ฮัลโหวววว...หลังจากที่บอร์ดเปลี่ยนแปลงลุคใหม่มานานแสนนานแล้ว...กว่าจะรูตัวก็ปาเข้าไปนานสองนาน -*- และแล้วได้ฤกษ์งาม(?)ที่กลับมาบอร์ดอีกครั้งก็เลยถือซะว่า...เอางานนิยายเรื่องที่แต่งนานที่สุด(และดองนานที่สุด) มาลงซะเลยยยยย แง่มๆๆ Until The End Of Time บทนำ...Open screen ม่านดาราที่ถูกเปิดกับความฝันสีเพลิง ประกายไฟสีเข้มที่ซักสาดและโอนอ่อนไหวต่อสายลมแว่ว กลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นเหียนฉาบทั่วทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน สายธารโลหิตไหลนองหยาดลงสู่พื้นดินกับร่างไร้วิญญาณนับคณานอนเกลื่อนอย่างทรมาน...เจ็บปวด ราวกับเส้นด้ายบางแห่งชีวิตถูกปลิดด้วยคมของดาบและไกปืนท่ามกลางความพิโรธแห่งเทพอัคคี ร่างเล็กเดินฝ่าเปลวเพลิงสีเข้มสะท้อนประกายแดงแสดไล้เลียใบหน้าอ่อนเยาว์ ฝ่ามือบอบบางกำด้ามดาบคมแน่น ดวงเนตรน้ำเงินไพลินอันงดงามชุ่มนองด้วยหยาดอัสสุชลที่หลั่งริน ทำไม...ต้องฆ่าคนล่ะ? ทำไม...ต้องต่อสู้กันด้วย? ทำไม…เพราะอะไร...เพราะอะไรถึงลงท้ายแบบนี้...? ...หรือ... มันเป็นเพราะเรา...เพราะเราคนเดียว... มณีสีน้ำเงินบทดวงหน้าแข็งกร้าวขึ้น ย่างก้าวเล็กๆที่ผ่านตามเปลวเพลิงห้อมล้อม...ราวกับถาดโถมความเจ็บปวด ...หนัก...บ่าบอบบางของเด็กชายที่ไม่อาจจะทนแบกรับอะไรได้ต่อไปอีก...ก้าวเดินเหยียบย่ำความระทมตามรอยเท้าสายตามุ่งมองไปอย่างข้างหน้านึกชิงชังในชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง ริมฝีปากบางขยับพึมพำไร้เสียงลอด ลำแสงแปลบปลาบบาดนัยน์ตาพวยพุ่งออกมาจากปลายด้ามดาบเงินพิสุทธิ์สลักลายอักขระโบราณส่องสะท้อนแสงกับเปลวเพลิงสีแดงเข้ม...ราวกับแสงโลหิต... ปลายดาบลงปักกับพื้น ชั่วพริบตาแสงสว่างสะอาดก็ส่องสะท้อนออกมาจากรอยปริของดินครอบคลุมอาณาเขตทั่ว...ความตายอยู่ใกล้เพียงแตะปลายจมูก... แสงสว่างสีสะอาดค่อยแผ่วจางตามแรงเพลิง ประกายไฟสีแดงสะท้อนสีขาวจากปลายดาบตัดกับ...หยาดโลหิต...ที่ไหลนองแทบเท้าเล็กๆ เด็กชายก้มลงมองดูร่างไร้วิญญาณนับสิบที่ตนเป็นผู้กระทำ...ทำลงไป...เพราะแค้น? เพราะปกป้อง...ชีวิตตัวเอง?...ชีวิตคนอื่น? หรือเป็นเพราะเธอ... นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองปลายดาบชุ่มรอยเลือด...หยาดน้ำสีแดงเข้มรินรดลงจากปลายดาบลงสู่พื้นทีละหยด...ทีละหยด...ราวกับน้ำตา...น้ำตาที่ไหลรินจากพืนน้ำ...พืนน้ำยามรัตติกาลที่ไหวระริก...ความเจ็บปวดหลั่งรินออกจากนัยน์ตา... ฝ่ามือเล็กปล่อยดาบออกข้างตัวก่อนร่างบอบบางทรุดลงกับพื้น ดวงหน้าหวานอ่อนเยาว์เงยหน้ามองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มสะท้องประกายแดง...ราวกับท้องนทีที่ปาดป้ายด้วยสีเลือด...เสียงร้องไห้ระงมกับร่างที่สั่นเทา...กอดตัวเองท่ามกลางน้ำตา...กอดตัวเอง...เพราะอยู่เพียงตัวคนเดียว...ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่ง...ความระทม...ตราบาป...กัดกินหัวใจ... เอ๋ !? เป็นอะไรไปไม่ร่าเริงเลยนะ? ยิ้มหน่อยสิคะ...บลิทซ์ ดวงเนตรสีไพลินมณีเปิดขึ้นเพื่อหลุดจากห้วงนิทรารมย์...ฝันร้าย ร่างสูงของชายวัย สิบหก เหยียดกายขึ้นจากที่นอนก่อนจะทิ้งตัวเอนพิงกับหมอนแรงๆ ฝ่ามือยกขึ้นเสยเส้นผมสีดำขลับที่เลื่อนลงมาปรกใบหน้าคมคายจนสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นของหยาดเหงื่อที่ไหลซึมเปียกเรือนผม เสียงลมหายใจพ่นเบาบางออกจากริมฝีปากก่อนจะกดเปลือกตาแน่น “ฝัน…ถึงเรื่องนั้นอีกแล้วเหรอ” ถ้อยคำน้ำหนักบางเบาราวกับไร้เสียง ดวงหน้าคมซบลงกับฝ่ามือปล่อยน้ำใสไหลรินออกจากนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับไพลินมณีที่แสนงดงาม...ที่เปรอะเปื้อนรอยน้ำตามาตลอด 2 ปี...หากแต่ก็ไม่อาจจะชดเชยบาปที่กระทำได้... ถ้อยคำสวดภาวนาอย่างแผ่วเบาแกจากริมฝีปากบางราวกับไม่อย่างให้คนข้างกายที่อยู่ในห้วงภวังค์ได้ยิน เสียงบทสวดอันไพเราะ…แต่ทั้งที่เพราะถึงขนาดนั้น …ทำไมถึง...กลับฟังดูเจ็บปวดดุจคำสวดที่ร้องขอความเมตตาเพื่อชดเชยบาปในอดีต... ดวงหน้าอ่อนเยาว์เมินหนีจากภาวะในห้องก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย…ไร้ซึ่งหนทาง…และความหวัง หากแต่...ในตอนนั้น…หลังจากห้วงภวังค์แห่งฝันร้าย…ทำไมนะ…ทำไม...เรารับรู้ถึงแสงสว่างที่แสนอบอุ่นในความมืดมิดนั้น? ทำไมถึงได้ยินเสียงหวานอ่อนโยนที่เหมือนกับจะคุ้นเคยนักทั้งๆทีไม่เคยได้ยินมาก่อน?แล้ว…ทำไมเราถึงได้รู้สึกถวิลหาเรียกร้องอะไรบางอย่างจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกันนะ… ไม่เข้าใจเลย? ถ้าหากในสมัยที่วิทยาศาสตร์ล้ำพัฒนาก้าวไกลเกินกว่ามวลมนุษย์สามัญจะหยั่งถึง เกิดมีคำถามคำหนึ่งที่อยากจะถาม… เชื่อเรื่องผู้ใช้เวทมนตร์ไหม? ซึ่งรู้ทันทีว่าหลังจากที่เอ่ยคำถามนั้นสิ่งที่จะหลุดออกจากปากแทนที่จะเป็นคำตอบนั้นเองก็กลับเป็น ‘เสียง’หัวเราะขบขันราวกับเห็นเป็นเรื่องตลกหาสาระแทบไม่ได้…แต่ได้โปรดเชื่อเถอะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง... 85 ปีก่อน เมื่อใกล้จุดสิ้นสุดยุคของปีศักราช กลียุคที่วิทยาศาสตร์อารยธรรมได้เจริญรุ่งเรืองสุดจะพรรณนา ความสะดวกสบายหลั่งไหลเข้ามาสู่เหล่ามนุษยชนจนสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์จักรกล’ นั้นคือปัจจัยหลักที่ห้า แต่หารู้ไม่ว่าความหมายในสิ่งงดงามของบทประพันธ์ที่ชื่อว่า ‘วิทยาศาสตร์’ แล้วมันก็เหมือนกับกระจกสองด้านที่มีทั้งด้านที่ส่อง ‘แสงสว่าง’ และ ‘ความมืด’ เหมือนกัน มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าสิ่งรอบตัวพัฒนาล้ำหน้าแต่สิ่งที่สิ่งที่อยู่ภายในตัวเองกับหยุดอยู่นิ่งหรือถดถอยลง...สิ่งที่อยู่ภายในเรียกจิตใจ...ความสำนึก โลกสีครามอันบริสุทธิ์ค่อยถูกกลืนหายด้วยคลื่นเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ การกระทำที่เห็นแก่ส่วนตนโดยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พระเจ้าประทาน กับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าภาคภูมิใจมากที่สุด...ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ใกล้หมดสิ้นจากการนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์อย่างไม่รู้จักพอและนั่นคือการทำลายล้างโลกทางอ้อม มนุษย์หาความสะดวกสบายอย่างไม่นึกกริ่งเกรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปลูกสร้างขึ้น ทัศนีย์ทดแทน สมองจักรกล…หรือแม้แต่…ชีวิต... พระผู้เป็นเจ้าถ้าหากพระองค์สร้างสติปัญญาความสามารถของมนุษย์อย่างไร้สิ้นสุดแต่ไร้จิตใจที่จะรักสิ่งรอบข้าง…แล้วพระองค์จะทรงสร้างเศษสวะชั้นสูงนี้ขึ้นมาทำไม? พระองค์...