อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 11 - นับถอยหลัง Updated 13/1

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย repeat, 15 ธันวาคม 2007.

  1. Gow27

    Gow27 Board Protector

    EXP:
    144
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    เรื่องนี้สุดยอด ฮาขี้แตกขี้แตน

    อ่านไปถึงตอนเกือบ 20 ละ เดี๋ยวต้องอ่านใหม่ เพราะเริ่มลืม
  2. spao99

    spao99 Detonator

    EXP:
    810
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    อ่าว มีมา รีไรท์ ใหม่ด้วย :confused:! ไม่ได้แวะเข้าหมวดฟิคเลยไม่รู้

    แต่เวลาอ่านไม่ค่อยมีแล้ว...ถ้าผมว่างงานจัด หรือปิดเทอม ไม่มีอะไรทำ คงได้แวะมาดู :)
    [action]งานเยอะจัง... T-T เฮ้อ...[/action]
  3. leaf

    leaf New Member

    EXP:
    1,279
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    นาวาอวกาศไคต์ นึกว่าใคร ปู่Kitนี่เอง
    พออ่านไปแล้วนึกถึงหน้าตัวจริงไป แล้วฮาไม่หยุดเลย

    รู้สึกหน้าพีทในภาพวาดจะหล่อกว่าคนอื่นเลยเนอะ :D
  4. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    ก้ากๆๆๆๆ คิดถึงรหัสผ่านท่านพี่เซิร์นมากมาย เป็นมุขที่ผมชอบมากๆเลยแหละ

    เหมือนรู้สึกเหมือนเนื้อเรื่องมันเปลี่ยนๆไปนิดๆ คอยชมตอนต่อไปอยู่นะคับพี่พีท
  5. obtheair

    obtheair Grado fullsize เทพกว่า Klipsch in-ear

    EXP:
    1,643
    ถูกใจที่ได้รับ:
    22
    คะแนน Trophy:
    98
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    ประกาศ ดองชั่วคราวจนกว่าหลวงพี่พีทจะสึก
  6. Gow27

    Gow27 Board Protector

    EXP:
    144
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    เห็นว่าสำนักพิมพ์สถาพร ไม่รับเรื่องนี้ เพราะว่า มุขตลกมันเยอะเกิน - -a
  7. Sybil

    Sybil New Member

    EXP:
    57
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    อนุโมทนากับหลวงพี่พีทด้วยเจ้าค่ะ

    จะรอๆ เรื่องนี้มันส์หยด ฮิฮิฮิ
  8. leaf

    leaf New Member

    EXP:
    1,279
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    อนุโมทนากับหลวงพีทด้วยครับ
  9. Gow27

    Gow27 Board Protector

    EXP:
    144
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    เพิ่งมาอ่าน... มุขตลกมันหายไปจริงๆ ด้วย กลายเป็นเรื่องเครียดเลยนะเนี่ย ...

    แบบนี้ต้องอ่านซ้ำอีกรอบซะแล้ว
  10. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars

    All Final Wars #4

    เขาไม่คู่ควร

    [​IMG]

    ศูนย์บัญชาการกองทัพพิทักษ์จักรวาลในเวลานี้ กำลังแตกตื่นกับการกระทำอันบ้าบิ่นของนาวาอวกาศตรีทริกเกอร์ ทิงอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สังหารผู้บังคับบัญชา และลักลอบขโมยอะไหล่ แต่ยังหลบหนีไปพร้อมกับหมายคำสั่งลับตามล่าลอร์ด927 อาชญากรระดับหนึ่ง จอมพลอโลฮา โกโมราได้ออกคำสั่งไปถึงกัปตันยานรบหุ้มเกราะของกองกำลังอวกาศยานภาคที่หนึ่งทั้งสามสิบสี่ลำ ไม่รวมแบล็คสมิธของกัปตันไคต์ซึ่งอยู่ในระหว่างการปลดออกจากภารกิจเนื่องจากขาดกัปตัน เพื่อให้ช่วยกันตามล่าหาตัวทริกเกอร์กลับมาลงโทษ ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายมากไปกว่านี้ ภารกิจสืบหาที่ตั้งของกองกำลังปลดปล่อย927ต้องเป็นความลับสุดยอด และสำคัญชนิดพลาดไม่ได้ เนื่องจากระดับความอันตรายของลอร์ด927ในสายตาประชาชนนั้นเป็นเพียงข้อมูลลวงที่กองทัพปล่อยออกไปให้ดูเหมือนเป็นเพียงกองกำลังย่อยๆที่ไม่มีความหมาย เพราะถ้าสถานะความอันตรายที่แท้จริงของกองกำลัง927รู้ระแคะระคายไปถึงหูของประชาชนได้ นั่นย่อมทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ไม่พอใจราชวงศ์ลุกฮือเข้าร่วมกับพวก927 ซึ่งหมายถึงสงครามจะต้องก่อตัวขึ้นแน่นอน เวลานี้แม้กองกำลังปลดปล่อย927จะยังไม่สร้างผลกระทบใดๆต่อความมั่นคงในการปกครองของราชวงศ์นัก แต่การมีตัวตนอยู่ของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของราชวงศ์ก็สร้างความปั่นป่วนให้กองทัพได้มากพอตัว และยิ่งเป็น ลอร์ด927 อดีตจอมพลเรือธง ผู้นำกองทัพอวกาศยานทั้งหมด ตั้งตนขึ้นเป็นศัตรูเองเช่นนี้ ความวิตกทั้งหลายจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่สภาพของกองทัพยังไม่พร้อมต่อศึกใหญ่เช่นนี้ การปฏิวัติครั้งใหญ่เมื่อสิบปีก่อนได้สร้างความเสียหายให้กองทัพและราชวงศ์อย่างใหญ่หลวง บุคคลสำคัญและนายทหารบัญชาการมากมายตายในสนามรบ และอีกไม่น้อยกลายเป็นกบฏซึ่งถูกประหาร เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของกองทัพครั้งใหญ่เลยทีเดียว นายทหารที่เข้ามารับตำแหน่งในภายหลังก็ล้วนแต่ด้อยประสบการณ์ ทำให้กองทัพอ่อนแอลงไปมาก จนสิบปีมาแล้วนายทหารชั้นเสนาธิการที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงความยิ่งใหญ่เมื่อครั้งอดีตได้เลย

    “ท่านจอมพลอโลฮา นาวาอวกาศเอกทรอปปิคอลแห่งเฮลไฟร์69มาถึงแล้วครับ” นายทหารรักษาประตูเดินเข้ามารายงาน จอมพลอโลฮาซึ่งกำลังจะจุดกล้องยาสูบพอดี

    “ให้เข้ามาได้” จอมพลใหญ่หย่อนเส้นไฟลงในกล้องยาสูบ ไม่ถึงวินาทีกลิ่นหอมเอียนของสมุนไพรเสพย์ติดก็ลอยคลุ้ง

    “นาวาอวกาศเอกทรอปปิคอล แห่งเฮลไฟร์69 รายงานตัวค่ะ” หญิงสาวร่างบอบบางผู้มีผมสีฟางข้าว ใบหน้าอ่อนหวานทว่าแววตาเด็ดเดี่ยวทระนง กัปตันหญิงแห่งเฮลไฟร์ซิกตี้ไนน์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นยานของทริกเกอร์ ทิงก้าวเข้ามายืนตรงหน้าจอมพลอโลฮา

    “กัปตันทรอปปิคอล เธอคงรู้เรื่องของทริกเกอร์แล้วใช่มั้ย” อโลฮายิงประเด็นแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “จริงๆแล้วหมายคำสั่งที่จะให้ไปสืบหาฐานทัพสยมภูของ927นั่น ชั้นตั้งใจจะให้ไคต์หรือไม่ก็เธอเป็นคนรับหน้าที่นี้ไป ไคต์ที่เป็นกัปตันยานบัญชาการมากประสบการณ์กับเธอที่เป็นนักเรียนดีเด่นสมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนนายเรือ แต่ไม่รู้เจ้าทริกเกอร์นั่นมันคิดยังไง ถึงได้ฆ่าไคต์ชิงคำสั่งไปแบบนั้น ทั้งๆที่งานนี้ ชั้นเห็นว่ามีแต่ไคต์กับเธอเท่านั้นที่มีความสามารถพอ”

    “ท่านจอมพลกล่าวเกินไปแล้ว” กัปตันทรอปเพียงตอบรับคำเยินยอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอเพิ่งเรียนจบมาไม่นาน แต่ด้วยผลงานมากมายทำให้สามารถเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นกัปตันยานรบหุ้มเกราะได้อย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ยานรบหุ้มเกราะของกองทัพอวกาศภาคที่หนึ่งทั้งสิบสองลำรวมทั้งเฮลไฟร์69ทราบเรื่องของนาวาอวกาศตรีทริกเกอร์ ทิง และลูกเรือแล้ว คาดว่าคงจะพบในไม่ช้าค่ะ”

    “ดี สัญญาณของทริกเกอร์ครั้งล่าสุดหายไปบริเวณธรณีนี่นี้ใครครอง เราส่งทหารลงไปหาตัวพวกเขาแล้วแต่ไม่เจอ ถ้าเธอพบแล้ว จงนำหมายคำสั่งคืนมา และออกตามหาฐานทัพแห่งกองกำลังปลดปล่อย927ในทันที งานนี้อาจจะหนักไปสำหรับกัปตันมือใหม่อย่างเธอ แต่ชั้นเชื่อฝีมือเธอนะ เธอเป็นกัปตันเลือดใหม่ที่เก่งกาจ ความหวังของพวกเรา” จอมพลอโลฮ่ากำชับหนักแน่น หมายคำสั่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะเป็นใบเบิกทางและเครื่องอำนวยความสะดวกในด้านข่าวสารจากหน่วยงานอื่นๆของกองทัพ ซึ่งไม่อาจออกหมายคำสั่งระดับนั้นได้อย่างพร่ำเพรื่อ จอมพลไม่รู้ว่าทรอปปิคอลจะเหมาะกับงานนี้หรือเปล่า ลอร์ด927เป็นนายทหารอวกาศยานมือดีที่สุดที่เคยมี ความเก๋าเกมย่อมเหนือกว่า แต่ทรอปปิคอลก็เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของนายทหารระดับกัปตันยานรบหุ้มเกราะเลยทีเดียว ด้วยความเฉียบขาดรัดกุมและความจงรักภักดีต่อกองทัพที่ไม่เคยสั่นคลอน “ภารกิจนี้เป็นความลับสุดยอด เราจะเปิดเผยตัวตนที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งของลอร์ด927สู่สายตาประชาชนไม่ได้เป็นอันขาด หน่วยข่าวกรองตามที่ต่างๆจะคอยให้ความร่วมมือกับเธอเต็มที่”

    ดูเหมือนกัปตันทรอปปิคอลจะลังเลใจในชั่วเสี้ยววินาที เธอหวนนึกไปถึงรายนามแบล็คลิสท์ของหน่วยพลังม้า อาชญากรอันดับหนึ่งทั้งหลายที่ถูกลิสท์รายชื่อไว้คือตัวอันตรายอย่างยิ่งยวดซึ่งล้วนถูกหน่วยพลังม้า กลุ่มมือสังหารในคราบนายทหารหมายหัว กองโจรสลัดจูดุ๊บส์ กองโจรสลัดอวกาศที่ร้ายกาจที่สุด พี่น้องเฮลลูลู กลุ่มผู้ก่อการร้ายซึ่งมีอำนาจคุกคามตลอดทั้งวงโคจรของอาร์ติเคล เคียวสึแห่งไนท์บาซาร์ มาเฟียผู้ครอบครองโลกเบื้องหลังของแกแล็คซี่ออลไฟนอล เอิร์ธออฟลาวด์ นักฆ่าที่ได้ชื่อว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ต๊อบ เหล็กไหล ปรมาจารย์มวยไทยบ้าคลั่งที่หายสาบสูญ และที่อันตรายที่สุด ลอร์ด927 อาชญากรสงครามอันดับหนึ่ง เขาเป็นที่สุดของความยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ต่อต้านราชวงศ์ หนึ่งไม่มีสอง และเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่าภัยใดๆที่ราชวงศ์เคยประสบพบเจอ ซึ่งตั้งแต่เปลี่ยนรัชกาลมาก็มีผู้ต่อต้านราชวงศ์เพิ่มมากขึ้นทุกที

    “ค่ะ เฮลไฟร์69จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน” ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ กัปตันทรอปโค้งให้จอมพลอโลฮาครั้งหนึ่งก่อนจะเดินออกไปอย่างสง่างาม จอมพลอโลฮาได้อดตั้งข้อสังเกตในใจไม่ได้ว่าทรอปปิคอลกับทริกเกอร์นั้นเปรียบเสมือนเหรียญคนละด้าน ไม่มีอะไรในตัวกัปตันยานบัญชาการทั้งสองคนนี้เลยที่ใกล้เคียงกัน ยกเว้นแต่เพียงบางอย่างในดวงตาของทั้งคู่เท่านั้น บางอย่างที่เรียกว่าความทะเยอทะยาน



    “หมายความว่าเราต้องตามล่าลอร์ด927ตามลำพัง จริงเหรอกัปตัน” รองกัปตันยานเฮลไฟร์69 นาวาอวกาศตรีโอมุ โดโทนา ชาวคนแคระหญิง กึ่งวิ่งกึ่งกระโดดตามกัปตันทรอปมาอย่างร้อนรน ผมหยิกเป็นลอนเด้งพลิ้วไหวตามย่างก้าว ดวงตากลมโตสดใสดูเป็นกังวลนักกับภารกิจในคราวนี้

    “ฮื่อ ดูเหมือนเบื้องบนต้องการให้เรื่องนี้เงียบที่สุดน่ะ แต่เราก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่หาตัวฐานทัพสยมภูให้เจอ ก็จบข่าว เผลอๆอาจไม่ต้องเปลืองกระสุนสักนัด” ทรอปปิคอลตอบเรียบๆด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ แต่โอมุขมวดคิ้วแน่นว่าไม่ง่ายอย่างนั้นแน่ “อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นต้องตามเก็บทหารอวกาศที่ทรยศหนีไปกลุ่มนึงด้วย ก็คงไม่ยาก เพราะเส้นทางของเค้าเป็นเส้นเดียวกับพวกเราอยู่แล้ว”

    “ไอ้นั่นหนูไม่ห่วงหรอกค่ะ” รองกัปตันร่างเล็กถอนใจ “หนูห่วงเรื่องลอร์ด927มากกว่า พวกลูกเรือต้องใจแป้วแน่ๆ”

    “พูดอย่างกับไม่รู้จักผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเท่าไหร่เลยนะโอมุ ลูกเรือเฮลไฟร์ไม่ใจเสาะอย่างนั้นหรอก” กัปตันทรอปปิคอลกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนจะก้าวขึ้นไปหยุดยืนที่แท่นบัญชาการในห้องควบคุมของยานเฮลไฟร์69 เธอกดปุ่มบนแผงหน้าปัดเพื่อดึงไมค์ขึ้นมา ก่อนจะประกาศด้วยเสียงอันเฉียบกร้าว “ลูกเรือเฮลไฟร์ทุกคน ฟังทางนี้....”

    ลูกเรือเฮลไฟร์ซิกตี้ไนน์ชั้นนายทหารกว่าร่วมร้อยชีวิตที่ถูกเรียกมารวมกันในห้องควบคุมหลักหันมาทางกัปตันของพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงแทบจะในทันที แสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยที่ยอดเยี่ยม ไม่เป็นรองใครในกองทัพ

    “เราจะต้องเดินทางไกลกัน เพื่อภารกิจสองอย่าง หนึ่งคือตามล่านาวาอวกาศตรีทริกเกอร์ ทิง และลูกเรือผู้ติดตามทั้งหมด นำตัวกลับมาที่กองทัพ......หรือไม่ก็....” ท้ายประโยคนั้น กัปตันทรอปชำเลืองสายตาเยือกเย็นไปทางนาวาอวกาศตรีคอนช์ หญิงสาวชาวลูนาเรียนผู้มีใบหูยาวและขนปุกปุยเหมือนกระต่าย หัวหน้ากองสรรพาวุธประจำเฮลไฟร์69 “ยิงทิ้ง....” คำนั้นทำให้คอนช์ยิ้มกว้างน่าสยดสยอง เห็นฟันสองซี่โตๆด้านหน้าชัดเจน

    “ข้อมูลล่าสุด นาวาอวกาศตรีนอกราชการกับผู้ติดตามได้เดินทางออกจากสถานีอวกาศธรณีนี่นี้ใครครอง มุ่งหน้าไปทางดวงอาทิตย์อาร์ติเคลแล้วค่ะ” นาวาอวกาศตรีคาซึกิ บาลเกียร์ ต้นหนใหญ่แห่งยานเฮลไฟร์69ยกมือขึ้น

    “ดีมากคาซึกิ ส่วนภารกิจที่สองออกจะอันตรายอยู่สักหน่อย จึงอยากจะให้ทุกคนตั้งใจฟังกันให้ดี” ทรอปปิคอลสูดลมหายใจลึกๆแล้วกลั้นไว้พักหนึ่งจึงปล่อยออกมาพร้อมคำพูด “ค้นหาฐานทัพของกองกำลังปลดปล่อย927”

    สิ้นเสียงของทรอปลูกเรือทุกคนยังคงนิ่งเงียบ แต่วี่แววของความกังวลแผ่ขยายออกไปอย่างชัดเจน แม้แต่คอนช์และคาซึกิซึ่งเป็นนายทหารระดับเสนาธิการยานรบยังปิดร่องรอยความตระหนกไว้ไม่มิด แน่นอน ทหารของกองทัพทุกคนรู้จักความน่ากลัวของท่านบอร์ดผู้โด่งดังดี ไม่ว่าจะเป็นทหารกล้ามาจากที่ไหนก็ย่อมต้องหยุดคิดเมื่อได้ยินชื่อของลอร์ด927 เช่นกันกับทหารกล้าแห่งเฮลไฟร์69ที่กัปตันทรอปปิคอลภูมิใจหนักหนา

    “แน่นอน มันเป็นภารกิจที่ยากลำบากและก็อันตราย ทางเบื้องบนจึงต้องคัดเลือกผู้ที่เหมาะสม และพร้อมสำหรับสุดยอดภารกิจนี้” ทรอปปิคอลยังคงกล่าวต่อด้วยสีหน้าอันเย็นชา ไม่ใส่ใจต่อความกังวลในดวงตาของลูกเรือ “แต่พวกเราก็ได้รับเกียรติอันนั้น ทั้งๆที่พวกเราเพิ่งประจำการได้ไม่นาน นี่คือศักดิ์ศรีของพวกเรา”

    ดวงตาสีดวงตาสีเงินราวกับดวงจันทร์อันเดียวดายของกัปตันทรอปปิคอลฉายแววมุ่งมั่นอันเย็นเฉียบออกมา กลบกลืนทุกคลื่นแห่งความกังวลของลูกเรือเฮลไฟร์ไปทีละน้อย บางครั้งลูกเรือเฮลไฟร์ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขากับทรอปปิคอล ที่ซึ่งบางคนใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ที่หน้าจอสื่อสาร ในขณะที่กัปตันทรอปปิคอลได้เป็นกัปตันยานบัญชาการรบตั้งแต่อายุยังไม่เท่าไหร่

    “และศักดิ์ศรีของเฮลไฟร์69 ก็คือชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทั่วทั้งออลไฟนอลแกแล็คซี่ ญาติมิตร พ่อแม่พี่น้อง บุตรหลาน และคนรัก คนที่พวกเราห่วงใย สิ่งที่เราพึงรักษาเอาไว้คือแกแล็คซี่อันสวยงามใต้ร่มพระบารมีขององค์พระจักรพรรดิ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้คงอยู่ อย่างที่พวกเรารู้กันว่า กบฏคอร์แซร์ที่เรากำราบไปบนดาวมิสค์ และพวกองค์กรก่อการร้ายอื่นๆที่กระจายอยู่ทั้วทั้งแกแล็คซี่นั้น ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีลอร์ด927เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หากไม่จัดการกับต้นตอของการก่อการร้ายนี้ให้สิ้นแล้ว ประชาชนแห่งออลไฟนอลคงไม่อาจจะข่มนอนตาอย่างเป็นสุขได้แม้แต่ราตรีเดียว” น้ำเสียงเยือกเย็นค่อยๆกร้าวแกร่งขึ้นทีละน้อย “ไม่ว่าพวกเราจะต้องเสียสละอะไรไปบ้าง แต่นั่น ก็คือการกระทำอันยิ่งใหญ่ คือเกียรติยศ คือศักดิ์ศรีของพวกเรา คือหน้าที่ที่พวกเราจะต้องทำให้สำเร็จ ลอร์ด927คือศัตรูที่เราจะต้องกำจัด”

    สิ้นคำนั้นของกัปตัน ลูกเรือทุกคนก็ส่งเสียงขานรับคำสั่งกันอย่างพร้อมเพรียงและเข้มแข็ง ทรอปปิคอลเพียงพยักหน้าเรียบๆด้วยสีหน้าสงบนิ่งแบบของเธอ ก่อนจะก้าวลงจากแท่นบัญชาการ โดยมีโอมุตามลงมาติดๆ พวกนายทหารซึ่งยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบยังไม่มีใครกระดิกตัวแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งยามที่ทรอปปิคอลลงมายืนระดับเดียวกันแล้วก็ตาม

    “กล่าวได้เยี่ยมค่ะกัปตัน” ” คาซึกิตรงเข้ามาหาทรอปปิคอลอย่างยิ้มแย้ม หญิงสาวสุดเซ็กซี่ผู้ใส่เครื่องแบบทหารตัวเล็กไม่สมดุลกับขนาดหน้าอกของเธอส่งเอกสารฉบับหนึ่งให้กัปตัน “นี่คือรายงานพิกัดล่าสุดของทริกเกอร์ ทิงที่เราจับได้ เมื่อ 48 ชั่วโมงที่แล้วค่ะ”

    “ป่านนี้พวกมันคงถึงอาร์ติเคลแล้ว” กัปตันสาวดายงานพิกัดอย่างคร่าวๆ ก่อนจะหันไปทางหัวหน้ากองสรรพาวุธ “คอนช์ จัดการคลังแสงให้พร้อม เราจะบรรทุกเต็มอัตรา งานนี้ต้องเดินทางไกล ไม่รู้ว่าจะได้เติมเสบียงอีกทีเมื่อไหร่”

    “เสบียงและอะไหล่คลังแสงหลักของกองทัพถูกปล้นครั้งใหญ่ไปเมื่อไม่นานมานี้ เบื้องบนกำลังระดมเสบียงคลังแสงจากที่แกลลอไรน์มาเสริม เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากคลังแสงสำรองที่เหลืออีกสี่สิบจุดมีจำนวนอุปกรณ์ที่จำเป็นเพียงจำกัดในยามนี้ เบื้องบนจึงมีคำสั่งมาว่าให้เราไปเติมเสบียงและคลังแสงเองที่ดาวแร็คนาร็อคค่ะ” คอนช์รายงานด้วยน้ำเสียงกร้าวแกร่ง

    “งั้นก็จัดการตามที่เบื้องบนสั่ง เราจะมุ่งหน้าไปเติมเสบียงที่แร็คนาร็อคก่อน” กัปตันทรอปปิคอลพยักหน้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชา “ตอนนี้ไปจัดเตรียมคลังแสงเท่าที่จำเป็นก่อนถึงแร็คนาร็อคก่อน จัดการเดี๋ยวนี้เลย”

    นายทหารหญิงชาวลูนาเรียนทำวันทยหัตถ์เงียบๆก่อนจะก้าวออกไปจากห้องบังคับการ ทรอปปิคอลเหลียวหลังกลับมาหาลูกเรือของตนอีกครั้ง ยังไม่มีใครกระดิกตัวออกจากแถวแม้แต่น้อย นี่คือลูกเรือที่เธอภูมิใจ ระเบียบวินัยที่เธอเคี่ยวกรำมาเองกับมือ จะมั่นคงและไม่มีวันเสื่อมสลายเหมือนความจงรักภักดีที่มีต่อจักรพรรดิ กัปตันสาวพยักหน้าให้กับตัวเองก่อนจะเดินตามคอนช์ออกไปจากห้องบัญชาการ

    “เฮ้อ พูดตามตำราเป๊ะเลยกัปตัน” ในที่สุด หลังจากยืนสงบนิ่งมานาน นายทหารคนหนึ่งก็เอ่ยออกมาหลังจากทรอปปิคอลลับสายตาไปแล้ว “ไม่ต้องพูดขนาดนั้น เราก็ขัดคำสั่งเบื้องบนไม่ได้อยู่แล้ว”

    “แต่งานนี้หนักจริงๆนะครับ ลอร์ด927เชียวนะ ผิดกับกบฏคอร์แซร์ลิบลับเลย” นายทหารอีกคนเสริม ขณะที่คนอื่นๆซึ่งเริ่มผ่อนคลายอิริยาบถต่างพากันจับกลุ่มคุยกันถึงคำสั่งล่าสุด “ดีไม่ดี เราอาจจะตายกันหมดก็ได้”

    “กัปตันก็นะ เราเพิ่งกลับมาแท้ๆ ปัดๆไปซักงานไม่ได้รึไง” ใครอีกคนกล่าวขึ้นมาลอยๆ

    “บ้าน่า เราเป็นทหารนะ จะปฏิเสธคำสั่งได้ยังไง” ในที่สุดรองกัปตันโอมุซึ่งยังคงยืนอยู่ในห้องก็อดไม่ไหวขัดขึ้นมา ทั้งที่ตั้งใจจะปล่อยให้พวกนายทหารระบายให้เต็มที่ เธอรู้ดีว่านิสัยจริงจังเกินเหตุของทรอปปิคอลทำให้พวกทหารลำบากใจมาไม่น้อย สำหรับโอมุเอง ที่เธอเลือกจะติดตามทรอปปิคอลมาตลอดนั่นก็เพราะสายสัมพันธ์ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนนายเรือที่สถาบันนายเรืออวกาศบนเอ็คท์รุ่นเดียวกันมาก่อนนั่นเอง “กัปตันทรอปปิคอลไม่ทำอย่างนั้นแน่”

    “ใช่สิ เราก็น่าจะรู้นิสัยกัปตันคนเก่งของเราดีอยู่แล้วนี่นา” น้ำเสียงประชดประชันผิดกับความหมายของประโยค คาซึกินั่งลงบนเก้าอี้หน้าจอควบคุมหลัก เช่นกันกับโอมุ เธอเองก็เป็นนักเรียนนายเรือรุ่นเดียวกับทรอปปิคอล “จริงจังไปซะทุกเรื่องขนาดนี้ จะไม่ให้เป็นลูกรักของกองทัพได้ยังไง”

    “คาซึกิ พูดจาเหน็บแนมผู้บังคับบัญชาแบบนี้ไม่ดีนะ” โอมุหันมาตาเขียวใส่หัวหน้าต้นหน แต่คาซึกิยักไหล่ไม่แยแส

    “พูดก็พูดเถอะนะครับรองกัปตัน ลำพังพวกเราน่ะไม่เท่าไหร่” นายทหารควบคุมยานอีกคนถอนใจแรงๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองบ้าง “นี่ถ้าพวกทหารชั้นล่างๆในยานรู้เข้า พวกนั้นต้องตัวสั่นแน่ ผมล่ะลำบากใจจริงๆ”

    ก็คงจะเป็นจริงอย่างนั้น มือที่ชุ่มเหงื่อของนาวาอวกาศตรีโอมุกำแน่นจนเจ็บ ในขณะที่กัปตันทรอปปิคอลเอาแต่พูดและคิดว่าทุกคนจะเยือกเย็นมุ่งมั่นได้เหมือนตัวเอง โอมุกลับมองเห็นความไม่มั่นใจที่ก่อกำเนิดอยู่ในหมู่ลูกเรือตอนนี้ เดิมทีลูกเรือเฮลไฟร์ก็ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่กัปตันเข้าใจอยู่แล้ว มีเพียงแต่ทรอปปิคอลนั่นแหละ ที่พยายามจะฝืนให้มันเป็นอย่างที่ต้องการ เกลียวเชือกที่ขมวดจนตึงนั้น หากถูกกระทบแรงๆเข้าก็อาจจะขาดได้ บางทีคงเป็นกัปตันทรอปปิคอลนั่นแหละที่ไม่รู้จักลูกเรือของตัวเองดีพอ รองกัปตันร่างเล็กได้แต่ถอนใจพลางคิดถึงเรื่องน่าวิตกอีกนับไม่ถ้วนที่จะตามมาในอนาคต



    ในเวลาเดียวกันนั้น ขณะที่เฮลไฟร์69และกัปตันทรอปปิคอลกำลังจะเริ่มต้นการเดินทางอันแสนยาวไกลของเธอ อีกมุมหนึ่งของแกแล็คซี่ ท่ามกลางอวกาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่กี่วันผ่านไปหลังจากที่ชาวลมกรด2003หนีตายจากเงื้อมมือของมัจจุราชในคราบดิสโก้มาได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนำยานขึ้นได้ พวกเขาก็กระโจนสู้เวิร์มโฮลทันที โดยที่ยังไม่ได้คำนวณหาจุดหมาย สุดท้ายพวกเขาจึงมาโผล่เอาใกล้ๆดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งของแกแล็คซี่ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันร้อนระอุของอาร์ติเคล ลมกรด2003ที่มุ่งหน้าไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายก็ประสบปัญหาเข้าจนได้

    “อะไรนะ เครื่องยนต์ดับอีกเครื่องแล้วงั้นเหรอ” กัปตันทริกเกอร์ทวนคำที่ลูกเรือวิ่งมาบอกอย่างไม่เชื่อหู “นี่ดับไปตั้ง หกแล้วนะ แล้วมันเหลือที่ใช้งานได้อีกกี่เครื่องกัน”

    “สองครับ มีแนวโน้มว่าจะดับอีก ทั้งสองเครื่องเลยด้วย” ลูกเรือหนุ่มรายงาน “นอกจากนี้ยังมีการรั่วไหลของอนุภาคกลาสชีฟที่บริเวณเครื่องยนต์หลัก แล้วก็แกนหมุนอิเลคตรอนด้วยครับ นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องเครื่องปรับอากาศใช้ไม่ได้ น้ำในครัวไม่ไหล ไฟทางเดินก็ติดๆดับๆ ส้วมเต็ม”

    “พอแล้ว หลังๆมีแต่ปัญหาจิปาถะ ใช้ระบบเหนี่ยวนำไฟฟ้าแรงขับต่ำดึงพลังของเครื่องยนต์ที่เหลือไว้ก่อน แล้วก็จัดการเรื่องอนุภาคกลาสชีฟด้วย” ทริกเกอร์สั่งการอย่างหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด ก่อนจะหันไปพาลกับมาเท็กซ์ซึ่งกำลังรื้อสายไฟในแผงควบคุมหลักออกมาจูนใหม่ “ว่ายังไงล่ะมาเท็กซ์ ฝีมือนายน่ะ ไหนบอกซ่อมได้ไงล่ะ”

    “ก็บอกแล้วไงว่ายังซ่อมไม่เสร็จ แกก็ดันทุรังเอาเครื่องขึ้นจนได้ อะหล่งอะไหล่ก็ไม่ได้เอาติดมาด้วยเลย อย่าพูดมากน่า ยิ่งร้อนๆอยู่” มาเท็กซ์ใช้มือพัดตัวเองระบายความร้อน “เพิ่งเปิดระบบนำร่องได้แท้ๆ เครื่องยนต์ก็ยังไม่ได้ติดตั้งระบบสำรองไฟเลย”

