุกที ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ตาม

    อ่านสองตอนรวด เฟส4 ออกมาเมื่อไรทำไมผมไม่สังเกต เป็นเฟสที่ยาวมาก และผมแอบคิดว่าฉากสนทนาค่อนข้างจะเล่นจนยืดไปหน่อยนึง แต่ถ้าเป็นเรื่องอดีตล่ะก็ ผมชอบมากทีเดียว โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ที่ทำให้คาซานต้องออกจากกองพัน กับการจากไปของโซนาเร่และผลกระทบ ผมว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันดีมาก เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง พออ่านแล้วรับรุ้ถึงความน่ากลัวของผลกระทบได้ โดยไม่จำเป็นต้อง"มืดมน"แบบแฟนตาซีจ๋า แต่เอาภัยธรรมชาติอย่างความแห้งแล้งแบบโลกเราจริงๆมาแทน เหมือนมีความสมจริงในแฟนตาซีทำให้ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งผมชอบมาก บอกตามตรง ชอบยิ่งกว่ามืดมนแบบฟิคแฟนตาซีเกร่อๆด้วยซ้ำ (คงเดาออกนะว่าแบบไหน)

    เกาะโอราโทริโอเป็นเกาะที่จินตนาการตามแล้วรุ้สึกตกภวังคืเลยทีเดียว ชอบการครีเอทเกาะนี้นะครับ ส่วนตัวละคร อลิซาเบธเจ๋งมาก =[]=b อารมณ์แบบเจ๊ตามบาร์เป๊ะ ถูกใจสุดๆไอ้คำพูดที่ว่า "ต้องบรรลุนิติภาวะนะจ๊ะ" เหมือนคาซานโดนดูถูกไปเลย กร๊ากกกกกก (สะใจ) ส่วนคาซานรู้สึกมันช่างอารมณ์แปรปรวนเหลือเกิน มันเป็นอะไรมากกับเฟย์ไหมเนี่ย - -"

    (เถียงซัน)
    ใช่เซ่ะ รสนิยมเอ็งมันชอบ"เจ๊" นี่หว่า (- - แบบเจ๊ซีนใช่ไหมล่ะ อ่อนโยนมากเลย~ :E
  20. jenovasung

    jenovasung Member

    EXP:
    152
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    อุ๊ก...........คลานเข้ามาอ่าน3ตอนรวด (รู้สึกตัวเองยังไม่โผล่เเฮะ 555 )

    ก่อนปีใหม่สอบไป2วิชา หลังปีใหม่เจออีก2เฮอะ ..................

    ฮัดเช้ยยยย!!!! คริสมาสต์เเล้วรึเนี่ย ต่อไปก็มีงานเทศกาลปีใหม่น่ะสิ

    ฟรอร่าจัง หน้าหนาวทั้งทีเล่นกินไอติมเลยรึ เเบบนี้หนาวเเย่เลย เนอะป๋าเทรน.....
    [action]โดนป๋าเทรนถีบ[/action]
  21. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    สองตอน....เอื๊อก!!! จะว่าไป.....ดวงเราสมพงษ์กันอีกแล้วนะงับเจ๊ยูคิฮิเมะ ^^'a

    หน้าหนาวนะน่ะ...... ขนาดหน้าหนาวยังกินไอติมได้อีกเรอะ =[]=!!!!! [action]ไม่หนาวรึไงนั่น[/action]

    คาห์ซานโดนซิวเสื้อไปซะงั้น 555+ ใครยังสอบไม่เสร็จก็สู้ๆครับผม ^^b
  22. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร]An Oratorio (Chapter 1 phase 5/Update 26/12/50)

    An Oratorio
    Chapter 1 final phase




    ห้วงเวลาหมุนผ่าน ม่านผลัดเปลี่ยนสี
    ข้าขอน้อมสดุดี แก่ดวงตะวันเจ้าฤทธา

    วันรุ่งขึ้นหลังจากคาห์ซานสูญเสียเสื้อคลุมกันหนาวไปแล้ว เขาก็ออกหาเสื้อกันหนาวใหม่ทันที เพราะทั้งกระเป๋ามีอยู่ตัวเดียว กะเอามาใส่ตลอดช่วงที่อยู่ไฮเดิร์น