มิคิดจะหยุดยั้งหรือ ลบล้าง สิ่งเหล่านี้เหมือนเมื่อครั้งกาลก่อนบ้างเลยงั้นหรือ คำถามไร้ซึ่งคำตาบใดๆที่ในใจของใครหลายคนเอ่ยถาม...ถ้อยคำภาวนา...หายจางด้วยความสิ้นหวัง... และคำตอบ…คำตอบที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานคำตอบผ่านทางกุญแจดอกสุดท้ายแห่งทางรอดของมวลมนุษย์ กุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูแห่งทางรอด ผู้สร้างถ้อยคำภาวนา...ที่เริ่มใหม่ด้วยความหวัง...แห่งชีวิตของโลกสีคราม... เซเรส ซีซัส เด็กหนุ่มวัยสิบแปดจากตระกูลชนชั้นสูงตระกูล ‘ซีซัส’ ที่ลุกขึ้นกล้าประกาศบุคคลในเงามืดที่ไร้ซึ่งตัวตนในสังคมที่มีอยู่บนโลกนี้ ผู้ขอยืมอำนาจลึกลังแห่งธรรมชาติ ใช่…อย่างทุกคนเข้าใจและอย่างที่ทุกคนรู้…บุคคลที่สามารถบัลดาลสิ่งอัศจรรย์ที่วิทยาศาสตร์มิอาจจะรุกล้ำสิ่งที่เรียกว่า… ผู้ใช้เวทมนตร์ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเหล่าผู้ใช้อำนาจได้ผ่านการจัดตั้ง…การจัดตั้งองค์กร เพื่อพัฒนาด้านการผสมผสานสองสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญแห่งสองฝ่าย และนั่นคือการผนวกเวทมนต์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน …องค์กรรูนจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เหล่านั้น ถ้าหากวิทยาศาสตร์หยิบยืมธรรมชาติไว้เพื่อให้โลกก้าวพัฒนา…เวทมนตร์เองก็คือสิ่งที่คอยเกื้อค้ำจุนเพื่อไม่ให้ธรรมชาติสูญสลายไปเช่นกัน …………………………………………. เรื่องเมื่ออดีตคืออดีต และ ปัจจุบันนี้ก็คือปัจจุปัน เพราะตอนนี้…คือปี A.P.ที่ 85 เป็น 85ปีหลังจากการปรากฏตัวให้โลกรับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวตน...แสงสว่างแห่งชีวิตได้เจิดจรัสและทอดแสงประภาสแห่งธารชีวิตใหม่อีกครั้ง ราวกับมือหนึ่งที่หยิบยื่นความหวังมาสู่ที่มืดมิด แสงทองแห่งการเริ่มต้นก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง ศักราชใหม่... ALPHA... …แต่แสงสว่างก็ย่อมมีเงามืด ยิ่งแสงสว่างมีมากเท่าไรเงาก็ยิ่งทอดยาวมากขึ้นเท่านั้น...สิ่งที่เกิดจากหายนะครั้งใหญ่...การทำลายล้างมนุษย์ด้วยน้ำมือมนุษย์...มวลมณีที่ส่องสว่างที่สุดในหมู่ดาว อิกดราซิล… และในวันนั้น...แสงสว่างแสงใหม่...จากเปลวเทียนเบาบางที่ใกล้จะมอดดับด้วยสายลมระทมตรอม...แสงสว่าง...จากท้องนภา...ราตรีที่แสนอบอุ่น...ไร้ซึ่งความเยียบเย็น... วันนั้น...คือวันที่ชีวิต...จะส่องประกายอีกครั้ง...
สวัสดีครับ *-*/ เห็นกระทู้นี้มาได้สักพักแล้ว เพิ่งจะได้เข้ามาอ่าน ถือว่าเป็นแนวSci-fi Fantasyที่แปลกออกไปจากที่เคยเห็นอย่างมากเหมือนกันนะครับ (ว่าแต่ จะดองนานหรือรีไรท์อีกรึเปล่าครับเนี่ย ฮา) ยังมีคำผิดอยู่ประปรายนะครับ ลองตรวจทานดู และผมรู้สึกว่าการใช้คำพรรณนาหลายจุดยังไม่กลมกลืนไหลลื่นสักเท่าไหร่ เหมือนบางจุดก็ใช้ศัพท์สูงแต่ถัดไปก็เป็นบทบรรยายทั่วไป ทำให้อารมณ์ขาดช่วงไปบ้าง และนอกจากนั้น บางทีศัพท์สูงที่ฟุ่มเฟือยเกินไปก็ทำให้เห็นภาพไม่ได้เด่นชัดเท่าไหร่ และยังส่งผลให้เรื่องดำเนินเนือยๆ อารมณ์โกรธ เศร้า หรือเคีียดแค้นต่างๆก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย ก็คล้ายๆกับการที่เราเพ่งดูภาพขนาดใหญ่ เมื่อมองจุดเล็กๆในภาพตรงนั้นตรงนี้ก็สวยไปหมด แต่เราจะไม่เห็นภาพรวมว่า เรื่องราวแบบไหนหรืออารมณ์ใดกันแน่ที่ภาพทั้งภาพต้องการแสดงออกมา ผมเคยมีปัญหาในการวาดภาพแบบนี้ มัวแต่เก็บจุดเล็กจุดน้อย จนลืมดูภาพรวมว่าไปตามอารมณ์ที่ต้องการหรือไม่ ก็เลยเอามาเตือนให้ลองคิดๆดูนะครับ ^^ บทบรรยายที่มาจากความคิด เช่นที่กล่าวถึงความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี หรือการเกิดของเวทมนตร์ เมื่อกล่าวออกมาตรงๆก็จะกลายเป็นการชักนำคนอ่าน ยิ่งถ้าสิ่งที่กล่าวเป็นบทสรุป จะทำให้เรื่องดำเนินเร็วขึ้นมาทันที จนบางทีจะขัดกับฉากที่เต็มไปด้วยบทพรรณนา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่รวมเอาความเป็นแฟนตาซีทางเวทมนตร์มารวมกับความเจริญที่มีวิทยาศาสตร์และจักรกลมาเกี่ยวข้องแล้วด้วยเนี่ย ยิ่งต้องระวังนะครับ เพราะสองสิ่งนี้เป็นเนื้อหาที่มีความขัดกันอยู่ในตัว แต่เราคนแต่งถ้าใช้การบรรยายที่ขัดกันจะทำให้อารมณ์ของเรื่องไม่ต่อเนื่องเข้าจังหวะได้ คล้ายกับฟังเพลงคลาสสิคสลับเทคโน ^^" ว่าแต่ ผมชอบการจัดย่อหน้า และการเว้นบรรทัดของเรื่องนะครับ ทำให้เน้นข้อความและอารมณ์ของบริบทนั้นๆได้ดีทีเดียว ซึ่งเท่าที่ผมเห็น นักเขียนหลายคนทั้งในบอร์ดนี้และบอร์ดอื่นก็ละเลยความสำคัญของเรื่องนี้ไป แต่ก็มีบางคนที่ทำได้ดี คุณเองก็เป็นคนหนึ่งนะ ^^ แล้วก็ "เศษสวะชั้นสูง" โดนใจมากครับ ฮา ไว้แล้วจะรอดูความเป็นไปของเซเรสนะครับ สู้ๆ *-*/ EDIT : อ้อ ผมลืมทักไปอีกเรื่อง คือข้อความยาวๆที่ต่อเนื่องด้วย .... เนี่ย เว้นวรรคก่อนจุดก็ดีนะครับ เพราะมันทำให้ข้อความติดกันยาว หน้าจอรีพลายก็จะโดนยืดไปด้วย ทำให้เวลาจะอ่านทีต้องลากไปข้างๆน่ะครับ แล้วก็เรื่อง Pandora Hearts ผมเห็นๆอยู่บนแผงเหมือนกัน แต่ไม่เคยซื้อมา สนุกมั้ยน่ะครับ
แล้ว...ก็กลับมาอัพบทแรก...สักที ปล่อยยทนำค้างเติ่งเนิ่นนาน....=w= เรื่องบทบรรยายตอนนี้ก็พยายามแก้ไขอยู่ค่ะเพราะว่าบางทีอ่านเองยังงงเองเลย ( เมื่อก่อนเคยโดนพื่อนว่าใช้ศัพท์เวอร์เหมือนกัน) TwT จริงแล้วโดยส่าวตัวชิโอะก็ชอบคำว่า 'เศษสวะชั้นสูง' เหมือนกันนะ >< อ้อ ๆ ส่วนเรื่องแพนโดร่าฮาร์ทนั่นน่ะ...สนุกม๊ากกกค่า ถึงเล่มแรกอาจจะน่าเบื่อไปนิดแต่ตั้งแตเล่มสองมาสนุกมาก ๆ เส้นสวยดีด้วย >w< บทที่ 1 Raincanation of crisis ตอนที่ 1 สายชลแห่งนภาที่หลั่งรินบนเปลวเพลิง ร่างสูงสง่าเดินลัดตามริมฟุตบาตอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ในคนพลุกพล่าน ดวงจักษุสีน้ำเงินไพลินกวาดมองโดยรอบก่อนจะเอนหลังลงพิงกับกำแพงด้วยความนึกรำคาญใจ ทั้งที่ยืนหยุดอยู่นิ่งๆ...ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ... แต่เสียงคุยที่พยายามกดให้เป็นกระซิบมันกลับเล็ดรินเข้ามา เสียงกร่นถามกันให้ขรมว่าเขาจะใช่ ‘คนๆนั้นหรือเปล่า’เข้าสู่โสตประสาทของเขาได้อย่างง่ายดายราวกับสายน้ำ เด็กหนุ่มร่างสูงปัดสายตาทิ้งลงสู่พื้นคอนกรีตเมื่อรู้สึกเมือเหมือนมีคนเพ่งตามองตรงมาทางเขา เพื่อเพ่งพินิจรายระเอียดราวกับเห็นว่าเขาเป็นตัวประหลาด … สิ่งที่แปลกแยกออกจากสังคมหรือไม่ ... เขาก็คงไม่มีตัวตนในสังคนนั้น ...