    “ทำไงได้ล่ะ ก็ไอ้มือปืนแอโฟรนั่นดันบุกเข้ามาไม่เลือกเวลาเลยนี่หว่า” กัปตันกำมะลอบ่นอุบอิบ “ลำพังไอ้ดิสโก้มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกวะ แต่ดันพาพวกทหารมาด้วยเป็นฝูง ”

    “อย่าประมาทดิสโก้คิลเลอร์นะครับกัปตัน” เซิร์น AIพูดได้แห่งยานลมกรดลอยออกมาจากจอมอนิเตอร์ รูปร่างแบบโพลีกอนง่ายๆประกอบตัวขึ้นกลางห้องบัญชาการหลักอย่างรวดเร็ว “นักฆ่าระดับนั้น ถ้าเกิดปะทะด้วยตรงๆ เค้าจะเลือกเก็บบุคลากรสำคัญๆก่อนครับ นั่นก็หมายความว่ากัปตันมีโอกาสโดนเก็บก่อนเพื่อนเลย”

    “อ้อเหรอ ว่าแต่แกออกมาก็ดีแล้วเซิร์น ว่าไง เชื่อมต่อพิกัดของเรากับเส้นทางการบินแกแล็คซี่ได้รึยัง จะได้หาดาวเคราะห์ดีๆลงจอดกันซะที” กัปตันทริกเกอร์จิบกาแฟที่จืดและเย็นชืดบนโต๊ะของเขาเข้าไปคำนึง ก่อนจะคายทิ้งด้วยสีหน้าเลี่ยนๆ

    “เสียใจครับกัปตัน กระผมไม่สามารถเชื่อมต่อเน็ทเวิร์คได้ เนื่องจากพร็อกซี่ยังไม่ได้รับการยืนยัน” AIมีชีวิตส่ายหน้าหมดหวัง “ตอนนี้กระผมทำได้แค่ค้นหาพิกัดบริเวณรอบๆนี้เท่านั้นแหละครับ”

    “อ้าว มาเท็กซ์ ยังไงล่ะ รีบจัดการไอ้พร็อกซงพร็อกซี่อะไรนั่นซะสิ” อะไรๆก็ดูจะผิดพลาดอืดอาดขัดใจไปเสียหมดสำหรับทริกเกอร์ ทิงในยามนี้ “จะได้รีบลงจอด จะบ้าตายอยู่แล้ว”

    “ไอ้จัดการน่ะมันได้ แต่ตอนนี้คงไม่มีทาง จะเชื่อมต่อเน็ทเวิร์คดาวน์โหลดเส้นทางการบินได้ต้องใช้เคเบิลนำแสง ซึ่งยังไม่ได้ติดตั้ง” มาเท็กซ์ตอบเรียบๆอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบคำถามต่อไปที่ทริกเกอร์กำลังจะถามออกมาโดยไม่ต้องรอให้เอ่ยปาก “และเคเบิลนำแสงก็ถูกทิ้งไว้ที่ธรณีนี่นี้ใครครอง เพราะฉะนั้น ตอนนี้หมดสิทธิ์”

    “ไง กัปตันคนเก่ง เราอยู่ไหนกันแล้ว” ก่อนที่ใครจะทันพูดอะไรต่อ ประตูห้องบังคับการก็เปิดออก มิสเตอร์ซีก้าวเข้ามาพลางบิดคอไปมาคลายเมื่อย หน้าตาบ่งบอดชัดเจนว่าได้นอนจนอิ่มแล้ว “นี่ไอ้พีทยังหลับอยู่เลย ไม่ได้เดินทางในอวกาศนานๆอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ แล้วถามจริงเหอะ นี่จะบินใกล้พระอาทิตย์หาพระแสงอะไรเหรอ ร้อนจะตาย อุกกาบาตก็เยอะ”

    “ก็ไอ้ระบบนำร่องมันใช้การไม่ได้ เราก็เลยไม่รู้จะไปไหนดี” ทริกเกอร์หันไปพูดอย่างใส่อารมณ์ “แล้วถ้าไม่สามารถทำตัวให้มีประโยชน์ได้ ทำไมแกไม่ปิดตัวเองไปก่อนวะเซิร์น จะได้ประหยัดพลังงาน”

    “นั่นสิครับ จริงด้วย” บางทีสมองอิเลคทรอนิคส์ก็แสดงความโง่ออกมาได้ง่ายๆ เซิร์นดีดนิ้วโพลีกอนเหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะปิดตัวเองลงไปชั่วคราว ทริกเกอร์ได้แต่ถอนใจในชะตากรรม

    “เอาเป็นว่า เรามาสรุปสถานการณ์กันก่อน ตอนนี้เราอยู่ในยานที่ใช้การได้เพียงครึ่งๆกลางๆ ไม่สามารถระบุพิกัดและตำแหน่งเป้าหมายได้ และใกล้จะหมดพลังงาน” กัปตันหนุ่มหันไปหาหัวหน้ากองสรรพาวุธชาวฮิลเดียนอย่างร้อนใจ “ในโรงเก็บพาหนะสนับสนุนของเรามีอะไรเหลืออยู่บ้าง”

    “ไม่มีเลยครับ” หัวหน้ากองสรรพาวุธตอบซื่อๆ “เรายังไม่ได้บรรจุยานพาหนะสนับสนุนเข้ามาเลยแม้แต่อัตราเดียว”

    “แกจะไปเอาพาหนะสนับสนุนมาจากที่ไหนวะ ถามจริงเหอะ นี่ไม่ใช่ที่เอ็คท์นะโว้ย” มาเท็กซ์สะกิดไหล่กัปตันหนุ่มเบาๆ “อีกอย่าง อย่าลืมสิว่าแกซื้อยานลำนี้มามือสอง”

    “เราควรจะหายานลาดตระเวนเร็วสักลำ เผื่อในกรณีแบบนี้ เราจะได้ส่งออกไปค้นหาจุดหมายได้” มิสเตอร์ซีพยักหน้าเข้าใจความรู้สึกของทริกเกอร์ “เอาเป็นว่าพยายามออกห่างจากอาร์ติเคลก่อนเถอะ แถวนี้มันร้อนเกินไป เสียสุขภาพจิตหมด”

    ราวกับไม่ได้ยินคำร้องอุธรของชาวลมกรด2003 ดวงอาทิตย์สีแดงอาร์ติเคลยังคงแผดรังสีความร้อนออกมาอย่างไร้เมตตา เฉกเช่นที่เป็นมาตลอดกาล สำหรับอาร์ติเคลนั้น มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มันได้บกพร่องในหน้าที่ของตัวเอง ทำให้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญของชาวออลไฟนอลไปเมื่อหลายปีก่อน คือจู่ๆวันหนึ่งอาร์ติเคลก็ดับแสงลงเป็นเวลาเกือบสิบวินาที เป็นการดับแสงที่ไม่มีใครคาดคิด ก่อนจะติดสว่างขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ ได้แต่สันนิษฐานมั่วๆไปว่าเป็นเพราะอุณหภูมิในดาวฤกษ์สูงขึ้นมากจนถึงขีดสุด กลไกการป้องการตัวเองตามธรรมชาติของอาร์ติเคลจึงดับแสงลงชั่วคราวเพื่อป้องกันการระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาของดวงอาทิตย์

    ซึ่งนั่นหมายความว่าดวงอาทิตย์ทั้งสองของออลไฟนอล อย่างน้อยก็อาร์ติเคลดวงหนึ่งล่ะ ที่จะไม่มีวันดับสลายในเร็วๆนี้แน่นอน

    “แย่แล้วครับกัปตัน!!!!!” ลูกเรือหนุ่มคนเดิมวิ่งเข้ามารายงานหน้าตาตื่น “เครื่องยนต์ดับไปอีกเครื่องแล้วครับ อนุภาคกลาสชีฟก็แพร่กระจายเข้าไปในสายส่งพลังงานแล้ว ตอนนี้เครื่องสุดท้ายที่เหลืออยู่กำลังร้อนมาก ใกล้ถึงขีดโอเวอร์ฮีทแล้วครับ”

    “อะไรนะ ไม่ได้แล้ว อย่างนี้มีหวังพวกเราลอยเท้งเต้งอยู้ในอวกาศไปตลอดกาลแน่” กัปตันทริกเกอร์ครุ่นคิดอย่างร้อนรน เขาต้องรีบหาทางออกให้เร็วที่สุด เครื่องยนต์สุดท้ายพร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ “เซิร์น ออกมาเดี๋ยวนี้”

    “นึกจะเรียกก็เรียก นึกจะไล่ก็ไล่นะครับ” สมองจักรกลตัดพ้อเล็กน้อย ก่อนจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เป็นคำที่ทริกเกอร์ชอบใช้ซะด้วย “มีอะไรให้รับใช้ครับกัปตัน”

    “เซิร์น รีบตรวจสอบเท่าที่แกจะทำได้เลย แถวนี้มีดาวอะไรที่เราพอจะลงจอดได้บ้างรึเปล่า” ในที่สุดทริกเกอร์ก็เลิกล้มความตั้งใจที่จะไปให้ถึงดาวเคราะห์หลัก “ขอดาวเคราะห์น้อยที่ใกล้ที่สุดด่วนเลยเซิร์น”

    “ครับ กระผมจะลองดู” ส่วนที่น่าจะเป็นดวงตาของรูปร่างโพลีกอนค่อยๆเลือนไป ปรากฏเป็นเลขฐานสิบจำนวนมากวิ่งสลับกันไปมาอยู่ในนั้น เป็นเวลาชั่วอึดใจที่น่าเบื่อหน่าย ก่อนที่เซิร์นจะเอ่ยออกมา “พบแล้วครับ ไม่ไกลเท่าไหร่ พอที่เราจะไปลงได้อย่างฉิวเฉียด มีดาวเคราะห์น้อยที่ทางราชวงศ์กำหนดให้เป็นที่ทิ้งขยะครับ”

    “เออ ที่ทิ้งขยะก็ยังดีกว่าอยู่ในขยะบินได้แบบนี้ ทริกเกอร์เอายานไปลงจอดที่ดาวนั่นก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” มิสเตอร์ซีหันไปสั่งทริกเกอร์ ไม่รู้ใครเป็นกัปตันกันแน่

    “ดีเลย ดาวขยะ เผื่อจะหาอะไหล่ได้บ้าง” มาเท็กซ์เสริม นับเป็นโชคดีในโชคร้ายจริงๆ

    “ตกลงตามนั้น” มติเป็นเอกชนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทริกเกอร์หันไปสั่งการที่ลูกเรือชาวออร์คที่หน้าจอควบคุมยาน “ตัดระบบขับเคลื่อนสำรอง เปิดห้องหล่อเย็น เดินหน้าเต็มตัว เรามีที่หมายแล้ว เซิร์น โหลดพิกัดขึ้นจอเดี๋ยวนี้เลย”



    Character
    นาวาอวกาศตรีโอมุ โดโทนา -- น้องโอมุ
    นาวาอวกาศตรีคาซึกิ บาลเกียร์ -- น้องคาซึกิ
    นาวาอวกาศตรีคอนช์ -- น้องคอนช์!!!!

    Free Talk
    หลังจากสึกก็ตะลุยงานสำหรับงานหนังสือไมได้หยุดหย่อนเลยครับ หายหน้าไปพักใหญ่ ตอนนี้กลับมาลงต่อแล้วครับ จากรูปเปิดตอนจะเห็นว่าอิมเมจของตัวละครแต่ละตัวเปลี่ยนไปค่อนข้างมากทีเดียว โดยเฉพาะทรอปปิคอล อันที่จริงเธอมียี่ห้อเป็นถึงนางเอกของเรื่อง แต่ในฉบับเก่าบุคลิกทรอปปิคอลดูดาษๆเหลือเกิน ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย ตอนนี้ผมเลยวางคาแรคเตอร์เธอใหม่ให้กลายเป็นคุณผู้หญิงเจ้าระเบียบผู้เย็นชา ในอนาคตเรื่องของเธอกับซีคงยากขึ้นแน่ รวมทั้งความสัมพันธ์ในกลุ่มเฮลไฟร์ที่ฉบับดั้งเดิมทำเอาไว้อย่างหลวมๆ ผมก็ได้เพิ่มรายละเอียดบุคลิกของแต่ละคนให้ชัดเจนและแตกต่างขึ้น ตอนหน้าจะเ)้นตอนเปิดตัวของอภิมหาคนบ้าแห่งแกแล็คซี่แล้ว อย่าลืมติดตามชมกันนะครับ ขอบคุณครับ :D
  11. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 4 - เขาไม่คู่ควร Uptade 12/03

    อืมๆ ความรั่วหายหมดเลย ผมยังจำตอนนี้ได้เลยในฉบับเก่าที่ลูกเรือเฮลไฟร์พร้อมใจลงจากยานจนเหลือกันแค่ 4 คน ฮาท้องแข็ง 555+

    ตอนหน้าพี่ต็อบออกแล้วแหง ก้ากๆ แต่ความหนาแน่นในเนื้อเรื่องเพิ่มขึ้นมากเลยครับ สมแล้วที่จะเอาไปพิมพ์ขาย

    ปล. รอบนี้พี่โอมุไม่เป็นฮอบบิทแล้วเหรอ ???
  12. freecss

    freecss Member

    EXP:
    145
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 4 - เขาไม่คู่ควร Uptade 12/03

    อื่ม......ตอนพิมพ์ขาย ผมว่าน่าจะแถมurlให้ผู้สนใจไปอ่านฉบับฮาแตกเพิ่มด้วยนะเนี่ย....
    มันก็สนุกดี แต่ก็รู้สึกแปลกๆไปในเวลาเดียวกันฮะๆ
  13. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 4 - เขาไม่คู่ควร Uptade 12/03

    All Final Wars #5

    คนบ้า

    [​IMG]

    เช่นเดียวกับดาวเคราะห์น้อยทั่วไปซึ่งไร้ชื่อ ดวงดาวเล็กๆที่ไร้อารยะธรรมหายใจอย่างสงบนิ่งอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์สีแดงอาร์ติเคลของแกแล็คซี่ออลไฟนอล มันเป็นดวงดาวที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งดูเหมือนเคยมีผู้คนมาเสี่ยงตั้งอาณานิคมอยู่บ้าง ช่วงหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ออลไฟนอล ปัญหาประชากรล้นหลามทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดิมพันความหวังไว้กับการตั้งอาณานิคมตามดาวเคราะห์น้อย แต่สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่ไม่เสถียร รวมทั้งความไม่สะดวกนานัปการของดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย ทำให้อาณานิคมส่วนใหญ่จบลงอย่างน่าเศร้า แม้ว่าจะมีชั้นบรรยากาศที่พอเหมาะ ประกอบกับโครงการสถานีอวกาศมากมายที่ราชวงศ์เป็นผู้ริเริ่มนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี ประชาชนจึงแห่กันไปอยู่ในสถานีอวกาศ ทิ้งอาณานิคมดาวเคราะห์น้อยไว้เบื้องหลัง บางแห่งได้รับการยกระดับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หากมีทรัพยากรที่ดีพอ แต่บางแห่งกลับถูกใช้เป็นเพียงที่ทิ้งขยะ

    “ร้อนเป็นบ้า.....แต่ก็ยังดีกว่าไปบินใกล้ๆดวงอาทิตย์หน่อยนึง” ซีถอดเสื้อโค้ทออกพาดบ่า “แปลกจังไม่มีคนหรือหุ่นยนต์ดูแลขยะซักนิด อันที่จริงรู้สึกที่นี่ไม่มีแม้แต่สถานีกำจัดขยะเลย ดูเหมือนจะเป็นที่ทิ้งล้วนๆ”

    “นี่เป็นจุดสุดท้ายแล้ว เอายานลงจอดได้ก็บุญแล้วน่า เอ้า มาเท็กซ์ รีบๆลงไปหาอะไหล่เร็วเข้าสิ” กัปตันทริกเกอร์ชี้นิ้วสั่ง

    “นายนั่นแหละต้องไปหาอะไหล่มา ชั้นต้องคุมพวกทหารช่างซ่อมยาน” มาเท็กซ์เดินลงจากลมกรด2003ช้าๆ ภูเขาขยะกองโตมักมีสิ่งที่ใช้งานได้อยู่ 20 -30 % แค่นั้นก็พอถมถืด “พยายามหาท่อไฟเบอร์มาก่อนเลย จุดนี้ไม่กว้างมาก มีแต่ซี พีทแล้วก็นายเท่านั้น อย่าไปไกลนักล่ะ”

    ทุกคนในยานต่างออกมาช่วยกันค้นหาอะไหล่ที่ยังพอใช้ได้จากกองขยะมหาศาล โดยมีรายการอะไหล่ที่มาเท็กซ์ก็อปปี้แจกทุกคนไป ลูกเรือทุกคนจะถูกปล่อยไว้ตามจุดต่างๆของดวงดาวที่เหมาะสมเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อกระจายการค้นหาไปเป็นวงกว้าง โดยมีเครื่องมือสื่อสารพลังสูงและสัญญาณแจ้งพิกัดไว้คอยติดต่อกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งพีทที่โดนซีลากมาด้วย ท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ กับกองขยะขนาดมหึมาที่มีตั้งแต่เปลือกลูกอมไปจนถึงซากเรือดำน้ำพลังปรมาณู ทำให้กัปตันทริกเกอร์ซึ่งถูกทิ้งไว้จุดเดียวกับซีและพีทเริ่มง่วงขึ้นมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้ กลิ่นเหม็นอับของแดนขยะโลหะกับเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเครื่องมือบางชิ้นที่พังไปแล้วฉุดกัปตันหนุ่มให้ง่วงงุนขึ้นทุกที จนในที่สุดทริกเกอร์ก็ทนไม่ไหว จึงแอบเดินไปด้านหลังกองขยะตามลำพังและหามุมสงบงีบหลับไปในที่สุด



    “ผมจะเป็นกัปตันยานรบที่เก่งกาจที่สุดในอวกาศให้ได้” ทริกเกอร์ ทิงในวัยเด็กเอ่ยคำนั้นใส่หน้ามารดาของเขา ก่อนจะโดนตบหัวทิ่มแล้วใช้ให้ไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าโรงเรียนในเครือสภาปราชญ์ของฟิคาเธียน ถึงแม้จะถูกห้ามอย่างเด็ดขาด แต่สิ่งหนึ่งที่ทริกเกอร์ยึดมั่นมาตลอดคือเขาไม่เคยคิดย่อท้อต่อโชคชะตาเลย “สักวันหนึ่งผมจะต้องไปมีชื่อบันทึกอยู่ในศิลาขาวเกียรติยศแน่นอน”

    “ทำไมถึงอยากเป็นกัปตันยานรบ” ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศเอ่ยกับเขาในวันรับประกาศนียบัตรเรียนจบที่โรงเรียนนายเรือแห่งไฟนอล

    “เพราะผมอยากเป็นวีรบุรุษครับ ท่านพลเอกอโลฮา” ร้อยตรีหนุ่มเพิ่งจบหมาดๆนามทริกเกอร์ ทิงเอ่ยอย่างทะเยอทะยาน นายพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ดูจะขบขันมากกว่าชื่นชม

    “ยิงซะทริกเกอร์ นายต้องทำ ไม่งั้นนายคงไม่พ้นโดนดองยศอยู่แค่นี้แน่” นายทหารร่างสูงชาววิฬาร์ซึ่งดูคล้ายสิงโตคนหนึ่งในชุดโค้ทกันหนาวบีบไหล่เขาไว้แน่น พายุสีขาวของดาวมิสค์ทำเอาทิงเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ปืนยาวในมือจรดปลายลงกับพื้น เยียบเย็นไร้ชีวิต เบื้องหน้าเป็นผู้หญิงกับเด็กๆชาวพื้นเมืองที่ไร้ความผิด นายทหารชาววิฬาร์ร่างสูงตรงหน้าพยักหน้าให้เขาอีกครั้งหนึ่งเป็นเชิงให้ลงมือได้แล้ว สะเก็ดหิมะที่เปรอะบนแว่นกันลมไม่ได้บดบังแววตาเห็นอกเห็นใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเลย “ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ แต่กฎก็คือกฎ พวกเราเป็นทหาร ตราบใดที่นายยังไม่มีอำนาจตัดสินใจเป็นของตัวเอง นายต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น”

    “ชั้นจะเป็นวีรบุรุษให้ได้ จะทำให้ชื่อของชั้นต้องถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์” มือทั้งสองข้างแตกจนเลือดอาบ ทริกเกอร์ ทิงชกผนังคอนกรีตอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ความเจ็บปวดช่วยฉุดเขาออกมาจากภาพการสังหารโหดของกองทัพที่กระทำต่อประชาชนซึ่งมีความผิดเพียงแค่อยู่ในเมืองเดียวกันกับกบฏกลุ่มหนึ่ง เลือดหยดลงบนพื้นราวกับจะระบายเอาความผิดบาปออกไป แต่ทริกเกอร์ไม่รู้สึกดีขึ้นไปกว่าที่รู้สึกเจ็บเลย

    “ทำไมเธอถึงคิดว่าเราไม่ควรใช้ระเบิดปูพรมที่วลาสดิการ์ ทั้งๆที่ทำแบบนั้นเราจะสามารถจัดการกับกบฏที่เมืองนี้ได้ง่ายกว่าการบุกยึดพื้นที่มาก” ชายชาวมิโนทอร์ผู้มีเขายาวโง้งออกมาด้านหน้าในชุดโค้ทกัปตันยานบัญชาการเอ่ยถามทริกเกอร์อย่างเคร่งเครียด

    “เพราะการทิ้งระเบิดปูพรมจะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์มากเกินไปครับ” ทริกเกอร์ในชุดเสนาธิการยานบัญชาการตอบฉะฉาน

    “แต่นั่นอาจทำให้พวกเราต้องเสี่ยงมากขึ้น” กัปตันลูบปลายครางอย่างครุ่นคิด แววตาของเขาดูจะสนใจในสิ่งที่ทริกเกอร์พูดมากทีเดียว

    “ทหารอย่างพวกเรามีหน้าที่ต้องแบกรับความเสี่ยงเพื่อประชาชนครับท่าน” นั่นคือคำตอบของนาวาอวกาศโททริกเกอร์ ทิงในขณะนั้น ซึ่งทำให้กัปตันชาวมิโนทอร์ยิ้มออกมาได้ “ผมยินดีรับผิดชอบความผิดพลาดทุกกรณีครับ”

    “ยินดีด้วยกัปตันคนใหม่” จอมพลอโลฮาจับมือทิงเขย่าเบาๆ “ตั้งแต่นี้ไป เฮลไฟร์69คือมือเท้าของเธอแล้ว จงแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด สมรภูมิบนดาวมิสค์ยังไม่สิ้นสุด พวกเราคาดหวังในตัวเธอนะ”

    “ท่านครับ ผมไม่คิดว่าการทิ้งระเบิดใส่เมืองบิลโนต์จะเป็นวิธีที่ดีนะครับ” ทริกเกอร์ ทิงขยับขึ้นมาขวางชายร่างสูงซึ่งใส่ชุดทหารเต็มยศไว้ บนทางเดินแคบๆของศูนย์บัญชาการชั่วคราวบนดาวมิสค์ “พวกชาวบ้านไม่มีส่วนรู้เห็นกับการลอบสังหารนายพลจูโนหรอกครับ เราน่าจะพอประนีประนอมหาตัวคนร้ายที่แท้จริงได้”

    “ไม่มีทางประนีประนอมได้ พลอวกาศเอกจูโนแม่ทัพกองยานภาคที่สองถูกลอบสังหารในเมืองเส็งเคร็งนั่น นี่คือความอัปยศ เราต้องลบมันออกไปจากแกแล็คซี่นี้ซะ” ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บังคับบัญชากองยานเอ่ยพลางผลักทิงออกไปให้พ้นทาง “หลีกไป ชั้นจะรีบไปประชุมสรุปแผนงาน”

    “กัปตัน ได้โปรดช่วยครอบครัวของผมด้วยเถอะครับ ครอบครัวของผมยังติดอยู่ที่บิลโนต์” ภาพรอบกายเปลี่ยนเป็นที่ท่าอวกาศยาน ลูกเรือคนหนึ่งคุกเข่าลงอ้อนวอนกัปตันทริกเกอร์ ทิง เมืองที่กำลังจะถูกทิ้งระเบิดลบออกไปจากประวัติศาสตร์กำลังถูกปิดล้อม ห้ามไม่ให้มีการเข้าออกอย่างเด็ดขาด “กัปตันช่วยระงับการทิ้งระเบิดได้มั้ยครับ ได้โปรด”

    “ปืนใหญ่อินเฟอร์โนหมายเลขห้าและหก หมุนซ้ายยี่สิบองศา” กัปตันทริกเกอร์ ทิงสั่งการด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ดวงตาทอดไปยังเป้าหมายอย่างครุ่นคิด “โหลดกระสุน”

    “กัปตัน เอาจริงเหรอครับ” พลปืนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

    ทริกเกอร์ ทิงหลับตาลงครู่หนึ่ง ยาวนานอย่างน่าประหลาดในความรู้สึก

    “ยิง!!” สิ้นคำนั้น หอบัญชาการรบชั่วคราวก็ถูกกระสุนแสงอินเฟอร์โนแผดเผาพินาศ การประชุมสรุปแผนการในบ่ายนั้นจึงถูกยกเลิก แผนทิ้งระเบิดที่บิลโนต์ถูกระงับลงชั่วคราว เนื่องจากผู้บัญชาการที่ดูแลโครงการนี้และทีมเสนาธิการแทบทั้งหมดโดนแรงระเบิดบาดเจ็บสาหัส แม้จะตั้งใจยิงเพียงเฉียดๆเพื่อเพียงแค่ทำลายสถานที่และวาระการประชุม แต่ด้วยความที่กองสรรพาวุธมือไม่นิ่งพอที่จะกระทำการเช่นนี้ กระสุนอินเฟอโนจึงพุ่งเข้าทำลายทั้งหอคอย ทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองบิลโนต์มีเวลามากขึ้นสำหรับการวางแผนหลบหนีออกจากเมืองก่อนถูกทิ้งระเบิด

    และวันนั้นเอง กัปตันทริกเกอร์ ทิงก็ถูกปลดจากยานเฮลไฟร์69 ด้วยข้อหากระทำการซ้อมรบผิดพลาด



    “ตื่นไอ้หนู” เสียงห้าวทุ้มแทรกตัวดังขึ้นในภวังค์ของทริกเกอร์ “ตื่นเดี๋ยวนี้”

    ม่านตาเปิดขึ้นรับแสงจ้าจนต้องกระพริบถี่ เกือบลืมไปว่าดาวดวงนี้อยู่ใกล้อาร์ติเคลมากจนไม่สามารถมองขึ้นไปยังท้องฟ้าตรงๆได้ ว่าแต่นี่เขาเผลอหลับแล้วฝันถึงอดีตไปงั้นหรือ แล้วเสียงใครกันที่ดังแทรกเข้ามาเมื่อครู่

    “นายทหารจากกองทัพงั้นเหรอ” เบื้องหน้าจุดที่ทริกเกอร์ยืนอยู่เพียงฝ่ามือ กัปตันหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นร่างกายกำยำที่ยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นอยู่ตรงนั้น ชายร่างสูงที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ดวงตาขาวโพลนไร้นัยน์ตา แขนทั้งสองข้างเป็นโลหะดำสนิท “หน่วยพลังม้าส่งคนมาตามล่าชั้นแล้วสิ”

    “แกเป็นใคร” สัญชาติญาณบอกทริกเกอร์ว่ามีอันตราย ไวเท่าความคิด มือของกัปตันหนุ่มเลื่อนมาแตะตรงซองใส่ดาบเรเปียร์โฟตอนที่ข้างเอวเขา “ต้องการอะไร”

    “ส่งไอ้หน้าจืดแบบนี้มาหากันถึงนี่แล้วมาถามว่าต้องการอะไร นี่มุกตลกใหม่ของไอ้สิงโตเพลิง บอสของพวกแกรึเปล่า” ไร้ท่าทียำเกรงต่อศาสตราในครอบครองของทริกเกอร์ ชายร่างสูงยังคงยืนสงบนิ่ง แม้ทริกเกอร์จะไม่เข้าใจสิ่งที่ชายแปลกหน้าพูด แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าสิงโตเพลิงที่ถูกกล่าวถึงคือสิงโตเพลิง จิออร์โน่ หัวหน้าหน่วยพลังม้าที่ร่ำลือนั่นเอง ถ้าอย่างนั้น ชายคนนี้ก็ต้องเป็นอาชญากรระดับสูงในแบล็คลิสท์ของหน่วยพลังม้าแน่นอน

    “คุณกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ได้มาจากหน่วยพลังม้า” ไม่มีความจำเป็นอันใดต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับตัวอันตรายระดับนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่นี่เป็นหน้าที่ของหน่วยพลังม้า “สังกัดกองทัพอวกาศ เราไม่ได้มาตามล่าคุณ”

    “ยศนาวาอวกาศตรี เสนาธิการยานรบหุ้มเกราะเหรอ” ชายแปลกหน้าเอ่ยขึ้น เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย ดวงตาไร้สีสันของเขาจับนิ่งไปที่ดาวบอกยศบนเสื้อโค้ทของทริกเกอร์ ดูเหมือนจะพอรู้จักกองทัพอยู่บ้าง “แต่ที่บินอยู่เมื่อกี้ ขนาดมันระดับแบทเทิลครุยเซอร์คลาสเท่านั้นเองนี่”

    “เราอยู่ในภารกิจพิเศษน่ะ” ทริกเกอร์ตอบส่งๆ “ไม่ต้องห่วง เราจะไม่แจ้งเรื่องที่คุณอยู่ที่นี่ เพราะมันขัดต่องานของเรา” กัปตันทริกเกอร์อำไปอย่างนั้นเอง แต่ก็เป็นเรื่องปกติของราชการพิเศษและงานราชการลับ ที่จะละเลยสิ่งที่พบระหว่างทาง

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันก็ดีหรอกนะ” ชายแปลกหน้าขยับเท้าก้าวเข้ามาหาทริกเกอร์อย่างช้าๆ แม้ยามที่เริ่มขยับตัวก็ดูแข็งแกร่งมั่นคงไม่แพ้ตอนยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเลย “แต่หน่วยพลังม้าน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นตุกติกไม่ใช่เหรอ”

    “กรุณาถอยออกไปก่อน ผมไม่ใช่คนของหน่วยพลังม้า” กัปตันหนุ่มกระชับดาบในฝักแน่น เขาไม่เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้ซะด้วยสิ “คุณกำลังแสดงท่าทีคุกคาม ผมอาจต้องป้องกันตัว”

    “ลองป้องกันดูสิไอ้หนู” สิ้นคำนั้น เร็วกว่าที่ทริกเกอร์จะทันมอง ชายร่างสูงก็พุ่งเข้าใส่กัปตันหนุ่มแห่งยานลมกรดทันที “ดีแล้วที่แกตื่นขึ้นมาก่อน ขยี้คนหลับอยู่มันไม่สนุกเท่าไหร่ แกต้องตื่น ตื่นมาสู้กัน”

