[ฟิครับสมัคร] Before & After Lives

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย swanton, 9 ธันวาคม 2007.

  1. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    บทที่ ๑ นิรยทูตหน้าเมรุ

    .....อะนิจจา วะตะ สังขารา....
    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

    ....อุปปาทะวะยะธัมมิโน....
    มีความเกิดขึ้นแล้วมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

    ....อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ.....
    ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป

    ....เตสัง วูปะสะโม สุโข....
    ความเข้าใจสงบระงับสังขารทั้งหลาย เป็นสุขอย่างยิ่งดังนี้

    ....อะนิจจา....​


    สียงพระสวดอภิธรรมศพดังขึ้น ณ เวลาหนึ่งทุ่มครึ่งของคืนแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๙ หรือก็คือเดือนสิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ ณ วัดเล็กๆแห่งหนึ่งย่านธนบุรี บอกเล่าถึงความจริงของชีวิตมนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดให้แก่ญาติโยมที่อยู่ในศาลาสวดศพและที่เดินผ่านไปมาได้ฟังกัน แต่สำหรับใครบางคนแล้ว เสียงนี้อาจไม่ใช่เพียงเสียงสวดของสาวกแห่งพุทธองค์ หากแต่เป็นสัญญาณบอกการจากไปของใครบางคน

    ซึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเอาเสียเลย

    นอกศาลาสวดศพ สัปเหร่อผอมๆมะงุมมะงาหราอยู่หลังเตาเมรุคล้ายจะเตรียมสถานที่สำหรับประกอบพิธีเผาศพในวันรุ่งขึ้น อีกด้านหนึ่งที่บันไดขั้นแรกของเมรุเผาศพ เด็กชายผู้หนึ่งกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียอกเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของผู้เป็นแม่ หญิงชราอายุราว ๗๐ เดินกระย่องกระแย่งออกมาจากศาลาสวดศพที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตาที่ฝ้าฟางเหม่อมองไปยังหลานชาย ผู้นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นนานแล้วตั้งแต่ก่อนพระจะเริ่มสวด หญิงชราถอนหายใจเบาๆ ค่อยๆเดินเข้าไปหาเขา และค้อมหลังที่โกงลงไปใกล้กับหน้านองน้ำตาของเด็กชาย

    “แม่เอ็งเขาไปดีแล้วลูกเอ๊ย” นางยกมือที่เหี่ยวย่นลูบลงบนหัวเล็กๆ เสียงสั่นเครือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เด็กชายพยักหน้าอย่างไม่มีความหมายแต่ไม่ได้หยุดร้องไห้ ยังคงยกชายเสื้อยืดสีขาวหม่นขึ้นเช็ดน้ำมูกและน้ำตา ที่ไหลลงมาอย่างไม่มีวันหยุด หญิงชรานั่งลงข้างๆเด็กน้อย โอบกอดเขาไว้ด้วยแขนสองข้างที่เหมือนท่อนไม้ใกล้ผุ พลางโยกตัวคล้ายจะเห่กล่อมเพื่อปลอบโยน

    เหนือบันไดเมรุที่เด็กชายและยายนั่งขึ้นไปเก้าขั้นหรือก็คือขั้นบนสุด มีชายชุดดำผู้หนึ่งนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยอาการนิ่งและสงบ ด้วยสำหรับเขาแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นความโศกเศร้าและความตาย และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสำหรับมนุษย์

    มนุษย์ต้องตายเป็นเรื่องธรรมดา....

    ง่ายที่จะคิด แต่ยากที่จะทำใจ....

    เสียงร้องไห้ยังคงดังแผ่วเบาระคนกับเสียงพระสวด หญิงผู้หนึ่งในชุดเสื้อยืด ใบหน้าหมองคล้ำ ก็กำลังยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไกลจากยายหลานและชายแปลกหน้า น้ำตาของเธอไหลริน...

    “ชัฎลูกแม่....”

    เธอปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาตามร่องแก้ม ไม่ต่างอะไรจากเด็กชายคนนั้น แต่เสียงสะอื้นของเธอกลับไม่มีใครได้ยิน...แม้แต่หญิงชราซึ่งเป็นแม่ของเธอ หญิงวัยกลางคนก้มหน้าร้องไห้ด้วยความปวดร้าว ก่อนจะหันมาทางชายชุดดำ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของเธอ

    “ท่านยมทูตเจ้าขา... ขอเวลาให้อิฉันบ้างเถอะ” เธอร่ำร้องกับคนที่นั่งอยู่บนบันไดเมรุเผาศพ
    ”อิฉันเป็นห่วงลูก ฮือ... อิฉันอยากกลับไปหาลูก....”

    “คนตายก็อยู่ส่วนคนตาย ไปยุ่งอะไรกับคนที่เขามีชีวิตอยู่ล่ะ” ชายที่ถูกเรียกว่ายมทูต เอ่ยตอบวิญญาณหญิงกลางคนอย่างราบเรียบและไร้อารมณ์ หญิงวัยกลางคนยิ่งร้องห่มร้องไห้ เธอทรุดเข่าลงตรงหน้าเขา และถากเข้ามาหาชายชุดดำ เสียงคร่ำครวญของเธอไม่ต่างอะไรจากเหล่าสัมภเวสีในวัด.... หรือแม้แต่เปรตขอส่วนบุญ

    “โอ.... ได้โปรดเถอะค่ะท่าน อิฉันคิดถึงลูก อิฉันจะไปอยู่กับลูก อิฉันอยากไปอยู่กับลูกกกกกก!!!”

    “อย่างนั้นรึนางวิญญาณบาปหนา! เจ้าทำลายชีวิตตนเองค่อยคิดสังวรตอนตาย เจ้าควรละอายในตนเองถึงจะถูก!” ยมทูตผุดลุกขึ้นและแผดเสียงกร้าวโดยไม่มองหน้าเธอ แต่ก็เป็นเพียงทีท่า หาได้มีเชื้อโทสะไม่ “บาปกรรมที่เจ้าฆ่าตัวตายไม่อาจยังให้เจ้าเป็นเปรต แต่เจ้าก็ไม่อาจพ้นอบายภูมิได้...” เขากระชากสายตามามองเธอ “นางศิริพร”

    “อย่า... อย่า.... ไม่เอา.... ไม่เอา ฮือ...ฮือ” วิญญาณหญิงบาปนามศิริพรร่ำห่มร่ำไห้จนตัวโยน “อิฉันไม่ได้อยากตาย... อิฉันผิดไปแล้ว....”