ตั้งแต่แรก ... หนวกหูจัง … ทำไมถึงต้องออกมาในที่แบบนี้ด้วยนะ? ขอร้องล่ะ ... อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น ... ชายหนุ่มกำมือจนสั่นระริกข้างตัวพลางข่มเปลือกตาลงแน่นก่อนจะสะบัดดวงหน้าไปมาละความคิดไร้สาระทิ้ง แล้วล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงหยิบวัตถุสีดำเครื่องบางออกมาจากกระเป๋าและนั่นก็คือโทรศัพท์มือถือ... ปลายนิ้วเรียวยาวจรดบรรจงกดลงปุ่มเบอร์ที่คุ้นเคยแล้วยกวางแนบหูรอเพื่อสัญญาณ ติ๊ด... ติ๊ด… ติ๊ด… กริ๊ก… ‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ The Number is…’ เสียงตอบกลับหลังจากสัญญาณบอกรับได้เรียกอารมณ์โทสะของชายหนุ่มให้คุกรุ่นจนน่ากลัว ฝ่ามือกำโทรศัพท์แน่นจนสั่นริกเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดที่มีจากการที่ต้องมาอยู่ในฝูงชนพลุกพล่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ออกซิเจนจำนวนมากสูดเข้าทางปาก ก่อนถ้อยคำเย็นยะเยียบจะพูดกรอกผ่านปลายสายโทรศัพท์ไปอย่างไม่ใยดีถึงความรู้สึกคนที่พูดด้วย “ นี่รู้ไหมครับรูล? ว่าคดีทำร้ายร่างกายส่วนใหญ่มักเกิดจากคู่กรณีพูดพาอวัยวะเบื้องล่างที่ใช้เดินกระแทกปากเสมอเลยนะครับ” “ง่ะ…นี่ไม่คิดจะรับมุขกันบ้างเลยเหรอไงนะ บลิทซ์ ?” เสียงตอบแห้งๆแก้เก้อจากปากคนปลายสายทำให้บลิทซ์หลุดปล่อยลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหนาระอาในตัวของขายหนุ่มคนที่รับอยู่ปลายสาย เขาโคลงศีรษะเบาๆแล้วเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง “รูล ผมไม่คิดอยากจะรับมุขฝืดๆของนายหรอกนะครับ” คำตอบด้วยน้ำเสียงหวานนุ่มอันแสนเย็นชาของคนที่ไม่นึกอยากจะขำกับมุขที่เรียกเสียงหัวเราะไม่ได้สำหรับเขาของรูล เพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเขา คนที่รู้จักกันร่วม สิบ ปี ...รูล อบิสซอลล์... “เง้อ…นี่มุขฉันมันแป้กจริงๆเหรอ...” รูลร้องน้ำเสียงเข้มทอดยาวเพื่อแสดงอาการผิดหวังขั้นรุนแรงให้ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อวัยเด็กที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ได้รับรู้ก่อนจะเสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจนออกดำที่ปรกหน้าปรกตาจนน่ารำคาญออกจากสายตา “ก็ใช่น่ะสิครับ!!” บลิทซ์เอ่ยตอกย้ำน้ำเสียงดังหนักแน่นสวนกลับมาแทบจะทันทีที่พูดจบ รูลยกโทรศัพท์ให้ลำโพงออกห่างจากหูเพราะกลัวถูกคลื่นเสียงทรงอำนาจทำลายระบบประสาทการได้ยิน บลิทซ์นิ่งนิดเหมือนคิดบางอย่างออกก่อนจะขยับปากขึ้นพูด “ว่าแต่ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” เสียงนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยตามจุดประสงค์เหตุผลเดิม “อยู่ในใจของนายงาย...” เสียงใสกิ๊กอย่างเริงร่าของรูลตอบกลับมาอีกครั้ง บลิทซ์ยกไหล่ขึ้นนิ่วหน้าคิ้วเรียวเลื่อนขมวด ถ้าอยู่ใกล้ๆ ก็อยากจะยันสักโครม... นี่คือสิ่งแรกที่แล่นวาบขึ้นปรากฏในความคิดของบลิทซ์ ตกลงอายุที่มากกว่า ปีหนึ่งนี่ก็ไม่เคยที่จะช่วยให้ความคิดของรูลเป็นผู้ใหญ่ตามอายุขึ้นมาบ้างเลยเหรอไงนะ! “อย่างนั้นเหรอครับ...เอาล่ะครับ ผมจะถามอีกครั้งหนึ่งนะ รูล นาย - อยู่ - ที่ - ไหน!!!” น้ำเสียงเน้นย้ำประเด็นคำถามอีกครั้งอย่างเย็นชาบรรจงใส่ความจริงจังผสมโมโหลงไปในแต่คำพูดทุกถ้อยทุกคำที่ออกจาริมฝีปากบาง “ จ้าๆเย็นไว้หน่อยสิพ่อหนูน้อย...” รูลว่า ดวงตาสีแดงประหลาดที่เข้มมากเสียจนออกเป็นสีเหมือนกับเลือดฉายแววขันในทีแต่พอได้ยินสียงกระแอมดังๆลอดจากลำโพงโทรศัพท์ก็รู้แทบบัดนั้นทันทีเลยว่า ถ้ายังพูดทีเล่นอยู่อาจมีหลั่งเลือด!! “ คือตอนนี้ฉันอยู่ที่เขต 4 น่ะ” เสียงทุ้มตอบอย่างเรียบๆอาจเพราะกลัวอารมณ์ของคนปลายสายก็ได้ เพราะจากประสบการณ์ที่รู้จักกันร่วม สิบ ปีเต็ม เรื่องการหลั่งเลือดนั้น…คนอย่างบลิทซ์มันทำจริงแน่!!! แถมยังทำด้วยหน้ายิ้มอีกต่างหาก !!! “พูดแบบนี้ก็จบแต่แรกแล้วนะครับ” เสียงตามสายพูดด้วยเสียงปรกติ “งั้นเดี๋ยวผมจะไปหานะครับ แล้วรูลก็รออยู่ตรงล่ะห้ามแว่บไปไหน ผมไม่อยากวิ่งโร่ไปทั่วเมืองตามหาตัวนายอีกนะครับ” สิ้นคำสัญญาณจากปลายโทรศัพท์ก็ถูกตัดลงทันทีอย่างไม่รีรอให้รูลพูดตอบ เด็กหนุ่มมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายแล้วอมยิ้มน้อยๆ นึกขำในทีท่าน้ำเสียงที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวราวกับเป็นผู้ปกครองที่ต้องคอยดูแลเด็กของบลิทซ์ และ ‘เด็ก’ ที่บลิทซ์ต้องดูแลใช่ใครที่ไหนไกลก็ตัวเขาเองนี่แหละ ลองคิดดูสิว่า คนอย่าง บลิทซ์ ซีซัส เด็กผู้ชายที่เกิดในตระกูลนักเวทเลือดบริสุทธิ์ในตำนานผู้ก่อตั้งองค์กรระดับโลกต้องมาวุ่นรอบเพื่อเมืองเดินว่อนตามหาเพื่อนสมัยเด็กอย่างเขา แค่นึกก็พาลจะให้หัวเราะก๊ากอย่างเป็นบ้าเป็นหลังชนิดที่ไม่อายคนรอบข้างออกมาจริงๆถึงเขาจะรู้ก็เถอะว่าต้นเหตุคือเขาเอง...แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆนี่นา... “ เฮ้อ…ก็การที่ได้แกล้งเด็กซื่อแถมยังบื้อไม่ทันคนน่ะมันสนุกจะตาย...ฮ่ะ ฮ่ะ ชักจะชั่วร้ายเกินไปแล้วสินะเรา...” ถ้อยคำจากปากเอ่ยอย่างสบายๆด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ สองมือยกขึ้นอ้อมด้านหลังสอดวางท้ายทอยก่อนจะเหยียดยิ้ม …ในสายตาของบลิทซ์แล้วเขาอาจจะเป็นเด็กที่ต้องให้ดูแล แต่สำหรับเขาแล้ว…บลิทซ์คือคนสำคัญ ที่ไม่อาจจะหาใครเปรียบได้ เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่งที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่ก็เหมือนมีสายใยบางๆที่โยงพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน สิ่ง...ที่เขารู้สึก...ผูกพันกับหมอนั่นมันมากกว่าคำว่าเพื่อนสนิท…มัน...เหมือนกับว่าบลิทซ์เป็นคนๆหนึ่งในครอบครัว คนสำคัญ…ที่เขาขาดไปไม่ได้...ก็อธิบายไม่ถูกนะแต่รู้แค่ว่าหมอนั่นคือคนที่เขาอยากปกป้อง...ก็พอแล้ว... และแน่นอนเลยว่ามันไม่ใช่เพราะ ‘ความรัก’ !!! เพราะต่อจะให้หมอนั่นมันสำคัญยังไงแต่เขาก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ!...