    ท่ามกลางคำพูดวกวนน่าสะพรึงกลัว กับท่วงท่าการก้าวที่แปลกประหลาด สัญชาติญาณไวกว่าความคิด มือขวาของทริกเกอร์กระตุกดาบออกจากฝักแทบจะในพริบตา ดาบโฟตอนเซเบอร์แบบเรเปียร์ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวทหารอวกาศทุกคนถูกเหวี่ยงไปตรงหน้าด้วยท่วงท่าที่เป็นมาตรฐาน แม้กับผู้ที่ไม่ชำนาญนัก แต่ความหนักและความคมของใบมีดโฟตอนสามารถผ่าร่างมนุษย์ออกเป็นสองซีกได้แน่นอน ทริกเกอร์แทบจะหลับตาในจังหวะสุดท้ายที่คมดาบกำลังจะกระทบผิวหนังชายแปลกหน้าที่พุ่งเข้ามาจนระยะประชิด ในขณะที่แขนโลหะสีดำยกขึ้นมาป้องกันส่วนสำคัญอย่างรู้จังหวะ

    ตามกฎฟิสิกส์แล้ว สิ่งที่น่าจะขาดกระเด็นออกไปก็คือแขนโลหะของชายแปลกหน้า มีโลหะเพียงไม่กี่ชนิดที่ทนทานต่อใบมีดโฟตอนซึ่งมีความคมเป็นรองเพียงใบมีดเลเซอร์ ทว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทริกเกอร์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ดาบโฟตอนแตกกระจายออกเป็นสองท่อน ชิ้นส่วนเล็กๆของใบมีดโฟตอนปลิวว่อนในอากาศ รวดเร็วแต่ก็เชื่องช้าในความรู้สึก ทริกเกอร์แทบจะเห็นได้ชัดเจน ตอนที่แขนโลหะข้างนั้นฟาดเข้าที่ใบดาบ ก่อนจะสะบัดด้วยแรงที่มากพอจะทำลายดาบของเขาได้

    “แขนเหล็กไหล คุณคือ...” กัปตันหนุ่มล้มลงกับพื้น ศาสตราคู่กายเหลือแต่ด้ามจับและใบดาบอีกเพียงเล็กน้อย “ต๊อบ เหล็กไหล”

    “ตกลงนี่แกเพิ่งรู้จริงๆเหรอว่าชั้นเป็นใคร” หลังจากเห็นสีหน้าประหลาดใจของทริกเกอร์ ต๊อบ เหล็กไหลก็หยุดมือลงครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด “ถ้างั้นแกก็ไม่ใช่คนของหน่วยพลังม้าจริงๆ”



    “ซีดูนี่สิ นี่มันซากยานนี่หว่า” อีกมุมหนึ่ง ท่ามกลางซากภูเขากองขยะ พีทตะโกนเรียกซีให้มาดูยานลาดตระเวนขนาดเล็กเก่าๆลำหนึ่ง “ท่อเชื่อมต่อพลังงานกับระบบรีไวล์พังยับเลย แอร์ล็อคโค้ทติ้งที่เคลือบผิวนอกไว้ก็ลอกหมดแล้ว สงสัยจะโดนระเบิด”

    “น่าจะระเบิดภายในเพราะเครื่องยนต์ไม่สามารถระบายพลังงานได้มากกว่า” ซีชี้ให้ดูโพรงกว้างบริเวณห้องเครื่อง “แล้วก็เลยไฟลุกท่วม”

    “แต่เครื่องยนต์ยังใช้ได้อยู่นะ เมนเฟรมก็ยังตอบสนอง” หัวขโมยหนุ่มกระชับชะแลงในมือแน่น ก่อนจะงัดเอาแผ่นเหล็กที่ครอบปิดส่วนของระบบขับเคลื่อนออกมา “บางทีนี่อาจใช้ได้”

    “ขยะชัดๆ อย่าเลย เราขนไปไม่ไหวหรอก” มิสเตอร์ซียักไหล่ไม่เห็นด้วย

    “แต่ในลมกรดจำเป็นต้องมียานพาหนะสนับสนุน ทริกเกอร์คงไม่มีตังซื้อใหม่หรอก เอาขยะไปซ่อม คงพอใช้ได้บ้างแหละ” บางทีพีทก็ดูจะรอบคอบกว่าซีอยู่บ้างเหมือนกัน หรืออาจเป็นเพราะอากาศร้อน จึงทำให้ซีที่รู้สึกรำคาญตัวมาตั้งแต่เมื่อครู่ดูจะมองข้ามเรื่องต่างๆไปเสียหมด “มีตราของราชวงศ์อยู่ด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นของดีก็ได้”

    “ราชวงศ์ก็ผลิตของมั่วซั่วเหมือนกันแหละ” มือปืนหนุ่มแห่งธรณีนี่นี้ใครครองเอามือป้องปากหาว เขาไม่ได้ตั้งใจหาอะไหล่เท่าใดนัก อันที่จริงนี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาด้วยซ้ำ ซีกับพีทก็แค่เบื่อและอยากลงมาเดินเล่นเท่านั้น และยังไง พวกลูกเรือก็คงตั้งใจทำงานกันเต็มที่อยู่แล้ว “ว่าแต่นี่ไอ้คุณทริกเกอร์มันหายหัวไปไหนกันวะ”

    “ก็คงแวบไปพักแหละ” พีทติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณบนซากยานขนาดเล็ก เพื่อรอให้ยานลมกรดมาเก็บกู้ไป ก่อนจะหันมาบ่นต่อ “ไอ้หมอนั่นเนี่ยนะ คิดจะตามล่าลอร์ด927 ดูยังไงก็ยาก ขี้เท่อขนาดนั้น”

    “เห็นด้วย” มิสเตอร์ซีพยักหน้ากับคำพูดของเพื่อนสนิท “แต่บางทีหมอนั่นอาจสร้างปรากฏการณ์แปลกประหลาดได้ คนบ้าๆแบบนั้นน่ะหายากนะ”

    “แน่ล่ะสิ ก็ส่วนใหญ่ ไอ้พวกที่กล้าและบ้าบิ่นแบบนี้จะตายในสงครามไปหมดแล้ว” จบประโยคนั้น พีททิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเก่าๆที่ถูกทิ้งตัวหนึ่ง ฝุ่นตลบคลุ้งขึ้นมาจนชายหนุ่มต้องรีบโบกมือปัด “อยากรู้จัง ลอร์ด927นี่มันคนประเภทไหน ใจทำด้วยอะไร ถึงอาจหาญขนาดคิดจะชิงบัลลังก์”

    “นั่นสิ” ท้องฟ้าที่อาบแสงร้อนแรงเจิดจ้าสะท้อนอยู่ในเลนส์ของอายส์สโคปที่ซีสวมอยู่ มือปืนหนุ่มครุ่นคิดถึงอาชญากรคนดังของแกแล็คซี่ในคำถามเดียวกับที่พีทตั้งไว้ “คนแบบไหนกัน ถึงจะอยากได้บัลลังก์ที่เปื้อนเลือดขนาดนั้น”



    “คุณเคยเป็นมือขวาของลอร์ด927 ผมจำคุณได้ สมัยการปฏิวัติเมื่อสิบปีก่อน คุณโด่งดังมาก” ทริกเกอร์ระลึกถึงบุคคลตรงหน้าออกมาเป็นคำพูด ในขณะที่คมหมัดของชายแปลกหน้าไม่ได้เงื้อตรงมาทางเขาอีกต่อไป “ยอดฝีมือมวยไทยแห่งกองทัพบก พันตรีต๊อบ สังกัดหน่วยทะลวงฟันอันเลื่องชื่อ ก่อนจะมาประจำการอยู่บนยานธงเมสไซอาห์ของลอร์ด927ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการยกพลขึ้นบก”

    พูดถึงตรงนี้ ทริกเกอร์ก็เหลือบไปยังแขนโลหะทั้งสองข้างของต๊อบ โลหะสีดำเป็นมันวาวสะท้อนแสงราวกับมีชีวิต โลหะที่แข็งแกร่งที่สุดในแกแล็คซี่

    “ต่อมาจึงได้สูญเสียแขนทั้งสองข้างไปในสมรภูมิที่ดาวอัลทิม่า เมื่อเห็นแก่ผลงานที่โดดเด่นตลอดมา ทางราชวงศ์จึงอนุมัติให้เบิกแร่เหล็กไหล ซึ่งเป็นสุดยอดแร่ธาตุมาทำเป็นแขนกลให้ หลังจากนั้นมา คุณก็กลายเป็นมือพิฆาตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในกองทัพ สมญานามว่าต๊อบ เหล็กไหล ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในออลไฟนอล และถูกเสนอชื่อเข้าไปอยู่ในศิลาขาวเกียรติยศ คุณเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งของผม” จากที่พูดมาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าทริกเกอร์ชื่นชมต๊อบมากจริงๆ เขาลุกขึ้นก้าวเข้าไปใกล้ต๊อบมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่อดีตวีรบุรุษสงครามยังคงยืนฟังเรื่องของตัวเองอย่างสงบนิ่ง “ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน คุณก็ได้ก่อคดีร้ายแรงขึ้น คุณได้สังหารนายทหารระดับสูงไปมากมายรวมไปถึงข้าหลวงในราชสำนักอีกหลายสิบคน ก่อนจะหายตัวไป ข่าวว่าคุณคุ้มคลั่งเพราะพิษของเหล็กไหล มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

    “พิษของเหล็กไหลมันทำอะไรผู้มีความสามารถทางจิตไม่ได้หรอก” ต๊อบเหล็กไหลเก็บส่วนปลายของดาบซึ่งโดนเขาซัดจนหักแล้วยื่นกลับคืนให้ทริกเกอร์ “ลืมเรื่องของชั้นซะ แล้วไปจากที่นี่ ชั้นตัดขาดจากโลกภายนอกมานานแล้ว และก็ไม่อยากมีปัญหา แกไม่ใช่คนของหน่วยพลังม้า ถ้าไม่ไปปากโป้ง ชั้นคงยังอยู่ที่นี่ต่อไปได้”

    “คุณเป็นอาชญากรในบัญชีดำของหน่วยพลังม้า พวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้คุณรอดไปได้หรอก” ทริกเกอร์รับปลายดาบกลับมาเก็บไว้ ถึงจะเรียกว่าอาชญากร แต่ต๊อบก็รามือง่ายเกินไปหน่อย บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่คิด “คุณน่าจะมอบตัว ทางสภาสูงเสียดายความสามารถของคุณมาก”

    “แต่ชั้นก็รอดมาได้จนถึงตอนนี้แล้วไง” อดีตวีรบุรุษสงครามหันหลังกลับพลางโบกมือลา “เห็นแก่ว่าเคยเป็นทหารเหมือนกัน แล้วท่าทางแกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ชั้นจะปล่อยแกไปแล้วกัน”

    “ขอบคุณครับ” เมื่อไม่อยากตอบ กัปตันหนุ่มก็ไม่มีเหตุผลจะเซ้าซี้ถามต่อ ทริกเกอร์ลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัวบ้าง ก่อนจะหันไปกล่าวลาต๊อบเหล็กไหล “การไม่ต้องต่อสู้กับคุณ ช่วยทำให้การตามล่าจับกุมท่านลอร์ด927เป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ขอบคุณมากครับ”

    “ว่าไงนะ ตามล่าลอร์ด927...จับกุม” ประโยคนั้นของทริกเกอร์ทำเอายอดฝีมือมวยไทยชะงักในทันที “หมายความว่ายังไงกัน”

    “อ้อ คุณหายตัวไปในช่วงปลายสงคราม คงไม่รู้เรื่องข่าวคราวภายนอกมากเท่าไหร่” ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกใจที่ดูเหมือนต๊อบจะไม่รู้เรื่องภายนอกเลยแม้แต่น้อย “หลังจากสงครามสงบลงได้ไม่นาน ลอร์ด927ก็ได้ก่อกบฏขึ้นอีก ก่อนจะนำกองยานในสังกัดหลบหนีไป และคอยให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายระหว่างดวงดาวอยู่จนถึงทุกวันนี้”

    “บ้าน่า ท่านลอร์ดเนี่ยนะ” ในอดีตต๊อบเหล็กไหลเคยสังกัดอยู่ในยานธงของลอร์ด927แถมยังเป็นคนสนิทคนหนึ่ง ทริกเกอร์ไม่แปลกใจเลยที่ดูสีหน้าต๊อบจะประหลาดใจขนาดนั้น

    “นอกจากนั้น ตอนแรกเห็นคุณพูดถึงสิงโตเพลิงจิออร์โน่ ผมขอแจ้งให้ทราบว่าอดีตหัวหน้าหน่วยพลังม้าได้หลุดออกจากตำแหน่งแล้ว เนื่องจากเขาเป็นตัวอันตรายมากเกินไป” แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทริกเกอร์ก็อยากจะบอกวีรบุรุษของเขาเอาไว้ อันที่จริงแล้ว เช่นกันกับที่ต๊อบเคยอยู่บนยานของลอร์ด927 จิออร์โน่ในอดีตก่อนบรรจุหน่วยพลังม้าก็เคยเป็นนาวิกโยธินบนยานลำเดียวกับทริกเกอร์สมัยยังเป็นนายทหารหน้าใหม่มาก่อน “ผู้ที่มาแทนในตำแหน่งของพันเอกพิเศษจิออร์โน่คือพันเอกพิเศษแบล็ค บลิทซ์ฟอร์ดครับ”

    “เรื่องของไอ้สารเลวนั่นน่ะช่างมันเถอะ” โดยไม่สนใจฟังในสิ่งที่ทริกเกอร์พูด ต๊อบยังคงจับจ้องไปที่ภูเขากองขยะข้างๆอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะพยักหน้ากับตัวเองในที่สุด “จริงสินะ ถ้าเป็นท่านลอร์ดล่ะก็ คงต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว”

    “ว่าไงนะครับ” ทริกเกอร์ได้ยินสิ่งที่ต๊อบพึมพำไม่ถนัด แต่มันฟังดูไม่ดีเท่าไหร่

    “โทษทีว่ะแก” ในที่สุด ต๊อบก็เงยหน้าขึ้นมา เขาย่างสามขุมเข้ามาหาทริกเกอร์อย่างช้าๆ สีหน้าดูจะเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที “แต่ชั้นคงปล่อยศัตรูของท่านลอร์ดไปไม่ได้ซะแล้ว”

    ขาทั้งสองข้างของทริกเกอร์ผงะถอยหลังไปอย่างไม่ตั้งใจ และโดยไม่ทันได้เรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น สัญชาติญาณของทริกเกอร์ก็บอกตัวเองให้รีบหนีทันที ตอนนี้เขาเหลืออาวุธเพียงปืนสั้นหนึ่งกระบอก ทว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงว่าที่วีรบุรุษสงคราม หนึ่งในสามผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแกแล็คซี่ แค่คิดจะชักปืนขึ้นมาก็คงจะผิดเสียแล้ว กัปตันหนุ่มจึงตัดสินใจหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว กระชากซากขยะจากภูเขากองขยะชิ้นล่างออก เพื่อให้กองขยะมหาศาลถล่มลงมา ก่อนจะวิ่งหนีไปทันที

    ซากภูเขากองขยะถล่มลงมาฝุ่นตลบอบอวลบดบังทัศนะวิสัยบริเวณนั้นจนสิ้น แต่สำหรับต๊อบ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของทริกเกอร์ชัดเจนเลยทีเดียว อดีตมือพิฆาตแห่งกองทัพวิ่งฝ่ากลุ่มฝุนละอองคละคลุ้งเงื้อง่าหมัดโลหะสีดำสนิทราวกับความมืดของรัตติกาล เสียงฝีเท้าของทริกเกอร์ทั้งสับสนและเชื่องช้า ราวกับว่ากัปตันกำมะลอแห่งยานลมกรดจะไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่ๆ ต๊อบสปริงตัวขึ้นจากพื้นในระยะที่พอเหมาะ หมัดขวาที่เงื้อขึ้นสูงเล็งไปยังเป้าหมายที่มองไม่เห็นท่ามกลางกลุ่มละอองหนาทึบ แต่ต๊อบรู้ดีว่าทริกเกอร์อยู่ตรงนั้นแน่นอน

    พริบตานั้นเอง ก่อนที่หมัดของต๊อบจะลงถึงตัวทริกเกอร์ แสงเลเซอร์ความถี่สูงก็พุ่งเข้าปะทะกับแขนโลหะสีดำข้างนั้น แรงระเบิดจากแสงเลเซอร์อัดจนแขนเหล็กไหลสะบัดไปด้านหลัง แต่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน

    “แกเป็นใคร” มิสเตอร์ซีกล่าวสงบนิ่ง ปืนในมือซ้ายยังคงเล็งตรงมาทางชายแปลกหน้า ปล่องระบายความร้อนที่บริเวณปากกระบอกปนยังคงมีควันขึ้นกรุ่น

    “ศัตรู” นั่นคือคำตอบของต๊อบ และนั่นก็เพียงพอแล้ว เจ้าของแขนเหล็กไหลพุ่งตรงเข้าไปทางมิสเตอร์ซีอย่างไม่หวั่นเกรงต่ออานุภาพของปืนเลเซอร์ ซึ่งซีเองก็ประเคนให้อย่างไม่ปราณี

    ทว่าแสงเลเซอร์ไม่อาจระคายผิวโลหะในตำนานได้ ต๊อบใช้แขนของเขารับกระสุนแสงความถี่สูงไว้ได้ทั้งหมด มิสเตอร์ซีเพียงยิงพลางถอยหลังไปพลางอย่างใจเย็น เขาไม่ได้โง่ ศัตรูที่รับกระสุนได้ด้วยแขนไม่อาจเอาชนะได้ด้วยวิธีขาวสะอาดซึ่งๆหน้าๆ เขาจึงเลือกที่จะหลอกล่อดึงความสนใจของต๊อบไปเรื่อยๆ ในขณะที่รอให้พีทซึ่งโผล่มาเงียบๆจากทางด้านหลังได้ซัดมีดสั้นสามเล่มเข้าไปทางต๊อบในมุมอับสายตา สัญชาติญาณมือพิฆาตไวพอที่จะรู้สึกได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมพุ่งมาจากทางด้านหลังของเขา แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะป้องกันได้ทั้งหมด ต๊อบรับมีดไว้ได้สอง ทว่าที่เหลืออีกหนึ่งเสียบเข้าไปที่สะโพกของเขาเลือดสดๆปริ่มออกมาจากบาดแผล ทริกเกอร์ซึ่งเพิ่งจะหันกลับมาดูเหตุการณ์ท่ามกลางฝุ่นควันที่จางลงจึงได้หยุดวิ่ง

    “ซี พีท ขอบคุณมาก” กัปตันหนุ่มกล่าวถามแทนคำขอบคุณที่ทั้งสองมาช่วยไว้ “รู้ได้ไงว่าตรงนี้กำลังมีเรื่อง”

    “ก็แกเล่นถล่มภูเขาขยะซะเละเทะไปหมด ทั้งเสียง ทั้งควัน ใครไม่รู้ว่ามีเรื่องก็แย่แล้ว” มิสเตอร์ซีดึงก้อนรีชาร์จเจอร์พลังงานของปืนเลเซอร์ที่ใช้หมดแล้วออก ก่อนจะหยิบเอาอันสำรองมาเสียบแทนที่ “นี่มันอะไรกันเนี่ย”

    “ไม่รู้ว่ะ อยู่ๆก็เกิดบ้าวิ่งเข้ามาไล่ชกกันซะอย่างนั้น” ทริกเกอร์อธิบายสั้นๆ ยังไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ แม้ต๊อบจะกำลังง่วนอยู่กับการดึงเอามีดสั้นออกจากสะโพก ดูเหมือนจะปักเข้าไปลึกถึงกระดูก “ระวังตัวด้วย นั่นคือต๊อบ เหล็กไหลเชียวนะ”

    “ต๊อบเหล็กไหล ปรมาจารย์การต่อสู้คนนั้นน่ะเหรอ” มิสเตอร์ซีขนลุกเกรียวเมื่อนึกถึงชื่อเสียงของผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นศัตรู “ถัดจากดิสโก้คิลเลอร์ก็เป็นต๊อบเหล็กไหล เป็นการเดินทางที่สุดเหวี่ยงไปหน่อยนะ”

    “สบายมากน่าซี มีดปักลึกขนาดนั้น ยืนไม่ไหวหรอก” พีทกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ แต่ทันทีที่สิ้นประโยคนั้น ต๊อบก็กระชากเอามีดของพีทออกมาจากสะโพกได้ในที่สุด เลือกสีแดงข้นทะลักออกมาจากบาดแผลอย่างน่ากลัวในขณะที่ต๊อบซึ่งยังคงมีสีหน้าเฉยเมยเพียงใช้เศษผ้าพันเอาไว้เท่านั้น “บ้าน่า นี่แกไม่เจ็บบ้างเลยรึไง”

    “แค่นี้จิ๊บจ๊อย” ผู้ใช้เหล็กไหลแสยะยิ้ม ก่อนจะบิดคอไปมาดังกร็อบแกร็บ “ตอนโดนตัดแขนสองข้างเจ็บกว่านี้เยอะ”

    “เฮ้ย ทริกเกอร์ เรียกยานลมกรดเร็ว เรารีบเผ่นกันดีกว่า สู้กับมันก็เจ็บตัวเปล่าๆ” มิสเตอร์ซีหันไปตะโกนบอกกัปตันยานลมกรดพลางเล็งปืนไปทางต๊อบอีกครั้ง “แกนี่มันตัวซวยจริงๆ ไปพาเอาตัวอะไรมาวะเนี่ย”

    ‘ตูม!!!!!!!!’ ไม่ทันสิ้นคำนั้น หมัดขวาของผู้ใช้เหล็กไหลก็เฉียดหน้าซีไปเพียงนิดเดียว เล่นเอาซากเตาพลังงานด้านหลังทะลุเป็นรูโบ๋ในพริบตา ซึ่งหากมิสเตอร์ซีไม่ไหวตัวทันเอียงศีรษะหลบได้อย่างฉิวเฉียด เขาคงไม่พ้นมีสภาพเป็นอย่างซากเตาพลังงานนั้นแน่ๆ

    “เฮ้ย อะไรวะ คนเค้ากำลังคุยกันอยู่ ไม่มีมารยาทเลยนะ” ซีเช็ดเลือดจากรอยแผลที่เกิดจากแรงอัดอากาศตรงแก้ม ก่อนจะชักปืนออกมาจรดหน้าผากบุรุษลึกลับที่ยืนคร่อมตัวเขาค้างไว้อยู่เพราะหมัดเข้าไปติดอยู่ในซากเตาพลังงานอย่างช้าๆ “แต่ยังไงต้องขอชมนะ หมัดแกหนักจริงๆว่ะ”

    “ว่าไงมนุษย์เหล็กไหล อยู่ๆมาทำร้ายพวกเราทำไม” พีทพุ่งเข้ามาเอามีดจ่อต้นคอด้านหลังของต๊อบไว้ “ไอ้กัปตันกำมะลอนี่ไปติดหนี้แกไว้รึไง”

    “ขอปฏิเสธการเจรจาระหว่างทำศึก” ทันใดนั้นโดยที่ทั้งสองคนไม่ทันคาดฝัน แขนขวาของชายร่างล่ำที่ติดอยู่ในซากเตาพลังงานก็เหวี่ยงเข้าที่ซีเต็มแรงจนซีกระเด็น พร้อมกันนั้นแขนซ้ายของเขาก็ฟาดเข้าไปที่ลำตัวของพีทอย่างรวดเร็วจนพีทไถลไปด้านหลังจนติดซากกองขยะใกล้ๆกับซี “ก็แค่พวกแกต้องจบการเดินทางลงแค่นี้ มันจะมีเหตุผลอะไรนักหนา”

    โดยไม่ปล่อยให้ทั้งคู่ได้ทันตั้งตัว หมัดทั้งสองของต๊อบซัดเข้าไปยังตำแหน่งที่พีทและซียืนอยู่อย่างรวดเร็ว เกิดแรงอัดอากาศขึ้นเป็นวงเห็นได้ชัด แต่ทั้งพีทและซีก็ไวไม่แพ้กันพีททิ้งตัวลงไปยังทางลาดข้างๆ ส่วนซีกระโดดหลบไปอีกด้าน พีทอาศัยความคล่องตัวในแบบหัวขโมยของเขาเหวี่ยงตัวขึ้นมาจากทางลาดแล้วพุ่งเข้าประชิดด้านหลังต๊อบ เหล็กไหลทันที ก่อนที่มีดของพีทจะพุ่งเข้าไปยังตำแหน่งยอดอกของมือพิฆาตผู้สำเร็จวิชามวยไทย

    แต่ไม่สำเร็จ ต๊อบสามารถใช้มือเปล่าปัดมีดของพีทได้สบายๆ จะบอกว่ามือเปล่าก็ไม่น่าใช่ เพราะแขนทั้งสองข้างของต๊อบเป็นอาวุธเหล็กไหลที่ทรงอานุภาพมากกว่ามีดธรรมดาๆของพีทหลายเท่านัก ต๊อบใช้อีกมือหนึ่งชกเข้าไปที่ต้นแขนพีทอย่างแรง เล่นเอากระดูกแขนขวาพีทหักเสียงดังลั่น หัวขโมยหนุ่มกัดฟันแน่นอย่างเจ็บปวด เขาพายามที่จะไม่ร้องออกมา แต่สีหน้าก็บ่งบอกได้ชัดเจน น้ำตาเอ่อขึ้นมาท่วมท้นดวงตาที่มีแต่คำสบถอยู่ภายใน พีทไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสดูว่ากะรดูกตรงช่วงไหนทที่หัก ในจังหวะนั้นมิสเตอร์ซีก็เล็งปืนมาทางต๊อบแล้ว พลังงานของปืนเลเซอร์ที่เปลี่ยนรีชาร์จเจอร์แล้วถูกบีบอัดมารวมกันไว้ที่ปลายกระบอกปืน

    “ลาขาด มนุษย์เหล็กไหล” มิสเตอร์ซีรวมพลังงานในรีชาร์จเจอร์ทั้งหมดเพื่อที่จะยิงออกไปในคราวเดียว ต่อให้เป็นแผ่นเหล็กที่หนาแค่ไหนก็ต้องหลอมละลายแน่นอน ซีมั่นใจว่าลำพังแขนของต๊อบไม่มีทางป้องกันได้แน่

    เลเซอร์ความถี่สูงที่บีบพลังงานไว้อย่างเข้มข้นถูกส่งไปยังเป้าหมายที่หน้าผากต๊อบอย่างนุ่มนวลราวจับวาง แต่มิสเตอร์ซียังรู้ซึ้งถึงอานุภาพของเหล็กไหลน้อยเกินไป ต๊อบยกแขนขวาขึ้นมารับแสงเลเซอร์ความร้อนสูงอย่างไม่สะทกสะท้าน แขนขวาสีดำถูกความร้อนของเลเซอร์อาบจนเปลี่ยนเป็นแดงวาบควันขึ้นกรุ่น ซีได้แต่ยืนตกตะลึง จนลืมดูไปว่าศัตรูของเขากำลังเข้ามาใกล้แล้ว

    หมัดขวาของต๊อบที่เพิ่งโดนเลเซอร์มาจึงยังร้อนอยู่ได้ซัดเข้าไปยังตำแหน่งที่ซีนั่งอยู่จนมือปืนหนุ่มเกือบหลบไม่ทัน พื้นเหล็กตรงนั้นละลายราวกับถูกหลอม มิสเตอร์ซีสไลด์หลบหมัดขวาอันตรายไปอย่างฉิวเฉียด เขาดูถูกต๊อบไปจริงๆ ดูเหมือนแทบจะไม่มีทางเอาชนะผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแกแล็คซี่ได้เลย

    “เฮ้ย กัปตัน ยานลมกรดอยู่ไหนวะ เราต้องหนีแล้ว” มือปืนหนุ่มแห่งธรณีนี่นี้ใครครองร้องถามพลางหลบหมัดที่ตามมาติดๆของต๊อบอย่างหวุดหวิด

    “ไม่รู้ แต่ชั้นเรียกไปแล้วนะ” ทริกเกอร์ ซึ่งหลบอยู่ไกลพอสมควรตอบพลางเล็งปืนสั้นไปทางการต่อสู้ตรงหน้า ทว่ามือของเขาสั่นจนไม่อาจเล็งศัตรูของเขาได้ถนัด “โธ่เว้ย ไอ้ยานบ้า รีบมาสิวะ”

    ราวกับคำสั่งของกัปตันจะยังคงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ กระสุนปืนใหญ่เลเซอร์นับสิบนัดถูกระดมยิงลงมาทั่วทั้งลานขยะนั้นจนฝุ่นตลบ ต๊อบถูกแรงระเบิดอัดจนกระเด็นถอยไปด้นหลัง ในขณะที่มิสเตอร์ซีวิ่งหลบแรงระเบิดพลางประคองพีทซึ่งแขนหักไปด้วยอย่างทุลักทุเล ฝุ่นควันขโมงไปทั่วบริเวณ

    ยานลมกรด2003ลอยลงมาในระดับเหนือพื้นดินไปเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูหลักด้านหน้าออกแล้วส่งสะพานลงมาเทียบพื้นดิน หน่วยคอมมานโดในชุดพรางและหน้ากากกันแก๊สพิษซึ่งเป็นลูกเรือหกคนวิ่งลงมาสองคนประคองพีทกับซี อีกสองคุ้มกันกัปตันทริกเกอร์ และสองคนที่เหลือคุมเชิง ทั้งหมดปฏิบัติการกันอย่างรวดเร็วในการพากัปตัน พีทและมิสเตอร์ซีกลับขึ้นยาน ก่อนที่ยานลมกรด2003จะทะยานขึ้นสู่อวกาศไป ปล่อยให้ต๊อบเหล็กไหลซึ่งเพิ่งลุกจะขึ้นได้ยืนกำหมัดนิ่งตามลำพังท่ามกลางฝุ่นควันที่คละคลุ้งไปทั่ว

    มือพิฆาตของกองทัพหรี่ตาลงมองยานลมกรดที่กำลังทะยานออกนอกชั้นบรรยากาศไปอย่างสงบนิ่ง บางทีเขาคงจะเก็บตัวมานานเกินไปหน่อยแล้ว



    “มาช้าไปหน่อยนะ” ทริกเกอร์กล่าวทันทีที่ก้าวเข้ามาถึงห้องบัญชาการหลัก เขากับมิสเตอร์ซีตรงเข้ามาที่นี่ทันทีหลังจากขึ้นยานได้ ส่วนพีทนั้นต้องไปเชื่อมกระดูกที่หักในห้องพยาบาลซะก่อน

    “เอาน่า มันยุ่งยากนิดหน่อย แต่ตอนนี้อะไหล่พร้อมแล้ว ปรับปรุงอีกนิดหน่อยยานลมกรดก็สมบูรณ์พร้อม” มาเท็กซ์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “มีพวกพาหนะสนับสนุนด้วยนะ ไอ้ที่พีทให้ไปเก็บมาน่ะ โอเคเลย เห็นมั้ย เมื่อกี้ขนาดปืนใหญ่ยังใช้ได้เลย”

