ปาฏิหาริย์ตำนานเจ้ามนตรา

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย bluemouse, 10 ธันวาคม 2007.

  1. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    สวัสดีทุกท่านที่เปิดเข้ามาอ่าน :cool:

    เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกหน้าใหมของบอร์ดนี้ได้ไม่นาน ยินดีที่ได้รู้จักครับ :D


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    ตอนที่หนึ่ง

    ทายาทจอมกบฏ



    ชนวนการห้ำหั่นของศึกครั้งนี้จุดปะทุโดยน้ำมือคนผู้หนึ่ง...

    จูลดอลเต้ อัจฉริยะบุรุษตระกูลเซนต์ชาร็อต
    ชายซึ่งอหังการท้าทาย ‘สี่ผู้เฒ่าราชัน’ ด้วยหวังช่วงชิงบัลลังก์ประมุขเป็นของตน พร้อมทั้งปลุกระดมเหล่าผู้คนอีกนับร้อยนับพันลุกฮือขึ้นต่อต้าน ยังผลให้เผ่าพันธุ์แตกแยกเป็นสองฝักฝ่าย เข้าฆ่าฟันรบพุ่งกันเอง ก่อเกิดไฟสังหารระอุที่ลามเลียไปทั่วแผ่นดิน ‘เนิร์ฟเธน’

    ‘สัประยุทธ์สหัสเวท’

    นามแห่งมหาสงครามการห้ำหั่นระหว่าง จอมเวท กับ จอมเวท
    เผ่าพันธุ์ผู้ครอบครองพลังอำนาจเทียมเทพ ที่ถูกเรียกขานว่า ‘เวทมนตร์’ มาแต่โบราณกาล

    ...และแล้ว
    หลังการต่อสู้ชิงชัยกันอย่างยาวนาน สูญเสียชีวิตจำนวนมหาศาล
    ในที่สุด...
    มูเอราเอล ลีเมชน่า หนึ่งในสี่ผู้เฒ่าก็สามารถสังหารจูลดอลเต้ ยุติการนองเลือดลงได้

    จอมเวทในฝ่ายตระกูลเซนต์ชาร็อตที่ไร้ซึ่งผู้นำ แตกพ่ายและถูกไล่ล่ากวาดล้างจนราบคาบ

    สงครามดูเหมือนจะปิดฉากลง ด้วยชัยชนะเด็ดขาดของสี่ผู้เฒ่า

    ทว่า...
  2. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ...อันสิ่งใดนั้นหรือคือเกณฑ์กฎ
    ซึ่งกำหนดหนทางนำชีวิต
    หากคือโชคชะตาประกาศิต
    ที่ลิขิตคือฟ้าหรือว่าตน...


    บทที่ หนึ่ง

    ผู้ลอบสังหาร?



    ...สายฝนยังคงสาดซัดลงมาอย่างบ้าคลั่ง

    บนเส้นทางสัญจรเลียบแนวภูเขาที่บัดนี้เต็มไปด้วยโคลนเลนและพื้นน้ำเจิ่งนอง ปรากฏขบวนผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินทางฝ่าม่านพิรุณที่กำลังแผ่คลุมโหมกระหน่ำ

    พวกเขาเป็นชายสวมเสื้อคลุมสีเทาหม่น ควบขี่อาชารายล้อมรอบรถม้าคันหนึ่งซึ่งปิดม่านมิดชิดมองไม่เห็นภายใน ขณะเคลื่อนที่ไป ฝีเท้าม้าคงที่ ผู้ควบขี่มั่นคง ตำแหน่งของม้าที่รายล้อมรอบรถม้าไม่เปลี่ยนแปร ภายในรถม้าสงบนิ่ง

    เหล่าชายในเสื้อคลุมมีทั้งหมดสิบสองคน ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดคุยระหว่างกัน กระทั่งปากยังไม่ขยับ บนร่างของพวกเขา ที่เคลื่อนไหวอยู่มีเพียงมือที่คุมบังเหียน กับดวงตาที่มองตรงและสอดส่ายรอบด้านเป็นครั้งคราว

    การออกเดินทางทั้งที่สายฝนหนาหนักเช่นนี้ย่อมแสดงว่ามีเหตุรีบด่วนต้องเร่งรุดถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็ว แต่น่าแปลกที่พวกเขาเดินทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ไม่เชื่องช้าจนถึงกับหยุดนิ่ง แต่ก็ไม่รวดเร็ว และยังระมัดระวังราวกับกลัวว่าพื้นดินในแต่ละก้าวย่างที่ม้าเหยียบอาจถล่มยุบตัวลงได้ทุกเมื่อ

    ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือ ในค่ำคืนนี้เมฆหนาครึ้มบดบังแสงจันทร์ ท่ามกลางสายฝนหนาวเหน็บและความมืดมิดแทบมองไม่เห็นเส้นทาง ขบวนม้ากลับสามารถมุ่งไปข้างหน้าได้เหมือนเป็นเรื่องปรกติ

    ที่น่าแปลกที่สุดคือ ในเสียงเม็ดฝนกระหน่ำพื้นดิน เสียงฟ้าร้องกระหึ่มรุนแรง ไม่มีเสียงฝีเท้าม้าย่ำตะบึงแม้แต่น้อย

    และเหล่าชายในเสื้อคลุมกับม้าของพวกเขา รวมไปถึงรถม้าโดยสารกลางวงล้อม ...ไม่เปียกฝนแม้แต่หยดเดียว


    ...................


    ...เด็กหนุ่มยังคงรอคอยอย่างเงียบงัน

    เขาหมอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้รกครึ้มริมเนิน รอคอยเป็นเวลานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว

    สามชั่วโมงที่เขาไม่ได้ขยับตัวไปไหน แม้จนกระทั่งฝนเริ่มตกหนักตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน เขายังไม่ยอมย้ายตัวออกจากที่เดิม

    ร่างกายเด็กหนุ่มเปียกปอน ชุ่มโชกน้ำฝนที่เทลงจากฟากฟ้าไม่หยุดหย่อน บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยดน้ำ ไหลเรื่อยจากเส้นผมลงมายังหน้าผาก ข้างแก้มเปรอะเปื้อนโคลนเลนที่กระเซ็นจากพื้นดิน

    ทว่าหัวคิ้วและขนตาของเขากลับแห้งสนิท กระจกแว่นตาที่สวมใส่ไม่มีแม้แต่ละอองน้ำเกาะรบกวนสายตา

    ท่ามกลางสายฝนและความมืดมิดบดบัง เขายังคงสามารถมองเห็นเส้นทางสัญจรเลียบแนวภูเขาที่เบื้องล่างได้ชัดเจน


    ...................


    ละแวกพื้นที่โดยรอบตั้งตระหง่านไว้ด้วยขุนเขาซ้อนขุนเขาที่สูงใหญ่และลาดชัน สลับแนวป่ากว้างยาวรกครึ้มซึ่งยากลำบากและอันตรายเกินกว่าจะใช้เดินทาง หากต้องการตรงขึ้นไปยังเมืองทางตอนเหนือหรือวกอ้อมไปทางตะวันออก ไม่ว่าอย่างไรต้องผ่านเส้นทางสายนี้

    เด็กหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบแผลแตกเล็กๆบนหน้าผาก ข้างตัวเขามีเศษหินแตกละเอียดตกกระจายอยู่สองสามชิ้น เศษหินเหล่านี้เมื่อครู่ยังเป็นก้อนเดียวกัน กระทั่งเขาคว้ามันขึ้นมาฟาดกับศีรษะ

    เด็กหนุ่มรอคอยอยู่เนิ่นนานจนเขานึกร้อนใจใคร่อาละวาด แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ เขาปล่อยให้ตนเองถูกอารมณ์ครอบงำไม่ได้
    ดังนั้นเขาหยิบหินขึ้นมา ทุบกระแทกศีรษะตัวเอง

    ความเจ็บปวดอาจไม่สามารถขับไล่ความฉุนเฉียวให้หมดไป แต่อย่างน้อยที่สุดใช้เรียกสติยั้งคิดกลับมาได้

    เด็กหนุ่มรู้ดีว่าทำไมเขาหงุดหงิดมากกว่าปรกติ ทั้งที่เขารู้จักอดกลั้นเสมอมา มิใช่เนื่องมาจากการที่เขาต้องหมอบคุดคู้อยู่อย่างนี้กว่าครึ่งคืน ไม่ได้มีสาเหตุจากการที่เขาอดนอนติดกันเกินสี่วัน และยิ่งไม่ได้เป็นเพราะเขาเหน็ดเหนื่อยที่ต้องวิ่งรอกเข้าออกสิบแปดเมืองใหญ่น้อยตลอดเดือน เพื่อสืบเสาะให้ได้มาซึ่ง ‘ข่าวเลื่อนลอย’ ที่ยังไม่รู้จริงเท็จข่าวหนึ่ง

    หากแต่เป็นเพราะ ‘โอกาส’ ที่เขากำลังรอคอย อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าใคร หากเหลือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะกระทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ ต่อให้เคยมีความเยือกเย็นอย่างเปี่ยมล้น ย่อมต้องตื่นเต้นตึงเครียดอยู่บ้าง

    และเพราะเขาหวนนึกถึง ‘เจ้าพวกนั้น’ ...เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ทีนี่ ตอนนี้

    ในขณะที่ขบคิด เด็กหนุ่มยังคงจับจ้อง มองลงไปเบื้องล่างไม่วางตา คล้ายกับกลัวว่าหากเขาละสายตาจากเส้นทางเพียงชั่วครู่ ‘สิ่งที่เขารอคอย’ จะหลุดลอยคลาดคลาไป...

    ทันใดนั้นเอง

    สายตาของเด็กหนุ่มเกิดปฏิกิริยาขึ้นเหมือนพบเห็นอะไรบางอย่าง

    ...มาแล้ว


    ...................


    ที่มาถึงคือขบวนม้าของเหล่าชายในเสื้อคลุมสีเทาเหล่านั้น

    ที่เด็กหนุ่มรอคอยก็คือขบวนม้ากลุ่มนี้ ขบวนม้าที่เปรียบเสมือนภูตผีวิญญาณล่องลอยในรัตติกาลวิเวก

    ม้าทุกตัวในขบวน ยามที่ห้อตะบึงผ่านทุกฝีก้าวยังไร้ซึ่งสุ้มเสียง เสื้อคลุมของผู้ควบขี่ สีขนของม้า ตลอดจนประทุนของรถที่ลากเทียมล้วนหลอมรวมกับสายฝน กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดจนไม่อาจมองเห็น

    เด็กหนุ่มก็มองไม่เห็น

    และไม่ได้ยิน

    แต่รู้สึกได้

    เขา ‘สัมผัส’ ได้ถึงการเข้ามาใกล้ของผู้คนในขบวนม้า


    ...................


    เด็กหนุ่มยังคงไม่ขยับเขยื้อน

    แต่ผู้อื่นเคลื่อนไหวแล้ว

    ผู้ที่หมอบซุ่มรอคอยขบวนม้าไม่ได้มีแค่เขา

    ยังมีเหล่าชายลึกลับในชุดดำทมิฬที่ใส่หน้ากากเหล็กปิดบังโฉมหน้า

    พวกเขาบ้างโผพุ่งออกจากพุ่มไม้ริมทาง บ้างผุดโผล่จากพื้นดิน บ้างทะลุผ่านผนังหินผา บางคนถึงกับจู่ๆปรากฏออกมาราวกับงอกเงยจากความมืด
    ทั้งสิ้นสิบห้าคน วิธีเผยตัวแตกต่างกันสิบห้ารูปแบบ ใช้อาวุธแตกต่างกันสิบห้าชนิด แต่เป้าหมายมีหนึ่งเดียว

    ...สังหาร

    ทั้งหมดจู่โจมในทันที

    คนบนหลังม้าก็เคลื่อนไหวแล้ว

    ที่ขยับไหวเป็นอันดับแรกคืออากาศธาตุที่ม้วนตัวเป็นหลุมวังวนขึ้นข้างกายพวกเขาแต่ละคน

    สิ่งที่มือขวาของพวกเขาสิบสองคนซึ่งยื่นเข้าไปภายในนั้นชักดึงออกมา เป็นดาบยาวคมกริบสิบสองเล่ม

    ทั้งสิบสองคนบังคับม้าหันเหแยกตัวออกในตำแหน่งทิศทางที่แตกต่าง แต่พร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน ใช้อาวุธชนิดเดียวกัน และมีจุดประสงค์เดียวกัน

    ...ปกป้องรถม้าที่ใจกลางขบวน

    สองฝ่ายเข้าปะทะ เกิดเป็นกระแสรุนแรงไร้รูปแผ่พลังอานุภาพคลี่คลุมทั่วทั้งบริเวณ

    พวกเขาทุกคนล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ผู้ใช้เวทมนตร์

    ...จอมเวท

    ดาบคมเรียวสิบสองเล่มและศาสตราวุธรูปร่างพิสดารสิบห้าชนิดส่องวาบวาวด้วยประกายของสายฟ้าที่พุ่งผ่านหมู่เมฆทะมึน สาดสว่างเจิดจ้าในพริบตาหนึ่ง

    พริบตาที่สายฟ้าอีกสายหนึ่งพุ่งผ่านจากหมู่แมกไม้

    คนที่เคลื่อนไหวรวดเร็วและกราดเกรี้ยวดั่งสายฟ้า

    เป็นเด็กหนุ่มซึ่งทะยานออกจากพุ่มไม้ที่หมอบซุ่ม พุ่งดิ่งลงสู่ขบวนม้าเบื้องล่างสายตา

    เสียงกัมปนาทฟาดผ่าแผ่นผืน ขับไล่ความสงัดเงียบไปหมดสิ้น


    ...................


    ดินแดน ‘เนิร์ฟเธน’ ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘ใจกลางจิตวิญญาณของผืนพิภพ’ นั้น ไม่เพียงเหตุแห่งตำแหน่งที่ตั้งหรือสภาพภูมิประเทศอันงดงามและกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่ยังเพราะอาณาจักรนี้ปกครองโดย ‘จอมเวท’ เผ่าพันธุ์ผู้ครอบครองพลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่ถูกเรียกขานว่า ‘เวทมนตร์’ ซึ่งเป็นทั้งที่นับถือยกย่องและหวาดหวั่นยำเกรงจากเผ่าพันธุ์อื่นมานับแต่อดีต

    ด้วยความน่าเกรงขามและอำนาจสูงล้ำของ ‘สี่ผู้เฒ่าราชัน’ ประมุขแห่งเหล่าจอมมนตรา ทำให้เนิร์ฟเธนมั่นคงปราศจากภัยร้ายใด ดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขเรื่อยมา

    จวบจนจูลดอลเต้ ผู้นำของ ‘เซนต์ชาร็อต’ ตระกูลนักเวทอันดับหนึ่งในเนิร์ฟเธน ก่อเกิดสงครามผลาญฟ้าดินที่เพิ่งยุติได้เมื่อสองเดือนก่อน โดยแลกมาด้วยอาการสาหัสฉกรรจ์จากการกรำศึกของสี่ผู้เฒ่าและชีวิตเผ่าพันธุ์จอมเวทจำนวนมหาศาล

    แม้สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ทว่าทั่วทั้งดินแดนเนิร์ฟเธนยังไม่คลายซึ่งเงามืดแห่งภัยร้าย นั่นเพราะ ‘บุตรชาย’ ของจูลดอลเต้ สายเลือดหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลเซนต์ชาร็อตยังคงหลบรอดลอยนวล

    ผู้คนมากมายพากันหวั่นเกรงในผู้สืบทอดของจูลดอลเต้คนนี้ ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน กำลังกบดานซ่องสุมพลพรรคเพื่อเตรียมการกลับมาก่อหวอดครั้งใหญ่เช่นที่พ่อของเขาเคยทำหรือไม่

    และจะล้างแค้นมูเอราเอล หนึ่งในสี่ผู้เฒ่าราชันที่สังหารบิดาของตนเองอย่างไร

    ...เมื่อวันก่อน เด็กหนุ่มสืบได้ข่าวคราวเรื่องหนึ่งมา

    ข่าวสารที่เด็กหนุ่มสืบทราบมาได้ไม่ใช่เรื่องทายาทของจูลดอลเต้...แต่เป็นเรื่องทายาทของมูเอราเอล

    ทายาทเยาว์วัยของมูเอราเอลหายสาบสูญไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังจากสงครามเปิดฉากขึ้นได้ไม่นาน ร่ำลือกันว่ามูเอราเอลส่งไปซ่อนตัวเป็นการลับเพื่อป้องกันการถูกปองร้ายจากฝ่ายตรงข้าม

    ยามนี้สถานการณ์ผันแปร กลุ่มกบฏที่หลงเหลือต่างพากันมุ่งเป้าไปที่ทายาทคนดังกล่าวและเริ่มคืบคลานออกควานหาร่องรอย มูเอราเอลซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับจูลดอลเต้ จึงมีบัญชาให้จอมเวทใต้อาณัติจำนวนหนึ่งอารักขาคุ้มครองทายาทไปยังสถานที่ปลอดภัย

    ถ้าข่าวที่เขาได้มาไม่ผิดพลาด ทายาทคนนั้นอยู่ในรถม้าคันนี้

    มันเป็นโอกาสเดียว โอกาสครั้งสุดท้ายที่เขาจะพลาดไม่ได้


    ...................
  3. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ก่อนเด็กหนุ่มหยั่งเท้าลงบนหลังคาประทุนรถเพียงเสี้ยววินาที ดาบเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาจากด้านหลัง

    เด็กหนุ่มพลิกพลิ้วร่างหลบรอดปลายคม ทิ้งตัวลงพื้นดินโดยที่แอ่งน้ำใต้เท้าไม่แตกกระเซ็นแม้แต่น้อย

    คนลงมือคือสารถีรถ หนึ่งในกลุ่มคนผู้ใช้ดาบยาว

    เขายังสังเกตเห็น ตราผลึกลงสลักรูปปีกวิหคคู่สีเงินตรงกึ่งกลางโคนดาบ

    สัญลักษณ์ ‘อาญาสวรรค์’ หน่วยนักดาบเวทระดับสูงของ ‘พันธมิตรผู้คุมกฎ’

    พันธมิตรผู้คุมกฎ เป็นที่รู้จักกันดีในนามกลุ่มอำนาจสูงสุดแห่งผู้ใช้เวทมนตร์ รวบรวมไว้ด้วยเหล่าสุดยอดจอมขมังเวทซึ่งขึ้นตรงต่อสี่ผู้เฒ่า มีสิทธิ์อำนาจเด็ดขาดในการควบคุมดูแลความสงบและสะสางข้อพิพาทในดินแดนปกครอง

    รวมถึงการไล่ล่ากวาดล้างผู้เป็นปรปักษ์ต่อเผ่าจอมเวท

    ชายชุดเทาทั้งสิบสองคนได้รับเลือกจากมูเอราเอลให้มาคุ้มครองตัวทายาทคนสำคัญ แน่นอนว่าต้องมีฝีมือร้ายกาจไม่เบา

    ดังนั้นเด็กหนุ่มไม่เล่นงานคน

    เขาเลือกเล่นงานม้า

    ฝ่ามือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มพลันปรากฏแสงสว่างเรืองรอง ก่อตัวเป็นรูปลักษณ์วงดวงสาดลำพุ่งใส่ขาม้า

    ...เวทมนตร์

    เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นจอมเวท...

    นักดาบชุดเทากระตุกบังเหียนอาชาคู่ใจโยกหลบการโจมตี เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มโลดแล่นแทรกผ่านช่องว่างขาม้า มุ่งตรงเข้าหาตัวรถซึ่งยังสงบนิ่งเสมือนไม่รับรู้การพันตูอันดุเดือดทางเบื้องนอก

    เส้นผมดำเงาของเด็กหนุ่มที่ถูกรวบเป็นหางปล่อยปลายยาวโบกสะบัดตามแรงลม พัดพาหยาดน้ำฝนกระจายละอองพร่างพรมอณูอากาศ ชุดที่เขาสวมใส่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเสื้อคลุมยาวของผู้คนในขบวนม้า หากแต่เป็นสีดำ

    ผิวของเขากลับขาวกระจ่าง เค้าใบหน้ายะเยือกเย็น

    ขาวกับดำที่แตกต่าง แต่ผสานรวมกันอย่างกลมกลืน

    ดุจดั่งรัตติกาลที่ประดับด้วยแสงจันทร์...ลึกล้ำและลี้ลับ

    แต่ที่ลึกล้ำที่สุดและลี้ลับที่สุด คือดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีเงินคู่นั้น

    ดวงตาที่งดงามดุจท้องฟ้ายามราตรี

    ...ราตรีที่เจิดจ้าเปล่งประกายลึกล้ำ

    ตัวเขาก็เป็นราตรี

    ...ราตรีที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง

    ประตูรถม้าอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

    เด็กหนุ่มเปิดมันออกในบัดดล


    ...................


    อาคมเวทมนตร์อันหม่นมัว ผนวกเข้ากับศาสตราแปลกประหลาด แฝงด้วยอำนาจคุกคามของเหล่ามือสังหารชุดดำ ล้วนแล้วแต่แกร่งฉกาจ

    หากทว่า ดาบทรงฤทธาแผดกล้าในมือเหล่าจอมเวทเสื้อคลุมเทากลับแกร่งฉกาจกว่า

    โดยเฉพาะชายหนุ่มเสื้อคลุมเทาผู้มีรูปโฉมคมสันท่วงท่าสง่างาม ที่บังคับม้าโจนทะยาน ตะลุยต้อนศัตรูจนไม่อาจประสาน นับว่าแกร่งฉกาจกว่าอย่างไม่อาจเทียบ

    เขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของม้าได้รวดเร็วปราดเปรียวเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กล่าวให้ถูก มือสังหารทั้งหลายไม่เพียงแค่ไม่อาจประสาน แม้กระทั่งชายเสื้อคลุมหรือปลายหางม้ายังแตะไม่โดน

    หากว่านี่เป็นเวทมนตร์ ต้องนับเป็นเวทมนตร์ที่สง่างามอย่างที่สุดแขนงหนึ่ง

    วิชาดาบของเขาก็สง่างามดุจเดียวกัน

    ในหมู่ผู้คนบนหลังม้าทั้งหมด เขาออกดาบน้อยครั้งที่สุด แต่สยบศัตรูได้มากที่สุด เพียงห้าครั้ง ชายในชุดดำล้มลงห้าคน ทุกคนที่ล้มลงไม่อาจลุกขึ้นต่อสู้ได้อีก

    ชายหนุ่มไม่ได้ฆ่า ทุกดาบของเขามีประสงค์เพียงหยุดยั้งการเคลื่อนไหวไม่ใช่เอาชีวิต จอมเวทหนุ่มยังต้องการคำตอบหนึ่งจากคนเหล่านี้

    ‘ใคร’ บงการให้มา...

    แต่คนเหล่านี้ตอบไม่ได้

    เพราะคนตายพูดไม่ได้

    ...พวกเขาล้วนแต่ตายแล้ว คนทั้งห้าปลิดชีพตัวเอง

    ไม่แค่ทั้งห้า ชายในชุดดำอื่นที่ถูกสยบล้วนฆ่าตัวตายทันทีที่พ่ายแพ้

    ไม่แค่นั้น หลังจากตายลง ร่างของทุกคนแปรสภาพเป็นหมอกควัน สลายไปในอากาศและสายฝน ไม่เหลือร่องรอยเบาะแสใดให้สืบสาว


    ...................


    อึก!

    เด็กหนุ่มถีบตัว กระโดดถอยห่างออกจากรถม้าฉับพลัน

    สายตาของเด็กหนุ่มมองเห็นหยาดเลือดหยดกระเด็นลงพื้นดิน ไล่ตามทางที่เขาถอยมา

    เลือดของเขาเอง

    มันถูกชะล้างไปกับน้ำฝนโดยเร็ว

    หยดเลือดบนคมดาบที่เพิ่งชำแรกเข้ามาในร่างเขาเมื่อครู่ก็เช่นกัน

    ถ้าเขาถอยหลังช้ากว่านี้ ไม่ใช่แค่เสียเลือด แต่อาจรวมถึงวิญญาณของเขาด้วยที่ถูกปักตรึงอยู่กับปลายดาบ

    ดาบเล่มนั้นอยู่ในมือของหญิงสาวที่กำลังเดินออกจากรถม้า เธอสวมเสื้อคลุมสีเทาหม่น ดุจเดียวกับคนบนหลังม้าที่ยามนี้ต่างกระตุ้นม้าแยกตัวออกเป็นวง โอบล้อมเขาไว้อย่างรวดเร็ว

    เด็กหนุ่มยืนนิ่งสงบ ไม่สะทกสะท้านหรือแสดงอาการอะไรออกมา มือขวากุมปากแผลบนชายโครงด้านซ้ายซึ่งเลือดยังคงไหลไม่หยุดหย่อน ดวงตาทั้งคู่จับจ้องที่หญิงสาวคนนั้น

    “เท่าที่ข้ารู้มา ทายาทเพียงคนเดียวของมูเอราเอลอายุแค่สิบกว่าปี ดีไม่ดีจะยังเด็กกว่าข้าด้วยซ้ำไป พี่สาวเป็นใคร”

    “เธอเป็นรองหัวหน้าในหน่วยลับของข้า ชื่อว่าเมยานู และเธอก็ไม่ใช่ทายาทของท่านมูเอราเอลจริงอย่างที่ท่านคาดเดา”

    ผู้ที่ตอบคำถามเป็นชายหนุ่มผู้มีวิชาดาบยอดเยี่ยมคนนั้น พิจารณาดูแล้ว เขาน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนขบวนนี้

    เด็กหนุ่มหันไปมองชายคนดังกล่าว “ท่านคือ..”

    “ฮันน์ นั่นเป็นชื่อของข้า” ชายหนุ่มแนะนำตัวต่อเด็กหนุ่ม ด้วยรอยยิ้มและท่าทีสุภาพราวกับเป็นมารยาทที่ควรกระทำ ก่อนจะกล่าวสืบต่อ

    “พลิกทั่วแผ่นดินไม่พบแม้แต่เงา บทจะเจอกลับเจอได้อย่างง่ายดาย คืนนี้พวกเราโชคดีไม่เบาจริงๆ”

    เด็กหนุ่มตอบแกมขบขัน

    “ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน คนที่นึกว่าจะได้เจอกลับไม่เจอ สงสัยช่วงนี้ข้าจะดวงตกจริงๆแฮะ”

    “ท่านมูเอราเอลมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งภารกิจลับ ให้ถือโอกาสนี้ขุดหลุมพรางกำจัดผู้ประสงค์ร้ายไปด้วยในคราวเดียว” ฮันน์เอ่ยเสียงเรียบเฉย “ข้ารู้ดีว่าหากคนจำพวกนั้นมาเยือนจริงต้องไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย แต่บอกตามตรง ไม่คิดว่าท่านจะมาด้วยตัวเอง เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต”


    ...................


    ...เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต...

    เป็นชื่อของสายเลือดคนสุดท้ายแห่งตระกูลเซนต์ชาร็อต

    เป็นชื่อบุตรชายของจูลดอลเต้ เซนต์ชาร็อต ชายผู้ก่อมหาสงคราม ท้าทายอำนาจของสี่ราชันจอมเวท

    เป็นชื่อของบุคคลอันตราย สายเลือดแห่งกบฏที่อาจเป็นเชื้อร้ายแห่งเภทภัยใหญ่หลวงในภายหน้า

    และเป็นชื่อของเด็กหนุ่มอวดดีผู้ยืนผงาดอยู่กลางวงล้อมคนนี้

    เด็กหนุ่มผู้ถูกเอ่ยนามแสร้งทำตาโต พูดเสียงกลั้วหัวเราะ

    “โอ้โฮ เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บเลยว่าข้าเป็นใคร ดูท่าตอนนี้ข้าคงชื่อดังไม่เบา”

    “ไม่เพียงแค่โด่งดัง ถึงกับกล่าวได้ว่าตอนนี้ไม่มีใครมีชื่อเสียงมากไปกว่าท่าน ในหมู่พวกกบฏที่ยังหลงเหลือไม่อาจตามจับ ท่านเป็นคนที่เราต้องการตัวมากที่สุด พวกเราทุกคนจำชื่อและหน้าตาของท่านได้แม่นยำยิ่งกว่าญาติสนิทเสียอีก เพราะสองเดือนที่ผ่านมา เราทุ่มเทกำลังไปกับการค้นหาท่านไม่น้อยทีเดียว” ฮันน์ตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

    “โอ้โอ เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ทำให้พวกท่านต้องลำบากลำบนควานหาข้ากันให้ควั่ก แหม แบบว่า...ข้าขี้อายน่ะ พวกท่านมาหาข้ากันแต่ละที เล่นยกโขยงกันมาเยอะแยะแบบนั้น ข้ามันไม่ถนัดต้อนรับอาคันตุกะหมู่มาก เลยต้องรีบเผ่นแน่บไว้ก่อน” เด็กหนุ่มยังคงยียวน

    “เรื่องนั้นไม่เป็นไร ขอเพียงท่านยอมช่วยเหลือเราสักเล็กน้อย ที่เราลงแรงไปตลอดสองเดือนก็ไม่นับว่าเสียเปล่าแล้ว” ฮันน์ยิ้มกว้างดุจเดิม แต่ดวงตาเริ่มวาวโรจน์

    “ต้องการอะไรจากข้าล่ะ จะขอลายมือชื่อเป็นที่ระลึกรึไง” น้ำเสียงและคำพูดของเซเรเนี่ยนยั่วเย้า แต่แววตาเปลี่ยนแปรไปจากเดิม

    “มิได้ ที่เราต้องการจากท่าน คือคำตอบของคำถามที่ว่า คนที่พ่อของท่านได้วางตัวเอาไว้เป็นหนอนบ่อนไส้ในฝ่ายเรามีใครบ้าง”


    ...................


    ไม่ว่าการทำสงครามใด สิ่งสำคัญคือรู้เขารู้เรา แผนหนึ่งซึ่งตอบสนองหลักการนี้คือกลยุทธไส้ศึก

    ถึงแม้จูลดอลเต้จะพ่ายแพ้ให้แก่มูเอราเอลในศึกชี้ขาดครั้งสุดท้ายก็ตามที แต่นับว่าเขาอาศัยวิธีนี้ชิงชัยมาหลายสมรภูมิ สร้างความเสียหายแก่ฝ่ายสี่ผู้เฒ่าได้ไม่น้อย

    ตอนนี้จูลดอลเต้ตายไปแล้ว มูเอราเอลย่อมไม่อาจปล่อยคนพวกนี้ไว้เป็นหอกข้างแคร่ อย่าว่าแต่เซเรเนี่ยนที่เป็นลูกชายยังไม่ถูกจับ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก หากเขาร่วมมือกับไส้ศึกที่ยังไม่ทราบตัวตนผู้นี้

    เซเรเนี่ยนไม่ได้เอ่ยตอบ

    คำตอบของเขาคือสายตาที่ประสานโต้ต่อชายผู้ตั้งคำถาม

    ฮันน์ชะงักงันไปชั่ววูบ เมื่อได้สบนัยน์ตาอีกฝ่ายตรงๆ

    แววตา...

    ที่แฝงไว้ด้วยสิ่งหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็น

    ...คมดาบนับร้อยนับพันเล่ม เสียดแทงทะลุทะลวง

    ฮันน์เห็นมันในดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า

    ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกว่าที่ฝ่ายตรงข้ามสวมแว่นไม่น่าใช่เพราะปัญหาทางสายตา แต่เพื่อปิดบังความคมกริบที่โดดเด่นจนเกินไปของแววตาเสียมากกว่า

    ฮันน์คิดว่าไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไร คู่ดวงตาคมกล้าและเฉียบแหลมปานนี้ ต่อให้เอาหินผามาขวางไว้ยังบดบังได้ไม่หมด

    ที่สำคัญคือ แววตาเช่นนี้ไม่เหมือนแววตาของคนบาดเจ็บที่ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู ไม่คล้ายแววตาของคนที่ยอมรับชะตากรรม และไม่ใช่แววตาของคนที่ยอมแพ้เพราะหลงกลติดกับ

    ก่อนหน้าเขายังคงสงสัยในความหวั่นเกรงที่สี่ผู้เฒ่าราชันมีต่อทายาทคนสุดท้ายของเซนต์ชาร็อต จะอย่างไรเซเรเนี่ยนเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้เก่งกาจขนาดไหน ด้วยวัยเพียงเท่านี้ไม่น่ามีพิษสงอันใด

    ถึงตอนนี้ เขาพอเข้าใจแล้วว่าทำไม


    ...................
  4. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ควบขี่อาชารายล้อมรอบรถม้าซึ่งปิดม่านมิดชิดมองไม่เห็นภายใน คันหนึ่ง << เหมือนเป็นคำขยายวางไว้ผิดที่ไปนิดนะครับ ถ้าแก้เป็น "ควบขี่อาชารายล้อมรอบรถม้า คันหนึ่ง ซึ่งปิดม่านมิดชิดมองไม่เห็นภายใน" จะเข้าทีกว่าไหมเอ่ย? ลองเสนอเล่นๆ นะครับ อย่าซีเรียส ^^!'


    บรรยายห้วนสั้น กระชับ ไม่ได้บอกว่าไม่ดีน้อ ตรงข้ามกลับเป็นเอกลักษณ์ของคนเขียนเสียด้วย เพราะมีสำนวนที่โดดเด่น แปลกแตกต่าง จากสำนวนที่นิยมใช้กันทั่วไปในนิยายแนวแฟนตาซี อันที่จริงเหมือนๆ จะไปทางสำนวนนิยายจีนกำลังภายในซะอีก ถือว่าดีนะครับ :D มีแปร่งๆ แปลกๆ บ้าง บางจุดอ่านแล้วก็ทะแม่งนะ คำซ้ำก็เยอะ บางจุด ผมก็ว่าไม่เห็นจำเป็นต้องเว้นบรรทัด แต่ถ้าติดตามงานของคุณ blue mouse ไปเรื่อยๆ ก็คงชินไปเองล่ะมั้ง

    ผมไม่เข้าใจว่า ตอน ที่หนึ่ง กับ บท ที่หนึ่ง มันแยกจากกันเด็ดขาดยังไงหรือเปล่า แต่สำหรับผม ตอนที่หนึ่งของคุณ blue mouse เหมือนเป็นอารัมภบทเลยนะ

    ขอแซวเล่น ตรงเด็กหนุ่มเอาหินทุบหน้าผากนี่นึกว่าเด็กหนุ่มจะเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ซะแล้ว กร๊ากก มีใส่แว่นอีกแน่ะ
  5. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอบคอมเมนต์

    ควบขี่อาชารายล้อมรอบรถม้าซึ่งปิดม่านมิดชิดมองไม่เห็นภายใน คันหนึ่ง << เหมือนเป็นคำขยายวางไว้ผิดที่ไปนิดนะครับ ถ้าแก้เป็น "ควบขี่อาชารายล้อมรอบรถม้า คันหนึ่ง ซึ่งปิดม่านมิดชิดมองไม่เห็นภายใน" จะเข้าทีกว่าไหมเอ่ย? ลองเสนอเล่นๆ นะครับ อย่าซีเรียส ^^!'
    <<< เข้าทีกว่าจริงๆ ขอบคุณที่เสนอมานะครับ ^^

    บรรยายห้วนสั้น กระชับ ไม่ได้บอกว่าไม่ดีน้อ ตรงข้ามกลับเป็นเอกลักษณ์ของคนเขียนเสียด้วย เพราะมีสำนวนที่โดดเด่น แปลกแตกต่าง จากสำนวนที่นิยมใช้กันทั่วไปในนิยายแนวแฟนตาซี อันที่จริงเหมือนๆ จะไปทางสำนวนนิยายจีนกำลังภายในซะอีก ถือว่าดีนะครับ มีแปร่งๆ แปลกๆ บ้าง บางจุดอ่านแล้วก็ทะแม่งนะ คำซ้ำก็เยอะ บางจุด ผมก็ว่าไม่เห็นจำเป็นต้องเว้นบรรทัด แต่ถ้าติดตามงานของคุณ blue mouse ไปเรื่อยๆ ก็คงชินไปเองล่ะมั้ง
    <<< แม่นแหล่ว มีกลิ่นสำนวนกำลังภายในอย่างที่คุณ AQUAFAY ทักนั่นล่ะขอรับ ได้อ่านเรื่อง 'จับอิดนึ้ง' ของท่านโก้วเล้ง แล้ว ติดใจจนอดใส่ลงไปไม่ได้ สำหรับสองบทแรก แม้จะหยิบมาแก้หลายรอบ แต่ด้วยความอาลัยและเอาแต่ใจ อยากให้มันเหลือร่องรอยของเมื่อแรกเริ่มเขียนเอาไว้ หลายๆจุดก็เลย...แหะๆ...อย่างที่เห็นครับ
    แต่บทต่อๆไปหลังจากนั้นก็จะพยายามเกลื่อนกลิ่นให้เนียนกัน เพลาๆการตัดบรรทัดแหลกลาญ และย้ำคำพร่ำเพรื่อให้น้อยลงครับ

    ผมไม่เข้าใจว่า ตอน ที่หนึ่ง กับ บท ที่หนึ่ง มันแยกจากกันเด็ดขาดยังไงหรือเปล่า แต่สำหรับผม ตอนที่หนึ่งของคุณ blue mouse เหมือนเป็นอารัมภบทเลยนะ
    <<< จัดโครงสร้างของเรื่องไว้ว่า ในแต่ละ ตอน จะมีหลาย บท น่ะครับ อันนี้ก็คือบทที่หนึ่งของตอนที่หนึ่ง (ในตอนที่หนึ่งนี้มีทั้งหมดเก้าบทขอรับ) ส่วนข้อความตัวเอียงที่ต้นเรื่องคืออารัมภบทครับ

    ขอแซวเล่น ตรงเด็กหนุ่มเอาหินทุบหน้าผากนี่นึกว่าเด็กหนุ่มจะเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ซะแล้ว กร๊ากก มีใส่แว่นอีกแน่ะ
    <<< :D จริงด้วยแฮะ

    ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเมนต์ขอรับ คุณ AQUAFAY :)


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    บทที่ สอง

    ผู้ถูกไล่ล่า



    “ถ้าข้าบอกไม่รู้ ท่านเชื่อไหมล่ะ”

    “ท่านไม่รู้ หรือไม่คิดจะตอบ?”

    “และไม่คิดจะไปกับพวกท่านด้วย”

    นักดาบเวทมนตร์แห่งหน่วยอาญาสวรรค์ขยับม้าคนละก้าว รัศมีวงล้อมเริ่มบีบแคบเข้า ฮันน์ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยกล่าว

    “ต้องขอชมเชยว่าท่านกล้าหาญใช่ย่อยที่บุกเข้ามาหาพวกเราโดยตรง หนำซ้ำยังไม่ปิดบังฐานะหรืออำพรางรูปโฉม ผิดกับพวกของท่านอีกสิบห้าคนนั้น”

    เด็กหนุ่มผู้ถูกชื่นชมแค่นยิ้มมุมปาก ไม่มีสีหน้าปลาบปลื้มแต่อย่างใด

    “โทษข้าตอนนี้มันถูกตัดหัวอยู่แล้ว เพิ่มเข้าไปอีกสักข้อหาสองข้อหามันไม่หนักหนาอะไรหรอก ยังไงข้าก็มีแค่หัวเดียว”

    สิ้นสุดคำ การต่อสู้เริ่มต้น


    ...................


    ทั้งสิบสามคนประสานดาบ ปลดปล่อยอานุภาพเหนือกว่าจอมเวทสามสิบคน ขบวนดาบรุกรับเป็นระบบ ทั้งยังสอดคล้องต้องกันราวกับเป็นดาบของคนคนเดียว ช่องโหว่ของศัตรูขอเพียงเผยให้เห็นจะถูกรุกไล่จนเปิดกว้าง ช่องโหว่ของทางตนหากเกิดขึ้นจะถูกเชื่อมปิดในทันใด

    พื้นหินดินกรวดแตกกระจาย สายลมและหยาดน้ำฝนแทบถูกฉีกกระชากบิดเบี้ยว

    ร่างกายของเซเรเนี่ยนก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

    คำกล่าวขวัญถึงหน่วยอาญาสวรรค์ไม่ได้ร่ำลือเลื่อนลอย

    ...ทว่าบุตรของเสือร้ายย่อมไม่ไร้เขี้ยวเล็บ


    ...................


    เซเรเนี่ยนสำแดงอำนาจเวทมนตร์ตีโต้กลับ

    ชั่วพริบตา จอมเวทสามคนเปลี่ยนจากนั่งบนหลังม้าลงมานอนกองกับพื้นดิน

    นั่นเป็นสิ่งที่เซเรเนี่ยนแลกมาด้วยการรับคมดาบสามแผล

    สามแผลนี้ไม่ได้เกิดจากสามคนที่ถูกเขาคว่ำ แต่เกิดจากการสกัดกั้นตามหลังของฮันน์และเมยานู

    ทั้งสามครั้ง เด็กหนุ่มไม่อาจบุกฝ่า ถูกฮันน์ไล่ต้อนกลับมาที่เดิม คิดอาศัยช่องว่างช่วงล่างของขาม้าหลุดรอดเช่นเมื่อครู่ ก็ไม่สามารถกระทำ เมยานูซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่ได้ขี่ม้าบดบังช่องทางดังกล่าวของเขาไม่มีเหลือ

    พลังกดดันไม่เสื่อมคลายลงแม้จะเหลือแค่สิบคน บาดแผลที่ถูกแทงยิ่งไม่เอื้อให้เขาวิ่งวุ่นไปมาได้เนิ่นนาน

    ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว ไม่งั้นเสร็จแน่

    เซเรเนี่ยนกระแทกพลังต่อเนื่องใส่ม้าสองตัวทางด้านซ้าย

    จอมเวทสองคนล้มลงพร้อมม้า

    นักดาบเวทมนตร์ทั้งสิบสามคนได้รับการฝึกฝนให้จู่โจมตั้งรับร่วมกันเป็นอย่างดี ทันทีที่ม้าทั้งสองล้มลง ม้าสี่ตัวเคลื่อนขวางเข้าแทนที่ ไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้เข้าซ้ำ

    เซเรเนี่ยนไม่ได้มุ่งตรงเข้าซ้ำ แต่วิ่งไปทางขวา

    เมยานูกับม้าอีกสองตัวเร่งฝีเท้าตาม ปิดทางถอยด้านขวา

    เซเรเนี่ยนกลับโผพุ่งไปในทางตรงกันข้ามอีกครา

    หน่วยอาญาสวรรค์ทั้งหมดค่อยรู้สึกตัวว่าพลาดท่าแล้ว

    พวกเขาห้าคนถูกโค่นไป ในแปดคนที่เหลือ สี่คนถูกล่อไปด้านซ้าย สามคนถูกลวงไปด้านขวา เท่ากับว่า...ตรงกลางเปิดโล่ง

    เด็กหนุ่มสาดพุ่งร่างเข้าหาม้าของฮันน์ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงลำพัง

    ตามหลักการ หากคิดตีฝ่าวงล้อม ต้องเลือกโจมตีจุดด้อย หลีกเลี่ยงจุดแข็ง

    ใครอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม เซเรเนี่ยนไม่รู้ เขารู้แค่ว่าฮันน์ฝีมือแข็งกล้าที่สุดในกลุ่ม

    ทุกครั้งที่หน่วยอาญาสวรรค์เผชิญศึก ศัตรูโดยมากมักเลือกโจมตีจุดอ่อนด้อยที่สุดของขบวน ดังนั้นตำแหน่งดังกล่าวยิ่งได้รับการหนุนเสริมแน่นหนา

    ในทางตรงกันข้าม จุดที่แข็งแกร่งถูกจ้องเล่นงานน้อยที่สุด ดังนั้นตำแหน่งของฮันน์กลับกลายเป็นมีการป้องกันย่อหย่อนที่สุดโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุที่เขามีฝีมือสูงที่สุดในหน่วย สมาชิกใต้สังกัดล้วนเคยชินกับการเห็นศัตรูพยายามเลี่ยงต่อกรกับเขาในยามเข้าปะทะ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาพบกับคนที่กล้าบุกใส่ฮันน์ซึ่งหน้า

    เซเรเนี่ยนเลือกไม่ผิด เพราะฮันน์เองก็นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนมาโจมตีใส่อย่างกะทันหันแบบนี้ การจู่โจมจึงเข้าเป้าหมายไม่คลาดเคลื่อน กลุ่มพลังเวทที่มือขวาของเขากระแทกยอดอกของฮันน์อย่างจัง ชายหนุ่มถูกผลักดันตกลงจากหลังม้า


    ...................