    อากาศข้างนอกแม้เป็นช่วงสายก็ยังหนาวอยู่ ทางเดินถูกถมด้วยหิมะไปทั่วทุกทิศ เพราะหิมะตกทั้งคืน ผู้คนใส่เสื้อกันหนาวตัวหนา ผ้าพันคอ หมวกไหมพรหมออกมาเดินกันให้สลอน คงไม่มีใครบ้าจี้ใส่เสื้อแขนกุดแน่นอน


    ถึงกระนั้นอุปสรรคเรื่องอากาศก็ไม่ได้ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวหมู่บ้านนี้ลำบากซักเท่าไรนัก พวกร้านค้ายิ่งต้องตื่นเช้า ออกมากวาดหิมะออกจากหน้าร้านตัวเอง ทำให้คาห์ซานหาเสื้อตัวใหม่ได้ง่ายขึ้น เป็นเสื้อกันหนาวสีครีมตัวยาวถึงเข่า หนาและอุ่น


    เขาหยิบจดหมายขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มออกเดินไปยังท้ายหมู่บ้าน
    ถนนทอดยาวคดเคี้ยวเปล่าเปลี่ยว สองข้างทางขนาบด้วยต้นไม้ไร้ใบ ลำต้นของมันเป็นสีดำเมื่อตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ แสงแดดเริ่มเบาบางลงทุกที เพราะอยู่ภายใต้เงาของเกาะลอยฟ้าแล้ว


    เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ก็จะไม่เห็นโอราโทริโอ้ซึ่งเป็นหอคอยแก้วและปราสาทชั้นบนอีกต่อไป จะมองเห็นแต่ใต้เกาะขนาดใหญ่เป็นรูปทรงก้นกรวย และยอดของปราสาทชั้นล่างก็แทงทะลุเข้าไปในกรวยอันนั้น
    กำแพงล้อมรอบตัวปราสาทเป็นสีขาว วางไว้ให้เป็นรูปหกเหลี่ยม มีหอสังเกตการณ์อยู่ทุกเหลี่ยม ส่วนประตูเป็นประตูเหล็กกล้า มีทหารยามสองคนเฝ้าอยู่หน้าประตูเล็กๆ ด้านข้างประตูบานใหญ่เพื่อคอยตรวจสอบคนที่จะเข้าไปข้างใน
    ได้เวลาแล้วที่เข็มกลัดจะมีประโยชน์สำหรับเขา คาห์ซานหยิบเข็มกลัดไวโอลินออกมาแสดงให้ทหารยามดู พวกเขายืนตัวตรงในทันที

    “ผมมาขอพบกลีน อาฮาวาครับ”

    “เอ่อ.... หัวหน้าแผนกกลีนเหรอครับ” ทหารยามเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “เกรงว่าวันนี้คงจะไม่ได้ เพราะหัวหน้าแผนกกำชับว่าวันนี้เขาจะไม่พบใคร”

    คาห์ซานเลิกคิ้วสูง กลีนจะไม่พบใคร ทำไมล่ะ?

    “มีเหตุด่วนอะไรหรือเปล่าครับ? ที่เขาจะไม่พบใคร”

    “ไม่ทราบเหมือนกันครับ เขาสั่งมาแบบนี้เท่านั้น”

    “ถ้าอย่างนั้น.....” คาห์ซานเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ก็บอกเขาว่า คาห์ซาน คร็อคซ์มาหานะครับ ผมจะกลับมาอีกทีตอนบ่าย ช่วยบอกเขาก่อนหน้านั้นด้วย”

    หลังจากทหารยามตอบรับเรียบร้อยแล้วคาห์ซานก็ออกมา คิดทบทวนว่าทำไมกลีนถึงไม่พบใครวันนี้นะ? ช่างแปลกเหลือเกิน แล้วไอ้ตำแหน่งนั่นมันอะไรกัน หัวหน้าแผนก? แผนกอะไรล่ะเนี่ย แล้วมันมารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกอะไรนี่ได้ยังไงกันนะ


    เขากลับเข้ามาในหมู่บ้านอีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วและเขายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย จึงรู้สึกหิว เขาพยายามเลือกร้านอาหารที่โต๊ะในร้านยังว่างและไม่ห่างจากเกาะลอยฟ้ามากนัก แต่ก็แทบจะไม่มีเลย คงเพราะใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ผู้คนจึงเนืองแน่น ดังนั้นเขาต้องนั่งโต๊ะกลางแจ้ง แม้อากาศจะหนาว แต่แดดก็อบอุ่นพอ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเพราะใกล้เที่ยงแล้ว
    ดังนั้นเงาของปราสาทลอยฟ้าและโอราโทริโอจึงมาไม่ถึง

