ปาฏิหาริย์ตำนานเจ้ามนตรา

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย bluemouse, 10 ธันวาคม 2007.

  1. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอบคอมเมนต์

    - คุณ |3assYoncE

    ขอบคุณสำหรับคำชมครับ แหะๆ ^^

    ผู้อ่านทั้งบอร์ดนี้บอร์ดอื่น ส่วนใหญ่บอกว่าชอบเจ้าเนี่ยนหัวแข็งกันทั้งนั้นเลยแฮะ ค่อนข้างผิดคาดอยู่ เพราะเจ้านี่มัน เก๊ก+โม้+โอ่+กวน ตอนแรกเลยนึกว่าจะโดนรุมเหม็นขี้หน้าซะอีก ^^;
    ที่พูดขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหมอนี่หรอกครับ กลับกัน ดีใจหลายๆที่ท่านผู้อ่านชอบ โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็มันส์กับการเขียนตัวละครตัวนี้เอาการทีเดียว (แต่ในชีวิตจริง เกิดไปจ๊ะเอ๋คนแบบนี้เข้า คงไม่ค่อยมันส์เท่าไหร่ :scare: )

    บทนี้ก็จบตอนที่หนึ่งแล้วครับ


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    บทที่ เก้า

    หากว่า...



    ไฟนั้นยังไม่มอดดับ...

    ยังคงลามเลียขยายอาณาเขตต่อไปเรื่อยๆ

    ไฟหายนะขนาดมหึมาที่ลุกไหม้จากตัวเขา

    ไฟที่เขาไม่ได้เป็นผู้จุด

    ...หากแต่เขาจะเป็นผู้ดับมัน


    ...................


    “โทษทีนะ”

    เซเรเนี่ยนหันไปพูดกับมาเรียน

    “คะ?...ว้าย!”

    ก่อนที่จะตั้งตัวทัน เธอก็ถูกเขาโอบรอบเอวด้วยแขนซ้ายหอบขึ้นไว้ข้างลำตัว พากระโดดพุ่งไปบนกิ่งสูงของต้นไม้
    เรียบร้อย

    เซเรเนี่ยนเหลียวหลังมองลงมาที่พวกของเอกัลตีสซึ่งยังยืนเบิกตาค้างอยู่ที่ด้านล่าง

    “ข้าเหม็นขี้หน้าพวกท่านเต็มทีแล้ว ในเมื่อไม่ยอมไปก็ช่างหัวพวกท่านเถอะ ข้าไปเองก็ได้ ขอลาล่ะ” เด็กหนุ่มโบก
    มือพร้อมรอยยิ้มเบิกบานที่กวนโทโสแก่เหล่าผู้มองดู “เกาะให้แน่นๆล่ะ คุณผู้หญิง”

    ว่าจบ เซเรเนี่ยนกระโจนออกไปยังยอดไม้ต้นถัดไปที่ไกลลิบลิ่ว

    “ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย”

    เอกัลตีสยิ่งร้อนรนขึ้นเป็นทวีคูณ

    เพราะทิศทางที่เซเรเนี่ยนมุ่งไปคือแม่น้ำ ทหารจำนวนหนึ่งกำลังดาหน้าตรงมาจากที่นั่น


    ...................

    “อะไรล่ะหือ หรืออยากให้อุ้มสองมือมากกว่า จะได้เหนี่ยวคอข้าได้ถนัดๆ”

    คนถามยังมีอารมณ์จะหยอก ทั้งๆที่เห็นสีหน้าไม่สบายใจของอีกฝ่ายชัดๆอยู่

    คุณหมอไม่ตลกด้วย

    “ไม่ใช่เวลามาพูดล้อเล่นนะคะ” เด็กสาวว่าเสียงเขียวเมื่อได้เห็นรอยยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนที่อุ้ม (หรือเรียกให้
    ถูกคือหิ้ว) เธออยู่ “ท่านยังบาดเจ็บอยู่นะ แบกข้ากระโดดโลดโผนไปมาแบบนี้..”

    “ต่อให้เจ้าบรรยายอาการข้าได้สยองขวัญแค่ไหนก็เท่านั้น อย่าหวังเลยว่าข้าจะยอมปล่อยมือทิ้งเจ้าเอาไว้”

    มาเรียนชะงักงันเมื่อถูกอ่านเจตนาออก

    “..คือ..”

    “ฟังดูที่พูดกันเมื่อตะกี้ก็น่าจะรู้แล้วนี่ ตอนนี้ถ้าเจ้าตกไปอยู่ในมือตาแก่นั่น มันจะใช้เจ้าต่อรองกับพ่อเจ้าทำเรื่อง
    วุ่นวายบ้าบออะไรอีกก็ไม่รู้ อยากให้เป็นอย่างนั้นรึไง”

    “ข้า..”

    “ไม่อยาก” เด็กหนุ่มต่อให้เอง “งั้นอยู่นิ่งๆ อย่าโยเย เดี๋ยวก็จบเรื่องแล้ว”

    “...แต่...มันจะดีหรือคะ ถ้าไปทางนี้ โอกาสที่จะเจอกับพวกทหารเข้ามีสูงไม่น้อยเลย”

    “แน่ล่ะ ข้าตั้งใจไปเจอ ถึงได้มาทางนี้”

    “อย่าลืมสิคะ ท่านเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่านะ!” เธอร้อง “สถานะของท่านยังอันตรายยิ่งกว่าข้าหรือพวกที่ตามเรามา
    อีก”

    “เจ้าก็อย่าลืมสิว่าตัวเองเป็นใคร ข้าหนีบเจ้าเอาไว้ทั้งคนอย่างนี้ พวกทหารนักเวทไม่กล้าทำอะไรผลีผลามหรอก”

    “แต่..”

    เสียงของเธอยังเจือไว้ซึ่งความกังวลบางอย่าง

    เลือดของเซเรเนี่ยนยังหลั่งไหลจากปากแผล ปลิวโปรยหยาดหยดของมันไปตามลม

    “แต่..” เธอพูดได้แค่นั้น เสียงสั่นเครือและเริ่มสะอึกสะอื้น

    “อย่าห่วงเลยน่า ข้าน่ะนอกจากหน้าหนาแล้วยังมีดีที่หนังเหนียวอีกด้วย”

    เซเรเนี่ยนเอ่ย มองตาเธอที่เปียกคลอ เขาดูออก เธอไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพื่อช่วยเหลือตนเองอีก

    “เชื่อเถอะ ข้าไม่มีทางยอมตายง่ายๆหรอก ไม่เด็ดขาด”

    คำของเขาราบเรียบ ทว่าหนักแน่น มุ่งมั่น ถือดีราวกับจะท้าทายต่อทุกอันตรายอุปสรรค

    “เจ้าพูดเองนะ ว่าอยากทำอะไรเพื่อคนที่เสียสละให้เจ้าบ้าง ถ้าอย่างนั้นก็เลิกทำหน้าเหมือนกับเตรียมตัวเตรียมใจ
    พร้อมจะไปตายแบบนั้นสักทีเถอะ ให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองที่พวกเขาช่วยมาให้มากกว่านี้หน่อย ขอแค่มีชีวิตอยู่
    เจ้ายังจะทำอะไรๆได้อีกเยอะแยะ ไม่แค่เรื่องเดียวอย่างที่เจ้าว่าหรอก”

    เขายิ้ม รอยยิ้มที่ให้อ่อนโยน เป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่มาเรียนเคยพบเจอในวัยเด็ก รอยยิ้มที่เธอหวังอยากหยิบยื่น
    ให้ผู้อื่นได้มี รอยยิ้มที่ยินดีต่อการมีชีวิต

    “...ขอบคุณ”

    ขณะที่กล่าว แววตาของเด็กสาวก็ทอความรู้สึกเช่นเดียวกับถ้อยคำนี้

    หากคำตอบที่ได้รับทำเอาความรู้สึกดีๆที่มีจางหาย

    “แหม เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นจูบน่าจะดีกว่านะ”

    มาเรียนค้อนขวับหน้าแดงก่ำจนเซเรเนี่ยนเห็นแล้วหัวเราะร่า

    “มันตลกตรงไหนคะ ท่านนี่ชอบพูดจาแบบนี้เรื่อยเลย”

    “นิสัยเสียประจำตัวน่ะ เห็นคนสวยแล้วมันอดไม่ได้ทุกที” คนพูดว่าได้หน้าตาเฉยไม่มีการละอาย

    เป็นครั้งแรกจริงๆที่คุณหมอนึกอยากทุบคนไข้ของตัวเอง


    ...................


    แสงสว่างส่องวาบขึ้นอีกครา

    อีกคนหนึ่งแล้วที่เหยียบมันเข้า

    เอกัลตีสขุ่นแค้นขบเขี้ยวจนฟันแทบแหลกละเอียด

    ไอ้เด็กนั่นเขียนกับดักบ้าๆนี่เอาไว้เต็มไปหมด พวกเขาต้องคอยระแวงระวังในแต่ละก้าวที่ย่างเหยียบ ทำให้ตามไม่
    ทันมันสักที

    พรรคพวกของเอกัลตีสแต่ละผู้ล้วนหวาดกลัวความผิดและโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดโปง แค่
    คุมสติไม่ให้เตลิดไปกับความร้อนรุ่มก็ยากเย็นมากแล้ว อย่าว่าแต่รวบรวมสมาธิให้มั่นคงเพื่อสัมผัสถึงกับดักเวท
    ตามรายทาง

    จำนวนกึ่งหนึ่งของหน่วยดาราขาวทำเช่นเดียวกันกับเซเรเนี่ยน ใช้วิธีขับพลังผลักดันร่างลอยตัวขึ้นสูง หยั่งเท้าลง
    บนกิ่งใหญ่คาคบไม้ โลดแล่นจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นไล่ตามมาเหนือพื้นดิน แต่พวกเขาก็ยังไม่ปราดเปรียวเท่ากับ
    เซเรเนี่ยนที่เกือบจะกลายเป็นลิงไปเลย

    ด้านประสบการณ์การต่อสู้ หน่วยดาราขาวไม่มีใครด้อยกว่าเซเรเนี่ยน ทว่าหากเอ่ยถึงเรื่องหลบหนี พวกเขาไม่ใช่คู่
    ต่อสู้ของเด็กหนุ่มเซนต์ชาร็อตที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการถูกไล่ล่าตลอดมานับแต่สงครามครั้งใหญ่จบสิ้น

    มิหนำซ้ำ ไล่ตามจากด้านบนใช่ว่าจะไม่มีปัญหา

    เมื่อครู่ก่อนหน้า จอมเวทคนหนึ่งซึ่งรวดเร็วที่สุดในกลุ่มกวดตามจนสามารถประชิดถึงด้านข้างเซเรเนี่ยนกับมา
    เรียนทั้งสอง

    “ถ้าคิดว่าเรามีปัญญาได้แค่วิ่งตามเจ้าต้อยๆบนพื้นดินล่ะก็ ผิดถนัด”

    กล่าวจบ หัวเราะเยาะใส่

    เซเรเนี่ยนยิ้มให้

    “ถ้าคิดว่าข้ามีปัญญาทำได้แค่วางกับดักไว้บนพื้นดินล่ะก็..”

    พูดยังไม่ทันจบ จอมเวทคนนั้นก็ยืนแข็งทื่อคากิ่งต้นไม้ไปแล้ว

    “อย่ามัวแต่ระวังด้านล่าง ลืมระวังด้านบนสิ” เด็กหนุ่มเย้า

    เอกัลตีสนึกสาปแช่ง

    มัวแต่จดจ่อบนพื้นดินจนไม่ทันคิดว่าบนต้นไม้ก็ใช้วางกับดักได้เช่นกัน...