    “แล้วยิงกันไม่เล็งเลยนะ ที่เกือบจะตายก็เป็นเพราะไอ้ปืนใหญ่นั่นด้วยครึ่งนึงแหละ” แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บจากปืนใหญ่เลย แต่มิสเตอร์ซีก็อดออกปากตำหนิไม่ได้

    “ระบบล็อคเป้ายังไม่สมบูรณ์น่ะ แต่พวกนายก็ยิงไม่โดนพวกนายเลยไม่ใช่เหรอ” มาเท็กซ์ยักไหล่พลางหันไปทางจอมอนิเตอร์โฮโลแกรมซึ่งลอยอยู่กลางห้องบัญชาการหลัก “เมื่อกี้ชั้นให้เซิร์นแสกนหาร่องรอยคลื่นการสื่อสารของกองกำลังปลดปล่อย927 ได้ข้อมูลสัญญาณสื่อสารชุดเก่ามานิดหน่อย เดี๋ยวให้พีทจัดการแกะรอยได้เลย ว่าแต่มันอยู่ไหนล่ะเนี่ย”

    “พีทไปเชื่อมกระดูกอยู่ โดนพ่อแขนเหล็กไหลเมื่อกี้ต่อยแขนหัก” กัปตันทริกเกอร์ดูภาพในจอมอนิเตอร์อย่างครุ่นคิด “ตามพิกัดแล้ว นี่มันก็อยู่ใกล้ๆอาร์ติเคลเลยนะ ก็ไม่ไกลจากพวกเราเท่าไหร่”

    “ถ้างั้นเราน่าจะไปปักหลักกันที่แร็คนาร็อคกันก่อนนะครับ” ต้นหนยานชาวฮิลเดียนเสนอ “เรามีอะไหล่เพียงพอแล้ว แต่เราต้องหาเสบียงด้วย”

    “ดี ที่แร็คนาร็อคมีท่าอวกาศยานใหญ่อยู่ ชั้นจะหายานกลับธรณีนี่นี้ใครครองด้วย” โดยไม่สนใจต่อสายตาวิงวอนให้อยู่ด้วยกันของทริกเกอร์ มาเท็กซ์แสดงเจตจำนงชัดเจนที่จะลงจากยานลมกรด2003

    “โอเค แร็คน่าร็อคอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่” ในที่สุด กัปตันทริกเกอร์ก็ยอมรับในเหตุผลของลูกเรือและมาเท็กซ์ “งั้นเราจะมุ่งหน้าไปที่แร็คนาร็อคกันเลย หลังจากเติมเสบียงและให้พีทลงมือแกะคลื่นสัญญาณที่แร็คนาร็อค เราจะออกตามล่ากองกำลังปลดปล่อย927กันจริงๆสักที”



    อีกด้านหนึ่ง ไกลออกไปในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างและมืดมิด ยานเฮลไฟร์69กำลังแล่นฝ่ากลุ่มเพรียงอวกาศสีขาวนวลไปอย่างช้าๆ กัปตันทรอปปิคอลนั่งจิบชาอยู่ตามลำพังในห้องพักกัปตัน สายตาแหลมคมเยือกเย็นจับไปที่เหรียญตรากัปตันยานบัญชาการที่วางอยู่บนโต๊ะ สิ่งที่เธอไขว่คว้ามานานแสนนาน แต่บัดนี้เธอได้เป็นเจ้าของมันแล้ว

    “กัปตันคะ เราแกะรอยพบพวกของทริกเกอร์แล้วค่ะ” เสียงที่ดังผ่านอินเตอร์คอมออกมานั้นคือเสียงของโอมุ รองกัปตันตัวเล็ก ซึ่งเป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนคนสำคัญของเธอ “พวกนั้นกำลังตั้งพิกัดมุ่งตรงไปยังนครไอซาร์ดแห่งดาวแร็คนาร็อคค่ะ”

    ไอซาร์ด มหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดวงดาวที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่าหลากชนิด ทรอปปิคอลวางถ้วยชาในมือลงเบาๆ ก่อนจะหยิบเหรียญตรามากลัดบนอกเสื้อนอก

    “ยานเมดิสันแสควร์ของกัปตันครูนาร์เองก็มาปฏิบัติราชการที่แร็คนาร็อคพอดี แถมเรายังต้องไปเติมเสบียงคลังแสงที่นั่นอีกด้วย” น้ำเสียงสงบนิ่งราบเรียบตอบกลับไปอย่างเชื่องช้า “ดูเหมือนเราคงต้องไปเยี่ยมอดีตอาจารย์กันหน่อยแล้วล่ะโอมุ ตั้งพิกัดเทียบท่าไปที่เมืองไอซาร์ด แร็คนาร็อคทันที เราจะบดขยี้พวกนอกรีตของกองทัพให้ราบคาบที่นั่น และตามไปจัดการกับอาชญากรสงครามหลังจากนั้น”

    โอมุรับคำสั่งเพียงสั้นๆ ก่อนจะปิดสัญญาณสื่อสาร ทรอปปิคอลหลับตาลงอีกครั้ง บางทีเธอก็ไม่รู้ว่าอะไรมันเหนื่อยมากกว่ากัน ระหว่างการไต่เต้าไปสู่ความฝัน หรือการรักษาสภาพตอนที่ฝันเป็นจริง

    อีกด้านหนึ่ง ไม่ไกลออกไปนัก เสียงเพลงดิสโก้กำลังดังสอดแทรกอยู่ในคลื่นสัญญาณทุกสิ่งที่อยู่ในระยะรัศมี ทำลายความเงียบสงบของจักรวาลอันเวิ้งว้างอย่างมีเอกลักษณ์ ดิสโก้คิลเลอร์ควบเลิฟโพชั่นนัมเบอร์ไนน์พุ่งทะยานผ่านความมืดไปอย่างรวดเร็ว บนจอมอนิเตอร์ผลึกเหลวที่คอนโซลยานคือพิกัดที่เขากำลังจะมุ่งหน้าไป ที่ที่เหยื่อของเขากำลังจะไปเยือน แร็คนาร็อค ดวงอาวอันอุดมสมบูรณ์ และสงบสุข ช่างเหมาะแกการล่าสังหารเสียจริง



    Character
    ต๊อบ เหล็กไหล -- คุณอลันแม็คกะต๊อบ

    Free Talk
    แล้วตอนนี้ก็เปลี่ยนไปซะเกือบ ต๊อบ เหล็กไหลในฉบับนี้ที่ผมลังเลอยู่นานว่าจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกเค้าไปยังไง ก็ออกมาเป็นแบบนี้ ดูสุขุม น่ากลัวและอันตรายขึ้นกว่าเดิม แต่ความบ้าคลั่งดันลดฮวบ น่าเสียดาย ตอนหน้าจะเข้าช่วงดาวแร็คนาร็อคที่หลายๆคนเคยฮือฮากันมาแล้ว ช่วงนี้เป็นงานหนังสือ ผมเลยพอมีเวลาว่างเพราะทุกออฟฟิศต้องหยุดเพื่อไปลุยงานหนังสือ ดีครับ สบายเลย ฮ่าๆๆ :D
  14. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 5 - คนบ้า Updated 03/04

    พี่ต๊อบโคตรเท่ห์เลย ผิดกับฉบับเก่าหน้ามือเป็นหลังมือ แต่พออ่านๆไปรู้สึกเดี๋ยวเนื้อเรื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงแหงๆ ได้กลิ่นตุๆ - -*

    EDIT...แล้วจะมี MVP โผล่มาที่แร็กนาร็อกไหมคับเนี่ย
  15. freecss

    freecss Member

    EXP:
    145
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 5 - คนบ้า Updated 03/04

    เอาต๊อบบ้าต๊อบบ้ากลับมา!
  16. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 5 - คนบ้า Updated 03/04

    ก่อนอ่านตอนนี้ รบกวนอ่านช่วง Free Talk ด้านล่างก่อนนะครับ



    All Final Wars #6

    ไม่บังเอิญ

    [​IMG]

    ราวสิบปีที่แล้ว ช่วงปลายของรัชกาลก่อน ตอนที่แกแล็คซี่ออลไฟนอลยังคงสงบราบคาบกว่านี้ ราชวงศ์ปกครองแกแล็คซี่ด้วยอำนาจที่ทรงธรรม แม้จะเป็นระบบเทวราชา แต่ก็ไม่เอารัดเอาเปรียบราษฎรเกินไปนัก ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้ดี จนกระทั่งค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองสีเลือดมาถึง

    งานเฉลิมฉลองสีเลือด หรืออันที่จริงก็คืองานฉลองครบรอบการเสวยราชสมบัติยี่สิบห้าปีขององค์จักรพรรดิ ถูกจัดขึ้นในวังหลวงของราชวงศ์บนดาวไฟนอล ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและเข้มงวดที่สุด ทว่าโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มต้นขึ้นจากที่แห่งนี้ โดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อน จอมพลไกเซอร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพพิทักษ์จักรวาลและเซอร์วิงก์การ์ด หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ บุคคลสองคนที่มีอำนาจสูงสุดในและนอกเขตพระราชวังได้ร่วมมือกับขุนนางและทหารจำนวนหนึ่งก่อกบฏและล้อมสังหารจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์และขุนนางอีกมากมายในงานฉลอง การกบฏของสองผู้นำกองทัพในครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิและรัชทายาทถูกสังหาร เหลือเพียงเจ้าชายองค์เล็กซึ่งมีสายเลือดมังกรเข้มข้น ที่ร่วมมือกับรองหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ซึ่งยังภักดีต่อราชวงศ์ ปราบกบฏภายในวังลง โดยสามารถสังหารจอมพลไกเซอร์และเซอร์วิงก์การ์ดลงได้ในที่สุด

    ทว่ายังมีผู้สนับสนุนการโค่นล้มราชวงศ์อีกมากมายที่หลบหนีไปได้ การปฏิวัติเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง สงครามแพร่ขยายสู่หมู่ดาวต่างๆอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่ใครจะทันตั้งตัว กองทัพพิทักษ์จักรวาลยาตราไปยังทุกพื้นผิวของดวงดาวทุกดวง กวาดล้างเหล่ากบฏภายใต้การนำของจอมพลอโลฮา โกโมรา และแม่ทัพกองอวกาศยาน ลอร์ด927 โดยเจ้าชายองค์เล็กผู้เหลือรอดได้ถูกขนานนามเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ และถูกเรียกว่า เจย์เร็นเดอเรอร์ จักรพรรดิเลือดมังกรแห่งราชวงศ์เร็นเดอเรอร์ ผู้ปราบกบฏได้ด้วยพลังของเขาเอง

    แม้สงครามระหว่างหมู่ดาวจะสงบลงภายในเวลาไม่นานนัก แต่มันก็เป็นสงครามครั้งใหญ่ และความเสียหายก็มีมากมายจนเกินกว่าจะเยี่ยวยา ทั้งราชวงศ์และกองทัพสูญเสียบุคคลสำคัญไปมากมาย ดาวเคราะห์ในระบบดวงดาวหลายดวงถูกทำลายจนเสียหายยับเยิน ที่หนักที่สุดคืออัลทิมา อันเป็นปราการด่านสุดท้ายของพวกกบฏ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ได้ถูกเผาราบคาบไปทั้งดวงดาว

    ที่ร้ายกว่านั้นคือผลที่ตามมา เศรษฐกิจในออลไฟนอลตกต่ำทั่วทุกซอกทุกมุมของแกแล็คซี่ กฎหมายใหม่ถูกเขียนขึ้นอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยข้อบังคับที่โหดร้าย จักรพรรดิองค์ใหม่ไม่ได้โอนอ่อนเช่นเดียวกับองค์ก่อนๆ โดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของระบอบการปกครอง ประชาชนถูกกดขี่อย่างหนัก กองทัพที่ทรุดโทรมถูกฟื้นฟูขึ้นใหม่ด้วยเงินภาษีจำนวนมหาศาล อาชญากรรมเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง เกิดผู้ต่อต้านราชวงศ์ขึ้นมามากมาย

    และตั้งแต่นั้นมา ออลไฟนอลแกแล็คซี่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



    มหานครไอซาร์ดแห่งดาวแร็คนาร็อคเป็นนครทางตอนกลางของดาวเคราะห์อันอุดมสมบูรณ์ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนและยวดยานมากมาย ดาวเคราะห์อันแสนอุดมสมบูรณ์แร็คน่าร็อคมีพร้อมทั้งสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศอันหลากหลาย ซึ่งทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพด้วยเช่นกัน ดาวดวงนี้จึงเปรียบเสมือนสวนสวรรค์ของสิ่งมีชีวิต เป็นดวงดาวอันเป็นที่รักของประชาชนและชนชั้นสูงในราชวงศ์ แร็คนาร็อคเป็นดาวที่มีพื้นที่ป่าดิบซึ่งยังไม่ถูกสำรวจอยู่เป็นจำนวนมาก มหานครแต่ละแห่งจะถูกสร้างไว้ในโดมแก้ว โดยมีเส้นทางเชื่อมต่อกันระหว่างเมืองที่เรียกว่าเทอร์มินัลเวย์ พาดผ่านป่าดิบและหุบเขาต่างๆเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้ายผู้เดินทาง

    “ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากเจอกับเดอะข่าน และต๊อบเหล็กไหลแล้ว เรายังแจ๊คพ็อตมาถึงแร็คน่าร็อคช่วงที่กำลังมีมรสุมพอดีอีก” ฝ่ามือของกัปตันทริกเกอร์ยื่นออกไปนอกกันสาดบริเวณหน้าท่าอวกาศยานเบาๆเพื่อกะระดับความแรงของน้ำฝน ไม่เพียงแค่แรง แต่มันแรงมากทีเดียว ที่จริงแค่กะด้วยสายตาดูก็น่าจะรู้

    “ถ้าไม่ติดว่าเราขนนักโทษของกองทัพมาเต็มยาน เราน่าจะได้ไปจอดที่ท่าอวกาศยานในเมืองนะ อยู่ในโดมแก้วคงอุ่นกว่าเยอะเลย” พีทบ่นกระปอดกระแปด แน่นอน หากเอาลมกรด2003ไปจอดในตัวเมือง พวกทริกเกอร์มีหวังถูกคนของกองทัพรวบตัวโดยไม่ต้องรอให้ออกวิ่งด้วยซ้ำ พวกเขาจึงจำต้องมาหาที่จอดยานเถื่อนนอกเมืองซึ่งไม่มีทหารมาตรวจตรา

    “เอาน่า พวกเราเองก็ใช่ว่าจะประวัติขาวสะอาด” ซีพูดพร้อมกับกระชับเสื้อโค้ทให้แน่นขึ้น เพื่อปกป้องตัวเองจากลมกรรโชกและสายฝนที่โชยกระหน่ำ แร็คนาร็อคไม่ใช่ดาวที่จะมีมรสุมเกิดขึ้นบ่อยๆ ที่พวกเขาเจอนี่ นับว่าเป็นลูกที่รุนแรงพอตัว แม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็นับว่าโชคร้ายจริง “อีกเดี๋ยวรถรางก็จะมาแล้ว เรามาตกลงกันก่อน ทริกเกอร์ ทางที่ดีนายกับพวกลูกเรืออย่าเข้าไปในเมืองเลย เสี่ยงโดนจับได้เปล่าๆ”

    “แล้วพวกนายจะไปซื้อเสบียงมาให้รึไง” กัปตันหนุ่มแย้ง อันที่จริงเขาเองรู้สึกเบื่อเต็มแก่กับการต้องอยู่แต่ในยาน จึงอยากออกไปเดินเล่นในเมืองเต็มที่ “ให้พวกลูกเรือเฝ้ายานกับมาเท็กซ์ ชั้นจะออกไปจัดการเรื่องเสบียงเอง”

    “พูดเป็นเล่น นายเห็นชั้นเป็นยามรึไง” มาเท็กซ์กดเสียงสูงทันที เขาไม่ใช่ลูกเรือที่ทริกเกอร์จะมาชี้นิ้วสั่งได้ตามใจชอบ “แล้วบอกให้รู้ไว้เลยนะ ชั้นจะอยู่ที่ยานนี่จนถึงแค่จัดการเก็บรายละเอียดหมดแค่นั้น ทันทีที่นายเอายานออกจากแร็คนาร็อคนี่ ก็ลาขาดว่ะ”

    “ถ้างั้นนายก็น่าจะอยู่นี่ แล้วรีบๆซ่อมให้เสร็จนะมาเท็กซ์” แม้จะฟังดูเหมือนกวนประสาท แต่ที่พีทพูดก็ถูก แทนที่จะออกไปเอ้อระเหยลอยชาย ยิ่งจัดการงานของตัวเองให้เสร็จเร็วเท่าไหร่ มาเท็กซ์ก็ได้กลับรังเร็วขึ้นเท่านั้น นายช่างแขนกลจึงได้แต่พยักหน้าพลางบ่นอุบอิบ “ส่วนนาย ทริกเกอร์ ที่นี่แร็คนาร็อค ไม่ใช่ธรณีนี่นี้ใครครอง ถ้านายคิดจะมาเดินยืดอกในเมืองใหญ่ได้ ทั้งๆที่มีประกาศจับแปะหรากระทั่งบนดาวเทียม ก็เชิญเลย”

    “ชั้นก็ไม่ได้บอกว่าจะไปเดินยืดอกซะหน่อย” น้ำเสียงของกัปตันคนเก่งอ่อยลงทันที อันที่จริงก็มีแอบนึกไว้บ้าง “เฮ้ย มันต้องมีวิธีสิน่า ก็แค่ไม่ให้คนสังเกตเห็นไม่ใช่เหรอ”

    “กะแล้วว่าต้องดื้อ” พร้อมคำพูด มิสเตอร์ซียื่นเครื่องมือชิ้นเล็กๆให้ทริกเกอร์รับไว้ มันคือเครื่องรบกวนคลื่นความถี่แสง “เอาไป ใช้พรางกายได้ช่วงสั้นๆ แต่อย่าทำอะไรกระโตกกระตากล่ะ มีบางเผ่าพันธุ์ใช้คลื่นความถี่แสงที่ต่างไปจากคนอื่น”

    “พวกฮิลเดียนกับพวกวิฬาร์” มนุษย์นกกับพวกแมวนั้นสามารถรับภาพที่มีคลื่นความถี่แสงกว้างกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมาก โชคดีที่สองเผ่าพันธุ์นี้มักไม่สุงสิงกับคนอื่นเท่าไหร่ ทริกเกอร์พยักหน้าเงียบๆ และระลึกไว้ในใจว่าวันนี้เขาไม่ควรเหยียบหางใคร “แล้วพวกนายจะไปไหนกัน”

    “ไม่เกี่ยวกับนายนี่” หมายความอย่างที่พูด พีทตั้งใจจะไม่ตอบคำถามทริกเกอร์จริงๆ

    “ก็คงหาข้อมูลอะไรบางอย่าง” เป็นมิสเตอร์ซีอีกนั่นแหละที่ใจดีกับกัปตันตกอับเสมอ “อย่างเรื่องของเดอะข่าน แร็คนาร็อคเป็นดาวที่คับคั่งด้วยผู้คน ก็แน่นอนว่าจะต้องมีแหล่งข่าวชั้นเยี่ยมปะปนอยู่เสมอ เดอะข่านเป็นปัญหาของพีท แต่ชั้นเองก็ดันยิงใส่ยานหมอนั่นไปแล้ว มันคงไม่เอาชั้นไว้เหมือนกัน ยังไงก็ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ชั้นพอจะรู้จักคนของเครือข่ายแอนนาอยู่บ้าง น่าจะพอช่วยอะไรได้”

    เครือข่ายแอนนาคือองค์กรข่าวสารนอกระบบที่ใหญ่ที่สุดในออลไฟนอล ก่อตั้งขึ้นโดยบุคคลลึกลับผู้ที่เรียกตัวเองว่าแอนนา ก่อนจะขยายตัวกลายเป็นองค์กรข่าวสารที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลในระดับที่แม้แต่ราชวงศ์และกองทัพยังต้องการเครือข่ายแอนนาไว้เป็นพันธมิตร ทว่ากระนั้นแอนนาก็ยังคงเป็นเครือข่ายอิสระ สมาชิกองค์กรนั้นก็มีจำนวนไม่แน่นอนและเป็นความลับ โดยเฉพาะตัวแอนนานั้น ไม่เคยมีใครได้พบเขาเลย ไม่ไม่ใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นเผ่าพันธุ์ใด ชายหรือหญิง หรือแม้แต่มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

    “รู้จักคนของแอนนาด้วยเหรอ นายนี่น่าจะไปเป็นพวกนายทหารนะ” นั่นเป็นคำชมในแบบของทริกเกอร์ ซึ่งซีได้แต่ยิ้มรับอย่างเจื่อนๆ “ชั้นเองก็ว่าจะลองหาข้อมูลของกองกำลังปลดปล่อยเก้าสองเจ็ดดู แร็คนาร็อคมีกลุ่มกบฏต่อต้านศักดินาอยู่หลายกลุ่ม มีไม่น้อยเลยที่รับการสนับสนุนจากท่านลอร์ดคนนั้น”

    “ที่นี่มีสมาคมของพวกนายทหารอยู่ ยังไงก็ระวังๆหน่อยนะกัปตัน” มิสเตอร์ซีกล่าว ก่อนจะหันไปทางสุดปลายด้านหนึ่งของรางรถ แนวป่าสองข้างทางเขียวชอุ่มน่าสะพรึงกลัวเมื่ออยู่ในเงาฝน มีเสียงแมลงและนกป่าบางชนิดร้องอย่างร่าเริงโดยที่ไม่เห็นตัว นานๆทีก็มีเสียงสุนัขป่าฮาว็อคหอนออกมาด้วย “รถรางมาแล้ว”

    “ไหน ยังไม่เห็นมีวี่แววเลย” กัปตันหนุ่มพยายามเงี่ยหูฟังเสียง แต่สายฝนกลบทุกสรรพสำเนียงจนสิ้น

    เพียงสิ้นคำที่ทริกเกอร์เอ่ยอย่างสงสัยนั่นเอง เสียงล้อบดรางเหล็กก็คำรามกึกก้อง พาหนะเหล็กกล้าใหญ่โตส่งเสียงครวญครางครู่หนึ่งก่อนจะหยุดลงสนิท ผู้คนมากมายบนรถรางมองผ่านกระจกมายังผู้โดยสารใหม่ทั้งสามที่ท่าจอด ดวงไฟที่เหนือกระจกหน้าเป็นชื่อสถานที่ที่มันกำลังจะมุ่งหน้าไป รถรางแห่งแร็กนาร็อค ยามวิ่งนั้นเงียบเชียบดุจวิญญาณ จะส่งเสียงก็เพียงเมื่อจอดเท่านั้น

    “รู้ได้ยังไง” กัปตันทริกเกอร์หันไปมองซีอย่างประหลาดใจ หรือมิสเตอร์ซีจะมีองค์

    “ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ถนัด จริงมั้ย” มือปืนหนุ่มเอามือแตะบริเวณหูตัวเองเบาๆ ทริกเกอร์ได้แต่งุนงง แปลว่าเขาได้ยินเสียงรถรางที่เงียบเชียบท่ามกลางสายฝนกระหน่ำงั้นหรือ โดยไม่พูดอะไรต่อ พีทและซีก็ก้าวนำกัปตันหนุ่มขึ้นไปบนรถรางเรียบร้อยแล้ว “เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ไอซาร์ด”



    ในขณะนั้นเองที่ท่าอวกาศยานเมืองไอซาร์ด ยานเฮลไฟร์69เข้าเทียบท่าอย่างนุ่มนวลในลานจอดยานเฉพาะของกองทัพ ยานชั้นอาร์มคอมมานเดอร์ไม่ค่อยมีมาจอดที่นี่บ่อยนัก จึงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับพนักงานท่าอวกาศยานและผู้ที่ผ่านไปผ่านมาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในคราวนี้ ไม่ได้มีอาร์มคอมมานเดอร์คลาสเพียงลำเดียวเท่านั้น ข้างๆลานจอดของเฮลไฟร์ 69 ยานบัญชาการติดอาวุธอีกลำหนึ่งจอดเทียบท่าอย่างสงบนิ่งอยู่ก่อนแล้ว

    “เมดิสันแสควร์” กัปตันทรอปปิคอลยืนมองยานบัญชาการลำยักษ์ซึ่งติดตั้งป้อมปืนอิออนระดับเจ็ด เล็กกว่าเธอเพียงระดับเดียวเท่านั้น ปืนใหญ่อิออนระดับสูงที่สุดที่ติดตั้งกับยานรบได้คือแปด ทั้งนี้เพราะระดับเก้าและสิบมีน้ำหนักการยิงและกินพลังงานมากเกินกว่าจะใช้กับยาน ไม่ว่าจะคลาสใดก็ตาม “กัปตันครูนาร์ยังอยู่ที่นี่สินะ”

    “ลูกเรือของเราพร้อมเข้าเมืองแล้วค่ะ” เสียงของคาซึกิเรียกกัปตันสาวให้หันกลับมาจากเมดิสันแสควร์ ทีมลูกเรือชุดสอบสวนหาข่าวของคาซึกิเตรียมตัวพร้อมแล้ว หนึ่งในนั้นคือคอนช์ กระต่ายสาวนักแม่นปืน ซึ่งเธอส่งทหารห้องสรรพาวุธไปจัดการเรื่องเสบียงคลังแสงเรียบร้อยแล้ว “เราจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม ชั้นจะไปในตัวเมืองหาข่าวพวกทหารหลบหนีจากตามแหล่งข่าวทั่วไปส่วนนาวาอวกาศตรีคอนช์จะนำกำลังออกไปตามป้อมสังเกตการณ์ที่รอบนอกโดม และเช็คผู้อพยพเข้าเมืองทางรถรางของเทอร์มินัลเวย์ค่ะ”

    “เธอเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนี้นะ ไปได้” กำชับลูกน้องอย่างหนักแน่น โดยไม่มีการให้กำลังใจ ทรอปปิคอลทำเช่นนี้เสมอ เธอรักษาระเบียบอย่างเคร่งครัดจนเย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็ง กัปตันสาวยืนมองลูกเรือของตัวเองขับรถเข้าเมืองไปจนลับตา ก่อนจะหันไปทางโอมุ ซึ่งกำลังจัดการเรื่องหมายกำหนดการใช้ท่าอวกาศยานอยู่ไม่ไกล “รองกัปตัน เดี๋ยวจัดการเรื่องนั้นเสร็จแล้วไปกับชั้นหน่อยนะ”

    “กัปตันจะไปไหนเหรอคะ” คนแคระสาวถามทั้งๆที่ก็เดาได้อยู่แล้วว่ากัปตันของเธอจะไปไหน

    “สมาคมนายทหาร” ที่นั่น เหล่านายทหารของกองทัพมักจะใช้เวลาว่างไปกับการพบปะสังสรรค์และพักผ่อนหย่อนใจ แม้จะเป็นนายทหารที่เคร่งครัดต่อวินัยที่สุด ก็ยังคงเห็นประโยชน์ในการไปเยือนสมาคมนายทหารที่ไอซาร์ด เนื่องจากนายทหารจำนวนมากที่มักมาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ และแน่นอน กัปตันครูนาร์เองก็ชอบมานั่งเอื่อยเฉื่อยเล่นหมากรุกที่สวนของสมาคมแห่งนี้ด้วย



    ไอซาร์ดเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่และเจริญก้าวหน้าด้วยวิทยาการที่ทรงพลัง ทว่าก็ยังคงยึดติดอยู่กับธรรมชาติและเชิดชูวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง ดาวแร็คนาร็อคนั้นโดดเด่นมากในเรื่องสถาปัตยกรรมที่รวมเทคโนโลยีกับธรรมชาติไว้ได้อย่างกลมกลืน เสาหินแดงใจกลางจตุรัสมอนทานากลางเมืองเป็นตัวอย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมดังกล่าว ศิลาภูเขาไฟที่ถูกหล่อจนเย็นและแข็งตัวสมบูรณ์แล้ว ถูกสกัดเป็นเสาสูงเสียดฟ้า เลื้อยพันด้วยพฤกษาเกล็ดนาคา ไม้เลื้อยที่มีเกล็ดแข็งแกร่งดุจเกราะปกคลุมเนื้อไม้ ภายในฝังวงจรสำหรับภ่ายทอดจอภาพสามมิตินับร้อยจอ ทั้งข่าวสาร มหรสพและโฆษณามากมายถ่ายทอดสู่สายตาของผู้ชมผ่านเสาหินศิลาแดงนี้ ไม่ไกลจากศูนย์กลางของตัวเมืองนักคือปราสาทเซนต์ซาเวียร์อันหรูหรา ซึ่งเป็นที่พำนักของท่านดยุคผู้ปกครองเมือง ทั้งยังเป็นศาลาว่าการและที่ทำการทางราชการอีกด้วย ถัดไปจากนั้นคือค่ายทหารอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีทหารหลายระดับประจำการอยู่มากมาย ซึ่งใกล้ๆกันนั้นก็คือสมาคมนายทหาร สถานพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของคนในกองทัพนั่นเอง

    ด้วยความสมบูรณ์พร้อมทั้งเทคโนโลยีและธรรมชาติ จึงทำให้ไอซาร์ดกลายเป็นมหานครที่โด่งดังอันดับต้นๆแห่งหนึ่งในออลไฟนอล แน่นอน ยิ่งมีชื่อเสียง ประชาชนและผู้ครองนครก็ย่อมภูมิใจ ทว่าชื่อเสียงนั้นไม่ได้นำมาเพียงความมั่งคั่งของประชาชนในเมืองเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมและมลทินในใจคนอีกด้วย

    ไกลออกไปจากจตุรัสมอนทานาเพียงเล็กน้อย ในตรอกเล็กๆยาวเหยียดอันเป็นที่รู้จักกันในนามของตรอกไม้ไผ่ เนื่องจากแนวรั้วไม้ไผ่ที่เรียงรายของชุมชนแออัดในบริเวณนี้ อบอวลด้วยกลิ่นน้ำในท่อระบายเหม็นเขียวคละคลุ้ง ทั้งยังคับแคบและแออัดด้วยฝูงชน ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่ตรอกแห่งนี้คือตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดของไอซาร์ดและแร็คนาร็อคเลยทีเดียว เพียงลัดผ่านถนนที่เงียบสงบและสวยงาม แค่หัวมุมเดียว เสียงตะโกนค้าขายสินค้าและคำสบถสาบานของนักเดินทางชั้นต่ำก็ดังกันขรม หากจะกล่าวว่าตรอกนี้จำลองสถานีอวกาศธรณีนี่นี้ใครครองเอาไว้ก็คงไม่เกินเลยไปสักเท่าไหร่

    “พี่ชาย สนใจดวงตาของชาวเครเตอร์มั้ย หรือจะเอากล้ามเนื้อแขนของออร์คก็ได้นะ” ชายร่างเล็กชาวก็อบลินในชุดคลุมโทรมๆร้องเรียกมิสเตอร์ซีขณะที่เขากำลังก้าวเท้าผ่านทางเข้าตรอกอย่างเงียบๆ แน่นอนมีพ่อค้าหลายรายพยายามเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยสินค้าแปลกๆหลายอย่าง แต่เพียงก็อบลินคนนี้เท่านั้นที่เจาะจงเรียกเขาโดยตรง มีพวกโง่จำนวนไม่น้อยพยายามเพิ่มศักยภาพทางร่างกายของตัวเองด้วยอวัยวะเถื่อนของเผ่าพันธุ์อื่น อวัยวะพวกนี้มักได้มาจากศพ หรือไม่ก็คนเป็นๆที่ถูกทำให้กลายเป็นศพ คนที่มีสติดีพอไม่มีใครอยากได้ของแบบนี้แน่ “ปีกของฮิลเดียนเราก็มีนะ ถึงจะไม่ช่วยให้บินได้ แต่ติดไว้เท่ๆอวดสาว หรือช่วยเพิ่มแรงต้านเวลาตกจากที่สูงได้นะพี่ชาย”