    ถึงอย่างไร ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเข้มแข็ง ต่อให้พลาดท่าเสียทียังมีจุดที่ยากตอแยอยู่

    ฮันน์รับพลังเวทมนตร์ของเซเรเนี่ยนเข้าไป แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยน หว่างคิ้วไม่แม้แต่จะขมวด เขาเพียงขยับริมฝีปากเล็กน้อย

    ที่ออกจากปากไม่ใช่เสียงร่ำโอดแสดงความเจ็บปวด หากแต่เป็นวจีอันแผ่วทุ้มแฝงอำนาจลึกลับประโยคหนึ่ง

    “อสรพิษเหล็กกล้าเรืองฤทธา จงสยบมนตราศัตรูผู้ประจันเบื้องหน้า”

    เซเรเนี่ยนคิดถอนมือกลับยังช้าไป

    สายโลหะวาววับพุ่งวาบออกจากในเสื้อคลุมของฮันน์เข้าตวัดรัดพันมือขวาของเด็กหนุ่ม ไล่เรื่อยมาตามท่อนแขน เลื้อยผ่านไปที่หัวไหล่ราวกับมีชีวิต

    นั่นเป็นโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง

    เซเรเนี่ยนถอยกระเด็นกลับเข้ามากลางวงม้า พยายามแกะดึงโซ่ออกจากแขนอย่างเอาเป็นเอาตาย

    ฮันน์โดนพลังเวทกระแทกใส่ไม่ยอมหลบ กลับใช้เจ้านี่มาโต้ตอบ แสดงว่ามันต้องมีดีสักอย่าง ถึงเขาไม่รู้ว่าดีที่ว่าคืออะไร แต่ทราบได้ว่าไม่มีผลดีกับตนแน่นอน

    ข้อสงสัยได้รับความกระจ่างโดยเร็ว เซเรเนี่ยนเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นกับร่างกาย

    เวทมนตร์ของข้า... ซวยแล้ว

    นี่มันโซ่ผนึกมนตรา!!


    โซ่ผนึกมนตราเป็นศาสตราลงอาคมที่จำกัดการใช้เฉพาะแก่หน่วยลับระดับสูงของพันธมิตรผู้คุ้มกฎ มีฤทธิ์อำนาจในการสกัดกั้นพลังเวทมนตร์ กับอาวุธชนิดนี้เซเรเนี่ยนเคยได้ยินแต่ชื่อ เรื่องวิธีป้องกันหรือรับมือไม่ต้องพูดถึง

    “เปล่าประโยชน์ ผู้ที่ต้องอำนาจสะกดของโซ่ผนึกมนตราไม่อาจปลดมันออกได้ด้วยตัวเอง นอกจากรอจนผนึกเสื่อมลงตามสัดส่วนของพลังเวทมนตร์ในตัว” ฮันน์ให้คำอธิบายพร้อมรอยยิ้มละไม

    ใช่ จะสะกดไว้ได้นานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับพลังของผู้ถูกสะกด...นั่นคือเท่าที่เซเรเนี่ยนรู้ ด้วยระดับพลังเวทอย่างเขา ความจริงใช้เวลาราวสองชั่วโมงคงคลายโซ่ออกได้เอง

    แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้โดนกักพลังเวทแค่สองนาทียังถือว่านานจนเกินไป

    เซเรเนี่ยนชักหน้าเจื่อน

    “เห~ เล่นแบบนี้ขี้โกงนี่ มีของทุ่นแรงก็ไม่บอกกันก่อน”

    “ท่านมีไม้เด็ดเป็นลูกเล่นหลอกล่อ ข้าไม่มี เลยต้องใช้เครื่องมือเล่นไม่ซื่อเข้าช่วย หวังว่าจะไม่ว่ากัน”

    “อยากว่าอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์”

    “นั่นสิ ท่านควรเอาเวลาไปคิดให้ออกเร็วๆดีกว่าว่าจะเอายังไงต่อ” ฮันน์แสร้งแนะนำ

    เด็กหนุ่มยิ้มแห้ง “คำถามนี้ข้าจนปัญญาจะตอบแฮะ ท่านช่วยเฉลยให้ทีสิ”

    “รอจับท่านมัดแขนมัดขาจนแน่ใจว่าจะหนีไม่ได้แล้วก่อน ข้าจะบอกให้”

    ฮันน์ยกมือให้สัญญาณเตรียมเผด็จศึก

    ทว่าก่อนที่กลุ่มนักดาบจะเปิดฉากโจมตี เซเรเนี่ยนชิงตะเบ็งเสียงก้อง

    “เฮ่! พวกเจ้าออกมากันได้แล้ววว”

    จอมเวทสองคนหันขวับไปทางด้านหลังโดยสัญชาตญาณ เดิมทีพวกเขาก็ไม่คิดว่าเซเรเนี่ยนจะกล้ามาโดยมีพลพรรคติดตามเป็นนักฆ่าจำนวนแค่หยิบมือ

    คนทั้งคู่พลั้งเผลอแบ่งแยกสมาธิ ละสายตาจากเด็กหนุ่มไปชั่วขณะ

    ช่องว่างแห่งโอกาสอันน้อยนิดนี้ นับว่าเพียงพอที่เซเรเนี่ยนจะหยิบฉวย

    ร่างของจอมเวทหนึ่งในสองคนนั้นปลิวลิ่วไปในเวลาเดียวกับที่เด็กหนุ่มทะลวงออกนอกวงล้อม

    เซเรเนี่ยนกัดฟันข่มความเจ็บปวด กระโดดไต่กลับเนินสูงที่เขาใช้ซ่อนตัว วิ่งลัดเลาะขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว

    หนทางบนภูเขาทั้งลาดชันและมีหมู่ไม้สูงใหญ่ทอดกิ่งก้านรากดงยึดยาวระเกะระกะ ฮันน์ เมยานู และจอมเวทอีกหกคนที่เหลือจำต้องผละทิ้งม้า

    ทั้งหมดตามติดเซเรเนี่ยนไปในระยะกระชั้นชิด


    ...................
  6. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    สายลมโบกกรีดหวีดร้องราวกับเสียงคร่ำครวญโหยไห้ สายฝนเหมือนเป็นหยาดน้ำตาที่หลั่งรินเอ่อท้น

    บางทีท้องฟ้าอาจร้องไห้ให้เขา

    ...ไม่อย่างนั้นก็หัวเราะเยาะจนน้ำตาเล็ด

    หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกับการห้อเหยียดเต็มฝีเท้า หลบหลีกคมอาวุธและเวทมนตร์ที่มาเป็นระลอกในป่าผืนใหญ่ เซเรเนี่ยนถอยไม่ได้แล้ว

    เพราะเบื้องหลังของเขาไม่เหลือพื้นดินที่รองรับสองเท้า มีเพียงอากาศธาตุ และผาสูงชันมืดมิดไม่เห็นก้น

    แต่เซเรเนี่ยนยิ่งไม่อาจเดินหน้า

    เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ ยืนขวางไว้ด้วยเหล่าจอมเวทที่กระจายตัวออกปิดกั้นหมดสิ้นในทุกตำแหน่งทุกทิศทาง หนำซ้ำคราวนี้ทุกคนมีการระแวดระวังเป็นอย่างดี เรื่องใช้ลวดลายหลบหลีกอย่างคราวแรกเป็นอันเลิกคิดไปได้

    ฮันน์เดินยิ้มเยือกเย็น มาหยุดยืนในระยะห่างห้าก้าวเบื้องหน้าเขา

    “จะยอมรามือรับการจับกุมได้หรือยัง”

    “ไม่มีทาง”

    “ด้านหลังท่านเป็นหน้าผา”

    “ข้าเห็น”

    “ท่านจนมุมหมดทางหนีแล้ว”

    “ใครบอก”

    “หรือท่านบินได้?”

    “ไม่ได้”

    บรรดาจอมเวทที่รายล้อมรอบ เมื่อได้ฟังคำตอบ บ้างมองว่าเซเรเนี่ยนรู้ตัวดีว่าไร้หนทางหลุดรอด หากแต่ยังคงดื้อแพ่ง โต้เถียงตีรวนไม่เลิกราตามนิสัยจองหองของเด็กหนุ่ม บ้างเข้าใจว่าเซเรเนี่ยนแม้จนตรอกแต่ไม่ยอมจำนน ตระเตรียมเสี่ยงชีวิตบุกฝ่าวงล้อม บ้างคิดว่าเซเรเนี่ยนถูกกดดันมากเข้าจนเสียสติ พูดจาเลอะเทอะเหลวไหล

    ฮันน์ไม่คิดอย่างนั้น

    เพราะจากที่เขาเห็น ความคมกล้าในแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้ายังไม่ทื่อด้านลงเลยแม้แต่นิด

    แววตานั้นบ่งบอกให้เขารู้ ในเมื่อยังไม่ยอมแพ้ นั่นแสดงว่าเซเรเนี่ยนยังไม่อับจน

    ดังนั้น ฮันน์จึงสงสัยจนถึงกับพิศวง เขาไม่อาจเข้าใจและคาดเดาความคิดของเด็กหนุ่มคนนี้ได้เลย

    “ถ้าอย่างนั้น ท่านจะเอาอะไรมาใช้หนีพวกเรา“

    คำถามนี้ฟังดูเหมือนเป็นการถามเพื่อหยั่งเชิงแผนการ หรืออาจเพื่อคาดเดาสภาพจิตใจจากปฏิกิริยา ไม่อย่างนั้นอาจเพื่อเตือนให้เซเรเนี่ยนได้ตระหนักว่าเขาหมดสิ้นหนทางแล้ว เป็นการลิดรอนความคิดที่จะเข้าแลกเสี่ยงตาย แต่สำหรับฮันน์แล้ว เขาเอ่ยคำถามนี้เพราะต้องการทราบคำตอบจริงๆ

    คำตอบของเซเรเนี่ยนก็เรียบง่ายชัดเจน

    “เท้า”


    ...................


    เซเรเนี่ยนหนีไม่รอดแน่แล้ว

    ทุกคนที่อยู่ในบริเวณริมผาคิดเช่นนั้น ...ยกเว้นตัวเด็กหนุ่มเอง

    เซเรเนี่ยนถอยไม่ได้แล้ว แต่เขายังคงถอย กระโดดถอยอย่างรวดเร็ว และตกลงสู่หุบเหวเบื้องล่างอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า

    เขาบินไม่ได้ เขาไม่มีปีก ดังนั้นเขาหนีไปในท้องฟ้าไม่ได้

    แต่เขามีเท้า เขาสามารถกระโดด ดังนั้นเขาหนีลงไปที่ก้นเหวได้ก่อนที่พวกนั้นจะทันคว้าจับไว้

    ร่างของเซเรเนี่ยนจมมิดกับความมืดของหุบเหว มองไม่เห็นอีกต่อไป

    สายลมหวีดครวญแหลมคมกว่าเดิม ฟ้าลั่นครืนครันดังยิ่งขึ้น

    “นึกไม่ถึงว่าจะเลือกฆ่าตัวตาย”

    เป็นคำเปรยของจอมเวทคนหนึ่งในกลุ่มที่เดินมาหยุดยืนยังริมผา

    “ไม่” ฮันน์แทรกขึ้น “สรุปไม่ได้จนกว่าจะเห็นศพ”

    “ฮันน์ ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าพวกกบฏที่มายังที่แห่งนี้จะหลงเหลืออยู่แค่เด็กนี่ตัวลำพัง” เมยานูกล่าวย้ำเตือน “ถ้าหากพวกของมันคนอื่น ‘ชิงตัดหน้า’ ไปก่อนเราล่ะก็แย่แน่ เรื่องของเซเรเนี่ยนนั้นยังถือเป็นเรื่องรอง ภารกิจหลักที่ท่านมูเอราเอลมอบหมายมาต่างหากนับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า”

    ฮันน์ที่ตั้งท่าจะตามจัดการเซเรเนี่ยนต่อ ขยับปากคิดจะพูดอะไรออกมา แต่เกิดลมหายใจติดขัดกระอักเลือดออกมาคำโต

    หญิงสาวผู้เป็นรองหัวหน้าเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยด้วยท่าทีเป็นห่วง “ท่านบาดเจ็บไม่เบา ไปพักผ่อนสักครู่เถอะ”

    ชายหนุ่มนิ่งเงียบชั่วขณะ แล้วจึงค่อยรับคำ เดินหันหลังกลับทางเดิม ร่างสูงสง่าซวนเซเล็กน้อย...เขาบาดเจ็บไม่เบาจริงๆ

    ถูกอย่างที่เมยานูว่า ภารกิจหลักที่ท่านมูเอราเอลมอบหมายมาถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า

    แต่ก่อนที่จะไป เขาออกคำสั่งต่อสมาชิกของหน่วยเสียงเฉียบขาด

    “ส่ง ‘ฟีราเคนิส’ ออกล่า แล้วแจ้งข่าว ระดมกำลังจอมเวทกับกองทหารในพื้นที่ ปิดเส้นทาง โอบล้อมตามแนวป่า ค้นหาให้ทั่วหมู่บ้านโดยรอบ ต่อให้ตายแล้วก็ต้องเอาศพมาให้ได้”


    ...................


    ม่านสายฝนที่โปรยปรายต่อเนื่องยังไม่เบาบางลง ส่งผลให้แม่น้ำในป่ากลายเป็นคลื่นอุทกผลักดันล้นปรี่ซัดเซาะผืนดิน

    กลางกระแสอันเชี่ยวกรากแห่งลำน้ำสายใหญ่ มือหนึ่งผุดขึ้นเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ที่ยื่นขวางลงไปในสายธาร

    เซเรเนี่ยนยังไม่ตาย

    พอเหนี่ยวร่างขึ้นฝั่งได้ เด็กหนุ่มก็ล้มตัวนอนหงาย แผ่หราบนพื้นหญ้าฉ่ำน้ำโคลน

    ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์และเวลาลงมือที่ไม่รู้ชัดล่วงหน้าว่าเป้าหมายจะมาเมื่อไรบีบบังคับ เขาต้องเตรียมทางหนีที่มันดีกว่านี้ให้ตัวเองแน่ ไม่ใช่ผ่าโดดลงมาจากหน้าผาแบบนี้

    บ้าชะมัด ลงท้ายทุกอย่างเหลวเป๋วหมด

    แว่นตาเขาหล่นหายไปในสายน้ำแล้วเรียบร้อย แต่ไอ้โซ่บ้านี่ยังเกาะติดกับแขนแน่นอย่างกับปลิง

    ยังดีนะที่รอดมาได้ เซเรเนี่ยนนึกปลอบใจตัวเอง

    ...เด็กหนุ่มนึกแบบนั้นได้แค่ครู่เดียว

    เสียงการเลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง มุ่งตรงมาด้วยความรวดเร็วจากแนวป่าด้านตรงข้าม

    “เฮ่ย!”

    เซเรเนี่ยนกระเด้งหลังลุกขึ้นนั่ง อุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้

    มันหยุดยืนคุมเชิงอยู่ที่อีกฟากของแม่น้ำ ดวงตาเป็นสีโลหิตแดงฉาน ทั่วทั้งร่างมีขนสีดำทะมึนดุจเถ้าถ่านของควันไฟปกคลุม แผดเสียงคำรามน่าหวาดหวั่นก้องสะท้อนทั่วบริเวณ

    ...ฟีราเคนิส

    สุนัขป่าพันธุ์พิเศษที่พันธมิตรผู้คุมกฎเพาะเลี้ยงขึ้น จุดประสงค์เพื่อการตามล่าโดยเฉพาะ มีสติปัญญา ความสามารถในการต่อสู้สูงกว่าสัตว์ป่าโดยทั่วไป รับรู้และปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้เป็นนายได้ดีเยี่ยมกว่าสุนัขชนิดอื่นหลายเท่า เซเรเนี่ยนเองพอจะเคยได้รับฟังกิตติศัพท์ความร้ายกาจของหน่วยล่าสี่ขานี้มาบ้าง

    ถึงอย่างนั้น เขาก็เชื่อมั่นว่าการต่อกรกับสัตว์นักล่าชนิดนี้ไม่ลำบากมือเท้าเท่าไรนัก...ถ้าเป็นในยามปรกติ

    ตอนนี้ไม่ใช่ยามปรกติ

    เขาสูญเสียพลังเวทมนตร์ไปมากโขอยู่จากการขับเคี่ยวกับสิบสามคนนั้น ซ้ำยังถูกโซ่ผนึกมนตราปิดกั้นพลังส่วนหนึ่ง หากจะให้ฟื้นฟูดังเดิม จำเป็นต้องได้รับการพักรักษาตัวสักระยะ

    ที่เป็นปัญหาใหญ่คือ เขามีแผลที่ท้องรูเบ้อเริ่มยังไม่ได้อุด แถม...ศัตรูไม่ได้มาเดี่ยว

    มันมีมากกว่าหนึ่ง ...มากกว่าสิบ ...หรืออาจมากกว่ายี่สิบ เด็กหนุ่มชักไม่แน่ใจในจำนวนเพราะรู้สึกว่าจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ

    ให้ตายสิ บุญกุศลในชาติปางก่อน ข้าใช้หมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานรึไงนะ

    เซเรเนี่ยนอดที่จะโอดครวญออกมาในใจไม่ได้

    สุนัขกระหายเลือดนับสิบๆตัว แยกเขี้ยวสยองขวัญ เดินย่างสามขุมเข้าหาเขาทีละก้าว ระยะห่างระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งฝูงที่มีแม่น้ำสายยาวคั่นกลางสั้นลงเรื่อยๆ

    “แค่เด็กเฮงซวยอย่างข้าคนเดียว ถึงกับต้องลงทุนขนาดนี้ ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

    เซเรเนี่ยนรู้ดีว่าจอมเวทเหล่านั้นยังต้องการตัวเขาเพื่อสืบหาไส้ศึกที่แฝงตัวอยู่ภายใน ดังนั้นฟีราเคนิสฝูงนี้น่าจะได้รับคำสั่งมาแค่การสืบหาเขาให้พบ แล้วเอาตัวกลับไปแบบที่ยังมีชีวิต...

    แต่ความคิดดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าฮันน์อนุญาตให้เจ้าหมาพวกนี้สามารถฉีกทึ้งแขนขาเขากินเล่นได้สักข้างสองข้างหรือเปล่า เพราะจะอย่างไร การตอบคำถามใช้แค่ปากก็เพียงพอ

    “เฮ่ เฮ่ เฮ่ เฮ่ ข้าไม่อร่อยหรอกนะพรรคพวก”

    ไอ้พวกหมาหน้าตาไม่น่าคบหาฝูงนี้ก็อย่างกับจะรู้ความคิดของเขาดีงั้นแหละ ประสานเสียงเห่ากรรโชก หอนโหยหวนกันไม่ยั้ง บางตัว (ถ้าไม่ได้คิดไปเอง) เหมือนจะยิ้มเยาะเขาด้วยซ้ำ

    เอาน่า แม่น้ำนี่ไม่ใช่ตื้นๆ ความกว้างก็มากในระดับหนึ่ง มันยังข้ามมาไม่ได้ ก่อนที่พวกมันจะอ้อมทางมาไล่ฟัดเรา ยังพอมีเวลา..

    ตุบ

    เสียงฝ่าเท้าสุนัขกระทบพื้นดิน ฟีราเคนิสตัวหนึ่งกระโดดสูงลอยข้ามแม่น้ำ ลงมาหยุดยืนที่พื้นดินข้างกายเขาอย่างมั่นคง

    ...เวร

    เซเรเนี่ยนยิ้มแยกเขี้ยวล้อเลียนใส่ ก่อนจะตัดสินใจเผ่นไม่รีรอ


    ...................


    เด็กหนุ่มกระโดดลงสู่แม่น้ำที่ตัวเองเพิ่งปีนป่ายขึ้นมา

    ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะวิ่งหนีไปทิศทางตรงกันข้าม สภาพของเขาตอนนี้ขืนวิ่งแข่งกับพวกมัน มีแต่แพ้กับแพ้ ยิ่งมันส่งเสียงดังระงมไปทั่วป่าแบบนี้ อีกสักพักเจ้าพวกจอมเวทนั่นคงได้แห่ตามกันมาทีนี่ ถึงตอนนั้น มีเท้าสิบคู่ยังไม่แน่ว่าวิ่งหนีพ้น

    ถ้าอยู่กลางลำน้ำเชี่ยว เขายังสามารถใช้เวทมนตร์ช่วยผลักดัน ประคองตัวไม่ให้จม และอาศัยกระแสน้ำพัดพาโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงว่ายมากนัก ต่อให้พวกบ้าจี้ นึกครึ้มลงน้ำว่ายตามมา ให้มันรู้ไปว่าเขาจะว่ายน้ำแพ้หมา ยังไงซะ ถึงตามทัน มันก็กัดเขาได้ไม่ถนัดเหมือนอยู่บนบก

    ด้วยความยาวของแม่น้ำที่เขาคาดคะเนและความเร็วระดับนี้ ไปอีกสักระยะคงสลัดหลุดจากพวกมันได้หมด

    ออกจะเป็นวิธีหลีกลี้ที่บ้าระห่ำและสิ้นคิด แต่เด็กหนุ่มนึกหาวิธีดีกว่านี้ไม่ออก

    ถ้าโชคเข้าข้าง (ซึ่งหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น หลังจากที่อับโชคมาตลอดทั้งคืนแล้ว) เขาหนีรอดได้แน่

    ซะเมื่อไหร่ล่ะ...

    เซเรเนี่ยนแทบตะโกนออกมาไม่เป็นภาษามนุษย์ เมื่อสองตัวที่ไล่กวดตามมากระโดดออกจากริมฝั่ง พุ่งเข้าหาเขาที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำ หยึย! จะดีใจหรือเสียใจดีล่ะเนี่ยที่มันไม่ได้เป็นโรคกลัวน้ำ

    “อุ๊บ!” ทั้งสองตัวตะปบใส่หัวไหล่ซ้ายขวาเขาอย่างแม่นยำ แล้วอาศัยแรงปะทะโผกลับเข้าฝั่งด้วยท่วงท่าปราดเปรียว ดูจากการโจมตีของมัน เหมือนพยายามฆ่าเขาให้ตายมากกว่าต้องการจับเป็น

    หนึ่งในสองตัวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง กัดขย้ำใส่ท่อนแขนที่เซเรเนี่ยนยกขึ้นป้องกันอย่างไม่ปรานี

    แต่ที่ขย้ำถูกไม่แค่แขนเขา...ยังรวมถึงสายโซ่อาคมซึ่งเกี่ยวกระหวัดอยู่บนนั้นด้วย

    “ขอบใจ”

    เซเรเนี่ยนพูดจบ หมัดซ้ายที่ง้างขึ้นก็ถลุงเข้าใส่ใบหน้าของมันเต็มเหนี่ยว

    ฟีราเคนิสซึ่งรับแรงกระแทกถลาออกไปอย่างรุนแรงพร้อมโซ่เหล็กที่ยังขบแน่นอยู่ในกราม กับกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ดึงเขาไปทางทิศตรงกันข้าม ช่วยทำให้โซ่ผนึกมนตราถูกกระชากหลุดจากร่างเขา

    เด็กหนุ่มเค้นเรี่ยวแรงเร่งรี่ดำดิ่งลงไปก้นธาร ก่อนโผขึ้นผิวน้ำโดยมีก้อนหินขนาดเหมาะมือเต็มวงแขน

    “อโหสินะพวกเจ้า ข้ายังมาตายที่นี่ไม่ได้”

    พลังเวทมนตร์ถูกถ่ายลงก้อนหินแล้วขว้างซัดแหวกฝ่าอากาศ ตรงเข้าฝังยังจุดตายกลางหน้าผากของเจ้าหมาตัวใดก็ตามแต่ที่กระโจนเข้าใส่เขาทีละก้อน...ทีละก้อน พวกมันตกลงสู่พื้นน้ำและจมหายโดยรวดเร็ว

    มีสองตัวที่ฝังคมเขี้ยวลงกับแผลเก่าที่หัวไหล่กับท่อนแขน และอีกสามที่ใช้กรงเล็บแหลมคมปาดข่วนใส่หน้าผากด้านซ้าย ข้างแก้ม และแผ่นหลังเขา แต่ละตัวล้วนแต่ถูกเด็ดชีพ ทิ้งร่างไร้วิญญาณลงก้นแม่น้ำในการจู่โจมครั้งถัดมา

    เซเรเนี่ยนใช้ก้อนหินต่างอาวุธ ตอบโต้เหล่าสัตว์นักล่าตัวแล้วตัวเล่าที่บุกโจมตีต่อเนื่องไม่ลดละ จนกระทั่งไม่เหลือสุนัขตัวใดที่จะโจมตีใส่เขาอีก


    ...................


    เซเรเนี่ยนถูกน้ำพัดพาไกลออกมาอีกระยะหนึ่ง จึงค่อยกัดฟันว่ายเข้าฝั่ง ขึ้นบกในสภาพทุลักทุเลเต็มที

    เขาคืบคลานอยู่บนพื้นเนื่องเพราะยืนไม่ขึ้น เด็กหนุ่มแทบกระอัก สาบานได้ว่าไม่เคยเหนื่อยเจียนตายอย่างนี้มาก่อน เขารีดเร้นพลังออกมาใช้ไม่เหลือหลอ จนอ่อนปวกเปียกขนาดที่หากใครมาจามใส่โดยแรง เขาอาจถึงแก่ชีวิตได้

    แต่ยังไม่ทันจะได้พักหอบหายใจ เซเรเนี่ยนกลับมองเห็นเงาร่างที่ทำเอาหัวใจเต้นกระตุก

    มันยืนจ้องมองเขาเขม็งด้วยดวงตาสีเลือดน่าสะพรึงคู่นั้น

    “ยังมีอีกตัว”

    เซเรเนี่ยนครางเสียงแหบแผ่ว

    ฟีราเคนิสค่อยๆเดินเข้ามาหาอย่างใจเย็น มันดูราวกับจะคาดเดาออกว่าเหยื่อไร้ซึ่งทางดิ้นรน และกำลังจะสูญเสียเรี่ยวแรงประคับประคองตนในไม่ช้า

    เด็กหนุ่มพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สองมือกวาดไปรอบ ตะกุยคุ้ยเขี่ยดินไม่หยุดยั้งคล้ายควานหาที่หยั่งเพื่อหยัดกายลุก

    ...บ้าเอ๊ย

    เซเรเนี่ยนหมดสิ้นพละกำลังที่จะหลบหนีอีกต่อไป ตอนนี้แม้แต่แรงหอบหายใจยังไม่มี

    ร่างของเขาหมอบฟุบลงในที่สุด

    สุนัขจอมล่ากระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว


    ...................
  7. Zear

    Zear New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    สวัสดีครับ และขอยินดีต้อนรับ แม้จะช้าไปสักนิด ^^

    เสียดายที่ไม่ได้มาอ่านเร็วกว่านี้ ขอปรบมือให้จริงๆครับ สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ การบรรยายค่อยๆเก็บรายละเอียดไม่รวบรัด แต่ก็ไม่ฟุ่มเฟือยพรรณนา จึงไม่บั่นทอนบรรยากาศของเรื่อง ทำให้ดำเนินไปได้โดยไม่ช้าไปหรือเร็วไป แล้วยังเรียบเรียงให้ติดตามได้เป็นฉากๆอย่างไม่งง แถมเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ยังยิ่งเป็นการผูกปมความลึกลับของเรื่องให้มากขึ้น ยกนิ้วให้เลยครับ

    ตอนแรกที่กลุ่มรถม้าออกมา กับตอนเข้าฉากตัวเอกเซเรเนี่ยนครั้งแรก ผมแอบคิดว่า เจ้าพวกนี้มีสเปรย์กันน้ำกันทุกคนสินะ... (ฮา)
    เรื่องราวพลิกแพลงไปตามการตัดสินใจของตัวละคร ถือว่าทำให้น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ ถึงผมจะคิดว่าการเอาหินทุบหัวจนแตกทั้งหัวทั้งหินนี่ จะไม่ดีนักก็ตาม (ผมว่าปรกติหินมันแข็งนะ หัวคนไม่น่าจะแข็งกว่าหิน เอ... หรือมันจะเป็นหินปูน?) แต่ผมก็ชอบลักษณะของเซเรเนี่ยนนะ

    แล้วก็ ... ฟีราเคนิส... ดูเท่จังเลยครับ ขอสักตัวสิ TAT!!

    แล้วจะมาดูตอนต่อไปนะครับ ^^

    ปล. ว่าแต่ ลักษณะการจบตอนนี่เหมือนผมเลยแฮะ ปล่อยให้คาใจ ฮา :D
  8. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอบคอมเมนต์

    สวัสดีครับ และขอยินดีต้อนรับ แม้จะช้าไปสักนิด ^^
    <<< สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันขอรับ ^^

    เสียดายที่ไม่ได้มาอ่านเร็วกว่านี้ ขอปรบมือให้จริงๆครับ สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ การบรรยายค่อยๆเก็บรายละเอียดไม่รวบรัด แต่ก็ไม่ฟุ่มเฟือยพรรณนา จึงไม่บั่นทอนบรรยากาศของเรื่อง ทำให้ดำเนินไปได้โดยไม่ช้าไปหรือเร็วไป แล้วยังเรียบเรียงให้ติดตามได้เป็นฉากๆอย่างไม่งง แถมเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ยังยิ่งเป็นการผูกปมความลึกลับของเรื่องให้มากขึ้น ยกนิ้วให้เลยครับ
    <<< ได้ทั้งปรบมือทั้งยกนิ้วเลย ^^
    ดีใจที่ได้รู้ว่าอ่านแล้วชอบครับ เป็นปลื้ม TT^TT

    ตอนแรกที่กลุ่มรถม้าออกมา กับตอนเข้าฉากตัวเอกเซเรเนี่ยนครั้งแรก ผมแอบคิดว่า เจ้าพวกนี้มีสเปรย์กันน้ำกันทุกคนสินะ... (ฮา)
    <<< :D
    เรื่องราวพลิกแพลงไปตามการตัดสินใจของตัวละคร ถือว่าทำให้น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ ถึงผมจะคิดว่าการเอาหินทุบหัวจนแตกทั้งหัวทั้งหินนี่ จะไม่ดีนักก็ตาม (ผมว่าปรกติหินมันแข็งนะ หัวคนไม่น่าจะแข็งกว่าหิน เอ... หรือมันจะเป็นหินปูน?) แต่ผมก็ชอบลักษณะของเซเรเนี่ยนนะ
    <<< เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่า เซเรเนี่ยนเป็นคนหัวแข็งครับ (ฮา)
    น่าจะขึ้นคำเตือน "นี่เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ผู้ชมทางบ้านไม่ควรลอกเลียนแบบ" ด้วยนะนี่ :D


    แล้วก็ ... ฟีราเคนิส... ดูเท่จังเลยครับ ขอสักตัวสิ TAT!!
    <<< มันกินจุและดุมากนะขอรับ ^^"

    ปล. ว่าแต่ ลักษณะการจบตอนนี่เหมือนผมเลยแฮะ ปล่อยให้คาใจ ฮา :D
    <<< ท่านผู้อ่านจะได้ตามมาดูตอนต่อไปไงครับ :)

    ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเมนต์ครับ คุณ [: ZEAR :]


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    บทที่ สาม

    พานพบ



    สายฝนที่ตกอย่างคลุ้มคลั่งเมื่อค่ำคืนได้หยุดลงแล้ว

    แสงสว่างแห่งวันใหม่สาดส่องเรื่อเรืองทั่วหมู่บ้าน เสียงไก่ขานขันบนหลังคากระเบื้องหลังคาไม้ของหลายบ้านดังประสานแจ่มชัด ปลุกคนอาศัยให้ตื่นนอนรับรุ่งอรุณ

    ย่านตลาดร้านค้ายามเช้าตรู่ ร้านรวงแผงลอยต่างๆเปิดรับลูกค้าในเวลาไล่เลี่ยกัน คนเดินขวักไขว่พลุกพล่าน เต็มสองฟากถนนทั้งสี่สายตลอดถึงลานหินซึ่งเป็นจุดบรรจบตรงใจกลาง

    อาคารไม้ชั้นเดียวที่หัวมุมถนนตะวันออกเป็นร้านอาหารเก่าแก่ของหมู่บ้าน มีคนมาอุดหนุนมากมายเหมือนเช่นเคย

    ทั้งที่ตั้งร้านเปิดขายมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ร้านนี้ไม่มีชื่อเรียกที่แน่นอนสักที หลายคนจึงนิยมตั้งฉายาประหลาดๆให้ตามลักษณะจุดเด่นของร้าน เช่น ร้านกระทะบุบหม้อพรุน ร้านหลังคาเบี้ยว ร้านไม่ยอมรวย ร้านพระอาทิตย์ (เจ้าของร้านหัวล้าน) ล่าสุดถูกเรียกด้วยชื่อแปลกๆว่าร้านสองขา

    ขาที่ว่าหมายถึงขาประจำที่มักมาชุมนุมอยู่หน้าร้าน หนึ่งคือลูกค้าขาประจำที่ตั้งวงพูดคุยสัพเพเหระกันเป็นกิจวัตร และอีกหนึ่งคือความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆขาประจำที่เช้านี้ยังคึกคักไม่เปลี่ยนแปลง

    “เอ... ตายแล้ว ตายแล้ว อยู่ที่ไหนน้า”

    หญิงชรานั่งอ้าปากหวอทำอะไรไม่ถูกอยู่ด้านตรงกันข้ามกับเด็กสาวผมทองที่มือขวากำลังใช้ปากกาขนนกจดข้อความลงในสมุดเล่มเล็ก ส่วนมือซ้ายควานหาสิ่งของแข่งกับมือจิ๋วสี่คู่รอบโต๊ะที่รื้อค้นกระเป๋าย่ามของเธอกระจุยกระจาย

    เด็กทั้งสี่เป็นลูกเจ้าของร้าน แต่ละคนตัวเล็กน่ารัก ใครๆต่างให้ความเอ็นดู ดังนั้นช่วงหนึ่งร้านนี้จึงมีชื่อที่ฟังดูจุ๋มจิ๋มพิลึกว่าสี่ตุ๊กตา

    ...แต่หลังจากตุ๊กตาทั้งสี่ตัวเริ่มจะวาดลวดลายได้ ชื่อก็ผันไปเป็นสี่อะไรก็แล้วแต่ที่มีความหมายในเชิงไม่อยู่นิ่ง (ลิง พายุหมุน ตะลุมบอน โกลาหล อลหม่าน ฯลฯ) แทน

    “เอ่อ รออีกนิดนะคะ คุณยาย อ๊ะ นี่ เดี๋ยวก่อน ทุกคน อย่ารื้อสิ อ๊า อันนั้นเอาไปงอแบบนั้นไม่ได้นะ ว้าย! นี่อย่าเพิ่งสิจ๊ะ โธ่ ตอนนี้เล่นด้วยไม่ได้หรอก อ๋า แม็กกี้ ห้ามดื่มนะ!!”

    เด็กผู้หญิงน้องคนเล็กสุดอายุราวสองขวบจ้องขวดหมึกตาเป๋งแล้วหยิบขึ้นมาตั้งท่าจะยกซด เด็กสาวร้องห้ามเสียงหลง พุ่งเข้าไปคว้าออกมา อารามรีบร้อนทำให้ใช้แรงมากเกิน น้ำหมึกราดใส่หัวล้านของเจ้าของร้านที่นั่งล้อมวงกับเพื่อนฝูงอยู่โต๊ะถัดไป ส่วนขวดหมึกปลิวหวือตกสู่ถ้วยซุปของผู้ชายที่ห่างออกไปสามโต๊ะอย่างงดงาม “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” เธอลืมให้ความสนใจปากกาขนนกที่ตัวเองวางทิ้งไว้บนโต๊ะเสียสนิท มันลงไปจุ่มในแก้วน้ำของเธอภายในเวลาอันสั้นด้วยฝีมือเด็กผู้ชายน้ำมูกยืด

    “ว้าย!”

    เด็กผู้หญิงคนเดิมปีนขึ้นบนเก้าอี้ โถมเข้าหาเธอร้อง “อุ้ม อุ้ม” เด็กผู้หญิงผมเปียกับเด็กผู้ชายหน้ากระวัยใกล้เคียงกันที่ด้านข้างดูเหมือนจะไม่ยอม เตรียมตัวกระโจนใส่บ้าง ยังไม่นับรวมเด็กผู้ชายน้ำมูกยืดที่ตอนนี้พยายามเรียกร้องความสนใจโดยการกระตุกดึงผมเธออย่างเอาเป็นเอาตาย

    ขณะที่เด็กสาวจวนจะรับมือไม่ไหวแล้วนั้น ระฆังช่วยชีวิตจากหญิงร่างท้วมภรรยาเจ้าของร้านก็ดังขึ้น

    “นี่ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ ฟินน์ ไคลน์ แอนเจลีน แม็กกี้ มากวนคุณหมอเขาอยู่ได้” เธอไม่ว่าเปล่า กวาดแขนหอบหิ้วเอาทั้งสี่ไปในคราวเดียวไม่สนใจเสียงประท้วงอู้อี้ของแม็กกี้และพี่น้อง

    “ไม่เอา จาเล่นกับคุณหมอต่ออ่า~”

    เหตุการณ์สงบลง บริกรร้านและลูกค้าโต๊ะอื่นๆที่ลุกขึ้นช่วยเก็บรวบรวมอุปกรณ์ของเด็กสาวซึ่งกระเด็นไปรอบทิศหัวเราะไม่ยอมหยุด

    “ฮ่ะๆ เป็นที่ชื่นชอบของลูกๆบ้านนี้เหมือนเดิมเลยนะ คุณหมอ”

    ‘คุณหมอ’ ยิ้มแหะๆ

    “ขอบคุณมากค่ะ ...เอ่อ ขอโทษจริงๆค่ะ” ขวดหมึกเปล่าเปียกน้ำซุปถูกยื่นคืนคืนมาให้

    หลังจากขอโทษคนแทบจะหมดหน้าร้านแล้ว คุณหมอจึงค่อยได้นั่งลง ตรวจวินิจฉัยให้คนไข้หญิงชราที่รอคอยอยู่เป็นนาน

    ถึงเจ้าตัวจะเติมคำ ‘ฝึกหัด’ เข้าไปข้างท้าย แต่คนในหมู่บ้านก็เคยชินกับการเรียกหาเด็กสาวคนนี้สั้นๆว่า “คุณหมอ” ทั้งเรียกเต็มปากเต็มคำโดยไม่นึกตะขิดตะขวงใจต่ออายุที่อ่อนวัยเหลือเกินของเธอ จนถึงตอนนี้ หลายคนยังแสดงความทึ่งแบบปิดไม่มิดและแปลกใจไม่น้อยทุกทีที่เห็นความสามารถของเด็กสาว แม้กระทั่งเรื่องที่พบเจอบ่อยครั้งอย่างการใช้เครื่องมือในย่ามที่มีมากมายหลายหลากชิ้นเหล่านั้นในการตรวจอาการและรักษา ซึ่งเธอทำได้คล่องแคล่วชำนิชำนาญไม่ผิดกับหมอมือดีมากประสบการณ์เลย

    ผ่านไปสักพัก คุณหมอเด็กใช้นิ้วชี้แตะปลายคาง...กิริยาที่เธอมักกระทำเป็นประจำเมื่อตรวจคนไข้เสร็จ

    “ช่วงนี้ถ้าพักผ่อนให้เพียงพอ อาการจะกระเตื้องขึ้นเอง แล้วยาที่ข้าเจียดไว้ให้ทั้งสองตัว อย่าลืมทานให้สม่ำเสมอตรงเวลานะคะ”

    เสียงของเธอสดใส นำพาให้คนรอบข้างรู้สึกเบิกบานตามไปด้วย และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนในหมู่บ้านชอบรักษากับเธอ

    “ขอบใจมากนะ คุณหมอ อุตส่าห์มาตรวจไข้ให้ข้าถึงนี่” หญิงชรายิ้มตอบ

    คุณหมอยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อุ๊บ..”

    เด็กสาวสำลัก เนื่องจากเผลอยกแก้วน้ำที่มีขนนกกับหมึกลอยเคว้งขึ้นดื่ม


    ...................


    ทุกอย่างเป็นไปดังเดิม

    ทุกๆเวลานี้ของวัน ภาพของแม่บ้านที่หุงหาอาหาร ไล่ต้อนเด็กในบ้านที่ยังง่วงงุนไปอาบน้ำ ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเด็กหนุ่มซึ่งโตพอจะทำงานได้เริ่มออกทำงานหลังอาหารมื้อแรก คนมีอายุเดินเตร่สูดอากาศรับแสงสว่าง นั่งพิงกายบนเก้าอี้เอนนอนหน้าบ้านหรือในสวน ถือเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและพบเห็นจนชินตา ในหมู่บ้านที่เล็กและเรียบง่ายแต่ก็มีคนอาศัยอยู่ไม่น้อยแห่งนี้

    เช้าวันนี้ทุกอย่างเป็นไปดังเดิม จนกระทั่งเสียงกุบกับของฝีเท้าม้าหลายตัวแว่วให้ได้ยิน ชาวบ้านส่วนหนึ่งเหลียวศีรษะมองด้านทิศเหนือทางเข้าหมู่บ้านที่นานทีจะมีคนนอกมาเยือน

    ทันทีที่ทิวธงผืนใหญ่สีแดงขอบริ้วทองปรากฏแก่สายตา ตลาดที่จอแจเซ็งแซ่กลายเป็นเงียบกริบในชั่วครู่เดียว

    ภายใต้ยอดธงโบกสะบัด คือเหล่าบุรุษร่างกายกำยำท่วงท่าหนักแน่นในเสื้อเกราะเหล็กแข็งแกร่ง ควบขี่ม้าขาวพ่วงพีเรียงแถวย่างเหยาะเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ

    “หือ? นั่นมันทหารของท่านเจ้าเมืองไม่ใช่เหรอน่ะ ยกขบวนมาทำอะไรกันที่นี่แต่เช้า” เจ้าของร้านที่เช็ดหมึกออกจากหัวแล้ว ทักขึ้นเป็นคนแรก

    ชายวัยกลางคนผู้ร่วมสนทนาหันไปถามเพื่อน “เอ แล้วพวกคนใส่ชุดแปลกๆนั่นล่ะ”

    คนใส่ชุดแปลกๆที่ชายวัยกลางคนว่า หมายถึงกลุ่มบุคคลในเสื้อคลุมสีเทาหม่นซึ่งขี่ม้าอยู่กลางวงแวดล้อมของเหล่าทหาร และกำลังออกคำสั่งบางอย่างกับหัวหน้าขบวน ทหารทั้งหลายเองก็ดูจะรับฟังคำสั่งอย่างนอบน้อม

    “ถ้าจำไม่ผิด ท่าทางจะเป็นพวก ‘ทหารนักเวท’ ” ชายสวมหมวกสานปีกกว้างท่าทางเหมือนชาวไร่ที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยตอบ “ตอนที่ต้องเข้าไปเจรจาค้าเสบียงในตัวเมืองเมื่อปีก่อน ข้าเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สงครามเพิ่งปะทุขึ้นได้ไม่นาน ตามจุดสำคัญในตัวเมืองมีคนพวกนี้เดินตรวจตรากันเต็มไปหมด กว่าจะเข้าออกเมืองได้ ลำบากแทบแย่”

    “จะว่าไป เนิร์ฟเธนนี่คงมีแต่คนประหลาดๆพรรค์นี้อยู่เต็มไปหมดเลยสินะนี่”

    ในสายตาของ ‘คนธรรมดา’ แม้จะมีรูปร่างลักษณะภายนอกไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากพวกตนเลย แต่ด้วยความรู้สึกและคำเล่าขานแต่โบราณ เผ่าจอมเวทยังเปรียบเสมือนตัวแทนของความลี้ลับ เป็นกลุ่มบุคคลที่ยากจะจินตนาการหยั่งคาดอยู่นั่นเอง หลายคนหวาดกลัวจนถึงขั้นมองว่าเนิร์ฟเธนเป็นดินแดนลับแลอาถรรพ์ที่ไม่ควรจะล่วงล้ำก้าวย่างเข้าไป

    กระนั้น ความยิ่งใหญ่ของเผ่าจอมเวทยังคงเป็นที่ยำเกรงไปทั่วแผ่นดิน มีแคว้นอิสระใหญ่น้อยมากมายซึ่งมิได้ขึ้นตรงต่ออาณาจักรใดมาขอพึ่งพิงอยู่ใต้ปกครอง เพื่อความปลอดภัยจากการรุกรานของเผ่าพันธุ์หรือดินแดนอื่น และที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านของแคว้นหนึ่งในหลายแคว้นดังกล่าว

    จะอย่างไร เนื่องจากเป็นแถบถิ่นห่างไกล ผู้คนโดยมากไม่เคยได้เข้าไปยังดินแดนเนิร์ฟเธน จึงต่างรู้สึกหวาดระแวงในกลุ่มจอมเวทชุดเทาเหล่านี้กันเป็นพิเศษ

    “เท่าที่ข้ารู้ พวกเขามักดำเนินการปฏิบัติหน้าที่กันในที่ลับ แทบไม่เคยโผล่ให้เห็นตัวเป็นๆซะด้วยซ้ำ จะเผยตัวออกมาเฉพาะในกรณีที่เกิดเรื่องวุ่นวายเท่านั้น” ชายร่างผอมอีกคนกล่าว

    “แล้วในชนบทแบบนี้มันจะเกิดไอ้เรื่องวุ่นวายทำนองนั้นได้ยังไงล่ะ ที่นี่มันอยู่รอบนอกเขตปกครองของเนิร์ฟเธนนี่นา สงครามก็จบลงไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ภรรยาเจ้าของร้านใจคอไม่ดี

    เมื่อพูดถึงสงคราม หลายคนเริ่มหน้าเสีย ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสงคราม โดยเฉพาะสงครามของเผ่าจอมเวท


    ...................