    “สายเสียแล้ว” ยมทูตมองไปยังศาลาสวดศพ เห็นพระเริ่มชักด้ายสายสิญจน์เมื่อพระอภิธรรมจบลง “ภาวนาให้ญาติของเจ้าทำบุญไปให้เจ้าเถอะ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เจ้าพึงจะได้... หลังความตาย” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อพระเริ่มชักผ้าบังสุกุล “ได้เวลาแล้ว...”

    ช่องว่างของมิติด้านหลังถูกเปิดออก บ่วงคล้องวิญญาณโผล่ออกมาจากช่องว่างอันดำมืด และสวมลงตรงคอของวิญญาณหญิงนามศิริพร แขนเสื้อสีดำไร้ที่มาเอื้อมออกมาจากช่องมิตินั้นและคว้าหมับลงที่ปลายสายบ่วง เพียงกระชากวูบเดียว วิญญาณหญิงกลางคนก็ถึงกับผงะ เธอกรีดร้องลั่น เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนต้องไปที่ใด มือทั้งสองไขว่คว้าหาความหวังสุดท้าย คือชายผ้าของยมทูตที่เธอรู้จัก หมายรั้งตนไว้ให้อยู่บนโลกให้นานที่สุด แต่นิรยทูตผู้เก็บวิญญาณไม่อาจปล่อยนางได้ เขากระชากสายบ่วงเพียงวูบเดียว ร่างของเธอก็ผวาตามไป ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น ที่ยังให้หมาทั้งวัดหอนขึ้นพร้อมกัน

    “เสียง...เสียงอะไรน่ะ” เด็กชายที่นั่งร้องไห้ผงกหัวขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงที่ดังสะท้านอยู่ในเขตวัด
    “เสียงหมาหอนน่ะลูกเอ๊ย ไม่ต้องกลัวน้อ” หญิงชราผู้เป็นยายลูบหัวเขาปลอบโยน
    “ไม่ใช่นะ...” เด็กชายผุดลุกขึ้นเหมือนลืมที่จะร้องไห้ “ชัฎได้ยิน.... ได้ยินจริงๆนะยาย นั่นเสียงแม่ แม่เขาร้อง.....”

    หญิงชรารีบรั้งตัวเขาเข้ามาและลูบหัวซ้ำๆ ก่อนจะพาเขาเดินกลับไปยังศาลา...
    ================================================================================

    ตีหนึ่งสี่สิบห้านาที

    งานศพเลิกแล้ว ศาลาสวดศพเงียบเชียบ วงเหล้าและไฮโลเลิกไปนานแล้ว ผู้ชายสองคนที่มานอนเฝ้าศพก็หลับใหลไปเรียบร้อย โลงศพของนางศิริพรวิญญาณบาปฆ่าตัวตายตั้งอยู่อย่างนิ่งและสงบ แสงเทียนที่ใกล้จะดับส่องต้องภาพขาวดำที่ตั้งอยู่เป็นแสงระเรื่อๆ ทำให้ใบหน้าหญิงกลางคนนั้นดูเศร้าหมองลงไปถนัดตา

    นายนิรยทูตนิรนามยังคงยืนอยู่ที่หน้าเมรุเผาศพ ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เขาเดินกลับไปกลับมานับหลายครั้ง บ้างก็แวะเข้าไปใกล้เขตขัณฑสีมา เหม่อมองบานประตูที่ซ่อนพระประธานไว้เบื้องหลัง ราวกับครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง

    ใช่ เขาครุ่นคิด.... ถึงสังสารวัฏ และหนทางที่พุทธองค์ได้ทรงปูไว้ให้คนมากมายที่มีปัญญาได้เดิน

    แต่เขายินดีมากกว่า ที่จะเป็นหนึ่งในสังสารวัฏ.... แบบที่คนโง่มากมายยินดีที่จะเป็น

    บรรยากาศรอบๆวัดวังเวงอย่างเหลือเชื่อ ต้นโพธิ์และต้นไม้แห้งๆโบกไปมาในสายลมยามดึก กิ่งก้านของมันเป็นสีดำทะมึน ราวกับเส้นผม...หรือแขนของใครบางคน

    นกแสกสีขาวตัวหนึ่งบินผ่านไป ยมทูตชายตามองมัน น่าแปลกนักที่ตาคู่นั้นมีแววแห่งความรำคาญ

    เพราะไม่นาน ร่างของคนสามคนก็ปรากฏขึ้นที่หน้าเมรุ!

    เงียบเชียบและไร้สุ้มเสียง ยมทูตผู้ยืนรออยู่แต่แรกหาได้หวั่นวิตก ด้วยเขารู้ดีว่าผู้มาเยือนทั้งสามคนมีสถานะเดียวกับตน นั่นคือยมทูต

    สามยมทูตปรากฏตัวขึ้น และต่างก็ค่อยๆเยื้องกรายเข้ามาหาชายผู้ยืนรออยู่แต่แรก เสียงชายผ้าสีดำเสียดสีกันเบาๆ ยมทูตนิรนามหรี่ตามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเริ่มเปิดปากขึ้น

    “พวกเจ้ามาสายกว่าที่ข้านัด” เขาเอ่ยขึ้นอย่างทรงอำนาจ สายตากวาดมองยมทูตอีกสามตนที่ยืนอยู่รอบๆ หน้าเมรุ

    “ท่านออกจะนัดไกลเกินไป” ยมทูตชายตนแรกซึ่งดูอายุน้อยที่สุด เอ่ยขึ้นด้วยภาษาปัจจุบัน “ท่านนัดที่ใดก็ได้ ที่ไม่ใช่วัดเล็กๆแถบฝั่งธนนี่...”

    “ทำไม? ต้องรอให้รถไฟฟ้าตัดผ่านก่อนหรืออย่างไรพวกเจ้าถึงจะมาได้?” ยมทูตผู้ดูมีอำนาจมากสุด ตอกกลับคำอย่างแสบสันจนตลกไม่ออก ตาสีดำดูดุขึ้นเมื่อจ้องมองยมทูตผู้นั้น “หรือเจ้าว่าอย่างไร? ปาณะ?”