    “หมดแค่นั้นแหละ”

    เซเรเนี่ยนว่าเบาๆ

    “เอ๊ะ คะ?”

    “กับดักที่ข้าวางบนเส้นทาง เมื่อกี้เป็นอันสุดท้าย ข้ารีบบึ่งกลับมาหาเจ้า มีเวลาเขียนทิ้งเอาไว้แค่ไม่กี่จุด ก็นะ อันที่
    จริงไอ้วิชาเวทมนตร์พื้นๆนี่ใช้กับศัตรูหมู่มากยังจัดการไปได้ตั้งหลายคนแบบนี้ก็ไม่เลวแล้ว”

    ปัญหาคือต่อจากนี้ต่างหาก

    ชั่วขณะ ม่านแมกไม้ที่มุมหนึ่งพลันแหวกออก

    สุนัขสีดำตัวหนึ่งทะยานเข้ามา พร้อมลำแสงสามสาย เสียดผ่านศีรษะ ลำตัว และขาซ้ายของเซเรเนี่ยนที่เบี่ยงชัก
    ถลันหลบทันเฉียดฉิว

    เด็กหนุ่มโอบร่างเด็กสาวทิ้งตัวลงสู่พื้น ลำแสงที่สี่ ห้า หก และเจ็ดซึ่งตามมาตวัดขาดไปเพียงปลายผมกับกิ่งไม้

    ที่เคลื่อนใกล้ฉับไวและกรูมาหนุนเนื่องยิ่งกว่าลำแสงทั้งเจ็ด คือเงาร่างหลายสิบสายของคนในเสื้อคลุมสีเทา


    ...................


    “เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต”

    โดยไม่ต้องรีรอ ทันทีที่เด็กหนุ่มปรากฏชัดในสายตา ชื่อของเขาบ้างถูกร้องป่าวด้วยเสียงอันดัง แจ้งเตือนและ
    บอกกล่าวแก่พรรคพวกเพื่อรับทราบทั่วกัน บ้างถูกเอ่ยแผ่วค่อยกับตัวเอง ย้ำชัดให้ตนแน่ใจถึงความจริงแท้ในการ
    ได้พบเจอบุคคลเบื้องหน้า

    “บ้าฉิบ” เคราของเอกัลตีสกระดิกระริก

    ฟีราเคนิสชักนำพวกที่ตามล่าเซเรเนี่ยนมาถึงแล้ว

    หน่วยดาราขาวและทหารนักเวทยืนอยู่คนละฟากของกัน กั้นกลางไว้ด้วยเซเรเนี่ยนและมาเรียน

    เด็กหนุ่มยิ้มแย้มแก่เหล่าจอมเวทผู้ปล่อยคาถาโจมตีใส่ตน

    “หัดระวังบ้างสิพวกท่าน เกิดไปโดนคุณหมอคนสวยเข้านี่เรื่องใหญ่เชียวนา รู้รึเปล่า เด็กผู้หญิงที่อยู่กับข้าคนนี้น่ะ
    เป็นถึง..”

    “เด็กผู้หญิงนั่นเป็นพรรคพวกของมัน! เธอแอบอ้างฐานะทายาทของท่านมูเอราเอลปลิดชีพคนของเราไป จัดการ
    เสียทั้งคู่!!”

    เอกัลตีสตะโกนแทรกขึ้นมาก่อน

    ...ทายาทของมูเอราเอล

    คำคำนี้ยังส่งผลยิ่งกว่าชื่อของเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต

    ความปั่นป่วนสับสนแผ่ขยายออกในหมู่คนที่รายรอบ ประหนึ่งวงระลอกของผิวน้ำที่ถูกทุ่มทิ้งใส่ด้วยหินก้อนเขื่อง

    ลูกสาวของมูเอราเอล ลีเมชน่า...

    เป็นไปได้ว่าที่เซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตมาที่นี่อาจเพราะมีเจตนาลอบสังหารเธอนั่นเอง

    “เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงรึ ท่านเอกัลตีส”

    จอมเวทร่างใหญ่ใบหน้าขรึมเครียดผู้หนึ่งส่งเสียงถามต่อชายชรา

    มาเรียนจำคนคนนี้และกลุ่มจอมเวทที่ด้านหลังเขาได้ พวกเขาคือกลุ่มทหารนักเวทที่เธอได้เจอที่ตลาดหน้าหมู่บ้าน
    เมื่อตอนเช้า

    “ท่านคือ...” จอมเวทเฒ่าย้อนถาม

    “ข้าเป็นหัวหน้ากองทหารนักเวทหนึ่งในยี่สิบสามที่เฝ้ารักษาเขตเมืองรอบนอกแถบนี้ หน่วยของข้าล่วงหน้ามาถึง
    ก่อนและได้ส่งสัญญาณแจ้งไปตามจุดตรวจตราต่างๆแล้ว หน่วยอื่นที่เหลือกำลังเร่งมาสมทบ”

    กำลังมาสมทบ นั่นหมายถึงยังพอมีเวลา

    เฉพาะเท่าที่อยู่ตรงนี้ คะเนดูมีประมาณสามสิบถึงสี่สิบคน หากแม้นเกิดเรื่องจวนตัวจริงๆยังไม่ใช่จำนวนที่ยากเกิน
    พวกตนจะจัดการ

    เอกัลตีสใคร่ครวญแล้วเริ่มเห็นทางรอดรำไร

    “ข้ากลับมาจากภารกิจที่อิคาตาร์” ชายชรากล่าว “ระหว่างทางได้ทราบเรื่องการตามล่าเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต จึง
    รีบเดินทางมาเพื่อช่วยเหลืออีกแรง...และเป็นการบังเอิญที่ได้พบเห็นเหตุการณ์ ข้าเจอกับฮันน์ หัวหน้าหน่วยอาญา
    สวรรค์ ได้รับฟังคำบอกเล่าก่อนที่จะเสียชีวิตของเขา... พวกเขาได้รับคำสั่งให้มาตามหา คุ้มครองส่งท่านทายาท
    กลับสู่ที่ปลอดภัย แต่...

    “ฮันน์บอกกับข้าว่าเด็กสาวผมทองคนนี้ใบหน้าละม้ายกับลูกสาวของท่านมูเอราเอล เขาเข้าใจผิดว่าใช่ เลยพลั้ง
    เผลอถูกตบตาลอบทำร้ายเอาได้

    “พวกเขา... ข้ามาสายเกินไป... เมยานู รองหัวหน้าของอาญาสวรรค์กลับกลายเป็นไส้ศึกที่จูลดอลเต้วางเอาไว้ใน
    ฝ่ายพันธมิตรเรา เธอกับเซเรเนี่ยนร่วมมือกัน พวกเขาไม่ทันตั้งตัว และไม่คาดคิดว่าจะโดนพวกเดียวกันแว้งกัด...
    เป็นเหตุให้พลาดท่าเสียชีวิตหมดสิ้น”

    ไม่ว่าอย่างไร มีไม่กี่คนที่เคยพบเห็นมาเรียน ลีเมชน่า ทายาทคนเดียวของมูเอราเอล จอมเวทเฒ่าได้อาศัยข้อนี้
    ฉกฉวยโอกาสปั้นน้ำเป็นตัวหลอกลวง

    ทหารนักเวททั้งหมดตกตะลึงหนักหันไปมองหน้ากันวุ่นวาย เรื่องราวมิได้รวบรัดง่ายดายเสียแล้ว ซ้ำยังใหญ่โตกว่าที่
    คิดไว้มากมายหลายเท่า ขนาดเกี่ยวโยงถึงเรื่องคนทรยศของพันธมิตรผู้คุมกฎ

    “อย่างนั้น ท่านทายาทตัวจริง...” จอมเวทหัวหน้าหน่วยรีบถาม

    “ข้าไม่ทราบ ผู้ที่ทราบคงมีเจ้าเด็กเซเรเนี่ยนที่วางแผนร้ายนี่กับเด็กสาวพรรคพวกของมันคนนี้ อา... ได้แต่หวัง
    ภาวนาว่าเธอยังปลอดภัยดี”

    เอกัลตีสทำสีหน้าวิตกเศร้าสร้อย เหมือนชายแก่ที่ลูกหลานถูกฆ่าล้างครอบครัวมาหมาดๆ

    “จิ้งจอกเฒ่าเอ๊ย”

    เซเรเนี่ยนค่อนแคะ

    คำพูดขุ่นเคือง แต่มาเรียนเห็นเด็กหนุ่มยิ้ม

    เด็กสาวออกจะทึ่งมากมายอยู่ที่ถึงขั้นนี้แล้วเซเรเนี่ยนยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ไม่มีขาดหาย สิ่งใดกันที่
    ทำให้เขายังมั่นใจได้ขนาดนี้

    ความทึ่งดังกล่าวมีอันต้องลดวูบลงกว่าครึ่งเมื่อเซเรเนี่ยนกระซิบบุ้ยใบ้กับเธอ

    “เฮ่ คุณหมอ ตอนนี้เอาออกมาได้แล้วล่ะ”

    “เอ๋? อ..เอาอะไรคะ”

    “จะอะไรล่ะ ก็หลักฐานที่ใช้แสดงถึงฐานะทายาทมูเอราเอลของเจ้าไง”

    “หลักฐาน...เหรอคะ” มาเรียนอึกอัก “คือ...”

    คำตอบหลังจากนั้นถูกเก็บไว้ในลำคอ

    เซเรเนี่ยนชักตงิดๆถึงลางร้ายและความผิดปรกติในน้ำเสียงเจ้าหล่อน “เฮ่ๆ นี่อย่าบอกนะว่า..”

    พอเห็นอาการอ้ำอึ้งอมพะนำกับรอยยิ้มแห้งสนิทของเธอแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้เลย

    ไม่มี

    ความเยือกเย็นของเซเรเนี่ยนระเหยเหือดหายวับไปพร้อมๆกับความทึ่งที่เหลืออยู่ของมาเรียน

    “นี่ๆ ลองคิดดูให้ดีๆอีกทีนา มันน่าจะมีสักอย่างล่ะน่าที่เจ้าใช้ยืนยันว่าตัวเองเป็นใครได้น่ะ จะเป็นแหวนเจ้าคุณปู่
    หรือจี้เจ้าคุณย่าอะไรก็ได้ เอาออกมาเหอะ” เด็กหนุ่มละล่ำละลัก กระซิบปนตะโกน

    ทายาทคนสำคัญปั้นหน้าละห้อย

    “ตอนที่หลบหนีออกมาคราวนั้น ข้าไม่ได้พกพาอะไรที่เป็นของของพ่อมาเลยค่ะ”

    เซเรเนี่ยนก็ทำหน้าไม่ต่างจากคนป่วยหนัก

    บรรลัยล่ะ


    ...................


    “เลวนัก! ไอ้เด็กนี่”

    ทหารนักเวทหลายคนตวาดอย่างกราดเกรี้ยว

    “พวกเซนต์ชาร็อตมันสามานย์ทุกตัว โทษกบฏหัวจะหลุดจากบ่ารอมร่อดูท่ายังไม่สาใจ กล้าบังอาจขนาดปองร้าย
    ท่านทายาท”

    “แล้วรู้ไหมเล่า ตาแก่ที่ตรงหน้านี่ต่างหากล่ะโว้ย เป็นหนอนบ่อนไส้จากเซนต์ชาร็อตของแท้ไม่เทียมที่พวกท่าน
    กำลังควานหาเอาเป็นเอาตายอยู่ตอนนี้ หลักฐานมีอยู่นี่ไง!”