    พ่อค้าลูกขายตามรายทางรีบเก็บข้าวของ หลบหลีกให้เหล่าทหารบนหลังม้าเคลื่อนขบวนเข้ามายังใจกลางลานหิน ผู้คนพากันมายืนมุงเป็นวงกว้างชะเง้อคอมองดู

    ทหารนายหนึ่งควบม้าออกมาเบื้องหน้าแถว กางม้วนผ้าบันทึกสาร ประกาศชัดเสียงดังก้อง

    “กลางวิกาลที่ผ่านมา เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต บุตรชายของกบฏแผ่นดินแห่งเนิร์ฟเธนได้ปรากฏตัวขึ้นหมายก่อเหตุ หากแต่พลาดท่าถูกไล่ล่าหลบหนี คาดการณ์กันว่ายังบาดเจ็บซุกซ่อนตัวอยู่ในแถบนี้ พันธมิตรผู้คุมกฎมีคำสั่งให้พวกเรามาตามล่าตัวชายคนดังกล่าวกลับไปพิพากษารับโทษทัณฑ์ ผู้ใดที่พบเห็นร่องรอยเบาะแสเกี่ยวกับเขา ให้รีบแจ้งต่อทางเราโดยด่วน จะได้รับการสนองรางวัลอย่างงาม”

    สิ้นสุดการแถลง ทหารสองแถวแยกย้ายกำลัง ออกติดกระดาษภาพเหมือนของเซเรเนี่ยนตามกำแพงอาคารใหญ่โดยฉับไวถ้วนทั่ว ชาวบ้านทั้งหมดสีหน้าไม่สู้ดี หันหน้ามองกันไปมา พูดคุยกันด้วยความปริวิตก ทั้งมีบางส่วนซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์

    “เอาล่ะสิ คราวนี้พวกเราพลอยเดือดร้อนแล้ว”

    “จะฆ่าจะฟันกันก็ไปให้ไกลๆหน่อยไม่ได้รึไงนะ”

    “ดูจากรูปแล้วยังเด็กอยู่เลยนี่นา ตามจับแค่เด็กคนเดียวต้องทำเอิกเกริกกันขนาดนี้เชียวเรอะ”

    “เจ้าโง่ ไม่ได้ยินที่เขาบอกรึไง นี่มันลูกชายของกบฏตัวเอ้เผ่าจอมเวทเชียวนา ไม่ใช่เด็กธรรมดาๆ”

    “อ้อ ใช่ๆ ข้าเห็นทหารในเมืองเคยพูดถึงเซเรอะไรนี่เหมือนกันนะ ที่เค้าลือกันว่า เพื่อจะจับเจ้าหนูคนนี้ให้จงได้ พวกจอมเวทถึงกับฆ่าคนในเผ่าเดียวกันที่ต้องสงสัยไปไม่น้อยดูท่าจะจริง”

    ชายแก่คนหนึ่งได้ฟังแล้วรำพึงเสียงสลด “เฮ้อ ที่ฆ่าๆไปน่ะ มีคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่นึกว่าจอมเวทผู้วิเศษที่กล่าวกันว่าเรืองปัญญาเรืองอำนาจกลับยังแก้ปัญหากันด้วยวิธีบ้าๆแบบนี้”

    “ชู่-ว์ พูดจาระวังๆบ้างสิ ลุงฟรองค์”

    หากทว่าคำเตือนนั้นดูเหมือนจะช้าไปสักหน่อย เพราะหนึ่งในกลุ่มจอมเวทบนหลังม้าที่ยืนอยู่หลังแถวทหารเกราะเหล็กขยับม้าเดินตรงมาทางด้านนี้

    คนผู้นี้เป็นชายตาเรียวแหลม ส่อเค้าไปทางเจ้าเล่ห์ ดูน่าเชื่อว่าเป็นบุตรของพ่อค้าหน้าเลือดหรือโจรภูเขาใจทรามมากเสียยิ่งกว่าจะเป็นจอมเวท เขาตวัดสายตาดุร้ายมองชายแก่ฟรองค์ซึ่งตอนนี้ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มและดูแก่ลงไปกว่าอายุจริงหลายปี

    “เจ้าพูดว่าอะไร”

    ถามจบชายตาเรียวแหลมไม่ได้รอคำตอบ เขาสะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง

    ชายแก่ฟรองค์ถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากส่ง ลอยลิ่วข้ามศีรษะกลุ่มคนไปหล่นลงกลางลานหิน นายทหารคนประกาศสารดึงม้าหลบแทบไม่ทัน ร่างผ่ายผอมยังไถลกับพื้นต่อระยะหนึ่งจึงค่อยหยุดนิ่ง

    วงล้อมแตกฮือรอบด้านในฉับพลัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไร หลายคนที่เมื่อกี้ยืนข้างฟรองค์ยังงุนงง ด้วยไม่นึกว่าจอมเวทตาเรียวแหลมจะได้ยิน

    ฟรองค์นั้นเจ็บปวดจนลุกไม่ขึ้น แต่ชายตาเรียวแหลมท่าทางยังไม่สาแก่ใจและคล้ายกับว่าม้าเดินช้าเกินไปไม่ทันความต้องการ เขาลงจากหลังสัตว์พาหนะ เดินเข้าไปหาชายแก่ด้วยเท้าตัว

    ยามกะทันหันไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง ชาวบ้านบางคน...แม้แต่บรรดาทหารของเจ้าเมืองเอง...ถึงกับกลัวตัวสั่น ไม่มีใครอยากลิ้มลองการถูกจับโยนขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงมากระแทกพื้นเช่นที่ฟรองค์โดน ทั้งไม่รู้ว่าหากก้าวออกไปจะมีอย่างอื่นที่ยิ่งกว่านี้หรือไม่

    ...แต่มีคนหนึ่งก้าวออกไป ยืนขวางกันระหว่างจอมเวทกับชายแก่ที่คืบคลานอยู่บนพื้น

    “คุณหมอ!?”

    หลายคนเรียกขึ้นเมื่อเห็นคนที่ก้าวออกมาขวาง

    ชายตาเรียวแหลมนิ่งอึ้งไปวูบ

    เพราะคนใจกล้าหรือไม่รู้ความก็ไม่ทราบที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่ เป็นแค่เด็กสาวผมยาวร่างเล็ก ซึ่งอย่างมากสูงถึงหน้าอกของเขาเท่านั้นเอง


    ...................
  9. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ผู้คนที่มุงดูต่างนึกเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเด็กสาว

    รูปร่างบางนิดเดียวนั่น ถ้าโดนจับเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้า ตกลงมาจะเหลืออะไร...

    “มีอะไรเหรอจ๊ะ คู้ณห~นู” ชายตาเรียวแหลมแกล้งทำก้มหัวโก้งโค้งคุย แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียน

    “สี่ผู้เฒ่าราชันตรากฎไว้ห้ามไม่ให้ใช้เวทมนตร์พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะกับคนธรรมดาไม่ใช่เหรอคะ หรือว่ากฎเกณฑ์ข้อนี้มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว” เด็กสาวพูดด้วยนำเสียงแผ่วเบา เรียบเฉย ทว่าลื่นไหลชัดเจน

    ชายตาเรียวแหลมดีดผึงกลับมายืนตรงแน่วทันที

    ความที่ผู้คนไม่น้อยและเผ่าพันธุ์อื่นหลายมองเผ่าจอมเวทในแง่ที่ไม่ดี พันธมิตรผู้คุมกฎจึงมีกฎเกณฑ์ห้ามมิให้จอมเวทสำแดงเวทมนตร์อวดศักดาวางอำนาจใส่ใคร เรื่องนี้อันที่จริงไม่ใช่ความลับใหญ่โตอะไร เพียงแต่สำหรับคนในหมู่บ้านนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเพราะแทบไม่เคยได้เหยียบย่างเข้าเนิร์ฟเธน ชายตาเรียวแหลมเองก็หลงคิดว่าเป็นเช่นนั้น การที่เด็กสาวกล่าวพาดพิงถึงข้อห้ามข้อนี้ขึ้นมาจึงค่อนข้างผิดคาดอยู่ และดูท่าอาจไม่ได้รู้แค่เพียงเรื่องเดียว ทำให้เขาเริ่มระมัดระวังขึ้นมา

    จอมเวทอีกคนหนึ่งบังคับม้าเดินออกมาหาเด็กสาว

    “หัวหน้า” เป็นคำที่ชายตาเรียวแหลมใช้เรียกจอมเวทคนนี้

    หัวหน้าของชายตาเรียวแหลมเป็นจอมเวทร่างหนาใบหน้าหยาบใหญ่ ไว้เคราครึ้มที่ข้างแก้มดูขรึมเครียดดุดัน แต่คำพูดของเขาแสดงออกถึงความสุขุมใจเย็นต่างจากลักษณะภายนอก

    “จริงอย่างที่เธอกล่าว การที่เจ้าทำกับท่านลุงคนนั้นมันไม่ถูกต้อง เจ้าลืมกฎของเราแล้วหรือไง”

    คนถูกว่ายักไหล่ “โธ่ หัวหน้า กับพื้นที่บ้านนอกแบบนี้ ไม่มีเบื้องสูงคนไหนมาสนใจอยู่แล้ว ท่านจะเคร่งครัดถือระเบียบอะไรกันนักกันหนา”

    พอได้ฟังคำลูกน้อง ผู้เป็นหัวหน้าถึงกับกุมขมับด้วยความเหนื่อยหน่าย ที่แล้วมา หน่วยทหารนักเวทของเขาประจำการอยู่ยังเมืองรอบนอกเนิร์ฟเธนห่างไกลหูตาเบื้องบน คนในหน่วยย่อหย่อนซึ่งกฎเกณฑ์ข้อบังคับ โดยเฉพาะคนตาเรียวแหลมนี่เขาเองยังเอาไม่อยู่ ยังโชคดีที่ทำงานได้ไม่บกพร่องและไม่ก่อเรื่องร้ายแรงอะไรจึงไม่เกิดปัญหา เพียงแต่คราวนี้ถึงขั้นลงมือลงไม้กับชาวบ้านร้านถิ่นดูจะเล่นเลยเถิดเกินไปแล้ว

    ในขณะที่หัวหน้ากลุ่มกำลังคิดหาทางแก้ไข เด็กสาวก็พูดต่ออีกครั้ง

    “พวกท่านไม่เหมือนคนบาดเจ็บที่เพิ่งผ่านการต่อสู้มา แสดงว่าหน่วยของพวกท่านไม่ได้พบและปะทะกับเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตโดยตรง ถ้าอย่างนั้น พวกท่านทราบเรื่องการมาเยือนของเขาได้ยังไงล่ะคะ”

    “เพิ่งประกาศไปหยกๆนี่ไงเล่าว่าได้รับคำสั่งมาจากพันธมิตรผู้คุมกฎ” ชายตาเรียวแหลมชักหงุดหงิด

    “หมายความว่า พวกท่านทราบว่าเขามาที่นี่เพราะคำสั่งให้ตามล่าถูกส่งมาถึง?”

    “ใช่แล้วไง!” เสียงตอบกระโชกโฮกฮากจนฟังเหมือนเห่า ก่อนจะหยุดกึกเมื่อพอเดาได้ถึงจุดประสงค์ของคำถามนี้

    “ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ข้าถามละลาบละล้วง ข้าเพียงต้องการบอกว่าในเมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญมา เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะถูกเบื้องสูงของท่านเพ่งเล็งยามเมื่อปฏิบัติภารกิจ ดังนั้นยิ่งต้องประพฤติตนให้เหมาะควร ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบสิคะ” เด็กสาวยังกล่าวเสียงค่อยไม่ต่างกับกระซิบ เพียงพอให้แต่เฉพาะบรรดาจอมเวทในบริเวณเท่านั้นที่ได้ยิน

    จอมเวทร่างหนาที่เป็นหัวหน้ากลุ่มทราบดีถึงความหมายของคำถามนี้ ที่เด็กสาวเอ่ยถึงการได้รับคำสั่งให้เดินทางมาเพื่อตามจับคนของพวกเขา เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่า ถึงแม้ที่นี่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจของเนิร์ฟเธน ก็ใช่ว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นจะไม่รู้ถึงสี่ผู้เฒ่า

    เห็นได้จากการที่ทายาทของตระกูลเซนต์ชาร็อตลอบปรากฏตัวขึ้นแถบนี้เมื่อคืน คำสั่งก็ส่งถึงพวกเขาในทันทีตอนรุ่งเช้า นั่นแสดงว่าสี่ผู้เฒ่าทราบเรื่อง และจะด้วยวิธีการใดก็ตามแต่ ยังถือว่ารู้ก่อนพวกเขาที่ประจำอยู่ละแวกใกล้เคียงเสียอีก

    นับประสาอะไรกับเรื่องที่คนในหน่วยของเขาทำร้ายชาวบ้านไร้ทางสู้ในที่โล่งแจ้งแบบนี้

    สี่ผู้เฒ่าเข้มงวดต่อกฎพันธมิตรและการลงทัณฑ์ผู้กระทำผิดเสมอมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีผลลงเอยแบบไหน ยิ่งถ้าทำให้ผู้คนมากหลายไม่พอใจจนเกิดภาพลบกับพันธมิตรเรื่องยิ่งบานปลาย

    มันเป็นเรื่องง่ายๆแท้ๆ... กับเรื่องแค่นี้เขากลับไม่ทันนึก ต้องให้เด็กมาบอกค่อยคิดได้

    หัวหน้ากลุ่มยังตระหนักอีกว่า ที่เด็กสาวไม่ได้พูดออกมาให้รอบด้านได้ยิน เพราะไม่ต้องการหักหน้าเขากับสมาชิกใต้บัญชาต่อหน้าคนมากมาย และมีเจตนาดี ต้องการให้คนของตนใคร่ครวญถึงสิ่งที่จะตามมา

    ชายตาเรียวแหลมก็ไม่ใช่คนโง่ เขาทราบดีว่าเด็กคนนี้ยั้งคำไว้เพื่อรักษาหน้าให้ตน ถึงจะรู้สึกเสียเชิงด้วยความที่อีกฝ่ายยังอ่อนวัยกว่ามาก แต่เขาจำต้องยอมรับ เพราะนึกอยากเถียงก็จนด้วยเหตุผล

    อีกทั้งน้ำเสียงของเด็กสาวที่ประคารมกับตนนั้นปราศจากซึ่งความเป็นอริหมาง หากแต่อ่อนหวานนิ่มนวลแกมขอร้องตามประสาเด็กผู้หญิง ถึงอยากเคืองก็ใช่ที่

    “เจ้าเป็นใครกันแน่ แม่หนู”

    หัวหน้ากลุ่มถาม ...เด็กตัวแค่นี้คิดอ่านพูดจาได้เกินวัย เขาควรระวังไว้บ้าง

    “ข้าเป็นหมอฝึกหัดค่ะ” เด็กสาวไม่ได้หลบตา ตอบคำถามด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปร “ข้าไม่ใช่คนพื้นเพที่นี่ เดินทางไปมาหลายแห่ง เลยรู้เรื่องเกี่ยวกับเนิร์ฟเธนมากกว่าคนในหมู่บ้านอยู่เล็กน้อย”

    หัวหน้ากลุ่มรับฟังและครุ่นคิด สายตาที่มองลงมาจากหลังม้าคล้ายกำลังประเมินหยั่งเชิง

    สิ่งที่เธอบอกมาอาจจะไม่จริง แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจไม่ได้โกหก

    ที่สำคัญ การกระทำของเธอไม่ได้ส่อเจตนาร้าย

    “เอาเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะ แม่หนู” หัวหน้ากลุ่มกล่าว แล้วยิ้ม

    เด็กสาวยิ้มตอบ

    บางทีอาจเพราะรอยยิ้มนี้ หัวหน้ากลุ่มของทหารนักเวทจึงลงความเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กคนหนึ่ง

    รอยยิ้มที่นำพาให้ผู้พบเห็นปลอดโปร่งผ่อนคลาย...


    ...................


    เมื่อจอมเวทร่างหนาคนนั้นยิ้มให้แก่เธอ หลายคนรวมทั้งทหารของเจ้าเมืองถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่

    พวกเขาไม่ได้ยินคำสนทนาโต้ตอบระหว่างเด็กสาวกับเหล่าจอมเวท เห็นเพียงแค่ว่าเจ้าหล่อนออกจะกล้าหาญชายชัยจนเกินตัว ถึงกับออกไปท้าทายจ้องตาแน่วแน่กับฝ่ายตรงข้ามทั้งขบวนแบบนั้น

    ...นับว่าเหลือเชื่อทีเดียวที่เธอไม่ได้รับแม้แต่รอยขีดข่วน

    ที่เหลือเชื่อหนักเข้าไปอีกคือ จอมเวทอันธพาลหน้าตาเจ้าเล่ห์นั่นเดินดุ่มๆเข้าไปประคองชายชราที่ตนเพิ่งทำเสียกระเด็นลิบลิ่วเมื่อกี้ขึ้นมา ปัดฝุ่นผงตามตัวให้พร้อมทั้งขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

    จากนั้น หัวหน้ากลุ่มของเหล่าจอมเวทชักม้าออกมายืนกลางวงและกล่าวเสียงดังกังวานก้องไปทั่วลานหิน

    “ข้าต้องขอชี้แจงให้เข้าใจ การจับกุมคนในประกาศให้ได้โดยเร็วไม่เพียงเป็นหลักประกันความสงบสุขเรียบร้อย ยังนำมาซึ่งความปลอดภัยของพวกท่าน เพื่อการนั้น เราจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากทุกคน....”

    แบบนี้ย่อมฟังระรื่นหูมากกว่า เท่ากับว่าการมาคราวนี้ของพวกทหารนักเวทถือเป็นการช่วยขจัดเภทภัยและคุ้มครองพวกเขาซึ่งเป็นพลเมืองในปกครองจากการถูกปองร้าย หากจัดการกับตัวต้นเหตุได้เร็วเท่าไร พวกเขาก็ไร้กังวลเร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งชาวหมู่บ้านก็ไม่ได้ ‘ถูกออกคำสั่ง’ บังคับให้ทำ หากแต่ ‘ถูกขอร้อง’ ให้ช่วยเหลือต่างหาก

    หลายคนแม้ยังไม่คลายความคับข้อง แต่มีบ้างที่เปลี่ยนความคิดและรู้สึกดีกับพวกจอมเวทมากขึ้นกว่าเดิม


    ...................


    กลุ่มทหารยกขบวนมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านถัดไปแล้ว ตลาดกลับสู่สภาพปรกติ รวมทั้งหน้าร้านอาหารที่มีคนมานั่งออกันเต็มดังเดิม

    “ไม่ต้องมีเรื่องวิวาทกันได้ น่าจะดีกว่านี่คะ”

    คุณหมอเด็กตอบ พลางโบกพัดให้คนไข้หญิงชราซึ่งเธอเพิ่งตรวจอาการไปและตอนนี้กำลังนั่งลมจับอันเนื่องมาจากเหตุการณ์หวาดเสียวเมื่อครู่

    ด้ามไม้กวาด ขาโต๊ะ หินถนน แผ่นไม้ระเบียง และอะไรต่อมิอะไรในมือเจ้าของร้านกับผองเพื่อนวัยดึกที่คว้ามาถือไว้...ตั้งใจว่าคงได้โผนตะลุยเข้าไปช่วยตอนที่เด็กสาวเดินออกไปขวางจอมเวทตาเรียวแหลม...ยังถูกกำแน่นไม่ปล่อย เด็กสาวนึกดีใจที่พวกเขาไม่ต้องใช้

    “มันน่ายัวะไหมล่ะนั่น มาหมู่บ้านคนอื่นเขาแล้วยังจะ..” เจ้าของร้านเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใช้มือบดกระดูกนิ้วดังกร๊อบ หัวล้านส่องแสงมีเส้นเลือดขึ้นโปน

    “จ้า จ้า พอเจ้าพวกนั้นไปแล้วเก่งๆกันทั้งนั้น” ภรรยาร่างท้วมชมเชยแกมประชด

    “เอาล่ะ เสร็จแล้วล่ะค่ะ เป็นแค่แผลภายนอกไม่ได้กระทบกระเทือนถึงกระดูก แต่ยังไงสองสามวันนี้ห้ามใช้แรงมากนักนะคะ” คุณหมอเตือนเสียงเข้มหลังจากทำแผลและพันผ้าให้ชายแก่ฟรองค์เรียบร้อยโดยใช้เวลาไม่นาน

    “ขอบใจมากนะ คุณหมอ ข้าดันพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป เกือบทำให้เจ้าต้องรับเคราะห์แล้วเชียว”

    “ไม่หรอกค่ะ” เด็กสาวปฏิเสธ “ข้าเห็นด้วยกับที่คุณลุงว่านะคะ ถ้าสามารถแก้ไข ยุติปัญหาให้จบลงด้วยดีโดยการพูดจากัน มันต้องดีกว่ามีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเพราะการใช้กำลังแน่นอนค่ะ”

    เธอยืนยันให้เหตุผลดุจเดิม แต่น้ำเสียงไม่สดใสเช่นที่เคยเป็นจนหลายคนสังเกตได้

    “เอ่อ ข้าแค่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ” เด็กสาวรีบกล่าวเมื่อเห็นทุกคนจ้องมองตนเอง “ขอบคุณมากนะคะคุณลุงคุณป้า ที่ให้ยืมหน้าร้านเป็นที่ตรวจชั่วคราว”

    “เดี๋ยวทหารของเจ้าเมืองกับเจ้าจอมเวทพวกนั้นคงจะส่งกำลังอีกกลุ่มมาตรวจค้นตามบ้าน ถ้าตอนที่มันไปบ้านคุณหมอแล้วหาเรื่องล่ะก็ รีบตะโกนให้ดังๆเลยนา”

    “นั่นสิ ถ้าไงเอามีดหั่นหมูไปป้องกันตัวสักสองสามอันไหม”

    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งคะ คุณลุง พูดซะน่ากลัวเชียว” คุณหมอส่ายมือ

    “ระวังตัวด้วยล่ะคุณหมอ พรุ่งนี้เจอกันใหม่”

    “ค่ะ โชคดีนะคะ” เด็กสาวโบกมือยิ้มรับ


    ...................


    คนอาศัยเริ่มเบาบางลง บ้านเรือนปลูกตั้งทอดห่างกัน สีเขียวขจีของต้นไม้ทุ่งหญ้ามีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ฝูงวัวแพะม้าเลี้ยงของชาวบ้านเดินเล็มหญ้ากันประปราย

    ถัดจากละแวกบ้านคนมาอีกระยะหนึ่ง เป็นบรรยากาศสงบเงียบต่างจากในตัวหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง

    กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่พัดพลิ้วเอนลิ่วตามสายลม มีเส้นทางตัดผ่านตรงไปสู่บ้านไม้หลังน้อยที่ตั้งอยู่ใกล้กับแนวชายป่าหลังหนึ่ง เรียกได้ว่าถ้าไม่สังเกตให้ดีอาจจะมองไม่เห็น

    ไม้ใหญ่แวดล้อมปกร่มเงา อาทิตย์ส่องแสงตัดลอดผ่านร่องใบ สะท้อนเป็นจุดแต้มประกายเล็กๆยามเมื่อมองย้อนขึ้นไปจากพื้นดิน นกน้อยตามกิ่งก้านร้องขับขานเจื้อยแจ้ว บ้างบางตัวบินลงมาวนเวียน เกาะเบาๆที่ข้างไหล่ราวกับต้อนรับการกลับมาของเจ้าของบ้าน เด็กสาวยิ้มให้พวกมันก่อนจะเข้าไปข้างใน

    แถบซ้ายของตัวบ้านใช้ฉากไม้กั้นขึ้นเป็นส่วนแยก มีกระปุกเคลือบแปะฉลากสีแตกต่างกันบนชั้นไม้มุมหนึ่ง หิ้งเหนือชั้นไม้เป็นส่วนราก ใบ หรือลำต้นของพืชพรรณที่ทั้งพบเห็นได้ทั่วไปและที่มีรูปร่างประหลาดหายากใส่ในถ้วยถาดเรียงเป็นแถว ยังมีตู้ลิ้นชักด้านข้างที่จัดเก็บตัวยาไว้อีกหลากหลาย โต๊ะกลมขนาดย่อมและเก้าอี้สองสามตัวตั้งวางอยู่บนพื้นตรงกลาง นอกนั้นแทบไม่มีของประดับประดาใดๆ

    เด็กสาวเดินไปยังส่วนหลังของตัวบ้านซึ่งเป็นห้องเล็กๆ

    ประตูห้องถูกเปิดแง้มออกแผ่วเบา ฟากตรงข้ามเป็นบานหน้าต่างคู่คลี่คลุมผ้าม่านสีขาว ยามเมื่อต้องกับแสงจากด้านนอกยิ่งแลดูขาวกระจ่าง เลื่อนลอยคล้ายไม่อาจจับต้อง

    ใต้บานหน้าต่างมีเตียงไม้ตั้งอยู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับใหลอยู่บนนั้น

    เขาคือบุคคลที่บรรดาทหารประกาศต้องการตัวและถูกเอ่ยถึงในวงสนทนาของกลุ่มคนในหมู่บ้าน

    ...เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต...

    เส้นผมดำเงาของเขาที่มักรวบเป็นหางถูกปล่อยเหยียดยาวสยายประไหล่บ่าและหมอนฟูกที่รองรับ ประหนึ่งกำลังผ่อนคลายอย่างสงบเงียบเช่นเดียวกับตัวเด็กหนุ่ม

    เมื่อมองดูแบบนี้แล้ว ราวกับเขาไม่ใช่ทายาทของเซนต์ชาร็อตผู้เป็นที่กล่าวขวัญด้วยความหวาดกลัวไปทั่วทั้งเนิร์ฟเธน หากแต่เป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่นอนหลับใหลไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกห้วงนิทรา

    ...ดวงตาที่ลึกล้ำและลี้ลับดั่งราตรีซึ่งกำลังพริ้มสนิทคู่นั้น ยามนี้มองเห็นสิ่งใด


    ...................


    รอบด้านปกคลุมด้วยความมืดมิด คุกรุ่นด้วยควันไฟ ระอุร้อนด้วยเปลวเพลิงลุกไหม้แผดเผา

    เปลวเพลิงที่มืดหม่น เปลวเพลิงที่แม้จะโหมกระพือลุกโชนมากเพียงใดก็ไม่อาจมอบแสงสว่างให้

    ทุกสิ่งทุกอย่างพร่าไหวเลือนราง รวมทั้งตัวเขา

    ตัวเขาที่ยืนมองดูผู้คนรอบกายถูกไฟผลาญกลืนกินจนหลงเหลือแต่เถ้าถ่านที่ปลิวโปรย แตกสลาย และจางหายหมดสิ้น

    ไฟไม่มอดดับ ยังคงลามเลีย ขยายอาณาเขตต่อไปเรื่อยๆ

    ไฟหายนะขนาดมหึมาที่ลุกไหม้จากตัวเขา


    ...................


    ความมืดหายไปแล้ว

    สิ่งแรกที่เซเรเนี่ยนเห็นเมื่อลืมตาตื่น คือแสงอาทิตย์อ่อนจาง ทาบทอผ่านผ้าม่านเบาบางขาวสะอาด

    ฝัน...งั้นเหรอ...

    เหนือสายตาขึ้นไปคือเพดานไม้สีเก่าแก่ ด้านขวาของเขาคือผนังกำแพงและหน้าต่าง ปกคลุมด้วยผ้าม่านขาวผืนนั้น

    นี่...

    ตัวเขานอนอยู่บนเตียงไม้ปูเบาะผ้าสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับผ้าม่าน บนร่างมีผ้านุ่มผืนหนาห่มไว้ส่งกลิ่นหอมเจือจาง

    ที่นี่มัน...ที่ไหน

    จำได้แค่รางๆว่าเราโดนทึ้งเหวอะไปทั้งตัว เลือดไหลไม่ยอมหยุด แล้วก็วูบไป...

    หรือว่าข้าตายแล้ว เอ๋? นรกนี่นอนสบายขนาดนี้เชียวรึ


    ขณะที่ความคิดยังมึนมัว และในหัวเต็มไปด้วยคำถาม เสียงที่นุ่มนวลเสียงหนึ่งก็แว่วขึ้นให้ได้ยิน

    “รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ”

    หือ?... ใคร...

    เขาเพิ่งสังเกต ว่าทางด้านซ้ายของเตียงที่ตัวเองนอนมีร่างเล็กบอบบางนั่งอยู่เคียงข้าง

    เมื่อมองเห็นคนคนนี้ได้ถนัดชัดตา เซเรเนี่ยนถึงกับมองจนตาค้าง

    เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง

    ...เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวนวลตา

    เส้นผมสีทองยาวสลวยพาดคลอไหล่กลมมน เรือนผมปักไว้ด้วยเครื่องประดับรูปผีเสื้อ ปีกแก้วของมันสะท้อนประกายหลากสีสันเหมือนว่าพร้อมจะโบยบินออกมาได้ทุกเมื่อ

    รอยยิ้มและดวงตากลมโตสุกใสของเธอฉายแววอบอุ่น ดุจแสงอาทิตย์สว่างไสวในยามเช้าตรู่ ทั้งยังสงบปลอดโปร่ง ดั่งสายลมโชยพัดเรียบเย็นในฤดูใบไม้ผลิ

    เซเรเนี่ยนไม่ใช่จิตรกรหรือกวีโคลงกลอนอารมณ์สุนทรีย์ เขาถ่ายทอดภาพลักษณ์ความงามเป็นรูปวาดเลิศเลอไม่ได้ พร่ำพรรณนาความงามด้วยภาษาสวยหรูไม่เป็น เขาบอกได้แค่ว่า ถึงจะยังแรกรุ่น แต่เธอเป็นผู้หญิงที่ใครได้พบเห็นแม้เพียงครั้งเดียวต้องไม่ลืมเลือน

    และเขาเชื่อว่าหากจิตรกรหรือนักกวีที่เขาไม่ได้เป็นมาพบเธอเข้า พวกนั้นคงสามารถวาดภาพที่สวยที่สุดในชีวิต หรือประพันธ์โคลงกลอนได้ยาวเป็นเล่มหนาเลยทีเดียว

    “เป็นอะไรไปคะ”

    เด็กสาวเอ่ยถามด้วยความฉงน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดจา จ้องตัวเองตาไม่กะพริบอยู่เป็นนาน

    เซเรเนี่ยนยิ้มพลางตอบเสียงเชื่อม

    “ถ้ารู้ว่าตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์มาเจอนางฟ้าที่สวยขนาดนี้ ข้ารีบตายซะตั้งแต่แรกเลยก็ดี”

    เพราะไม่ได้คาดคิดว่าประโยคแรกที่เด็กหนุ่มกล่าวกับตนจะเป็นคำชมที่ป้อนให้ในระยะเผาขน คราวนี้เด็กสาวกลายเป็นอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกแทน สองแก้มขึ้นสีชมพูจางๆ

    เธอนิ่งไปอยู่ชั่วครู่ แล้วหัวเราะเบาๆ

    “ดีจัง ถ้าลองตื่นขึ้นมาปุ๊บมีอารมณ์ล้อเล่นปั๊บแบบนี้ อาการคงไม่สาหัสมากเท่าที่ข้าคิดไว้ล่ะนะ”

    เจ้าหล่อนพูดหยอกบ้างพร้อมกับยิ้มกว้าง

    “อ้อ แล้วก็...ไม่ต้องห่วงนะคะ ท่านยังไม่ตายหรอก เพราะข้าไม่ใช่นางฟ้าค่ะ”


    ...................


    กลางห้องหับที่มืดมิดแห่งนี้ มีชายคนหนึ่งนั่งและชายคนหนึ่งยืน ฝ่ายที่ยืนเป็นผู้ทำการรายงานข้อมูล

    “พวกนัลทูราซพลาดท่า?”

    “ครับ ปะทะกันดุเดือดกลางเส้นทางเลียบแนวเขานอกเมือง หน่วยอาญาสวรรค์ร้ายกาจกว่าที่คิดไว้มาก สิบห้าคนที่นัลทูราซส่งไป...ตายหมดทุกคน”

    “พวกนั้นได้เบาะแสอะไรหรือเปล่า”

    “ไม่ครับ”

    “...นับว่าพอสมชื่อมือสังหารอันดับหนึ่งอยู่บ้าง แม้พลาดยังไม่ทิ้งร่องรอย”

    “นอกจากนี้...”

    “มีอะไร”

    “เซเรเนี่ยนปรากฏตัวขึ้นที่นั่นด้วยครับ”

    “ว่าไงนะ!” ผู้รับฟังรายงานลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง

    “ข้าเกรงว่า..”

    “เด็กก็คือเด็ก” น้ำเสียงของผู้รับฟังรายงานเปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดแม้ยังราบเรียบแต่ก็แฝงซึ่งเค้าความร้อนรน “มูเอราเอลฆ่าพ่อเขา เขาจึงอยากจัดการกับทายาทของมูเอราเอลด้วยตัวเองกระมัง ช่างมุทะลุสิ้นดี ...ผลเป็นยังไง”

    “ตามข่าวสารที่คนของเราส่งมา เขาพลาดท่าโดนไล่ต้อนจนมุมจึงกระโดดหนีลงหุบเหว ทางหน่วยลับส่งฟีราเคนิสออกล่า แต่ทุกตัวหายสาบสูญไม่มีความคืบหน้าอันใด เป็นตายยังไม่ทราบชัด”

    เมื่อจบความ ผู้รับฟังรายงานนิ่งงัน คล้ายกำลังพิจารณาสภาพการณ์อย่างเยือกเย็น

    “บุกเดี่ยวเข้าไปสู้กับหน่วยลับ ร่วงหล่นจากผาสูง เผชิญกับสุนัขล่าสังหาร ต่อให้รอดมาได้คงสาหัสฉกรรจ์”

    “ถ้าอย่างนั้น..”

    “ตอนนี้พวกทหารนักเวทจำนวนไม่น้อยถูกระดมกำลังเพื่อออกล่าตัวเขา แต่เซเรเนี่ยนก็ไม่ได้โง่เขลา หากยังไม่ตาย ต้องหาทางเอาตัวรอดได้แน่ ถ้าเรารีบรุดไป อาจพอมีโอกาสพบเขาได้ก่อนพวกมัน”


    ...................


    [​IMG]

    รูปคุณหมอ :D
  10. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    เพิ่งจะได้อ่าน...ชอบฝีปากเจ้าหนุ่มหัวแข็งนี่มาก

    การบรรยายและดำเนินเรื่องทำได้ดี แต่บางครั้งคิดว่าอาจใช้คำฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย

    ชอบฉากตอนโดนฟีราเคนิสไล่ล่า แล้วเซเรเนี่ยนไปลอยคอยอยู่กลางน้ำเพราะคิดว่าปลอยภัย

    ที่ไหนได้เจ้าพวกนั้นดันกระโจนใส่ แล้วยังดีดตัวกลับไปบนพื้นได้อีก เป็นสัตว์ที่เทพมาก - -b

    จะติดตามต่อไปครับ
  11. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    อ่านแล้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่เน็ตดันหลุดก่อน และต่อไม่ได้อีกเลย เลยได้มาคอมเมนต์วันนี้ ขอโทษด้วยนะครับ T T"

    ชอบฉากที่เซเรเนี่ยนโดนไล่ล่า ทั้งไล่ล่าโดยทหาร และโดยฟิราเคนิส บรรยายได้ถึงใจมากเลยครับ ลุ้นไปทุกตัวอักษร ผมว่าเป็นจุดเด่นของคุณ blue mouse เลยนะที่สามารถบรรยายจนเห็นภาพ ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมได้น่ะ เจ๋งครับ :Db

    ทำไมผมอ่านฉากสุดท้าย แล้วรู้สึกว่า 'ผู้ใหญ่' (น่าจะผู้ใหญ่) สองคนนั่นดูเป็นห่วงเป็นใยเซเรเนี่ยนแปลกๆ ทั้งที่เซเรเนี่ยนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองแท้ๆ จะมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่าหนอ ^^; บางที ผู้ใหญ่ที่ว่าอาจไม่เคยมองเด็กอย่างเซเรเนี่ยนเป็นศัตรูเลยก็ได้ ถึงเด็กที่ว่าจะร้ายกาจขนาดนั้นก็เถอะ

    ชอบแม่หนูคุณหมอมากๆ ขอชิงไปสู่ขอตัดหน้าเซเรเนี่ยนได้ไหม... *-*
  12. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอบคอมเมนต์

    - คุณ VIA

    เพิ่งจะได้อ่าน...ชอบฝีปากเจ้าหนุ่มหัวแข็งนี่มาก
    <<< เจ้าหัวแข็งนี่ปากคมกริบติดระดับท็อปของเรื่องนี้เลยล่ะครับ

    การบรรยายและดำเนินเรื่องทำได้ดี แต่บางครั้งคิดว่าอาจใช้คำฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย
    <<< รับทราบขอรับ ^^

    ชอบฉากตอนโดนฟีราเคนิสไล่ล่า แล้วเซเรเนี่ยนไปลอยคอยอยู่กลางน้ำเพราะคิดว่าปลอยภัย
    ที่ไหนได้เจ้าพวกนั้นดันกระโจนใส่ แล้วยังดีดตัวกลับไปบนพื้นได้อีก เป็นสัตว์ที่เทพมาก - -b

    <<< :D สำหรับเจ้าตูบฟีราเคนิส ยังมีความเทพอีกประการซุกซ่อนไว้ด้วยครับ

    - คุณ AQUAFAY

    อ่านแล้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่เน็ตดันหลุดก่อน และต่อไม่ได้อีกเลย เลยได้มาคอมเมนต์วันนี้ ขอโทษด้วยนะครับ T T"
    <<< แค่มาอ่านแล้วคอมเมนต์ให้ก็ขอบคุณมากแล้วครับ ช้าเร็วบ่ใช่ปัญหาหรอกขอรับ ^^

    ชอบฉากที่เซเรเนี่ยนโดนไล่ล่า ทั้งไล่ล่าโดยทหาร และโดยฟิราเคนิส บรรยายได้ถึงใจมากเลยครับ ลุ้นไปทุกตัวอักษร ผมว่าเป็นจุดเด่นของคุณ blue mouse เลยนะที่สามารถบรรยายจนเห็นภาพ ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมได้น่ะ เจ๋งครับ :Db
    <<< น้อมรับคำชมครับ แหะๆ

    ทำไม ผมอ่านฉากสุดท้าย แล้วรู้สึกว่า 'ผู้ใหญ่' (น่าจะผู้ใหญ่) สองคนนั่นดูเป็นห่วงเป็นใยเซเรเนี่ยนแปลกๆ ทั้งที่เซเรเนี่ยนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองแท้ๆ จะมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่าหนอ ^^; บางที ผู้ใหญ่ที่ว่าอาจไม่เคยมองเด็กอย่างเซเรเนี่ยนเป็นศัตรูเลยก็ได้ ถึงเด็กที่ว่าจะร้ายกาจขนาดนั้นก็เถอะ
    <<< อันนี้ต้องขอให้ติดตามดูกันต่อไปครับ :)
    แต่เหมือนคุณ AQUAFAY จะเดาออกเลยแฮะ จุ๊ๆ รบกวนอุบไว้ก่อนนะขอรับ

    ชอบแม่หนูคุณหมอมากๆ ขอชิงไปสู่ขอตัดหน้าเซเรเนี่ยนได้ไหม... *-*
    <<< แล้วจะลองเลียบเคียงถามแม่หนูคุณหมอให้ครับ เอ้ย ไม่ใช่สิ =_=
    แหม ลองคบหาดูใจกันไปสักพักก่อนไม่ดีกว่ารึขอรับ ^^;

    ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเมนต์ขอรับ คุณ VIA และ คุณAQUAFAY


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    บทที่ สี่

    จุดประสงค์ของท่าน...?



    นอกจากเตียงที่เขานอนกับโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียงแล้ว ภายในห้องมีเพียงเก้าอี้ไม้รูปร่างเรียบง่ายที่เธอนั่งอยู่ และชั้นไม้ขนาดกะทัดรัดเรียงรายด้วยหนังสือหนาบางจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย

    “ตอนนี้ต้องนอนเฉยๆสักพักนะคะ ยังไม่ควรขยับเขยื้อนมากนัก” คุณหมอเปรยเป็นเชิงเตือน ระหว่างที่ลุกขึ้นเดินไปเก็บหนังสือเล่มเล็กในมือกลับเข้าชั้น

    “เฮ่อ ไม่นึกว่าจะอุตส่าห์พ้นมือยมบาลมาได้นะเนี่ย ดูท่าข้าจะหนังเหนียวยิ่งกว่าที่ตัวเองคิดไว้อีก”

    คนเจ็บบนเตียงยิ้มหน้าแป้น ตอบรับเป็นประโยคประหลาดๆที่ไม่มีผู้รอดชีวิตจากเรื่องร้ายๆคนไหนเขาพูดกัน พลางสอดส่ายสายตาไปรอบห้อง

    “ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน ก่อนสลบข้าจำได้ว่าฟุบที่ริมแม่น้ำนี่นา”

    “เป็นบ้านของข้าเอง อยู่ถัดมาจากแม่น้ำที่ท่านพูดถึงระยะหนึ่ง” เด็กสาวบอก

    “...หืม” เซเรเนี่ยนกลอกตาตลบหนึ่ง “แผลพวกนี้ เจ้าเป็นคนรักษาให้เหรอ”

    เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองตามร่างกายตนเองที่พันผ้าไว้ทั่วตัว มือขวาลูบคลำที่ชายโครง

    “หายากทีเดียวนะ หมอฝีมือดีที่อายุยังน้อยอย่างเจ้าน่ะ”

    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” คนถูกชมถ่อมตน หน้าแดงระเรื่ออีกรอบ

    “ขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้...แล้วก็..” เด็กหนุ่มเกาแก้ม “โทษที ออกจะถามช้าไปหน่อยนะ เจ้าเป็นใครกัน”

    เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามชื่ออีกฝ่าย

    “ข้าน่ะเหรอคะ” เด็กสาวชี้หน้าตัวเองยิ้มๆ “ข้าชื่อมิเรอาค่ะ เป็นหมอฝึกหัดที่มาขอพักอาศัยที่หมู่บ้านนี้ชั่วคราว เมื่อตอนเช้ามืด ข้าออกไปเก็บพืชตัวยาในป่าไกลกว่าที่เคย บังเอิญเดินไปพบท่านนอนหมดสติอยู่ริมฝั่ง ท่านบาดเจ็บสาหัสแถมยังเสียเลือดมากจนตัวเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็งเลย โชคดีที่ช่วยเอาไว้ได้ทัน..”