    ยมทูตที่เอ่ยปากบ่นเป็นตนแรกนั้น มีนามทางยมทูตว่า ปาณะ ด้วยชื่อเดิม ปริญญา เขาเป็นคนผิวคล้ำ ตาคม และดูเป็นคนสุขุม แต่ก็คล้ายจะซ่อนอะไรบางอย่างไว้ใต้ดวงตาที่เย็นชา

    ยมทูตตนที่สองที่ยืนอยู่ถัดจากปาณะมีนามทางยมทูตว่า สัญญุปาทาน ชื่อเดิม ปรัศว์ เป็นผู้ชายรูปร่างผอม ผมยาว อายุอานามไม่น่าเกิน ๓๐ ดูมีแววตาที่อบอุ่นแต่แฝงเงาหม่นหมองบางอย่าง ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องของสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

    ยมทูตตนสุดท้ายที่มาด้วยกันนั้นแตกต่างออกไปด้วยเครื่องแต่งกาย หล่อนเป็นสตรีเพศ หนึ่งในน้อยคนที่ถูกเรียกเป็น “นางนิรยทูต” ไม่ใช่นายนิรยทูต หล่อนถูกเรียกว่า อัตนียา ภายใต้ชื่อเดิมที่หล่อนทิ้งไปแล้วคือแก้วปราชญ์ หน้าตาธรรมดาแต่ไม่จัดว่าขี้ริ้ว เส้นผมที่รวบและปักปิ่นนั้น เคยปล่อยยาวสยายมาแล้วเมื่อครั้งยังมีชีวิต

    สามตนที่ปรากฏตัวอยู่ในชุดสีดำยาวเป็นโค้ทแบบร่วมสมัย ต่างเพียงแต่คาดผ้าแดงที่เอวเหมือนยมทูตดั้งเดิม ตนที่ถูกเรียกว่าอัตนียาและเป็นหญิงมีผ้าคล้ายสไบ และสวมพาหุรัด(กำไลรัดต้นแขน) ดูต่างจากยมทูตชายเล็กน้อย แต่กลิ่นอายของผู้นำพาวิญญาณไปสู่โลกความตายยังคงมีร่วมกัน

    ยมทูตทั้งสามตนแต่งกายต่างจากยมทูตชายตนแรกสุดที่ปรากฏตัวบนบันไดเมรุตอนพระสวด ผู้ซึ่งคาดสังวารประดับหัวกะโหลกเพิ่ม บ่งบอกว่าเขามียศที่สูงขึ้นไปอีกหลายขั้น ชื่อของยมทูตผู้นี้คือ สังสารา ยมทูตผู้ทำหน้าที่อยู่ในสังสารวัฏมาร่วม ๒๐๐ ปี เขาเป็นคนผิวสีแบบคนไทยสมัยก่อน ร่างกายสันทัด แต่เส้นผมขาวโพลนเหมือนผ่านชีวิตบั้นปลายมาแล้ว ทว่ายังคงความหนุ่มไว้ในระดับวัยกลางคนอย่างน่าประหลาด นั่นคือสภาพของการควบคุมกายละเอียดได้ ผลจากการเป็นยมทูตมานานถึง ๒ ศตวรรษด้วยกัน

    และบัดนี้ ชุมนุมนิรยทูตพร้อมแล้วที่หน้าเมรุ!

    ยมทูตสังสาราเป็นผู้เอ่ยเปิดขึ้นหลังจากทิ้งช่วงให้ความเงียบ

    “พวกเจ้าคงรู้สาสน์บ้างแล้วกระมัง เรื่องการรวมกลุ่มกันของยมทูต?”

    ความเงียบเกิดขึ้นในบรรยากาศ คล้ายจะปฏิเสธคำถามของสังสารา

    ”เราไม่ได้รู้เนื้อความใดๆ ท่านสังสารา” อัตนียาเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ เธอเป็นคนเดียวในสามตน ที่รู้จักสังสารามาก่อนหน้า
    “เราได้ยินแต่ท่านพญามัจจุราชแจ้งว่า ยมทูตจำต้องรวมกลุ่มกันแทนการฉายเดี่ยวอย่างที่เป็นมา”

    “ซึ่งข้าก็หาได้ชอบไม่” สังสาราเสมองไปทางอื่น บ่งบอกว่าเขาค่อนข้างหงุดหงิดกับเรื่องนี้ “ข้าเก็บวิญญาณมาร่วม ๒๐๐ ปี ยังไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย”

    “เรื่องอะไรหรือครับท่าน?” ปริญญาถามพลางขมวดคิ้ว เขารู้จักชื่อสังสารามาก่อนในฐานะยมทูตเก่แก่ แต่ไม่เคยได้พบปะ ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยที่กล้าหาญ เขาคงไม่เอ่ยปากพูดแน่ต่อหน้ายมทูตที่ดูเยือกเย็นจนน่ากลัวอย่างคนๆนี้......

    ....ยมทูตสังสาราเหลือบมองปรัศว์ที่นิ่งฟังโดยไม่พูดอะไรเลยแว่บหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเข้าเรื่อง

    “ตามที่ข้าได้ยินมา มีวิญญาณสัตว์นรกแหกโรรุวมหานรกออกมาสองตน ซึ่งข้าก็ไม่เข้าใจว่าพวกนิรยบาลไปทำเข้าท่าไหนถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ สัตว์นรกกลุ่มนี้มีแค่สองตน โดยมีไอ้สหัสชีพเป็นตัวนำ” เขาหันมาเขม็งตาใส่ปริญญา “รู้จักมันบ้างไหมปาณะ มันชื่อพิพัฒน์ เวหาสยนต์

    “ผมไม่รู้จักครับ” ปริญญาตอบพลางยักไหล่ “ทำไม...”

    “ก็เห็นว่าเคยเป็นมือปืนเหมือนกัน นึกว่าจะรู้จักกันบ้าง อยู่คนละซุ้มหรืออย่างไร” ยมทูตสังสาราตอบเสียงแผ่วเบา “อันที่จริงเรื่องนี้เกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว แต่ทางนิรยบาลเพิ่งจะยอมเปิดเผยต่อยมทูต ท่าทางจะกลัวตัวเองเสียหน้า เหมือนนักการเมืองบางคนสมัยนี้” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนจะเริ่มกลับมาใช้เสียงดังเช่นเดิม “สัตว์นรกที่หนีออกมาย่อมแค้นเคืองยมทูต ขณะเดียวกันก็กลัวที่จะถูกจับตัวกลับไปยังนรกอีกครั้งด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะปล่อยให้พวกประสบการณ์ต่ำปฏิบัติการณ์ลำพัง มันอันตรายที่จะถูกจัดการด้วยน้ำมือของพวกวิญญาณโหด นั่นคือสาเหตุที่พวกเจ้า ต้องย้ายจากการเก็บวิญญาณประจำเขตอยุธยา อุทัยธานี และเชียงใหม่ มาอยู่กับข้าที่บางกอก”

    ทุกคนนิ่งเงียบ แม้จะรู้สึกไม่ดีคล้ายๆตนเป็นส.ส.แบบแบ่งเขตก็ตาม

    เอ๊ยไม่ใช่....