    เซเรเนี่ยนไม่ยอมเสียเปรียบ ชี้หน้าเอกัลตีส ชู ‘บันทึกความผิด’ ขึ้นเด่นเหนือศีรษะ

    เอกัลตีสกลับยิ้ม

    เจ้าหนูนี่หลอกต้มเขาจริงๆ

    หากที่อยู่ในมือเซเรเนี่ยนเป็นหลักฐานที่สามารถเอาผิดได้จริง เด็กหนุ่มคงโยนมันไปให้พวกทหารนักเวทเปิดดูโดย
    ไม่รีรอแล้ว จะเสียเวลาชักออกมาขู่ทำไม

    บ้าเอ๊ย...

    เซเรเนี่ยนสบถในใจ เขาเองก็รู้อยู่เต็มอก แต่ไม่มีทางเลือก นอกจากใช้เจ้าบันทึกเก๊ๆนี่ประวิงเวลาไปก่อน

    ทำไงดีวะ

    ในระหว่างที่สมองกำลังขบคิดหาหนทางอุตลุด เอกัลตีสจงใจพูดขึ้นเพื่อทำลายสมาธิเขา

    “อย่าได้ฟังที่พวกมันโป้ปด หากเด็กสาวผู้นี้เป็นทายาทของท่านมูเอราเอลจริง จะไปยืนอยู่ข้างกายเซเรเนี่ยน เซนต์
    ชาร็อตได้ยังไง ท่านมูเอราเอลเป็นคนปลิดชีพโจรกบฏจูลดอลเต้ด้วยตัวเอง เซเรเนี่ยนมีเหตุผลมากมายที่จะฆ่าเธอ
    แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องช่วยเธอ

    “หากข้าเป็นไส้ศึกของจูลดอลเต้ตามที่มันกล่าวหา ข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้...ตำแหน่งซึ่งตรงข้ามกับเซเรเนี่ยน เซนต์
    ชาร็อต ร้องบอกให้จับกุมเขาทำไม ข้าควรจะให้การช่วยเหลือเขาในฐานะที่เป็นฝ่ายเดียวกันมิใช่หรือ”

    จอมเวทชรายังอ้างเอ่ยอีกต่างๆนานา ในสิ่งซึ่งทำให้ตัวเขาน่าเชื่อถือ และทำให้เซเรเนี่ยนกับมาเรียนนั้นกลายเป็น
    พรรคพวกของกบฏร้ายที่ควรกำจัดเสีย

    มาเรียนเองแม้พยายามชี้แจงบอกเรื่องของเซเรเนี่ยน พูดความจริงที่เกิดขึ้นโต้แย้งกับเอกัลตีส แต่เนื่องด้วยเหล่า
    ทหารนักเวทบางคนนั้นติดใจสงสัยในตัวเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากเหตุการณ์ที่ตลาด คำของเธอจึงไม่บังเกิดผล
    โน้มน้าวเท่าใด นอกจากนี้ การใช้เล่ห์ลิ้นตีหน้าซื่อ มาเรียนไม่มีทางเทียบเทียมเอกัลตีสได้โดยเด็ดขาด ยิ่งเธอให้
    การปกป้องเซเรเนี่ยนแบบนี้ยิ่งพ้องหนักข้อกับคำกล่าวของเอกัลตีส

    สถานการณ์ของเซเรเนี่ยนและมาเรียนแย่ลงทุกทีๆ และอาจถึงขั้นเลวร้าย

    ถ้าเสียงหนึ่งจะไม่ดังขึ้น

    “เดี๋ยวก่อน”


    ...................


    ผู้ที่ร้องขัดคือจอมเวทหนุ่มดวงตาเรียวแหลมหน้าตาคดโกงซึ่งเผชิญหน้ากับมาเรียนที่ลานหินกลางตลาดคน
    นั้น


    มาเรียนจะเป็นพวกเดียวกับเซเรเนี่ยนหรือไม่ จะใช่หรือไม่ใช่ทายาทของท่านมูเอราเอล เรื่องเหล่านั้นแทบไม่ได้
    อยู่ในหัวเขาเลย

    ที่ชายตาเรียวแหลมคิดคือ เมื่อเช้านี้แม่คุณหมอเด็กเปี๊ยกนี่ทำเขาเสียหน้า...

    ชายตาเรียวแหลมแม้ไม่ได้นึกเคืองแค้นอะไรมาเรียน แต่จะอย่างไรห้ามไม่ได้ที่จะคิดเล็กคิดน้อยอยู่บ้าง

    เขาก็เป็นเช่นชายหนุ่มทั่วไป มักรู้สึกเหมือนถูกลูบคมเวลาที่เสียเชิงให้เพศตรงข้าม โดยเฉพาะนี่เป็นแค่เด็ก
    ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง

    ดังนั้นเขาจึงไม่รอรีที่จะอวด (ฉลาด) ให้พรรคพวกเห็นว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา ที่เถียงแพ้เด็กสาวไปเมื่อตอนเช้านั่น
    เพราะเขาไม่อยากเอาเรื่องเด็กหรอก

    อีกทั้งถ้าช่วยแก้ต่างให้เธอได้ ถือเป็นการหักล้างข่มทับกับเรื่องที่เธอมาวางท่าตักเตือนเขาด้วย แสดงให้เธอได้
    สำนึกโดยกลายๆว่าเขานั้นเหนือกว่า เธอยังเป็นเด็ก ถึงที่สุดเวลาเดือดร้อนยังต้องพึ่งพาเขาที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ดี

    ชายหนุ่มคิดแปลกๆได้ดังนี้แล้วจึงเดินกร่างออกมาเบื้องหน้า

    “ข้าเชื่อว่าเธอ..”

    เขาวาดนิ้วชี้ไปยังมาเรียน

    “ไม่ใช่คนร้าย”

    “ ‘ไม่ใช่คนร้าย’ ที่ท่านว่าหมายถึง?” เอกัลตีสถาม ประหลาดใจเล็กน้อยที่จู่ๆมีคนเข้ามาขัดจังหวะ

    “เธอไม่ใช่พวกเดียวกับเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อต” ชายหนุ่มบอก

    จอมเวทเฒ่าชักสีหน้า

    “ท่านไม่เห็นรึว่าเธอให้การปกป้องเซเรเนี่ยน เซนต์ชาร็อตลูกกบฏเสียขนาดนั้น”

    “การที่ต้องพูดจาเข้าข้างเซเรเนี่ยน เธออาจจะถูกขู่บังคับให้ทำด้วยวิธีการอะไรสักอย่างก็ได้” ชายหนุ่มขยิบตา
    เดาะลิ้น แล้วชี้นิ้วไปที่เด็กสาวอีกรอบ คราวนี้ชี้ทั้งสองมือ “ถ้าพวกท่านมีความช่างสังเกตอย่างข้าจะเห็นว่าเธอไม่
    กล้าเดินออกห่างจากตัวเซเรเนี่ยนเลยสักก้าว ดูสิๆ”

    ที่มาเรียนยืนไม่ห่างจากเด็กหนุ่มเพราะต้องคอยพยุงเขาไว้ไม่ให้ล้มลงไปต่างหาก

    เอกัลตีสแทบควันออกหู แต่ยังทำทีถามต่อ

    “ท่านเชื่อว่าเธอไม่ใช่คนร้าย และไม่ใช่พวกเดียวกับเซเรเนี่ยน อย่างนั้นทำไมเธอต้องใส่ร้ายว่าข้าเป็นไส้ศึกของ
    เซนต์ชาร็อต หรือนั่นเธอก็ถูกบังคับด้วยงั้นรึ ข้ายังเห็นกับตาว่าเธอร่วมมือกับเซเรเนี่ยน เอาชีวิตคนของพันธมิตรเรา


    หรือท่านจะบอกว่าข้ากล่าวเท็จหรือไร”

    “อันนี้ข้าไม่ทราบ”

    ชายชราถามยืดยาว แต่ชายหนุ่มตอบสั้นๆทำไม่รู้ไม่ชี้หน้าตาเฉย

    หากไม่ใช่เพราะการลงมือจะเป็นการมัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุดจากข้อกล่าวหา จอมเวทชราคงสังหารชายหนุ่มตา
    เรียวแหลมคนนี้ทิ้งไปแล้ว

    ชื่อเสียงของเอกัลตีสนั้นโด่งดังก็จริง แต่ทหารนักเวทในบริเวณเป็นเพียงระดับล่างที่ประจำอยู่นอกเนิร์ฟเธนมาเป็น
    เวลานาน เรื่องบางเรื่อง คนบางคน ย่อมไม่รู้เสียหมด นอกจากหัวหน้าร่างใหญ่แล้ว คนอื่นๆไม่มีใครล่วงรู้ว่าเอกัลตี
    สมีฐานะเป็นถึงหัวหน้าหน่วยลับระดับสูงของพันธมิตรผู้คุมกฎ พวกเขาเห็นผู้เป็นหัวหน้าของตนให้ความยำเกรงแก่
    จอมเวทชราชุดขาวผู้นี้ก็พอเดาได้ว่าเอกัลตีสคงเป็นคนที่มีตำแหน่งสำคัญ จึงพากันให้ความนอบน้อมไม่กล่าวโต้แย้ง


    เว้นแต่ชายตาเรียวแหลมเท่านั้นที่ไม่ได้สังเกต

    เขานึกไปว่าชายชราเป็นแค่จอมเวทแก่ๆหูตาฝ้าฟางที่บังเอิญผ่านมาประสบพบเหตุ ดังนั้นคำพูดคำจาไม่มีการ
    เกรงอกเกรงใจ

    “เมื่อเช้าที่ตลาดทุกคนก็ได้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ายายนี่...เอ้ย...เธอคนนี้เป็นศัตรูกับพันธมิตรผู้คุมกฎ ทำไมเธอ
    ต้องออกหน้าไกล่เกลี่ย ยืนเฉยปล่อยให้เราบาดหมางกับพวกชาวบ้านไปเสียไม่เป็นการดีกว่าหรือ

    “เธอปกป้องชื่อเสียงของพันธมิตรผู้คุมกฎ และยังเสริมช่องทางแก่หัวหน้าของเราในการเกลี้ยกล่อมคนของหมู่บ้าน
    ให้ช่วยกันตามจับเจ้าเด็กตระกูลเซนต์ชาร็อตอีกด้วย แล้วแบบนี้เธอจะเป็นพวกเดียวกับมันได้ยังไง”

    ชายตาเรียวแหลมกล่าวจบยืดอกอย่างภาคภูมิ หันมามองมาเรียนด้วยมาดเขื่องโข คล้ายดั่งตัวเองเพิ่งได้คลี่ไข
    ปริศนาสำคัญอันเป็นสิ่งฉายชัดถึงความปราดเปรื่องของตนก็ไม่ปาน

    หากไม่นับว่าเรื่องที่ชายหนุ่มพูดมาเป็นการตำหนิพฤติกรรมนักเลงของเขาเองทางอ้อมโดยเจ้าตัวไม่ทันได้รู้สึกเลย
    สักนิดแล้ว พรรคพวกของเขารวมทั้งหัวหน้าร่างใหญ่อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าชายตาเรียวแหลมกล่าวได้อย่างฉะฉาน
    มีชั้นเชิง ราวกับว่าอยู่ๆหัวก็กลายเป็นแหลมเหมือนดวงตาขึ้นมาโดยกะทันหัน ทั้งใจความของมันก็มีเหตุมีผลไม่
    น้อยทีเดียว

