[G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*จบตอนแล้วจ้ะ 26/10/08*)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย kumi, 4 ธันวาคม 2007.

  1. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ฉลองดองนานข้ามปีมากๆ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!! ทำใจแล้วถ้าหากไม่มีคนอ่าน (ฮา.......) ที่เอามาลงนี่เพราะแปลไว้แล้วหรอกนะ ก็เลย...เอาวะ ไหนๆ แปลไว้แล้ว ลงก็ได้ฟะ ฮ่าฮ่า!

    แต่ก่อนหน้านั้นมันต้องลงย้อนหลังน่ะสิ = =??? .........หรือไม่ต้องคะ = A =???

    เอาเถอะ...สำหรับแฟนๆ G-Seed หน้าใหม่ๆ(มันจะมีมั้ยเนี่ย???) ที่ไม่เคยอ่านในบอร์ดเก่าก็แล้วกัน

    ใครอยากจะเนียนปั้ม Exp ก็โพสเม้นต์ให้กำลังใจระหว่างการโพสย้อนหลังหน่อยก็ดีนะ~

    [action]โดนสตาฟตบ!! แอ๊ฟฟ~ฟ![/action]

    เหตุที่คุมิกลับมาแปลอีกครั้งไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ...รู้สึกภาษาอังกฤษตัวเองห่วยลงอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับตอนที่ยังแปลเรื่องนี้อยู่ -*- ทั้งๆ ที่อ่าน text ภาษาอังกฤษทุกวันแท้ๆ แต่ทำไมทักษะกลับแย่ลงก็ไม่รู้ เลยคิดจะรื้อฟื้นตัวเองสักหน่อย กลับมาแปลฟิคเรื่องนี้ต่อแล้วกัน =[]=b!!

    คาดว่ามันก็คงจะดอง...แต่ก็คงไม่น่าล่ม แต่อาจจะอัพช้าเท่านั้นเอง = W =""

    ใจจริงไม่ได้คาดหวังคนติดตามเท่าไหร่ (เพราะทุกคนคงไปอ่านออริจินอลกันหมดแล้ว) แต่ช่วยติคำบรรยายกับการใช้ศัพท์หน่อยก็ดีค่ะ เพราะตอนนี้นอกจากอังกฤษจะอ่อนแอแล้ว ภาษาไทยยังไม่แข็งแรงอีกต่างหาก = ="

    (อ่านตอนแรกแล้วรู้สึก...ทำไมฉันแปลได้เพราะจังฟะ~)

    อยากไปอ่านเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเองก็ตามสบาย ตามนี้เลยนะคะ หวังก็แต่มิริอาเอะซังจะไม่ล่มซะก่อนนะ T[]T,, http://www.fanfiction.net/s/2238472/1/

    P.S. บอร์ดใหม่นี่เหมาะสำหรับการโพสฟิคจริงๆ เลย T[]T,,~

    + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +




    The Princess’ Sonata


    Credit Author: Miriae Translator : Kumiko ~Arrow~





    CHAPTER 1 – เลขาคนใหม่

    “เธอถูกไล่ออก!”

    เสียงทุ้มต่ำหากทรงอำนาจดังมาจากห้องทำงานใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยใบประกาศนียบัตรและเหรียญทองเชิดชูเกียรติจนเต็มชั้นวางของสีน้ำตาลหม่นๆ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้ำเลิศของบุคคลผู้เป็นเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

    เบื้องหลังโต๊ะไม้โอ๊กราคาแพงนั้น อัสรัน ซาล่า ชายหนุ่มร่างสูงวัย 20 ปี ใช้สายตาจับจ้องร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังคุกเข่าขอความเมตตาทั้งที่เนื้อตัวสั่นเทิ้มอยู่เบื้องหน้า

    “ท่านประธานซาล่า ได้โปรดให้โอกาสดิฉันอีกสักครั้งเถอะนะคะ!” เธออ้อนวอน นัยน์ตาคู่สวยบัดนี้เปี่ยมล้นด้วยน้ำใสๆ ไหลรินปริ่มขอบตา
    “ฉันไม่ชอบวิธีการเขียนรายงานของเธอ และนั่นคือเหตุผลที่ฉันไล่เธอออก” เขาพูดเสียงเรียบ

    สิ้นคำกล่าวหญิงสาวก็ก้มตัวลงต่ำกว่าเดิมจนศีรษะแทบจะแตะชิดกับพื้น “ได้โปรดเถอะค่ะ ท่านประธานซาล่า! ให้โอกาสดิฉันอีกสักครั้งเถอะนะคะ!”

    “เธอไม่พอใจการตัดสินใจของฉันอย่างนั้นหรือ?” อัสรันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท หากแต่แฝงด้วยอันตรายอย่างยิ่ง

    “ดิฉันมิบังอาจ!! แต่ดิฉันขอ...”

    “โอกาส? นี่สาวน้อย...จะให้ฉันยอมรับคนที่ไร้ความสามารถอย่างเธอมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของฉันมันก็ไม่ไหวหรอกนะ ทั้งที่เป็นโคออดิเนเตอร์แท้ๆ แต่ก็ยัง...โง่เง่า”

    น้ำตาอุ่นๆ ไหลรินออกจากขอบตาทันทีที่สิ้นคำปรามาสของผู้มีอำนาจเหนือกว่า

    นี่เธอทำได้แค่ยอมรับมัน...เท่านั้นหรือ?

    แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าถึงดื้อดึงไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น...แต่เธอก็ยัง...

    “ได้โปรดเถอะนะคะท่าน ดิฉัน...”

    อัสรันถอนหายใจเบาๆ ขณะที่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้บุนวมสีดำสนิทก่อนออกคำสั่งสั้น

    “ไปได้แล้ว”

    “ได้โปรดเถอะค่ะท่านประธาน! ดิฉันต้องการงานนี้จริงๆ นะคะ!!”

    “จะออกไปดีๆ หรือจะต้องให้ฉันใช้กำลัง?” แม้คำกล่าวจะฟังดูเย็นเยียบแต่อารมณ์ของผู้พูดในขณะนั้นกลับร้อนระอุเสียยิ่งกว่าอุณหภูมิบนดาวอังคารเสียอีก!

    “แต่ท่านคะ...”

    อัสรันหมุนเก้าอี้หันไปเหม่อมองทิวทัศน์ด้านนอกผ่านหน้าตาสไตล์ฝรั่งเศสบานใหญ่ ทำให้หญิงสาวเห็นแต่เพียงแผ่นหลังของบุรุษผู้ทรงอำนาจเท่านั้น

    “ออกไป ก่อนที่ฉันจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้”

    “ท่านคะ!”

    ชายหนุ่มเอื้อมมือกร้านไปกดปุ่มสีแดงเล็กๆ บนเก้าอี้หนังมันขลับนั้น ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะออกคำสั่งเสียงเครียด

    “ช่วยพาคุณผู้หญิงคนนี้ให้ไปไกลๆ สายตาชั้นหน่อย”

    “ท่านคะ ได้โปรด! โปรดเมตตาด้วย!!”

    ในเวลาไม่ถึงนาที ชายฉกรรจ์ 2 คนในเครื่องแบบทหาร ZAFT เรียบกริบถูกก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระบอกปืนสีดำสนิทในมือ ทั้งคู่ยกมือทำความเคารพท่านประธานสภาสูงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะลากตัวหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้นไปจากห้องสีเทาหม่นชวนอึดอัดหายไป

    “ท่านประธาน ได้โปรด เมตตาดิฉันด้วยย~~” เสียงอ้อนวอนขอร้องค่อยๆ ดังแผ่วลงๆ จนในที่สุดก็เงียบหายไป ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม ปล่อยสายตาให้เหม่อมองชมทัศนียภาพใจกลางเมืองอย่างเงียบๆ ก่อนจะขยับมือไปกดปุ่มอินเตอร์โฟนบนเก้าอี้อีกครั้ง

    “ช่วยต่อสายท่านแพทริก ซาล่าให้หน่อย” ภายในเวลาไม่นานหลังจากที่โอเปอร์เรเตอร์เอ่ยให้รอสาย เสียงแหบห้าวของชายหนุ่มวัยกลางคนก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

    “มีอะไรอีกล่ะ อัสรัน?”

    “ผมต้องการเลขาฯคนใหม่ครับ ท่านพ่อ” อัสรันตอบหน้าตาเฉย

    แพทริกถอยหายใจเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “อัสรัน...นี่เพิ่งจะปีเดียวเท่านั้นเองนะ ที่แกมาทำงานแทนชั้นในตำแหน่งประธานวุฒิสภา และตอนนี้แกก็ใช้เลขาฯ รวมทั้งหมด 5 คนแล้วนะ ! แค่นี้ยังไม่พอใช้อีกรึยังไง!?”

    “ก็พวกเธอทำให้ผมหัวเสีย คนแรกก็ทำกาแฟหกลงบนกองเอกสารที่ผมต้องเซ็น คนที่สองก็โยนเจ้าฮาโล่ลงไปในสระน้ำเพราะรำคาญเสียงของมัน ทำให้ลักซ์เสียใจมาก ผมก็เลยต้องหาเวลามานั่งซ่อมเจ้าของเล่นนั่นกว่าค่อนวัน ส่วนคนที่สามดันหนีงานออกไปเที่ยวกับแฟนหนุ่มเนเชอรัล...จริงอยู่ที่ผมมีอคติ แต่หนีงานไปยังไงมันก็รับไม่ไหวหรอกนะครับ...สำหรับคนที่สี่ขอลาออกเองเพราะว่าทนผมขึ้นเสียงไม่ไหว พวกเธออ่อนแอเกินไป และคนสุดท้ายที่เพิ่งไล่ออกไปเมื่อครู่...ทำงานชุ่ยมาก รายงานมีแต่ข้อผิดพลาดเต็มไปหมด” อัสรันอธิบายการทำงานของเลขาฯ สาวแต่ละคนเสียยาวยืด

    “แค่ตักเตือนก็พอ...ไม่เห็นต้องถึงขนาดไล่ออกเลยนี่”

    “ท่านพ่อ...ผมก็เหมือนกับท่านพ่อนะครับ ผมไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น และผมต้องการผลสรุปที่สมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องไร้ข้อผิดพลาด และท่านพ่อคิดว่าเลขาฯ พวกนี้สมควรได้รับโอกาสงั้นเหรอครับ?”

    เงียบ...ไร้ซึ่งเสียงสอดแทรก อัสรันขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงงๆ ก่อนเรียกบุรุษสูงวัยซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นปลายสายเงียบไปนาน

    “…..ท่านพ่อ?”

    “ชั้นจะไปหาเลขาฯ คนใหม่มาให้ก็ได้ แต่แกต้องสัญญาว่าเธอจะต้องอยู่กับแกอย่างน้อย 1 ปี เข้าใจไหม?”
    คำกล่าวที่เขาจะตอบรับอะไรอย่างอื่นได้นอกจากคำว่าตกลง....

    “ก็เหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวที่ผมมีตอนนี้นี่ครับ...เอาเถอะ ยังไงผมก็ขอให้เธอรับผิดชอบสมกับตำแหน่งหน่อยก็แล้วกัน”

    “ก็ดี...แต่มันมีปัญหาอยู่อย่าง...” เสียงแหบห้าวของบุรุษสูงวัยกว่าเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียดมาตามสาย คำกล่าวเน้นขึ้นลงหนักแน่นในท่วงทุกประโยค ชายหนุ่มมิได้เอ่ยขัดอะไร เขากลับนิ่งเงียบเว้นให้ผู้เป็นบิดากล่าวต่อไปแม้ในใจจะรู้สึกสงสัยกับคำเริ่มประโยคนั้นไม่น้อยก็ตาม

    “เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างเนเชอรัลกับโคออดิเนเตอร์ ทางสหพันธ์โลกได้เสนอทางฝ่ายเรามาว่าควรจะให้
    เนเชอรัลเข้ามาทำงานใน Plant บ้าง ส่วนเราเองก็คงต้องส่งคนไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน...”

    อัสรันมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกขัดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ก่อนสมองจะเริ่มทำการตีความหมายนัยๆ ที่แฝงอยู่ออกมา

    พวกเนเชอรัลนี่ช่างมักใหญ่ใฝ่สูงซะจริงนะ....

    “ผมเชื่อว่าทางสหพันธ์โลกเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์ทางด้านเทคโนโลยีจากฝ่ายเราต่างหากล่ะครับ”

    “พวกเราก็รู้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะยังไงซะ ลักซ์ ไคลน์ก็เป็นแกนนำในการสนับสนุนแนวความคิดนี้…แกเองก็รู้ดีนี่ว่าตัวเธอมีอิทธิพลต่อประชาชนของเราแค่ไหน...”

    อัสรันขยับรอยยิ้มบาง นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อยเมื่อชื่อของ ‘ลักซ์ ไคลน์’ ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงถึง หญิงสาวงดงามสมบูรณ์แบบที่มีศักดิ์เป็นถึงคู่หมั้นของเขาเสียตั้งแต่ก่อนเขาจะลืมตาดูโลกเสียอีกกระมัง...เขารักเธอมาก...มากเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นการโกรธหรือเกลียดในสิ่งที่ผู้หญิงที่เขาเทิดทูนกระทำนั้นเป็นเสียยิ่งกว่าตราบาปหนาในชีวิตเขาเสียอีก...

    “ในบางเรื่องลักซ์เองก็...บางที แม้แต่ผมก็เถอะ.....ไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ.....” ชายหนุ่มเอ่ยตอบพึมพำเสียงแผ่ว ปลายสายที่นิ่งเงียบไปนานอีกครั้ง ก่อนออกคำสั่งเคร่งเครียดทิ้งท้าย

    “อัสรัน......แกเข้าใจใช่ไหม ถ้าหากทำตามเงื่อนไขในข้อตกลงนี่ คนที่จะมาเป็นเลขาฯ ของแก.....จะต้องเป็น ‘เนเชอรัล….’ ”


    + + + + + + +

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจับจ้องอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมของเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวบางบนตักของตัวเองนิ่งนานจนแทบจะลืมกะพริบตา ความเคร่งเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่ ‘คางาริ ยูระ อัสฮา’ สาวน้อยหน้าหวานวัย 19 ปีกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานในมือซ้ำไปซ้ำมาเป็นรอบที่ร้อย คิ้วบางได้รูปเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด

    “คางาริ ทำอะไรอยู่น่ะ?”

    เสียงแหบห้าวที่เอ่ยถามขึ้นมาเรียกความสนใจให้เธอเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับ ‘เอ็ดนีล คิซากะ’ ชายหนุ่มร่างยักษ์ตำแหน่งการ์ดส่วนบุคคลของเธอกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอด้วยสายตาคาดคั้นรอฟังคำตอบอย่างสงบ

    หญิงสาวหลุบสายตาลงต่ำกลับไปให้ความสนใจกับเครื่อง labtop ตรงหน้าเหมือนเดิม ก่อนริมฝีปากบางจะแย้มตอบขมุบขมิบ

    “พอดีชั้นได้ยินข่าวมาว่า ZAFT จะทำการบุกประชิด ORB...โชคดีที่ตอนนี้ PLANT กำลังมีปัญหาไฟฟ้าขัดข้องอยู่พอดี ระบบรักษาความปลอดภัยก็เลยไม่ทำงาน ชั้นเลยกะว่าจะเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลดูสักหน่อย...ใช้เวลาไม่นานหรอก เดี๋ยวชั้นจะดาวโหลดไฟล์มาเก็บไว้ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว”

    คิซากะหยิบเอกสารตรงหน้ามาอ่านผ่านตาชั่วระยะหนึ่ง ก่อนทอดสายตากลับไปมองสาวน้อยร่างเล็กอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

    “ผมรู้ว่าท่านกังวลใจ แต่เรายังกลับไปที่ ORB ไม่ได้เช่นเดียวกับการที่เราจะเปิดเผยตัวท่านให้ใครรู้ไม่ได้เหมือนกัน เจ้าหญิง...ผมเคยบอกแล้วว่าตัวท่านได้รับการฝากฝังไว้กับครอบครัวผม และพวกเราเองก็หวังให้ท่านเติบโตเป็นเจ้าหญิงที่เข้มแข็งและสง่างาม...เพราะฉะนั้นผมจะยอมเสียช่วงเวลาที่ผ่านมาไปไม่ได้เด็ดขาด!

    ผมไม่ยอมเอาตัวท่านไปเสี่ยงเพราะข่าวลือบ้าๆ ว่า PLANT จะบุกโจมตี Orb หรอกนะ!!”

    ปัง!!

    เสียงฝ่ามือกระแทกโต๊ะทำให้ชายหนุ่มชะงักในทันที ความเงียบเริ่มเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ อารมณ์คุกรุ่นของสตรีร่างเล็กที่เพียรเก็บไว้เป็นเวลานานปะทุขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกบีบคั้นในจิตใจที่เริ่มปริแตกออกอย่างช้าๆ

    “นายก็พูดแบบนี้ทุกทีแหละ!! นายมักจะเทศน์ให้ชั้นฟังอยู่เรื่อยเลยว่าชั้นควรจะหลีกเลี่ยงนี่ ควรจะออกห่างนั่น เพราะว่าชั้นเป็น ‘เจ้าหญิง’!!” คางาริตวาดเสียงลั่น ร่างบางเริ่มสั่นระริกไปมาเบาๆ พร้อมๆ กับหยาดน้ำใสๆ ที่เริ่มไหลคลอเต็มสองข้างแก้ม

    “ให้ตายสิ! ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชั้นรู้แค่ว่าท่านพ่อของชั้นเป็นผู้นำของประเทศ ORB! ชั้นรู้แค่ว่าบ้านเกิดของชั้นเป็นชาติเดียวที่วางตัวเป็นกลางท่ามกลางสงคราม!! นอกจากนั้น.......นอกจากนั้นแล้วชั้นไม่รู้อะไรเลย!! แล้วนายจะให้ชั้นทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหญิงนั้นยังไงในเมื่อชั้นมีความรู้ในหัวอยู่เพียงแค่นี้น่ะ!!!” สิ้นคำกล่าวคางาริก็ทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้อย่างแรง พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเสียจนตัวโยน

    ภาพที่บอดี้การ์ดหนุ่มทำได้แค่ถอนหายใจ มือใหญ่ถูกเอื้อมไปลูบหัวสีทองๆ ของเด็กสาวที่เขารักยิ่งกว่าลูกในไส้เบาๆ

    “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนี้สิ...คางาริ”

    หญิงสาวสะบัดหัวออกอย่างแรง ในใจรู้สึกทั้งเสียใจ น้อยใจ หงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินคำกล่าวนั้น แม้จะรู้ว่าเขาต้องการปลอบเธอก็ตามที

    “เด็ก!!?? นายบอกว่าชั้นทำตัวเป็นเด็กอย่างนั้นเหรอ!? นายเรียกคนที่ต้องการจะช่วยเหลือประเทศชาติของตัวเอง และจะต้องขึ้นปกครองประเทศในอนาคตข้างหน้านี่ว่า ‘เด็ก’ อย่างนั้นเหรอ!! ชั้นแค่ต้องการจะช่วย ORB เท่านั้น! เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมนายถึงไม่เข้าใจเสียทีฮะ คิซากะ!!”

    คิซากะเฝ้ามองดูการตีโพยตีพายของเด็กสาวตรงหน้าด้วยอาการนิ่งเฉย ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยคำถามราบเรียบ

    “งั้นบอกผมสิ คางาริ…ท่านจะทำอะไรได้?”

    หญิงสาวชะงักในทันที นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้าง น่าแปลกเหมือนกันที่ความอวดดีที่ตนมีเมื่อครู่ดูจะไม่ช่วยให้เธอตอบคำถามข้างต้นได้เลยแม้สักนิด

    “อ่า...ชั้น....ชั้น….”

    “เห็นไหม? ยังไงซะ...ตอนนี้ท่านก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นผมขอแนะนำให้ตอนนี้ท่านรอดูอยู่เฉยๆ อย่างน้อยก็สัก 2 เดือน...เพราะเมื่อถึงวันนั้น ท่านจะอายุครบ 20 ปี และมีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการสืบทอดประเทศ ORB”

    “แต่เราก็ไม่รู้ว่า ZAFT จะโจมตีเมื่อไหร่นี่!? เราต้องเคลื่อนไหวได้แล้วนะ!”

    “เราทำไม่ได้...! และผมจะไม่ยอมเอาตัวท่านไม่เสี่ยงกับปัญหาในครั้งนี้เด็ดขาด!”

    “แต่ว่า...” คางาริทำท่าจะจะค้าน แต่กลับมีเสียงแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    “คิซากะ! คางาริ! มาดูนี่เร็วเข้า” ‘เอริก้า ซิมมอน’ โวยวายเสียงดังขณะก้าวพรวดเข้ามาในห้องพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ

    โดยไม่รีรอ คิซากะคว้าหนังสือพิมพ์ในมือมาอ่านตรงบริเวณที่วงกลมสีแดงไว้แทบจะทันที



    รับสมัครด่วน! – เลขานุการ

    คุณสมบัติ : อายุ 18 ปีขึ้นไป มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี ที่สำคัญเป็นเนเชอรัล

    ติดต่อ : 0920-555 , ZAFT OFFICE​



    นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างทันทีที่อ่านโฆษนาตรงหน้าจบ

    “สำนักงาน ZAFT! เนเชอรัล! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”

    เอริก้ามองหน้าคนทั้งคู่สลับไปมา ก่อนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ชั้นเองได้ยินมาเหมือนกันว่าทางสหพันธ์โลกมีโครงการที่จะแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างเนเชอรัลกับโคออดิเนเตอร์ แต่เท่าที่รู้มันก็ยังไม่ได้ถูกประกาศออกมาชัดเจนหรอกนะ”

    คำอธิบายที่ทำให้ชายหนุ่มคนเดียวในห้องต้องมุ่นคิ้วเข้าหากัน “ถ้ามันยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นทางการ แล้วจะมาลงโฆษนาอย่างนี้ทำไม? ZAFT วางแผนอะไรอยู่รึเปล่านะ....”

    “ชั้นจะลงสมัคร!” เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นทำเอาคนที่เหลือสองคนถึงกับสะดุ้งโหยง

    “ไม่ได้นะ คางาริ! ผมยอมไม่ได้หรอก!” บอดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยค้านแทบจะทันที “ท่านเองก็จะกลับไปที่ ORB เร็วๆ นี้อยู่แล้ว มันจะไม่เป็นการดีแน่ถ้าให้ใครๆ เห็นหน้าท่านตอนนี้”

    คางาริเบือนหน้ากลับมาสบตาชายหนุ่ม นัยน์ตาสีน้ำผึ้งฉายประกายจริงจัง

    “ถ้าชั้นลงสมัครงานนี้ละก็...บางทีชั้นอาจจะสามารถสืบข้อมูลได้ก็ได้ว่าพวกนั้นวางแผนทำอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องเดียวที่ชั้นสามารถทำเพื่อ ORB ได้ในตอนนี้!”

    “ไม่นะ...คางาริ...”

    “ถึงนายจะห้าม ชั้นก็จะไป…นายก็รู้นิสัยชั้นดีนี่ คิซากะ...” คางาริโต้กลับทันที คราวนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่นิ่งอึ้งพูดไม่ออก

    “ชั้นว่าเธอเอาจริงนะคิซากะ...ยังไงซะเธอก็เป็นเจ้าหญิงหัวดื้อไม่ฟังใครอยู่แล้วนี่” เอริก้าออกความเห็นพลางผ่อนลมหายใจเบาๆ แทนคำจำนน

    “แต่ว่า.......”

    “ถ้านายไม่สบายใจ จะมาด้วยกันก็ได้นะ” คางาริรีบเสริมทันควัน เมื่อชายหนุ่มเห็นรอยยิ้มกว้างบวกกับดวงหน้าใสซื่อของเด็กสาวตรงหน้าแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “ก็ดูเหมือน...มันจะเป็นทางเลือกเดียวที่ผมมีอยู่ตอนนี้สินะ....”

    + + + + + + +

    นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันเบิกโพลงเพราะเสียงรบกวนแหลมสูงของโทรศัพท์เครื่องเล็ก ในใจเขานึกอยากจะฆ่าเจ้าคนเฮงซวยไร้มารยาทที่กล้ามาปลุกเวลาพักผ่อนที่มีอยู่น้อยนิดของเขาใจจะขาด ชายหนุ่มเอื้อมมือกร้านไปคว้ามือถือเครื่องบางบนโต๊ะไม้เล็กๆ หัวเตียง ก่อนจะตะคอกกลับไปอย่างหงุดหงิด

    “มีอะไร?”

    “อรุณสวัสดิ์ประธานซาล่า?” เสียงทุ้มต่ำกวนๆ ของชายหนุ่มปลายสายเอ่ยขึ้น “ขอโทษทีที่โทรมารบกวนเวลาพักผ่อนนะ”

    อัสรันกลอกตาไปมาอย่างหัวเสียเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา

    “ก็สมควรอยู่หรอกอิซาค ไม่งั้นนายก็เตรียมโลงขนาดเท่าตัวนายไว้ได้เลย!”

    “ถ้างั้นผู้บัญชาการจูลก็ขอเชิญท่านประธานสภามาในพิธีรดน้ำศพด้วยก็แล้วกัน” อิซาคโต้กลับด้วยคำพูดกลั้วหัวเราะ พร้อมกับความภาคภูมิใจเต็มแก่แฝงอยู่ในน้ำเสียงยียวนที่ตั้งใจใช้ป่วนประสาทเขา

    คำเชื้อเชิญที่ประธานสภาสูงแห่ง ZAFT ผู้ทรงเกียรติทำได้แค่กลอกตาระงับความหงุดหงิดอีกรอบหนึ่งก็เท่านั้น

    “ชั้นชักอยากจะรู้ว่านายมีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรมิทราบ ถึงต้องโทรศัพท์มาหาชั้นตอนนี้ ผู้บัญชาการจูล” อัสรันพูดแดกดันตอบกลับไป

    “ชั้นก็แค่จะมาเตือนนายเรื่องการเลขาฯ ของนายก็เท่านั้นแหละ”

    “ว่ามา”

    “ชั้นว่าการรับเนเชอรัลมาทำงานนี่มันงี่เง่าสิ้นดีเลย แค่ชั้นส่งสายตาขู่มันหน่อยเดียวก็อ่อนปวกเปียกแล้ว ขนาดกับชั้นมันยังกลัวแทบบ้าขนาดนี้ แล้วอยู่กับนายทุกวันมีได้หวังอายุสั้นแน่” คำกล่าวของเพื่อนร่วมรุ่นทำให้ชายหนุ่มปลายสายต้องขยับยิ้ม

    “ถ้าอย่างนั้นชั้นคงต้องยกเลิกคำสั่งนี้เสียแล้วละมั๊ง”

    “ก็ว่างั้นแหละ....หือ? เมื่อกี๊นายว่าอะไรนะ นิโคล...รอแป๊ปนึงนะ….” เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดังกึกๆ กลบเสียสนทนาไปช่วงหนึ่ง คาดว่าอิชาคคงจะไปคุยกับนิโคลเพื่อนชายผมสีเขียวในหน่วยเดียวกับอยู่เป็นแน่ อัสรันผ่อนลมหายใจมาเบาๆ ก่อนจะเอนตัวลงบนที่นอนรอสายต่ออย่างเงียบๆ

    เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้บัญชาการหนุ่มก็กลับมาก่อนกล่าวกลั้วหัวเราะ “แหม น่าปลาบปลื้มใจเสียไม่มีล่ะครับ ท่านประธานซาล่า กระผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า เลขาฯ คนใหม่ของท่านมาแล้ว และนิโคลกำลังสัมภาษณ์เธออยู่”

    คำกล่าวกลั้วหัวเราะที่ทำเอาเส้นสมองคนฟังตึงเปรี๊ยะ ชักคันเบื้องล่างอยากจะประเคนเท้าให้คนที่อยู่ปลายสายขึ้นมาตงิดๆ อัสรันขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนเอ่ยคำสั่งเสียงเฉียบขาด

    “อย่า-ปล่อย-ให้-เธอ-ผ่าน-เด็ด-ขาด!”

    “นั่นนายต้องไปบอกนิโคลเอง ไม่ใช่ชั้น” ชายหนุ่มปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงขบขัน

    “อิซาค…” เสียงเย็นเยียบชวนเสียวสันหลังวาบถูกงัดมาใช้อีกครั้ง บ่งบอกอารมณ์ผู้พูดตอนนี้ได้เป็นอย่างดีว่าคงจะหงุดหงิดเกินเยียวยาแล้ว

    “อย่ารับคนไร้ความสามารถเข้ามาทำงานเพียงเพราะนายต้องการจะมาป่วนประสาทชั้น!!”

    “ทำไมชั้นต้องป่วนประสาทนายด้วยล่ะ อัสรัน เรามันเพื่อนกันไม่ใช่เรอะ?”

    “อิซาค…” อัสรันขบกรามแน่นอย่างฉุนเฉียว...ไม่บอกก็รู้ ไอ้หมอนี่มันกำลังป่วนประสาทเขาเห็นๆ!!!

    “น่าๆ ใจเย็นๆ น่า....หือ? โอ้ ข่าวดีแฮะ อัสรัน!” อิซาคพูดพลางกระตุกรอยยิ้มเหยียด “ดูท่าทางนิโคลจะถูกใจเธอมาก ให้เธอผ่านแล้วล่ะ คะแนนดีเสียด้วย เอาไว้นายรอดูเลขาฯ สาวคนสวยวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน...โอ๊ะ ลืมไปอย่าง...อย่าทำเธอชีช้ำกลับมาล่ะ” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดี

    “บ้าชิบ!” อัสรันสบถอย่างหัวเสีย

    “ก็ขอให้นายโชคดีแล้วกัน...เฮ้ย! อะไรเนี่ย นิโคล!!” เสียงโทรศัพท์พลันขาดห้วงไปช่วงหนึ่ง ก่อนเสียงใสๆ ของเด็กหนุ่มผมสีเขียวจะดังขึ้นปนเปกับเสียงโวยวายของอิซาคที่ดังอยู่ด้านหลัง

    “เฮ้ อัสรัน!” นิโคลเอ่ยทักด้วยเสียงสดใส ไม่บอกก็รู้ หมอนี่แย่งโทรศัพท์ผู้บัญชาการหัวหงอกนั่นมาแหงๆ

    “ชั้นหวังว่านายคงไม่โมโหเรื่องที่ชั้นยอมให้คางาริผ่านนะ..เอ่อ นั่นชื่อเธอแนะ คางาริ ยูละ…หง่า...เอาเป็นว่า! ชั้นมองว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ก็แล้วกัน...อ่า อยากจะเตือนนายนิดนึง จริงๆ แล้วเธอเป็นคนฉลาดนะ แต่ดูท่าจะอารมณ์ผันผวนเร็วไปสักหน่อย แต่ชั้นว่าอย่างนายน่าจะรับมือเธอไหวล่ะ”

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนิโคล ชั้นไม่ถือสาหรอก ก็แค่...ของเล่นฆ่าเวลาเองนี่นา จริงไหม?” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบ นัยน์ตาสีมรกตวาววับขณะกระตุกรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นบนมุมปาก

    นิโคลนิ่งเงียบไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “ทางที่ดีนายอย่าเล่นกับเธอจะดีกว่านะ...ชั้นว่าเธอเป็นคนแข็งๆ รักศักดิ์ศรีพอตัวล่ะ”

    “ยังไงซะเธอก็เป็นเนเชอรอล เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องอ่อนแอ” คำสรุปที่ทำให้คนปลายสายต้องถอนหายใจเฮือก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ

    “ชั้นไม่รู้หรอกนะว่านายเกลียดพวกเนเชอรัลมากแค่ไหน อัสรัน...แต่ชั้นก็อยากเตือนไว้ว่าคางาริ...ไม่เหมือนคนอื่น...”

    คำเตือนที่ทำให้ประธานสภาหนุ่มต้องมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน อัสรันมองดูโทรศัพท์ในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อ

    หมอนี่ไปเข้าข้างพวกเนเชอรัลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...?

    “ทำไมนายต้องดีกับเจ้าพวกเนเชอรัลนั่นนัก”

    “เธอชื่อคางาริ อัสรัน...และชั้นไม่ได้เข้าข้างเธอ แต่ชั้นแค่สังหรณ์ใจว่าเธอเป็นอะไรมากกว่าที่เราเห็น....ชั้นรู้สึกถึงบางอย่างในตัวเธอน่ะ....”

    “แล้วนายจะเปิดสำนักหมอดูนี่เมื่อไหร่กันล่ะ?” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงยียวน

    “ปัทโธ่อัสรัน! ชั้นจริงจังนะ! ยังไงซะ เอาเป็นว่านายก็ต้องทำงานกับเธอคนนี้อย่างน้อยหนึ่งปี เข้าใจชั้นใช่ไหม?”

    “ใช่ๆ ต้องทนมองความอ่อนแอปวกเปียกของพวกเนเชอรัลตั้งปี มันไม่สนุกเลยนะ ว่าไหม?”

    นิโคลได้แต่ถอนหายใจเฮือกรับคำยืนกรานของเพื่อนรักผ่านทางโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกหมดหวัง

    คงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้อัสรันยอมรับและปฏิบัติตนกับเนเชอรัลได้โดยไร้การดูถูกเหยียดหยาม....

    เพราะเขามีความทรงจำอันเลวร้ายที่ฝังรากลึกเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลง...

    “นายก็ทนๆ ไปจนกว่าจะหมดสัญญาก็แล้วกัน ชั้นจะวางหูแล้วนะ อิซาคเองก็เพิ่งปึงปังออกจากห้องไปเมื่อกี้นี้เหมือนกัน แล้วต้องเตรียมเอกสารกับยานอวกาศให้ไปรับเธอต่อด้วย”

    “อืม งั้นแค่นี้นะ”

    “โชคดีอัสรัน”

    -ขวับ-

    หลังจากที่วางหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ ร่างสูงก้าวเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ริมห้อง ก่อนเอื้อมมือไปสัมผัสผ้าม่านสักหลาดสีควันบุหรี่ให้เปิดออกเผยให้เห็นสวนพันธุ์ไม้งามหลากสีสันด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลซาล่า

    รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมคาย ก่อนเอ่ยคำพูดเย็นเยียบขึ้นแผ่วเบา

    “คางาริ ยูละงั้นเหรอ...หึๆ แล้วชั้นจะแสดงให้เธอดูว่าพวกเนเชอรัลน่ะ อ่อนแอขนาดไหน....”

    ------------------------------To Be Continued...
  2. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    มาจองที่ปั๊มละ....

    ไม่ใช่ล่ะ

    จำได้ว่าเคยอ่านเมื่อนานมาแล้วล่ะ แต่ก็ไม่ได้อ่านไปนานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถึงมากที่สุดเลย
    แต่ก็จำได้อยู่ที่คางาริมาเป็นเลขา เปิดมาก็ อ้าว ไอ้นี่หรอกเหรอคือที่คุบี้แปลๆ มาลง

    ลงตั้งแต่ตอน 1 ใหม่ก็ดี จะได้ตามอ่านด้วย*-*b
  3. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    CHAPTER 2 – ไปทำงานสาย!?

    แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณยามเช้าวันจันทร์ช่างดูสดใสและเงียบสงบยิ่งนัก กลิ่นไอจางๆ ของใบหญ้าสีเขียวซึ่งยังเจือหยาดน้ำค้างยามค่ำคืนทำให้รู้สึกสดชื่นควบคู่ไปกับเสียงเพลงกังวานใสขับขานโดยบรรดานกกระจิบตัวน้อยๆ ดังเป็นท่วงทำนองไพเราะดุจเสียงสวรรค์เพื่ออวยพรต้อนรับวันใหม่ให้กับชาวเมืองทุกคนให้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของตัวเองอย่างมีชีวิตชีวา

    ....แต่ก็......ละสาวน้อยร่างเล็กผมสีทองนี่ไว้ซักคนก็แล้วกัน......

    คางาริ ยูระ อัสฮาเบิกนัยน์ตาสีอำพันของตนเองออกกว้าง เมื่อตวัดสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาเรือนสีขาวบนหัวเตียง ซึ่งกำลังฉายบอกเวลา 7: 55 !!!

    จริงๆ วันนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญนักสำหรับชีวิตของเจ้าหญิงรัชทายาทองค์น้อยคนนี้ เพราะปัญหาที่เธอกำลังประสบอยู่มันก็แค่....ตามตารางการรายงานตัวของเธอมันเริ่มตอน 8 โมงตรง เพราะฉะนั้นหลังจากบวกลบคูณหารจากนาฬิกาสีขาวบนโต๊ะเสร็จสรรพ....เธอก็แค่เหลือเวลาอยู่แค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง!!!

    5 นาทีงั้นเหรอ พระเจ้า!!!

    ไม่ตายงานนี้....แล้วจะตายงานไหนล่ะ!?


    “คิซากะ ทำไมนายไม่ปลุกชั้นฮะ!!!??” คางาริตะโกนเสียงก้อง ร่างบางกระเด้งตัวลุกจากเตียงทันที มือเรียวคว้าลูกบิดประตูและเปิดกระชากออกอย่างแรง หญิงสาววิ่งหน้าเริดเข้าไปในครัวพลางกวาดสายตาหาเป้าหมายไปทั่วห้อง จนกระทั่งไปสะดุดอยู่กับโน้ตแผ่นเล็กๆ บนโต๊ะ




    ถึง คางาริ

    ที่ผมต้องรีบออกไปแต่เช้าก็เพราะต้องไปเก็บสัมภาระที่พวกเราลืมทิ้งไว้บนโลกเมื่อเย็นวานนี้ ไม่ต้องห่วงผมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้บนโต๊ะแล้ว คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร...แล้วอย่าลืมล่ะว่างานเริ่ม 8 โมง สำนักงาน ZAFT เองก็อยู่ไม่ไกลนัก คิดว่าท่านคงไม่หลงหรอก
    และที่สำคัญ...ทำตัวดีๆ นะครับ........อย่าแม้แต่จะคิดทำอะไรพิเรนทร์ๆ ขณะที่ผมไม่อยู่เชียวนะ!! สุดท้ายผมขอย้ำ

    ‘ห้ามชกหน้าไอ้เจ้าพวกปากเสียที่ชอบดูถูกเนเชอรัลเด็ดขาดนะ!!’

    แล้วชื่อที่ผมใช้สมัครไปคือ คางาริ ยูละนะครับ...ถ้าหากมีคนถามถึงประวัติครอบครัวละก็ ตอบแบบเดิมๆ ไปก็แล้วกัน

    คิซากะ

    ปล. อย่าไปทำงานสายล่ะ!!!






    หญิงสาวขยำกระดาษแผ่นเล็กในมือโยนทิ้งถังขยะไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนเสียงลั่น

    “แต่ตอนนี้มันสายแล้ว (โว้ย)!!!!!”

    + + + + + + + +

    อัสรันเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ขณะเหลือบสายตาไปมองนาฬิกาเรือนสวยสีเงินวาววับบนโต๊ะทำงานเงียบๆ ก่อนจะมุ่นคิ้วเข้าหากันช้าๆ

    ตอนนี้ก็ 8: 30 แล้ว... 8 โมงกับอีก 30 นาที....ความจริงเวลานี้เลขาฯ คนใหม่ของเขาควรจะต้องมานั่งทำงานบนโต๊ะหน้าห้องตั้งแต่เมื่อ 30 นาทีที่แล้วๆ ด้วยซ้ำ!!! แต่ตอนนี้.....แม้แต่เงายังไม่โผล่มาให้เห็น....

    ที่สำคัญ เขาเองก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วด้วย....แน่นอน เวลาที่อัสรัน ซาล่าหมดความอดทนเมื่อไหร่...มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่....

    + + + + + + + +

    30

    20

    อีก 10 เมตร.....


    จำนวนตัวเลขที่ผุดขึ้นในใจขณะที่ร่างเพรียวบางของสาวน้อยหน้าหวานกำลังเร่งสปีดสับขาสุดชีวิตพร้อมกับแซนด์วิชชิ้นโตที่คาบไว้ในปาก (ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงจะเป็นอาหารเช้า) เส้นผมสีทองยาวฟูฟ่องรุงรังไปหมดเนื่องจากเจ้าตัวไม่มีเวลาแม้จะหวี และที่สำคัญกว่าก็คือ...เธอยังอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีแดงสดกับกางเกงผ้าใบสีเขียวแทนที่ชุดฟอร์มทำงานที่สมควรจะได้รับตอนเช้าหลังจากเข้ารายงานตัววันนี้อยู่เลย!

    “อีกนิดเดียวเอง คางาริ เธอทำได้อยู่แล้วน่า” หญิงสาวพยายามพูดให้กำลังใจตัวเอง ขณะยัดแซนด์วิชแฮมเข้าปากพลางเคี้ยวกร้วมๆ

    5

    4

    3

    2

    1


    “สำเร็จ!!!!” เธอตะโกนเสียงกึกก้องเมื่อก้าวขาข้างสุดท้ายพ้นขอบประตูเข้ามาในสำนักงาน ก่อนจะเอนร่างพิงกำแพงเพื่อพักหายใจหลังออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย

    “อะแฮ่ม....” เสียงกระแอมที่ดังขึ้นเรียกความสนใจเธอให้หันไปมอง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องแบบ ZAFT เต็มยศ อายุน่าจะมากกว่าเธอประมาณซักปีหรือสองปีได้ เส้นผมสีเงินที่ถูกตัดให้สั้นประมาณใบหูทำให้ชายคนนี้ดูหน้าหวานราวกับผู้หญิง เสียก็แต่ว่าดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นที่มองมาอย่างเอาเรื่องเท่านั้นแหละ ที่ทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้อง

    “เธอก็คือคุณยูระงั้นสินะ” เขาถามพลางไล่สายตามองดูเธอราวกับประเมินผลอยู่ในใจ

    “อ่า ใช่ ถูกแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนมือใหญ่จะคว้าหมับที่ข้อมือเธอพลางกึ่งลากกึ่งจูงเธอออกไปนอกห้อง

    “เฮ้ย! นี่นายจะทำอะไรน่ะ!!” คางาริโวยวายเสียงลั่นพลางหมุนข้อมือไปมาให้หมายหลุดจากการเกาะกุม แต่แรงของคนจับมีมากกว่าเธอเลยทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการดิ้นไปดิ้นมาพลางตะโกนโหวกเหวกส่งเสียงดังรบกวนเท่านั้น

    “นี่ ฟังชั้นอยู่รึเปล่า! นายจะพาชั้นไปไหน!! นี่!!!” เมื่อการโวยวายอย่างเดียวดูท่าจะไม่ได้ผล แม่เจ้าประคุณก็เลยเริ่มออกแรงทุบหลังคนตรงหน้าดังพลั่กๆ แทนเสียเลย

    ท่ามกลางทางเดินสีขาวทอดยาวที่ทั้งคู่เดินไปนั้น นอกจากเสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นหินขัดดังกึกๆ และเสียงโวยวายของสาวน้อยผมสีทองนั้นก็มีแต่ความเงียบสงัด รอบด้านก็รายล้อมด้วยผนังสีขาวกับกระจกสีดำสนิทแล้ว และประตูบานใหญ่สีขาวหลายต่อหลายบานที่เรียงขนาบข้างยาวไปจนสุดทางทำให้บรรยากาศดูน่าวังเวงอย่างบอกไม่ถูก

    มาถึงตอนนี้เหมือนกับความอดทนของชายหนุ่มผมหงอก(?)จะถึงขีดจำกัดแล้ว เมื่อเขาออกแรงดึงหญิงสาวเข้ามาใกล้ ก่อนจะตะคอกใส่เธออย่าหงุดหงิด

    “นี่เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่มิทราบ!?”

    คางาริสะบัดมือออกพลางโต้กลับเสียงแข็ง “และนายล่ะคิดว่าทำอะไรอยู่!! นายจะพาชั้นไปไหนกัน! นี่ชั้นยังไม่รู้จักนายเลยนะ!!”

    “อ๋อเหรอ โทษทีนะ ชั้นกำลังจะพาเธอเตรียมรายงานตัวกับเจ้านายเธออยู่ไงเล่า!!” ชายหนุ่มตะคอกกลับแทบจะทันที ก่อนจะเริ่มรวบรวมกำลังลากเธอใหม่

    “อะไรนะ!?”

    “เธอน่ะ ยังไม่มีแม้แต่เครื่องแบบ ZAFT เลยด้วยซ้ำ เนเชอรัล”

    “และนายเป็นใครมาจากไหนมาถึงออกคำสั่งใส่ชั้นแถวนี้” คำถามที่ทำให้เขาหมุนตัวกลับมามองหน้าเธออีกครั้ง รอยยิ้มเหยียดขยับกว้างพร้อมกับมือสองข้างที่ถูกยกขึ้นกอดอกอย่างภาคภูมิ ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงเข้ม

    “ชั้นก็เป็นแค่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยนี้เท่านั้นแหละ เนเชอรัล” เสียงทุ้มแฝงด้วยอำนาจเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ โดยไม่ลืมเน้นความเป็นตัวตนของหญิงสาวให้หนักแน่นด้วยในช่วงท้ายของประโยค

    คางาริเชิดหน้าใส่ผู้บัญชาการหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว พลางพูดล้อเลียนเสียงแหลม

    “แหม ขอโทษนะคะคุณผู้บัญชาการ…แล้วไงไม่ทราบยะ!?”
    นัยน์ตาสีฟ้าพลันส่อประกายหงุดหงิดฉายให้เห็นทันที เส้นด้ายในสมองใกล้จะขาดผึงเพียงเพราะยัย....เนเชอรัลไร้มารยาทนี่คนเดียวแท้ๆ

    เฮ้อ ทำตัวแบบนี้...น่าสงสาร เห็นทีคงอยู่ด้วยกันได้ไม่ยืด....

    “หุบปากน่า เนเชอรัล” คำกล่าวสั้นสุดท้าย ก่อนมือหนาจะคว้าตัวเธอโยนเจ้าไปในห้องสีขาวที่อยู่ตรงหน้าและลงกลอนประตูด้วยความรวดเร็ว...ทิ้งไว้แต่เพียงเนเชอรัลปากกล้าไว้ข้างในคนเดียวเท่านั้น....

    + + + + + + + +

    “ท่านประธานซาล่า เลขาฯ คนใหม่ของท่านมาถึงแล้วครับ” ภาพของพันเอกอิซาค จูลฉายขึ้นบนจอมอนิเตอร์

    อัสรันหมุนเก้าอี้หนังสีดำสนิทกลับมาดูภาพบนจอมอนิเตอร์ตรงหน้าช้าๆ พลางเลิกคิ้วสูง

    “อ้อ นี่สรุปเธอตัดสินใจมาทำงานแล้วงั้นสินะ...ว่าแต่...นายไปกินรังแตนที่ไหนมารึเปล่าฮึ? อิซาค”

    คำกล่าวทักที่คนฟังต้องเผลอตัวกัดฟันกรอดอย่างอารมณ์เสียทันทีเมื่อนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิด

    “ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ยัยเลขาฯ คนสำคัญของนายนั่นแหละ! ยัยนี่น่าจะถูกจับส่งไปอบรมเรื่องมารยาทเสียใหม่! ไม่รู้จักเคารพผู้บังคับบัญชาเลย ให้ตายสิ เป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญจริงๆ!”

    รอยยิ้มกว้างฉายวาบขึ้นบนใบหน้าของท่านประธานสภาวูบหนึ่ง ก่อนน้ำเสียงเย็นเยียบจะเอ่ยต่อไป

    “งั้นเหรอ...น่าสนใจดีนี่...แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ?”

    “เธอกำลังเปลี่ยนเครื่องแบบอยู่ในห้องครับ”

    “เสร็จเมื่อไหร่บอกให้รีบมารายงานตัวที่นี่เลยก็แล้วกัน” สิ้นคำสั่ง ชายหนุ่มก็กดสวิตซ์ปิดหน้าจอการสนทนาให้ดับวูบลง

    + + + + + + + +

    อีกด้านหนึ่ง คางาริกำลังถูกทิ้งไว้อยู่เพียงลำพังภายในห้องแคบๆ สีหม่นๆ ซึ่งเธอมารู้ทีหลังว่าเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เนื่องจากมีกองยูนิฟอร์มวางเรียงกันเป็นกองพะเนิน หลากหลายไซส์ให้ได้เลือกหยิบใส่ ตรงกลางห้องมีกระจกเงาขนาดเท่าตัววางอยู่ คาดว่าคงไว้ให้พวกพนักงานสาวๆ ตรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องแบบที่ตนสวมใส่กับเช็คความงามของตัวเองเป็นแน่แท้

    เธอถอนหายใจเบา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับกระจกบานยักษ์อย่างเซ็งๆ นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมองกองเสื้อฝั่งนี้ทีฝั่งนู้นทีอย่างเบื่อๆ

    “เจ๋งเป้ง! แล้วชั้นจะทำยังไงต่อดีล่ะทีนี้” เธอบ่นกระปอดกระแปด

    ระหว่างนั้นเองประตูอัตโนมัติก็เลื่อนเปิดออกพร้อมกับร่างเพรียวบางของสาวน้อยในชุดเดียวกับกองเสื้อผ้าตรงหน้าจะเดินฉีกยิ้มเข้ามาหา เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักพอสมควร เส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลถูกดัดให้เป็นลอนปลายพองออกทำให้ใบหน้ารูปไข่ดูโดดเด่นขึ้นเป็นกอง

    “เธอคงจะเป็นคางาริสินะ” หญิงสาวกล่าวทักพร้อมกับรอยยิ้ม คางาริพยักหน้ารับ น่าแปลกดีเหมือนกันที่บรรยากาศรอบด้านดูสว่างไสวขึ้นมากเมื่อเธอคนนี้เข้ามาในห้อง

    โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง เจ้าหล่อนสาวเท้ายาวๆ ไปค้นเสื้อผ้ากองพะเนินทางด้านหลังทันที

    “เธอเป็นเนเชอรัลงั้นสินะ”

    “ก็ใช่” คำตอบรับสั้นที่ทำให้หญิงสาวยิ้มหน้าบาน เธอหมุนตัวกลับมายื่นชุดฟอร์มให้คางาริก่อนเอ่ยต่อเสียงสดใส

    “รู้อะไรไหม ชั้นก็เป็นเนเชอรัลแหละ”

    “จริงเหรอ!?” คางาริย้อนถามไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหู อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่ต้องคุดคู้ทำงานอยู่ในสำนักงานเหยียดพันธุ์นรกนี่!

    “กรณีของชั้นก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ เพียงแต่ชั้นถูกเข้ารับทำงานก่อนเธออาทิตย์นึง เอาล่ะ ไปเปลี่ยนชุดดีกว่า ไม่งั้นประธานซาล่าจะโมโหเอานะ” เธอแนะ

    คางาริพยักหน้าเข้าใจ ก่อนถามต่อ “แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ?”

    “มิริอัลเรีย ฮาวล์ เรียกชั้นว่ามิลลี่ก็ได้”

    “ใช้ชีวิตอยู่ที่ PLANT นี่ลำบากไหม?” คางาริถามเสียงอู้อี้ ขณะเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

    “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ชั้นก็ยังคิดถึง ORB อยู่ดี”

    “เอ๋ เธอมาจาก ORB เหรอ?”

    มิริอัลเรียพยักหน้ารับทันที “ใช่แล้ว แล้วเธอล่ะ มาจาก ORB เหมือนกันเหรอ?”

    “อ่า...ก็ไม่เชิงหรอก” คางาริตอบอุบอิบ พลางคลี่เสื้อผ้าที่เพื่อนใหม่ส่งมาให้ดูด้วยความสนใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักค้าง

    “มิลลี่....นี่เธอแน่ใจนะว่ามันคือชุดฟอร์ม???” คางาริยื่นหน้าออกมานอกห้องลอง พลางแยกเขี้ยวงุดอย่างไม่พอใจ ขณะยกกระโปรงสั้นในมือขึ้นโบกไปมา

    “ชั้นไม่ยอมใส่กระโปรงเด็ดขาด!!”

    “แต่นั่นเป็นเครื่องแบบของผู้หญิงที่นี่นะ เธอจะเรื่องมากนักไม่ได้หรอก” คำกล่าวยืนยันของอีกฝ่ายทำเอาคนฟังถึงกับอ้าปากค้าง

    “ชั้นจะไม่ยอมใส่ไอ้กระโปรงบ้าๆ นี่เด็ดขาด!!!”

    “เอาน่า ชั้นว่าเธอใส่แล้วน่ารักออก” คำคาดเดาของสาวน้อยผมสีน้ำตาลทำเอาสาวทอมบอยต้องตะลึงค้างรอบสอง

    “น่ารัก? น่ารักเนี่ยนะ!!” เสียงเอ็ดตะโรโวยวายตามสไตล์คนไม่ยอมคนก็เริ่มแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกจนได้ สาวน้อยผมสีทองวิ่งรุดๆ ไปที่กองเสื้อผ้าและเริ่มรื้อชุดในกองอย่างเมามัน

    “พวกเธอไม่มีอะไรที่มันใส่สบายๆ กว่านี้รึยังไง...? ชั้นหมายถึงพวกกางเกงขายาว หรือไม่ก็เสื้อเชิร์ตหลวมๆ ซักตัวอะไรแบบนี้น่ะ เพราะชั้นจะไม่ยอมใส่ชุดฟอร์มงี่เง่านี่มาทำงานเด็ดขาด!”

    “ไม่มีจ๊ะ เพราะฉะนั้นยอมใส่ๆ ไปเถอะนะ”

    “ไม่-มี-ทาง” คนหัวดื้อก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง

    “แน่นอน เธอต้องใส่ เพราะถ้าเธอไม่ยอม รับรองประธานซาล่าได้หัวเสียแน่ๆ เลย”

    และแล้วเวลาก็ผ่านไป 5 นาทีกว่ามิริอัลเรียจะเกลี้ยกล่อมคางาริให้ยอมใส่ชุดผู้หยิ๊งผู้หญิงที่เธอเกลียดนักเกลียดหนาลงได้....

    หญิงสาวผมสีทองยืนจ้องมองสภาพตัวเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่กลางห้องด้วยสีหน้าหงิกงอ ตอนนี้เธออยู่ในชุดเข้ารูปสีเขียวเข้มซึ่งตัดขอบด้วยสีขาว ทองและดำกับกระโปรงสั้นระดับเข่าสีเดียวกัน เข้าชุดกับหมวกสีเขียวใบเล็กบนหัวของเธอ และแน่นอน แม้แต่รองเท้าเธอก็จำใจต้องใส่ส้นสูงสีน้ำตาลซึ่งมิลลี่กล่าวย้ำนักย้ำหนาว่ายังไงก็ต้องใส่เพื่อให้ดูภูมิฐาน ซึ่งตอนนี้เธอเองก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า ไอ้รองเท้าสูงๆที่เธอใส่อยู่เนี่ย มันใส่แล้วช่วยให้ดูภูมิฐานขึ้นตรงไหนกัน?

    “แหม....พอใส่ชุดนี้แล้ว...เธอดูดีมากๆ เลยนะเนี่ย” มิริอัลเรียกล่าวชมพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ทำเอาใบหน้าขาวๆ ของคนฟังชักเริ่มขึ้นสีพอถูกชมตรงๆ

    “ชั้นไม่ได้ดูดีขนาดนั้นซักหน่อย! นี่ดูดีๆ ซิ ชั้นน่ะดูน่าเกลียดน่ากลัวจะตาย เวลาใส่ชุดนี้ ใส่นี่! นี่! แล้วก็นี่!! ให้ตาย ชุดผู้หญิงๆ~!!! ชั้นไม่อยากใส่กระโปรง! และก็เจ้าส้นสูงบ้าๆ นี่ด้วย!!” พอได้สติแม่เจ้าประคุณก็เริ่มบ่นยาวเสียไม่มีเบรก คนปลอบก็ทำได้แค่เพียงหัวเราะแหะๆ

    “น่า อย่ากังวลไปเลยน่า เดี๋ยวก็ชินเองแหละ” มิลลี่พูดให้กำลังใจ ก่อนจะเปิดประตูสีขาวบานใหญ่ออก

    “เธอต้องไปรายงานตัวกับท่านประธานซาล่าที่ห้องตอนนี้เลยนะ...เอ่อ มันอาจจะยุ่งยากซักหน่อยนะ....” เธอพูดพลางตวัดนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลไปที่นาฬิกาไม้เรือนใหญ่บนฝาผนัง ซึ่งตีเวลา 8 : 45 แล้ว

    เวลาที่ทำให้คนมองตามต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก

    “นั่น...น่ะสินะ.....”

    ทั้งคู่เดินกลับมาในทางเดิมที่ปูยาวด้วยหินขัดสีขาวสะอาดตา พลางทำความเคารพพวกทหารยศสูงๆ ที่เดินผ่านไปมาตลอดทาง สิ่งที่เห็นทำให้คางารินึกอะไรขึ้นมาได้ลางๆ

    “มิลลี่ เธอรู้จักนายทหารคนที่สูงๆ ตัวขาวๆ ผมสีเงินๆ ไหม ที่ชอบคุยโม้ว่าตัวเองเป็นผู้บริหารระดับสูงของที่นี่บ่อยๆ ...คนที่เป็นคนลากตัวชั้นมานี่น่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นผู้บัญชาการอิซาค จูลละมั๊ง” มิลลี่ตอบสั้น ขณะที่คางาริได้แต่มุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน

    “หมอนั่นเป็นใคร?”

    “จริงๆ แล้วเขาเป็นที่รู้จักดีเลยนะ เพราะความสามารถทางการรบของเขาในสงครามครั้งที่ผ่านมาร่วมกับดิอัคก้า เอลท์แมน และก็อัสรัน ซาล่าน่ะ เป็นที่กล่าวขวัญมากเลย พวกเขาสามคนมียศเป็นถึง Ace Pilot ของหน่วยทหารที่ขึ้นชื่อว่าเก่งที่สุดในกองร้อยเชียวนะ”

    “ขนาดนั้นเชียว......เดี๋ยว...อัสรัน ซาล่านี่ เกี่ยวข้องอะไรกับประธานซาล่ารึเปล่า?”

    “ก็...จริงๆ แล้วเขาเป็นคนๆ เดียวกันน่ะ” คำตอบจากเพื่อนสาวทำเอาคางาริชะงักกึก เบือนหน้ามาสบตาคนพูดใหม่แทบจะทันที

    “นี่เธอหมายถึง...ชั้นกำลังจะได้ทำงานกับนายทหารที่เก่งที่สุดใน PLANT อย่างนั้นเหรอ!? โห...นี่มันสุดยอดเลยนะเนี่ย!!!”

    “อ่า จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ แต่ว่า....” คำพูดตะกุกตะกักของมิลลี่ทำให้คางาริต้องหันไปมองอย่างงงๆ

    “แต่ว่า...?” หญิงสาวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่ มิริอัลเรียถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะหันมาต่อประโยคให้จบ

    “ท่านประธานซาล่าน่ะไม่ใช่คนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนักหรอกนะ เขาเป็นโคออดิเนเตอร์อัจฉริยะ ชนิดที่พวกเดียวกันเองยังต้องยอมรับ ถึงอย่างนั้น....บุคลิกของเขาน่ะ.....เอาเป็นว่า ระวังตัวให้ดีแล้วกันนะคางาริ...อย่าทำให้เขาอารมณ์เสียเด็ดขาดล่ะ!” มิลลี่เอ่ยเน้นย้ำคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง คางาริก็ได้แต่ยิ้มบางๆ กลับไปอย่างซึ้งใจในความหวังดีของเพื่อนสาว

    “ชั้นจะพยายามอย่างดีที่สุดก็แล้วกัน” เมื่อได้รับคำกล่าวมั่นเหมาะ สาวน้อยเนเชอรัลอีกคนค่อยยิ้มออก ก่อนจะกล่าวลาและขอตัวกลับไปทำหน้าที่ต่อ ทิ้งแต่หญิงสาวผมทองให้เผชิญชะตากรรมของตัวเองเพียงลำพัง

    คางาริสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนพึมพำเบาๆ “เอาล่ะ นับหนึ่ง...สอง...สาม…”

    สิ้นเสียง เธอก็รูด ID CARD ของเธอเข้ากับระบบล็อคดิจิตอลให้ประตูใหญ่เปิดกว้างออกมา

    ณ ที่นั้นเอง อัสรัน ซาล่ากำลังนั่งรอเธออยู่เบื้องหลังเก้าอี้ไม้โอ๊กชั้นดีพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดกว้างที่ฉายอยู่บนริมฝีปากแดงชาด

    “แหม วันนี้ช่างเป็นวันที่น่ายินดีจริงๆ นะ อรุณสวัสดิ์ตอนเช้า คุณยูระ”

    -------------------------To Be Continued...
  4. citrus

    citrus New Member

    EXP:
    608
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    อ๊าคคคคดีใจเอามาลงอีกรอบบบบบ ดีค่ะไม่ได้อ่านนานมากแล้ว (ลืมไปแล้วว่าอ่านไปครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่) รอตอนต่อค่ะ :D
  5. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    CHAPTER 3 -- สถานกักกันใน PLANT

    ท่าอากาศยาน PLANT จัดเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความชุลมุนวุ่นวายที่สุดของโคโลนี่เลยก็ว่าได้ คิซากะเอนตัวพิงกำแพงหน้าอย่างเหนื่อยหอบ เพราะกว่าเขาจะหาช่องทางฝ่าฝูงชนอันน่าปวดหัวออกมาได้ก็เล่นเอาแทบหมดแรงเลยทีเดียว เสียงหวีดหวิวแหลมสูงของเครื่องดีดส่งยานอวกาศดังขึ้นติดต่อกันทุกๆ 10 นาทีสลับกันไปเรื่อยๆ รวมกับเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าคณะนักเดินทางที่กว่าจะผ่านการตรวจสอบอาวุธและเอ็กซ์เรย์กันมาได้ ก็เล่นเอาสนามบินที่นี่สบสันอลม่านไปหมด

    ถ้ามันไม่ใช่เพราะลืมของทิ้งไว้บนโลกละก็ ความคิดที่จะกลับมาเยือนท่าอากาศยานแห่งนี้คงจะไม่มีอยู่ในหัวของบอดี้การ์ดหนุ่มผู้รักสงบคนนี้แน่นอน…

    ป้ายบอกชื่อสถานที่กะพริบวาบๆ เป็นจังหวะเตือนให้เขารู้ว่าใกล้จะถึงจุดหมายที่เขาต้องการลงแล้ว มือกร้านขยับแว่นกันแดดสีดำให้เข้าที่ ก่อนร่างสูงจะสาวเท้ายาวๆ เข้าไปยังเคาทเตอร์รับรอง

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” เสียงหวานๆ จากนักประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูจะเป็นการโชว์ฟันขาวๆ ชวนแสบตาเสียมากกว่าการยิ้มต้อนรับด้วยความจริงใจ

    “ผมมาเอาสัมภาระที่ผมสั่งมาจากโลกนะครับ” เขาตอบพลางยื่นใบสั่งของให้หญิงสาวรับไปพิจารณา

    เธอใช้เวลาในการอ่านเอกสารในมือด้วยความรวดเร็วชนิดที่คิซากะยังอดทึ่งกับความสามารถของความเป็นโคออดิเนเตอร์ไม่ได้ ไม่นานนักเธอก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นกลับคืนพร้อมฉีกรอยยิ้มกว้าง

    “ไปรับสัมภาระที่สายพานด้านนั้นได้เลยค่ะ คุณคิซากะ”

    คิซากะพยักหน้ารับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณสั้นๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปเอาของที่ต้องการเงียบๆ

    + + + + + + + +

    ‘เหนือความคาดหมาย’ น่าจะเป็นคำจำกัดความที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้

    ทุกครั้งที่เธอนึกถึงงานที่เธอต้องทำ เธอมันจะจินตนาการถึงอัสรัน ซาล่าในสภาพชายแก่หงำเหงือก ใบหน้าตอบดูซูบซีด จมูกงองุ้มภายใต้แว่นสายตาหนา บุรุษสูงวัยที่ชอบเก๊กมาดเคร่งอยู่ตลอดเวลาว่า ข้าคือผู้ดี เป็นชนชั้นระดับสูงหรืออะไรประมาณนั้น แม้กระทั่ง 5 วินาทีที่แล้วเธอก็ยังวาดภาพนั้นไว้ในสมองอยู่เลย

    ซึ่งมันผิดกับอัสรัน ซาล่าที่เธอกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้โดยสิ้นเชิง...

    เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูภูมิฐาน สีหน้าที่สงบตลอดเวลาดูเหมาะเจาะกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่แฝงความสุขุมไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เรือนผมสีน้ำเงินเข้มถูกซอยให้ยาวลงมาประบ่าเข้ากับดวงหน้าขาวทำให้คนๆ นี้ดูดีไม่น้อย แม้กระทั่งลักษณะการนั่งธรรมดาๆ ยังทำให้ชายคนนี้รู้สึกน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบ ZAFT ระดับสูงสีม่วงลาเวนเดอร์ขลิบด้วยสีดำและสีทอง ถ้าเทียบจากประสบการณ์ทั้งหมดของเธอแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้านี้ดูมีความเป็นผู้นำสูงกว่าคนอื่นๆ ที่เธอเคยพานพบมาตลอด 19 ปีเสียอีก

    ยอมรับว่าน้อยครั้งนักที่เธอจะจ้องมองใครสักคนอย่างพิจารณาและใช้เวลานานขนาดนี้….

    แต่ก็น่าแปลกที่ในสายตาของคางาริชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนรูปหล่อดูดีอย่างที่ใครๆ คาดคิด.....

    ในทางตรงข้าม...เธอกลับรู้สึกว่าเขาดู....สวยอย่างประหลาด.....

    + + + + + + +

    คิซากะสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรงขณะพยายามหาทางออกจากชุมชนแออัดที่พลัดหลงเข้ามากว่าชั่วโมง ฝูงชนในท่านอวกาศยานนี้แทบจะทับตัวใหญ่ๆ ของเขาให้แบนตายอยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ ภาพชายร่างใหญ่หอบกระเป๋าถือใบโตสองใบดูพะรุงพะรังคงทำให้คนเดินผ่านไปผ่านมาหัวเราะในความเก้ๆ กังๆ ของเขาพอดู และดูเหมือนเขาเองก็จะรู้ตัว บอดี้การ์ดหนุ่มแค่นยืมฝืนๆ อย่างประหม่า พลางนึกไปว่าเจ้าหญิงองค์น้อยคงจะหัวเสียน่าดูหลังจากที่รู้ว่าเขาไปขุดเอา ‘ชุดกระโปรงบานแฉ่ง’ มาให้เธอแทนที่เสื้อยืดกับกางเกงผ้าใบที่สัญญาเอาไว้อีกแล้ว

    “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีคะ! ตอนนี้เรากำลังมีการสัมภาษณ์พิเศษกับคุณหนูลักซ์ ไคลน์ค่ะ!!” คำประกาศทางวิทยุเรียกศีรษะของชายผิวแทนให้เงยขึ้นไปสนใจจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ตรงหน้าทันที

    ภาพหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดสีขาวบริสุทธิ์เข้ากันได้ดีกับเรือนผมสีชมพูหวานที่ปล่อยยาวสยายลงมาถึงกลางหลังทำให้เธอดูงดงามราวกับนางฟ้าบนสรวงสวรรค์เลยทีเดียว นัยน์ตาสีฟ้าใสส่องประกายเจิดจรัสคู่กับดอกเดซี่สีหวานที่ปักอยู่บนเส้นผม

    “การได้เป็นถึงคู่หมั้นของท่านประธานสภาซาล่าทำให้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้างคะ? คุณหนูลักซ์” นักข่าวสาวยิงคำถามแทบจะทันทีที่มีโอกาส
    สตรีสาวร่างบอบบางขยับรอยยิ้มหวานส่งมาให้วูบหนึ่ง ก่อนเสียงกังวานใสจะเอ่ยตอบ

    “อัสรันเป็นคนดีมากค่ะ พวกเราเองก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เธอหยุดพูดไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “แม้จะเป็นเด็กผู้ชายอย่างเขาก็เถอะนะคะ”

    คิซากะมุ่นหัวคิ้วเขาหากันอย่างงงๆ ประธานซาล่า? นั่นมันชื่อเจ้านายของคางาริไม่ใช่รึยังไงน่ะ? งั้นหมอนี่ก็มีคู่หมั้นแล้วงั้นสิ....ตลกชะมัด...ลักซ์ ไคลน์...ผู้หญิงคนนี้ ดูยังไงก็ดูสาวเกินกว่าที่จะเป็นคู่หมั้นของท่านประธานสภา....

    ช่างน่าเสียดายจริงๆ....

    + + + + + + +

    “แหม วันนี้ช่างเป็นวันที่น่ายินดีจริงๆ นะ อรุณสวัสดิ์ตอนเช้า คุณยูละ”

    คางาริกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งอย่างตั้งตัวไม่ถูกเมื่อเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภากล่าวทักขึ้น เธอเหลียวหลังมองไปรอบๆ ห้องอย่างประหม่า ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง ก็สภาพห้องสีเทาทะมึนทึมดูขมุกขมัวแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลังวาบพิกล
    มันไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนรกอเวจีทำนองนั้นหรอกนะ....ก็แค่เหมือนกับสถานกักกันบนดาวพลูโตก็เท่านั้นเอง....

    “คุณไม่คิดจะปิดประตูแล้วเข้ามาข้างในหรอกรึ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี แม้กระนั้นคางาริก็ยังสังเกตเห็นแววตาไม่น่าไว้ใจในดวงตาสีมรกตคู่สวยนั่นอยู่ดี แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ไปที่โต๊ะทำงานของเขา

    ไม่บ่อยนักหรอกที่คนอย่างเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ ‘คับขัน’ ขนาดพูดอะไรไม่ออกแบบนี้ เธอรู้ดีว่าประธานซาล่าเป็นคนอันตราย....จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่และสายตาที่เขาเพ่งมองมาราวกับมีรังสีประหลาดพวยพุ่งออกมาทำให้อุณหภูมิในห้องนี้เย็นลงถนัดตา....แต่ไม่ว่ายังไงคางาริก็คือคางาริ....เธอไม่ใช่พวกขี้ขลาดอยู่แล้ว...

    “อรุณสวัส--” ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยค ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยกมือเป็นสัญญาณห้ามเธอเสียก่อน ทำเอาเธอหุบปากฉับ

    “ชั้นค่อนข้างงานยุ่งมากนะ” เขาเอ่ยสั้น โดยไม่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กตรงหน้าเพื่อสบตาเธอเลยด้วยซ้ำ

    “แล้วรู้ไหม ชั้นต้องเสียเวลาเท่าไหร่ กว่าเลขาฯ คนใหม่ของชั้นจะมาทำงานได้”

    ชายหนุ่มเน้นคำหนักแน่นในประโยค ทำเอาคางาริรู้สึกฉุนนิดๆ เธอมุ่นคิ้วเข้าหากันทันที

    “แต่ว่า คุณน่ะ....”

    “ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเธอถึงมาทำงานสาย” เขาพูดตัดบท “ตลกดีนะ ที่คุณก็มีชื่อเดียวกับเธอเสียด้วยสิ คางาริ ยูละ”

    “ขอประทานโทษนะคะ แต่....”

    “คุณว่าเพราะอะไรเธอถึงมาสายงั้นเหรอ? ใช่เหตุผลเรื่องรถติดรึเปล่านะ” ชายตรงหน้ายังไม่สนใจคำคัดค้านของเธอเลยแม้แต่น้อย เขายังคงใช้น้ำเสียงเรียบสนิทกวนประสาทเธอต่อไป

    “ขอโทษนะคะ!” คางาริชักเริ่มจะทนต่อไปไม่ไหว หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียงสู้ แต่ดูถ้าคนตรงหน้าจะไม่สนใจ

    “เอ...หรือนาฬิกาปลุกที่บ้านเธอมันจะเสียกัน”

    “เอ่อ....!”

    “หรือว่าเธอจะเผลอนอนเพลิน”

    “นี่คุณ…!” คราวนี้ดูเหมือนสาวเจ้าจะเริ่มฉุนขาดแล้ว ถ้านี่คือวิธีการเอาคืนเรื่องที่เธอมาทำงานสายละก็ ต้องยอมรับว่ามันใช้ได้ผลดีมากเลยทีเดียว

    “หรือมันเป็นเพราะว่าเธอเป็นเนเชอรัลกันนะ” เป็นครั้งแรกหลังจากการต่อความอันยาวยืดที่เขาตวัดนัยน์ตาสีมรกตมาสบกับนัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเธอตรงๆ หญิงสาวไม่มีทีท่ากลัวเกรงหรือหลบสายตา ตรงกันข้ามเธอกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายพลางเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ

    “หมายความว่ายังไง?”