    “ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” อัตนียาพูดอย่างไม่ลงหางเสียง “ข้าปฏิบัติหน้าที่มาก่อน แม้ไม่ถึงหลักร้อยเหมือนท่าน แต่ก็ถือว่ามีประสบการณ์พอควร ท่านควรดูแลสองคนนั้นหมายกว่า” หล่อนพูดพลางเพยิดหน้าไปทางปรัศว์และปริญญา

    สังสารามองเธอด้วยแววตาที่นิ่งงัน

    “ไม่ชอบอยู่ใต้คำสั่งใครสินะ อัตนียา” เขาแค่นยิ้ม ราวกับอ่านใจเธอได้ถึงก้นบึ้ง “ข้าก็ไม่ชอบที่จะต้องมาเป็นขุนให้ใครเช่นกัน โดยเฉพาะกับนิรยบาลหญิงอย่างเจ้า ที่เก่งแต่เปลือกนอก”

    อัตนียากัดฟันกรอด สังสาราแทงลงได้ตรงจุดของเธอ จนเธออยากกราดตอบเขาอย่างก้าวร้าว ถ้าไม่ติดว่าคนผู้นี้เป็นถึงยมทูตอาวุโส ซึ่งตามกฎต้องเคารพอย่างสูง

    “โดยสรุปจากนี้ไป พวกเจ้าทั้งสาม- ปาณะ สัญญุปาทาน อัตนียา จะต้องขึ้นตรงต่อข้าเรื่องการเก็บวิญญาณ” สังสาราสรุปออกมาในที่สุด อัตนียาพยักหน้าอย่างเฉยเมย
    “ก็ไม่เลวนี่คะ” หล่อนเป็นคนพูดน้อย พอๆกับปรัศว์ที่ชอบนั่งฟังมากกว่าคุย ”เราจะได้ตามล่าพวกที่ไม่ยอมรับชะตากรรมอย่างเจ้าสหัสชีพนั่น”

    “แต่เรื่องหลักของเราคือการทำหน้าที่ตามวิถียมทูต คือเก็บวิญญาณผู้ที่ถึงฆาต... ไม่ใช่ตามฆ่าวิญญาณปีศาจอย่างการ์ตูนเรื่อง Bleach ของยุคนี้” เขาหันไปหาปรัศว์ที่ยืนเหม่อมองแสงไฟรถยนต์ที่แล่นผ่านถนนหน้าวัด “หนังสือ....” ปรัศว์ยังคงไม่ได้ยิน... “หนังสือ!!”

    ยมทูตหนุ่มสะดุ้งสุดตัว รีบควานหาหนังสือบัญชีหนังหมา และยื่นให้กับยมทูตผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม

    “ข้าจะเป็นคนแบ่งหน้าที่ให้พวกเจ้า เพราะในนี้...” สังสาราพลิกหน้าหนังสืออย่างลวกๆ ท่าทางเหมือนอ่านมาแล้วมากกว่าจะเพิ่งมาเปิดดู “ดูจะมีคนที่พวกเจ้าเคยเกี่ยวข้องสมัยมีชีวิตอยู่ด้วย และข้าก็ไม่อยากให้พวกเจ้าใจอ่อนกับการลากตัวพวกนั้นไปรับกรรมที่ก่อไว้...”

    “แล้วเราจะเริ่มอย่างไรล่ะครับ” ปริญญาถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้ “ก่อนหน้านี้เราอยู่ท้องที่เล็กๆ ซึ่งการตายของวิญญาณมีไม่มากจนต้องลงบัญชี แต่ตอนนี้...” เขามองไปที่เล่มหนังหมา ขณะที่สังสาราปิดหนังสือเล่มนั้นลง

    “เก็บเรียงตามพจนานุกรม...” เขายกหนังสือขึ้น และพยักหน้าอย่างไม่มีความหมาย “ก ถึง ฮ”

    ================================================================================

    Special Thanks

    Ultima_Weapon กับบทปริญญา หรือยมทูตปาณะ
    ยูคิฮิเมะ กับบทปรัศว์ หรือยมทูตสัญญุปาทาน
    Jelphyr กับบทแก้วปราชญ์ หรือยมทูตอัตนียา
    Albedo กับบทสัตว์นรกสหัสชีพ หรือพิพัฒน์ เวหาสยนต์

    และขอแนะนำตัวเดินเรื่องออริ ยมทูตสังสารา ครับ

    สวัสดีครับ ชาวฟิคเก่า ณ บอร์ดใหม่ ดีใจมากๆที่ได้เจอกันอีกครั้งครับ (ใจจริงกลัวย้ายบอร์ดแล้วทุกคนจะหายไปเลย ไอ้ฟิคเราก็เป็นช่วงรอยต่อระหว่างการย้ายบอร์ดซะด้วยสิ TAT)

    ขออภัยกับฟิคนี้ที่ลงช้ามาก เนื่องด้วยการเก็บข้อมูลที่เยอะบรม(แน่ละ ใครใช้ให้แกแต่งฟิคแบบนี้เล่า) แถมด้วยงานประจำของผมที่ทำให้ไม่มีเวลาว่างแต่งอะไรเอาซะเลย

    กับเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกในรอบ 4 ปีที่ผมได้แต่งฟิครับสมัคร ทำให้ตัวผมได้พบว่า ฝีมือการแต่งฟิคห่วยลงไปเยอะเลยนี่หว่าเฮ้ย!! เทียบกับสมัยที่ผมแต่ง AWF แล้วดูเหมือนจะตกลงพอสมควร ทำให้ผมต้องบิวด์อารมณ์กับเรื่องนี้ด้วยการไปแต่งที่โลเกชั่นสวยๆเป็นต้นว่า... ไปนั่งแต่งที่หอพระพุทธรูปตอนค่ำคนเดียว! แถมท้ายๆตอนนี้ผมก็แต่งตอนตีสองซะด้วย ได้ยินเสียงอะไรกุกกักๆหลังบ้านทีนี่แทบสะดุ้งเชียว ฮา ^^;