    ปีกของฮิลเดียน น่าแปลก ทำไมของหายากแบบนั้นถึงโผล่มาให้เห็นกันตั้งแต่ทางเข้าตรอกแบบนี้ได้

    “เหยี่ยวข่าวอยู่ที่ไหน” โดยไม่มองสินค้าของก็อบลินร่างเล็กแม้แต่น้อย ซีออกปากถามหาสิ่งที่เขาต้องการทันที

    “โทษทีพี่ชาย ชั้นไม่รู้หรอกว่าไอ้พวกฮิลเดียนมันจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน” พ่อค้าไม่สนใจเจรจาอย่างอื่นนอกจากธุรกิจ แน่นอน ก็นี่มันตลาดมืดนี่นา “แต่ถ้าแค่ปีกของพวกมัน ชั้นมีอยู่ตรงนี้เลย”

    ซองหนังเล็กๆซองหนึ่งถูกโยนลงไปตรงหน้าร่างเล็กๆสีเขียวของก็อบลิน พ่อค้าหันมามองหน้ามิสเตอร์ซีเหมือนจะถามอะไรออกมา แต่ซีก็ตอบด้วยสายตาเพียงแค่ว่าให้ลองเปิดดู

    “สะเก็ดเหล็กไหล นี่มันสะเก็ดเหล็กไหลนี่นา” ก้อนโลหะชิ้นเท่าปลายนิ้วก้อยที่ถูกซ่อนอยู่ในถุงหนังทำเอาก็อบลินตาโต แต่เขาก็ต้องรีบสงบปากสงบคำลงทันที ก่อนที่พวกพ่อค้าของเถื่อนและนักเดินทางคนอื่นที่อยู่รอบๆจะหันมาได้ยินเข้า เหล็กไหลเป็นแร่หายากระดับสูงสุด มูลค่าของมันนั้นมหาศาล แม้จะเป็นเพียงสะเก็ดก็ยังมีราคาสูง ด้วยเป็นแร่ที่แข็งแกร่งและงดงามในตัวเอง ซีรู้ดีว่ามันใช้ง้างปากคนปากแข็งได้เสมอ โชคดีจริงๆที่ต๊อบอาละวาดซะเละเทะขนาดนั้น จึงมีสะเก็ดเล็กๆหลุดออกมาจำนวนไม่น้อย “ถึงจะเป็นเหล็กไหลอายุมากไปหน่อย แต่ถ้าหลอมใหม่ได้อีกครั้งก็จะกลับไปแข็งแกร่งได้ตามเดิม ถ้าชิ้นใหญ่กว่านี้อีกนิดคงจะดี”

    “แล้วรู้รึยังว่าเหยี่ยวข่าวอยู่ที่ไหน” มิสเตอร์ซีซ้ำคำถาม เขาไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานนัก โดยเฉพาะในตลาดมืด

    “โรงน้ำชากาขาว มันพักอยู่ที่นั่นมาสัปดาห์นึงได้แล้ว” หนึ่งในโรงน้ำชาจำนวนมากของตรอกไม้ไผ่ที่ให้บริการเป็นทั้งโรงแรมและซ่องไปในตัว “เชิญพี่ชายตามสบาย”

    “ขอบใจนะ แต่โทษทีว่ะ เมื่อกี้แกโกหกว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้น ชั้นคงต้องขอของคืน” แน่นอนมิสเตอร์ซีไม่กะเอาของล้ำค่ามาแลกกับข่าวเล็กๆแค่นี้อยู่แล้ว เขาเปิดเสื้อโค้ทออกเล็กน้อยเผยให้เห็นด้ามปืนที่ซ่อนอยู่ภายใน “อย่าตุกติก แกคงไม่อยากกลายเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะที่ถูกขายในวันพรุ่งนี้หรอกนะ กระดูกก็อบลินขายได้ราคาดีไม่ใช่เหรอ”

    ตลาดมืดเป็นเช่นนี้เสมอ ราคาและสินค้า อาจสูญไปเปล่าๆ หรือได้มาฟรีๆ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งเท่านั้น แม้ก็อบลินหนุ่มจะดูฮึดฮัดในทีแรก แต่ก็ยอมคืนสะเก็ดเหล็กไหลให้แต่โดยดี เขาไม่อยากเสี่ยงมีเรื่องกับคนที่ท่าทางเหมือนมือปืนจากธรณีนี่นี้ใครครอง นั่นไม่ฉลาดเท่าไหร่เลย

    เสียงตะโกนยังคงดังโหวกเหวกบนถนนสายเล็ก มิสเตอร์ซีเก็บเครื่องมือต่อรองล้ำค่าของเขาลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท ก่อนจะก้าวออกไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในตรอกไม้ไผ่ ใจกลางความเน่าเฟะของสังคมที่เปลือกนอกแสนจะดูดี แม้จะอยู่ห่างจากสมาคมนายทหารอันหรูหราทรงเกียรติเพียงนิดเดียว แต่ที่นี่ก็เป็นดั่งเบื้องหลังที่ฉายตัวตนที่แท้จริงของแร็คนาร็อคออกมาอย่างชัดเจน แม้มือปืนหนุ่มจะคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้จากธรณีนี่นี้ใครครอง แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของเขาอยู่ดี

    โรงน้ำชากาขาว แม้จะไม่ใช่สถานที่ที่ดีที่สุดในตรอกไม้ไผ่ แต่ก็แทบจะไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่แล้ว กระนั้นคราบน้ำมันและเศษดินก็ยังประปรายอยู่ทุกพื้นที่ ปฏิกูลจากร่างแน่นิ่งของผู้ที่เมาเหล้าก็อซซึ่งหลับไหลอยู่แทบทุกมุมในโรงน้ำชาส่งกลิ่นเหม็นเอียนๆ ซีนั่งลงเงียบๆที่โต๊ะไม้เล็กๆซึ่งโยกเยกเต็มที

    “อยากดื่มอะไรล่ะพี่ชาย” บริกรหนุ่มชาวเครเตอร์จ้องมองอายส์สโคปของเขาด้วยดวงตาทั้งหกอย่างสนใจ

    “ชาวู้ดสต็อกแล้วกัน ไม่ใส่นมนะ” เอ่ยปากสั่งไปลวกๆอย่างนั้นเอง มือปืนหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วร้านเพื่อเสาะหาร่างที่น่าจะเป็นใครบางคนที่เขาต้องการพบ

    “ได้ข่าวว่าพวกพ่อค้าเร่ที่มาจากเอไนม์คอมกับอัลฟอรัมเตรียมเผ่นกันแล้ว” เสียงทุ้มหนักของชาวอันธาราสค์ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่และแขนสี่ข้างกับงวงแข็งแรงที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ข่าวลือเห็นจะเป็นจริง”

    “นี่ไม่กี่วันก่อน เพิ่งมียานชั้นอาร์มคอมมานเดอร์คลาสมาเทียบท่าลำนึง ไม่ทันไร วันนี้กองทัพก็ส่งมาอีกลำแล้ว กองทัพคงกะจะถอนหนามยอกอกชิ้นใหญ่ออกซะที” ชาวอันธาราสค์คู่สนทนาอีกคนพยักเพยิด ซึ่งนั่นทำให้ซีสนใจไม่น้อย นี่เองสาเหตุที่นายทหารจากแร็คนาร็อคถึงกับยอมไปเจรจาซื้อยานรบจากคุณดันไบน์ ว่าแต่ใครกันที่ทำเอากองทัพถึงกับต้องส่งยานระดับอาร์มคอมมานเดอร์มาถึงสองลำ นั่นเท่ากับตอนนี้ที่ไอซาร์ดนี่ก็จะต้องมีทหารอวกาศยศนาวาอวกาศเอกถึงสองคนเลยทีเดียว “แต่พวกโจรสลัดจูดุ๊บส์เพิ่งจะเทียบท่าที่สถานีอวกาศร็อดแมนเมื่อเร็วๆนี้เองไม่ใช่เหรอ พวกนั้นคิดจะบุกเมืองใหญ่อย่างไอซาร์ดทั้งที่เพิ่งจบศึกหนักกับสถานีอวกาศติดอาวุธเนี่ยนะ”

    “ไม่รู้ว่ะ ชั้นก็แค่ได้ยินมา แถมประจวบเหมาะที่มีอาร์มคอมมานเดอร์คลาสตั้งสองลำมาอยู่ที่นี่ด้วย” น้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจในเรื่องที่ตัวเองพูดอย่างเห็นได้ชัด จูดุ๊บส์คือกองโจรสลัดอวกาศที่อันตรายที่สุดในแกแล็คซี่ พวกมันเป็นดังอสูรร้าย ไม่ว่าเส้นทางใดที่เหยียบย่างผ่านล้วนเหลือเพียงเถ้าถ่าน “ทางราชวงศ์เองก็ยังไม่มีประกาศเตือนภัย แถมโฆษกของกองทัพก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย บางทีอาจจะเป็นข่าวลือก็ได้”

    “แล้วที่ร็อดแมนเป็นยังไงบ้างล่ะ” ร็อดแมนเป็นหนึ่งในสถานีอวกาศภายใต้การดูแลของกองทัพ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าธรณีนี่นี้ใครครองมาก คือมีขนาดเพียงเท่าดวงจันทร์ลาสท์พรูฟของเอไนม์คอมเท่านั้น แต่ก็เป็นสังคมใหญ่ที่เข้มแข็ง มีทั้งแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมในตัว พรั่งพร้อมด้วยระบบป้องกันภัยที่ดีที่สุดในกองทัพ “เดือนก่อนจูดุ๊บส์ยกพลขึ้นบกที่นั่นนี่ เห็นว่าโดนไปหนัก”

    “ไม่ใช่แค่หนักหรอก เรียกว่าร็อดแมนถูกลบออกจากแผนที่ดวงดาวเลยดีกว่า ไม่ว่าจะทหารหรือประชาชนไม่มีใครเหลือรอด ทรัพย์สินถูกกวาดไปเกลี้ยง เหลือแต่ซากสถานีอวกาศ ระบบยังชีพก็ถูกทำลายจนใช้งานไม่ได้อีกแล้ว” ข่าวนี้ทำเอาซีถึงกับสะอึก เขาเคยไปรับสินค้าที่ร็อดแมนให้กับดันไบน์มาแล้ว คะเนดูจากสายตา สถานีอวกาศแห่งนั้นก็ไม่ได้กระจอกเลย จูดุ๊บส์นั้นน่ากลัวสมคำร่ำลือจริงๆ ร็อดแมนอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ อย่างนี้นี่เอง ถึงได้มีอวัยวะเถื่อนหายากออกมาขายกันให้เกลื่อน นั่นคงจะเป็นส่วนหนึ่งของร็อดแมนแน่ “พักหลังออลไฟนอลดูวุ่นๆเนอะ ไหนจะกบฏคอร์แซร์บนดาวมิสค์ ไหนจะพวกผู้ก่อการร้ายเฮลลูลูที่วงโคจรอาร์ติเคล แล้วดันมีจูดุ๊บส์ที่เงียบสงบไปพักใหญ่แล้วกลับมาอาละวาดแบบนี้อีก”

    “สงสัยไอ้ที่เค้าลือๆกันว่าลอร์ดเก้าสองเจ็ดกำลังเตรียมจะเปิดศึกกับราชวงศ์อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ” สิ้นคำนั้น อันธราสค์หนุ่มก็ถูกมือขวาทั้งสองข้างของเพื่อนพุ่งเข้าไปปิดปากทันที

    “เฮ้ย ไม่ได้นะ เรื่องนี้เอามาพูดซี้ซั้วได้ไงแก ราชวงศ์ออกกฎสั่งห้ามพูดคุยกันถึงเรื่องของอดีตจอมทัพอวกาศในเมืองใหญ่ จำไม่ได้รึไง” นี่เอง วิธีที่ราชวงศ์เลือกใช้ เพื่อกำจัดลอร์ดเก้าสองเจ็ดออกไปจากสมองของผู้อื่น ช่างดูถูกประชาชนเหลือเกิน น้ำชาถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว ซีเพียงเก็บความเห็นของตัวเองเงียบๆแล้วแอบฟังการสนทนาต่อไป

    “เฮ้ย แต่พวกหน่วยพลังม้าล่ะ เห็นว่าพวกนั้นกำลังออกตามล่าเอิร์ธ ออฟ ลาวด์อยู่ที่อัลฟอรัมไม่ใช่เหรอ” หากจะมีใครสักคนที่ถูกส่งมาจัดการกับจูดุ๊บส์ หน่วยพลังม้าก็น่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ในเมื่อหน่วยล่าสังหารเฉพาะกิจของกองทัพไม่มาด้วย บางทีเรื่องจูดุ๊บส์ตั้งเส้นทางมุ่งหน้ามายังไอซาร์ดแห่งแร็คนาร็อคก็อาจจะเป็นเพียงข่าวลือก็ได้ “ถ้าจูดุ๊บส์จะมาที่นี่ พวกหน่วยพลังม้าต้องยกโขยงกันมาดักรออยู่แล้วแน่ๆ”

    “เอิร์ธ ออฟ ลาวด์เองก็สำคัญไม่แพ้จูดุ๊บส์นี่หว่า” คราวนี้ซีอดไม่ได้ที่จะออกปากบ่นอุบอิบกับตัวเอง แน่นอนแม้จูดุ๊บส์จะร้ายกาจและโด่งดัง แต่เอิร์ธ ออฟ ลาวด์ บุรุษแห่งเสียงกึกก้องก็เป็นผู้ชายที่ถูกขนานนามว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในแกแล็คซี่ออลไฟนอล เขาคือมือสังหารผู้เก่งกาจที่เคยสร้างตำนานล้างสังหารเหล่าซามูไรไซเบอร์แห่งดาวอัลทิมาด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว เมื่อครั้งสงครามปฏิวัติราวสิบปีก่อน แม้ว่าซามูไรไซเบอร์จะเป็นกลุ่มนักรบที่ขึ้นชื่อลือชาและโดดเด่นที่สุดในขณะนั้น แต่พวกเขากลับเลือกเข้ากับฝ่ายกบฏ จักรพรรดิจึงส่งสุดยอดหน่วยล่าสังหารพิเศษที่พึ่งก่อตั้งขึ้นในคราวนั้นเข้าไปจัดการ นั่นคือหน่วยพลังม้ารุ่นแรก ทว่าซามูไรไซเบอร์หาได้มีดีแค่ชื่อไม่ หน่วยพลังม้ารุ่นแรกถูกกลับเป็นฝ่ายถูกล่าสังหารซะเองจนล้มตายลงแทบหมดสิ้น ในขณะที่ซามูไรอวกาศกำลังจะกำชัย เด็กหนุ่มผู้ครองฉายาหัวหน้าหน่วยพลังม้ารุ่นที่หนึ่งที่เพิ่งจะมาถึงยังอัลทิมาก็พลิกโฉมหน้าของการศึกไปอย่างสิ้นเชิง ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งราตรี ด้วยวัยเพียงไม่ถึงยี่สิบ เขาเพียงคนเดียวได้สังหารซามูไรไซเบอร์จนสิ้นทั้งสำนัก ภายใต้เสียงอึกทึกของความตาย

    เขาคือเอิร์ธ ออฟ ลาวด์ นักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดที่ราชวงศ์ได้สร้างขึ้นมา ก่อนจะกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ชิ้นสำคัญของราชวงศ์เอง เช่นเดียวกับลอร์ดเก้าสองเจ็ด

    “แต่ถ้าจูดุ๊บส์จะมาที่นี่จริง ทางเราก็คงต้องรีบเผ่น” ซีกล่าวกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะคว้าถ้วยชาตรงหน้ามาจรดที่ริมฝีปาก ทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปพบกับใครคนหนึ่งที่มานั่งร่วมโต๊ะอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “มาเงียบๆแบบนี้ไม่ดีนะเหยี่ยวข่าว เดี๋ยวชั้นเผลอลั่นไกโป้งป้างขึ้นมา”

    “เห็นว่าแกตามหาชั้นอยู่ มิสเตอร์ซี” ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องมาที่ซีอย่างระแวดระวัง ชาวฮิลเดียนผู้มีหน้ากากช่วยหายใจครอบบริเวณจะงอยปากเอาไว้เอ่ยขึ้น แม้จะมีหน้ากากช่วยหายใจครอบครึ่งล่างของใบหน้าไว้ แต่ก็ยังพอเห็นรอยแผลเป็นที่ที่ลามไล้มาถึงช่วงโหนกแก้มเช่นกัน เสื้อโค้ทสีแดงเข้มราวกับจะยิ่งขับเน้นดวงตาสีแดงของเขาให้ดุดันกว่าที่เป็น หนึ่งในสายข่าวของเครือข่ายแอนนานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว “แล้วเอาปืนออกจากใต้โต๊ะซะ ชั้นไม่อยากให้มันลั่นโป้งป้างอย่างที่แกว่า”

    “ไปไหนมาไหนเงียบเชียบผิดกับรูปลักษณ์เหมือนเคยเลยนะตาคิออน สมกับที่เป็นคนของเครือข่ายแอนนา” มิสเตอร์ซีเลื่อนมือซ้ายที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะออกมาช้าๆ ปืนในมือถูกกดสลักเซฟตี้เข้าไปเหมือนเดิม ก่อนจะถูกสอดกลับลงไปในซองที่ข้างเอว “ขอบคุณที่ให้เกียรติมาเจอกัน”

    “ถ้าแกจะให้เกียรติชั้นบ้างก็เรียกชื่อชั้นให้เต็มสิวะ” แค่นน้ำเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “ชื่อของชั้นคือ ตาคิออน เหยี่ยวข่าวฉาวโฉ่ผู้กำเนิดจากเปลวไฟไฉไลสุดแสนมาดแมนแอนด์แฮนด์ซั่มล่ำสันสะท้านทรวงไปถึงดวงใจสดใสซาบซ่าบ้าเลือดเดือดพล่านมีปานที่ใต้ตูดขวามีขาสองข้างผู้มีร่างที่น่าชิงชังอหังการมหาศาลบานตะไทไฮ้ย่าลาล้าลา”

    พูดจบเหยี่ยวข่าวต้องขอตัวหยุดพักสูดอ็อกซิเจนไปสองนาที ซีได้แต่คิดว่าช่างเป็นธรรมเนียมที่น่าเบื่อและเป็นชื่อที่ยาวเหยียดไร้สาระซะจริงๆ

    “โทษทีว่ะ ชั้นขอเรียกย่อๆเหมือนเดิมแล้วกัน ทำไมชื่อเต็มแกมันงี่เง่าอย่างนั้นวะ” ใครจะบ้าไปเรียกเต็มๆตลอดเวลา “เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ตาคิออนชั้นอยากได้ข่าวของมือปืนคนนึง”

    “มีมือปืนอยู่ตรงหน้าชั้นแล้วทั้งคน ยังจะอยากได้ข้อมูลใครที่ไหนอีกเหรอไงมิสเตอร์ซี” ตาคิออนวางถังอ็อกซิเจนลงข้างที่นั่ง อุตส่าห์พกติดตัวไว้ตลอด ซีแอบนับถือในความพยายามของตาคิออนอยู่ในใจลึกๆ “ได้ข่าวว่าแกเลิกยาได้ขาดแล้ว เลยอยากกลับมาผงาดในทำเนียบมือปืนรึไง ว่าไง อยากเก็บใครล่ะ”

    “เดอะข่าน ดิสโก้คิลเลอร์” นามของผู้ที่ซีต้องการทราบข้อมูลถูกเอ่ยออกมา และตาคิออนก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที “เฮ้ย ใจเย็นสิวะ มันไม่ใช่อย่างนั้น ชั้นกับเพื่อนโดนไอ้หัวแอฟโรนี่ไล่ฆ่าอยู่ เลยอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับมัน เผื่อจะหาทางตลบหลังมันได้”

    “โทษทีว่ะ ดิสโก้คิลเลอร์เป็นมือปืนระดับเอส ชั้นไม่ขายข้อมูลของคนพวกนี้ อย่างน้อยก็ไม่ขายให้แกแหละ” ดวงตาสีแดงเพลิงของเหยี่ยวข่าวเหลือบไปที่ถุงหนังซึ่งซีกำลังจะวางลงบนโต๊ะ “อ๊ะๆ อย่าพยายามเลย สะเก็ดเหล็กไหลเม็ดแค่นั้นง้างจะงอยปากชั้นไม่ได้หรอก แกก็รู้ จะรีดข้อมูลจากชั้น มันก็ยากเหมือนง้างปากพวกวิฬาร์”

    “อย่าเขี้ยวนักได้มั้ย เราเป็นเพื่อนเก่ากันไม่ใช่เหรอ” มิสเตอร์ซีถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ ราคาต่อรองของเขาดูจะไม่สูงอย่างที่หวังไว้เลย

    “เพื่อนกันเหรอ แกพยายามฆ่าชั้นมาตั้งสามครั้งแล้วนะซี” ดูเหมือนตาคิออนจะไม่คิดว่าการเอาปืนเลเซอร์ไล่บี้กันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมิตรภาพ “สาบานได้ว่าตอนช่วยกันหนีจากพวกมาเฟียที่อัลฟอรัม แกไม่ได้แค่เผลอทำปืนลั่นใส่ชั้นแน่นอน”

    “เฮ้ย นั่นมันปืนลั่นจริงๆ” ถ้าคิดจะยิง ซีคงไม่ปล่อยให้ตาคิออนมีชีวิตเหลือมานั่งอยู่ตรงนี้ได้หรอก แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าซีเคยพยายามฆ่าปิดปากตาคิออนมาแล้วถึงสองครั้ง “อะไรวะ แกนี่แล้งน้ำใจไม่เปลี่ยนเลย”

    “อ้อ ข้อนั้นแกผิดซะแล้วซี” เหยี่ยวข่าวผู้มีชื่อยาวเหยียดลุกขึ้นจากที่นั่งพลางบีบปลายปีกตัวเองดังกร็อบแกร๊บ “ชั้นมีน้ำใจกับคนอื่นเสมอ ถึงชั้นจะไม่มีข้อมูลของเดอะข่านสำหรับแก แต่ชั้นก็มีข่าวสำคัญให้แทน”

    “ข่าวอะไร” จะสำคัญกว่าข้อมูลส่วนตัวของเดอะข่านผู้หมายหัวเขาและพีทในยามนี้ได้เชียวเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นข่าวอะไร

    “มีนักฆ่าสองคนเดินทางมาที่ไอซาร์ดแห่งนี้แล้ว ทั้งคู่มากันอย่างเงียบๆ แต่รับรองได้ว่าไม่ได้เงียบนานแน่” ราวกับจะเป็นการจบการเจรจาเพียงเท่านี้ ตาคิออนเดินผ่านซีที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ไปอย่างช้าๆ ก่อนจะกล่าวต่อโดยไม่ได้หันกลับมา “คนแรกคือคะน้ากระดิ่งลม หมายเลขสองแห่งจูดุ๊บส์”

    “แสดงว่าข่าวลือเป็นจริง มาเพื่อลอบสังหารนาวาอวกาศเอกสองคนที่อยู่ที่นี่ก่อนจะเข้าเทียบท่าปล้นสะดมสินะ” เลนส์ที่ดวงตาของซีฉายแสงสีแดงวาบ คะน้าคือรองหัวหน้ากองโจรสลัดจูดุ๊บส์ นักดาบสาวผู้มาพร้อมกับเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง “แล้วอีกคนล่ะ”

    “เดอะข่าน ดิสโก้คิลเลอร์” ราวกับจะตอกย้ำความหวาดหวั่นให้กับพวกซี ตาคิออนค่อยๆก้าวจากไป โดยทิ้งเพียงถ้อยคำไว้เบื้องหลัง “ตอนแรกชั้นก็ไม่รู้ว่ามันมาโผล่หัวที่นี่ทำไม ก็คิดว่าแค่บังเอิญมันแวะมาแถวนี้ แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญว่ะ มิสเตอร์ซี”

    เหยี่ยวข่าวจากไปแล้ว เงียบเชียบเท่ากับตอนที่เขามา ทิ้งให้มิสเตอร์ซีนั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดถึงปัญหาที่กำลังจะตามมา เขาต้องหาวิธีรับมือกับเดอะข่าน ดิสโก้คิลเลอร์ ผู้เป็นสุดยอดในหมู่มือปืนระดับเอสด้วยกัน ลำพังตัวคนเดียวจะกวาดเรียบทั้งพีท ทริกเกอร์ มาเท็กซ์และเขาไปด้วยก็คงไม่ยากเย็นนัก ก่อนที่จะค่อยๆตามไล่เก็บพวกลูกเรือของทริกเกอร์ที่กระจัดกระจาย หมอนั่นทำงานเรียบร้อยหมดจดเสมอ

    ไม่สิ เขาคงไม่ปล่อยให้มันง่ายขนาดนั้นหรอก พีทเองก็ไม่มีทางปล่อยให้มันง่ายเช่นกัน ถ้วยชาที่เกือบจะเย็นชืดแล้วถูกยกขึ้นจรดที่ริมฝีปากอีกครั้ง ก่อนอื่น ถ้าไม่กำจัดเดอะข่านซะ เขาคงต้องมาคอยระวังตัวตลอดชีวิต ซึ่งนั่นไม่เข้าท่าเลย

    “บ้าจัง อุตส่าห์ย้ำแล้วนะว่าอย่าใส่นม” มือปืนหนุ่มสบถกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะวางเงินทิ้งเอาไว้แล้วออกจากโรงน้ำชาไปพร้อมกับข่าวที่เขาเพิ่งจะได้มา



    Character

    ตาคิออน เหยี่ยวข่าวฯ -- พี่ก้อง ตาขี้อ้อนของเรานี่เอง

    Free Talk

    หลังจากหายไปนานอีกแล้ว All Final Wars ฉบับ Re-Write Again ก็กลับมาต่อแล้วนะครับ อันที่จริงผมกะว่าจะไม่ลงต่อแล้ว เพราะเกรงว่าลงไปแล้วจะไม่มีคนซื้อฉบับpocket bookซึ่งใกล้เสร็จแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจ เอามาลงไปเรื่อยๆก่อนดีกว่า เนื่องจากตัวหนังสือ ผมค่อนข้างพิถีพิถันม๊ากมากกก มีรายละเอียดหลายๆอย่างที่ไม่ได้ใส่ลงมาในบอร์ดด้วย เช่นหนังสือพิมพ์รายวันของแกแล็คซี่ออลไฟนอลซึ่งจะถูกแทรกไว้เป็นระยะๆ และที่สำคัญในเล่มจริงผมไม่ได้วาดรูปเองนะครับ รูปประกอบทั้งหมด ได้โคตรนักวาดระดับเทพคนหนึ่งวาดให้ ซึ่งเป็นใครนั้นขออุบไว้ก่อน แต่รับรองได้ว่างานภาพดูดีกว่างานลวกๆของผมมากมายหลายล้านปีแสงเลยทีเดียว

    สำหรับฉบับ Re-Write Again ตอนนี้ต้องถือว่าเป็นเวอร์ชั่น 0.8 beta นะครับ ฮ่าๆ เนื่องจากคาดว่ายังมีรายละเอียดหลายๆส่วนต้องปรับแต่งอีก ซึ่งตรงช่วงแรก ตั้งแต่ตอนที่ 1-5 นั้น ผมก็ปรับแต่งใหม่อีกทีแล้ว เพื่ออรรถรสที่ดียิ่งขึ้นและรายละเอียดที่ครบถ้วน แนะนำให้กลับไปอ่าน Chapter 1-5 ใหม่อีกทีด้วยนะครับ โดยในฉบับPocket Book นั้น จะมีทั้งหมด 25 ตอน ซึ่งเนื้อเรื่องจะดำเนินไปไม่เท่า 25 ตอนของฉบับเก่านะครับ ตั้งแต่ตอนที่ 6 ไปผมเปลี่ยนรายละเอียดไปเกือบหมดเลย แร็คนาร็อคจะเปลี่ยนไปจากที่รู้จักกันโดยสิ่้นเชิงแน่นอน แต่ยังคงโครงเรื่องเดิมของต้นฉบับเอาไว้ครับ ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้รีไรท์เสร็จไปแล้ว 12 ตอน ก็จะเอามาลงต่อๆกันไปเหมือนเดิมครับ

    ตอนนี้กำลังต้องการ feed back มากเลยครับ นี่ผมโคตรตั้งใจทำเล่มนี้เลยนะ แทบจะpauseงานอื่นๆไว้ทั้งหมดเลย ไปๆมาๆผมรักเรื่องนี้กว่าที่คิดไว้มากเลยแฮะ เนื่องจากรายละเอียดที่เพิ่มขึ้น ตัวละครจึงเพิ่มขึ้นตาม ฟิคชั่นนี้ไม่ใช่ฟิครับสมัตรนะครับ ผมก็เอาชื่อมาจากเพื่อนๆแถวนี้ที่ผมรู้จักและคุ้นชื่อนั่นแหละ หลายๆคนที่ไม่เคยมีบทบาทในฉบับเก่า ก็เตรียมลุ้นบทตัวเองกันดีๆครับ อีวาน เจล อะไรเทือกนี้ มาแน่ๆ ฮ่าๆ แถมจากตอนนี้ก็จะเห็นว่ามีเครือข่ายข่าวสารที่ถูกเรียกว่าแอนนา ถูกต้องครับ เบสของแอนนามาจาก แอนนาแอนด์เดอะเน็ต หนังสือเล่มแรกของผมนั่นเอง ยังไงรบกวนช่วยกันวิจารณ์และแสดงความเห็นกันด้วยนะครับ ผมจะทยอยลงต่อกันเรื่อยๆไม่ให้ขาดสายเลยทีเดียวเชียว ขอบคุณมากครับ :D
  17. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 6 - ไม่บังเอิญ Updated 19/12

    All Final Galaxy

    และก็มาถึงสกู๊ปพิเศษเปิดเผยข้อมูลเบื้องลึกบางส่วนของแกแล็คซี่ออลไฟนอลที่บ้างก็เคยเปิดไปแล้ว บ้างก็ยังไม่ได้เปิดเผยมาก่อน ยาวนิดนึง แต่อ่านไว้ อาจจะใช้สอบแอดมิทได้ ใครจะไปรู้



    แกแล็คซี่ออลไฟนอล เป็นระบบหมู่ดาวที่กว้างใหญ่ มีดาวฤกษ์สองดวง ดาวเคราะห์สิบสามดวง ดาวบริวารและดาวเคราะห์น้อยอีกจำนวนมาก ประชากรในออลไฟนอลมีหลากหลายชาติพันธุ์และศาสนา รวมไปถึงวัฒนธรรมที่ต่างกันไป โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์เร็นเดอร์เรอร์ โดยมีสภาขุนนางคอยกำกับดูแลแต่ละดวงดาว แม้จะดูเหมือนสงบสุข แต่ออลไฟนอลก็เต็มไปด้วยอันตราย ผู้คนมากมายที่ไม่พอใจราชวงศ์ การกบฏ การก่อการร้าย อาชญากรรมและสงครามย่อยๆเกิดขึ้นเสมอ แม้กระนั้นราชวงศ์ก็ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเสมอมา

    ประชากรส่วนใหญ่ในออลไฟนอลใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ แม้ว่าจะมีสงครามระหว่างดวงดาวเกิดขึ้นในบางจุดของแกแล็คซี่ แต่ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของหมู่ดาว หากไม่มีเรื่องมาถึงตัวจริงๆ ชีวิตประจำวันของชาวออลไฟนอลก็แทบจะไม่เคยเปลี่ยน ชาวออลไฟนอลจะมีแถบแม่เหล็กที่ชื่อว่าเครดิตประจำตัวอยู่ ทั้งรายรับและรายจ่ายจะถูกบันทึกไว้ในนั้นตามจำนวนที่ใช้จริงโดยข้อมูลทั้งหมดในการใช้จ่ายจะถูกส่งไปยังสถาบันการเงินระหว่างดวงดาวซึ่งเชื่อถือได้แน่นอน โดยที่แม้แต่คนของราชวงศ์ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของประชาชนผ่านบันทึกรายจ่ายได้ ในขณะที่วิทยาการต่างๆของออลไฟนอลก้าวหน้าไปมากนั้น ในทางจิตใจชาวออลไฟนอลกลับตกต่ำลง ในอดีตสิ่งมีชีวิตชั้นสูงในแกแล็คซี่แห่งนี้จะมีความเข้มข้นทางจิตสูงมาก แต่ปัจจุบันหาผู้ที่สามารถใช้พลังจิตได้ยากเต็มที ผู้มีความสามารถทางจิตจึงเป็นที่ต้องการของทุกวงการ

    ประวัติศาสตร์อันยาวนานของออลไฟนอลเกิดศึกสงครามขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เผ่าพันธุ์บางเผ่าหรือกระทั่งดวงดาวบางดวงถึงกับต้องล่มสลายหายไป ท่ามกลางเส้นทางประวัติศาสตร์ที่โชกเลือดของออลไฟนอล แทบไม่เคยว่างเว้นไปจากการสงคราม ด้วยความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรม จึงทำให้เกิดความบาดหมางขึ้นเสมอ ชาวออลไฟนอลส่วนมากจึงมีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีนัก มีไม่น้อยที่เลือกเป็นทหารรับใช้ราชวงศ์ดีกว่าอดตาย และมีอีกจำนวนมากที่เลือกเป็นอาชญากร

    ระบบดวงดาวแห่งออลไฟนอล

    เอไนม์คอม (A-nimecom)
    ดาวที่เล็กที่สุดในจำนวนดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ทั้งหมด โคจรอยู่ขอบนอกสุดของวงโคจรรอบดวงอาทิตย์อาร์ติเคล และอยู่ไกลจากดาวดวงอื่นมากที่สุด จึงค่อนข้างจะเป็นเขตที่ดิบเถื่อน ประชากรหนาแน่นและหลากหลาย แต่คุณภาพชีวิตของประชากรต่ำมาก มีสถานที่ราชการน้อยมาก เพียงเพื่อจัดสรรเรื่องการอุปโภคบริโภคเท่านั้น ไม่มีขุนนางผู้ปกครอง และไม่มีฐานทัพหรือทหารประจำการ อัตราการเกิดอาชญากรรมสูงมากกว่าดาวดวงอื่นและเป็นแหล่งรวมขององค์กรนอกกฎหมายเล็กๆน้อยๆมากมาย กล่าวกันว่ามาเฟียและนักฆ่าฝีมือดีส่วนใหญ่ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากเอไนม์ คอมกันแทบทุกคน ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวที่สงบสุข แต่หลังจากการปฏิวัติครั้งใหญ่ก็ถูกทำลายจนไม่อาจจะบูรณะกลับมาได้อีก

    มิสค์ (Misc)
    ดาวเคราะห์น้ำแข็งอันหนาวเหน็บ อดีตสมรภูมิที่โหดร้ายที่สุดของกบฏต่อต้านราชวงศ์กับกองทัพพิทักษ์จักรวาล ดาวดวงนี้แทบจะไม่มีเขตการค้าหรือเขตเกษตรกรรมอยู่เลย ทั้งๆที่เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในแกแล็คซี่ แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศอันโหดร้ายซึ่งมีอุณหภูมิติดลบอย่างน้อยห้าองศาตลอดเวลา จึงทำให้ผู้ที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของดาวดวงนี้อย่างชาวไอน์เบอร์รี่ หรือพวกโทรล์ ยากจะมาอาศัยอยู่ได้ เป็นดาวที่ทุรกันดารมากๆ ประชากรส่วนใหญ่ต้องอยู่รวมกันในเมือง เพราะอากาศภายนอกอาจทำให้แข็งตายได้ทันที มีผู้นำสูสุดคือประธานาธิบดีที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยราชวงศ์เร็นเดอเรอร์ เป็นดาวที่ขึ้นชื่อในเรื่องอุตสาหกรรมมาก

    แร็คนาร็อค (Raknarok)
    ดาวที่คึกคักพอๆกับอัลฟอรัม มีเมืองใหญ่อยู่ในโดมแก้วมากมาย ในขณะที่พื้นที่อีก 60% ของดาวก็ยังคงเป็นป่าดิบและทะเลทราย สภาพภูมิอากาศค่อนข้างแปรปรวน มีเทอร์มินัลเวย์ เป็นเส้นทางสายหลักเชื่อมระหว่างเมืองต่อเมือง เส้นที่ยาวที่สุดยาวถึงสามพันกิโลเมตร ในป่าและทะเลทรายโดยรอบยังคงมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่มากมาย แม้พวกสัตว์ร้ายจะไม่เคยบุกเข้าเมืองเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ความอันตรายบนดาวดวงนี้ก็ยังจัดอยู่ในเกณฑ์สูง แร็คนาร็อคเป็นดาวที่มีเศรษฐกิจดี และค่อนข้างสงบสุข เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติ ปกครองโดยข้าหลวงประจำราชสำนักที่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์

    เอ็คท์ (Ect)
    ดาวเคราะห์อันเป็นฐานทัพใหญ่ของกองทัพพิทักษ์จักรวาล อำนาจและความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์เร็นเดอเรอร์ เป็นดวงดาวที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมชมได้ ขึ้นตรงกับราชวงศ์ และไม่มีเขตพลเรือนในดาวดวงนี้ ทั่วทั้งดาวเป็นฐานทัพจักรกล พรั่งพร้อมด้วยท่าอวกาศยานการทหารกว่าพันแห่ง ป้อมปืนใหญ่นับแสนและอุปกรณ์การทหารจำนวนนับไม่ถ้วน มีทหารระดับต่างๆประจำการอยู่กว่าสี่ล้านนาย และทหารที่เข้าๆออกๆตามคำสั่งในแต่ละเดือนอีกมากมายเหลือคณา ปกครองโดยจอมพลพล อโลฮา โกโมรา เอ็คท์ไม่มีเขตการเกษตรในตัวเอง จึงต้องอาศัยเสบียงที่ราชวงศ์ส่งมาให้ทุกเดือน

    แกลลอไรน์ (Gallorine)
    ดวงดาวที่สำคัญในเชิงเศรษฐกิจอีกแห่งหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องการค้าขาย โดยเฉพาะการขายข่าว ตัวเมืองส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในแอ่งรูปครึ่งวงกลมฝังตัวลงไปในดาว โดยมีเสาสัญญาณจากแต่ละเมืองสูงตระหง่าน ทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนจำนวนมาก มีสถานีอวกาศทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่รายล้อมอยู่มากมาย เป็นมหานครใหญ่ที่พรั่งพร้อมด้วยวิทยาการอันทันสมัย ปกครองโดยข้าหลวงจากราชวงศ์ และยังเป็นศูนย์กลางกิจการข่าวสารของกองทัพอีกด้วย ดาวดวงนี้มีทหารประจำการอยู่มากเป็นอันดับสี่ รองลงมาจาก เอ็คท์ ไฟนอล และไฟนอลออน ตามลำดับ

    เกม (Game)
    ดาวที่พิลึกพิลั่นที่สุดในระบบดาวเคราะห์ทั้งสิบสาม ด้วยสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา วินาทีหนึ่งที่ที่เรายืนอยู่อาจเป็นพื้นน้ำแข็ง แต่สองนาทีถัดมา มันอาจเปลี่ยนเป็นทะเลทราย ยากแก่การอยู่อาศัยและปรับตัว ผู้คนบนดาวดวงนี้ล้วนแต่เป็นพวกวิปลาส เกมเป็นดาวที่ไม่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์ซะทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแข็งข้อแต่อย่างใด โดยแท้จริงๆแล้ว เกมเป็นดาวที่ไม่ค่อยจะมีคนดีๆที่ไหนให้ความสนใจมากนัก

    อัลฟอรัม (Alforum)
    เป็นดาวที่อยู่กึ่งกลางของแกแล็คซี่ออลไฟนอล เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของวงโคจรดวงอาทิตย์สีแดงอาร์ติเคลและวงโคจรดวงอาทิตย์สีน้ำเงินฟอรัมเลยทีเดียว จึงเป็นดาวที่ไม่เคลื่อนที่ไปรอบๆแบบดาวดวงอื่น แต่จะหมุนวนรอบตัวเองอยู่กับที่ด้วยแรงดึงดูดที่ปะทะกันพอดีจากสองวงโคจร อัลฟอรัมเป็นดาวที่คึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ เป็นดาวแห่งการค้าและเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยพื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นเขตการค้าและย่านธุรกิจ โดยที่เหลืออีกเพียงเล็กน้อยเป็นแหล่งที่พักอาศัยและเขตการเกษตร ซึ่งนับว่ามีน้อยมาก โดยส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่บนดาวดวงนี้จะเป็นนักท่องเที่ยวและพ่อค้ามากกว่า นับได้ว่าเป็นดาวพาณิชย์ที่สำคัญที่สุดในจักรวาล ไม่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์ซะทีเดียว เนื่องจากไม่มีผู้ปกครอง แต่อยู่ภายใต้กฎหมายของราชวงศ์ และยังคงภักดีไม่มีการขัดขืนอย่างใด

    ออธาร์ (Othar)
    ดาวแห่งอัญมณีที่มีดวงจันทร์หลากสีสี่ดวงโคจรอยู่รอบๆ จึงเป็นดวงดาวที่มีแต่ช่วงเวลากลางคืน ออธาร์เป็นดาวที่สวยงามไม่แพ้ฟิคาเธียนถ้ามองจากภายนอก ทว่าแม้จะสวยงาม ออธาร์กลับมืดมิดและเงียบงัน เนื่องจากไม่มีเวลากลางวัน ดาวดวงนี้เป็นมาตุภูมิของชาวเผ่าลูนาเรียน ออธาร์เป็นดาวที่มีสินแร่ที่สำคัญและอัญมณีต่างๆอยู่มากมาย พูดง่ายๆคือพื้นผิวแทบทั้งหมดของดวงดาวเป็นสินแร่อัญมณี จึงสะท้อนแสงกับดวงจันทร์ทั้งสี่เป็นประกายสวยงาม ภายในดาวเคราะห์มีการทำเหมืองและอุโมงค์ใต้ดินมากมาย ทั้งยังมีการวางโครงสร้างเครือข่ายนครใต้ดินอีกด้วย ปกครองโดยราชาคนแคระซึ่งเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เมืองอัญมณีใต้ดิน ซึ่งสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์เร็นเดอเรอร์ตลอดมา

    ฟิคาเธียน (Ficathian)
    เป็นดาวที่มั่งคั่งและสวยงามที่สุดในจำนวนดาวทั้งหมดในแกแล็คซี่แล้ว ด้วยวงแหวนไขว้ที่ซ้อนกันอยู่รอบดาว จึงดูงดงามแม้มองจากภายนอก ฟิคาเธียนยังเป็นดาวที่ผลิตเหล่านักปราชญ์ ช่างฝีมือ และศิลปินแขนงต่างๆออกมามากมาย เพราะสายพันธุ์ของผู้ที่อยู่บนดาวดวงนี้จะหนักไปทางนักคิด ดาวดวงนี่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมตลอดกาลของแกแล็คซี่ ด้วยสถาปัตยกรรม ปะติมากรรมชั้นยอดมากมายและสิ่งปลูกสร้างที่มีรสนิยมทั่วทั้งดาว และงานศิลป์เลื่องชื่ออีกจำนวนมหาศาล เป็นดาวเคราะห์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการศึกษา กล่าวกันว่ามหาวิทยาลัยฟิคาเธียนเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในแกแล็คซี่ ปกครองโดยข้าหลวงจากราชวงศ์

    แฟนฟอร์ม (Fanform)
    ดาวเคราะห์ที่มีเขตชุมชนและเขตเศรษฐกิจผสมปนเปกันไปในลักษณะการปลูกสร้างแบบนครลอยฟ้า เนื่องจากพื้นดินของแฟนฟอร์มเปื่อยและยุ่ยมากจนเหยียบไม่ได้ มีวังเวหาอันเป็นที่พำนักของประธานาธิบดีอันเป็นประมุขของดาว และขึ้นตรงต่อราชวงศ์ แฟนฟอร์มเป็นดวงดาวที่เจริญด้วยเทคโนโลยีมากมาย แต่ก็เป็นดาวที่มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน ชนชั้นสูงและผู้ที่ได้รับการยอมรับจะได้รับบัตรประจำตัวเพื่อขึ้นมาอาศัยอยู่นครลอยฟ้า ขณะที่ชนชั้นล่างต้องอยู่กับสภาพแร้งแค้นของพื้นผิวดวงดาวที่ยากแก่การอยู่อาศัยด้านล่าง

    อัลทิมา (Ultima)
    ดวงดาวป่าดงดิบ ในอดีตเคยเป็นแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ แต่สงครามครั้งใหญ่ระหว่างกบฏราชวงศ์กับกองทัพพิทักษ์จักรวาลทำให้ดาวดวงนี้เหลือเพียงเศษซากความทรงจำ ไม่มีเขตชุมชนหรือเขตเศรษฐกิจบนดาวดวงนี้ มีเพียงป่าดงดิบ สัตว์ร้าย และภยันตรายนานัปการ ไม่มีเมืองใหญ่หรืออาคารราชการใดๆอยู่เลย เป็นพื้นที่อันตรายที่ท้าทายอย่างยิ่งในสายตาของผู้ที่รักการผจญภัย ปัจจุบันยังมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับการขอโอนกรรมสิทธิ์การขุดโบราณสถานบนอัลทิมาอยู่

    ไฟนอลออน (Final-On)
    ดาวหน้าด่านแห่งราชวงศ์ ไฟนอลออนไม่มีแผ่นดิน มีเพียงทะเลสุดลูกหูลูกตา ถิ่นกำเนิดของพวกเงือก มีฐานทัพและเมืองทั้งใต้ทะเลและเหนือทะเลมากมาย เป็นดาวที่ได้เปรียบด้านชัยภูมิมาก การจะโจมตีดาวดวงนี้นั้นต้องอาศัยทัพอากาศเปิดทางล้วนๆ และยังมีการป้องกันที่แน่นหนา เป็นฐานทัพเทียบเคียงกับดาวเอ็คท์ เรียกได้ว่าเป็นปราการเหล็กของไฟนอลทีเดียว โดยดาวดวงนี้จะมีเครื่องส่งคลื่นสัญญาณ และสถานีรบในอวกาศลอยตัวอยู่ในระยะใกล้เป็นแนว ป้องกันการฝ่าเข้าไปยังดาวไฟนอลอันเป็นที่พำนักของราชวงศ์ โดยกฎหมายการบินของแกแล็คซี่ระบุว่าการจะเข้าออกดาวไฟนอลนั้น ต้องผ่านไฟนอลออนไปก่อนเท่านั้น

    ไฟนอล (Final)
    ดาวแห่งราชวงศ์ ที่พำนักของจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และขุนนางต่างๆ ทุกๆ3เดือน ผู้ปกครองของดาวต่างๆต้องมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิครั้งหนึ่งเพื่อรายงานเรื่องต่างๆ ไฟนอลมีทั้งเขตชุมชนของพลเรือน เขตที่ตั้งทางการทหาร และเขตพระราชวังของราชวงศ์ซึ่งกินพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของดาว สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ได้ช่างฝีมือจากฟิคาเธียนมาออกแบบให้ สิ่งก่อสร้างในดาวดวงนี้จึงดูสวยงามไม่แพ้ฟิคาเธียนเลยทีเดียว ไฟนอลเป็นดาวที่สวยงามสงบนิ่ง แม้ภายนอกจะเกิดอะไรขึ้นมากมายแค่ไหน แต่เฉพาะดาวดวงนี้เท่านั้นที่จะรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้เสมอ

    เผ่าพันธุ์

    ออลไฟนอลเป็นแกแล็คซี่ที่หลากหลายไปด้วยอารยธรรมและเผ่าพันธุ์ หากไม่นับสัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยงแล้ว ออลไฟนอลมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมทั้งหมด 25 ชนิด ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีความแตกต่างกันมากมาย บ้างก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน บ้างก็ต้องแยกตัวไปอยู่ต่างหาก โดยเผ่าพันธุ์ทั้ง 25 ของออลไฟนอลมีดังนี้

    Human
    รูปลักษณ์ : เป็นสายตรงของวิวัฒนาการ รูปร่างไม่ใหญ่โตมาก
    ช่วงอายุ : 70 – 150 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ปานกลาง
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : สามารถเรียนรู้และเลียนแบบคุณลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์อื่นได้ไม่จำกัด
    เผ่าพันธุ์ที่มีประชากรจำนวนมากที่สุดในออลไฟนอล ตั้งแต่สมัยอดีต มักเป็นแกนนำในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ขับไล่เผ่าพันธุ์อื่นออกจากบ้านเกิด ตั้งตนเป็นกษัตริย์ออกไล่ล่าอาณานิคมไว้มากมาย เนื่องจากมีจำนวนมากและขยายเผ่าพันธุ์ได้ง่าย ทั้งยังมีความสมดุลในเชิงกายภาพสูง ปรับตัวเก่ง และเป็นเผ่าพันธุ์ที่กระหายใคร่รู้ในทุกสิ่ง

    Elf
    รูปลักษณ์ : สง่างาม ปราดเปรียว ใบหูแหลม ผิวพรรณกระจ่างใส
    ช่วงอายุ : 300 – 700 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ปานกลาง
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : มีความรู้ ความสามารถทางจิตสูง มีสายตาที่เฉียบคม
    ผู้สูงศักดิ์แห่งป่าเขาลำเนาไพร พวกเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาด เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ ปัจจุบันเป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งหายาก เอลฟ์ส่วนมากมีพลังจิตสูง จึงเป็นที่ต้องการตัวของราชวงศ์และกองทัพอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่สง่างามและเข้มแข็งอีกด้วย ในอดีตนานมากแล้วเคยทำศึกกับมนุษย์เพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในแกแล็คซี่ แต่ก็พ่ายแพ้ไปด้วยกลโกง

    Dark Elf
    รูปลักษณ์ : ผิวสีเขียวอมเทา ใบหูแหลม ดวงตาส่องประกายในความมืด
    ช่วงอายุ : 300 – 700 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : สูง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : ปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว มีความแม่นยำสูง พรางตัวได้เก่ง
    เดิมทีพวกเขาเคยเป็นเอลฟ์มาก่อน ภายหลังจากที่เอลฟ์เคยแพ้สงครามในอดีตอันแสนไกล พวกเขาเลือกที่จะไม่ยอมก้มหัวให้มนุษย์ และแยกตัวออกไปอยู่ในป่าลึก ดาร์คเอลฟ์ชิงชังพวกเอลฟ์ว่าทำตัวเสื่อมเกียรติที่ยอมถูกสังคมของมนุษย์กลืนกิน พวกเขาเริ่มหันเข้าหาโลกมืด และละทิ้งขนบธรรมเนียมเก่าๆ ชิงชังราชวงศ์และกองทัพ รอวันที่จะได้กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง

    Dwarf
    รูปลักษณ์ : ตัวเล็กแต่บึกบึน เพศชายมักไว้เครา น้ำเสียงกร้าวแกร่งดุดัน
    ช่วงอายุ : 100 – 400 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : ต่ำ
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : แข็งแรง ทนต่อทุกสภาพภูมิอากาศ มองเห็นในที่มืดได้ดี เชี่ยวชาญงานช่าง
    พวกคนแคระไม่เคยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พวกเขาจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตเดินทางร่อนเร่ไปทั่วแกแล็คซี่ พวกเขาเป็นช่างฝีมือที่เก่งกาจตามธรรมชาติ พวกคนแคระรักสนุกและอารมณ์ดี จึงไม่ค่อยมีปัญหากับเผ่าพันธุ์อื่นๆมากนัก นอกจากกับพวกเอลฟ์และดาร์คเอลฟ์ซึ่งทระนงว่าตนสูงศักดิ์

    Einberry
    รูปลักษณ์ : มีรูปร่างที่ผสมคุณลักษณะของพืชพรรณเอาไว้ มีลัหษณะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์
    ช่วงอายุ : 100 – 250 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ปานกลาง
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ปรับตัวได้ง่ายและกลมกลืนกับธรรมชาติ สามารถสร้างพลังงานให้ตัวเองจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ จึงไม่ต้องการการพักผ่อนหรืออาหารมากนัก
    เหล่าผู้วิวัฒนาการมาจากพืช อพยพเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว พวกเขามีพื้นฐานทางสังคมที่เหนียวแน่น ศรัทธาในเรื่องลำดับขั้นวงศ์ระกูล และให้ความสำคัญกับญาติมิตรมาก เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเกียรติและไว้ใจได้มาก ทั้งยังรักศักดิ์ศรีมากอีกด้วย

    Virar
    รูปลักษณ์ : หน้าตาคล้ายแมว มีท่อกลวงยื่นออกมาตามตัว ซึ่งใช้ระบายความร้อนในร่างกาย
    ช่วงอายุ : 100 – 300 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : มีความคล่องแคล่วและสมดุลในร่างกายสูงมาก เป็นนักกายกรรมที่ดี
    ลึกลับและมีเสน่ห์ คือคุณสมบัติหลักของชาววิฬาร์ พวกเขาเป็นผู้สันโดษ รักความสะอาด ไม่ชอบสุงสิงกับใครนัก แต่ก็เป็นจุดเด่นในงานเลี้ยงเสมอ ชาววิฬาร์นั้นเก็บความลับได้ดีเยี่ยม ตั้งใจทำอะไรแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ จนมีคำพังเพยที่ว่า ยากเหมือนง้างปากวิฬาร์ ที่ใช้กันแพร่หลาย

    Krator
    รูปลักษณ์ : มีดวงตาหกดวง ผิวลื่นเหมือนปลาไหล
    ช่วงอายุ : 150 – 450 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ต่ำ
    ความเข้มข้นทางจิต : สูง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : ผิวหนังมีน้ำมันหล่อเลี้ยงจนชุ่มชื้นและลื่นไหลตลอดเวลา ดวงตาทั้งหกสามารถแยกประสาทรับภาพเป็นสามชุดได้
    ชาวเครเตอร์ผู้ระแวดระวัง แม้จะมีร่างกายอ่อนแอ แต่ก็ได้ความสามารถในการเอาตัวรอดตามธรรมชาติมาไว้ในครอบครอง ชาวเครเตอร์ส่วนมากเป็นพลเมืองบริสุทธิ์ เนื่องด้วยเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบๆภายใต้การปกครองของราชวงศ์มากกว่าจะลุกฮือขึ้นต่อต้านใคร เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีมากเป็นอันดับสามของออลไฟนอล

    Dragonic
    รูปลักษณ์ : ใต้ผิวหนังมีเกล็ด ใบหูแหลม ดวงตาเป็นแบบมังกร ผมสีแดง
    ช่วงอายุ : 400 – 500 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : แข็งแกร่งในเชิงรบ สื่อสารกับมังกรได้ มีลมหายใจเป็นเปลวเพลิง
    เผ่าพันธุ์นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในออลไฟนอล มีจำนวนน้อยมาก การสืบสายพันธุ์ข้ามเชื้อสายมักทำให้สายพันธุ์นี้หายไป ชาวมังกรไม่ใช่มังกรโดยตรง แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับมังกรที่สุด พวกเขาหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีและมีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ทุกคน ผู้ชายส่วนมากจะตายในสงครามเมื่ออายุยังน้อย

    Lunarian
    รูปลักษณ์ : มีใบหูยาว ฟันคู่หนาใหญ่และแข็งแรง มีขาที่เหมาะแก่การกระโดดและทรงพลัง
    ช่วงอายุ : 150 – 200 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ต่ำมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : สูง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : มีสัญชาติญาณระแวดระวังภัยสูง ไวต่อเสียงมาก
    หากจะจัดอันดับเผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างงดงามแล้ว ลูนาเรียนย่อมติดอันดับต้นๆแน่นอน พวกเขาจะมีร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็เต็มไปด้วยพลังชีวิต ชาวลูนาเรียนส่วนมากมักเข้าทำงานกับราชวงศ์ ด้วยเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ทนต่อสภาพแวดล้อมหนักๆ จึงต้องการการปกป้องสูง

    Lizard Man
    รูปลักษณ์ : รูปร่างเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ตัวเป็นเกล็ด มีเดือยแหลมตามตัว
    ช่วงอายุ : 100 – 250 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : มีประสาทสัมผัสเฉียบคม เปลี่ยนสีผิวได้ตามสภาพแวดล้อม
    ลิซาร์ดแมนส่วนใหญ่เป็นพวกรักสงบ แต่พวกเขาเป็นสายพันธุ์นักรบชั้นเยี่ยม มีความสามารถเรื่องการต่อสู้ทัดเทียมอัศวินมังกร สำหรับเผ่าพันธุ์อื่น อาจรังเกียจเดือยแหลมตามตัวและสีสันพิสดารของพวกเขา แต่สำหรับลิซาร์ดแมนด้วยกันเองแล้ว นี่คือความภูมิใจที่พวกเขามักโอ้อวดออกมาเสมอ ในทางกลับกัน การพรางสีสันร่างกายให้เข้ากับธรรมชาติถือเป็นการหมิ่นเกียรติตัวเองอย่างยิ่งสำหรับลิซาร์ดแมนชั้นสูง

    Hildian
    รูปลักษณ์ : รูปร่างเหมือนนก ตาโต ปากเป็นจะงอย มีแขนรูปร่างเป็นปีก
    ช่วงอายุ : 150 – 250 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ต่ำ
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : บินได้ อ่านสภาพอากาศได้แม่นยำ
    ชาวฮิลเดียนมักเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใครถ้าไม่จำเป็น พวกเขาไร้น้ำใจและไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า มีความเชื่อและวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับผู้อื่น โดยเฉพาะทางราชวงศ์ได้ง่าย ในปัจจุบัน บนดาวไฟนอล ดวงดาวแห่งราชวงศ์ มีสภาเล็กที่ชื่อว่าสภาฮิลเดียน เพื่อตัดสินเรื่องราวเกี่ยวกับชาวฮิลเดียน โดยขุนนางเผ่าพันธุ์นี้โดยเฉพาะด้วย

    Aquator
    รูปลักษณ์ : ไม่มีรูปร่างชัดเจน คงอยู่ในสภาพของเหลวคล้ายเจลลาติน
    ช่วงอายุ : 300 – 500 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ต่ำมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : ต่ำ
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : สามารถนำสิ่งต่างๆรอบตัวมาสร้างเป็นร่างกายได้
    ไม่ว่าจะเป็นกองขยะหรือภูเขาหิน ชาวอควอเตอร์สามารถสกัดเอาทุกสิ่งมาสร้างเป็นร่างกายของตัวเองได้ทั้งหมด ซึ่งแม้ร่างกายนั้นจะถูกทำลาย แต่พวกเขาก็จะยังคงอยู่เพื่อหาร่างใหม่ต่อไป การดำรงชีวิตคล้ายปูเสฉวนนี้ ก็เพื่อปกป้องร่างจริงที่แสนจะอ่อนแอของพวกเขานั่นเอง

    Centaur
    รูปลักษณ์ : ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นม้า
    ช่วงอายุ : 200 – 300 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าจากดวงดาวได้
    ในอดีตมีเซ็นทอร์จำนวนมากอาศัยอยู่ในออลไฟนอล แต่เมื่อมนุษย์ได้ชนะสงครามเหนือพวกเอลฟ์ เซ็นทอร์ที่เป็นพันธมิตรกับเอลฟ์จึงถูกล่าสังหารลงเป็นจำนวนมาก พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาด ทำนายสถานการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำและวิเคราะห์เหตุการณ์ได้กระจ่าง แต่ชาวเซ็นทอร์ขาดความสามัคคีจึงต้องพึ่งพาพวกเอลฟ์อยู่เสมอ

    Minotaur
    รูปลักษณ์ : ศีรษะเป็นวัวป่า มีกีบเท้า ร่างกายใหญ่โต
    ช่วงอายุ : 120 – 180 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : มีความแข็งแรงทนทาน มีสัญชาติญาณในการหาเส้นทาง
    ตามปกติมิโนทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ แต่หากพวกเขาคลั่งขึ้นมาจะเป็นนักรบที่น่ากลัวมาก มิโนทอร์ยามบ้าคลั่งจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าแบบไม่กลัวตาย พวกเขาจึงมักถูกใช้เป็นทัพหน้าในยามสงคราม ชาวมิโนทอร์ภูมิใจในขนาดและรูปทรงเขาของตัวเองมาก บ่อยครั้งที่มิโนทอร์มักจะอวดโอ่เขาของตัวเองกับเพื่อนฝูง บางครั้งถึงกับเอาข่มกันจนมีเรื่องมีราวชกต่อยขึ้นมาได้

    Shrine Hood
    รูปลักษณ์ : ร่างกายเป็นหินผา พืชสามารถเจริญเติบโตได้
    ช่วงอายุ : 10,000 – 50,000 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : กลมกลืนกับธรรมชาติ ทนทานต่อยาพิษ อ่านกระแสความคิดรอบตัวได้
    เผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในออลไฟนอล พวกเขาเปรียบเสมือนเทพารักษ์ ไชร์นฮู้ดเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนนานมาก ด้วยความที่อยู่มานานจึงรู้เรื่องราวต่างๆเป็นอย่างดี ทั้งยังมีรูปแบบความคิดที่ซับซ้อน พวกเขาเป็นมิตรและน่าคบหา ในทางกลับกันก็ค่อนข้างขี้ขลาด เผ่าพันธุ์โบราณพวกนี้มักแสร้งทำเป็นว่าไม่มีตัวตนเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ เป็นพวกเก็บตัว ต่างจากชาวไอน์เบอร์รี่ซึ่งมีเชื้อสายใกล้เคียงกันโดยสิ้นเชิง