    พอนั่งลง เขาก็สั่งข้าวไก่อบซอสกับพนักงาน ระหว่างรอก็พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ สาวสวยผมบลอนด์ สูงโปร่ง กับเสื้อโค้ทหนังดำยาวตัวเมื่อวาน อลิซาเบธ ริชเชอร์

    “อ้าว สวัสดีจ้ะ”
    อลิซาเบธทักก่อน เธอหิ้วถุงกระดาษใบใหญ่มาด้วย

    “สวัสดีครับ คุณอลิซาเบธ”

    “บังเอิญจริงๆ ขอฉันนั่งด้วยได้หรือเปล่าจ๊ะ?”

    “เชิญครับ”

    อลิซาเบธวางถุงของเธอไว้ใต้โต๊ะ พอพนักงานเอาข้าวไก่อบซอสของคาห์ซานมาส่ง เธอก็สั่งข้าวผัดอเมริกันไป

    “คาห์ซานออกมาทำอะไรเหรอ?”
    เธอเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

    “อ๋อ ผมมีธุระแถวนี้นิดหน่อยน่ะครับ พอดีจะออกมาเจอเพื่อน แต่เขาไม่ว่างก็เลยต้องรอไปก่อน”

    “แหม แย่งจังนะ ฉันก็ออกมาซื้อของ แบบว่าเพิ่งย้ายมาอยู่น่ะ เลยยังขาดอะไรไปเยอะเลย”

    “ไม่ได้เป็นคนที่นี่เหรอครับ?”
    ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ ตอนแรเขานึกว่าเธอเป็นคนเมืองหลวง แต่เดินทางไปต่างเมืองเพิ่งกลับมาเสียอีก

    “เมื่อก่อนเคยใช่ แต่ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นพักหนึ่ง ตอนนี้ต้องกลับมาเพราะเรื่องงานน่ะ”

    “อ๋อ....”

    “ตอนนี้ทำชั่วคราวอยู่ที่ร้านบันเทิงที่เคยให้ที่อยู่ไปแหละ ฉันนักร้องของที่นั่น”
    เธอบอก คาห์ซานทำสีหน้าทึ่งจัด

    “เอ๋ เหรอครับ ถ้างั้นคุณก็ร้องเพลงเก่งน่าดูสิครับ”

    “แน่นอนสิ เพลงของฉันเพราะอยู่แล้ว เพราะฉันเป็นโซนาเร่นี่นา”

    คราวนี้คาห์ซานทึ่งกว่าเดิม ทว่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติช้าๆ จนเฉยเมย คำว่า ‘โซนาเร่’ มันทำให้เขานึกถึงเฟย์เรีย เด็กสาวผมสีน้ำตาลจนออกแดงในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว

    พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันต่อ เพราะข้าวผัดของอลิซาเบธมาถึงพอดี และเพราะคาห์ซานเว้นข่วงไปนานด้วย ทั้งสองจึงตั้งหน้าตั้งตาเติมพลังงานให้กับร่างกายอย่างเดียว มีคุยกันบ้างประปราย

    “เอ๋? เธอจะไปเจอเพื่อนในวังล่างเหรอ?”
    อลิซาเบธโพล่งขึ้นมา หลังจากคาห์ซานหลุดปากบอกออกไปว่าเขาจะไปเจอกลีนซึ่งทำงานอยู่ในวังล่าง

    “ก็ใช่ครับ ช่วงบ่ายๆ ก็คงเข้าไปแล้ว”

    “อืม... สถานที่นั่นมันแปลกๆ นะฉันว่า ทั้งวังล่างวังบนเลย”
    อลิซาเบธว่า พลางเช็ดปากด้วยผ้าหลังจากกินข้าวหมดแล้ว

    “ทำไมล่ะครับ?”