    เกี่ยวกับชื่อของยมทูต ต้องขออธิบายว่าผมต้องตั้งขึ้นมาใหม่แทนชื่อที่ท่านๆสมัครกันมา เพราะผมต้องการให้ตัวละครสังสาราซึ่งเป็นยมทูตเก่าแก่มีความถนัดกับการเรียกด้วยภาษาบาลีมากกว่า รวมถึงการเรียกด้วยภาษาบาลีนี่น่าจะทำให้เกิดบรรยากาศ"หลอน"ได้มากกว่าด้วยกระมังครับ(ผมคิดเอาเอง) ซึ่งชื่อบาลีหรือชื่อยมทูตที่ใช้กันนั้น มีควาหมายในตัวของมันเองทั้งสิ้น โดยผูกโยงกับคติธรรมทางพุทธศาสนา บวกกับปูมหลังและนิสัยของตัวละครแต่ละตัวเอง คือ
    1. ปาณะ (ปา-นะ) คำว่า ปาณะ หรือปัณณะ มีความหมายเท่ากับคำว่าปราณ ซึ่งแปลว่าสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งที่มีลมหายใจ สังสาราให้ชื่อปริญญาว่า ปาณะ เพื่อให้เขาระลึกถึงชีวิตมากมายที่เขาฆ่าไปอย่างโหดเหี้ยม เพราะเมื่อคร้งยังเป็นคน ปริญญาเป็นอดีตมือปืน ที่ถึงแม้จะกลับใจตอนท้าย แต่เขาก็ได้ฆ่าคนไปแล้วมากมายพอสมควร
    2. สัญญุปาทาน (สัน-ยุ-ปา-ทาน) คำๆนี้มาจากคำบาลีคือ สัญญา ที่แปลว่า ความจำได้หมายรู้ หรือความทรงจำ บวกกับคำว่า อุปาทาน ซึ่งแปลว่าการยึดมั่นถือมั่น สังสาราให้ชื่อนี้กับปรัศว์ เพราะเขาเป็นคนที่มีความยึดติดในชีวิตและความทรงจำที่เต็มไปด้วยเพื่อนมากมายสมัยยังมีชีวิตอยู่ แม้ตนเองตายเป็นยมทูตแล้วก็ยังชอบคิดและยึดติด ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่ถูกเท่าไรสำหรับการเป็นยมทูต
    3. อัตนียา (อัด-ตะ-นี-ยา) คำๆนี้มาจากคำว่า อัตตา ซึ่งทางพุทธศาสนาแปลว่า ตัวตน แก้วปราชญ์เป็นผู้หญิงที่มีความยึดมั่นในตัวกูของกูมาก คือเขาเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นผู้ตัดสินได้ทุกอย่าง ตนเองเป็นผู้ถูกชะตากรรมกลั่นแกล้ง ตัวเองมีค่าพอที่จะตัดสินหรือกระทำการต่างๆ คืออะไรๆก็ตัวเองหมดว่างั้นเถอะ ผมอธิบายตรงนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ เอาไว้เรารอดูบทบาทเธอไปแล้วก็จะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆเองครับ แต่สำหรับเจ้าของตัวละคร ผมว่าคงเข้าใจได้ดีว่าทำไม
    4. สังสารา (สัง-สา-รา) มาจากคำว่า สังสารวัฏ แปลว่าวงจรการเวียนว่ายตายเกิด ผมเลือกใช้ชื่อนี้แทนตัวเอก เพราะเขาเป็นตัวเดินเรื่องที่ต้องพาวิญญาณทุกคนไปสู่การเกิดใหม่ และการรับกรรมในภพภูมิต่างๆ ขณะที่ตัวเขาเองก็ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้เองด้วย สำหรับผมแล้ว ผมว่าคำๆนี้เป็นคำที่มีความหมายที่น่ากลัวมาก เพราะมันหมายถึงการเกิดแล้วทุกข์ แล้วตายแล้วก็เกิดมาทุกข์ใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบหาต้นไม่ได้หาปลายไม่เจอ ดูน่าเศร้าและหดหู่ยังไงชอบกล

    สุดท้าย คำว่า "นริย" (นิ-ระ-ยะ) เป็น prefix ในภาษาไทย มีความหมายเท่ากับ "นรก" ครับ คำๆนี้เมื่อมาวางอยู่หน้าคำต่างๆ ก็จะมีควาหมมายเท่ากับนรก เช่น นิรยบาล ก็คือผู้คุมในนรก สำหรับคำว่า นิรยทูต นี้ มันกคือ นิรย+ทูต กลายเป็นทูตแห่งนรก หรือก็คือยมทูตนั่นเอง

    พูดมามากแล้ว ก็อยากให้เข้าใจกันว่าฟิคผมป่าวกุขึ้นมาน้า อย่าเอาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตมาฟาดหัวผมล่ะ แล้วพบกันตอนต่อไปครับ ส่วนการออกบทของแต่ละคนนั้น ผมแอบเฉลยไว้แล้วนะในตอนท้าย แล้วจำได้ไหมล่ะว่าใครสมัครชื่อ ก ไก่ มา :twisted:
  2. Hell

    Hell Member

    EXP:
    405
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    * * ตอนแรกมาลงแล้ว~~~!

    หลังจากที่ได้ลองอ่าน ผมว่าเรื่องนี้เป็นฟิคเรื่องเเรกๆของบอร์ดเลยมั้งที่อ่านแล้วทำให้ผมรู้สึกถึง
    บรรยากาศไทยๆที่ผสมผสานกับเรื่องบาป บุญ ได้อย่างลงตัว และหลังจากที่อ่านตอนแรกแล้วผมรู้สึกสงสารตัวละครที่ชื่อ"ศิริพร"นะ
    เมื่อความตายมาถึงอยากจะดูแลลูกตัวเองยังไงก็ทำไม่ได้ แต่มันก็ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า เวลาเราจะทำอะำไรเราต้องคิดก่อนทำ
    เพราะถ้าเราไม่คิดก่อนทำ เมื่อพลาดแล้วก็จะกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีกเลย..........