    Goblin
    รูปลักษณ์ : ตัวเล็กบอบบาง ผิวหนังสีเขียว มีฟันแหลมคม ดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสง
    ช่วงอายุ : 80 – 150 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ปานกลาง
    ความเข้มข้นทางจิต : ต่ำมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : สามารถถอดกระดูกทุกส่วนออกจากกันได้ ผิวหนังยืดหยุ่นอิสระ
    เดิมทีพวกก็อบลินเป็นตัวน่ารำคาญที่ไม่ค่อยมีบทบาททางสังคมมากนัก จนกระทั่งสมาพันธ์การค้าระหว่างดวงดาวถูกก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาจึงเริ่มหันมาเอาดีทางการตลาด ซึ่งก็อบลินก็ทำได้ดีกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆมากนัก ก็อบลินส่วนมากจะอาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่และร่ำรวย พวกเขารักความสะดวกสบาย และขี้งก มีประชากรมากเป็นลำดับสองของออลไฟนอล

    Fon
    รูปลักษณ์ : บ้างมีท่อนล่างเป็นแพะ บ้างมีท่อนบนเป็นแพะ แล้วแต่เชื้อสาย มีเขาแหลมคม
    ช่วงอายุ : 200 – 500 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ปานกลาง
    ความเข้มข้นทางจิต : สูง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : เชี่ยวชาญด้านศิลปะ สื่อสารกับสัตว์ได้ทุกชนิด มีแรงสปริงตัวสูงมาก
    อดีตภูติแห่งป่าดงพงไพร ฟอนเป็นนักเต้นรำชั้นยอด เป็นศิลปินชั้นเยี่ยม พวกเขาเป็นผู้สร้างสีสันให้กับงานเลี้ยง ยิ่งมีคนดูเยอะฟอนยิ่งสนุกสนานกับการแสดง ในยามศึกพวกเขาเป็นนักรบผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด ฟอนมีวิธีปลุกใจเพื่อนนักรบดีๆเสมอ แน่นอนเผ่าพันธุ์ที่รักสนุกเหล่านี้เป็นมิตรต่อทุกชีวิตในออลไฟนอล ตราบเท่าที่พวกเขายังไม่รู้สึกว่าถูกคุกคาม

    Mermaid
    รูปลักษณ์ : มีท่อนล่างเป็นปลา หายใจทางเหงือก ดวงตามีม่านกันน้ำ
    ช่วงอายุ : 150 – 200 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ต่ำ
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ มีความสามารถในการใช้เสียงสะกดใจผู้อื่น
    อาณาจักรของเงือกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลตามท้องทะเลลึก โดยเฉพาะเมืองหลวงโพเซนไดซ์บนดาวเคราะห์ไฟนอลออน ซึ่งราชินีเงือกปกครองอยู่ พวกเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของพวกที่อยู่บนบก นอกจากว่าพวกบนบกจะเริ่มรุกรานท้องทะเล พวกเงือกนั้นรักพวกพ้องมาก พวกเขาเข้มแข็งและกล้าหาญ พร้อมจะถวายชีวิตเพื่อเพื่อนเสมอ ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์ในออลไฟนอลก็รู้ดีว่าหากยังอยากใช้ชีวิตอยู่ริมน้ำอย่างปลอดภัย อย่ามีเรื่องกับพวกเงือกไว้จะดีกว่า

    Antharask
    รูปลักษณ์ : รูปร่างใหญ่โต มีแขนสี่ข้าง มีงวงและงา หน้าตาคล้ายช้าง ปอดใหญ่จุน้ำได้มาก ผิวหนา
    ช่วงอายุ : 150 - 250 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : สามารถอดน้ำได้เป็นเวลานาน มีสามาธิสูง
    อันธาราสค์มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทะเลทราย พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงศีล และเป็นนักรบที่น่ากลัว โดยทั่วไปอันธาราสค์นั้นมีบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยน และสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อ มีจำนวนไม่น้อยเป็นชนชั้นปกครองในไฟนอล แทบจะเรียกได้ว่า เป็นชนเผ่าที่มีส่วนร่วมกับราชวงศ์มากที่สุดรองจากมนุษย์เลยทีเดียว ในอดีตอันธาราสค์เคยรบกับมนุษย์เพื่อแย่งชิงการปกครองดวงดาวในวงโคจรของอาร์ติเคล ภายหลังจึงได้มีการลงนามเป็นพันธมิตรและอยู่ร่วมกันได้ในที่สุด

    Kaharian
    รูปลักษณ์ : มีขนปกคลุมทั้งร่างกาย เขี้ยวยาว มือและเท้าใหญ่ ดวงตาใสราวกับแก้ว
    ช่วงอายุ : 100 – 130 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : ต่ำ
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : เปลี่ยนขนที่มีอยู่เต็มร่างกายให้เป็นเกราะเหล็กหรือหนามแหลมได้
    นานมาแล้ว ชาวคาฮาเรียนอพยพมาจากดวงดาวอันแสนไกลมาลงหลักปักฐานกันอยู่ที่ออลไฟนอล พวกเขาทนต่ออากาศหนาวได้ดี แต่แพ้อากาศร้อน คาฮาเรียนเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีน้ำใจ ชอบที่จะอยู่รวมกันเป็นชุมชน กลมกลืนกับเผ่าพันธุ์อื่นได้ดี แต่พวกเขาไม่ถนัดในงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนอย่างงานผีมือหรือศิลปะ คาฮาเรียนจำนวนมากเลือกที่จะจ่ายเงินจ้างคนแคระซ่อมแซมหลังคาบ้านดีกว่าซ่อมด้วยตัวเองแล้วทำบ้านพังไปทั้งหลัง

    Vampire
    รูปลักษณ์ : ผิวขาวซีด ใบหูแหลมยาว ดวงตาสีดำสนิทเรืองแสงสีแดงอยู่ข้างใน มีเขี้ยวและเล็บที่แหลมคม
    ช่วงอายุ : ไม่จำกัด
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : ควบคุมเลือดในร่างตัวเองได้อย่างอิสระ แปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ บาดแผลหายอย่างรวดเร็ว
    เผ่าพันธุ์ต้องสาปที่ถูกเกลียดชังจากโลกภายนอก พวกเขาเก็บตัวอยู่อย่างลับๆภายใต้คุณลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกับเอลฟ์และมนุษย์ สาปแช่งประชากรของออลไฟนอลเป็นศัตรูกับราชวงศ์ซึ่งต่อต้านพวกเขา แวมไพร์จำเป็นต้องดื่มเลือดจากสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ พวกเขาแข็งแกร่ง ฉลาดและทรงเกียรติ แต่มีผิวที่บอบบางแพ้แสงแดด ชาวแวมไพร์มีโอกาสน้อยมากในการสืบสายเลือด เป็นกลไกธรรมชาติเพื่อควบคุมประชากรของเผ่าพันธุ์ที่อันตรายเหล่านี้

    Orc
    รูปลักษณ์ : ตัวใหญ่เทอะทะ ผิวสีเขียว เขี้ยวยาว กรามหนา ผิวหนังกระด้างเหมือนหิน
    ช่วงอายุ : 60 – 120 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : ปานกลาง
    ความเข้มข้นทางจิต : ต่ำ
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : เหี้ยมหาญ กระหายสงคราม ไม่เกรงกลัวสิ่งใด มีสัญชาติญาณในการต่อสู้สูง
    พวกออร์คมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ สร้างชุมชนอยู่ตามดินแดนทุรกันดารต่างๆห่างจากเมืองใหญ่ ส่วนมากมักเป็นทหารรับจ้างและกองโจร ทางกองทัพนิยมไว้เป็นทหารประจำกองทัพเนื่องจากพวกเขากระหายสงครามอย่างยิ่ง คนส่วนใหญ่มองว่าออร์คเป็นเผ่าพันธุ์ที่ป่าเถื่อน ไม่สามารถควบคุมได้ หากความจริงแล้วออร์คทระนงในศักดิ์ศรีนักสู้ของตนมาก หากรับใช้ใครแล้วจะภักดีไปจนวันตายเลยทีเดียว

    Troll
    รูปลักษณ์ : ผิวหน้าช่วงบนเป็นแผ่นกระดูก ปากกว้าง ใบหูแหลมยาว ผิวสีเทาอมฟ้า แขนขายาว รูปร่างสูงใหญ่
    ช่วงอายุ : 100 - 150 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูง
    ความเข้มข้นทางจิต : ปานกลาง
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : มีมือและเท้าที่แข็งแรงยึดจับสิ่งต่างๆได้ดี เชี่ยวชาญไสยศาสตร์และเรื่องยาพิษ
    โทรล์มักสร้างอาณานิคมอยู่ตามภูเขาหรือตามถ้ำห่างจากเมืองใหญ่เช่นเดียยวกับออร์ค บางส่วนอพยพเข้าเมืองและวางตัวอย่างผู้มีอารยธรรม พวกโทรล์ส่วนมากชอบเล่นไสยศาสตร์ คนส่วนมากจึงไม่ค่อยไว้ใจโทรล์และมองว่าพวกเขาเป็นตัวร้าย พวกเขาชื่อชอบการสักและการเจาะตามร่างกาย ด้วยเชื่อว่านั่นเป็นตัววัดความแข็งแกร่ง

    Giant
    รูปลักษณ์ : รูปร่างใหญ่โตที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด หน้าตาน่าเกลียด มีกระดูกปูดโปน ผิวหนังหยาบกระด้าง
    ช่วงอายุ : 100 – 150 ปี
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : ต่ำมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : พละกำลังมหาศาล ผิวหนังแข็งแกร่ง มีกรามที่แข็งแรงมาก
    แม้จะแข็งแกร่งที่สุดในจำนวนเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมทั้งหมดในออลไฟนอล แต่พวกเขาก็มีระดับมันสมองที่ต่ำที่สุดเช่นกัน พวกยักษ์ไม่ชอบให้คนอื่นมองว่าตัวเองโง่จึงพยายามเลียนแบบวิธีพูดของชนชั้นสูง หากความเป็นจริงแล้ว พวกเขาป่าเถื่อน พวกยักษ์มักจะจับกลุ่มเป็นชุมชนเล็กๆตามชนบท และหลีกเลี่ยงที่จะรวมตัวกันเป็นสังคมใหญ่ พวกเขาชอบเครื่องประดับสวยๆงามที่ดูมีรสนิยม

    Demonic
    รูปลักษณ์ : รูปร่างสูงใหญ่ ตาสีแดงเหมือนเลือด ใบหูแหลมยาว เขี้ยวคมกริบ มีกระดูกแหลมคมงอกออกมาตามตัว ผมมีลักษณะเป็นปล้องแหลมคม
    ช่วงอายุ : ไม่จำกัด
    ความแข็งแกร่งของร่างกาย : สูงมาก
    ความเข้มข้นทางจิต : สูงมาก
    คุณลักษณะพิเศษเฉพาะเผ่าพันธุ์ : แข็งแกร่งในการรบ เขี้ยวมีพิษ สร้างใบมีดคมกริบขึ้นจากใต้ผิวหนังได้มากมาย
    เหล่าผู้เข้มแข็งของจักรวาล พวกอสูรอพยพมาจากแกแล็คซี่ที่ห่างไกล พวกเขาเข้มแข็งและกระหายเลือด อสูรจึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใช้ความรุนแรงเป็นหลัก ทว่ามีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นในออลไฟนอล พวกเขาเคยเปิดฉากรุกรานแกแล็คซี่แห่งนี้ ก่อนจะพ่ายแพ้แก่กองทัพของราชวงศ์ และคงเหลือแต่ชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มที่หลบหนีซุกซ่อนอยู่ในดวงดาวต่างๆ ซึ่งทางราชวงศ์มีคำสั่งอนุญาตให้ฆ่าได้ทันทีที่พบเห็น

    การผสมข้ามสายพันธุ์
    เกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสายพันธุ์ที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกันเช่นระหว่าง มนุษย์ เอลฟ์ ดาร์คเอลฟ์ คนแคระ ฟอนและแวมไพร์ ซึ่งบางครั้งอาจมีการแต่งงานทางการเมืองข้ามเผ่าพันธุ์กันบ้าง แต่ส่วนมากคู่แต่งงานจะไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และมีโอกาสต่ำมากที่จะให้กำเนิดทารก มีกรณียกเว้นสำหรับ ออร์ค ยักษ์ โทรล์และอสูร ซึ่งมองข้ามกฎแบ่งแยกระหว่างเผ่าพันธุ์ไป

    ยศทหาร

    จอมพล Royal Field Marshal – จอมพลอโลฮา โกโมรา ผู้คุมสามเหล่าทัพ

    กองทัพบก

    พลเอก General – ผู้นำเหล่าทัพบก
    พลโท Lieutenant General
    พลตรี Major General – ชั้นเสนาธิการทหาร
    พันเอกพิเศษ Senior Colonel – ผู้ดูแลฐานหลัก, หัวหน้าหน่วยพลังม้า, นายทหารชั้นพิเศษ เทียบเท่าชั้นเสนาธิการทหาร
    พันเอก Colonel
    พันโท Lieutenant Colonel
    พันตรี Major
    ร้อยเอก Captain
    ร้อยโท First Lieutenant
    ร้อยตรี Second Lieutenant – ชั้นนายทหาร
    จ่าสิบเอก Master Sergeant First Class
    จ่าสิบโท Master Sergeant Second Class
    จ่าสิบตรี Master Sergeant Third Class – ชั้นครูฝึก
    สิบเอก Sergeant
    สิบโท Corporal
    สิบตรี Lance Corporal – ชั้นนายสิบ
    พลทหารชั้นหนึ่ง Private First Class
    พลทหารชั้นสอง Private – พลทหาร

    กองทัพอวกาศ

    พลอวกาศเอก Space Chief Marshal – ผู้นำเหล่าทัพอวกาศและอากาศ
    พลอวกาศโท Space Marshal
    พลอวกาศตรี Space Vice Marshal – ชั้นเสนาธิการทหาร
    นาวาอวกาศเอกพิเศษ Senior Group Captain – กัปตันผู้ดูแลยานเทียบท่าแคริเออร์, กัปตันชั้นพิเศษ เทียบเท่าชั้นเสนาธิการทหาร
    นาวาอวกาศเอก Group Captain - กัปตันยานบัญชาการ
    นาวาอวกาศโท Wing Commander
    นาวาอวกาศตรี Squardon Leader
    เรืออวกาศเอก Flight Lieutenant – กัปตันยานรบหุ้มเกราะ, ชั้นกัปตัน
    เรืออวกาศโท Flying Officer
    เรืออวกาศตรี Senior Pilot Officer – ชั้นเสนาธิการยานรบ
    ร้อยอวกาศเอก Pilot First Class – จ่าฝูงกองบิน
    ร้อยอวกาศโท Pilot Second Class
    ร้อยอวกาศตรี Pilot Third Class – นักบิน, ชั้นนายทหาร
    พันจ่าอวกาศเอก Flight Sergeant First Class
    พันจ่าอวกาศโท Flight Sergeant Second Class
    พันจ่าอวกาศตรี Flight Sergeant Third Class – ชั้นครูฝึก
    จ่าอวกาศเอก Sergeant
    จ่าอวกาศโท Corporal
    จ่าอวกาศตรี Leading Aircraftman
    พลทหารอวกาศ Spaceman – ชั้นนาวิกโยธิน

    กองทัพเรือ

    พลเรือเอก Admiral – ผู้นำเหล่าทัพเรือ
    พลเรือโท Vice Admiral
    พลเรือตรี Rear Admiral – ชั้นเสนาธิการทหาร
    นาวาเอกพิเศษ Special Captain – ผู้ดูแลหอบังคับการทางน้ำ, กัปตันชั้นพิเศษ เทียบเท่าชั้นเสนาธิการทหาร
    นาวาเอก Captain – กัปตันเรือรบบัญชาการ
    นาวาโท Commander
    นาวาตรี Lieutenant Commander
    เรือเอก Lieutenant – กัปตันเรือรบหุ้มเกราะ, ชั้นกัปตัน
    เรือโท Junior Lieutenant
    เรือตรี Sub Lieutenant – ชั้นเสนาธิการเรือรบหุ้มเกราะ
    พันจ่าเอก Chief Petty Officer First Class
    พันจ่าโท Chief Petty Officer Second Class
    พันจ่าตรี Chief Petty Officer Third Class – ชั้นครูฝึก
    จ่าเอก Petty Officer First Class
    จ่าโท Petty Officer Second Class
    จ่าตรี Petty Officer Third Class
    พลทหารเรือ Seaman – ชั้นนาวิกโยธิน



    และนั่นก็คือรายละเอียดส่วนหนึ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาแล้วของแกแล็คซี่แห่งนี้ ขอบคุณที่ติดตาม แล้วโอกาสหน้าพบกันใหม่ครับ :D
  18. herarn9999

    herarn9999 New Member

    EXP:
    237
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 6 - ไม่บังเอิญ Updated 19/12

    เข้ามาเพื่อตามเซพเก็บ ^^

    ชอบข้อมูลจังเลยครับ O_Ob! เป็นการแต่งฟิคที่เตรียมข้อมูลมาได้อย่างดีมากมาย
    มีลูกเล่นใช้หมวดของ AF มาเปลี่ยนแปลงด้วย =[]=b!! ตรงนี้สุดยอดครับ!!

    ภาพวาดสวยขึ้นมากกกกก ><b!!

    สุดยอดครับ มาใหม่นี่ อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นเยอะมากจริงๆ (ขนาดของเก่าก็ยังดีโคตรๆ)
  19. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 6 - ไม่บังเอิญ Updated 19/12

    อยากจะบอกว่า

    "นึกว่าจะไม่มีบุญได้อ่านต่อซะแล้ว"

    รอฉบับ Pocket book อยู่นะครับซื้อแน่นอน วางขายเมื่อไรช่วยแจ้งทีนะครับพี่พีท ขอบคุณมากครับ
  20. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 6 - ไม่บังเอิญ Updated 19/12

    All Final Wars #7

    วันดวงซวย(อาจจะ)

    [​IMG]

    “แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นอย่างที่บอกไปในตอนแรกนั่นแหละ” สำเนียงกรุ้มกริ่มกรุ่นกลิ่นแอลกอฮอลล์ได้ที่ พีทหลิ่วตาให้กับสาวๆมากมายหลายเผ่าพันธุ์ที่เขากว้านเหมามานั่งร่วมโต๊ะ ในเลาจน์ชื่อดังของไอซาร์ด ‘จักรพรรดิราตรี’ พีทไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของการได้เป็นจักรพรรดินั้นที่แท้เป็นอย่างไร แต่แค่ความรู้สึกหลอกๆของการได้รับความหรูหราและการเอาอกเอาใจจากสาวๆหน้าตาดีมากมายซึ่งแลกไปด้วยเงินจำนวนมากก็ทำให้นอนหลับฝันดีได้เสมอ นี่เองธุระที่พีทไม่ยอมบอกทริกเกอร์ว่าคืออะไร “นี่ถ้าไม่ได้พีทเดอะโลนลี่วูลฟ์คนนี้นะ ป่านนี้เดอะข่านฆ่าเรียบทั้งธรณีนี่นี้ใครครองไปแล้ว”

    แน่นอน แม้เงินจะสามารถซื้อความสุขได้ แต่เมื่อสินค้าดูดี ผู้คนก็ย่อมต้องแย่งกันซื้อ เลาจน์จักรพรรดิราตรีนั่นเป็นคลับกึ่งหอนางโลมที่โด่งดังที่สุดในไอซาร์ด ซึ่งเป็นสาขาย่อยมาจากที่ดาวอัลฟอรัม หนึ่งในเครือข่ายธุรกิจสกปรกของไนท์บาซาร์ ราชาแห่งโลกมืด สาวๆที่เลาจน์สุดหรูแห่งนี้จึงไม่ด้อยไปกว่านางเอกโฆษณาในเครือข่ายสัญญาณหลักเลย นั่นทำให้มีผู้ชายที่โหยหาความอบอุ่นจำนวนมากมาละลายทรัพย์สินที่นี่ทุกครั้งที่มีโอกาส

    ดังนั้น บางครั้งหากมีผู้ชายที่ดูโดดเด่นกว่าเข้ามาในร้าน สาวๆที่อุตส่าห์นั่งป้อร้ออยู่นานก็อาจหลุดลอยไปได้ในทันที ซึ่งก็ดูเหมือนเรื่องเล่าของพีทเกี่ยวกับการต่อสู้กับมือปืนชั้นอ๋องอย่างเดอะข่านซึ่งเกิดขึ้นจริงเพียงเศษเสี้ยวของที่เขาเล่านั้น จะดึงดูดความสนใจของสาวๆได้ดีทีเดียว เล่นเอาแขกคนอื่นๆในร้านหมั่นไส้ไปตามๆกัน

    “แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลท์นะ หลังจากนั้นเราก็ได้ไปเจอไอ้ตัวที่เด็ดกว่านั้นอีก” ใจคอพีทคิดจะงัดเอาเรื่องที่เจอกับต๊อบเหล็กไหลมาเป็นส่วนหนึ่งในนิทานก่อนนอนของเขาด้วย “คราวนี้เป็นถึงมือพิฆาตในตำนานของสมรภูมิที่มิ...”

    “ฮ้า หน่วยพลังม้าเหรอคะ” ยังไม่ทันที่พีทจะพูดจบ สาวๆที่โต๊ะกลมใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักก็ส่งเสียงฮือฮาออกมาขัดจังหวะเสียก่อน ทำเอาหัวขโมยหนุ่มขี้โอ่หันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์

    น่าแปลก วันนี้พีทนึกว่ามีแต่โต๊ะของเขาซะอีกที่มีผู้หญิงมารุมล้อมมากมายขนาดนี้

    “แล้วคุณรอดมาได้ยังไงเหรอ” หญิงสาวชาววิฬาร์ในชุดแซ็กสั้นเสมอต้นขาสีดำเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น พีทแอบเปรียบเทียบกับสาวน้อยชาววิฬาร์อีกคนที่อยู่ที่โต๊ะของเขาในใจ พลันให้อิจฉาขึ้นมานิดหน่อย

    “แค่หน่วยพลังม้าเอง พวกนั้นไม่เห็นจะซักเท่าไหร่” น้ำเสียงนุ่มนวลแต่อวดโอ่ไม่น้อยไปกว่าพีท ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีขาวนั่งอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางสาวๆมากมาย คะเนจากหน้าตาอายุดูจะเลยพีทไปไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับแก่ แขนทั้งสองข้างภายใต้ถุงมือหนังสีน้ำตาลใหญ่โตยาวเกือบถึงไหล่โอบอยู่บนบ่าของผู้หญิงรอบตัวเขา “ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ก็งั้นๆแหละ”

    พีทรู้สึกได้ทันทีว่าไอ้หมอนี่ท่าทางจะขี้โม้กว่าเขาหลายขุม

    “อย่างว่าแหละนะ หน่วยพลังม้ามันก็แค่งั้นๆแหละ” ก่อนที่จะสูญเสียความเป็นศูนย์กลางของสาวๆในร้าน พีทจงใจพูดเสียงดังเพื่อให้โต๊ะอื่นได้ยินด้วย “ขนาดต๊อบเหล็กไหลที่พวกนั้นตามจับแทบเป็นแทบตายมาตั้งนานยังกระจอกซะขนาดนั้น”

    “ต๊อบเหล็กไหล” สำเร็จ เสียงฮือฮาของสาวๆฝั่งพีทดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เล่นเอาทั้งโต๊ะของชายชุดขาวที่อ้างตัวว่ามีชัยเหนือหน่วยพลังม้ารวมไปถึงโต๊ะอื่นๆหันมามองกันเป็นทางเดียว “ราชามวยไทยที่หายสาบสูญไปน่ะเหรอ”

    “ใช่ บังเอิญเราเจอกันในระหว่างเดินทางน่ะ ก็เลยลองประมือกันนิดหน่อย ตามประสาคนมีของ” ก็ไม่รู้ว่าพีทได้ประมือกับต๊อบตอนไหน เท่าที่จำได้มีแต่โดนไล่อัดเอาฝ่ายเดียว “เพลงมวยก็พอใช้ได้ แต่ยังไม่เข้าขั้น”

    “น้อยๆหน่อยน้องชาย ต๊อบเหล็กไหลนั่นมันระดับหนึ่งในสามนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในออลไฟนอลเลยนะ” คราวนี้เป็นทีของชายชุดขาวหันมาเขม่นเอาบ้างแล้ว “จะโม้อะไรก็ให้มันเพลาๆหน่อย”

    “แล้วหน่วยพลังม้านี่ไม่ทราบว่าคุณพี่ไปปะทะเข้าตอนไหนยังไงเหรอครับ ได้ข่าวว่าพวกนั้นจะเล่นด้วยก็แต่อาชญากรในแบล็คลิสท์ไม่ใช่เหรอ” หัวขโมยหนุ่มย้อนคืนด้วยสายตาทิ่มแทง “ว่าไง พ่ออาชญากรในแบล็คลิสท์ มานั่งลอยชายจีบหญิงอยู่แถวนี้ ไม่กลัวโดนทหารมาลากคอไปเข้าซังเตเหรอ”

    “เอาน่าๆ อย่ามีเรื่องกันเลยคะ” ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มสาดใส่กันมากไปกว่านี้ หญิงสาวชาวเอลฟ์ผมทองที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของพวกเด็กเลาจน์ก็เข้ามาห้ามทัพไว้ก่อนอย่างเป็นงาน “พอดีเลย เราเพิ่งมีเด็กใหม่เข้ามาทำงานเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ยังไงอยากจะฝากคุณพี่สองคน คนใดคนหนึ่งช่วยดูแลน้องเค้าหน่อยได้มั้ยคะ”

    แม้จะแทบไม่ได้ฟัง แต่ทั้งคู่ก็พยักหน้าพร้อมกันโดยที่สายตายังคงเขม่นมองกันอย่างไม่ลดละ เอลฟ์สาวจึงหันไปเรียกเด็กสาวชาวดาร์คเอลฟ์คนหนึ่งให้ก้าวออกมาจากด้านหลังของบาร์ กลิ่นเครื่องหอมราคาแพงของดาวฟิคาเธียนโชยฟุ้งสะกดทุกความสนใจในร้านให้หันไปดู แม้แต่สายตาที่เขม่นมองแทบจะฆ่ากันตลอดเวลาของพีทกับคู่กรณีก็เบือนจากกันไปทันที เพียงแค่ดวงตาคู่สวยคมเฉี่ยวของเด็กสาวที่มาใหม่ก็สามารถสะกดทั้งพีทและชายในชุดขาวให้หยุดนิ่งได้อย่างง่ายดาย เธอยังดูเคอะเขินกับสิ่งที่ต้องทำไม่น้อย นั่นยิ่งทำให้ดูมีราคามากขึ้นไปอีก ท่าทางของเธอราวกับเจ้าหญิงที่เพิ่งจะฟื้นจากนิทราอันยาวนาน ทั้งยังเป็นดาร์คเอลฟ์ เผ่าพันธุ์ที่หาได้ยากยิ่ง จึงจับตาคนอื่นได้มากกว่าสาวงามคนใดในจักรพรรดิราตรีค่ำคืนนี้

    “เธอชื่อคานาเรีย ฝากด้วยนะคะ” เอลฟ์สาวแนะนำเด็กใหม่ด้วยรอยยิ้มโปรยปราย ไม่รู้ว่านี่เป็นการห้ามทัพตรงไหน ดูเหมือนจะยิ่งเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟมากกว่า

    “ทางนี้เลยครับคานาเรีย” โดยไม่เปิดโอกาสให้ชายใดได้จับจองสินค้าชิ้นใหม่ไปก่อน ชายชุดขาวรีบเขยิบตัวเล็กน้อยเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเด็กสาวคนใหม่ข้างๆตัวเขา

    “ทางนี้ดีกว่าครับ อยู่ทางนั้นระวังโดนอาชญากรแบล็คลิสท์ฆ่าปาดคอเอานะ” พีทไม่ยอมแพ้ เปิดฉากจู่โจมคู่แข่งทันที

    “ก็ยังดีกว่านั่งกับหมอนั่น ได้ข่าวว่าเพิ่งไปมีเรื่องกับทั้งดิสโก้คิลเลอร์ทั้งต๊อบเหล็กไหลมาหมาดๆ ระวังจะโดนลูกหลงเอานะ” อีกฝ่ายเองก็กระทบกระเทียบได้อย่างไม่ลดละเช่นกัน “ไม่รู้เห็นพูดปาวๆว่าตัวเองเจ๋งอย่างนั้นอย่างนี้ เจอดิสโก้คิลเลอร์ตัวจริงเข้าแล้วจะหงอรึเปล่า”

    “ก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่บอกว่าหน่วยพลังม้ามันไม่เท่าไหร่นี่มันจะแน่แค่ไหน” น้ำเสียงเริ่มใส่อารมณ์มากขึ้น ดูเหมือนทั้งคู่จะหมั่นไส้กันได้ที่แล้ว ทำเอาดาร์คเอลฟ์สาวได้แต่หันรีหันขวางด้วยสีหน้าบรรยายไม่ถูก ขณะที่แขกคนอื่นๆในร้านแอบลุ้นเงียบๆให้ทั้งสองคนมีเรื่องกัน “แต่ดูท่าทางแล้ว สงสัยจะดีแต่ปาก”

    “อ้าว อย่างนี้มันหาเรื่องกันนี่หว่า” ร่างสูงในชุดขาวผุดลุกขึ้นอย่างคุกคาม พีทเองก็เตรียมคว้าขวดเหล้าไว้ในมือเผื่อมีเรื่องเช่นกัน บรรยากาศทำท่าจะกลับมาแย่เหมือนเดิม สาวๆบางคนเริ่มลุกหนีจากสองโต๊ะคู่กรณี ติดแต่ดาร์เอลฟ์ที่เป็นเด็กใหม่ ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งคู่เหมือนรัฐกันชน ไม่อาจขยับหนีไปไหนได้ ถึงตอนนี้แขกคนอื่นเริ่มมีตะโกนเชียร์ให้ซัดกันบ้างแล้ว

    ทันใดนั้นเอง ก่อนที่คู่กรณีจะทันได้ฟาดแข้งหรือฟาดปากกันต่อ ประตูด้านหน้าของร้านก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทหารติดอาวุธหน่วยหนึ่งวิ่งกรูกันเข้ามาตั้งแถวอยู่ที่โถงทางเข้าด้านหน้าร้าน ก่อนที่นายทหารยศจ่าคนหนึ่งจะก้าวออกมาข้างหน้า ทุกคนในร้านต่างพากันขยับมองกันอย่างประหลาดใจ นี่ยังไม่ทันจะมีเรื่อง ทหารก็ลงพื้นที่มาระงับเหตุการณ์แล้วงั้นเหรอ

    “พลเมืองทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ” จ่าหัวหน้าหน่วยประกาศเสียงดัง ก่อนจะหยิบหมายคำสั่งออกมาอ่าน “โปรดฟังทางนี้ เนื่องด้วยระยะนี้ มีกองยานรบชั้นสูงเข้ามาประจำการอยู่ที่ไอซาร์ดเป็นจำนวนมาก ทั้งนายทหารและพลทหารที่ถูกส่งมาดูแลรักษาวามเรียบร้อยจึงทวีจำนวนขึ้นตาม ทางกองทัพจึงขอขึ้นจำนวนหญิงบริการที่จะถูกส่งไปรับใช้เหล่าทหารหาญทั้งในค่ายใหญ่และในสมาคมนายทหาร จากจำนวน 30 คน เป็น 100 คน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยความนับถือจากกองทัพพิทักษ์จักรวาลและจอมพลอโลฮา โกโมรา”