ไม่ใช่พวกวิปริตอย่างที่ใครๆเขาใจผิดสักหน่อยหนึ่ง !!! แต่จะอะไรมันก็ช่างเถอะในเมื่อมันก็ออกจะดูเหมือนว่าเป็นเขาที่ต้องให้น้องชายคอยวิ่งตามดูแลอยู่ก็ตามทีเถอะ แต่ไอ้ที่การได้แหย่น้องชายคนนี้ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา ทั้งอีกนัยหนึ่งคืออยากจะสอนให้เด็กน้อยตากลมๆหน้าหวานๆ แสนซื่อที่ฉลาดในเรื่องที่คนอื่นเขาโง่แต่ดันโง่ในเรื่องที่เขาฉลาดกันอย่างบลิทซ์ได้รู้จักโลกภายนอกรั้วบ้านที่เหมือนกับปราสาทซะบ้าง ชายหนุ่มเดินลากขาเท้าเรี่ยกับพื้นสายตาสีแดงเข้มจัดที่ออกจะคล้ายกับสีเลือดดูแปลกประหลาดทอดมองไกลอย่างไม่มีจุดหมายก่อนจะชะงักที่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะการดีไซน์ตัวร้านนั้นคล้ายคลึงเรือนไม้ รายล้อมด้วยมวลมาลีเจ้าหญิงแห่งหมู่พรรณพฤกษา ร้านขายดอกไม้งั้นเหรอ... ถ้อยคำความนึกคิดปรากฏในโสตเท้าก้าวย่างไปด้านหน้าให้ใกล้กับตัวร้านอย่างไม่รู้ตัวราวกับถูกดึงดูดด้วนกลิ่นเย้าแห่งหมู่บุษบางาม ฝ่ามือหนายกขึ้นช้อนดอกไม้กลีบเล็กอย่างถนอมมือด้วยความกลัวช้ำ ดอกไม้เล็กสีสะอาดตัดกลีบกับสีนวลๆออกเป็นสีเหลืองที่แต้มประดับเหมือนกับนำพู่กันมาระบายยิ่งเข้าใกล้กลิ่นหอมหวานก็กรุ่นคลุ้งพาให้ต้องในภวังค์ “สนใจดอกไม้ดอกนี้เหรอคะ?” "อือ…" เสียงตอบคำถามดังในลำคอของรูลเบาๆ เด็กหนุ่มตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้าเจ้าของเสียงที่ถามเลยสักนิด ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วมือไปตามลายเส้นกลีบของดอกไม้ "นี่มันดอกอะไรเหรอ?" " White Daisy ค่ะ" เสียงปริศนาตอบอย่างร่าเริง เสียงที่สดใสไร้เดียงสาแต่ก็แฝงความเป็นผู้ใหญ่ในทีเรียกให้รูลละสายตาจากมวลดอกไม้นั้นหันไปมองกับเจ้าของเสียงทันทีราวกับต้องด้วยมนต์สะกดที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะอธิบายได้ ราวกับทุกสรรพสิ่งมิอาจเคลื่อนไหวคล้ายกับว่าร่างกายกำลังถูกเวทมนต์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงอะไรได้อีกราวกับ...ถูกสาปให้เป็นหินสลักอยู่ชั่วครู่...ไม่แม้แต่จะเข้าใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้น...แต่แค่เพียงครึ่งหนึ่งของเสี้ยววินาทีเท่านั้น...ภาพแรกที่ปรากฏฉากให้เห็นในดวงจักษุสีทับทิมเลือดงดงามคู่นั้นมัน… เรือนผมสีน้ำตาลแดงยาวถึงกลางหลังทอดประกายเป็นสีเพลิงกับแสงแดด ดวงหน้านวลขาวระเรื่อสีชมพูหวานใสได้รูป ริมฝีปากบางยกขึ้นส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้เขา ดวงเนตรสีฟ้าสะอาดราวกับวันฟ้าใสฉายแววในความซุกซนของเจ้าของแต่…ก็เต็มไปด้วยอบอุ่นที่เจืออยู่อย่างเต็มเปี่ยม รูลยกมือขึ้นทาบหน้าอกจับจังหวะเต้นระรัวของหัวใจที่ไม่ได้เป็นทำนอง ความคิดทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งที่เคลื่อนคล้อยตามกาลเวลา “เอ่อ…ราคา…เอ่อ…เท่าไร่…เหรอ...?” น้ำเสียงเข้มเอ่ยไม่เต็มคำ สายตาหลุบต่ำอย่างไม่กล้าสบตรง เออ...รู้แล้วน่าว่าสวยแต่...แล้วตูจะใจเต้นหาพระหาแสงอะไรวะเนี่ย?! เอ...หรือเพราะว่าอย่างนี้น่ะมัน... ... ตรงสเป็ค?...เฮ้ย!? ไม่ใช่!!! โอ๊ยๆๆๆ แกชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้วเว้ย ไอ้รูล !!! “กระถางละ 150 เครนส์ค่ะ” เสียงใสของหญิงสาวตอบเรียกความคิดอันไร้สาระให้ออกจากสมองของเด็กหนุ่ม พลางส่งรอยยิ้มที่กึ่งๆเหมือนจะเป็นเพราะทางการค้ามาให้เขา “เหรอ…เห…อืม งั้นขอฉันสักกระถางละกัน แล้วก็ช่วยจัดให้หน่อยนะ” รูลว่าแล้วกระแอมเบาๆ ถึงแม้เธอคนนั้นจะไม่รู้ความคิดของเขาแต่มันก็น่าอายอยู่ดีน่ะแหละ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเหยียดกายขึ้นเต็มส่วนสูง มุมปากบางยกขึ้นยิ้มพลางทอดตามองอย่างเลื่อนลอยตามร่างเล็กที่เดินลับเข้าไปในตัวร้านเพื่อจัดแจงตามออเดอร์ที่เขาสั่ง เหมือน...เทพธิดา…ในหมู่ดอกไม้เลยนะเนี่ย ? ! …ตั้งแต่เกิดมาสิบเจ็ดปีก็เพิ่งจะเจอคนสวยขนาดนี้ครั้งแรกเลยแหะ “มาอยู่ตรงนี้เองเหรอครับ รูล” เสียงเรียกสะกิดด้านหลังเล่นทำเอารูลสะดุ้งโหยงอย่างตกใจจนหลุดออกจากภวังค์ฝัน เขาหันหลังคล้อยกลับมามองชายเส้นผมสีนิลขลับดั่งฟ้าในคืนไร้แสงดาว ดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่จับจ้องมาทางเขาดูเหนื่อยล้า ลมหายใจที่พยายามปรับมิให้ถี่ส่งเสียงดังคล้ายหอบจากการวิ่งจนเหนื่อย เม็ดเหงื่อพุดพรายไหลตามลำคอก่อนที่แขนเสื้อขาวจะยกขึ้นปาดเช็ด “ ฮือ...จะมาก็มาแบบให้ซุ่มเสียงหน่อยสิ บลิทซ์ คนอย่างฉันก็ตกใจเป็นนะ” รูลเอ่ยขึ้นเบาๆน้ำเสียงเข้มบีบให้สูงน้อยๆฟังดูเป็นเชิงหยอกล้อ “เหรอครับ...ขอโทษนะครับเอ่อ..ตกใจมาไหม?”ถ้อยประโยคที่พูดด้วยน้ำเสียงซื่อๆตามวิสัยก่อนชายหนุ่มวัยสิบหกจะเอียงคอลงมองหน้าร้านดอกไม้ด้วยความฉงนปนสงสัยเมื่อเห็นคนอย่างรูลยืนอยู่ในที่แบบนี้ “ว่าแต่รูลมายืนทำอะไรตรงนี้เหรอครับ?” “ยืนหน้าร้านดอกไม้...มาซื้อข้าวมั๊ง? ถามแปลกเนอะฉันก็มาซื้อดอกไม้น่ะสิ" คำตอบที่ดูยั่วประสาทของรูลหลุดออกมาจากปากบลิทซ์นิ่วหน้าคิ้วขมวดในคำตอบนึกอยากจะลองเหวี่ยงหมัดหนักๆใส่ท้องของเจ้าเพื่อนคนนี้สักทีสองทีอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนที่ความคิดจะสัมพันธ์กับร่างกาย เสียงอีกเสียงก็ดังแล่นขึ้นขัดเสียก่อน “ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ อะ...อ๊ะ…!” เจ้าของเสียงหวานสดใสชะงักเท้าเมื่อเห็นคนอีกคน ในขณะที่บลิทซ์เองก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่เห็น นางฟ้า…เหรอ…? ความคิดอย่างเพ้อฝันราวกับไม่ใช่ตัวตนแล่นขึ้นสู่จิตสำนึก …หากบอกให้รูลได้รู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกเช่นไรคงโดนหัวเราเยาะไปจนวันตายแน่ แต่เขาก็คงยอมให้เป็นเช่นนั้น…ถ้าหากเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง…คนที่เหมือนกับไม่ใช่มนุษย์แต่…แต่เป็นนางฟ้า นางฟ้าที่จำแลงลงมา...ใช่…ความงดงามวิจิตรราวกับสิ่งที่พระเจ้าประทานนี้ มันทำให้เขาไม่อยากเชื่อว่าเธอคือมนุษย์สามัญ…