    “มันดูมีอะไรแปลกๆ ตั้งแต่ระเบิดหนแรกเมื่อสองปีก่อนนั่นแหละ หลังจากนั้นฉันก็คิดว่ามันมีอะไรแปลกๆ บางทีฉันก็คิดว่ามันเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเข้าใกล้เอาเสียเลย ว่าแต่ปกติกว่าคนธรรมดาจะเข้าไปเจอใครได้ต้องใช้เวลานานเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงติดต่อเข้าได้ภายในวันเดียวล่ะ?”

    “อ๋อ.... ผมมีเส้นนิดหน่อยครับ”
    คาห์ซานตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากบอกอะไรมากถึงเข็มกลัดของเขา อลิซาเบธนั่งไขว่ห้างและกอดอก ทำหน้าตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    “งั้นเหรอ.... แต่ฉันว่าเธออย่าเข้าใกล้ที่นั่นจะดีกว่านะ ฉันรู้สึกแปลกๆ กับมันจริงๆ”

    เขาไม่ตอบอะไรกับท่าทีของเธอ ทำเพียงแค่ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มนั้น เวลาเดินผ่านไป ทั้งสองคนยังนั่งอยู่ที่เดิม คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ด้วยกาแฟแก้วเดียว เช่นว่า คาห์ซานไปอยู่ที่ไหนมา ทำงานอะไร ทำไมถึงมาไฮเดิร์น ทุกคำถามเขาพยายามเลี่ยงตอบเท่าที่ทำได้

    ชายหนุ่มไม่พึงประสงค์จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตัวเองเท่าไรนัก แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะดูเป็นมิตรอัธยาศัยดีแค่ไหนก็ตาม ถึงยังไงก็เพิ่งเจอกันเมื่อวานเท่านั้นเอง แต่เรื่องของอลิซาเบธน่าสนใจ เธอเล่าถึงลูกค้ามากหน้าหลายตาที่แวะเวียนเข้ามาในร้านที่เธอทำงานอยู่ มีกระทั่งผู้ชายอ่อนหัด(ตามที่เธอเรียก) และเจ้าแก่หัวงูหรืออะไรทำนองนั้น ดูเหมือนเธอจะมีประสบการณ์อยู่พอตัว เพราะหาเงินเองตั้งแต่อายุ 17 ปี


    แต่แล้วช่วงเวลาก็ถูกทำลายลง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจนฟ้าดินสะเทือนดังมาจากเกาะลอยฟ้า หัวใจของคาห์ซานหล่นวูบหายไปในทันที
    เปลวไฟและควันสีดำลุกโขมงบริเวณวังบน ไม่ใช่จากหอคอย ตัวปราสาทสีขาวถูกควันสีดำปิดล้อมในชั่วพริบตา ผู้คนแตกตื่น มองไปยังปราสาทอย่างหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
    คาห์ซานตาเบิกโพลง ไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ความทรงจำเมื่อครั้งหอคอยระเบิดออกหวนกลับมาอีกครั้ง


    กล่องที่ถูกปิดตาย ประตูที่ถูกปิดตาย
    ถึงกระนั้นก็ยังมีคนงัดแงะเปิดมันออกได้อยู่ดี


    มันจะต้องไม่เกิดขึ้น มันจะต้องไม่เกิดขึ้น
    ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของชายหนุ่ม ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้ว เขาออกวิ่งไปในทันที สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวปราสาทซึ่งถูกปกคลุมด้วยควันไฟ

    “คุณอลิซาเบธ ผมขอตัวก่อนครับ!”

    “คาห์ซาน!”

    อลิซาเบธร้องเรียก แต่เขาไม่แม้แต่จะหยุดหันมามอง ทิ้งให้อลิซาเบธยืนอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง เธอยืนมองชายหนุ่มวิ่งหายลับไปในฝูงคน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาคล้ายกระซิบบอกตัวเอง

    “ทั้งๆ ที่เตือนว่าอย่าไปแล้วเชียว....”