    มิเรอาหยุดพูดกลางคันเมื่อเห็นเซเรเนี่ยนนั่งเงียบ

    เขาไม่ยิ้ม และไม่ถามอะไรอีก

    เด็กสาวรู้สึกแปลกๆจึงเปลี่ยนเป็นถามบ้าง

    “จริงสิ ท่านหิวรึปล่า เอ... แต่บาดแผลที่ท้องท่านยังไม่ทุเลาคงทานอาหารย่อยยากไม่ได้ เป็นซุปก็แล้วกันนะคะ” มิเรอาว่า เธอหันหลังจะออกจากห้องไปเอามาให้

    “ไม่เข้าใจแฮะ”

    จู่ๆเซเรเนี่ยนพูดขึ้น

    “เอ๋?” เด็กสาวหันกลับมามอง

    เซเรเนี่ยนมองย้อนด้วยแววตาผิดแผกจากเดิม

    “ไม่ถามคนไข้สักคำเดียวว่าโดนอะไรมาค่อนข้างผิดวิสัยคนเป็นหมอนะ จริงอยู่ ดูเผินๆข้าเหมือนเจอสัตว์ในป่าไล่งาบเอา แต่เจ้าเป็นคนทำแผลให้ข้า น่าจะดูออกว่ามีแผลใหญ่อยู่แผลหนึ่งเกิดจากอาวุธ ไม่ใช่เขี้ยวสัตว์”

    เซเรเนี่ยนหมายถึงแผลถูกแทงตรงชายโครงของเขาที่เธอเพิ่งเอ่ยถึง

    แผลรอยดาบที่จุดอื่นอาจมองเป็นว่าไปโดนกิ่งไม้หรือหินมีคมในป่าเกี่ยวบาด แต่แผลตรงจุดนี้ชัดเจนจนไม่มีทางมองผิดแน่นอน

    “ข้าหลับซะนานพอสมควร ป่านนี้เรื่องของข้าคงดังระเบิดแล้ว และถ้าบ้านเจ้าอยู่แถวๆแม่น้ำตามที่บอกมา มันก็ไม่ไกลจากจุดที่ข้าก่อเรื่องเลยด้วย จะมากจะน้อยต้องพอรู้ข่าวคราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนบ้างล่ะ”

    พูดถึงตรงนี้ มีเรอามีสีหน้าเปลี่ยนไป

    เซเรเนี่ยนใช้ดวงตาคมวาวจับจ้องที่เด็กสาว

    “พูดง่ายๆ เจ้ารู้อยู่แล้ว ข้า-คือ-ใคร ...ถูกต้องไหม คุณหมอ”


    ...................


    มิเรอานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงราบเรียบ

    “ค่ะ ข้าทราบ เรื่องที่ท่านคือเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต”

    เธอค่อยๆก้าวเท้ากลับมาที่ข้างเตียง “ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบังท่าน เพียงแต่...ถ้าท่านรู้เรื่องที่ข้ารู้จักท่าน ข้ากลัวว่าท่านอาจระแวงจนหนีไปไม่ยอมรับการรักษาก่อน”

    “อย่างน้อยจนกว่าจะคุยจบ ข้ายังไม่คิดหนีไปไหนหรอก” เด็กหนุ่มกลับเป็นยิ้มแย้มตามเดิม ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นวางแขน นั่งเอนตัวสบายอารมณ์

    “ดูท่าน...ไม่ร้อนรนเลยนะคะ”

    มิเรอาประหลาดใจ การตอบสนองของเด็กหนุ่มผิดจากที่เธอคาดไว้มากอยู่

    เซเรเนี่ยนชี้นิ้วไปทางด้านขวามือของตน

    “ตอนเช้าแดดอ่อนๆแต่ปิดม่านซะมิดชิดอย่างกับกลัวใครมองเข้ามาแบบนี้ เห็นแล้วก็พอเดาในแง่ดีได้ล่ะนะว่าเจ้าช่วยซ่อนตัวข้าจากคนข้างนอก”

    สายตาเคลือบแคลงคู่นั้นยังจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของเด็กสาว

    “ที่ข้าบอกว่าไม่เข้าใจน่ะ มันเรื่องที่เจ้าให้ความเมตตาช่วยข้าเอาไว้ทั้งที่เราไม่ได้รู้จักมักจี่กันต่างหาก

    “จะบอกว่าต้องการค่าตอบแทนก็คงไม่ใช่ สถานภาพข้าตอนนี้บวกกับสารรูปนี่ ตาบอดยังดูออกว่าถังแตก เจ้าคงไม่ได้คาดหวังเรื่องนั้น แถมนี่ไม่ค่อยคุ้มค่ากับการเสี่ยงเท่าไหร่ ถ้าเกิดมีใครมาเจอข้าในบ้านเจ้าผลจะเป็นไง ฉลาดขนาดเป็นหมอได้ตั้งแต่อายุแค่นี้อย่างเจ้า ไม่น่าจะไม่รู้

    “...สรุปคือ ข้าเดาไม่ออก เลยอยากขอความกรุณา ช่วยบอกคำตอบที่ดูสมเหตุสมผลมาให้รู้หน่อยได้ไหม ว่าช่วยข้าไว้ทำไม”

    “ท่านเป็นคนเจ็บ ข้าเป็นหมอ เหตุผลนี้พอฟังขึ้นไหมคะ”

    มิเรอาตอบและถามกลับทันทีที่เซเรเนี่ยนถามจบ

    เด็กหนุ่มกลายเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง

    เขาไม่นึกว่าคำตอบที่เธอให้จะเรียบง่ายปานนี้

    พูดออกมาได้ง่ายดายราวกับเสแสร้งเช่นนี้

    ที่เซเรเนี่ยนประหลาดใจเพราะดูเหมือนเธอไม่ได้เสแสร้ง

    คนที่กำลังโกหกไม่ควรจะมีดวงตามั่นคงแบบที่กำลังมองสบกับเขาอยู่นี่ หรือต่อให้เธอโกหก เล่นละครเก่งถึงขนาดปั้นแววตาใสซื่อหลอกเขาได้สนิท ยังมีประการหนึ่งที่แน่ใจได้

    ...เธอไม่ใช่จอมเวทอย่างที่เขานึกระแวงเมื่อแรกเห็น

    เขาไม่รู้สึกถึงพลังเวทมนตร์ในตัวเธอเลย คุณหมอคนนี้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา

    เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา...

    เซเรเนี่ยนหัวเราะ “คนเป็นหมอนี่คิดอะไรคร่ำครึอย่างเจ้าทุกคนรึเปล่านะ”

    มิเรอาไม่ได้ถือสากับคำเสียดสี

    “ถ้าการช่วยชีวิตคนเป็นความคร่ำครึ ข้าคิดว่าหมอแทบทุกคนไม่ใช่แค่คร่ำครึหรอกค่ะ ถึงขนาดดื้อรั้นเข้าขั้นงมงายด้วยซ้ำไป”

    “รวมทั้งเพื่อนของเจ้าด้วย?”

    “คะ?”

    “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแรงเยอะขนาดแบกข้าจากในป่ามาเข้าบ้านได้ด้วยตัวเองคนเดียวหรอกนะ”

    เด็กสาวร้องอ้อยิ้มรับ

    “ค่ะ คนที่ช่วยแบกท่านกลับมาที่นี่ไม่ใช่ข้า แต่เป็นอีกคน”

    “ใช่คุณพี่ที่ยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าประตูนั่นรึเปล่า”

    “เอ๊ะ?”

    ประตูเปิดผางออก มิเรอาหันขวับกลับไปมอง อากัปอาการออกจะตื่นๆ

    “เฮอร์เจส”

    เด็กหนุ่มที่เดินหน้าขมึงเครียดเข้ามามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซเรเนี่ยน แต่รูปร่างซึ่งสวมใส่ชุดรัดกุมสีเข้มคลับคล้ายพวกนักหมัดมวยในแถบถิ่นของพวกมนุษย์นั้นแลสมส่วนและแข็งแรงกว่าเขามาก เหนือหน้าผากกว้างคือผมสีน้ำตาลเข้ม ยาวระต้นคอ ยุ่งเหยิงและดูหยาบกร้านเล็กน้อย

    เซเรเนี่ยนลดรอยยิ้มแคบลง ท่านั่งปล่อยตามสบายของเขาเปลี่ยนเป็นตั้งตรงทั้งไหล่บ่าหลังเอว

    ทันทีที่เห็นกัน เด็กหนุ่มเซนต์ชาร็อตรู้ได้ว่าเจ้าเฮอร์เจสคนนี้ไม่ค่อยชอบหน้าเขา ไม่สิ ไม่ใช่ไม่ค่อย ...ไม่ชอบเอามากๆเลยต่างหาก นับแต่เข้ามาหมอนี่ก็เอาแต่เขม็งเพ่งใส่ ราวกับกลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ชอบมาพากลหรือลักเล็กขโมยน้อยของในห้อง ถึงต้องคอยจับจ้องไม่ให้คลาดอย่างไรอย่างนั้น

    “เอ่อ เป็นไงบ้างคะ” มิเรอาเองก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอึดอัดที่เพิ่มมากขึ้น จึงรีบพูดแทรกเพื่อลดความตึงเครียด

    เฮอร์เจสค่อยดึงความสนใจออกจากเซเรเนี่ยนกลับมาที่เด็กสาว ตอบรับนอบน้อมทั้งแววตาและท่าที

    “ครับ ได้มาครบตามที่ท่านมิเรอาต้องการ ข้าเอาวางไว้ในห้องยาแล้ว”

    คงไม่ใช่พี่น้อง หน้าไม่เห็นเหมือน จะว่าเป็นเพื่อนกันก็ออกจะสุภาพไปสักหน่อยล่ะมั้ง... เซเรเนี่ยนคิด

    “ต้องขอโทษด้วยนะคะ เฮอร์เจส คือข้ามีเรื่องจะรบกวนนิดหน่อยน่ะค่ะ”

    มิเรอาว่าแล้วเดินมาที่โต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียง

    “ยังมีสาเหตุอีกอย่างที่ข้าช่วยท่านเอาไว้” เธอกระซิบบอกกับเซเรเนี่ยน โดยที่ยังทำทีเป็นก้มหน้าหาของไม่หันมาทางคนที่พูดด้วย เฮอร์เจสจึงไม่ทันได้สังเกต “ข้าอยากพูดคุยถึงเรื่องบางอย่างกับท่าน”

    เซเรเนี่ยนฟังแล้วยิ้มเยาะในใจ

    นั่นไง มาแล้ว

    ยัยนี่ไม่ได้ช่วยเขาโดยไม่หวังผลจริงๆนั่นแหละ

    ท่านเป็นคนเจ็บ ข้าเป็นหมอ เชอะ


    มิเรอาหยิบซองผ้าขนาดเล็กบนโต๊ะเตี้ยขึ้นมาใบหนึ่งส่งแก่เฮอร์เจส

    “ข้านึกขึ้นได้ว่า ลืมจัดยาตัวหนึ่งให้คุณป้าทาร์เวีย ท่านช่วยเอาไปให้ทีได้ไหมคะ”

    เฮอร์เจสยื่นมือรับซองยา มองแปลกๆมาที่เธอ

    “ต้องขอโทษจริงๆค่ะ ทั้งที่ท่านเพิ่งจะกลับแท้ๆ” มิเรอาปั้นยิ้มกลบเกลื่อน เธอรู้ว่าเฮอร์เจสสงสัย เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยไหว้วานเขาในเรื่องปลีกย่อยที่กระทำได้ด้วยตัวเอง

    “ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรับคำ ปรายตามองมาทางเซเรเนี่ยนอีกครั้งก่อนออกไป

    “แล้วก็...ขอโทษด้วยนะคะที่ข้าโกหก”

    เด็กสาวผงกหัวปลกๆหลังจากอีกฝ่ายพ้นประตู

    เซเรเนี่ยนแอบขำกับท่าทางดังกล่าวของเธอ ดูเหมือนมิเรอาจะรู้ตัวหันกลับมามองค้อน เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นทำหน้าขึงขัง กระแอมหนึ่งคำ

    “อ่า หมอนั่น..”

    มิเรอาคล้ายเดาได้ว่าเขาจะถามอะไร “ค่ะ เขาเป็นผู้ช่วยของข้า...และเป็นจอมเวทเหมือนกันกับท่าน”

    “แปลก” เซเรเนี่ยนพึมพำ

    ไม่ได้แปลกที่เป็นจอมเวทหรอก ข้อนั้นเขารู้ สัมผัสพลังของหมอนั่นได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูเข้ามาแล้ว

    เรื่องที่ไม่ชอบหน้าเขานั่นก็ไม่แปลก ท่าทางของเขาใช่ว่าเชิญชวนควรแก่การใกล้ชิดสนิทสนมนัก ไอ้ที่แปลกคือทำไมแค่ไม่ชอบหน้า ถ้าหากเป็นเผ่าจอมเวท กับผู้ต้องหาหลบหนีตัวฉกาจของเนิร์ฟเธนมันควรจะมากกว่านี้ หวาดระแวง เกรงกลัว เกลียดชัง อยากกำจัด หรืออะไรก็ตามแต่ มันไม่น่าจะแค่ ‘ไม่ชอบหน้า’ เท่านั้น

    “เขาไม่รู้ว่าข้าเป็นใครหรอกรึ”

    “ข่าวของท่านเพิ่งมาถึงเมื่อรุ่งสาง เฮอร์เจสไปเก็บตัวยาเพิ่มเติมบนภูเขาแทนข้าที่ออกตรวจคนไข้ในหมู่บ้านจึงไม่ทราบเรื่อง ข้าเองก็ยังไม่ได้บอก”

    “มิน่า...” เซเรเนี่ยนรู้ว่ามิเรอาพูดจริง ไม่อย่างนั้นหมอนั่นไม่มีวันทิ้งเธอไว้กับเขาตามลำพังแน่

    และเขาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้หลอกที่บอกว่าอยากพูดคุยด้วย

    ทีแรกเขาคิดว่า ‘พูดคุย’ ที่เด็กสาวบอกคือต้องการจะตกลงแลกเปลี่ยนบางสิ่งจากเขา เพราะถึงคุณหมอคนสวยไม่ใช่จอมเวท แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่ใช่หมอฝึกหัดอายุน้อยธรรมดาๆ

    เขาคิดต่อไป ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อมีเจ้าผู้ช่วยจอมเวทตัวเป็นๆอยู่ทั้งคน ยังต้องมาใช้เขาที่เอาตัวเองก็แทบไม่รอดทำอะไรให้อีก

    แต่...ใช่ล่ะ ใครจะเสี่ยงช่วยไอ้ตัวพาซวยอย่างเขาเปล่าๆโดยไม่หวังผลเล่า

    แต่...พอมาคิดอีกที เธอไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างให้เฮอร์เจสออกไปข้างนอก หากตกลงไม่สำเร็จ เธอเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากเห็นขี้หน้าเขา ยังใช้หมอนั่นจัดการกับเขาได้ ถึงฝีมือของเฮอร์เจสอาจไม่เทียบเท่าคนของพันธมิตรผู้คุมกฎ อย่างไรเสียนับว่าเหลือเฟือสำหรับสภาพเขาในตอนนี้

    คิดไปคิดมาแล้ว ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้เพียงแค่ต้องการจะคุยด้วยจริงๆ

    เซเรเนี่ยนยิ้มมุมปาก มองสบตาเด็กสาว

    “คุณหมอ เจ้าน่ะ...ควรเรียกว่าสติไม่เต็มเต็งหรือจริงใจจนเกินไปดีนะนี่”

    เธอไม่มีปฏิกิริยากับคำประชดเช่นเคย

    เด็กหนุ่มแลบลิ้น

    “เอาเถอะ ไม่นานพวกทหารนักเวทน่าจะใกล้มาตรวจตราที่นี่แล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าผู้ช่วยนั่นก็ต้องรู้เรื่อง เขาคงไม่ยินดีให้ข้านั่งแช่อยู่ในนี้ เจ้ามีอะไรว่ามาได้เลย”

    “อย่างนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม” มิเรอาเริ่มเรื่อง “ท่านมาที่นี่ เพราะต้องการตัวทายาทของมูเอราเอลหนึ่งในสี่ผู้เฒ่าราชันแห่งเผ่าจอมเวทสินะคะ”


    ...................
  13. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เซเรเนี่ยนหัวเราะ

    แต่แววตาที่เสียดแทงของเขาไม่ได้หัวเราะตาม

    “คุณหมอ เจ้านี่ชักทำข้าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ”

    เรื่องที่ว่าทายาทของมูเอราเอลซ่อนตัวอยู่แถบนี้ เป็นความลับในความลับของเผ่าผู้ใช้เวทมนตร์ที่ล่วงรู้กันอยู่ไม่กี่คน ต่อให้พวกหน่วยอาญาสวรรค์สั่งทหารนักเวทกระจายเรื่องของเขาเพื่อให้พวกชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตา อย่างมากคงบอกให้รู้แค่ว่าเขามาปรากฏตัวที่นี่เพื่อทำการอุกอาจอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางแจกแจงละเอียดขนาดพาดพิงถึงทายาทของมูเอราเอลแน่ คุณหมอคนนี้ไปรู้มาได้ยังไง

    ดวงตาสว่างใสคู่นั้นยังมองมาทางเขาไม่ละวาง

    เซเรเนี่ยนยักไหล่ “อ้อ ขออภัย ข้ายังไม่ได้ตอบคำถามเจ้า ...ใช่”

    มิเรอาเดินมาหยุดยืนที่ข้างเตียง

    “เพื่อการนั้น ท่านพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาตัวเขาให้พบ?”

    คำตอบของเซเรเนี่ยนสั้นห้วนดุจเดิม และชัดเจนดุจเดิม

    “ใช่”

    “เพราะเพื่อสาเหตุนี้ ทั้งที่ทราบดีว่าทายาทของมูเอราเอลมีบริวารมากมายแวดล้อมข้างกาย หากว่าต้องการเข้าถึงตัว ย่อมต้องผ่านพวกเขาเหล่านั้นไปให้ได้เสียก่อน ท่านยังคงมาที่นี่ ต่อสู้จนตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบเสียชีวิต?”

    “ใช่”

    “ท่านยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ?”

    “ใช่”

    “ท่านคิดว่า กว่าที่จะบรรลุถึงเป้าหมาย...ต้องสังหารผู้คนอีกสักเท่าไหร่...ต้องเสี่ยงอันตรายอีกสักกี่ครั้ง”

    “อยากจะพูดอะไร” เซเรเนี่ยนย้อนถาม

    “การที่ต้องพาตัวเข้าไปหาคมดาบเพื่อแลกมาซึ่งการสังหารใครคนหนึ่ง ทั้งยังต้องฆ่าฟันบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เป้าหมาย เพียงแค่ยืนขวางทางเราอยู่เท่านั้น...”

    ไหล่บอบบางของเด็กสาวเกร็งขึ้น

    “...หรือว่าท่านไม่รู้สึกอะไรเลยกับการที่ต้องฆ่าใครสักคน ไม่รู้สึกอะไรเลยกับการตาย ...แม้กระทั่งของตัวเอง”

    เธอมองตาเขา

    “...ทำไมล่ะคะ”

    เซเรเนี่ยนเห็น ขณะที่เอ่ยคำถามนี้ ดวงตาที่สว่างสดใสของเด็กสาวกลับทอแววหมองหม่นอย่างบอกไม่ถูก

    “ทำไม...งั้นเหรอ”

    เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองเพดาน ย้ำทวนคำถามที่ได้รับ

    เขาเงียบงันไปเนิ่นนาน แล้วจึงเอ่ยชื่อชื่อหนึ่ง

    “โจริชชี่น่ะ”

    “เอ๋?”

    “เขาวัยไล่เลี่ยกันกับข้า ไม่ใช่คนตระกูลใหญ่โตอะไรในเนิร์ฟเธน แต่หน่วยก้านไม่เลว มีมานะ มุ่งมั่น ถ้าฝึกฝนอีกสักสามปี ชื่อของเขาน่าจะเลื่องลือในฐานะจอมเวทรุ่นใหม่”

    มิเรอางุนงง เซเรเนี่ยนดูไม่เหมือนกำลังตอบคำถามของเธอ

    เด็กหนุ่มยังกล่าวต่อไป

    “คิงดัฟขี้เมา ตาลุงนี่ชอบโอ่ว่ากินเหล้ามากขวดกว่าจำนวนครั้งหายใจเข้าออกซะอีก ถึงงานเทศกาลทีไรดื่มจนหัวราน้ำทุกที ถ้าไม่บอกก็ดูไม่ออกว่าเมื่อก่อนเคยเป็นนักเวทฝีมือดี แต่ทั้งๆที่บ้าเหล้าหนักขนาดนั้น จู่ๆกลับมาประกาศว่าจะเลิก เพื่อเป็นของขวัญที่ลูกชายคนเล็กอายุครบเจ็ดขวบ

    “ส่วนร็อคบีน เจ้านี่เซ่อซ่าไม่มีใครเกิน แถมไม่เอาอ่าวทั้งเรื่องเวทมนตร์ทั้งเรื่องจีบสาว ปล่อยให้เมย์ฮันนาห์จอมขี้อายรอมาร่วมห้าปี กว่าจะกล้าเอ่ยปากขอแต่งงาน

    “ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน เพิ่งอายุได้ครึ่งเดือน ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะชื่อพรีเดลหรือแคร์รอลดี เด็กนั่นก็น่ารักมากเชียวล่ะ ถึงจะแบเบาะแต่ดวงตาเป็นประกาย โตขึ้นคงสวยเหมือนแม่”

    แม้จะไม่เข้าใจเจตนาของเขา แต่โดยไม่รู้ตัว มิเรอาก็ฟังแล้วแย้มยิ้มออกมา

    ...ในเนิร์ฟเธนต่างเล่าลือกัน ว่าทายาทของจูลดอลเต้นั้นเป็นเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อที่พิสมัยการสังหาร คร่าชีวิตผู้คนดุจมดปลวก กล่าวขานกันว่าเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตเป็นคนอำมหิต เลือดเย็นไร้จิตใจ...

    มิเรอาคิด...หากคำร่ำลือดังกล่าวหมายถึงคนที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้า นั่นต้องไม่เป็นความจริง

    หรือหากเป็นความจริง อย่างนั้นคนตรงหน้าเธอก็คงไม่ใช่เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต

    เขาไม่ใช่คนน่ากลัว ไม่ได้ไร้จิตใจฝักใฝ่การฆ่าฟันเช่นที่เธอได้ยินมา

    เขาไม่ได้ยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาปรากฏในน้ำเสียง ในคำพูด ยามที่กำลังบอกเล่าเรื่องราว มีความสุขและอ่อนโยนอย่างที่หากไร้ซึ่งความรู้สึกแล้วก็ไม่สามารถมีได้อยู่ในนั้น

    “พวกเขาเป็นเผ่าจอมเวทแต่ไม่ใช่คนของพันธมิตรผู้คุมกฎ ไม่ใช่คนในตระกูลของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม แต่กลับต้องมารับผลกระทบจากมัน

    “ถึงอย่างนั้น ทั้งที่เป็นยามสงคราม พวกเขาก็ยังเชื่อมั่น ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ย่อท้อ และสงบสุขชนิดที่ข้าไม่อยากเชื่อ พวกเขาเข้มแข็งมาก พอๆกับที่สัตย์ซื่อต่อความเชื่อของตน จนข้าที่มองดูว่ามันบ้าบอเลอะเลือนเหลือเกิน ยังหวัง...ให้สิ่งที่พวกเขาหวังเป็นตามนั้น

    “พวกเขาเป็นเพื่อนข้า เป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่คนนิสัยย่ำแย่อย่างข้าสามารถเรียกได้ว่าเพื่อนสนิท

    “และเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนข้า นั่นเลยเป็นสาเหตุให้พวกเขาต้อง... ตาย”

    มิเรอาชะงักงัน

    “อย่างที่เจ้ารู้นั่นล่ะ หลังพ่อข้าตาย สงครามจบ ข้าก็ถูกหมายหัวจากทั่วทั้งเนิร์ฟเธน”

    รอยยิ้มในประโยคของเด็กหนุ่มแปรไป

    “และถ้าเจ้ารู้มากกว่านั้น การตามล่าคนคนหนึ่ง ไม่เพียงต้องมุ่งเจาะจงไปที่เป้าหมาย แต่ยังครอบคลุมถึงบุคคลที่แวดล้อมมันผู้นั้นด้วย ดังนั้นไม่แค่เฉพาะข้า...”

    สีหน้าของเด็กหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลง แต่มือข้างขวากำแน่นเข้า น้ำเสียงของเขาคงเดิม แต่รอยยิ้มในนั้นหายไปแล้ว

    “โจริชชี่ อย่าว่าแต่เวลาสำหรับฝึกฝนต่ออีกสามปี เขาไม่มีเวลาสั่งเสียแม้แต่วินาทีเดียวด้วยซ้ำ

    “คิงดัฟกับครอบครัวโดนสังหารอย่างเลือดเย็น...สามวันหลังจากงานฉลองวันเกิดของลูกชายคนเล็ก

    “ทั้งร็อคบีน ทั้งเมย์ฮันนาห์ ถูกกลุ้มรุมด้วยเวทมนตร์จากจอมเวทนับสิบ ข้าไปทันเพียงแค่ได้เห็นซากที่แทบแหลกเป็นผุยผง...กับศพของทารกที่ถูกกอดไว้แน่นในอ้อมแขนของพวกเขาเท่านั้น”

    “ข้า..”

    มิเรอาร้องขัดขึ้น

    “หือ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว

    “ข้า..” มิเรอาพูดได้แค่นั้น นึกหาคำกล่าวไม่ออก เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ไม่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งใจจะพูดอะไร

    แสดงความเสียใจกับเขา... อยากขอโทษที่เอ่ยคำถามแบบนี้ออกไป...

    หรือแท้จริงต้องการขอร้องให้เขายุติคำตอบลง เพราะเธอไม่อาจแบกรับน้ำหนักของมัน...

    เซเรเนี่ยนหยุดเล่าเปลี่ยนเป็นถาม

    “ไหงทำหน้าแบบนั้น เจ้าเอ่ยถึง ‘คนที่ไม่เกี่ยวข้อง’ ข้าก็เลยลองยกตัวอย่างให้เจ้าดูเท่านั้น”

    คำพูดของเขาเนิบนาบ ทว่าแววตาราวกับจะเยาะหยัน

    “ ‘ทำไมต้องลากดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย’ เจ้าเป็นหมอ เจ้าเห็นคุณค่าของชีวิตคน ข้าจะไม่พูดหรอกนะว่าคำถามนี้ไร้เดียงสาไปหน่อย เพียงแต่...เจ้าถามใครล่ะ ข้าเหรอ พวกกบฏ? หรือพวกสี่ผู้เฒ่า?”

    เสียงของเขายามเอ่ยถ้อยเหล่านั้นราบเรียบดุจน้ำนิ่งไร้ระลอก ไม่บ่งบอกแม้แต่น้อยว่าในใจเขารู้สึกเช่นไร

    เป็นโศกเศร้า... เคียดแค้น... ชินชา...

    หรือทั้งหมด...

    เซเรเนี่ยนลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าหามิเรอา โน้มตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้เด็กสาว

    “เจ้าจะดูถูกข้าเป็นคนเลวทรามก็ได้ แต่ในเมื่อพวกเขาตายเพราะข้า จะให้ข้านั่งเฉยๆทำไม่รู้ไม่ชี้งั้นเหรอ อย่างน้อยๆข้าที่ยังมีชีวิตอยู่ควรจะทำอะไรให้พวกเขาบ้างไม่ใช่รึไง”

    ดวงตาของเธอที่เงยขึ้นมองสบกับสายตาของเขาเจือแววหม่นหมองมากกว่าเดิม

    “จุดประสงค์ของท่าน... คือการล้างแค้นอย่างนั้นหรือคะ”


    ...................


    เฮอร์เจสกำลังยืนงงงวยกับสิ่งที่เห็น

    มันเป็นกระดาษวาดภาพเหมือน หนึ่งในหลายๆแผ่นที่เมื่อวานเขายังไม่เห็นแม้แต่แผ่นเดียว ตอนนี้มันติดเต็มตามกำแพงอาคารทั่วหมู่บ้าน

    หมายความว่าไงกัน ใบหน้าในรูป เหมือนกับเจ้าเด็กท่าทางไม่น่าไว้ใจที่ท่านมิเรอาช่วยมาไม่มีผิด

    ...จริงสิ

    เฮอร์เจสหวนนึกถึงเรื่องเมื่อเช้ามืด

    ตอนที่มิเรอาไปเจอกับเซเรเนี่ยนซึ่งนอนหมดสติอยู่ริมแม่น้ำนั้น ข้างกายเด็กหนุ่มที่บาดเจ็บสาหัสยืนคุมเชิงไว้ด้วยสิ่งหนึ่ง

    เป็นหมาป่านัยน์ตาแดงฉาน แยกเขี้ยวขาวคมวาวน่าหวาดหวั่น

    ที่ประหลาดคือ มันเพียงส่งเสียงคำรามในลำคอและยืนมองดูอยู่เฉยๆเท่านั้น ทั้งที่มันจับจ้องเด็กหนุ่มอย่างกระหายเลือด ราวกับต้องการจะฉีกกระชากร่างของเขาเป็นชิ้นๆ

    จนกระทั่งมิเรอากับเฮอร์เจสพาเอาเซเรเนี่ยนห่างออกมา มันยังไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะเหลียวคอมอง

    เฮอร์เจสยืนกรานไม่ยอมให้เด็กสาวเข้าไปใกล้หมาป่าตัวนั้น ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะจัดการ แต่มิเรอาเห็นว่ามันไม่ได้ทำอันตรายกับใครจึงขอร้องให้ปล่อยมันไว้แบบนั้น

    ทำไมถึงไม่นึกออกให้เร็วกว่านี้

    เฮอร์เจสวิ่งตะบึงกลับบ้านอย่างรวดเร็ว

    นั่นมันหมาป่าฟีราเคนิส สุนัขจอมล่าของอาญาสวรรค์

    ไอ้เด็กนั่นเป็นคนที่พันธมิตรผู้คุมกฎตามล่า ...เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต


    ...................


    “เมื่อเช้าเจ้าออกไปนอกหมู่บ้านเลยไม่ได้เห็น พวกทหารแห่กันมาที่นี่เต็มเลย”

    “แล้วรู้รึเปล่า ในจำนวนนั้นมีพวกทหารนักเวทอยู่ด้วยนะ”

    “ก็ดูหน้าตาเหมือนคนธรรมดาอย่างเราๆนี่แหละ แต่เจ้าเชื่อไหม เรื่องที่เขาลือกันไม่ได้เกินเลยสักนิดเดียว มีคนหนึ่งในกลุ่มขยับแขนทีเดียวนะ คนที่อยู่ข้างๆลอยปลิวไปไกลร่วมเจ็ดแปดวาแน่ะ”

    หลังจากเหตุการณ์กลางลานหินที่ตลาดหน้าหมู่บ้านเมื่อเช้า ทุกวงสนทนาของผู้คน เนื้อหาที่พูดคุยเสียเก้าในสิบส่วนล้วนแต่พูดถึงเรื่องดังกล่าว

    มีเพียงวงสนทนาของคนกลุ่มนี้ที่ไม่ได้เอ่ยถึง

    “ว่ายังไง”

    นี่เป็นคำถามของฮันน์

    คำตอบของทุกคนคือสั่นศีรษะ

    นักดาบเวทมนตร์แห่งหน่วยอาญาสวรรค์ทั้งเจ็ดคนผลัดเปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดผ้าคลุมแบบนักเดินทางเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา พวกเขามาสมทบกับคนในหน่วยอีกสี่คนที่แต่งตัวแบบเดียวกันในร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่ง หลังจากที่ต่างฝ่ายต่าง ‘แยกย้ายกันไปทำภารกิจ’ มา

    “แล้วเมื่อคืนพวกท่านเป็นไงบ้าง”

    “ร้ายกาจกว่าที่คิด ไม่นึกว่าจะเจอกับเซเรเนี่ยน” เป็นคำตอบสั้นๆจากเมยานู

    จอมเวทคนที่ถามพอจะเดาได้ถึง ‘ความร้ายกาจกว่าที่คิด’ นั่น เพราะจำนวนคนที่มาลดลงไปหกคน

    “นี่หมู่บ้านที่สิบเจ็ดแล้วสิ ข่าวกรองที่ได้มาไม่ผิดพลาดแน่นะ”

    “เหลืออีกห้าจุด รวมที่นี่ก็สิบสองหมู่บ้าน เข้าวันที่สามแล้ว ขืนยืดเยื้อนานกว่านี้ไม่ดีแน่ พื้นที่อาศัยตามแนวป่าผืนเบ้อเร่อขนาดนี้สลับกับภูเขาร่วมสิบลูก ลำพังแค่พวกเรามันค่อนข้างจะเกินแรงไปจริงๆนั่นแหละ แถมตอนนี้บางส่วนบาดเจ็บหนัก คนมาลดลงไปอีก ถ้ายังไงเรายืมมือกำลังทหารนักเวทในแถบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ฮันน์”

    เมยานูได้ยินเพื่อนร่วมหน่วยกล่าวเช่นนั้นก็ว่าเสียงเคร่งเครียด

    “เจ้าลืมคำสั่งของท่านมูเอราเอลแล้วรึไง เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด จนกว่าเราจะรู้ตัวไส้ศึกคนทรยศแน่ชัด ใครก็ไว้วางใจให้ช่วยเหลือไม่ได้ทั้งนั้น”

    “โอ้โฮ ขนาดนั้นเชียวเหรอ”

    เป็นเสียงจากโต๊ะด้านข้าง

    “ขนาดนั้นเลยล่ะ แม่หนูที่เป็นหมอคนนั้นนี่ไม่เบานา ถึงขนาดกล้าต่อปากต่อคำกับคนของพันธมิตรผู้คุมกฎด้วย ข้างี้ใจหายวาบแทนตอนที่เธอออกไปขวางเจ้าหนุ่มตาแหลมชี้นั่น จอมเวทพวกนั้นน่ะน่ากลัวจะตาย”

    “ใช่ๆ สะบัดชายเสื้อทีเดียวคนตัวใหญ่ๆกระเด็นไปตั้งสิบยี่สิบวา”

    สมาชิกในหน่วยคนหนึ่งนึกรำคาญและเบื่อหน่ายเต็มทนกับหัวข้อนี้ที่ย้ำซ้ำและขยายความเกินจริงขึ้นทุกที “พวกทหารนักเวทในท้องถิ่นมันทำอะไรของมัน แทนที่จะรีบๆตามหาตัวเจ้าเด็กนั่นให้เจอตามสั่ง ดันมาแหกกฎใช้เวทมนตร์เล่นจำอวดให้ชาวบ้านเอามาเล่าสนุกปากซะได้”

    “จะว่าไป ฟีราเคนิสที่พวกเราส่งออกไปก็ไม่กลับมาแม้แต่ตัวเดียว ไม่รู้หายไปไหนกันหมด”

    “หรือบางที เซเรเนี่ยนยังไม่ตายจริงอย่างที่ฮันน์บอก เป็นไปได้ว่าทุกตัวอาจโดนจัดการหมดแล้ว”

    ฮันน์ยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงให้เงียบ

    “มีอะไรหรือ” เมยานูแปลกใจ ดูเหมือนหัวหน้ากำลังตั้งใจฟังที่คนโต๊ะข้างๆพูดกัน

    “พวกเจ้าได้ยินไหม” ฮันน์ถาม

    สมาชิกในหน่วยพากันงง

    “ไอ้ที่ว่าสะบัดชายเสื้อทีเดียวคนตัวใหญ่ๆกระเด็นอะไรนั่นน่ะเหรอ เจ้าพวกนี้เอาแต่พูดวนไปวนมาจะรอบที่ร้อยแล้ว”

    “ข้าหมายถึงประโยคก่อนหน้า”


    ...................


    เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ

    เด็กสาวไม่สามารถคาดคั้นเอาคำตอบจากเขาได้ และเธอก็ไม่คิดจะทำด้วย

    เธอเอ่ยอีกคำถามหนึ่งแทน

    “ท่านจะให้สัญญากับข้าอย่างหนึ่งได้หรือเปล่าคะ”

    เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ

    “ถือซะว่าแลกกับการที่เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ก็ได้ ลองว่ามาสิ”

    มิเรอาค่อยๆกล่าวทีละคำ

    “ขอแค่ท่านไม่ฆ่าใครอื่น หากต้องการชีวิตทายาทของมูเอราเอลแล้วล่ะก็..”

    แต่แล้ว เกิดเสียงดังปึงที่ทำเอาเธอสะดุ้งโหยง

    เด็กสาวผละจากเซเรเนี่ยนวิ่งออกจากห้องมาดู

    เฮอร์เจสรีบร้อนถึงขนาดแทบจะพังประตูบ้านกระหืดกระหอบเข้ามา

    “...ท่านมิเรอา โชคดีจริงๆที่ท่านยังปลอดภัย ตอนนี้หลบออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะครับ”

    “มีเรื่องอะไรหรือคะ เฮอร์เจส”

    “เรื่องใหญ่มากครับ ข้ารีบวิ่งกลับมาเพราะเหตุนี้ ท่านมิเรอา ไอ้เจ้าคนที่เราช่วยเอาไว้น่ะ มันเป็น..” เฮอร์เจสพูดแผ่วเบาแต่เน้นคำหนัก พร้อมทั้งชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น

    ...ใบปิดประกาศตามจับเซเรเนี่ยน

    “ข้าทราบเรื่องแล้วล่ะค่ะ เมื่อเช้าตอนที่ออกตรวจคนไข้ ข้าก็เห็น” มิเรอารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “ท่านทราบเรื่องแล้ว?”

    เด็กสาวผงกศีรษะ

    “ถ้าอย่างนั้น มัน...”

    “ไม่ค่ะ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ดังนั้น... เฮอร์เจส ท่านจะทำอะไร!?”

    มิเรอาร้องถามเมื่อเฮอร์เจสไม่สนทนาสืบต่อ เดินผ่านเธอ เร่งรี่มาทางห้องที่เซเรเนี่ยนนอนพักอาการ

    “ต้องป้องกันไว้ก่อนครับ เพื่อความปลอดภัย”

    เฮอร์เจสหยุดยืนข้างบานประตูห้องซึ่งเปิดแง้ม ขับดันพลังเวทรวมไว้ที่สองมือแล้วซัดกระแทกออกในฉับพลัน

    “เฮอร์เจส เขายังบาดเจ็บอยู่นะ!!”

    เด็กสาวห้ามปรามไว้ไม่ทัน ประตูไม้แตกทลาย กลุ่มพลังเปล่งแสงเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่ภายในห้องอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังอึงอล บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน ฝูงนกแตกตื่นบินเตลิดสับสน

    แรงลมจากการปะทะตีตลบม่านควันท่วมทะลักทั่วห้องและทางเดิน

    ผ่านไปชั่วขณะ ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้น เฮอร์เจสจึงก้าวฝ่าหมอกควันที่เริ่มอ่อนจางเข้าไปข้างใน

    มีเพียงชิ้นส่วนแตกละเอียดของเตียงไม้ เศษขาดวิ่นของผ้าห่มเบาะนอนฟุ้งกระจาย และชั้นหนังสือล้มพังระเนระนาด

    เฮอร์เจสจู่โจมไม่โดน

    เขาไม่ได้พลาดเป้า ที่ไม่โดนเพราะเป้าหมายของเขาไม่อยู่ในห้อง

    ไม่มีเงาร่างของเซเรเนี่ยนอยู่ในห้อง

    ผ้าม่านเบาบางปลิวตามแรงลม แดดยามสายสาดลอดเข้ามา จากช่องหน้าต่างที่ถูกเปิดออก

    เฮอร์เจสกระโดดออกไปเบื้องนอกหน้าต่างทันที

    ทุ่งหญ้ากว้างเงียบกริบปราศจากวี่แววคน เขาไม่พบเห็นใคร ดูท่าเซเรเนี่ยนจะจากไปก่อนหน้าได้สักพักแล้ว

    ...จะให้มันหนีไปไม่ได้

    เฮอร์เจสมุ่งหน้าไปทางทิศที่ตนคาดว่าเซเรเนี่ยนจะไปโดยไม่รอฟังคำทัดทาน

    “เฮอร์เจส เดื๋ยวก่อน”

    เด็กสาวร้องเรียก แต่ร่างของเด็กหนุ่มหายลับไปแล้ว


    ...................
  14. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    บทที่ ห้า

    ที่แท้...



    ก่อนหน้านี้ไม่นาน จู่ๆในหัวของข้าก็เกิดคำถามแปลกๆขึ้น

    ...ระหว่างข้า กับทายาทของมูเอราเอล

    เราทั้งคู่ซึ่งมีสถานะเป็นศัตรูกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาเลยนั้น

    เราทั้งคู่ต่างถูกตามล่าเอาชีวิต เพราะฐานะ ‘ทายาท’ ที่ได้รับจากผู้เป็นพ่อของตัวเอง

    เราทั้งคู่ได้รับบทบาทที่คนอื่นโยนมาให้สวม โดนผลักไสไปในทางเดินที่ตนไม่ได้เลือก

    ...นั่นสินะ ถ้ามองจากข้อเหล่านี้ ข้ากับเจ้าทายาทคนนั้น...แตกต่างกันตรงไหน

    เจ้าทายาทคนนั้นจะคิดเหมือนข้ารึเปล่า

    ข้าไม่รู้คำตอบ

    ช่างมันเถอะ...

    แค่เรื่องไร้สาระที่ผุดโผล่มาในสมอง

    ข้าคงอ่อนเพลียมากเกินไปจากการถูกตามล่าไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะหัวเสียมากเกินไปกับเรื่องของ ‘เจ้าพวกนั้น’

    ช่างมันเถอะ...

    มันไม่จำเป็นต่อเป้าหมายของสิ่งที่ข้ากำลังจะกระทำ

    เจ้าทายาทอะไรนั่นจะเป็นคนยังไง มีความคิดแบบไหน เหมือนหรือต่างจากข้ารึไม่ก็ช่าง ข้าไม่เปลี่ยนความตั้งใจเด็ดขาด

    ข้าต้องหาตัวมันให้เจอให้ได้



    ...................


    เซเรเนี่ยนฉีกชายเสื้อมามัดรวบผมเป็นหางม้าดังเดิมเพื่อไม่ให้ปรกลงมาเกะกะวุ่นวาย

    เขากำลังเดินเรื่อยเฉื่อยอยู่กลางป่า ห่างออกมาจากบ้านของมิเรอา

    พื้นที่ป่าแห่งนี้ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวาง แน่นขนัดรกชัฏและยากต่อการจำแนกทิศทาง ซ้ำยังทับซ้อนสลับกับภูเขาหลายลูก ลำพังทหารนักเวทกับกำลังพลในแถบท้องถิ่น กว่าจะค้นหาปิดล้อมตามจุดสำคัญได้หมดสิ้นอาจต้องใช้เวลาร่วมวันหนึ่งเต็มๆเป็นอย่างต่ำ

    ถ้ารีบไปตั้งแต่เนิ่นๆ เขาอาจหนีพ้นได้...

    หากแต่เซเรเนี่ยนยังไม่คิดจะไป

    เพราะ ‘คนที่เขารอคอย’ ยังไม่มา

    เมื่อคืนนี้บุคคลที่เขารอคอยเป็นทายาทของมูเอราเอล แต่วันนี้ที่เขารอคอยเป็นอีกคนหนึ่ง

    เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้พบกับคนที่ตัวเองรอคอย ...แล้ววันนี้เล่า

    เด็กหนุ่มเดินไล่ไปตามริมแม่น้ำที่ตนเกือบต้องฝังร่างอยู่ก้นบึ้ง มาจนถึงปลายสายซึ่งตื้นเขินขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นลำธารขนาดเล็ก

    ซากของเหล่าสุนัขฟีราเคนิสที่ไล่ล่าเขาเมื่อคืนก่อนลอยมาเกยเต็มริมตลิ่ง สภาพเริ่มแข็งและแห้งผากส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง บางส่วนดูท่าจะถูกฝูงนกกาหรือสัตว์ป่าอื่นฉีกทึ้งกินไป

    เซเรเนี่ยนรู้สึกผิดต่อพวกมันอยู่บ้าง ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากฆ่า พวกมันตามล่าเขาเพราะแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากเจ้านายอย่างซื่อสัตย์เท่านั้น

    ...ไม่แตกต่างอะไรกับทหารนักเวทนับร้อยนับพันที่เข่นฆ่ากันในสมรภูมิสัประยุทธ์สหัสเวท คนพวกนั้นไม่ได้มีเรื่องบาดหมางขัดแย้งกันมาก่อน ที่ฆ่ากันเพราะต่างต้องรับใช้นายของตน

    น่าตลก ที่บางคน ชีวิตของตัวเองแท้ๆ แต่กลับถูกกำหนดโดยคนอื่น

    บางครั้งต้องตายด้วยเรื่องของคนอื่น

    โจริชชี่ก็ใช่ คิงดัฟก็ใช่ ครอบครัวร็อคบีนสามชีวิตก็ใช่

    พวกเขาตายเพราะข้า

    ...ตัวข้าเองล่ะ



    ...................