ทุกสิ่งเลื่อนผ่านตามความเป็นจริงของกาลเวลามีเพียงแต่ความรู้สึกของคนที่ยังติดอยู่นิ่ง…หากเทพแห่งกาลเวลาก็มิอาจจะพรากพาไปได้ แม้ตัวของเราเองยังไม่รู้เลยว่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนานเท่าไร่แต่ถึงอย่างนั้น…เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น เสี้ยววินาทีที่เรารู้สึกอยากจะ…แลกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตเพื่อยืดระยะเวลาออกไป…ให้นานเท่าที่สุด… “ ดอกไม้ค่ะ ทั้งหมด 140 เครนส์ ฉันลดให้น่ะ” เสียงหวานใสกับรอยยิ้มอบอุ่นของคนที่ถูกมองเป็น ‘นางฟ้า’ เอ่ยขึ้นแทรกราวกับว่าเทพแห่งเวลาต้องการคืนสติที่หลุดลอยไปให้กับผู้หลงทาง “เอ๋?รูล…นี่นาย!” บลิทซ์ร้องน้ำเสียงนุ่มๆเปล่งออกมาในความหมายกึ่งๆตกใจกึ่งไม่เชื่อว่าคนที่ตั้งแต่เด็กไม่เคยสนใจพวกพืชไม้ใบหญ้าอย่างรูลจะมาซื้อดอกไม้ “อะไรกันน่ะบลิทซ์ ก็ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะซื้อดอกไม้น่ะ" รูลพูดอย่างคนรู้ทันในความคิดของบลิทซ์ในฐานะของคนรู้จักกันนาน “นี่...ว่าแต่พ่อบุญทุ่มฉันขอร้องอะไรหน่อยสิ?” “ครับ...อะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยนัยน์ตาสีน้ำเงินฉายแววที่เต็มด้วยความสงสัย รูลกุมมือสองข้างของ บลิทซ์เอาไว้ยกขึ้นมาระดับอกก่อนที่เจ้าตัวจะก้มศีรษะตัวเองลงแนบกับมือเรียวงามคู่นั้น “ออกเงินให้หน่อยสิคร้าบ…” น้ำเสียงขี้เล่นเอ่ยเป็นเชิงขอร้องและอ้อนลูกถีบจากคนที่เป็น ‘พ่อบุญทุ่ม’ รูลเงยหน้าขึ้นมองส่องสายตาเจือประกายร้องขอความเห็นในสุดฤทธิ์เพราะกระเป๋าเงินแห้งจนไม่ติดก้นกระเป๋าอันว่างโบ๋เบ๋ จนทำเอาบลิทซ์ที่มองอยู่ถอดหายใจเฮือกใหญ่อย่างนึกปลงระหว่างกำลังแซะมือตุ๊กแกของรูลออกเพื่อที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ ถ้ารู้ว่าไม่มีเงินจะจ่ายแล้วจะซื้อทำไมล่ะครับเนี่ย ?! “ 140 สินะครับ นี่ครับ...เอ่อ เครดิตการ์ดได้ไหมครับ” ชายหนุ่มว่าเมื่อเห็นว่าเด็กสาวร่างบางพยักหน้ารับเขาจึงยื่นบัตรเครดิตให้ส่งให้อย่างไม่รีรอ พลันกระถางที่มีดอกไม้สีขาวชูช่อออกดอกอย่างงดงามห่อด้วยแผ่นพาสติกผูกโบว์สีชมพูรอบคอกระถางได้ลงสู่มือของเขาไวพอๆกับที่บัตรเครดิตถูกฉวยไปรูด บลิทซ์รับมาอย่างเก้ๆกังๆระคนกลัวว่าความซุ่มซ่ามที่ติดตัวมาแต่เกิดจะทำมันตกแตกเอา “ นี่ค่ะ White Daisy วิธีปลูกก็คือให้เราเลี้ยงในที่แดดอ่อนๆแล้วก็อย่ารดน้ำเยอะนักนะคะเดี๋ยวรากมันจะเฉาเอาหมด อ้อ!แต่ถ้าทำกระถางตกแตกล่ะก็ไม่ต้องทำตามที่บอกเมื่อกี๊นี้นะคะอย่างแรกให้เอามาเปลี่ยนที่ร้านด่วนๆเลยเดี๋ยวจะไม่ได้ปลูกเอานะคะ” หญิงสาวว่ายื่นบัตรเครดิตคืนพร้อมๆกับส่งใบสลิปให้เซ็นพลางเอ่ยแนะวิธีปลูกดอกไม้คล้ายรู้ว่า ‘คนซื้อ’ ต้องไม่รู้วิธีปลูกและ ‘คนออกเงิน’ จะทำกระถางดอกไม้ตกแตกก่อนเอาได้เอาไปปลูก... “ข…ขอบคุณครับ” บลิทซ์รับคำดวงหน้าคมคายที่ออกจะหวานไปนิดขึ้นสีระเรื่อระหว่างเซ็นสลิปก่อนจะหันไปหารูลที่ตั้งท่าหัวเราะกับท่าทางที่เลิ่กลั่กของเขา ดวงมณีสีน้ำเงินค้อนรูลจนตากลับอย่างไม่ใคร่พอใจ บลิทซ์ยื่นใบสลิปส่งให้ร่างบางก่อนจะคว้าคอเสื้อเจ้าเพื่อนตัวดีที่เตรียมตัวจะหนีจรลีกลับไปยังที่พักก่อนที่จะเกิดการฆาตกรรมตรงนี้ ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะเลยนะ! “ ผมกลับมาแล้วครับ เรสเทียร์ ” เสียงนุ่มเอ่ยทักเจ้าแมวน้อยสีขาวสะอาดดวงเนตรสีฟ้าหม่นที่นอนอยู่ข้างหน้าต่างบลิทซ์อุ้มขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะไล้ไปตามขนนุ่มสวยของมันเบาๆ พลางทอดสายตามองท้องฟ้าเวลาย่ำค่ำที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับเจือพู่กันระบายอย่างช้าๆ ตามเแสงสลัวยามโพล้เพล้ของดวงอาทิตย์ได้ลับหายไปยังเส้นสุดฟ้า พระจันทร์สีนวลค่อยๆลอยขึ้นมาแทนที่พร้อมกับเหล่าดวงดาวดวงน้อยดาดดาเป็นประกายระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยที่บินขึ้นไปยังแผ่นกระดานฟ้า แว่วเสียงหริ่งเรไรจากเหล่าแมลงที่กรีดเสียงดังระงมไปทั่วราวกับต้องการดับความเงียบเหงาของราตรีกาล ดวงมณีสีไพลินละสายตาที่ทอดมองความว่างเปล่าของหมอกมืดที่ค่อยๆเคลื่อนคล้อยตามธารลมมาบดเบือนแสงนวลอบอุ่นของดวงจันทร์ บลิทซ์หรี่ตาลงก่อนดวงตาจะปิดสนิท ศีรษะพาดพิงกับขอบหน้าต่างสลักราวกับปลดเปลื้องความอ่อนล้าที่สั่งสมมาทั้งวันให้ออกไปจากร่างกาย ปล่อยให้ความคิดไร้สาระทั้งหลายผ่านเข้าสู่สมองไปอย่างเนิบนาบ วันมะรืนนี้แล้ว…สินะ? เขายังจำได้ดี…ใช่ ยังจำได้ถึงวันนั้น…เมื่อสองเดือนก่อน วันที่สิ่งนั้นมาถึง...อย่างที่คาดเอาไว้ แม้ว่าคนอื่นจะมองเห็นว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าและใฝ่ฝันที่จะได้ครอบครองคำสรรเสริญว่าเป็น ‘คนที่ถูกเลือก’ แต่…สำหรับตัวเขาแล้วสิ่งล้ำค่าสิ่งนั้นมันกลับเป็นเหมือนใบบอกล่วงหน้าถึงวันประหาร… เมื่อวันที่รู้...อันที่จริงก็รู้มาตั้งนานแล้วว่าจดหมายเรียกตัวเพื่อเป็นคัดเลือกนักเรียนของโรงเรียนที่เป็นเลิศทั้งศาสตร์ของเทคโนโลยีและอำนาจแห่งเวทมนตร์ สถาบันที่เชื่อว่าได้ผลิตบุคคลากรชั้นยอดขึ้นมาเพื่อถูกเลือกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรระดับโลก…องค์กรรูน ...โรงเรียนวัลฮัลลา... วัลฮัลลาคือโรงเรียนที่ปูรากฐานอันยิ่งใหญ่แห่งรูน…โรงเรียนที่ถูกเรียกว่าเป็นดั่งสวรรค์ สถานที่มนุษย์สามัญที่ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกมิอาจเอื้อม… หากแต่เมื่อสิ่งนั้นมาถึงมือของเขาก็ราวกับว่าอิสรภาพอันน้อยนิดที่เคยมีได้ดับสิ้นลง ใช่ เพราะมันถึงเวลาแล้วไงล่ะ… เวลาของตัวหมากตัวหนึ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ ได้ออกไปเล่นเกมส์แห่งโชคชะตา ทั้งที่มันเป็นเหตุผลและทางเลือกที่ดีที่สุดสำรับชีวิตของเขา ใช่…ถ้าหากเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เป็นแค่นักเรียนระดับชั้นม.ปลายธรรมดาๆ…ไม่ใช่คนในตระกูลซีซัส ไม่ใช่คนที่ต้องเดินบนเส้นตรงที่ขีดไว้บนความหวังของทุกคนที่มองเขาราวกับเป็นเจ้าของชีวิตแบบนี้ และถ้าเขา...ไม่ใช้ผู้นำองค์กรรูนคนปัจจุบันแล้วล่ะก็... เรา…ก็แค่อยากจะเป็นคนธรรมดา ไม่ต้องเกิดมามีภาระที่มากเกินจะแบกรับไหวก็เท่านั้น… แม้อยากจะหลีกเลี่ยงอยากจะหลบหนีสักเท่าไรก็ไม่อาจจะทำได้…เพราะนั่นคือชะตากรรมของเขาชะตากรรมที่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนบ่าทั้งสองโดยมิอาจจะแบ่งให้ใครคนใดได้แม้แต่เพื่อนคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเองก็ตาม… “บลิทซ์…” เสียงเรียกที่แสนคุ้นหูดังขึ้นราวกับเรียกสติที่หลุดลอยเข้าสู้ห้วงนิทราของชายหนุ่มให้กลับมา ดวงตาสีน้ำเงินไพลินเปิดขึ้นอีกครั้งแม้จะยังคงเบลอๆอย่างคนที่วิญญาณเพิ่งเข้าร่างแต่บลิทซ์ก็หันกลับไปมองหาต้นเสียงตามสัญชาตญานที่มี …โดยหารู้ไม่เลยว่ามีอะไรบางอย่างรอเขาอยู่!!!
[action]เดินผ่านทางมา[/action] [action]เอ๊ะ!! นี่มัน มัน มัน ฟิคคนกันเองนี่นา[/action] [action]สู้เขานะครับเป็นกำลังใจให้[/action]