    + + + + + + + + +​

    Character
    Zan~Naz - Khazan croxz
    • SûmiyØ VåleñtinÈ • - อลิซาเบธ ริชเชอร์



    Freetalk

    สวัสดีครับ ไม่พบกันนานเลยหลังจากบอร์ดล่ม=_= ผมก็ลืมไปเลยว่ามันเข้าได้แล้ว เลยลืมเอาฟิคมาลง แต่ได้ข่าวว่าจะล่มระลอก 2 อีกแล้ว ยังไงก็เอามาลงให้หายคิดถึงกันก่อน ก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีกนานล่ะนะ=_="
    เฟสหน้าก็ขึ้นตอนที่ 2 แล้วครับ บู๊กันแหลกลาน ตัวละคนทางฝั่งซีนี่ก็จะมาปรากฏโฉมให้ได้ยลกันแล้วล่ะ(ตัวละครใดๆ ที่ไม่ได้ปรากฏในไฮเดิร์น) ติดตามอ่านนะ*-*
  23. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    ฮู้ว * 0 * เม้นท์คนแรกเลยเรา 55
    ล่มระลอก2ก็อีกพักนึงล่ะนะ - -"
    เฟสนี้สั้นจริง(ในความรู้สึกผม) เจ๊อลิซเป็นโซนาเร่นี่เอง! แปลกใจนิดหน่อย หรือเพราะผมชอบคิดว่าโซนาเร่จะดูเป็นพวกนิ่งเงียบกว่านี้น้า - 0 -''
    ว่าแต่ใครทำให้ระเบิดกันล่ะนั่น ต้องรอลุ้นตอนต่อไปแล้วสิ

    ส่วนคำผิดมีประปรายน้อซิก (เหมือนคำมันตกๆหล่นๆนิดหน่อย) ยังไงก็สู้ต่อไปคร้าบ * - */
  24. logon

    logon New Member

    EXP:
    59
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ไม่ได้มาเมนท์เสียนาน ขอโทษด้วยครับ - -"

    phase 4
    - ฟลอร่าน่ารักโคตร (แต่แบบนี้เค้าเรียกหลอกแดกนะฟลอร่า ฮะๆๆๆ - เหล่มองเทรน)
    “ฉันรู้จักนายมากกว่าที่นายคิด ฉันรู้จักนายดี รู้จักดียิ่งกว่าโลกใบนี้เสียอีก”
    << ผมติดใจประโยคนี้มากๆ

    รู้สึกว่าการที่คาห์ซานเจอกับฟลอร่า.............อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
    (แน่ล่ะ มันเป็นความตั้งใจของคนแต่ง /me โดนถีบ)


    แต่ตอนจบแอบฮานะนั่น เห็นมองสาวเคลิ้มๆนึกว่าจะซึ้ง ที่ไหนได้ งกเสื้อซะงั้น -*-


    phase 5
    - ในเรื่องนี้ก็มีการเบ่งยศใส่กันสินะ ความสำคัญของผู้ที่สามารถจะมีเข็มกลัดทั้งสองอันนี้ได้คงจะสูงพอดูทีเดียว
    ที่แท้อลิซาเบธก็เป็นโซนาเร่นี่เอง เจ๊ดูน่าชื่นชมขึ้นทุกทีแล้วนะครับ*-* ก๊ากกก
    ผมเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของเจ๊(กลายเป็นเรียกแบบนี้ไปแล้วซะงั้น) ในเฟสก่อนๆที่มองคาห์ซานเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีบาดแผลจากประสบการณ์
    แต่ขอแถมไปหน่อยด้วยว่าคาห์ซานดูสติหลุดทุกครั้ง(จิตดีผมชอบ)เวลามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ"เหตุการณ์เมื่อ2ปีก่อน"



    แล้วเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไป?

    กลีนจะโดนระเบิดตายตั้งแต่ยังไม่ปรากฏโฉมหรือไม่?? หรือกลีนจะโพล่ได้แค่ชื่อ!!

    อควาเฟย์จะหนาวตายอยู่ข้างทางหรือไม่?? (หรือคนแต่งลืมไปแล้วววว!?!)

    ฟลอร่าจะเอาเสื้อหนาวมาคืนคาห์ซานรึเปล่า? หรือว่าขายซื้อไอติมกินไปหมดแล้ว!?

    แล้วสาวน้อยขายไม้ขีดไฟล่ะ!!

    เฟย์เรียหายไปไหน! หรือว่าโดนระเบิดไปเกิดเป็นดาวแล้ว!!!?

    คนแต่งจะแก้คำผิดเมื่อไหร่?!!

    แล้วจะมาต่อตอนไหน!!?

    ต้องติดตามกันต่อไป - -/


    /me โดนถีบออกจากกระทู้ทันควัน


    EDIT แก้คำผิดครับ

Share This Page