    อันที่จริง เขายังติดใจสงสัยว่าตัวเองรอดมาได้ยังไง

    คุณหมอคนสวยเล่าว่ามาเจอเขาตอนเกือบเช้ามืด นั่นทิ้งห่างช่วงเวลาที่เขาหมดสติไปนานพอสมควร ทั้งที่ในระหว่างนั้นหน่วยอาญาสวรรค์น่าจะเจอตัวเขาก่อนเธอด้วยซ้ำ

    ...แสดงว่าเจ้านักดาบพวกนั้นไม่ได้ตามเขามาหลังจากส่งฟีราเคนิสออกล่าเขาแล้ว

    การแกะรอยตามล่า ฟีราเคนิสอาจทำได้ยอดเยี่ยมกว่า แต่อย่างไรเขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์คนหนึ่ง ซ้ำยังพิสูจน์ชัดไม่ได้ว่าตายแล้วหรือบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน โอกาสที่จะพลาดเอาเขากลับไปไม่ได้ไม่ใช่ไม่มี ทำไมใช้แค่เจ้าหมาพวกนี้ ไม่ลงมือด้วยตัวเอง

    คำอธิบายประการเดียวคือ เรื่องของเขายังมีความสำคัญรองลงไป

    ถ้าจะมีอะไรที่ยังสำคัญกว่าเขาซึ่งเป็นคนที่เผ่าจอมเวทอยากเด็ดหัวมากที่สุดแล้วล่ะก็ เท่าที่เขานึกออกมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ...ทายาทของมูเอราเอล

    ตามที่เจ้าคนขายข่าวบอกมา ภารกิจลับนี้รั่วไหลออกมาได้นับจนถึงเมื่อวานอย่างน้อยสองวัน หากการที่ทายาทคนที่ว่าหายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อนเป็นแผนการซ่อนคนของมูเอราเอล การคุ้มกันส่งตัวกลับก็น่าที่จะมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี แต่นี่กลับใช้เวลาถึงวันสองวัน ออกจะเนิ่นนานเกินไปสำหรับฝีมือระดับพันธมิตรผู้คุมกฎ

    การวางกับดักคร่ากุมเขา ฟังจากที่เจ้าคนชื่อฮันน์พูด ดูเหมือนมูเอราเอลเป็นคนเปลี่ยนแปลงคำสั่งเอง

    มีสาเหตุอะไรที่ทำให้การดำเนินแผนล่าช้าจนถึงขนาดต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งกลางคัน


    ...................


    สองวันก่อน...

    ที่เขาไปซื้อข่าวสารเกี่ยวกับทายาทของมูเอราเอลจากเจ้า ‘คนขายข่าว’ นั่น

    “หายต๋อมไปตอนช่วงที่สงครามเพิ่งเริ่มใหม่ๆ ลือกันว่ามูเอราเอลหวั่นเกรงภัยลามถึงลูกคนเดียว เลยพาตัวไปหลบซ่อนไว้ในสถานที่ลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้สงครามจบลงแล้ว แต่เรื่องดันกลายเป็นว่าลูกที่อุตส่าห์เอาไปแอบไว้ถูกพวกกบฏจ้องตาเป็นมันออกตามหาตามล่ากันให้วุ่น มูเอราเอลถึงตั้งใจจะไปรับตัวกลับมา” คนขายข่าวสาธยาย

    ตอนที่เอ่ยคำว่า ‘พวกกบฏ’ คนขายข่าวได้แอบชายตามองดูเซเรเนี่ยนครั้งหนึ่ง แต่เด็กหนุ่มดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาใดกับถ้อยดังกล่าว

    “ทำไมต้องเอาตัวไปซ่อน” เซเรเนี่ยนตั้งข้อสงสัย “ต่อให้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นถึงลูกของผู้นำเผ่าพันธุ์จอมเวท อย่างแย่ที่สุดก็น่าจะพอเรียนรู้อะไรดีๆมาบ้าง คงไม่อ่อนหัดถึงขนาดช่วยตัวเองไม่ได้เอาซะเลยหรอกมั้ง”

    คนขายข่าวยังพล่ามต่อเหมือนท่องอาขยาน “คาดว่าอายุปัจจุบันน่าจะราวๆสิบปีกับอีกนิดหน่อย ชื่ออะไรไม่ทราบ รูปโฉมเป็นยังไงไม่แน่ชัด”

    “เจ้าเองก็ไม่รู้?”

    “คนที่เคยได้เห็นหน้าค่าตาเด็กคนนี้มีน้อยเกือบจะนับคนได้เลย ถึงขนาดที่แทบยืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้มีตัวตนอยู่จริงรึเปล่า” คนขายข่าวแคะขี้มูกดีดใส่มดบนโต๊ะก่อนพูดต่อ “เพราะถ้าว่าไปแล้ว เด็กคนนี้ ‘จู่ๆ’ ก็โผล่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย”

    เซเรเนี่ยนยืนกอดอกเอนตัวพิงฝา “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างประมาณสามปีที่แล้ว ที่ว่าอยู่ดีๆมูเอราเอลรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงดู เพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก”

    “มันมีสาเหตุ”

    คนขายข่าวยกมือป้องปากทำท่ากระซิบกระซาบ คลับคล้ายจะพูดเรื่องลับแสนสลักสำคัญเสียนักหนา

    “ว่ากันว่า ทางฝ่ายแม่น่ะไม่ใช่จอมเวทอย่างเราๆ”

    “เป็นมนุษย์ธรรมดางั้นรึ”

    “นั่นล่ะๆ ประเภทที่เราเรียกกันว่าคนธรรมด๊าธรรมดา ไร้พลังอำนาจ ไม่มีเวทมนตร์ ไม่รู้มูเอราเอลนึกยังไง พวกนี้สำหรับจอมเวทเราแล้วเขาไม่ค่อยนิยมเอามาทำพันธุ์กั๊น ตระกูลเก่าแก่บางตระกูลถึงกับเหยียดว่าเป็นพวกต่ำต้อยด้วยซ้ำ ไอ้ที่เผ่าเราคบหาด้วยอยู่ทุกวันนี้น่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องผลประโยชน์กับต้องการสร้างภาพพจน์ที่ดีและหลีกเลี่ยงการต่อยตีโดยไม่จำเป็นล่ะก็..”

    “ช่วยพูดเข้าเรื่องหน่อย”

    “คืองี้ เป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนี้ถูกพวกเผ่าปีศาจฆ่าตาย”

    “ถูกฆ่าตาย?”

    “เจ้าก็รู้ ก่อนเกิดสงครามภายใน เราเองก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับไอ้พวกตัวประหลาดนี่ จ้องจะเข่นฆ่ารบรากันตลอดเวลาอยู่แล้ว มูเอราเอลคงกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับลูกตัวเอง”

    “ฝ่ายแม่เป็นมนุษย์ธรรมดา” เซเรเนี่ยนทวนประโยคเดิมซ้ำ “หรือว่า..”

    “ใช่เลย” คนขายข่าวดีดนิ้วเผียะ “บางทีนี่อาจจะเป็นการอธิบายได้อย่างหนึ่ง ว่าทำไมมูเอราเอลถึงกังวลในสวัสดิภาพของทายาทจนต้องให้เก็บเนื้อเก็บตัวซะลึกลับขนาดนี้ และยังอาจเป็นคำตอบของคำถามของเจ้าก็ได้ ว่าทำไมต้องเอาเด็กนี่ไปซุกซ่อน ...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องหมายความว่าข่าวลือเรื่องนี้เป็นความจริงนะ”

    คนขายข่าวไม่ลืมปิดท้ายพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะมองสักกี่ครั้งก็ยังเห็นว่าน่าเกลียดสิ้นดี

    “เชอะ” เซเรเนี่ยนแค่นยิ้มมุมปาก

    เจ้าคนขายข่าวนี่ชอบพูดให้ความเห็นด้วยประโยคแบบกลางๆ ไม่ยอมฟันธงลงไป ‘หากไม่ผิดพลาดอะไร...’ ไม่ก็ ‘ถ้าเดาถูก...’ อะไรทำนองนี้ทุกที ไอ้ที่พูดแล้วแน่ใจไม่ผิดเพี้ยนไม่เปลี่ยนแปลงเห็นจะมีแต่ราคาค่าข่าวที่ไม่มีลดให้แม้แต่สลึงเดียวนี่แหละ

    เอาเถอะ นั่นก็ถือเป็นข้อดีล่ะนะ ไอ้หมอนี่ขอแค่เงินถึง ยินดีคบหาค้าขายได้หมด ไอ้เขาตอนนี้ที่โดนพวกพันธมิตรตามก้นอยู่ทุกวันมันไม่ได้มีทางเลือกเยอะแยะนัก ...อีกอย่างจะว่าไป ฝีมือด้านข่าวสารของหมอนี่นับว่าสมราคาไม่เลว

    คนขายข่าวว่าต่อ แต่คราวนี้ไม่ป้องปาก ซ้ำยังหาวหวอด

    “นอกจากนี้ยังมีข่าวลือตลกๆ ประมาณว่า ความจริงแล้วที่หายไป ไม่ใช่ความจำนงของมูเอราเอลที่ต้องการให้ซ่อนตัว แต่เป็นเพราะเด็กนั่นหนีหายไปเองต่างหาก”

    “หนีหายไปเอง?”

    พอเห็นเด็กหนุ่มถามกลับด้วยท่าทีจริงจัง คนขายข่าวถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่เกรงใจ

    “ไม่เอาน่า มันก็แค่ข่าวโคมลอยที่ยกให้เปล่าๆยังไม่มีใครเอา เจ้าจะเอาอะไรมากกับเรื่องเล่าชวนหัวแบบนี้”

    เซเรเนี่ยนไม่ได้ว่าอะไรที่อีกฝ่ายหัวเราะเยาะ เขาเพียงพูดเสียงราบเรียบ

    “บางครั้งเรื่องที่ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงก็ไม่ไร้สาระซะทีเดียว ไอ้เรื่องบ้าๆที่ข้าเคยเจอมากับตัวเองมันก็ตลกเหลือเชื่อไม่แพ้กันหรอก”


    ...................


    ถ้าข่าวลือเรื่องการหนีออกมาเองของเด็กนั่นเป็นความจริงล่ะ

    หรือว่า... บางที คืนนั้นที่เขาบุกเข้าไปกลางขบวนม้า เจ้าพวกนั้นก็ยัง..

    ยังหาตัวทายาทที่ต้องให้การคุ้มครองไม่พบ

    เมื่อยังหาตัวคนไม่เจอก็คุ้มครองไม่ได้ สถานการณ์เช่นยามนี้ ทายาทคนดังกล่าวสามารถตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อหากถูกฝ่ายตรงข้ามสืบเสาะพบเจอก่อน มูเอราเอลจึงจำเป็นต้องหันเหเป้าหมาย วางกลลวงหลอกล่อคนที่คิดร้ายมาจัดการให้ได้เสียเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม

    ...เป็นไปได้มากทีเดีย..

    ความคิดของเซเรเนี่ยนหยุดชะงักด้วยเสียงร้องร่ำระคายหูของฝูงนกกา

    พวกมันโบยบินมาจิกแทะชิ้นส่วนอวัยวะของเหล่าหมาป่าอีกครั้ง

    ภาพดังกล่าวไม่ชวนให้มองสักเท่าไหร่ ประกอบกับกลิ่นของซากศพที่แรงเตะจมูกขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มจึงคิดได้ว่าควรเปลี่ยนสถานที่ดีกว่า

    เดี๋ยวก่อน

    เซเรเนี่ยนฉุกคิดได้ถึงเรื่องประการหนึ่ง

    ‘กลิ่น’ งั้นเหรอ จะว่าไป...

    เซเรเนี่ยนหยุดก้าวเท้า ย่อตัวลงท่องบ่นพึมพำเขียนอะไรบางอย่างบนพื้นดิน ก่อนจะยืนขึ้น หันหน้ากลับไปทางด้านที่เพิ่งเดินผ่านมา

    “ตามข้ามาตั้งไกล มีธุระอะไรเรอะ”


    ...................


    มิเรอาเพิ่งปีนหน้าต่างออกมา ไม่ทันได้วิ่งไล่ตามเฮอร์เจสก็ต้องหยุดเท้าไว้ด้วยเสียงเรียกหนึ่ง

    เสียงนั้นเหมือนดังขึ้นที่ข้างหู ทั้งที่ตำแหน่งของผู้ที่เรียกเธออยู่ห่างออกไปเกือบร้อยก้าว

    คนคนนั้นกำลังเดินมาบนเส้นทางตัดผ่านทุ่งหญ้าที่ทอดตรงเข้าหน้าบ้าน ดูจากรูปร่างที่เธอเห็น เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ด้านหลังยังติดตามด้วยกลุ่มคนแต่งชุดคล้ายคลึงกับเขา

    แม้จะยืนไกลกัน แต่เด็กสาวเห็นโฉมหน้าของชายหนุ่มชัดเจน และจดจำได้ว่าเขาเป็นใคร

    “ท่านฮันน์”

    มิเรอาเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา สีหน้าประหลาดใจ

    ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยิ้มรับ

    “ในที่สุดก็หาท่านพบจนได้ ท่านมาเรียน”


    ...................


    เฮอร์เจสปรากฏตัวขึ้น ยืนประจันหน้ากับเซเรเนี่ยนที่เอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี

    “คุณหมอให้มาเก็บค่ารักษาเหรอ เอ ข้าว่าข้าบอกไปแล้วนะว่าขอติดไว้ก่อน ตอนนี้ไม่มีเงินน่ะ”

    “ทำตัวลับๆล่อๆหลบออกมา เจ้าคิดจะไปไหน เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต” เฮอร์เจสสวนกลับเสียงกระด้าง

    โอ้ ดูท่าพี่ชายขี้ยัวะนี่ก็รู้จักเราแล้วแฮะ (รู้ช้าจริง) ที่ตามมานี่กะจะจับตัวเราไปเอาสินบนนำจับรึเปล่าหว่า

    “เอ่อ ยังไม่ได้คิดเหมือนกัน” เซเรเนี่ยนตอบตามตรงพลางนึกในใจ เจ้าน่ะ ลับๆล่อๆยิ่งกว่าข้าซะอีกนะ “ข้าเคลื่อนไหวได้บ้างแล้วเลยไม่อยากรบกวนต่อ รีบออกจากบ้านเจ้าซะจะเป็นการดีกว่า หรือเจ้าอยากรั้งข้าให้อยู่รอนั่งจิบน้ำชากาแฟกันสักแก้วสองแก้ว? แล้วที่ว่าข้าลับๆล่อๆน่ะ เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าข้าเป็นคนที่ถูกหมายหัว จะให้เดินกร่างวางท่าสง่าผ่าเผยกลางถนนใหญ่ข้าคงทำไม่ได้หรอก”

    หลังจากตอบออกไป เซเรเนี่ยนไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดหูหรือเปล่า เพราะเฮอร์เจสยังมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่คลาย

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลถามเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะไปสมทบกับพรรคพวกก่อนเพื่อย้อนกลับมาอีกใช่ไหม”

    “เอ๋?” เซเรเนี่ยนเริ่มงง หมอนี่พูดเรื่องอะไร

    “เจ้าเสแสร้งไขสือหรือไม่รู้จริงๆก็ช่าง ยังไงซะ ช้าเร็วเจ้าก็รู้อยู่ดี ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าทำร้ายเธอเด็ดขาด”

    เฮอร์เจสตั้งท่าเหมือนเตรียมต่อสู้ให้รู้ดำรู้แดง

    เซเรเนี่ยนยืนนิ่งกอดอก พอจะจับเค้าได้บ้างรางๆจึงเผยอยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ไหวตัวไวดีนี่ พี่ชาย ในเมื่อรู้ทันข้าแบบนี้แล้ว ข้าก็คงต้องจัดการกับเจ้าซะ...แล้วค่อยตามไปเก็บเธอทีหลัง”

    ทีท่าระรื่นของเขาทำให้เฮอร์เจสกัดฟันกรอด

    “ในที่สุดก็โผล่หางออกมาแล้วสินะ ไอ้คนเนรคุณ ท่านมิเรอาช่วยแกเอาไว้ แกกลับคิดไม่ซื่อ ตีหน้าเซ่อทำเป็นถามชื่อเธอ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นลูกสาวของท่านมูเอราเอล”

    “เปล่า ข้าไม่รู้หรอก” เซเรเนี่ยนตอบหน้าเหวอ

    “หา?”

    “ข้าลองหยั่งเชิงเจ้าดูเท่านั้น ไม่นึกว่าเจ้าจะหลุดปากบอกออกมาเอง”

    เฮอร์เจสนิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน


    ...................
  15. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ไม่เอาอีกแล้ว...

    ข้าไม่ต้องการเห็นอีกแล้ว...


    ต้องรีบไปยับยั้งเฮอร์เจสไม่ให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น

    เฮอร์เจสเร่งรุดไปจัดการเซเรเนี่ยนเพราะเกรงว่าเขาอาจจะหวนกลับมาทำร้ายเธอ หากได้ทราบแล้วว่าเธอเป็นใคร

    ถึงอาการของเซเรเนี่ยนจะหนักหน่วง แต่ยังห่างไกลจากสภาพตอบโต้ไม่ได้ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายต้องมีคนรับบาดเจ็บ...หรืออาจถึงชีวิต

    ไมว่าจะเป็นเฮอร์เจส หรือเซเรเนี่ยนที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นศัตรูก็ตามที ไม่ว่าอย่างไร การตายไม่ใช่เรื่องดี เด็กสาวคิดแบบนั้น

    มิเรอา...หรือก็คือมาเรียน ลีเมชน่า...บุตรีเพียงคนเดียวของมูเอราเอล หันหลังกลับตั้งใจจะออกวิ่ง แต่ย่างเท้าไปได้เพียงก้าวเดียว เด็กสาวก็พบว่าฮันน์ที่เมื่อสักครู่ยังอยู่ห่างออกไปกลายเป็นมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

    “ท่านผลุนผลันวิ่งออกจากบ้านแบบนี้นี่ คงไม่ใช่ว่าจะเตรียมตัว ‘หนี’ ไปอีกนะครับ”

    “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฮันน์ คือ..”

    ชายหนุ่มนึกเอะใจ กวาดตาไปรอบด้านแล้วไต่ถาม

    “เฮอร์เจสล่ะครับ เจ้าเด็กนั่นหายไปไหน ข้าหลงนึกว่าเขาคอยอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลาเสียอีก”

    ก่อนที่เด็กสาวจะทันตอบ ชายหนุ่มเผอิญหันไปเห็นสภาพภายในบ้านที่เธอปีนป่ายออกมา

    “เกิดอะไรขึ้นครับ”

    เขาพูด และหันไปทางป่า

    พวกของเขาเดินมาจากทางหมู่บ้าน ไม่มีใครสวนทางไป ดังนั้นเฮอร์เจสที่ไม่อยู่ต้องตามใครบางคนที่เมื่อครู่เพิ่งมีเรื่องกันที่นี่เข้าไปในนี้แน่นอน

    หรือจะเป็น...

    “ท่านมาเรียน เขาไล่ตามใครเข้าไปครับ”

    “รีบตามตัวเฮอร์เจสกลับมาก่อนเถอะค่ะ ข้ากลัวว่า..” เด็กสาวตอบไปคนละเรื่อง

    แม้จะสังเกตได้ว่ามาเรียนเหมือนปิดบังอะไรบางอย่างไว้ แต่พอเห็นท่าทีร้อนรนเป็นห่วงของเธอ ฮันน์จึงไม่คิดถามคาดคั้นอะไร

    ...เด็กคนนี้เป็นเหมือนเดิม ห่วงใยทุกข์ร้อนต่อความเป็นความตายของคนอื่นเหมือนเดิม...

    “เจ้าเด็กบ้าเฮอร์เจสนี่ก็ยังมุทะลุไม่เคยเปลี่ยน” ฮันน์ขมวดคิ้ว บ่นพึมพำสีหน้าระอา

    ไม่ได้รู้เอาซะเลยว่าสถานะของนายหญิงน้อยตอนนี้ล่อแหลมแค่ไหน ออกห่างจากข้างกายท่านมาเรียนได้ยังไง ถ้าเกิดเป็นแผนหลอกล่อไม่เสร็จไปแล้วรึ ...ทำอะไรไม่คิด

    เพื่อนร่วมหน่วยเดินมาที่หัวหน้า กระซิบขอความเห็น “จะเอาไง ฮันน์”

    “ตามตัวเฮอร์เจสกลับมาเท่านั้นก็พอ ไม่ว่าคนที่เฮอร์เจสตามล่าใช่เซเรเนี่ยนหรือไม่ ให้หลีกเลี่ยง อย่าปะทะโดยเด็ดขาด”

    “ไม่ถือโอกาสนี้จัดการกับมันเลยล่ะ”

    “สู้กันขึ้นมาจริงๆใครจะอยู่ใครจะไปยังไม่รู้ อีกอย่าง หน่วยทหารนักเวทของเมืองและแถบใกล้เคียงเริ่มทยอยกันมาตรวจค้นโอบล้อมแนวป่าแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา หน้าที่ของพวกเราคือคุ้มกันท่านมาเรียนกลับพันธมิตรโดยเร็ว จะเสียกำลังคนในกลุ่มหรือสูญเวลาเปล่ามากกว่านี้ไม่ได้”

    จบประโยค นักดาบสองคนขยับกายถลันวูบเข้าป่าโดยฉับพลัน

    ที่เหลือแปดคนกระจายออกรอบทิศของบริเวณ

    ทั่วทุกด้านปราศจากผู้คน ดูท่าไม่มีศัตรูอื่นอยู่แถวนี้

    “ไม่ต้องห่วงครับ ข้าคิดว่าพวกนั้นคงตามเฮอร์เจสได้ทัน” ฮันน์ที่ยังยืนอยู่ข้างมาเรียนกล่าวกับเธอ

    ถึงยังไม่คลายกังวลเสียทีเดียว แต่เธอก็ผงกศีรษะให้ชายหนุ่มเป็นการขอบคุณ

    ฮันน์ยิ้มเล็กน้อย

    “ไม่ได้พบกันซะนาน ท่านเติบโตขึ้นมาก ...ทั้งยังงดงาม ดุจเดียวกับท่านมิเรอา..”

    ชายหนุ่มพูดแค่นั้นก็หยุดกลางคัน เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ควรกล่าวถึง

    “ข้าขออภัย”

    มาเรียนสั่นศีรษะ ไม่ได้ติติงหากเพียงแค่ยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนจางและเฉยชา

    “พ่อ...ให้พวกท่านมาพาข้ากลับไปหรือคะ”


    ...................


    พอเห็นสีหน้าประหลาดใจแบบที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้แกล้งดัดของเซเรเนี่ยนแล้ว เฮอร์เจสคิดได้ในทันที...เขารีบร้อนเกินไปจนหลงกลไอ้หน้าขาวนี่เข้าเต็มๆ

    คนที่หลอกล่อให้อีกฝ่ายหลงกลพูดไปขำไป

    “ความจริงก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าคุณหมอเป็นใครกันแน่ เพียงแต่ข้าสัมผัสพลังเวทมนตร์จากตัวเธอไม่ได้สักกระผีกเดียว ก็เลยหลงคิดว่าเธอคงไม่ใช่เผ่าจอมเวทและไม่น่าจะใช่คนที่ข้าตามหา ที่ไหนได้”

    เซเรเนี่ยนยกมือซ้ายขึ้นปิดหน้า

    “ข่าวลือของไอ้คนขายข่าวนั่นดันเป็นจริงซะด้วย อืม ไม่แปลกนี่นะ ถ้าแม่เป็นคนธรรมดา มีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่ลูกจะเกิดมาโดยไม่มีเวทมนตร์ติดตัว งี้นี่เอง ที่แท้ก็...ลูกสาวของมูเอราเอล อยู่ใกล้ตั้งขนาดนี้”

    เด็กหนุ่มว่าแล้วหัวเราะจนตัวโยน

    ตรงกันข้ามกับเฮอร์เจส

    เขาถึงกับสั่นสะท้านขึ้นชั่ววูบเมื่อเห็นแววตาและรอยยิ้มผ่านร่องนิ้วมือที่บิดเกร็งของเซเรเนี่ยนยามที่เอ่ยถึง ‘ลูกสาวของมูเอราเอล’

    มันแหลมคม และยะเยือกเยียบ

    เซเรเนี่ยนกลายเป็นคนละคนกับเด็กหนุ่มพูดจายิ้มกริ่มที่เขาเห็นเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง กลายเป็นเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตอีกคนหนึ่ง ...เป็นทายาทของจูลดอลเต้ เซนต์ชาร็อตที่สี่ผู้เฒ่าราชันยังหวาดเกรง

    เขาปล่อยให้คนคนนี้ลอยนวลต่อไปไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น...

    เฮอร์เจสพุ่งตัวเข้าหาเซเรเนี่ยนที่ยังหัวเราะไม่ยอมหยุด พร้อมพลังเวทมนตร์อัดแน่นที่สองมือ


    ...................


    “ด้วยข้อจำกัดทางด้านจำนวนคนและเหตุภายใน การค้นหาตัวท่านถึงดำเนินไปล่าช้ากว่าที่ควรเป็น และข้าต้องยอมรับว่านอกจากความสามารถทางด้านการรักษาแล้ว เรื่องหลบหลีกซ่อนตัว ท่านก็ไม่ธรรมดาเลย”

    ฮันน์ว่า เหล่ตามองคู่สนทนา

    มาเรียนตัวลีบลง “พวกท่านคงลำบากเพราะข้าไม่น้อย..”

    “ไม่แค่ลำบากไม่น้อย แต่ยากเข็ญเอาการเลยล่ะครับ ในช่วงที่ท่านมูเอราเอลและเหล่าจอมเวทระดับสูงติดพันอยู่กับสงครามทางตอนใต้ จู่ๆท่านเล่นหลบหนีมา รู้รึเปล่า ตอนนั้นวุ่นวายกันขนาดไหน เจ้าบ้าเฮอร์เจสก็อีก ดันเห็นดีเห็นงามไปกับท่าน ช่วยพาหลบรอดหูตาของคนในพันธมิตรออกมาได้” ชายหนุ่มถือโอกาสร่ายยกใหญ่ “นี่ยังดี ข้าเผอิญได้ยินชาวบ้านพูดกันถึงคุณหมอเด็กที่กล้าท้าทายกับจอมเวทของพันธมิตร ถึงเดาได้ว่าเป็นท่านแล้วรีบรุดมา หากไม่ใช่เพราะคนที่เคยพบเห็นท่านในฐานะที่แท้จริงมีน้อยยิ่งกว่าน้อยจนแทบไม่มีใครทราบล่ะก็ ท่านอาจถูกฝ่ายตรงข้ามเจอตัวไปก่อนแล้ว”

    “ข้าต้องขอโทษจริงๆค่ะ” เด็กสาวว่าหงอยๆ

    ฮันน์ระบายลมจากปาก “เอาเถอะครับ ขอแค่ท่านยอมตามพวกเรากลับไปก็พอ”

    มาเรียนเงียบ

    ใบหน้าของเด็กสาวคล้ายกับไม่ต้องการแสดงออกถึงความรู้สึกอื่นใด นอกจากหม่นหมอง ชายหนุ่มรู้ได้ว่าตนเองพูดผิดไปอีกรอบ

    “หรือท่านยังโกรธเคืองท่านมูเอราเอลอยู่”

    มาเรียนสั่นศีรษะอีกครั้ง

    “แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อทำ แต่ข้าก็เข้าใจว่าท่านมีเหตุผลของท่าน พ่อเป็นผู้นำของเนิร์ฟเธน ภาระรับผิดชอบของท่านคือความมั่นคงของเหล่าจอมเวท และการขจัดศัตรูที่ทำให้เผ่าพันธุ์สูญเสียความเป็นหนึ่งเดียว ข้าที่ไม่ได้ยืนอยู่ในฐานะนั้นไม่มีสิทธิ์ตำหนิท่าน”

    “ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงได้หลบหนีท่านมูเอราเอลออกมาล่ะครับ” ฮันน์อดที่จะถามต่อไม่ได้

    “เพราะข้าเองก็มีเหตุผลของข้า ข้าเป็นหมอ ภาระรับผิดชอบของข้าคือช่วยชีวิต”

    “แต่ท่านเป็นทายาทคนเดียวของ..”

    ฮันน์กล่าวไม่จบประโยคเมื่อมาเรียนก้มศีรษะลงต่ำ

    “ข้าขอโทษค่ะที่ทำอะไรเอาแต่ใจ แต่ว่าข้าไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ต้องการเห็นใครต้องมาตายเพราะข้าอีก”

    “นั่นเป็นหน้าที่ของพวกข้า” ชายหนุ่มตอบ

    “ไม่มีใครที่มีหน้าที่ต้องตายแทนคนอื่น และข้าก็เป็นเพียงลูกสาวของหมอธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น”

    เสียงของเธอสั่นเครือ ไหล่ทั้งสองข้างไหวเบาๆ

    ฮันน์รู้ว่าเธอกำลังนึกถึง ‘เรื่องในครั้งนั้น’

    ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็พอทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

    เขายังจำได้ดีถึงภาพของเด็กผู้หญิงดวงตาเลื่อนลอยไร้แววที่ท่านมูเอราเอลพากลับมายังพันธมิตรผู้คุมกฎเมื่อราวสามปีก่อน

    เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนั้น ที่ครั้นเมื่อมีคนเข้าไปใกล้ไม่ว่าใครก็ตาม เธอจะมีท่าทางตื่นตระหนก ตัวสั่นเทา และร้องไห้อย่างหนักเหมือนกับว่ากำลังหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง

    เขารู้ ตลอดหนึ่งปีมานี้ เธอออกเดินทาง คอยตระเวนช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสูญเสียจากภัยสงครามในแห่งที่ต่างๆไปทั่วทั้งเนิร์ฟเธน

    เขารู้ ว่าทำไมแม้แต่ที่พักอาศัยของตัวเธอเองยังพยายามเลือกอยู่ให้ห่างจากผู้คนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอทราบดีว่าฐานะของเธอจะชักนำภัยมาสู่ผู้อื่น

    เขายิ่งรู้ ว่าเธอเองก็ยังไม่ลืม เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

    รวมทั้งการตายของท่านมิเรอา...แม่ของเธอ


    ...................


    ...นี่มันอะไรกัน!?

    ดวงตาทั้งคู่ของเฮอร์เจสเบิกโพลง เขาแตกตื่น และไม่เข้าใจ

    เด็กหนุ่มแตกตื่นและไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองขยับตัวไม่ได้

    อีกเพียงนิดเดียวที่จะเข้าถึงตัวเซเรเนี่ยน เฮอร์เจสกลับสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปหมดสิ้น

    เขาร้อนรนจนเหงื่อหลั่งโซมหน้า กัดฟันพยายามขยับเขยื้อนตัว แต่แม้กระทั่งปลายนิ้วยังไม่กระดิก

    เซเรเนี่ยนยังหัวเราะอยู่เช่นนั้นและมองมาที่เขา ทั้งก้าวเข้ามาหาอย่างเนิบช้าเรียบเฉย

    เสือร้ายที่เตรียมปลิดปลงเหยื่อเป็นเช่นนี้

    ย่างใกล้อย่างเชื่องช้า หยิบยื่นความตายโดยเฉียบพลัน


    ...................


    “อีกสามนาที ไม่ว่าจะพาเฮอร์เจสกลับมาได้รึไม่ พวกเราจะออกเดินทางทันที”

    ฮันน์กล่าวกับสมาชิกใต้สังกัด

    “เราอยู่ที่นี่นานไปไม่ได้” เป็นเหตุผลที่เขาให้แก่มาเรียน

    เขาบอกเธอแค่สั้นๆ

    “เราจำเป็นต้องรีบพาท่านกลับไปให้เร็วที่สุด หวังว่าท่านจะเข้าใจ”

    กล่าวถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นหันหน้าไปอีกทางและไอออกมาคำหนึ่ง

    “ท่านบาดเจ็บหรือคะ”

    ร่องรอยในน้ำเสียงเด็กสาวแสดงถึงความเป็นห่วงที่ใบหน้าซึ่งยังสงวนอารมณ์ไม่อาจปิดบัง

    “ท่านดูออก?” ฮันน์ถาม

    “ท่ายืนของท่านเอนเอียงไปเล็กน้อย ลมหายใจก็ดูติดขัดเหมือนมีแผลที่ช่องอก”

    “ครับ เป็นอย่างที่ท่านว่า”

    “...เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต สินะคะ”

    เขาพยักหน้า

    “แล้ว..” มาเรียนลังเล ต้องการรู้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าถาม “มีใคร..”

    “วางใจเถอะครับ คนของข้าไม่มีใครเสียชีวิต”

    ฮันน์กล่าวขึ้นอย่างพอจะคาดเดาความคิดของเธอออก เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ถอนหายใจแผ่ว ริมฝีปากคล้ายกับจะขยับยิ้มบางๆ

    “ใช่ครับ เขาไม่ได้ฆ่าใคร แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปลดปล่อยเขาไป”

    มาเรียนสะดุ้งเล็กน้อย รู้ได้ในทันทีว่าฮันน์ทราบที่เธอปิดบังเรื่องของเซเรเนี่ยน

    “ในตอนนี้ เขาแค่ ‘ยัง’ ไม่ได้ฆ่าใครเท่านั้น” ฮันน์ว่า

    มาเรียนไม่สามารถโต้แย้ง

    กับการที่เซเรเนี่ยนไม่ได้ทำอันตรายแก่เธอ นั่นก็เพราะไม่ทราบว่าเธอเป็นคนที่เขากำลังตามหา ...หากว่าทราบ เขาคงไม่ปล่อยลูกสาวของคนที่สังหารพ่อของตัวเองเอาไว้

    ที่ฮันน์พูดมาก็อาจจะจริง

    แต่ว่า...


    ...................


    พร้อมๆกับที่ร่างของเฮอร์เจสล้มลง สายลมในป่าเริ่มโหมพัดเปลี่ยนทิศทาง

    เซเรเนี่ยนยามนี้หยุดหัวเราะแล้ว

    ...หากแต่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า


    ...................
  16. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    บทที่ หก

    พลิกผัน



    เธอไม่เคยลืมวันนั้น

    วันที่ถูกฉุดกระชากออกจากชีวิตที่แสนสงบเช่นนั้น...


    ...................


    เดิมที เด็กหญิงตัวน้อยกับแม่ของเธออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆในแว่นแคว้นอันห่างไกล

    ความเป็นอยู่ของเราไม่สะดวกสบายนัก ติดจะลำบากในบางคราว แต่ก็มีความสุขในแบบที่มันเป็น

    แม่เป็นหมอฝีมือดีคนหนึ่ง ข้าที่ยังเด็กไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเขายังดูออก หลายคนก็ชื่นชมแม่อย่างนั้น

    เราสองคนตระเวนทำหน้าที่ของหมอ คอยให้การรักษาผู้คนในละแวกแถบถิ่นที่เราอาศัยเป็นประจำ หรือพูดให้ถูกคือ เป็นแม่ที่ออกตรวจตราคนไข้ในแห่งที่ต่างๆพร้อมทั้งต้องคอยหิ้วข้าที่รบเร้างอแงติดตัวไปด้วยมากกว่า

    การที่ข้าตามแจขอเกาะแม่ไปไหนมาไหนด้วย นอกเหนือจากเหตุที่ติดแม่ซะเหลือเกินแล้ว ยังมีอีกเหตุผล

    ...รอยยิ้มของผู้คนยามที่หลุดพ้นจากความเจ็บปวด ยามที่คนสำคัญของพวกเขาถูกปลดปล่อยจากโรคภัยที่แบกรับ...

    รอยยิ้มนั้นยินดี สุขสันต์ ข้ารู้สึกอิ่มเอิบและปลอดโปร่งเมื่อได้เห็น ในใจก็คิดว่าที่แม่เลือกเป็นหมออาจเพราะมีสิ่งนี้เป็นสาเหตุหนึ่ง ทั้งหวังอยากให้ตนสามารถมอบรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นเช่นที่แม่ทำบ้าง


    เพราะเห็นรอยยิ้มจากแม่ เด็กหญิงจึงต้องการเป็นหมอ

    เพราะเรียนรู้จากแม่ เธอจึงได้เป็นหมอ

    ...และคงเพราะแม่ของเธอเป็นหมอที่เก่งกาจ ไม่เคยผิดพลาดในการรักษา หรือเพราะเธอยังเด็กจนมองข้าม ไม่อย่างนั้น บางทีเพราะเธอโชคดีเกินไป จึงไม่เคยได้สัมผัส...อีกด้านหนึ่งของรอยยิ้มเหล่านั้น

    ...การสูญเสีย


    ...................


    เด็กหญิงใกล้ชิดกับแม่ แต่กับพ่อ เธอไม่ใคร่จะได้พบเห็นหน้าบ่อยนัก

    พ่อของเธอจะมาหาเป็นครั้งคราว ทุกๆหนึ่งเดือน ทุกๆสองเดือน หรือทุกๆหลายเดือน แต่ละครั้งที่มา พ่อไม่เคยอยู่กับเธอและแม่นานเกินกว่าหนึ่งคืน ดังนั้น ไม่ใช่แค่ไม่ใคร่จะได้พบเห็นหน้า ยังไม่ใคร่จะได้พูดจากัน

    ข้าบอกไม่ถูกว่ารู้สึกกับพ่อยังไง

    ข้าไม่เคยรู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อเป็นใคร มาจากไหน ข้าเคยไถ่ถาม แต่แม่ไม่ได้ตอบ

    เรามีกันสองคน เราเปิดอกบอกเล่ากันและกันในทุกเรื่องทุกอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องนี้



    ...................


    ...ที่จริง จะว่าเธอใช้ชีวิตอยู่กับแม่แค่สองคนคงไม่ใช่เสียทีเดียว

    นับแต่จำความได้ มีกลุ่มคนประหลาดสวมใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่คอยแวดล้อมอยู่ข้างกายเธอและแม่เสมอ

    พวกเขาเฝ้ามอง แต่ไม่ได้เข้ามาข้องแวะกับเราอย่างเปิดเผย ข้าสังเกตออก พวกเขาให้ความเคารพพ่ออย่างสูงประหนึ่งว่าเป็นคนสำคัญ

    ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แม่ที่เหมือนกับจะรู้ไม่ได้บอกอะไรแก่ข้า

    กระนั้น บางสิ่งในตัวข้าเองก็บอกความจริงบางอย่าง ...ถึงรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างกัน แต่พวกเขาเป็นเช่นเดียวกับพ่อ...คือไม่ใช่มนุษย์

    ข้าไม่ได้ถือเอามันเป็นปัญหา

    สิ่งที่รู้ก็คือพวกเขาเป็นคนดี หลายคนในนั้นแม้จะทำตัวแปลกๆผิดแผกจากคนทั่วไป แต่สายตาที่มองมายังข้าเป็นความเอ็นดูและประสงค์ดี ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจในด้านอื่น...อาจด้วยความที่ครึ่งหนึ่งของตัวเองเป็นดุจเดียวกับพวกเขากระมัง เมื่อผ่านไปนานวัน ข้าเติบโตขึ้นและคุ้นเคยผูกพันกับพวกเขา

    ...ทุกอย่างของชีวิตข้าดำเนินไปอย่างสงบสุข จนถึงวันนั้น

    วันที่ ‘คนกลุ่มหนึ่ง’ มาเยือนเรา



    ...................


    เรียกว่า ‘คน’ ไม่ถูกนัก แต่เด็กหญิงไม่รู้จะใช้คำไหนมาแทนพวกเขาได้

    ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ถึงกับไม่รู้ว่าพวกเขาคืออะไร

    พวกเขาไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตใดที่ข้าเคยพบเห็นมา


    บรรดาคนในเสื้อคลุมที่อยู่ร่วมกันมาตลอดเวลาต่างชักดึงอาวุธออกจากอากาศธาตุอันว่างเปล่า กระโจนเข้าต่อสู้กับอาคันตุกะเหล่านั้นพลางร้องบอกให้เธอและแม่รีบหนี

    เด็กหญิงได้รับทราบวันนั้นเอง ว่าการที่กลุ่มคนในเสื้อคลุมต้องมาห้อมล้อมอยู่ไม่ห่างก็เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองในยามเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

    ผู้มาเยือนเหล่านั้นต้องการตัวเธอและแม่

    เด็กหญิงไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการไปเพื่อการใด แต่พอจะรู้ว่าด้วยสาเหตุใด

    เธอจับใจความจากคำพูด คำขู่คำราม คำตวาดเกรี้ยวกราดของพวกเขายามที่ไล่ล่าตามมาได้ว่า เพราะแม่ของเธอเป็นภรรยาของพ่อ และเพราะเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของพ่อ...พ่อที่ดำรงตำแหน่งราชันแห่งเผ่าผองซึ่งเป็นศัตรูกับพวกเขา

    ข้าไม่เข้าใจ ข้าและแม่ไปเกี่ยวอะไรด้วย ข้าและแม่ทำเรื่องไม่ดีประการใดให้พวกเขาหรือ

    เธอนึกอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หลับตาแน่นแล้วร้องไห้ รับรู้เพียงว่าแม่อุ้มตนเอาไว้แนบอก วิ่งหนีเป็นระยะทางไกลและเนิ่นนาน

    ที่กลางทางในป่า ทั้งสองพบเจอถ้ำโพรงเล็กๆ ผู้เป็นแม่ผลักดันเด็กน้อยเข้าไป กำชับให้เธออยู่ในนั้นและห้ามไม่ให้ออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไร

    “แล้วแม่จะกลับมา”

    นั่นเป็นคำพูดทิ้งท้ายของแม่

    ตลอดค่ำคืนหลังจากนั้น เป็นเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดุดันเช่นสัตว์ป่า เสียงโหยหวนกรีดร่ำระงมเหมือนภูตพรายบรรเลง เสียงหยาดเลือดหยดผ่านอากาศ กระทบพื้น หลั่งรินสู่ใต้ดิน เสียงครวญครางเจ็บปวดของชีวิตที่จวนเจียนมอดดับ

    แม้ว่าจะพยายามใช้สองมืออุดหู เสียงเหล่านั้นยังเล็ดลอดแทรกผ่านเข้ามาอย่างมุ่งร้าย เยาะเย้ยเด็กหญิงอย่างสรวลสันต์ ฉีกคว้านสติและเฉือนเถือจิตใจของเธอไปทีละเล็กละน้อย

    เด็กหญิงร้องไห้ไม่ยอมหยุด หากแต่ไม่กล้าสะอึกสะอื้น

    เธอนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น กัดริมฝีปากตัวเองไว้ ไม่ปริปากส่งเสียงใด ทั้งที่ใจอยากหวีดร้องตะโกนให้สุดเสียง

    นั่งอยู่เช่นนั้น ไม่ออกไปไหนตามที่แม่บอก

    รอคอยอยู่ตรงนั้น ด้วยหวัง แม้มันจะริบหรี่

    ...แม่ของเธอไม่ได้กลับมาจนกระทั่งยามย่ำรุ่ง

    สรรพเสียงรอบข้างเงียบลง ทว่าสำหรับเด็กน้อยที่สัมปชัญญะแตกเตลิดไปแล้วมันไม่ต่างจากการฆ่าทั้งเป็น ห้วงวังเวงไร้สำเนียงบีบคั้นกดดัน เคี่ยวกรำทรมานเธอยิ่งกว่าเดิม

    ในที่สุด เธอก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีก เด็กหญิงวิ่งออกจากที่หลบซ่อน วิ่งไปทางทิศที่แม่จากไป

    ยังคงมีแค่ความสงัดงันที่ผ่านเลยสู่เบื้องหลังและรอคอยอยู่เบื้องหน้า เธอไม่ได้ร้องตะโกนอย่างที่คิดว่าตัวเองจะทำ เพราะเสียงในลำคอเหือดหายสิ้นแล้ว

    เด็กหญิงวิ่งไปจนได้พบกับพ่อ พ่อรีบรุดมาหาพวกเธอแม่ลูกหลังจากทราบเรื่องที่เกิดขึ้น

    ...สายตาของเธอในเวลานั้น มองไม่เห็นพ่อ

    ที่เห็นคือคราบสีแดงเป็นทางยาวพาดผ่านทั่วบริเวณ

    ต้นไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน ทั้งหมดถูกชโลมด้วยสีแดงที่เธอไม่เคยรู้จัก

    เด็กหญิงเห็นดวงตาเบิกโพลงไร้ชีวิตของกลุ่มคนซึ่งร้องบอกให้รีบหนี ที่เมื่อวันวานพวกเขายังใช้ดวงตาคู่เดียวกันนั้นมองมาด้วยเอ็นดู

    เธอเห็นแม่ในวงแขนของพ่อ

    แม่ที่ไม่อาจกล่าวอะไรกับเธอ ไม่อาจลูบหัวของเธอ ไม่อาจยิ้มให้เธอ ไม่อาจปลอบโยนเธอที่กำลังตัวสั่นเทาเช่นนั้นอย่างทุกทีที่เคยเป็นมา

    ไม่อีกแล้ว


    ...................


    หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พ่อของเด็กหญิงพาเธอมาที่เนิร์ฟเธน

    เขาไม่ยอมให้เธอออกไปยังภายนอก ไม่ยอมให้เธออยู่ไกลจากสายตา ไม่อนุญาตให้ใครที่ไม่ใช่คนสนิทพบปะเธอ ไม่ทั้งนั้น

    เขาไม่พูด แต่เด็กหญิงรู้ พ่อเป็นห่วงเธอ

    เราไม่สนิทสนมกันตามประสาพ่อลูก แต่ข้ารู้สึกได้ พ่อรักข้ามาก มากเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะสามารถมอบความรักให้กับลูกได้

    และข้าก็ไม่ได้สนองตอบความรักนั้นเท่าที่ควรจะเป็นเลย


    เด็กหญิงโง่เขลาด้วยวัย เธอไม่รู้ถ่องแท้หรอกว่าเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับเธอและแม่นั้นมีความจำเป็นและสร้างความลำบากให้พ่อเช่นไร เธอไม่รู้ และไม่คิดจะรู้

    เด็กหญิงใจคับแคบด้วยทิฐิ ส่วนลึกเธอยังกล่าวโทษพ่อในการตายของแม่ มองเห็นแต่ตนเองที่สูญเสียแม่ หลงลืมที่จะแลดูว่าพ่อก็สูญเสียคนรักเช่นกัน

    แต่ไม่ว่าจนตอนนั้นความผูกพันทางสายเลือดที่มีต่อพ่อจะชัดเจนหรือเลือนราง อย่างไรเสีย น้ำหนักของข้าในจิตใจพ่อ รวมทั้งความรู้สึกที่พ่อมีต่อข้า ก็มากมายจนข้าทำเมินเฉยไม่ให้ความสำคัญกับมันไม่ได้

    ประกอบกับความอาดูรโหยหาต่อการจากไปของแม่ยึดครองหัวใจของเธอทั้งหมด เธอไม่หลงเหลือความคิดอื่นใดจะใส่ใจไถ่ถามตัวเองว่าอึดอัดหรือไม่กับสภาพที่เป็นอยู่นั้น


    ...................


    ...ราวครึ่งปีถัดมา สงครามเปิดฉากขึ้น

    ด้วยสายตาคู่เดิม เด็กหญิงเห็นผู้คนนับไม่ถ้วนจากเผ่าพันธุ์ในปกครองของพ่อเดินทางเข้าสู่สมรภูมิ

    ข้าไม่รู้จักพวกเขา แต่เชื่อว่าพวกเขาทุกคนในนั้น บ้างเป็นลูกของพ่อแม่ บ้างเป็นพ่อแม่ของลูก ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัว มีคนสำคัญ มีสิ่งที่ไม่อยากจะสูญเสีย มีความสุขที่ไม่ต้องการพลัดพราก

    พวกเขาคงรู้สึกไม่ต่างจากข้าในวันนั้น...

    ข้าได้ยินเขากล่าวกัน จูลดอลเต้ ผู้นำแห่งตระกูลเซนต์ชาร็อตก่อกบฏสร้างความแตกแยก พ่อและผู้นำทั้งสามไม่มีทางเลือก นอกจากการศึก

    ข้าเข้าใจ หรืออย่างน้อยข้าคิดว่าข้าเข้าใจ


    ทว่าแม้เข้าใจ เธอกลับไม่อาจทำใจยอมรับ

    กับการที่กำหนดชีวิตออกคำสั่งให้ใครไปตายหรือไปหยิบยื่นความตายให้ใคร จะเป็นภารกิจที่ทรงเกียรติ หรือจะเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำ สุดแท้แต่คนจะเรียกเถิด

    กับการที่เธอได้แต่นั่งอยู่เฉย ไม่อาจทำอะไรได้สักอย่างนั้น

    เด็กหญิงจึงจากพ่อมา


    ...................
  17. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    มาเรียนก้มหน้าต่ำลงอีก เหมือนกับมีบางสิ่งที่อยากจะเอ่ย แต่ไม่อาจบอกออกมา

    “มีอะไรหรือครับ” ฮันน์กล่าวกับเธอ

    “ความจริง...ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามท่าน”

    “หากไม่ใช่ความลับห้ามแพร่งพรายของทางพันธมิตรผู้คุมกฎ ข้าคงพอตอบให้ได้”

    เด็กสาวฟังแล้วตริตรองอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ย

    “เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านบอกข้า ว่าการตามหาตัวข้าเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากข้อจำกัดทางจำนวนคนและเหตุภายในนั่น..”

    “เราจำเป็นต้องจำกัดจำนวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความปลอดภัยของท่านขืนกระทำกันใหญ่โตเกินไปไม่เป็นการดี ผู้ที่ล่วงรู้ว่าท่านอาศัยอยู่แถบนี้จึงมีเพียงหน่วยของเรากับคนระดับสูงที่ไว้วางใจได้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น”

    “...ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ หน่วยลับของพันธมิตรและกำลังพลส่วนใหญ่ในเวลานี้ มุ่งเป้าไปที่การเร่งกวาดล้างกลุ่มกบฏทั่วทั้งเนิร์ฟเธนเป็นสำคัญใช่ไหมคะ”

    ฮันน์ชะงักไปกับคำถามของมาเรียน

    เธอกำชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองชายหนุ่ม

    “เพราะเพื่อการตามล่าพวกเขา ถึงขนาดต้องฆ่าคนบริสุทธิ์กับเด็กทารก เป็นความจริงรึเปล่าคะ”

    “ท่านทราบเรื่องนี้มาจากไหนครับ”

    มาเรียนนิ่งเงียบไม่ตอบคำ

    ฮันน์คิดจะเลียบเคียงถามเด็กสาวต่อ แต่ก่อนหน้านั้น...พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องตื่นตระหนก

    สายลมรอบด้านหมุนวนเปลี่ยนทิศ กระแสอากาศผันผวนรุนแรงทั่วทั้งบริเวณ

    พลังเวทมนตร์ที่เข้มข้นทรงอำนาจสายหนึ่งแผ่ปกคลุมและแทรกซึมเข้ามาในโสตสัมผัส

    ใครกัน

    ฮันน์รีบเคลื่อนกายขวางอยู่ด้านหน้ามาเรียน เมยานูและพรรคพวกทั้งหมดรวมตัว รอบล้อมไว้อีกชั้นหนึ่งทันที

    สภาพบรรยากาศปั่นป่วนคงอยู่เพียงชั่วขณะ จากนั้นยุติลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    สายลมสงบ กระแสอากาศราบเรียบดังเดิม พร้อมกับการปรากฏตัวของชายคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีขาว

    ชายชราคิ้วเคราขาวโพลน ใบหน้ายิ้มแย้มใจดี

    ยังมีบุรุษในชุดสีขาวอีกสิบแปดคนตามมาสมทบ

    ชายชรายิ้มให้มาเรียน ยิ้มให้ฮันน์ ยิ้มให้ทุกคน ยามที่ชายชรายิ้ม เหมือนกับว่าริ้วรอยทุกเส้นบนใบหน้ายังยิ้มด้วย

    ดวงตาทั้งคู่ของฮันน์เบิกกว้างเหมือนคนที่พบเห็นเรื่องน่าตกใจ

    “ท่าน...เอกัลตีส”


    ...................


    “ไม่ได้เจอกันเสียนานนะ ฮันน์ ท่านสบายดีรึ”

    จอมเวทผู้สูงวัยเป็นฝ่ายทักทายก่อน

    “ข้า...สบายดีครับ”

    เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าชุดขาวคนนี้ ชายหนุ่มที่สุขุมสง่างามเช่นฮันน์กลับกลายเป็นขาดความมั่นใจไปเสียดื้อๆ

    “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก ท่านนี่ยังจริงจังเช่นเคยเลยนะ” ชายชราเอ่ยหยอกเย้าอารมณ์ดี

    ใช่ เช่นเคย เจอกันทีไร เหตุการณ์ไม่ต่างไปจากเดิม เขาถูกปั่นหัวทุกๆครั้ง...ฮันน์คิดในใจ

    ...ระหว่างที่พูดคุยกับมาเรียน อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เขากับสมาชิกในหน่วยไม่มีใครรู้ตัวสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาตั้งแต่เมื่อไร

    จอมเวทเฒ่าผู้นี้คือหัวหน้าหน่วยลับหนึ่งในแปดแห่งพันธมิตรผู้คุมกฎ ‘ดาราขาว’ มีนามว่า เอกัลตีส

    ด้วยเวทมนตร์ทรงอำนาจ สติปัญญาปราดเปรื่อง เขานับเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในสงครามสัประยุทธ์สหัสเวทที่ผ่านมาอย่างมาก

    และนอกจากชื่อเสียงทางด้านการศึกสู้รบ ยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องชอบกลั่นแกล้งคน

    เมื่อหลายปีก่อน ครั้งแรกสุดที่ฮันน์พบกับจอมเวทชรา ทั้งๆที่เอกัลตีสเดินเข้ามา เอากิ่งไม้หักผูกกับชายเสื้อคลุมเขา บรรจงติดกระดาษเขียนข้อความ ‘เชิญเตะตามอัธยาศัย’ ที่กลางหลังเขาทีละแผ่น รวมทั้งหมดตั้งเจ็ดแผ่น แต่กว่าเขาจะค่อยรู้สึกตัวว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลังก็เอาตอนที่ถูกชายชราลูบหัวนั่นล่ะ (ส่วนเรื่องกิ่งไม้กับกระดาษ เขามารู้ตัวหลังจากเห็นทุกคนที่เดินผ่านขำคิกคัก และโดนเพื่อนร่วมหน่วยสองคนดุนเท้าใส่ไปคนละสามที)

    ที่ไม่ตลกก็คือ ฝีมือของฮันน์ในตอนนั้นกล่าวได้ว่าเทียบเคียงกับหัวหน้าหน่วยอาญาสวรรค์คนก่อนได้แล้ว กลับยังถูกหยอกเอาเหมือนเด็กอมมือคนหนึ่ง

    เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าชายชราคนนี้เก่งกาจผิดจากรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอกมากนัก

    เอกัลตีสยิ้มเอ็นดู มองไปทางมาเรียนที่ยืนอยู่ด้านหลังฮันน์

    “ได้ยินว่าท่านได้รับมอบหมายให้ไปทำภารกิจ ‘อะไรบางอย่าง’ นอกดินแดน ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาที่เดียวกัน..”

    จอมเวทชรานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้น

    “รึเด็กน้อยท่านนี้ก็คือ..”

    “เอ่อ...” ความประหม่าทำให้ฮันน์คิดได้ช้าลง ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรปฏิเสธหรือไม่ควรตอบ

    ทว่าถึงไม่ได้บอกออกมาตรงๆ เมื่อดูจากท่าทีของฮันน์และพรรคพวก ชายชราผู้มากประสบการณ์ก็พอจะเดาคำตอบได้

    “โอ้ ต้องขออภัยด้วย ถือซะว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกันนะ”

    ฮันน์ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน คำถามแบบนี้ไม่ว่าตอบหรือไม่ตอบอีกฝ่ายก็รู้ได้อยู่ดี “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้วางใจท่าน เพียงแต่..”

    เอกัลตีสโบกมือไปมาช้าๆ “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ภารกิจลับของท่านครั้งนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากท่านมูเอราเอล ในเมื่อเรายังจับตัวหนอนบ่อนไส้ไม่ได้ การปกปิดแม้กับพวกเดียวกันนับเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยง ข้าบอกแล้ว ข้าต่างหากที่ต้องขออภัย คนแก่ก็มักเลินเล่อเผลอไผลแบบนี้”

    “ขอบคุณที่ท่านไม่ถือสา” ฮันน์ผงกศีรษะ

    “ถ้าเช่นนั้น เพื่อให้ทุกอย่างสำเร็จราบรื่นด้วยดี ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ ข้าสามารถสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาอำนวยความสะดวกบางประการได้” เอกัลตีสเปลี่ยนคำถาม

    แต่ฮันน์กลับตอบด้วยอีกคำถาม

    “ที่ท่านเดินทางไกลมาถึงที่นี่ก็เพื่อ...”

    “หน่วยของข้ากลับมาจากการปฏิบัติภารกิจไล่ล่าพวกกบฏที่หลบหนีเข้าไปในอิคาตาร์ แต่ที่รีบรุดมาที่นี่เพราะระหว่างทางได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับร่องรอยของเซ..”

    “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ข้ามีบางสิ่งต้องการแจ้งให้ท่านได้รับทราบไว้ ...ถ้ายังไง เราไปปรึกษากันทางด้านนั้นเถอะครับ”

    แม้จะแปลกใจที่จู่ๆชายหนุ่มแทรกขึ้นมาทันควัน แต่จอมเวทชราก็พยักหน้าตกลง

    ฮันน์เดินนำเอกัลตีสเลี่ยงห่างมาที่อีกด้านหนึ่ง แล้วจึงเริ่มต้นพูดคุย

    “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เป็นไปได้ว่าเขาหลบหนีเข้าไปในป่าละแวกนี้”

    ชายชราลูบเครา “ตามที่ข้าทราบ เขาบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียพลังไปไม่น้อยจากการปะทะกับท่านเมื่อคืนที่ผ่านมา”

    “...แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรดูแคลน”

    “ข้าคิดไปเองรึเปล่านะ ท่านดูไม่ค่อยมั่นใจนักยามที่พูดถึงเด็กหนุ่มคนนี้ ผิดกับฮันน์ที่ข้าเคยรู้จักมากทีเดียว” จอมเวทผู้สูงวัยประหลาดใจ

    “หากได้พบ ท่านจะทราบเอง คนคนนี้อันตรายเกินไป บาดแผลเขายังไม่ทุเลาถือเป็นโอกาสดี เราต้องรีบจัดการเขาให้ได้เสียก่อน”

    “เข้าใจแล้ว เด็กนั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”

    “มีอีกเรื่องหนึ่ง” ชายหนุ่มบีบเสียงให้เบาลงกว่าเดิม “ข้าอยากขอร้องท่าน ช่วยปกปิดเรื่องที่เราคุยกันนี้กับท่านมาเรียนด้วย”

    “มีอะไรรึ ฮันน์ ท่าทีท่านดูชอบกลอยู่”

    “ข้าไม่อยากให้ท่านมาเรียนทราบเรื่อง เธออาจขัดขวางภารกิจของเราได้”

    “ทำไมเธอต้องขัดขวางเรา”

    “ท่านมาเรียนได้พบกับเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตแล้ว เขาอยู่ที่นี่เมื่อสักครู่ก่อนท่านมา”

    “ท่านรู้ได้ยังไง” เอกัลตีสถามเสียงฉงน

    “ท่านคงเห็น บ้านของท่านมาเรียนเสียหายไปบางส่วนด้วยพลังเวทมนตร์ เธอมีผู้ติดตามเป็นเด็กหนุ่มจอมเวทคนหนึ่ง เจ้านั่นปะทะกับเซเรเนี่ยนเข้า”

    “ท่านจะบอกว่า สาเหตุของการปะทะเป็นเพราะเซเรเนี่ยนล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของเธอ?”

    จากที่เอกัลตีสได้เจอกับเด็กสาว ทำให้เขาทราบว่ามาเรียนไม่มีพลังเวทมนตร์ในกายแม้แต่น้อย หากมองดูเผินๆ ไม่มีอะไรแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา เขาที่สามารถรู้ได้ว่าเธอเป็นใครก็ด้วยการคาดเดาถามส่งเดชประกอบกับฮันน์เกิดประหม่าลนลานจนเผยพิรุธออกมาเองเท่านั้น ชายชราคิดว่าเซเรเนี่ยนเองไม่น่าจะดูออก ดังนั้นจึงอดที่จะกังขาไม่ได้เมื่อฮันน์ทำท่าเหมือนเป็นกังวลในข้อนี้

    “เขาต้องระแคะระคายบ้างไม่มากก็น้อย”

    ฮันน์ยังมั่นใจในการคาดคะเนของตน จนเอกัลตีสรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มประเมินศัตรูคนนี้ไว้สูงเหลือเกิน

    “อย่างนั้นที่ท่านวิตกคือ...”

    “ดูเหมือนท่านมาเรียนเป็นคนช่วยชีวิตเซเรเนี่ยน ซ้ำยังให้ที่ซ่อนแก่เขา”

    “อะไรนะ!” เอกัลตีสดูแตกตื่นไม่เบากับข้อสันนิษฐาน

    “สังเกตจากการสนทนากันเมื่อครู่ เธอปิดบังเรื่องราวนี้เอาไว้ แต่เดิม ท่านมาเรียนแม้ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรผู้คุมกฎ ข้าไม่รู้ว่าเซเรเนี่ยนพูดโน้มน้าวสิ่งใดให้ท่านมาเรียนฟังบ้าง เธอยังเด็กมากนัก อาจถูกชักจูงให้หลงกล”

    ในสายตาของฮันน์ มาเรียนนั้นไม่แค่เยาว์วัยเกินไป ยังไร้เดียงสาเกินไป และมีจิตใจดีงามเกินไป เขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ถูกใครช่วงใช้หลอกลวง ไม่ว่าจะเพื่อการใดก็ตาม

    หลายครั้งชายหนุ่มเคยคิด หากว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของมูเอราเอลนายของเขา เธออาจไม่ต้องสูญเสียแม่ ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการฆ่าฟันอันน่าชิงชัง...โลกที่ไม่เหมาะควรกับเธอเลยแม้แต่น้อย

    “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเซเรนี่ยนถึงไม่ลงมือ” ชายชราถามต่อ ทีท่ายิ่งไม่เข้าใจหนัก “ที่เขาลงทุนเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ก็เพื่อสังหารเธอ ล้างแค้นแทนพ่อไม่ใช่รึ”

    “ข้าไม่ทราบชัด เซเรเนี่ยนคงเกรงว่าอาการบาดเจ็บจะทำให้ลงมือไม่ประสบผล หรือบางที...เขามีเป้าหมายอื่น”

    เอกัลตีสนิ่งอึ้งไปวูบหนึ่งเมื่อได้ฟัง สีหน้าเผือดลงเล็กน้อย

    “นี่เป็นการคาดเดาของข้าเท่านั้น ไม่แน่ว่าเขาวางแผนอื่นใดไว้ ดังนั้น เร่งจับกุมเขาโดยเร็วเป็นการดีที่สุด”

    ฮันน์ทิ้งท้ายก่อนยุติบทสนทนา หันหลังกลับเดินไปทางที่มาเรียนยืนอยู่ ด้วยกลัวว่าหากพูดคุยนานเกินไปเธอจะผิดสังเกตเอาได้

    ใช่ ยิ่งในตอนที่เรายังค้นหาตัวคนทรยศไม่พบด้วยแล้ว

    ชายหนุ่มนึกหวั่นกังวล ...กับศัตรูที่อยู่ในที่ลับ ต่อกรได้ยากเย็นกว่า

    และบางที ถ้าเรื่องที่สี่ผู้เฒ่าคาดการณ์ไว้เป็นจริง เซเรเนี่ยนกับไส้ศึกผู้นั้นอาจร่วมมือกันดำเนินแผนการอะไรบางอย่างขึ้นแล้วก็ได้

    ถ้าเป็นแบบนั้น...

    ทันใด เขาได้ยินเสียงกระแสลมพัดวูบจากด้านหลัง

    และเห็นหยดเลือดโปรยปรายในอากาศ


    ...................


    คนที่เขารอคอยมาถึงแล้ว

    เซเรเนี่ยนรับรู้ได้

    เขาสัมผัสได้ถึงการมาของคนคนนั้น

    พร้อมกับที่นักดาบสองคนของหน่วยอาญาสวรรค์ก็สัมผัสได้ถึงเขาเช่นกัน

    พวกเขาตามหาเฮอร์เจสไม่พบ กลับมาพบเซเรเนี่ยนที่ถูกสั่งให้หลีกเลี่ยง

    ทั้งคู่ยังพบว่า ดวงตาของเด็กหนุ่มยามเมื่อไม่มีแว่นตาบดบัง คมกริบกว่าดาบของพวกตนเสียอีก

    “ไง บังเอิญจัง” เซเรเนี่ยนยิ้ม

    “เฮอร์เจสอยู่ไหน” หนึ่งในสองคนถาม

    ดาบในมืออีกคนพุ่งมาถึงก่อนคำถาม

    “ข้าไม่ว่างพอจะมาเล่นกับพวกท่านหรอกนะ”

    เด็กหนุ่มกล่าว ร่างปราดเปรียวพลิ้วหลบขึ้นไปกลางอากาศ เท้าของเขาเตะใส่ปลายแหลมของดาบอีกเล่มที่ตามหลังมา

    “หลีกไป”

    เด็กหนุ่มยังยิ้ม แต่ประกายพลังเวทมนตร์ในมือเขาไม่ล้อเล่น


    ...................
  18. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เลือดไหลทะลักออกจากบ่าซ้ายของเขา อาบย้อมเสื้อคลุมจนแดงฉาน

    ฮันน์ไม่เจ็บ แต่กำลังตกตะลึง

    คนที่ลอบทำร้ายเขาคือคนที่ยืนคุยกับเขาเมื่อครู่นี้

    ไม่ว่าน้ำเสียง รอยยิ้ม หรือท่าทาง เอกัลตีสยังเปี่ยมด้วยความเมตตาการุณย์ดุจเดิม...ต่างกันที่ว่าในมือของชายชราเพิ่มหอกยาวคมวาวด้ามหนึ่งที่ประดับซึ่งหยาดโลหิต

    “ต้องขอโทษด้วยนะ ข้าคงยอมให้จับเซเรเนี่ยนไม่ได้หรอก”

    ดวงตาใต้คิ้วขาวเรียวคงความเอื้ออารีเช่นชายแก่ใจดีคนหนึ่ง แทบไม่น่าเชื่อว่าที่ถือคืออาวุธ หากไม่ใช่เพราะคมของมันเพิ่งดื่มเลือดเขา

    ฮันน์กัดฟันกรอด

    “ที่แท้ก็เป็นท่านนี่เอง ...ไอ้หนอนบ่อนไส้คนทรยศ”

    ชายหนุ่มกำหมัดแน่น

    ชั่วพริบตาเมื่อครู่ หน่วยดาราขาวของชายชราก็ลงมือลอบทำร้ายคนของเขาด้วยเช่นกัน นักดาบหน่วยอาญาสวรรค์สี่คนทอดร่างเป็นซากศพบนพื้น ทั้งสี่ตายลงในการจู๋โจมครั้งเดียว

    ...เนื่องด้วยไม่ได้ระแวงระวัง และไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะโดน ‘พวกเดียวกัน’ โจมตีใส่อย่างกะทันหัน

    เมยานูกับคนที่เหลือขวางกั้นอยู่ด้านหน้ามาเรียน แต่ละคนถึงรอดมาได้ก็รับบาดแผลใหญ่ฉกรรจ์

    เอกัลตีสสะบัดด้ามหอกคราหนึ่ง หยดเลือดถูกสลัดออกหมดจด

    “ความจริงลงมือตอนนี้ไม่เหมาะนัก แต่จัดการกับพวกท่านทั้งหมด ไม่ต้องใช้เวลามากมายอะไร”

    ฮันน์ทราบดีว่านี่ไม่ใช่คำขู่ขวัญเกินเลย

    เขาไม่เคยประมือกับเอกัลตีสมาก่อน แต่จากพลังเวทมนตร์ที่สัมผัสได้ ชายหนุ่มรู้แน่แก่ใจ อีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าเขามากนัก

    ฝ่ายตรงข้ามมีสิบเก้า ฝ่ายเขานับรวมเขาเข้าไปด้วยมีเพียงห้า ทั้งห้าคนรวมกันยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะเอกัลตีสได้

    “หยุดก่อน!”

    เอกัลตีสขยับสายตาไปยังต้นเสียงที่แทรกขึ้นมา

    คนกล่าวคือมาเรียน

    เด็กสาวยืนตัวเกร็งจนสั่นเทา

    แต่แววตาของเธอที่มองตรงมานั้นไม่สั่นคลอนเลย

    “ที่ท่านต้องการไม่แค่พาเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตกลับไป ...ยังมีเป้าหมายที่ตัวข้าด้วย ใช่ไหมล่ะคะ”

    “จะว่าเช่นนั้นก็คงได้” จอมเวทเฒ่าชุดขาวตอบ

    “ข้าไม่ขัดข้อง แต่ท่านต้องปล่อยฮันน์กับคนอื่นๆไป”

    ใบหน้าของฮันน์กระตุกวูบ

    สถานการณ์เลวร้ายที่ชายหนุ่มทราบ มาเรียนก็ทราบ ดังนั้นเธอจึงยื่นข้อเสนอนี้

    เอกัลตีสหัวเราะเบาๆ

    “ท่านไม่เคยผ่านสงครามหรือเข้าสู่สมรภูมิ อาจไม่ล่วงรู้ว่าการตั้งข้อต่อรองเป็นสิ่งที่ผู้ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบไม่มีสิทธิ์ได้รับ”

    “ข้าเป็นหมอที่พอมีดีอยู่กับตัว แม้จะแค่ฝึกหัด แต่ต้องขอบอกท่านว่าสำหรับหมอคนหนึ่งที่ข้องเกี่ยวกับชีวิตคนมาตลอดตั้งแต่เด็ก รู้ดีในเรื่องการทำให้ตายพอๆกับช่วยให้รอด”

    มาเรียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ ร่างกายที่สั่นเทาหยุดนิ่งลงแล้ว

    “โฮ่!” เอกัลตีสทำทีอุทาน “ท่านจะบอกว่าสามารถปลิดชีวิตข้าได้งั้นรึ นายหญิงน้อย”

    “ปลิดชีวิตท่านข้าคงไม่มีปัญญา แต่ถ้าเป็นชีวิตข้าเองไม่ถือว่าลำบากกินแรงจนเกินไป”

    “ท่านมาเรียน...” ฮันน์ไม่รู้ว่าเด็กสาวคิดจะทำอะไร เขาที่ประจันหน้ากับเอกัลตีสไม่อาจคลาดสายตาจากจอมเวทชรา จึงหันหลังไปมองดูไม่ได้

    มาเรียนเลื่อนมือแตะที่เครื่องประดับรูปผีเสื้อบนเรือนผม ด้านปลายของหางปีกล่างข้างซ้ายที่เด็กสาวดึงออกมา เป็นเข็มแหลมเล็กละเอียดเล่มหนึ่ง

    เล็กละเอียด แต่แวววาว คมกริบ และเด็ดเดี่ยว

    เธอใช้สองนิ้วคีบเข็มที่เบาบางแต่หนักแน่นนั้นไว้ตรงเบื้องหน้า

    “ท่านคงทราบว่าร่างกายกับชีวิตของคนธรรมดาเช่นข้าเปราะบางเพียงไหน ดับลงง่ายดายเพียงไร”

    เอกัลตีสแย้มยิ้ม ตบหน้าผากตนเองเบาๆ มองดูมาเรียนเหมือนคนเฒ่าคนแก่มองดูเด็กน้อยที่เล่นซนทำเรื่องแผลงๆ

    “ท่านเอาชีวิตของตัว มาขู่ข้าที่เป็นศัตรูกับท่านนี่นะรึ”

    “ข้าไม่เคยผ่านสงครามหรือเข้าสู่สมรภูมิ แต่ข้าเคยพบเจอคนจำพวกที่จ้องเอาชีวิตผู้อื่นมาไม่น้อย พวกเขาเหล่านั้นมักให้ความรู้สึกคุกคามชนิดหนึ่งที่ข้าสัมผัสได้...ซึ่งข้าไม่พบมันในตัวท่านตอนที่มองดูข้า”

    มาเรียนไม่ได้ลดเข็มลง

    “ข้าไม่ทราบว่าท่านต้องการตัวข้าไปเพื่ออะไร แต่ไม่ใช่เพื่อสังหารแน่นอน และข้ายังเชื่อว่าชีวิตของข้ามีประโยชน์ต่อท่านในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ถึงกับมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง”

    เอกัลตีสย่นหัวคิ้ว

    “ข้าเข้าใจไม่ผิดสินะคะ”

    “ไม่ผิด แต่รอจนท่านตกมาอยู่ในมือเรา ข้ารับรองได้ว่าท่านจะไม่มีโอกาสกระทั่งจะหยิกแขนตัวเอง”

    “ไม่ว่ายังไง ตอนนี้ชีวิตของข้ายังตกอยู่ในมือข้าเอง ข้ารับรองได้เช่นกันว่าสามารถหาตำแหน่งบนร่างกายที่จะทิ่มแทงเข็มนี้ลงไปเพื่อจัดการกับตนเองได้อย่างน้อยๆมากกว่าสิบจุด ทุกจุดแทงคราวเดียวก็เสร็จสิ้น ก่อนที่ท่านจะทันพุ่งเข้ามายับยั้งแน่นอน”

    “ท่านมั่นใจเพียงนั้น?”

    “ปรกติข้าเป็นคนเรื่อยๆ ไม่กระฉับกระเฉงเท่าที่ควร แต่กับเรื่องความเป็นความตายของชีวิตคน ข้าไม่เคยเชื่องช้ามาก่อน มั่นใจว่าทำได้รวดเร็วเป็นพิเศษ”

    คำพูดของเด็กสาวไม่ยอมถดถอยสักถ้อยเดียว

    เอกัลตีสหงายมือออก ไม่พูดจาข่มขู่อีกเพราะรู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์ใด

    “ได้ ถือว่าท่านชนะ ข้าเองก็ไม่อยากเปลืองแรงต่อสู้โดยใช่เหตุ”

    “เดี๋ยวก่อนค่ะ” มาเรียนขัดขึ้น

    “อะไรอีกรึ”

    “กรุณาให้คนของท่านถอยห่างไปจากรัศมีติดตาม รอจนพวกฮันน์ล่าถอยจากที่นี่แล้ว ท่านสามารถลงมือกับข้าตามสะดวก”

    “นั่นออกจะยุ่งยากมากความ”

    “ไม่อย่างนั้นข้าจะแน่ใจได้ยังไงคะว่าพวกเขาจะปลอดภัย”

    “ท่านไม่เชื่อใจข้า?”

    “ไม่เชื่อค่ะ”

    “หากพูดเช่นนั้น ในทางกลับกัน ข้าจะเชื่อใจท่านได้ยังไงว่าจะปล่อยเข็มในมือลงเมื่อพวกเขาจากไป”

    มาเรียนยื่นมืออีกข้างล้วงเอาสิ่งหนึ่งจากช่องกระเป๋าข้างเอว

    ...ขวดแก้วใสขนาดเล็กที่บรรจุของเหลวสีหม่นไว้ภายใน

    “ด้วยประสบการณ์บวกกับความรอบรู้ของท่าน คงรู้จักตัวยาชนิดนี้รวมถึงสรรพคุณของมันดี” เด็กสาวกล่าว

    “ยาสลบ” ชายชราตอบ “หากฮันน์และพวกคิดจะหนีพ้นโดยที่ข้าไม่มีทางไล่ทันอย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณสิบนาที ซึ่งการที่ยานี้จะออกฤทธิ์ใช้เวลาเท่ากันพอดี”

    “ถ้าท่านตอบตกลง ข้าจะกลืนยานี้ลงไป ในระหว่างสิบนาทีนั้นเพื่อเป็นการยืนยันความปลอดภัยของท่านฮันน์และพวก ข้าย่อมจะไม่ลงมือ และเมื่อครบสิบนาที ยาจะออกฤทธิ์ทำให้ข้าหมดสติทันที”

    เอกัลตีสนิ่งเงียบชั่งใจ

    เขายืนห่างจากมาเรียนร่วมสิบวา ซ้ำยังมีฮันน์กับพรรคพวกยืนกั้นกลาง ชายชราไม่แน่ใจว่าเกิดเธอเอาจริง ตนจะหยุดได้ทันท่วงทีหรือไม่

    มาเรียนไม่คิดรั้งรอให้จอมเวทเฒ่าเปลี่ยนใจเปิดฉากฆ่าฟัน จึงกล่าว
    “รีบตัดสินใจเข้าเถอะค่ะ ท่านยังต้องเข้าไปในป่าแห่งนี้เพื่อตามหาตัวเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตอีกไม่ใช่เหรอคะ ข้าคิดว่าคงไม่เป็นการดีกับท่านที่อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หากจะมาเสียเวลากับข้าเนิ่นนานกว่าสิบนาที”

    เอกัลตีสหัวเราะร่วน

    “ร้ายกาจ ยังเยาว์วัยและเป็นหญิงก็จริง แต่ท่านได้รับเลือดพ่อมาเต็มเปี่ยม”

    “ตกลงหรือว่าไม่คะ”

    ชายชราค่อยๆพยักหน้า

    “ตกลง”

    “ไม่ตกลง ท่านมาเรียน ถ้าไม่อยากเจอดี โปรดทิ้งสิ่งของที่อยู่ในมือท่านซะ”

    ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชา

    “ฮันน์...” มาเรียนเรียกชื่อเขา น้ำเสียงเธอวิงวอน ราวกับกำลังขอร้องให้เขาเห็นด้วย

    เขาไม่เห็นด้วย

    “ท่านคิดอะไรตื้นๆเกินไป ข้ากับทุกคนรับรู้ฐานะคนทรยศของเอกัลตีสแล้ว ท่านเข้าใจว่าเขาจะยอมปล่อยพวกข้าไปจริงๆ”

    “แต่..”

    “คนที่เสียสละไปในครั้งนั้น ไม่ได้ตายเพื่อให้ท่านเอาชีวิตตนเองมาล้อเล่นแบบนี้”

    เด็กสาวพูดอะไรไม่ออก

    เอกัลตีสยิ้มมุมปาก

    “อย่าดื้อรั้นนักเลย ฮันน์ ท่านเป็นเด็กฉลาด น่าจะกระจ่างถึงสภาพการณ์ตอนนี้ดีว่าเป็นยังไง”

    “ยึดตำแหน่งสี่ทิศ คุ้มครองท่านมาเรียนเอาไว้ตรงกลาง”

    ฮันน์ออกคำสั่งกับพรรคพวกที่เหลือเสียงเฉียบขาดฉับไว มาเรียนถูกนักดาบคนหนึ่งคว้าไหล่ดึงไปหลบด้านหลังทันที

    ชายชราส่ายหัว

    “คนหนุ่มมักเป็นเช่นนี้”

    “หุบปาก”

    อากาศธาตุข้างกายของฮันน์ม้วนตัวเป็นวังวน พร้อมกับที่ดาบเรียวยาวสลักปีกวิหคคู่แหวกพุ่งออกมา


    ...................


    เพลงดาบอันสง่างามของชายหนุ่มแตกระเบิดออกจากมือ แผ่คลุมลำแสงคมปลาบ

    ทว่า โดยที่สองเท้าของจอมเวทชราไม่ได้เคลื่อนจากที่เดิม เอกัลตีสเพียงยื่นปลายหอก ก็สะกิดพลังดาบเวทมนตร์เบนเบือนเป้าหมาย ง่ายดายเฉกเช่นปัดป่ายแขนของทารก

    ในเวลาเดียวกัน ปลายหอกนั้นยังไล่ต้อนฮันน์ถอยร่นไม่เป็นท่า ไม่ต่างกับหยอกล้อเด็กอมมือคนหนึ่ง

    วิชาดาบอันสง่างามถูกทำลายรูปลักษณ์ไปหมดสิ้น

    “เป็นอะไรไป ฮันน์ ท่านทำได้แค่นี้เองหรือ”

    หอกยาวด้ามดำที่อยู่ในมือของเอกัลตีสไม่แค่เป็นหอกซึ่งยืดยาวหดสั้นดังใจ ยังกลายเป็นโล่หนาปัดป้อง เป็นขวานใหญ่บั่นจาม เป็นตุ้มเหล็กโหมฟาด เป็นแส้เปรียวหวดโบย เป็นพลองมหึมาทุบกระแทก ดาบเล่มเดียวของฮันน์เสมือนกำลังขับเคี่ยวกับกองทัพนักรบผู้เชี่ยวชำนาญสรรพอาวุธนับร้อยนับพันที่พลิกแพลงกลับกลายไม่สุดสิ้น

    หางตาของเขายังเหลือบเห็นนักดาบในหน่วยล้มตายลงอีกสองคน

    บ้าที่สุด!


    ฮันน์ยิ่งร้อนรนเป็นทวีคูณ

    ยามนั้น อาวุธของเอกัลตีสแปรสภาพไปเป็นลูกธนูทะยานแล่งเปี่ยมพลังทำลายหลายสิบดอก เสียดฝ่าอากาศมุ่งตรงใส่ฮันน์

    นักดาบหนุ่มพลิกหมุนร่าง เปลื้องเสื้อคลุมออกสะบัดโบกต่างดาบอีกเล่ม ใช้ดาบคู่ต้านรับ สะท้อนกลับไปทั้งหมดในคราวเดียว และฉวยโอกาสกระโดดพุ่งตัว ผละจากเอกัลตีสมาทางวงต่อสู้อีกด้านหนึ่ง

    ลูกธนูนับสิบแปรไปเป็นหอกยาวด้ามเดียวอีกครั้งย้อนสวนคืนมาฉับพลัน คมหอกฟาดฟันใส่แผ่นหลังเขาจนเลือดฉีดพุ่ง

    ฮันน์ไม่สนใจ

    เขาตวัดดาบวูบ พื้นดินที่คมวาดผ่านแตกปะทุ จอมเวทชุดขาวสองคนโลหิตสาดกระจายกระเด็นออกไป พร้อมๆกับมาเรียนที่ถูกแรงระเบิดผลักถอยหลัง ถลาล้มครูดไปทางชายป่า

    “รีบหนีไปเร็วเข้า ท่านมาเรียน!!” ฮันน์ตะโกนก้อง

    “แต่... บาดแผลของท่าน” เด็กสาวตะเกียกตะกายลุกขึ้นร้องท้วง

    สมาชิกอีกคนล้มลง ฮันน์ยิ่งตะเบ็งเร่งเร้า

    “มาเรียน ตอนนี้ท่านควรทราบดีว่าต้องทำอะไร ถ้ายังไม่ไป ข้าจะจับท่านโยนออกไปเอง”

    มาเรียนยืนลังเลอึกอักอยู่ครู่ แล้วจึงหันกายวิ่งเข้าป่าลึกเมื่อฮันน์ตวาดสำทับ

    “ข้าบอกให้รีบไปไง!!”

    ร่างของเด็กสาวหายลับกับแนวไม้ ฮันน์ค่อยคลายใจได้บ้าง เขาเลือกเบิกทางด้านชายป่าเพราะรู้ดีว่านายหญิงน้อยของตนไม่ยอมวิ่งหนีไปทางหมู่บ้านให้คนอื่นเดือดร้อนแน่ๆ และเท่าที่เขารู้ เธอมักเสาะหาเก็บสมุนไพรด้วยตัวเอง เด็กสาวอาศัยอยู่ที่นี่มาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเส้นทางบางส่วนในป่านี้น่าจะคุ้นเคยดีพอที่จะหลบซ่อนหรือหนีเอาตัวรอดได้

    ตอนนี้เหลือแค่เขากับเมยานู หันหลังพิงกันกลางวงล้อมของจอมเวทชุดขาว

    “เมยานู ไปอารักขาท่านมาเรียน ที่นี่ปล่อยข้าจัดการเอง” ฮันน์กระซิบบอกกับหญิงสาวรองหัวหน้า

    “พูดบ้าๆ ท่านรับมือไหวเหรอ” เมยานูหอบหายใจหนักหน่วงไม่แพ้กัน
    ฮันน์ไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียง “อย่าลืมสิว่าเซเรเนี่ยนยังอยู่ในป่านี้ด้วย ถึงข้าจะให้ท่านมาเรียนหนีไปทางป่าด้านตรงกันข้ามก็เถอะ ยังไงไม่อาจประมาทโดยเด็ดขาด หาทางสมทบกับพวกที่เข้าไปก่อน มุ่งไปทางทิศเหนือของป่า ข้าคิดว่าน่าจะเจอหน่วยทหารนักเวทที่กำลังค้นหาตัวเซเรเนี่ยนได้ไม่ยาก”

    “ถ้าทำแบบนั้น..”

    “ผิดจากคำสั่งท่านมูเอราเอลอยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่เวลามารักษาความลับของภารกิจแล้ว ศัตรูคือเซเรเนี่ยนกับเอกัลตีส ลำพังพวกเราคุ้มครองท่านมาเรียนไม่ได้แน่ ถึงขั้นนี้จำเป็นต้องเสี่ยง ได้แต่หวังว่าในหมู่ทหารนักเวทเหล่านั้นไม่มีพรรคพวกของมันแฝงอยู่อีก ข้าจะเปิดช่องให้ เจ้ารีบฝ่าออกไป”

    ทันทีที่กล่าวเสร็จสิ้น ฮันน์ไม่รอฟังคำทัดทานของเมยานู เขาชูดาบขึ้นฟ้า เกร็งพลังเวทมนตร์ สะบัดกระหน่ำลงกลางหมู่ศัตรู

    “ไป! เมยานู”


    ...................


    ชั่วพริบตานั้น

    ฮันน์มองเห็นประกายแสงวาบหนึ่ง ซึ่งสะท้อนผ่านคมดาบ

    ดาบเล่มนั้นแทรกทะลุกลางหลังเขา ทะลวงผ่านหัวใจ โผล่พ้นปลายคมอาบเลือดที่ทรวงอกด้านซ้าย

    จากนั้น ฮันน์ก็ล้มลง

    มองไม่เห็นอะไรอีก

    ไม่รับรู้อะไรอีก


    ...................


    เสียงการต่อสู้เงียบหายไป...

    มาเรียนหยุดยั้งฝีเท้า เหลียวมองกลับไปทางที่ตนวิ่งจากมา

    จุดที่เธอยืนอยู่เป็นที่ว่างกลางดงไม้แน่นขนัดไกลจากจุดต่อสู้ ต่อให้เพ่งดูอย่างไรก็มองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ดี

    เด็กสาวยังคงหันไปมอง และแทบบังคับตัวเองไม่ให้วิ่งกลับไปไม่ได้

    แต่มาเรียนไม่ได้วิ่งกลับไป

    ตอนนี้ท่านควรทราบดีว่าตัวเองต้องทำอะไร

    ...ประโยคที่ฮันน์ตะโกนบอกสุดเสียงทั้งที่มีบาดแผลเต็มตัวดังก้องในหัว ฉุดรั้งไม่ให้เธอวิ่งกลับไป

    คนที่เสียสละชีวิตไปในครั้งนั้น ไม่ได้ตายเพื่อให้ท่านเอาชีวิตตนเองมาล้อเล่นแบบนี้

    ...คำพูดที่ฮันน์ย้ำเตือนสติเธอไม่อนุญาตให้ทำแบบนั้น

    กลับไปก็ไม่มีประโยชน์ หนำซ้ำยังจะทำให้การเสี่ยงตายต้านพวกเอกัลตีสไว้ของฮันน์สูญเปล่า ทางที่ดีที่สุดไม่ใช่วิ่งกลับไปเป็นภาระ ถ้ามีเวลามากพอจะห่วงหน้าพะวงหลังควรคิดหาทางช่วยเหลือตัวเองให้ได้เสียก่อน

    ความเป็นจริงข้อนี้มาเรียนเข้าใจดี

    แต่กับคำถามเดียวกันที่ผุดขึ้นมาในใจ เหมือนเมื่อครั้งสามปีก่อนที่เธอได้แต่หลบหนีเช่นเดียวกับวันนี้ เธอไม่อาจเข้าใจ

    ทำไม...