    เซเรเนี่ยนฟังแล้วผิวปากหวือ

    “โฮ่ เจ้านี่เก่งไม่เบาเลยนะเนี่ย คุณหมอ”

    มาเรียนอึ้งจนลืมตอบ

    อันที่จริง การที่เธอไปขวางเขาเอาไว้ที่ตลาดก็ไม่ได้มีเจตนาลึกซึ้งอะไรถึงเพียงนั้น ตอนนั้นที่พูดออกไปเพียง
    เพราะต้องการเตือนให้ฉุกคิดถึงโทษของการผิดกฎ และเพื่อหาทางผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทหารนัก
    เวทกับพวกชาวบ้านเท่านั้นเอง

    ตอนที่ชายตาเรียวแหลมก้าวออกมา เธอยังกลัวว่าอีกฝ่ายจะขุ่นเคืองกับเรื่องเมื่อเช้าจนคิดสนับสนุนเอกัลตีสให้หัว
    หน้าจับตัวเซเรเนี่ยนกับเธอรึเปล่า

    โชคดีที่ไม่ และโชคดียิ่งกว่าที่คำพูดส่งเดชของเขาได้ผล

    หัวหน้ากลุ่มร่างใหญ่ทำท่าขบคิดไตร่ตรอง ที่ลูกน้องของเขาพูดถึงจะเรื่อยเปื่อยเลอะเทอะอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ไม่มีมูล

    เซเรเนี่ยนไม่รอช้า รับช่วงต่อทันที

    “แย่แล้วล่ะ ทำไงดีครับ ท่านเอกัลตีส”

    “หา?” จอมเวทชรางง อยู่ดีๆไอ้เด็กนี่ดันมาถามเขาจะเอายังไง แถมเรียกเขาเสียสุภาพ

    “ตอนแรกหลงนึกว่าจะหลอกไอ้เจ้าพวกนี้ให้ตายใจ ท่านจะได้ฉวยโอกาสเหมาะลงมือเก็บพวกมันทีเผลอ จากนั้น
    ค่อยเอาตัวลูกสาวของมูเอราเอลหนีไปแล้วเชียว ทำไงดี”

    เด็กหนุ่มครวญครางตัวสั่นสมจริง พร้อมกับช่วยอธิบายแผนการของเอกัลตีสเสร็จสรรพ

    “แก...”

    เอกัลตีสโกรธแค้นจนนึกคำด่าไม่ออก ไม่แค่เปิดโปงความคิดของเขา มันยังจัดแจงยกเขาเป็นพวกเดียวกัน ยัด
    เยียดเรื่องเดือดร้อนแถมมาให้

    การใช้เล่ห์ลิ้นตีหน้าซื่อ มาเรียนไม่มีทางเทียบเทียมเอกัลตีสได้โดยเด็ดขาด และขณะเดียวกัน เอกัลตีสก็ไม่มีทาง
    เทียบชั้นกับเซเรเนี่ยนได้อย่างแน่นอนเช่นกัน

    “ฮ่าๆ ดูสิ หัวหน้า ชัดเลยคราวนี้ ที่แท้มันกับตาแก่นี่เป็นพวกเดียวกัน แต่ทำเป็นเล่นละครกัดกันเองกะอาศัยช่วง
    ชุลมุนดอดหนี ไอ้หนูนี่ทึ่มชะมัดยาด ดันคายออกมาเองซะหมด” ชายตาเรียวแหลมหัวเราะร่วนชี้หน้าใส่เซเรเนี่ยน

    “คร้าบ คร้าบ ยกให้เลย แกฉลาด”

    คนถูกชี้ว่าเบาๆแล้วรีบกวาดแขนรัดคอมาเรียน ดึงตัวเธอเข้ามา

    “ร้องออกมาสิ ดังๆเลย” เซเรเนี่ยนขมุบขมิบปากบอกคุณหมอที่กลายเป็นยืนเป๋อ

    “ร้อง? ร้องอะไรคะ”

    “ ‘ช่วยด้วยค่า’ น่ะ ร้องเซ่ กรี๊ดก็ได้”

    “......”

    “เร็วๆซี่”

    “ช..ช่วย...ช่วยด้วย ......กรี๊ด”

    ความที่ไม่เคยเสแสร้งเรื่องทำนองนี้ เสียงของมาเรียนฟังดูเหมือนกำลังจามมากกว่าจะร้องให้ช่วยเหลือ

    เซเรเนี่ยนทำหน้าเหนื่อยใจ

    อย่าแค้นกันล่ะ

    เขายื่นหน้าเข้าไปเอาปลายจมูกไล้กับหลังคอของเธอเบาๆ

    “ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!! ท่าน...ท่าน...ท่านจะทำอะไร!?”

    “เออ ใช้ได้”

    เสียงกรีดร้องของมาเรียนช่วยเร่งเร้าทหารนักเวททุกคนในบริเวณให้ตื่นตัวโดยพลัน

    เด็กหนุ่มคว้าร่างเด็กสาวขึ้นหิ้วอีกครั้ง เท้าออกวิ่ง ปากอ้าตะโกนลั่น

    “เอกัลตีส เราต้องรีบพาลูกสาวของมูเอราเอลไปแล้วล่ะ ท่านช่วยระวังหลังให้ข้าด้วย”

    เอกัลตีสเบิกตาโพลง

    ไอ้เด็กเปรต...

    “ไม่ต้องมัวขบคิดมากความแล้ว หัวหน้า” ชายตาเรียวแหลมลุกลี้ลุกล้นกล่าว “ถ้ามัวร่ำไร ยายหนูนั่น...เอ่อ...ท่าน
    ทายาทจะเป็นอันตรายนะ”

    ที่จริงชายหนุ่มยังไม่ปักใจเชื่อนัก แต่เขาก็เปลี่ยนเป็นเรียกเธอว่าท่านทายาทไว้ก่อน เผื่อว่าในกรณีที่ใช่ เขาจะได้
    ไม่โดนลงโทษฐานเสียมารยาทในภายหลัง

    “หลีกไป ไม่งั้นแม่นี่ตายแน่”

    เซเรเนี่ยนขู่แกมสั่งทหารนักเวทที่ปิดกั้นเส้นทาง...มือที่ว่างลูบคลำข้างแก้มของเด็กสาว

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!”

    เสียงหวีดหวาดกลัวของมาเรียนทำให้ไม่มีใครกล้าขวาง ด้วยเกรงเธอ (ซึ่งจาก ‘พรรคพวกของลูกกบฏ’ กลายเป็น ‘
    ทายาทคนสำคัญ’ ไปแล้ว) จะได้รับอันตรายหากไม่ทำตามคำขู่

    เอกัลตีสและหน่วยดาราขาวได้แต่ยืนดูเซเรเนี่ยนอุ้มมาเรียนวิ่งจากไป

    เพราะทหารนักเวทอีกส่วนหนึ่งห้อมล้อมเขาและสมุนไว้

    ชายชราจดจ้องหัวหน้าหน่วยที่เป็นคนออกคำสั่ง

    “หมายความว่ายังไง”

    จอมเวทร่างใหญ่ตอบคำถามเสียงหนักแน่น

    “เด็กสาวคนนี้จะใช่ทายาทของท่านมูเอราเอลจริงและท่านจะมีความผิดดังที่ต้องสงสัยหรือไม่นั้น ก่อนที่เรื่อง
    ทุกอย่างจะกระจ่าง เราจำเป็นต้องขอควบคุมตัวท่านไว้ รอให้สี่ผู้เฒ่ามาตัดสินความ”

    หากรอถึงตอนนั้น ถึงไม่มีหลักฐานชี้ชัดความผิดเป็นชิ้นเป็นอันใด เพียงคำพูดของมาเรียนก็เพียงพอที่มูเอราเอ
    ลจะกุดหัวเขาโดยไม่ต้องพินิจพิจารณาแล้ว

    และก่อนที่จะได้นึกหาข้ออ้างกลบเกลื่อน ข้อความหนึ่งกลับถูกเอ่ยขึ้นตัดหน้าเขา

    “ข้ามิได้สมคบคิดกับเอกัลตีส ข้าทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น”

    ชายชราอ้าปากค้าง

    ผู้ที่เอ่ยเป็นจอมเวทคนหนึ่งในหน่วยของเขานั่นเอง

    เอกัลตีสนั้นเหลือโอกาสพลิกสถานะน้อยนิดเต็มที พรรคพวกของจอมเวทเฒ่าทราบได้โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก
    หากยังไม่ทำอะไรสักอย่างรังแต่จะถูกฉุดลากไปสู่จุดจบ บุคคลที่นกรู้จึงรีบโยนความผิดให้พ้นตัว

    เมื่อมีคนแรกย่อมมีคนที่สอง และที่ถัดไปตามมา

    “ข้าหาใช่พวกพ้องของมัน”

    “ข้าถูกมันขู่เข็ญ ข้าไม่มีทางเลือก ต้องกระทำเรื่องเลวทรามทั้งที่ใจเจ็บปวด”

    “ข้าภักดีกับท่านมูเอราเอลเสมอมา ข้าจำยอมอยู่ใต้อำนาจมัน เพื่อรอโอกาสนี้ที่จะเปิดโปงความชั่วร้ายของมันให้
    ประจักษ์”

    ผองจอมเวทชุดขาวซึ่งเคยอยู่ใต้บัญชาเขา ที่หวังเอาตัวรอดชี้หน้าก่นด่าเขา ถึงกับหันอาวุธใส่เขา ฟาดฟันโดยไม่
    ลังเล ที่ตระหนักดีว่าหาทางกลบเกลื่อนแก้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ตีฝ่าวงล้อม แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปคนละทิศ

    “อภัยด้วย ถึงขั้นนี้ เราต่างคนต่างเอาตัวรอดเถอะ”

    “พวกเจ้า..”

    เขาที่เคยแต่ทรยศใช้ประโยชน์จากผู้อื่น ยามนี้กลับเป็นฝ่ายโดนหักหลัง เอกัลตีสรู้สึกเหมือนมีตะกอนแข็งจุกลำคอ
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

    เมื่อเป็นแบบนี้ตนมีเพียงทางเดียว คือชิงลูกสาวของมูเอราเอลมาให้ได้

    เอกัลตีสร่ายอาคมกระแทกทหารนักเวทที่ดาหน้าเข้ามาสามคนแตกกระเด็น จากนั้นแล่นปราดไปทางที่เซเรเนี่ย
    นกับมาเรียนหนี หวังจะไล่ล่าให้ทัน

    หากชายชราก็ไม่อาจไล่ตามเด็กทั้งคู่ได้ดังใจ เพราะทหารนักเวทคนอื่นๆถลันเข้ามาขัดขวางไม่ให้ไปต่อได้

    หัวหน้าหน่วยร่างใหญ่ชั่งน้ำหนักเห็นว่า เซเรเนี่ยนแม้เป็นบุตรชายของจูลดอลเต้แต่ด้วยอายุที่เยาว์วัยเพียงนั้นคงไม่
    ยากเกินสยบ ส่วนมาเรียนที่ถูกคร่ากุมยังมีประโยชน์ในฐานะตัวประกัน ก่อนที่จะหนีพ้นเซเรเนี่ยนน่าจะยังไม่ทำ
    อะไรกับเธอ อีกทั้งหน่วยอื่นที่รุดมาต้องไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มหลุดรอดออกจากป่าได้แน่ ที่เซเรเนี่ยนหลบลี้ไปโดยทิ้ง
    เอกัลตีสไว้ข้างหลังคงตั้งใจแบ่งแยกคนของเขาเป็นสองส่วน ถ้าไล่ตามไปถือว่าเข้าแผนอีกฝ่าย ควรทุ่มเทกำลังทั้ง
    หมดล้มเอกัลตีสที่ฝีมือร้ายกาจที่สุดให้ได้เสียก่อน