    สุดท้ายนี้ผมก็ขอให้ ผู้เขียนพยายามต่อไปนะครับ * */
  3. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    หายไปซะนานเลยนะครับท่านอีวาน เอามาลงตอนแรกแล้วเหรอนี่.... อ่านๆไปรู้สึกเห็นด้วยกับเจ้าไอซ์(รีพลายบน)แฮะ ^^'a

    เรียงตามชื่อ เริ่มด้วย ก.ไก่..... อีกนานสินะกว่าจะถึงกระผม เหอๆๆ (ผม ศ.ศาลา... ถ้าไม่เมาอากาศนะ = ='a)

    รอชมต่อไปพี่ท่าน เอาคำบาลีมาร่วมกับบทบาทตัวละครได้สุดยอดเลยครับพี่น้อง >w<b
  4. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    โอ ตอนแรกเอามาลงแล้ว บรรยากาศของเรื่องนี่ดูมืดมนเสียจริงๆ ตามแนวเรื่องเลย แถมยังได้บรรยากาศแบบไทยเราอีกด้วย

    ยังไงก็จะรออ่านตอนต่อไปนะครับท่าน
  5. DEATHSIM

    DEATHSIM New Member

    EXP:
    8
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    มาอ่านแล้วงิ . . . ขึ้นมาก็สวดเลยนะฮะ

    ในเนื้อเรื่องมีการปนฮาไปเล็กน้อยนะครับ

    เป็นยมทูตนี่ต้องพูดจาสมัยอยุทธยาด้วยเหรองิ สงสัยต้องไปฝึกพูดบ้างแล้ว
    (ฮา) ( ตรงไหน - -" )

    ปล.บอร์ดใหม่ไม่ค่อยชิน เลยคอมเม้นท์ในน้อยไปหน่อยนะครับงิ ( เกี่ยวมั้ยหว่า ^ ^" )
  6. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    อ่านเรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง...
    แอบมีการสอดแทรกมุขในเนื้อหาบ้าง นับว่าทำได้ลงตัวมากครับอีวาน >w<b
    ไม่ทำให้บรรยากาศในเรื่องเสียเลย
    จะคอยติดตามต่อไปครับ >w</
  7. logon

    logon New Member

    EXP:
    59
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เปิดเข้าหมวดฟิคเจอเรื่องนี้ก็คลิ๊กโดยไม่ลังเล 5555

    แต่ว่า..........
    เรื่องจริงจังยังอุตส่าห์แทรกมุขอีกนะเอ็ง - -................ (สมแล้วที่ปะยี่ห้อราร่า)
    /me โดนถีบ

    บรรยากาศเจ๋งมากครับ อีวาน ถูกใจ - -b

    จะตามอ่านต่อไปครับ =[]=!!!!
  8. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    ขึ้นก็หลอนแล้วอีวานนี่ -*- หลอนจริง ๆ ได้ความรู้สึกแบบ นึกถึงวัดเลย เหอ ๆ

    บรรยายเจ๋ง - -+b ชอบยมทูตด้วย เหอ ๆ ดูแบบเท่และมีหลักการณ์ดี

    ชอบบรรยายกาศ รอตามต่อไปนะจ๊ะ
  9. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    แก๊งยมฑูตตัวป.เรอะ! - - ( ถ้าตัวพี่เจลเป็นชาย ชื่อปราชญ์เฉยๆ จะฮากว่านี้อีก^^")

    มุขรถไฟฟ้าฮามากๆ สงสัยวัดนี้อยู่แถวบ้านยูแน่นอนเลย เหอๆ

    อ้อ เรื่องตัวละคร จริงๆยูส่งpmไปแล้ว แต่สงสัยจะไปไม่ถึงแฮะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ><
  10. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ก ถึง ฮ

    แบบนี้ เราก็อยู่แถวๆทายตะรางน่ะสิ

    "งืมๆ แล้วอิจิโกะไปไหน?" (ไม่ใช่ล่ะ)

    บรรยากาศวัด ได้บรรยากาศวัดมากๆเลยครับ (โดยเฉพาะตรงที่ก็งเหล้าเนี่ย)

    นึกถึง โอปปาติก มาแปล็บๆเลยนะครับ
  11. l2eenai2y

    l2eenai2y New Member

    EXP:
    533
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    *[]*

    ฟิคจากบอร์ดเก่า

    นึกว่าจะไม่ได้อ่านซะแล้ว T^T

    ----------------------------------------
    ไม่เปลี่ยนแระๆ
    ---------------------------------------

    ว่าแต่....รู้สึกจะเป็นนิยายอารมณ์หมองที่มี parody = =

    ปลดปล่อยสวัสดิกะ............!!
  12. renze

    renze Member

    EXP:
    46
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    แต่งเก่งอ่ะ =[]=b เจ๋งดีเน้อ
    มันแฝงข้อคิดไว้เพียบจริงๆ

    ว่าแต่.......

    นี่มัน.....

    นี่มันอาร๊าย กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
  13. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    พรืดด....เก็บเรียงตามพจนานุกรม =[]="""

    หนึ่งในโครงการอนุรักษ์ภาษาไทยเหรอคะ?

    *โดนพี่อีวานถีบโครม!*

    คุมินึกว่ามันจะเก็บตามเวลาตายเสียอีก ถ้าอย่างนี้คนตายทีหลังแต่ดันชื่อว่า กก ก็ซวยกว่าคนชื่อ เฮง ที่ตายมาแล้ว 2 สัปดาห์สินะ... (ส่วนตาเฮงนั่นคงลอยเป็นผีเฮี้ยนอยู่แถวๆ ที่ตายใช่ม๊ะ เอิ๊ก~)

    สนุกดีนะคะ บรรยากาศฟิคแหวกแนวดี รู้สึกไท๊ยไทย ส่วนตัวคิดว่าคำบรรยายโอเคนะคะ สั้นแต่กระชับได้ใจความดี

    ว่าแต่ยมทูตใช้คำโบราณน่าดูเลยนะ (ฮา...)