ป้าบ!!! เสียงของแพรขนผืนนุ่มชื้นน้ำ พุ่งตรงมาปะทะยังใบหน้าของบลิทซ์ทันทีจนเจ้าเรสเทียร์หลุดออกจากอ้อมกอดแล้วพองขนขู่ ใส่สิ่งแปลกปลอมที่ทำร้ายเจ้านาย “อ…โอย…” เสียงบลิทซ์โอดครวญความเจ็บปวดที่มีหลังจาก ‘ผ้าเช็ดตัว’ ที่ถูก ‘ปา’ มาฟาดกับหน้าร่วงไถลลงไปกองกับพื้นพรม ... ส่วนสาเหตุที่มันสามารถพุ่งมาโดนเขาง่ายๆอย่างนั้นอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ทันได้ตั้งตนเนื่องจากง่าถูกความง่วงครอบงำจึงเปิดช่องว่างให้ถูกโจมตีได้อย่างง่ายดายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน… “เล่นอะไรของนายน่ะครับ รูล!!!” แม้จะทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งแต่…การกระทำแบบหวังดีกึ่งประสงค์ร้ายอย่างนี้กลับเรียกให้อารมณ์โกรธของชายสูงศักดิ์วัยสิบหกขึ้นมาแทนที่!! บลิทซ์ยกมือขึ้นลูบจมูกโด่งสันที่เป็นรอยแดงจากความเจ็บปวด ดวงหน้างามคมคายเหลือบมองเจ้าตัวการในชุดคลุมอาบน้ำ ร่างกายสมส่วนที่มีรอยแผลจากประสบการณ์ต่างๆนานาของชายวัยสิบเจ็ดปีเปียกชุ่มด้วยน้ำอุ่นกรุ่นกลิ่นสบู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพราะเพิ่งจะก้าวออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำใสเกาะพราวบนเส้นผมสีเข้มก่อนจะถูกผ้าเช็ดตัวแห้งๆปัดเช็ดจนกระเซ็นรอบทาง รูลหย่อนกายลงนั่งกับปลายเตียงขยุ้มคอเรสเทียร์ที่กระโดดหนีหยดน้ำจากเส้นผมขึ้นมานอนข้างๆตัวพลางเงยหน้าขึ้นพูดน้ำเสียงเข้มดูร่าเริงจัดจนเหมือนคนไม่ปรกติ...ทางจิต “นี่นายรู้อะไรไหมอ่างอาบน้ำที่นี้อ่ะหรูชะมัดยาดเลยล่ะ อ๊ะ! แต่ฉันว่าถ้าเทียบกับของที่บ้านนายแล้วเล็กกว่าจมเลยล่ะ!” เมื่อพูดจบชายหนุ่มนิ่งคิดสักพักก่อนจะขยับริมฝีปากบางขึ้นพูดขึ้นอีกครั้ง “ นายน่ะ ไปอาบน้ำเถอะ ทำหัวให้เย็นๆซะจะได้ไม่ต้องคิดมาก” คำพูดที่ราวกับจะหยอกเย้าแต่แฝงไปด้วยความหมายในตัวทำให้บลิทซ์นิ่งงันกับดวงจักษุสีโลหิตที่สบมายังเขาราวกับรู้ถึงความในใจที่มิอาจจะระบายกับใครได้ “ครับ…ขอบคุณครับ” น้ำเสียงเรียบง่ายของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเบาบางราวกับจะหายไปในสายลมดวงเนตรสีไพลินเจือความหมองก่อนชายสูงศักดิ์จะขยับร่างสูงก้มลงเก็บผืนผ้าเช็ดตัวที่กองอยู่บนพื้นกลับมาพาดไว้กับที่ บลิทซ์ยกมุมปากขึ้นแสดงรอยยิ้มน้อยๆที่เต็มไปด้วยความเศร้า “ถ้าอย่างนั้นผม….ขอตัวนะครับ” รูลยิ้มรับก่อนยกมือขึ้นโบกไล่ให้ชายหนุ่มรีบๆไปทำธุระในห้องน้ำโดยเร็ว บลิทซ์พยักหน้ารับพลางสาวเท้ายาวๆเดินไปทางประตูห้องน้ำอย่างว่าง่ายหากหากแต่ก่อนที่ประตูห้องน้ำจะปิดสนิทลง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฎบนใบหน้าคมเข้มของชายเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลดำ “ฉันช่วยอาบให้เอาไหม พ่อคุณชาย?” บลิทซ์ชะงักมือที่ กำลังจะปิดประตูหลังจากได้ยินคำพูดไม่รื่นหูแถมฟังดูให้ความหมายที่พิลึกจนน่าเข้าใจผิด คิ้วเรียวเลื่อนขมวดอย่างไม่ใคร่พอใจ ริมฝีปากบางยกขึ้นขยับเอ่ยคำพูด “อย่าดีกว่าครับ….ผมเกรงใจ” สิ้นประโยคบานประตูก็ถูกปิดกระแทกลงอย่างรุนแรงส่งเสียงดังจนรูลพ่นเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอเมื่อเห็น ‘ปฎิกริยาตอบสนอง’ ของคนที่ถูกแกล้ง รูลเอนร่างล้มลงนอนบนเตียงแรงๆจนเรสเทียร์ต้องกระโดดตัวหลบก่อนโดนรูลทับจนแบนติดหมอน นัยน์ตาสีแดงเลือดทอดยาวมองประตูไม้ขัดมันที่ถูกปิด ก่อนขยับรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนให้กับคนที่อยู่หลังม่านประตูแม้เจ้าตัวจะมองไม่เห็นก็ตาม พยายามเข้านะ…เพื่อนรัก สิ่งที่ฉันทำให้นายได้คงมีแค่นี้... หลังบานประตู บลิทซ์ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยระอาในนิสัยที่เล่นได้ไม่เลือกเวลาของคนที่เป็น‘เพื่อนสนิท’ ร่างสูงก้าวเดินไปหยุดนิ่งที่หน้ากระจกบานใหญ่ก่อนอาภรณ์เครื่องแต่งกายมีราคาจะถูกปลดออกมาวางพับไว้อย่างมีระเบียบ เผยให้เห็นถึงร่างกายท่อนบนที่สมส่วน พลันดวงตาสีน้ำเงินเข้มจะเหลือบไปเห็นสิ่งสะดุดตาที่ชายหนุ่มสูงใส่บนคอเรียวระหง บลิทซ์ยืนนิ่งมองสิ่งที่ฉาบฉายบนในกระจกใส มือหนายกขึ้นสัมผัสสร้อยคอสายโซ่สีเงินที่ส่องประกายสุกสกาวสะท้อนกับแสงของหลอดไฟนีออนก่อนจะหลุบสายตามองผลึกงามสีสะอาดซึ่งเป็นจี้คล้องระหว่างโซ่ พลันที่มือของชายหนุ่มจะเลื่อนลงมาสัมผัสกับผลึกนั้นอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มขุ่นลงอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวยาวเลื่อนขึ้นปลดตะขอโซ่ก่อนวางสายลงบนมืออย่างถนอมทั้งที่ดวงตานั้นมองอย่างไร้แววของความเป็นสิ่งสำคัญ…ทั้งที่เป็นของที่สำคัญที่สุด...เป็นสิ่งที่ต้องปกป้องด้วยชีวิตแต่… ในดวงเนตรของชายหนุ่มสั่นระริกเป็นประกายราวกับถูกเคลือบด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่จะตัดสินใจวางสร้อยเส้นนั้นลงกับชั้นวางของ เพราะอะไรกัน…ทำไมเราถึงต้องปกป้องสิ่งที่เรา…เกลียดด้วยล่ะ? ร่างสูงก้าวเดินเข้าสู่ประตูห้องอาบน้ำ เอื้อมมือเปิดก๊อกน้ำของฝักบัวปล่อยให้สายน้ำหลั่งไหลรินลงมาชโลมร่างกายราวกับเพื่อลบล้างความเจ็บปวดที่หยั่งรากฝังแน่นและติดตรึงในหัวใจ ตราบาปที่มิอาจจะลบเลือนแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด….เพราะตัวเรามันอ่อนแอใช่…เพราะอ่อนแอ ถึงได้ปกป้องอะไรไม่ได้…ปกป้องคนสำคัญไว้ไม่ได้…คุณพ่อ…โดมิเนี่ยน…ผม…ผม ผมขอโทษ… หลังจากปล่อยเวลาล่วงเลยไปสักพักกายสูงสง่าของชายสูงศักดิ์จึงก้าวออกมาจากประตูห้องอาบน้ำ ร่างกายสูงสมส่วนที่พรมด้วยหยดน้ำสะอาดถูกสวมทับด้วยเสื้อคลุมนุ่ม เส้นเกศาสีดำขลับเปียกชุ่มด้วยน้ำอุ่นๆจากปลายฝักบัวได้ถูกผ้าขนหนูผืนเล็กวางทับเพื่อปัดไล่ความชื้น บลิทซ์ยกชายผ้าขึ้นมาเช็ดใบหน้างามที่ถูกหยดน้ำจากเส้นผมไหลรินลงมาอาบแก้มใส พลันที่ดวงไพลินมณีจะเห็นว่ามีร่างของใครบางคนที่คุ้นเคยดีกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงโดยที่ยังคงสวมเสื้อคุมอาบน้ำ บลิทซ์ยืนมองรูลนอนที่เคลิ้มอยู่ในฝันเคียงข้างกับเจ้าแมวสีขาวปลอดของเขาที่นอนขดอยู่อย่างนึกระอากึ่งว่าจะหมั่นไส้ ในเมื่อเจ้าตัวดีก็น่าจะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนนอนไม่ได้หรือไงกันนะ แถม…เตียงตัวเองก็มีทำไมไม่นอน ทำไมต้องมานอนเตียงของเราด้วยล่ะเนี่ย?! สุดท้ายก็ทั้งฉุดทั้งดึงจนกว่าเจ้าตัวดีจะตื่นขึ้นไปนอนที่เตียงของตัวเอง แต่ก็นั่นประไรอย่างไรเสียเขาก็มีความสามรถพอแค่ที่จะปลุกจอมขี้เซาได้ดีที่สุดเท่านี้แหละ เพราะไม่ว่าจะยังไงรูลก็ยังคงหลับทั้งชุดคลุมอาบน้ำอยู่ดี…