    “ดีเลย อย่างนั้นล่ะ เอกัลตีส ท่านนี่พึ่งพาได้มากจริงๆ กำจัดพวกมันให้เกลี้ยงเลยนะ”

    เซเรเนี่ยนเหลียวหลังว่ากลับไป เขาที่ไร้ซึ่งคนติดตามยับยั้งเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นลดเลี้ยวไปตามป่าดงคดเคี้ยวทิ้ง
    ห่างออกมา

    “ตลกดีแฮะ ทีแรกต้องการตัวเจ้าเอามากๆถึงขนาดวางแผนจ้างคนมาลักพาตัวให้วุ่นวาย จู่ๆเปลี่ยนมาบอกว่าจะ
    กำจัด ตามไล่ฆ่าหูดับตับไหม้ แล้วนี่ก็กลับมาอยากได้ตัวเจ้ายิ่งกว่าใครในโลกอีกรอบแล้ว ตาเฒ่าหัวงูนี่ใจโลเลชะ
    มัดเลยเนอะ ว่าไหม”

    คุณหมอไม่ตลกด้วยเช่นเคย


    ...................
  2. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    “เอกัลตีส รามือรับการจับกุมซะ”

    ทหารนักเวทที่กลุ้มรุมจอมเวทเฒ่าร้องบอก

    ที่คืนกลับมาไม่ใช่คำตอบรับยอมจำนน

    อาวุธในมือจอมเวทชราแปรสภาพเป็นดาบเล่มใหญ่

    เสียงเสียดอากาศกระหึ่มขึ้นอย่างแหลมคมทิ่มแทงเข้าโสตประสาทหู

    เซเรเนี่ยนต้องหันกลับไปดูอีกครั้ง และเมื่อได้เห็น เขารีบเลื่อนมือปิดตามาเรียนไม่ให้มอง

    “...บ้าน่า”

    เพียงดาบเดียว ทหารนักเวทสิบคนไม่หลงเหลือศีรษะไว้บนบ่า

    ที่หลงเหลือต่างถูกบีบให้ถอยกรูดไปตั้งหลัก สีหน้าแววตาแต่ละคนเปลี่ยนเป็นขลาดเขลาและไม่อยากเชื่อ

    ...เซเรเนี่ยนได้รู้แล้วว่าเขามองข้ามเรื่องสำคัญยิ่งยวดบางอย่าง

    ก่อนหน้าที่จะได้เผชิญกัน เอกัลป์ตีสดูแคลนความสามารถของเขา

    เขาเองก็ประเมินฝีมือของเฒ่าชราผู้นี้ต่ำเกินไป


    ...................


    ต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบขาดกลางหักโค่นพังทลายเป็นแนวยาวทอดตามทาง

    มาเรียนไม่เคยผ่านแถบนี้จึงไม่อาจบ่งบอกเส้นทางที่ควรไป การหลบหนีช้าลง ตรงข้ามกับพื้นดินที่เดินอยู่ซึ่งก้าว
    ย่างได้ลำบากขึ้น ลาดเอียงและชันขึ้น

    พวกเขาถูกไล่ต้อนถอยมาบนที่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

    “อุ๊บ”

    เซเรเนี่ยนกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าซีดจนขาวโพลน

    “แผลของท่าน..” มาเรียนดูจะกังวลกว่าเขาที่เป็นเจ้าของแผลเสียอีก ริมฝีปากเธอสั่นระริกยามกล่าวกับเขา “ปล่อย
    ข้าลง แล้วรีบหนีไปเถอะ”

    เซเรเนี่ยนเขกหัวมาเรียนทันที

    “ยายเด็กความจำสั้นนี่ เพิ่งบอกไปหยกๆว่าอย่าพูดไร้สาระแบบนี้อีก”

    “หรืออย่างน้อย ท่านให้ข้าเดินเอง..”

    “เจ้าวิ่งทันข้ารึไง หรือมั่นใจว่าวิ่งได้เร็วกว่าตาแก่เอกัลตีสงั้นเหรอ หือ?”

    ถึงบาดเจ็บก็ตามที แต่เขาที่เป็นจอมเวทย่อมเคลื่อนไหวได้ว่องไวกว่าเธอที่เป็นคนธรรมดา

    “ไม่ต้องกลัว ข้าแรงยังดีไม่มีตก กะอีแค่เสียเลือดจิ๊บจ๊อย ข้าไม่..”

    เมื่อตัดฝ่าแนวไม้ออกมา ภาพที่เห็นทำเอาเซเรเนี่ยนเกือบทรุด

    เบื้องหน้าเป็นท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆขาวลอยล่อง มองไปเห็นขุนเขาและผืนป่ากว้างไกลสุดสายตา

    มันก็คงจะงดงามดีอยู่หรอก ถ้ามีทางให้เขาวิ่งควบคู่ขนานไปด้วย

    ที่เซเรเนี่ยนกับมาเรียนยืนอยู่คือริมขอบของหน้าผาสูงชันที่สุดก้นยังอาจลึกยิ่งกว่าหุบเหวที่เขากระโดดเมื่อคืนเสียอีก

    ลมเบื้องล่างตีขึ้น พัดจนผมเผ้าชายเสื้อคลุมปลิวสะบัด

    “ให้มันได้งี้สิ” เด็กหนุ่มโอดครวญขมขื่น “ดวงข้าช่วงนี้นี่เจอแต่ทางขาดแฮะ”

    คิดหันกลับก็สายเกิน เสียงคำรามลั่นของเอกัลป์ตีสไล่ตามมาแล้ว

    “ชิ” เซเรเนี่ยนย่อตัวลง ขีดเขียนเวทกับดักพันธนาการลงบนพื้นเบื้องหน้าอย่างเร่งรี่

    เส้นล้อมของวงอาคมบรรจบกันเสร็จสิ้นพร้อมกับที่เอกัลตีสโผล่ออกมา

    ผมเผ้าของเขายุ่งเยิน เสื้อคลุมสีขาวขาดวิ่นด้วยการสู้ศึกและไม้เกี่ยว ใบหน้าเคียดขึ้งดุร้าย ไม่เหลือเค้าชายชราชุด
    สะอาดมากรอยยิ้มอีก

    คมหอกแปดเปื้อนเลือดแดงฉาน ในมือเอกัลตีสลุกโชนซึ่งดวงแสงทำลายล้าง

    เด็กหนุ่มเหงื่อตก “ท่านเองก็กรอบพอดูแล้ว หักโหมเกินไปมันไม่ดีต่อสุขภาพคนแก่ นอนพักหน่อยดีกว่ามั้ง” ...ที่
    จริงเขาเองก็ใกล้คว่ำร่ำๆจะหมดลมเหมือนกัน

    “อย่าห่วง ยังมีแรงเหลือเฟือพอจะบดขยี้ท่านได้” ชายชรายิ้มเหี้ยมเกรียมตอบ

    เซเรเนี่ยนยิ้มเจื่อน

    “จะฆ่าข้าน่ะพอเข้าใจ แต่ตรงนี้มันแคบนา ท่านยังต้องการตัวเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ขืนซัดไอ้นั่นมา เธอเองจะพลอย
    โดนลูกหลงไปด้วยนะเฮ่ย”

    “ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่ตายเป็นใช้ได้ จะแขนขาขาดด้วนไปบ้างก็ไม่มีปัญหา”

    ตรงนี้ไม่เหลือพื้นที่ให้หลบเลี่ยงไปทางอื่น เซเรเนี่ยนตัดสินใจกดเด็กสาวให้หมอบลงและเอาตัวเข้าบังเธอไว้

    เสียงระเบิดกึกก้อง ก่อเกิดควันฟุ้งตีกระจายตามแรงลมโหม

    เด็กหนุ่มเลือดอาบท่วมกายทรุดลงยันแขนและหัวเข่ากับพื้น ตอนนี้ถึงมีมาเรียนช่วยประคองก็ยืนไม่อยู่แล้ว

    ถ้าโดนเข้าไปอีกที เขาไม่แน่ใจว่าจะยังเก็บชีวิตไว้กับตัวได้หรือเปล่า

    เอกัลตีสทำการจู่โจมจากระยะไกลเพียงถ่ายเดียว ไม่ยอมประมาทเข้ามาใกล้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้เซเรเนี่ยนก็ไม่อาจ
    ตอบโต้

    เด็กหนุ่มไม่เหลือพลัง เขาสูญเสียโลหิตในกายซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดอำนาจเวทมนตร์ไปมากเกิน ต่อให้รีดเร้นอย่าง
    สุดชีวิต อย่างดีที่สุดทำได้แค่โจมตีครั้งเดียว

    เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเอกัลตีสด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียว

    จอมเวทเฒ่าเปล่งพลังโถมทับกว่าเดิมตระเตรียมปิดฉาก

    ทันใดนั้น เซเรเนี่ยนตะโกน

    “เฮ่ พวกเจ้าออกมากันได้แล้ววว”

    เขาเคยใช้ไม้นี้เมื่อคืนวาน ตอนที่บุกตะลุยออกจากวงล้อมของหน่วยอาญาสวรรค์

    เอกัลตีสหัวร่อ “แผนโกหกสั่วๆแบบนี้น่ะ ข้าไม่..”

    ชายชราชะงักเสียงหัวเราะกลางคัน

    เพราะมีคนโจมตีเข้ามาทางด้านหลังจริงๆ


    ...................


    หลังจากที่หลงกลต้องเวทกับดักพันธนาการของเซเรเนี่ยนและถูกเล่นงานสลบไป เฮอร์เจสรู้สึกตัวขึ้น พบว่า
    เวทมนตร์ที่ปิดกั้นความเคลื่อนไหวได้คลายออกแล้ว จึงเร่งรุดกลับมาหามาเรียน


    เขาไล่ตามร่องรอยการต่อสู้และสัมผัสทางเวทมนตร์จนมาพบเห็นเอกัลป์ตีสที่ไล่ล่าเซเรเนี่ยนกับมาเรียนไปจนมุม
    ที่ขอบหุบเหว

    เฮอร์เจสไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ที่เขาเห็นคือเอกัลตีสกำลังจะลงมือทำร้ายนายหญิงน้อยของตน ดังนั้น
    ตัดสินใจจู่โจมทันที

    เอกัลตีสเบี่ยงตัวเลี่ยงหลบหมัดซ้ายได้หวุดหวิด

    แต่หมัดขวาที่ตามมานั้นเกินความสามารถจะหลีกพ้น

    จอมเวทเฒ่าไม่ลืมที่จะตอบโต้ กวาดหอกด้ามยาวในมือสวนเข้าชายโครงของเฮอร์เจส เด็กหนุ่มปลิวถลาครูดไป
    กับพื้นดินและหยุดไม่ไหวติงเมื่อชนเข้ากับโคนไม้

    เอกัลตีสร่างส่ายโอนเอนขาอ่อนยวบ หมัดของเฮอร์เจสที่ทะลวงเข้ากลางลำตัวหนักหน่วงเปี่ยมพลัง แม้ไม่โดนอย่าง
    จังยังถึงกับต้องถ่มเลือดออกมา

    ชายชราตำหนิตนที่ลนลานต่อเหตุเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดกระชั้นกันเกินไป ลืมนึกถึงคำบอกของฮันน์ที่ว่ามาเรียนมีผู้
    ติดตามอยู่คนหนึ่ง อีกทั้งรีบร้อนและชะล่าใจ ลืมใช้สัมผัสเวทมนตร์ระวังภัยรอบด้าน ปล่อยให้จอมเวทอื่นเข้ามาใกล้
    ได้ขนาดนี้

    เอกัลตีสถลึงมองไปยังเซเรเนี่ยน ความคิดกำจัดฆ่าฟันยิ่งรุนแรงมากขึ้น

    เจ้าเด็กนี่จงใจตะโกนประโยคเมื่อครู่เพื่อกลบเสียงตอนที่ผู้ติดตามของมาเรียนกระโจนเข้ามา และยังเพื่อให้เขา
    เข้าใจว่าเป็นการหลอกล่อให้เผลอตัว ถึงได้ไม่หันกลับไปมองด้านหลังจนเกือบพลาดท่าเสียที

    ...ไม่ควรปล่อยมันเอาไว้จริงๆนั่นล่ะ

    ตอนนี้มันอายุแค่นี้ยังจัดการยากขนาดนี้ รอให้มันโตเท่าพ่อเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องพูดถึง


    “พึ่งพาอะไรไม่ได้เล้ย” เซเรเนี่ยนต่อว่าเฮอร์เจสซึ่งนอนแน่นิ่งไปแล้ว “...ช่วยไม่ได้”

    เด็กหนุ่มหันมาทางมาเรียน

    ไม่ทราบเหตุใด เด็กสาวรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นวูบหนึ่ง

    อาจเพราะรอยยิ้มของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง

    เปลี่ยนไปเป็นแหลมคมและเย็นเยียบ...