    ท่านประธานสภาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สีดำขลับด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะกล่าวไขความกระจ่างต่อ

    “ก็ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีเรื่องที่เธอมาสายอาจจะเป็นเพราะเธอเป็นเนเชอรัลก็ได้ เพราะพวกนี้โง่เง่า ไม่ค่อยมีสมอง ที่สำคัญยังอ่อนแอ ไม่เคยทำสิ่งได้ถูกต้องเลยซักครั้ง” คำดูถูกและรอยยิ้มเหยียดของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้คางาริต้องกำหมัดแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์

    “นายต้องการจะบอกอะไรชั้นกันแน่!!?” เธอเริ่มขึ้นเสียง พร้อมเตือนสติตัวเองอยู่ในใจ

    คางาริ เย็นไว้ๆ จำที่คิซากะพูดได้ไหม.....ห้ามอารมณ์เสียนะ...

    “ก็พวกเนเชอรัลมันหยิ่งและจองหอง พวกมันพยายามทุกวิถีทางที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้โคออดิเนเตอร์รับผิดชอบ เพราะพวกนั้นเชื่อว่าพวกเราจะทำให้ ‘โลกสีครามอันบริสุทธิ์’ ของพวกมันแปดเปื้อน ทั้งที่ความจริงแล้วความผิดทั้งหมดก็มาจากพวกมันนั่นแหละ” เขากล่าวต่อไป แสดงความเกลียดชังชัดเจนอยู่ในน้ำเสียงเรียบๆ นั้น

    มาถึงบัดนี้ความอดทนของเธอก็มาถึงจุดสุดยอดแล้ว ตอนนี้เธอกำลังหัวเสีย....มากๆ กับ....อีตา.....โคออดิเนเตอร์จองหองนี่! อ๊ากกกกก!! นี่ถ้าเธอไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงของประเทศละก็นะ เธอคงจะเสยหน้าไอ้หมอนี่ให้ลงไปกองกับพื้นแล้วบังคับให้ถอนคำพูดทั้งหมดไปแล้ว!!

    “และคนที่งี่เง่าที่สุดก็คงจะเป็น อุซุมิ นาระ อัสฮา นี่ละมั๊ง ตาแก่นั่นจริงๆ แล้วก็เป็นแค่คนบ้าอุดมการณ์คนหนึ่งก็เท่านั้น มีความเชื่อบ้าๆ ว่าเนเชอรัลกับโคออดิเนอร์เตอร์จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ เฮอะ...งี่เง่าสิ้นดีเลย” อัสรัน ซาล่าพูดพลางแค่นหัวเราะเบาๆ

    คำพูดเมื่อครู่ยิ่งทำให้เธออารมณ์เสียหนักเขาไปใหญ่....หมอนี่กล้าดูถูก ‘อุซุมิ นาระ อัสฮา’...พ่อของเธองั้นเหรอ!! ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยพบหน้าเขาเลยซักครั้งหนึ่งก็เถอะ ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นพ่อของเธอที่เธอเคารพและเทิดทูนยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น! เพราะฉะนั้นใครหน้าไหนบังอาจมาดูถูกพ่อบังเกิดเกล้าของเธอต่อหน้าลูกสาวอย่างเธอถือว่าคิดผิดมหันต์ทีเดียวแหละ!

    “ท่านอุซุมิไม่ได้งี่เง่านะ” หญิงสาวพึมพำแผ่วเบา ตอนนี้เองที่เธอเพิ่งรู้สึกว่าร่างเล็กๆ ของเธอกำลังสั่นด้วยความโกรธ ผิดกับอัสรันที่ยังคงรักษามาดสุขุมและสงบเสงี่ยมเหมือนเดิม

    “หมายความว่าเธอไม่เห็นด้วยกับชั้นงั้นสิ?” เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีเฉยเมย ท่าทางที่เธอรู้สึกคันเบื้องล่างอยากจะกระทืบคนตรงหน้าให้จมดินไปซักสองสามที

    หญิงสาวสาวเท้ายาวๆ มาข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะกระแทกมือเรียวบางสองข้างลงบนโต๊ะไม้โอ้กราคาแพงอย่างแรง! เธอสูดลมหายใจเข้าท้องเฮือกหนึ่งอย่างสะกดกลั้นอารมณ์....

    ตอนนั้นเองที่น็อตที่มันหลวมอยู่แล้วเต็มแก่จะหลุดกระเด็นออกมาจากหัว....

    ความจริงการปล่อยตัวเองให้หัวเสียขนาดนี้ในการทำงานวันแรกมันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีเลยก็ได้....

    “ก็แหงล่ะ ใครมันจะไปเห็นด้วยกับความคิดงี่เง่าของนายกันล่ะ เจ้าบ้าเอ๊ย~!! ให้ตาย นายนี่เป็นผู้ชายที่ยโสโอหัง ที่สุดเท่าที่ชั้นเคยเห็นมาในชีวิตเลย!! โอ๊ะโอ๋ ขอประทานโทษด้วยสินะคะ…ชั้นยังไม่อยากจะแน่ใจเลยด้วยซ้ำว่านายเป็นผู้ชายรึเปล่า!? เพราะหน้านายนี่เหมือนกับกะเทยไปแปลงเพศมาชัดๆ !!!”

    ได้โอกาสพูดทีเจ้าหล่อนก็เลยใส่เสียเป็นชุด ทั้งที่ในใจตัวเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดมากมายเหล่านั้นในสมองได้อย่างไรภายในเวลาไม่กี่วินาที

    “และก็ขอประทานโทษด้วยที่พวกเราชาวเนเชอรัลไม่ได้ประเสริฐเลิศเลอผิดมนุษย์มนาเหมือนที่พวกนายชาวโคออดิเนเตอร์เป็น! แต่ชั้นก็ยังรู้สึกยินดีที่ได้เกิดมาเป็นประชาชนชาวเนเชอรัล อย่างน้อยก็ไม่ต้องคบค้าสมาคมกับไอ้คนน่ารังเกียจ งี่เง่า จองหองแบบนาย!!!”

    ถ้อยคำเจ็บแสบยาวยืดสารพัดที่ถูกส่งมาจากหญิงสาวผมทองตรงหน้าไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลย ตรงกันข้ามอัสรันยังคงนั่งนิ่งด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเหมือนเดิมจนเธอชักอยากรู้แล้วเหมือนกันว่าเจ้าหมอนี่หล่อรูปปั้นหน้าตัวเองมาหลอกให้เธอด่าใส่อยู่รึเปล่า!?

    จริงอยู่ที่ผู้บริหารระดับเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการรับมือกับอารมณ์ชั่ววูบของผู้ร่วมงานอยู่แล้ว แต่วิธีการที่หมอนี่ไล่สายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้านี่สิ!

    มันเกินไปแล้วนะ!!!

    อัสรันหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ยสรุปเสียงแผ่ว

    “เฮ้อ เนเชอรัลนี่....มีแต่พวกป่าเถื่อน ช่างน่ารังเกียจจริงๆ”

    “นี่นายกล้าดียังไงเนี่ย!!!” โดยไม่รอช้าหญิงสาวกำหมัดแน่นพุ่งสวนหมายจะซัดหน้าเป้าหมายให้หงายไปซักตุ้บสองตุ้บ แต่มือใหญ่ของคนตรงหน้ากับคว้าข้อมือบางของเธอไว้ได้ก่อน

    “อย่าประเมินชั้นต่ำขนาดนั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนลุก ขณะออกแรงบีบมือเธอแน่น แรงบีบที่ไม่ใช่น้อยๆ นั่นทำให้เธอเจ็บมากเสียจนอยากจะร้องออกมาดังๆ แต่ก็ต้องฝืนกลั้นไว้

    จะให้หมอนี่เห็นว่าชั้นอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!

    หลังจากนั้นไม่นานนัก อัสรันก็คลายมือเธอออก พลางกวาดสายตาพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าใหม่อีกครั้ง เธอกำลังหอบหายใจหนักอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าขาวเริ่มซับเลือดสีแดงระเรื่อเพราะต้องทนอดกลั้นความเจ็บปวดเมื่อครู่ รอยยิ้มเหยียดฉายวาบขึ้นบนมุมปาก....ผลสรุปได้ว่าศึกครั้งนี้เขาชนะ...

    แต่แล้วรอยยิ้มเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากแดงชาดของอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

    “นายเองก็ดูถูกชั้นเกินไป”

    ภายในเวลาชั่วอึดใจ หมัดหนักๆ ของหญิงสาวตรงหน้าก็พุ่งสวนเข้าไปที่หน้าเขาจังๆ!! แต่ก็เป็นดังคาด ชายหนุ่มอดีต Ace Pilot รับมันได้อย่างง่ายดาย รอยยิ้มบางแห่งชัยชนะฉายขึ้นบนมุมปาก แต่เมื่อเธอดึงมือเธอกลับลากเอามือใหญ่ของเจ้าคนโอหังนั่นให้ตามมาด้วย! เพราะความตกใจทำให้เกิดช่องโหว่ หญิงสาวใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่อีกข้างออกแรงตบลงใบหน้าคมคายของคนตรงหน้าอย่างแรง!

    เพี๊ยะ!!

    ตอนนั้นเองที่อัสรันต้องยอมปล่อยมือเธอออก…

    “นับแต่นี้ต่อไป นายอย่ามาพูดจาดูถูกเนเชอรัลอย่างนั้นอีก” เธอพูดเสียงเรียบทั้งที่ยังหอบหายใจหนัก อัสรันเอื้อมมือข้างที่ว่างไปสัมผัสบริเวณที่เพิ่งโดนตบไปหมาดๆ เบาๆ ก่อนส่งสายตาอาฆาตกลับไปยังเลขาฯ สาวผมทองที่จ้องประสานกลับมาอย่างไม่กลัวเกรง ความเงียบโรยตัวขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนร่างบางจะหมุนตัวเดินกลับไปหาประตู

    “อ้อ ลืมบอกไป...ท่านประธานซาล่าคะ ดิฉันชื่อคางาริ ยูละ นับแต่นี้ต่อไปจะมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวให้คุณนะคะ หวังว่าพวกเราคงจะทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น” เธอเน้นหนักในประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินผ่านประตูอัตโนมัติออกไปนอกห้อง

    “ถ้าดิฉันจำไม่ผิด โต๊ะทำงานของดิฉันคงจะอยู่ด้านนอกล่ะสินะคะ?” คำกล่าวสุดท้ายก่อนร่างบางระหงจะเดินออกจากห้องหายไปโดยไม่รอแม้แต่จะให้ผู้เป็นเจ้านายกล่าวอนุญาตสักคำ

    + + + + + + +

    คางาริแทบอยากจะกระแทกกระเป๋าถือใบเล็กของเธอลงบนโต๊ะทำงานด้วยความฉุนเฉียวเกินบรรยาย

    ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยโกรธใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย!!

    ใช่ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยหัวเสียกับใครเกินกว่าเวลาที่เธออยู่กับ ยูน่า โรมา เซรัน ...อ๋อ...เขาเป็นใครกันนะเหรอ? จะอะไรเสียอีกล่ะ เจ้าหมอนั่นเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเธอตั้งแต่เด็กๆ ที่ใครที่ไหนไม่รู้เป็นคนต้นคิดให้แต่งงานกับเธอในอนาคตน่ะสิ!! เธอเจอกับเขาครั้งแรกตอนอายุได้ 4 ปีและหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้พบหน้ากันอีกเลย แม้กระนั้นเธอก็ยังจำท่าทางอวดดีที่เขาปฏิบัติกับเธอดี

    “แหม ไม่ยักรู้เลยนะเนี่ยว่าเด็กผู้ชายก็เป็นเจ้าหญิงได้ด้วย....”

    คางาริขบกรามแน่น คำกล่าวนั้นยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำของเธอจนถึงเดี๋ยวนี้ ถ้อยคำดูถูกที่ทำให้เธอเจ็บช้ำมาตลอด 15 ปี...แต่นี่...มันเทียบไม่ได้เลยกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ได้ทำสถิติใหม่ทะลุเป้าไปแล้ว!!

    ใช่....ผู้ชายคนนั้นก็คือ อัสรัน ซาล่า...เจ้านายคนใหม่ของเธอเอง....

    ฟังชื่อหมอนั่นขึ้นมาแล้วรู้สึกอยากขย้อนของเก่าออกมาตงิดๆ เธอมันโง่เองที่ไปหลงปลื้มว่าเขาเคยเป็นนายทหารที่มากด้วยความสามารถ...อ๋อ แหงล่ะ นายทหารผู้แสนเก่งกาจ....หุ่นยนต์รบที่ไร้หัวใจ....

    ถ้าเธอได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของ ORB เมื่อไหร่นะ เธอจะรีบเขียนใบลาออกทันทีโดยไม่ใช้เวลาตริตรองเลยแม้แต่วินาทีเดียว เธอคงรับไม่ได้แน่ถ้าหากจะต้องเขาประชุมโดยมีอีตาอัสรัน ซาล่านั่งรวมอยู่ด้วย....ไม่งั้นชาวบ้านคงจะได้ดูคู่มวยสดกลางสภาสูงแน่ๆ....

    “คางาริ!” เสียงเรียกชื่อทำให้เธอต้องหันกลับไปมอง และก็พบกับเพื่อนสาวผมสีน้ำตาลกำลังวิ่งเข้ามาหา

    “ว่าไง” คางาริทักกลับสั้นๆ แสดงความหงุดหงิดออกมาเต็มประดา ทำเอามิลลี่ต้องถอนใจเฮือก

    “ชั้นบอกเธอแล้ว” เธอเอ่ยเสียงเครียด คางาริเผลอตัวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างเคยชิน เธอมักจะทำอย่างนี้ทุกครั้งเวลาโมโหถึงขีดสุด

    “ชั้นเกลียดหมอนั่น!” เธอกัดฟันพูดขึ้นในที่สุดพลางตวัดมือทั้งสองข้างให้อยู่ในท่ากอดอก ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตรงหน้า

    “เธอเกลียดเขาไม่ได้นะ เธอต้องทำงานกับเขานี่!”

    “แต่ชั้นเกลียดหมอนั่น! เจ้าบ้านั่นพูดจาดูถูกเนเชอรัล!!” คำกล่าวที่อีกฝ่ายรู้ดีอยู่แล้ว ก็ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจเบา

    “เขามีอคติกับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเนเชอรัลน่ะ...เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี ส่วนสาเหตุ....มันยังคลุมเครือ...”

    คางาริกำหมัดแน่นพลางกระแทกลงกับโต๊ะดังปัง!

    “ยังไงชั้นก็เกลียดหมอนั่น!!”

    “แต่ในอีกมุมนึง เขาเป็นคนที่สาวๆ ทุกคนใน PLANT ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ชิดนะรู้ไหม?” คำอธิบายของมิลลี่ทำเอาคนฟังต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อหู

    “โอยย ทำไมพวกโคออดิเนเตอร์มันถึงได้โง่เง่าอย่างนี้!!” เธอครางอย่างหงุดหงิด มิริอัลเรียเบิกตาโพลง ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก พลางกวาดตาไปรอบๆ ห้องเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครได้ยินประโยคสิ้นคิดเมื่อครู่

    “โธ่คางาริ! ระวังคำพูดหน่อยสิ!! อย่าลืมนะว่ามีเราแค่สองคนในอาคารนี้ที่เป็นเนชอรัลน่ะ!”

    “โอ๊ะ โทษที” เธอเอ่ยขอโทษเสียงเบา

    “เอาล่ะ ชั้นจะมาบอกเรื่องการทำงานให้ฟังนะ” มิริอัลเรียพูดขึ้น พลางแจกแจงแยกเอกสารบนโต๊ะเตรียมฝึกคนมาใหม่อย่างกระตือรืนร้น

    “ชั้นก็ได้แต่หวังว่าจะลบภาพรอยยิ้มกวนประสาทของหมอนั่นออกไปได้นะ” คางาริบ่นพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะตั้งอกตั้งใจฟังคำแนะนำของคนตรงหน้าต่อไป

    + + + + + + + +

    อัสรันเพ่งมองดูบานประตูใหญ่ที่ว่างเปล่าเป็นเวลานานสองนาน มือข้างหนึ่งยังคงกุมใบหน้าส่วนที่ฝากรอยประทับไว้นิ่ง แล้วรอยยิ้มเย็บเยียบวูบหนึ่งก็กระตุกฉายขึ้นบนมุมปาก

    “น่าสนใจมาก.....”

    ชายหนุ่มหมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง พลางไล่นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเขาไปตามตัวหนังสือบนเอกสารการสมัครงานตรงหน้า

    “คางาริ ยูละ อายุ 19 ปี ประวัติครอบครัว- เสียชีวิตไปแล้ว อาศัยอยู่ในอาพาร์ทเมนต์แถวถนน Garnet , Aprillus City….เธอนี่น่าสนใจจริงๆ....”
    มือใหญ่เอื้อมไปแตะรอยแดงบนใบหน้าอีกครั้งอย่างแผ่วเบา...ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย เพียงแต่การที่คนตบเป็นผู้หญิงมันก็สร้างความปวดร้าวให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว....นี่ขนาดยังไม่ได้รวมว่าเธอเป็นเนเชอรัลนะ.....

    พาดหัวข่าวที่น่าสนใจวันนี้ : ประธานสภาพความมั่นคงแห่ง PLANT อัสรัน ซาล่า บุรุษผู้เป็นอัจฉริยะที่สุดในบรรดาโคออดิเนเตอร์ สิ้นท่าถูกสาวทอมบอยเนเชอรัลตบหน้า!!

    ...ช่างน่าประทับใจเสียไม่มีล่ะ....

    เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้นึกขำกับไอ้ประโยคลอยๆ นี่ขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งที่ปกติแล้วเขาคงจะกัดฟันตัวเองกรอดๆ อย่างหัวเสียทั้งอับอาย และคงจะออกคำสั่งให้ทหารไปลากคอยัยผู้หญิงไร้สมองนั่นคนนั้นมารับโทษแล้วเป็นแน่ แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ...

    แต่ก็น่าประหลาดใจเสียเหลือเกินที่เขากลับสนุกสนานกับสถานการณ์ตรงหน้ามากมายขนาดนี้

    สีหน้าของเธอตอนที่ถูกเขาบีบมือก็คุ้มค่าพอแล้วสำหรับวันนี้ น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกมีความสุขทุกครั้งตอนที่เธอตะโกนโวยวายใส่เขา ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้สนุกสนานกับการแกล้งเธอเล่นนัก...

    หรือว่าอัสรัน ซาล่ากลายเป็นคนซาดิตส์ไปแล้ว...!?

    ฟังดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่เลยนะ....

    เห็นทีเขาคงสนุกกับการนั่งมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงของผู้หญิงคนนั้นเขาให้แล้วละมั๊ง จากคนที่ดูเงียบๆ ไร้เดียงสา กลายเป็นผู้หญิงอารมณ์รุนแรง โกรธเกรี้ยวได้ถึงขนาดนั้น...

    ดูๆ ไปแล้วการได้เธอมาเป็นเลขาฯ เขาก็คงไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด....

    + + + + + + + +

    สาวน้อยหน้าหวานหน้าห้องชักเริ่มจะเป็นเหมือนเครื่องจักรหมดสภาพแล้วทุกทีๆ ....ก็แหงล่ะ จะไม่ให้เปรียบเปรยอย่างนั้นได้ยังไง ก็นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเกินมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้ก็ปาเข้าไป 3 ชั่วโมงเศษๆ แล้ว...และงานตรงหน้านี่ก็ไม่ได้น้อยลงเลยซักนิด!!!!

    บริษัทนี้มันใช้งานพนักงานคุ้มจริงๆ ให้ตายสิ....

    อาชีพเลขานุการตามที่เธอเข้าใจแล้ว มันก็แค่หน้าที่คอยรับโทรศัพท์ จัดตารางนัดหมายเพื่อจัดเข้าระบบจัดการของเจ้านาย มันก็แค่งานง่ายๆ ที่แม้หลับตาทำก็ยังทำได้........

    ......ซะเมื่อไหร่ล่ะ.....ดูน้ำเสียงแต่ละคนที่โทรเข้ามาซะก่อนสิ.....


    กริ๊งงงงง

    “ค่ะ ห้องทำงานของประธานซาล่าค่ะ”

    “ผมต้องการจะนัดพบท่านประธานวันพรุ่งนี้ตอน 7 โมงตรง” น้ำเสียงกระด้างจากปลายสายออกคำสั่ง

    “ขอโทษนะคะ แต่ตารางนัดของท่านประธานเต็มแล้วทั้งสองอาทิตย์เลยค่ะ” คางาริตอบหลังจากพลิกสมุดตารางนัดหมายเล่มหนาปึกออกมาตรวจดูเรียบร้อยแล้ว

    “ผมไม่สนใจ! ผมต้องการพบกับท่านประธานซาล่า!! ยังไงซะคุณต้องนัดเวลาให้ผมให้ได้!!” ถ้อยคำโอหังที่กล่าวมาทำเอาเธอเผลอตัวขบกรามแน่นตามนิสัยเดิม ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นเสียงบ้าง

    “ดิฉันบอกแล้วไงคะ ว่าท่านประธานซาล่าไม่ว่าง! และดิฉันก็ไม่สามารถแทรกการนัดหมายท่านลงไปในตารางได้อีกแล้ว เข้าใจไหมคะ!” เธอพูดตัดบทก่อนจะกระแทกโทรศัพท์ลงกับเครื่องดังโครม!

    ....และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสายแปลกๆ ที่โทรเข้ามาในวันนี้

    กริ๊งงงงง

    “ฮัลโหล ขอโทษนะคะ ขอสายท่านประธานอัสรัน ซาล่าหน่อยได้ไหมคะ?” เสียงหวานแหลมปรี๊ดฟังดัดจริตแปลกๆ เอ่ยขึ้นเรียบๆ ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่คนฟังอย่างเธอก็ยังอดขนลุกไม่ได้

    “ขอดิฉันทราบชื่อคุณหน่อยได้ไหมคะ จะได้เรียนสายท่านถูก”

    “แหม...ชั้นเป็นภรรยาเขาค่ะ” เสียงนั้นตอบกลับพร้อมหัวเราะคิกคัก

    คางาริกลอกตาไปมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “อ่า ทราบแล้วค่ะ”

    ปากก็ตอบไปอย่างนั้น แต่ความจริงเธอก็รู้อยู่เต็มอก....อัสรัน ซาล่ายังโสดสนิท...ข้อนี้ไม่ต้องเป็นถึงเลขาฯ ประจำตัว ประชาชนชาว PLANT ก็คงรู้กันอยู่ทั้งบาง

    “ขอโทษนะคะ คุณอย่าทำเสียงแบบนั้นจะได้ไหม! ชั้นเป็นภรรยาเขาจริงๆ นะคะ!! และชั้นต้องการคุยกับสามีชั้น เดี๋ยวนี้!!!” คราวนี้หญิงสาวปริศนาเริ่มตะคอก

    “ขอโทษจริงๆ นะคะ แต่ตอนนี้ท่านกำลังยุ่งอยู่....” เธอตอบกลับไปตามหน้าที่ แต่แล้วก็พลันชะงัก รอยยิ้มสวยระบายขึ้นบนมุมปาก พร้อมคำว่า ‘แก้แค้น’ ถูกสะกดให้มาลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

    หญิงสาวตอบกลับเสียงใส “เอ...รู้สึกว่าท่านประธานน่าจะอยากคุยกับคุณนะคะ”

    “อย่างนั้นเหรอคะ! ขอบคุณมากค่ะ” น้ำเสียงแข็งกร้าวพลันอ่อนลงทันที คางาริหมุนตัวไปกดปุ่มสีขาวบนเครื่องโทรศัพท์เพื่อทำการโอนสาย เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพยายามดัดเสียงให้เรียบ....ที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

    “ท่านประธานซาล่าคะ มีสายสำคัญเข้ามาค่ะ”

    + + + + + + +

    อัสรันกำลังเครียดกับเอกสารกองเป็นภูเขาตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขาอยู่พอดีตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเย็นๆ ของเลขาฯ ประจำตัวของเขา

    “ท่านประธานซาล่าคะ มีสายสำคัญเข้ามาค่ะ”

    คิ้วเข้มถูกเลิกขึ้นช้าๆ แต่อัสรันก็ไม่ได้ว่าอะไร มือกร้านเอื้อมไปกดปุ่มรับโทรศัพท์ แต่พอเสียงแหลมๆ ของ ‘สายสำคัญ’ ดังขึ้นก็เล่นเอาเขาแทบตกลงจากเก้าอี้

    “อัสรัน! ที่รักขา!!” เสียงหวานที่บรรจงดัดสุดชีวิตเอ่ยโพล่งขึ้นมาแทบจะทันที

    “เธอ-เป็น-ใคร!?” ชายหนุ่มตะคอกกลับไปอย่างมะนาวไม่มีน้ำ พลางจ้องโทรศัพท์ตรงหน้าเขม็ง

    “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ! ชั้นเป็นภรรยาของคุณนะ!!”

    “ขอประทานโทษนะครับ คุณผู้หญิง ผมยังไม่ได้แต่งงาน! ไม่มีภรรยาที่ไหนทั้งนั้น!” ชายหนุ่มตอบกลับเย็นเยียบ พลางตวัดสายตากลับไปมองที่ประตูห้อง....ยัยผู้หญิงนั่นอีกแล้ว....คิดจะลองดีกับชั้นงั้นสินะ…

    “แต่ชั้นเป็นภรรยาของคุณนะ! ชั้นเองไง ลักซ์ ไคลน์!!” เสียงหวานนั้นยังไม่ยอมแพ้ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ เสียงตวาดที่หาได้ยากของชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาก็ตะคอกกลับไปเสียก่อน

    “อย่าพูดจาดูหมิ่นลักซ์อย่างนี้! เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบคุณ! และอย่าโทรเข้ามาที่นี่อีกถ้ายังอยากจะเห็นเดือนเห็นตะวันอยู่! และสำหรับคุณยูละ…ผมคิดว่าการดักฟังเวลาคนอื่นเขาคุยโทรศัพท์กันมันไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะ!” สิ้นคำกล่าวอัสรันก็กระแทกโทรศัพท์ลงแป้นอย่างแรง ก่อนจะเผลอตัวคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

    คิดจะลองของกับชั้นน่ะ มันยังเร็วไปสิบปี....

    + + + + + + +

    คางาริ ยูละ เธอก้าวล้ำเส้นเข้ามาเสียแล้ว!

    เธอรู้ดีว่างานนี้เธอตายแหงๆ....เผลอๆ ศพอาจจะไม่สวยเสียด้วยสิ!

    หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ หัวสมองพาลคิดไปต่างๆ นานาว่าเธอจะถูกเจ้านายบ้าๆ ของเธอรุมด่าว่าและดูถูกเผ่าพันธุ์ของเธอต่อยังไง

    ให้ตาย ชั้นแค่ล้อเล่นนิดเดียวก็เท่านั้น....ไม่เห็นจะต้องจริงจังขนาดนี้เลย....

    งานนี้สงสัยชั้นคงได้ตายจริงๆ....


    ‘ใจเย็นๆ น่า’ คางาริคิดพลางสูดลมหายใจเจ้าปอดลึกๆ เธอตวัดสายตาไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่พลางนึกตัดสินใจในใจ

    นี่ก็ใกล้เวลาพักแล้ว...ดีมาก....ชั้นจะรีบเผ่นออกจากที่นี่ด่วนจี๋เลย เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...แต่จะไปที่ไหนล่ะ!? ...อ่า เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่ เอาแค่เป็นที่ๆ อัสรัน ซาล่าจะหาตัวชั้นไม่เจอแค่นั้นก็พอแล้ว....

    โอ้ข้าแต่พระเจ้า....ชั้นต้องมาตายที่นี่จริงๆ เหรอนี่?

    มือเรียวสวยเอื้อมไปคว้ากระเป๋าสะพายสีเขียวข้างตัวทันที เธอยืนขึ้นตั้งท่าเตรียมจะเผ่นไปที่ลิฟท์ด้วยความเร็วแสงถ้าไม่ใช่ว่ามือของใครบางคนกลับรั้งเธอเอาไว้ก่อน

    “คุณยูละ ช่วยทำอะไรให้ชั้นอย่างนึงจะได้ไหม?” เสียงของอัสรัน ซาล่าดังขึ้นจากด้านหลัง พอสมองตื้อๆ ของเธอตีความออกหญิงสาวผมทองถึงกับช็อกค้าง ร่างกายทุกส่วนเกร็งไปหมด แม้แต่จะหุบปากยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!

    ใช้เวลาสักพักในการสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนตีหน้าเคร่งไปเผชิญบุรุษข้างหลัง และแน่นอน สิ่งที่รอเธออยู่ก็คือรอยยิ้มกวนๆ ของอีตาประธานสภาอีกแล้ว!!

    “ชั้นรู้สึกอยากทานเค้กขึ้นมาเฉยๆ น่ะ ร้านเค้กที่ดังที่สุดของ PLANT อยู่ที่ถนนสายหลักที่ 2...อยู่ใกล้แค่นี้เอง ชั้นโทรศัพท์ไปสั่งไว้แล้วเมื่อกี้ แต่ดูท่าทางที่ร้านคงยุ่งมากเลยไม่มีคนมาส่ง เธอช่วยไปรับมาให้ชั้นหน่อยได้ไหม?”

    “ต...แต่ว่า...นี่ก็ใกล้ถึงเวลาพักกลางวันแล้ว....ให้ชั้นไปรับทีหลังได้ไหมคะ?” คางาริพูดต่อรองตะกุกตะกัก พลางพร่ำภาวนาในใจให้มันได้ผล

    ....ทำไมเธอจะไม่รู้...อีตาอัสรัน ซาล่านี่ต้องวางแผนแก้แค้นเธออยู่แหงๆ

    ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นถอนหายใจ “แย่จริงนะ ชั้นอุตส่าห์คิดว่าถ้าได้เค้กมาวันนี้จะแบ่งให้เธอสักหน่อยแท้ๆ ชั้นเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำนักหรอกนะรู้ไหม?”

    คำกล่าวเรียบๆ ของคนตรงหน้าทำเอาหญิงสาวต้องบิดชายกระโปรงแน่นด้วยความตึงเครียด...เป็นครั้งแรกที่เธอสังเกตเห็นว่ามันยาวเหนือเข่ามาเธอมาแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้น....

    “แต่ว่า....” เธอยังพยายามหาเหตุผลร้อยพันมาอธิบาย และก็คงทำสำเร็จไปแล้วตามประสาคนชอบเถียงถ้าหัวสมองเธอมันไม่ว่างเปล่าขนาดนี้!

    “ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ใกล้แค่นี้เอง” อัสรันกล่าวต่ออย่างไม่รู้สึกอะไร พลางล้วงธนบัตรในกระเป๋าหนังใบหรูยัดลงบนมือเธออย่างง่ายดาย ก่อนสั่งกำชับ

    “เอ้า เอาเงินนี่ไปซื้อล่ะ โชคดี!” คำพูดสุดท้ายก่อนร่างสูงของคนตรงหน้าจะเดินหายลับกลับเข้าห้องไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็น

    คางาริมองธนบัตรในมือพลางอ้าปากค้างด้วยความตะลึง...อย่างนี้เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปซื้อเค้กนั่นตามคำสั่งล่ะสิ....

    ร่างบางกระแทกเท้าเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว ทำให้ใครไม่สามารถบอกเธอได้เลยว่า...ไอ้ถนนสายหลักที่ 2 น่ะ มันไม่ได้อยู่ใน Aprillus City….

    -------------------------To Be Continued...
  6. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    CHAPTER 4 -- รสชาติของการแก้แค้นนั้นดีกว่าเค้กเป็นไหนๆ

    คางาริทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวเล็กใสแจ๋วหน้าป้ายรถเมล์อย่างหงุดหงิด เส้นผมสีทองยาวสลวยที่ปกติมักจะฟูฟ่องอยู่เสมอบัดนี้กลับเปียกลู่ด้วยน้ำฝนเสียโชก

    ความจริงก่อนจะผลุนผลันออกจากบ้าน ถ้าเธอเงี่ยหูฟังช่องพยากรณ์อากาศมาซักนิด มันก็คงจะดีกว่านี้ เพราะเจ้าหญิงของเราไม่ได้นำร่มติดตัวมาแน่นอน.....แต่ที่จริงก็โทษอะไรไม่ได้หรอกนะ.....ก็วันนี้มันดันดวงซวย และเธอก็ตื่นสายนี่นา จริงไหม?

    ความจริงแล้วเรื่องที่จู่ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาไม่ได้ทำให้หญิงสาวผมทองคนนี้หัวเสียถึงขนาดอยากฆ่าคนได้แบบนี้หรอกนะ…แต่มันเป็นเพราะเธอใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายตามหาร้านเค้กชื่อโด่งดังที่ตั้งอยู่บนถนนหลักสายที่สอง ที่ใครบางคนบอกว่าอยู่ใกล้แค่นี้เองต่างหาก!!!

    ใกล้แค่นี้ของนายมันนรกขุมไหนกันฮะ...!!??

    จะไม่ให้เธออารมณ์เสียเลยมันก็เกินไปหน่อยแหละ ก็แหม...คุณลองคิดสภาพการเดินเท้าตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมง เตร่ตามถนน Aprilius One แล้วจู่ๆ ฝนก็ตกลงมาแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงแล้วดูสิ! แถมยังต้องคอยลากขาเดินตรงปรี่เข้าไปหาคนที่พอจะถามทางไปได้ไปเรื่อยๆ ในสภาพใส่เจ้าส้นสูงบ้าๆ นี่!! แทบอยากจะล้มหน้าคะมำให้รู้แล้วรู้รอดไปตั้งสามสี่หน!! แม้ว่าจะลงทุนขนาดนั้นแล้วก็ตาม....เธอก็ยังหาทางไปไม่เจอซะทีว่าไอ้เจ้าถนนหลักสายที่สองนี่มันอยู่ที่ไหนกันแน่......

    ที่สำคัญเวลาเธอจะเข้าไปถามทางทีไร ผู้คนก็ดูขยาดๆ เธอชอบกล...สงสัยจะเป็นเพราะเครื่องแบบ ZAFT ที่เธอใส่อยู่กระมังที่ทำให้ใครๆ เขาไม่อยากเข้าใกล้…

    ตอนนี้เธอก็เลยทำได้แค่นั่งจุ้มปุ๊กพักเหนื่อยคิดหาแผนการใหม่ไปพลางๆ เท่านั้นเอง

    คางาริเงยหน้าขึ้นมองทัศนียภาพรอบด้านอีกครั้ง แล้วนัยน์ตาสีอำพันก็ไปสะดุดกับเด็กผู้ชายร่างเล็กที่กำลังวิ่งร้องไห้โยเยไปหาหญิงสาวผู้เป็นแม่พลางร้องตะโกนว่า “ผมอยากทานไอศกรีมๆ!” ความขุ่นมัวจิตใจจึงค่อยคลายลง

    คางาริยังจำได้เสมอว่าครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกันเมื่อตอนที่เธอยังเด็กมากๆ ต่างกันตรงแค่ว่า....ผู้หญิงที่เธอไปออดอ้อนคนนั้นไม่ใช่แม่ของเธอ....แม่จริงๆ ของเธอนั้นตายไปนานแล้ว คิซากะเคยบอกว่าเธอตายตั้งแต่ตอนที่เธอเกิด...

    ใช้เวลาสักพักในการรำลึกถึงอดีต ก่อนหญิงสาวผมทองจะตระหนักได้ทีหลังว่า...อดีตเคยเป็นอย่างไรก็ช่าง....แต่มันก็ไม่ช่วยเธอในการหาร้านเค้กในถนนสายหลักที่สองนี่เลยสักนิดเดียว.....

    “คอยก่อนเถอะ อีตาซาล่า...ถ้าชั้นซื้อเค้กนั่นได้เมื่อไหร่นะ จะตุ้ยหน้านายให้หงายเลยคอยดู…” บ่นพึมพำในใจพลางกัดฟันกรอดๆ อย่างหงุดหงิด

    “ชั้นเกลียดคนอย่างนายที่สุดเลย!!!” ในใจสุดคำพูดที่พรั่งพรูอยู่ในใจก็หลุดปากออกมาจนได้! ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาก็เลยหยุดชะงักหันมามองเธอเป็นตาเดียว

    คางาริก็เลยได้แต่ขยับยิ้มเจื่อนกลับไป พลางเอ่ยขอโทษขมุบขมิบ “อ่า...อย่าสนใจดิฉันเลยนะคะ” พูดพลางหัวเราะแหะๆ แก้เก้อผสมโรง เป็นเวลาพักหนึ่งก่อนผู้คนจะละความสนใจก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป

    “ท่าทางชั้นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองบ้างเสียแล้วสิ....ให้ตาย อยู่กับนายแล้วน็อตชั้นมันจะหลวมขึ้นทุกวันๆ” หญิงสาวพร่ำบ่นกระปอดกระแปด เพราะมัวแต่สนใจแต่เรื่องที่คิดเลยไม่สังเกตเห็นคนๆ หนึ่งที่ค่อยๆ เดินเข้ามาหาอย่างประหม่าเลยซักนิด

    “เอ่อ….สวัสดีครับ....” เสียงทุ้มห้าวชวนฟังที่เอ่ยขึ้นเรียกสายตาเธอให้ตวัดกลับไปมอง คนตรงหน้าเธอคือชายหนุ่มหน้าตาดีในร่างสมส่วนกำลังส่งยิ้มมาให้เธออย่างเป็นมิตร เส้นผมสีน้ำตาลเข้มถูกซอยระต้นคอ เข้ากันได้ดีกับเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนและกางเกงขาสามส่วนดูสบายๆ

    ใช้เวลาในการกะพริบตาตั้งสติสักครู่ ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

    “นายเป็นใครกัน?”

    คำโต้กลับโต้งๆ ของหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มต้องเอื้อมมือไปเกาหัวแกร่กๆ อย่างคนทำตัวไม่ถูกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดอ้อมแอ้มตอบกลับมา

    “อ่า ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของผมหรอกนะ แต่ว่า...คุณมีอะไรอยากจะให้ผมช่วยรึเปล่า...?”

    คำพูดตรงๆ ของคนตรงหน้าทำเอาคนที่กะพริบตาถี่อยู่แล้วยิ่งต้องถี่หนักขึ้นไปอีก ความจริงแล้ว...พวกโคออดิเนเตอร์นิสัยดีๆ ก็มีเหมือนกันแฮะ...ว่าแต่ว่า นายคนนี้นึกยังไงถึงมาชวนคุยด้วยล่ะเนี่ย...ไม่เห็นเครื่องแบบที่ชั้นใส่อยู่รึยังไง?

    “แล้วนายต้องการอะไรล่ะ” คางาริยิงคำถามตรงประเด็น

    “พอดีผมเห็นคุณนั่งกัดฟันตัวเองมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนี่...ผมก็เลยคิดว่าคุณอาจจะมีปัญหาอะไรก็ได้ ก็เลย...” เขาอธิบายเขินๆ ก่อนจะชะงักกึก

    “อ่า อย่าเข้าใจผมผิดนะ! ผมแค่อยากจะช่วยจริงๆนะ!” บุรุษปริศนาละล่ำละลักแทบไม่ทันเมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองจากคนตรงหน้า

    ใบหน้าสวยยังคงนิ่ง...เรียบ ราวกับรู้สึกไม่พอใจ หากแต่เขาเองก็คงหารู้ไม่ว่า เจ้าตัวกำลังกระดากอายอย่างสุดซึ้ง!ใบหน้านวลเริ่มขึ้นสีชมพูปลั่งเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำอธิบายของชายหนุ่ม

    น่าอายที่สุด! คางาริคิดในใจ พลางหลับตาปี๋

    จะไม่ให้อายได้ยังไง...ก็ไอ้อาการที่เธอระบายอารมณ์มาทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาของนายคนๆ นี้ทั้งหมดเลยนี่นา!!! ความจริงตอนนั้นเธอเองก็แถบจะหลุดปากถามไปอยู่แล้วว่า ‘ธุระกงการอะไรของนายถึงมานั่งสังเกตชั้นนานขนาดนั้น’ แต่เธอก็เลือกที่จะถาม

    “งั้นนายรู้ไหมว่าถนนสายหลักที่สองนี่มันอยู่ที่ไหน?”

    คางาริเอ่ยถามไป ในใจคอยพร่ำภาวนาแต่ว่า ขอให้รู้ทีเถิดๆ อยู่หลายครั้ง นัยน์ตาคู่สวยตวัดจ้องมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าที่บัดนี้คิ้วเข้มๆ มุ่นชนกันอย่างใช้ความคิด

    “ถนนหลักสายที่สอง...? ใช่ที่ๆ ร้านเค้กวิสเทอเรียขายอยู่รึเปล่า?”

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างขึ้นในทันที! ตลอด 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่มีวี่แววใครสักคนที่รู้จักเจ้าร้านเค้กวิสเทอเรียนี่เลยซักนิด!! ดูๆ ไปแล้ว หมอนี่ท่าทางจะพึ่งได้แฮะ

    โอ้ ขอบคุณพระเจ้า!!

    “ใช่ๆ ที่นั่นแหละ! พอจะรู้ทางไปบ้างไหม?” ชายหนุ่มเกาหัวอักครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามอึกอัก

    “อ่า คุณต้องไปที่นั่น...เดี๋ยวนี้เลยเหรอ?”

    “ก็แหงแหละ ไม่งั้นชั้นจะถามนายทำไมกัน”

    “แต่ว่า ถ้าเธออยากจะไปที่นั่นจริงๆละก็....เธอต้องขึ้นชัตเตอร์อวกาศไปนะ....”

    ความเงียบเกิดขึ้นในบัดดล สาวน้อยหัวสีทองอ้าปากค้างสักพัก ก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงดัง

    “เฮอะ พูดอย่างนี้มันไม่ตลกเลยนะคุณผู้ชาย!” เธอกึ่งตะคอกกลับไปอย่างคนหัวเสียเต็มสตรีม หากทว่าชายหนุ่มกลับสั่นศีรษะปฏิเสธ

    “ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ คุณไม่รู้เหรอว่าเจ้าถนนสายหลักที่สองน่ะไม่มีอยู่ใน Aprilius One สักหน่อย มันเพิ่งก่อสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ที่ Junius four แล้วกว่าจะนั่งชัตเตอร์ไปถึงก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งได้”

    หญิงสาวไม่คิดว่าชายคนนี้จะพูดปด เนื่องจากสีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่นให้เธอประสาทเสียธรรมดา ความขุ่นเคืองแล่นวาบเข้ามาในอกจนรู้สึกร้อนไปหมดทั้งที่อากาศยังคงเย็นสบาย มือเรียวสวยที่กำอยู่ก็บีบแน่นเสียจนรู้สึกถึงเล็บแข็งๆ ที่จิ้มเข้าไปในผิว

    นายเล่นอย่างนี้ใช่ไหมซาล่า...ได้...เตรียมล้างคอรอเค้กของนายไว้ได้เลย...!!

    รอยยิ้มเหยียดฉายขึ้นบนใบหน้าเนียนสวย ก่อนเจ้าตัวจะเก็บอารมณ์ขุ่นมัวไว้ในใจ พลางเอ่ยถามเสียงใส

    “โทษทีนะ แล้วนายพอรู้ไหมว่าแถวนี้พอมีร้านเค้กอยู่บ้างไหม?”

    “เดินตรงไปไปตามถนนสายนี้ จนถึงร้านหัวมุมที่สามที่อยู่ตรงฝั่งซ้าย ทางนั้นแหละครับ” คางาริยิ้มรับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณให้กับชายแปลกหน้าคนนั้นเบาๆ ก่อนร่างบางจะวิ่งพรวดออกไปท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำที่ตกกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย

    “อ๊ะ เดี๋ยวครับคุณ....” เสียงทุ้มเอ่ยร้องเรียก แต่ทว่าพอหมุนตัวกลับมา สาวน้อยตรงหน้าก็มิได้ยืนอยู่ที่เดิมเสียแล้ว...

    “คุยกันมาตั้งนาน...ผมยังไม่ได้ถามชื่อเลย...”

    + + + + + +

    ช่างเป็นความรู้สึกที่ผิดแผกจากบุคคลทั่วไปโดยสิ้นเชิงที่ร่างสูงสง่าบนเก้าอี้บุนวมดูมีราคานั้นดูไม่แสดงอาการพึงใจเลยแม้สักนิดเดียวเมื่อออดบอกเวลา 5 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานเริ่มดังขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละ...อัสรัน ซาล่า...บุรุษคนนี้เป็นคนเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาๆ เสียที่ไหนกัน...?

    โดยปกติแล้ว เขามักจะขลุกตัวอยู่กับงานเอกสารกองพะเนินเสียมากกว่าที่รีบดิ่งกลับบ้านไปเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่จะไปว่าๆ ความคิดของเขามันแปลกก็พูดยากอีกเช่นกัน...มันช่วยไม่ได้เลยที่ ‘บ้าน’ ของเขานั้นไม่ใช่สถานที่อบอุ่นอย่างเช่นครอบครัวทั่วไปจะพึงมี...ตรงกันข้าม มันกลับอ้างว้าง ขมุกขมัวท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือกชวนเสียวสันหลังแปลกๆ

    ถ้าหากไม่นับเหล่าคนรับใช้และหน่วยงานรักษาความปลอดภัยที่เดินกันให้ควั่กแล้ว ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลซาล่าก็จะมีแค่เขากับพ่อบังเกิดเกล้าอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น ซึ่งก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ชายผู้มากด้วยวัยวุฒิผู้นั้นไม่ค่อยได้ใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับเขาเท่าไหร่ ดังคำกล่าวที่ว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว บุรุษผู้เป็นพ่อก็บ้างานหนักพอๆ กับที่เขาเป็น คือ ถ้าไม่หมกมุ่นอยู่กับงานเอกสารกองใหญ่ก็มักจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟายาวสีหม่นๆ ดูรายการถ่ายทอดข่าวภาคดึก...ไม่ก็จ้องมองภาพภรรยาอยู่ในมุมมืดของบ้างเพียงลำพัง....

    พอทบทวนความคิดไปมา สมองเจ้ากรรมก็ดันนึกไปถึงยัยเลขาจอมแสบของเขาจนได้....ชายหนุ่มกระตุกรอยยิ้มเย็นที่มุมปาก รู้อยู่แก่ใจว่าเธอคนนั้นคงจะไม่ยอมแพ้กลับมาก่อนแน่ จนกว่าจะไปหาซื้อเค้กร้านดังที่ถนนหลักสายที่สองมาให้เขาได้

    ...แน่นอน...เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอจะต้องหาไม่พบ....เพราะว่าถนนสายที่สองนั่นมันไม่ได้อยู่บนดาวดวงนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!!

    อ๊ะ...อย่ามองเขาในแง่ร้ายอย่างนั้นสิ....เขาเองก็ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารอย่างนี้ตั้งแต่กำเนิดหรอกนะ....แต่ว่าสำหรับคางาริแล้ว เธอเป็นคนพิเศษ....ความจริงเขาก็แค่อยากแกล้งเธอเพื่อจะดูปฏิกิริยาตอบสนองเท่านั้นแหละ ว่าเจ้าหล่อนจะโต้กลับเขาคืนด้วยวิธีไหนกัน…..

    แต่แล้วความคิดที่ว่าก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อเห็นเงาไวๆ ของหญิงสาวร่างเล็กเจ้าของผมสีทองกำลังวิ่งทั่กๆ เข้ามาในอาคารใหญ่

    + + + + + +

    ชั่วโมงครึ่งผ่านไปหลังจากที่คางาริได้พบกับชายหนุ่มสุภาพบุรุษคนนั้น ในที่สุดเธอก็ได้กลับมายืนอยู่หน้าอาคารสีขาวสูงเทียมฟ้าที่มีชื่อว่า สำนักงาน ZAFT อีกครั้งหนึ่ง เสียงหอบหายใจหนักเริ่มกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเหนื่อยจากการอดทนวิ่งมาเป็นระยะเวลานาน กล่องสีกระดาษสีขาวเล็กๆ กล่องหนึ่งถูกวางทิ้งไว้กับพื้น ขณะที่รังสีแห่งการฆ่าฟันเริ่มแผ่ขยายออกมาจากร่างบอบบางของหญิงสาวชนิดที่คนผ่านไปผ่านมายังต้องผวา..!

    ก็จะไม่ให้กลัวได้ยังไง...สิ่งเดียวที่เธอคิดอยู่ตอนนี้ก็คือ....เจ้าประธานหัวน้ำเงินงี่เง่าเอ๊ย...แกเตรียมตัวตาย!!!

    นัยน์ตาสีอำพันส่อประกายขุ่นคลั่ก เมื่อร่างสูงๆ ของคนที่คุ้นเคยเดินผ่านประตูกระจกเลื่อนใสแจ๋วออกมา อัญมณีเลอค่าสองอย่างปะทะกัน

    มรกตปะทะอำพัน!

    เขายังคงรักษาท่าทางสง่างามไว้เช่นเคย ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มหยักบนมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะทักทายด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

    “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ คุณยูละ”

    ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนหัวเสียเสียนี่กระไร!! เพราะไอ้เจ้ารอยยิ้มหยันบ้าๆ นี่แหละที่ทำเอาเธอน็อตหลุดมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว! แล้วไอ้เจ้าหมอนี่ยังตั้งท่าจะยั่วโมโหเธอต่ออีกเหรอเนี่ย!?

    พระเจ้า ท่านปล่อยให้ชั้นต้องทนทรมานกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันนะ!???

    “นายหลอกชั้น ไอ้เจ้าคนสับปลับ!” คางาริตะโกนขึ้นเสียงก้อง พร้อมสวนหมัดไปข้างหน้าอย่างลืมตัวเพราะความโมโหสุดขีด แต่ทว่ามือกร้านของชายหนุ่มมากด้วยประสบการณ์อีกคนก็คว้าข้อมือเรียวเล็กของเธอไปรวบไว้ทั้งสองข้างอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก

    “โอ๊ะโอ๋ ระวังมารยาทหน่อยสิ สาวน้อย” เสียงห้าวๆ แกมหัวเราะของชายร่างสูงผิวแทน เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างแห่งชัยชนะ คางาริพยายามสะบัดมือเธอให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ทว่ามือใหญ่ที่บีบไว้นั้นกลับรัดแน่นเสียเหลือเกิน

    “เอามือสกปรกขอนายออกไปจากชั้นเดี๋ยวนี้!!!” เสียงหวานตะโกนออกคำสั่ง

    “แหม ใจเย็นๆ สิ ยาหยี!” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปมองที่อัสรันอีกครั้งทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    “แหม ท่าทางเลขาฯ คนใหม่ของนายนี่ร้ายไม่ใช่เล่นเลยแฮะ”

    อัสรันผ่อนลมหายใจเบาอย่างหน่ายๆ ก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้...” เขาพูดก่อนสาวเท้าเดินผ่านร่างทหารหนุ่มคนนั้นไป ก่อนร่างสูงจะมาหยุดกึกตรงหน้าเธอ นัยน์ตาสีเขียวมรกตฉายประกายระริกแปลกๆ ขณะไล่สายตาพิจารณาเธอชั่วครู่

    “มองอะไรของนายอยู่ได้!!??” คางาริตะคอกกลับไป ทั้งหัวเสีย อึดอัดแฝงหวั่นไหวประหลาดปนเปกันชอบกลกับสายตาแปลกๆ ที่ชายหนุ่มส่งมาให้

    และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางยอมให้เขารับรู้เด็ดขาด!!!

    “เธอบอกว่าชั้นหลอกเธออย่างนั้นเหรอ?” เสียงทรงอำนาจเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบสนิท

    นัยน์ตาสีอำพันส่อประกายวาวโรจน์ราวกับต้องเพลิง คางาริเชิดหน้าขึ้นไปสบตาเจ้าคนอวดดีใหม่อีกครั้ง ก่อนจะตะคอกใส่เจ้าคนมาดนิ่งอย่างเหลืออด

    “ก็ไหนนายบอกว่าไอ้ถนนหลักสายที่สองมีอยู่ใกล้แค่นี้ยังไงล่ะ!!!” ท่าทางการระเบิดอารมณ์ไม่พอใจของเธอยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกพึงใจอย่างประหลาด นี่ถ้าหากคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่เขา...อัสรัน ซาล่า คนๆ นั้นก็คงจะขยาดกลัวแม่สาวน้อยตรงหน้านี่ไปเรียบร้อยแล้ว

    น่าเสียดาย...ที่คนที่ยืนอยู่ดันเป็นเขา...

    “ชั้นไม่ได้หลอกเธอสักหน่อย ชั้นบอกว่าถนนสายหลักที่สองมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง.....ถ้าหากเธอนั่งชัดเตอร์อวกาศไปละก็นะ...”

    ชายหนุ่มเฝ้ามองอาการน็อตหลวมของคนตรงหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นหลุดกระเด็นออกจากหัว! ด้วยความรู้สึกสนุกสนาน รอยยิ้มกว้างที่หาดูได้ยากฉายขึ้นในทันทีพร้อมกับเสียงปล่อยก๊ากของคนที่รอจังหวะมานานอีกคนจะดังขึ้นทำลายความเงียบ

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! อัสรัน ให้ตาย ชั้นไม่รู้มาก่อนเลยนะว่านายจะชั่วร้ายได้ขนาดนี้!! ยินดีต้อนรับเข้ากลุ่มโว้ยเพื่อน! นี่ถ้าเจ้าอิซาคมันได้ยินวีรกรรมนายมันต้องดีใจจนตัวลอยแน่ๆ เลยว่ะ” ชายผิวแทนพูดพลางกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก มือใหญ่ข้างหนึ่งถูกยกขึ้นตบไหล่เพื่อนซี้เบาๆ ขณะที่อีกข้างยังคงรัดข้อมือเล็กของคางาริไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

    “อะไรกันดิอัคก้า มันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นซักหน่อย” อัสรันตอบ ก่อนจะเบือนหน้ากลับสบตาสตรีเดียวในกลุ่มอีกครั้งอย่างขันๆ

    “ชั้นเกลียดนาย!” เสียงหวานตะคอกขึ้นมาในบัดดล ขณะที่ร่างบางพยายามอย่างยิ่งที่จะขืนตัวออกจากการรัดรึงของบุรุษอีกคนหนึ่ง ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ค่อยจะได้ผล

    “ชั้นเองก็ไม่ค่อยชอบหน้าเธอนักหรอกนะ” อัสรันสวนกลับในทันทีโดยไม่ต้องคิด ขณะที่ดิอัคก้าก็ยังคงก้มหน้าก้มตาหัวเราะโดยไม่ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอต่อไป

    ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความโกรธอย่างชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตลอดเวลา 19 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าตอกหน้าเธอกลับมาแบบนี้!! เจ้าหมอนี่เป็นคนแรกที่ลองของ…

    หมอนี่ทำลายสถิติใหม่อีกแล้ว!

    อัสรันเฝ้ามองสาวน้อยร่างเล็กปั้นใบหน้าปั้นปึ่งใส่เขาด้วยความบันเทิงใจ

    จริงๆ แล้วยัยนี่เวลาตอนโกรธก็ดูน่ารักดีเหมือนกันแฮะ...แต่เอ...จะเรียกว่าน่ารักได้รึเปล่านะ...ก็คำๆ นี้มันไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเขาเสียด้วยสิ...

    “ดิอัคก้า ชั้นว่านายปล่อยตัวคุณผู้หญิงคนนี้ได้แล้วมั๊ง” ชายผิวแทนรีบปฏิบัติตามคำสั่งโดยไว

    ทันทีที่ถูกปล่อยตัวคางาริก็สะบัดมือออกพลางเชิดหน้าใส่บุรุษผู้เป็นเจ้านายหน้าตาเฉยอย่างไม่คิดกลัวเกรง

    “คนอย่างนายน่ะ ชั้นไม่กลัวหรอกย่ะ อีตาโคออดิเนเตอร์งี่เง่า!” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้าทาย แต่ทว่ารอยยิ้มกว้างกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย ขณะที่ร่างสูงก้าวเดินเลยผ่านตัวเธอไปเพื่อไปขึ้นรถลีมูซีนสีดำมันปลาบที่จอดรออยู่หน้าอาคารช้าๆ พร้อมกับวาจาเรียบๆ ที่เอ่ยตอกกลับมา

    “ชั้นเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวเธอเหมือนกัน แม่สาวทอมบอย” คำสรรพนามที่ใช้เรียกชื่อเธอทำเอานัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้าง

    แม่สาวทอมบอย.........?? ทอมบอย!!?? นี่นายกล้าเรียกชั้นว่าทอมบอยอย่างนั้นเหรอ!!???

    อย่าอยู่เลย!!!

    ชั่วขณะนั้นเองที่คางารินึกถึงเจ้าขนมหวานแสนอร่อยที่เธอนำมาด้วยได้ เค้กเคลือบช็อกโกแลตราดด้วยมาร์ชแมลโล่ว์และไอซ์ซิ่งครีมน่ารับประทานยิ่ง และแน่นอนว่าเธอสั่งมาเพื่อกลับไปกินที่บ้าน...ไม่ใช่เพื่อนายคนนี้!!

    แต่ดูท่าทางจะต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์เสียแล้วกระมัง...

    “เฮ้ อัสรัน!” ร่างสูงถึงกับชะงักกึกเมื่อเสียงกังวานใสตะโกนเรียกชื่อเขาเสียดังลั่น...ไม่ใช่เป็นเพราะถูกเธอเรียกหรอก แต่มันเป็นเพราะเธอเรียกด้วยชื่อต้นเขาต่างหาก! แน่นอน นอกจากเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวแล้ว ไม่มีใครกล้าเรียกเขาด้วยชื่อนั้นเป็นอันขาด

    ...แต่หญิงสาวคนนี้กลับ...กล้า...

    ชายหนุ่มเบือนดวงหน้าขาวให้หันกลับมามองด้วยสีหน้างุนงงปนสงสัยใคร่รู้ แล้วภาพที่แว่บเข้าคลองจักษุก็คือภาพสาวน้องผมทองกำลังวิ่งมาข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ก่อนเงาๆ ดำๆ ที่ไหววูบๆ พร้อมกับวัตถุกลมๆ แบนๆ สีน้ำตาลหม่นๆ จะลอยละลิ่วตรงเข้ามาปะทะหน้าเขาเต็มๆ!

    เค้กช็อกโกแลตขนาด 2 ปอนด์ครึ่งเสิร์ฟได้เข้าเป้าพอดีเป๊ะ!!

    คางาริฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงใจกับชัยชนะที่ได้รับ แน่นอน...เหตุที่เธอเรียกชื่อเขานั่นไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไรหมอนี่นักหรอก เธอแค่อยากเรียกความสนใจให้เขาชะงักและเปิดช่องให้เธอโจมตีก็เท่านั้น

    และดูท่าทางมันจะได้ผลดีเสียด้วยสิ!

    อัสรันค่อยๆ เช็ดไอซ์ซิ่งครีมหลากสีสันออกจากใบหน้าเบาๆ แต่ทว่าสิ่งที่สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่งให้แกเธอก็คือ...เขากำลังหัวเราะ!!!

    พระเจ้า! วันนี้ตานี่กินยาผิดประเภทมารึเปล่าเนี่ย!?

    แหงแหละ ใครโดนแบบนี้ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดบ้าง...แต่หมอนี่กำลังกลั้นหัวเราะ....อย่างท้องคัดท้องแข็งเสียด้วยสิ...!

    “เห? อร่อยดีนี่...” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มแจ่มใสที่ผุดขึ้นบนใบหน้า นัยน์ตาสีมรกตตวัดกลับไปมองแม่สาวน้อยตัวต้นเหตุที่กำลังยืนอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันอย่างขันๆ ก่อนจะพูดต่อพลางกลั้นหัวเราะในใจ

    “ถึงแม้วิธีการให้ชิมจะพิสดารไปซักนิดก็เถอะนะ เอาเป็นว่าขอบคุณก็แล้วกัน” คำกล่าวของประธานสภาหนุ่มทำเอาดิอัคก้าที่มองดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ต้องปล่อยก๊ากออกมาอีกหน

    บรรยากาศตึงเครียดที่ควรจะเกิดขึ้นกลับมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือแต่เพียงสาวน้อยผมทองคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่

    อัสรันขยับรอยยิ้มกว้าง พลางขยิบตาส่งให้เธอวูบหนึ่ง ก่อนพูดตอบกลับเสียงใส

    “เธอนี่น่าสนใจดีจริงๆ ชั้นชักจะชอบเธอเสียแล้วสิ!” คำกล่าวที่เธอแยกเขี้ยวงุดรับแทบไม่ทัน

    “แต่ชั้นไม่เห็นจะสนใจคนอย่างนายเลย ตาบ้า!” คางาริตะโกนกลับไปโดยไม่วายแลบลิ้นให้เป็นรางวัล ก่อนร่างบางจะหมุนตัววิ่งพรวดเข้าไปในอาคารสีขาวลับหายไป

    + + + + + +

    สำหรับอัสรันแล้ว การบริหารสมองถือเป็นอะไรที่เขาชอบที่สุด การนั่งคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยนั้นเป็นนิสัยประจำตัวเขาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว เขาชอบที่จะใช้ความคิดติตรองเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างเมนูอาหารกลางวัน หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ๆ อย่างนโยบายรัฐบาล
    เช่นเดียวกับวันนี้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้บุนวมสีน้ำตาลแก่ตัวเดิมเพื่อใช้ความคิดเรื่อยเปื่อยเหมือนเคย

    แต่วันนี้มันพิเศษนิดหน่อยตรงที่....เขากำลังนั่งคิดเรื่องผู้หญิง!!

    อัสรันแตกต่างจากดิอัคก้าก็ตรงที่เขาเป็นผู้ชายประเภทที่ว่า ‘ชั้นเกลียดยัยผู้หญิงขี้วีนจอมโวยวายเข้าไส้ เพราะพวกนั้นมักทำให้ชีวิตผู้ชายดีๆ ต้องปั่นป่วน!’ เพราะฉะนั้นลักซ์จึงเป็นหญิงสาวคนเดียวที่เขาให้เกียรติและนึกชื่นชมในใจ แน่นอน รวมทั้งแม่ของเขาด้วย...แต่นั่นมันคนละประเด็นกัน
    ทั้งๆ ที่ตั้งใจมั่นเหมาะว่าสมควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าตอนนี้จิตใจของเขากำลังล่องลอยไปถึงหญิงสาวเนเชอรัลผมทองผู้หัวรั้นและรักศักดิ์ศรีเสียแทน เป็นเสน่ห์แปลกๆ ที่ทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวเธออย่างช่วยไม่ได้ บางทีเขายังสงสัยตัวเองเลยว่าเขาผิดปกติเข้าขั้นจิตวิปริตหรือเปล่าที่มานั่งหมกมุ่นคิดเรื่องผู้หญิงคนเดียวได้ทั้งวันแบบนี้

    ใจจริงแล้วเขาก็แค่อยากรู้จัก ทำความคุ้นเคยกับเธอให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็แค่นั้น...อาจจะแกล้งแหย่เธอเล่นนิดหน่อย ศึกษาดูว่าอะไรบ้างที่เธอสนใจ ชอบและไม่ชอบ...แหย่เธอเล่นอีกนิด พลางคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างปกติชน และอาจจะตบท้ายด้วยการแกล้งแหย่เธอเล่นต่อ…

    ตรงกันข้ามกับลักซ์อย่างสิ้นเชิง หญิงสาวคนนี้เป็นคนที่สวยสง่า อบอุ่นและงดงาม ในขณะที่คางาริค่อนข้างจะเป็นคนแข็งๆ อารมณ์รุนแรงและตรงไปตรงมา เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แปลกๆ ที่เขาไม่เคยพบเจอจากผู้หญิงคนไหนมาก่อน แม้กระทั่งการแต่งหน้าบางๆ หญิงสาวคนนี้ยังไม่เคยคิดจะทำเลยด้วยซ้ำ!

    บางทีการญาติดีกับพวกเนเชอรัลก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างเท่าไหร่หรอกนะ....

    อัสรันคิดพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

    อย่าคาดหมายคำว่าญาติดีของอัสรัน ซาล่ามากเกินไปนัก...ก็พจนานุกรมของเขามันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่แล้วนิ จริงไหม...?

    ---------------------------------To Be Continued...
  7. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    CHAPTER 5 -- คฤหาสน์ตระกูลไคลน์และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

    ในเช้าวันต่อมาคางาริก็พบว่าตนเองกำลังยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าคฤหาสน์สวยหรูแห่งหนึ่งพร้อมกับช่อดอกไม้สีแดงสดในมือ
    เธอผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ขณะตวัดนัยน์ตาคมเข้มมองดูช่อดอกไม้พลางเหลือบมองดูป้ายโลหะเหลือบทองตรงหน้าช้าๆ

    คฤหาสน์ตระกูลไคลน์และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

    ขณะที่สมองก็พลางนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่....





    คางาริเดินสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในอาคารสีขาวสะอาดของสำนักงาน ZAFT ได้ทันเวลาพอดี เธอรู้สึกได้ดีถึงสายตาของพนักงานบางคนที่เหลือบมามองเธอด้วยแววตาชิงชัง บางครั้งถึงกับได้ยินใครบางคนกระซิบกันเบาๆ ว่า

    “ยัยเนเชอรัลคนนี้แหละที่ทำร้ายท่านประธานซาล่าเมื่อวานนี้”

    หากแต่เธอก็ไม่สนใจ ร่างบางระหงยังคงก้าวเดินฉับๆ ตรงไปสู่ห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวาง คำนินทาเหล่านั้นไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่หรอก...ความจริง เธอรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำ! อย่างน้อยพวกโคออดิเนเตอร์จะได้รู้สำนึกเสียบ้างว่าไม่ควรดูถูกเนเชอรัล!!!

    เธอทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ เธอเองก็ชักจะชินกับความเป็นอยู่ที่นี่เสียแล้ว...เรื่องเครื่องแบบก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป...ก็มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา...เพราะฉะนั้นเธอก็เผาผลาญเวลาวันๆ ของเธอไปกับการนั่งแช่อยู่บนโต๊ะทำงาน ดังนั้นไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นถึงความสั้นของกระโปรงเธอแน่นอน (แหงแหละ ตอนที่คิซากะเห็นเธอใส่เครื่องแบบครั้งแรก เขาถึงกับต้องหยิกแก้มตัวเองเบาๆ หมุนตัวไปหลบหัวเราะ พร้อมกับพึมพำว่า ‘ผมต้องฝันไปแน่ๆ เลย’ ทีเดียวเชียวแหละ!)

    คางาริเปิดสมุดตารางนัดหมายออกมาพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำลายความสุขในใจเธอได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นอัสรัน ซาล่าหรือแม้แต่เจ้าเพื่อนงี่เง่าของเขาก็ตาม!

    ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สาวน้อยผมทองเหลือบมองด้วยสายตาฉงนก่อนมือเรียวจะกดปุ่มรับโทรศัพท์ทันที

    “คุณยูละ ช่วยเข้ามาหาชั้นหน่อยได้ไหม” นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเสียงห้าวๆ ของปลายสายดังขึ้น

    อีตาอัสรัน ซาล่าอีกละ...

    หัวใจที่เคยเต้นด้วยจังหวะเนิบๆ สบายๆ กลับกระชั้นถี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว คราวนี้วางแผนแก้แค้นคืนอีกแล้วเหรอ...? จิตใจเรียกร้องให้เธอนั่งนิ่งอยู่กับที่ แต่ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง ร่างบางผุดลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว และแล้วในเวลาไม่กี่นาทีเธอก็มียืนอยู่หน้าห้องทำงานของเขาจนได้ คางาริสูดลมหายใจเข้าปอด มือทั้งสองข้างถูกตั้งอยู่ท่าเตรียมพร้อม

    ยังไงซะกันไว้ก็ยังดีกว่าแก้...

    “เข้ามาสิ” เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นประจวบเหมาะกับตอนที่ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดพอดี ทั้งๆ ที่เธอเองยังไม่ทันได้รูดการ์ดเลยด้วยซ้ำ เธอสูดลมหายใจอีกเฮือกหนึ่ง ก่อนสาวเท้าเดินตรงไปข้างหน้า

    บนโต๊ะทำงานใหญ่อัสรัน ซาล่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมสีดำสนิทตัวเดิมขณะที่สายตาจับจ้องไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ในมือไม่วางตา ฝ่ามือกร้านขยับพิมพ์ตัวอักษรบนแป้นด้วยความเร็วสูงเสียจนเธอยังอดเสียวไม่ได้ว่าวันใดวันหนึ่งคียบอร์ดจะติดไฟลุกไหม้ขึ้นมาหรือเปล่า

    บรรยากาศขมุกขมัวในห้องทำงานสีหม่นยังคงเป็นเหมือนเช่นเดียวกับตอนที่เธอก้าวเข้ามาเป็นครั้งแรก จะมีก็เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แปลกออกไป....นั่นคือ ช่อดอกไม้สีแดงสดถูกบรรจงวางไว้ข้างๆ โต๊ะไม้โอ๊กราคาแพงลิบนั่น...

    คิ้วบางได้รูปถูกเลิกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มหวานระบายอยู่บนมุมปากขณะที่นัยน์ตาอ่อนแสงเริ่มฉายประกายวิบวับ อย่างพอเดาอะไรได้ลางๆ
    “คิดอะไรของเธออยู่น่ะ คุณยูละ ช่อดอกไม้นี่สำหรับคนอื่นต่างหากล่ะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำเอาคนฟังต้องกะพริบตาถี่ยิบอย่างนึกขัดในใจ

    หมอนี่อ่านใจคนได้รึยังไงเนี่ย...?

    คางารินึกบ่นในใจ ตอนนั้นเธอแค่กำลังคิดว่าช่อดอกไม้ช่อนั้นเขาได้มาจากเหล่าสตรีที่หลงคลั่งไคล้เขาอยู่ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่าเขาจะเอาไปให้ใครสักหน่อย...

    “จะยังไงก็ช่าง” เธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก “แล้วคุณมีธุระอะไรจะให้ดิฉันรับใช้ไม่ทราบคะ ท่านประธานซาล่า?”

    ตอนนั้นเองที่เขายอมละสายตาจาก laptop ตรงหน้าหันกลับมามองช่อดอกไม้สีหวานบนโต๊ะด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่สุด!

    “ชั้นอยากให้เธอช่วยเอาดอกไม้นี่ไปที่คฤหาสน์ตระกูลไคลน์ที มอบมันให้แก่...เอ่อ ลักซ์ ไคลน์น่ะ”

    ไคลน์...? ลักซ์ ไคลน์...?

    ใช้ความคิดในการเรียบเรียงระบบจัดการในสมองสักพักก่อนเธอจะนึกถึกเรื่องที่คิซากะเพิ่งบอกเธอเมื่อคืนนี้ได้...ลักซ์ ไคลน์...

    “อ๋อ ใช่ๆ คนที่เป็นคู่หมั้นของหมอนี่ล่ะสินะ ลูกสาวคนเดียวของซีเกล ไคลน์” เธอพึมพำในลำคอเบาๆ

    ชายหนุ่มกระตุกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม แน่นอน...คำบ่นนั้นมีหรือจะรอดพ้นจากคนหูดีไปได้...

    “เห? เธอนี่ก็อัพเดทดีเหมือนกันนี่”

    หญิงสาวยกมือสองขึ้นกอดอกพร้อมกับขยับรอยยิ้มอวดดีขึ้นบนใบหน้าเนียนทันที

    “เธอเป็นคู่หมั้นของคุณไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่จัดการเอาเอง?” คางาริถามพลางใช้สายตาจับจ้องบุรุษตรงหน้าไม่วางตาหมายจะอ่านความรู้สึกเขา แต่ทว่าไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นเลยซักนิดเดียว

    “นี่ที่อยู่ของเธอ” อัสรันเอื้อมมือหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ มาวางไว้ข้างช่อดอกไม้สีหวานเบาๆ

    “ทำไมคุณไม่จ้างคนส่งของล่ะ” สาวเจ้ายังไม่ยอมแพ้

    ชายหนุ่มขยับมือขึ้นประสานกันราวตัดบทสนทนา เขาวางศอกเท้าโต๊ะก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้า ทั้งที่สายตายังคงจับจดอยู่กับสิ่งสวยงามตรงหน้าไม่ปล่อย

    “ชั้นสัญญากับลักซ์ไว้ว่าจะให้เธอเป็นคนไปส่ง” คำกล่าวที่ว่าทำเอาคนฟังถึงกับสะอึก คางาริพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

    “ทำไมต้องเป็นชั้นล่ะ? แล้วเธอคนนั้นจะชอบดูถูกเนเชอรัลแบบนายรึเปล่าก็ไม่รู้” คางาริเริ่มบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ จริงอยู่ที่เธอเองก็ยังไม่เคยพบหน้าลักซ์ ไคลน์มาก่อน แต่ก็พอเดาได้ลางๆ ว่าผู้หญิงที่หมอนี่เลือกมาเป็นคู่ชีวิต นิสัยมันก็ต้องเหมือนๆ กันแหละว้า...

    แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนจากชายหนุ่มตรงหน้าจังๆ! รอยยิ้มบางเบาขยับแต้มใบหน้าคมคายทำให้บุรุษตรงหน้าเธอดูดีขึ้นเป็นกอง!