มาต่อแล้วค่ะ /me ออกจากไห บทที่ 1 Raincanation of crisis ที่ 2 แสงสว่างที่สาดส่องลงมาในความอ่อนโยน ซ่า!! เสียงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกสาดซัดมากระทบกับดวงหน้าคมคาย ความเย็บแปลบปลาบที่พุ่งมากระทบกับใบหน้าเรียกให้ชายหนุ่มที่หลับไหลอยู่หลุดพ้นจากห้วงนิทรารมย์ ดวงตาสีแดงเลือดเปิดขึ้นมาอย่างงัวเงียพลางสะบัดไล่หยดน้ำที่เปียกเปรอะเส้นผมสีเข้ม รูลเคาะศีรษะสอง สามครั้งเพื่อเป็นการเรียกสติของตัวเอง ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหันดวงหน้าคมเข้มไปทางเพื่อนหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าก็เห็นว่าบลิทซ์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยืนอยู่ข้างเตียงของตน ฝ่ามือกำแก้วใสที่เมื่อราวนาทีก่อนเคยบรรจุน้ำเย็นเฉียบ รูลทำหน้าเหวออย่างคนเดาเหตุการณ์ออกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “โธ่…บลิทซ์ขออีกห้านาทีไม่ได้เหรอ?” “ห้านาทีครั้งที่เท่าไร่แล้วครับ? ถ้าผมไม่ทำแบบนี้นายก็ไม่ตื่นหรอก” เสียงนุ่มของบลิทซ์ได้เจือความเหนื่อยอ่อนไว้กับน้ำคำ “น่านะครั้งสุดท้ายแล้ว น๊าๆ” เสียงรูลบีบเสียงทำทีอ้อนเหมือนลูกแมวพลางไสหัวกับท่อนแขนของชายหนุ่มไปมา “ครั้งสุดท้ายแต่รอบที่ร้อยสินะครับ นี่ครับ น้ำ จะได้ตาสว่างคือผมมีเรื่องจะถามด้วย” บลิทซ์ว่าแล้วพลักเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของรูลออกจากแขนของตน ก่อนจะหยิบเหยือกใสบรรจุน้ำอุ่นบนโต๊ะเคียงกั้นระหว่างสองเตียงมารินใส่แก้วพร้อมกับยื่นให้รูล “จะบอกอะไรดีๆให้นะที่จริงฉันตื่นเต็มตาตั้งแต่โดนน้ำสาดแล้วล่ะ บลิทซ์น้อยเอ๋ย….” รูลเอ่ยขึ้นก่อนยกมือขึ้นรับน้ำจากมือของชายสูงศักดิ์ ส่วนบลิทซ์ได้แต่ลอบถอนใจอย่างปลงตก “แล้วเรื่องที่จะถามกระผมล่ะขอรับ ท่านชาย?” “เอ่อ…รูลครับ...คือเรื่องเอ่อ...เรื่องนั้นน่ะครับ…” บลิทซ์เอ่ยน้ำเสียงบางพลางก้มหน้าลงนิ่งดวงตาเจือความกังวลที่คนกำลังดื่มน้ำอยู่จับได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร “หืม...? เฮื่องฮัลฮัลฮาฮะเฮรอ?” รูลพูดด้วยคำพูดที่ฟังแทบไมรู้เรื่องราวกับเป็นภาษาต่างดาวนั่นก็เพราะปากยังจ่ออยู่กับปากแก้วน้ำ “อ่ะ...เอ่อ…คือ…ดื่มน้ำให้หมดแล้วค่อยพูดก็ได้ครับ” รูลกลืนน้ำที่อยู่ในปากทั้งหมดลงลำคออึกใหญ่ๆก่อนจะพูดด้วยคำพูดคำเดิมที่ฟังดูแล้วเป็นภาษาของคน “เรื่องวัลฮัลลาน่ะเหรอ?” บลิทซ์ยิ้มเศร้าๆไม่ได้พูดตอบเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย รูลเลิกคิ้วพลางยักไหล่ “ให้ตาย...นายก็รู้นี่ ว่าถ้านายอยู่ที่ไหนฉันก็อยู่ที่นั่นน่ะแหละเพราะว่าถ้าฉันไม่อยู่กับนายก็ไม่มีคนออกค่าปัจจัยให้ฉันน่ะสิ !” พอพูดมาถึงตรงนี้เรียกให้บลิทซ์กุมขมับอย่างกึ่งจะปลงตก...ไม่น่ามาถามมันเลยให้ตายสิ … “แล้วอีกอย่างคนที่สังกัดกับรูนอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสอบเข้าด้วยแต่...ถ้านายไม่เต็มใจจะไปที่นั่นฉัน…ก็ไม่ไปหรอก” รูลยิ้มให้บลิทซ์อย่างอ่อนโยน บลิทซ์ยิ้มตอบแทนคำขอบคุณก่อนริมฝีปากบางจะขยับยกขึ้นพูด “แต่...สำหรับผม...ถึงไม่อยาก...ยังไงแล้ว ผมก็ต้องไปเรียนที่นั้นอยู่ดี นั่นแหละครับ” ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งเคียงข้างเพื่อนคนสนิทก่อนถูกรูลดึงศีรษะโน้มลงกระชับกับมือ บลิทซ์หลับตานิ่งปล่อยให้รูลไล่มือตามเส้นผมสีดำขลับราวกับเป็นคำปลอบใจ “เพราะมันเป็นหน้าที่ของผู้นำองค์กรสินะ…บลิทซ์?” บลิทซ์หลับตาลงนิ่งสัมผัสถึงความชื้นใต้ขอบตาที่ร้อนผ่าว ใช่ เพราะมันเป็น…หน้าที่ หลังจากที่ต้องนั่งคุมรอรูลจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จก็เล่นปาเข้าไปเที่ยงกว่า ก็ในเมื่อเจ้าตัวดีนั่นน่ะพอเผลอเป็นไม่ได้เป็นอันต้องงีบหลับได้ทุกครั้งไป...ถ้าไม่คุมก็คงจะหลับคอพับหัวพิงกำแพงนั่งอยู่บนชักโครกแหง...ไม่รู้ว่าง่วงอะไรนักหนานะ รออยู่จนนานกว่าที่จะได้ก้าวออกจากธรณีประตูเกือบๆจะบ่ายโมงครึ่ง ถามว่าเพราะอะไรถึงนาน...หนึ่งคือ มันนั่งหลับในห้องน้ำไปชั่วโมงหนึ่ง...สองคือมันนอนเกือกอยู่บนเตียงเล่นกับเรสเทียร์ทั้งชุดคลุมจนขนแมวติดตัวต้องไปอาบน้ำใหม่อีกครึ่งชั่วโมง...นี่ยังไม่รวมเวลาแต่งตัวอีกนะ อะไรมันจะขนาดนั้นนะครับเนี่ย !! ในทันทีที่ออกมาจากห้องได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองให้เสร็จภายในวันสุดท้ายก่อนเปิดเทอม ธุระของรูลคือต้องตรงไปส่วนกลางของศูนย์ระเบียนนักเรียนในการยื่นเรื่องและทำการยืนยันสถานะนักเรียนระดับพิเศษ...ในวันสุดท้าย…ทั้งที่เขาเปิดทำการมาเกือบเดือน! นั่นน่ะแหล่ะรูลของแท้ !! ถ้าให้คิดตามนิสัยของคนคนนั้นแล้วหากไม่จวนตัวจริงหรือใกล้เส้นตายต่อให้ฉุดด้วยช้างก็ไม่มีความคิดที่จะทำ! ...ส่วนบลิทซ์ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้มีธุระหรือกงการอะไรเป็นพิเศษทั้งนั้นเพราะจัดการเรื่องงานทางองค์กร เอกสารของวันนี้เคลียร์เสร็จเรียบร้อยล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้วอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาว่างจนต้องเดินแกร่วไปมาได้ก็คงเป็นจะเพราะเขาได้ยื่นเรื่องเข้ารับการศึกษาเป็นนักเรียนใหม่ตั้งแต่เดือนที่แล้วในวันเปิดรับวันแรกแถมอาจจะเป็นคนแรกด้วยซ้ำ… ถึงแม้ว่านั่นมันจะเป็นการจัดการอย่างเอาแต่ใจโดยไม่แม้แต่ปรึกษาอะไรก่อนของคนที่เขาเรียกว่า ‘แม่’ ก็ตามทีเถอะ “ว่าแต่...แล้วนี่เรา จะไปทำรอรูลอะไรดีนะ?” บลิทซ์พึมพำคำถามกับตัวเองระว่างย่างก้าวเดินบนทางเท้าเล็กๆอย่างไร้ที่ไป ชายหนุ่มทำทีไม่สนใจผู้คนขวักไขว่ส่วนทางที่ลอบมองมาทางเขาก่อนจะถูกหลบสายตาทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นเมื่อรู้ว่าถูกคนที่ ‘ถูกมอง’มองกลับ บลิทซ์หลับตานิ่งลอบถอนใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายจากปฏิกริยาคุ้นเคยที่คนอื่นจะมองตนในฐานะของสิ่งที่ ‘แปลกแยก’ พลางก้าวเดินต่อไปพยายามไม่สนใจกับเสียงที่ซุบซิบที่เล็ดรินเข้าสู่โสตอย่างไม่ตั้งใจ เบื่อจัง…ไม่มีที่ไหนในเมืองนี้เลยเหรอไงนะที่จะ…สงบ พลันที่ชายหนุ่มได้ละฝีเท้าลงทันทีที่ภาพหนึ่งปรากฏแล่นทันความนึกคิดแม้เจ้าตัวเองก็มิอาจจะปฏิเสธได้ทันและทำความเข้าใจว่าเพราะมีเหตุผลใดถึงต้องเป็นที่นั่น… สวน…เอเดน แสงเรืองสีทองแห่งดวงสุริยาส่องสว่างลอดตามกิ่งแมกไม้สาขาแห่งต้นไม้ใหญ่มายมากเหลือคณานับ รายเรียงขนาบข้างตามริมทางเดิน กับร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มเดินหลบเลี่ยงแสงอันร้อนระอุในเวลาเที่ยงใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ แสงแดดสะท้อนกระทบกับเกศาสีดำสนิท