    ด้านเอกัลตีสที่ค่อยทรงตัวได้แสยะแยกเขี้ยวมองมา

    “ดูท่าจะหมดลูกเล่นแล้วสินะ”

    “ยัง”

    เซเรเนี่ยนตะปบมือคว้าจับลำคอของมาเรียน

    “อ..เซเร..”

    เด็กสาวอุทานด้วยความตระหนก แต่ลำคอซึ่งโดนบีบเค้นมีเสียงเล็ดลอดออกมาแค่แผ่วเบา

    เซเรเนี่ยนกดนิ้วทั้งห้าแน่นกว่าเดิม “หุบปากซะ คุณหมอ”

    “ท่านคิดจะทำบ้าอะไร!” เอกัลตีสกระชากถาม

    “ตาท่านไม่บอดนี่ มองไม่เห็นเหรอ โอ๊ะโอ๋ อย่าเชียว หยุดอยู่แค่นั้นเลย”

    เซเรเนี่ยนเตือนเมื่อเอกัลตีสตั้งท่าจะเกร็งพลังเวทมนตร์กระแทกใส่ เขาดันแขนออก เท้าข้างหนึ่งของเด็กสาว
    เหยียบไปบนความว่างเปล่า

    “ขืนท่านทำข้าเจ็บตัวมากกว่านี้ เกิดข้าทนพิษบาดแผลไม่ไหว มือไม้หมดแรงเผลอปล่อยจากคอเธอ ท่านก็ลำบากล่ะ


    ซากศพแหลกๆน่ะใช้เป็นตัวประกันไม่ได้หรอกจริงไหม”

    “อย่าเสียเวลาตบตาข้า ท่านปกป้องเธอมาตลอด จู่ๆจะฆ่าเธอทำไม”

    “เหะเฮ้ เข้าใจผิดรึเปล่า คิดว่าข้าเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรือ”

    มาเรียนดิ้นรนพยายามแกะมือของเด็กหนุ่มออก ใบหน้าของเธอแสดงอาการหายใจติดขัดและเจ็บปวดอย่างเห็นได้
    ชัด

    “เช่นเดียวกับที่ท่านต้องการตัวเธอ ข้าช่วยชีวิตคุณหมอเพราะเธอยังมีประโยชน์ในการเอาตัวรอด แต่ถ้าไหนๆจะ
    ต้องถูกท่านฆ่าตายแน่ๆแล้ว อย่างนั้นข้าจะทิ้งเธอไว้ให้ท่านหาอะไร ไม่สู้ดึงท่านมาลงนรกด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ”

    เขาผลักดันอีกครั้งหนึ่ง เท้าของเด็กสาวยื่นพ้นริมผาไปสองข้าง ร่างลอยคว้างกลางอากาศ

    อย่างที่เซเรเนี่ยนบอก เขาไม่ได้ล้อเล่น

    “ได้ ตกลง ข้ารับปาก” เอกัลตีสรีบกล่าว “เรายุติข้อบาดหมางร่วมมือเป็นการชั่วคราว ท่านคุมตัวเธอไว้ แล้วเราออก
    ไปจากป่าแห่งนี้พร้อมกัน”

    “ใครบอกว่าข้าอยากให้ท่านร่วมมือฮึ” เด็กหนุ่มไม่แยแสข้อเสนอ “ข้าก็แค่...พอใจที่จะได้กลั่นแกล้งท่านเท่านั้น”

    เซเรเนี่ยนคลายมือออก

    “ไอ้เด็กบ้าเอ๊ยยยยยยย!!”

    เอกัลตีสตะโกนคลุ้มคลั่ง พุ่งเข้ามารวดเร็วหมายจะคว้าร่างของมาเรียนเอาไว้

    ทว่ามือของจอมเวทชราทันเพียงเฉียดปลายผมเด็กสาวเท่านั้น

    และก่อนที่จะได้คิดหรือเคลื่อนไหวอะไรอื่นต่อ หูของเอกัลตีสก็ได้ยินเสียงของเซเรเนี่ยนแว่วขึ้นที่ข้างกาย

    “เข้ามาได้ซะทีนะ”

    เท้าที่สาวเข้ามาอย่างรีบเร่งของเอกัลตีสเหยียบลงบนวงล้อมเวทมนตร์แห่งกับดักพันธนาการแล้ว

    แสงสว่างเรืองรองส่องวาบขึ้นในทันใด


    ...................


    แต่ถึงอย่างนั้น

    ยังช้ากว่าเท้าของเอกัลตีสที่กระโดดลอยขึ้นไปก่อนชั่วเสี้ยววินาทีที่อำนาจสะกดความเคลื่อนไหวจะสำแดงผล

    “ไอ้เด็กโง่ ใช้วิธีเดิมคิดว่าจะได้ผลรึไง” จอมเวทเฒ่าหัวเราะหยาม

    “เปล่า ก็ไม่ได้คิดหรอก”

    ไม่ทันที่จะได้เข้าใจถึงความหมายของคำตอบนี้ หูของเอกัลตีสก็ได้ยินเสียงเดิมอีกครั้ง หากแต่ครานี้มันแผ่วทุ้ม
    และแฝงซึ่งอำนาจลึกลับ

    “อสรพิษเหล็กกล้าเรืองฤทธา จงสยบมนตราศัตรูผู้ประจันเบื้องหน้า”

    สายโลหะวาววับพุ่งวาบออกจากในแขนเสื้อเด็กหนุ่ม เข้าตวัดมัดพันร่างของเอกัลป์ตีสไว้โดยฉับพลัน

    จอมเวทเฒ่าแตกตื่นถึงขีดสุด พลังเวทมนตร์ของตนส่วนหนึ่งเหือดหายขาดตอนไปเสมือนถูกปิดกั้นไม่อาจใช้ออก

    โซ่ผนึกมนตรา!!

    “เจ้า...เป็นไปได้ยังไง” เอกัลตีสคราง แววตาสงสัยประหลาดใจ

    โซ่ผนึกมนตราเป็นศาสตราลงอาคมที่มีใช้กันจำกัดแม้ในหน่วยลับระดับสูงของพันธมิตรผู้คุ้มกฎเอง เซเรเนี่ยนมี
    มันในครอบครองได้อย่างไร

    จากนั้น เอกัลตีสเห็นใบหน้าเหยียดยิ้มของเซเรเนี่ยนที่ตรงหน้า

    “บอกแล้วอย่ามัวแต่ระวังด้านล่างจนลืมระวังด้านบน”

    ในมือเด็กหนุ่มเป็นดวงแสงเปล่งพลังเจิดจ้า ประกายกร้าวของมันลั่นเปรียะ

    เซเรเนี่ยนฟาดพลังเฮือกสุดท้ายใส่เอกัลตีสสุดแรง จอมเวทเฒ่าที่สูญพลังโดยกะทันหันไม่ทันป้องกันตัว กระเด็นลิ่ว
    ไปปะทะหินใหญ่ทางด้านหลัง ฝังร่างจมติดลงบนนั้น

    ทุกอย่างสงบลง

    “เฮ่~อ”

    เด็กหนุ่มพ่นลมยาวจากปาก

    “ของเก็บตก บางครั้งก็ใช้ประโยชน์ได้ดีชนิดคาดไม่ถึง”

    โซ่ผนึกมนตราที่เซเรเนี่ยนมีเป็นเส้นเดียวกันกับที่ฮันน์ใช้ต่อเขา ช่วงเวลาก่อนหน้าจะเผชิญกับเอกัลตีส ตอนที่เดิน
    เลียบไปถึงปลายแม่น้ำ เขาเจอมันคาอยู่ในปากของซากศพฟีราเคนิสตัวหนึ่ง จึงหยิบติดมือมา

    “ยังกลัวๆอยู่เหมือนกันว่าถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาจะทำไง ดีนะเนี่ยที่ข้าเก่ง เห็นพี่ชายฮันน์ใช้ครั้งเดียวก็ทำตามได้”

    “...หึๆ”

    เอกัลตีสหัวเราะ

    “บันเทิงเริงใจอะไรไม่ทราบหรือท่าน” เซเรเนี่ยนถามเย้ย

    เอกัลตีสหัวเราะไม่หยุด หัวเราะจนกระเทือนถึงภายในต้องไอโขลกปนเลือดออกมา

    “หึ ฮ่าๆ เจ้าฆ่าลูกสาวของมูเอราเอล แค่ก.. พวกทหารนักเวทไม่มีทางปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”

    “อ้อเหร~อ”

    แววตาเซเรเนี่ยนมีเลศนัย เอกัลป์ตีสหุบยิ้ม

    หรือมันยังจะเล่นตลกอะไรได้อีก

    เด็กหนุ่มเดินไปหยุดตรงริมผา มองลงไปด้านล่าง ตะโกนถามเสียงใส

    “เฮ่ เป็นอะไรรึเปล่าาา คุณหมอคนสวย”

    ต่ำลงไปจากจุดที่เซเรเนี่ยนยืนอยู่ประมาณหนึ่งวา มีชะง่อนผาแคบเล็กยื่นออกมาจากผนังผาที่ลาดชัน

    มาเรียนนั่งทำหน้าเหลอหลาอยู่บนนั้น

    “ม..ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวยิ้มตอบ มือยังลูบป้อยๆตรงบั้นท้ายที่ถูกกระแทกตอนหล่นลงมา

    ขณะที่โดนรุกไล่จากเอกัลตีสจวนเจียนจะตกไป เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นชะง่อนผานี่เข้า จึงคิดหาทางหลอกล่อให้
    จอมเวทเฒ่าเข้ามาในระยะประชิดได้ทันท่วงที

    เซเรเนี่ยนเอื้อมแขนส่งมือให้ ดึงร่างของเธอกลับขึ้นมา

    “แหม หน้าเสียเชียว ขอโทษที่ทำให้ตกอกตกใจ ก็เจ้าเล่นละครไม่เก่ง ข้าเลยต้องบีบจริงๆ หวังว่าคอเจ้าจะไม่ช้ำ”

    เขาพูดกับมาเรียนแต่หันมาส่งยิ้มให้เอกัลตีสที่เบิ่งตาจวนถลนพ้นเบ้า

    “สุดท้าย...โชคยังเข้าข้างข้ามากกว่าท่านนะ”

    ว่าพลางเดินเนิบนาบเข้าหาชายชราที่ตรึงติดกับก้อนหิน

    “เซเรเนี่ยน...”