    อัสรัน ซาล่าทำสายตาแบบนี้เป็นด้วยหรือ!?...เห็นทีแสงในห้องนี้มันจะสลัวเกินไปเสียแล้วกระมัง...

    “ลักซ์เป็นคนริเริ่มโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างโคออดิเนเตอร์กับเนเชอรัลเป็นคนแรก...เป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอมาอยู่ที่นี้...เข้าใจรึยัง?”



    คำกล่าวสั้นแต่ได้ใจความของชายหนุ่มคนนั้นยังคงดังอยู่ในโสตประสาทเธออย่างต่อเนื่อง รอยยิ้ม...แววตาจากคนๆ นั้น...ไม่บอกก็รู้ว่าเขาจะต้องให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มาก...สีหน้าอ่อนโยนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนมักจะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อนี้...ลักซ์ ไคลน์...

    คางาริถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งประตูให้ดังขึ้นและยืนรออยู่เงียบๆ

    “คฤหาสน์ตระกูลไคลน์ค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการพบใครคะ?” เสียงกังวานใสของสาวรับใช้ที่เอ่ยขึ้นทำเอาเธอทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง

    “เอ่อ คือชั้น...อ่าดิฉัน” คางาริเรียบเรียงคำพูดอยู่นานกว่าจะตอบออกไปได้ “คือท่านประธานซาล่าส่งชั้นให้มามอบดอกไม้ให้กับคุณหนูลักซ์ ไคลน์น่ะค่ะ”

    “เชิญข้างในเลยค่ะ” สิ้นคำกล่าวประตูเหล็กดัดราคาแพงก็เลื่อนเปิดตอนรับเธอ เผยให้เห็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ของคฤหาสน์นี้อย่างแจ่มชัด
    สภาพอาคารแห่งนี้ถูกทาด้วยสีครีมตลอดทั้งหลัง หน้าต่างบานน้อยใหญ่ต่างก็สลักเสลาลวดลายอ่อนช้อยงดงามรับกับผ้าม่านสีชมพูอ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากมองลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กออกไปก็จะเห็นทัศนียภาพของสวนขนาดใหญ่อยู่ลิบๆ ที่มีต้นไม้แข็งแกร่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยดอกไม้หลากสีสันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือน ลานน้ำพุสีขาวบริสุทธิ์พร้อมกับเสียงจ๊อกแจ๊กของน้ำที่ไหลมาเป็นระยะทำให้เธอรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก

    “ว้าว” คำแรกที่เล็ดลอดผ่านริมฝีปากกลีบกุหลาบได้รูปเบาๆ ความจริงเธอก็เคยเห็นสวนที่สวยงดงามอย่างนี้มานักต่อนักแล้ว แต่ทว่าไม่เคยเจอที่ไหนงดงามเป็นธรรมชาติและให้ความรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนเลย
    ระหว่างที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้าอยู่นั้นเอง เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกเธอให้หันกลับมามอง

    “ระวัง!”

    สิ้นคำความเจ็บแปลบก็กระจายไปทั่วร่าง รู้สึกได้ว่าวัตถุกลมๆ อย่างหนึ่งพุ่งเข้ามากระแทกศีรษะเธออย่างจัง! สมองของเธอมึนงงสับสนไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลง...

    + + + + + +

    “คุณ...คุณ? เป็นอะไรรึเปล่า?” แพขนตางอนหนาขยับขึ้นลงช้าๆ ก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็วเมื่อแสงสว่างวาบแผดเข้าตา

    ชั้นอยู่ที่ไหนเนี่ย...?

    คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจ มือเรียวสวยเอื้อมปัดเส้นผมยาวสีทองที่หล่นมาเคลียหน้า ก่อนจะเผลอตัวครางออกมาเบาๆ

    ภาพแรกที่แว่บเข้าคลองจักษุคือร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้เธอ เรือนผมสีน้ำตาลและดวงหน้าคมเข้มนั้นดูคุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก

    “คุณ...ไม่เป็นไรใช่ไหม?” คราวนี้เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาอย่างครบครัน คางาริก็คว้าเอาของที่อยู่ใกล้มือที่สุด (ซึ่งกลายเป็นหมอนหนุนสีขาวสะอาดข้างตัวเธอนั่นแหละ) จับโยนใส่ชายหนุ่มตรงหน้าทันที!

    ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน มือกร้านถูกยกขึ้นรวบหมอนตรงหน้าไว้ได้อย่างพอดิบพอดี ก่อนร่างสูงจะเบี่ยงตัวหลบอาวุธสงคราม(?)อื่นๆ ที่ถูกส่งตามมา

    “หวา~ นี่คุณคิดจะทำอะไรผมเนี่ย!!”

    “เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน!” คางาริหยุดการกระทำที่ว่าลงทันที เมื่อเห็นดวงหน้าของบุรุษแปลกหน้าชัดๆ ทุกอย่างดูละม้ายคล้ายคลึงภาพในความทรงจำเหลือเกิน ทั้งเรือนผมสีน้ำตาลระต้นคอและนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ฉายประกายอ่อนโยนนั่นด้วย

    ใช้เวลาตีความพักหนึ่ง ก่อนขากรรไกรของหญิงสาวจะตกลง เผลอตะโกนออกมาอย่างลืมตัว

    “นาย...ผู้ชายที่เจอเมื่อวาน!”

    นายคนนั้นยื่นหน้าออกมาจากหมอนใบเล็กในอ้อมแขนที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันชั่วคราวช้าๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่ว

    “ผมปลอดภัยแล้วใช่ไหม?”

    ท่าทางความปลอดภัยของเขาจะแจ่มชัดอยู่แล้ว เมื่อสาวน้อยผมทองเอื้อมมือมาคว้าไหล่เขาแน่น ก่อนจะเขย่ามันไปมาอย่างแรง!

    “นายคือผู้ชายคนเมื่อวานจริงๆ ด้วย! มาทำอะไรที่นี่เนี่ย!?”

    ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ

    "เอ่อ...ผมยังไม่อยากหัวหลุดจากบ่านะครับ..."

    หญิงสาวชะงักมือทันที ใบหน้าเนียนสวยเริ่มขึ้นสีวาบ ก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะแหะๆ พลางเอ่ยขอโทษแผ่วเบา

    “อ่า โทษที...ชั้นจำนายไม่ได้แนะ...” เธอฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันช้าๆ เมื่อนึกขึ้นได้

    “เฮ้ เดี๋ยว! นายยังไม่ได้ตอบคำถามชั้นเลย โอ๊ย!” ร่างบางหยุดพูดทันควันเมื่อความรู้สึกเจ็บแปลบข้างหัวแล่นเข้ามาในสมอง

    “ผมต้องขอโทษจริงๆ นะ” เขาพูดพลางตวัดสายตามองบริเวณขมับข้างศีรษะนั้นด้วยแววตาสำนึกผิด

    “ตอนนั้นเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็เกิดทำลูกบอลหลุดมือจนไปกระแทกหัวคุณเข้า...” ชายหนุ่มอธิบายต่อไป พลางวางถุงน้ำแข็งประคบลงบนศีรษะเธอเบาๆ

    คางาริผ่อนลมหายใจแผ่วเมื่อความเย็นจากถุงน้ำแข็งเริ่มแผ่ไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดจึงค่อยบรรเทาลง เธอจึงเริ่มสอดส่องสายตาสำรวจรอบห้องด้วยความสนใจใคร่รู้

    ห้องพักขนาดใหญ่ถูกฉาบด้วยสีม่วงลาเวนเดอร์อ่อนๆ สีเดียวกับผ้าปูที่นอนของเธอทำให้บรรยายกาศรอบห้องดูสดใส หน้าตาใบใหญ่เปิดกว้างรับสายลมเย็นยามบ่ายได้อย่างเต็มที่ มุมห้องถูกประดับด้วยตู้ไม้เก็บของโบราณขนาดใหญ่ดูหรูหรามีราคายิ่ง

    “ที่นี่...ที่ไหนกัน?” เสียงหวานเอ่ยถามเบาๆ

    “หือ? ตอนนี้คุณอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไคลน์น่ะ” ทันทีที่ได้รับคำตอบ ร่างบางก็ผุดลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความรวดเร็ว

    “ตายแล้ว แล้วช่อดอกไม้นั่นไปอยู่ไหนแล้วล่ะ! ชั้นต้องรีบออกไปจากที่นี่! เดี๋ยวนี้!!” เธอร้องโวยวายเสียงลั่น พร้อมๆ กับภาพจินตนาการของลักซ์ ไคลน์จะฉายขึ้นในสมอง สภาพของหญิงสาวหยิ่งยโสในชุดราตรีเลอค่าดูงดงาม หรูหราสมกับตำแหน่งของเจ้าตัว จมูกโด่งเป็นสันที่ถูกเชิดขึ้นเล็กน้อย กำลังก้าวเดินลงบันไดเวียนยาวอย่างสง่างามขณะที่เจ้าหล่อนส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามตรงมาที่เธอจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ...

    แค่นึกก็สยองแล้ว! ชั้นต้องรีบให้ช่อดอกไม้ยัยคุณหนูนั่นตอนนี้และเดี๋ยวนี้! จะได้เผ่นจากคฤหาสน์บ้าๆ นี่เสียที!!

    ปฏิกิริยาของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงงพักหนึ่ง

    “อะไรนะ...?” แต่แล้วเขาก็ต้องร้องอ๋อในใจเมื่อเห็นเครื่องแบบ ZAFT เต็มยศที่เธอใส่อยู่

    ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ อย่างนึกสังเวชตัวเองในใจ “ผมน่าจะรู้ได้นานแล้ว...”

    “รู้อะไร ยังไง?” คางาริหมุนตัวกลับมามองหน้าคนพูดลอยๆ ด้วยความสงสัย ซึ่งเขาก็ขยับรอยยิ้มบางเบามาที่เธอก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว

    “เลขาฯ คนใหม่ของอัสรันคือเธอเองสินะ” หญิงสาวยืนอึ้งไปสักพัก ก่อนขยับริมฝีปากถาม

    “ทำไมถึง...”

    ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนขยับตัวลุกขึ้นไปที่หัวเตียงพร้อมกับหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งส่งมาที่เธอ เป็นภาพของเด็กชายสองคนกำลังยิ้มหัวเราะให้กันอย่างสนุกสนาน คนหนึ่งในนั้นก็คือเด็กชายวัยรุ่นผู้มีผมสีน้ำตาล ไม่บอกก็รู้ คือคนที่เธอยืนคุยด้วยอยู่นี่แหละ...แต่ไอ้คนที่อยู่ข้างๆ นี่สิ ทำเอาเธอแทบสะอึก...

    ภาพของเด็กชายวัยเดียวกัน เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มและนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่เธอคุ้นเคย…อย่างยิ่ง!

    อัสรัน ซาล่า!! พระเจ้าทรงโปรด หมอนี่กำลังหัวเราะ...หัวเราะจริงๆ !!! ภาพถ่ายนี่น่าจะเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้วได้ แต่ทำไม...

    “นาย...เป็นใครกันแน่...?” เธอเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังผายมือมาที่เธอพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

    “ผมชื่อคิระ ยามาโตะ เป็นเพื่อนสนิทของอัสรันครับ” นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้าง ถลึงจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหู

    “ชั้นไม่อยู่ในอารมณ์จะมาล้อเล่นนะคะ คุณผู้ชาย!” แน่นอน...เธอไม่ได้หมายจะพูดล้อเล่นจริงๆ นั่นแหละ...คนนิสัยอย่างอัสรัน ซาล่าเนี่ยนะจะมีเพื่อนสนิทแบบนี้!?...ไม่มีทางซะล่ะ ที่ผู้ชายจิตใจดี อ่อนโยนอย่างนี้จะเป็นเพื่อนรักที่สุดของหมอนั่น...

    พระเจ้าเล่นตลกแน่ๆ !!

    ชายหนุ่มที่ชื่อคิระหัวเราะหึเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงใส

    “ถึงอัสรันจะโหดร้ายกับเธอไปบ้าง แต่เขาก็มีด้านที่อ่อนโยนเหมือนกันนะรู้ไหม?”

    คางาริกลอกตาไปมาก่อนขยับปากขมุบขมิบอ่านได้แทบจะทันทีว่า “น่าเชื่อตายล่ะ!”

    “เธอชื่ออะไรงั้นเหรอ?” คิระเอ่ยถาม

    “คางาริ...คางาริ ยูละ” เธอตอบกลับ แล้วรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏฉายบนใบหน้าคมคายอีกครั้ง

    “มาพบลักซ์ใช่ไหม?” คำถามที่สะกิดใจคนฟังอย่างแรง ภาพวีดีโอเทปม้วนเดิมย้อนฉายซ้ำอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ

    เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน!!

    “แน่นอนอยู่แล้ว...”

    คางาริเดินสาวเท้าลงบนพื้นพรมอ่อนนุ่มสีชมพูอ่อนเบาๆ ขณะที่เธอเดินตามชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าไปช้าๆ พลางเหลือบสายตาชื่นชมภาพเขียนรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ภาพสีน้ำมันอันงดงามทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าจะให้เธอประมาณราคาละก็ เธอแทบจะฟันธงลงไปได้ทันทีเลยว่าราคาคงไม่ต่ำกว่าแสนแน่นอน

    ความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาระยะหนึ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างไรชอบกล ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะพูดทำลายบรรยากาศตึงเครียดนั่น

    “นี่คิระ...คุณหนูลักซ์เนี่ยเป็นคนยังไงเหรอ?”

    “หือ?” ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับมาสบตาเธอทันที ก่อนจะเอ่ยตอบทันทีโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด

    “ลักซ์เป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ” ในเวลาชั่ววูบคางาริมั่นใจว่าเธอเห็นประกายสุกใสเจืออยู่ในแววตาสีม่วงอเมธิสต์อันแสนอ่อนโยนนั่นแน่ๆ

    “เธอเป็นทั้งนักร้องที่มีชื่อเสียงและเป็นนักมนุษยวิทยาในเวลาเดียวกัน ทุกๆ คนใน PLANT ต่างก็รักเธอกันทั้งนั้น เธอเป็นคนที่ทั้งสวยและอ่อนโยน...นั่นแหละลักซ์ล่ะ”

    คำอธิบายอย่างชื่นชมของคิระทำเอาคนฟังต้องตะลึงรอบสอง ยังไงเธอก็นึกภาพหญิงสาวสวย...ใส ซื่อ บริสุทธิ์มายืนเป็นคู่ชีวิตของประธานซาล่าไม่ออกเลยจริงๆ ...ไม่สิ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยมากกว่า! ก็การที่ลักซ์ ไคลน์ผู้งดงามเปรียบดังเทพธิดาคนนั้นจะมารับมือคนที่ ‘ชั่วร้าย’ สุดๆ อย่างอัสรัน ซาล่าน่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!!

    หลังจากเดินทางมาเป็นระยะเวลานาน ในที่สุดคิระก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ พลางหันหน้ากลับมาหาคางาริอีกครั้ง

    “ลักซ์จะเป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดเท่าที่เธอจะเคยพบ อย่ากังวลเลยนะ” เขาพูดพร้อมกับระบายรอยยิ้มอ่อนโยนปลอบใจเธออีกครั้ง

    “อืม...นั่นสินะ ขอบใจ” คางาริเอ่ยตอบตะกุกตะกัก รู้สึกได้ว่าใบหน้าของเธอเริ่มร้อนผ่าวทันทีเมื่อชายหนุ่มส่งรอยยิ้มมาให้ จนเธอเองชักจะสงสัยว่าคงขึ้นสีแดงระเรื่อแล้วเป็นแน่แท้ หญิงสาวจึงหลุบสายตาลงต่ำจ้องมองเท้าตัวเองเป็นการแก้เขิน

    มือใหญ่ถูกยกขึ้นก่อนบรรจงเคาะประตูเสียงเบา ชั่วเวลานั่นเองที่เสียงกังวานใสไพเราะที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินจะดังขึ้น

    “เข้ามาได้เลยค่ะ”

    หลังจากที่ประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้าถูกเปิดกว้างออก ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำเอาคางาริถึงกับอ้าปากค้าง... กิตติศัพท์ปานเทพธิดาของลักซ์ ไคลน์ที่เธอได้ยินมาดูท่าจะใช้ไม่ได้จริงๆ...

    ก็ภาพที่เธอเห็นอยู่น่ะ มันยิ่งกว่านางอัปสรสวรรค์เสียอีกนี่นา!!

    หญิงสาวร่างบางระหงกำลังนั่งพับเพียบรอเธออยู่กลางห้อง ชุดสีขาวบริสุทธิ์ปักลูกไม้แผ่กระจายล้อมร่างได้สัดส่วนของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ เส้นผมสลวยสีชมพูหวานถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึงกลางหลัง ผิวเนียนละเอียดขาวผ่องทำให้เธอดูเปล่งประกายเจิดจรัส งดงามเสียยิ่งกว่ารูปวาด! ล้อมรอบตัวเธอนั้นเต็มไปด้วยเด็กหลากหลายวัยประมาณ 10 คนได้ กำลังนอนเอนตัวราบกับพื้นเหมือนกำลังรอฟังอะไรสักอย่างจากเธออยู่ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่สวยหันมาสบตาเธอและคิระ พร้อมกับรอยยิ้มหวานต้อนรับอย่างอบอุ่น

    “ชั้นดีใจเหลือเกินที่คุณไม่เป็นไรแล้วนะคะ คุณคางาริ” เสียงไพเราะเสนาะหูกล่าวทัก ทำเอาคนถูกทักถึงกับนิ่งเงียบพูดไม่ออกไปในบัลดล

    “เอ่อ.....อ่าค่ะ...”

    ลักซ์ก้มหน้าลงมองเด็กๆ ข้างตัวก่อนจะเอ่ยแนะนำเธอเสียงใส

    “เด็กๆ จ๊ะ วันนี้พวกเรามีแขกมาใหม่นะ เธอชื่อคุณคางาริจ๊ะ” สิ้นคำกล่าวเด็กๆ ทั้งหลายต่างก็ผุดลุกขึ้นวิ่งกรูกันไปทักทายสาวน้อยผมทองที่บัดนี้หน้าขึ้นสีไปเรียบร้อยแล้วด้วยความสนอกสนใจ

    “ผมชื่อ แมทนะครับพี่คางาริ!” เด็กชายตัวเล็กผมสีบลอนด์ทองเอ่ยทักขึ้นเป็นคนแรก

    “หนูชื่อมาเรียค่ะ!” เด็กสาวผู้มีเรือนผมดำสนิทที่ถูกรวบเป็นหางม้าตะโกนแข่งพลางกระโดดหยองแยง

    ท่าทางกระตือรือร้นของเด็กๆ เหล่านั้นทำเอาคนที่เดิมประหม่าอยู่แล้วยิ่งประหม่าเข้าไปอีก เหล่าเด็กน้อยที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสากำลังฉีกยิ้มแก้มปริต้อนรับเธอด้วยความยินดี...แต่ทว่าเธอกับมองเห็นประกายบางอย่างเจืออยู่ในแววตาอันสดใสของพวกเขาเหล่านั้นด้วย...

    “เอาล่ะนะเด็กๆ” คิระเอ่ยเรียก

    “ออกไปเล่นข้างนอกกันดีกว่าไหม?” เด็กทั้งหลายรีบพยักหน้าแทบไม่ทัน ก่อนวิ่งกรูกันเข้าไปหา ‘คุณพี่คิระ’ ที่กำลังเปิดกระจกเลื่อนบานใสแจ๋วออกพร้อมกับเดินนำไปยังสนามหญ้าข้างหลังบ้าน

    ความโล่งใจเกิดขึ้นในทันที ขณะที่คางาริกำลังจะเดินตรงเข้าไปหาลักซ์เธอก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงดึงเบาๆ บริเวณชายเสื้อ เมื่อหันกลับมาก็พบเด็กสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีม่วงลาเวนเดอร์กำลังใช้สายตาสีเขียวมรกตที่เธอรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ จ้องมองมาที่เธอ สาวน้อยคนนี้อยู่ในชุดกระโปรงจีบสีแดงสดประดับด้วยริบบิ้นเส้นเล็กๆ สีขาวดูน่ารักน่าชังยิ่ง

    ความเอ็นดูผุดขึ้นในใจ ก่อนร่างบางจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างเด็กน้อยช้าๆ

    “ไงจ๊ะ” คางาริเอ่ยทักเด็กสาวเสียงเบาๆ ก่อนขยับมือไปลูบไล้เสื้อผ้าฟูฟ่องแสนน่ารักของเด็กสาวเล่นด้วยความสนใจ
    นัยน์ตาสีเขียวมรกตส่องประกายระริกขณะที่เจ้าหนูตัวน้อยเงยใบหน้าขาวขึ้นสบตาเธอตรงๆ

    “คุณรู้จักพี่ชายหนูใช่ไหมคะ?”

    คางาริกะพริบตาถี่ๆ เป็นคำตอบ

    “พี่ชายหนูงั้นเหรอ?”

    “พี่เขาทำงานที่ ZAFT น่ะค่ะ”

    คางาริหลุบตาลงมองชุดเครื่องแบบที่เธอใส่อยู่ก่อนส่ายหน้าเบาๆ “ขอโทษนะ พี่เพิ่งจะมาใหม่ ไม่รู้จักใครเท่าไหร่หรอก”

    ตอนนั้นลักซ์เพิ่งจะเดินออกมาจากครัวพร้อมกับน้ำชาและขนมปังกรอบในมือพอดี หญิงสาวชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะวางถาดขนมลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีและเดินตรงเข้ามาหาเธออย่างแช่มช้า

    เด็กสาวคนนั้นถอนหายใจเบาๆ ก่อนขยับรอยยิ้มกว้างขึ้นฉายแทน

    “แต่ยังไง...ช่วยรับนี่ไว้ด้วยนะคะ”

    ดอกเดซี่สีหวานถูกยื่นส่งมาให้เธอ คางาริมองดอกไม้สีสวยในมือก่อนตวัดสายตากลับไปมองลักซ์ซึ่งพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็ยิ้มเบาๆ

    “แล้วพี่จะหาทางเอาไปให้พี่ชายหนูแล้วกันนะ”

    เด็กสาวตัวน้อยฉีกยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนร่างกลมๆ จะวิ่งพรวดตามเพื่อนๆ ออกไปยังสวนหลังบ้าน คางาริมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนคิ้วบางจะเริ่มมุ่นเข้าหากัน

    “แล้วชั้นจะไปหาพี่ชายของหนูได้ที่ไหนกันล่ะเนี่ย?”

    “คุณรู้จักพี่ชายของเธอดีทีเดียวล่ะค่ะ” เสียงใสๆ ที่เอ่ยตอบทำให้เธอต้องหมุนตัวกลับไปมองคนพูดทันที

    “หมายความว่ายังไง? แล้วเด็กคนนั้นชื่ออะไรเหรอคะ?”

    ลักซ์ขยับรอยยิ้มบางส่งมาให้เธอ ก่อนเอ่ยตอบช้าชัด

    “ลีนัวร์ค่ะ...ลีนัวร์ ซาล่า...”

    ---------------------------------To Be Continued...
  8. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    CHAPTER 6 -- ระหว่างน้ำชายามบ่าย

    บรรยากาศรอบด้านดูขมุกขมัวไปหมด ท้องนภายามค่ำคืนเริ่มหม่นมองพร้อมกับหยาดน้ำฟ้าเย็นฉ่ำที่ค่อยๆ รินไหลลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดหย่อน สายลมหวีดหวิวกรรโชกแรงเริ่มก่อตัวหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ

    เหล่าธรรมชาติช่างไม่ปราณีเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังวิ่งตากฝนพลางสอดส่องสายตาหาที่กำบังเลยแม้แต่น้อย เด็กชายวิ่งผ่านถนนอันชื้นแฉะพลางใช้มือเล็กๆ ของเขาบังตัวให้เปียกน้อยที่สุด ในใจนึกหงุดหงิดอยู่นิดๆ ที่ตัวเองไม่ได้เตรียมพกร่มมาด้วย

    “ข่าวด่วนขณะนี้ : Junius Seven หลุดจากแรงดึงดูดและระเบิดออกเมื่อเวลา 12 : 05 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น จำนวนผู้เสียชีวิตยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดในขณะนี้ แต่มีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งได้หลบหนีมาพร้อมกับยานกู้ชีพแล้ว”

    “ส่วนสาเหตุของการระเบิดยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด...”


    หลังจากฟังประกาศข่าว เส้นเลือดที่ไหววนอยู่ในร่างกายพลันเย็บเฉียบ เด็กหนุ่มชะงักฝีเท้าทันที นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยเบิกกว้างตวัดจ้องกลับไปยังจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เบื้องหน้า

    ภาพการระเบิดของ Junius Seven ถูกฉายให้เขาเห็นต่อหน้าต่อตา!

    “ท่านแม่...” เสียงแหบพร่าเล็ดรอดริมฝีปากบางได้รูปเบาๆ โดยไม่เสียเวลาคิดแม้ซักนาที เด็กชายรีบวิ่งรุดไปยังท่าอากาศยานอวกาศที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

    เขารู้สึกได้ถึงหยาดน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลคลออยู่เต็มเบ้าขณะที่เจ้าตัวเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ขาทั้งสองข้างทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนโรยไปหมดจนแทบจะวิ่งต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ทว่าความรู้สึกอัดแน่นที่สุมอยู่ในจิตใจกลับทำให้เขาต้องวิ่งต่อไป

    นี่เป็นความฝันใช่ไหม...!? ใช่ไหม!? ใช่สิ นี่เป็นความฝันแน่ๆ อัสรัน! ตื่นเดี๋ยวนี้!!

    ถ้อยคำพูดเดิมๆ วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับคำพร่ำภาวนาในใจที่เฝ้าพึงอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้า...

    ขอร้อง แค่คนๆ เดียวเท่านั้น...คนเดียวเท่านั้น...

    ท่านแม่...! ท่านแม่!!


    อัสรันวิ่งพรวดเจ้าไปในท่าอากาศยานเบื้องหน้าทันที เหล่าสื่อมวลชนหลากหลายคนรีบกรูเข้ามาขอสัมภาษณ์เขากันยกใหญ่ ที่นี่คือที่ๆ เหล่ายานกู้ชีพมาลงจอดไว้ เด็กหนุ่มรีบเอี้ยวตัวหลบพลางปาดน้ำตาที่ไหลคลอเบ้าสองข้างออกทันที เมื่อสายตาไปสะดุดอยู่กับร่างหนึ่งที่คุ้นเคย

    ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยกลางคนยืนอยู่เบื้องหน้า เขาอยู่ในชุดสีม่วงลาเวนเดอร์ขลิบด้วยสีทองและสีดำ...เครื่องแบบยศสูงสุดของ ZAFT! ชายคนนั้นเดินแยกหลบเข้าไปในทางเดินยาวสีขาวผ่านประตูอัตโนมัติบานใหญ่พร้อมกับการ์ดคุ้มกันจำนวนหนึ่ง

    อัสรันตัดสินใจเดินสาวเท้าตามบุรุษสูงวัยผู้นั้นไปอย่างรีบเร่ง

    ห้องสีขาวขนาดใหญ่ที่เขาเดินเข้าไปนั้นมียานกู้ชีพเพียงสองลำจอดเทียบท่าอยู่ บรรยากาศรอบด้านนั้นเงียบสงัด นอกจากเสียงเด็กทารกที่ไม่รู้เรื่องราวกำลังแผดร้องไห้จ้าเท่านั้น

    เด็กหนุ่มวิ่งพรวดเข้าไปหาผู้อาวุโสกว่าตรงหน้าทันที

    “ท่านพ่อ!” เด็กชายวัย 17 ปีเอ่ยเรียกขณะเอื้อมมือกร้านไปคว้าแขนผู้เป็นบิดาไว้แน่น พลางโวยวายเสียงลั่น

    “ท่านพ่อ! ท่ามแม่อยู่ที่นั่น!! ที่ Junius Seven!! ท่านบอกผมว่าอยากจะไปหาชีวิตสงบๆ ห่างไกลจาก Aprilius One แค่พักหนึ่งเท่านั้น! ท่านพ่อ ท่านแม่ยังปลอดภัยดีใช่ไหม! ใช่ไหมครับ!?” เด็กชายตะโกนโหวกเหวก ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำลายความเงียบและบรรยากาศตึงเครียดทั้งมวลลง

    แพทริก ซาล่า บุรุษผู้เป็นทั้งพ่อบังเกิดเกล้าและประธานสภาในขณะนั้นตัวสั่นเทิ้มด้วยโทสะ หยาดน้ำใสๆ ไหลเอ่อเต็มสองตา ชายผู้ทรงคุณวุฒิสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์

    เขาเบือนหน้าอันเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามาหาบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาช้าๆ ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

    “อัสรัน...แม่ของลูก ลีนัวร์...เธอ…ตายแล้ว...”

    .......ไม่จริง!...ท่านพ่อโกหก...ท่านแม่...

    ท่านแม่…!!


    “ไม่!” นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันเบิกกว้างทันที! ร่างสูงสะดุ้งตื่นขึ้นทันควัน มือกร้านจะถูกยกขึ้นเสยเส้นผมเล็กละเอียดสีน้ำเงินที่โชกไปด้วยเหงื่อพลางปรับลมหายใจให้เป็นปกติอีกครั้ง อัสรันถอนหายใจแผ่วเบา

    นี่เรา...หลับไปหรือนี่...

    ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองหลังจากความทรงจำอันโหดร้ายผ่านไป ชายหนุ่มเกลียดตัวเองในเวลานี้ที่สุด...เขาแอบงีบงั้นหรือนี่!? ตลอดชีวิตการทำงานของเขา อัสรันไม่เคยแอบงีบหลับระหว่างทำงานมาก่อนเลย

    ประธานสภาแห่ง ZAFT ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนตวัดนัยน์ตาคู่สวยกลับไปมองนาฬิกาดิจิตอลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวบางตรงหน้าอีกครั้ง...เวลา 9 : 35 นาฬิกาแล้ว...

    นี่ชั้นเผลอหลับไปได้ 5 นาทีเต็มๆ เชียวหรือนี่!? บ้าชิบ...

    เขาคิดอย่างหัวเสีย ก่อนเอนตัวลงบนเก้าอี้บุนวมสีดำสนิทตัวเดิมพลางหลับตาลงช้าๆ

    ท่านแม่....

    ใช่...เขายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...เนเชอรัล...สาเหตุสำคัญที่ทำให้บุพการีอันเป็นที่รักยิ่งของเขาต้องตาย...

    ความคิดวูบหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวก่อนจะตวัดสายตากลับไปที่ปฏิทินอันเล็กๆ บนหน้าจออีกครั้ง รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนใบหน้าคมคาย ก่อนน้ำเสียงอ่อนโยนจะแว่วตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

    “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ...ผมไม่มีทางลืมวันเกิดท่านอยู่แล้ว...”

    + + + + + +

    “เธอ...หมายความว่ายังไง?” ถ้อยคำตะกุกตะกักถูกเรียบเรียงขึ้นอย่างยากลำบาก เนื่องจากสมองผู้พูดบัดนี้มึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอะไรจากตรงไหนก่อนดี

    ใครที่ไหนมันจะไปเชื่อล่ะว่า ประธานซาล่าแห่ง ZAFT มีน้องสาวที่แสนน่ารัก ใส ซื่อ บริสุทธิ์อย่างนั้น!!!

    ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวจริงๆ....

    ลักซ์หัวเราะคิกคักกับอากัปกิริยาของคู่สนทนา ก่อนเสียงหวานจะเอ่ยตามมา

    “จริงสิ รับน้ำชาก่อนไหมคะ?” ขาดคำเธอก็เอื้อมมือไปหยิบแก้วกระเบื้องเนื้อดีเคลือบสีลายดอกไม้กุ๊กกิ๊กมาตรงหน้า มือเรียวสวยรินชาจีนหอมกรุ่นลงไปอย่างเบามือ ก่อนเลื่อนแก้วสีขาวใบเล็กนั่นให้หญิงสาวผมทองที่นั่งตรงข้ามพร้อมกับรอยยิ้ม พลางเบนนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลเหม่อมองทิวทัศน์ภายนอกคฤหาสน์อย่างสบายอารมณ์

    “เอ่อ คุณหนูไคลน์คะ คุณหมายความว่ายังไงเรื่องลีนัวร์เป็นน้องสาวของท่านประธานซาล่าน่ะ” คางาริกล่าวเริ่มบทสนทนา

    รอยยิ้มหวานระบายประดับใบหน้างดงามทันที

    “เรียกดิฉันว่าลักซ์เฉยๆ ดีกว่าค่ะ” คำกล่าวที่คนฟังชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย

    ลักซ์ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบข้อสงสัยเนิบๆ

    “อย่างที่คุณคางาริเข้าใจแหละค่ะ ลีนัวร์เป็นน้องสาวของอัสรัน...และเป็นแม่ของเขาด้วย”

    คนที่การประมวลผลน้อยมันก็ยังน้อยอยู่เหมือนเดิม เพราะไอ้สมองฝืดๆ นั่นตีความคำพูดคลุมเครือที่ส่งมาให้ไม่ออกเลยซักนิดเดียว

    “เอ่อ...อะไรนะคะ!?”

    “ผู้หญิงที่ชื่อลีนัวร์ ซาล่าน่ะ จริงๆ เป็นคุณแม่ของอัสรันน่ะค่ะ เธอไปพักร้อนอยู่บน Junius Seven ตอนที่เกิดเหตุระเบิด” หญิงสาวอธิบายเสียงแผ่ว

    “นั่นเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของอัสรันเลยก็ว่าได้ค่ะ เขาสูญเสียความหวังทุกอย่าง และไม่เคยยิ้มอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา ชีวิตเขาก็เหมือนกับตุ๊กตาที่อยู่ไปวันๆ โดยปราศจากความรู้สึก ราวกับ...ราวกับว่า...” ผู้พูดหยุดเล็กน้อย ก่อนยกมือไปวางไว้แนบอกพลางหลับตาลงช้าๆ

    “เขา...สูญเสียหัวใจไปแล้ว...”

    คำกล่าวนั้นเรียกความรู้สึกเจ็บแปลบแปลกๆ แล่นกระทบจิตใจคนฟังทันที แน่นอน ถึงแม้คางาริจะเกลียดชังอัสรัน ซาล่าขนาดไหนก็ตาม แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกนั้นดีว่า...การสูญเสียใครสักคนที่เรารักมากนั้น...มันเจ็บปวดเพียงใด...

    “นับแต่นั้นมา คุณพ่อของเขาก็เอาแต่จมปลักอยู่กับงาน เพื่อที่จะลืมเรื่องการสูญเสียภรรยาของเขา คุณลีนัวร์เป็นคนอ่อนโยนมากๆ ค่ะ เธอเปรียบเสมือนแสงสว่างของครอบครัว เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี”

    หญิงสาวตวัดนัยน์ตาสีฟ้าใสทอดมองภาพคิระกำลังเป็นกับพวกเด็กๆ นอกหน้าต่างบานใหญ่ในห้องรับแขกด้วยรอยยิ้มบางเบา

    “แล้ววันหนึ่ง อัสรันเกิดไปสะดุดกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเข้า เขาเห็นรูปเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักผู้มีผมสีม่วงอ่อนและนัยน์ตาสีเขียวสดใสเข้าค่ะ เธอเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดนั้น แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถสืบค้นประวัติใดๆ ของเธอได้ ดังนั้นอัสรันจึงตัดสินใจรับเธอไว้ในอุปการะตั้งแต่ตอนที่เขาดำรงตำแหน่งประธานสภา” เธอยังคงอธิบายต่อไป

    “เขาพาเธอมาหาชั้นที่นี่ค่ะ เพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กเลยสักนิด ชั้นจึงยินดีที่จะดูแลเธอ พร้อมๆ กับคิระ ตอนนั้นเราทำเอกสารกัน แล้วอัสรันก็เป็นคนตั้งชื่อให้เธอค่ะ...”

    “ลีนัวร์...ลีนัวร์ ซาล่างั้นหรือ?” คางาริอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    ลักซ์พยักหน้ารับ “ลีนัวร์ ซาล่า...ตัวแทนแห่งความทรงจำของคุณแม่ที่รักยิ่งของเขา...หญิงสาวผู้ละม้ายคล้ายคลึงกับเธอราวกับพิมพ์เดียวกันไงคะ...”

    “แล้ว...ลีนัวร์รู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

    “รู้สิคะ” สิ้นคำตอบทุกอย่างก็พลันเงียบสนิทลงอีกครั้ง คางาริทบทวนคำกล่าวของลักซ์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แม้กระนั้นส่วนหนึ่งในจิตใจเธอก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าคนชั่วร้ายอย่างอัสรัน ซาล่าจะยอมรับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมาไว้ในอุปการะ

    มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำแต่ว่า...มันก็เป็นความจริง...

    นัยน์ตาสีอำพันเหลือบมองเด็กสาวตัวน้อยในชุดกระโปรงบานแฉ่งนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มบาง ลีนัวร์กำลังนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้นหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่ อ่านหนังสือนิทานเล่มหนาอยู่เพียงลำพัง รอยยิ้มสดใสประดับแต้มใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น รอยยิ้มที่คล้ายคลึงกับในความทรงจำของเธอเหลือเกิน...เหมือนรอยยิ้มหาดูยากที่เขา...อัสรัน ซาล่าเคยยิ้มให้เธอ...

    “เล่าเรื่องของคุณให้ชั้นฟังบ้างได้ไหมคะ คุณคางาริ” เสียงหวานใสของคุณหนูตระกูลไคลน์ดังขึ้นทำเอาเธอหลุดจากภวังค์ในทันใด สาวน้อยผมทองทำหน้าตาหรอหราอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเล่าประวัติเดิมๆ ที่เธอสร้างขึ้นให้สตรีหน้าหวานฟัง

    คางาริเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่คิซากะพบตัวเธอและรับเธอมาเป็นเด็กในอุปการะ พูดเรื่องที่ว่าเธอชอบอาหารรสจัดมากๆ ลักษณะนิสัยของเธอที่ใครๆ ชอบติเตียนว่ากระโดกกระเดกไม่เหมือนผู้หญิง รวมไปถึงการเกลียดการไว้ผมยาวและกระโปรงสั้นๆ โดยไม่รู้ตัวคางาริก็เผลอเล่าเรื่องต่างๆ ของเธอให้หญิงสาวตรงหน้าฟังจนหมดเปลือกเสียแล้ว! เหลือแต่เพียง ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของเธอเท่านั้นแหละ ที่ยังคงยั้งปากไว้...

    “คุณนี่น่าสนใจจริงๆ เลยนะคะ!” ลักซ์กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก

    คำชมตรงๆ ของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีชมพูปลั่ง

    “อ่า ชั้นว่าคำนั้นคงไม่เหมาะกับชั้นเท่าไหร่ละมั๊ง”

    สตรีร่างบางส่ายหน้าแผ่วเบา “แม้คุณจะดูแปลกไปบ้าง แต่ก็มีเสน่ห์น่ารักดีออกนะคะ”

    ใบหน้าที่แต่เดิมขึ้นสีเรื่อๆ อยู่แล้วยิ่งแดงหนักจนคนฟังต้องก้มหน้างุดๆ ยกน้ำชาขึ้นจิบทำท่าไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อน พลางเหลือบนัยน์ตาสีน้ำผึ้งไปมองหญิงสาวหน้าสวยตรงหน้าเป็นพักๆ

    ผู้หญิงคนนี้...เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจจริงๆ ...ตรงข้ามกับลักซ์ ไคลน์ที่ชั้นคิดไว้ลิบลับเลย!

    เธอคิดในใจ ก่อนจะเอ่ยเริ่มบทสนทนาใหม่บ้าง

    “ลักซ์ แล้วเรื่องของเธอล่ะ?” คนถูกเรียกชื่อชะงักเล็กน้อย ก่อนชี้นิ้วมาที่ตัวเองพลางเอียงคอถามเสียงใส

    “ชั้นเหรอคะ?” เธอนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

    “ชั้นชอบสีชมพูค่ะ”

    คำตอบที่คนถามต้องขยับยิ้ม “นั่นสิน่ะ เห็นชัดอยู่แล้วล่ะ” คางาริกล่าวปนขำๆ

    เลดี้ตระกูลไคลน์ยิ้มรับ ก่อนเริ่มเอ่ยประวัติย่อๆ ของตนเองบ้าง

    “คุณพ่อของชั้นชื่อซีเกล ไคลน์ค่ะ ส่วนคุณแม่ท่านเสียไปตั้งแต่ตอนที่ชั้นเกิดได้ไม่นาน ชั้นจึงเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องคนอื่นๆ เลยค่ะ” พูดพลางยกน้ำชาในแก้วกระเบื้องเคลือบเนื้อดีขึ้นจิบเบาๆ

    “ชั้นได้พบกับอัสรันและก็คิระตอนอายุ 5 ขวบได้มั้งคะ ตอนนั้นชั้นยังจำได้ดีเลยทีเดียว...” คำพูดหยุดช่วงหนึ่ง ก่อนเจ้าหล่อนจะหลับตาพริ้มด้วยสีหน้าชวนฝัน ในใจคงจะนึกย้อนไปถึงความทรงจำอันมีค่าในตอนนั้น

    “ตอนนั้นชั้นหลงทางในเมืองค่ะ พอเริ่มหาทางไปไม่เจอ ชั้นก็หยุดวิ่งและเริ่มร้องไห้โฮ จนกระทั่งมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา ถามว่าทำไมชั้นถึงร้องไห้ ชั้นจึงตอบเขาไปว่าชั้นหลงทาง เด็กคนนั้นยิ้มให้ชั้น ก่อนจะพูดปลอบว่า เขาจะเป็นคนพาชั้นไปส่งเอง ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย อย่าร้องไห้เลยนะ...”

    คางาริเบิกนัยน์ตากว้าง พลางเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม

    “แล้วเจ้าเด็กนั่นก็กลายเป็นอัส...เอ่อ ชั้นหมายถึง ประธานซาล่างั้นเหรอ!?” เธอล่ะนึกอยากหยิกตัวเองแรงๆ สักทีจริงๆ พอลักซ์เรียกตาประธานซาล่านั่นว่าอัสรันบ่อยๆ เข้า เธอเองก็ชักจะติดไปอีกคนเสียแล้วสิ…

    แน่นอนว่าหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้านี้ไม่ได้สะกิดใจกับคำพูดเธอแม้แต่น้อย เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนขยับรอยยิ้มกว้าง

    “ไม่ใช่ค่ะ เด็กผู้ชายคนนั้นคือคิระต่างหาก พอเขาพาชั้นกลับบ้าน คุณพ่อก็วิ่งเข้ามาโอบชั้นใหญ่เลย ปากก็พร่ำบอกแต่ว่าเขาเป็นห่วงชั้นมาก แต่พอชั้นจะหันไปเอ่ยขอบคุณเขา...คิระก็ไปเสียแล้ว...”

    “หลังจากนั้นอีก 5 ปีต่อมา ชั้นก็ได้พบกับคิระอีกครั้งค่ะ แต่ครั้งนี้มีอัสรันมาด้วย ตอนนั้นชั้นเดินทางไปเยี่ยมชม Lunar city เป็นครั้งแรก ชั้นตกใจมากเลยทีเดียวที่เขายังจำชั้นได้ แถมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ละเอียดยิบเสียด้วยสิคะ” เธอพูดพลางหัวเราะคิกคัก

    “แล้ว...ทำไมเขาถึงจำได้ล่ะ?” คางาริถามอย่างใคร่รู้

    “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

    “หา?”

    “เขาบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

    คางาริชักสีหน้าแหยเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยแซว “ก็สมเป็นหมอนั่นอยู่หรอก”

    “นั่นสินะคะ”

    “แล้วประธานซาล่าตอนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ” เธอเอ่ยถามต่อ โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างคนอยากรู้เต็มแก่

    ลักซ์เบือนสายตาลงมองช่อดอกไม้สีแดงสดข้างตัวพักหนึ่ง ก่อนแย้มริมฝีปากตอบ

    “อืม ตอนนั้นเขาก็เป็นเหมือนกับเจ้าชายเจ้าเสน่ห์น่ะค่ะ อีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับนักรบในชุดเกราะแสนสง่างาม”

    ใช้เวลาครู่หนึ่งในการกะพริบตาถี่ๆ เพื่อตีความข้อมูลที่ถูกส่งเข้ามา

    เจ้าชายเจ้าเสน่ห์งั้นเหรอ...เฮอะ! แกล้งทำล่ะสิไม่ว่า!

    ราวกับจะเดาความคิดเธอออก สาวน้อยหน้าหวานที่นั่งอยู่ตรงข้ามขยับยิ้มก่อนกล่าวเสียงใส

    “อัสรันเป็นคนสุขุมและสงบเสงี่ยมมากค่ะ ตอนที่ชั้นพบเขาครั้งแรก เขายิ้มให้ชั้นด้วย รอยยิ้มเดียวกับที่ละลายหัวใจสาวน้อยหลายต่อหลายคนมาแล้วนั่นแหละค่ะ”

    คราวนี้เล่นเอาคางาริแทบจะลำลักเลยทีเดียว

    อัสรัน ซาล่า....หมอนี่เป็นปีศาจแห่งการเสแสร้งจริงๆ เลยให้ตายสิ!!

    “จริงๆ แล้วอัสรันเป็นคนใจดีมากๆ เลยนะคะ เขามักจะรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเสมอ เขาเป็นคนฉลาด ทั้งยังอ่อนโยนมากอีกด้วย...”

    คราวนี้ไม่ต้องแทบจะล่ะ เธอไอโขลกๆ ออกมาดังๆ เลยทีเดียวเชียว

    ซะทีไหนกัน อีตาบ้านี่มันเป็นปีศาจต่างหากล่ะ! สร้างภาพหลอกลวงผู้คนแบบนี้...ปีศาจภาพหลอนชัดๆ!!

    “ชั้นยังรู้สึกตกใจไม่หายเลยนะคะที่เราทั้งคู่ได้หมั้นหมายกัน...ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

    “ใช่ๆ ไม่น่าเชื่อมากๆ เลยด้วย! คุณสองคนน่ะต่างกันอย่างชักฟ้ากับเหวแนะ ลักซ์เธอน่ะนะ...แสนจะดีแสนดี ส่วนหมอนั่น...ฮึ๋ย~ นรกส่งมาเกิดรึเปล่าก็ไม่รู้!” คำอธิบายของสาวผมทองทำเอาสตรีผมสีชมพูอดจะหัวเราะเบาๆ อย่างขันๆ เสียไม่ได้

    “แต่อัสรันเขาทำตัวน่ารักมากเวลาอยู่กับชั้นนะคะ” คำกล่าวที่แทบจะทำเอาคนฟังลำสักน้ำชารอบสอง

    “อะ....อะไรนะ!?” คางาริทวนคำไปอย่างไม่เชื่อหู แต่คุณหนูไคลน์กลับเพียงแค่ระบายรอยยิ้มหวานกลับมาอย่างมีเล่ห์นัยเท่านั้น

    “คุณคางาริล่ะคะ คุณคิดว่าอัสรันเป็นคนยังไงเหรอคะ?” สิ้นคำถาม แม่เจ้าประคุณก็ร่ายตอบแทบจะทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

    “ตาบ้านั่นน่ะงี่เง่า! นรกส่งมาเกิดจริงๆ!! ทั้งหยิ่งผยอง อวดดี เห็นแก่ตัว แถมยังปากเสียอีกด้วย...อ๊ะ ชั้นหมายถึง ...ไปนิดหนึ่งน่ะ” คางาริรีบหุบปากทันควัน เมื่อรู้ตัวว่ากล่าวหมิ่นประมาทคู่หมั้นของสาวสวยตรงหน้าไปเสียแล้ว แต่ลักซ์เพียงแค่อมยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อเรียบๆ

    “ถูกครึ่งเดียวค่ะ....”

    “ครึ่งเดียว...?” คางาริทวนถามอย่างงุนงงที่คู่สนทนากลับยอมรับถ้อยคำเหล่านั้นโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ เลยแม้แต่น้อย...แม้จะเพียงแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ...

    “ใช่ เพราะเธอลืมว่าเจ้าหมอนั่นน่ะเย็นชา ไร้ความรู้สึก แถมขีดแสดงอารมณ์ขันยังเป็น 0 อีกด้วยแน่ะ” เสียงห้าวๆ ที่แทรกขึ้นมาทำเอาคนฟังชะงักกึก เมื่อหญิงสาวทั้งสองหันไปยังที่มาของเสียงก็พบคิระที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้กำลังเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างสาวน้อยผมสีชมพูหวานเสียเฉยๆ

    “คิระ!” คางาริร้องเสียงหลง

    “อย่าใส่ใจมากนักเลยน่า คางาริ ผมล้อเล่นหรอก” คิระเอ่ยเย้า ขณะที่ลักซ์ต้องเบี่ยงตัวหลบไปกลั้นหัวเราะ

    คำกล่าวที่ทำเอาดวงหน้างามงอง้ำทันที “แหม! ชั้นอุตส่าห์ยอมรับแล้วเชียวนะ”

    คราวนี้ทั้งคู่ถึงกับหัวเราะฮาครืนพร้อมกันเลยทีเดียว

    “แต่ชั้นพูดจริงๆ นะคะ คุณคางาริ อัสรันไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ”

    + + + + + +

    “ฮัดเช่ย!!” เสียงจามดังๆ ที่เกิดขึ้นมิได้มาจากใครอื่น นอกจากชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินและดวงตาสีเขียวมรกตที่มักแฝงประกายดุๆ เอาจริงเอาจังอยู่เสมอคนนั้นนั่นเอง อัสรันถูสันจมูกไปมาอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะเรียกสมาธิให้กลับไปอยู่กับการตรวจตราสภาพหุ่นรบขนาดยักษ์ตรงหน้าเหมือนเดิม

    ซึ่งภาพเหตุการณ์นั้นก็หาได้รอดสายตาสองคู่หูจอมแสบที่ยืนทำหน้าที่เดียวกันอยู่ข้างๆ ไปไม่...

    “เคยมีคนบอกชั้นไว้ว่า ถ้าจู่ๆ นายเกิดจามขึ้นมาโดยที่ไม่ได้เป็นหวัดละก็ แสดงว่ามีคนเขากำลังนินทานายกันอยู่แน่ะ” นายทหารหนุ่มผิวสีแทนออกความคิดเห็น ทำให้เพื่อนที่แสนจริงจังทั้งสองคนหันขวับกลับมามองโดยมิได้นัดหมายด้วยสายตา ‘เอาเรื่อง’ คิ้วเข้มๆ ของคนถูกว่ากระทบเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแฝงความนัยเอาไว้ว่า...แกลองพูดมากกว่านี้ดูสิ...

    “แหม ชั้นก็แค่อยากจะช่วยให้บรรยากาศมันดีขึ้นเฉยๆ เองน่า!” ดีอัคก้าอุทธรณ์เบาๆ จริงอยู่ที่ตัวเขาเองชักจะเซ็งกับไอ้บรรยากาศตึงเครียดไร้การพูดจานี่เต็มแก่อยู่แล้ว

    โดยไม่ใส่ใจ อัสรันเพ่งสมาธิกลับไปที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในอัศวินสีแดงของเขาเหมือนเดิม แม้ว่าสงครามสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม แต่ ZAFT ก็ยังคงทำการทดลองและคิดค้นโมบิลสูทรุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ หากแต่ไม่ใช่เพื่อความรุนแรง แต่เพื่อเป็นหุ่นยนต์ใช้แรงงานในระบบอุตสาหกรรมต่างหาก...

    “น่าเสียดายจริงเชียวที่ชั้นไม่ได้อยู่ที่นั่นเมื่อวานนี้...ไม่งั้นคงจะได้ดูของดี” เสียงเย้าแหย่กลั้วหัวเราะอย่างนี้คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากอิซาค เจ้าผู้บัญชาการหัวหงอกคนนั้น...คำพูดนั้นท่าทางจะปลุกกระแสได้มากพอดู เพราะหลังจากจบประโยคดีอัคก้าก็หมุนตัวหลบไปกลั้นหัวเราะทันที ผิดกับอัสรันที่ยังคงตีหน้าเฉยทำงานตรงหน้าต่อไป

    คงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่อิซาคกำลังพูดอยู่คือเรื่องอะไร...

    “แล้วเค้กนั่นรสชาติเป็นไงบ้างอัสรัน ถูกปากไหม?” ผู้บัญชาการหนุ่มเอ่ยถามต่ออย่างกวนๆ ทำเอาคนที่กำลังกลับเป็นปกติต้องหลุดหัวเราะพรืดไปอีกระลอกอย่างอดไม่อยู่

    หากแต่ประธานสภาหนุ่มเพียงขยับยิ้ม ก่อนเอ่ยคำสั้น

    “อร่อยมาก”

    คำตอบที่ทำเอารอยยิ้มกว้างที่ฉายอยู่บนหน้าหุบลงทันควัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแทน ขณะที่ดีอัคก้าปล่อยก๊ากออกมาฮาใหญ่อย่างไม่เก็บงำความขันไว้อีกต่อไป แต่คราวนี้ขำคนละเรื่องกับคราวที่แล้ว

    แหม่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าอิซาคมันคิดอะไรอยู่...มันตั้งใจจะกวนอัสรันน่ะสิ...แต่ท่าทางจะเหลว...

    จริงอยู่ที่อัสรันค่อนข้างจะเป็นคนเคร่งเครียด ทุกอย่างในหัวมีแต่คำว่างานๆ ๆ ๆ เท่านั้น แถมเจ้าหมอนี่มันยังใจเย็นเป็นบ้า! ยั่วเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น...จะมีใครผิดมนุษย์มนาไปกว่ามันอีกไหมเนี่ย...!?

    เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มผมน้ำเงินก็หยุดชะงักพลางหมุนนาฬิกาข้อมือออกมาดู ก่อนเอ่ยเสียงเครียด

    “โทษที ชั้นคงต้องขอตัวก่อน ติดประชุมแน่ะ” พอพูดจบร่างสูงก็ผลุนผลันเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่กล่าวอะไรทิ้งท้ายต่อเลยแม้สักคำ...

    ดิอัคก้าเฝ้ามองร่างของเพื่อนสนิทเดินก้าวยาวๆ ออกจากห้องไปอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนวิจารณ์ออกมาเบาๆ

    “แปลก”

    คำสรุปสั้นที่คนกำลังอารมณ์บูดอย่างอิซาคผงกหัวตามทันทีโดยไม่ต้องคิด

    + + + + + +

    “โอ๊ยย ผมชั้น!! เลิกยุ่งกับผมชั้นเสียทีเถอะ ขอร้อง!!!.....นี่! ชั้นบอกให้ปล่อยผมชั้นยังไงล่ะ!!” หญิงสาวผมสีชมพูหวานกลั้นเสียงหัวเราะเบาๆ กับเสียงเอ็ดตะโรโวยวายของสาวน้อยผู้มาใหม่ตรงหน้าที่บัดนี้ถูกเหล่าเด็กน้อยรุมทำกิจกรรมต้อนรับกันเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความสนุกสนาน

    “อุ๊ยตายจริง!” เจ้าหล่อนอุทานเสียงเบา เมื่อเห็นหญิงสาวผมทองมิยอมศิโรราบง่ายๆ เธอจับตัวเด็กน้อยจอมซนเหล่านั้นมากองกับพื้นหญ้าพลางแหย่จั๊กจี้ทำโทษแทนเสียนี่!

    เรื่องนี้เป็นความต้องการของคางาริเอง ที่อยากจะใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ พวกนี้มากขึ้น จนสุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจจะเล่นวิ่งไล่จับกัน ทุกคนดูตื่นเต้นมากกับเกมส์และผู้มาใหม่ที่มาร่วมเล่นด้วย ตอนแรกก็ดูท่าจะเสียเปรียบอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว...

    นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลตวัดเหลือบไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัวที่เบือนหน้ามาสบตาสักพักทั้งรอยยิ้มขันๆ คิระพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปช่วยเป็นกำลังเสริมอีกแรง

    “โอยย ชั้นขอสาบานต่อหน้าพระเป็นเจ้าเลย! ชาตินี้หัวเด็ดตีนขาดยังไงชั้นจะไม่ยอมมีลูกเด็ดขาด!!” คางาริตะโกนก้องก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ร่างบางชะงักทันทีเมื่อเห็นมือใหญ่ถูกผายส่งมาให้เธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งไม่นานก็ต้องจางหายไปเป็นคำขอโทษเมื่อเห็นสภาพมอมแมนของหญิงสาวผมทองชัดๆ

    เหล่าเด็กๆ เริ่มมาตีวงล้อมเพื่อนเล่นคนใหม่ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

    “คางาริ? เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” แมทเอ่ยถามด้วยท่าทางสำนึกผิด

    “พวกเราขอโทษจริงๆ นะคะ” มาเรียเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตานองหน้า

    ปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าเด็กน้อยทำเอาคนที่ตวาดแหวร้องโวยวายอยู่เมื่อครู่นี้หุบปากฉับลงทันที ดวงหน้าหวานที่เคยงอง้ำหงุดหงิดขยับรอยยิ้มเจื่อนขึ้นแทนที่!

    นี่เราเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย...เรื่องแค่นี้ไม่สมควรต้องมาลงกับเด็กๆ พวกนี้เลยแท้ๆ

    ได้แต่นึกโทษตัวเองเบาๆ อยู่ในใจ ก่อนรอยยิ้มกว้างจะขยับระบายบนริมฝีปากกลีบกุหลาบพร้อมกับร่างบางที่กระโจนพรวดไปข้างหน้า

    “หนีให้ดีๆ ล่ะ ไม่งั้นสัตว์ประหลาดจะจับกินหมดจริงๆ ด้วย!!” สิ้นคำประกาศแม่เจ้าประคุณก็พุ่งตัวออกไปไล่ต้อนเด็กๆ ที่ส่งเสียงกรี๊ดพลางวิ่งหนีกันอุตลุดด้วยความสนุกสนาน ก่อนเสียงหัวเราะคิกคักจะดังขึ้นทั่วกันในเวลาต่อมา

    หลังจากวิ่งไล่อยู่นานจนเธอเกือบจะจับตัวแมทได้อยู่แล้วเชียว แต่ทว่าจู่ๆ ก็มีแรงดึงเสื้อมาจากข้างหลัง รอยยิ้มหวานประดับแต้มใบหน้าเนียนสวยทันควัน ก่อนจะหมุนตัวไปผลักร่างสูงๆ ที่อยู่ข้างหลังด้วยความเคยชิน

    “อย่าแกล้งกันสิ คิระก็!”

    “คุณยูละ ชั้นสั่งให้เธอนำดอกไม้มาให้ลักซ์ที่นี่ก็จริง แต่ชั้นไม่ได้บอกให้เธอใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายมาเล่นวิ่งไล่จับกับเด็กๆ นะ” เสียงห้าวๆ ที่คุ้นหูทำเอาคนตั้งใจจะแหย่ต้องช็อกค้างเสียเอง รอยยิ้มหวานขยับเปลี่ยนเป็นเหยเกเมื่อเห็นว่าใครกำลังจับคอเสื้อพลางยื้อตัวเธอไว้แน่นขนาดนี้

    แหงล่ะ น้ำเสียงออกคำสั่งรัวเร็วขนาดนี้จะมีใครได้อีก นอกจากอีตาประธานสภาซาล่าแห่ง ZAFT!!

    “ตายจริง อัสรัน!” เสียงสวรรค์กังวานใสดังระฆังแก้วดังขึ้นช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี พร้อมกับร่างบอบบางของเลดี้ตระกูลไคลน์ก้าวเดินเนิบๆ ออกมาทักด้วยรอยยิ้มหวานสดใส

    “ชั้นดีใจจริงๆ นะคะที่คุณมา” ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มตอบ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม

    “บังเอิญผมมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ เพราะดูเหมือนว่าเลขาฯ ของผมดูเหมือนจะสนุกสนานกับการวิ่งไล่จับเด็กกินเหลือเกิน!” คำกล่าวเน้นย้ำเป็นช่วงๆ ทำเอาหน้าคนถูกกล่าวหาขึ้นสีแดงระเรื่อ คางาริพยายามอย่างยิ่งที่จะยื้อคอเสื้อเธอให้หลุดจากมือหนาปานคีมเหล็กนั่นให้ออก

    และก็แน่นอน...มันล้มเหลว...

    “นายจะมาโทษชั้นอย่างนี้ไม่ได้นะที่ชั้นไม่อยากจะกลับไปขังตัวอยู่ในสถานกักกันที่นายเรียกว่า office น่ะ!” หญิงสาวเริ่มขยับตัวพลางบ่นงุบงิบอย่างขัดใจ

    แน่นอน...คำบ่นนั้นหรือจะรอดพ้นจากโสตประสาทของคนหูดี แต่ทว่าชายหนุ่มก็ฉลาดพอที่จะไม่โต้ตอบกับเธอตอนนี้...ต่อหน้าลักซ์…
    อัสรันใช้มือที่ว่างอยู่อีกข้างหนึ่งล้วงไปหยิบเจ้าวัตถุกลมๆ สีชมพูสดใสพลางยื่นให้กับสาวน้อยหน้าหวานตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

    “นี่ของฝากเล็กๆ น้อยๆ ครับ”

    “แหม ขอบคุณมากนะคะ! ลำบากคุณอยู่เรื่อยเลย ทั้งที่จริงชั้นก็มีเจ้าฮาโล่อยู่ตั้งเยอะแล้วแท้ๆ” ลักซ์กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม...คำกล่าวนั้นฟังดูจะเป็นตามมารยาทอยู่หรอก จนกระทั่งเจ้าสิ่งสนับสนุนคำกล่าวเมื่อครู่ของเธอทำเอาคางาริอ้าปากค้างด้วยความตะลึงทันที!

    เจ้าฮาโล่น้อยหลากสีกว่ายี่สิบตัวที่ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะ กำลังผลุบหัวขึ้นลงพลางเริ่มขยับตัววนรอบสาวน้อยร่างบางตรงหน้าไปมาพร้อมส่งเสียงปิ๊ดปี๊ดดังระงม!!

    พอรู้หรอกนะว่าเธอสวยเหมือนนางฟ้า...แต่ไม่คิดว่าเธอจะเป็นเทพธิดาฮาโล่ด้วย!!!

    “ลักซ์! อัสรัน!” เหล่าฮาโล่ตัวน้อยต่างแย่งกันตะโกนวุ่นวายไปหมด

    “พวกเขาดีใจที่ได้เจอคุณนะคะ” หญิงสาวผมสีชมพูหวานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแจ่มใส

    หลังจากยืนอึ้งไปกว่าหลายนาที คางาริจึงเริ่มรู้สึกตัวตอนนั้นเองว่า คนที่ตะลึงตาค้างน่ะ ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว...

    แพขนตางอนยาวราวอิสตรีกะพริบขึ้นลงถี่ๆ สองสามครั้งเพื่อปรับสายตาตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดเมื่อเห็นจำนวนลูกบอลคอมพิวเตอร์กลมๆ ลอยเด้งไปเด้งมาอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มแก้เก้อ ก่อนเอ่ยตอบอุบอิบ

    “บางทีผมอาจจะทำให้คุณ...มากเกินไปนิด...แต่ว่า เห็นแล้วมันก็อดไม่ได้เสียที” คำแก้ตัวที่ลักซ์ได้แต่หัวเราะเบาๆ
    พอตัวเองถูก ‘บังคับ’ ให้ยืนจังก้าดูหนังรักโรแมนติกตรงหน้านานๆ เข้า คางาริเองก็เริ่มชักจะทำตัวไม่ถูกแล้วเหมือนกัน

    แน่นอน...มันดูออกกันเห็นๆ อยู่แล้วว่าหนุ่มสาวหน้าตาดีสองคนนี้คือคู่พระนางของภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะที่เธอเป็นตัวประกอบ...ตัวเกะกะที่คนเขาไม่ต้องการ...

    หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างนึกปลงสังเวชตัวเองในใจ ถึงแม้ว่าเธออยากจะเดินออกไปจากที่ตรงนี้แค่ไหนก็ตาม ก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เจ้าผู้ชายตัวโตงี่เง่านี่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากคอเสื้อเธอเสียที!

    “พี่ชายคะ!” เสียงกังวานใสที่ดังขึ้นเรียกความสนใจทุกคนให้หันกลับไปมองตามต้นเสียง ร่างเล็กๆ ปุ้มปุ้ยของหนูน้อยลีนัวร์กำลังเดินจูงมือคิระออกมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น

    “อัสรัน” คิระกล่าวทักพลางผงกศีรษะลงครั้งหนึ่ง

    “คิระ” อัสรันปฏิบัติตอบอย่างเดียวกัน พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนมุมปาก

    ท่าทางที่เธอต้องกลอกตาไปมาอีกหลายรอบ อ้อ...ปกติพวกผู้ชายทักทายกันแบบนี้หรอกเหรอ!?

    “พี่ชายคะ!” ลีนัวร์ร้องเรียกด้วยสีหน้าเบิกบาน ก่อนแขนขาวๆ ของเด็กหญิงวัยสดใสจะตวัดขึ้นโอบรอบคอคนเป็น ‘พี่ชาย’ ด้วยความรวดเร็วขณะที่ชายหนุ่มย่อตัวลงคุกเข่าเพื่อที่จะอ้าแขนรับนางฟ้าตัวน้อยได้ถนัด

    “เป็นไงบ้างฮึ ลีนัวร์ สบายดีไหม?” อัสรันทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มกว้างขยับแต้มใบหน้าคมคายทำให้ดูอ่อนวัยลงกว่าเดิมเป็นกอง

    เด็กสาวผงกหัวรับทันควัน “มากๆ เลยค่ะพี่ชาย! ตอนนี้ลีนัวร์กำลังฝึกอ่านอยู่นะคะ!” เธอเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

    “เห งั้นเหรอ?”

    “ใช่ค่ะ! พี่ชายอยากให้ลีนัวร์อ่านหนังสือให้ฟังไหม?” นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอประกายจรัสเจิดจ้าด้วยความหวัง ในขณะที่นัยน์ตาสีเดียวกันของผู้สูงวัยกว่าหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

    “อยากสิ อยากมากๆ ด้วย...แต่ว่าตอนนี้พี่กำลังยุ่งอยู่...เอาไว้...อ่านให้ฟังทีหลังได้ไหม?”

    คำตอบเศร้าที่ทำให้รอยยิ้มกว้างที่มีมาเมื่อครู่พลันหดหายไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วไม่นานรอยยิ้มใหม่ก็ผุดพรายขึ้นมาแทนที่

    “ค่ะ! แล้วลีนัวร์จะรอพี่ชายนะคะ!”

    อัสรันยกมือขึ้นลูบหัวสาวน้อยผมสีม่วงเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาหาลักซ์ และคิระใหม่

    “ผมคงต้องขอตัวก่อน” เอ่ยลาสั้น ก่อนตวัดดวงตาสีมรกตคู่สวยมายังสาวน้อยผมทองคนข้างๆ

    “คุณยูละ เอกสารสรุปที่สำคัญๆ อยู่ในรถผมนะ วันนี้ช่วยไปศึกษามาให้ดีด้วย เพราะพรุ่งนี้จะต้องใช้ในที่ประชุม” คำสั่งห้วนที่คนฟังต้องครางเบาๆ อย่างอดไม่ได้

    แหงแหละ งาน! งาน! งาน! ...ชีวิตชั้นมันก็มีอยู่เท่านี้แหละ!!

    “หวังว่าคงจะได้พบกันอีกนะคะ” หญิงสาวคนงามเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนร่างบางจะเขย่งตัวประทับรอยจุมพิตแผ่วเบาบนแก้มนวลของอีกฝ่ายแทนคำลา ชายหนุ่มผงกหัวรับ ก่อนเบือนสายตาไปสบกับเพื่อนรักคนข้างๆ

    “ระหว่างที่ชั้นไม่อยู่ ฝากดูแลลักซ์ด้วยนะ คิระ”

    “ถึงไม่ต้องบอกชั้นก็ต้องทำอยู่แล้วล่ะ”

    คางาริขยับรอยยิ้มบางแทนคำเอ่ยลาไปยังบุคคลทั้งสอง ก่อนจะหมุนตัวสาวเท้ายาวๆ ตามนายเหนือหัวเธอไปยังรถสปอร์ตสีแดงสดคันหรูโดยไม่ลืมหันกลับมามองเป็นครั้งสุดท้าย

    “ลาก่อนค่า พี่คางาริ! แล้วพบกันใหม่นะคะ!”

    “รักษาตัวด้วยนะครับ!”

    เสียงใสๆ ของเหล่าเด็กๆ ตัวน้อยที่กำลังยืนชะเง้อคอยาวพลางโบกไม้โบกมือให้เธอพัลวันผ่านทางรั้วไม้บานใหญ่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มหวานขยับแต้มใบหน้าเนียนก่อนมือเรียวจะถูกยกขึ้นโบกลา ‘เพื่อนใหม่’ ด้วยความจริงใจ

    บางครั้งเธอรู้สึกได้ว่า เด็กๆ เหล่านั้นให้พลังบางอย่างแก่เธอ...พลังที่ผลักดันให้เธอสามารถก้าวต่อไปได้ในวันข้างหน้า...

    เมื่อเธอเบือนหน้ากลับมาก็ต้องประหลาดใจเมื่อชายหนุ่มประธานสภาเดินนำลิ่วไปยังรถสปอร์ตราคาแพงลิบตรงหน้า ก่อนเอื้อมมือเปิดประตูใหญ่ออกพลางพยักเพยิดเชิญเธอให้ขึ้นไปนั่ง !

    การปฏิบัติตัวให้เกียรติอย่างนั้นทำเอาหญิงสาวผมทองผู้มีตำแหน่งเลขาฯ ถึงกับตาค้าง!!

    “นี่นาย...กำลังชวนชั้น...ขึ้นรถนาย!? ทำไมล่ะ! นายเกลียดเนเชอรัลไม่ใช่รึไง? แล้วถ้าชั้นขึ้นไปนั่งแล้วเกิดมีเสนียดติดรถนายขึ้นมาจะทำยังไง?” คางาริเอ่ยถามรัวเร็วเป็นชุดอย่างคับข้องใจ

    คำถามที่ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มเย้ากึ่งเยาะมาให้แทนคำตอบ “ขึ้นมาเถอะน่า ไม่แน่บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตเธอก็ได้นะ”

    คำขู่ที่เธอเชิดหน้ารับ แขนทั้งสองข้างตวัดขึ้นกอดอกทันที พลางเอ่ยยื่นคำขาด

    “ชั้นขอเดินกลับดีกว่า ขอบคุณ!” สิ้นคำ ร่างบางก็หมุนตัวสาวเท้ายาวๆ ไปยังสถานีใหญ่ข้างหน้าทันที แต่ยังไปไม่ทันถึงไหนก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงดึงบริเวณข้อมือ

    นัยน์ตาสีอำพันตวัดจ้องมองคนอุกอาจตรงหน้าด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเกินบรรยาย แต่ก่อนที่ปากจะขยับพูดอะไร ชายหนุ่มก็ดึง(ลาก?) ตัวเธอโยนเข้าไปในรถพลางจัดแจงรัดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ ทำเอาปากที่ตั้งใจจะขยับพูดต้องอ้าค้างไว้อย่างนั้นด้วยความตะลึง! แต่ในที่สุด เธอก็ยอมเป็นฝ่ายแพ้

    หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเอนหลังพิงเบาะสีครีมเนื้อนุ่มด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองปนโล่งใจ

    โกรธ...ที่เขาใช้กำลังบังคับเธอให้นั่งลงในรถราคาแพงหูฉี่บ้าๆ นี่ทั้งที่เธอไม่ต้องการ...!

    โล่งใจ...ที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียวบนเส้นทางที่เธอไม่รู้จัก...โดยเฉพาะตอนตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้วแบบนี้ด้วย...

    ชายหนุ่มเดินอ้อมกลับไปยังที่นั่งคนขับ ก่อนทิ้งตัวลงบนเบาะข้างๆ พลางขยับกุญแจสตาร์ทเครื่อง ในเวลาไม่ถึงนาที รถสมรรถภาพดีสมกับราคาแพงลิบก็พุ่งฉิวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว

    ระหว่างทาง คางาริก็เหม่อมองทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อย ชื่นชมทัศนียภาพอันแสนงดงามของเมืองใหญ่ยามพระอาทิตย์อัสดงเงียบๆ อัสรันเหลือบสายตามองภาพหญิงสาวตรงหน้าผ่านทางหางตา ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจทำลายความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้นโดยรอบลงซะ

    “พระอาทิตย์ตกดินบนโลกสวยเหมือนอย่างที่นี่บ้างรึเปล่า” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำเอาคนกำลังเหม่อสะดุ้งหลุดจากภวังค์ทันที

    วันนี้มาแปลกแฮะ...ชวนเราคุยเหรอเนี่ย...ทั้งที่ชั้นเป็นเนเชอรัลเนี่ยนะ...