    แต่แหม่....กว่าจะถึงยัยวิรินทร์.....น่าจะตั้งชื่อด.ญ กกเนอะ (ฮา...)
  14. mahado

    mahado New Member

    EXP:
    85
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เหอๆ.....รู้สึกดีแฮะที่เรื่องนี้ไม่ได้สมัครด้วยชื่อไทยที่ตั้งเป็นคาแรกเตอร์ไว้นานแล้ว ไม่งั้นล่ะก็ ส.เสือ รอกันหลายไหเลยทีเดียว

    /me กระโดดหลบลูกเตะพี่อีวาน

    555 ล้อเล่นนะครับ ^^' จริงๆแล้วผมคิดว่าพี่อีวานฝีมือไม่ได้ตกลงนะครับ ผมกลับคิดว่าฝีมือดีขึ้นกว่าของเดิมอีก ...แถมมีการสอดแทรกมุขไม่ให้เครียดมากเกินไปด้วย ชอบครับ ^^b

    ปล. ขำตั้งแต่รถไฟฟ้าแล้ว 555
    ปล2. เริ่มเรื่องด้วยงานศพ ทำให้คิดถึงเรื่องสั้นที่ผมพึ่งลงไปไม่นานนี้ 555 รู้สึกว่าพี่อีวานจะเขียนบรรยายได้ดีกว่าผมมากๆเลยครับ นับถือๆ orz
    ปล3. ตอนแรกมองไม่เห็นกระทู้นี้นะครับเนี่ย เลยเข้ามาช้าไปหน่อย =[]=''
  15. Zear

    Zear New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    แฟชั่นยมทูต......... ช่างเป็นการรวมอดีตและปัจจุบันไว้อย่างลงตัวเสียจริงๆ

    อ่านไม่ลื่นมากนักอย่างที่ว่าไว้ แต่ถ้าแต่งไปเรื่อยๆผมก็มั่นใจว่าจะเข้ารูปเข้ารอยตามฝีมือปรกติของอีวานนะครับ ^__^
    แล้วก็พาลแอบคิดไปว่า นรกภูมิและโลกหลังความตาย ไม่ได้พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาบ้างเลยเหรอ ... หรือจะเป็นที่ที่เวลาหยุดนิ่ง สภาพทุกอย่างจึงคงเดิมตามที่เคยถูกเล่าขานมาแต่โบราณ แล้วการเก็บวิญญาณกับ ก ถึง ฮ นี่มันอร๊าย ไม่ใช่ว่าควรจะเป็นไปตามเวลาของแต่ละคนหรอกเหรอ กร๊ากกกกกกกก (แต่เอาเหอะ เพื่อความสะดวก)

    ผมยังเดาทางเรื่องไม่ถูกนัก ยังไงจะตามอ่านเรื่อยๆแน่นอนครับ ^^/
  16. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ชอบฟ่ะ กร๊ากกกก กัดได้แสบๆ คันๆ ดี เป็นฟิคที่อารมณ์หม่นหมอง แต่ทำไมรวยอารมณ์ขันได้ไม่รู้ ผมอ่านไป บางจุดสะดุดแล้วหัวเราะก็มี อาทิ มุกการ์ตูน bleach และมุกรถไฟฟ้าตัดหน้า ถึงมุกหลัง ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าอีวานยำการ์ตูนเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะหรือเปล่า แต่ที่ขำเพราะในฟิคบางเรื่องที่ก็เกี่ยวข้องกับความตายของผมเอง มี เอ่อ... ฉากนี้ เหมือนโดนกัดเลยพออ่านถึง (โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ย เจ็บ *โดนอีวานกระทืบ "อะไรของเอ็ง!!!!"*)

    คงเพราะไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทยหรือหนังสือธรรมะเท่าไหร่ เห็นบรรดาศัพท์เฉพาะ บาลี-สันสกฤต แล้วมึนหัวอย่างแรง เอิ๊ก แต่อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็คุ้นเองแหละครับ


    ป.ล. ถึงไม่ได้สมัคร แต่ก็ขอติดตามอ่านนะครับ T-T *กอดขาอีวานแน่น*
  17. Jelphyr

    Jelphyr แมวจรจัด

    EXP:
    443
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    38
    ใครเก่งแต่เปลือกนอก เดี๋ยวต่อยเลย =A=*
    [action]โดนโยนลงกระทะทองแดง[/action]

    เข้าเรื่องๆ

    เห็นด้วยกับเซียร์ รู้สึกอ่านไม่ลื่นเท่าไร รู้สึกภาษามันขึ้นๆลงๆ =w=" .... นอกนั้นวิธีการพูดของสังสาราตอนคุยกับลูกน้อง ไม่ชวนดูเป็นคนที่ "เยือกเย็นจนน่ากลัว" เท่าไร อย่างน้อยเราก็ไม่รู้สึกแบบนั้นนะ - -" ถึงจะดูดุๆน่ากลัว แต่ไม่รู้สึกว่าเป็นคนเยือกเย็นแฮะ ( อาจจะเป็นเพราะนิยามว่าเยือกเย็นของเราต่างจากอีวานก็ได้มั้ง )

    มุขก็โอเค =w=" เราชอบมุขรถไฟฟ้านะ แต่บลีชนี่มัน.....อืมมม ก็ขำดี แต่เราว่ามันโดดจากเรื่องไปหน่อยมั้ง =w=" .... สังสาราอ่านบลีชด้วยเรอะถึงพูดขึ้นมาเนี่ย ( เออ เพราะงี้มั้งเราเลยรู้สึกว่ามันไม่เยือกเย็น - -" ก๊ากก ) พอมันโดดขึ้นมา เลยรู้สึกว่ามันดขัดๆู เหมือนยัดเยียดความรั่วไปนิด ไม่เนียนเท่าไร เราว่านะ =w="


    แปลกใจ ทำไมบทบรรยายพูดถึงยมทูตตนอื่นด้วยชื่อเดิม แต่ของอัตนียาใช้ชื่อใหม่

    เรื่อง ก - ฮ เข้าใจว่าเอาตามสะดวกคนแต่งที่จะได้ไม่ต้องคิดมากว่าจะให้ใครออกก่อน - หลังใช่มะ = =+


    ประมาณนี้แล =w=" แต่โดยรวมแล้วก็โอเคเน้อ พอเข้าที่เข้าทางแล้วคงไม่มีสะดุดอีก รอติดตามๆ
  18. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอบทุกคน เนื่องจากตอนแรกที่ลงฟิคยังไม่มีเวลาอธิบาย

    1. ทำไมต้องเก็บเรียงตามพจนานุกรม - เจลพูดถูกแล้วครับ เพื่อคนแต่งจะได้ไม่เลือกบทของคนที่ถูกใจก่อน และปล่อยให้คนที่ไม่ถูกใจอยุ่ท้ายๆจนอาจถูกดองเค็มได้ จริงๆยมทูตต้องเก็บตามเวลาตายนั่นแหละครับ แต่คนแต่งไม่ใช่ยมทูตนิ -3- (แถกแหลกเลยเว้ยเฮ้ย)