    มาเรียนดึงมือเขาไว้ มองเขาวิงวอน

    ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคนเช่นไร เธอไม่อยากให้เขาฆ่าใคร

    “อย่าห่วง คุณหมอ ข้าไม่ทำอะไรตาแก่นี่หรอก ไม่จำเป็น”

    เขาตอบ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชายชรา

    “สี่ผู้เฒ่าและบรรดาจอมเวทในพันธมิตรผู้คุมกฎรอท่าช่วยจัดการท่านอย่างสาสมแทนข้าอยู่แล้ว ท่านทรยศพวกพ้อง
    ทำคนล้มตายไปไม่น้อยในสงครามครั้งใหญ่ เกรงว่าความผูกพันที่ท่านก่อไว้กับพวกนั้นคงลึกซึ้งกว่าที่ข้ามีต่อท่าน
    หลายเท่าด้วยซ้ำ”

    เอกัลตีสสยิวกายหนาวเหน็บเมื่อนึกถึงสิ่งซึ่งตนจะพบเจอหลังจากนี้

    แต่ความคั่งแค้นที่มีต่อเซเรเนี่ยนยิ่งมากกว่า หากไม่เพราะเซเรเนี่ยน ตนคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพที่เป็น ดวงตา
    ที่ขมึงย้อนเด็กหนุ่มเขม็งซึ่งโทสะและอาฆาต

    “ต่อให้เจ้าช่วยลูกสาวของมันไว้... ไม่ว่ายังไง เรื่องที่เจ้าคือลูกชายของจูลดอลเต้จอมกบฏมันก็ไม่เปลี่ยนแปร มูเอ
    ราเอลกับสี่ผู้เฒ่าไม่มีทางปลดปล่อยเจ้าเอาไว้เป็นภัยร้ายในวันหน้าอยู่ดี”

    เอกัลตีสพร่ำย้ำดุจจะตอกมันลงไปในใจเซเรเนี่ยน ชายชราจับจ้องใบหน้าเด็กหนุ่มและฉีกยิ้มน่าพรั่นพรึงราวกับได้
    เห็นแล้วถึงบั้นปลายของเขา

    “ข้าจะรอดู...วันที่เจ้าจะต้องพบจุดจบเช่นข้าในวันนี้”

    “ท่านคงไม่มีวันได้เห็น”

    เซเรเนี่ยนตอบเสียงเยียบเย็น

    หมัดตรงตะบันเข้ากลางหน้าจอมเวทเฒ่า สลบเหมือดคาหินใหญ่


    ...................


    เซเรเนี่ยนเงียบงันเช่นนั้นอยู่เนิ่นนาน

    มาเรียนก็ไม่ต่าง เด็กสาวอยากกล่าวอะไรเพื่อเป็นการปลอบโยนหรืออย่างน้อยหยิบยื่นกำลังใจแก่เขาบ้าง หากแต่
    ไม่สามารถนึกคำใดได้เลย

    เขาคือทายาทของเซนต์ชาร็อต บุตรชายของจูลดอลเต้ ศัตรูของสี่ผู้เฒ่าราชัน

    ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่เปลี่ยนแปร...

    มาเรียนยื่นมือออกตั้งใจจะแตะที่ไหล่เขา แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเพราะเด็กหนุ่มสะท้านเฮือกเหมือนพบเห็นอะไร
    บางอย่าง

    ...กระแสเวทมนตร์นับสิบสายพลุ่งโอบเข้ามารอบด้าน เขาสัมผัสได้

    เซเรเนี่ยนสะบัดหน้าก้าวไปที่ริมผาอีกครั้ง แลลงไปยังผืนป่าเบื้องล่าง...หมู่ยอดไม้ในหลายตำแหน่งทิศทางโยกไหว
    บางเบา อันแสดงถึงการมาของหน่วยทหารนักเวทจากบริเวณอื่นของป่าที่ต่างมุ่งตรงสู่ด้านนี้เป็นจุดเดียว

    “รีบไปจากที่ตรงนี้กันก่อนเถอะค่ะ” มาเรียนซึ่งก็เห็นแล้วเช่นกันร้องขึ้น

    เซเรเนี่ยนกลับยืนนิ่ง

    มาเรียนหน้าเสีย ด้วยตระหนักดีในสถานการณ์ถูกรายล้อมที่เพิ่งผ่านไปว่าตัวเธอที่ไม่อาจยืนยันฐานะตัวเองช่วยปก
    ป้องเขาไม่ได้แน่ เด็กสาวปรี่เข้ามาฉุดแขนเขาที่ไม่ขยับเขยื้อนให้เคลื่อนตัว

    ทว่าเพียงดึงเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มก็ผงะหงายวูบล้มลงกับพื้น

    “เซเรเนี่ยน!”

    มาเรียนร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก แต่เขาสิ้นเรี่ยวแรงจะตอบรับ

    บ้าชะมัด จบแค่นี้เหรอ

    สองหูได้ยินเสียงกู่ตะโกนให้ตามจับตัวเขา เสียงฝีเท้าของบรรดากลุ่มทหาร ดังใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ

    ...ขอโทษที โจริชชี่ ร็อคบีน คิงดัฟ ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ

    อย่าว่ากันเลยนะที่ข้าเอาชีวิตที่พวกเจ้าสู้อุตส่าห์ปกป้องให้การช่วยเหลือมาตายในที่ห่วยๆแบบนี้

    ...

    ...พ่อ


    เขาไม่ได้ยินอะไรอีก

    ภาพที่มองเห็นหรี่ปิดลงช้าๆ...


    ...................


    ...

    “รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ”

    คนที่ถามประโยคนี้กับเขายังเป็นคุณหมอคนเดิม

    เซเรเนี่ยนมองเธอตาปรือ

    “ถ้ารู้ว่าตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์มาเจอนางฟ้าที่สวยขนาดนี้ ข้ารีบตายซะตั้งแต่..”

    “ท่าน-ยัง-ไม่-ตาย-ค่ะ” คุณหมอตอบเสียงหนัก “เหลือเกินเลยท่านนี่ เจ็บขนาดไหนก็ยังไม่ยอมทิ้งนิสัยประจำตัว”

    “โอ๊ย..”

    “ป..เป็นอะไรไปคะ” มาเรียนที่เงื้อมือจะทุบเปลี่ยนเป็นหน้าตื่นเมื่อเด็กหนุ่มร้องออกมา

    เซเรเนี่ยนกลอกตาโดยรอบเห็นท้องฟ้าเป็นสีเรื่อของยามเย็นแล้ว ตัวเขานอนบนพรมหญ้าเขียวหนาริมเนินเขา
    นอกชายป่าซึ่งคาดเอาว่าคงห่างจากละแวกที่เกิดการต่อสู้พอสมควร

    ทั่วร่างปวดแปลบไปหมด แต่ได้พักฟื้นไปตื่นหนึ่งที่จริงไม่ถึงกับขยับไม่ได้ หากเขายังไม่อยากลุกเพราะที่หัวหนุนอยู่
    คือตักของเด็กสาว

    “เป็นยังไงบ้างคะ พอจะลุกไหวไหม” เธอถามอย่างห่วงใย

    “อื~อ ยังมึนๆน่ะ” เขาได้ทีโป้ปด และทำเสียงครางรวดร้าว

    “อย่าสำออย ข้ารู้ว่าเจ้าลุกได้”

    เฮอร์เจสที่เขาไม่ได้สังเกตว่ายืนอยู่ด้านข้างแทรกขึ้นแบบไม่ไว้หน้า เซเรเนี่ยนอิดออดลุกด้วยจำยอม

    “เฮอร์เจสเป็นคนช่วยท่านออกมาค่ะ” มาเรียนบอก คงเห็นเขาทำหน้าเหมือนจะถามว่าตนมาที่นี่ได้อย่างไร

    ตามคำเล่าของเธอ ที่เขาสามารถรอดออกจากวงล้อมเพราะได้เฮอร์เจสแบกขึ้นไหล่พาหลบหลีกมาตามเส้นทางคด
    เคี้ยววกวนของหุบเขาที่กระทั่งทหารนักเวทในแถบถิ่นยังไม่รู้จัก

    “ถ้าเป็นเรื่องในป่าล่ะก็ เฮอร์เจสจัดเจนเอามากๆค่ะ เวลาเก็บตัวยาหายากในที่ไกลๆข้าก็ต้องพึ่งพาเขาอยู่บ่อยๆ”

    มิน่าล่ะ ตอนเผ่นออกมาจากบ้านเธอ ทำไมเจ้าผู้ช่วยนี่ถึงหาตัวเขาเจอเร็วขนาดนั้น

    ถึงตรงนี้ เฮอร์เจสที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขากล่าวเสียงแข็งกระด้าง

    “นี่เพราะท่านมิเรอาขอร้อง ไม่อย่างนั้น ข้าไม่มีทางช่วยเจ้าเด็ดขาด”

    “อ้อ งั้นข้าไม่ต้องถือเป็นบุญคุณก็ได้สินะ”

    เซเรเนี่ยนกลืนคำขอบใจที่กำลังจะเอ่ยกลับคืน เปลี่ยนเป็นแลบลิ้นแบะปากให้ ถ้าไม่ใช่เฮอร์เจสหันไปทางอื่นเลยไม่
    เห็น อาจได้วิวาทกันยกสอง

    “ใจเย็นๆเถอะค่ะ พวกท่านบาดเจ็บกันทั้งคู่นะ” มาเรียนรีบห้ามทัพ


    ...................


    “ท่านมิเรอาครับ เหตุรอบด้านตอนนี้ยังวุ่นวายและถือว่าไม่ปลอดภัยสำหรับท่าน ข้าคิดว่า...”