    “อืม ที่ไหนๆ ก็เหมือนกันแหละ” เธอตอบเสียงแผ่วซึ่งเขาก็พยักหน้ารับรู้

    ความเงียบเริ่มโรยตัวขึ้นชั่วอึดใจ ก่อนเสียงตวาดแหวๆ ของสาวน้อยผมทองจะดังขึ้นทำลายความเงียบระลอกสองแทน

    “เฮ้! นี่นายรู้ตัวรึเปล่าว่าจะพาชั้นไปไหนเนี่ย!?” คำประท้วงทำเอาชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามทั้งที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับถนนที่ทอดตัวยาวเบื้องหน้า

    “แน่นอน ก็ที่อยู่เธอก็มีเขียนไว้อยู่ในใบประวัตินี่” คำตอบรัวเร็วหากชัดเจนเอ่ยโต้กลับโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

    หลังจากนั้นไม่นานนั้น รถสปอร์ตสีแดงก็ชะลอหยุดลงตรงหน้าอพาร์ตเม้นต์สูง 10 ชั้นสีขาวสะอาดตา โดยไม่ยอมเสียเวลาแม้สักนาที คางาริหมุนตัวก้าวหลังจากรถทันทีหลังจากใช้ปลดเข็มขัดนิรภัยออกเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาเดินจากไป แฟ้มเอกสารโตๆ 3 ชุดก็ถูกยื่นมาให้เสียก่อน

    “ต้องใช้ประชุมวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มอธิบายสั้นขณะที่หญิงสาวร้องครางออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ใบหน้าสวยที่เหยเกดูๆ ไปแล้วก็น่ามองไปอีกแบบ รอยยิ้มบางขยับแต้มใบหน้าคมคาย ก่อนกล่าวอวยพรเธอเบาๆ

    “โชคดี” คางาริผ่อนลมหายใจยาว ทั้งที่นานๆ จะได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นใจดีของเขาสักที แต่คราวนี้เธอก็กลับไม่มีเรี่ยวแรงเหลือจะแกล้งแซวอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวจึงทำได้แค่พยักหน้าตอบเบาๆ แต่เมื่อร่างบางเตรียมจะเดินจากไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหมุนตัวกลับมาเกาะรถสีแดงสุดแพงนั้นแทบไม่ทันด้วยสีหน้าร้อนรน

    “เดี๋ยว! ลีนัวร์ฝากให้ชั้นเอานี่มาให้นายแนะ” ดอกเดซี่สีหวานถูกหยิบยื่นส่งไปให้บุรุษตรงหน้าที่ยังติดงงๆ อยู่ รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนในหน้านวล พลางขยับมือกร้านเอื้อมไปรับดอกไม้สีสวยดอกนั้นมาพิจารณาดูอย่างทะนุถนอม ก่อนจะบรรจงวางมันลงเบาๆ บนกระเป๋าเอกสารสีดำสนิทด้านหลังช้าๆ

    ประธานหนุ่มผงกศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้...ทั้งที่เขาสามารถพูดคุยกับเลขาฯ สาวชาวเนเชอรัลได้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ...แต่เขายังทำใจกล่าวขอบคุณเธอไม่ได้เสียที...

    คางาริยืนค้างอยู่อย่างนั้นพลางสอดส่องสายตาไปมาราวกับอึกอักอะไรสักอย่าง

    นาน...กว่าริมฝีปากกลีบกุหลาบบางจะยอมเอื้อนเอ่ยคำในใจออกไป

    “เอ่อคือ…ขอบคุณที่อุตส่าห์มาส่งชั้น...”

    ใช่...ถึงแม้เธอจะเกลียดขี้หน้าหมอนี่เพียงใดก็ตาม...แต่เธอก็ยังรู้จักมารยาทพอที่จะกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณกับเธอ...แม้คนๆ นั้นจะมีศักดิ์เป็นศัตรูก็ตาม...

    อัสรันพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะเอนตัวลงบนเบาะสีครีมอันอ่อนนุ่มดังเดิมพร้อมกับถอยรถหรูราคาแพงลิบลิ่วนั่นออกไป คางาริเฝ้ามองภาพพาหนะสีแดงที่ค่อยๆ หดเล็กลงๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับสายตาไปในที่สุดด้วยความรู้สึกสับสน...ก่อนถอนหายใจลึก...ยาว....

    บางที...แค่บางที...อัสรัน ซาล่า อาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายนักก็ได้...


    ---------------------------------To Be Continued...
  9. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    CHAPTER 7 -- วันหยุดแรกที่น่าจดจำ

    “เป็นไงบ้าง คางาริ?” หญิงสาวเจ้าของชื่อยกมือเรียวขึ้นขยี้ขอบตาเบาๆ พลางอ้าปากหาวหวอดๆ อย่างที่ถ้าป้ามาน่าพี่เลี้ยงเธอเห็นเข้าคงจะกระโดดถวายผางเข้าให้แทบไม่ทัน นัยน์ตาสีอำพันหลุบต่ำลงมองดูนาฬิกาข้างตัว ก่อนคว้าโทรศัพท์ตัวปัญหามาหนีบไว้ที่ไหล่อย่างเซ็งๆ

    วันนี้ร่างบางอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นสบายๆ สมกับวันหยุดที่นานๆ จะมีสักที แน่นอนวันนี้เป็นวันอาทิตย์! จะให้เน้นอีกทีก็ได้ว่าวันหยุดวันแรกหลังจากที่เธอมาอยู่ Plant ได้ 2 สัปดาห์!

    ขณะที่คิซากะกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า คุณหนูสูงศักดิ์ก็เดินลอยชายคุยโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์

    “คิระเหรอ?” เสียงใสเอ่ยถามหลังจากที่ปลายสายกล่าวทักมา

    “อืม ผมเอง โทษทีนะที่โทรมาปลุกแต่เช้า” เสียงห้าวๆ แต่แฝงด้วยความอ่อนโยนอย่างเคยเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล

    หญิงสาวโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่หรอก! ไม่ๆ ตอนนั้นชั้นก็ว่าจะตื่นพอดีเหมือนกันแหละ ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า?”

    “พอดี ลักซ์กับผมคิดว่าน่าจะพาเธอเดินเที่ยวชมเมืองสักหน่อยน่ะ” เสียงอธิบายที่แว่วมาตามสายทำเอานัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างอย่างสนอกสนใจ

    ตั้งแต่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้ 2 อาทิตย์ เธอก็ยังไม่เคยได้ออกไปเดินเที่ยวชมตัวเมืองเสียที นี่น่าจะเป็นโอกาสดี...

    ได้คนดังพาเที่ยวชมเมืองแบบนี้ หาที่ไหนได้อีก!

    “จริงเหรอ!? แต่เดี๋ยวนะ...ชั้นคงต้องขออนุญาตก่อน” พอพูดจบสาวน้อยผมทองก็เดินกระหยองกระแหยงไปหาชายหนุ่มร่างยักษ์ที่กำลังทำกับข้าวอย่างขะมักเขม้นด้วยสีหน้าออดอ้อนอย่างที่สุด

    “คิซากะ วันนี้ชั้นขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ได้รึเปล่า...น๊าาาา” นัยน์ตาคมเข้มตวัดเหลือบมามองเธออยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบคำสั้น

    “ตามใจสิ” คำพูดที่ทำเอาร่างบางเผลอตัวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ไร้สายในมือมาตอบกลับไปในทันที

    “โอเค ชั้นไปด้วย!”

    “เยี่ยมไปเลย! งั้นเดี๋ยวเจอกันที่สวนสาธารณะตอน 10 โมงนะ” น้ำเสียงสดใสที่แว่วมาตามสายทำให้เธอเดาได้ไม่ยากนักว่าชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนนี้คงกำลังขยับยิ้มกว้างอยู่ทีเดียว

    คางาริพยักหน้ารับ “แล้วเจอกันนะ” สิ้นคำมือเรียวก็วางโทรศัพท์ไร้สายเข้ากับแป้นรับ ก่อนวิ่งปรู๊ดเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมรับประทานอาหารเช้าอย่างยินดี

    + + + + + +

    “คุณคางาริ! ทางนี้ค่ะ” เสียงกังวานไพเราะของหญิงสาวเรือนผมสีชมพูยาวสลวยเอ่ยทักพลางโบกมือไหวๆ วันนี้คุณหนูลักซ์ ไคลน์อยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนเข้ากับกระโปรงผ้าไหมยาวคลุมเข่าเข้ารูปรับกับทรวดทรงของเธอเป็นอย่างดี รองเท้าส้นสูงสีขาวนั้นทำให้เธอดูเด่นและเป็นสง่าขึ้นมากเลยทีเดียว ขณะที่ชายหนุ่มข้างกายเธออยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินและกางเกงยีนส์สีเข้มดูสบายๆ ตามวิสัยของเจ้าตัว ผมเผ้าสีน้ำตาลอ่อนยาวระต้นคอยังคงเป็นเหมือนเดิม คือ ถูกหวีไว้ง่ายๆ อย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

    “ไง!” หญิงสาวผู้มีใหม่รีบวิ่งเข้าไปทักทายเพื่อนสนิททั้งสองคนทันที คางาริอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตสีเขียวอ่อนและกางเกงสีเข้มดูทะมัดทะแมง พ่วงด้วยรองเท้าผ้าใบคู่เก๋ตามสไตล์สาวมั่นที่สตรีสวยหวานยังต้องเอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้

    “วันนี้คุณดูดีมากเลยนะคะ” คำชมลอยๆ ที่คนฟังได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวแกร่กๆ แก้เขิน ก่อนจะชมกลับไป

    “อืม วันนี้เธอก็...สวยมากๆ เหมือนกันนะ...” คำพูดตะกุกตะกักที่ลักซ์ต้องหัวเราะกิ๊ก

    “แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ อ้าว อัสรัน!” เสียงเรียกชื่อที่ทำให้คิระเบือนหน้าไปตามสายตาของหญิงสาวข้างกาย และก็ไปสะดุดกับชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มบางฉายวาบบนใบหน้าคมคาย

    อัสรัน ซาล่า ประธานสภาแห่ง Plant วันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีขาวสะอาดและกางเกงสีเข้มทำให้เขาดูอ่อนเยาว์กว่าตอนที่อยู่ในเครื่องแบบมากนัก ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาหาคู่หมั้นสาวก่อนก้มลงจุมพิตแผ่วเบาบนแก้มเนียนใสแทนคำทักทาย ซึ่งลักซ์ก็ขยับรอยยิ้มบางเบารับอย่างเช่นเคย

    “ชั้นจะกลับ!” เสียงประท้วงเอ่ยขึ้นมาในบัดดล ดังพอที่จะให้ชายหนุ่มข้างกายได้ยิน มือเรียวสวยขยำเกร็งแน่นอย่างหงุดหงิดใจ นัยน์ตาสีอำพันถลึงจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่ด้วยสายตาชิงชัง แต่ทว่าเสียงหัวเราะใสๆ กับคำปรามเบาๆ ก็ทำเอาเธอต้องหยุดการกระทำลงเสียเดี๋ยวนั้น

    “อย่าเลยน่า ไม่งั้นลักซ์เสียใจแย่” คิระพูดปลอบ

    “แล้วทำไมนายไม่บอกชั้นว่าเจ้าหมอนี่จะมาด้วย! โอย วันหยุดชั้นจะพินาศก็งานนี้แหละ!!” คางาริครางพลางเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างนึกสมเพชตัวเอง

    “อย่าลืมสิว่าอัสรันเป็นคู่หมั้นลักซ์นะ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกถ้าเธอคิดจะชวนเขามาด้วย” ชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์อธิบาย

    “แต่ว่า…!”

    “อีกอย่าง เจ้าหมอนั่นคงไม่รุนแรงกับเธอนักหรอกน่าถ้าลักซ์อยู่ใกล้ๆ ละก็” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ตวัดกลับมาสบตาเธอครู่หนึ่ง ซึ่งในที่สุดหญิงสาวก็ต้องยอมผงกหัวรับอย่างยอมแพ้

    “ชั้นว่าคุณดูผอมลงนะคะ อัสรัน” ลักซ์เปรยกับคู่สนทนาเบาๆ เมื่อเห็นร่างของบุรุษผู้มีศักดิ์เป็นคู่หมั้นของเธอดูซูบซีดลงดังคำกล่าวจริงๆ

    “อย่างนั้นเหรอ? บางที อาจจะทำงานหนักไปหน่อยละมั้ง” ชายหนุ่มตอบกลับทันทีราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

    “คุณต้องดูแลตัวเองบ้างนะคะ ไม่ใช่สักแต่ว่าคุณเป็นโคออดิเนเตอร์แล้วจะทำงานหักโหมแบบนี้”

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้นหลังจากนี้...ถ้ามันทำให้คุณมีความสุขละก็นะ” สิ้นคำมือใหญ่ก็เอื้อมไปโอบสาวน้อยร่างบางเข้ามาชิดตัว พลางขยับส่งรอยยิ้มหวานบางเบา ช่างเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจคนแอบมองดูบางคนจริงๆ

    โคออดิเนเตอร์หนุ่มเบือนสายตาเสมองไปทางอื่นทันที มือกร้านทั้งสองข้างที่เกร็งแน่นบัดนี้สอดลงไปซุกอยู่กับกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างอย่างดี ทว่าอาการผิดปกติก็หาได้รอดสายตาสาวน้อยผมทองคนข้างตัวไปได้

    “คิระ...เป็นอะไรรึเปล่า?” คางาริถามขึ้นในที่สุดเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มข้างตัวจู่ๆ ก็หยุดการสนทนาไปเสียเฉยๆ แต่คิระกลับพยักหน้าตอบแผ่วเบาแทนคำว่า ‘ไม่เป็นไร’

    “วันนี้เราไปสนุกกันนะคะ!” เสียงหวานของลักซ์เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ร่างเพรียวบางดูสดใสกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา ก่อนจะเบือนหน้าไปยังเพื่อนสาวอีกคน

    “คุณคางาริอยากไปที่ไหนก่อนดีคะ?” คำถามที่คนถูกถามได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างงงๆ ก่อนเอ่ยตอบอุบอิบ

    “ที่ไหนนะเหรอ...อ่า ไม่รู้สิ...”

    “ไปที่พิพิธภัณฑ์ก่อนดีไหม?” เสียงห้าวๆ ของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ยขึ้น ก่อนตวัดสายตามาสบ

    “คิดว่าไง คางาริ?” หญิงสาวพยักหน้ารับทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

    ท่าทางที่ลักซ์ต้องหัวเราะกิ๊ก ก่อนเอ่ยสรุปสดใส

    “งั้น ไปพิพิธภัณฑ์กันเถอะค่ะ!”

    + + + + + +

    พิพิธภัณฑ์สถานที่สำคัญที่สุดใน Aprilius One ถูกเอ่ยประวัติให้ฟังอย่างคร่าวๆ จากสตรีผู้เป็นไอดอลอันดับหนึ่งของ Plant ร่างบอบบางอธิบายถึงปติมากรรมอันงดงามและสาระอันน่าสนใจของโบราณสถานแห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจ โดยไม่ลืมเน้นย้ำเรื่องประวัติความเป็นมาของโคออดิเนเตอร์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามทางเดินของพิพิธภัณฑ์นี้

    ทว่าเมื่อมาเห็นตึกทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตรงหน้าแล้ว ก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการยืนพิจารณาและยืนยันว่า มันเป็นพิพิธภัณฑ์จริงๆ!!

    ตึกทรงเรขาคณิตขนาดใหญ่ประกอบด้วยอิฐสีน้ำตาลหม่นๆ และหินทรายแกะสลักเสลาลวดลายอ่อนช้อยงดงามนั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับย้อนกลับมาในศตวรรษที่ 18 ขึ้นมาตงิดๆ! ชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์ข้างกายเธอได้ให้คำชี้แจงไว้ว่าการออกแบบสถานที่แบบนี้ก็เพื่อจะให้เหล่าเด็กๆ สามารถเรียนรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ได้ง่ายได้ยิ่งขึ้น เพราะบรรยากาศรอบอาคารมันก็ดูราวกับดูหนังย้อนยุคอยู่แล้ว

    การที่เธอจะใช้คำว่าชายหนุ่มข้างกายก็คงจะไม่ผิดแปลกเท่าไหร่นัก ในเมื่อบุรุษร่างสูงจอมกวนโมโหนั่นเดินตัวติดหนึบกับลักซ์อย่างกับตังเม! ทำให้เธอต้องเลี่ยงมาคุยกับคิระแค่สองคนอย่างช่วยไม่ได้...แต่อย่างน้อย การคุยกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้านี้ก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งเหมือนกัน...

    “รู้ไหม ตอนผมเด็กๆ ก็มาที่นี่กับคุณพ่อคุณแม่บ่อยๆ นะ ผมมาที่นี่ครั้งแรกตอนอายุสัก 4 ขวบได้มั้ง” คิระเล่าความทรงจำในวันวานด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ทว่าหญิงสาวกลับสังเกตได้ว่าระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น ชายหนุ่มไม่ได้มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวเลยแม้แต่น้อย ปลายหางตาสีม่วงรัตนชาตินั้นมักจะเหลือบไปมองคู่รักชายหญิงที่อยู่ทางด้านหลังอยู่เสมอๆ

    สาวน้อยร่างบอบบางเจ้าของเรือนผมสีชมพูยาวสลวยก้มตัวหัวเราะคิกคักเมื่อชายหนุ่มร่างสูงค่อยๆ เอี้ยวตัวลงมากระซิบถ้อยคำบางอย่างข้างหูเธอแผ่วเบา เพราะมัวแต่เดินไปหยอกไปกระมัง ทำให้อัตราเร็วในการเดินของคนทั้งคู่นั้นต่ำลงจนเธอและคิระเดินนำห่างมาเป็นโยชน์แล้ว!

    พอเบนสายตาหันไปมองตาม ก็เห็นภาพมือขาวๆ ของนักร้องสาวสวยกำลังยื้อแก้มของชายหนุ่มข้างกายพลางหัวเราะกิ๊กหนักยิ่งกว่าเดิม
    หญิงสาวตวัดมือเรียวขึ้นไปตลบหลังศีรษะ มุ่งสมาธิให้กลับมาอยู่ที่งานจิตกรรมตรงหน้าแทน ใจหนึ่งเธอก็นึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่บุรุษตำแหน่งประธานสภานั่นมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเอาอกเอาใจแฟนสาวจนไม่มีเวลามายั่วโมโหเธอเล่นเหมือนอย่างเคย แต่อีกใจหนึ่งเธอก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ใช่ ที่ขุ่นเคืองใจนั่นก็เรื่องลักซ์นั่นแหละ...

    ยังไงซะลักซ์ก็เป็นเพื่อนเธอ...แล้วเธอจะยอมปล่อยเพื่อนรักเธอไว้ในมือจอมมารนานๆ ได้ยังไงกัน!?

    ลักซ์ดีเกินไป...ดีเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตร่วมกับอีตาซาล่า!!

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเหลือบไปมองชายหนุ่มข้างกายที่กำลังจดจ้องกับผลงานภาพเขียนตรงหน้านิ่ง ทว่านัยน์ตาสีม่วงอเมทิสต์กลับดูเลื่อนลอยแปลกๆ ชอบกล แล้วความสงสัยผุดขึ้นมาในใจทันที แต่ทว่าเธอกลับเลือกที่จะถาม...

    “คิระ..นายคิดยังไงกับเรื่องจอห์น เกลน” น้ำเสียงหวานกระด้างตามสไตล์เจ้าตัวเรียกคนที่กำลังเหม่อสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์แทบจะทันที ใช้เวลาครู่หนึ่งในการเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับมา ก่อนจะตอบคำถามเธอเรียบง่าย

    “จอห์น เกลน? เขาเป็นโคออดิเนเตอร์คนแรกของโลกน่ะ เกิดปี C.E. 15 ก่อนที่จะสารภาพกับโลกว่าตัวเขาเองเป็นบุคคลที่เกิดขึ้นจากการตัดต่อพันธุกรรม ในปี C.E. 16 อ่า คนที่ตัดต่อพันธุกรรมก็คือ...โคออดิเนเตอร์นั่นแหละนะ”

    หญิงสาวพยักหน้ารับรู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่ดูท่าทางคิระจะเรียกสติกลับมาเหมือนเดิมได้แล้ว

    “...แค่นั้น?” รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจขยับฉายบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา ก่อนจะเอ่ยต่อ

    “เขาเป็นนักบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ FASA ย่อมาจาก Atlantic Federation's Federal Aeronautics และยังเป็นทั้งวิศวกร สถาปนิก และนักออกแบบของ Tsiolkovsky อีกด้วยนะ”

    “แหม นายที่ท่องประวัติได้เป็นชุดเชียวเหรอเนี่ย” คางาริเอ่ยแซวขบขัน ก่อนหัวเราะเบาๆ เรียกรอยสีแดงปลั่งระเรื่อฉาบใบหน้าชายหนุ่มคนข้างๆ ก่อนเอ่ยออกตัวตะกุกตะกัก

    “อ่า ก็ผมแค่...ชื่นชมเขาที่สามารถนำซากฟอสซิลมาจากดาวพฤหัสได้ก็เท่านั้น...เอ่อ จริงๆ แล้วฟอสซิลนั่นปกติจะอยู่ที่สภาสูง แต่รู้สึกว่าตอนนี้จะย้ายมาตั้งไว้ที่นี่แล้วละมั้ง” นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างทันทีเมื่อคำกล่าวนั้นจบลง มือเรียวบางฉวยข้อมือคนตรงหน้าก่อนเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้น

    “อยากเห็นจัง! พาไปทีสิ!!” ยังไม่ทับจบร่างบางก็เริ่มลากคนตัวโตกว่าไปตามทางเดินกว้างทันที แต่ทว่า

    “คิระ!” เสียงหวานกังวานเอ่ยดังขึ้นพร้อมกับสตรีสาวสวยเจ้าของผมสีชมพูยาวสยายจะวิ่งรุดมาข้างหน้า นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างของเธอเปล่งประกายสดใส

    “ช่วยมากับชั้นเดี๋ยวนึงได้ไหมคะ พอดีชั้นกำลังหาร้านอาหารดีๆ สำหรับมื้อกลางวันนี้สักร้านน่ะค่ะ คุณก็รู้อยู่ ช่วงกลางวันที่นี่คนเยอะขนาดไหน ถ้าไม่จองล่วงหน้าละก็ วุ่นแน่ๆ เลย” ลักซ์กล่าวพลางยื้อแขนชายหนุ่มให้มายืนข้างกาย ก่อนจะเบือนหน้ามามองสาวน้อยผมสีทองอีกคนหนึ่งด้วยรอยยิ้ม

    “ไม่ต้องห่วงนะคะคุณคางาริ ระหว่างที่เราไม่อยู่ อัสรันจะดูแลคุณเองค่ะ” สิ้นคำร่างเพรียวบางของไอดอลสาวชื่อดังของ Plant ก็เดินออกไปจากพิพิธภัณฑ์พร้อมกับสุภาพบุรุษเพื่อนคุยเพียงคนเดียวของเธอ...คนเดียว...จริงๆ...

    ใช้เวลาครู่ใหญ่ในการประมวลผลข้อมูล พอเริ่มรู้สึกตัว คางาริชักอยากจะเอาหัวไปกระแทกกำแพงแรงๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียจริงๆ...!

    ลักซ์!! เธอทำอย่างนี้กับชั้นได้ยังไงกัน!!!

    ทิ้งกับใครไม่ทิ้ง...ทิ้งชั้นให้อยู่กับอีตาคู่อริข้ามชาตินั่น!!

    กรรมจริงๆ!!


    ชั่วขณะนั้นเธอเองยังคิดจะเดินตามคู่ชายหญิงสองคนนั่นไปอยู่แล้วแท้ๆ ถ้าหากเสียงทุ้มต่ำเยียบเย็นอันแสนคุ้นเคยไม่ดังขึ้นเสียก่อน

    “จอห์น เกลน...คนเพียงคนเดียวที่ทำให้โลกทั้งโลกอยู่ในภาวะวุ่นวาย” เมื่อเห็นหันกลับไปก็พบเขา...อัสรัน ซาล่า กำลังใช้นัยน์ตาสีเขียวมรกตส่องประกายระริกจ้องมองเธออยู่ด้วยใบหน้าเฉยเมยราวกับทองไม่รู้ร้อน!!!

    + + + + + +

    “ทำไมคุณไม่จองผ่านทางโทรศัพท์ล่ะลักซ์” คิระเอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากที่ยอมให้สาวน้อยหน้าหวานเดินจูงออกจากพิพิธภัณฑ์มาไกลพอสมควร ซึ่งคำตอบที่ได้ก็มีแค่เสียงหัวเราะคิกคัก

    “แหม ก็ชั้นอยากทำเองมากกว่านี่คะ”

    ชายหนุ่มกระชับข้อมือบางพลางบีบแน่นเพื่อรั้งให้ร่างบอบบางของสตรีตรงหน้าหยุดเดิน คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยดักคอเสียงเครียด

    “คุณวางแผนอะไรอยู่กันแน่ครับ คุณหนูลักซ์ ไคลน์...”

    “วางแผนอะไรกันคะ? นี่ชั้นพูดจริงๆ นะคะ คุณคิระ ยามาโตะ” รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นทันทีหลังเอ่ยคำพูดจบ คิ้วเข้มขยับเลิกสูงขึ้นกว่าเดิม พลางตวัดนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าลึก...นาน จนในที่สุด เขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเองเมื่อควานหาสิ่งที่ต้องการในนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    ลักซ์หัวเราะกิ๊ก ก่อนยอมสารภาพออกมาตามตรง

    “ก็ชั้นอยากให้อัสรันเขาดูแลคางาริบ้างนี่คะ คางาริเองก็จะได้ใช้เวลาอยู่กับอัสรันมากขึ้นด้วย อย่าลืมสิว่าการประสานสัมพันธ์ระหว่างโคออดิเนเตอร์และเนเชอรัลน่ะมันเป็นนโยบายที่ชั้นเป็นแกนนำอยู่นะคะ” ชายหนุ่มผงกศีรษะรับอย่างเข้าใจ รอยยิ้มอบอุ่นฉายประดับดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ก่อนมือใหญ่จะคว้าร่างบางตัวหน้ามาโอบไว้ในอ้อมแขนแน่น พลางเอ่ยคำพูดแผ่วเบา

    “คุณเป็นคนใจดี และเข้าใจจิตใจคนอื่นเสมอเลยนะ ลักซ์” คิระกล่าวพึมพำสักพักก่อนปล่อยตัวหญิงสาวในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ
    “แล้วเราจะไปกันรึยัง?” คำกล่าวสุดท้ายก่อนร่างของคนที่คู่จะเดินหายไปพร้อมกับฝูงชน

    + + + + + +

    คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยขณะตวัดสายตาจับจ้องร่างของคู่หมั้นสาวกำลังกึ่งลากกึ่งจูงเพื่อนรักให้เดินหายไปจากห้องโถงเพื่อไปหาร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวันนี้

    จริงๆ เขาก็บอกเธอแล้วว่าแค่โทรไปจองก็พอ แต่ลักซ์ก็ยังดึงดันจะไปจองเองให้ได้ โดยให้เหตุผลประกอบว่าระหว่างทางเธอจะได้เปิดหูเปิดตาเดินช๊อปปิ้งบ้าง

    แน่นอน คู่หมั้นที่แสนดีอย่างเขามีหรือที่จะขัดใจเธอ พลางปลอบตัวเองว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็ร้านอาหารที่ว่ามันอยู่ถัดจากถนนเส้นนี้ไปแค่ 2 บล็อกเท่านั้น แถมคิระเพื่อนสนิทของเขาก็ไปด้วย...

    เพราะงั้นจะมีอะไรให้ห่วงอีกล่ะ!?

    หลังจากขจัดความสับสนในสมองออกไปเรียบร้อยแล้ว อัสรันก็เรียกสมาธิให้กลับมาสนใจกับสาวน้อยผมทองตรงหน้าแทน หญิงสาวร่างเพรียวบางยืนจ้องประตูค้างอยู่มาสักพักแล้ว

    สงสัยจะยังช็อกไม่หาย…

    คิดพลางถอนหายใจแผ่ว พลางคิดทบทวนไปถึงสิ่งที่คู่หมั้นสาวกล่าวย้ำนักย้ำหนากับเขาก่อนหน้านี้ว่าในฐานะประธานสภาสูงแห่ง Plant เขาเองก็ควรที่จะปฏิบัติตนดีๆ กับ เอ่อ....เนเชอรัล และก็เป็นหน้าที่ของประธานสภาอีกนั่นแหละที่จะต้องอธิบายประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของชาวโคออดิเนเตอร์ให้ชาวโลกอื่นๆ ได้รับรู้...

    ...แต่นั่นก็...เป็นเสน่ห์ของเธออีกนั่นแหละ ที่ทำให้เขาปฏิเสธทุกสิ่งที่เธอพูดไม่ลงเสียที...

    ชายหนุ่มสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาหญิงสาวร่างเล็กที่ลอบยืนแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ แอ็กท่าเตรียมตั้งการ์ดพร้อมรบอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้

    ก็ยัยนี่ชอบทำท่าอย่างกับว่าเขาจะต้องคอยหาเรื่องเธออยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ...

    ....ถึงแม้มันจะเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะนะ...

    เขาคิดพลางหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านหลังหญิงสาวผมทอง ก่อนเสียงทุ้มต่ำเดิมๆ จะเอ่ยขึ้นเรียบๆ

    “จอห์น เกลน...คนเพียงคนเดียวที่ทำให้โลกทั้งโลกอยู่ในภาวะวุ่นวาย” สิ้นคำกล่าวเธอก็หมุนกลับตัวมามองเขาทันที นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างด้วยความตระหนก...ตามที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว

    ใช้เวลาครู่หนึ่งในการลอบพิจารณาสตรีร่างบางตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งทรงผม เสื้อผ้า ลักษณะท่าทาง...เปรียบเทียบกับลักซ์ที่เป็นผู้หญิงงามพร้อมสมบูรณ์แบบไม่ได้เลยซักนิด

    เธอดูเหมือน...เด็กผู้ชายเสียมากกว่า...เสื้อผ้าสีเขียวดูหลวมโคร่งนั่นไม่ได้ช่วยเสริมให้เรือนร่างราบเรียบของเธอให้ดูมีสัดส่วนขึ้นเลยสักนิด เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวประบ่านั้นก็มักจะพูฟ่องเหมือนกับสิงโตเพิ่งตื่นนอนเป็นประจำ แตกต่างกับลักซ์ที่มักจะทิ้งตัวเป็นลอนยาวสลวยจรดกลางหลังเสมออย่างสิ้นเชิง

    ตีสภาพโดยรวมแล้ว ส่วนที่ดึงดูดตาที่สุดก็ดูจะเป็นดวงตาสีทองกลมโตนั่นเพียงอย่างเดียวกระมังที่ทำให้เขา...ละสายตาจากเธอไม่ได้เสียที...

    “อ๋อเหรอ? ถ้างั้นนายช่วยไขความข้องใจให้เนเชอรัลฉลาดน้อยคนนี้สักนิดได้ไหมว่านายอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

    เอาแล้วไง...เผลอเป็นไม่ได้...ได้ทีแม่เจ้าประคุณก็พูดแดกดันเข้าให้อีกละ...

    อัสรันตวัดนัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าเนียนของสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนเลิกคิ้วสูง

    “นี่คือวิธีการพูดที่เธอใช้กับเจ้านายงั้นเหรอเนี่ย?” และแทนที่จะสำนึกเจ้าหล่อนกลับเชิดหน้าขึ้นสูงทำไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น

    “ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ที่สำนักงาน ZAFT นี่ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าซาล่า และชั้นไม่ใช่เลขาฯ นายแล้วด้วย”

    “แต่ยังไงชั้นก็คือประธานสภาเสมอ ทุกที่และทุกเวลา”

    “แต่ชั้นไม่ใช่ทาสที่คอยรับใช้นายทุกที่ทุกเวลาสักหน่อย! เสียใจ สโลแกนนั้นใช้กับชั้นไม่ได้หรอก!” คางาริสวนกลับทันที มือสองข้างตวัดขึ้นกอดอกก่อนจะเดินหลบไปอีกทางหนึ่ง ก่อนจะหยุดยืนกึกเมื่อนึกได้ถึงข้อสงสัยที่ยังค้างคาใจอยู่...

    ครั้นจะให้กลับไปถามมันก็กระไรอยู่...ยิ่งกับคนอย่างตานั่น...เสียฟอร์มตายเลย!!!

    “แล้วสรุปเรื่องที่เจ้าหมอนั่นพูดเมื่อกี้มันยังไงกันแน่ล่ะเนี่ย?” ข้อสงสัยที่ได้แต่พึมพำเบาๆ ซึ่งแน่นอนมีหรือที่คำกล่าวเหล่านั้นจะรอดหูจากคนโสตสัมผัสดีไปได้

    อัสรันขยับรอยยิ้มบางอย่างยินดีเมื่อรู้ว่าแผนของเขาได้รับความสนใจไม่น้อยจากแม่เนเชอรัลปากแข็งนี่

    ชายหนุ่มตัดสินใจสาวเท้าไปยืนใกล้ๆ คางาริ พลางจ้องมองรูปเสมือนของจอห์น เกลนสมัยยังหนุ่มสักพัก ก่อนเอ่ยคำอธิบาย

    “จอห์น เกลน หลังจากที่เขาประกาศตัวเองเกี่ยวกับโคออดิเนเตอร์ในปี C.E. 15 โลกทั้งโลกก็อยู่ในภาวะวุ่นวาย เพราะนอกจากเขาจะหายตัวไปเฉยๆ แล้วเขายังทิ้งวิธยาการเกี่ยวกับการสร้างเผ่าพันธุ์โคออดิเนเตอร์ไว้อีกด้วย และแน่นอน ตอนนั้นโลกทั้งโลกก็เรียกได้ว่าอยู่ในภาวะสับสน ผู้มีอันจะกินทั้งหลายแหล่พยายามอย่างมากแม้ว่าจะเสียเงินทองมากมายเท่าไหร่เพื่อให้ได้ทายาทฉลาดล้ำเลิศเหมือนจอห์น เกลน นั่นคือความคิดของคนส่วนหนึ่ง...แต่ไม่ใช่ทั้งหมด...”

    “หมายความว่าเขาเป็นคนริเริ่มข้อพิพาทระหว่างเนเชอรัลกับโคออดิเนเตอร์งั้นสิ” หญิงสาวพึมพำตอบเบาๆ

    “ขณะเดียวกับเขาก็เป็นวีรบุรุษสำหรับพวกเรา เพราะเขาเป็นคนแรกและคนเดียวที่พบและนำซากฟอสซิลจากดาวพฤหัสมาได้ อีกทั้งยังเป็นคนออกแบบโครงสร้าง Plant ทั้งหมด ราวกับเป็นบิดาของเหล่าโคออดิเนเตอร์เลยก็ว่าได้...เธอไม่เห็นเหรอ? ผลผลิตที่งดงามของเขาน่ะ อารยธรรมอันเฟื่องฟูของโคออดิเนเตอร์? ”

    “ให้ตายพวกเนเชอรัลงี่เง่านั่นคิดผิดชะมัดที่สร้างหมอนั่นขึ้นมาแต่แรก” คางาริเผลอหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดนั้นเปรียบเหมือนกับการตบหน้าตัวเองอย่างไรชอบกล!! และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ...เธอกำลังเห็นด้วยกับความคิดอีตาซาล่าว่าหมอนี้คิดถูกอีกต่างหาก!!

    ระหว่างที่เธอกำลังช็อกค้าง อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออกอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มประธานสภากำลังยืนกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ พลางทอดนัยน์ตาสีเขียวมรกตมามองเธอด้วยประกายระยับ

    “เธอพูดเองนะ”

    “นายวางแผนให้ชั้นพูดอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ ชั้นรู้หรอก!!” คางาริตะโกนแหวกลับในทันที จริงๆ ถ้าทำได้เธอแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เลยเสียด้วยซ้ำ

    อับอายบรรพบุรุษจริงๆ!!

    “ความจริงยังไงก็คือความจริงวันยังค่ำน่า ยอมรับซะเถอะว่าเธอกำลังพูดดูถูกเผ่าพันธุ์ตัวเอง”

    “ชั้นเปล่าซักหน่อย!”

    “แต่เธอก็พูดไปแล้ว”

    “เปล่านะ!”

    “ยอมรับมาซะเถอะน่า”

    “อ๊ากกกกก!! คนอยากนายนี่มัน....!” เธอร้องออกมาอย่างหัวเสีย พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมไม่ให้ร่างเล็กๆ ของเธอสั่นเกินไปเพราะความโกรธเคือง

    เจ้าหมอนี่ๆ มันน่านัก...!!

    เร็วเท่าความคิด มือเรียวสวยตวัดคว้าหมับเข้าที่ต้นคอเสื้อของชายหนุ่มปากเสียเข้าทันที นัยน์ตาสีน้ำผึ้งถลึงจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความขุ่นเคือง แต่ระหว่างที่กำลังเงื้อหมัดหมายจะชกหน้าหล่อๆ ของประธานสภาหนุ่มให้สาแก่ใจนั้นเอง...

    “คางาริ เย็นก่อน!” เสียงห้าวๆ อันคุ้นเคยที่ดังขึ้นทำเอาหญิงสาวชะงัก

    “คิระ?” เมื่อเธอหมุนตัวกลับไปก็พบสาวน้อยร่างบางเจ้าของเรือนผมสีชมพูยาวสลวยกำลังยืนหลบอยู่ด้านหลังชายหนุ่มร่างสมส่วนเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอยู่เงียบๆ ซึ่งถ้าหากเธอตาไม่ฝาด คงเห็นแววตาเจือประกายผิดหวังปนอยู่ในนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่สวยนั้นวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะจางหายไปด้วยความรวดเร็ว

    ไอดอลสาวสวยแห่ง Plant ขยับรอยยิ้มบาง พลางเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลและระมัดระวัง

    “คางาริ ทุกอย่างเรียบร้อยดีรึเปล่าคะ?” คำถามที่สาวน้อยผมทองโงกหัวรับแทบจะทันที

    อัสรันสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้คู่หมั้นสาวก่อนจะเอื้อมมือโอบเอวบางเข้ามาหาตัวช้าๆ ลักซ์ตวัดสายตากลับมามองชายหนุ่มทันที ก่อนเอ่ยคำถามเดียวกันเรียบๆ

    “อัสรัน...ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมคะ?” ประธานหนุ่มเหลือบไปมองตัวต้นเหตุเมื่อครู่ที่อารมณ์เย็นลงแล้วพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบกลับ

    “ไม่มีอะไรหรอก เราก็แค่…มีเรื่องให้โต้วาทีกันเล็กน้อยเท่านั้นแหละ...” ลักซ์ผงกหัวรับ รอยยิ้มหวานสดใสระบายฉายบนดวงหน้างดงามอีกคราพลางเอ่ยตัดบทเรียบๆ

    “ทุกคนคะ ชั้นจองที่ๆ ดีที่สุดในร้านอาหารไว้แล้ว ไปกันเถอะค่ะ!” สิ้นคำร่างเพรียวบางก็หมุนตัวเดินนำออกไป หลังจากนั้นไม่นานคณะผู้ตามก็เดินออกจากพิพิธภัณฑ์ตามไปเป็นกระบวน

    + + + + + +

    ร้านอาหารที่ลักซ์เลือกมาเป็นร้านเรียบง่ายขนาดไม่ใหญ่มากนัก วัสดุส่วนใหญ่ถูกทำจากไม้ไม่ว่าจะเป็นทั้งโต๊ะและเก้าอี้ รวมทั้งของตกแต่งอื่นๆ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ร้านเล็กๆ แต่ก็พลุกพล่านด้วยผู้คนมากมายตั้งแต่วัยเด็กจนมาถึงวัยสูงอายุที่มักจะจับกลุ่มดื่มกาแฟอยู่เป็นกลุ่มในมุมหนึ่งของร้าน

    ผนังทุกด้านถูกทาเคลือบด้วยสีขาวและตกแต่งด้วยภาพวาดรูปต้นซากุระสีชมพูทำให้บรรยากาศภายในดูสว่างสดใส แม้ว่าที่นี่จะไม่มีเครื่องปรับอากาศเช่นร้านอาหารทั่วๆ ไป แต่สายลมเย็นๆ ยามบ่ายที่พัดผ่านมาทางหน้าต่างบานใหญ่ก็ให้ความร่มเย็นทางจิตใจเพียงพอแล้ว
    ลักซ์พูดถูกที่ว่าเธอได้จองโต๊ะที่ดีที่สุดของร้านอาหารแห่งนี้จริงๆ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ถูกปูรองด้วยผ้าลินินสีแดงเนื้อดีตั้งอยู่บนเฉลียงเล็กๆ ด้านนอกอาคารทำให้สามารถเห็นทัศนียภาพอันงดงามของสวนหลังร้านที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และดอกไม้หลายสีสันได้เป็นอย่างดี ตรงกลางสวนนั้นมีลานน้ำพุขนาดย่อมส่งเสียงจ๊อกแจ๊กดูร่มรื่น

    นอกจากนี้คิระยังกล่าวอีกว่าสวนแห่งนี้ปกติแล้วไม่ค่อยเปิดให้ใครเข้าชมมากนัก ยกเว้นในกรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น

    “คางาริ คุณต้องลองทานอาหารที่นี่นะคะ อร่อยมากเลยแถมราคายังไม่แพงอีกด้วยนะ” สาวน้อยผมสีชมพูแนะนำเสียงสดใส ในเวลานั้นเองที่หญิงสาวคนหนึ่งที่ท่าทางจะเป็นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาต้อนรับ

    พอเห็นหน้าหล่อนเต็มๆ ก็เล่นเอาคางาริเผลอตัวร้องเสียงหลงเลยทีเดียว...

    ผู้จัดการร้านแห่งนี้เป็นหญิงสาววัยปลายยี่สิบ ดูท่าทางใจดีสมกับใบหน้างดงามที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่โตมักฉายประกายอบอุ่นเป็นกันเอง ร่างเพรียวระหงอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวสะอาดจรดเข่าคาดด้วยผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน ในมือเธอถือเมนูอาหารสองเล่มมารับรองแขกผู้มีเกียรติบนโต๊ะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “ลักซ์! คิระ!” เธอทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นบุรุษอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย

    “ท่านประธานซาล่า...” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบาก่อนตวัดสายตาไปมองอีกหนึ่งผู้มาใหม่ข้างๆ

    หญิงสาวใช้เวลาพิจารณาสาวน้อยผมทองสักพักหนึ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด

    “เรา...เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าคะ...?”

    คำถามที่เล่นเอาคนฟังสะดุ้งโหยง โบกมือปฏิเสธแทบไม่ทัน

    “อ่าใช่..เอ๊ย ไม่ใช่ๆ ฮ่าๆ ! สงสัยคุณจะจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ! ฮ่าฮ่า!! ใช่เลย จำคนผิดแน่ๆ!!” คางาริพูดพลางหัวเราะกลบเกลื่อน รอยวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเนียนทันทีแม้เจ้าตัวจะพยายามฝืนยิ้มแหยๆ ตอบกลับไป

    แน่นอน...เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้...คางาริเคยเจอเธอครั้งหนึ่งตอนที่คิซากะพาเธอไปหลบภัยที่ Orb ระหว่างสงคราม แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้จัดการร้านอาหาร...แต่ในฐานะกัปตันยาน Morgenroete ต่างหากล่ะ...

    “เธอคือคางาริ ยูละครับ” คิระพูดพลางกดมือลงบนไหล่เธอ

    “คางาริ นี่คือเมอริว ราเมียส เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่น่ะ” คำแนะนำตัวที่คนฟังต้องยิ้มแหยรับอีกที เธอยืนมือไปจับเขย่าแรงๆ ก่อนชักกลับด้วยความรวดเร็ว

    ซวยแล้วไง...ผู้หญิงคนนี้รู้ตัวตนจริงๆ ของเราเสียด้วยสิ...ซึ้งใจในพระคุณคิซากะจริงจริ๊ง...

    “อ่า สวัสดีค่ะ”

    เมอริวยื่นมือไปทำความรู้จักกับสาวน้อยร่างเล็กตรงหน้าแต่โดยดีทั้งที่สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของเธอไม่กะพริบ

    “ชั้นคิดว่าเราต้องเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนแน่ๆ เลยนะ....” ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฉับพลันเธอก็เบิกตากว้างทันที!

    “ใช่จริงๆ ด้วย ชั้นเคยพบคุณที่ Orb!”

    คำกล่าวคราวนี้เล่นเอาเจ้าหญิงองค์น้อยสะดุ้งสุดตัว แก้ตัวเลิกลั่กเป็นพัลวัน “ Orb งั้นเหรอ...? ฮ่าฮ่าฮ่า คุณจำคนผิดแล้วล่ะ!! คราวนี้ผิดแน่ๆ แล้วล่ะ!!!”

    ลักซ์และคิระนิ่งสนิทในทันใด รอยประหลาดใจฉายให้เห็นในแววตาของคนทั้งคู่ ขณะที่อัสรันยังคงนั่งนิ่ง แต่สายตาจดจ้องไปที่เธอและเมอริวสลับกันไปมา ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ

    เมอริวกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อเรียกสติ ก่อนชักมือเรียวขึ้นแนบแก้ม พร้อมกับความรู้สึกผิดเกิดขึ้นท่วมท้นในจิตใจ

    “ตายจริง ชั้นคงจะจำผิดคนจริงๆ แหละคะ” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุดก่อนขยับยิ้มบางเบา

    “ว่าแต่ พร้อมจะสั่งอาหารรึยังคะ?”

    “ชั้นขออย่างเดิมล่ะค่ะ” ไอดอลสาวสวยตอบพร้อมรอยยิ้ม

    “ผมก็เหมือนกัน” คิระพูดพลางส่งเมนูคืนหญิงสาว

    “ผมขอเป็นกาแฟเข้มข้นพิเศษที่นึงแล้วกัน” ประธานหนุ่มเอ่ยขึ้นเรียบๆ เรียกสายตาตำหนิจากหญิงสาวคนนั่งข้างๆ ได้ทันที

    “นี่ยังบ่ายอยู่เลยนะคะอัสรัน คุณดื่มชาแทนจะดีกว่านะ” ลักซ์เอ่ยท้วง

    และก็แน่นอน...อัสรันพยักหน้ารับโดยไม่กล่าวอะไรซักแม้สักแอะ…

    ส่วนคางาริยังคงหมกมุ่นอยู่กับการนั่งจ้องเมนูต่อไป ความอยากอาหารของเธอตอนนี้แทบไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวรู้ตัวดีว่ากำลังถูกเมอริวจ้องมองอยู่โดยหางตาตลอดเวลา รอยยิ้มประหม่าปรากฏขึ้นทันที ก่อนจะสั่งอาหารสั้นๆ

    “ชั้นขอแบบเดียวกับคิระและลักซ์ก็แล้วกันนะ”

    ผู้จัดการร้านขยับปากกาจดรายการอาหารด้วยความคล่องแคล่ว ก่อนเธอพยักหน้ารับ

    “อาหารจะเสร็จเรียบร้อยในอีก 15 นาทีนะคะ” เมอริวพูดพลางวางกระดาษโน้ตไว้บนโต๊ะและส่งรอยยิ้มบางให้เธอ

    “คุณคางาริ ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ? ชั้นจะพาคุณไปดูเครื่องหมายการค้าของร้านเราสักหน่อยน่ะค่ะ” เธอพูดพลางขยิบตาให้ทีหนึ่ง ซึ่งคำสนับสนุนก็ดังขึ้นทันทีที่เธอกล่าวจบ

    “จริงด้วยสิ! คางาริ คุณต้องไปดูโลโก้ร้านนี้ให้ได้เลยนะคะ!” ลักซ์กล่าวพร้อมดวงตาเปล่งประกายระยับ เช่นเดียวกับคิระที่ร่วมผงกหัวเห็นด้วยทันควัน ส่วนอัสรันอย่าว่าแต่พูดอะไรเลย แค่ชายตามามองยังไม่ทำด้วยซ้ำ เพราะเจ้าตัวกำลังวุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือพิมพ์ในมือที่ดูจะสำคัญต่อชีวิตพ่อคุณอยู่เหลือเกินเงียบๆ

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งตวัดมองเพื่อนชายครู่หนึ่งก่อนเหลือบไปมองคุณเจ้าของร้านที่ยืนรออยู่ แล้วก็พยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ ร่างบางผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตามหญิงสาวอดีตกัปตันเรือไปด้วยจิตใจเป็นกังวล

    + + + + + +

    “นี่คือเครื่องหมายการค้าของร้านเราค่ะ” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้นขณะที่ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางสวนร่มรื่นหลังร้าน

    คางาริจ้องมองรูปภาพยานอวกาศที่เคยปรากฏอยู่ในความทรงจำชั่วครู่หนึ่ง ตัวยานทำจากเหล็กคุณภาพดีเปล่งประกายสะท้อนแสงสีเงินวิบวับ ใต้ภาพมีคำอธิบายเล็กๆ จารึกเอาไว้ชัดเจน

    อาร์คแองเจิ้ล

    รอยยิ้มบางปรากฏแต้มใบหน้าอดีตกัปตันสาวทันที “สวยใช่ไหมคะ คิดว่าท่านยังคงจำมันได้อยู่นะ เจ้าหญิง” คำกล่าวสุดท้ายนั้นแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

    คนมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงเบิกตากว้างขึ้นในทันใด “อ๊ะ เอ่อ...”

    “ความทรงจำของชั้นยังดีอยู่นะคะ คุณคางาริ ยูละ ชั้นจำคุณได้ค่ะ” เมอริวกล่าวขึ้นเรียบๆ

    “เอ่อ ชั้นหมายถึง....” คำพูดขาดหายไปช่วงหนึ่ง ในที่สุดคางาริก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ “โอเค คุณชนะแล้วล่ะ วางแผนอะไรอยู่กันแน่”

    คนอาวุโสกว่ามองเธอยิ้มๆ ก่อนเอื้อมมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ

    “ชั้นไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ แต่ชั้นยินดีจะช่วยเหลือคุณเสมอ ทุกที่ที่เวลา...พวกเราเองก็ติดหนี้ประเทศของคุณอยู่ไม่น้อย...จริงๆ นะ”

    เจ้าหญิงผมทองพยักหน้ารับช้าๆ “แล้วชั้นจะจำเอาไว้...ขอบคุณมาก”

    เมอริวขยับรอยยิ้มกว้าง ก่อนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    “คุณเนี่ยจริงจังจริงนะ! มาเถอะค่ะ กลับไปทานอาหารกันดีกว่า”

    + + + + + +

    ช่วงเวลาในการรับประทานอาหารกลางวันเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ต่างคนต่างลิ้มรสอาหารของตัวเอง หรือไม่ก็ลองชิมของคนอื่นๆ บ้างเป็นบางครั้ง

    ลักซ์ไม่ได้โกหกเลยเกี่ยวกับเรื่องรสชาติอาหารของที่นี่ หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อย เมอริวก็ออกมาส่งนอกร้านทั้งยังบอกอีกว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าอาหาร เธอกล่าวว่าแค่พวกเธอเข้ามาเยี่ยมก็รู้สึกดีมากแล้ว เมื่อทั้งหมดจะเดินออกจากร้าน คางาริสังเกตเห็นอดีตกัปตันสาวขยิบตาส่งให้เธอวูบหนึ่งแทนความหมายที่เธอเข้าใจว่า เหตุผลจริงๆ ก็คือเป็นมื้ออาหารต้อนรับการมาเยือน Plant ของเธอต่างหาก

    บรรยากาศยามบ่ายช่างเงียบสงบ ดวงอาทิตย์ไม่ได้แผดแสงร้อนจัดจ้านอย่างเช่นปกติ แต่ทว่ากลับทอประกายอบอุ่นเหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนหย่อนใจกลางสวนสาธารณะเป็นอย่างดี เจ้าหญิงเสียงเพลงเปิดกิจกรรมยามบ่ายด้วยการเลี้ยงไอศกรีมทุกคน ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าสีเขียวเฝ้ามองหมู่เด็กๆ วิ่งไล่ไปมาในสนามเด็กเล่นใกล้ๆ ด้วยความสนุกสนาน

    ตรงกลางสวนสาธารณะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งลักซ์และอัสรันเป็นฝ่ายริเริ่มความคิดที่จะเช่าเรือไปพายเล่นกลางน้ำเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย ซึ่งสาวน้อยผมสีชมพูก็โบกมือทักทายคางาริและคิระด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมาเป็นระยะ ตอนนั้นเองที่คางาริสังเกตเห็นว่าบุรุษตรงหน้าเธอเริ่มออกอาการเลื่อนลอยอีกแล้ว

    ชายหนุ่มเอื้อมมือทั้งสองข้างไปประสานกันไว้ใต้ศีรษะหลวมๆ ก่อนจะเอนตัวลงนอน นัยน์ตาสีม่วงรัตนชาติเหม่อมองท้องฟ้ากว้างไกลเบื้องบนอย่างไม่มีจุดหมาย ซึ่งปฏิกิริยาทุกอย่างอยู่ในสายตาสาวน้อยผมทองทั้งหมด หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อยลอบมองอาการบุรุษตรงหน้าสักพักด้วยความเงียบ

    “วันนี้สนุกไหมคางาริ?” เสียงทุ้มต่ำที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำเอาคนฟังหลุดตกใจออกจาภวังค์

    “อ่า อืม...แม้ว่าจะ...” เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหาวออกมาเบาๆ “...น่าง่วงนอนไปนิดก็เถอะ” นัยน์ตาสีอำพันค่อยๆ ปิดลงช้าๆ ก่อนหัวฟูๆ จะเอนลงกับพื้นหญ้าเบาๆ โดยไม่ลืมเอ่ยย้ำ

    “คิระ...ถ้าจะกลับแล้ว...อย่าลืม...ปลุกชั้นด้วยนะ” สิ้นคำกล่าวสุดท้าย เจ้าหญิงคำสำคัญแห่ง Orb ก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันยาวนาน
    ชายหนุ่มเฝ้ามองสาวน้อยผมทองข้างกายเอนตัวลงนอนอย่างเป็นสุขด้วยรอยยิ้มบางเบา จังหวะการผ่อนลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวคงจะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดรอบตัวอีกแล้ว คิระเอื้อมมือไปปัดเส้นผมซอยยาวประบ่าที่ลงมาปรกหน้าไปเคลียด้านหลังอย่างทะนุถนอม ก่อนจะตวัดสายตามองท้องฟ้าเบื้องบนเงียบๆ ต่อไป

    เพราะอะไรตัวเขาเองก็ไม่เขาใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนนับวันเขาจะยิ่งวางตัวห่างเหินกับอัสรันมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แล้ว...เขาแทบจะทนฟังลักซ์กล่าวถึงคู่หมั้นของเธอไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ ในตอนนั้นเองภาพไอดอลสาวน้อยหน้าหวานผมสีชมพูก็ผุดขึ้นมาในความคิด

    ทั้งหมดนี่เป็นเพราะลักซ์...ใช่...เขารู้...เขารู้มาตลอดว่าเกิดหลงรักคู่หมั้นของเพื่อนสนิทตัวเองเข้าให้แล้ว ผู้หญิงคนที่เขาสมควรที่จะปกป้อง...เขายังจำได้ดี ถึงตอนที่อัสรันเข้ามาขอร้องให้เขาช่วยดูแลลักซ์แทนเขา ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบรับทันทีโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ...แต่ก็ไม่นึกว่าจะปล่อยให้ตัวเองถลำมาไกลถึงขนาดนี้....

    ลักซ์เป็นคนสวย และอ่อนโยนในขณะเดียวกัน รอยยิ้มหวานสดใสที่งดงามที่สุดมักจะระบายฉายอยู่บนริมฝีปากกลีบกุหลาบได้รูปเสมอ หากแต่เธอไม่ได้อ่อนแออย่างเช่นภาพลักษณ์ภายนอก ในช่วงสงครามที่ผ่านมา เธอนำกำลังเคลื่อนพลออกสู่สนามรบเพื่อสันติภาพ และจากเหตุการณ์นั้น ชีวิตจำนวนมากมายที่รอดพ้นจากภัยสงครามเพราะเธอ นอกจากนี้ลักซ์ยังเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของทหารหลายคน

    เธอนั้นช่างบอบบางและสดใสเหลือเกิน ไม่ว่าเธอจะปรากฏตัวที่ใดและเมื่อไหร่ โลกทั้งโลกก็พลันสว่างไสวขึ้นทันตา ผู้คนรอบข้างต่างก็เบิกบานใจคล้อยตามรอยยิ้มของเธอได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นน้ำตาจากใบหน้างดงามราวรูปสลักนั้นเลยสักครั้ง เธอไม่เคยที่จะปรับทุกข์หรือแสดงออกมาให้ใครเห็น ลักซ์รู้วิธีที่จะจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ดีจริงๆ

    แต่ไม่ว่าเธอจะเป็นเทพธิดาที่ประเสริฐเลิศเลอสักเพียงใดก็ตาม เธอก็ยังเป็นลักซ์ ไคลน์...สาวน้อยจิตใจงดงามที่ตัดสินใจใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ดูแลเหล่าเด็กกำพร้าเหล่านั้น

    ....และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้เขารักเธอ....

    แม้จะรู้ตัวดีว่าคงเป็นได้แค่ฝัน...ลักซ์เป็นคู่หมั้นของอัสรัน และอัสรันก็เป็นเพื่อนรักของเขา ที่สำคัญ เธอรักเขาและพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาในอนาคต...นี่ต่างหากคือความจริงที่เขาควรจะต้องยอมรับเสียที เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นตัวเขาให้ออกห่างนักร้องสาวผมสีชมพูผู้งดงามคนนั้น...ความจริงที่ทำให้เขาต้องปวดใจทุกครั้งที่เห็นเธอส่งรอยยิ้มหวานสดใสให้กับเขา

    เขารู้ดีว่าในสายตาเธอเขาคงจะเป็นได้แค่เพื่อน....ไม่มากไปกว่านั้น....

    นั่นคือเป็นความจริงอันขมขื่นที่เขาต้องทำใจยอมรับ...

    + + + + + +

    “คางาริ...คางาริ ตื่นได้แล้วค่ะ” ลักซ์กล่าวพลางเขย่าตัวสาวน้อยร่างบางเบาๆ

    หลังจากที่เปลือกตาอันหนักอึ้งขยับเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลกระจ่างใสของไอดอลสาวสวยแห่ง Plant และนัยน์ตาสีม่วงลาเวนเดอร์อันอบอุ่นของคิระกำลังมองมาที่เธอพร้อมกับรอยยิ้ม

    หญิงสาวเปิดปากหาว พลางขยี้ตาไปมาสักพักก่อนเอ่ยถามงัวเงีย

    “อืมม มีอะไรเหรอ?”

    “นี่จวนจะค่ำแล้วนะคะ กลับกันเถอะค่ะ” ลักซ์เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

    ใช้เวลาสักพักกะพริบตาถี่ๆ ก่อนทวนคำซ้ำ “ค่ำแล้วเหรอ?” เมื่อคางาริเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนก็เห็นเป็นตามคำกล่าวของเพื่อนสาวจริงๆ ท้องฟ้าสดใสเมื่อยามบ่ายบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอมส้มยามอัสดงไปแล้ว

    จริงสิ....ชั้นหลับไปเป็นชั่วโมงแล้วนี่นา...

    ชายหนุ่มร่างสมส่วนอาสาช่วยพยุงเธอขึ้นมา ก่อนพูดแหย่เล่นอย่างอารมณ์ดี

    “นี่เธอตื่นแล้วหรือละเมออยู่กันแน่เนี่ย?” สิ้นคำหยอกกำปั้นแข็งๆ ก็ร่อนลงกลางกระหม่อมคนช่างเย้าทันที

    “นี่ชั้นดูเหมือนคนละเมอมากนักรึยังไงยะ” คางาริตอบกลับเสียงลอดไรฟัน ทำเอาคิระหัวเราะร่วน

    “ชั้นขอตัวก่อนก็แล้วกัน” เสียงทุ้มต่ำของประธานสภาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อเธอหันไปตามเสียงก็เห็นร่างสูงๆ ของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินกำลังเอนตัวพิงต้นไม้ขนาดใหญ่กลางสวนสาธารณะอยู่

    คิระหมุนตัวกลับไปหาเพื่อนรักของเขาก่อนดุนหลังหญิงสาวข้างกายไปข้างหน้าเบาๆ

    “งั้นนายก็ไปส่งลักซ์ด้วยเลยแล้วกัน อัสรัน เดี๋ยวชั้นจะไปส่งคางาริเอง”

    คำกล่าวที่เรียกสาวน้อยหน้าหวานให้หันกลับไปท้วงทันที “แต่เราไปด้วยกันก็ได้นี่คะ”

    คางาริส่ายหน้าปฏิเสธ “ชั้นกลับเองได้น่า”

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า ยังไงผมก็ต้องไปซื้อผักมาทำอาหารเย็นอยู่แล้วล่ะ” ชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์ตอบกลับทันควัน

    “คิระ เราไปด้วยกันก็ได้” อัสรันเอ่ยทักท้วงขึ้นอีกคนพลางตวัดนัยน์ตาสีมรกตคู่สวยมองหน้าเพื่อนรักนิ่ง ซึ่งคนถูกท้วงก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธหนักแน่น

    “ไม่เป็นไรหรอก อัสรัน...นายไปส่งลักซ์ที่บ้านเถอะ คางาริไปกันได้แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวตัดบทก่อนคว้าข้อมือสาวน้อยผมทองให้เดินตามมาด้วยกัน ลักซ์กำลังอ้าปากเตรียมจะประท้วงแต่ทว่ามือใหญ่ของคนมีศักดิ์เป็นคู่หมั้นกลับคว้าไหล่บอบบางไว้ได้ก่อน

    “กลับกันเถอะลักซ์ เดี๋ยวผมจะไปส่งเอง” คำกล่าวที่หญิงสาวจำต้องพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้

    + + + + + +

    “ชั้นเดินกลับบ้านเองได้จริงๆ นะ คิระ” สาวน้อยผมทองยังไม่ยอมละความพยายามที่จะเดินกลับอาพาร์ทเม้นต์คนเดียวให้ได้ ขณะที่เธอและชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์เดินเคียงคู่กันมาตามถนนสีหม่นๆ ของ Aprilius One

    “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า อีกอย่างผมก็ต้องผ่านทางนั้นอยู่แล้วด้วย” คิระกล่าวยิ้มๆขณะซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อ

    หญิงสาวยักไหล่อย่างยอมแพ้ขณะที่เหลือบมองสามสมาชิกครอบครัวเดินสวนออกมาจากร้านสะดวกซื้อ

    “บ้านชั้นน่ะอยู่แค่หัวมุมถนนนี้เองนะ รู้ไหม?”

    “ก็ไม่เป็นไรหรอกน่า”

    “นายนี่หัวดื้อจริงๆ!” คำบ่นที่คนถูกติต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    “โอเค ผมยอมรับก็ได้ ถึงแม้ว่าเธอก็จะหัวดื้อพอๆ กันก็เถอะ”

    “ชั้นจะทำเป็นว่าไม่ได้ยินแล้วกันนะ” คางาริสวนตอบทันควัน ทั้งคู่ต้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ อย่างอดไม่อยู่ จนคนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือไปขยี้หัวคนข้างๆ อย่างหมั่นไส้

    “ให้ตายนายนี่ ฉลาดเป็นกรดแถมยังฝีปากร้ายเหลืออีกต่างหาก!”

    คิระหัวเราะน้อยๆ ก่อนเอื้อมมือไปปฏิบัติอย่างเดียวกันกับหัวสีทองฟูฟ่องของสาวน้อยคนข้างๆ

    “เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ” ก่อนทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

    คู่ชายหญิงเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มายืนหยุดอยู่ที่หน้าอาพาร์ทเมนต์สีขาวหลังใหญ่ ซึ่งเจ้าบ้านหมุนตัวหันมากล่าวเย้าเขาเบาๆ

    “ไม่แน่นา บางทีเราอาจจะเป็นฝาแฝดกันก็ได้ ก็เราชอบอะไรเหมือนๆ กัน แถมยังปากร้ายพอๆ กันด้วยนี่เนอะ”
    ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้งกับความคิดของสาวน้อยร่างบาง

    “เอ ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าจะถือว่านั่นเป็นคำชมหรือคำตำหนิดีนะ” สิ้นคำกล่าวคนพูดจากำกวมก็เขกกะโหลกคนพูดไม่เข้าหูอย่างหมั่นไส้ ซึ่งคิระก็ทำได้แต่ร้องโอดครวญพลางคลึงบริเวณถูกประทุษร้ายเงียบๆ จากนั้นไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดออก เผยให้เห็นชายร่างยักษ์ผิวกร้านแดดออกมายืนต้อนรับ คิระจึงรีบก้มตัวลงโค้งอย่างสุภาพ

    “เอ่อ สวัสดีครับ” คิซากะพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยตอบกลับ

    “สวัสดีพ่อหนุ่ม”

    คำกล่าวทักที่คนฟังต้องเกาศีรษะดังแกร่กๆ เมื่อบรรยากาศหมองมัวชวนอึดอัดเริ่มโรยตัวขึ้นช้าๆ

    “เอ่อ...คือผมคงต้องขอตัวก่อน”

    “อ้าว จะไม่อยู่ทานอะไรหน่อยเหรอ?” คางาริเอ่ยท้วงขณะที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ซึ่งชายหนุ่มก็ส่ายศีรษะปฏิเสธเช่นเดิม

    “ไม่ล่ะ ผมยังต้องกลับไปซื้อผักก่อน ราตรีสวัสดิ์นะคางาริ ราตรีสวัสดิ์ด้วยนะครับ” คิระกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

    “บายคิระ! แล้วเจอกันนะ!!” คางาริกล่าวลาพลางโบกมือในอากาศไหวๆ คำกล่าวที่ทำเอาคนได้ยินถึงกับชะงัก

    “คางาริ ผู้ชายคนเมื่อกี้ชื่ออะไรนะ?” คิซากะเอ่ยถามขึ้นในทันที ใบหน้าของบอดี้การ์ดหนุ่มกลับมาเคร่งเครียดราวกับจมอยู่ในความคิดอีกครั้ง

    “ใคร...หมอนั่นนะเหรอ? คิระน่ะ คิระ ยามาโตะ” เธอตอบกลับเรียบๆ ก่อนหมุนตัววิ่งเข้าไปในบ้านทันที

    “โอย ให้ตายวันนี้เหนื่อยชะมัดเล้ยยย!! คิซากะ ไม่เข้ามาล่ะ?”

    คิซากะยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เฝ้ามองภาพแผ่นหลังชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์ที่ค่อยๆ ลางเลือนหายไปช้าๆ นัยน์ตาคมเข้มหรี่ลงฉับพลันขณะหมุนตัวเดินตามหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ไปเงียบๆ

    คิระ...คิระ ยามาโตะ.....หรือว่าคนๆ นั้น!!!???

    ดวงตาขึงเครียดเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อความทรงจำในกาลเก่าผุดขึ้นมาอีกครา

    ใช่ ผู้ชายคนนั้น......จริงๆ หรือนี่!!??

    ---------------------------To Be Continued...
  10. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    Chapter 8 -- Game Over

    นรกจริงๆ......

    ไม่มีคำไหนจะอธิบายช่วงเวลาตลอดหลายวันที่เธอต้องผจญได้ดีไปกว่าคำๆ นี้อีกแล้ว...เวลาทุกนาทีและชั่วโมงผ่านพ้นไปได้อย่างเชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึกของสาวน้อยผมทองที่กำลังปั้นหน้าเคร่งอยู่บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มที่รายล้อมไปด้วย....เอกสารงานหนาปึกๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้ฤกษ์ล้มลงมาทับตัวเธอเมื่อไหร่!!???

    นี่ชะตาชีวิตชั้นต้องมาจบลงเพราะเจ้ากองเอกสารบ้าๆ นี่รึเปล่านะ…?

    ความคิดชวนอกสั่นขวัญแขวงแล่นวูบขึ้นมาในบัดดล คางาริชักสีหน้าแหยครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหัวไล่มันออกไป นัยน์ตาสีอำพันคู่โตตวัดมองกองเอกสารบนโต๊ะที่ดูท่าจะไม่มีทางหมดง่ายๆ อย่างเหนื่อยหน่ายใจ

    ใช่แล้ว....งานบนโต๊ะเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรายงานสำคัญที่ต้องเสนอให้ประธานซาล่าเซ็นชื่ออนุมัติแทบทั้งนั้น ตามหน้าที่ของเลขาฯที่ดี เพราะฉะนั้น.................

    ก่อนหน้าจะส่งถึงเขา ก็ต้องส่งถึงเธอก่อน!!!!

    นี่ชั้นต้องอ่านเจ้ากระดาษปึกเบ้อเร่อนี่ทั้งหมดเลยรึยังไงเนี่ย!!!??


    “เฮ้อ” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ก่อนจะก้มหน้างุดๆ ทำงานต่อไป

    ถ้าจะให้พูดถึงบรรยากาศรอบๆ สำนักงาน ZAFT ขณะนี้เธอแทบจะพูดได้เต็มปากทีเดียวว่ามัน ‘เงียบสงบ’ จริงๆ ตอนนี้บรรดาพนักงานในออฟฟิศส่วนใหญ่ก็เลิกหยิบเรื่องที่ว่าเธอเป็นเนเชอรัลแสนน่ารังเกียจมาพูดกันแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องน่ายินดี.....เพราะคนส่วนใหญ่คงไม่อยากเจ็บเพราะโดนดัดเอ็นร้อยหวายอีกแล้วละมั้ง

    ตอนนี้คิซากะเองก็หางานที่เหมาะกับตัวเขาเองทำแก้เบื่อได้แล้ว งานนั้นก็ไม่ใช่งานเลิศหรูอะไรนักหรอก เป็นแค่งานช่างในบริษัทธรรมดาๆ เท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูมีความสุขกับการลงไปคลุกคลีกับเครื่องยนต์ท่ามกลางแดดร้อนๆ มากกว่าการนั่งกลิ้งไปกลิ้งมาในบ้าน

    ส่วนอัสรัน หมอนั่นก็กำลังวุ่นๆ อยู่กับการรับมือพวกกองทัพโลกที่ชอบเสนอตารางนัดมาให้ไม่รู้จักหยุดหย่อน แถมไม่ใช่แค่นัดประชุมธรรมดาเสียด้วยสิ คราวที่แล้วเป็นงานปาร์ตี้ส่วนบุคคลที่ถูกยกขึ้นมาอ้างว่าเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ เฮอะ...ไร้สาระสิ้นดี! ชักพอเข้าใจความรู้สึกหมอนั่นที่จงเกลียดจงชังเนเชอรัลไร้สมองพวกนี้ขึ้นมาเสียแล้วสิ....

    แต่ให้หมอนั่นไปออกสังคมกับเขาบ้างก็ดูท่าจะดี เพราะนอกจากงานประชุมงี่เง่าแบบนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้อัสรันแทบจะไม่ได้ลุกจากโต๊ะทำงานเลยก็ว่าได้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่กับกองเอกสารเท่าภูเขาบนโต๊ะ(เหมือนที่ชั้นกำลังเจออยู่ขณะนี้) กลอกสายตาไล่อ่านรายละเอียดเรื่องการเจรจาสันติภาพกับ EA ว่าด้วยเรื่องสนธิสัญญาการระเบิดของ Junius Seven แทบจะทุกตัวอักษร

    ถึงแม้จะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เธอก็รู้ดีว่าเขาคงรู้สึกอ่อนไหวกับหัวข้อนี่มากพอดู แต่อาจจะเป็นเพราะศักดิ์ศรีประธานสภาสูงสุดของ PLANT มันค้ำคออยู่กระมัง ทำให้เขาไม่ยอมแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นมากนัก

    หลังจากปล่อยให้ตัวเองจมกับความคิดอยู่นานพอดู เลขานุการสาวก็เริ่มได้สติก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดพรืดๆ แล้วลงมือทำงานตรงหน้าต่อทันที

    + + + + +

    สาวน้อยผมสีทองกำลังใช้เวลาว่างอันน้อยนิดที่มีอยู่ทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้อย่างของอย่างขะมักเขม้น...คางาริกำลังเจาะระบบฐานข้อมูลของ ZAFT อยู่ เพื่อสิ่งที่เธอเฝ้าฝันมาตลอด...เป้าหมายหลักในการมาเยือนที่นี่!

    ตลอดหลายวันที่ผ่านมาหญิงสาวทำได้เพียงแค่การวางแผนเพื่อเจาะระบบเข้าไปในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของประธานซาล่าเท่านั้น แต่คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเกิดพิเศษกว่าเครื่องอื่นตรงที่....ระบบภายนอกไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปข้างในได้

    เพราะฉะนั้นจึงมีอยู่เพียงทางเดียว.....นั่นคือ เธอจะต้องลอบเข้าไปเปิดดูในออฟฟิศของเขาเท่านั้น!

    เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเสาร์ เช่นเดียวกับเสาร์ทั่วๆ ไปที่เธอมักจะทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวบนสวนสาธารณะกลางใจเมืองเงียบๆ ในท่าปลายคางถูกวางไว้บนเข่าทั้งสองข้างที่ชันขึ้นมาชิดอก สายลมอ่อนๆ ยามบ่ายที่พัดเอื่อยๆ ทำให้เส้นผมสีทองยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงปลิวไสวน้อยๆ ตามแรงลม

    วันนี้ร่างบางอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตสีขาวขุ่นๆ กางเกงผ้าใบเข้ากับรองเท้ารัดส้นสีเข้มที่เธอชอบใส่อยู่เป็นประจำได้อย่างดี นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเหลือบไปมองสมุดโน้ตเล่มเล็กที่เธอเพิ่งอ่านข้อความข้างในจบ ความจริงแล้วพักหลังมานี้เธอชักรู้สึกว่าคิซากะมีท่าทีแปลกๆ ไป รู้สึกเหมือนกับว่าเขารู้อะไรบางอย่าง...ที่ไม่ต้องการจะบอกให้เธอรู้

    คิ้วบางได้รูปทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันในทันที เธอรู้ดีว่าคิซากะกำลังวางแผนอะไรซักอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย! เรื่องของเธอแท้ๆ แล้วจะปิดบังไม่บอกให้เธอรู้ได้ยังไงกัน!!!

    ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบสักพัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าท้องช้าๆ พลางเหลือบตามองนาฬิกาเรือนยักษ์ซึ่งตีบอกเป็นเวลา 10 : 30 นาทีแล้ว

    คางาริถอนหายใจแผ่วเบา ขณะนัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่สวยถูกตวัดขึ้นทอดมองท้องฟ้าเบื้องบน

    ปุยเมฆสีขาวเหล่านั้น...ดูอิสระดีจัง สามารถล่องลอยไปที่ไหนก็ได้ดังใจนึก...ความจริง ชั้นเองก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง....

    ไม่ได้!! อีกไม่กี่เดือนชั้นก็ต้องรับหน้าที่ดูแลประเทศแล้วนี่!!

    ความคิดค้านที่แล่นขึ้นมาทำให้ร่างบางต้องส่ายหัววืด

    ใช่...ชั้นต้องรับหน้าที่ทรงเกียรตินั้นก่อน....แล้วค่อยหาทางโยนมันทิ้งทีหลังแล้วกัน...

    เธอยิ้มให้กับความคิดนั้นในใจ แน่นอน...เธอไม่ยอมให้ฉายาเจ้าหญิงหัวดื้อนั้นสูญเปล่าอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เธอหนักอกหนักใจอยู่ตอนนี้ก็คือ จะเจาะระบบฐานข้อมูลของ ZAFT ในผ่านคอมพิวเตอร์ของอีตาซาล่านั่นยังไงต่างหาก

    เรื่องนี้ดูเหมือนว่าคิซากะเองก็จะวางแผนเตรียมเคลื่อนไหวไว้แล้ว...แล้วเธอจะยอมแพ้เขาได้ยังไงกัน!!!

    รอยยิ้มบางแห่งชัยชนะระบายฉายบนใบหน้าเนียนสวยทันที

    ใช่...เธอต้องหาวิธี...เธอจะลงมือภายในคืนนี้นั่นแหละ....ก่อนหน้าที่คิซากะจะรู้ตัว และสุดท้ายเธอก็จะเป็นผู้ชนะ!

    ความคิดที่ทำให้ร่างบางขยับรอยยิ้มไหววูบ แม้จะรู้แก่ใจดีว่ามันจะเป็นเพียงความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ก็ตาม แต่อย่างไรเสีย วันนี้ก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุด เนื่องด้วยเหตุผลแรก เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ ทำให้พนักงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครประจำอยู่ที่สำนักงาน ZAFT มากนัก และเหตุผลที่สอง เธอรู้มาว่าประธานซาล่ามีหมายกำหนดการจะกลับไปเยี่ยมท่านนายพลซาล่าที่ December City ในวันนี้ ดังนั้นความกังวลที่ว่าหมอนั่นโผล่พรวดมาจ๊ะเอ๋เธอตอนกำลังแฮคระบบข้อมูลนั้นโยนทิ้งไปได้เลย

    ระหว่างที่ร่างบางกำลังเพลินๆ กับการวางแผนอันยอดเยี่ยมในหัวสมองชั้นเลิศของเธออยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยก็ได้เอ่ยทักขึ้นเสียก่อน

    “คางาริ?”

    คำสั้นๆ ที่ทำให้คนถูกเรียกชื่อชะงักในทันที หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งก่อนจะเบือนหน้าไปสบกับนัยน์ตาสีม่วงลาเวนเดอร์แฝงแววความเป็นมิตรของคิระ ยามาโตะที่กำลังโบกมือให้เธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก

    เช่นเดียวกับครั้งอื่นๆ วันนี้ชายหนุ่มก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเลือดหมูและกางเกงผ้าเรียบๆ สีดำดูง่ายๆ สบายๆ ประสาคนไม่ค่อยชอบแต่งตัวนักอย่างเช่นเคย

    “คิระ!”

    คางาริจัดแจงท่านั่งตัวเองสักพักก่อนจะขยับรอยยิ้มหวานทักทายบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสดใส แม้ในใจจะติดงงๆ อยู่ไม่น้อยว่าทำไมคนๆ นี้มักจะชอบโผล่มาตอนที่เธอนั่งเหม่อลอยทุกครั้งไปสิน่า...

    รอยยิ้มแหยปรากฏฉายอยู่บนใบหน้าคมคายวูบหนึ่ง ก่อนมือใหญ่จะเอื้อมไปเกาหัวสีน้ำตาลหม่นๆ ที่มักดูไม่เป็นทรงอยู่เสมออีกครั้ง จนคางาริเองก็ชักจะสงสัยเหมือนกันว่าท่านี้เป็นท่าประจำของหมอนี่ก่อนจะเริ่มพูดทุกครั้งเลยหรือเปล่า...?

    “อ่า...คือผมกำลังจะเดินกลับบ้านน่ะ แต่พอดีเห็นเธอเข้า ดูท่าทางลอยๆ แปลกๆ เลยกะจะเข้ามาถามดูว่า...เป็นอะไรรึเปล่า?” คำกล่าวที่ทำเอาใบหน้าเนียนขาวเริ่มซับสีโลหิตแดงระเรื่อขึ้นมาในทันใด แม้เธอแสร้งทำเป็นปกปิดก็ตามที

    โดยส่วนตัวแล้ว เธอเองก็ไม่ค่อยถูกกับเหล่าคนดัดแปลงพันธุกรรมมากมายนัก สำหรับคิระนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะในสายตาเธอแล้ว คิระเป็นโคออดิเนเตอร์ที่ใจดีและน่ารักที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมา ส่วนลักซ์นั้น เธอเป็นกรณีพิเศษ เพราะคางาริรู้สึกว่าเจ้าหล่อนเปรียบเสมือนเทพธิดาที่ประเสริฐเกินกว่าจะนับเป็นคนธรรมดาแบบเราๆ เสียด้วยซ้ำไป

    “แล้วนายมาทำอะไรแถวนี้น่ะ” คิ้วเข้มถูกเลิกขึ้นทันทีเมื่อสิ้นคำถาม ก่อนถุงพลาสติกใสหลากหลายสีสันจะถูกชูขึ้นแทนคำตอบกลายๆ

    “มาซื้อของสำหรับอาหารเย็นน่ะ” ชายหนุ่มตอบสั้นก่อนจะทรุดตัวลงบนม้านั่งใกล้ๆ สาวน้อยผมทอง

    “วันนี้คางาริอยากกินอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม?”

    “อืมม ถ้าเป็นไปได้ชั้นอยากจะกินอาหารเผ็ดๆ น่ะ...” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

    “ชั้นชอบอาหารรสจัดที่สุดในโลกเลย!”

    ใช่...เธอชอบอาหารทุกชนิดที่รสชาติจัดจ้านเป็นที่สุดจริงๆ นั่นแหละ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คิซากะมักจะย้ำนักย้ำหนาว่าสตรีที่ดีไม่ควรมีรสนิยมชอบทานของเผ็ดก็ตาม เขาให้เหตุผลว่ามันจะทำให้ภาพลักษณ์เธอดูก้าวร้าวไม่คู่ควรกับตำแหน่งเจ้าหญิง แต่จนถึงตอนนี้คางาริก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเรื่องอาหารกับการเป็นกุลสตรีที่ดีนั้นมันเกี่ยวข้องกันยังไง และอีกอย่าง...คิซากะก็ยังคงเป็นคิซากะ

    จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยห้ามเธอไม่ให้ทำในสิ่งที่ชอบได้สักที...

    รอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปากคนฟังเริ่มขยับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างขึ้นมาในทันใด นัยน์ตาคู่สวยเริ่มส่องประกายฉายแววถูกใจเล็กน้อย

    “จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเธอน่าจะลองทานอาหารฝีมือผมดูบ้างนะ!” คำชักชวนที่เรียกความสนใจคางาริได้ชะงัดนัก หญิงสาวหันขวับกลับไปจ้องหน้าคนพูดแทบจะทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าสีตาตื่นเต้นเป็นที่สุด

    “ทำไมล่ะ? นายทำอร่อยรึไง??”

    สีหน้าเหรอหราที่เริ่มขึ้นสีเล็กน้อยของคิระ เรียกรอยยิ้มจากเธอได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

    คนๆ นี้ดูน่ารักจริงๆ เวลาอายหน้าแดงแบบนี้

    “ผมไม่ได้อยากจะอวดตัวอะไรหรอกนะ แต่ว่า....อ่า เย็นนี้ผมกะว่าจะทำอาหารแนวนั้นอยู่พอดีเลย…” แต่แล้วคำพูดอึกอักก็ต้องชะงักเมื่อเขารู้สึกถึงแรงตีเบาๆ บนหน้าขา เมื่อหันกลับไปมองก็พบเพื่อนสาวตัวยุ่งกำลังฉีกยิ้มแก้มปริมองมาที่เขาด้วยแววตาเป็นประกาย

    “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรทำอาหารให้ชั้นลองชิมบ้างแล้วล่ะ ถ้าขืนนายแค่โม้ฟรีๆ ละก็...นายเจ็บตัวแน่!”

    คิระหัวเราะให้กับคำขู่นั้น ใจหนึ่งก็นึกขำกับวิธีการพูดจาของสาวน้อยร่างบางตรงหน้า ขณะที่อีกใจหนึ่งก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ ชายหนุ่มระบายรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยชักชวนเสียงใส

    “อยากมาร่วมทานมื้อเย็นกับเราไหมล่ะ? ลักซ์จะต้องดีใจมากแน่ๆ เพราะดูเธอจะชอบใจคางาริมากนะ ตั้งแต่วันนั้นก็ยังพูดถึงให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ เลย”

    สิ้นคำชม ดวงหน้าขาวก็เริ่มขึ้นสีชมพูปลั่ง พลางยกมือเล็กที่จู่ๆ ก็รู้สึกเกะกะขึ้นมาเสียเฉยๆ เกาหัวสีทองยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบทันควัน

    ก็ทำไงได้ล่ะ...การที่ผู้หญิงอย่างลักซ์เกิดมาประทับใจสนใจในตัวเธอนั้น แค่นึกก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว คิดว่า...คงเป็นความปลาบปลื้มใจในคำชมที่นานๆ จะมีสักทีละมั๊ง...

    “อ่า...ได้สิ” ระหว่างจะตกปากรับคำ แผนการในคืนนี้ก็เข้ามาขัดในสมองเสียก่อน หญิงสาวจึงรีบพูดปฏิเสธเป็นพัลวัน

    “อ๊ะไม่ได้! อ่า...ชั้นหมายถึงวันนี้คงไม่สะดวกน่ะ...เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ...” คำพูดที่ทำเอารอยยิ้มคนฟังเจื่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม

    “อ่าไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาหรอก”

    แล้วเรื่องนี้ก็ถูกพับเก็บไว้ ก่อนสองหนุ่มสาวจะเริ่มหาหัวข้อสนทนาใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ โดยรวมๆ แล้วส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องอาหารเผ็ดทั้งหลาย ผู้เชี่ยวชาญอย่างคางาริเริ่มสาธยายถึงพันธุ์ของพริกชนิดต่างๆ ที่ปลูกอยู่ในโลกและรสชาติของแต่ละชนิดอย่างเมามัน ขณะที่คิระเองก็อธิบายถึงกรรมวิธีการปลูกพริกบน PLANT ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยให้หญิงสาวฟังเช่นกัน แม้ว่าสุดท้ายเธอจะทำปากยื่นปากยาวไม่ยอมรับมันก็ตามที

    “ยังไงชั้นก็คิดว่าพริกที่ปลูกด้วยกรรมวิธีธรรมชาติบนโลกคือสุดยอดอยู่ดีนั่นแหละ” ท่าทางเอาจริงเอาจังของเธอทำเอาชายหนุ่มหลุดหัวเราะพรืดอย่างฝืนไม่อยู่

    “ไม่รู้สินะ ผมเองก็ยังไม่เคยลงไปที่โลกเสียด้วยสิ” เขาพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะตวัดดวงตาสีม่วงรัตนชาติขึ้นเหม่อมองท้องฟ้ากว้างไกลเบื้องบน

    “บางที...ที่นั่นอาจจะเป็นสรวงสวรรค์อันแสนวิเศษก็ได้นะ”

    หญิงสาวได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแต่มองตามเขาไป พร้อมกับทิ้งตัวเองให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึงอีกครั้ง

    “รู้อะไรไหม...ความจริงแล้วทั้ง PLANT และโลกเอง ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนักหรอกนะ” แล้วความคิดของเธอก็ไปหยุดลงที่ ORB

    …..



    ‘คางาริ! มานี่สิ!! มาเล่นกัน!!!’
    เสียงเซ็งแซ่ของเหล่าเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานแล่นเข้ามาในโสตประสาทความรู้สึกของเจ้าหญิงแห่งดินแดนโลก

    เด็กๆ เหล่านั้น...แม้จะเสียงดังไปหน่อย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสดใสที่ไม่ว่ามองเท่าไหร่ก็เห็นเพียงแต่ความบริสุทธิ์



    ..

    ‘คางาริ....พ่อชั้นถูกฆ่าตายเสียแล้วล่ะ....’

    ใช่ เธอยังจำเสียงนั้นได้ดี เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเหล่าเด็กๆ ที่เคยแจ่มใสเหล่านั้น...เด็กน้อยที่บัดนี้ไร้ซึ่งที่พักพิง เพราะสถานที่อันแสนอบอุ่นใจที่เขาเรียกว่าบ้านถูกทำลายไปพร้อมกับไฟสงครามเสียแล้ว...และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ....บางส่วนสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รัก...

    ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะสงครามงี่เง่าเมื่อสามปีก่อนนั้นแท้ๆ!

    “คางาริ?”

    เสียงเรียกของชายหนุ่มข้างกายทำเอาหญิงสาวหลุดออกจากภวังค์

    “หือ??” เธอเอ่ยกลับทั้งยังติดมึนงงอยู่หน่อยๆ เวลาผ่านไปสักพักก่อนที่เธอจะคลี่ยิ้มเจื่อนออกมาพลางแก้ตัวอ้อมแอ้ม

    “อ่าชั้น...เผลอตัวเหม่ออีกแล้วสินะ” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏฉายอยู่บนใบหน้าขาวติดดูดีนั้น ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยถามอย่างใจดี

    “แล้ว...คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?”

    “อ่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก แค่คิดถึง...บ้านเท่านั้นละมั้ง” คางาริพูดพลางหลุบสายตาลงต่ำ ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสบางเบาที่แตะบนหน้าตัก

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า..นะ” เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยปลอบข้างหูทำเอาใบหน้าขาวซับสีเลือดแดงก่ำโดยที่เธอไม่มีปัญญาจะหลบซ่อนได้เลย นอกจากก้มหน้างุดๆ หลบสายตาเจือความอ่อนโยนที่มองมาเงียบๆ เท่านั้น พร้อมกับรอยยิ้มพึงใจที่แต้มริมฝีปากกลีบกุหลาบเบาบาง ก่อนหญิงสาวจะพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบรับ

    ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ กับภาพที่เห็นก่อนนัยน์ตาสีม่วงจะเบิกกว้างเมื่อเรื่องบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว

    “ตายล่ะ ผมลืมซะสนิทเลย!! ลักซ์อยากได้แป้งสาลีด่วนมากถึงด่วนที่สุดเลยนี่นา!” คิระขยับตัวลุกขึ้นยืนแทบจะทันที มือกร้านคว้าหยิบถุงพลาสติกทั้งหมดที่กองรวมไว้แถวนั้นขึ้นพร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมจะวิ่งออกไป โดยไม่ลืมส่งสายตาเชิงขอโทษมายังคางาริ

    “อ่า ผม......” โดยไม่ต้องรอคำกล่าว หญิงสาวแตะไหล่คนตัวสูงกว่าเบาๆ เป็นเชิงสั่ง

    “ไปเถอะน่า นายไม่ควรจะให้ลักซ์รอนานนะ” คิระพยักหน้ารับก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งออกไปจากสวนสาธารณะ

    คางาริเฝ้ามองแผ่นหลังของชายหนุ่มร่างสมส่วนที่เลือนหายไปช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นการผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิมพลางเหลือบสายตาขึ้นทอดมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนปล่อยให้ความคิดทั้งหมดกลับไปจดจ่อกับแผนการเดิมที่เธอตั้งใจจะลงมือในคืนนี้อีกครั้ง...

    + + + + + +

    คงเพราะความรู้สึกที่ถาโถมเข้าสู่จิตใจเขาตอนนี้มีมากเกินไป และยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เลยทำให้ประธานสภาสูงสุดแห่ง PLANT ตัดสินใจออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนน Aprilius ในยามนี้ การที่ร่างสูงที่อยู่ในชุดไปรเวทธรรมดาพร้อมด้วยแว่นกัดแดดสีดำสนิทนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับเขา...อัสรัน ซาล่าที่จำเป็นต้องปกปิดตัวเองอยู่ตลอดเวลา

    ถึงแม้ว่าอัสรันจะมีกิตติศัพท์โด่งดังเรื่องความเย็นชาที่อุณหภูมิติดลบเสียยิ่งกว่าดาวพลูโตก็ตาม แต่อย่างเสียเขาก็เคยเป็นคนที่มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ภายใน เพียงแต่พยายามจะปกปิดมันไว้เท่านั้นเอง

    ความทรงจำอันอบอุ่นเมื่อวันวานยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาอยู่เสมอ เขายังคงจำได้ดี เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก อัสรันมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ปั่นจักรยานเยี่ยมชมร้านรวงต่างๆ ในตัวเมือง December City พร้อมกับลีนัวร์ ซาล่า..แม่ของเขาเป็นประจำ โดยมีร่างสูงๆ ของแพทริก ซาล่าตะโกนโหวกเหวกให้หยุดรอไล่หลัง ซึ่งพวกเขาก็ตอบรับด้วยการรีบปั่นจักรยานหนีให้เร็วขึ้น โดยไม่สนใจในสิ่งที่ประธานสภา ZAFT เลย

    ใช่...เหตุการณ์เหล่านั้น บัดนี้ก็กลายเป็นแค่ความทรงจำ...

    ชายหนุ่มยักไหล่สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนกวาดนัยน์ตาสีมรกตคู่สวยพิจารณาถนนรอบด้านใหม่อีกครั้ง การระลึกถึงความทรงจำในวัยเด็กล้วนเป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับเขา ถึงแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังทำใจยอมรับการตายของบุพาการีคนสำคัญยิ่งของเขาไม่ได้เสียที

    ถนน Aprilius city ที่ทอดยาวไกลออกไปสุดลูกหูลูกตานั้นต่างประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เหล่าวัยรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาต่างก็วิ่งหยอกล้อกันเป็นกลุ่มๆ อย่างสนุกสนาน ดูมีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจ หลายๆ ครั้งที่อัสรันอดรู้สึกอิจฉาเด็กเหล่านั้นไม่ได้...เพราะเมื่อเขาอายุประมาณเด็กพวกนี้ก็ต้องถูกส่งไปรบในแนวหน้าเสียแล้ว เพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำคัญยิ่ง คือ...การปกป้องบ้านเกิดด้วยชีวิต...

    และเพียงแค่ไม่กี่ปี...เขาก็ต้องปกครองประเทศที่เขาเคยปกป้องไว้ด้วยชีวิตอีกเช่นกัน...

    พระเจ้าช่างเล่นตลกให้เขาผูกผันอยู่เพื่อประเทศชาติจริงนะ...

    ร่างสูงถอนหายใจแผ่วเบา พลางสาวเท้าเดินต่อไป ก่อนที่จะหยุดนิ่งที่หน้าร้านไอศกรีม...ความจริงเขาเองก็ไม่ใช่คนชอบขนมหวานนัก แต่นานๆ กินทีคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...

    และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าขาทั้งสองข้างนำพาตัวเองให้เดินหลุดเข้ามาอยู่ในสวนสาธารณะเสียแล้ว

    ในตอนแรกเขากะจะหมุนตัว 180 องศาเพื่อที่จะเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอยู่แล้วทีเดียว ถ้าประสาทหูอันยอดเยี่ยมของเขาไม่ได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคยเข้าเสียก่อน

    “คางาริ?”

    ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น ก่อนร่างสูงจะกระโดดวืดไปหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่พลางเอี้ยวตัวเหลือบมองไปยังต้นตอของเสียงอย่างอยากรู้อยากเห็น...แล้วสิ่งที่แล่นเข้าคลองจักษุก็คือภาพเพื่อนรักกับเลขาส่วนตัวของเขากำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตรงม้านั่งกลางสวนสาธารณะ

    ใบหน้าคมคายก้มโน้มต่ำลงมายิ่งขึ้น พยายามเงี่ยหูเพื่อที่จะฟังบทสนทนานั้นให้ได้ถนัด โดยที่แผ่นหลังยังคงแนบสนิทกับต้นไม้ต้นใหญ่ที่ไม่ไกลจากม้านั่งนั้นมากนัก (ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรทำไมต้องหลบด้วย) ประธานหนุ่มยืนนิ่งเก็บรายละเอียดบทสนทนาของหนุ่มสาวทั้งคู่โดยไม่ขาดตกซักอย่าง

    อาหารรสจัดงั้นเหรอ...คิดพลางชักสีหน้าแหย เพราะตัวเขาเองไม่ใช่คนที่โปรดอาหารประเภทนี้มากนัก....ถ้าจะพูดให้ถูก...เขากินของแบบนี้ไม่ได้เลยมากกว่า…

    เสียงหยอกล้อพูดคุย และสีหน้าเอาจริงเอาจังของสาวน้อยผมทองขณะโต้คารมกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอย่างเมามันทำเอาเขารู้สึกสะกิดใจแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก จนในที่สุดชายหนุ่มก็กระตุกคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เมื่อความรู้สึกหงุดหงิดประหลาดเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาในใจ

    คิระ...นายชักจะยุ่มย่ามกับเลขาฯ ส่วนตัวของชั้นมากเกินไปหน่อยแล้วมั๊ง..!!

    ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักนิสัยเพื่อนรักของเขา...แต่อัสรันรู้จักดีทีเดียว…

    คิระอ่อนโยนเกินไป!!

    จริงอยู่ที่มันอาจจะดูงี่เง่าไปบ้างที่เขา..ประธานสภาสูงสุดแห่ง PLANT ผู้ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อการสมานสัมพันธ์อันดีระหว่างเนเชอรัลในทางการเมืองจะจงเกลียดจงชังคนเหล่านี้เข้ากระดูกดำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายามทำความเข้าใจหรอกนะ...ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาพยายามแล้ว...เขาเคยแม้กระทั่งหวังลมๆ แล้งๆ ว่าวันหนึ่ง ความรู้สึกรังเกียจเนเชอรัลนี้จะเลือนหายไปกับกาลเวลา...วันหนึ่งที่เขาจะสามารถเป็นได้เหมือนลักซ์และคิระ ที่สามารถพูดคุยกับเหล่าเนเชอรัลได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

    ความจริงเขาก็ทำได้ดีมากแล้วในช่วงระยะหลังที่ผ่านมา อัสรันสามารถพูดคุยกับเหล่าเนเชอรัลได้โดยลดทอนสายตาดูถูกดูแคลน และคำพูดเชือดเฉือนบาดใจลงไปได้บ้าง...แต่...ขอยกเว้นแม่เลขาฯ สาวของเขาไว้สักคนแล้วกัน...เพราะสำหรับเขาแล้ว เธอคนนี้พิเศษกว่าคนอื่น...
    นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องอยู่ที่ภาพเบื้องหน้าไม่วางตา ภาพที่เพื่อนรักส่งรอยยิ้มให้หญิงสาวผมทองที่ไม่นานก็คลี่ยิ้มตอบกลับมา

    รอยยิ้มที่จริงใจและอ่อนหวานที่เขาไม่เคยได้รับเลยแม้สักครั้ง...แต่เธอกลับยิ้มให้หมอนั่น...ง่ายๆ เลยอย่างนั้นหรือ??

    เจ็บ....

    เป็นความรู้สึกที่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกบีบรัดแปลกๆ ในอก...เจ็บเข้าไปถึงในหัวใจ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้มีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บที่ไหนสักหน่อย ครั้งหนึ่ง...เขาก็เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน นานมาแล้ว...เมื่อตอนที่พ่อของเขาเริ่มเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับงาน โดยละทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลัง ตอนนั้นเขายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจอะไรได้ มีหลายครั้งที่เขาแอบไปร้องไห้ และทุกครั้งแม่มักจะพูดปลอบเขาอยู่ข้างๆ เสมอ...

    ‘อัสรัน ที่คุณพ่อทำงานหนักก็เพื่อพวกเราทุกคนนะจ๊ะ ดังนั้นอย่าเกลียดคุณพ่อเลยนะ เราควรนึกถึงจิตใจท่านบ้าง อย่ารู้สึกอิจฉาที่ว่าพ่อรักงานมากกว่าพวกเรา เพราะว่า.....ยังมีคนที่ต้องการเขามากกว่าที่เราต้องการนะ’

    คำพูดปลอบโยนเมื่อสมัยอดีตดังสะท้อนอยู่ในหัวของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะเบิกกว้างเมื่อคำๆ หนึ่งสะกิดใจเขาอย่างแรง

    อิจฉา...งั้นเหรอ?

    จริงอยู่...บางทีเขาอาจจะอิจฉาจริงๆ ก็ได้...แต่ทำไมล่ะ!? เขาอิจฉาที่เพื่อนและคู่หมั้นของเขาต่างทำดีกับเนเชอรัลงั้นหรือ? ไอ้พวกเนเชอรัล ข้าแต่พระเจ้า! เขาเคยสาบานต่อหน้าหลุมศพท่านแม่มาแล้ว ว่าอย่างไรเสียเขาก็จะไม่มีวันยกโทษให้เหล่ามนุษย์โสมมนี่เด็ดขาด!!! ดังนั้น นี่คงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขานึกอิจฉาขึ้นมาได้หรอก...

    บางทีเขาอาจอิจฉาหล่อน...ใช่...อิจฉาในอิสระที่เธอมี อิสระที่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามที่เธอต้องการ อิจฉาที่เธอมีเพื่อน...แม้ว่าความสามารถของเธอไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย แต่ยังไงเสียเธอก็ยังมีเพื่อนที่รักและหวังดีต่อเธออย่างจริงใจ..นึกอิจฉาเธอที่มีชีวิตปกติสุข

    สิ่งที่อัสรัน ซาล่าไม่เคยมีและไม่มีวันที่จะได้มา...

    + + + + + +

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ด้านนอกอาคาร ZAFT อีกครั้งด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

    ตอนนี้เป็นเวลา 20 : 00 นาฬิกา

    หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ หมายจะให้ระบบประสาทที่ตึงเครียดทั่วร่างได้ผ่อนคลาย ขณะนี้ร่างบางอยู่ในชุดรัดกุมสีเขียวที่ช่วยให้เธอพรางตัวเข้ากับต้นไม้โดยรอบได้อย่างดี สวมทับด้วยเสื้อเทรนซ์โค้ดยาวอีกชั้น รองเท้าบูท ถุงมือหนังและหน้ากากสีดำสนิทที่ถูกเตรียมพร้อมเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้โดยเฉพาะ

    ครั้งหนึ่งมิลลี่เคยบอกเธอว่าชุดนี้เป็นชุดยูนิฟอร์มทั่วไปของทหาร PLANT เธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะแอบฉวยติดมือมาด้วย อย่างน้อยคนที่อาจจะพบเห็นเธอจะได้ไม่นึกว่าเธอเป็นผู้หญิง...

    คางาริกระชับอุปกรณ์ในมือแน่น คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก ดิสก์เก็บข้อมูล ไฟฉายและปืนพกที่เตรียมพร้อมมาเรียบร้อย
    สาวน้อยหน้าหวานระบายลมหายใจออก พลางใช้มือสองข้างรวบผมสีทองยาวประบ่าขึ้นไปมัดไว้อย่างหลวมๆ ก่อนสวมหน้ากากคลุมทับอีกชั้น

    ทุกอย่างต้องไม่มีคำว่าพลาด!

    ความจริงกว่าเธอจะหลบคิซากะหนีออกมาได้ก็แทบแย่ ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมาบอดี้การ์ดหนุ่มเข้ามาเช็คที่ห้องของเธอเป็นระยะๆ นัยน์ตาคมเข้มฉายแววตึงเครียดประหลาดตลอดเวลาจนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกระแวงลึกๆ ในใจ

    แม้ในช่วงเวลาอาหารเย็น เขาก็ยังคงตามติดเธอหนึบไม่ปล่อย ชายหนุ่มสอดส่องสายตาอย่างระแวดระวังผิดปกติเสียจนเธอนึกกลัวว่าเขารู้ในสิ่งที่เธอคิดจะทำแล้วด้วยซ้ำ!! (คิดพลางกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ขืนคิซากะรู้เข้า หมอนั่นคงต้องพังประตูเข้ามาจับตัวเธอมัดผูกติดกับเสาเตียงเป็นการกันทำอะไรห่ามๆ เป็นแน่แท้) แม้กระทั่งก่อนจะออกไปข้างนอก เขายังไม่ลืมจะทิ้งโน้ตตัวเบ้อเร่อเขียนกำชับเธอไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ อย่างเช่นเคยอีก

    ชัดเลย...คิซากะต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ...และเธอก็ไม่มีความอดทนพอที่จะรอฟังเฉลยเสียด้วยสิ...

    เธอต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง!


    หลังจากเสียเวลาทั้งวันนั่งวางแผนในห้องอยู่นาน คางาริก็เกิดหมดความอดทนในการคิดแผนซับซ้อนขึ้นมาเสียก่อน เธอจึงวางแค่แผนการง่ายๆ ดังนี้ :

    อย่างแรก ต้องแอบเข้าไปในสำนักงาน ZAFT ให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาทางหลบเข้าไปในห้องทำงานของประธานซาล่า เปิดคอมพิวเตอร์ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Orb เซฟใส่ในดิกส์ ทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้งเสียแล้วก็ชิ่ง!!

    แค่นี้เอง...ง่ายจะตายไป...

    แม้จะพยายามบอกตัวเองเช่นนั้นแต่ความวิตกก็ไม่ได้คลายหายไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเลย หญิงสาวครางเบาๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งโดยใช้ต้นไม้ต้นใหญ่หน้าสำนักงานเป็นเครื่องกำบัง

    มันเป็นเรื่องที่งี่เง่าสิ้นดี...นี่เธอคิดจะแอบลอบเข้าไปในอาคารโดยปราศจากคนดูต้นทางได้ยังไงกัน!!??

    บางที....ถ้าบอกคิซากะอยู่ด้วยน่าจะช่วยอะไรได้เยอะ...

    ความวิตกในใจทำเอาร่างบางเริ่มสะท้านไปทั้งร่าง อาจมีอะไรเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา...บางที เธออาจถูกจับได้ทั้งที่ยังไม่ทันถึงประตูด้วยซ้ำ...คิดแล้วร่างทั้งร่างก็หนาวยะเยือก

    นี่เจ้าหญิงแห่ง Orb เกิดขี้ขลาดขึ้นมาอีกแล้วรึไง?

    เสียงแผ่วเบาที่ดังก้องในหัวทำเอาคิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากัน

    ไม่...ชั้นไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย...

    เกิดรู้สึกกลัวพวกโคออดิเนเตอร์ขึ้นมารึยังไง เจ้าหญิง...?

    คราวนี้นัยน์ตาเหลืองอำพันถึงกับเบิกกว้าง

    เจ้าความคิดบ้าๆ นี่กล้าดียังไงมาดูถูกเธอ!!?? คนอย่างชั้น! คางาริ ยูละ อัสฮาคนนี้ ไม่เคยกลัวโคออดิเนเตอร์ หน้าไหนทั้งนั้น!! และชั้นก็ไม่ได้อ่อนแอด้วย!! เรื่องขี้ขลาดเหรอ...เฮอะ! ลืมเสียเถอะ!

    เมื่อตัดสินใจได้เรียบร้อย ร่างบางก็ผุดลุกขึ้นแทบจะทันที หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเพื่อความไม่ประมาท มือเรียวเล็กกำอัญมณีสีแดงรอบคอเธอแน่น คางาริหลับตา สูดลมหายใจเข้าอย่างลึกที่สุด ก่อนจะแฝงร่างกลืนไปกับเงามืดเข้าไปในอาคารสูงเสียดฟ้าอย่างเงียบกริบ

    อย่างไรเสียเธอก็จะต้องเข้าไปในสำนักงานให้ได้ แม้จะต้องผจญกับบรรยากาศเงียบงันชวนอึดอัดใจก็ตามที

    + + + + + +

    เหนือความคาดหมาย...ไม่เคยคิดเลยว่า การลอบเข้ามาในสำนักงาน ZAFT นั้น....มันจะง่ายดายขนาดนี้!!

    หญิงสาวเลือกที่จะใช้ประตูฉุกเฉินด้านหลังตึกสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นทางเข้าที่คนไม่ค่อยผ่านมากนักเข้ามาในอาคารเรียบร้อยแล้ว เรื่องแปลกประหลาดอีกเรื่องก็คือประตูทางเข้าที่ควรจะลงกลอนแน่นหนากลับเปิดออกได้อย่างง่ายดาย

    มือเรียวคว้าลูกบิดประตูแน่น ความเย็นของโลหะซึมเข้าสู่ผิวบอบบางช้าๆ หญิงสาวหลับตาแน่น เพียงแค่เสียงคลิกเดียว ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกและปิดลงอย่างแผ่วเบา

    กึก..

    กึก..


    เสียงรองเท้าบูทหนังส่งเสียงสะท้อนกับแผ่นหินขัดเย็บเฉียบ ทำเอาคางาริอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก เธอเกลียดสถานที่นี้ตอนกลางคืน เกลียดบรรยากาศวังเวงนี่จริงๆ แม้ว่าเธอพยายามจะไม่ยอมรับมันก็ตามที

    และคางาริก็ยังเป็นคางาริ...เธอไม่ใช่พวกขี้ขลาดอยู่แล้ว...

    ความมืดมิดยามค่ำคืนทำให้เฉลียงทางเดินที่เธอคุ้นเคยในยามทิวาดูหม่นหมองไปอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นอายแปลกๆ เริ่มโชยมาจากทุกสารทิศ เม็ดเหงื่อเริ่มซึมตามไรผมและผิวหน้าขาวเนียน มือเรียวเล็กกระชับปืนแน่นขณะกวาดนัยน์ตาสีอำพันมองไปทั่วอย่างระแวดระวัง กลัวว่าตามซอกหลืบมืดมิดเหล่านั้นจะปรากฏร่างทหารยามพุ่งเข้ามาหมายปลิดชีวิตเธอ

    พอตระหนักถึงความจริงบางอย่าง ร่างทั้งร่างก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาทันที

    ทำไม...ทำไมถึงไม่มีทหารยามอยู่เลยล่ะ!!??

    เสียงหัวใจเริ่มเต้นถี่ระรัวราวกับมีคนตีกลองศึกอยู่ในอกจนเธอนึกวิตกว่าคนภายนอกอาคาร ZAFT อาจจะได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นก็ได้! สภาพจิตใจตอนนี้ตึงเครียดจวนจะระเบิดอยู่รอมร่อ ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นเพราะความกลัวเริ่มเกาะกุมทุกอณูร่างกาย คางาริบีบไฟฉายในมือเบาๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มันจะร่วงหลุดมือไป

    เธอกวาดตามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง ตอนนี้เธอรู้สึกราวกับว่าถูกสายตาของใครบางคนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ราวกับเสียงหัวเราะเบาๆ เริ่มลอยมากระทบโสตประสาททั้งสองข้างและวนเวียนอยู่ในสมองเธอ

    ถ้าถอยกลับไปตอนนี้ เธออาจจะมีชีวิตรอด!

    หญิงสาวเอี้ยวตัวมองข้ามไหล่ตัวเอง พยายามจะหาประตูบานเก่าที่เธอเปิดเข้ามา แต่สิ่งที่มองเห็นมีเพียงแค่ความมืดมน ถ้าหากเธอยังฝืนเดินต่อไป....เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง...

    อะไรกันๆ เจ้าหญิงผู้แสนห้าวหาญแห่ง Orb รู้สึกกลัวแล้วรึไง?

    เสียงเล็กๆ น่ารำคาญดังขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง คิ้วเรียวบางมุ่นเข้าหากัน

    นี่ชั้นคิดอะไรอยู่เนี่ย!!

    เธอนึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันที เกลียดตัวเองที่กลัวและวิตกเกินไปจนสร้างภาพหลอนหลอกตาตัวเองขึ้นมา ร่างบางสูดลมหายใจเข้าและออกช้าๆ พยายามเรียกสติตัวเองกลับคืน ก่อนขาสองข้างจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง

    เส้นทางไปยังห้องทำงานของประธานซาล่าดูแตกต่างจากวันปกติในยามกลางวันมาก คางาริพยายามปัดความคิดด้านลบทั้งหมดออกไปโดยการพิจารณารายละเอียดต่างๆ ของตึกในยามกลางคืนแทน เธอสังเกตเห็นแม้กระทั่งโต๊ะทำงานของมิลลี่ที่มักเต็มไปด้วยกองเอกสาร บัดนี้กลับสะอาดเรียบร้อยไร้ที่ติ ทำเอาเธอหลุดหัวเราะคิกไม่ได้

    ยังไงซะมิลลี่ก็ยังเป็นคนรับผิดชอบมากๆ อยู่ดีในสายตาเธอ

    การเดินทางของเธอราบรื่นมาตลอดจนกระทั่งขาสองข้างนำพาเธอมายังประตูกลบานใหญ่ สาวน้อยผมทองกลืนน้ำลายหนืดคอลงไปช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบคีย์การ์ดสีดำสนิทออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

    คีย์การ์ดปลอมอันนี้เป็นอภินันทนาการจากคิซากะ เป็นของที่เจ้าตัวโอ้อวดเหลือเกินว่าสามารถเปิดได้ทุกประตูเพียงการรูดแค่ครั้งเดียว ชายหนุ่มมอบของสิ่งนี้ให้เธอเมื่อนานมาแล้ว โดยกำชับว่าให้ใช้ในยามจำเป็น (คล้ายๆถูกลักพาตัว หรืออะไรประมาณนั้น)

    ความจริงเธอเองก็ไม่นึกว่าไอ้เจ้าแผ่นบางๆ สีหม่นๆ นี่มันจะมีคุณค่ามากนักหรอก จนกระทั่งตอนนี้...

    มือเล็กกระชับการ์ดในมือแน่นและรูดลงกับเครื่องตรวจสอบหน้าประตูแผ่วเบา พริบตาเดียว! ประตูกลไฟฟ้าเลื่อนเปิดออกในทันใด! หญิงสาวผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโต๊ะทำงานกลางห้องอันแสนอึมครึมอย่างเงียบกริบ

    ห้องทำงานของเขายังคงเหมือนกับตอนที่เธอเข้ามาวางเอกสารเมื่อวานไม่มีผิด โต๊ะไม้โอ๊กตัวใหญ่ดูมีราคา รวมทั้งเก้าอี้บุนวมสีดำสนิทนั่นด้วย เพียงแต่เวลากลางคืนทำให้ห้องนี้ดูขมุกขมัวและน่ากลัวกว่าเดิมมากนัก จะมีก็เพียงแต่แสงสว่างน้อยๆ จากดวงจันทร์สีเงินยวงที่ส่องประกายผ่านทางหน้าต่างฝรั่งเศสบานใหญ่หลังโต๊ะราคาแพงเท่านั้นที่ทำให้ห้องนี้คลายความมืดมิดลงได้บ้าง แม้จะน้อยนิดแต่ก็เพียงพอสำหรับเธอที่จะทำภารกิจให้ลุล่วง

    คางาริฉวยหยิบคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กและเปิดเครือข่ายรับส่งข้อมูลในทันที รอยยิ้มบางแตะแต้มมุมปากเมื่อผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ร่างบางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมนั้นช้าๆ ก่อนกดสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์และพิมพ์รหัสผ่านอย่างเบามือ

    รหัส : himenosonata

    ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เธอรู้สึกได้จริงๆ ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเธอจากข้างหลังอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวพยายามจะสงบสติอารมณ์ให้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอีกครั้ง แต่แล้วหางตาก็เหลือบไปสะดุดกับสิ่งๆ หนึ่งเข้า

    มันเป็นรูปถ่ายเล็กๆ ที่บรรจุใส่กรอบไม้อย่างดีวางตั้งไว้อยู่บนมุมโต๊ะ สำหรับคางาริแล้วมันเป็นภาพครอบครัวที่แสนสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว หญิงสาวที่ยืนอยู่ทางขวาของรูปช่างงดงามอย่างไร้ที่ติ เรือนผมสีม่วงอมน้ำเงินถูกซอยสไลด์สั้นล้อมกรอบใบหน้าขาวอมชมพูดูอ่อนเยาว์ นัยน์ตาสีเขียวมรกตแฝงประกายอ่อนโยนในแววตา โดยไม่ต้องสงสัย...ผู้หญิงในรูปนี้คงต้องเป็นลีนัวร์ ซาล่าอย่างแน่นอน

    เมื่อได้เห็นรูปถ่ายเต็มๆ เช่นนี้ทำให้คางาริรู้สึกถึงความคล้ายคลึงระหว่างผู้หญิงคนนี้กับสาวน้อยร่างเล็กในบ้านเด็กกำพร้า ส่วนผู้ชายที่ยืนขนาบข้าง ใบหน้ากร้านคมเข้มด้วยริ้วรอยแห่งวัยรับกับเส้นผมสีน้ำตาลแซมด้วยสีขาวที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ดวงตาเยือกเย็น สงบนิ่งทำให้ชายคนนี้ดูน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีม่วงของ ZAFT ...ชุดเดียวกับที่ประธานซาล่าสวมใส่อยู่ในปัจจุบัน

    โดยไม่ต้องเดา ชายคนนี้คงจะเป็นพ่อของเขา... เธอนึกในใจพลางพยักหน้าหงึกหงัก

    ชักเข้าใจแล้วสิว่าหมอนั่นเอาท่าทางมาดมาก และความมั่นใจมากมายนั่นมาจากไหน

    ตรงกลางระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นมีเด็กชายตัวเล็กๆ ยืนอยู่ เด็กชายเจ้าของเรือนผมเล็กละเอียดสีน้ำเงินเข้มและนัยน์ตาสีมรกตอันแสนคุ้นเคย...เด็กชายอัสรัน ซาล่าในวัย 9 ขวบด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับรูปถ่ายที่คิระเคยให้เธอดูก่อนหน้านี้ ใบหน้าสดใสอ่อนเยาว์แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มกว้าง และนัยน์ตาส่องประกายจรัสเจิดจ้า

    แม้จะเห็นรูปกันชัดๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่เธอเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่เห็นอยู่ในรูปนี้จะใช่คนๆ เดียวกับอัสรัน ซาล่าจริงๆ

    เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกสติเธอให้กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง ขณะนี้บนหน้าจอปรากฏข้อความดาวน์โหลดข้อมูลเสร็จสิ้น คางาริจัดการเชื่อมต่อ Laptop ตัวบางของเธอเข้ากับเครื่องคอมเครื่องใหญ่ เธอกวาดตาอ่านรายละเอียดแทบทุกตัวอักษร ขณะที่นิ้วมือทั้งสิบนิ้วจัดแจงป้อนรหัสเข้าเครื่องโดยสายตาไม่หลุดจากหน้าจอเลยซักนิด

    หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พบข้อมูลที่ต้องการ รอยยิ้มพึงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเนียนสวย มือเรียวคว้าแผ่นดิสก์เตรียมบันทึกข้อมูลทันที แต่ทว่า...

    เส้นผมเล็กละเอียดสีทองที่รวบไว้ลวกๆ สะบัดปลิวน้อยๆ ตามแรงสายลมเย็นๆ ที่โชยมาจากด้านหลัง แม้จะเป็นเพียงสายลมเบาบางแต่ก็ทำเอาร่างบางถึงกับชาไปทั้งร่าง

    ทำไมล่ะ...? ในเมื่อหน้าต่างมันปิดอยู่นี่นา แล้วทำไม...ทำไมถึงมีลมได้ล่ะ…!!??

    คางาริรู้สึกราวกับว่าหัวใจเธอได้หยุดเต้นไปแล้ว! ลมหายใจหยุดชะงักทันที เมื่อรู้สึกถึงวัตถุเย็นๆ แหลมคมถูกยกขึ้นมาทาบทับที่ต้นคอแน่นเสียจนเธอหายใจไม่ออก!!

    มีด…!?

    ความคิดที่วูบเข้ามาในสมองทำเอาร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในบัดดล แขนขาทั้งสองข้างเกร็งแน่นด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดมันหลังจากนี้ต่างหาก....

    “เกมส์จบแล้ว” เสียงแหบพร่าอันเย็นเยียบทำเอานัยน์ตาคู่โตเบิกกว้าง! คำกล่าวนั้นสะท้อนดังก้องในโสตประสาทไม่รู้จักจบ

    เธอรู้สึกราวกับสติหลุดลอยไปเมื่อสิ้นเสียงทรงอำนาจของอัสรัน ซาล่า

    -------------------------To Be Continued...
  11. ShadowKung

    ShadowKung New Member

    EXP:
    58
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    ในวงเล็บถูกสุดๆ เลยอ่ะ 55555

    สมัยก่อนภาษาอังกฤษยังอ่อนอยู่อ่ะ ตอนนี้ดีขึ้นมานิดนึง....=w= (มันเข้าไปหมวดเรท M ทุกวันเลยไอนี่อ่ะ555)
  12. aunna

    aunna New Member

    EXP:
    18
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    เห็นด้วยเจ้าค่ะ (ฮา)

    แต่ยังไงก็แล้วแต่ คุมิจังไม่ใช่คนเดียวที่ภาษาอังกฤษอ่อนลง = ="

    รู้สึกเหมือนตัวเองเน่าๆ เหมือนกัน
  13. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    Chapter 9 -- หนีความตาย

    ชายหนุ่มยืนนิ่งเฝ้ามองภาพชัตเตอร์สีขาวที่มุ่งหน้าไปสู่ December City ลอยออกไปจากท่าอวกาศยานอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนร่างสูงจะหมุนตัวกลับขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรอไว้

    จริงอยู่ที่วันนี้เขาตั้งใจจะกลับบ้านไปพบท่านพ่อ...นานพอดูแล้ว เมื่อนึกถึงครั้งล่าสุดที่อัสรันได้พูดคุยกับชายหนุ่มสูงวัยคนนั้น พร้อมๆ กับจิบชาฝรั่งรสดีจนหมดไปประมาณสองสามถ้วย แต่พอก้าวเข้ามาในเขตสถานี จู่ๆ บางสิ่งในใจบอกกับเขาว่า December City ไม่ใช่สถานที่เขาต้องการจะไป ประธานสภาหนุ่มเลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณตนเอง เขาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางกลับไปยังสถานที่ๆ เขาคุ้นเคยดีที่สุด.....

    ตึกสำนักงาน ZAFT

    อัสรันผ่อนลมหายใจแผ่วเบา จากการฝึกทหารอันยาวนาน ทำให้เขามั่นใจในลางสังหรณ์ของเขาดี ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มนั่งนิ่งมองภาพริมทางของถนนอันคุ้นเคยที่ทอดยาวไปยังตึกสูงระฟ้าขนาดใหญ่เบื้องหน้า

    พระจันทร์สีเหลืองนวลที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าฟากยามราตรี ทอทอดรัศมีสีเงินอ่อนละมุนลงสู่พื้นคอนกรีตเย็นเยียบเบื้องล่างให้สะท้อนเป็นแสงแวววับ แล้วแท็กซี่สีดำมันปลาบก็ชะลอหยุดจอดเมื่อได้มาถึงที่หมาย หลังจากจ่ายค่าโดยสารเสร็จเรียบร้อย ประธานหนุ่มก็สาวเท้าเดินตรงเข้าไปยังอาคารเบื้องหน้าอย่างเงียบกริบพร้อมกับตวัดนัยน์ตาคมเข้มกวาดมองทัศนียภาพรอบด้าน ร่างสูงสาวเท้าผ่านความมืดมนไปอย่างรวดเร็ว เพราะโคออดิเนเตอร์สามารถปรับสายตาให้ชินกับความมืดทันที ดังนั้นไฟฉายส่องทางจึงไม่จำเป็นสำหรับเขา

    หลังจากเดินมาสักพักหนึ่ง ชายหนุ่มก็เข้ามาถึงระบบรักษาความปลอดภัยของตัวอาคาร และก็สังเกตได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ อัสรันยกมือกร้านขึ้นสับสวิสต์ไฟ คิ้วเข้มก็มุ่นเข้าหากันทันที เมื่อเห็นภาพ รปภ. ระดับห้าดาวที่ควรจะเดินลาดตระเวนตรวจตามปกติกำลังหลับสนิทในสภาพถูกมัดมือมัดเท้าด้วยเชือกเส้นหนา

    หมดสภาพ...

    ชายหนุ่มคิดในใจพลางส่ายหน้าวืดๆ ก่อนจะกวาดตาพิจารณาสภาพรอบด้าน

    นี่กล้องวงจรปิดก็ถูกตัดเหรอเนี่ย...

    อัสรันรู้ทันทีว่าเหตุการณ์ผิดปกติกำลังเกิดขึ้น ประธานสภาหนุ่มตวัดมองเหล่ายามไร้ประโยชน์ด้วยสายตาสมเพช ก่อนร่างสูงจะก้มลงคว้ามีดสั้นเข้ากระเป๋าเสื้อแล้วหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังออฟฟิศส่วนตัวทันที

    มันไม่ใช่เรื่องที่เดายากเย็นอะไรนัก...ถ้าหากมีไอ้บ้าที่ไหนซักคนลงทุนถึงขนาดบุกสำนักงาน ZAFT ละก็ เป้าหมายของพวกมันต้องเป็นข้อมูลลับในแฟ้มงานที่เก็บไว้ในออฟฟิศของประธานสภาอยู่แล้ว แน่นอนว่าห้องทำงานของเขาต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าคนๆ นี้ก็เจาะระบบเข้าไปทำลายฐานข้อมูลนิรภัยในสำนักงานให้มันรวนเสียป่นปี้เลยทีเดียว

    จะเช็คความเคลื่อนไหวก็ทำไม่ได้ จะป้องกันก็ยังไม่ได้อีก...

    รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายทันที

    เจ้าหมอนี่...ฝีมือไม่ใช่เล่นเลยนี่

    ชายหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยแอบลอบเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นัยน์ตาเฉี่ยวคมกวาดมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติ อัสรันจึงตัดสินใจใช้ความมืดเป็นเครื่องกำบังตัวให้กลมกลืนไปกับตู้ไม้ขนาดเล็กริมห้อง นั่งเฝ้าอดใจรออย่างเงียบๆ
    บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่าผู้กระทำการอุกอาจคนนี้จะต้องมาที่นี่ในไม่ช้า....

    และก็เป็นอีกครั้ง ที่ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง....

    + + + + + +

    “เกมส์จบแล้ว” เสียงแหบพร่าอันเย็นเยียบของอัสรัน ซาล่าดังขึ้นมาในบัดดล

    คำพูดแสนสั้นที่แทบทำสมองของเธอระเบิดออกเสียเดี๋ยวนั้น! ภาพการถูกลงทัณฑ์สารพัดวิธีแล่นเข้ามาในหัวอย่างช้าๆ ภาพแล้วภาพเล่า ตอนนี้คางาริไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง!? ไม่รู้แม้กระทั่งจะคาดหวังอะไรต่อจากนี้ไปดี...

    หญิงสาวรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวัตถุมีคมทาบทับหนักขึ้นบนลำคอบอบบาง แม้จะไม่มากถึงขนาดเรียกเลือด แต่ก็ทำให้เธออยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ซักสามสี่ครั้ง ตอนนี้เธอคิดแม้กระทั่งละทิ้งศักดิ์ศรีค้ำคอก้มลงกราบขออภัยให้บุรุษจอมเลือดเย็นที่เธอเกลียดแสนเกลียดคนนี้ไว้ชีวิตเธอซะ ไม่ก็อยากให้เธอสะดุ้งตื่นเร็วๆ จากฝันร้ายบ้าๆ นี่เสียที!!

    ใช่...เธอหวังเพียงว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน...

    “ยืนขึ้น” ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

    ร่างบางรู้สึกราวกับหัวใจที่เต้นระรัวจะในอกจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก! มันเต้นเร็วเกินกว่าที่เธอจะหาคำมาบรรยายได้ พร้อมๆ กับลมหายใจที่เริ่มถี่กระชั้น แม้เธอจะพยายามทำท่าทีให้สงบก็ตามที คางาริรวบมือเรียวเล็กที่สั่นระริกเข้าหากัน เธอหลับตาแน่น ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นช้าๆ

    รอยยิ้มพึงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มทันทีเมื่อเห็นถึงความว่าง่ายของบุรุษปริศนาตรงหน้า โลหะสีเงินวาววับยังคงทาบทับอยู่บนลำคอขาวผ่อง ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงร่างเล็กจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง! มือใหญ่คว้าไหล่บอบบางไว้แน่นโดยที่มืออีกข้างยังคงกำมีดไว้ไม่ปล่อย

    ในยามนี้คางาริรู้สึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ที่อย่างน้อยหน้ากากสีดำนี่ยังพอปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเธอได้บ้าง สังเกตได้จากสีหน้าของอัสรันที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แสดงว่าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเธอคือใคร...

    แต่ก็อีกไม่นานนักหรอก.....

    “บอกมา ใครสั่งให้นายทำเรื่องแบบนี้?” ชายหนุ่มตะคอกถาม ใบหน้าขึงเครียดขณะที่อยู่ห่างจากหน้าเธอเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น
    คางาริรู้สึกราวกับว่าตัวเธอนั้นช่างเล็กและบอบบางเหลือเกินเมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่ดูเหมือนจะทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่างได้ของเขา นัยน์ตาสีมรกตสบตาสีอำพันนิ่ง ราวกับต้องการล้วงลึกไปถึงคำตอบที่ซ่อนอยู่ภายใน

    ด้วยสายตาที่แสนเย็นชาและไร้อารมณ์…

    สายตาที่พร้อมจะเข่นฆ่าทุกอย่าง.....ทุกที่.....และทุกเวลา!


    หญิงสาวเบือนสายตาเสมองไปทางอื่น ความรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจทำให้เธอรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น เธอรู้ตัวดี ว่าอย่างไรเสียเธอคงไม่รอด… เพราะในเวลานี้ ไม่มีทางออกแม้แต่ทางเดียว

    และถึงแม้จะมี...เขาก็คงไม่ปล่อยให้เธอได้ไขว่คว้ามัน...

    คิ้วเข้มข้างหนึ่งถูกกระตุกขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มรู้ดีว่าบุรุษผู้อุกอาจคนนี้คงกำลังวิงวอนร้องขอชีวิตต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่ รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏบนดวงหน้าเกลี้ยงเกลาวูบหนึ่ง เขารู้ดี...สถานการณ์นี้เขากำลังเป็นต่อ...แต่ถึงยังไงเขาก็ยังหัวเสียอยู่ดี...ก็เจ้าบ้านี่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรสักคำ!

    คางเล็กๆ ของเธอถูกมือกร้านของคนตรงหน้าเชิดขึ้นให้สบตา ก่อนคำพูดขู่เข็ญด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจะตามมา

    “ตอบชั้นมา” คำสั่งสั้นที่ทำเอาร่างบางถึงกับสะท้านไปทั้งร่าง

    เธอไม่กล้าตอบจริงๆ ...เธอกลัว...กลัวว่าถ้าหากเธอพูดออกไป เขาจะจำเสียงของเธอได้...

    คิดสิ คางาริ คิด!!

    แม้ในใจจะพร่ำร้องอย่างนั้น แต่ดูเหมือนสมองจะหยุดการทำงานเอาเสียดื้อๆ

    อัสรันกระชับใบมีดในมือให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มตัวลงมาจนเธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เข้ามาปะทะข้างหู เรียกความรู้สึกเสียวซ่านขนลุกไปทั่วสันหลัง

    “ตอบชั้นมา หรือไม่อย่างนั้น...นายอาจจะต้องเสียใจ”

    คางาริพยายามเบียดตัวแนบชิดกำแพงมากขึ้น พยายามอย่างยิ่งที่จะหลบจากสายตาคมกริบคู่นั้น เม็ดเหงื่อเริ่มผุดซึมตามไรผม น้ำลายเริ่มเหนียวหนืดคอทั่วไปหมด อีกทั้งยังความรู้สึกแปลกๆ ที่เธอไม่แน่ใจว่าใช่ความกังวลรึเปล่าทำให้ท้องของเธอรู้สึกปั่นป่วนประหลาด

    เธอใกล้กับเขาเกินไป....ใกล้มากเสียจนเธอเริ่มรู้สึกหายใจไม่สะดวก...

    “ตอบมา!”

    “ชั้น....” หญิงสาวเอ่ยคำพูดตะกุกตะกัก น้ำเสียงของเธอแหบพร่า ขณะที่ลมหายใจเริ่มติดขัด สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว...คือสวดภาวนาเท่านั้น…

    อัสรันตวัดสายตามองเธอแว่บหนึ่ง ก่อนกล่าวตัดบท

    “แล้วเราจะได้เห็นกัน หลังจากชั้นเรียกตำ-”

    บึ้ม!!!

    เสียงระเบิดที่ดังออกมาจากนอกหน้าต่างทำเอาประธานหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก คางาริอาศัยจังหวะนั้นเอี้ยวตัวหลบและออกแรงทั้งหมดที่มีชกชายหนุ่มเต็มแรง! ทำเอาอัสรันถึงกับก้มลงไปกุมท้องด้วยสีหน้าเจ็บปวด

    โดยไม่เสียเวลาคิดแม้สักนาที คางาริพุ่งตัวไปยังหน้าต่างบานใหญ่ข้างๆ มือเรียวเล็กสองข้างคว้าด้ามจับเปิดออก ปล่อยให้สายลมกรรโชกยามค่ำคืนลอยมาปะทะใบหน้าวูบหนึ่ง

    ห้องทำงานของอัสรันตั้งอยู่บนชั้น 7 ถ้ากระโดดลงไปสุ่มสี่สุ่มห้าละก็ เธออาจจะตายก็ได้...

    แต่ความกังวลเรื่องนั้นกลับไม่มีอยู่ในสมองเธอตอนนี้เลยสักนิด!!

    เมื่อฟื้นจากการโจมตีแล้ว มือใหญ่ก็เอื้อมหมายจะคว้าตัวบุคคลปริศนาคนนั้น แต่คราวนี้หญิงสาวกลับไหวตัวทัน ร่างบางหมุนตัวเตะจุดยุทธศาสตร์สำคัญกลางหว่างขาทันทีโดยไม่เสียเวลาชั่งใจ!

    ในครั้งแรกคางาริถึงกับหลุดอุทานเสียงหลง หญิงสาวเอื้อมมือคว้าขอบหน้าต่างแน่น เขาเกือบจะจับตัวเธอได้อยู่แล้วเชียว ถ้าหากเธอไม่หมุนตัวถีบส่งไปเสียก่อน! แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่เธอทำลงไปเมื่อครู่หรอก...หมอนี่สมควรโดนแล้ว!! คิดพลางนึกขอบคุณคิซากะที่ส่งเสียให้เธอร่ำเรียนศิลปะห้องกันตัวทุกแขนง อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์จริงๆ ในยามจำเป็น

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเหลือบมองภาพเบื้องล่างผ่านหน้าต่างสูง 7 ชั้นเห็นเพียงพื้นคอนกรีตหนาลิบๆ คางาริพยายามข่มความรู้สึกกลัวที่แล่นปราดเข้ามาในจิตใจ

    ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่นั่งกัดฟันกรอดอย่างขุ่นเคืองเมื่อความเจ็บปวดที่มีเริ่มทำให้ร่างกายชาไปทั้งร่างจนยากแม้เพียงแค่ลุกขึ้นยืน

    เจ้าผู้บุรุกนี่แข็งแกร่งเกินกว่าคิดไว้...

    อัสรันพยายามทรงกายลุกขึ้นยืน กวาดมือเปะปะไปจนพบลิ้นชัก เขาเปิดมันออกและกระชับปืนพกสีดำสนิทมาไว้ในมือ อดีตเอสไพลอตหนุ่มใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการเล็งเป้า ก่อนมือกร้านจะกดเหนี่ยวไก...!

    ภาพที่แล่นปราดเข้าคลองจักษุเสมือนกับภาพสโลว์โมชั่น คางาริกำลังเตรียมตัวจะกระโดดลงไปพอดี แต่เกิดฉุกใจนึกเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเสียก่อนจึงเอี้ยวตัวกลับไป ทำให้กระสุนเฉียดผ่านตัวเธอไปแค่เพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น!!

    ความจริงเธอเองก็คงได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากรอยถากของกระสุน ถ้าไม่ได้สิ่งหนึ่งช่วยไว้เสียก่อน...จี้ห้อยคอสีแดงสดของเธอนั่นเอง...
    หญิงสาวนิ่งอึ้งค้างขณะจ้องมองภาพเครื่องประดับชิ้นสำคัญที่สุดของเธอแตกออกเป็นสองเสี่ยง ชิ้นหนึ่งยังคงผูกติดกับเชือกห้อยคล้องลำคอระหง แต่ทว่าอีกชิ้นกลับทิ้งตัวร่วงหล่นลงบนพื้นพรมหนานุ่มตรงหน้า

    แม้ในใจจะรู้สึกเสียดาย แต่เจ้าหญิงคนสำคัญก็เลือกชีวิตตัวเองไว้ก่อน

    อีตานี่...ยิงปืนแม่นชะมัดเลย... ความคิดที่ผุดขึ้นในใจเงียบๆ

    นี่ถ้าหากชั้นไม่เอี้ยวตัวหลบละก็...คงถูกยิงทะลุหัวใจไปแล้ว


    ความคิดที่ทำเอาใบหน้านวลซีดเผือก ก่อนตัดสินใจทิ้งข้อมูลทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วกระโดดลงจากหน้าต่างหลบหนีไป!

    + + + + + +

    อัสรันถึงกับลืมตัวผ่อนลมหายใจเฮือกเมื่อเห็นว่ากระสุนที่ยิงไปพลาดเป้า แต่พอเตรียมจะเหนี่ยวไกอีกครั้ง เป้าหมายก็กระโดดหายไปแล้ว!!
    ชายหนุ่มวางกระบอกปืนสีดำสนิทกลับเข้าไปในลิ้นชักอีกครั้ง ก่อนมือใหญ่จะคว้าโทรศัพท์มือถือเพื่อกดเลขหมายติดต่อสถานีตำรวจ พลางสาวเท้าไปที่หน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสเบื้องหน้า

    เจ้าคนบุรุกนั่นงี่เง่าสิ้นดีที่คิดว่าการกระโดดลงไปจากหน้าต่างบานนี้จะช่วยให้รอดได้...โดยไม่ต้องสงสัย หากจะมองทัศนียภาพผ่านทางกระจกแก้วบานใสตรงนี้ก็จะเห็นสวนดอกไม้แสนสวยสำหรับไว้จัดงานเลี้ยงภายในสำนักงานที่มักจะมีมาอยู่เนืองๆ จริงอยู่ที่สภาพรกทึบของต้นไม้และใบหน้าเหล่านั้นจะช่วยพรางตาได้เป็นอย่างดี แต่...ระยะทางจากจุดนี้จนถึงข้างล่างก็น่าดูใช่เล่น...

    รอยยิ้มบางขยับฉายบนใบหน้าคมคาย ก่อนร่างสูงจะชะโงกหน้าลงไปยังพื้นเบื้องล่าง หมายจะมองหาตัวผู้โชคร้ายคนนั้น แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ...เมื่อสิ่งที่แล่นเข้าคลองจักษุมีเพียงความว่างเปล่า

    หมอนั่นหายไป...อย่างไร้ร่องรอย

    อัสรันถึงกับกัดฟันกรอดพลางกำหมัดแน่น พยายามระงับโทสะที่ท่วมท้น แต่แล้วสายตาก็ปราดไปสะดุดเข้ากับสิ่งๆ หนึ่ง...เครื่อง laptop นั่นเอง...
    ประธานหนุ่มขยับรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง นี่อาจจะเป็นหลักฐานสำคัญที่จะสาวไปถึงตัวหมอนั่นก็ได้ เขาเดินสาวเท้ายาวๆ ไปยังเป้าหมายด้วยความเงียบกริบ แต่แล้วขาเจ้ากรรมก็เกินไปสะดุดสิ่งๆ หนึ่งเข้า ด้วยความสงสัย ร่างสูงก้มลงหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณา ภายใต้แสงสลัวของพระจันทร์ยามค่ำคืน

    มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของเครื่องประดับชนิดหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นอัญมณี สีแดงอมส้มของมันส่องประกายล้อแสงสีเงินยามค่ำคืนดูสวยงาม แล้วเขาก็ตระหนักได้...กระสุนของเขาไม่ได้พลาดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มันเฉียดไปที่จี้ห้อยคอของผู้บุรุกแทนที่จะแทงทะลุหัวใจเท่านั้น...

    นับว่านายยังดวงดีใช้ได้... คิดในใจพลางกำเศษผลึกนั้นไว้แน่น ก่อนมือกร้านจะค่อยๆ หย่อนชิ้นส่วนเครื่องประดับนั้นลงในกระเป๋าเสื้อเบาๆ

    แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!


    อัสรันตั้งปนิธานในใจก่อนจะวกความสนใจกลับมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เล็กบางตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มเตรียมจะสาวเท้าเข้าไปใกล้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงสัญญาณเล็กแหลมแว่วเข้ามาในโสตประสาทเขาเสียก่อน

    นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างฉับพลัน! อดีตทหารระดับสูงถึงกับก้าวกระโดดถอยห่างพลางก้มตัวลงแนบชิดกับพื้นให้มากที่สุด เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา แสงสว่างจ้าสีทองชวนแสบตาพร้อมกับเสียงกัมปนาทดังก้องก็ปรากฏขึ้น!

    บรึ้ม!!!

    สิ้นเสียงระเบิดก็ทิ้งไว้เพียงแค่ควันเขม่าสีเทาหม่นๆ ซึ่งกระจายฟุ้งไปรอบห้อง โต๊ะไม้โอ้คเนื้อดียังคงสั่นไหวไปมาตามแรงอัดของอากาศ
    เมื่อฝุ่นควันจางลง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขาก็มีเพียงแค่ซากปรักของเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวเก่าเท่านั้น...

    + + + + + +

    “คางาริ! นี่ท่านรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป!!!!”

    เสียงตวาดแผดดังลั่นไปทั่วอพาร์ตเม้นต์หลังเล็กๆ ของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แห่ง ORB ที่กำลังชักใบหน้าหงิกงออย่างเสียมิได้ ตอนนี้ท่วงท่าภูมิฐาน สงบเสงี่ยม เปี่ยมด้วยความเข้าใจของบอดี้การ์ดหนุ่มของเธอราวกับว่าจะสลายไปกับอากาศธาตุเสียแล้ว นัยน์ตาสีเหล็กบัดนี้เครียดเขม็ง ริมฝีปากหนาขบเม้มแน่นจนเห็นเป็นเส้นบาง ร่างกำยำของชายวัยปลายยี่สิบกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ผิดกับมือสองข้างที่กำหมัดแน่นอย่างเต็มไปโทสะ จนคางาริอดเสียวไม่ได้ว่าเล็บแข็งๆ นั่นจะจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหลรึเปล่า

    เมื่อตอนที่เธอตัดสินใจกระโดดลงมาจากหน้าต่าง เธอรู้ตัวดีว่าคงเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตเธอเป็นแน่แท้ นี่เธอต้องมาจากไปโดยที่ยังไม่ได้กล่าวคำอำลากับใครเลยหรือ? ทั้งเพื่อนๆ บนโลก...ลักซ์...เจ้าฮาโล่สีชมพู...เหล่าเด็กตัวน้อยๆ ที่บ้านเด็กกำพร้า...คิซากะ...คิระ...Orb…

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งปรือลงอย่างช้าๆ ยอมรับในชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นในอีกชั่วอึดใจ แต่แล้วเปลือกตาที่ปิดลงพลันต้องเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบรับเธอไว้ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้น คางาริรู้สึกได้ถึงขอบตาที่เริ่มชื้นและร้อนผ่าวทันทีที่ได้เห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคิซากะ

    ชายหนุ่มค่อยๆ บรรจงวางเธอลงบนรถมันปลาบสีดำสนิทที่จอดไว้นอกอาคารช้าๆ ราวกับตัวเธอจะบุบสลายก็มิปาน ก่อนมือหนาจะเอื้อมไปกดปุ่มเล็กๆ ใกล้ตัว หลังจากนั้นไม่นาน เสียงระเบิดกัมปนาทกึกก้องก็ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาจากห้องประธานซาล่า

    ภาพที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วเสียจนเธอตั้งตัวไม่ทัน ทำได้แค่ยืนตาค้างอ้าปากหวอด้วยความตกใจเท่านั้น

    นี่นาย...วางแผนไว้อย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วเหรอเนี่ย!?

    “คิซา-”

    “เรื่องนั้นเก็บไว้พูดกันทีหลังเถอะ” ปิดท้ายด้วยคำตัดบทสนทนาห้วนได้ใจความ

    ความจริงเธอน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าบอดี้การ์ดคนนี้ต้องสะกดกลั้นอารมณ์โกรธมากมายแค่ไหนตลอดทางที่พาเธอกลับมาที่บ้าน แทบจะทันทีที่ล็อคประตู บุรุษร่างยักษ์ก็จัดการโยนร่างบอบบางของเธอไปกระแทกกับเก้าอี้รับแขกตรงหน้าและตะคอกใส่เธออย่างฟิวส์ขาด!

    “นี่ท่านบ้ารึเปล่า!! ผมสั่งไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามไม่ให้ท่านทำอะไรบ้าๆ แบบนี้น่ะ!!!!” หากแต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมานั้นมีแค่การยกมือขึ้นกอดอกก้มหน้ามองพรมสีแดงซีดๆ ที่พื้นราวกับมันเป็นของใหม่น่าสนใจเสียเต็มประดาเช่นนั้นแหละ

    ทำไมเธอจะไม่รู้ว่างานนี้เธอทำผิดเต็มๆ แต่คนหัวดื้อเช่นเธอมีหรือที่จะยอมรับง่ายๆ...เพราะงั้น...ไม่รู้ไม่ชี้!!

    คิซากะสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ ลึกและยาว ก่อนร่างสูงใหญ่จะทิ้งตัวลงนั่งข้างเธออย่างหมดแรง นัยน์ตาคมกริบยังคงจ้องมองมาที่เธอนิ่งอย่างแฝงรอยตำหนิ

    “คางาริ รู้ตัวรึเปล่าว่าท่านเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้วนะ” คำกล่าวที่คนฟังส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแทบจะทันที

    “แต่ชั้นก็ยังอยู่ดีนี่! หายใจปกติด้วย ไม่เห็นรึไง?”

    คำกล่าวอวดดีนั่นแทบทำเอาคนดุถึงกับฟิวส์ขาดรอบสอง แขนแข็งแกร่งถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศทันทีเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด

    “แต่ท่านเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้วนะ! ถ้าหากท่านตายซะความหวังของท่านพ่อที่มีต่อท่านก็จะพังทลายไปเหมือนกัน! ท่านทำเอาผมวิตกจริตจนแทบจะเครียดบ้าตาย! กี่ครั้ง? กี่ครั้งแล้วที่ผมพร่ำบอกท่านว่าผมจะปกป้องท่านด้วยชีวิต! แต่นี่! ท่านกลับทำตัวราวกับชีวิตที่ผมยอมสละตัวเพื่อปกป้องนั้นมันไร้ค่าราวกับเศษหินเศษดินอย่างนั้นแหละ!!!”

    หญิงสาวเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ตอบ เมื่อเห็นอาการนิ่งอึ้งของคนตรงหน้า ชายหนุ่มถึงได้อารมณ์เย็นลง ก่อนจะรวบร่างบางเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น

    “เจ้าหญิง...รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงท่านมากขนาดไหน ผมขอร้องล่ะ เลิกทำตัวแบบนี้เสียทีเถอะ” หลังจากนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สาวเจ้าก็เริ่มดิ้นขลุกขลักก่อนขืนตัวออกจากวงแขนผู้ปกครองพร้อมมองด้วยสายตาดูหมิ่นกึ่งเหยียดหยาม

    “นายวิกลจริตไปแล้วรึไงคิซากะ? นายเองก็วางแผนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกเหมือนกันนี่!” ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะจ้องมองใบหน้านวลที่เริ่มขึ้นสีก่ำเพราะแรงอารมณ์สักพัก

    “นี่ท่านแอบอ่านเอกสารของผมอย่างนั้นเหรอเนี่ย?” คำถามที่เธอเลือกที่จะหลบสายตา ก่อนตอบอ้อมแอ้ม

    “ใช่…อ่า...คือชั้นหมายถึง......”

    เสียงถอนหายใจยาวถูกผ่อนออกมาอีกครั้งจากบุรุษสูงวัยกว่าที่มีทีท่าว่าจะแก่เกินวัยขึ้นทุกวันๆ “ที่ผมวางแผนไว้น่ะ ใช่ แต่นั่นมันก็หลังจากที่ท่านบุ่มบ่ามทำอะไรไม่เข้าท่าต่างหากล่ะ”

    คำรำพึงที่ทำเอาคนฟังต้องเลิกคิ้วสูง “หมายความว่ายังไง?”

    “ผมรู้ว่าท่านวางแผนพิลึกๆ ไว้ในสมอง ก็เลยเคลื่อนไหวมาเตรียมการให้พร้อมก่อนท่านจะมาเท่านั้นเอง ผมจัดการพวกยามและอยู่เฝ้าต้นทางให้ พร้อมกับเจาะทำลายระบบนิรภัยของอาคารนั้นทั้งหมดแล้ว ความจริงผมกะว่าจะลากตัวท่านออกมากลางคันแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าดันมีคนทำให้แผนเสียนี่สิ…”

    คำกล่าวประโยคสุดท้ายทำเอาเธอรู้สึกเย็นแผ่นหลังวาบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มือเรียวเล็กถูกยกขึ้นคลำต้นคอโดยไม่รู้ตัว

    “อัสรัน ซาล่า...” บอดี้การ์ดหนุ่มตวัดสายตากลับมามองที่เธออกครั้ง

    “ใช่ ประธานสภานั่นแหละ...แล้วเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ

    คิซากะจัดการวางมือลงบนไหล่บางก่อนใช้สายตาคมกริบจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำผึ้งตรงๆ ด้วยแววตาเว้าวอน

    “ขอร้องล่ะ...ได้โปรดเถอะคางาริ...อย่าทำอะไรเสี่ยงๆแบบนั้นอีกเป็นอันขาด...สิ่งที่ท่านได้รับกลับมามันไม่คุ้มกันหรอกนะ”

    สิ้นคำกล่าวสาวน้อยผมทองก็ชะงักครู่หนึ่งราวกับนึกอะไรได้ “ไม่....ชั้นเห็นอะไรบางอย่าง...” กล่าวได้เพียงแค่นั้นแล้วเธอก็เงียบไป ร่างบางยืนนิ่งจมอยู่กับความคิดตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาสีอำพันจะเบิกกว้าง

    “พวกเขากำลังวางแผนลอบสังหารใครบางคนอยู่ คิซากะ!!” คางาริเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แต่บุรุษเบื้องหน้าเธอกลับเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้น

    “อย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลยคางาริ บางทีนั่นอาจเป็นข้อมูลหลอกๆ ก็ได้” เขากล่าวเสียงนุ่ม ก่อนกำปั้นแข็งๆ จะร่อนลงกลางหัวทองๆ ของคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

    “ไปนอนซะ ตอนนี้ท่านสมควรพักผ่อน และไม่มีคำว่าแต่อีกแล้วสาวน้อย” คำสั่งที่คนถูกสั่งทำปากยื่นปากยาวรับ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายก็ยอมถอนตัวแต่ดายดี

    “ก็ได้ๆ!” เสียงใสปนหงุดหงิดกล่าวทิ้งท้าย ก่อนร่างบางจะหมุนตัวเดินเข้าห้องไป

    + + + + + +

    กลางดึกคืนนั้น คางาริได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเท่านั้น น่าแปลกเหมือนกัน ทั้งที่ใช้พลังงานไปมากขนาดนั้นแต่ความง่วงงุนกลับไม่มีวี่แววมาเยือนเธอเลยแม้แต่น้อย ภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ต่างหาก ที่สับเปลี่ยนเวียนปรากฏขึ้นอยู่ในความทรงจำตลอดทั้งคืน

    เธอทราบจากคิซากะว่าตอนนี้ระบบรักษาความปลอดภัยของสำนักงาน ZAFT ดูจะกล้าแข็งมากกว่าเดิมมาก จากรายงานล่าสุดจากเครื่องตรวจจับขนาดเล็กทำให้รู้ว่าตอนนี้เวรยามถูกสับเปลี่ยนให้แน่นหนาโดยให้ทหารมืออาชีพจากกองกำลัง ZAFT มาทำหน้าที่แทนหรืออะไรทำนองนั้น

    หญิงสาวตวัดนัยน์ตากลมโตสีทองขึ้นเหม่อมองแผ่นฟ้าเบื้องบนเงียบๆ จ้องมองพระจันทร์สีเหลืองนวลส่องประกายเจิดจ้าจรัสแข่งกับหมู่ดาวพร่างพรายยามราตรี แสงสีเงินยวงทอทอดรัศมีอ่อนละมุนพาดผ่านผ้ากำมะหยี่สีหมึกส่องเป็นแสงงดงาม มือเรียวเล็กเอื้อมคว้าจี้ห้อยคอสีแดงสดที่เหลือเพียงครึ่งซีกก่อนจะกำไว้แน่น ของสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่คนสำคัญของเธอให้ไว้เมื่อตอนอยู่ที่โลก เป็นเครื่องรางที่เธอทะนุถนอมมันเป็นที่สุด และตอนนี้มันกลับต้องแตกหายไปเหลือเพียงแค่ครึ่งเสี้ยว

    ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าบ้านั่นคนเดียว!

    แล้วความคิดของเธอก็หวนกลับไปยังชายหนุ่มร่างสูงเพรียวเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มอีกครั้ง ตอนนั้นคนๆ นั้นคิดจะฆ่าเธอจริงๆ...เขาลั่นไกใส่เธอ! คิดได้เพียงแค่นั้นก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง จนถึงตอนนี้ความทรงจำอันแจ่มชัดตอนนั้นยังคงหลอกหลอนเธออยู่...เสียงปืนลั่น...ภาพกระสุนที่วิ่งผ่านตัวเธอไปเพียงเล็กน้อย...ภาพทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าชัดราวกลับตั้งใจเล่นให้ช้าลง

    ค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เขาไม่รู้แม้กระทั่งเธอเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี...เพราะเธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเหมือนกันถ้าหากเขารู้ความจริงเข้า...

    สายตาคมกริบอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันที่จ้องมองตรงมาที่เธอก็หลอนประสาทแทบจะให้เธอเตรียมขุดหลุมฝังตัวเองเลยเสียด้วยซ้ำ ชายคนนี้น่ากลัวจริงๆ...เธอยังจำได้ดีถึงตอนที่อัญมณีเลอค่าคู่นั้นส่องประกายระยับภายใต้แสงจันทร์ พร้อมกับน้ำเสียงเย็บเยียบที่คมจนแทบจะเฉือนร่างของเธอเป็นชิ้นๆ

    “เกมส์โอเวอร์” คำกล่าวที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำเธอไม่รู้จักจบ ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าแค่คำๆ เดียวจะทำเอาเธอหมดแรงแทบทรุดลงไปกองกับพื้นถึงขั้นนั้น เป็นความรู้สึกที่น่ากลัว...กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปอีก ตอนที่เขาพูดคำว่าเกมส์โอเวอร์ ราวกับทุกอย่างบนโลกนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ เป็นจุดจบที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเล่นแก้ตัวใหม่ได้เลย...

    คางาริยักไหล่วืด พยายามสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ใจเธอตระหนักดีว่าเสียเวลาเปล่าๆ ถ้าหากขืนปล่อยตัวให้จมปลักแต่กับเรื่องนี้ มันก็คงจะตามหลอกหลอนเธอมากไปกว่านี้แน่นอน

    มือเรียวสวยยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมสีทองที่ลงมาปรกหน้าไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะหลับตาหลง ภาวนาเพียงให้ความง่วงงุนเข้ามาทำให้เธอผ่านพ้นคืนนี้ไปอย่างเป็นสุขเท่านั้น

    + + + + + +

    “ท่านประธานซาล่า” เสียงเอ่ยนามเรียกบุรุษเจ้าของชื่อให้หันกลับไปมองตามต้นเสียง เก้าอี้หนังบุกำมะหยี่มันวาวตัวใหม่ถูกหมุนไปตามแรงเหวี่ยงของผู้ใช้ นัยน์ตาสีมรกตหรี่แคบลงเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในชุดทหารอวกาศสีขาวของ ZAFT ยศทหารระดับสูงของ PLANT บุรุษเจ้าของเรือนผมสีทองและหน้ากากสีขาวปิดบังหน้าตาไปกว่าครึ่งอมยิ้มน้อยๆ ก่อนโค้งคับนับ

    ประธานสภาหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นทำความเคารพแทบจะทันที

    “ท่านนายพลลาอู เลอ คลูเซ่!” กิริยาที่เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากทหารยศนายพลทันที

    “อัสรัน” เสียงทุ้มต่ำกล่าวคำเรียบ “อย่าลืมสิ ตอนนี้เธอเป็นถึงประธานสภาแล้วนะ ตำแหน่งตอนนี้ก็สูงกว่าชั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องทำความเคารพหรอก”

    หากแต่คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าก็ยังไม่วายก้มตัวคำนับพลางเอ่ยแก้ตัวตะกุกตะกักอยู่ดี

    “ขอประทานโทษครับท่าน...ดูเหมือน มันจะกลายเป็นนิสัยของผมไปเสียแล้วล่ะครับ” อัสรันกล่าวอ้อมแอ้มทิ้งให้ผู้บังคับบัญชาชุดขาวยืนมองอดีตพลทหารของตัวเองด้วยสายตาขบขัน

    เมื่อสมัยที่อัสรันยังคงอยู่ในกรมทหาร บุรุษคนนี้เคยเห็นหัวหน้าและผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยเขา หน่วยทหารพิเศษคลูเซ่ พร้อมกันกับดีอัคก้า เอลท์แมน อิซาค จูล และนิโคล อาร์มาฟี่ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงนับถือผู้บังคับการตรงหน้านี้เป็นพิเศษกว่าผู้อื่น
    ทั้งคู่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกันบนเบาะบุกำมะหยี่สีเข้มสักพัก ก่อนผู้อาวุโสกว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา “ชั้นได้รับรายงานเรื่องที่เกินขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว”

    อัสรันผงกศีรษะรับ ขณะนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้กลับบ้านหรือหลับแม้กระทั่งสักงีบเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการกู้คืนระบบนิรภัยที่ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีทำลายยับตั้งแต่เมื่อคืนวาน

    คลูเซ่ปราดสายตามองไปยังซากเศษโลหะของอดีตเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าสักพัก ก่อนเอ่ยประโยคขึ้น

    “ขอชั้นเก็บเจ้านั่นไปตรวจสอบที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อิเลคโทรนิคได้ไหม?” หากคำตอบที่ได้รับกลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ

    “หมดหวังแล้วล่ะครับท่าน แม้แต่ชิ้นส่วนเพียงเล็กน้อยของมอเตอร์บอร์ดยังไม่มีเหลือให้กู้คืนเลย”

    คำตอบที่คนฟังต้องยกมือขึ้นลูบคางด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ฉลาดมาก”

    “เห็นด้วยครับ” ทั้งคู่นิ่งเงียบเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

    “ชั้นได้ข่าวมาว่าเธอได้รับรายงานเรื่องการประชุมเจรจาสนธิสัญญากับกองทัพโลกในวันที่ 3 เดือนกันยายนแล้วใช่ไหม”

    อัสรันพยักหน้าก่อนเอนร่างพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลายลง “ครับ พวกนั้นก็ตื๊อไม่ยอมเลิกเสียที”

    “มีใครเข้าร่วมการประชุมคราวนี้บ้างล่ะ?”

    “ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสหพันธรัฐแอตแลนติก คนสำคัญๆ ก็พวกมูรูต้า อัสราเอลกับยูน่า โรมา เซรันล่ะครับ” คำกล่าวเรียบหากในประโยคสุดท้ายเน้นหนักแฝงความตึงเครียดเป็นพิเศษ ซึ่งตรงข้ามกับบุรุษอาวุโสกว่าอย่างสิ้งเชิง ผู้บังคับการหนุ่มกลับตียิ้มระรื่นรับ

    “อัสราเอลงั้นเหรอ? อืมม นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เจอหมอนั่น ก็นานพอดูแล้วเหมือนกันนะ”

    “ท่านอย่าลืมนะครับว่าเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มบลู คอสมอสที่พยายามสรรหาทุกวิถีทางที่จะล้มล้าง PLANT”

    “รู้แล้วล่ะน่า” พลเอกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ “แต่ว่านะประธานซาล่า ท่านยังคงมีความตั้งใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสันติภาพอยู่รึเปล่าล่ะ” ร่างสูงเอ่ยคำถามขณะผุดลุกขึ้นยืน

    ประโยคที่ทำคนฟังชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบช้าชัด “คือ...แน่นอนสิครับ ถ้าหากมันจำเป็นสำหรับการปกป้อง PLANT ละก็”

    “ถ้าเช่นนั้น...” ว่าพลางนายพลหนุ่มก็โค้งตัวคำนับเล็กน้อยก่อนเอ่ยคำลากับอดีตพลทหารด้วยท่าทางนอบน้อม

    “ผมคงต้องขอตัวก่อน แต่ผมแนะนำว่าท่านควรจะรีบกลับบ้านเพื่อพักผ่อนเสียบ้างจะดีกว่านะ” คำกล่าวสุดท้าย ก่อนบุรุษในชุดขาวจะผันตัวเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มบางหยักขึ้นบนมุมปากที่อัสรันไม่มีโอกาสได้เห็น...

    --------------------------To Be Continued...


    ก๊ากกกกกกก อ่านภาษาอังกฤษบ่อยๆ มันช่วยให้เราเก่งขึ้นจริงๆ นา * *~~

    ก๊ากกกกกกกกกกกกก อ่านแต่หมวดเรท M เลยเรอะ 5555+

    ไม่อยากบอกว่ามีแต่คางาริกับอัสรันเต็มเลย คู่อื่นน้อยมาก = A =,, << อ้าว...อีนี่....

    ลองหาฟิควายขำๆ อ่านดูดิ รั่วๆ ก็มีเยอะนะ ก๊ากกกกกกก

    P.S. ฝากถามหน่อย ถ้าอยากลง KKJ (Kamikaza Kaitou Jeanne) อีกสักเรื่องจะมีคนอ่านมั้ย? หรือการ์ตูนเก่าจัดไม่สนใจ จะได้แปลสนองความต้องการตัวเองแล้วเซฟใส่คอมพ์?
  14. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    Chapter 10 -- การถูกเพ่งเล็งท่ามกลางเหล่าคนประสาท

    เมื่อก้าวเดินเข้ามาในตึกสำนักงานสูงเสียดฟ้าในยามเช้า คางาริก็สังเกตได้ทันทีถึงระบบการรักษาความปลอดภัยสุดแน่นหนาขนาดเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสุดยอด! พนักงานคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะผิดสังเกตเช่นกัน แต่ทุกคนต่างก็ไม่มีใครกล้าปริปากถามอะไร

    ทันทีที่ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน มือเรียวสวยก็คว้าเอาสมุดตารางนัดหมายมาพลิกดูเพื่อเตรียมเอกสารสำหรับวันนี้ ระหว่างนั้นเอง...

    “คุณยูละ” เมื่อเธอหันไปตามเสียงเรียกก็สบกับรัตนชาติสีเขียวมรกตที่กำลังจ้องมองตรงลงมาที่เธอแน่นิ่ง แต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป นัยน์ตาคู่นั้นดูอิดโรยและเหนื่อยล้า แม้จะพยายามปกปิดไว้อย่างแนบเนียนก็ตามที

    ในสถานการณ์อย่างนี้ คางาริรู้ตัวดีว่าการหลีกเลี่ยงที่จะปะทะคารมกับประธานสภาจะดีที่สุด ดังนั้นหญิงสาวจึงผุดลุกขึ้นยืนก่อนยกมือขึ้นทำความเคารพด้วยท่าทีสุภาพ

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านประธานซาล่า” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่เธอรู้ตัวดีว่าขาทั้งสองข้างนั้นสั่นไปหมดแล้ว หญิงสาวรวบรวมความพยายามทั้งหมดที่จะไม่หลบสายตาเขา ไม่ค่อยอยากจะยอมรับนักหรอกนะ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกกลัวจริงๆ

    ...จะถูกหมอนี่จับได้รึเปล่าก็ไม่รู้....

    เพียงแค่คิดเหงื่อกาฬก็เริ่มแตกพลั่กๆ ....โอย แล้วนายจะจ้องหน้าชั้นอีกนานมั้ยเนี่ย…!!??

    หากแต่บุรุษเบื้องหน้าเพียงแค่ลอบยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก ก่อนเอ่ยวาจาเหน็บแนมอย่างไม่ใคร่ใส่ใจอาการประหม่าของเลขาสาวเท่าใดนัก

    “อ้าว รู้จักเรียนรู้มารยาทกับเขาเหมือนกันเหรอเนี่ย เนเชอรัล?” ถ้อยคำยียวนที่เธออดต้องแอบนับเลข 1 ถึง 100 เพื่อเตือนสติตัวเองไม่ให้หลวมตัวอัดอีตาบ้าปากดีให้ลงไปกองกับพื้น สาวน้อยผมสีทองตวัดนัยน์ตาสีอำพันจ้องมองเจ้านายตัวเองด้วยสีหน้าปานจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนน้ำเสียงแหลมสูงจะแหวกลับทันใด

    “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง!!” คิ้วเข้มของคนกวนโมโหเลิกขึ้นสูงอย่างไม่ยี่หระ ก่อนอัสรันจะจัดแจงหยิบแผ่นดิสก์จากในกระเป๋ามาโบกไปมาในมือครู่หนึ่ง

    “วันเสาร์นี้จะมีนัดประชุมกับสมาพันธ์โลก” อารมณ์คนฟังที่เดือดปุดๆ อยู่เมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยแทน คิ้วเรียวบางมุ่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ ก่อนสมองจะตรึกตรองไปถึงจดหมายนัดประชุมที่เธอเคยได้รับเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา...ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกหมอนี่จะตอบรับคำเชิญไปนี่นา...

    “ใช่ค่ะ...” เธอกล่าวพลางผงกหัวรับ

    ชายหนุ่มจัดแจงวางแผ่นดิสก์ลงบนโต๊ะทำงานของเลขาส่วนตัว ก่อนเอ่ยปากออกคำสั่งรัวเร็ว

    “ชั้นอยากให้เธออ่านรายงานในการประชุมนี่ทั้งหมดก่อนงานในวันนั้น เพราะว่าชั้นไม่อยากเห็นเลขาส่วนตัวทำอะไรขายขี้หน้าหรอกนะ”
    คำกล่าวกระทบกระแทกที่ดูคล้ายคำตำหนิทำเอาคนฟังเริ่มฉุนอีกรอบ ก่อนทวนกลับเสียงสูง

    “ขายขี้หน้าอะไรกัน!”

    “ทำไงได้ ก็พวกสมาพันธ์โลกน่ะน่ารำคาญจะตาย ถ้าให้ดี...เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกสนามจะดีกว่า เพราะว่าชั้นเองก็ไม่ว่างพอจะมาคอยดูแลการกระทำของเธอทุกฝีก้าวหรอกนะ คุณผู้หญิง”

    “เฮอะ! ขอบคุณในความหวังดี แต่ชั้นดูแลตัวเองได้ค่ะ ท่านประธาน!” เธอพูดโต้กลับในทันที และก็มั่นอกมั่นใจในคำกล่าวนั้นมากเสียด้วยสิ ยังไงซะเธอก็ไม่ได้มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงแค่ในนามอยู่แล้ว ตลอดระยะเวลา 19 ปีที่คิซากะเพียรสั่งสมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ได้เรียนรู้ทุกอย่างที่เชื้อพระวงศ์ทุกคนสมควรเรียนรู้ รวมถึงการรับมือด้านปัญหาการเมืองด้วย

    แต่มันมีปัญหาอยู่นิดหน่อยตรงที่...เธอเองก็ไม่ค่อยจะใส่ใจในวิชาพวกนี้เสียด้วยสิ

    ถ้อยคำอวดดีของคนไม่เจียมบอดี้เรียกรอยยิ้มขบขันจากประธานสภาหนุ่มได้ไม่ยากเย็น

    “ก็ตามใจ” อัสรันกล่าวทิ้งท้ายก่อนร่างสูงจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน

    + + + + + +

    และแล้ว...วันเสาร์ก็มาถึง ตอนนี้เจ้าหญิงคนสำคัญของจักรวรรดิ Orb พบตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเบาะบุด้วยกำมะหยี่อย่างดีระดับ First Class ในชัตเตอร์อวกาศที่สกรีนโลโก้ ‘กองกำลังZAFT’ ตัวเบ้อเร่อไว้บนตัวถังสีขาว

    จากรายงานทำให้เธอทราบว่าการประชุมครั้งนี้จะถูกจัดขึ้นที่ PLANTs ณ โคโลนี่ September Three ซึ่งอยู่ห่างไปพอสมควร แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ คาดว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงถึงที่หมาย

    วันนี้ร่างบางที่กำลังนั่งจ้องเครื่องคอมพิวเตอร์แลปทอบบนหน้าตักอยู่ในชุดยูนิฟอร์มทหาร ZAFT เต็มเครื่องแบบตรงระเบียบเป๊ะ โดยสังเกตได้จากกระโปรงที่มันมีแต่จะสั้นลงทุกวันๆ เพราะเป็นงานประชุมครั้งสำคัญ ทำให้เธอหยิบกระโปรงตัวเก่งที่ไปต่อผ้าให้ยาวเกินเข่ามาใส่เดินเฉิดฉายที่นั่นไม่ได้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้หญิงสาวหัวเสียพอดูอยู่แล้ว

    แม้แต่เรือนผมสีน้ำผึ้งที่มักจะฟูฟ่องไร้การหวีก็ยังถูกม้วนรวบเป็นมวยตึงอยู่ด้านหลังอย่างลำบากลำบน เพราะการซอยเสียสั้นทำให้เส้นผมส่วนที่ยาวไม่พอตกลงมาระใบหน้าอ่อนใสที่มีแว่นกรอบบางราคาถูกๆ ซึ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าประดับอยู่ด้วยความหวังว่ามันจะทำให้เธอดูเคร่งขรึมสมกับเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธานสภาขึ้นมาบ้าง

    แน่นอนว่าการเปลี่ยนภาพพจน์ครั้งใหญ่ของเธอ เป็นอภินันทนาการจากคิซากะ บอดี้การ์ดหนุ่มร่างยักษ์ซึ่งแทบจะลมใส่ทันทีเมื่อได้เจ้าหญิงเขาของเล่าถึงเรื่องการประชุมวันนี้

    “ประชุมกับสหพันธ์โลกอย่างนั้นเหรอ!! นี่ท่านจะบ้ารึเปล่าเนี่ย!?? ทั้งที่ท่านเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านผู้แทนสภาของ Orb ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับ EA เนี่ยนะ!!??? ถ้าใครสักคนในนั้นเกิดจำหน้าท่านได้ขึ้นมา เรื่องมันจะได้วุ่นวายไม่รู้จักจบสิทีนี้!!!”

    คำกล่าวตักเตือนซึ่งเธอตอบรับด้วยการเชิดหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้ทันที ที่คิซากะพูดมันก็มีเหตุผลอยู่หรอก แต่ตอนนี้เธอถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ถ้าขืนล้มเลิกเสียตอนนี้ ซาล่าคงจะคิดว่าเธอขี้ขลาดแน่ๆ ซึ่งเธอยอมรับไม่ได้เด็ดขาด! แม้การกระทำจะดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่คางาริรู้ดีว่าลึกๆ ในใจเธอเองก็อยากจะพบพวกสมาพันธ์ฯ ดูสักครั้ง เธออยากรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้พวกเขาวางแผนอะไรอยู่ ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสดีเพราะพวกเขาคงไม่เอาเวลามานั่งใส่ใจในตัวเธอเท่าไหร่หรอก เพราะเธอก็เป็นแค่เลขาเนเชอรัลของท่านประธานซาล่าเท่านั้นเอง

    ผ่านไปนานพอดูทีเดียว กว่าคางาริจะเกลี้ยกล่อมให้ผู้ปกครองของเธออนุญาตได้พร้อมกับเงื่อนไขที่ว่าจะต้องระวังตัวให้ดีและต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองทั้งหมดด้วย แม้จะไม่ชอบ แต่ก็เป็นทางเดียวที่เหลืออยู่ ความจริงจริงคิซากะเองก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเธอมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าเวลาไหนควรจะเชื่อใจเธอ

    ทำให้เธอมาอยู่ที่นี่ ในสภาพแบบนี้ไง!

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกวาดมองพิจารณาไปรอบตัว และไปสะดุดที่นายทหารหนุ่มผิวสีแทน ดิอัคก้า เอลท์แมน ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับเครื่องแลปทอปของตนเองเช่นกัน วันนี้ มิลลี่ เลขาส่วนตัวของเขาขอลาป่วยไปเมื่อวันก่อนจึงไม่สามารถมาได้ ทำเอาคางาริรู้สึกเศร้าพอสมควรเมื่อความหวังที่จะมีเพื่อนคุยในสถานที่อันน่าเบื่อนั้นพังทลายหายไป

    ถัดออกไปมีนายทหารผิวขาวจัดท่าทางอวดดีกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือพิมพ์ตรงหน้าไม่ยอมขยับมาสักพักแล้ว โดยไม่ต้องสงสัยเธอจำได้ทันทีว่าหมอนี่คืออิซาค จูลไม่ผิดแน่ ส่วนคนทางด้านหลังคือนิโคล อามาร์ฟี่ ชายที่สัมภาษณ์เธอตอนรับสมัครงาน เด็กชายผมเขียวนั่งเอนตัวสบายๆ อยู่บนเบาะเนื้อดีทอดสายตามองทัศนียภาพด้านนอกไปไกล ส่วนผู้บังคับบัญชา....ชื่ออะไรนะ? ...คลูเซ่?? ก็นั่งติดกับเขา

    สำหรับอีตาประธานสภาซาล่า...ไม่ต้องชำเลืองไปไกลหรอก เพราะหมอนี่นั่งติดอยู่กับเธอนี้เอง เหมือนๆ กับคนอื่นที่ใช้สายตาและสมาธิทั้งหมดจดๆ จ้องๆ กับข่าวออนไลน์ในหน้าหนังสือพิมพ์ นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลยมาสักพักหนึ่งแล้ว...

    ทุกๆ คนต่างก็เตรียมพร้อมกับสำหรับงานประชุมกันทั้งนั้น คางาริแม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่เธอเพิ่งจะอ่านรายงานไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ก็รายละเอียดพวกนี้มันน่าเบื่อจะตายชัก มีแต่พวกประวัติศาสตร์และศัพท์วิชาการสมัยปีคอสมิกอีร่า อันได้แก่ชื่อของอาณานิคมย่อยต่างๆ ของ PLANTs ไม่ก็เส้นเบ่งเขตเวลาไร้สาระ

    แต่อย่างน้อยเธอก็โล่งใจที่ซาล่าไม่ได้ก่อสงครามอะไรขึ้นมาอีก เพราะตอนนี้เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำจริงๆ นะ...

    “เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ C.E. 70”

    เห็นที...จะไม่ใช่แล้วแฮะ...

    หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งเมื่อเสียงห้าวๆ ของชายหนุ่มข้างกายเอ่ยขึ้นเรียบๆ โดยที่สายตาไม่ละจากจอคอมพิวเตอร์ด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย

    “หา?”

    “ชั้นก็แค่อยากรู้ว่าเธออ่านรายงานมารึเปล่า”

    เลิศ! เจ๋งมาก เจ๋งจริงๆ ให้ตายเถอะ!!! คางาริเผลอตัวกัดริมฝีปากล่างทันที เพราะสิ่งที่เขาพูดมามันคืออะไรเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำ!!!

    บ้าเอ๊ย! แค่เหตุการณ์ใน C.E. 60 เธอยังอ่านไม่จบเลยด้วยซ้ำ! และแน่นอน....

    หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่แสดงออกให้หมอนี่รู้หรอก!!!

    “เอ่อ...วันที่ PLANT ถูกสร้าง...มั๊ง” คำตอบแผ่วเบาที่คนถามเลิกคิ้วสูงทันที ก่อนส่ายหน้าน้อยๆ ราวกับไม่ใส่ใจ

    “เธอไม่ได้ทำตามคำสั่งชั้นเลยนี่นา” คนไม่ทำตามคำสั่งถึงกับหน้าเสียและยกมือขึ้นกอดอกทันที

    “ก็มันเยอะเกินไปนี่นา!” หญิงสาวบ่นพึมพำ ใจอยากจะให้เขาหาคำถามอะไรที่มันง่ายๆ กว่านี้บ้าง...อย่างเช่น...จอห์น เกลนคือใคร อะไรประมาณนั้น! ใช่! ถ้าเป็นแบบนั้นละก็เธอตอบได้ชัวร์!!

    ท่าทางขัดใจของหญิงสาวเรียกอัสรันให้ขยับยิ้ม เขารักที่จะเห็นเวลาเธอหงุดหงิดจริงๆ

    “อธิบายการปกครองของ Orb มาซิ”

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างทันทีเมื่อคำถามจบลง คำถามมีตั้งเยอะแยะ ทำไมถึงเลือกเอาเรื่องนี้ล่ะเนี่ย!!!

    ความวิตกกังวลฉายชัดบนใบหน้าเนียนทันที นิ้วมือเรียวยาวรัวเคาะแป้นคีย์บอร์ดไปมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก แน่นอน...เธอรู้เรื่องระบอบการปกครอง Orb แน่ล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่แน่ใจ...ถ้าเกิดอัสรันสงสัยว่าทำไมเธอถึงรู้ละเอียดนักขึ้นมาล่ะ? แต่ถ้าหาก...เธอตอบเฉพาะเรื่องพื้นๆ ล่ะ....

    คางาริพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยตอบด้วยถ้อยคำระมัดระวัง “จักรวรรดิ ORB ปกครองด้วยผู้แทนสภาที่คัดเลือกจาก 5 ตระกูลขุนนางชั้นสูงที่กระจายอำนาจไปตามหัวเมืองเกาะต่างๆ กัน...ซึ่งทั้งหมดจะขึ้นตรงกับท่านผู้แทนสภาสูงสุด...” คำอธิบายหยุดลงเพียงแค่นั้น...ไม่แน่ใจว่าสมควรจะพูดต่อหรือไม่

    อัสรันเบนความสนใจจากเจ้าคอมพิวเตอร์จอเหลี่ยมมามองใบหน้าหวานครู่หนึ่ง นึกแปลกใจไม่น้อยในความรู้ของหญิงสาวร่างบางตรงหน้า

    “แล้วใครคือผู้แทนสภาสูงสุดล่ะ?” คางาริเผลอตัวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนตวัดสายตาลงมองปลายเท้าตัวเอง

    “ท่านอุซุมิ นาระ อัสฮา” เธอเอ่ยตอบแผ่วเบา เรียกรอยยิ้มเหยียดให้ปรากฏบนใบหน้าคมคายของประธานหนุ่มทันที

    “อย่างที่คิดเลย นี่พวกเธอยอมรับเนเชอรัลงี่เง่าอย่างนั้นเป็นหัวหน้างั้นเหรอเนี่ย”

    หญิงสาวตวัดสายตาค้อนขวับอย่างเอาเรื่อง ถ้าเป็นบนโลกใครก็ตามที่ถูกเธอจ้องมองแบบนี้ ป่านนี้คนหนีเตลิดด้วยรังสีอำมหิตแล้วเป็นแน่แท้ แต่ไม่ใช่กับอัสรัน ซาล่า...บุรุษที่กล่าววาจาเหยียดหยามพ่อบังเกิดเกล้าของเธออย่างหน้าตาเฉย! บุคคลผู้ที่เธอเทิดทูนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ไม่มีทางเสียหรอกที่เธอจะยอมให้ภาพลักษณ์ของท่านพ่อเสื่อมเสียด้วยถ้อยคำดูหมิ่นอย่างนั้น!!

    ราวกับไม่สนใจรังสีแห่งการฆ่าฟันที่แผ่พุ่งออกมา อัสรันยังคงยิ้ม...อย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งเสียงห้าวๆ ของกัปตันยานขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

    “ท่านสุภาพบุรุษ” คำกล่าวอย่างสุภาพที่หญิงสาวต้องขมวดคิ้วรับ

    พวกนายคิดว่าชั้นไม่มีตัวตนเลยรึยังไงเนี่ย!!??...นั่นสินะ...พวกเขาคงสนใจหรอก!

    “ชัตเตอร์กำลังจะลงจอดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ท่านผู้โดยสารกรุณารัดเข็มขัดด้วย”

    โดยไม่รอช้า คางาริจัดแจงที่นั่งตัวเองให้เรียบร้อย พลางขยับแว่นกรอบบางให้เข้าที่ พร้อมนึกภาวนาอยู่ในใจ...ขอให้วันนี้ผ่านไปด้วยดีทีเถิด...

    + + + + + +

    อาณานิคม September Three ก็เหมือนกับท่าอากาศยานอื่นๆ ที่วุ่นวาย เต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดกันกับชีวิตที่เร่งรีบ ถ้าจะพูดถึงความแตกต่างก็คงมีแต่พรมแดงหนานุ่มที่ปูยาวตั้งแต่หน้าประตูยานจนถึงประตูทางเข้าหลักของเมืองเท่านั้นกระมัง

    “ยินดีต้อนรับท่านประธานสภาซาล่า เราหวังว่าท่านจะได้รับความสะดวกสบายตลอดการมาเยือนที่ September Three นะครับ” เสียงชายศีรษะโล้นเลี่ยนปกคลุมด้วยเส้นผมบางเบาสีขาว ความสูงประมาณไหล่ของอัสรันเห็นจะได้ กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มโชว์ฟันขาวครบสามสิบสองซี่ที่คางาริยังนึกขยาด ร่างผอมแห้งที่อยู่ในชุดเครื่องแบบ ZAFT สีม่วงแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งระดับสูงก้มหัวเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้สตรีข้างกายยอบตัวลงยื่นช่อดอกไม้หลากสีสันให้กับชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า

    กล่าวขอบคุณแผ่วเบาเมื่อยื่นมือรับน้ำใจจากคู่สามีภรรยาตรงหน้า ก่อนจะโยน (อ่า คำนี้เหมาะแล้วสำหรับกิริยาที่เขากระทำ) ช่อดอกไม้ให้เลขาร่างเล็กที่เดินตามมาข้างหลังอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

    คางาริลอบกัดฟันอย่างหงุดหงิด การรับช่อดอกไม้ขนาดใหญ่เบ้ง สุดจะหนักและแสนจะฟุ่มเฟือยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องกระจอกๆ เลย เล่นเอาเสียเธอแขนล้าไปหมดทั้งสองข้างทีเดียว! จนหญิงสาวอดเบ้หน้าไม่ได้เมื่อก้มลงมองเหล่าดอกไม้หลากสีประเดประดังเข้ากับกลิ่นหลากชนิดชวนเวียนหัว

    “แล้ว...” เสียงทุ้มต่ำแฝงแววยียวนที่เอ่ยขึ้นทำเอาเธอเงยหน้าขวับอย่างฉุนเฉียว “การประชุมเริ่มกี่โมง?” อัสรันเอ่ยถามขณะเบือนหน้ามาสบตาเธอ

    คางาริพยายามข่มใจนับหนึ่งถึงสิบไม่ส่งรังสีอำมหิตใส่เขาอย่างยากเย็น “อีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ ท่านประธาน!” เธอเอ่ยตอบพร้อมหางเสียงที่สะบัดขึ้นอย่างหงุดหงิด

    “ท่านประธานซาล่า ผมคิดว่าเรา...” คำพูดของผู้บัญชาการ ลาอู เลอ คลูเซ่ต้องหยุดอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อเสียงแหลมสูงอึกทึกของใครบางคนแทรกขึ้นมา

    “ท่านประธานซาล่า! ผมดีใจจริงๆ ที่คุณมา!” โดยไม่ได้นัดหมาย คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันเบือนหน้าไปยังต้นเสียงทันที และเป็นครั้งที่สองสำหรับการเยือน PLANTs ที่คางาริต้องควบคุมตัวเองไม่ให้กรีดร้องออกไป

    “นี่นาย!!!”

    ชายที่เอ่ยขัดจังหวะการนำทางของผู้บัญชาการหน้ากากยังคงไม่สนใจมารยาทเดินดุ่ยๆ ตรงมาที่กลุ่มตรงหน้าอย่างถือสิทธิ์เต็มที่ เรือนผมสีม่วงอ่อนถูกเซตเป็นทรงสูงบ่งบอกความมั่นใจเกินร้อยของเจ้าตัวได้ดี ชายตรงหน้าอยู่ในชุดเครื่องแบบกองทัพโลกเต็มยศคล้ายจะองอาจ แต่สำหรับคางาริแล้ว บุรุษตรงหน้าดูเหมือนกับผู้ชายหลงตัวเองเป็นที่หนึ่ง อวดดีเป็นรองกำลังส่องกระจก พลางตะโกนโหวกเหวกว่า “ใครงามเลิศในปฐพี” ขณะกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของตัวเองมากกว่า

    “ยูน่า โรมา เซรัน” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้น นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองคนไม่รู้กาลเทศะตรงหน้านิ่งโดยที่ประกายตาไม่ไหวเลยแม้แต่น้อย

    ยูน่าสาวเท้าเข้ามาใกล้พลางโน้มตัวลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยทักทายอัสรันอย่างอารมณ์ดี

    “ยินดีที่ได้พบท่าน ประธานสภาสูงซาล่าแห่ง PLANTs” เขากล่าวยิ้มๆ ก่อนสายตาจะมาสะดุดกับเจ้าหญิงผมบลอนด์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

    “แล้วเธอเป็นใคร กล้าดียังไงมาชี้หน้าชั้นอย่างนั้นน่ะ?” คำกล่าวเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงของเธอให้กลับมา ตอนนั้นเองเธอถึงรู้ตัวว่าเธอกำลังชี้หน้าเจ้าผู้ชายหัวม่วงอยู่จริงๆ ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงก่ำทันที

    “อ่า...คือชั้น...” ถ้อยคำตะกุกตะกักทำให้ยูน่าต้องเลิกคิ้วสูง ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งอย่างรำคาญ

    “ชั้นถามว่าเธอเป็นใครไง ไม่ได้ยินเรอะ?” สุ้มเสียงอวดดีทำเอาอารมณ์เจ้าหญิงแห่ง Orb ถึงกับฉุนกึกขึ้นอีกครา

    เจ้าหมอนี่...มันวอนเสียแล้ว! ถ้าหากเธอไม่ได้อยู่ในสภาพนี้นะ อีตาหัวม่วงอวดดีนี่คงโดนกระทืบแบนติดดินไปแล้วแน่นอน!!

    แต่คางาริรู้ดี...ตอนนี้เธอไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนั้น... หญิงสาวขยับแว่นกรอบบางให้เข้าที่ ก่อนเอ่ยตอบฉะฉานหนักแน่นอย่างมืออาชีพ

    “ชั้นคือคางาริ ยูละ เลขานุการส่วนตัวของท่านประธานสภาซาล่า!” มือกร้านขยับลูบคางตนเองช้าๆ ขณะใช้สายตาพิจารณาร่างบอบบางของสตรีตรงหน้าสักพัก

    “คางาริ ยูละ... เห? ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย แต่หน้าเธอมันก็คุ้นๆนะ อ๊ะเดี๋ยว! ว่าแต่เธอกล้าดียังไงถึงได้มาชี้หน้าชั้นอย่างนั้น!?”
    รู้สึกราวกับหัวใจจะเด้งออกมานอกอก! เจ้าผู้ชายบ้านี่...อีตายูน่า โรมา เซรัน...หนึ่งในผู้ซึ่งมีอิทธิพลสูงสุดและเป็นที่รู้จักในกองทัพโลก! ที่สำคัญ...ชายผู้เป็นคู่หมั้นของเธอ!! ใช่...เธอรู้จักหมอนี่ดี...เขาเป็นพวกขี้ขลาดที่ชอบหมกตัวและใช้อำนาจบารมีของตัวเองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แค่ถึงกระนั้น......

    ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะโง่งี่เง่าถึงขนาดนี้!!

    “ตอบมาเดี๋ยวนี้!!” ชายหนุ่มเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเขาเริ่มหมดความอดทน ทำเอาหญิงสาวเริ่มฉุนกึกอีกรอบ แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากตอบอะไร คนที่เธอไม่คาดคิดก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเสียก่อน

    “ผมไม่เห็นความจำเป็นที่คุณต้องมาทำให้เลขาฯ ของผมขายหน้าเลยนะ ยูน่า โรมา เซรัน” เสียงเย็นเยียบทว่าเปี่ยมด้วยอำนาจของบุรุษตรงหน้าเอ่ยขึ้นหนักแน่น ก่อนร่างสูงของท่านประธานสภาจะสาวเท้ามาประจันหน้าพลางตวัดนัยน์ตาสีมรกตจ้องมองดวงตาสีม่วงเข้มนิ่งงัน
    แต่ราวกับยูน่าไม่รู้สึกถึงสภาวะกดดันทางอารมณ์ ชายหนุ่มกลับโพล่งคำถามอวดดีออกไปเสียเฉยๆ

    “แล้วที่ PLANTs เนี่ยเขาบัญญัติกฎหมายห้ามถามไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

    ตั้งแต่คนงี่เง่าอย่างนายและซาล่าเกิดมาบนโลกนี้ไง เสียงในใจเอ่ยตอบทันควัน เธอรู้ตัวดีว่าครั้งนี้เธอติดหนี้ซาล่าอยู่ แต่...นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น!

    “เอาเถอะๆ ยูน่า ทางที่ดีเราอย่างสร้างปัญหาระหว่างการประชุมดีกว่า จริงมั้ย?” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งของชายอีกคน ซึ่งเมื่อผู้บัญชาการชุดขาวเห็น ก็รีบสาวเท้าไปทักทายบุรุษแปลกหน้าคนนั้นทันที

    “มูลต้า อัสราเอล ยินดีที่ได้พบคุณจริงๆ” คลูเซ่เอ่ยทักทาย ขณะที่ชายผมทองที่ชื่ออัสราเอลพยักหน้ารับโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้ากากขาวของผู้บัญชาการปริศนา

    “ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกันผู้บัญชาการคลูเซ่” อัสราเอลตอบกลับ แม้จะไม่ชัดเจน แต่คางาริรู้สึกได้ ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากบุคคลกลุ่มนี้ กลิ่นอายไม่น่าไว้วางใจ...

    อัสราเอลหมุนตัวกลับมายังกลุ่มคนตรงหน้า ก่อนเอ่ยตัดบท “การประชุมจะเริ่มในอีกไม่นาน ผมคิดว่า พวกเราควรไปกันได้แล้วนะ”

    ไร้ซึ่งการโต้แย้ง ทุกคนพร้อมใจกันเดินเข้าไปยังบานประตูหลักตรงหน้าโดยไม่ปริปากบ่น

    + + + + + +

    ขณะที่กำลังขึ้นรถลีมูซีนสีดำมันปลาบที่จอดรอไว้อยู่ ประธานหนุ่มก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติแม่เลขาสาวตัวแสบ ที่ตลอดทางเอาแต่นั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้เบาะหนังตรงข้าม วางมือทับกันเรียบร้อยผิดวิสัย บนตักมีเครื่องแลปทอปเปิดทิ้งไว้ราวกับกำลังใช้งาน แต่ทว่าผู้เป็นเจ้าของกลับเอาแต่นั่งจ้องเท้าตัวเองพลางขบริมฝีปากล่างเงียบกริบ

    แล้วจู่ๆก็สะดุ้งเฮือก!

    ครั้งที่ 10 ได้แล้วมั้งหลังจากที่ขึ้นรถมา เธอก็ดูกระวนกระวายอย่างไรบอกไม่ถูก

    คิดพลางถอนหายใจ รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาที่จะไปใส่ใจเรื่องชาวบ้าน ความจริงเขาก็ไม่ได้สนใจอดีตของยัยคนธรรมดาที่มันไม่ค่อยจะธรรมดาอย่างแม่เนเชอรัลนี่นักหรอก เพียงแต่...

    ถ้าเป็นปกติ เธอมักจะชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง ทอดสายตาชมทัศนียภาพเบื้องหน้าไปไกล หรือไม่ก็คอยส่งสายตาขวางๆ มาให้เขาระหว่างที่อยู่นั่งตรงข้ามกัน แต่ตอนนี่...เธอกลับนิ่งเงียบ เหมือนกับกระดิ่งไฟฟ้าที่เคยทำงานได้ดีเกิดแบตหมดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

    จะว่าไปแล้ว...วันนี้เธอนึกครึ้มยังไงถึงได้แต่งตัวแบบนี้กันนะ?

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อัสรันรู้สึกตัวว่ากำลังแอบลอบพิจารณาเธอจากปลายหางตา หญิงสาวตรงหน้าดูน่ารักไม่น้อยเมื่อเธอรวบผมสีทองที่มักจะฟูฟ่องอยู่เสมอให้เข้าที่เข้าทางสักที จะมีก็แต่แว่นตากรอบเหลี่ยมนั่นแหละที่มันดูไร้รสนิยมไปสักหน่อย แต่โดยรวมก็ยังดูน่ารักอยู่ดี จะว่าไปแล้วท่าทางของคนตรงหน้าก็ทำให้เขานึกถึงพวกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบเล่นแต่งตัวตุ๊กตาขึ้นมาเสียเฉยๆ และร่างบอบบางตรงหน้าก็ทำได้ไม่เลว มาดเลขาสาวผู้ปราดเปรียวเพียบพร้อมถูกแสดงออกมาได้อย่างดีทีเดียว

    แล้วนึกยังไงถึงแต่งตัวแบบนี้กัน?

    คำถามเดิมๆ ดังซ้ำขึ้นในหัวเป็นรอบที่สิบ จนถึงวันนี้ เขาไม่เคยบอกเธอเลยสักครั้งให้เจ้าหล่อนวางมาดหรือแต่งตัวให้เหมือนมืออาชีพเสียบ้าง ถึงแม้มันจะจำเป็นก็ตาม อีกอย่างเท่าที่สังเกตดู เจ้าหล่อนเองก็เป็นผู้หญิงที่ไม่มีวิสัยชอบแต่งตัวเป็นทุนอยู่แล้ว ถึงบังคับไปก็เท่านั้น
    นั่นแหละประเด็นล่ะ...

    ทำไมจู่ๆ เธอถึงเกิดใส่ใจขึ้นมา...? หรือว่าวันดีคืนดีเธอเกิดนึกได้ว่าควรจะปฏิบัติตัวให้สมกับตำแหน่งเลขาฯ ประธานสภาเสียที? หรือไม่เธอก็อาจจะอยากเปลี่ยนภาพพจน์ตัวเอง...?

    จะว่าไปลักซ์ก็เคยบอกว่าผู้หญิงทุกคนชอบการแต่งตัวกันทั้งนั้น...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...คางาริ..อ๊ะ หมายถึง ยูละ...ไม่น่าจะใช่ผู้หญิงประเภทนั้น...

    หรือ...จะเป็นการปลอมตัว...???

    แต่เพื่ออะไรล่ะ...???


    สมมุติฐานใหม่ถูกคิดขึ้นมาทันที แม้จะไร้ซึ่งคำตอบ แต่คำถามกลับไม่หยุดเพียงแค่นั้น

    ถ้าหากนี่คือการปลอมตัวจริงๆ ละก็ เธอต้องทำเพื่อหลบซ่อนใครกัน? ทำไมต้องเฉพาะตอนนี้...ที่ September three?

    สุดท้ายก็ยักไหล่ พร้อมกับโยนความคิดฟุ้งซ่านนั่นทิ้งไป สมมุติฐานข้อนี้มันเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างอาจจะมีเหตุผลสนับสนุนเป็นพันข้อให้เธอแต่งตัวแบบนี้ก็ได้ และเขาก็ไม่มีเวลามากพอจะมาพิสูจน์ทุกข้อเสียด้วยสิ

    นัยน์ตาสีมรกตตวัดมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งที่ตอนนี้...เริ่มหันซ้ายหันขวา เลิ่กลั่กดูน่ารำคาญอีกแล้ว!

    นี่แหละ! เหตุผลที่ทำให้เขาหยุดคิดเรื่องบ้าๆ นี่ไม่ได้สักที!!

    ระหว่างที่กำลังหาเหตุผลอยู่นั้น พลันสมองก็ไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

    จะว่าไป...เธอทำตัวพิลึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนที่เจอ.............ยูน่า โรมา เซรัน!

    อัสรันค่อนข้างมั่นใจทีเดียว เพราะตั้งแต่เจอเจ้านั่นที่ประตูหลัก คา- หมายถึง ยูละ ก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เขายังจำได้ดี เธอทำตาโตอย่างกับไข่ห่านตอนที่เห็นเจ้าหมอนั่นเดินเข้ามาทัก เหมือนกับ...เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นแหละ...

    แล้วยูละ...จะไปรู้จักเซรันได้ยังไง...?

    ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ไปๆ มาๆ เหตุผลที่เธอปลอมตัวยังฟังดูเข้าท่ามากกว่าเรื่องนี้เสียอีก! แต่มันก็น่าสงสัยจริงๆ แค่ผู้หญิงเนเชอรัลธรรมดาๆ จะไปรู้จักกับเจ้าผู้ชายไร้มารยาทอย่างนั้นได้ยังไง ...เดี๋ยวก่อนนะ!!

    ความคิดสะดุดลงพร้อมกับมือใหญ่ที่ตบป๊าปเข้าที่หัวจังๆ

    ทำไมเขาถึงได้โง่อย่างนี้นะ! เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วที่ยูละจะจำเจ้าเซรันได้...เพราะยังไงซะเธอก็เป็น ‘เนอเชอรัล!’ แล้วหมอนี่ก็เป็นคนดัง ถ้าบ้านเธอไม่หลังเขานักเคเบิ้ลทีวีแถวนั้นก็คงจะฉายภาพให้เห็นบ้างล่ะน่า!

    สรุปพลางนึกตำหนิตัวเองในใจ บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป ความจริงเรื่องนี้อาจจะไม่มีอะไรมาก ยูละอาจจะแค่วิตกว่าจะเจอคนพิลึกอย่างยูน่าอีกหนหลังจากเผลอทำเรื่องหน้าแตกเข้า เหอะ...จะว่าไป เขาเองก็ไม่อยากจะเห็นหน้าเจ้าหมอนั่นเหมือนกัน!

    แต่...ธุรกิจก็คือธุรกิจอยู่ดี…!

    ทันทีที่รถยนต์คันหรูจอดสนิท เลขาสาวของเขาดูจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงสักที เขาสังเกตเห็นเธอกะพริบตาถี่ๆ ระยะหนึ่งก่อนจะสอดส่ายสายตาไปมาเหมือนกับกำลังระลึกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน! วูบหนึ่งเธอปรายตามองมาหาเขา ก่อนจะเบนความสนใจไปยังคนที่มาเปิดประตูให้แทน
    ระหว่างเดินออกจากรถ ชายหนุ่มลอบถอนใจเบาๆ ไม่มีอะไรผิดปกติกับยูละสักหน่อย...ให้ตาย! ทำไมชั้นจะต้องสนใจด้วยนะ! ถึงมันจะมีเงื่อนงำอะไรยังไง...ชั้นก็ต้องเป็นคนแรกที่รู้อยู่แล้ว...

    + + + + + +

    คางาริค่อยๆ ก้าวเดินลงจากรถลีมูซีนช้าๆ ระหว่างนั้นก็พยายามหลบตาผู้คนให้มากที่สุด มือเล็กยึดแลปทอปข้างตัวไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้าสำรวจอาคารตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    โครงสร้างโดยทั่วไปก็เหมือนกับอาคารอื่นๆ ของ ZAFT ที่มักจะให้ความรู้สึกเย็นเยียบมาพร้อมกับๆ การออกแบบที่ลงตัวเสมอ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเหลียวมองไปรอบๆ ก่อนจะไป ‘ปะทะ’ กับบุคคลผู้ซึ่งเธออยากจะหลบมากที่สุดในตอนนี้!

    ยูน่า โรมา เซรันรีบสาวเท้าออกจากรถลีมูซีนพลางจัดเสื้อโค้ทให้เข้าที่ ก่อนจะขยับรอยยิ้มบนมุมปากเมื่อมองเห็นประธานซาล่าและ ‘เพื่อนร่วมรุ่น’ ยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม

    คางาริรู้ตัวว่าเธอกำลังถูกจ้องมองอยู่ สมองพยายามคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจออกไป แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม
    ในที่สุดชายหนุ่มก็จบลงด้วยการขยิบตาส่งยิ้มหวานมาให้!

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!???????

    ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเธอจะทำใจไม่ให้แสดงออกการเม้งแตกออกไป....

    ยูน่าจ้องมองอาการนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยคิดเข้าใจไปเองว่าอาการที่คางาริแสดงออกนั้นเป็นการเรียกร้องความสนใจจากเขา
    หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ มือเรียวบางบัดนี้ถูกกำแน่น รวบรวมกำลังส่งสายตาอาฆาตไปให้อีกฝ่ายเต็มที่ พยายามห้ามตัวเองไม่ให้เดินข้ามไปตุ้ยหน้าคนฝั่งโน้นให้สาแก่ใจสักหมัด

    อี๋~!! เจ้าหมอนั่นคิดว่าเธอสนใจเสียเต็มประดาจริงๆ เหรอเนี่ย! อ๊ากกกกกก~~ แค่คิดก็อยากจะบ้า!!!!

    กู่ตะโกนในใจก่อนจะสะบัดมาอีกทาง แต่เมื่อสบตากับคนข้างๆ เข้าจังๆ ก็แทนอยากจะกรี๊ดเข้าอีกหน

    อ๊ากกกกกก~ สถานการณ์นี้ชั้นต้องเลือกใช่มั้ยเนี่ยว่าจะจ้องหน้าอีตาประสาทซาล่า หรือเจ้าบ้าอวดดียูน่านั่น!

    พระเจ้า...เอาลูกออกไปจากวังวนชีวิตนี้ทีเถอะ!!!


    + + + + + + + + + + + + + + + + + +

    เมื่อเข้าไปในอาคารเรียบร้อย ภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างเพรียวบางของหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังยืนแนะนำตัวว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้แทนของ Setember City ชื่อว่า ‘อิลีน คานาเวอร์’ หลังจากนั้นเธอก็นำคณะสมาชิกไปยังห้องประชุมใหญ่ที่ซึ่งบุคคลสำคัญท่านอื่นกำลังรออยู่
    บรรยากาศภายในห้องนั้นเย็นยะเยือก เนื่องจากทุกระเบียดนิ้วทำจากเหล็กเพื่อปิดกั้นเสียงแน่นหนา ตรงกลางมีโต๊ะขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเก้าอี้มากมายและจอมอนิเตอร์สำหรับแสดงผลเบื้องหน้า

    ภายในนั้นมีบุคคลระดับสูงจากสภา Plant อยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งคางาริจำได้ทันทีว่าหนึ่งในนั้นเป็นผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพ ZAFT ขณะที่ฝ่ายกองทัพโลกเองก็เต็มไปด้วยพลทหารยศสูงที่เธอเองก็รู้สึกคุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย

    เหล่าคณะกรรมการเมื่อเห็นประธานสภาเดินทางมาถึงเรียบร้อย จึงทยอยกันไปนั่งประจำตำแหน่งที่โต๊ะ คางาริจึงปลีกตัวออกไปยืนบริเวณหน้าประตูแทน เนื่องจากเลขาฯ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปร่วมวงสนทนา และเมื่อเธอเงยหน้ามองก็เห็นเลขาฯ คนอื่นๆ ก็ปฏิบัติตามในทำนองเดียวกัน
    โดยไม่ได้ตั้งใจ ตำแหน่งที่เธอยืนนั้นตรงกับด้านหลังของซาล่าพอดิบพอดี จนสังเกตได้ว่าเก้าอี้เบื้องหน้านั้นเป็น ‘จุดรวมความสนใจ’ ของทุกคนจริงๆ สำหรับมูรูต้า อัสราเอลนั้นอยู่ฝั่งตรงข้าม เช่นเดียวกับยูน่า โรมา เซรัน...ที่ไม่ทำให้เธอรู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะตลอดการประชุมเธอต้องถูกหมอนี่จ้องหน้าตลอดแหงๆ...

    แม้พยายามจะย้ายตำแหน่ง แต่ไม่เป็นผลจึงต้องจำใจยืนอยู่และก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างช่วยไม่ได้ ฉับพลัน! ห้องทั้งห้องก็มืดลง แสงสปอร์ตไลท์สีทองฉายขึ้นมาแทนที่ ตอนนั้นเองที่ชายผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามาและทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรก พร้อมกับยิ้มให้แก่คณะผู้แทนทุกคน

    “เรามาเริ่มการประชุมเลยดีมั้ย ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ?” เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพและหยุดช่วงไปเล็กน้อย เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะโบกมือไปมาและหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี

    “ขอโทษๆ ผมลืมแนะนำตัวไป ผมแอนดริว วาลท์เฟล ยินดีรับใช้ครับ” ชื่อที่ทำให้เธอหยุดชะงัก เธอต้องเคยได้ยินชื่อผู้ชายคนนี้จากที่ไหนสักแห่งแน่ๆ แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาคิดเสียแล้ว เนื่องจาก...อีตาบ้ายูน่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังจ้องหน้าเธอไม่วางตาเลย!

    เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนี่จำเธอได้รึเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้เขากำลังสนใจเธอ –อย่างมาก– เสียด้วย

    “หัวข้อแรกที่เราจะคุยกันก็คือเรื่องเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพ…”

    หลังจากนั้นการประชุมอันยาวนานหลายชั่วโมงก็เริ่มขึ้น คางาริพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา ทั้งที่ความจริงขาของเธอชาจนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว

    โอ้ย การหาเก้าอี้สักตัวให้บรรดาเลขาฯ นั่งนี่มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์นักรึไงนะ!!

    สภาพการณ์โดยรวมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถกเถียงกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างผิดคาด ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าประธานในที่ประชุม ซึ่งก็คือแอนดริว วอลท์เฟลเป็นคนที่รู้ว่าควรจะรับมือกับคนเหล่านี้อย่างไร และรู้ว่าจะควรจะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา เพราะอย่างไรเสีย ถึงแม้จะเป็นการเจรจาเพื่อสันติภาพ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้จักกันดี และคอยหยั่งเชิงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยู่เป็นนิจ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนไกล่เกลี่ยคอยทำหน้าที่ปรับให้ทั้งสองฝ่ายเขาหากันอย่างเขา

    คณะการประชุมต่างถกเถียงกันในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องข้อตกลงของสัญญา หรือสถานการณ์ปัจจุบันทั้งบนโลกและ Plants ความจริงมันแทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากมันไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ออร์บ เนเชอรัล หรือโคออดิเนเตอร์

    ประธานซาล่านั่งตอบคำถามทุกคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังและท่าทีนิ่งสงบสมเป็นมืออาชีพ จนคางาริอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเขาใช้เวลาเรียบเรียงคำยากๆ ก่อนที่จะพูดออกมาในเวลาเสี้ยววินาทีนั้นได้ยังไงกัน

    ส่วนมูรูต้า อัสราเอลยังคงเอาแต่คอยซักถามข้อมูลเกี่ยวกับ Plants และพยายามที่จะสนับสนุนหัวข้อทุกอย่างที่จะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง ซึ่งคางาริรู้ดีว่าทำไม เพราะเขาเป็นหัวหน้าของอดีตกลุ่มบลู คอสมอสที่ล่มสลายไปแล้วนั่นเอง ถึงกระนั้นความคิดนิยมของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

    และยูน่า...ซึ่งนานๆ ทีจะขยับปากพูดสนับสนุนอัสราเอลสักที เพราะมัวแต่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการจ้องหน้าคางาริ จนคนถูกจ้องเองชักรู้สึกคันมือคันไม้ตุ้บๆ กับความถือดีของคนไร้มารยาทนี่เต็มแก่ แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้เท่านั้น เพราะวันดีคืนดีเขาอาจจะจำเธอได้ขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้!

    และนั่นแหละ...ปัญหาใหญ่!

    แค่ทุกวันเธอเสี่ยงชีวิตตัวเองมาผูกพันกับสำนักงาน ZAFT ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แล้วถ้าหากแผนการและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเธอต้องมาพังเพียงแค่เจ้าบ้ายูน่าเกิดจำเธอได้ขึ้นมาละก็....!!

    แต่คนโง่ๆ อย่างหมอนี่ก็ไม่น่าจะจำเธอที่ปลอมตัวและไม่ได้เห็นหน้ากันมานานกว่า 10 ปีได้หรอก...!

    แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอต้องคอยตีหน้าเคร่งวางมาดนิ่งอยู่ตลอดเวลา นานๆ ทีถึงจะขยับตัวมือดันแว่นกรอบเหลี่ยมให้ขึ้นไปอยู่ตำแหน่งสมควรสักที ขณะที่บังคับให้สายตาจดจ้องแต่ประธานซาล่า เพราะเขาเป็นคนๆ เดียวที่เธอพอจะหาข้ออ้างในการมองได้บ้าง!

    “…ด้วยการร่วมมือกันระหว่างโคออดิเนเตอร์และเนเชอรัล ผมเชื่อว่ามันจะช่วยให้พวกเรารวมเป็นหนึ่งเดียว และสร้างสันติภาพที่แท้จริงให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน” สมาชิกผู้แทนคนหนึ่งพูด ซึ่งเหล่ากรรมการคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเชิงเห็นด้วย

    “แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ” จู่ๆ ยูน่าก็เอ่ยถามขึ้น

    คางาริกะพริบตาถี่ๆ ยูน่ากำลังจ้องหน้าเธออยู่ด้วยดวงตาพราวระยับอย่างสนอกสนใจเต็มที่ หญิงสาวพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยูน่ากำลังจ้องหน้าเธอ ส่วนซาล่าก็เบนสายตาหันมามองดูเธออย่างเงียบๆ อยู่เหมือนกัน...ทุกคนกำลังมองมาที่เธอ...นั่นก็หมายความว่า...

    ถามชั้น....!??

    คางาริรู้สึกถึงสายตานับสิบคู่ที่มองมาราวกับว่าเธอเพิ่งเดินทะลุกำแพงผ่านเข้ามาในห้องนี้อย่างไรอย่างนั้น! บางคนถึงขนาดพึมพำขมุบขมิบอะไรสักอย่างจนหญิงสาวเริ่มวิตกจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กะพริบตาปริบๆ เท่านั้น

    เจ้าของคำถามขยับมือขึ้นลูบคาง ก่อนจะเอ่ยทวนซ้ำ “เธอมีความคิดยังไงคุณคางาริ ยูละ เกี่ยวกับเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างโคออดิเนเตอร์และเนเชอรัล”

    ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระเด้งออกมานอกอก

    นี่ชั้นนึกบ้าอะไรถึงมาสมัครทำงานนี้กันนะ!! เอ่อ..แต่แรกคิดแค่ว่าจะช่วยเหลือ Orb เท่านั้น...ใช่ นั่นแหละเหตุผล แต่ยังไงก็เถอะ! นี่มันมากเกินไปแล้วนะ!! ถ้อยคำดูถูกอะไรกัน สายตาบ้าอะไรกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย อ๊ากกกกกกก เลิกจ้องหน้าชั้นเสียทีเถอะ ให้ตายเซ่!!!

    จากสถานการณ์นี้แสดงให้ออกชัดเจนเลยว่า เจ้าหญิงแห่ง Orb ไม่คุ้นเคยกับการอยู่ต่อหน้าสาธารณะชน - -

    “ว่าไง” เสียงกวนประสาทนั่นดังย้ำอีกครั้ง สายตาของเธอตอนนี้จึงไปหยุดที่ซาล่าที่กำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาใคร่รู้

    ใช่...สนใจใคร่รู้...อย่างไม่สนใจสักนิดเลยว่าเลขาของเขาจะพูดอะไรงี่เง่าๆ ออกไปรึเปล่า!!

    ชั้นคิดยังไงอย่างนั้นเหรอ...? อืม จริงๆ การทำงานร่วมกันก็คงดีไม่น้อยนะ ถ้าหากคุณไม่ต้องมารับมือกับอีตาโรคจิตอัสรัน ซาล่าอีกคนหนึ่ง หรือคนงี่เง่าแบบยูน่า โรม่า เซรัน

    แต่แน่ล่ะ เธอตอบไปอย่างนั้นได้เสียที่ไหน

    ใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำช้าชัด

    “เรื่องนี้เป็นแนวความคิดที่ดีค่ะ เพราะสันติภาพจะเข้มแข็งได้ต้องอาศัยการร่วมมือกัน แต่นั่นจะเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่เนเชอรัลยอมรับการในตัวตนของโคออดิเนอเตอร์ และโคออดิเนเตอร์...” เธอหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองประธานหนุ่มเพื่อยืนยันว่าเขายังฟังเธออยู่

    “ปฏิบัติตนต่อเนเชอรัลอย่างเท่าเทียม!”

    + + + + + +

    การประชุมได้จบลงไปเรียบร้อยแล้วเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา เพราะการถกเถียงที่ยาวนานทำให้เวลาล่วงเลยไปจนเย็นพอสมควรแล้ว เหล่าวุฒิสมาชิกสภาต่างพากันไปสังสรรค์ที่บ้านของบาทหลวงมาลิชิโอ เพื่อนสนิทของลักซ์บนโลก

    ใช้เวลาส่วนใหญ่จิบไวน์ในมือพร้อมกับเดินสำรวจรอบบ้าน ขณะที่ทั้งดิอัคก้า อิซาคและนิโคลกำลังง่วนอยู่กับการสนทนากับเหล่าสมาชิกสภา Plants คนอื่นๆ ส่วนผู้บัญชาการคลูเซ่ก็กำลังคุยกับอัสราเอลอย่างออกรส ความจริงเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้เหมือนกันที่ท่านผู้บังคับบัญชาดูสนิทสนมกับอดีตศัตรูคนนั้นมากถึงขนาดนี้

    “นี่!” เมื่อหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับหญิงสาวร่างเล็ก กำลังใช้ดวงตาสีทองคู่โตที่เด่นกระจ่างในบานกระจกมัวสีดำหม่นมองตรงมาที่เขา ซึ่งชายหนุ่มก็ดูไม่แปลกใจที่เธอมายืนอยู่ตรงนี้เท่าไหร่

    จะว่าไป...ต้องพูดว่านี่เป็นความคิดเขาถึงจะถูก...

    อัสรันยื่นข้อเสนอให้แม่เลขาจอมยุ่งนั่นคอยอยู่ข้างตัวตลอดเวลา และรับประกันว่าระหว่างที่เขาอยู่ด้วยจะไม่มีการพบปะติดต่อใดๆ โดยไม่จำเป็นกับผู้ชายเพี้ยนๆ ที่ชื่อยูน่า โรมา เซรันอย่างเด็ดขาด

    และเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเธอตกปากรับคำเขาแทบจะทันที

    ความจริงอัสรันเองก็เห็นด้วยว่าสิ่งที่เธอพูดระหว่างการประชุมนั้นเป็นเรื่องจริง และถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาเองก็ให้เกียรติเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงแม้จะเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งก็ตามที...

    “คุณจะปล่อยชั้นออกไปได้รึยัง?” เธอเอ่ยถามอย่างสุภาพ แน่นอนอยู่แล้วว่าเพราะถูกบังคับมากกว่าจะกระทำที่มาจากใจจริง

    ภาพที่เห็นทำให้เขาอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยคำสั้น

    “ไม่ได้”

    “ชั้นดูแลตัวเองได้น่า ท่านประธาน!” จากคำพูดสุภาพกลายเป็นโวยวายแกมประชดประชันเหมือนปกติอีกครั้ง

    “ไม่ได้”

    “เอ๊ะ! นายนี่มัน...!!”

    “ประธานซาล่า!” เสียงเอ็ดตะโรที่ดังขึ้นขัดจังหวะอย่างไม่รู้กาลเทศะนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘พวกชอบโวยวายหน้าประตู’ หรือยูน่า โรมา เซรันนั่นเอง ชายร่างสูงวิ่งเขามาทักบุคคลทั้งสองด้วยดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม และเมื่อสังเกตเห็นคางาริ เขาก็หยุดและขยิบตาให้อีกครั้ง เล่นเอาหญิงสาวผมทองชักอยากจะสำรอกไวน์ราคาแพงที่กินไปเมื่อครู่ขึ้นมาตงิดๆ

    ส่วนอัสรันยืนนิ่ง ขมวดคิ้ว ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็ไม่ชอบหน้าหมอนี่อยู่แล้ว...ไม่สิ...เข้าขั้นเกลียดเลยมากกว่า และตอนนี้ยิ่งเกลียดหนักขึ้นมากกว่าเดิม เพราะว่าเจ้าผู้ชายไร้มารยาทนี่ชักจะยุ่มย่ามกับเลขาส่วนตัวของเขามากเกินไปหน่อยแล้ว!

    แน่นอน ไม่ใช่เพราะห่วง...แต่มันรำคาญลูกตา!!

    “มีอะไร?” ประธานหนุ่มเอ่ยถามห้วนอย่างมะนาวไม่มีน้ำ เรียกสายตาจากคนที่กำลังฉีกยิ้มได้ชะงัด

    “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะคุยด้วย”

    “คุย?”

    “ก็แค่เรื่องทั่วๆ ไปน่ะ!”

    ระหว่างที่เส้นเลือดบริเวณสมองของอัสรันกำลังเดือดปุดๆ อยู่นั้นเอง สาวน้อยนางเดียวตรงนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนเผลอวิ่งผลุบหายไปทันที!

    + + + + + +

    คางาริรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถหลุดออกมาจากผู้ชายงี่เง่าสองคนได้เสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูน่า เธอเกลียดรอยยิ้มและวิธีการมองของเขาจริงๆ เลยให้ตายเถอะ!

    หญิงสาวพบตัวเองกำลังหลงอยู่ในวังวนผู้คนที่เดินไปเดินมากันให้ควั่ก ใช้เวลาสักพักในการมองหาช่องทาง ก่อนจะปลีกตัวเดินเลี่ยงมายังสวนทางด้านหลังบริเวณที่มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ คางาริก็ก้มตัวลงมองสภาพตัวเองในภาพสะท้อนบนผิวน้ำ ก่อนจะชักสีหน้าแหย

    ไม่จำเป็นต้องเป็นคนซื่อบื้ออย่างยูน่าหรอก...ต่อให้ใครก็ตามมาเห็นสภาพเธอตอนนี้ก็คงจำไม่ได้แหงๆ

    “สวัสดีค่ะ” เสียงทักที่ดังแว่วมาทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยง และเมื่อเธอหมุนตัวมายังต้นเสียงก็ต้องประหลาดใจรอบสอง

    “ลักซ์!” แน่นอนว่าสาวน้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอมีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้า เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างใสและเรือนผมสีชมพูยาวสลวยจนถึงกลางหลังประดับด้วยกิ๊ฟติดผมรูปดาวขนาดใหญ่ตรงด้านหน้า ไม่ว่ามองอย่างไรก็คือคุณหนูตระกูลไคลน์แน่นอน!

    แต่เมื่อพิจารณาดีๆ แล้ว คางาริก็ต้องชะงัก

    ลักซ์...ใช่ไหม? ถามย้ำกับตัวเองในใจ แม้รูปร่างภายนอกจะเหมือนกัน แต่ภายในนัยน์ตาสีฟ้าที่มักแฝงความรู้สึกอบอุ่นคู่นั้น...กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง!