    2. ทำไมสังสารารู้จัก Bleach - ยมทูตจากอดีตถ้าไม่ตามโลกตามข่าวสาร จู่ๆโผล่มาในปี 2000 มีหวังตกใจเวลาเจอรถยนต์แหงแซะ สังสาราเป็นคนที่ทันโลกทุกเรื่องทุกวินาทีครับ นานๆไปจะรู้จักเขาเอง ตอนนี้ออกตัวไว้ก็แล้วกันนะครับว่า มุขนี้ไม่ได้เนียนพลาดนะเอ้อ

    3.ทำไมเรียกอัตนียาด้วยคำบาลีคนเดียว - อัตนียาเป็นคนที่อยากทิ้งอดีต และค่อนข้างเกลียดตัวตนลึกๆของตัวเอง(ถูกไหมเจ้าของคาแรคเตอร์?) ผมว่าเขาอยากเป็นยมทูตผู้ทรงอำนาจเต็มตัวมากกว่าจะเป็นหญิงสาวนามแก้วปราชญ์ เลยเรียกเขาแบบนี้ดีกว่า (เจ้าของคาร์เองก็บอกเองว่ายมทูตหญิงให้เรียกแก้วปราชญ์มันไม่สมเลย)

    4.เรื่องนี้ไม่มีอิทธิพลจากเรื่องใดๆทั้ง Bleach, ยมทูตสีขาว หรือโอปปาติกะ เพราะผมไม่ได้ถูกใจสักเรื่องเลยที่กล่าวมา มุขที่สอดไปนั้นเป็นไปตามเนื้อผ้า ผมไม่ได้ตั้งใจยำโดยเฉพาะน่ะครับ

    5. ภาษาขึ้นๆลงๆ - เพราะผมเพิ่งวางมือจากฟิคออริแฟนตาซีซึ่งมีระดับภาษาดั่งโก้วเล้ง มาจับฟิคบนบอร์ด ทำให้ผมลดดีกรีมือตัวเองไม่ทันน่ะครับ แฮ่~ อีกประการ ผมห่วยแตกภาษาไทยโบราณมาก เลยไม่รู้ว่าแบบไหนโบราณแบบไหนไม่โบราณ(แล้วยังกระแดะใช้?) ขอโทษผู้รู้ทุกคนด้วยนะครับ (อันนี้หาข้อมูลไม่ได้จริงๆ ต้องเป็นพวกชอบอ่านประวัติศาสตร์ไทยมากๆ ซึ่งผมไม่ใช่เลย)

    6.สังสาราไม่นิ่งเท่าที่ควร - อือม์ เพราะนิยามคำว่าเยือกเย็นของผมกับเจลต่างกันจริงๆนั่นแหละครับ หรืออาจเพราะผมตีความสังสาราแตกไปแล้ว(แน่ล่ะ เขียนเองนิ)แต่คนอ่านยังมองเห็นเขาไม่หมดก็เป็นไปได้ ทนเอาหน่อยละกันเน้อ

    ขอบคุณทุกคนที่เม้นท์ครับ (ตกใจมากเลยนะเนี่ย เปิดมาตั้ง 14 rep แน่ะ TAT ดีใจๆ)
  19. philoatros

    philoatros Member

    EXP:
    220
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    อันที่จริงอ่านตั้งนานแล้วอ่ะ พี่อีวาน แต่พึ่งจะว่างมาเม้นวันนี้

    ผมว่าเนื้อเรื่องออกมาดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนา <ตอนแรกนึกว่าจะปรัชญาสุดๆ แบบอ่านแล้วงงกันไปข้าง เหอะๆๆๆ>

    แต่ก็จริงอย่างหลายๆ คอมเม้นบอกอ่ะครับ ว่าบางมุขมันดูขัดๆ กับเนื้อเรื่องยังไงไม่รู้อ่ะครับ แบบว่ามันก็ขำอ่ะ แต่ผมปรับอารมณ์ไม่ทัน 555+

    แต่โดยรวมผมชอบนา อ่านแล้วได้อิมเมจแบบไทยๆ แต่มีความทันสมัยแทรกเข้ามาด้วย

    ยังไงก็รีบเอามาลงนะครับ จะรออ่านครับผม ^^

    ปล.ว่าแจ่ว่า ผมจำไม่ได้อ่ะ ว่าคาร์ที่ผมสมัครมันชื่ออะไร กร๊ากกกๆๆๆๆ = =" ไฟล์ที่พิมพ์ใส่คอมไว้ ผมลบทิ้งไปแล้วอ่ะครับ เหอะๆๆ

    ปกติสมัครแต่ฟิกแฟนตาซี มันมีชื่อในสตีอกเยอะอ่ะครับ แต่รู้สึกว่าตอนสมัครของพี่อีวานไป จะนั่งคิดชื่อใหม่ที่ไม่เคยใช้ แต่กลายเป็นจำไม่ได้ซะงั้น 555+

    ยังไงก็สู้ๆ นะครับ ^^

    ***ปล.อีกที หุหุหุ พึ่งจะนึกออกว่าที่รับสมัครไว้ เป็นบอร์ดเก่า ลองไปเปิดดูชื่อตัวเองถึงร้องอ๋ออออออ

    อยู่อันดับต้นๆ เลยแฮะ หุหุหุ
  20. Jinx

    Jinx New Member

    EXP:
    58
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ว้าวๆๆ เปิดมาได้น่าอ่านมากๆเลยครับ....เห็นแล้วอยากสมัครตัวละครมั่งจัง TwT
  21. dorot

    dorot Member

    EXP:
    42
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ไม่เลวเลยอิวาน ผมชอบสังสาระนะ ดูเป็นตัวละครหน้านิ่งปากจัด(พอกับอัตนียา) ซึ่งเป็นตัวละครสไตล์ที่ผมโดนใจ

    ส่วนนิยามเยือกเย็นของผมก็คือ นิ่งมากๆ และมักไม่ค่อยพูด แต่สังสาระก็ดูเป็นคนแบบนั้นได้ครับ ถ้าความหมายของอิวานหมายถึงคนที่มีสติสัมปชัญญะดีที่สุด

    ไงก็สู้ๆล่ะเน่อ จะรอตอนต่อไปครับ

Share This Page