บลิทซ์ทรุดกายลงนั่งข้างสระน้ำพุที่น้ำใสๆพวยพุ่งขึ้นสู่ที่จนสูงละอองน้ำกระเซ็นไปด้านข้างตามแรงโน้มถ่วงประพรมเส้นผมสีขลับ เสียงหัวร่อต่อกระซิกของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นกันรอบริมสระผนวกกับเสียงดนตรีจากหมู่นกที่ขับขานทำให้รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามราวกับเทพาบันดาล บลิทซ์เงยหน้าขึ้นรับลมเย็น รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ต่างจากความรู้สึกอึดอัดตอนที่อยู่ในตัวเมืองลิบลับ เพราะแม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงสวนสาธารณะเล็กๆที่ไม่เห็นถึงความสำคัญสำรับชีวิตเร่งรีบของคนในเมืองก็ตามแต่… แต่…ที่นี่มัน…ก็ทำให้คิดถึงในที่ๆจากมาเสียเหลือเกิน ที่ๆเขาเองคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้กลับไปอีกแล้ว หากทำได้ก็คงจะเป็นเพียงแค่ห้วงคำนึงถึง… “เจอกันอีกแล้วนะคะ” เสียงหวานอ่อนโยนเอ่ยขึ้นทักราวกับเรียกสติที่หลบอยู่ในภวังค์ของชายหนุ่มให้กลับมา ทันทีที่ดวงเนตรสีไพลินเปิดขึ้นเขาก็พบบุษบาแสนบอบบาง ดอกไม้ช่อสีม่วงอ่อนจนเกือบเป็นสีฟ้าตัดกับสีขาวนวลจากปลายกลีบจับกลุ่มเป็นช่อเล็กๆ จนเผลอทำให้ชายหนุ่มถูกสะกดในความหลงใหลในความงาม “for get me not มีความหมายตรงตัวว่า ‘อย่าลืมฉัน’ ค่ะ” ถ้อยคำเสียงหวานที่แสนคุ้นหูอย่างน่าประหลาดทำให้ชายหนุ่มละความสนใจจากดอกไม้อย่างไม่มีเหตุผล บลิทซ์เงยดวงหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียงอันแสนไพเราะ พลันภาพที่ประจักษ์ในจักษุโสตจะทำให้ชายหนุ่มถึงกับตกใจจนแทบสิ้นสติ หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มจนออกแดง แลคล้ายสีเพลิงกับเนตรสีฟ้าใสสะอาดราวกับสายนที ที่แม้มองผ่านก็พาลจะถูกสะกดด้วยแววตาสีอ่อนโยนคู่นี้ ริบฝีปากบางได้รูปขยับยกขึ้น ใบหน้าสวยหวานถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น เธอ...คือผู้หญิงคนๆเดียวกับคนที่เขาพบเมื่อวาน และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นระสับแม้เพียงเสี้ยววินาทีแรกที่พบ...และคนๆนี้ที่ว่านั้นกำลังยืนยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาอยู่เบื้องหน้า…!? “ห…ให้ผมเหรอครับ?” เสียงนุ่มพาลสั่นเครืออย่างบอกไม่ถูกราวกับคำพูดทั้งหมดจะถูกกลืนหายไปในแววตาสีฟ้าใสคู่นั้น “ค่ะ...ฉันคิดว่าดอกไม้ดอกนี้คงจะเหมาะกับคุณ” เด็กสาวขยับรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรทำให้เด็กหนุ่มกล้าที่จะเอื้อมมือที่จะเข้าไปสัมผัสดอกไม้ดอกนั้น…เปรียบเสมือนกับเป็นมิตรภาพใหม่ที่เธอได้มอบให้กับเขาพลันที่ดวงหน้าจะขึ้นสีชมพูอ่อนๆอย่างไม่รู้ตัว “นอร์เฟรเซีย...” “เอ๋?” บลิทซ์ร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ เด็กสาวยกมือขึ้นทาบระหว่างอกราวกับเป็นการชี้เฉพาะเจาะจงมายังตน “ชื่อของไงฉันคะ นอร์เฟรเซีย ครูสเซอร์ ยินดีที่พบกันอีกนะคะ...บลิทซ์” “เอ่อ…รู้จักชื่อของผมด้วยเหรอครับ?” บลิทซ์ถามพลางหลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองตรง รู้สึกใจเต้นแปลกๆอยากบอกไม่ถูก นอร์เฟรเซียเลิกคิ้วเรียงเหนือดวงเนตรสีน้ำขึ้นก่อนจะสาวเท้าไปใกล้พลางหย่อนกายลงนั่งข้างๆชายหนุ่ม “ก็เราเคยเจอกันมาก่อนนี่คะ” นอร์เฟรเซียพูดน้ำเสียงหวานฟังดูร่าเริงก่อนจะขยับรอยยิ้มจางๆให้ร่างสูงข้างๆ เคยเจอ…ที่ร้านเมื่อวานสินะ? แล้วรูลก็เรียกชื่อของเรา …เอ๋…ร้าน…?! “อ๊ะ! ว่าแต่ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอครับ?” บลิทซ์เอ่ยเปิดประเด็นคำถามด้วยน้ำเสียงซื่อก่อนจะต้องชะงักลงด้วยความไม่เข้าตัวเองว่าจะถามคำถามไร้สาระอย่างนี้ไปทำไม นอร์เฟรเซียไกวขาเรียวยาวมาพลางอมยิ้มน้อยๆอย่างรื่นเริง “อ๋อ…ร้านนั้นไม่ใช่ร้านของฉันหรอกค่ะแค่ไปช่วยดูแลร้านแทนเจ้าของเท่านั้นเอง เรียกง่ายก็ทำงานพาร์ทไทม์น่ะค่ะ ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนเกือบจะเป็นหัวเราะ “อ๊ะ!แต่ว่า ไม่ใช่แค่เท่านั้นนะคะฉันยังทำงานที่ร้านอาหาร ช่วยงานร้านขายของเอย ช่วยคุณพ่อดูแลโบสถ์ อ๊ะ!อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าพาร์ทไทม์ได้หรือเปล่านะคะแต่ว่าก็ได้เงินนะ แล้วนอกจากนี้ก็…” เธอว่าพลางไล่นับนิ้วตามคำพูดก่อนจะชะงักนิดหนึ่งด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนแต่…ก็เจือกระแสของความเศร้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม “ดูแลเด็กกำพร้าค่ะ” “ค...คุณ” บลิทซ์เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กสาวดูเงียบลง นึกสงสัยว่าเช่นใดรอยยิ้มแสนสดใสเมื่อครู่จึงจางหายไป ถึงแม้จะแปลกใจตัวเองอยู่ไม่หายว่าทำไมถึงต้องสนใจในเรื่องของคนแปลกหน้ากันด้วยนะ ? ทั้งที่ปรกติก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง…เพราะอะไรกันนะ…ไม่เข้าใจเลย “อ๊ะ!!” เสียงใสร้องขึ้นดันพลันทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้วยอารามตกใจจนทำให้ชายสูงศักดิ์ลื่นไถลลงแถมยังพลาดทำเอาศีรษะไปโขกกับขอบสระน้ำพุที่เขาใช้ต่างที่นั่งไปอีกต่างหาก “โอย…”เสียงนุ่มร้องครางสบถถ้อยคำแทนความเจ็บปวดพลางคลำศีรษะป้อยๆตามนิสัย ทำตัว...ซุ่มซ่ามให้คนอื่นเห็น...อีกแล้วสิ...เรา... น่าขายหน้าชะมัด... “อ๊า!!! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ข…ขอโทษค่ะ” นอร์เฟรเซียร้องลั่นก่อนทรุดกายลงนั่งชันเข่าขนาบข้างชายหนุ่มที่ถึงเขาจะซุ่มซ่ามขนาดไหนแต่การล้มอย่างเสียท่าแบบนี้น่ะไม่เคยมีใครได้เห็นเลยสักคน…นอกจาก…เจ้าเพื่อนสมัยเด็กคนเดียว “ขอโทษผมทำไมครับคุณไม่ได้ผิดนี่ครับ? ” บลิทซ์เอ่ยประสาซื่อก่อนจะลุกขึ้นโดยการประคองจากหญิงสาว พลางขยับมือลงปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามเนื้อผ้าสีดำสนิท ก่อนจะทำทีโล่งใจเมื่อเหลียวมองดอกไม้ที่ได้รับมอบมายังคงอยู่ในสภาพดี “ว่าแต่เป็นอะไรไปครับร้องซะดังเชียว?” “พอดีนึกขึ้นได้น่ะค่ะว่ามีธุระ” นอร์เฟรเซียเอ่ยพลางตรวจสภาพภายนอกของบลิทซ์ราวกับเป็นสิ่งบอบบางที่กลัวว่าจะแตกสลายเอาง่ายๆ “ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกครับไม่ต้องห่วงหรอก” ราวกลับชายหนุ่มจะอ่านใจออกหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะประสบณ์การณ์ที่เขาเคยเจอมามาก…ทุกทีสินะ...ไม่ว่าใครก็เห็นว่าเราเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการปกป้องเสมอๆ…ทั้งๆที่เราต่างหากที่อยากจะเป็นฝ่ายที่ได้ปกปกป้อง... …ปกป้องคนสำคัญ…