    เมื่อเห็นคนตรงหน้าอุทานเสียงหลง หญิงสาวปริศนาก็เริ่มหัวเราะเบาๆ “ชั้นไม่ใช่ลักซ์หรอกค่ะ ถึงแม้เราจะหน้าตาคล้ายกันมากก็เถอะ คือจริงๆ แล้ว...ชั้นเป็นแฟนตัวยงของเธอน่ะค่ะ” เธอพูดพลางประสานมือเข้าด้วยกัน ก่อนจะแย้มรอยยิ้มหวานมาให้

    “ชั้นชื่อมีอาร์ แคมเบลล์ค่ะ”

    คางาริยื่นมือไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติตามธรรมเนียมปฏิบัติสากล แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าไม่วางตา

    หน้าตาเธอเหมือนลักซ์อย่างกับแกะ! ไม่ว่าจะมุมไหนก็ตาม...ยกเว้นเพียงดวงตา...แววตาของลักซ์มักจะฉายประกายอบอุ่น แฝงด้วยความยินดีอยู่เสมอ ขณะที่มีอาร์...เหมือนกำลังเก็บงำความคิดบางอย่างเอาไว้...

    “ชั้นคางาริ ยูละ” เธอตอบกลับอย่างสุภาพ

    มีอาร์ขยับรอยยิ้มกลับ “ยินดีที่ได้รู้จัก คางาริ ว่าแต่มาทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะ? เธอไม่ใช่ผู้หญิงเนเชอรัลที่เป็นเลขาฯของท่านประธานซาล่าหรอกเหรอ?”

    คางาริไม่ได้ยิ้มตอบ หญิงสาวรู้สึกไม่ชอบกลิ่นอายแปลกๆ ที่ออกมาจากตัวมีอาร์อย่างไรชอบกล เพียงแค่แว่บแรกเธอก็รู้สึกอึดอัดแล้ว และยิ่งทวีความรู้สึกนั้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำดูหมิ่นถากถางจากร่างบางตรงหน้า

    นี่เป็นการดูถูกและไล่อย่างสุภาพในขณะเดียวกันสินะ...

    “ใช่ ชั้นเอง”

    “แล้ว...คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับอัสรัน?” คำถามโพล่งที่ทำเอาคนถูกถามถึงกับอึ้งกะพริบตาปริบๆ อย่างปรับตัวไม่ทันกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของบุคคลตรงหน้า

    “...ความสัมพันธ์?? ชั้น...ก็เป็นเลขาฯ เขาไง?”

    “ทั้งที่หน้าตาก็ไม่ได้ดีเลยด้วยซ้ำ” สาวน้อยผมทองเลือกที่จะทำหูทวนลมกับคำพูดดังกล่าว ก่อนจะเอ่ยปากขอแยกตัวออกไป

    “ขอโทษนะ ชั้นไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร เพราะฉะนั้นชั้นขอตัวก่อน” แต่ระหว่างที่เธอกำลังจะสาวเท้าก้าวออกไปนั้นเอง ไหล่ของเธอก็ถูกมีอาร์คว้าเอาไว้!

    บัดนี้นัยน์ตาสีฟ้าที่เคยฉายประกายสดใสมืดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด รังสีแปลกๆ ที่หมุนวนอยู่โดยรอบทำเอาคางาริถึงกับผงะ นึกตกใจไม่น้อยกับการกระทำของผู้หญิงตรงหน้า

    “อัสรันเป็นของชั้นคนเดียวเท่านั้น!...รู้ไว้ซะนะ ชั้นเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ใกล้เขา!!” มีอาร์ตวาดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ก่อนจะเดินหน้ามาอีกก้าว

    “เธอ...เธอพูดอะไรของเธอ?”

    “ชั้นไม่ชอบให้เธออยู่ใกล้ๆ อัสรัน!” เท่านั้นแหละคนฟังก็แทบจะน้ำตาร่วงด้วยพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดหัวเราะพรืดออกมา

    “เข้าใกล้ซาล่าที่รักของเธอน่ะเหรอ? โอ๊ย เอาไปเลย! จะบอกให้นะ...ชั้นไม่ได้อยากจะเข้าใกล้ตาบ้าโรคจิตนั่นนักหรอก แค่ทำงานด้วยก็แทบจะประสาทกินอยู่แล้ว! บอกตรงๆ แค่คบเป็นเพื่อนยังไม่อยากคิดเลย! เพราะฉะนั้นเชิญเธอยกเอาไปเถอะ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย! อ่อ นั่นถ้าหากเธอแยกเขาออกจากลักซ์ได้ละก็นะ แล้วชั้นจะขอบพระคุณในความกรุณาของเธออย่างสูง!!”

    คำพูดรัวเร็วแทบไม่เป็นภาษาถูกร่ายยาวออกมาทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อย เพราะในที่สุดเธอก็ได้ระบายความรู้สึกจากก้นบึ้งจิตใจของเธอจริงๆ เกี่ยวกับชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์ผมน้ำเงินคนนี้เสียที!

    แต่ผลที่ได้รับกลับผิดคาด เมื่อมีอาร์ไม่ได้สนใจในคำกล่าวนั้นเลยแม้สักนิด เธอหรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยตอบด้วยคำพูดเยือกเย็น “แค่ลักซ์น่ะไม่มีปัญหาหรอก สำหรับตอนนี้...แค่กำจัดเธอออกไปให้พ้นทางได้ก็พอแล้ว!”

    สิ้นคำกล่าว เธอก็ดันมือผลักคางาริเต็มแรง ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าของโคออดิเนเตอร์ จึงไม่แปลกนักที่สามารถทำให้คางาริเสียหลักตกลงไปในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้าอย่างง่ายดาย!

    ตูม!!

    แต่ทว่ามีเรื่องเล็กๆ...เสี้ยวหนึ่งของความจริงที่มีอาร์ไม่รู้เกี่ยวกับคางาริว่า...

    เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แห่งออร์บ...ว่ายน้ำไม่เป็น...!!!

    --------------------------To Be Continued...
  15. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    Chapter 11 -- เจ้าชายขี่ม้าขาว

    ตูม!!!

    มีอาร์ระบายรอยยิ้มกว้างแห่งชัยชนะ ขณะยืนมองร่างบางของเลขาฯ สาวผมบลอนด์จมดิ่งลงไปในสระว่ายน้ำเบื้องหน้าพร้อมกับละอองน้ำที่สาดกระเซ็นไปทุกทิศทุกทาง ริมฝีปากบางเฉียบเหยียดกว้าง พยายามสะกดกลั้นเสียงหัวเราะแหลมสูงอย่างนางร้ายในละครเต็มกำลัง ถ้าหากเป็นไปได้เธออยากจะคว้าตัวแม่ผู้หญิงจอมแสบขึ้นมาแล้วกดร่างเธอให้จมลงไปลึกกว่านี้จนกระทั่งขาดอากาศหายใจตายให้สาแก่ใจ!

    แล้วทีนี้อัสรันจะได้เป็นอิสระเสียที...!!

    เสียงเซ็งแซ่เริ่มดังถี่ขึ้นมาเรื่อยๆ ดูเหมือนเหล่าแขกคนอื่นจะได้ยินเสียงคนตกน้ำเข้าให้เสียแล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณจึงเต็มไปด้วยคำถามหลากหลายประเดประดังกันมั่วไปหมด

    “เกิดอะไรขึ้นน่ะ??”

    “มีใครทะเลาะกันงั้นเหรอ???”

    หญิงสาวกวาดนัยน์ตาสีฟ้าไปทั่วแล้วก็ไปสะดุดร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้เป็นเป้าหมาย...เป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังที่บังเกิดขึ้นในความจิตใจเธอ...

    อัสรัน ซาล่า...

    ประธานสภาแห่ง ZAFT ก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับผู้บัญชาการคลูเซ่ นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองเก็บรายละเอียดตรงหน้าทีละส่วน ก่อนจะกวาดมองเหล่าผู้คนบริเวณนั้นทีละคน ตามลักษณะนิสัยที่ติดตัวมาสมัยเรียนอยู่เตรียมทหาร

    และมีอาร์ก็รู้ว่าเธอควรจะทำอะไรต่อไป

    หลังจากปรับสีหน้าอาการตื่นตกใจอย่างที่สุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งบางก็รีบโผเข้าหาโคออดิเนเตอร์หนุ่มร่างสูงในทันที พลางกระวัดมือเรียวเกี่ยวรัดตัวเขาเอาไว้แน่น

    “ช่วยด้วยค่ะ ท่านประธานซาล่า!” เธอเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือด้วยร่างกายสั่นระริก “ผ..ผู้หญิงคนนั้น! ชั้นหมายถึงเลขาส่วนตัวของคุณ...เธอ...” พูดตะกุกตะกักขณะที่หยาดน้ำใสๆ เริ่มหลั่งรินจากดวงตาสีน้ำทะเลคู่สวย

    ดวงตาเฉี่ยวคมหรี่เล็กพร้อมส่งสายตาเย็นชามาให้ทันทีที่นักแสดงสาวผมสีชมพูยกแขนขึ้นโอบตัวเขาแน่น

    คราวนี้แม่ตัวยุ่งนั่นไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ...

    “เกิดอะไรขึ้น มีอาร์?” เมื่อถูกถามเธอก็ตีสีหน้าเศร้าหมองในทันใด ก่อนจะเอ่ยตอบพลางหลบตาลอกแล่กราวกับลำบากใจในการพูด

    “จู่ๆ เธอก็...เธอก็ขู่ว่าจะฆ่าชั้น! ดังนั้นชั้นเลยต้องปกป้องตัวเอง...ก็เลย...เผลอผลักเธอตกน้ำไปน่ะค่ะ!”

    นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างทันทีที่สิ้นคำกล่าว ก่อนร่างสูงจะผละตรงไปยังสระน้ำเบื้องหน้าโดยไม่รีรอ!

    + + + + + +

    นี่ชั้น...กำลังจะตายใช่มั้ย?

    คางาริคิดขณะที่พยายามวาดมือไปข้างหน้าเต็มกำลัง หวังเพียงว่าจะช่วยให้เธอทรงตัวบนผิวน้ำได้บ้าง ขาทั้งสองข้างกวัดแกว่งไปมาอย่างนึกภาวนาให้มันแตะถึงพื้น แต่ทว่าความหวังนั้นริบหรี่นัก เนื่องจาก....สระน้ำแห่งนี้ลึกถึง 7 ฟุต!!

    ตอนนี้เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังกระหายออกซิเจนอย่างหนัก ขณะน้ำส่วนหนึ่งเริ่มทะลักเข้ามาทางปากและอีกส่วนพยายามแทรกตัวเข้าไปภายในหูของเธอ พร้อมกับความรู้สึกเย็นเยียบที่เล่นเอาสะท้านไปทั้งร่าง

    สงสัย...คงจะได้ฤกษ์กลับไปฝึกเรียนว่ายน้ำใหม่แล้วละมั้ง...

    นี่ชั้นจะต้องตายทั้งอย่างนี้จริงๆ นะเหรอ...??


    หญิงสาวตะเกียดตะกายพยายามหาทางรอด เธอไม่เคยคิดอยากจะเป็นศพลอยขึ้นอืดเหนือผิวน้ำนักหรอก...ถึงจะเป็นในสระก็เถอะ
    ฉับพลันภาพใบหน้าอ่อนโยนของบุรุษร่างใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความอาทรของบอดี้การ์ดหนุ่มก็ดังสะท้อนก้องในหัว

    …เจ้าหญิง...รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงท่านมากขนาดไหน ผมขอร้องล่ะ เลิกทำตัวแบบนี้เสียทีเถอะ...

    ใช่...เธอรู้ดี หลังจากนี้ไปคิซากะคงได้อาละวาดยกใหญ่ทีเดียว นี่เธอรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขาไม่ได้อีกแล้วหรือ...? สัญญาที่ว่าจะคอยระวังตัวเองให้ดี และไม่ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายอีก...โดยที่คราวนี้เธอคงจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้ว...

    นี่ชั้นจะต้องตายทั้งอย่างนี้จริงๆ น่ะเหรอ...??

    ตอนนี้เองที่เธอตระหนักได้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธออยากจะทำ เธอยังอยากจะใช้เวลาพูดคุยกับทุกคนให้มากกว่านี้...

    ...อยากจะขอบคุณคิซากะ...ในทุกสิ่งที่เขาเฝ้าทำให้เธอมาตลอด...

    ...อยากจะรู้จักลักซ์ให้มากกว่านี้...รวมทั้งใช้เวลากับเหล่าเด็กๆ ในสถานที่เด็กกำพร้านั่นด้วย...

    ...เธออยากจะเป็นผู้นำที่ดีของ Orb ดังเช่นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเคยกระทำตลอดมา...

    และที่สำคัญ...เธออยากบอกให้คิระรู้ว่า...เขาสำคัญกับเธอมากแค่ไหน...

    และบางที...บางทีนะ...เธออยากจะหาโอกาสเตะก้นเจ้าอัสรัน ซาล่า..ยูน่า โรม่า เซรัน และยัยมีอาร์ แคมเบลล์นั่นให้หงายเก๋งสักที!!

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งพลันเบิกกว้างในทันที! สติที่เคยดับวูบเริ่มกลับมาอีกครั้ง ขณะที่มือเริ่มขวนขวายหาทางรอด

    เธอจะตายตอนนี้ไม่ได้! จะตายไปโดยที่ไม่ได้คิดบัญชีนรกกับตาซาล่านั่นไม่ได้เด็ดขาด!!

    สองมือที่เคยไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้างเริ่มตีน้ำไปมาจนเกิดฟองอากาศไปทั่ว

    เธอไม่ยอมตายทั้งอย่างนี้หรอก!! ไม่มีทาง!!

    ราวกับอยู่ในความฝัน วูบหนึ่งเธอเห็นภาพฝ่ามืออันเลือนรางยื่นตรงมาหาเธอ โดยไม่ลังเล คางาริเอื้อมมือส่งให้แต่โดยดี หลังจากนั้นก็รู้สึกถึงแรงอันมหาศาลที่กำลังยกตัวเธอขึ้นจนพ้นจากผิวน้ำในที่สุด!

    ช่า~!!

    ทันทีที่ได้รับอากาศบริสุทธิ์ หญิงสาวก็สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง แม้ว่านั่นจะเป็นเหตุให้เธอต้องสำลักในภายหลังก็ตาม ร่างบางในขณะนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำเย็นเฉียบ บวกกับสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านมาทำให้ความรู้สึกหนาวเย็นทวีขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ก่อนจะจัดแจงขยับกายให้ห่างออกจากสระอาถรรพ์นี่โดยไม่หันกลับไปมองอีก แล้วจึงยกมือขึ้นเช็ดละอองน้ำที่เปียกชุ่มไปทั่วเบาๆ

    ไม่อยากจะเชื่อเลย! ชั้นยังไม่ตาย!! ชั้นยังไม่ตาย!!


    เธอคิดอย่างดีใจ ก่อนจะเบือนหน้าไปมองบุคคลผู้ช่วยชีวิตเธอด้วยสีหน้าปลื้มปิติ โดยนึกสาบานในใจว่าต่อให้เขาต้องการอะไรเธอก็ยอมทำทั้งนั้น!

    แล้วเธอก็ต้องตกใจ เมื่อหันไปพบกับ.................

    “คุณ...เป็นอะไรรึเปล่า?”

    แอนดริว วาลท์เฟล!!!


    บุรุษเบื้องหน้าทำเอาหญิงสาวตาค้างไปชั่วครู่ ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาพร้อมกันเยอะไปหมดจนเธอรู้สึกสับสน...ใจหนึ่งนั้นยินดีเหลือล้น ขณะที่อีกใจหนึ่งก็หงุดหงิดอย่างไม่น่าเชื่อเช่นเดียวกัน

    ดีใจ...ที่ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเธอนั้นไม่ใช่อัสรัน ซาล่า! ทีนี้เธอก็จะได้ไม่ต้องคอยตามล้างหนี้กับคนประสาทกลับพรรค์นั้น!

    โมโห...ก็เพราะว่าคนที่มาช่วยเธอไม่ใช่อัสรัน ซาล่า…!! นั่นก็แสดงว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงหมอนี่ก็ไม่คิดที่จะสนใจเลยสักนิด!

    ก็ดี...พิสูจน์ได้แล้วว่าเขาเป็นคนใจดำจริงๆ ถ้าให้เดา เขาคงหัวเสียน่าดูที่เธอรอดจากความตายครั้งนี้มาได้! บ้าที่สุด!


    “คุณโอเคใช่มั้ย?” แอนดริวถามอีกครั้งเมื่อเห็นสตรีตรงหน้าเงียบไปนาน

    คางาริใช้เวลาครู่หนึ่งกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกตัวว่าเผลอกำหมัดแน่นเข้าเสียแล้ว

    ตอนนั้นเองที่อัสรันกับมีอาร์ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง...คางาริอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นหน้าเขา ตอนนี้ประธานหนุ่มอยู่ในสภาพ...อย่างที่เธอคาดไว้...โกรธจัด...

    ชั้นเองก็น่าจะรู้แต่แรกว่าเขาต้องการให้ชั้นตายไปจริงๆ...

    + + + + + +

    อัสรันมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเกรี้ยวกราดอย่างที่สุด ตอนแรกเขากำลังจะกระโจนตามลงไปช่วยเลขาของเขาอยู่แล้วแท้ๆ โดยที่ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอเป็นเนเชอรัล! แต่เพราะไอบ้างี่เง่ายูน่านั่นต่างหากที่ถือวิสาสะมาผลักเขาออกไป!

    “ถอยไปซาล่า! เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” ชายผมม่วงพูดจาโอ้อวด โดยไม่สนใจสายตาคมกริบที่ถูกส่งมาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับเดินอาดๆ ตรงไปยังสระน้ำเบื้องหน้าด้วยใบหน้าแสนภาคภูมิ

    “ไอ้งี่เง่าเอ๊ย! รู้มั้ยว่าสระนั่นลึกตั้งเจ็ดฟุตเชียวนะ!” ดีอัดก้าที่เพิ่งมาถึงว่าเสียงดัง ทำเอาคนตีสีหน้าภาคภูมิเมื่อครู่ถึงกับเหวอชะงักฝีเท้าแทบไม่ทัน!

    และก็เป็นไปตามทฤษฏีโลก เมื่อวัตถุหนึ่งเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วค่าหนึ่งแล้ว หากไม่มีแรงฉุดเพียงพอ แรงที่กระทำก่อนหน้าจะฉุดให้วัตถุนั้นเคลื่อนไหวตรงไป...ด้านหน้า!

    เหมือนจะเป็นโชคดีของอัสรัน ที่ไม่จำเป็นต้องออกแรงใดๆ เพื่อหยุดการกระทำโอ้อวดของเจ้าคนงี่เง่านี่ ยูน่าดำเนินรอยพิสูจน์ทฤษฏีการเคลื่อนที่ใต้น้ำไปเรียบร้อยแล้ว! เสียงน้ำสาดกระจายดังไปทั่วก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของเหล่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ริมสระ...เอ่อ อาจจะรวมเสียงหลงๆ ของบุคคลผู้โชคร้ายด้วยก็ได้...

    “ช...ช่วยด้วย!! ชั้นกำลังจะตายแล้ว! ใครก็ได้ช่วยที!!” ภาพตรงหน้าเล่นเอาอีซาคและดีอัคก้าถึงกับปล่อยพรืดอย่างอดไม่อยู่ ส่วนหนุ่มน้อยหน้าหวานนิโคลก็มัวแต่ตกอกตกใจและรู้สึกเป็นห่วงบุรุษเนเชอรัลตรงหน้าแทน!

    อัสรันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมานอกจากขยับยิ้ม นับเป็นการแสดงปาหี่ที่เห่ยที่สุดตั้งแต่เคยดูมาเลย!

    ร่างสูงชะงักกึกอีกครั้ง นัยน์ตาสีเขียวเบิกกว้าง เขาเกือบลืมคางาริไปแล้ว! แต่ระหว่างที่กำลังหมุนตัวเตรียมจะกระโดดลงไปนั้นเอง ร่างสูงใหญ่ของใครสักคนก็โจนน้ำตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

    ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองภาพแอนดริว วาลท์เฟลพาร่างเลขาส่วนตัวของเขาขึ้นมา ซึ่งสภาพเธอตอนนี้ดูไม่จืดเลยสักนิด ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ไหนจะเนื้อตัวเปียกโชกที่กำลังสั่นพั่บๆ นั่นอีกล่ะ!

    ดวงตาคู่สวยทอประกายเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ

    ชั้นควรเป็นคนที่ช่วยเธอขึ้นมาต่างหาก! ไม่ใช่เขา!


    แต่ว่าทำไมเขาถึงได้อยากที่จะปกป้องเธอนักนะ...? คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้เขาต้องหยุดคิดอีกครั้ง

    ก็...เหตุผลง่ายๆ ตามปกติแล้วเขาก็ต้องอยากช่วยเพราะว่าเธอกำลังจะจมน้ำ ยังไงซะเขาก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำขนาดที่จะปล่อยให้ใครจมน้ำตายต่อหน้าต่อตาโดยให้เหตุผลว่า “ชั้นไม่สนใจไอ้เนเชอรัลหน้าโง่พวกนี้หรอก! จะไปตายที่ไหนก็เชิญ!” หรอกนะ ความจริงไม่ว่าจะเป็นเนอเชอรัลหรือไม่ก็ตาม...เธอก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี!

    แต่ทำไมเขาถึง ‘อยากปกป้อง’ เธอนักนะ?

    …ความจริง...ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาแค่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นเธอต้องลำบากขนาดนั้น...เหมือนกับว่า...เขากลัวที่จะต้องสูญเสียเธอไป...

    ทำไมกันนะ...?

    นึกสงสัยก่อนจะพลางสะบัดหน้าไปมา พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย เมื่อนึกหาคำตอบที่ต้องการเจอ

    ทำไมน่ะเหรอ...? ง่ายจะตาย! ถ้าหากเธอตายไปแล้ว ชั้นจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าโคออดิเนเตอร์นั้นเหนือกว่าเนเชอรัลในทุกด้าน! จะพิสูจน์ให้เธอรู้ได้ยังไงว่าเหล่าเนเชอรัลนั้นโง่และงี่เง่ามากขนาดไหน! และบางที...เขาอาจจะอยากให้เธอเป็นหนี้ชีวิตเขา!

    ใช่...เธอคงแทบคลั่ง เมื่อรู้ว่าโคออดิเนเตอร์ที่เธอเกลียดนักเกลียดหนาเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอไว้!


    แต่ทว่าอีกเสียงภายในจิตใจกลับร้องตอบตรงกันข้าม...แตกต่างมากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้...

    บางที...อาจเป็นเพราะว่าเขาห่วงใยเธอก็เป็นได้...

    + + + + + +

    คางาริอดที่จะแยกเขี้ยวใส่ซาล่าและมีอาร์ไม่ได้...โดยเฉพาะยัยนั่น...นัง- (...อ๊ะ เธอเกือบจะหลุดปากไปแล้วมั้ยล่ะ ถ้าขืนเธอสบถคำรุนแรงแบบนั้นออกมาคิซากะต้องฆ่าหั่นศพเธอแน่ๆ เลยเชียว!) ผู้หญิงที่คิดจะฆ่าเธอ!

    หญิงสาวกัดฟันกรอดพลางกำชายกระโปรงแน่น ให้ตาย! เธออยากจะเดินเข้าไปสำเร็จโทษยัยลักซ์จอมปลอมนั่นจริงๆเลย!! ถ้าเป็นไปได้อยากจะกระชากวิกผมสีชมพูนั่นออกมาแรงๆ ให้สมกับที่นังปีศา- (อ๊ะ ขอโทษ) ยัยนั่นทำกับเธอให้สาสม!

    “เอ่อ ผมคิดว่าคุณควรจะไปเปลี่ยนชุดดีกว่านะ คุณผู้หญิง” แอนดริวกล่าวแนะนำ ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธหรอก เพราะถ้าขืนทนอยู่ในสภาพนี้ต่อคงได้เป็นปอดบวมตายก่อนได้แก้แค้นแหงๆ

    คางาริพยักหน้ารับ พร้อมขยับตัวลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องกอดร่างตัวเองแน่นด้วยความหนาวสั่น

    “ขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคางาริ ยกโทษให้ชั้นเถอะ!” มิอาร์ครางขอความเห็นใจขณะที่ยกมือซับน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง นัยน์ตาสีอำพันมองกราดด้วยความโมโหอย่างพยายามอัดอั้นโทสะภายในใจ

    อย่างนี้ก็แสดงว่ายัยบ้านี่! – ไม่สิ คำนี้ต้องใช้เฉพาะกับยูน่า ยัย.....แม่มด! ยัยแม่มดนี่คงไปกุเรื่องมาหลอกชาวบ้านเขาล่ะสิท่า! อ๊ากกกก!! บ้าที่สุด!

    มือเรียวสวยถูกยื่นส่งมาให้ใช้เป็นหลักในการพยุงตัว ดูเหมือนเป็นการแสดงน้ำใจที่ดี แต่คางาริรู้ดีว่าเป็นการแสดงลวงโลกชัดๆ! ทันใดนั้นความคิดวูบหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของเจ้าหญิงองค์น้อย หญิงสาวผมบลอนด์เอื้อมมือรับน้ำใจที่หยิบยื่นให้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ก่อนจะฉุดตัวลุกขึ้นอย่างกะทันหัน! ทำเอามิอาร์ถึงกับเสียหลัก เธอฉีกยิ้มอย่างสะใจก่อนที่จะขยับเท้าขวางร่างบอบบางตรงหน้า “โดยไม่ได้ตั้งใจ” ทำให้สาวน้อยผู้โชคร้ายต้องดำดิ่งลงสู่สระว่ายน้ำเบื้องหน้าตามแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างช่วยไม่ได้!

    ตูมมม!!

    “กรี๊ดดดดดดดดดดด~~”

    “มีอาร์!!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นในเวลากระชั้นชิดกัน ใบหน้าหวานปรากฏรอยตกใจ ก่อนริมฝีปากงามจะละล่ำละลักกล่าวขอโทษพัลวัน

    “เป็นอะไรรึเปล่า! ขอโทษทีชั้นไม่ได้ตั้งใจ” ปากก็พูดไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงในใจกำลังกระโดดโลดเต้นถึงขีดสุด รู้สึกภูมิใจกับแผนการตอบโต้อันล้ำเลิศของตัวเองจริงๆ!

    และแน่นอน สาวน้อยตกน้ำได้แต่ส่งสายตาอาฆาตมาที่เธอแน่นิ่ง เรือนผมสีชมพูที่เคยจัดทรงเรียบร้อยบัดนี้เปียกลู่และสยายกระจายเต็มท้องน้ำ แล้วไหนจะเสื้อผ้าแสนสวยที่ลอยเท้งเต้งอย่างผิดรูปผิดร่างนั่นอีกล่ะ!

    แหม...เธอนี่มันอัจฉริยะจริงๆ!!

    เจ้าหญิงแห่ง Orb ไม่ใช่คนที่จะได้กินง่ายๆ หรอกนะยะ จำใส่กะโหลกเอาไว้เสียด้วย!!!

    แอนดริวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ตลอด ยื่นมือส่งให้สตรีผู้โชคร้ายอีกคน ก่อนจะพึมพำติดตลกว่า “แย่จริง! สงสัยสระว่ายน้ำนี้จะมีอาถรรพ์เสียแล้วล่ะ”

    ผิดคาดที่มีอาร์ไม่ได้ตอบรับไมตรีจากเขา หญิงสาวกลับเลือกที่จะว่ายน้ำไปยังบันไดที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าอับอายอย่างที่สุด!

    ส่วนชายต้นเหตุที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม โดยมีประดับรอยยิ้มพึงใจอยู่บนใบหน้าคมเข้มนั่น...ใช่ รอยยิ้มกว้าง...อย่างรู้ดีว่าเลขาของเขาก็ร้ายใช่ย่อย! ก่อนจะตวัดสายตาเหลือบมองไปยังอีกฝั่งของสระน้ำ ที่ซึ่งชายหนุ่มผมม่วงกำลังนั่งหอบหายใจหนักหน่วง พลางเบะปากครวญครางราวกับจะร้องไห้

    “ชั้นเกือบจะจมน้ำตายอยู่แล้ว! น้ำในสระนั่นมันอุดจมูกจนชั้นหายใจไม่ออก! ชั้นเกือบจะตายแล้ว! พระเจ้าช่วย! ชั้นเกือบจะตายอยู่แล้ว!!”

    มองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกสมเพช ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปพิจารณาแม่เลขาตัวยุ่งอีกด้านแทน เรือนผมสีทองที่เคยรัดเป็นมวยแน่นตอนนี้ทิ้งตัวลงมาเคลียไหล่กลมมนได้รูป เสริมให้ใบหน้าเนียนดูสวยหวานสมหญิงขึ้นกว่าเดิมมากโข ดวงหน้าขาวผ่องยามไร้ซึ่งแว่นตากรอบเหลี่ยมที่ดูเหมือนจะหลุดหายไปกับสายน้ำเสียแล้ว ขับให้นัยน์ตาสีอำพันคู่โตโดดเด่นจนยากจะละสายตา และโดยไม่ได้ตั้งใจ...เมื่อพิศดูดีๆ จะพบว่าชุดเครื่องแบบ ZAFT ยามเปียกชุ่มก็เผยให้เห็นทรวดทรงที่แท้จริงของร่างบอบบางที่เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าคนอย่างเธอจะมี

    ร่างสูงหยักไหล่วืดอย่างพยายามสะบัดไล่ความคิดแปลกๆ นั้นออกไปจากสมอง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้

    + + + + + +

    คางาริยังคงยิ้มอย่างมีความสุขกับการยืนมองสภาพอันน่าอนาจใจของแม่ลักซ์ ไคลน์จอมปลอม จนกระทั่งรู้สึกถึงแรงกดบริเวณช่วงไหล่ เมื่อเบือนหน้าไปก็สบกับรัตนชาติสีเขียวอ่อนกำลังจ้องมองมาที่เธอ

    หญิงสาวสบตากับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ ร่างสูงก็ถอดเสื้อคลุมตัวหนาออกและจัดการส่งมันให้เธอ เหลือไว้เพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทเผยเรือนร่างแข็งแรงสมชายให้เห็น ทันใดนั้นเองใบหน้าหวานก็พลันร้อนวูบขึ้นมาเสียเฉยๆ

    ไม่ใช่เพราะว่าบุรุษตรงหน้าเธอนั้นจัดเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี...มาก (โอเค เธอยอมรับก็ได้ว่าเขาเป็นชายหน้าตาดีจัดเลยทีเดียวแหละ ถึงแม้ว่าจะไม่น่ารักเท่าคิระก็เถอะ!) แต่เป็นเพราะว่าวันนี้เขาทำตัว...ค่อนข้าง...น่ารัก... เป็นครั้งแรก...

    แต่ยังไม่ทันที่เธอจะมองหาคำอธิบายจากการกระทำนั้น มือใหญ่ก็ฉวยข้อมือเรียวบางของเธอไว้เสียแล้ว

    “เฮ้!” คางาริโวยวายลั่น ขณะที่พยายามสลัดมือให้หลุดจากการเกาะกุม และก็เหมือนเคย...เขาไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำ

    “ไปจัดการกับสภาพตัวเองเสียก่อนเถอะ” กล่าวเพียงแค่นั้น ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงเธอเดินออกจากสวนมุ่งผ่านห้องโถงวงกต พรมแดงหนานุ่ม และภาพวาดสีน้ำมันประดับห้อง จนสุดท้ายก็มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูไม้โอ้กบานใหญ่

    คางาริยืนมองชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดบานประตูแกะสลักตรงหน้า เผยให้เห็นห้องพักขนาดกลาง ทาผนังด้วยสีครีมออกขาวดูขมุกขมัว แต่เพียงไม่นานก็สว่างขึ้นเมื่อมือกร้านขยับเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ข้างๆ ตรงกลางมีเตียงนอนสีขาวขนาดควีนไซส์คลุมทับด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าอ่อน โคมไฟขนาดเล็กวางอยู่บริเวณหัวเตียงทั้งสองข้าง ถัดออกไปเป็นระเบียงสำหรับชมวิวซึ่งผ้าม่านสีขาวเนื้อบางเบากำลังปลิวไสวน้อยๆ ตามแรงลมยามอาทิตย์อัสดง

    ตอนนั้นเองที่ซาล่ายอมปล่อยมือเธอแต่โดยดี คางาริได้แต่เบ้ปากพลางนวดข้อมือตัวเองเบาๆ

    ไม่ต้องจับแน่นขนาดนั้นก็ได้นี่!

    หลังจากปล่อยให้เธอยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้า ร่างสูงก็เดินสาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังตู้ไม้ที่น่าจะเป็นตู้เสื้อผ้าบริเวณมุมห้องแล้วจึงทรุดตัวลงนั่ง พลางขุดคุ้ยข้าวของที่อยู่ข้างในส่งเสียงกุกกักระยะหนึ่ง ก่อนจะคว้าสิ่งที่น่าจะเป็น...กระโปรงยาวสีขาวรูปพระอาทิตย์ติดมือกลับมา...เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะโยนของที่ว่าลงบนเตียงนอน

    “ห้องอาบน้ำอยู่ทางโน้น” พูดพลางชี้นิ้วไปยังประตูที่เปิดค้างเอาไว้ “ผู้ช่วยบาทหลวงมาชิลิโอ้คงไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าหากเธอจะยืมชุดมาใส่ก่อน” ว่าพลางเหลือบตามองไปยังชุดที่ว่าก่อนจะเบือนหน้ากลับมาสบตาเธออีกที

    อาการคิ้วบางได้รูปมุ่นเข้าหากันอย่างอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมจู่ๆ นายถึงได้ใจดีนัก...?”

    คนทำตัวใจดีขยับรอยยิ้มเหยียด ก่อนจะสาวเท้าเดินผ่านไป มือกร้านคว้าจับลูกบิดประตูตรงหน้า พลางออกคำสั่งทิ้งท้ายชัดเจน “เราจะเดินทางกลับ Aprillius One ในอีกครึ่งชั่วโมง”

    ถ้าเป็นยามปกติเธอคงจะเถียงกลับไปแล้ว ถ้าหากชายหนุ่มไม่รีบชิ่งออกจากห้องไปเสียก่อน เสียงปิดประตูดังขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวบนเตียงแล้วเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไป

    + + + + + +

    ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นร่างบอบบางของสาวน้อยผมทองยาวจรดบ่าในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าสีขาวปักเป็นลายพระอาทิตย์ดวงใหญ่ดูสดใส
    เป็นชุดที่ค่อนข้างน่ารักทีเดียว...ไม่สิ เข้าขั้นสวยเลยมากกว่า ความจริงเธอก็คงจะคิดอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าหากคนที่สวมชุดนี้อยู่เป็นคนอื่น ไม่ใช่เธอ! และอีกอย่าง...รองเท้าบูทส้นสูงที่เธอใส่อยู่นี่ไม่ได้เข้ากับไอ้กระโปรงบานแฉ่งตัวนี้เลยแม้แต่น้อย!

    หญิงสาวชักหน้าแหย ก่อนจะมุ่นคิ้วเข้าหากันขณะที่ใช้สายตาจดๆ จ้องๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก

    เธอช่างดู...สมหญิงจริงๆ ...ถ้าตัดรองเท้าบ้าๆ นี่ออกไปละก็นะ...จริงอยู่ที่เธอเป็นผู้หญิง แต่เธอก็ไม่ได้พิสวาสการแต่งตัวแบบนี้สักเท่าไรนัก แค่เครื่องแบบ ZAFT ก็ยังพอทนหรอก แต่นี่มัน....ชุดบ้าอะไรเนี่ย!!

    ใช้สมองตรึกตรองหาทางออกสักพัก ก่อนจะฉุกใจคิดได้ว่า บางทีเธออาจจะทำเสื้อผ้าให้แห้งก่อนก็ได้! แต่ระหว่างที่กำลังจะถอดชุดออกนั่นเอง เสียงทรงอำนาจเดิมๆ ก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน

    “แต่งตัวแบบนี้แล้วดูเหมือนเด็กผู้หญิงชะมัด” ความคิดเห็นที่ทำเอาอารมณ์ที่หมองอยู่ก่อนหน้าขุ่นคลั่กขึ้นกว่าเดิม ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นร่างสูงใหญ่ของประธานสภากำลังยืนพิงกรอบประตูจ้องมองตรงมาที่เธอ

    “ก็ชั้นเป็นผู้หญิงนี่! แล้วนายมีธุระอะไรไม่ทราบ!” คางาริแหวกลับเสียงสูง

    พอตวัดสายตากลับมามาก็เห็นว่าชายตรงหน้ากำลังยืนพิจารณาเธออยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาอารมณ์ที่เสียอยู่แล้วก็ชักจะเดือดมากกว่าเดิม

    “มองอะไรอยู่ได้!” คำโวยวายที่คนฟังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ

    “เปล่านี่...ก็แค่กำลังคิดว่าจะเป็นยังไงนะ ถ้าหากเธอเป็นผู้หญิงจริงๆ” เพียงเท่านั้นร่างบางก็หมุนตัวกลับมาสบตาเขาทันที ใบหน้าเนียนสวยพยายามชักสีหน้าที่คิดว่าหงุดหงิดสุดๆ เพื่อปิดบังรอยแก้มทั้งสองข้างที่ดูจะมีเลือดฝาดมากกว่ายามปกติ

    “แล้วนายจะพูดจาเสียดสีชั้นหาอะไรมิทราบ!?” คางาริตวาดแหว เรียกรอยยิ้มเย็นให้ปรากฏบนใบหน้าคมคายทันที

    “ผู้หญิงส่วนใหญ่ถ้าหากเลือกได้ก็อยากจะใส่ชุดกระโปรงแบบนั้นทั้งนั้นแหละ ไม่เหมือนเธอหรอกที่ดึงดันจะชุดฟอร์ม ZAFT เปียกๆ นั่นให้ได้ ทั้งที่มีชุดที่สวยกว่าให้เลือกแท้ๆ”

    หญิงสาวยักไหล่วืดให้กับความคิดเห็นนั้น ให้ตาย...หมอนี่รู้ได้ยังไงนะว่าชั้นอยากจะใส่ชุดฟอร์มนั่นมากกว่า...

    “แล้วไงล่ะ” เธอเอ่ยย้อนด้วยท่าทีไม่หยี่ระ

    “เธอนี่ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยจริงๆนะ” นัยน์ตาสีน้ำผึ้งหรี่แคบลงทันทีกับคำกล่าวนั้น

    การที่เธอจะทำตัวสมหญิงรึเปล่า ชอบใส่กระโปรงหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย!


    “มันไม่ใช่เรื่องของนาย!” คางาริตะโกนก้อง ก่อนจะกระแทกเท้าไปมาอย่างขัดใจ

    อาการที่สะดุดสายตาคนมองจนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ อัสรันสาวเท้าเดินไปใกล้ ก่อนจะออกแรงกดสาวน้อยร่างเล็กให้นั่งลงบนเตียงเบาๆ ซึ่งเธอก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

    “รองเท้าเธอนี่...ไม่ได้เข้ากับเสื้อชุดนี้เลยนะ” คำวิจารณ์ที่เธอเชิดหน้ารับ หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น พลางปัดมือกร้านที่วางอยู่บนไหล่เธอออกก่อนโวยวายเสียงลั่น

    “มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนายสักหน่อย ซาล่า!” อัสรันหัวเราะน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี พลางเอื้อมมือหยิบเสื้อโค้ดตัวเก่าที่เจ้าหล่อนวางทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมา

    “ระวังคำพูดหน่อยสิ สาวน้อย” เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยปรามทำเอาสาวเจ้าถึงกับหน้าแดงจัด ก่อนจะโวยวายแก้เขินด้วยวิธีรุนแรงตามฉบับเจ้าตัว

    “ชั้นจะใช้ภาษาพูดยังไงมันก็เรื่องของชั้น นายไม่ต้องมายุ่ง ขอบคุณ!” อัสรันหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก พลางเอนตัวพิงผนังใกล้ๆ

    “ก็ได้ๆ แล้ว...จะบอกชั้นได้รึยัง เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเอาคนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ

    “อยากจะรู้ไปทำไม? มีอาร์ไม่ได้เล่าให้นายฟังแล้วหรอกเหรอ?”

    “ชั้นไม่เชื่อเธอนี่” คำตอบสั้นที่ทำให้หัวใจหญิงสาวพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด คำพูดเมื่อครู่เป็นประโยคที่ดีที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว! ระยะหลังมานี้หมอนี่ก็ทำตัวน่ารักๆ กับเขาเป็นเหมือนกันแฮะ!

    ไม่เชื่อสิ่งที่ยัยแม่มดนั่นบอกอย่างนั้นเหรอ…!? นี่ก็แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้ถูกล้างสมองล่ะสินะ ฮ่า!!


    หลงคิดดีใจวูบหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ คางาริกะพริบตาถี่ๆ สักพักเพื่อที่จะดึงตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

    เดี๋ยว...เมื่อกี้ชั้นคิดอะไรเนี่ย...คนที่พูดตะกี้ใช่เจ้าโคออดิเนเตอร์จอมอวดดีนี่จริงๆ รึเปล่า??

    หญิงสาวสะบัดความหลงปลื้มเมื่อครู่ออกไปจนหมด ก่อนจะเชิดหน้าโต้กลับไปอย่างถือดี “แล้ว...ถ้าชั้นบอกว่าเป็นอย่างที่มีอาร์พูดจริงล่ะ”
    รัตนชาติสีเขียวเงยขึ้นสบตาเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวคำตอบช้าชัด

    “ชั้นไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะทำอะไรแบบนั้น” ประโยคที่เรียกรอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าหวานชั่วครู่ ก่อนจะเจื่อนไปเมื่อคำกล่าวต่อไปดังขึ้นสมทบ

    “เพราะชั้นว่าคนอย่างเธอ...ต้องจะทำอะไรที่รุนแรงกว่าการผลักคนตกลงไปในสระแน่ๆ” อัสรันกล่าวเสริมพร้อมรอยยิ้มเหยียดประดับบนฉายใบหน้า

    นัยน์ตาสีทองจ้องมองที่บุรุษตรงหน้าเขม็งราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีหัวประหลาดเป็นงูพันยั้วเยี้ยไปมาอะไรทำนองนั้น จากรอยยิ้มบางเริ่มกระตุกเหยียดกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย....ก็หลุดหัวเราะออกมาดังลั่น!

    ใบหน้าคมคายฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นสาวน้อยร่างบางตรงหน้ายังคงหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนขอบตาทั้งสองข้างเริ่มชื้น ขณะที่ใช้มือทั้งคู่สลับกันกุมท้องไปมาสักพัก จนสุดท้าย...ก็ล้มหงายหลังไปหัวเราะต่อบนเตียงเสียอย่างนั้น!

    เสียงหัวเราะสดใสที่ดังสะท้อนกังวานไปทั่วห้องก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ในจิตใจ...มันฟังดู...น่าผ่อนคลายอย่างประหลาด ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มนึกได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอหัวเราะเลยก็ว่าได้...

    คิดพลางระบายรอยยิ้มเจื่อนชั่วครู่ เมื่อไม่รู้ว่าจะรับมืออาการสาวน้อยตรงหน้าอย่างไรต่อดี

    หลังจากที่ระเบิดหัวเราะจนสาแก่ใจ เธอก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยดวงตาพราวระยับ “พนันได้เลย ชั้นทำแน่!”

    อัสรันขยับรอยยิ้มตอบ ก่อนจะเอ่ยทวนถามใหม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วสรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

    ด้วยอารมณ์ที่เบิกบานอย่างที่สุด คราวนี้ร่างบางไม่อิดออดเหมือนอย่างเคย จึงตอบคำถามนั้นอย่างว่าง่าย “จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็แค่ยัยมีอาร์แค่คลั่งไคล้ในตัวนายมากเกินไปหน่อยจนคิดอยากจะเขี่ยชั้นออกไปให้พ้นทาง เพราะว่าชั้นเป็นเลขาของนายน่ะสิ!”

    แล้วเธอก็ต้องประหลาดใจรอบสองเมื่อชายหนุ่มแสดงอาการหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีกับคำกล่าวนั้น “เสน่ห์ซาล่าก็ยังใช้การได้ดีอยู่แฮะ!”

    ตอนนั้นเองที่คางารินึกได้ว่าเธอกำลังพูดอยู่กับใคร...นี่เธอหลงลืมตัวคุยกับเขาอย่างสนุกสนานแบบนั้นได้ยังไงกันนี่!?

    ใบหน้าเนียนตีสีหน้าเคร่งขึ้นฉับพลัน ก่อนจะเอ่ยวาจาเสียดสีคนตรงหน้าอย่างเป็นปกติอีกครั้ง “อย่าทำเป็นได้ใจนักเลยซาล่า ผู้หญิงของนายแต่ละคนผิดปกติกันทั้งนั้นแหละ”

    ร่างสูงตรงหน้าหยุดหัวเราะทันที ก่อนจะสีหน้าจริงจังจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แสนจะคุ้นเคย

    “ไปเก็บข้าวของเตรียมกลับ Apirillius One กันได้แล้ว” ออกคำสั่งพลางหมุนตัวเดินนำไปยังประตูทางออกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กิริยาจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำเอาคางาริต้องกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง

    เมื่อครู่ถ้าจำไม่ผิด...เธอว่าเธอเห็นเขาแสดงอารมณ์มากกว่านี้นะ...??


    หญิงสาวผงกหัวรับก่อนจะจัดแจงตัวเองลุกขึ้น พลางก้มลงมองชุดตัวเองด้วยสีหน้าลำบากใจ

    “แล้ว...จะเอายังไงกับชุดนี้ดีล่ะ?” คนถูกถามได้แต่เลิกคิ้วสูง ก่อนกล่าวคำสั้น

    “เธอก็เก็บไว้สิ” พูดจบก็สาวเท้าเดินต่อไป ก่อนร่างสูงจะหยุดชะงัก แล้วชะโงกหน้าผ่านบานประตูออกมากล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มป่วนประสาท

    “อ้อ เกือบลืมบอกไป รองเท้านั่นไม่ได้เข้ากับชุดที่เธอใส่อยู่เลยนะ”

    คางาริได้แต่แยกเขี้ยวงุดพลางส่งสายตาหงุดหงิดตามหลังผู้มีศักดิ์เป็นนายไป ก่อนจะกลับมามองชุดที่ตัวเองสวมอยู่อีกครั้ง เธอผ่อนลมหายใจยาวอย่างยอมแพ้ ก่อนจะคว้าเสื้อยูนิฟอร์ท ZAFT ใส่กระเป๋าแล้วขนข้าวของออกจากห้องไป...

    + + + + + +

    หญิงสาวอดที่จะรู้สึกยินดีไม่ได้ เมื่อชัตเตอร์อวกาศลงจอดอย่างปลอดภัยในท่าอวกาศยานของ Apilius One ตอนนี้ยังเป็นเวลาหัวค่ำอยู่ สายลมเย็นๆ พัดมาปะทะผิวกายให้หนาวสั่นยามที่เดินออกมาจากลานบิน

    ร่างบอบบางยามนี้สั่นน้อยๆ อย่างสะท้านกับบรรยากาศยามค่ำคืน

    รู้อย่างนี้ไม่น่าคืนเสื้อโค้ทหมอนั่นไปเลย... คิดในใจขณะลูบแขนตัวเองไปมาแล้วก้มลงมองชุดกระโปรงฤดูร้อนที่ใส่อยู่ด้วยจิตใจห่อเหี่ยว

    ป่านนี้ท่านประธานสภากับคณะผู้แทนทั้งหลายคงจะกลับไปแล้ว ความจริงชายหนุ่มผมเขียวที่ชื่อนิโคลก็เสนอตัวจะขับรถไปส่งเธอที่บ้าน แต่เธอกลับปฏิเสธไปอย่างสุภาพ เพราะคิซากะบอกไว้ว่าจะมารับเธอที่สนามบินเอง และเธอก็ไม่อยากจะให้เขาเสียเวลาเปล่า

    ดังนั้น...เธอก็เลยได้แต่ยืนจังก้าคอยอยู่ที่นี่ไง!!

    สายลมยามค่ำคืนแทรกซึมไล้ผิวกายบอบบางให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกจนเธออดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าไปมาเพื่อไล่ความหนาวเย็นนั้น ขณะที่ริมฝีปากบางเริ่มพึมพำโอดครวญเบาๆ เธอไม่เคยคิดจะชื่นชอบการรอคอยเลยสักครั้งจริงๆ

    นัยน์ตากลมโตตวัดขึ้นมองท้องฟ้าสีหมึกเบื้องบนที่ดวงดาวส่องประกายจรัสเจิดจ้าอย่างหวังว่าจะช่วยบรรเทาความหนาวเย็นในยามค่ำคืนนี้ลงมาบ้าง เธอก็อดจะคิดสงสัยไม่ได้ว่าดวงดาวเหล่านี้ดูส่องประกายสวยงามมากกว่ายามที่เธอเคยมองดูจากบนโลกรึเปล่า...?

    บางที...อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้

    หญิงสาวยังคงจำได้ดีเมื่อเธอเดินทางออกจาก Setember City มีอาร์ยังคงยืนนิ่งพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตเป็นของขวัญมาให้ แต่แทนที่จะรู้สึกสะดุ้งสะเทือน คางาริกลับยืนอกยิ้มกว้างรับด้วยความภาคภูมิปนสะใจอย่างที่สุด ส่วนยูน่า โชคดีที่หมอนั่นไม่ได้ออกมาร่วมขบวนส่งด้วย สงสัยคงจะยังเสียขวัญกับการเกือบจมน้ำตายไม่หาย คิดดูสิ...ไม่มีอะไรที่จะน่าสุขใจไปกว่านี้อีกแล้ว!! บุคคลที่เธอเกลียดขี้หน้าทั้งสองคนถูกกำราบเรียบร้อยแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!!

    ทีนี้...ก็เหลืออีกแค่หนึ่ง... คิดพลางกระตุกรอยยิ้มเหยียดบนมุมปาก

    แต่วันนี้...หมอนั่นทำตัวน่ารักผิดคาดจริงๆ นั่นแหละ แทนที่จะดีใจหญิงสาวกลับรู้สึกงุนงงเสียมากกว่า ซาล่าทำตัวน่ารัก! มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้!! บางทีเธอน่าจะจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ในยุค C.E. 76 ด้วยซ้ำ!
    เสียงเพลงเบาๆ ที่ดังขึ้นเรียกสติของสาวน้อยผมทองให้กลับมา ก่อนมือจะคว้าโทรศัพท์มือถือต้นเสียงขึ้นมากดดูข้อความด้วยสีหน้าหงิกงอ คิซากะเพิ่งจะเมล์มาบอกเธอว่าวันนี้คงจะมารับไม่ได้ เพราะต้องไปจัดการเรื่องบางอย่างให้เสร็จเสียก่อน คำกล่าวที่เจ้าหญิงแห่งออร์บแทบจะลมใส่
    ในโลกนี้ยังมีอย่างอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าการมารับเธออีกอย่างนั้นเหรอ!!??

    หลังจากอาละวาดจนหนำใจพักหนึ่งแล้ว ร่างบางก็ยักไหล่วืด ก่อนคว้าถุงกระดาษที่ใส่เครื่องแบบ ZAFT มาสะพายและสาวเท้าเดินตรงสู่ถนนเบื้องหน้าโดยไม่รีรอ

    สายลมกรรโชกยามค่ำคืนที่พัดเลียดผิวกายทำเอาเธอขนลุกซู่อีกครั้ง เป็นรอบที่สามของวันที่คางารินึกว่าตัวเองในใจว่าไม่น่าคืนเสื้อโค้ทเขาไปเลยจริงๆ

    หลังจากเดินมาได้สักพัก เธอก็พบกับถนนอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าเนียนสวยทันทีอย่างนึกใจชื้น บางทีการเดินทางกลับบ้านอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด...

    หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ สถานที่แห่งหนึ่ง...ป้ายรถเมล์สาธารณะ ที่ที่เธอได้พบกับคิระเป็นครั้งแรก คิดได้เพียงแค่นั้นใบหน้าหวานก็ซับสีเลือดแดงระเรื่อ...ชายคนนี้มีอิทธิพลต่อเธอมากจริงๆ หลังจากหยุดนิ่งเพื่อสะบัดหัวไปมาสักพัก ร่างบางก็สาวเท้าเดินตรงไปยังร้านเค้กเล็กๆ ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเหยียดกว้าง แน่ล่ะ เค้กที่นี่แหละที่สร้างวีรกรรมเอาไว้...การแก้แค้นนี่มันสนุกจริงๆ เลย! คางาริโคลงหัวหงึกอย่างอารมณ์ดี ระหว่างนั้นเองที่เธอนึกได้ว่าสัญญากับคิซากะว่าจะซื้อเค้กไปเป็นของฝากเมื่อคราวก่อน แต่..จะโทษเธอก็ไม่ได้นะ เพราะมันมีเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้เค้กชิ้นนั้นต้องเป็นหมันไปอย่างช่วยไม่ได้นี่นา!

    หลังจากซื้อเค้กเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็สาวเท้ายาวๆ เดินต่อไป ขณะที่ปากก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วเธอก็ต้องอยู่ชะงัก เมื่อลางสังหรณ์บางอย่างแล่นวาบเข้ามาใจจิตใจ

    ทางเดินที่ทอดตัวยาวตรงหน้านั้น มืดหม่น...เงียบงันเสียจนรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายที่แว่วออกมา นัยน์ตาสีทองกวาดมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง และ...สัญชาตญาณของเธอก็มักจะถูกทุกครั้งสิน่า...

    ท่ามกลางความมืดตรงหน้าปรากฏร่างชายสามคน กำลังเดินกอดคอกันออกมาอย่างโซซัดโซเซด้วยใบหน้าแดงจัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสาเหตุนั้นมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างแน่นอน สถานการณ์ที่ทำเอาหญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง มือเรียวกำหมัดแน่นก่อนค่อยๆ วางกล่องและถุงกระดาษลงบนพื้นข้างตัว

    “ว่าไงสาวน้อย....” ชายคนแรกกล่าวขึ้นทั้งยังเดินตุปัดตุเป๋ เขาเป็นชายรูปร่างสันทัด อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเขรอะฝุ่นและกางเกงผ้าสีดำ ทั้งยังห้อยโซ่สีทองขนาดใหญ่สามเส้นไว้ที่คออีกด้วย จากจุดตรงกลางที่ยืนอยู่ บอกให้รู้เป็นนัยๆ ว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม

    “นายต้องการอะไร!” คางาริสวนกลับทันที พยายามปกปิดความประหม่าในใจเอาไว้

    “ทำไมสาวน้อยน่ารักอย่างเธอถึงมาเดินอยู่มืดๆ ค่ำๆ ตัวคนเดียวล่ะจ๊ะ” ชายคนที่สองเอ่ยขึ้นบ้าง ขณะก้าวเท้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวผงะถอยในทันที นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้าง

    “เราไม่ทำอะไรเธอหรอก ถ้าเธอทำตัวเป็นเด็กดีละก็นะ สาวน้อย…” ชายคนที่สามกล่าวขึ้น ขณะที่สาวเท้าเข้ามาสมทบอีกคน

    “ว้า...ดูสิ เด็กน้อยคนนี้กลัวพวกเราแหละ...”

    เท่านั้นเอง เธอก็รู้สึกเหมือนโดนขว้างก้อนหินหนักๆ ใส่สักอัน

    เด็กน้อยเหรอ?? กลัวเหรอ???

    หญิงสาวกำหมัดแน่นในทันที ก่อนตวาดสวนเสียงดังลั่น “หุบปากนะ!”

    แต่แล้วคางาริก็ต้องชะงักเมื่อนิ้วมือเรียวยาวของเจ้าหัวหน้ากลุ่มยกขึ้นปัดไล้ใบหน้าของเธอเบาๆ หญิงสาวสะบัดหน้าหนีในทันที แต่ทว่าเมื่อหันกลับไปร่างตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว!!

    เร็วอะไรอย่างนี้...!

    “ทำตัวดีๆ หน่อยสิ สาวน้อย” น้ำเสียงเย้าแหย่เดิมๆ ถูกงัดมาใช้อีกครั้ง นัยน์ตาสีทองหรี่แคบลงทันที เมื่อมือเรียวฉวยข้อมือคนวอนหาเรื่องได้

    “อย่าริอาจทำให้ชั้นอารมณ์เสีย” คางาริเอ่ยเตือนเสียงต่ำ

    “ไม่งั้นเด็กน้อยคนนี้จะตะโกนร้องไห้แงเหรอจ๊ะ?” ชายคนที่สอบเอ่ยตอบทันที....ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับเวลานั้นเลยจริงๆ....

    + + + + + +

    อัสรันกวาดสายตามองทัศนียภาพเบื้องหน้าผ่านบานกระจกสีดำสนิทในรถยนต์คันหรู โดยในหัวคิดถึงแต่ความหนานุ่มของที่นอนตัวเองเท่านั้น
    แต่แล้วภาพบางอย่างที่แล่นเข้าคลองจักษุทำให้เขาถึงกับชะงัก

    ชายหนุ่มสั่งคนขับให้หยุดรถทันที ก่อนร่างสูงจะก้าวลงจากพาหนะสีดำสนิทตรงไปยังถนนด้านหน้า – ที่ซึ่งเขามั่นใจว่าเห็นหญิงสาวผมบลอนด์เดินเข้าไปเมื่อครู่นี้...หรือไม่เขาก็อาจจะคิดไปเอง แต่เมื่อเห็นเงาลางๆ ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ก็เห็นชัดว่าข้อสันนิษฐานเรื่องสีผมและตัวเจ้าของนั้นถูกต้อง

    ชายหนุ่มนิ่งมองชายขี้เมาสามคนที่กำลังยืนล้อมเลขาของเขา ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่อเจตนามุ่งร้ายทั้งนั้น นัยน์ตาสีมรกตวาวโรจน์ในฉับพลันพร้อมกับกำหมัดแน่น

    “อย่าริอาจทำให้ชั้นอารมณ์เสีย” อัสรันได้ยินเสียงคางาริกล่าวหนักแน่น ทว่าชายสามคนนั้นกลับไม่ใส่ใจ ทั้งยังสาวเท้าเดินอาดๆ ตรงเข้าไปหาร่างบางตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองที่เขาสับเท้าเดินเข้าไปหา...แม้ว่าจะไม่เข้าใจเหตุผลก็ตาม

    ...แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้วละมั้ง...

    อัสรันได้แต่ยืนนิ่งมองดูภาพเลขาสาวของเขาคว้าข้อมือชายคนแรกและกระหวัดดัดเอ็นร้อยหวายในพริบตา เล่นเอาผู้โชคร้ายครางออกมาเสียงลั่น ซึ่งถ้าเขาหูไม่ฝาด...รู้สึกจะได้ยินเสียงดัง ‘กร๊อบ’ ด้วย

    แขนคงหักเสียแล้วละมั้งนั่น...

    หลังจากนั้นเธอก็เบนความสนใจไปยังชายคนที่สองที่พุ่งเข้ามาหา แต่คางาริเบี่ยงตัวหลบได้อย่างทันท่วงที หญิงสาวหมุนตัวกลับ ก่อนยกเท้าเตะเข้าเต็มแรง (ซึ่งแน่นอนอัสรันเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน ก็เธอยังใส่กระโปรงอยู่ แถมตรงที่เขายืนนี่ก็...มุมแจ่มเสียด้วยสิ!) ทำเอาคนถูกอัดถึงกับทรุดลงไปร้องโอดโอยกับพื้นส่งเสียงกระดูกลั่นอีกครา ขณะที่คนโชว์โปรกลับยืนนิ่งให้ชายกระโปรงทิ้งตัวลงมาอย่างสวยงาม
    ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึก...ตะลึง ผู้หญิงคนนี้รู้ศิลปะป้องกันตัวมาอย่างดีทีเดียว!

    เหลือชายหนุ่มคนที่สามอีกแค่คนเดียว ซึ่งยามนี้ร่างสันทันฉายความกลัวออกมาอย่างเด่นชัด เรียกรอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเนียนฉับพลัน

    “บอกไว้ก่อนนะว่าอย่ามายุ่งกับชั้นจะดีกว่า...” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันก่อนจะหักข้อนิ้วดังกรอบๆ ทำเอาชายตรงหน้าถึงกับเหงื่อตกซิก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ รวบรวมพลังทั้งหมดพุ่งชาร์ทเข้ามาหาเธอเต็มแรง

    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งถึงกับเบิกกว้างทันทีกับความเคลื่อนไหวอันรวดเร็วนั้น ชายฉกรรจ์คนนั้นชกเธอที่ท้องอย่างจัง ทำเอาร่างบางถึงกับถลาทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอย่างเจ็บปวด ขณะที่ริมฝีปากสีแดงชาดเริ่มมีเลือดไหลซิบบนมุมปาก หญิงสาวพยายามรวบรวมกำลังเพื่อจะยันตัวลุกนั่ง แต่ความเจ็บแปลบที่วิ่งเข้ามาทำให้ต้องชะงัก

    “คราวนี้ ใครกันแน่ที่เจ็บตัว?” ชายคนที่สามพูดเยาะเย้ย ทำเอาอารมณ์ของสาวน้อยผมทองเดือดพล่าน แม้กระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถที่จะขยับตัวได้เลยสักนิด

    ตอนนั้นเองที่อัสรันถึงกับกำหมัดแน่นเสียจนแทบเรียกเลือดให้ไหลออกมาจากฝ่ามือกร้านนั้น เขามันโง่เองที่หลงปล่อยให้เธอสู้กับชายถึงสามคนตัวคนเดียว! ยังไงซะเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ต้องการการปกป้องอยู่ดี!

    ระหว่างที่กำลังจะวิ่งออกไปนั้นเอง เสียงร้องโอดครวญจากบุรุษตรงหน้าก็ดังขึ้นเสียก่อนทำเอาชายหนุ่มต้องชะงักฝีเท้า เสียงซัดหมัดดังขึ้นในไม่กี่วินาทีต่อมาพร้อมกับเสียงร้องครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของนักเลงคนนั้นจะทรุดลงไปกองกับพื้น

    คางาริถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิดเดียวแล้วหมอนั่นจะร้องทำไม? คิดพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง ความเจ็บปวดบริเวณท้องน้อยทำให้ร่างบางขยับตัวได้อย่างไม่สะดวกนัก มือเรียวถูกยกขึ้นเช็ดเลือดบริเวณมุมปากก่อนตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือ

    ตอนนั้นเองที่เธอสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า...สาเหตุที่ทำให้เจ้าผู้ชายขี้เมาลงไปนอนกองกับพื้น...

    ที่ฝั่งตรงข้ามปรากฏเด็กชายผิวแทนเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม และใบหน้าอ่อนใสกำลังส่งยิ้มมาให้เธอ หลังจากจัดการสับต้นคอชายผู้โชคร้ายให้ลงไปกองกับพื้นเสร็จเรียบร้อย

    “นั่นคงทำให้ไม่รู้สึกตัวไปสักพักล่ะ”

    หมอนั่นเป็นใครกัน...? อัสรันคิดในใจพลางขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ตรงข้ามกับหญิงสาวอีกคนที่กำลังอ้างปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างที่สุด!

    “อัฟเหม็ด...นั่น...นายเหรอ???” คำเรียกชื่อที่เจ้าของนามต้องขยับยิ้ม

    “ยังจำชั้นได้อยู่เหรอเนี่ย? เจ้าหญิง” คราวนี้เล่นเอาคนแอบฟังต้องมุ่นคิ้วหนักกว่าเก่า อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด

    เจ้าหญิง...?? เจ้าหญิงอะไร...???

    “ชั้นบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกชั้นอย่างนั้น ตาทึ่ม!” เสียงแหลมเล็กโวยวายที่ขึ้นอย่างขัดใจทำเอาคนหลุดปากหัวเราะร่วน

    “โอ๊ะ โทษทีๆ ลืมตัวแนะ!” คำพูดขบขันที่ทำชายหนุ่มโคออดิเนเตอร์ถึงกับงงหนักไปกว่าเก่า

    เจ้าหญิง? อัฟเหม็ด? นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย...??

    คางาริพยายามที่จะยิ้ม แต่ร่างบางก็ต้องชะงักเมื่อมือของชายคนแรกคว้าหมับเข้าที่ข้อขา

    “เธอจะต้องชดใช้ แม่สาวน้อย!” ชายคนนั้นกล่าวเสียงลอดไรฟัน

    คางาริกำหมัดแน่นในทันที “เอา-”

    เท้าข้างที่ว่างถูกยกขึ้นมาในบัดดล ก่อนจะเตะสวนเข้าที่ท้องน้อยเต็มเปาส่งให้ร่างนั้นไถลไปไกลสามสี่เมตร ชายผู้น่าสงสารส่งเสียงโอดครวญอีกคราก่อนใช้มือกุมส่วนที่โดนเตะอย่างจัง แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมเลิกรา มือเล็กคว้าหมับที่ปกเสื้อเชิ้ต

    “มือสกปรกของนาย-” ก่อนจะตามด้วยหมัดงามๆ อีกหน เรียกเสียงดัง ผัวะ!

    “ไปไกลๆ ซะ!!!!” แล้วร่างของคนที่เคยอยู่ในมือก็ลงไปกองกับพื้น....สลบเหมือด เรียกรอยยิ้มพึงใจกับผลงานตัวเองในทันที

    “อ๊ากกกกกกก!!!” ชายคนที่สองที่เพิ่งพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้หมาดๆ วิ่งชาร์ทตรงเข้ามาหาเธอในทันที ทว่าร่างบางกลับเอี้ยวตัวหลบได้อย่างดงาม ก่อนใช้ขาอีกข้างขัดเข้าให้

    อัสรันอดเบ้หน้าอย่างหวาดเสียวไม่ได้เมื่อร่างของชายคนที่สองลงไปกลิ้งโคโล่กับพื้นพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

    ...ดูท่าจะเจ็บนะนั่น...

    แต่อัฟเหม็ดกลับมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “อย่างที่คิดเป๊ะเลย” กล่าวขำๆ ก่อนร่างสูงจะรี่เข้ามาประคองหญิงสาวพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้นน้อยๆ

    “ชั้นนึกว่าเธอจะไม่ยอมสวมกระโปรงเสียอีก” คำกล่าวนั้นเรียกสายตามหาโหดได้ฉับพลัน บอกได้โดยไม่ต้องพูดสักคำว่าจะหุบปากหรืออยากจะเจ็บตัว ซึ่งเด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มแหยๆ ตอบกลับมาอย่างรู้ทัน

    “มาเถอะ ไปรักษาแผลก่อน” คางาริถอนหายใจน้อยๆ ขณะก้มหน้าลงหยิบกล่องกระดาษใส่เค้กโดยมีอัฟเหม็ดคอยช่วยเหลือ

    “ชั้นไม่เป็นไรหรอกน่า” แต่คนตรงหน้ากลับส่ายหน้าปฏิเสธ “แผลนั่นหนักพอดูเลยนะ เห็นมั้ย” เขากล่าวเสียงนุ่มขณะใช้นิ้วโป้งปัดรอยเลือดแห้งๆ บริเวณริมฝีปากเธอเบาๆ

    ความจริงเธอก็อยากจะเปิดปากเถียงใจจะขาด แต่ทว่าร่างกายเธอตอนนี้กลับไม่มีแรงเลยสักนิด

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า พาชั้นกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวคิซากะจะเป็นห่วง”

    “แล้วจะทำยังไงกับไอ้เจ้าพวกนี้ดีล่ะ”

    “ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ โดนแบบนี้ก็สมควรแล้ว” คำกล่าวที่เรียกรอยยิ้มจากเพื่อนหนุ่ม ก่อนจะพยุงร่างบางให้เดินหายลับเข้าไปในตรอกแคบๆ นั้น

    อัสรันได้แต่ยืนนิ่งมองทั้งคู่เดินหายเข้าไปกับฝูงชนยามเย็นตรงหน้า นัยน์ตาสีเขียวหรี่แคบลงพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านข้างในจิตใจ ความรู้สึกเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในสวนสาธารณะคราวนั้น... ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ก่อนคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วติดต่อไปยังสถานีตำรวจว่าพบกลุ่มชายขี้เมานอนสลบอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นจึงพาร่างของก็ตัวกลับไปที่รถ น่าแปลกทีเดียวที่ความรู้สึกอยากพักผ่อนมลายหายไปสิ้น เพราะถูกแทนที่ด้วยภาพหญิงสาวผมทองและชายหนุ่มผิวแทนปริศนาคนนั้น...


    ------------------------------To Be Continued...
  16. Hell

    Hell Member

    EXP:
    405
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    /me คาราวะหนึ่งจอก

    มองพี่คุมิ นับถือ !!!! แปลไว้ตั่งเยอะ แถมสำนวนการแปล ยังอ่านง่ายอีกด้วย * *

    (จริงๆเคยอ่านฉบับภาษาอังกฤษมันแล้วแต่ไปไม่รอดเกินสองตอน เพราะภาษาอังกฤษผมมันห่วยอย่างเเรง)
  17. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (กำลังจะลงตอนใหม่)

    Chapter 12 -- ห้วงราตรีอันยาวนาน

    ร่างใหญ่ของบอดี้การ์ดหนุ่มเดินวนไปวนมารอบห้องรับแขกเป็นเวลากว่าสามสิบนาทีแล้ว...เขากำลังเป็นห่วงจนแทบคลั่ง! คิ้วเข้มขมวดตรึงเข้าหากันแน่น ขณะสายตาคมกล้าจ้องมองนิ่งไปที่บานประตูราวกับจะมองให้ทะลุแผ่นไม้ตรงหน้าออกไปให้ได้เสียอย่างนั้น

    เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นเบาๆ นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ยังดังต่อเนื่องในห้องรับแขกเล็กๆ นี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมี ‘คุณเพื่อนบ้านจอมโวยวาย’ มายืนบ่นเกี่ยวกับเรื่องความงี่เง่าของสามีตัวเองที่ดันลืมวันครบรอบแต่งงาน หรือไม่ก็เรื่องลูกฝาแฝดที่เพิ่งทำแจกันคอเล็คชั่นจากเมืองจีนแตก หรือไม่ก็เรื่องรายการทีวีที่สัญญาณขาดหายไปถึงเก้าครั้งต่อเดือน

    แต่ทว่าคิซากะกลับไม่สนใจสิ่งที่แม่บ้านจอมโวยวายนั่นพูดเลยสักนิด ความจริงต้องบอกว่าเขาไม่สนใจอะไรเลยนอกจากประตูหน้าบ้านมากกว่า ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าไม่นาทีใดนาทีหนึ่ง แผ่นไม้บานนั้นจะเปิดออกเผยให้เห็นเรือนร่างบอบบางของเด็กสาวผมทองสาวเท้าเข้ามา โดยปากก็บ่นเป็นชักยนต์เกี่ยวกับเรื่องการประชุมงี่เง่าหรืออะไรประมาณนั้น

    แต่ก็อย่างที่พูด...เขารอมาตั้งกว่าครึ่งชั่วโมงได้แล้ว!

    “เด็กคนนั้นจะไปไหนได้?” คิซากะยอมรับว่าเขาค่อนข้างจะเข้มงวดกับเจ้าหญิงองค์น้อยคนนี้ไปสักหน่อย ความจริงเขาก็คงจะโดดพรวดไปรับเธอถึงสนามบินแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากหญิงชราคนหนึ่งไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือเข้าเสียก่อน ซึ่งลีดอเนียร์ คิซากะ บอดี้การ์ดประจำตัวเจ้าหญิงแห่งออร์บเองก็ค่อนข้างจะเป็นคนดี น้ำใจงามอยู่แล้ว

    และที่สำคัญ...เขาปฏิเสธคำขอร้องของคนแก่ไม่ได้หรอก...มันเป็นหน้าที่ของชายชาติทหาร!!

    ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็คิดว่าอย่างไรเสียเธอก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว ในตอนนี้...หรือเมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้! ตอนนี้คิซากะรู้สึกกังวล...กังวลมากจริงๆ

    ถ้าหากเธอเกิดไปเจอพวกขี้เมาเข้ากลางทางล่ะ!?

    ถ้าคางาริยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม เขาก็คงนึกสงสารเจ้าพวกนั้นอยู่ไม่น้อยทีเดียวแหละ

    .......แต่ถ้าหากไม่ล่ะ!

    หรือคางาริกำลังตกอยู่ในอันตราย....!?


    และในที่สุดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจนได้....

    ตอนแรกคิซากะยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมส่งสายตาจ้องมองประตูด้วยความสงสัย เนื่องจากปกติคางาริมักจะเปิดประตูพรวดออกมาแล้วทิ้งตัวบนโซฟาตัวโปรดทันที แต่วันนี้...เธอกลับเคาะประตูอย่างนั้นหรือ?? ถ้าหากเป็นคนอื่นล่ะ แน่นอนว่าคิซากะย่อมไม่อยากต้อนรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่คุณ ‘ฉันเป็นคนงาม ดังนั้นเธอต้องอยากพบหน้าฉัน’ นั่นด้วย

    ความจริงอาจจะเรียกได้ว่าคิซากะมีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือเลยก็ได้ ตั้งแต่นิสัยของผู้คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ที่นี่ไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่ผ่านไปผ่านมาเชียวแหละ อย่างไรเสียเขาก็เคยเห็นทหารมาก่อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คางาริจะให้ฉายาเขาว่า “ปีศาจอัจฉริยะ”

    “คิซากะ! จะเปิดไอ้ประตูบ้าๆ นี่ได้รึยัง!!”