    สองตาของมาเรียนพร่ามัว เอ่อคลอด้วยน้ำตา

    ถึงจะเฉลียวฉลาดแค่ไหน ตระหนักต่อเรื่องราวและสิ่งที่พึงกระทำในยามคับขันมากเพียงไร เธอก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

    ...เด็กคนหนึ่งที่เมื่อครู่ได้เห็นการตายต่อหน้าต่อตา

    หนึ่งปีที่ผ่านมา เธอได้เดินทางไปพบเจอเหตุการณ์และผู้คนมากมาย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกอีกแล้วที่พบเห็นการตาย

    แต่แม้ว่าจะพบเห็นมาหลายครั้งคราจนสามารถควบคุมสติได้ดีในเวลาเช่นนี้ก็ตามที ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไร

    พวกเขาตายเพราะปกป้องเธอ เป็นการตายที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเธอ

    ...การที่มีใครต้องมาตายเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นความรู้สึกแบบไหน

    เป็นโศกเศร้า... เคียดแค้น... ชินชา...

    หรือทั้งหมด...

    เธอนึกถึงพ่อ ครั้งที่แม่ตายไป พ่อต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า

    เธอนึกถึงคำพูดของเซเรเนี่ยน และตระหนักชัดว่าเขารู้สึกอย่างไรยามที่เอ่ยมันออกมา

    เจ้าของคำพูดคนนั้น ตอนนี้มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว


    ...................
  19. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    น่าสงสัยว่าฮันน์ตายรึยัง เพราะดูจากบทที่ผ่านมา หมอนี่ดูเหมือนจะมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอยู่บ้าง

    จะรอตอนต่อไปครับ

    ป.ล. ผมอ่านตลอดนะครับ แต่ติดนิสัยไม่ค่อยตอบ
  20. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    น่าสงสัยว่าฮันน์ตายรึยัง เพราะดูจากบทที่ผ่านมา หมอนี่ดูเหมือนจะมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอยู่บ้าง
    <<< เจ้าฮันน์มีความสำคัญบางประการต่อเนื้อเรื่อง จริงอย่างที่คุณ VIA ว่ามาขอรับ
    ส่วนเรื่องตายไม่ตายนั้น ยืนยันว่าอาเฮียแกโดนแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ เด๊ดชัวร์ครับ :waaa:

    ป.ล. ผมอ่านตลอดนะครับ แต่ติดนิสัยไม่ค่อยตอบ
    <<< รับทราบขอรับ :D ขอบคุณที่ให้การติดตามนะครับ


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    บทที่ เจ็ด

    จุดประสงค์ของข้า...



    “ว่ามาเถอะ”

    เด็กหนุ่มย่อตัวลง เอ่ยกับชายที่นอนราบอยู่บนพื้น

    ไม่มีคำบอกให้ลุกขึ้นยืนคุยกัน เพราะชายคนนี้ลุกขึ้นยืนไม่ได้

    ...เขาบาดเจ็บ

    ไม่มีการพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่ง เพราะชายคนนี้ลุกขึ้นนั่งไม่ได้

    ...กระดูกต้นคอของเขาแหลกละเอียด กระดูกสันหลังบางส่วนก็หลุดออกไปจากร่างแล้ว

    ดังนั้นเด็กหนุ่มไม่ทำอะไร นอกจากบอกให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่ติดค้างและต้องการจะกล่าว

    “..มิวล่ะ” ชายบนพื้นถาม

    “ไม่ต้องห่วงลูกชายท่าน เขาปลอดภัยดี บาดเจ็บ แต่รับรองได้ว่าปลอดภัย”

    ชายคนนั้นยิ้ม

    “...ขอบใจ”

    เสียงนั้นขาดห้วงและแผ่วโหย

    ขอบใจงั้นเหรอ

    เด็กหนุ่มอยากร้องด่า

    ข้าเป็นคนทำให้ท่านตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าช่วยได้แค่ลูกชายของท่านเท่านั้น ยังจะมาขอบใจอะไร

    แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องออกไป ด้วยไม่คิดขัดจังหวะชายใกล้ตายคนนี้ ถึงเขาจะแทบพูดอันใดไม่ได้แล้วก็ตาม

    “คนของ..” ผู้บาดเจ็บกล่าวกระท่อนกระแท่น เลือดทะลักพรั่งพรูจากลำคอออกทางปาก

    “ข้ารู้” เด็กหนุ่มทราบว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร จึงตัดบทเพื่อไม่ให้ชายใกล้ตายต้องฝืนทนเล่ามากความ “ท่านแน่ใจหรือ”

    “พวกมัน...กลบเกลื่อนวิชาเวทมนตร์ที่ใช้ได้..แนบเนียนมาก แต่ข้ามองไม่ผิดแน่ รูปแบบ...การออกอาวุธ ลักษณะการประสานกันขณะต่อสู้ วิธีที่ลงมือ ต้องใช่แน่”

    เด็กหนุ่มถามสั้นๆ

    “ใคร”


    ...................


    เซเรเนี่ยนยืนขวางทางอยู่เบื้องหน้า

    “ตีหน้าซื่อได้เก่งกาจนักนะ คุณหมอลีเมชน่า”

    ฟังจากคำพูดนี้ มาเรียนก็รู้ได้ในทันทีว่าเขารับทราบฐานะที่แท้จริงของเธอแล้ว

    เด็กสาวนิ่งเงียบไม่ตอบคำ

    “ไม่สนุกเลยใช่ไหม การที่ต้องมายืนดูใครตายเพราะตัวเอง ต้องดิ้นรนไปตามเรื่องบ้าๆทั้งที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแท้ๆ”

    เขามองดูมาเรียน มองดูน้ำตาของเธอด้วยแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ใด และกล่าวด้วยเสียงที่ปราศจากความรู้สึก

    “ฐานะทายาทที่เราเป็นอยู่ ในสายตาของศัตรู ถ้าไม่ใช่ ‘เครื่องมือ’ ที่จะมอบผลประโยชน์ใหญ่หลวงให้ ก็คือ ‘เป้าหมาย’ ที่คมอาวุธจะฟาดฟันลงไป... ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ ทั้งข้า ทั้งเจ้า เราสองคนก็ต้องยอมรับ”

    เด็กหนุ่มเดินเข้ามา ความกดดันกระชั้นเข้าหา

    “สิ่งที่เจ้าคิด...‘จะยุติการฆ่าฟันโดยไม่ต้องใช้กำลัง’ นั่น มันเป็นแค่ความหวังสวยหรูของเด็กๆ เป็นแค่เรื่องเหลวไหลเลื่อนลอยที่ไม่มีวันเป็นไปได้”

    รอบด้านตกอยู่ในความเงียบ นิ่งงัน ราวกับทุกสิ่งถูกสะกดโน้มนำให้หยุดลง...เพื่อศิโรราบต่อความจริงนั้น

    “มันอาจจะเป็นแค่ความเพ้อเจ้ออย่างที่ท่านว่า..”

    มาเรียนตอบในที่สุด น้ำตายังไหลริน ทว่ามีความหนักแน่นในทุกถ้อยคำ

    “แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ข้าซึ่งไม่มีอะไรเลยสามารถทำได้...

    “เป็นสิ่งที่หากละทิ้งก็เท่ากับเป็นการบอกว่าชีวิตของผู้คนที่เสียสละไปเพื่อข้านั้นคือเสียสละโดยเปล่าประโยชน์ เท่ากับว่าพวกเขาเหล่านั้นเพียงแค่ช่วยเหลือคนไร้ค่าคนหนึ่งให้รอดตายมา...

    “เป็นสิ่งที่ข้าเชื่อ และตัดสินใจจะกระทำแล้ว”

    หยาดน้ำตาหยดสู่พื้นและซึมหาย เซเรเนี่ยนขยับเท้าอีกก้าว เหยียบลงบนจุดนั้น

    “เจ้าเลือกทดแทนสิ่งที่สูญเสียและตอบแทนคุณค่าที่ได้รับโดยการมอบความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่นต่อ ...ข้าไม่ใช่เจ้า วิธีที่ข้าใช้เป็นตรงกันข้ามกับเจ้า”


    ...................


    “ระหว่างที่เรากำลังหากันง่วนอยู่นี่ ไอ้เด็กนั่นมันอาจจะหนีไปแล้วก็ได้นาครับ หัวหน้า”

    “เลิกพูดไร้สาระซะทีเถอะ มันจะไหวตัวหนีไปได้ก่อนก็เพราะได้ยินเสียงเจ้าพล่ามนั่นล่ะ” ชายกลางคนร่างใหญ่เอ็ดใส่ชายหนุ่มตาเรียวแหลมซึ่งพร่ำบ่นไม่หยุดยั้งตลอดเส้นทางในป่า “แค่รับมือกับภาวะตึงเครียดที่ไม่รู้ว่าศัตรูจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็เกินพอแล้ว อย่าบั่นทอนพลังสมาธิพวกเดียวกันเองเลย”

    แม้ระดมกำลังคนมาไม่น้อย ขอบเขตกับลักษณะพื้นที่ก็ยังถือว่าไม่ง่าย ชายร่างใหญ่รู้ ว่าลูกน้องของตนหลายคนลอบมองท้องฟ้าด้วยใจหนักอึ้ง ยามนี้ตะวันขึ้นสูงยังพอทำเนา แต่หากรอจนบ่ายคล้อยย่ำเย็น การค้นหาที่ต้องคอยระแวงภัยคงยิ่งยากเข็ญเป็นเท่าตัว ลำพังเป้าหมายแค่เซเรเนี่ยน...จะบาดเจ็บขยับไม่ได้หรือซุ่มซ่อนรอลอบทำร้ายอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็เถิด...เด็กคนเดียวยังไม่เท่าไร แต่ถ้าทอดเวลาออกไปแล้วพรรคพวกของมันตามมาช่วยเหลือเล่า


    ...................


    “ท่านมาเรียน!”

    เธอหันไปมองตามเสียงเรียก เห็นเมยานูพกพาบาดแผลเต็มตัววิ่งฝ่าดงไม้รกครึ้มเข้ามาหา

    “หยุดอยู่ตรงนั้น พี่สาว”

    เมยานูชะงักเท้า เมื่อมองเห็นว่าผู้ออกคำสั่งซึ่งยืนประชิดข้างกายเด็กสาวเป็นใคร

    “...เซเรเนี่ยน”

    รองหัวหน้าแห่งหน่วยอาญาสวรรค์เอ่ยชื่อนั้นอย่างเคียดแค้น ชี้ปลายดาบตรงไปยังเจ้าของนามที่ยืนนิ่งเฉย

    “ท่านฮันน์ล่ะคะ” มาเรียนถาม แม้ว่าพอจะรู้ถึงคำตอบ

    คำตอบของเมยานูคือมือที่เกร็งกำด้ามดาบแน่นขึ้นกว่าเดิม

    เซเรเนี่ยนมองดูดาบและผู้ที่ถือมันเหมือนมองดูอากาศธาตุ ครั้นแล้วก็เผยรอยยิ้มอย่างช้าๆ

    “หลายๆอย่างคลาดเคลื่อนไปจากที่คิด แต่ในที่สุด ท่านก็มา”

    ประโยคนี้ไม่ได้กล่าวต่อมาเรียนหรือเมยานู

    แต่กล่าวกับเอกัลตีสที่ยืนอยู่เบื้องหลังห่างไปไม่กี่วา

    “ท่านปลอดภัยดีสินะ โชคดีที่ยังไม่ถูกจับกุมไป” ชายชราถาม พริบตาที่ได้เห็นเซเรเนี่ยน ดวงตาเอกัลตีสปรากฏแววลิงโลดขึ้น

    “ไม่ได้ปลอดภัย แค่ยังไม่ตายเท่านั้น” เด็กหนุ่มตอบ พร้อมทั้งชายตามองไปทางมาเรียนที่กลับยืนสงบนิ่งไม่มีร่องรอยหวาดกลัวให้เห็น “ท่านมาเพราะเธอ?”

    เอกัลตีสหงายมือผายออก “ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ เรื่องของเธอก็สุดแท้แต่ท่าน”

    รอยยิ้มของเซเรเนี่ยนเฉยชา ดุจเดียวกับแววตาและน้ำเสียง

    เด็กสาวปาดเช็ดสองตาด้วยชายแขนเสื้อ ไม่แสดงอาการใดไม่ว่าฟูมฟายหรือแตกตื่น แม้จะถูกกระหนาบจากทั้งหน้าหลัง

    “ชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้เอง ท่านมาเรียน ...มักจะไม่ได้รับการหยิบยื่นหนทางเลือกที่เราต้องการ” เอกัลตีสเอ่ย “หากจะแค้น จงแค้นโชคชะตาที่กำหนดให้ท่านเกิดมาเป็นลูกของมูเอราเอลเถอะ”

    มาเรียนไม่รู้ว่าเธอแค้นหรือไม่

    เซเรเนี่ยนล่ะ... เขาแค้นหรือเปล่า ที่ตนเองเกิดมาเป็นลูกชายของจูลดอลเต้ เซนต์ชาร็อต

    เธอไม่ได้ถาม

    เซเรเนี่ยนไม่รั้งรอให้เธอได้พูดอะไรอีก เขาเงื้อแขนขวาขึ้นสูง ในมือเปล่งประกายแสงลั่นเปรียะรุนแรง

    เมยานูร้องตวาด ตวัดดาบพุ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน

    เด็กสาวหลับตาลง ไม่ขัดขืน ไม่เลี่ยงหลบ

    พร้อมกับคำขอโทษต่อทุกผู้คนที่ตายไปเพราะเธอ และความคิดที่ว่าสิ้นสุดกันเสียที เสี้ยวสุดท้ายในใจ เธอยังหวนนึกถึงคำถามของตนเองที่ได้เอ่ยต่อเขาไปเมื่อก่อนหน้า

    จุดประสงค์ของท่าน... คือการล้างแค้นอย่างนั้นหรือคะ

    ไร้คำตอบรับหรือปฏิเสธ เซเรเนี่ยนฟาดมือลง วงแสงเวทมนตร์ระเบิดเจิดจ้า


    ...................


    สิ้นแสงเจิดจ้านั้น มีเพียงความตะลึงงัน

    มาเรียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าตนยังคงมีชีวิตอยู่

    กลุ่มพลังแตกออกเป็นลำแสงหกสาย เฉียดผ่านเธอไป มิได้กระทบถูกร่างของเธอแม้แต่ปลายเส้นผม

    ชั่วขณะที่กำลังตะลึงงัน เซเรเนี่ยนก็เอ่ยประโยคที่ทำให้เธองุนงง

    “มาหลบด้านหลังข้า”

    “เอะ..เอ๋?”

    เซเรเนี่ยนไม่รอฟังคำตอบ ยื่นมือไปฉุดดึงแขนของเธอจนตัวปลิวมานั่งพับเพียบอยู่ด้านหลังเขา

    ลำแสงทั้งหกไม่ได้มีเป้าหมายที่เด็กสาว

    ห้าสายแยกย้ายฉวัดเฉวียนพุ่งเข้ากระแทกใส่เมยานูและลูกสมุนของเอกัลตีสที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกระเด็นไปสี่คน

    ยังเหลืออีกสายหนึ่งที่รวดเร็วที่สุดและรุนแรงที่สุดพุ่งตรงเข้าหาเอกัลตีส

    จอมเวทชราสะบัดด้ามหอกในมือวูบเดียว ลำแสงนั้นก็แตกสลายไปในพริบตา

    ใบหน้าของเอกัลตีสยังเรียบเฉย

    “ข้าคิดว่าท่านคงทราบดีนะ ว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังท่านเป็นใคร”

    “รู้สิ...อันที่จริงเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้...ลูกสาวคนเดียวของตาแก่มูเอราเอลไง” เซเรเนี่ยนตอบ บัดนี้แววตา น้ำเสียง และรอยยิ้มของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกลอกกลิ้ง

    “มูเอราเอลเป็นผู้สังหารจูลดอลเต้พ่อของท่าน ท่านในฐานะทายาทควรจะสืบสานเจตนารมณ์ของเขาผู้ล่วงลับกลับไม่ทำ หนำซ้ำยังมาช่วยเหลือลูกสาวของศัตรูอีก” น้ำเสียงจอมเวทเฒ่าตำหนิติเตียน คล้ายต้องการเตือนให้เด็กหนุ่มได้สำนึก

    “บ้ารึเปล่า”

    เซเรเนี่ยนแบะปาก

    “ข้าจะทำในเรื่องที่อยากจะทำเท่านั้น มันกงการอะไรของข้าที่ต้องไปสะสางปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แล้วอย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ คนที่ฆ่าพ่อของข้าคือพ่อของเธอ ไม่ใช่ตัวเธอเองซะหน่อย”

    รอยย่นบนหน้าผากเอกัลตีสขมวดเข้า

    “ด้วยเหตุผลเท่านี้รึ”

    เซเรเนี่ยนย่นจมูก

    “เออสิ”

    มาเรียนที่รับฟังคำโต้ตอบของทั้งคู่ยิ่งงุนงงหนัก ลืมกระทั่งจะลุกขึ้นยืน

    นี่...เรื่องอะไรกัน

    เอกัลตีสหลุบตาลง “ท่านเติบโตและเข้มแข็งขึ้นกว่าที่ข้าเคยคาดไว้มาก..”

    คราวนี้เซเรเนี่ยนทำหน้าสะอิดสะเอียน

    “คิดว่าข้าจะระรื่นไปกับคำยกยอจนประมาทรึไงถึงทำเป็นชม บอกตามตรง ได้ท่านชม ข้าไม่ดีใจสักนิด”

    “..แต่ทำไมกัน ท่านกลับมีความคิดคำพูดราวกับไม่เห็นเรื่องของพ่ออยู่ในสายตาเช่นนี้ จูลดอลเต้ที่ปราชัยสิ้นชีพล่องลอยอยู่ในปรโลกได้รับรู้จะรู้สึกยังไงนะ”

    “แล้วก็ไม่ต้องมาแขวะพ่อข้าเพื่อยั่วให้ข้าขาดสติด้วย ข้าไม่ง่าวขนาดจะยัวะด้วยคำพูดแค่นี้”

    “ท่านยืนยันจะขัดขวางข้าให้ถึงที่สุด?”

    “ยังต้องถามมากความอีกเหรอ ดูจากที่ท่านพูดจาหวังให้ข้าเปิดช่องโหว่แบบนี้ แสดงว่าคิดจัดการกับข้าอยู่แล้วนี่ คายของโสโครกในใจออกมาตามตรงจะประหยัดเวลากับน้ำลายและดูทุเรศทุรังน้อยกว่านี้เยอะนะข้าว่า”

    ชายแก่ถอนหายใจ

    “ถ้าเช่นนั้น...”

    และเมื่อลืมตาขึ้น เค้ารอยสงบเมตตาบนใบหน้าชราเลือนหายไปสิ้น

    รอยยิ้มที่ชวนพรั่นพรึงน่าขยะแขยงเข้ามาแทนที่

    “ก็จนใจที่ข้าจะต้องกำจัดท่านทิ้งซะ”

    “อย่างนั้นแหละ เปิดอกตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมดี” เซเรเนี่ยนเลิกแบะปาก หยุดย่นจมูก ไม่ทำหน้าสะอิดสะเอียน แต่แหงนคางขึ้นเหมือนจะเย้ย “จริงอยู่ ข้าไม่ได้ชอบขี้หน้าพวกสี่ผู้เฒ่าเหลาเหย่นั่นนักหรอก แต่เผอิญข้าเกลียดพวกท่านมากกว่า สำหรับพวกท่านน่ะจะเป็นใครก็ได้ จะวิธีการไหนก็ช่าง ขอแค่ช่วยให้ได้มาซึ่ง ‘อำนาจ’ ที่เพิ่มพูนกว่าเดิมเท่านั้นเป็นพอ ต่อให้พ่อไม่ถูกมูเอราเอลฆ่า ล้มล้างสี่ผู้เฒ่าได้ สักวันคงไม่พ้นโดนพวกท่านแทงข้างหลังเอาอยู่ดี”

    “...นี่เขา...ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับท่านอย่างนั้นเหรอคะ”

    มาเรียนเอ่ยถาม เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าเธอหัวเราะ

    “ตรงกันข้ามเลย คุณหมอ”


    ...................
  21. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    “นี่เป็นเรื่องลับระดับสุดยอดเลยนะ” คนพูดทำตาวาว “จะมีการคุ้มกันทายาทของมูเอราเอลกลับพันธมิตรผู้คุมกฎภายในวันพรุ่งนี้”

    “ในเมื่อมันลับระดับสุดยอด เจ้าไปรู้มาได้ยังไง”

    ตอนนั้น เซเรเนี่ยนถามออกไปด้วยสีหน้าที่ส่อชัดถึงความเคลือบแคลงในคำคุยโวใหญ่โตของคนขายข่าว

    เจ้าคนขายข่าวโยกไหล่โคลงศีรษะทำท่าประกอบ “นี่จบศึกกันได้ไม่นาน ฝ่ายพันธมิตรผู้คุมกฎถึงชนะก็กรอบเอาการ ตอนนี้ภายในระส่ำระสายอยู่ไม่ใช่น้อย จุดยืนของพวกผู้ทรงอำนาจอื่นหลายในดินแดนรอบข้างเริ่มไม่แน่นอน อย่าว่าแต่ขืนมีสภาพแบบนี้ต่อไปอาจโดนเผ่าพันธุ์มือที่สามที่สี่เข้าแทรกแซง เพราะงั้นกะอีแค่การที่อะไรๆที่ลับๆจะรั่วไหลออกมาบ้างนิดหน่อยถือเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา”

    “แสดงว่า...เป็นไปได้ที่จะมีคนอื่นรู้เรื่องนี้ด้วย” เด็กหนุ่มกล่าวเป็นเชิงถาม

    “ก็ไม่แน่”

    “ข้อมูลนี้เชื่อถือได้แค่ไหน”

    “ในระดับหนึ่ง”

    “สถานที่และเส้นทางที่จะผ่านล่ะ”

    “ไม่รู้”

    “ถ้าอย่างนั้น มีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”

    “มี ที่น่าสนใจมีอยู่หนึ่ง ...พวกนัลทูราซ”

    เซเรเนี่ยนส่งเสียงอ้อ “ตระกูลจอมเวทนักลอบสังหารลือชื่อนั่น วัดกันที่ชื่อเสียงยังดังยิ่งกว่าตระกูลของข้าอีกมั้ง”

    “คิดจะแหยมกับพันธมิตรผู้คุมกฎก็ต้องใช้คนมีฝีมือระดับนี้ล่ะนะ”

    “รู้ไหมว่าใคร”

    “สั่งต่อกันมาหลายทอด เรียกได้ว่าสาวถึงตัวผู้ว่าจ้างที่แท้จริงไม่ได้เลยล่ะ คนขายข่าวบอก “ข้ารู้แค่ว่ามีการจ้างวานเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ลึกถึงขนาดรายละเอียดของงาน นัลทูราซเก็บงำความลับของลูกค้ามิดชิดเสมอ บางที...อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้นา”

    “ไม่หรอก เกี่ยวแน่ ต่อให้พันธมิตรง่อนแง่นแค่ไหน แต่ตราบใดที่สี่ผู้เฒ่ายังนั่งหัวโด่อยู่ ใครที่ต้องการเข้าแทนที่หรือคิดเรื่องไม่ซื่อ อย่างน้อยต้องรอดูท่าทีอีกสักพัก ...นอกเสียจากว่ามันรอไม่ได้เท่านั้นแหละ”

    เซเรเนี่ยนขยับกรอบแว่นที่ดั้งจมูก

    “และคนที่รอไม่ได้ก็มีแต่พวกมัน”


    ...................


    “ในเมื่อท่านไม่ได้ประสงค์จะล้างแค้นแทนพ่อ อย่างนั้นท่านต้องการตัวมาเรียน ลีเมชน่าไปทำไมรึ”

    เอกัลตีสถาม

    “เพราะท่านกำลังควานหาตัวเธอ ฉะนั้นถ้าข้าได้เจอเธอ ก็ต้องได้เจอท่านด้วย” เซเรเนี่ยนตอบ

    “ท่านต้องการพบข้า?”

    “แม่นแล้ว”

    “ทำไม”

    “ท่านแจ้งแก่ใจดี” เด็กหนุ่มยอกย้อน “ท่านเองก็อยากพบข้าไม่ใช่รึไง”

    ประโยคนั้นคล้ายซ่อนความนัยที่ต่างฝ่ายรู้กัน ดวงตาของชายชราหรี่ลง

    “ท่านทราบได้ยังไง”

    “เพราะท่านทำพลาดไปข้อหนึ่ง ...ท่านไม่ควรฆ่าพวกโจริชชี่ คิงดัฟ แล้วก็ครอบครัวของร็อคบีน”

    “โจริชชี่... คิงดัฟ... ร็อคบีน...”

    เอกัลตีสทบทวนชื่อของบุคคลที่เด็กหนุ่มกล่าวแล้วจึงนึกออก

    ...เจ้าพวกคนดื้อด้าน เค้นเอาความจริงยังไงก็ไม่ยอมบอกร่องรอยของเซเรเนี่ยนแม้แต่น้อยนั่น

    “ในหมู่คนที่ท่านฆ่าไปมีคนที่ชื่อว่า คิงดัฟ ดูภายนอกเป็นแค่ตาลุงขี้เมาไม่เอาไหน แต่สมัยหนุ่มเขาเคยคลุกคลีพัวพันกับเรื่องยุ่งยากมาไม่น้อย ประสบการณ์และสายตายังไม่ทื่อด้านด้วยฤทธิ์สุรา เขาแยกแยะออกและบอกกับข้าว่าฆาตกรเป็นคนของพันธมิตรผู้คุมกฎ ทั้งข้ายังได้ถามเขาก่อนตายว่าใครกันที่ฆ่าเขา”

    “ท่านจึงรู้?”

    “เปล่า คำตอบของคิงดัฟคือ ไม่รู้ เขาบอกได้แค่นั้น แล้วก็ตาย” เซเรเนี่ยนกล่าว “แต่แค่นั้นเพียงพอแล้วที่จะช่วยให้ข้าได้รู้...ผู้ลงมือทุกคนปิดบังโฉมหน้าไว้”

    และจากจุดนี้ เซเรเนี่ยนยังได้รู้ความจริงข้ออื่นที่ตามมา

    หากเป็นการกระทำในนามพันธมิตรผู้คุมกฎไม่มีเหตุผลที่ต้องทำตัวลึกลับขนาดนั้น และต่อให้เป็นการตามจับกบฏ แต่กับเรื่องฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่จำเป็น เสี่ยงต่อการทำลายภาพพจน์ของเผ่าจอมเวทแบบนี้ สี่ผู้เฒ่าที่รักษาหน้าตาตลอดมาไม่มีทางสั่งให้ทำ ดังนั้น การตายของโจริชชี่หรือร็อคบีนก็เช่นกัน เป็นฝีมือของพวกที่อาศัยสถานการณ์กวาดล้างกบฏบังหน้า และมีเป้าหมายที่ตัวเขา

    “ข้าเป็นแค่คนตัวเปล่าที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ถ้าจะมีคนต้องการตัว มันน่าจะเป็นเพราะเรื่องของพ่อข้ามากกว่า เช่นว่า อยากได้ ‘ของบางอย่าง’ ของพ่อ”

    เอกัลตีสและเหล่าจอมเวทชุดขาวพากันชะงัก

    “อยากได้ของของพ่อข้า ลงมือเร่งร้อนเหมือนรอไม่ได้ ในเดือนเดียวฆ่าคนอุกอาจตายไปหลายชีวิต และมีฐานะเป็นจอมเวทแห่งพันธมิตร ทั้งหมดนี้ผนวกกันเข้าเหลือผู้ต้องสงสัยแค่พวกเดียว นั่นคือไส้ศึกในฝ่ายสี่ผู้เฒ่าที่พ่อของข้าซื้อตัวเอาไว้”

    ชายชราโคลงศีรษะ “ข้าไม่ควรสังหารบรรดาเพื่อนฝูงของท่านจริงๆ”

    “ใช่ เพราะมันทำให้ข้าตัดสินใจจัดการกับท่าน จนถึงขนาดยอมลำบากทำอะไรๆไปตั้งมากตั้งมายเชียวนะ”

    นั่นเป็นเหตุผลเดียว ที่ทำให้เขายินยอมตากฝนจมจ่อมอยู่ในน้ำโคลนนานหลายชั่วโมง แต่ไม่ยินยอมเขยื้อนไปไหน ยินยอมใช้หินกระแทกกะโหลกด้วยมือตัวเอง แต่ไม่ยินยอมผละทิ้งจากการรอคอยที่ดูโง่เขลาไร้จุดหมายในค่ำคืนวาน

    ดวงตาเอกัลตีสเบิกกว้างชั่วขณะ จอมเวทชราได้คิดถึงเรื่องบางประการ

    “ที่แท้ ที่ท่านทำไปทั้งหมด..”

    “ถ้าศัตรูต้องการตัวเรา วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะล่อให้มันโผล่หัวออกมาก็คือใช้ตัวเราเอง” เด็กหนุ่มบอก “แต่แค่ตัวข้ายังไม่พอ ข้าต้องมีเวทีที่เหมาะสมสำหรับการปรากฏตัวให้โดดเด่น และปัจจัยเสริมที่จะดึงดูดให้ท่านต้องออกมาแน่ๆ ...ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ตอนนั้นข้าได้รู้ถึงการมีตัวตนของคนคนหนึ่ง”

    เซเรเนี่ยนจับแขนของมาเรียนชูขึ้นสูง

    “ทายาทของมูเอราเอล...เหยื่อชิ้นงามที่ไอ้ไส้ศึกคนนั้นจะต้องจ้องเขมือบน้ำลายหก ถ้าข้าได้ตัวมา ถึงตอนนั้นท่านไม่ออกจากรูก็ไม่ได้แล้ว”

    เอกัลตีสไม่อาจไม่ยอมรับ

    ที่เซเรเนี่ยนคาดเดาเป็นความจริง นับแต่สงครามใหญ่จบลง เขาทุ่มเทตามหา ตามล่าตัวเด็กหนุ่มเลือดตาแทบกระเด็น

    เนื่องด้วยหวั่นกลัว

    สิ่งที่เขาหวั่นกลัวไม่ใช่ตัวเซเรเนี่ยน หากแต่เป็น ‘สิ่งของ’ อย่างหนึ่งที่เป็นไปได้ว่าเซเรเนี่ยนอาจจะมี


    ...................


    ‘อำนาจเวทมนตร์’ แห่งเผ่าพันธุ์จอมเวทนั้น แท้จริงคือพลังที่สถิตอยู่ในโลหิตซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในกาย

    โลหิตของจอมเวททุกหยาดหยดจึงไม่ได้เป็นเพียงสิ่งหล่อเลี้ยงชีพหากแต่ยังมีสายใยเกี่ยวพันที่ไม่อาจมองเห็นและเปรียบเสมือนบ่อเกิดของชีวิต

    ...สำหรับจอมเวทแล้ว การทำสัญญาด้วยโลหิตต้องรักษาสัตย์ที่ให้ด้วยชีวิต

    เมื่อครั้งที่เอกัลตีสตกลงใจรับข้อเสนอเข้าร่วมกับฝ่ายเซนต์ชาร็อต เป็นสายให้แก่จูลดอลเต้นั้น พวกเขาได้ทำ ‘สัญญาผูกมัด’ ประการหนึ่ง

    สัญญาที่จะไม่ทรยศหักหลังต่อกัน

    ...‘สัจจะโลหิต’ คาถาลับบทมนตราโบราณแห่งตระกูลเซนต์ชาร็อต...

    สัญญาที่จวบจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะวายปราณ หากแม้นบิดพลิ้ว ผลที่ได้รับแก่มันผู้นั้นร้ายแรงขั้นอุกฤษฏ์ คำสาปจากพันธะจะลงทัณฑ์ต่อผู้ละเมิดคำสัตย์ให้สูญเสียอำนาจฤทธา...สลายสิ้นกระทั่งวิญญาณ

    สัญญาที่จูลดอลเต้ไม่อนุญาตให้เอกัลตีสทรยศหักหลังโดยเด็ดขาด

    สัญญานั้นถูก ‘บันทึก’ ไว้ในหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่ง

    เอกัลตีสคิดจะทำลายมัน หลังจากจูลดอลเต้พ่ายแพ้ในการศึกครั้งสุดท้าย

    จูลดอลเต้ตายแล้วก็ตายไป ส่วนเขาต้องเร่งหาทางเอาตัวรอด เมื่อขึ้นเป็นใหญ่ไม่ได้ อย่างน้อยๆให้ตัวเองสามารถอาศัยฐานะเดิมใช้ชีวิตอยู่ในพันธมิตรผู้คุมกฎต่อไปได้ก็ยังดี

    เอกัลตีสไม่ได้หวาดหวั่นผลของคำสาป เมื่อจูลดอลเต้จบชีวิตไป พันธะแห่งคำสัตย์เท่ากับสิ้นสุดตามไปด้วยโดยปริยาย ที่ทำให้จอมเวทเฒ่าวิตกคือในนั้นมีอักษรที่เขียนด้วยลายมือของเขา โดยเลือดของเขา และนามของผู้ทำสัญญาคือชื่อของเขา

    ถ้าหลักฐานชิ้นนี้ตกไปอยู่ในมือของสี่ผู้เฒ่าราชัน เขาอย่าหวังจะรักษาศีรษะไว้บนบ่า

    จนแล้วจนรอด เอกัลตีสหาบันทึกเล่มนั้นไม่พบ

    ตอนนั้น จอมเวทเฒ่าฉุกใจคิดถึงคนคนหนึ่ง...ลูกชายคนเดียวของจูลดอลเต้...เซเรเนี่ยน

    เอกัลตีสย่อมไม่ทราบว่าก่อนตายจูลดอลเต้บอกอะไรให้บุตรชายรับรู้บ้าง ไม่แน่ใจว่าเซเรเนี่ยนรู้อะไรเกี่ยวกับตนมากน้อยแค่ไหน ยิ่งคลางแคลงว่าสัญญาเลือดนั่นใช่อยู่กับเซเรเนี่ยนหรือไม่

    วันดีคืนดีเซเรเนี่ยนเสร็จพวกพันธมิตรเมื่อไร นั่นอาจหมายถึงจุดจบของตนด้วย

    เขาควรป้องกันไว้ก่อน ด้วยการกำจัดเด็กหนุ่มคนนี้ไปเสีย

    ทว่า...แม้จะพยายามแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายยังคงไม่ได้ตัวมา มิหนำซ้ำพวกพันธมิตรผู้คุมกฎก็ต้องการตัวเซเรเนี่ยนไม่น้อยกว่าตนเช่นกัน นานวันยิ่งไม่เป็นผลดีกับเขา

    ตราบใดที่เซเรเนี่ยนยังไม่ถูกกำจัด เอกัลตีสไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท

    เฒ่าชราเค้นสมอง ขบคิดควานหาสิ่งซึ่งจะมาเป็น ‘หลักประกัน’ ต่อความมั่นคงของตนเอง และในที่สุดก็พบมันจากข่าวคราวประการหนึ่ง

    ...มาเรียน ลีเมชน่า ทายาทเพียงคนเดียวของมูเอราเอล...

    ถ้าหากได้ตัวเธอมา ต่อให้ความจริงถูกเปิดโปงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ มูเอราเอลไม่มีทางเอาชีวิตเขา ตราบใดที่ลูกสาวมันยังอยู่ในกำมือเขา

    เธอถือเป็นหลักประกันอันยอดเยี่ยม ควรค่าพอที่จะเสี่ยงลงมือลอบชิงตัว นับเป็นเนื้อชิ้นโตที่ต้องรีบตะครุบโดยไม่รีรอ

    ...อันที่จริงเขารอไม่ได้แล้ว เซเรเนี่ยนถูกตามล่าจากจอมเวททั้งแผ่นดิน ต่อให้มากลวดลายหลบลี้หนีเก่งปานใด ไม่มีใครรับรองได้ว่าเซเรเนี่ยนจะไม่เสียท่าเข้าในสักวัน

    ถึงอย่างไร เพื่อเหลือทางถอยในกรณีที่ผิดพลาด เขายังไม่คิดดำเนินการเองโดยเปิดเผย เอกัลตีสจึงยืมมือคนนอกอย่างนัลทูราซเข้ามาร่วม

    “น่าเสียดาย พวกลิ่วล้อของนัลทูราซที่ท่านว่าจ้างมามีดีแต่ชื่อ ฝีมือย่ำแย่กว่าที่คิดไว้หลายขุม โดนจัดการซะราบคาบหมดทุกตัว ความจริงอย่าว่าแต่ไปสู้กับนักดาบหน่วยอาญาสวรรค์เล้ย ขนาดข้าแอบซุ่มอยู่ใกล้ๆ พวกมันยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

    “คืนนั้นท่านสะกดรอยตามกลุ่มมือสังหารของนัลทูราซมา?”

    “เล่นเอาแทบรากเลือดเลยล่ะ กว่าจะหาพวกมันเจอตรงจุดเปลี่ยนม้าชายแดนเนิร์ฟเธนก็ห่างจากเวลาลงมือแค่ห้าชั่วโมง ฉิวเฉียดน่าดู”

    “งานของนัลทูราซเป็นความลับเสมอ ท่านตามรอยพวกนั้นมาได้ยังไง”

    “ข้าสืบเอาจากพวกนัลทูราซไม่ได้ แต่สามารถเสาะหาจากผู้จ้างวานได้” เซเรเนี่ยนตอบ “คนที่มาติดต่อกับนัลทูราซก็รับการว่าจ้างมาอีกที ข้าสาวขึ้นไปได้ถึงแค่ต่อที่สามเท่านั้น ยังโชคดีที่ถึงเจ้านั่นมันไม่รู้ว่าผู้จ้างวานที่แท้จริงเป็นใคร แต่อย่างน้อย รายละเอียดนิดหน่อยกับ ‘เนื้อหาของงาน’ มันพอรู้อยู่บ้าง”

    เด็กหนุ่มแลบลิ้น วาดนิ้วชี้ปาดผ่านลำคอ

    “...เนื้อหาของงานที่ว่า ‘จงสังหารจอมเวททุกผู้ที่อารักขาตัวทายาทของมูเอราเอลให้หมด’ ”

    หัวหน้าแห่งหน่วยดาราขาวยังนิ่งเฉย แต่จอมเวทใต้บัญชาหลายคนเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไป

    “ถ้าลองผู้อารักขาตายหมดในระหว่างเดินทาง คิดสืบว่าทายาทถูกใครชิงตัวหายไปไหน ต่อให้พันธมิตรผู้คุมกฎมีสิบแปดผู้เฒ่าราชันก็สาวไม่ได้ง่ายๆ”

    เขาส่ายแขนของมาเรียนที่ตนกุมอยู่เล่นไปมา

    “ถึงอย่างนั้น ท่านเองก็ไม่ได้คาดมาก่อนว่ามูเอราเอลจะเปลี่ยนแผนกลางคัน ทั้งไม่ล่วงรู้ว่าแท้จริงทายาทของมูเอราเอลไม่ได้อยู่ในขบวนรถม้า และยิ่งคิดไม่ถึงว่าคนที่โผล่หน้ามาคืนนั้นจะรวมข้าเข้าไปด้วย ...พี่สาวคนสวยก็ท่าจะตกใจน่าดู ไม่อย่างนั้นคงไม่รีบร้อนจะฆ่าข้าให้ได้ถึงขนาดนั้นหรอก”

    เซเรเนี่ยนว่า มองไปที่เมยานูซึ่งนอนคว่ำร่างอยู่บนพื้นด้วยผลจากการโจมตีเมื่อครู่

    “เธอเป็นคนของท่านสินะ”

    ปากถาม แต่ดวงตาของเขากระจ่างในคำตอบดี

    “หากพวกนัลทูราซทำงานสำเร็จ เธอคือคนที่จะนำตัวทายาทของมูเอราเอลไปส่งมอบให้ท่าน เป็นหมากซ่อนที่กระทั่งตาแก่มูเอราเอลคงนึกไม่ถึง ว่าในหมู่คนที่ส่งไปคุ้มครองลูกสาวตัวเองกลับมีพวกของคนทรยศแฝงอยู่ด้วย”

    “ท่านทราบแต่แรกแล้วรึ” เอกัลตีสไม่ได้ปฏิเสธ

    “ทะแม่งๆตั้งแต่ที่เจอกันบนทางเลียบเขาคืนนั้นแล้วล่ะ” เซเรเนี่ยนตบเบาๆที่ชายโครงซึ่งพันผ้าไว้ “ถึงข้าจะเป็นตัวอันตรายก็จริง แต่ตามหลักมูเอราเอลน่าจะต้องการตัวข้าแบบเป็นๆก่อน เค้นเอาเรื่องที่อยากรู้จากข้าแล้วค่อยเชือดทิ้งทีหลังยังไม่สาย แต่นี่พี่สาวพบหน้ากันก็แทงข้าแบบชนิดตั้งใจให้มิดด้ามเลย พอฟังพี่ชายรูปหล่อฮันน์คนนั้นบอกว่าอยากถามคำถามข้าสักสองสามข้อ ข้ายิ่งรู้สึกว่ามันขัดแย้งกันเองชอบกล

    “เธอคงตั้งใจฆ่าข้าปิดปากเรื่องความลับของท่านให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยหาข้อแก้ตัวกับมูเอราเอลเอาทีหลัง บอกไปว่าข้าร้ายกาจเกินไปจนยั้งมือไม่ทันอะไรเทือกเนี้ย หรือต่อให้ข้าไม่ตาย คนที่รู้แน่แก่ใจว่าที่แทงมาน่ะไม่ได้คิดจับเป็นแต่กะเอาตายก็มีข้าที่ถูกแทงกับเธอที่เป็นคนแทงแค่สองคน ในสถานการณ์ชุลมุนตุงนังแบบนั้นเธอไม่โดนสงสัยอยู่แล้วว่าส่อพิรุธทำนอกเหนือคำสั่ง”

    เด็กหนุ่มยิ้มแยกเขี้ยว

    “ข้าโชคร้ายที่ทำพลาดไม่ได้ตัวทายาทคนสำคัญมา แต่ขณะเดียวกันก็โชคดีที่ไม่ตาย และผลลัพธ์ยังคงไม่เปลี่ยน

    “ในเมื่อคนที่ท่านส่งมาทำงานไม่สำเร็จ เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเกิดขึ้นติดต่อกัน ข้าก็อยู่ดีๆดันโผล่มาให้เห็นแถมมีทีท่าว่าจะถูกจับรอมร่อ คนที่นั่งไม่ติดเก้าอี้มากที่สุดย่อมเป็นท่าน

    “ท่านที่ปอดแหกกลัวข้าโดนหิ้วไปรีดเร้นเอาความจริงเรื่องที่เป็นสายให้เซนต์ชาร็อต แน่นอนว่าทนเฉยต่อไปไม่ไหว ต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง หนึ่งนั้นเพื่อจัดการข้าให้ได้ อีกหนึ่ง คือหาโอกาสจับลูกสาวของมูเอราเอลเป็นตัวประกันหากจุดประสงค์ข้อแรกล้มเหลว ข้าดวงกุดโดนพวกพันธมิตรรวบตัวไปซะก่อน

    “...ท้ายที่สุด ข้าหาทายาทคนนั้นพบ และได้เจอกับท่าน”

    เซเรเนี่ยนยกมือทาบอก เป่าลมหายใจจากปาก ทำท่าอกสั่นขวัญแขวน แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม

    “จะว่าไป มาย้อนคิดดูตอนนี้ เป็นการเดิมพันที่ต้องวัดดวงวัดโชคกันรุนแรงเอาการเลยนะนี่ ข้าไม่คิดหน้าไม่คิดหลังหุนหันมากไปหน่อย พวกหน่วยอาญาสวรรค์มีดีไม่ผิดจากคำลือ เกือบแย่ไปเหมือนกัน”

    “เธอเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้จริงๆน่ะหรือ”

    ชายชราหมายถึงมาเรียน

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง “แปลกใจเหรอที่ลูกสาวของคนที่ฆ่าพ่อข้ากลับเป็นคนที่ช่วยข้าเอาไว้”

    “มากทีเดียว”

    “ข้าก็เหมือนกัน” เซเรเนี่ยนบอก ชำเลืองยิ้มหวานให้เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างหลัง “เคยถามเหตุผลเธอแล้ว คำตอบของเธอทำข้างงงวยเข้าไปใหญ่”

    “เหตุผลนั้นคือ?”