    เฮอร์เจสบอกกับเด็กสาวเป็นนัยเตือน

    “ให้เวลาข้าอีกสักนิดเถอะค่ะ นะคะ” มาเรียนร้องขอ

    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลขมวดคิ้วมุ่น ผงกศีรษะเล็กน้อยให้เธอแล้วเดินห่างออกไปด้วยท่าทีไม่ค่อยจะเต็มใจ

    “อย่างที่ผู้ช่วยของเจ้าว่านั่นแหละ”

    เด็กหนุ่มจอมเวทอีกคนที่เหลืออยู่กล่าวกับคุณหมอซึ่งเขยิบเข้ามาตรวจดูบาดแผลให้เขา

    “ตาแก่เอกัลตีสถูกจัดการไปก็จริง แต่เรื่องร่องรอยทายาทของมูเอราเอลไม่ใช่ความลับอีกแล้ว เจ้าไม่ควรวางใจอยู่
    ที่นี่เนิ่นนานไปกว่านี้อีก คนที่ต้องการตัวเจ้าน่ะไม่ได้มีแค่พวกเดียวหรอกนะ”

    “ข้ายังมีเรื่องอยากพูดคุยกับท่านค่ะ” เธอว่า เหมือนคราวที่อยู่ในบ้านหลังเล็กนั่น

    “อ้อ จริงสินะ ข้ายัง..” เซเรเนี่ยนนึกได้ ล้วงเข้าในปกเสื้อเอาหนังสือเล่มนั้นคืนให้ แล้วก็ต้องยิ้มเฝื่อน

    จากลูกหลงของการถูกกระหน่ำโจมตีที่ริมผา มันยับเยินหลุดลุ่ยไม่ต่างกับซากกระดาษ

    “ขอโทษด้วย ข้าขโมยหนังสือเจ้ามาทำพัง ...แถมรบกวนเสื้อตัวสวยเจ้าอีก”

    แขนเสื้อสองข้างของเธอกุดไป มันกลายมาเป็นผ้าพันแผลที่รอบตัวเขา

    มาเรียนส่ายหน้า

    “ข้าสิที่ควรขอโทษ ข้าช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย แม้กระทั่งจะช่วยชี้แจงลบล้างความผิดที่ท่านไม่ได้ก่อ ตอนนี้ที่ทำได้
    ก็แค่พาท่านให้พ้นจากการจับกุมชั่วคราวเท่านั้น”

    “ไม่หรอกน่า” เซเรเนี่ยนบอกปัด “การตามล่าข้าน่ะเกี่ยวพันถึงความสงบของทั้งเนิร์ฟเธน มันไม่ได้ง่ายขนาดให้
    เจ้าที่เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวพูดแล้วทุกอย่างจะคลี่คลายนี่นา”

    สีหน้าเขาหม่นลง

    “ว่ากันตามจริง เรื่องวันนี้ข้ายิ่งต้องขอโทษเจ้า”

    เธอทำหน้าไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มจึงกล่าว

    “เดิมที ในแผนการของข้าตั้งใจไว้ว่าจะชิงตัวเจ้ามาเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อตาแก่นั่น พูดง่ายๆคือ ข้าเองก็หวังใช้เจ้า
    เป็นเครื่องมือให้ตัวเองบรรลุวัตถุประสงค์เหมือนกัน ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้พวกนั้นเลย ...ไม่สักนิดเดียว”

    “แต่ถึงที่สุด ท่านไม่ได้ฆ่าใคร และยังช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ใช่ไหมล่ะคะ” มาเรียนสบตาเขา “ข้าเข้าใจผิดไป ที่คิดว่า
    ท่านตามหาตัวข้าเพราะเพื่อล้างแค้นให้พ่อ”

    เมื่อเธอเอ่ยจบ เซเรเนี่ยนหลับตาลง ราวกับเหนื่อยล้า ดั่งว่าเปลือกตานั้นหนักอึ้งจนไม่สามารถเผยอไว้ มาเรียนไม่รู้
    ว่าเป็นด้วยคำใดในประโยคของตน แต่เห็นเช่นนั้นแล้วเธอก็ได้แต่เงียบ

    “เรื่องที่เจ้าอยากจะพูดกับข้าไม่ได้มีแค่นี้ไม่ใช่เหรอ” เซเรเนี่ยนเอ่ย “ว่ามาเถอะ”

    เด็กสาวลังเล เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นกุมไว้แนบอก ครั้นแล้วจึงตัดสินใจถาม

    “...ท่านแค้นพ่อของข้ารึเปล่าคะ”

    เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ยังคงหลับตา

    “คุณหมอ อย่าใส่ใจเลย ถ้าฝ่ายที่ชนะคือเซนต์ชาร็อต พ่อข้าก็ต้องทำอย่างเดียวกันกับพ่อเจ้า สถานะของเจ้าคง
    พลิกกลับเป็นข้าในตอนนี้ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกผิด”

    มาเรียนพลอยก้มหน้าลงตาม ถามอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา

    “แล้วท่าน...แค้นพ่อของตัวเองรึเปล่าคะ”

    เธอไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ถามเขาออกไป

    อาจเพราะคำถามนี้แท้จริงไม่เพียงถามเขา...ยังถามตัวเธอเอง

    บางที สิ่งนี้อาจเป็นข้อสงสัย ทั้งเป็นความหวาดหวั่น ติดค้างอยู่ในใจเธอมาเนิ่นนานแล้วกระมัง

    และคงเพราะเธออยากจะรู้ว่ามิใช่แค่เธอที่เป็นเช่นนี้ อยากจะเชื่อว่าเขาให้คำตอบได้ อยากจะมั่นใจว่าถ้าเขาที่เป็น
    เหมือนกับเธอสามารถค้นพบความจริงที่คลี่คลายความคลางแคลงของตน เธอก็ย่อมจะค้นพบเช่นกัน...

    “ไม่รู้สิ”

    เป็นคำตอบของเขา แรกทีเดียวเธอออกจะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็นิ่งฟังเมื่อเขายังพูดต่อไป

    “ถึงจะเป็นลูก แต่ข้าไม่เคยเข้าใจพ่อ ไม่ว่าพ่อทำอะไร หรือคิดอะไร ทำไมถึงหวัง และทะเยอทะยาน...”

    เด็กหนุ่มลืมตา ในนั้นทาบทอไว้ซึ่งความอ้างว้าง

    “ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบท้าย ข้าไม่เคยและไม่อาจเป็นได้สักสิ่งที่พ่อให้เป็น ที่สุดพ่อเลิกเหลือบแลข้า ข้าก็เลิกใยดีพ่อ
    นานวัน โดยไม่รู้ตัว ข้ากับพ่อ เราเองต่างเหมือนคนแปลกหน้าระหว่างกัน”

    เขากล่าวอย่างแช่มช้า ว่าไปราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา มิได้เจ็บปวด มิได้หดหู่ หากแต่ดูว่างเปล่า...ว่างเปล่าไม่มี
    อะไรเลย

    “คงเพราะอย่างนั้นล่ะมั้ง ข้าถึงบอกไม่ได้ว่าเคียดแค้นรึเปล่า...ทั้งพ่อของเจ้าที่ฆ่าเขา...และตัวเขาที่มอบฐานะของ
    สายเลือดกบฏให้ข้า”

    เซเรเนี่ยนหันมาหาเธอ

    “น่าขำสินะ”

    เขาหัวเราะ คล้ายกับเยาะตน

    “ไม่หรอกค่ะ”

    มาเรียนเงยหน้าขึ้นตอบ และนึกถึงพ่อ

    เด็กสาวคิดว่าเธอช่างโง่นัก โง่อยู่มากทีเดียวที่หลงมองว่าตัวเองโชคร้ายมาตลอดเวลา

    “การที่ท่านตัดสินใจจัดการกับเอกัลตีส ก็ไม่ใช่เพื่อแก้แค้น แต่เพราะท่านไม่ต้องการให้ใครตายด้วยมือเขาอีกแล้ว
    สินะคะ”

    “ไม่ ข้าไม่ใช่คนดีถึงปานนั้น อย่าเข้าใจผิดเชียว” เซเรเนี่ยนโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

    มาเรียนไม่พูดต่อ เพราะท่าทางเด็กหนุ่มไม่ชื่นชอบกับการที่ใครมายกย่องกันซึ่งหน้า

    เธอเพียงยิ้มให้เขา

    รอยยิ้มนั้นเปี่ยมความรู้สึกอิ่มเอิบและปลอดโปร่ง

    “คุณหมอ มีใครเคยบอกบ้างรึเปล่าว่าเจ้ายิ้มสวย”

    “เอาอีกแล้วนะคะ” คุณหมอปรามเสียงเข้มน้อยๆ หากแต่ยังยิ้มอยู่นั่นเอง

    เซเรเนี่ยนยักไหล่ และยิ้มบ้าง เขายิ้มกว้าง ยิ้มอย่างเบิกบานจริงใจ ทำให้ใบหน้าของเขาผิดแผกจากที่มาเรียนเคย
    เห็นมานับแต่ได้เจอกัน ดูร่าเริงและไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ

    “เจ้าเป็นคนดี ข้าดีใจ ที่ได้รู้จักเจ้า”

    โชคชะตานั้นโหดร้าย...ผู้คนอื่นหลายอาจบอกเช่นนี้ แต่มัวกล่าวโทษโชคชะตานั่นไม่ดีอะไรขึ้นมา กับสิ่งที่เป็นไป
    เขาและเธอต้องเข้าใจ

    ...เข้าใจรึเปล่าเป็นเรื่องหนึ่ง ยอมรับหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ไม่มีใครเลือกเกิดได้ ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ กับฐานะทายาทจากผู้เป็นพ่อและสิ่งที่ต้องเผชิญ เขาและเธอต้องยอมรับ

    ...แต่ต่อให้เข้าใจดี ต่อให้สามารถยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าต้องยอมจำนน

    หากว่ายอมยกชีวิตให้ชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาไม่ได้ มีทางเดียวคือดิ้นรนด้วยตัวเอง

    “เอาล่ะ”

    เซเรเนี่ยนลุกขึ้นยืน

    “ข้าคงต้องไปแล้ว”

    “หลังจากนี้... ท่านจะไปไหนต่อคะ” เด็กสาวถาม

    “...นั่นสินะ”

    คำตอบของเขาเปลี่ยวเหงา เดียวดาย

    แต่เท้าที่ก้าวย่างออกไปข้างหน้าไม่คลายความเข้มแข็ง


    ...................

    ต่อจากนี้ไปจะทำยังไง

    ตอนนี้เขายังไม่รู้เหมือนกัน

    เอาเถอะ ค่อยๆคิด ค่อยๆหาทาง ค่อยๆหาคำตอบไป ทั้งเรื่องนี้ และอีกหลายๆเรื่อง

    เซเรเนี่ยนบอกตัวเองแบบนั้น

    เส้นทางของเขายังไม่สิ้นสุดลง

    กว่าจะถึงปลายทางยังอีกยาวไกล

    อีกยาวไกลนัก...


    ...................


    หมายเหตุท้ายตอน

    ...จบแล้วขอรับ

    ขอขอบคุณที่อุตส่าห์อ่านนิยายพิลึกๆนี่กันจนจบตอน
    ขอขอบคุณมากๆสำหรับคอมเมนต์ ไม่ว่าจะสั้นจะยาว ก็ทำให้คนแต่งกระดี๊กระด๊ามากมายที่ได้รู้ว่ามีคนอ่านกับเขา
    ด้วย
    และขอขอบคุณสุดๆ

    :aha: ‘ไมรอน’ ของคุณพัณณิดา ภูมิวัฒน์ นิยายที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกอยากเขียนนิยายขึ้นมาเองบ้าง

    :cool:2คน2คม’ หนังจีนเรื่องเยี่ยม

    :china: ‘จับอิดนึ้ง’ ของโก้วเล้ง (น.นพรัตน์ แปล) นิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของมังกรโบราณที่มีโอกาสได้อ่าน สั้นไปนิด แต่เนื้อเรื่องเฉียบขาด

    :bad: ‘จอมดาบปราบอสูร’ ของ seiuchiroh todono การ์ตูนญี่ปุ่นที่ชอบมาก (หาข้อมูลภาษาไทยไม่ได้ :waaa: ลิขสิทธิ์ภาคแรกของวิบูลย์กิจ ภาคหลังของบงกชขอรับ)

    ถ้าท่านใดอ่านนิยายของผมแล้วสนุก เป็นเพราะอานิสงส์จากเรื่องเหล่านี้ที่เป็นต้นแบบความคิดครับ แต่ถ้าไม่สนุก
    ถือเป็นความอ่อนหัดของข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว :hm:

    ขอบคุณครับ
  3. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    จบแล้วหรือครับน่าเสียดายจัง บอกว่าจบตอนนี่มีตอนอื่นต่อรึเปล่าเอ่ย เนื้อเรื่องดูยังจะต่อเป็นเรื่องยาวได้

    ...แล้วก็ชอบสำนวนนะครับ ผมชอบที่เว้นให้อ่านได้สบายตา ไม่ใช้ประโยคมากมายแต่สื่ออารมณ์ได้ดีแบบนี้แหละ้

Share This Page