    คิซากะสะดุ้งสุดตัวทันที แน่นอนเขาจำได้แม่นทีเดียวว่าใครเป็นเจ้าของเสียง ชายหนุ่มร่างยักษ์จึงสาวเท้าตรงไปเปิดประตูโดยไม่ลังเล แล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น...รอยยิ้มของคางาริที่มาพร้อมกับหยดเลือดตรงมุมปาก และไหนจะร่างเด็กหนุ่มผิวแทนผมสีช็อกโกแลตที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่นอีก!

    โดยไม่รอช้า คิซากะพาทั้งสองไปนั่งที่โซฟาตัวยาวพร้อมคำถามรัวเร็ว “เกิดอะไรขึ้น?”

    คางาริวางแขนทั้งสองข้างตรงพนักพิง ก่อนจะเท้าคางบนฝ่ามืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”

    คำตอบที่ทำเอาองครักษ์หนุ่มตาแทบถลน ขณะเดินกลับมาจากห้องครัวพร้อมกล่องปฐมพยาบาลในมือ

    “ไม่ใช่เรื่องสำคัญ? แต่นี่ท่านบาดเจ็บนะ!” หลังจากนั้นจึงหยิบผ้าผันแผลออกมา

    สาวน้อยผมบลอนด์กลับพ่นลมออกปากอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไรจริงๆ แค่เจ้าพวกขี้เมาน่ะ”

    “นี่” คิซากะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอ ก่อนยื่นผ้าพันแผลให้ ซึ่งคางาริก็รับมันมาซับแผลที่มุมปากอย่างว่าง่าย

    “เกิดอะไรขึ้น แล้วคนพวกนั้นตอนนี้อยู่ไหน?” คำถามรัวเร็วดังขึ้นอีกครั้งขณะกำลังสำรวจบาดแผลบริเวณแขนและขาของนายเหนือหัวอย่างร้อนรน ซึ่งสาวน้อยผมทองโบกมือปฏิเสธพัลวัน

    “พวกนั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้วน่า อัฟเหม็ดช่วยชั้นไว้” สิ้นคำกล่าวคิซากะก็เบือนหน้าไปมองชายหนุ่มผิวแทนคนข้างๆ ซึ่งกำลังฉีกยิ้มแหยๆ ยืนอยู่ข้างตัวเขาอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

    “อ่า...คิซากะ....นานแล้วสินะ”

    บอดี้การ์ดร่างยักษ์พยักหน้ายืนยันคำกล่าวของเด็กหนุ่ม แน่นอนว่าเขาจำคนๆ นี้ได้... ‘อัฟเหม็ด อัล ฟาไซ’ เพื่อนสมัยเด็กของคางาริบนโลก รวมถึงตำแหน่งบอดี้การ์ดของเจ้าหล่อนด้วย

    “ขอบใจมากที่ช่วยยัยแสบนี่ไว้”

    “เฮ้! พูดงี้หมายความว่าไง!”

    อัฟเหม็ดและคิซากะแค่นหัวเราะกลับการโต้ตอบของนายเหนือหัวทันที ยังไงซะเขาทั้งคู่ก็รู้จักเธอดีอยู่แล้ว...แน่นอนว่าคงจะดียิ่งกว่าใครคนอื่นเสียด้วย

    + + + + + +

    ดีอัคก้าเฝ้ามองภาพอัสรันและนิโคลง่วนอยู่กับเอกสารที่ดูเหมือนจะมีแค่ห้าหกบรรทัดกับอีกหนึ่งภาพอะไรสักอย่าง และด้วยความที่มันถูกโบกไปโบกมาด้วยความเร็วเหลือเกินเลยยากที่จะบอกว่ามันเป็นกระดาษอะไรกันแน่ แต่ที่รู้ๆ ก็คือถ้ามันทำให้อัสรันกับนิโคลสุมหัวกันได้ขนาดนี้ต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรีแหงๆ...

    เสียงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกหนักๆ ของรองเท้ากับพื้นโต๊ะ บางครั้ง...เขาก็รู้สึกเหมือนไม่ได้พักเลย แม้ว่าเวลาว่างส่วนใหญ่เขาจะหมดไปกับการเที่ยวผับและบาร์ยามค่ำคืน แต่เขาก็ยังไม่ได้รู้สึกเหมือนกับได้พักผ่อนเท่าไหร่ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเริ่มเบื่อเหล่าสาวๆ ที่รายล้อมเขาทั้งหน้าทั้งหลังตลอดเวลานี่แล้วก็ได้

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดตอนนี้ร่างสูงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ของอพาร์ตเม้นต์ของหนุ่มน้อยนิโคล ทำไมถึงต้องนิโคลนะเหรอ?...มันก็แค่...ซี้เก่าเขาอย่างเจ้าอีซาคกำลังรับประทานดินเนอร์แสนสุขกับคุณมารดาแสนรักอยู่ ส่วนตาอัสรันก็ไม่ยอมอยู่บ้านมานั่งขลุกอยู่นี่ เพราะฉะนั้นก็เหลือเพียงบ้านเจ้าหนุ่มผมเขียวให้เลือกแค่ชอยส์เดียวน่ะสิ...

    ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งรู้สึกเบื่อขึ้นเรื่อยๆ...ตอนนี้ดีอัคก้าจัดการซัดเบียร์เข้าไป 3 กระป๋องแถมด้วยขนมขบเคี้ยวอีกสองถุงใหญ่ ขณะเฝ้ามองเจ้าเพื่อนตัวแสบสองคนนั่งสุมหัวดูไอ้กระดาษบ้านั่นมาเกือบชั่วโมงอย่างไม่คิดจะดูดำดูดีเขาเลยสักคน แม้แรกๆ จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่สักหน่อย แต่พอสักพักก็เริ่มเบี่ยงเบนความสนใจไปยังจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าแทน

    “อัสรัน ผมว่าคุณน่าจะยกโน้ตตัวนี้ให้สูงขึ้นไปอีกคีย์ดีมั้ย? ผมว่าเสียงมันเพราะกว่านะ”

    “คิดว่าอย่างนั้นเหรอ? โอเค...”

    นัยน์ตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด โดยปกติแล้วดีอัคก้าก็คงไม่คิดจะสนใจหรอกว่าไอ้เพื่อนบ้าสองตัวนั่นจะทำอะไร เพียงแต่วันนี้อารมณ์เขามันไม่ค่อยปกติ รู้สึกเหนื่อยเพลียแปลกๆ แถมยังรำคาญไอ้เสียงทีวีที่เริ่มพูดจาเลอะเลือนบ้าๆ นี่ด้วย ในที่สุดอารมณ์เซ็งจัดก็ชนะเลิศ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะสาวเท้าเดินไปนั่งแปะข้างนิโคลพร้อมสูดลมหายใจเข้าอย่างระงับอารมณ์

    “แล้ว...ทำบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย?” เหอะ...สำเนียงการพูดเรานับวันจะยิ่งเหมือนอีซาคขึ้นทุกที...

    น้ำเสียงหงุดหงิดเรียกสายตาสองหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมามองทันที นิโคลจึงคว้ากระดาษสีขาวแผ่นให้ขึ้นมาชูให้ดู

    “โน้ตดนตรีน่ะ...เพลงโซนาต้า”

    คำอธิบายที่เรียกคิ้วเข้มให้ขยับ ก่อนอ้าปากถามต่อ

    “เพื่อ...??”

    อัสรันจึงคว้าโน้ตแผ่นนั้นมาและเริ่มบรรเลงตัวอย่างเพลงบนเปียโนตรงหน้าเล็กน้อย “ของขวัญน่ะ”

    “ของขวัญ?”

    เมื่อถูกถามคำต่อคำ ชายหนุ่มผมเขียวก็เลยอดไม่ได้ที่จะตอบปนหัวเราะ “ของขวัญสำหรับคุณลักซ์น่ะครับ”

    “ลักซ์? ทำไมล่ะ?”

    เล่นไปได้สักพักชายหนุ่มผมน้ำเงินก็เริ่มรามือจากเปียโน...เขานี่ไม่ได้มีพรสวรรค์เอาซะเลย...

    “ฉันกะว่าจะเล่นให้ลักซ์ฟังพรุ่งนี้น่ะ”

    ดีอัคก้าพยายามตีหน้าเข้าใจก่อนจะเท้าคางบนเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่ตรงหน้าอย่างสบายใจเฉิบ

    “พรุ่งนี้? อ่อ...มีงานเลี้ยงสินะ?” นิโคลพยักหน้าทันควัน “’งานเลี้ยงสนับสนุนโดยสภาน่ะครับ พวกกองทัพโลกก็จะเข้ามาร่วมงานด้วย มันก็เหมือนกับงานเลี้ยงระหว่างโคออดิเนเตอร์กับเนเชอรัลกลายๆ นั่นแหละ”

    ชายผมทองอดเบ้หน้าพลางหลับตาด้วยความเหนื่อยอ่อนอย่างเสียไม่ได้ เมื่อชายอีกคนที่นั่งข้างๆ เริ่มมาตรการแค่นหัวเราะในลำคออีกแล้ว

    ...ให้ตายสิ เจ้าอัสรันมันเกลียดไอ้พวกนี้เข้ากระดูกดำจริงๆ แฮะ...

    แต่เขาก็คงจะโทษหมอนี่ไม่ได้หรอก...ก็ตานี่สูญเสียคนสำคัญไปเพราะพวกนั้นนี่นา...


    “แล้วทำไมถึงต้องให้ของขวัญลักซ์ด้วยล่ะ? วันเกิดเธอเหรอ?”

    เป็นหนุ่มน้อยคนเดิมที่ส่ายหัวปฏิเสธ “สำคัญกว่านั้นเยอะเลยแหละ” แถมยังอธิบายเหตุผลชวนงงต่อเสียอีก

    “โห..สำคัญกว่าวันเกิดอีกเหรอ!?”

    “ฉันกะว่าจะขอเธอแต่งงานวันพรุ่งนี้” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นก่อนมือใหญ่จะล้วงกระเป๋าคว้ากล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสหุ้มกำมะหยี่มาถือไว้ในมืออย่างทะนุถนอม

    ท่าทางที่ทำเอาคนถามงงเต๊กอีกรอบ “พวกนายสองคนก็หมั้นรอแต่งกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ? แล้วจะขอให้วุ่นวายทำไม?”

    “มันก็ใช่...แต่การหมั้นหมายนั่นถูกจัดขึ้นตามความเห็นของผู้ใหญ่” อัสรันตอบกลับก่อนส่งแหวนเงินที่มีหินสีชมพูประดับอยู่ตรงกลางให้ดีอัคก้าดู

    “ฉันอยากจะแสดงให้เธอเห็นว่าที่ฉันจะแต่งงานกับเธอไม่ใช่เพราะพ่อ...แต่เป็นเพราะฉันรักเธอต่างหาก”

    ระหว่างพิจารณาแหวนลงเล็กในมือ ชายหนุ่มก็ลอบมองสีหน้าของประธานหนุ่มไปพลาง อัสรันนี่เป็นคนน่านับถือจริงๆ แฮะ...

    “รู้อะไรมั้ยอัสรัน...นายนี่ชอบมีอะไรให้ฉันทึ่งอยู่เรื่อย” คำชมที่คนถูกชมยิ้มรับ ก่อนจะเก็บแหวนลงกล่อง

    “ว่าแต่...เพลงนี้ชื่ออะไรอย่างนั้นเหรอ?” ดีอัคก้าเอ่ยถาม เรื่องขี้สงสัยเนี่ยขอให้บอกเถอะ...เขาน่ะที่หนึ่งอยู่แล้ว

    สิ้นคำถามสองหนุ่มก็รีบหันมามองหน้ากันในทันที ก่อนนิโคลจะเป็นคนเริ่มประโยค

    “จะว่าไป...อัสรันเองก็ยังไม่ได้คิดชื่อเพลงเลยไม่ใช่เหรอครับ?”

    ทว่าโคออดิเนเตอร์หนุ่มกลับยักไหล่อย่างไม่หยี่ระ “ไม่เห็นจะสำคัญเลย ชื่อก็เป็นแค่ชื่อ แค่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันความสับสนเท่านั้นแหละ ที่สำคัญคือเนื้อหาข้างในต่างหาก”

    คำกล่าวที่นิโคลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยชักชวนด้วยน้ำเสียงสดใส “เอาล่ะ มาทำให้มันเสร็จกันเถอะครับ!” พูดจบก็เบนความสนใจกลับไปยังกระดาษแผ่นเดิมทันควัน

    อัสรันพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย ส่วนดีอัคก้าหมุนตัวกลับทันทีเมื่อสิ้นเสียง ก่อนจะสาวเท้าไปทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มนิ่มตามเดิม

    ...เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อดนตรีจริงๆ เถอะให้ตาย...

    + + + + + +

    “ไหนบอกมาซิ ว่านายมาทำอะไรที่ Plant?” คำถามที่รู้อยู่แล้วเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มผิวแทน อัฟเหม็ดรับช็อคโกแลตร้อนที่คิซากะเตรียมมาให้พร้อมกับขนมเค้กมาถือไว้ ก่อนจะเอ่ยปากตอบหญิงสาวคนเดียวในบ้านที่กำลังจัดการเค้กก้อนใหญ่ในมืออย่างอารมณ์ดี (แม้เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอรักษารูปร่างเล็กบางแบบนั้นไว้ได้ยังไง)

    “ก็...แค่อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” คำตอบที่ทำเอาคนกำลังจิ้มเค้กเข้าปากถึงกับชะงัก ส้อมเงินอย่างดีถูกทิ้งลงบนโต๊ะอย่างแรงก่อนคิ้วเรียวบางจะถูกเลิกขึ้นตามนิสัย

    “เปลี่ยนบรรยากาศ?? ...แค่เนี้ยนะ!?” สิ้นเสียงคิซากะก็รีบคว้าแก้วโกโก้ขึ้นมาถือไว้อย่างรู้ทันอาการวีนทำลายข้าวของที่กำลังจะตามมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

    ท่าทางที่คนหาข้อแก้ตัวไม่ได้เรื่องรีบยกมือขึ้นแสดงความจริงใจในทันที

    “ฉันพูดจริงๆ นะ! ก็แหม่ ตลอด 19 ปีฉันขลุกตัวอยู่แต่ในทะเลทราย ฉันก็อยากรู้มั่งสิว่าชีวิตแสงสีในเมือง...โดยเฉพาะที่นี่น่ะมันเป็นยังไงมั่ง”
    พอได้ยินคำกล่าวที่พอรับได้ สาวน้อยผมทองก็เริ่มกลับเข้าสภาวะเจริญอาหารต่อไป “ก็พอฟังขึ้น...แม้ฉันจะรู้สึกว่านายไม่ได้บอกความจริงกับฉันก็เหอะ” พูดจบก็ส่งเค้กคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างพออกพอใจ แถมยังไม่วายเลียไอซิ่งส่วนที่เหลือในมืออย่างเอร็ดอร่อยอีกต่างหาก

    คำดักคอที่อัฟเหม็ดถึงกับยิ้มเฝื่อน “ทำไมฉันต้องโกหกด้วยล่ะ เจ้าหญิง” คำสรรพนามที่เรียกสายตาค้อนขวับ ทำเอาคนหลุดปากต้องรีบโบกมือขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

    “แล้วตอนนี้นายพักอยู่ที่ไหน” คราวนี้คิซากะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามบ้าง

    “ห่างจากที่นี่ไปสองบล็อกเท่านั้นแหละ ใกล้มากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ?”

    คางาริพยักหน้าก่อนก้มหน้าก้มตาจิบโกโก้ตรงหน้า(ต่อ?) “นี่นายอยู่คนเดียวเหรอเนี่ย?”

    อัฟเหม็ดผงกศีรษะรับ “ฉันก็ไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่นานนักหรอก อาจจะแค่สองสามอาทิตย์เท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มเอ่ยเรื่อยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองบุคคลทั้งคู่อย่างจริงจัง

    “แล้วเธอล่ะ...มาทำอะไรอยู่ที่นี่”
    .

    .

    .

    “นี่เธอหมายความว่าตอนนี้เธอทำงานเป็นเลขาฯ ของท่านประธานสภา Plant อยู่อย่างนั้นเหรอ!!??” อัฟเหม็ดย้อนเสียงสูงหลังจากฟังเพื่อนสาวสาธยายเรื่องราวยาวเฟื้อยจนจบที่เล่นเอาเขาถึงกับอ้าปากค้าง

    “แถมยังพยายามจะขโมยข้อมูลเขาอีกต่างหาก! นี่เธอบ้ารึเปล่าเนี่ย!” ถ้อยคำโวยวายที่คางาริกลอกตาไปมาอย่างหงุดหงิด

    “นายพูดเกินไปแล้วน่า”

    “พูดเกินไปเหรอ!!? คางาริ เธอรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรอยู่! เกินไปอย่างนั้นเหรอ? นี่เธอรู้มั้ยว่าอาจจะถูกฆ่าตายได้ทุกเมื่อน่ะ! ให้ตายสิ มีความเป็นไปได้ตั้งเป็นล้านๆ อย่างที่จะเกิดขึ้นกับเธอนะ!” ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังคว้าไหล่บางมาเขย่าแรงๆ อีกสักสองสามทีจนหญิงสาวชักเริ่มมึนหัว

    “ที่สำคัญ เธอน่ะเป็นเจ้าหญิงนะ! แถมไม่ใช่เจ้าหญิงธรรมดาอีก แต่เป็นเจ้าหญิงแห่งออร์บ! ทายาทคนสำคัญของตระกูลอัสฮา! ยังไม่พอ เธอยังกล้าโผล่หน้าไปในงานประชุมที่ September three อีกต่างหาก! โอ้ยยย เคยคิดมั่งมั้ยเนี่ยว่าถ้ามีใครจำเธอได้แล้วจะเป็นยังไง!”
    คำโวยวายที่ทำเอาหญิงสาวเชิดหน้า ก่อนปัดมือของผู้หวังดีออกอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วนายจะโวยวายมากมายไปทำไมเล่า” คางาริบ่นอย่างหัวเสีย

    ให้ตาย...นึกว่าชั่วชีวิตนี้เธอจะหาคนขี้โวยวายกว่าคิซากะไม่ได้แล้วเสียอีก...ท่าทางเธอจะคิดผิดเสียแล้วล่ะ แถมถ้าอัฟเหม็ดมาอยู่นี่อีกคน...มีตัววุ่ยวายสองคนรายล้อมอยู่ข้างๆ เธอ...พระเจ้า! ชีวิตฉันได้ยุ่งเหยิงแน่ๆ เลย!!

    เสียงผ่อนลมหายใจเบาๆ มาจากชายหนุ่มที่อายุมากที่สุด คิซากะตบบ่าอัฟเหม็ดเบาๆ ก่อนเอ่ยปลอบอย่างเห็นใจ “นายก็รู้น่าว่าแม่นี่หัวดื้อขนาดไหนน่ะ...”

    สิ่งที่ได้ตอบรับมามีแค่เสียงพ่นลมหายใจดัง เฮอะ.. เท่านั้น

    “ยังไงก็เถอะ ฉันว่านะ...ฮ้าว~” คำกล่าวหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนเสียงหาวหวอดจะตามมา “ฉันง่วงแล้วล่ะ...” พูดพลางขยี้ตาไปพลาง

    “ไปนอนได้เถอะคางาริ ท่านเหนื่อยมากแล้ว” คิซากะพูดด้วยท่าทีเป็นห่วง แต่คนหัวดื้อก็ยังส่ายหน้าไม่ยอมแพ้

    “ไม่ ฉันอยากฟังเรื่องราวบนโลกก่อนนี่” แม้เสียงโต้แย้งยังฟังดูแข็งขัน แต่เปลือกตาหนักอึ้งทั้งสองข้างดูจะทรยศเธอเสียเหลือเกิน

    “อย่าดื้อสิคางาริ เราจะคุยเรื่องนั้นกันพรุ่งนี้ ไปนอนซะเถอะน่า” อัฟเหม็ดช่วยกล่าวอีกแรง

    “แล้วนายล่ะ?” คนถูกถามแย้มยิ้มเรียบ “วันนี้ฉันคงนอนที่นี่แหละ” คางาริค่อนข้างมั่นใจว่าเห็นชายหนุ่มตวัดสายตาไปยังคิซากะแว่บหนึ่ง แต่เธอไม่มีแรงพอที่จะใส่ใจเค้นมันนัก วันนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน...หญิงสาวจึงทำได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะพยุงร่างตัวเองให้ลุกจากเก้าอี้ไปยังห้องนอนเท่านั้น

    ชายทั้งสองคนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูจากห้องนอนเงียบไป คิซากะเป็นฝ่ายเริ่มหันไปพูดกับอัฟเหม็ด นัยน์ตาสีเข้มคมกริบตวัดขึ้นสบตา ก่อนกล่าวด้วยเสียงเยียบเย็น

    “เรามีเรื่องต้องคุยกัน...”

    + + + + + +

    คางาริคงเลือกที่จะซุกหัวลงไปกับหมอนนุ่มใบใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อนแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธอดังขึ้นมาเสียก่อน

    “เป็นเพราะคางารินั่นแหละ”

    เสียงของอัพเหม็ดนี่?

    คำกล่าวสั้นที่ทำเอาความง่วงงุนมลายหายไปแทบจะทันที ก่อนร่างบางจะลุกขึ้นเดินไปแนบหูกับประตูห้องตัวเองอย่างเงียบๆ ตั้งใจฟังทุกคำพูดที่ดังผ่านประตูบานนั้น...

    “คางาริเป็นคนคิดสินะ เรื่องที่พวกคุณมาที่ PLANTs นี่ก็บังเอิญรู้จากอีเมล์ที่เอริก้าส่งไปให้หน่วยกองกำลังต่อต้านในทะเลทรายเพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยดูแลความเป็นไปของโลกให้หน่อย เธอจะได้คอยให้ข่าวคุณได้ยังไงล่ะ”

    คิ้วเรียวสวยมุ่นเข้าหากันในทันที จริงอยู่ที่เธอเคยเป็นสมาชิกของหน่วยกองกำลังต่อต้านด้วยกันกับอัฟเหม็ดและคิซากะในระหว่างสงคราม และหัวหน้าเองก็รู้ดีถึงตัวตนของเธอ แต่นี่ก็นานมากแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกันเลย นอกจากนี้...เธอไม่เคยรู้เลยว่าถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

    “ฉันเชื่อว่าเขาก็คงไม่ได้ขอให้นายถ่อมาจนถึงนี่หรอก จริงมั้ย?” คราวนี้เป็นคิซากะที่เป็นฝ่ายพูด

    “ถูกครึ่ง ผิดครึ่ง”

    “นายหมายความว่ายังไง”

    “หัวหน้าขอร้องให้ฉันเอานี่มาให้น่ะ”

    คางาริได้แต่เบ้หน้าด้วยความหงุดหงิด เนื่องจากเธอไม่มีโอกาสที่จะแอบดูได้เลยว่าอัฟเหม็ดมอบอะไรให้กับคิซากะ

    ให้ตายสิ! สองคนนี้รวมหัวกันวางแผนลับหลังเธออีกแล้ว!!!

    “นี่มันอะไรเนี่ย?” เสียงของคิซากะดังขึ้น เรียกความสนใจเธอกลับมาใหม่

    “รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของออร์บตอนนี้น่ะ”

    ช่วงเวลาแห่งความเงียบนั้นนั้นคางารินึกภาพคิซากะจ้องมอง วัตถุปริศนา ที่อัฟเหม็ดนำมาด้วยออกเลย...

    “แล้วเกี่ยวอะไรกับผิดครึ่งนึงของนายล่ะ อัฟเหม็ด”

    หญิงสาวแทบจะได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ของอัฟเหม็ดเลยทีเดียว ท่าทางหมอนี่จะเกร็งมาก...

    “มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรอก” เสียงเด็กหนุ่มตอบ

    “เพราะคางาริใช่มั้ย?” คำพูดที่ทำเอาเธอต้องมุ่นคิ้วอีกรอบ ...นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ ทำไมเธอจะต้องถูกกันออกมาจากเรื่องที่เป็นเรื่องของเธออยู่เรื่อยเลย! งี่เง่าที่สุด!!

    หญิงสาวได้แต่ก่นด่าในใจอย่างหงุดหงิดโดยหารู้ไม่เลยว่าคำพูดต่อไปที่จะได้ยินนั้นจะทำให้เธอใจเต้นขนาดไหน

    “...นี่ฉันแสดงออกว่าห่วงเธอมากขนาดนั้นเลยรึไง? มันเห็นชัดมากเลยเหรอว่าฉันอยากจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของฉัน? มันเห็นชัดมากเหรอว่าฉันหลงรักเพื่อนวัยเด็กคนนี้อย่างหัวปักหัวปำน่ะ??”

    คำสารภาพที่คางาริแทบกลั้นหายใจ ร่างบางถึงกับเสียหลักพิงประตูขณะที่ใบหน้านวลเริ่มซับโลหิตสีแดงระเรื่อไปทั่ว

    นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว...อัฟเหม็ด...รักฉันอย่างนั้นเหรอ???

    บ้า...เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…


    เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย ในสายตาของคางาริอัฟเหม็ดเป็นแค่เพื่อน...เพื่อนสนิทสมัยเด็กเท่านั้นเอง เขาเป็นคนใจดี น่ารัก นิสัยดีและคอยเป็นห่วงเป็นใย...เป็นเพื่อนที่สำคัญสำหรับเธอ...ก็แค่นั้นเอง...

    มือเรียวสวยถูกยกขึ้นเกาหัวแกรกไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก ...นี่มันบ้าจริงๆ...นี่เธอกำลังรู้สึก...เขินกับสิ่งที่หมอนั่นพูดเหรอเนี่ย!?

    ความคิดที่ทำให้ใบหน้าที่ขึ้นสีอยู่แล้วแดงก่ำขึ้นไปอีก

    พระเจ้า! ทำไมฉันถึงทำตัวเป็นผู้หญิงขนาดนี้นะ!

    “แต่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าคางาริไม่เคยคิดเรื่องอย่างนั้นเลยใช่มั้ย” เสียงทุ้มเรียบของคิซากะเอ่ยขึ้นถัดมา

    “ฉันก็รู้...แต่ก็แค่อยากจะหวังและเชื่อมั่นต่อไปเท่านั้นเอง...”

    เอ้า! บ้ากันเข้าไป!

    คิดแค่นั้นก่อนร่างบางจะหมุนตัวโจนขึ้นเตียงคว้าผ้าห่มคลุมโปงเตรียมตัวนอน

    นี่มันบ้าชัดๆ อัฟเหม็ดเป็นแค่เพื่อนนะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นสักหน่อย! แม้เธอจะรู้สึกผิดนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงแหบๆ และสั่นพร่าของเขาก็เถอะ แต่เธอก็ไม่มีทางให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้อยู่แล้ว...ให้ตายสิ! ทำไมเธอถึงไม่รู้มาก่อนเลยนะ!?

    ขอโทษนะอัฟเหม็ด...ฉันมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการในตอนนี้

    แล้วจู่ๆ ภาพของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลกับนัยน์ตาสีม่วงแสนอ่อนโยนก็วาบเข้ามาในสมอง ทำเอาใบหน้าสวยแดงขึ้นมาอีกระลอก แต่แล้วก็ต้องแปลกใจกับตัวเองเมื่อภาพอีตาโคออดิเนเตอร์จองหองนั้นซ้อนทับเข้ามาอีกเป็นภาพที่สอง ทำเอาหญิงสาวสั่นหัวไล่ออกไปแทบไม่ทัน

    นี่มันบ้าจริงๆ แฮะ ค่อนข้างจะใจร้ายอยู่หรอก แต่ก็...เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด... คางาริหาวอีกรอบเมื่อความเหนื่อยล้าเริ่มกลับมา

    ในวันพรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนปกติ เธอจะทำเหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่เคยรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ ของอัฟเหม็ด ไม่เคยรู้เรื่องข้อมูลใหม่ที่คิซากะได้มา

    ให้ตาย...วันนี้มันมีแต่เรื่องบ้าอะไรกันนะเนี่ย...

    + + + + + +

    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเฝ้ามองหญิงสาวร่างบางเหม่อมองผืนฟ้าสีหมึกรายล้อมด้วยดวงดาวประกายแสงเบื้องบนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เรือนผมสีชมพูหวานถูกสายลมยามค่ำคืนพัดให้ปลิวไสวน้อยๆ ระหว่างกำลังฮัมเพลงด้วยเสียงกังวานใสพร้อมรอยยิ้มงดงามระบายฉายอยู่บนใบหน้า
    คิระผ่อนลมหายใจน้อยๆ ก่อนจะเอนตัวพิงกำแพง พยายามจะซ่อนตัวไม่ให้เธอเห็น เขารู้ดีว่าเวลานี้มันไม่ค่อยจะเหมาะนักแต่ถ้าเขาไม่ทำในวันนี้ เขาคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

    หลังจากสูดลมหายใจเตรียมความพร้อมเต็มปอด ร่างสูงก็ค่อยๆ สาวเท้าจากที่ซ่อนตัวเดินตรงไปยังไอดอลสาวด้วยฝีเท้ามั่นคง แต่ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าถึงเธอ หญิงสาวก็หันหน้ามาทักเสียแล้ว

    “นี่ก็ดึกแล้วนะคะ คุณยามาโตะ ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะคะ?” เสียงกังวานใสที่ทักมาเรียกรอยยิ้มบางให้ปรากฏอยู่บนใบหน้าคนฟัง หัวใจราวกับถูกบีบทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอ

    “คุณเองก็สมควรนอนได้แล้วนะครับ คุณไคลน์” คำย้อนที่เรียกเสียงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี

    “ฉันยังไม่ง่วงน่ะค่ะ แล้วคุณละคะคิระ?”

    รู้สึกราวกับร่างกายทั้งร่างกำลังลอยสูง ความปิติเต็มเปี่ยมล้นอยู่ในอก เธอเรียกชื่อเขา...และเขาก็รักเสียงอันอ่อนโยนของเธอที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากได้รูปสีชมพูนั่นเหลือเกิน

    “ก...ก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ ล...ลักซ์” ในที่สุดก็เรียกชื่อเธอออกไปได้เสียที

    นักร้องสาวผมสีชมพูขยับยิ้มหวาน ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหาเขา พลางยกมือขาวเนียนปัดเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ลงมาระใบหน้าและดวงตาสีม่วงรัตนชาตินั่นออกไป

    และคิระรู้ดีว่าช่วงจังหวะนี้แหละเหมาะที่สุด

    “ลักซ์...ช่วยอะไรผมหน่อยได้มั้ย...” คำขอที่คนถูกขอได้แต่เอียงศีรษะถาม

    “เรื่องอะไรเหรอคะ คิระ?”

    “คือ...ช่วย...เอ่อ” ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะกลืนความกังวลที่จุกอยู่ในคอลงไป “คือวันพรุ่งนี้ ช่วยไปงานเลี้ยงกับผมจะได้มั้ย??”

    สำเร็จ! พูดออกไปจนได้!


    นัยน์ตาสีฟ้าใสเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างคิดไม่ถึง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างงุนงง

    “แต่...ทำไมล่ะคะ?”

    คิระรู้ดีว่าเธอคงไม่สามารถเข้าใจเหตุผลของเขาได้ พยายามใช้สมองขบคิดข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นที่สุด และก็โพล่งออกไป

    “อ่า...คือว่านะ...ผมก็แค่อยากให้อัสรันเขาไปด้วยกันกับคางาริน่ะ!”

    โอ้...แถได้ยอดเยี่ยม! นายนี่มันอัจฉริยะจริงๆ!!

    ทว่าใบหน้าสวยก็ยังไม่คลายความสงสัย หญิงสาวยังคงจ้องหน้าเขานิ่ง บีบให้เขาพูดต่อโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ

    “คือแบบว่า...คุณก็รู้นี่นา ถ้าหากพวกเขาได้อยู่ด้วยกัน จะได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้นไง! ใช่ๆ คุณก็รู้ว่าอัสรันเขามีปัญหากับพวกเนเชอรัลใช่มั้ยล่ะ!”

    ลักซ์เพ่งมองเขาอยู่สักครู่หนึ่ง พลางกลอกนัยน์ตาคู่สวยไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยตอบเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม

    “นั่นสินะคะ....วิเศษไปเลยค่ะคิระ! คุณนี่อัฉริยะจริงๆ! ได้เลยค่ะ แล้วฉันจะไปกับคุณเอง รับรองค่ะว่าอัสรันจะต้องเข้าใจแน่ๆ”

    ท่าทางที่ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มอย่างโล่งใจ...ในที่สุดแผนขั้นที่หนึ่งของเขาก็สำเร็จแล้ว...

    -------------------------To Be Continued...

    สังเกตได้ว่าภาษาที่ใช้ชาวบ้านขึ้นทุกที = =" ถ้อยคำบรรยายสวยหรูถูกดูดกลืนไปหมดแล้ว ฮ่าฮ่า!!

    แย่แล้วนะเนี่ยเรา ไม่ได้ปรูฟคำผิดเลยค่ะ

    ขอโทษนะคะที่อัพช้า แล้วจะแว่บมาอัพต่อก่อนปีใหม่นะ ^^""
  18. ShadowKung

    ShadowKung New Member

    EXP:
    58
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    เท่าที่อ่านๆ ดูก็โอเคนี่นา (อ่านเผินๆ)

    รู้สึกเหมือนคางะหลายใจ 5555555555
  19. windbell

    windbell New Member

    EXP:
    16
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    อันนี้คุมิโกะ เอาของเก่ามาลงหรือเปลี่นหรืแก้ใหม่งับ
    ปล. จำไม่ได้ด้วยว่าของเก่าจบที่ตรงไหน - -"
  20. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    ^
    อัพตอนใหม่ไปตรงเรฟล่าสุดจ้า Chapter12 ค๊าบ ^w^,,
  21. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    ลักซ์ช่างขี้สงสัยจริงๆ เลยนะเนี่ย
    แต่พี่เทพเราสุดยอดอยู่แล้ว*-*b
  22. elementer

    elementer New Member

    EXP:
    15
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    ว้าว รอมานาน แปลสำนวนได้ดีจริงๆ
    พี่เทพเราสุดยอด แต่อัธรันจะทำยังไงเนี่ย
  23. aunna

    aunna New Member

    EXP:
    18
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    /me อ่านรวด (เพราะลืมไปหมดล่ะ เวอร์ชั่นไทย โฮะๆ...)

    KKJ เรอะ เอาสิ โฮะๆ อ่านแน่ๆ คุมิจัง ว่าแต่...

    จะมีเวลาแปลเรอะ? (แล้วเรื่องนี้ล่ะ?)

    รออ่านอยู่นะคับ (อ่านแต่ฟิค หนังสือหนังหาอ่านสอบโอเน็ตเอเน็ตไม่อ่าน.. อาทิตย์หน้ากลางภาคแล้วนี่หว่า กร๊ากก)

    /me หัวเราะหลอนๆ แล้วจากไป
  24. bellx16

    bellx16 New Member

    EXP:
    8
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    พี่คุมิโกะคร๊าบๆๆๆ แปลได้ยอดเยี่ยมมากเลยครับ
    ช่วงตอนที่พี่เทพของเรานัดลักซ์ คิดจะพลากลักซ์ออกจากเจ้าเผาหรือนี้
    ชอบสุดๆเลย สำนวนดีเยี่ยมเลยครับ ซึ้งเลย ยังไงก็ช่วงมาต่อหน่อยน่ะครับ
    บังเอิญว่าอ่านแบบอังกฤษไปไม่รอดครับ รบกวนช่วยแปลแล้วนำมาลงต่อด้วยน่ะครับ
  25. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [G-Seed Fiction แปล] Princess' Sonata (*ลงตอนใหม่แล้วนะ*)

    Chapter 13 – หลากเรื่องไม่คาดฝันในวันเดียว


    “เอ้า! สดชื่นกันหน่อยเร้ว!”


    เช้านี้ก็เป็นเช้าปกติธรรมดาอีกวันหนึ่งที่คางาริ ยูละ อัสฮาดูจะกระตือรือร้นและเปี่ยมไปด้วยพลังที่พร้อมจะทำลายบรรยากาศเงียบสงบยามรุ่งอรุณของอพาร์ตเม้นต์เล็กๆ หลังนี้ได้อย่างง่ายดายเหมือนเคย


    แถมวันนี้ดูท่าจะหนักข้อกว่าทุกวันเสียด้วย...นัยน์ตาคมกริบของบอดี้การ์ดหนุ่มได้แต่กลอกขึ้นลงมองตามนายเหนือหัวที่กำลังสนุกกับการกระโดดหยองแหยงเป็นโซฟาตัวโปรด ปากก็ตะโกนแต่คำเดิมๆ ว่า ‘ไปหาอะไรสนุกๆ ทำกันเถอะ!’ ก่อนจะลอบถอนใจเฮือก


    ความจริงนี่ถือเป็นเรื่องค่อนข้างปกติทีเดียว...ปกติมากๆ สำหรับคนที่เฝ้าเลี้ยงดูเจ้าหญิงผมทองตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้


    ผิดกับใครบางคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ อัฟเหม็ดถึงกับหน้าถอดสี เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผม รู้สึกราวกับหัวใจจะวาย ขณะมองตามกิจวัตรยามเช้าของนายเหนือหัวมากว่า 10 นาทีด้วยความเป็นห่วงเกินบรรยาย!


    “นี่ๆ วันนี้เราไปพิพิธภัณฑ์กันเถอะนะ อัฟเหม็ด! รับรองเลยว่านายต้องชอบแน่ๆ” ไม่พูดเปล่าแม่เจ้าประคุณยังกระโดดสูงขึ้นๆ เสียจนคนมองใจหายวาบ แถมมือสองข้างที่ควรจะใช้ถ่วงดุลกลับนับนิ้วกิจกรรมที่อยากทำไปเรื่อยอย่างอารมณ์ดีอีกต่างหาก!


    “คางาริ~~!!!!! เดี๋ยวเธอก็ลื่นล้มเอาหรอก อ๊าก~! ระวังหน่อยสิ! เหวอ! เกือบจะตกอยู่แล้วนะ ว๊ากกกกกกก!” ดูท่าทางชายหนุ่มผิวแทนคนนี้จะออกอาการวิตกจริตเสียยิ่งกว่าแม่หวงลูกเสียอีก แต่ปกติอัฟเหม็ดก็ค่อนข้างจะใส่ใจเธอมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว


    หลังจากปล่อยให้ตัวเองหวิดหัวใจจะวายมาสองสามรอบ ในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งข้าวผัดที่ทำอยู่วิ่งแจ้นมาห้ามยัยคนไม่รู้จักโตทันควัน


    “ต่อจากนั้นก็ไปนั่งกินไอศกรีมที่สวน แล้วค่อยไปกินเค้กกันนะ! อ่อๆ แล้วก็...”


    “เหวอ! คางาริ ระวังหน่อยซี่~~!”


    ภาพที่คิซากะมองแล้วได้แต่ส่ายหัว ก่อนร่างใหญ่จะเดินตรงไปในครัว ผัดข้าวผัดต่ออย่างใจเย็น...


    “อัฟเหม็ด คางาริ อาหารเช้าเสร็จแล้ว”


    “แล้วไปทะเลกันต่อนะ! ได้ยินว่าสวยม๊ากกกกมากล่ะ!”


    “อ๊ากกกกกกกกก! ระวัง!!!”


    ติ๊ง-ต่อง...


    เสียงกริ่งประตูที่ดังขึ้นทำเอาทุกอย่างหยุดลงโดยฉับพลัน! ก่อนนัยน์ตาสามคู่ตวัดไปมองที่ประตูด้วยความสงสัยพร้อมกัน


    นี่ยังไม่สิบโมงเลยแท้ๆ ...ใครมันจะบ้าโผล่หัวมาเวลานี้กัน?


    คิซากะเป็นคนเดินออกไปเปิดประตู บอดี้การ์ดหนุ่มเอื้อมมือจับลูกบิดด้วยความระมัดระวัง จังหวะเดียวกันกับที่อัฟเหม็ดคว้าร่างบางหลบให้ไปอยู่ข้างหลังด้วยความรวดเร็ว


    “นี่...มีอะไรเหรอ!?”


    แล้วประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างที่ทำให้คนกำลังมีความสุขเมื่อครู่ยิ้มเจื่อนในบัดดล


    “นาย.......!!” หญิงสาวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู วันนี้ประธานหนุ่มอยู่ในชุดไปรเวทดูสบายๆ ผิดกับสูทสีขรึมเหมือนทุกที


    ทันทีที่เห็นหน้าแขกไม่ได้รับเชิญ คางาริก็ผลักร่างผู้หวังดีตรงหน้าไปให้พ้นทาง ก่อนร่างบางสาวเท้าเดินตรงไปยังประตู แล้วยกมือเท้าเอวใส่อย่างคนหงุดหงิดเต็มแก่


    “นาย...มีธุระอะไรมิทราบ!”


    คิซากะได้แต่จ้องมองร่างของผู้มาเยือนด้วยสีหน้ารีบเฉย เขารู้ดีทีเดียวว่าชายหนุ่มคนนี้คือประธานอัสรัน ซาล่าแห่ง ZAFT… ถึงกระนั้นเขานึกเหตุผลในการมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ไม่ออกจริงๆ ด้วยเหตุนี้ชายร่างใหญ่จึงได้แต่เพ่งมองบุรุษตรงหน้าด้วยความสงสัย ก่อนมือกร้านจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง...กระชับมีดพกในมือไว้แน่น...


    ส่วนอัฟเหม็ดได้แต่กำหมัดเตรียมพร้อม เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าไอ้หนุ่มหน้าจืดตรงหน้านี่เป็นใคร แต่ที่แน่ๆ คือเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของคางาริ!


    “อรุณสวัสดิ์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ ก่อนจะตามด้วยการพยักหน้าทำความเคารพพอเป็นพิธี สร้างความแปลกใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย


    “ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ขอฉันคุยธุระส่วนตัวกับคุณยูละหน่อยได้มั้ย”


    คำกล่าวที่ถ้าหากทำได้ อัฟเหม็ดแทบอยากจะคว้าตัวคางาริออกมาขังไว้ในห้อง แล้วสะสางธุระกับเจ้าหมอนี่ตัวต่อตัวให้รู้เรื่องกันไปข้าง!


    ...แต่ก็อย่างว่า...เขาทำอย่างนั้นได้เสียทีไหนล่ะ…


    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกระแทกเสียงถาม “ต้องการอะไร?”


    คำกล่าวห้วนเรียกสายตาคบกริบให้เบือนมาสบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ไปคุยในที่เงียบกว่านี้ดีกว่า”


    คงเป็นเพราะการปรากฏตัวโดยไม่บอกกล่าวตั้งแต่เช้าซึ่งผิดวิสัยทั่วไปของเจ้านายทำให้เธอกล้าที่จะตอบรับคำชวนนั้นโดยไม่ลังเล


    “ก็เอาสิ”


    “คางาริ!” อัฟเหม็ดร้องเสียงหลงขณะสาวเท้ามายืนข้างเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง ทันทีที่ภาพเด็กหนุ่มร่างเล็กวาบเข้ามาในคลองจักษุ นัยน์ตาสีเขียวมรกตก็หรี่แคบลงทันที


    ...แน่นอน เขาจำเจ้าเด็กนี่ได้ หมอนี่คือผู้ชายที่ช่วยยูละไว้ในคืนนั้น...


    ดวงตาแข็งกร้าวเบือนมาสบตาชายหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มอย่างหงุดหงิด


    “นายจะบอกธุระอะไรนั่นที่นี่ไม่ได้รึไง?”


    ประธานหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ


    “เกรงว่าจะเกี่ยวกับงานนะ” คำตอบที่คางาริเชิดหน้ารับ “ก็ได้” พูดสั้นก่อนหมุนตัวกลับไปพูดทิ้งท้ายกับชายหนุ่มทั้งสองคนเบื้องหลัง


    “เดี๋ยวฉันจัดการเอง” พูดจบมือเรียวก็คว้าคอเสื้อชายตรงหน้าและลากร่างสูงออกไปข้างนอกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานเบื้องหลังเลยแม้สักนิด


    หลังจากเดินมาได้สักพัก ร่างเพรียวก็ตัดสินใจหมุนตัวกลับไปจ้องหน้าคู่สนทนาหมายจะคุยให้รู้เรื่อง แต่เมื่อพบกับใบหน้าเรียบเฉยของคนขี้เก๊กเข้า อารมณ์หงุดหงิดมันก็ขึ้นพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่


    “อะไรยะ!” เสียงแหลมวีนขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่าทางคงเป็นเรื่องสำคัญมากล่ะสิ ทำให้นายถึงกับยอมถ่อมาถึงอพาร์ตเม้นต์โทรมๆ ของเนเชอรัลได้” คำพูดแดกดันที่เรียกที่แค่เสียงถอนหายใจ


    “ก็ใช่ แต่ไปคุยกันดีๆ ที่คอฟฟี่ช็อปตรงโน้นดีกว่า” โดยไม่รอคำตอบ มือใหญ่ก็คว้าข้อมือเล็กกึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวให้เดินตามไป ไม่สนใจเสียงโวยวายที่ดังตามมาเลยแม้แต่น้อย


    + + + + + +


    “คิซากะ! นายไม่ห่วงคางาริรึไง!” แน่นอนว่าเป็นเสียงชายหนุ่มผิวแทนที่โวยวาย ขณะเจ้าตัวได้แต่เดินวนไปวนมารอบห้องด้วยอาการเดียวกับคนแก่กว่าอีกคนเมื่อคืนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน


    เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกันที่ระหว่างคนหนึ่งกำลังกลุ้มใจแทบคลั่ง อีกคนหนึ่งกลับนั่งจิบกาแฟหน้าตาเฉย


    “คางาริไม่เป็นไรหรอกน่า” คำตอบทำให้อัฟเหม็ดหยุดเดิน และหันหน้ามามองหน้าทันที


    “ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? มันจะไม่เป็นไรได้ไงเล่า! เธออยู่กับไอ้ประธานสุดเหี้ยมของ Plants นะ!”


    ท่าทางโวยวายที่ชายหนุ่มร่างยักษ์ได้แต่ถอนใจเฮือก ก่อนยืนยันอีกครั้ง “เธอไม่เป็นไรหรอกน่า...”


    “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ!”


    คำกล่าวที่บอดี้การ์ดหนุ่มเผลอตัวกระชับหมัดครู่หนึ่ง ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยตอบช้าๆ ทว่าหนักแน่น “เพราะฉันอยากจะเชื่อว่า ถ้าคางาริบอกว่าเธอจัดการได้ เธอก็ทำได้น่ะสิ”


    คำกล่าวที่ทำเอาคนหงุดหงิดแทบคลั่งเมื่อครู่ถึงกับยอมถอดใจแต่โดยดี


    “…ขอโทษด้วยที่ฉันโวยวายมากไป” พูดจบร่างสมส่วนก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนฉีกยิ้มน้อยๆ ให้กับผู้อาวุโสกว่า


    “นายนี่ละเอียดอ่อนดีจังนะ คิซากะ” คำสรุปที่ได้รางวัลเป็นมะเหงกงามๆ ที่ร่อนลงกลางหัว ก่อนสะบัดหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าในมือบังหน้าแล้วตวาดกลับเสียงเข้ม


    “หุบปาก…!”


    + + + + + +


    “นี่นายรู้ตัวรึเปล่าเนี่ยว่าลากฉันออกมาทั้งชุดนอนน่ะ” หญิงสาวผมบลอนด์เอ่ยอย่างหงุดหงิดเมื่อถูกบังคับให้ทรุดตัวนั่งลงในคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ห่างจากอพาร์ตเม้นต์ของเธอออกไปไม่เท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ร้านหรูเลิศอะไรมากนัก แต่การออกจากบ้านมานั่งคุยในสถานที่แบบนี้โดยที่ยังใส่ชุดนอนสีเขียวเข้ม กับรองเท้าแตะสลิปเปอร์คู่โปรด ทั้งผมเผ้าก็ยังกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงเข้าอย่างนี้ก็ทำให้เธอช่างรู้สึก...โดดเด่นซะจริงๆ...


    ทว่าน่าแปลกที่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากบุรุษที่นั่งฝั่งตรงข้าม จะว่าไปคางาริก็สังเกตเห็นว่าเขานิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จามาสักพักหนึ่งแล้ว


    เหมือนกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจอย่างนั้นแหละ...


    แล้วความคิดนั้นก็ต้องหลุดลอยหายไปเมื่อพนักงานเสิร์ฟนำกาแฟสองถ้วยกับคุกกี้เนยมาเสิร์ฟที่ ชายคนนั้นโค้งคำนับให้อย่างสุภาพหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินจากไป


    อัสรันใช้มือดันแว่นกันแดดสีดำที่ตนชอบใช้พรางตัวให้เข้าที่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ


    “ฉันอยากให้เธอไปงานเลี้ยงคืนนี้กับฉัน” คำขอหน้าตาเฉยที่ทำเอาเธอแทบสำลักคาปูชิโน่ในมือดังพรวด!


    “อ...อะไรนะ!?”


    ปฏิกิริยาตอบรับไม่ได้อยู่นอกเหนือจากที่คาดไว้ คิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยักไหล่วืดก่อนจะเล่าเหตุการณ์เมื่อเช้าให้ฟัง

    .

    .

    .

    -ย้อนความ-


    “ฉันไม่ไปกับคุณหรอกนะคะ อัสรัน”


    คำกล่าวสั้นสร้างความสงสัยให้ปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดตรึงแน่น น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ


    “แต่...ทำไมล่ะ...?”


    น่าแปลกเหมือนกันที่หญิงสาวตรงหน้าเลือกที่จะหลบสายตาเขาออกไปครู่หนึ่ง ใบหน้าสวยเรียบเฉยปรากฏสีหน้าที่เขาอ่านไม่ออก ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าใสจะตวัดกลับมามองอีกครั้งพร้อมกับคลี่รอยยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน


    “ฉันอยากให้คุณไปงานเลี้ยงกับคางาริน่ะค่ะ”


    คำตอบที่ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินถึงกับเลิกคิ้วสูง


    “ยัยเนเชอรัลนั่นน่ะนะ?” รอยยิ้มบางหดหายไป ลักซ์ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดนั้นน้อยๆ อย่างอ่อนใจ


    “อัสรัน ถึงเธอจะเป็นเนเชอรัล แต่คุณก็ไม่ควรจะเรียกเธออย่างนั้นนะคะ...ยังไงซะเธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง” กล่าวอธิบายพลางกุมมือชายหนุ่มตรงหน้าไว้แน่น


    “ฉันอยากให้คุณรู้จักเธอมากกว่านี้ค่ะ”


    นัยน์ตาสีมรกตอ่อนแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงนุ่มนวล


    “แต่คุณไม่เป็นจะต้องทำขนาดนี้เลยนี่ลักซ์...คุณเป็นคู่หมั้นผมนะ...”


    เป็นเพราะแสงแดดรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ แต่อัสรันสังเกตเห็นว่านัยน์ตาคู่สวยตรงหน้าฉายประกายวูบไหวประหลาดชั่วครู่ ก่อนจะมลายหายไปในชั่วพริบตา


    “เรื่องนั้นมันแน่นอนค่ะ เพียงแต่ฉันคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าคุณจะไปงานเลี้ยงระหว่างโคออดิเนเตอร์กับเนเชอรัลนั่นกับคางาริ ความสัมพันธ์ของพวกเราจะได้แน่นแฟ้นขึ้นยังไงล่ะคะ”


    แม้จะอธิบายชัดเจน ทว่าบุรุษตรงหน้าก็ยังนิ่งเงียบด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับเหมือนเดิม


    รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นอีกครั้งบนดวงหน้างดงามของไอดอลสาวผมสีชมพู ก่อนเสียงกังวานใสจะเอ่ยกำชับอีกครั้ง “ฉันเองก็จะอยู่ที่นั่นด้วยนะคะ”


    นัยน์ตาสีเขียวรัตนชาติหรี่ลงชั่วครู่ ก่อนจะตวัดไปมองร่างไกลๆ ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับเหล่าเด็กกำพร้าสามสี่คนด้วยสีหน้าสดใส

    “คุณจะไปกับคิระสินะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยสรุปอย่างเรียบๆ


    “คงจะไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ” ลักซ์ตอบสั้น ก่อนจะทอดสายตามองไปยังทิศทางเดียวกัน


    คำถามที่อัสรันลังเลชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตกลง เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อลักซ์ตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว...ต่อให้เขาพยายามแค่ไหนก็คงเปลี่ยนความตั้งใจของเธอไม่ได้ง่ายๆ...


    เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจรอยยิ้มสวยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวเนียนอีกครั้ง “คางาริเป็นคนน่ารักมากค่ะ คงไม่มีอะไรน่าห่วง”


    ท่าทางสบายใจที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกร้อนราวกับมีอะไรบางอย่างสุมอยู่ในอก รบกวนให้จิตใจเขารู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติและตัดสินใจไล่มันออกไป


    “ก็คงงั้นมั้ง...”


    ลักซ์พยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยกำชับอีกครั้ง “ฉันว่าคุณควรจะบอกคางาริเรื่องงานเลี้ยงให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าค่ะ หวังว่าเธอคงจะตอบตกลงนะคะ”


    อัสรันผงกศีรษะอย่างเข้าใจอีกขึ้น ขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นยืนพลางจัดเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทให้เข้าที่ “งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน” ทันทีที่พูดจบชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินจากไปยังประตูโดยมีคู่หมั้นสาวและเพื่อนหนุ่มเดินออกไปส่ง


    “แล้วเจอกันนะคะ อัสรัน” หญิงสาวกระซิบบอก ก่อนโน้มตัวจุมพิตบนแก้มซ้ายของคู่หมั้นเบาๆ จังหวะพอดีกับตอนที่อัสรันตวัดสายตาไปยังคิระที่เลือกจะหลุบตามองไปทางอื่นทันที ท่าทางแปลกๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงด้วยความเคลือบแคลง


    “มีอะไรรึเปล่า คิระ?” เสียงเรียกสติคนถูกเรียกชื่อให้กะพริบตาปริบๆ สองสามครั้ง ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ


    “ป...เปล่าสักหน่อย ไม่มีอะไรหรอกน่า...” คิระตอบกลั้วหัวเราะ พยายามกลบเกลื่อนเต็มกำลังเมื่อเห็นสายตาไม่ไว้วางใจอย่างยิ่งที่เพื่อนรักส่งมาให้


    อีกครั้งที่อัสรันเลือกที่จะพยักหน้าทั้งที่ยังวุ่นวายใจ มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ เพียงแต่ตอนนี้เขายังเดาไม่ออกเลยสักนิดว่ามันคืออะไร...แต่ยังไงซะตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องจัดการ ไม่สิ...อีกคนที่จะต้องไปพูดด้วยให้รู้เรื่องมากกว่า...


    เมื่อคิดสะระตะเสร็จร่างสูงก็หมุนตัวสาวเท้าเดินตรงไปยังรถยนต์คันเดิม ก่อนจะสตาร์ทเครื่องขับออกไปด้วยอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้สายลมเย็นๆ ยามเช้าพัดไล้ใบหน้าและเรือนผมเบาๆ


    —จบการย้อนความ—

    .

    .

    .


    “นี่มันบ้าชัดๆ” นั่นเป็นประโยคเดียวที่หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปขององค์หญิงผมทองที่รู้สึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายเสียเดี๋ยวนั้น


    ให้ตาย เธอล่ะเบื่อคำพูดนี้จริงๆ เลย ตลอด 12 ชั่วโมงก่อนหน้าเธอได้แต่พร่ำบ่นคำนี้มาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ...?


    สงสัยต้องหัดอุทานคำอื่นบ้างได้แล้วล่ะมั้ง....



    ท่าทางที่เรียกคิ้วเข้มๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้เลิกขึ้นช้าๆ ขณะวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ “คิดว่างั้นเหรอ?”


    สาวเจ้าก็ยังคงลอยหน้าลอยตาต่อไป ก่อนมือเรียวสวยจะคว้าเอาขนมตรงหน้าโยนเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ อย่างไม่ใส่ใจสายตาใครบางคนที่มองดูอย่างตะลึงเล็กๆ เลยสักนิด


    “นี่นายคิดว่าฉันจะตอบตกลงข้อเสนอบ้าๆ นั่นรึยังไง? ประสาทรึเปล่า?” พูดพลางประหวัดนึกไปถึงอีตายูน่ากับยัยมีอาร์...รับรองว่ามีโอกาสถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์ที่จะเห็นพวกงี่เง่าสองคนนั่นโผล่หัวร่อนไปร่อนมาอยู่ในงาน...แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอีกหนล่ะ? เฮอะ จะว่าไปชีวิตเธอมันก็เสี่ยงตั้งแต่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่แต่แรกแล้ว...


    รอยยิ้มหยันปรากฏฉายบนใบหน้าคมคายอีกระลอก ก่อนน้ำเสียงเย็นเยียบจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน


    “ก็คิดว่าคงไม่ง่าย...แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว” คำกล่าวที่เธอได้แต่ยิ้มเยาะกลับไป


    “ฮ่ออ.. นายนี่กลัวว่าที่ภรรยาซะเหลือเกินนะ น่าสงสารจัง”


    แต่จะว่าไปก็โทษหมอนี่ไม่ได้หรอกนะ...ก็ลักซ์น่ะต่อกรด้วยยากจะตายไป...


    คำสรุปที่ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง “ก็คงอย่างนั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะฉันเชื่อใจลักซ์หรอกนะ”


    คำกล่าวเรียบที่ทำเอาคนฟังถึงกับชะงักเล็กน้อย


    เขา...เชื่อใจเธออย่างนั้นเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย หมอนี่เคยไว้ใจใครจริงๆ เหรอเนี่ย? ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอคิดเสมอว่าการที่อัสรันยอมไปไหนมาไหนกับลักซ์ก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเธอก็แค่นั้นเอง...


    ในที่สุดร่างสูงก็ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ คว้ากระเป๋าเงินหยิบธนบัตรสองสามใบออกมาวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนมือใหญ่จะฉวยข้อมือเล็กของคนตรงข้ามแล้วเดินนำออกมาจากร้านกาแฟ


    “นี่! นายคิดจะพาฉันไปไหนเนี่ย!” เสียงวีนแหลมแสบหูยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ร่างบางจะทั้งบิดทั้งดึงหมายจะให้คนตรงหน้าปล่อยมือจากเธอเสียที และแน่นอนว่า...มันไม่สำเร็จ


    ชายหนุ่มพาหญิงสาวมาจนถึงรถยนต์สีแดงราคาแพงลิบของเจ้าตัว ก่อนจะเปิดประตูแล้วโยนคนตัวเล็กกว่าเข้าไปข้างในเหมือนที่เคยทำมาแล้วที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายได้รูป ก่อนน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจจะเอ่ยตอบตบท้าย


    “ก็จะพาไปแต่งตัวยังไงล่ะ”


    + + + + + +


    “พระเจ้าช่วย...” คำอุทานที่หญิงสาวพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่อ้าปากค้างให้ขากรรไกรหล่นยาวลงไปถึงพื้น นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างด้วยความตระหนกอย่างสุดขีด เมื่อจู่ๆ พอรู้สึกตัวอีกทีเธอก็ถูกโยนเข้ามาในแหล่งชอบปิ้งสุดไฮโซเข้าเสียแล้ว! แถมสองฟากฝั่งยังเต็มไปด้วยเสื้อผ้าผู้หญิงอีกต่างหาก!!


    ชุดราตรีหลากหลายเฉดสีและต่างไซส์ตั้งแต่สั้นกระจิดริดยันยาวกรอมพื้นขนาดใช้แทนพรมเช็ดเท้าได้กำลังเรียงรายล้อมรอบตัวเธอเต็มไปหมด!! ครั้นพอสอดส่องหาช่องทางที่จะหนี ก็ดันถูกคนรู้มากตรงหน้ากระชับข้อมือแน่นขึ้นไปอีกต่างหาก!


    มันกรรมเวรอะไรของฉันวะเนี่ย!


    “บางทีวันนี้เธออาจจะดูเหมือนผู้หญิงขึ้นมาบ้างก็ได้นะ” น้ำเสียงกวนโมโหเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกสายตาอำมหิตจากคนข้างตัวได้ชะงัดนัก


    “พา-ชั้น-ออก-ไป-เดี๋ยว-นี้!” คำสั่งกร้าวดังขึ้นอย่างไม่สนใจว่าใครเป็นเจ้านาย ด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่นกว่าที่เคย


    “ไม่” คำตอบสั้นชัดเจนทำเอาอารมณ์กรุ่นเมื่อครู่ที่สุมอยู่ในอกปะทุขึ้นโดยฉับพลัน


    “อ๊ากกกกกกกก พาฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้นะ! บ้าชิบ!!” โวยวายเสร็จแม่เจ้าประคุณก็ออกอาการชักดิ้นชักงอสุดแรงเกิด และเมื่อมันไม่ขยับก็เริ่มมาตรการทำร้ายร่างกายคนไม่ยอมปล่อยแทน “ให้ตายสิ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเรอะ!” เนื่องจากเสียงเอ็ดตะโรชักเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนฟังชักจะปวดขมับตึ๊บๆ สุดท้ายก็เลยต้องรวบมือของแม่คนฤทธิ์มากไพล่หลังไว้ทั้งสองข้างกันอาการดิ้น เลยทำให้ปากที่ยังว่างอยู่ออกอาการวีนหนักขึ้นกว่าเก่า


    “อ๊าก! ทำบ้าอะไรของนายน่ะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!!”


    “เอ่อ...มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ?” เสียงอ่อนหวานของสาวน้อยคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนร่างเล็กบางในชุดสีฟ้าอ่อนจะโผล่ออกมาจากกองเสื้อผ้าขนาดมหึมาเบื้องหน้า เรือนผมสีบลอนด์ทองหยักเป็นลอนน้อยๆ เข้ากันได้ดีกับนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส เด็กสาวขยับรอยยิ้มทักทายบุคคลทั้งคู่อย่างเป็นมิตร


    “อ่า นิดหน่อยน่ะ” อัสรันกล่าวตอบขณะพยายามจัดการปิดปากแม่สาววีนแตกคนข้างๆ อย่างสุดความสามารถ เรียกเสียงหัวเราะแหะๆ จากผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างดี


    “คุณอยากให้ฉันช่วยแต่งตัวให้ผู้หญิงคนนี้ใช่มั้ยคะ?” เด็กสาวเอ่ยถามอย่างรู้ทัน


    “ไม่!” ชั่ววินาทีที่สะบัดมือบุรุษตรงหน้าออก แม่เจ้าประคุณก็ปฏิเสธเสียงลั่นทันที แต่ก็เพียงไม่นาน มือใหญ่ก็ถูกยกขึ้นปิดปากใหม่ด้วยความรวดเร็ว


    “แน่นอนครับ” เสียงประธานสภาหนุ่มเอ่ยแก้ต่างด้วยความไวแสง “ยังไงผมก็ขอรบกวนด้วยนะครับ คุณลูซิเอ้”


    เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าลูซิเอ้พยักหน้ารับ ก่อนจะทอดสายตาพิจารณาร่างบางในอ้อมแขนชายตรงหน้าที่ยังอยู่ในชุดนอนด้วยรอยยิ้มขัน แล้วค่อยเอ่ยกำชับกับบุรุษตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม


    “เดี๋ยวดิฉันจะจัดการที่เหลือให้เองค่ะ ท่านประธานซาล่า แล้วมารับเธอตอนสี่โมงเย็นนะคะ”


    เวลานัดที่อัสรันได้แต่กะพริบตาปริบๆ “หลังจากนี้...ตั้ง 6 ชั่วโมงเนี่ยนะ?”


    ลูซิเอ้พยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าหนักใจ “เพราะดิฉันคิดว่าพวกเราคงจะเหนื่อยน่าดูกว่าจะจับเจ้าหล่อนใส่ชุดได้น่ะค่ะ”


    คำตอบที่เขาได้แต่ยักไหล่ “ก็...ตามสบาย” พูดจบร่างสูงก็ปล่อยหญิงสาวตรงหน้าให้เป็นอิสระ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มกวนโมโหเหมือนทุกครั้ง


    “หวังว่าเธอคงจะไม่สร้างปัญหาให้ทางนี้มากนักนะ ยูละ” นัยน์ตาสีอำพันตวัดกลับไปมองบุคคลข้างๆ ด้วยสายตาปานจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนยกมือสองข้างขึ้นกอดอก ประกาศเสียงกร้าวอย่างไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น


    “ฉันจะไม่มีวันใส่ชุดราตรีบ้าๆ นั่นหรอก! หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม!!” ถ้อยคำกล่าวชัดที่เรียกคิ้วหนาให้กระตุกเลิกขึ้นอีกครั้งอย่างอวดดี


    “นี่เธอลืมไปแล้วรึเปล่าว่านี่ก็เป็นงานอย่างหนึ่งนะ คุณยูละ ดิ้นรนไปก็เท่านั้นแหละน่า”


    “ฉันก็เคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ใช่ทาสรับใช้นายน่ะ!” นัยน์ตาสีน้ำผึ้งตวัดขึ้นสบตาครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจตะโกนสิ่งที่คิดในใจออกไป


    “นี่! ทำไมนายไม่คิดจะพายัยมีอาร์อะไรนั่นไปแทนล่ะ!”


    คำพูดที่ทำเอาโคออดิเนเตอร์หนุ่มชะงักกึก ก่อนร่างสูงจะหมุนตัวกลับมามองหน้าคนพูดจาไม่คิดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทว่าแทนที่จะตอบโต้ชายร่างสูงกลับเบือนหน้าไปหาสาวน้อยลูซิเอ้ที่กำลังลอบมองหญิงสาวอีกคนอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะกุมมือทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างใช้ความคิด


    “แล้วผมจะมารับเธอทีหลัง ฝากที่เหลือด้วยนะคุณลูซิเอ้” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นทำเอาหญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงักแทบจะทันที


    กล่าวฝากฝังเสร็จเรียบร้อย สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นแม่คุณเจ้าปัญหาที่กำลังจะย่องออกทางประตูเข้าพอดิบพอดี ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เพียงสาวเท้าแค่สองสามก้าว มือใหญ่ก็สามารถคว้าคอเสื้อของเด็กไม่รู้จักโตตรงหน้าได้ ก่อนจะจัดการโยนร่างเพรียวลมนั่นไปหาหญิงผมทองอีกคนด้วยความรวดเร็ว


    “อ๊ากก! ตาบ้า! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! ให้ตายเซะ!!” แน่นอนว่าเจ้าหล่อนได้แค่การสั่นศีรษะแทนคำตอบ


    “โชคดีนะ คุณลูซิเอ้” สิ้นคำบุรุษตรงหน้าก็หมุนตัวเดินออกจากร้านไปด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ชนิดที่คางาริแทบไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น เพียงแค่นั้นองค์หญิงแห่งออร์บก็ใส่เกียร์ความเร็วสูงสุดชิ่งไปยังประตูตรงหน้าทันที


    และก็ต้องพบว่ามัน...ถูกล็อค!


    นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนร่างบอบบางจะหมุนตัวไปมองสาวน้อยอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่กลางห้อง


    “คุณลูซิเอ้! คุณต้องช่วยฉันออกไปจากที่นี่นะ!” คางาริเริ่มงัดมาตรการขอร้องที่พึ่งสุดท้ายด้วยสายตาวาดหวัง แต่ทว่าเรียกได้เพียงแค่เสียงหัวเราะคิกคักจากเจ้าหล่อนเท่านั้น


    “สเตลล่า...เรียกฉันว่าสเตลล่าเถอะค่ะ แต่ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะฉันคงปล่อยคุณออกไปไม่ได้…” พูดจบเธอก็เอียงคอน้อยๆ อย่างรอให้อีกฝ่ายแนะนำตัวกับเธอบ้าง


    “คางาริ” เธอเอ่ยตอบสั้น ก่อนจะโวยวายต่อ “ว่าแต่หมายความว่ายังไงที่ปล่อยฉันออกไปไม่ได้น่ะ! ขอร้องล่ะนะ ปล่อยฉันกลับไปเถอะ!”


    “แต่ว่าคางาริ” สเตลล่าเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “นั่นคำสั่งของท่านประธานนะคะ พวกเราก็ทำได้แค่ปฏิบัติตามเท่านั้นแหละค่ะ”


    ทันทีที่คำว่า ‘คำสั่ง’ และ ‘ท่านประธาน’ ดังผ่านหูเข้าสู่สมอง สาวน้อยผมบลอนด์ก็เริ่มมาตรการสาปแช่งคนมีศักดิ์เป็นเจ้านายทันที “บ้าชิบ ตัวเองเป็นแค่ประธานสภาแท้ๆ กะอีแค่ตำแหน่งบ้าๆ นี่…”


    คำบ่นงึมงำเป็นชุดที่สเตลล่า ลูซิเอ้ได้แต่ขยับยิ้ม


    “สบายใจเถอะค่ะ เพราะฉันจะไม่จับคุณใส่ชุดผู้หญิงหวานๆ ฟู่ฟ่องแน่นอนค่ะ”


    คำปลอบที่ทำให้คางาริรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่วายยอมแพ้ “ไม่เอานะ! ขอร้องล่ะ! ฉันไม่อยากใส่กระโปรง!”


    แทนที่จะสนใจ สเตลล่ากลับเลือกที่จะปรบมือหนึ่งครั้ง สักพักร่างสมส่วนของหญิงสาวเรือนผมสีแดงอมม่วงก็เดินออกมา ก่อนจะยอบตัวโค้งคำนับอย่างสุภาพ


    “เรียกฉันเหรอ สเตลล่า?” เด็กสาวพยักหน้า ก่อนออกคำสั่งชัดถ้อยชัดคำ


    “ฉันอยากให้เธอช่วยเตรียมอ่างอาบน้ำให้แขกของเราหน่อย ใช้เครื่องหอมที่ดีที่สุดที่เรามีเลยนะ” พูดจบก็พยักเพยิดไปที่หญิงสาวอีกคน “เธอชื่อคุณคางาริ”


    หญิงสาวผมแดงผงกศีรษะรับก่อนจะหันมาขยับยิ้มให้ “สวัสดีจ้ะ คางาริ ฉันชื่อลูน่าร์มาเรีย ฮอว์ค เรียกฉันว่าลูน่าก็ได้”


    คำทักทายที่หญิงสาวได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้


    ทั้งสองคนนี้ดูใจดีจัง ไม่เห็นเหมือนพวกนางกำนัลที่ออร์บเลย คนพวกนั้นทั้งดึงทั้งทึ้งจะจับฉันใส่ชุดกระโปรงงี่เง่านั่นให้ได้เล่นเอาซะระบมไปหมดทั้งตัว...

    นึกถึงอดีตพลางเสียวสันหลังวาบ


    ให้ตาย น่ากลัวชะมัด...สยองเสียยิ่งว่าถูกมนุษย์ต่างดาวจับไปสำรวจร่างกายเสียอีกแนะ!


    ในที่สุดลูนาร์มาเรียก็ประกบมือเข้าหากัน ก่อนจะหันหน้าไปทางสเตลล่าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง


    “เอาล่ะ! จะเริ่มกันได้รึยัง” สเตลล่าพยักหน้ารับแทบจะทันที


    ทันทีที่ร่างของสตรีสองคนเดินสาวเท้าเข้ามาใกล้ ร่างบางก็ถอยกรูดไปชนกำแพงแทบจะทันที


    “ม...ไม่นะ...! พระเจ้า ได้โปรด ช่วยฉันด้วย ม่ายยยยยยยยย~!!” ทว่าก่อนที่คนฤทธิ์มากจะหมุนตัวคว้าลูกบิดประตู ลูน่าก็จับตัวเจ้าหล่อนไว้ได้เสียก่อน


    “ซาล่า ไอ้คนเฮงซวย! ฉันสาบานว่าจะเอาคืนนายให้สาสมเลยคอยดู! ”


    -------------------------To Be Continued...


    มาอัพตอนใหม่แล้วนะคะ ที่เห็นเว้นวรรคสองบรรทัดอย่าตกใจว่าคุมิโกงนะคะ ความยาวเท่าเดิมเน้อ =[]=""

    เพียงแต่ว่าตัวหนังสือเรฟก่อนๆ ติดกันเกินไปเลยว่าวรรคเสียหน่อยดีกว่า

    ขอบคุณทุกรีพลายด์ที่ให้กำลังใจนะคะ จะพยายามเกลาสำนวนให้ดีเหมือนเดิม TWT,, แม้จะยังตะกุกตะกักอยู่ก็เถอะ (ไม่ได้เขียนฟิคมาแรมปี...ขอเวลาเคาะสนิมหน่อยเน้อ)

Share This Page