    “เรื่องอะไรข้าต้องบอกท่าน” เด็กหนุ่มยักท่าใส่

    จอมเวทเฒ่าไม่ถามต่อ

    เพราะไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเป็นอะไรก็ไม่ใช่อย่างที่ตนคาดเดาไว้แน่นอน

    บัดซบสิ้นดี

    ชายชราด่าทอในใจ

    หากคิดออกก่อนหน้า เรื่องราวจะง่ายกว่านี้อีกมาก และไม่จำเป็นต้องสังหารฮันน์กับหน่วยอาญาสวรรค์ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงความผิดอย่างยิ่งยวด

    จากการสนทนากับฮันน์ที่นอกชายป่า เอกัลตีสเข้าใจผิดไปว่าเซเรเนี่ยนต่อรองกับมาเรียนโดยใช้ ‘หลักฐานชี้ตัวคนทรยศ’ แลกกับการช่วยชีวิต หวังยืมมือสี่ผู้เฒ่าจัดการกับเขา จึงด่วนสรุปคิดฆ่าคนปิดปากก่อนที่เซเรเนี่ยนจะนำมันมามอบแก่เธอเพื่อส่งต่อให้มูเอราเอล

    เซเรเนี่ยนโกรธเกรี้ยวจนไม่เฉลียวรอบคอบ เขาเองก็ลุกลี้ลุกลนจนหลงลืมไตร่ตรอง

    หากทราบแต่แรก ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นถ่อกายมาหาเซเรเนี่ยน ถึงขนาดไม่จำเป็นต้องทุกข์ร้อนกังวลเป็นบ้าเป็นหลังตลอดสองเดือนที่ผ่านมานี้

    ...การที่เซเรเนี่ยนทำอะไรบ้าๆอย่างการบุกเดี่ยวเข้าไปปะทะกับหน่วยอาญาสวรรค์ ลงทุนถึงขนาดเอาชีวิตเป็นเหยื่อล่อให้เขาเผยฐานะออกมา มีคำอธิบายเพียงหนึ่ง

    “ที่แท้ท่านไม่ล่วงรู้สักนิดว่าไส้ศึกที่พ่อของท่านวางเอาไว้เป็นใคร”

    และในเมื่อเซเรเนี่ยนไม่ทราบเรื่องที่เขาเคยเป็นสายให้จูลดอลเต้ นั่นย่อมหมายความว่าเด็กหนุ่มไม่เคยเห็นและไม่มีหนังสือลงนามฉบับนั้นอยู่ในมือ

    เอกัลตีสขุ่นแค้นจนใบหน้าสั่นกระตุก

    เซเรเนี่ยนยิ้มแย้มเบิกบานจนแก้มปริ

    “แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นท่าน...จอมเวทเอกัลตีสผู้โด่งดัง พ่อข้านี่เก่งไม่เบานะ ถึงขนาดซื้อตัวคนอย่างท่านมาเป็นพรรคพวกได้”


    ...................


    “หัวหน้าครับ”

    สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มที่เขาสั่งให้แยกย้ายกันออกไปกลับมาถึง จากสีหน้าบ่งบอกว่าพบเจอบางสิ่ง

    “ที่แม่น้ำนั่น...”

    ผู้มารายงานเร่งนำพาไปดู สิ่งนั้นยืนอยู่ริมฝั่งธาร นิ่งแข็งไม่ต่างกับรูปปั้นหิน

    มันเผยอคมเขี้ยว ส่งเสียงครางขู่ และมองมายังพวกเขา ...ดวงตาเป็นสีโลหิตแดงฉาน ทั่วทั้งร่างมีขนสีดำทะมึนดุจเถ้าถ่านของควันไฟปกคลุม
  22. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    โอว วางกับดักซ้อนกับดักแบบนี้เองรึ

    เซเรเนี่ยนไม่ใช่แค่เจ้าปากเสียธรรมดาสินะ...

    แล้ว...สถานะของ 2 คนนั่นจะเป็นยังไงต่อไปเอ่ย
  23. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอบคอมเมนต์

    - คุณ VIA

    เจ้าหัวแข็งนี่ยังจะปากเสียมากขึ้นไปอีกขอรับ :555:

    ทั้งสองคนจะเป็นยังไงนั้น ดูต่อได้ในบทนี้้เลยครับ :spin:


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    บทที่ แปด

    แตกต่าง



    เจ้าเด็กนี่แตกต่างจากพ่อโดยสิ้นเชิง

    คนในตระกูลมักวิจารณ์ถึงเขาแบบนี้

    เซเรเนี่ยนผิดกับพ่อในทุกๆด้าน ทั้งอุปนิสัย และความสามารถ

    จูลดอลเต้เคร่งขรึมเย็นชา เซเรเนี่ยนวันทั้งวันเอาแต่หัวเราะ

    จูลดอลเต้เก่งกาจกว้างขวาง เซเรเนี่ยนไม่แค่หลีกเลี่ยงการเล่าเรียน ยังไม่หมั่นเพียรฝึกฝน

    ทั้งแข็งข้อ ทั้งดื้อรั้น

    หลายคนมองว่าเขารับสายเลือดและความเปรื่องปราดจากจูลดอลเต้มาไม่ถึงหนึ่งในสิบ

    เด็กหนุ่มถูกผู้เป็นพ่อขับไล่ออกจากตระกูลตั้งแต่สองปีที่แล้ว ก่อนสงครามจะเปิดฉากได้หนึ่งเดือน อย่าว่าแต่สถานที่เก็บงำหลักฐานชิ้นสำคัญเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของพรรค์นั้น ดีไม่ดีสิ่งของเหล่านั้นโดนเผาจนเหี้ยนเตียนไปหมดสิ้นแล้วตอนที่ปราสาทประจำตระกูลที่มั่นสุดท้ายของเซนต์ชาร็อตถูกตีแตก

    กับเรื่องที่พ่อเขาวางไส้ศึกไว้ภายในพันธมิตรผู้คุมกฎ เขายิ่งไม่รู้ ที่รู้ได้เพราะการคาดเดาปะติดปะต่อจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น กระทั่งมาแน่ใจเมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนที่ฮันน์เอ่ยถามเขาถึงเรื่องคนทรยศนั่นเอง

    ที่จริง เรื่องที่เขาโดนไสส่งออกจากตระกูลใช่ว่าไม่มีใครทราบ แต่ด้วยเหตุแห่งสงคราม ทำให้ผู้อื่นพากันมองว่าเป็นแค่แผนอำพรางของจูลดอลเต้ เช่นเดียวกับที่มาเรียนหลบหนีออกมาเบื้องนอก หลายคนก็คาดเดาไปว่าเป็นแผนซ่อนตัวทายาทของมูเอราเอล

    ดังนั้น ยังคงมีคนมากมายตามล่าเซเรเนี่ยน ทั้งๆที่เขามิได้รู้เห็นร่วมมือกับสิ่งที่พ่อทำเลยแม้แต่นิดเดียว


    ...................


    สถานการณ์ร้อนระอุ เด็กหนุ่มกลับเผยอยิ้มใจเย็น

    “ตอนนี้ท่านหาข้าเจอ ข้าเองก็รู้ฐานะท่าน เราต่างบรรลุวัตถุประสงค์ของกันและกันแล้ว ขั้นต่อไปจะว่ากันไงต่อดีล่ะ ท่านจอมเวทชื่อดัง”

    “ยังไม่บรรลุ เพราะศีรษะท่านยังอยู่บนบ่า” เอกัลตีสแย้ง แม้ยิ้มเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้สึกได้ถึงความปีติยินดี

    เซเรเนี่ยนหัวเราะ

    “ถ้าฉะกันตรงนี้ รับรองได้ว่าข้าจะอาละวาดให้โครมครามที่สุด เอาให้พวกทหารนักเวทที่ตามหาข้าอยู่ในละแวกแห่ตรงมาที่นี่เหมือนดีดนิ้วเรียกเลย”

    “มาแล้วยังไง ท่านจะแฉเรื่องของข้าให้พวกมันฟังรึ” เอกัลตีสพูดอย่างผู้มีเปรียบเหนือกว่า “ในเมื่อท่านไม่ได้ถือครองหลักฐานใดๆที่จะบ่งชี้ถึงความผิดของข้าได้ ลำพังแค่คำพูดเปล่าๆ ระหว่างข้าที่เป็นขุนพลผู้ภักดี กับท่านที่เป็นลูกชายของกบฏแผ่นดิน คิดว่าพวกนั้นจะเชื่อถือใครมากกว่าล่ะ”

    “ระหว่างข้ากับท่าน พวกเขาย่อมเชื่อถือท่านมากกว่าแหงๆล่ะ แต่ถ้า..” เซเรเนี่ยนชี้นิ้วโป้งไปยังมาเรียนที่ด้านหลังพลางยอกย้อนกลับด้วยคำพูดแบบเดียวกัน “ระหว่างเธอที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของมูเอราเอล กับท่านที่เป็นขุนพลผู้ภักดีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดว่าพวกนั้นจะเชื่อถือใครมากกว่าล่ะ”

    ‘ขุนพลผู้ภักดี’ แสยะยิ้ม

    “ว่าไปแล้วเรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง หากบอกว่าท่านโชคดีที่ไม่ตายจนได้เจอกับข้า ข้าเองก็โชคดีที่สถานที่เป็นที่นี่ ตอนนี้ทหารนักเวทในแถบนี้ทั้งหมดกระจายกำลังออกตรวจตราหมู่บ้านรึไม่ก็พื้นที่โดยรอบของหุบเขากันจ้าละหวั่น และป่านี้ก็ไม่ใช่แคบๆ หน่วยที่ใกล้ที่สุดยังถือว่าห่างจากตรงนี้โขอยู่ ดังนั้นมีเวลาเหลือเฟือพอจะจัดการท่านกับท่านมาเรียนที่รู้เรื่องอันไม่สมควรจะรู้นี้ กว่าที่เจ้าหน้าโง่พวกนั้นจะไหวตัว ข้าก็เสร็จเรื่องแล้ว”

    “เอ่? จะจัดการกับเธอไปด้วยเลยงั้นหรือ แบบนั้นจะดีเร้อ ท่านไม่กลัวมูเอราเอลเจี๋ยนเอารึไง”

    เซเรเนี่ยนคาดเดาไว้ไม่ผิด ในเมื่อเอกัลตีสหาตัวเขาพบแล้ว มาเรียนก็ไม่จำเป็นต่อพวกมันอีกต่อไป หนำซ้ำเธอยังทราบเรื่องที่เอกัลตีสเคยเป็นสายให้กับตระกูลเซนต์ชาร็อต เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ยิ่งไม่อาจปล่อยเธอไว้

    เอกัลตีสรำพึง สีหน้าใสซื่อเจ็บปวด

    “นั่นเป็นเพราะท่านลอบบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน ใช้เล่ห์ร้ายสังหารพวกหน่วยอารักขาหมดสิ้น ข้ามาถึงช้าเกินการณ์ ไม่อาจช่วยชีวิตท่านมาเรียนไว้ได้ทัน ข้าในยามที่แค้นเคืองอย่างถึงที่สุดกับการกระทำอันหยาบช้าของท่าน มุ่งมั่นเพียงล้างแค้นให้นายหญิงน้อย ขณะต่อสู้จึงพลั้งมือฆ่าท่านตายโดยไม่ทันได้สืบสาวถึงตัวไส้ศึกของเซนต์ชาร็อตที่ยังลอยนวลอยู่”

    เซเรเนี่ยนยืนฟังเหมือนเป็นเรื่องคนอื่น ทั้งยังพยักเพยิดเห็นดีกับกลอุบายของจอมเวทเฒ่า

    “อืม นั่นสินะ จากนั้นท่านก็สามารถลอยลำได้สบายใจเฉิบ รับความดีความชอบที่ปลิดชีพลูกโจรกบฏอย่างข้าได้อีกต่างหาก แหม ท่านนี่เฒ่าชแรแก่ชราแต่สมองยังไม่ฝ่อแฮะ หัวเสกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย ถ้าเป็นข้าก็คงแต่งเรื่องประมาณนี้นั่นแหละ”

    “ไม่ว่าท่านหรือพ่อของท่าน ท้ายที่สุดก็เป็นได้แค่ตัวหมากที่ข้าใช้ประโยชน์แล้วทิ้งเท่านั้น” เฒ่าชราไม่สนใจคำเหน็บแนม ซ้ำยังเย้ยเยาะกลับ

    เด็กหนุ่มคล้ายไม่ได้ยิน เพียงหัวเราะอีกครั้ง

    “อย่างหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกกับท่านก็คือ...เรื่องดูถูกคู่ต่อสู้น่ะ เอาไว้ทีหลังก็ได้”

    เซเรเนี่ยนล้วงเอาหนังสือสภาพเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งจากอกเสื้อ “แล้วที่ท่านว่าข้าไม่มีหลักฐาน...อยู่นี่ไง”

    “นั่นมัน..” มาเรียนหลุดคำออกมาแผ่วเบาเมื่อได้เห็นหนังสือเล่มนั้น

    เซเรเนี่ยนกระชับมือข้างที่กำแขนเธอเอาไว้แน่นเข้า เด็กสาวจึงปิดปากปั้นหน้าเรียบเฉย

    บรรดาจอมเวทชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านตรงข้ามไม่ได้ยินและไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติใดๆ พากันมองสิ่งของในมือเซเรเนี่ยนด้วยแววตาขบขัน

    เอกัลตีสทราบแล้วว่าเซเรเนี่ยนไม่มีบันทึกสัญญาเลือดฉบับนั้น แต่ชายชรายังต้องการดูว่าเด็กหนุ่มจะเล่นตลกอะไร

    “อย่ามาทำเป็นขู่ข้าหน่อยเลย ของสำคัญแบบนั้น ท่านไม่เขลาขนาดพกพามันมาด้วยหรอก”

    เซเรเนี่ยนฉีกยิ้มเผยฟันขาว

    “ท่านพูดถูก ใครที่ไหนมันจะบ้าพกไว้กับตัวเองเล่า พ่อข้าก็ต้องซุกซ่อนมันเอาไว้ในที่ลับเฉพาะเซ่”

    “ที่ลับเฉพาะ?”

    “จะเป็นการบังเอิญหรืออะไรดลใจพ่อข้าก็ไม่ทราบ ...พ่อซ่อนมันไว้ในป่าแห่งนี้”

    “ป่าแห่งนี้?”

    “พ่อเก็บมันไว้ลึกลับไปหน่อย หากคิดค้นหาต้องใช้เวลาไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคืนข้าจึงไม่ได้มาหยิบฉวยมันไป เพราะตอนนั้นข้ามัวให้ความสำคัญกับการลอบจู่โจมขบวนม้าที่ยังไม่รู้ว่าเป็นกับดัก พอรอดมาได้ ข้าก็ตรงดิ่งมานี่เลย กว่าจะหาเจอเล่นเอาเสียแรงไปเยอะแยะ”

    แววเย้ยเยาะในดวงตาของเอกัลตีสยิ่งเพิ่มพูน

    “สถานที่เช่นนี้น่ะหรือที่จูลดอลเต้เลือกเก็บงำของสำคัญเอาไว้ ไร้สาระ”

    เซเรเนี่ยนก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม แม้แต่มาเรียนที่อยู่ด้านหลังยังสงสัยว่าเด็กหนุ่มดูอารมณ์ดีเกินไปรึเปล่า

    “พูดแปลก เก็บในที่ที่ใครก็เดาได้เขาจะเรียกซุกซ่อนเหรอ ของแบบนี้เก็บที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นในภูเขาสูง ริมห้วยหนอง กระทั่งสวนหลังบ้านใครก็ตามแต่ ขอแค่เป็นที่ที่คนอื่นคาดไม่ถึงก็พอ หรือท่านต้องการให้เอามันใส่หีบลงตราผนึกอย่างดีแปะป้ายตั้งหราไว้บนหิ้งบูชา?”

    เด็กหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตา

    “พูดก็พูดเถอะ ท่านเองก็ไม่นึกใช่ม้า ว่าในป่าใหญ่แถบชนบทนอกดินแดนเนิร์ฟเธนจะดันมีของแบบนี้อยู่”

    เอกัลตีสสะอึก “บ้าชัดๆ”

    “ใช่ ข้าเห็นด้วย ใครๆก็ว่าอย่างนั้น การกระทำของพ่อข้าโดยมากมักจะบ้าบอเลอะเทอะอย่างที่สุดเสมอๆ เขาถึงว่าไง วิกลจริตกับอัจฉริยะแท้ที่จริงเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน”

    “บันทึกลงนามที่ข้าเคยทำกับจูลดอลเต้ไม่ได้มีลักษณะเช่นนี้ ข้ายอมรับ ท่านเล่นละครเก่ง แต่บทบาทไร้เหตุผล หลอกไม่ได้กระทั่งเด็กอมมือ”

    “ข้าไม่ได้บอกสักคำว่าไอ้นี่ใช่หนังสือลงนามอะไรของท่านนั่น”

    “ไม่ใช่?”

    “ถามจริงๆเถอะ ในเมื่อท่านมากเล่ห์ปานนี้ คิดว่าพ่อของข้าที่ขี้ระแวงคนแบบสุดๆขนาดนั้น จะไม่หาทางรวบรวมหลักฐานด้านอื่นเพื่อใช้ผูกมัดท่านเลยรึไง” เด็กหนุ่มเคาะหนังสือในมือเล่นกับศีรษะ ทำท่ายึกยักยียวน “พอดูสิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้แล้วข้าแทบร้องเฮ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก คงไม่ต้องเปลืองสมองเปลืองแรง มอบมันให้พวกหน่วยอาญาสวรรค์ก็รูดม่านปิดฉากชีวิตท่านได้แล้ว เสียดายข้ากลับมาล่าช้าไปหน่อย ท่านดันชิงลงมือเก็บพวกนั้นไปก่อน”

    เอกัลตีสคิดอยากบดขยี้ไอ้รอยยิ้มมาดมั่นรวมทั้งท่าทีกวนประสาทของเซเรเนี่ยนให้แหลกคามือมากขึ้นทุกที

    แต่แม้กระนั้นใบหน้าของจอมเวทชราก็ยังคงแย้มยิ้ม ราวกับจะใช้ความสำราญของตนข่มทับความเบิกบานของเด็กหนุ่ม

    “เหลวไหล เป็นไปไม่ได้ที่จูลดอลเต้จะทำอย่างนั้นได้โดยที่ข้าไม่รู้ตัว”

    “ว้าว ขนาดนั้นเชียว” เซเรเนี่ยนยกมือปิดปาก ทำท่าอึ้งตะลึง “ท่านลืมอะไรไปรึเปล่า ก่อนจะล่มสลายไป จอมเวทในตระกูลของเรามีมากหน้าหลายตาหลากความสามารถ กับแค่การสืบเสาะหาความลับจุดอ่อนของคนคนเดียว มันไม่ได้ยากเย็นหนักหนาเลย

    “หรือท่านจะบอกว่านอกจากเป็นสายให้พ่อข้าแล้ว ท่านไม่ได้แอบทำอะไรอื่นที่เป็นการผิดกฎร้ายแรงของพันธมิตรมาก่อน ไม่เอาน่า ถ้าท่านเป็นคนประเสริฐเลิศดีเพียงนั้นจะมาร่วมมือกับพ่อข้าทำไม

    “ท่านแน่ใจเหรอว่าตอนที่ท่านทำเรื่องเลวทรามพวกนั้น ไม่เคยเผลอไผลเปิดช่องโหว่ใดๆเลย

    “ท่านมั่นใจสุดๆ ว่าระวังทุกการกระทำ ทุกวาจาถ้อยคำ รวมถึงทุกผู้คนรอบกายเป็นอย่างดีตลอดเวลาแล้ว?”

    คราวนี้เอกัลตีสยิ้มไม่ออก รอยยิ้มจางหายเหือดแห้งไปโดยสิ้นเชิง


    ...................


    ความจริงแล้ว เซเรเนี่ยนโกหกทั้งเพ

    เขาไม่ได้มี ‘หลักฐานชิ้นอื่น’ อะไรที่ว่านั่น หนังสือที่นำออกมาแสดงเป็นหนังสือที่ลักมาจากห้องพักในบ้านมาเรียนเพราะนิสัยเสียส่วนตัวนึกสนุกอยากหยอกเอินคุณหมอเด็กคนสวยเล่นเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาแค่โป้ปดพร่ำเพ้อมั่วซั่วตามที่ปากพาไป

    เขากุเรื่องขึ้นเพื่อจุดปะทุโทสะของอีกฝ่าย

    คู่ต่อสู้ที่ร้อนรนกระวนกระวายต่อกรง่ายกว่าศัตรูที่เยือกเย็นสุขุม

    เอกัลตีสยังไม่ถึงกับต่อกรด้วยได้ง่าย แต่ชายชราก็ไม่เยือกเย็นเท่าที่เคยเป็นแล้ว

    “ท่านคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสมอบมันให้สี่ผู้เฒ่าเอาผิดข้ารึ บอกไปแต่แรกแล้ว หน่วยทหารนักเวทที่ตรวจตราอยู่ใกล้ที่สุดยังห่างออกไปเกือบครึ่งค่อนป่า”

    เซเรเนี่ยนไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับ

    “ท่านรู้จักเวทมนตร์ ‘กับดักพันธนาการ’ ไหม”

    “ถามบ้าบออะไรของท่าน” เอกัลตีสที่เริ่ม ‘ร้อนรน’ นึกหงุดหงิดที่เซเรเนี่ยนกลับเอ่ยคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาดื้อๆ แต่เซเรเนี่ยนยังพล่ามต่อไม่สนใจสีหน้าของอีกฝ่าย

    “มันเป็นเวทมนตร์ประจำตระกูลเซนต์ชาร็อตเราวิชาหนึ่งในหลายๆแขนงน่ะ ข้าอาศัยครูพักลักจำเอาจากจอมเวทในสังกัดของตระกูล เสียตรงที่เป็นบทคาถาที่ไม่ค่อยสะดวกนัก จะใช้แต่ละทีต้องเสียเวลาอยู่เป็นนานแน่ะ”

    เด็กหนุ่มว่าจบแล้วส่ายมือ

    “เอาเถอะ ท่านไม่รู้จักไม่เป็นไร แต่ข้าเชื่อว่าอีกอย่างที่จะถาม ท่านต้องรู้จัก”

    เขาเอ่ยชื่อชื่อหนึ่ง

    “ฟีราเคนิส”

    “แค่พวกสัตว์หน้าขนของหน่วยอาญาสวรรค์ที่ทำอะไรได้มากกว่าหมาธรรมดาทั่วไปอยู่บ้างเท่านั้น” เอกัลตีสแค่นเสียงหนักออกทางจมูก “หากท่านคิดจะยื้อเวลาตายด้วยคำถามโง่ๆแบบนี้ ข้าคงต้องบอกว่าพอกันที”

    เซเรเนี่ยนโยกนิ้วชี้ทำเสียงจิ๊จ๊ะ

    “เดาว่าพี่สาวเมยานูคงไม่ได้บอกท่านถึงความสามารถของมัน หรือบางทีเธอบอกแล้วแต่ท่านลืม ไม่อย่างนั้น...ท่านต้องไม่ดูถูกเจ้าตูบนั่นแบบนี้แน่”


    ...................
  24. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    คืนก่อนที่เขาเผชิญกับพวกมัน แรกสุดเขากระโดดจากหุบเหวลงแม่น้ำสายใหญ่ กลิ่นอะไรก็ตามแต่ที่อยู่บนตัวเขาน่าจะถูกชะล้างไปไม่น้อย หนำซ้ำคืนนั้นฝนยังตกกระหน่ำหนัก ตามเหตุผล ต่อให้ฟีราเคนิสประสาทรับกลิ่นดีเลิศขนาดไหน ก็ไม่น่าจะตามหาตัวเขาเจอได้เร็วขนาดนั้น

    นอกเสียจาก...มันไม่ได้ใช้กลิ่นในการตามรอย หากแต่ใช้สิ่งอื่นในตัวเขาที่เด่นชัดกว่านั้นมาก

    “ฟีราเคนิสไม่ได้ตามรอยด้วยกลิ่น มันตามรอยโดยการสัมผัสพลังเวทมนตร์ของเป้าหมาย” เซเรเนี่ยนกล่าว “เรียกได้ว่าคุณสมบัติพิเศษข้อนี้ของมันยังเหนือกว่าจอมเวทอย่างเราท่านซะอีก มันจดจำลักษณะสัมผัสทางเวทของข้าได้แล้ว คำนวณจากเหตุการณ์ในคืนนั้น ต่อให้ข้าอยู่ห่างจากมันไกลเป็นโยชน์ๆ มันก็ยังตามข้าพบ”

    รอยย่นบนหน้าผากเอกัลตีสแทบขมวดเป็นวง

    “หรือว่า...”

    “ใช่เลย” เซเรเนี่ยนดีดนิ้วเปาะ “ที่อีกฟากของป่านี่มีฟีราเคนิสตัวหนึ่งที่ถูกเวทกับดักพันธนาการของข้า ‘ตรึง’ เอาไว้”

    มาเรียนนึกขึ้นได้ถึงหมาป่าสีดำซึ่งแสยะเขี้ยวคมขาวราวจะกัดขย้ำเด็กหนุ่มแต่กลับทำเพียงแค่ยืนจดจ้องไม่ขยับเขยื้อนใดๆเลยตัวนั้น

    “และ... ข้า ‘ปลด’ เวทพันธนาการที่ใช้กับมันออกได้สักพักแล้ว”

    เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นตามหน้าผากของเอกัลตีส เมื่อเริ่มเข้าใจเจตนาของเด็กหนุ่มโดยเลาๆ

    “เมื่อคืนข้าโดดลงเหวหนี พี่ชายฮันน์กับพรรคพวกไม่รู้ว่าก้นหุบเป็นแม่น้ำ คงคิดว่าข้าไม่ม่องเท่งก็น่าจะคางเหลืองถึงไม่ได้ไล่ตาม แต่ทหารในพื้นที่นี้ย่อมรู้ พวกนั้นต้องมีการจัดกำลังคนบางส่วนตรวจตราไล่มาตามแม่น้ำ..”

    ดวงตาของเด็กหนุ่มวาบวาว

    “ซึ่งนั่นล่ะเหมาะเจาะ โอกาสที่คนใดคนหนึ่งจะเจอเข้ากับมันโดยเร็วยิ่งมีมากขึ้น แล้วหลังจากนั้น ท่านลองเดาดูซิ เจ้าหมานั่น พอเจอกับจอมเวทของพันธมิตรผู้คุมกฎเข้าจะทำยังไงต่อเอ่ย”

    เอกัลตีสไม่ต้องเดา เขารู้คำตอบแล้ว

    ฟีราเคนิสมีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ป่านักล่าทั่วไป มันจะต้องหาทางสื่อสารบอกกล่าว และนำทางทหารเหล่านั้นมาตามจับเซเรเนี่ยนแน่นอน

    “ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ข้ายืนฝอยพล่ามให้ท่านฟังซะเยอะแยะยืดยาว มันเพื่ออะไร” เด็กหนุ่มงอนิ้วทำทีคำนวณ “เมื่อกี้ท่านบอกว่ามีเวลาเหลือเฟือพอที่จะจัดการอะไรๆได้สินะ แต่ข้าว่าตอนนี้คงเหลือไม่เยอะเท่าไหร่แล้วมั้ง”

    พรรคพวกของเอกัลตีสทุกคนทำหน้าราวกับถูกบังคับให้กลืนท่อนฟืนคนละสองดุ้น

    “ตอนนี้พวกท่านมีทางให้เลือกแค่สองข้อ หนึ่ง รีบโกยแน่บให้ห่างจากตัวข้าแล้วเผ่นไปให้ไกลจากเนิร์ฟเธนที่สุด หรือ สอง เร่งจัดการข้ากับคุณหมอให้ได้ก่อนที่ทหารนักเวทจะยกโขยงกันมาที่นี่ แล้วยึดเอาหนังสือเล่มนี้ไปเปิดดู พร้อมฟังคำให้การเรื่องเฮงซวยที่ท่านทำจากพยานซึ่งเป็นลูกสาวของมูเอราเอล”

    “พวกมันจะทำอะไรข้าได้ จอมเวทสวะพรรค์นั้นจะเปลืองมือเท้าข้าสักเท่าไรกัน” เอกัลตีสเหยียดหยัน

    “ใช่ ท่านเก่งกาจ ข้าไม่สงสัยเลยในข้อนี้ แต่นอกจากท่านมั่นใจว่าจะจัดการพวกทหารนักเวทที่ถึงไม่เยอะมากมายอะไรแต่ต่ำๆน่าจะหลายสิบได้เสร็จในคราวเดียว โดยไม่ต้องไปตามเก็บกวาดให้หมดทีหลังในป่าที่กว๊~างกว้างแบบนี้ ไม่งั้นเกิดมีใครหลุดรอดหนีออกไปปูดเรื่องนี้หรือไปแจ้งทหารจากพื้นที่อื่นตามมาสมทบ เรื่องจะลุกลามใหญ่โตเข้าไปอีก ทางที่ดีเลือกตัวเลือกที่ข้าเสนอไปจะดีกว่า”

    “ทำอย่างนี้เจ้าเองใช่ว่าจะรอด ทหารนักเวทพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเช่นกัน”

    “อย่างน้อยข้างหลังข้าตอนนี้มีลูกสาวของมูเอราเอลนั่งอยู่ ท่านล่ะ”

    เอกัลตีสกัดกรามแน่น

    เซเรเนี่ยนยิ้ม

    “ว่าไงจ๊ะ หนึ่ง หรือสองดี”


    ...................


    ตอนนี้มาเรียนค่อยพบว่าเซเรเนี่ยนมีอะไรบางอย่างผิดปรกติ

    ลมหายใจของเขาแปร่งไป แค่เล็กน้อย แต่มันถี่กระชั้น หอบหนักขึ้นเรื่อยๆ

    ถ้าไม่ใช่เพราะเงาร่มไม้แน่นขนัดปกคลุม กับสีผิวของเขาขาวจัดอยู่แล้ว พวกเอกัลตีสคงสังเกตได้ว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดจางไร้สีเลือด

    “รบกวนอะไรนิดสิ คุณหมอ” เซเรเนี่ยนเอนร่างมาบังเธอไว้ กระซิบกับเธอโดยที่ไม่หันมา “ยกแขนเจ้าขึ้นมา อย่าให้พวกมันเห็นนะ ช้าๆล่ะ แล้วเอามือยันหลังข้าไว้หน่อย ...ตาข้าชักลายเต็มที”

    มาเรียนทำตามคำบอก และต้องเบิกตาด้วยความตกใจเมื่อวางมือลงบนแผ่นหลังของเซเรเนี่ยน

    “ท่าน..”

    ที่สัมผัสถูกเป็นความเปียกเหนียวและเกรอะกรัง กลางหลังของเขาปรากฏรอยดาบเฉียบคมสายหนึ่งกรีดเป็นทางยาว เลือดไหลรินผ่านลงไปภายในเสื้อคลุม ทั้งเริ่มมีสีดุจเดียวกัน เธอที่มัวแต่แตกตื่นกับเหตุการณ์ตรงหน้าจึงไม่ทันมอง

    “พอดีซวยหล่นทับ ดันไปเจอโจทก์เก่าลูกน้องของพี่ชายฮันน์เข้าน่ะ สองคนนั้นดื้อด้านน่าดู หอบพอแรงกว่าจะกล่อมให้นอนเงียบๆได้”

    มาเรียนใจคอไม่ดี คำว่าหอบพอแรงนั้นที่จริงน่าจะกล่าวว่าหนักหนาสาหัสเลยต่างหาก

    ลำพังแผลถูกแทงที่ท้อง เขาเดินเหินไปไหนมาไหนก็ต้องฝืนร่างกายเอามากๆอยู่แล้ว นี่ยังไปต่อสู้กับคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บเพิ่มมาอีก

    เซเรเนี่ยนไม่ได้มอง แต่รู้ว่าตอนนี้คุณหมอทำหน้ายังไง

    “ไม่เป็นไรน่า ข้ายังไหว อั้ก..”

    พูดไม่ทันจบดี เด็กหนุ่มกระอักเลือดราดรดดิน ร่างงอทรุดลงหัวเข่ากระแทกพื้น

    เอกัลตีสย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดพ้น

    ก่อนจะมาที่นี่ เขาคาดเอาว่าเซเรเนี่ยนคงสาหัสไม่เบาจากการบุกเข้าไปในวงล้อมศัตรู แต่เมื่อได้พบกัน เด็กหนุ่มกลับดูไม่มีท่าทีของคนบาดเจ็บอยู่เลย ชายชราจึงลังเลที่จะลงมือ

    เขาไม่ได้หวั่นเกรงเซเรเนี่ยน แต่จะอย่างไร เด็กหนุ่มหนีรอดจากหน่วยอาญาสวรรค์มาได้ จะดีจะชั่วต้องพอมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง เอกัลตีสที่เจ้าเล่ห์รอบคอบตลอดมายังคงไม่คิดประมาทผลีผลาม

    จอมเวทเฒ่าไม่ต้องการให้เป้าหมายหลุดรอดเงื้อมมือไปได้อีก เขาจะลงมือต่อเมื่อมั่นใจว่าจะกำจัดได้แน่ๆ

    นอกจากนี้ เซเรเนี่ยนหลังจากจู่โจมมาครั้งหนึ่งก็ทำแค่ยืนคุมเชิงไม่เปิดฉากต่อสู้ในทันที ชายชราเห็นแปลก พิเคราะห์ด้วยประสบการณ์แล้ว เป็นไปได้ว่าเด็กหนุ่มอาจจะบาดเจ็บจริงดังคาดและกำลังกลบเกลื่อนอาการของตนเองเอาไว้ หากเขายื้อเวลาออกไปอีกช่วงหนึ่ง ไม่แน่ว่าเด็กหนุ่มจะโค่นล้มลงไปเอง

    เซเรเนี่ยนพูดจาเรื่อยเปื่อยมากมาย จุดประสงค์เพื่อถ่วงเวลา เขาเองที่ยอมตามน้ำเสวนาด้วยเป็นนานสองนาน เจตนาก็เพื่อรอคอยจังหวะนี้

    เอกัลตีสโบกมือให้สัญญาณฉับพลัน จอมเวทหน่วยดาราขาวสี่คนที่ยืนอยู่ใกล้กับเด็กหนุ่มและเด็กสาวมากที่สุดเคลื่อนไหวในพริบตา จู่โจมเข้ามาจากด้านหน้า ด้านขวา ด้านซ้าย ด้านบน

    “กะแล้วเชียว เลือกข้อสองสินะ”

    เด็กหนุ่มกดมือลงบนไหล่ของมาเรียนที่ขยับตัวคิดจะยืนขวางกันเขาไว้

    “นั่งเฉยๆ คุณหมอ”

    เซเรเนี่ยนยังลุกไม่ขึ้น

    ...แต่ริมฝีปากอาบเลือดของเขาคลี่ยิ้ม


    ...................


    แสงสว่างเจิดจ้าบาดตาสาดส่องทั่วบริเวณเป็นสีขาวโพลน

    เอกัลตีสเพียงมองเห็นว่าเสี้ยววินาทีที่จะถูกบั่นหัว เซเรเนี่ยนชิงดึงร่างของมาเรียนกระโดดถอยไปข้างหลัง จากนั้นแสงสว่างก็พลันอุบัติ

    “ว้า แย่จังน้า พวกท่านเนี่ย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือกันเล้ย”

    เป็นเสียงของเซเรเนี่ยนที่ร้องขึ้นหลังจากแสงสว่างจางหาย

    จอมเวทหน่วยดาราขาวสี่คนยืนแข็งค้างเป็นรูปปั้นเรียงรายเบื้องหน้า

    ...ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนเหยียบอยู่บนวงแหวนอักขระเรืองแสงทอง รัศมีกว้างราวครึ่งวา

    เซเรเนี่ยนลุกขึ้นช้าๆ กางแขนออก ท่าทีภูมิใจนำเสนอ

    “นี่ไง เวทมนตร์ ‘กับดักพันธนาการ’ ที่ข้าเพิ่งแนะนำให้รู้จักไป”

    เอกัลตีสได้รู้ว่าหลงกลเด็กหนุ่มอีกแล้ว

    ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่านับแต่มาเผชิญหน้ากัน เซเรเนี่ยนไม่ได้เขยื้อนกายออกจากตำแหน่งเดิม

    เวทกับดักพันธนาการเป็นบทคาถาที่ใช้ตรึงความเคลื่อนไหวต่อผู้ใดก็ตามที่ไปสัมผัส แม้จะมีอานุภาพสูง หากแต่มีขีดจำกัด จำต้องสิ้นเปลืองเวลาชั่วขณะหนึ่งในการร่ายบทคาถาและวาดวงเวทลงอาคมกำกับ ทั้งทำได้แค่วาดวางไว้บนแผ่นพื้น ไม่สามารถโยกย้ายตำแหน่ง ต้องรอให้เป้าหมายมาเหยียบถูกถึงสำแดงผล จึงเหมาะเพียงใช้เป็นกับดักซุ่มโจมตี ไม่เหมาะในการใช้ต่อสู้จริง

    กับดักเวทมนตร์ชนิดนี้ ก่อนที่จะมีใครไปแตะต้อง มันจะถูกอำพรางกับพื้นดิน บดบังจากสายตาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่หากเขาเพ่งสมาธิเวทให้มั่นคง ใช่ว่าจะสัมผัสไม่ได้เอาเสียเลยถึงการคงอยู่ของมัน

    เห็นได้ชัด เขาถูกเซเรเนี่ยนพูดยั่วยุเบนความสนใจไป

    บางที ที่กระอักเลือดล้มทรุดลง นอกจากเพื่อกระตุ้นให้ลงมือโจมตี ยังอาจเป็นการจงใจทำให้พวกเขาประมาทจนลืมระมัดระวัง เดินพลัดตกสู่หลุมพรางด้วยตัวเอง หากการโจมตีเมื่อครู่เขาใจเร็วเข้าร่วมด้วยคงไม่พ้นติดกับ

    ระวังแล้วระวังเล่า สุดท้ายยังคงพลาดท่า

    “สารภาพตามตรง พลังที่ข้ามีเหลือ พอจะใช้ได้แต่เวทมนตร์พื้นๆแบบนี้แหละ”

    จอมเวทชุดขาวทั้งสี่กัดฟันจนขมับโหนกนูน ดิ้นรนพยายามเคลื่อนไหว

    “ไม่ต้องห่วง ลำพังพลังของข้าตอนนี้ ถ้าใช้กับจอมเวทด้วยกัน...โดยเฉพาะจอมเวทระดับสูงอย่างพวกท่าน ข้าหยุดการเคลื่อนไหวได้อย่างเก่งแค่สิบห้านาที”

    เซเรเนี่ยนรีบบอก เหมือนไม่ต้องการให้กลุ่มคนซึ่งตกหลุมกับดักเวทของตนต้องพะวงร้อนใจ

    “แต่เอ...ก็มีเวลาเหลือเฟือพอให้ไอ้พวกที่ท่านเรียกว่าสวะหน้าโง่จะมาถึงล่ะนะ กว่าพวกท่านจะดิ้นหลุดออกมา คงโดนจับมัดเตรียมยัดเข้าซังเตแล้วล่ะมั้ง”

    น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเสียดสีและตลกร้าย ไม่ต่างจากการปลอบประโลมว่าแผลที่ได้รับจะเจ็บแค่มดกัดต่อผู้ที่กำลังจะถูกดาบสะบั้นคอ


    ...................


    เอกัลตีสหนาวสะท้านแผ่นหลังขึ้นมาวูบหนึ่ง

    จอมเวทเฒ่ารู้สึกเหมือนกำลังมองดูคนที่ตัวเองไม่รู้จัก

    เซเรเนี่ยนบุตรชายของจูลดอลเต้ที่เขารู้จักไม่ใช่แบบนี้

    ที่เอกัลตีสตามหาตามล่าคิดกำจัดเซเรเนี่ยน ไม่ใช่เพราะหวั่นกลัวในตัวเซเรเนี่ยน แต่เพียงเพราะกังวลว่าสิ่งที่พ่อของเซเรเนี่ยนทิ้งเอาไว้จะก่อปัญหาตามมามากหลาย เอกัลตีสไม่เคยคำนึงว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะสามารถสร้างความยุ่งยากให้ตนมาก่อน

    ต่อให้ผู้เป็นพ่อนั้นน่ากลัว อย่างไรผู้ที่น่ากลัวคือพ่อของเขา ไม่ใช่เขา เซเรเนี่ยนเป็นลูกชายของจูลดอลเต้ แต่ไม่ใช่จูลดอลเต้ อย่าว่าแต่จูลดอลเต้ตายไปแล้ว

    เซเรเนี่ยนผิดกับพ่อ จูลดอลเต้เปล่งประกายความสามารถอันเปี่ยมล้นตั้งแต่แรกเริ่ม รวมทั้งความทะเยอทะยานอหังการที่ไม่อาจเก็บกักซ่อนเร้น เซเรเนี่ยนกลับไม่มีอะไรโดดเด่นสักอย่าง แสนธรรมดาราบเรียบ ถึงเขาจะมีแววฉลาดเฉลียวเรียนรู้เรื่องต่างๆได้รวดเร็วก็ตาม แต่หากเทียบเคียงกับพ่อยังถือว่าคนละเรื่อง

    ที่สำคัญ เท่าที่เอกัลตีสทราบ เซเรเนี่ยนนิยมเที่ยวเล่น รักสนุก รักอิสระ มักกระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งของพ่ออยู่เนืองๆ

    ในสายตาของเอกัลตีสตอนนั้น เซเรเนี่ยนเป็นแค่เด็กหนุ่มนอกคอกไม่เอาไหนคนหนึ่ง

    บุตรของผู้โง่เขลาอาจมากด้วยปัญญา ในทางตรงกันข้าม ทายาทของอัจฉริยะไม่แน่ว่าจะเป็นอัจฉริยะเสมอไป

    ดังนั้นเอกัลตีสจึงมองข้ามผ่านเลยเซเรเนี่ยน

    ...ตอนนี้ ชายชราได้รู้แล้วว่าควรมองคนคนนี้ใหม่

    เพราะเซเรเนี่ยนไม่เพียงแค่ไม่ใช่ธรรมดา เขายังน่ากลัวกว่าพ่อของเขาเสียอีก

    จูลดอลเต้ พ่อของเซเรเนี่ยนนั้น เป็นจอมเวทผู้เปรื่องปราดถึงขนาดได้รับการกล่าวขานว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่ในรอบร้อยปีจะมีปรากฏสักคน สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ที่จอมเวทโดยทั่วไปต้องใช้เวลาฝึกฝนนับสิบปีได้หมดสิ้นภายในเวลาสามปีเมื่ออายุยี่สิบ มีพลังเทียบเท่าจอมเวทชั้นสูงแปดคนยามที่ย่างเข้ายี่สิบห้า และรู้เจนจบในหลายหมื่นบทคาถาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ

    ตอนนี้เซเรเนี่ยนมีอายุได้สิบห้าปี

    ...ตอนที่จูลดอลเต้อยู่ในวัยสิบห้าปี ยังไม่มีดวงตาคมกล้าเช่นที่เซเรเนี่ยนมี

    ยังไม่มีแรงกดดันที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้


    ...................
  25. basseafood

    basseafood ตั้งได้แค่ 50 ตัวเอง??? น้อยจริง!!!

    EXP:
    698
    ถูกใจที่ได้รับ:
    34
    คะแนน Trophy:
    98
    โอ้ย ฃอบมากๆๆเลยค่ะ เพิ่งมีโอกาสมาอ่านเมื่อสักครู่นี้ อ่านแล้วติดลม >w<

    ชอบค่ะชอบมากๆเลยกับความยียวนของเซเรเนี่ยน

    >w< ความเข้มแข็งของมาเรี่ยนก็ชอบค่ะ

    จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

Share This Page