    “หมายความว่ายังไง ร้อยคน อย่างนั้นเราไม่ต้องปิดร้านไปเลยเหรอ แล้วไม่คิดจะไปเอาผู้หญิงจากร้านอื่นบ้างรึไง” ผู้จัดการร้านชาวออร์คร่างใหญ่เดินงุ่มง่ามออกมาอย่างร้อนใจ ส่วนแบ่ง30% และผู้หญิงสามสิบคนทุกวัน นั่นคือเงื่อนไขในการที่กองทัพจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับกิจการนี้ แต่คราวนี้ราคานั้นเพิ่มขึ้นมากโข “แบบนี้พวกผมเดือดร้อนนะครับ”

    “แน่นอน ทางร้านอื่นก็ต้องส่งคนเข้าไปมากขึ้น ในอัตราส่วนที่ลดหลั่นกันไป ทั้งนี้ ถือเป็นการเสียสละส่วนน้อย เพื่อความสงบสุขของแกแล็คซี่ครับ” จ่าทหารชาวคาฮาเรียนกล่าวอย่างกร้าวแกร่ง ไม่มีท่าทีเห็นใจแม้แต่น้อย

    หากแม้แต่ผู้หญิงยังถูกขูดรีดเอาไปขนาดนี้แล้ว เสบียงอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลายจะถูกรีดไปขนาดไหน ท่าทางไอซาร์ดในยามนี้จะไม่ใช่เมืองแสนสุขซะแล้ว พีทได้แต่สบถอยู่เงียบๆในใจ ด้วยเกรงว่าพวกทหารจะได้ยิน

    “คุณคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ แต่ทางเราคงต้องขอเช็คบิลเลย” เอลฟ์สาวที่เป็นหัวหน้าเด็กๆในเลาจน์กระซิบกับหัวขโมยหนุ่ม สีหน้าลำบากใจของเธอบอกได้ชัดว่าร้านนี้คงต้องหยุดยาวแน่นอน “ยังไงโอกาสหน้าไว้เชิญมาทะเลาะกันใหม่นะคะ”

    “ร้านนี้มีทางออกด้านหลังมั้ยครับ พอดีผมไม่ค่อยถูกกับพวกทหาร คือมีคดีติดตัวนิดหน่อย ถ้ายังไง ก่อนที่พวกนั้นจะเริ่มไล่คนออก ผมอยากแวบไปก่อน” บัตรเครดิตที่ถูกฉกมาจากกระเป๋าของทริกเกอร์ถูกยื่นออกไปให้เอลฟ์สาว เป็นความจริงที่ว่าหากพีทถูกหุ่นลาดตระเวนของพวกทหารพบเข้า เขาซึ่งมีคดีลักขโมยติดตัวอยู่มากมายคงถูกรวบแน่นอน

    “ค่ะ ทางออกอยู่หลังเคาน์เตอร์ ก้มต่ำๆไว้นะคะ” แม้จะเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย แต่เด็กเลาจน์อย่างพวกเธอก็รู้งานดี ลูกค้าที่มาที่นี่มีหลากหลายประเภท ทั้งพวกที่ใส่เครื่องแบบ และพวกที่เกลียดเครื่องแบบ เอลฟ์สาวยิ้มให้พีทอย่างเข้าใจ ยิ่งคิดว่าอีกสักครู่ เธอจะต้องถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในค่าย รับใช้พวกทหารเถื่อนๆโดยไม่ได้เบี้ยเลี้ยงสักเครดิต ก็ยิ่งทำให้พีทรู้สึกไม่ดี

    “งั้นถ้าจะเป็นไปได้” ชายหนุ่มกระซิบเบาๆพร้อมกับกุมมือหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะรู้จักเอาไว้ “หนีไปกับผมมั้ย”

    “ขอบคุณค่ะ” เอลฟ์สาวหัวเราะคิก เธออาจจะดีใจ แต่เธอก็ไม่ได้เด็กถึงขนาดนั้น อย่างน้อยนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออก “แต่ขอรับไว้แค่เครดิตกับคำเชิญก็แล้วกัน”

    “รับแค่คำเชิญแต่ไม่เอาเครดิตไม่ได้เหรอ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของหัวขโมยหนุ่ม เธอยิ้มแล้ว น่ารักทีเดียว

    “ไม่ได้ค่ะ” ในช่วงที่ย่ำแย่ของชีวิต แค่ได้ยิ้มออกมาแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เอลฟ์สาวเพียงผงกศีรษะขอบคุณเบาๆ “หวังว่าคงจะได้พบกันอีกนะคะ”

    จากประตูลับด้านหลังเคาน์เตอร์ ลัดเลาะผ่านทางเดินแคบๆมาอกไม่ไกลก็ถึงทางออกซึ่งเป็นประตูบานเล็กๆในตรอกข้างจักรพรรดิราตรี พีทถอนใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนจะไม่มีทหารคนใดสังเกตว่ามีคนลอบออกมาโดยไม่ผ่านหน้าหุ่นลาดตระเวน แต่ยังไม่ทันจะถอนหายใจเสร็จดี อุ้งมืออุ่นๆภายใต้ถุงมือหนังใหญ่รุ่มร่ามก็ตบลงมาบนบ่าเขา ทำเอาหัวขโมยหนุ่มสะดุ้งโหยง

    “หนีไปกับผมมั้ย” น้ำเสียงกวนประสาทไม่เปลี่ยนไปจากตอนอยู่ในร้านเลย ชายในชุดขาวกลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด “คิดได้ยังไงวะ ขอชมเลย นายนี่มันสุดยอดจริงๆ”

    “อ้อ ลืมไปว่ามีพ่ออาชญากรในแบล็คลิสท์อยู่ในร้านอีกคน” ปัดมือของสหายร่วมทางหนีออกพร้อมตอบอย่างเซ็งๆ “ว่าไงล่ะ หน่วยพลังม้ายังเล่นด้วยมาแล้ว ทหารแค่ไม่ถึงยี่สิบ จะหนีทำไมกัน”

    “ไม่เอาน่า เรื่องมันแล้วไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไป” ชายแปลกหน้าโบกมือปฏิเสธที่จะต่อปากต่อคำอีกก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้า “ชั้นอาเธอร์ ออสโลว์ นักเขียนและนักเดินทาง ยินดีที่ได้รู้จัก”

    “พีท ไม่ยินดีที่ได้รู้จัก” ซึ่งก็ตามที่พูด เขาไม่จับมือตอบ นักเขียนงั้นเหรอ มิน่าถึงได้ปั้นเรื่องเก่งนัก “อย่างน้อยจะจับมือกันก็น่าจะถอดถุงมือสิ”

    “โทษที พอดีมือชั้นมันเละไปหน่อย” อาเธอร์ถลกถุงมือข้างหนึ่งลงมาเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงบาดแผลและรอยเย็บซึ่งเรียกได้ว่ายับเยินที่ซ่อนอยู่ภายใต้ถุงมือหนัง “ไม่ค่อยอยากอวดน่ะ”

    “แผลเป็นจากสงครามเหรอ” ดูเหมือนส่วนที่ยังไม่ได้เห็นจะยิ่งหนักกว่าด้วยซ้ำ

    “สมรภูมิที่อัลทิมาน่ะ ตอนนั้นชั้นอายุถึงเกณฑ์พอดี ซวยเลย” ชายหนุ่มซ่อนแขนของตัวเองกลับไปภายใต้ถุงมือเช่นเดิม รอยยิ้มของเขาดูราวกับจะไม่เคยจางหายไปจากสีหน้า แบบที่พีทคิดว่า หากเป็นเขาที่ต้องทนแบกรับรอยแผลเป็นจากสงครามของคนอื่นเอาไว้หนักหนาขนาดนี้ เขาคงจะไม่มีทางยิ้มออกได้อีกแล้ว “แต่ก็ยังดีนะ อย่างน้อยก็มีโอกาสได้เห็นอัลทิมาก่อนที่มันจะถูกทำลาย ที่นั่นสวยมากจริงๆ”

    “ราชวงศ์คงกลัวมันจะสวยเกินหน้าดาวไฟนอล” พีทออกความเห็นจิกกัด

    “ซึ่งก็จริง อัลทิมาทั้งสวยและแข็งแกร่งกว่าไฟนอลเยอะ” อารเธอร์พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันมาตบบ่าพีทอย่างร่าเริง “เราสองคนท่าทางจะเข้ากันได้ดี ไหนๆที่นี่ก็หมดสนุกแล้ว เราไปหาที่ดื่มกันต่อดีกว่า”

    “โทษที จากที่เห็นเมื่อกี้ในร้าน เราไม่เห็นจะเข้ากันได้ดีตรงไหน” นอกจากเรื่องที่ขี้โอ่เหมือนกัน อันนั้นพีทแค่คิด แต่ไม่ได้พูดออกไป “อีกอย่าง ไม่นิยมไปดื่มกับผู้ชายว่ะ”

    “เอาน่า เดี๋ยวชั้นเลี้ยงเอง ไปสังสรรค์กันหน่อยน้องชาย นานๆทีจะได้ว่างจากงานเขียน แถมนานๆมากที่จะได้เจอคอเดียวกัน” คอเดียวกันที่ว่านี่หมายถึงเรื่องผู้หญิงรึเปล่า ดูเหมือนนักเขียนพเนจรคนนี้จะไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ทั้งที่บุคลิกเปิดเผยของเขาก็น่าคบหาไม่เลว

    “งั้นโอเค” ลองบอกว่าเลี้ยงแล้ว พีทโอเคได้หมด

    ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ขยับไปไหน พีทก็เหลือบไปเห็นพวกผู้หญิงที่กำลังถูกพาออมาทางหน้าร้าน เพื่อขึ้นฮูเวอร์โมบิลล์ของทหารที่จอดรออยู่ไม่ไกล อีกนานแค่ไหนกว่าทหารที่มาสุมกันอยู่ที่นี่จะออกจากประจำการ กว่าพวกเธอจะกลับมาทำมาหากินได้เหมือนเดิม อยู่ข้างนอก อย่างน้อยพวกเธอก็ทำงานด้วยความสมัครใจของตัวเอง พีทได้แต่หรี่ตามองอย่างชิงชัง อีกครั้งที่กองทัพสร้างวีรกรรมให้เขาได้เห็น สักวัน หากเขามีอำนาจได้อย่างดันไบน์ เขาจะสร้างสถานีอวกาศเล็กๆที่ไม่มีทหารคนใดเข้ามายุ่มย่ามได้อีกเลย

    “พวกทหารมาประจำการเพิ่มเพราะข่าวลือเรื่องโจรสลัดอวกาศจูดุ๊บส์น่ะ” ราวกับจะตอบคำถามภายในใจของพีท อาเธอร์กระซิบเบาๆขณะที่ยืนอยู่ข้างๆเขา แต่พีทไม่ได้อยากรู้สักหน่อยว่าทหารมาประจำการเพิ่มทำไม เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นด้วยซ้ำ “ไปกันเถอะ ดูไปก็หดหู่เปล่าๆ”

    หัวขโมยหนุ่มพยักหน้า จริงของอาเธอร์ ยังไงตอนนี้เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ก่อนที่พีทจะหันหลังกลับไป เขาสังเกตเห็นใครคนหนึ่งซึ่งดูแปลกตา ดาร์คเอลฟ์สาวที่เป็นเด็กใหม่ของจักรพรรดิราตรี เธออยู่ตรงนั้น กำลังถูกต้อนขึ้นรถต้านแรงโน้มถ่วงไปเหมือนคนอื่นๆ แต่แม้จะอยู่ไกลถึงเพียงนี้ เขาก็สังเกตได้ว่าเธอไม่ได้มีท่าทีลำบากใจที่จะขึ้นรถเหมือนคนอื่นเลย ตรงข้าม ดูราวกับว่าเธอจะยินดีด้วยซ้ำ สาบานได้ว่าเขาเห็นเธอยิ้ม ถูกเกณฑ์ไปรับใช้ทหารมันมีอะไรน่าดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ เธอยิ้มอะไรกัน

    ตอนนั้นเองที่พีทรู้สึกเหมือนอุปมาว่าได้ยินเสียงกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งแว่วมาแต่ไกล



    บางครั้งทริกเกอร์ก็รู้สึกว่าตัวเขาเองเดินออกนอกเส้นทางมาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปได้แล้ว

    “ว่าไง ได้ข่าวอะไรบ้างมั้ย” มิสเตอร์ซีก้าวเข้ามานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ข้างๆทริกเกอร์ซึ่งนั่งดื่มอยู่เงียบๆคนเดียวมานานแล้ว กลิ่นอับของเบียร์เก่าๆในบาร์ชวนให้เมาตั้งแต่ยังไม่ได้ปล่อยให้แอลกอฮอลล์ไหลผ่านลำคอ แสงไฟจากตะเกียงเก่าๆส่องแสงรำไรในร้านมืดสลัวที่แทบไม่มีคน อดีตกัปตันคนเก่งเงยหน้าขึ้นจากแก้วเบียร์ร้อนในมือตัวเองอย่างเชื่องช้า ดวงตาอิดโรยแดงก่ำ “นี่แกได้พักบ้างมั้ยเนี่ย”

    “ไม่ได้อะไรเลยว่ะซี เรื่องหาข่าวนี่ไม่ถนัดจริงๆ แถมดันทำเครดิตหาย จะซื้อเสบียงก็ซื้อไม่ได้ นั่นเป็นเงินในคลังกลางของยานเราด้วย มีเศษเครดิตเก่าๆเหลือติดตราประจำตัวพอให้ดื่มได้แค่เบียร์ถูกๆแค่นี้เอง นี่ยังไม่รู้เลยจะกลับไปมองหน้าพวกลูกเรือได้ยังไง” ดูเหมือนทริกเกอร์จะเมานิดๆ เขาพร่ำบ่นถึงความล้มเหลวของตัวเองอย่างเจ็บปวด “ชั้นมันคนไม่ได้เรื่อง ชั้นมันตัวปัญหา ชั้นมัน โอย จะแหวะ”

    “เฮ้ย หันไปทางอื่นเลย” มิสเตอร์ซีไสศีรษะทริกเกอร์ให้หันไปอาเจียนอีกด้านหนึ่ง เจ้าของบาร์ชาวโทรล์ร่างหนาซึ่งนั่งอ่านนิยายหวานแหววอยู่ข้างเตาผิงสบถเบาๆ “ไม่เอาน่า ทริกเกอร์ แกก็ทำดีที่สุดแล้ว แค่ดวงไม่ค่อยดีแค่นั้นเอง คนเรามันก็ต้องมีช่วงเลวร้ายไว้ทดสอบตัวเองกันบ้างสิวะ”

    “อย่างชั้นคงเป็นวีรบุรุษไม่ได้แน่เลยว่ะ” ทริกเกอร์หันกลับมาเช็ดปากกับผ้าปูเคาน์เตอร์ ซีแอบเห็นด้วยในใจ “ดีแต่ฝันไปลมๆแล้งๆ ทำอะไรไม่เห็นจะได้เรื่องซักอย่าง”

    “ทำไมนายถึงยึดติดกับการเป็นวีรบุรุษนักวะ” มือปืนหนุ่มลูบหลังเพื่อนเบาๆให้รู้สึกดีขึ้น ก่อนจะส่งน้ำอุ่นให้ดื่ม

    “ทำไมน่ะเหรอ” สิ้นคำนั้น ทริกเกอร์ดูจะสงบลงอย่างน่าประหลาด แววตาของเขาจับเขม้นไปยังบางสิ่งซึ่งคงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่เห็น อดีตกัปตันแห่งยานเฮลไฟร์ถอนใจกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาหาซีด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกมากมาย “เมื่อกี้ถามว่าไงนะ ขออีกที”

    “ทำไมมึงถึงยึดติดกับการเป็นวีรบุรุษนักวะฮะ ตอบครับ” ไม่มีราศีจะเป็นวีรบุรุษได้จริงๆด้วย มิสเตอร์ซีคิด

    “บางครั้งคนเรามันก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าแค่อยากเป็นหรอก” นั่นเองเป็นคำตอบของทริกเกอร์ เพียงง่ายๆเท่านี้เอง “โอย จะแหวะอีกแล้วว่ะซี”

    หลังจากสำรอกของเก่าออกจนหมดกระเพาะ ทริกเกอร์ก็ถูกซีลากถูลู่ถูกังออกมาจากบาร์แห่งนั้นในที่สุด แน่นอนคนที่จ่ายค่าเบียร์ทั้งหมดย่อมเป็นซี การ์ดประจำตัวที่ถูกเรียกว่าเครดิตนั้นจะระบุทั้งข้อมูลส่วนตัวและเงินในบัญชีธนาคารกลางออลไฟนอลทั้งหมด ระบบเงินตราทั้งหลายของแกแล็คซี่แห่งนี้จะกระทำกันโดยผ่านการ์ดเล็กๆใบนี้แค่เพียงใบเดียว ทั้งเงิน ทั้งข้อมูลสุขภาพร่างกาย ประวัติความเป็นมา แทบทุกสิ่งของชาวออลไฟนอลถูกรวมเอาไว้ในแผ่นพลาสติดสังเคราะห์ฟังไมโครชิพ เมื่อจะนำมาใช้ จะต้องถูกใช้โดยมือของเจ้าของเท่านั้น โดยผ่านการป้อนรหัสทางหน่วยพันธุกรรม ดังนั้นถึงแม้การ์ดจะหายไป ทริกเกอร์ก็ไม่ได้เดือดร้อนมากไปกว่ากลายเป็นคนสิ้นไร้ทุกสิ่งเท่านั้นเอง

    แน่นอนว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ถือการ์ดของเขาอยู่ในมือ ย่อมไม่สามารถใช้เครดิตในการ์ดได้ นอกเสียจากว่าเขาคนนั้นจะเป็นนักแกะรหัสที่เก่งกาจเท่านั้น

    ซึ่งพีทเองก็เป็นนักแกะรหัสที่เก่งกาจมากทีเดียว

    “ทุกวันนี้คนจนเป็นขโมยไม่ได้หรอก มันไม่ง่ายขนาดนั้น” ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นต่ำที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ล้วนป้องกันอย่างแน่นหนาด้วยรหัสที่ซับซ้อน มิสเตอร์ซีกล่าวพลางลูบหลังทริกเกอร์ที่ถูกของเก่าที่เหลืออยู่นิดหน่อยบุกขึ้นมาจ่อคอหอยอีกครั้ง แค่ดื่มไปนิดหน่อยยังเป็นซะขนาดนี้ ทริกเกอร์นี่ตรงข้ามกับพีทโดยสิ้นเชิง “ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวหานายหน้านอกรีต ทำการ์ดใหม่ให้ก็ได้ เงินนายยังไม่หายไปไหนหรอก”

    “ชั้นกลัวว่าคนที่ได้การ์ดไปจะเป็นขโมยมืออาชีพน่ะสิ” กัปตันหนุ่มหันมาตอบก่อนจะหันกลับไปโก้งโค้งอาเจียนต่อ เขาไม่ได้ตื่นตระหนกจนเกินไป ทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถแกะรหัสของการ์ดได้ง่ายๆ รู้อย่างนี้เขาน่าจะซื้อเครื่องล็อคระบบการ์ดติดเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ “เจ็บใจจริงๆ เป็นถึงนายทหารชั้นสูง ดันมาพลาดเอาง่ายๆแบบนี้”

    อันที่จริง ซีเองก็พอจะเดาได้ว่าบัตรเครดิตของทริกเกอร์อยู่กับใคร แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมา ด้วยความเห็นใจบวกกับรู้สึกผิดแทนพีท ซีจึงออกปากให้ทริกเกอร์ยืมเครดิตเพื่อเตรียมเสบียงไปก่อน พวกเขาเลือกคาร์โก้เล็กๆที่ดูสะอาดสะอ้านแห่งหนึ่งเพื่อสั่งสินค้าที่จำเป็น ก่อนจะระบุท่าเรือที่ต้องการให้นำไปส่ง แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังสำนักทะเบียนที่ห้องสมุดหลวงเพื่อหาข่าวเกี่ยวกับกัปตันยานบัญชาการทั้งสองคนที่เดินทางมายังที่นี่

    ห้องสมุดหลวงเป็นส่วนย่อยของปราสาทเซนต์ซาเวียร์ อยู่ในโซนสาธารณะซึ่งเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้งานได้ มีทั้งสวนหย่อม ลานอเนกประสงค์ ห้องสมุด และที่ทำการไปรษณีย์ระหว่างดวงดาว ส่วนสำนักทะเบียนนั้นเป็นห้องคอมพิวเตอร์เล็กๆอยู่ในหอสมุดอีกที

    “ถ้าตามที่ชั้นคิดไว้ หนึ่งในนั้นต้องมาตามล่านายแน่ๆ ใช้ยานบัญชาการพร้อมรบถึงสองลำมารับมือกับโจรสลัดกลุ่มเดียว ดูจะทุ่มเทผิดกับภาพลักษณ์ไร้เทียมทานที่ราชวงศ์วางไว้ให้กับกองทัพไปหน่อย” ภาพโฮโลแกรมสามมิติตรงหน้ามิสเตอร์ซีฉายออกมาเป็นรูปยานบัญชาการรบสองลำ ยานที่ทริกเกอร์รู้จักดีทั้งสองลำ

    “เมดิสันสันแสควร์ อาจารย์ครูนาร์เองก็มาที่นี่ด้วย” อดีตกัปตันมองภาพยานบัญชาการของนาวาอวกาศเอกชาวมิโนทอร์อย่างคุ้นเคย “คงไม่ใช่ลำนึ้หรอก น่าจะเป็นอีกลำมากกว่า”

    “ทำไมถึงเป็นอีกลำ” มิสเตอร์ซีสงสัยในท่าทางมั่นใจของทริกเกอร์

    “เฮลไฟร์69 เป็นยานเก่าของชั้นเอง” อดีตกัปตันแห่งยานบัญชาการรบเอ่ยออกมาเบาๆ “กองทัพคงต้องส่งยานลำนี้ออกมาลากชั้นกลับแน่ๆ”

    “แน่ใจนะว่านายหายเมาแล้ว” ซีทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ ยานลำที่ทริกเกอร์พูดถึงดูจะน่าเกรงขามเกินไปสำหรับเขา “ดูเหมือนตอนนี้กัปตันจะเป็นผู้หญิงว่ะ”

    “กัปตันหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์” ทริกเกอร์เอื้อมมือตัดหน้าซีมาสัมผัสที่ภาพโฮโลแกรมตรงส่วนอธิบายรายละเอียดยาน ทันใดนั้นภาพสามมิติก็แปรเปลี่ยนไปเป็นรูปครึ่งตัวของหญิงสาวคนหนึ่งพร้อมกับรายละเอียดของเธอ “นาวาอวกาศเอกทรอปปิคอล”

    “งั้นก็คงเป็นเธอคนนี้แหละที่มาตามล่านาย” แม้จะเป็นแค่ภาพจำลอง แต่มิสเตอร์ซีก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของดวงตาคู่นั้น วงหน้าสงบนิ่งนั้นไม่เพียงแต่งดงาม แต่ยังให้ความรู้สึกที่ยากจะสัมผัสได้อีกด้วย “นายคอยระวังตัวไว้แล้วกัน ตรวจเช็คเครื่องพรางตัวให้ดี ดูเหมือนเราคงจะได้เจอกับเธอเร็วๆนี้”

    “อาจจะเร็วมากเลยก็ได้” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลใจ ในขณะที่ตัวทริกเกอร์เองถูกลดยศลงมาอย่างอดสู แต่ทรอปปิคอลซึ่งเด็กกว่าเขามากกลับเป็นผู้ที่ได้ยานของเขาไปครอบครอง มาวันนี้กัปตันหญิงรุ่นน้องกำลังจะสร้างผลงานอีกครั้งโดยมีเขาเป็นเป้าหมาย อดีตกัปตันนอกราชการไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถรอดจากเงื้อมมือของเธอไปได้

    โชคไม่ดีเลยที่ทริกเกอร์คิดถูก ขณะที่เขาเพิ่งจะรู้ว่าศัตรูของเขาคือใครนั้น สายตาคู่หนึ่งก็จับจ้องมาทางเขาเรียบร้อยแล้ว

    สายตาของชาวฮิลเดียนที่มองทะลุเครื่องพรางกายได้ ฮิลเดียนที่ลอบตามซีมาจากตรอกไม้ไผ่

    สายตาของเหยี่ยวข่าวตาดิออน



    แม้จะไม่นับรวมน้ำพุหลากสีราคาเหยียบล้านที่จำลองมาจากดาวฟิคาเธียนแล้ว เครื่องประดับตกแต่งทั้งหมดในสมาคมนายทหารก็ยังล้วนแต่เป็นของมีราคาสูงจัดทั้งสิ้น ตู้ใส่ซิการ์ทำจากไม้เฟอร์ริสและกุหลาบ ชุดเกราะอัศวินหล่อจากทองเรียงรายทั่วห้องโถง เตาผิงออแกนิกซ์ที่ทำจากอิฐของเถ้าภูเขาไฟ รวมไปถึงรูปปั้นหินอ่อนที่กระจายอยู่ในสวนหย่อม เรียกได้ว่าราวกับจำลองวิมานในราชวังมาเลยทีเดียว สมาคมนายทหารประกอบด้วยสามส่วนใหญ่ๆคือหอสมาคมสูงห้าชั้น เป็นอาคารสันทนาการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอันหรูหราครบครัน เรือนพักของเหล่านายทหารสำหรับนายทหารชั้นสูงที่ไม่จำเป็นต้องพักในค่าย และสวนหย่อมกลางอันสวยงามวิจิตร สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบฟิคาเธียน ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกและนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังแห่งวังหลวง ศาสตราจารย์อิซาเบล

    แต่กัปตันทรอปปิคอลหาได้สนใจความหรูหราเหล่านั้นไม่ เธอเพียงนั่งเงียบๆรอให้นายทหารชาวมิโนทอร์ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าขยับตัวหมากรุกตัวถัดไปเท่านั้น ศีรษะที่คล้ายวัวของนายทหารที่ติดยศระดับเดียวกับเธอโคลงไปมาอย่างครุ่นคิด เขายาวโง้งทั้งสองซึ่งตกแต่งด้วยเครื่องประดับทองห้อยสายโซ่ติดเพชรพลอยเม็กเล็กๆ บ่งบอกถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างโชกโชนและฐานะอันทรงเกียรติของเขาได้เป็นอย่างดี กัปตันแม็กนา มอเรีย ครูนาร์ลูบเคราของเขาๆเบาๆสองครั้งก่อนจะขยับตัวขุนในที่สุด

    “ไม่เจอกันพักเดียวเล่นเก่งขึ้นนะทรอปปิคอล” ผู้เป็นอาจารย์ออกปากชมลูกศิษย์อย่างจริงใจ กัปตันครูนาร์ เลออนเกาที่โคนเขาของตัวเองอย่างพึงพอใจ ทุกครั้งที่พบกัน เด็กคนนี้ดูจะเดินหมากได้เฉียบคมขึ้นทุกที

    “เป็นเพราะอาจารย์สอนมาดีค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเช่นเคย ก่อนจะขยับตัวม้าไปปิดทางเดินของขุนเมื่อครู่ไว้

    “เป็นเพราะคุณเก่งเองต่างหาก” มิโนทอร์สูงวัยกล่าว เขายังจำได้ดี วันแรกที่ได้พบกับเด็กสาวคนนี้ เธอยังเป็นเพียงนักเรียนในโรงเรียนนายเรือ ส่วนเขาเป็นกัปตันหนุ่มเจนสนาม ผู้บรรยายพิเศษของกองทัพ ตอนนั้นเขาก็สังเกตเห็นความโดดเด่นของเด็กคนนี้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าหลังจากนั้นไม่นาน เธอจะได้เข้ามาบรรจุเป็นนายทหารในยานของเขา ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมามียศเทียบเคียงกันในระหว่างที่เขายังมีลมหายใจรับใช้กองทัพ “ถ้าศิษย์ของผมทุกคนเป็นได้อย่างคุณก็ดี”

    “อาจารย์ล้วนแต่สร้างนักบินฝีมือดีขึ้นมารับใช้ราชวงศ์ค่ะ” อีกครั้งที่ถ้อยคำยกยอมาพร้อมกับน้ำเสียงสงบนิ่งที่ดูราวกับท่องจำ “ทั้งโอมุรองกัปตันของเฮลไฟร์69 ทั้งคุณคิม รองกัปตันของเมดิสันแสควร์ก็ล้วนเป็นนักบินชั้นยอด และเป็นศิษย์ของอาจารย์ทั้งสิ้น”

    “แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะมีแต่เธอกับ...” คำพูดของกัปตันชาวมิโนทอร์สะดุดหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “ทริกเกอร์ ทิง ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเขากลายเป็นอาชญากรไปแล้ว”

    คำนั้นทำให้ลมหายใจของกัปตันหญิงสะดุดไปเช่นกัน ครั้งหนึ่ง ก่อนหน้าที่เธอจะถูกบรรจุเข้ามาในยานเมดิสันแสควร์ ทริกเกอร์เคยเป็นรองกัปตันของกัปตันครูนาร์มาก่อน กัปตันชาวมิโนทอร์ผู้นี้เองที่เป็นผู้ผลักดันให้ทริกเกอร์ได้เป็นกัปตันยานเฮลไฟร์69ในเวลาต่อมา เป็นศิษย์ผู้พี่ที่เธอต้องมาตามล่าในที่สุด

    “นาวาอวกาศตรีทริกเกอร์อาจเพียงแค่กำลังหลงทางออกนอกร่องรอยของกองทัพไป เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์คงไม่มีทางทำตัวเป็นกบฏต่อราชวงศ์ไปได้หรอกค่ะ” เป็นวาจาปลอบใจที่เลื่อนลอย อันที่จริงสำหรับทรอปปิคอลแล้ว ไม่ว่าทริกเกอร์จะมีเหตุผลอะไรในการก่ออาชญากรรมทั้งหลายของเขา เธอก็ยังคงต้องทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดและมองเห็นเขาเป็นศัตรูอยู่ดี

    “เป็นจริงได้อย่างนั้นคงจะดี” แม้จะฟังดูก็รู้ว่าทรอปปิคอลไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่อาจารย์ก็ยิ้มอย่างเอ็นดู เขารู้ดีว่าทรอปปิคอลมีปัญหาด้านการแสดงอารมณ์ เธอออกจะจริงจังกับระเบียบมากไปสักหน่อยจนดูราวกับเธอจะตีหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา ว่าแต่ว่าพูดถึงคิมแล้ว ค่ำนี้เขายังไม่เห็นตัวมือขวาชาวลิซาร์ดแมนของเขาเลยนี่นา ทั้งที่ป่านนี้น่าจะมาอวดเดือยแหลมสีสันสดใสในห้องทานอาหารรวมแล้ว กัปตันครูนาร์เพียงเก็บเรื่องนั้นไว้ในใจ คิมเป็นนายทหารที่ชอบเข้าสังคมและรักความก้าวหน้า ป่านนี้อาจจะไปรวมตัวอยู่กับพวกนายทหารเสนาธิการยานรบคนอื่นก็ได้ มิโนทอร์เฒ่าได้แต่หวังว่าสักวันคิมจะไต่เต้าได้เร็วอย่างที่ทรอปปิคอลเป็นบ้าง “ได้ยินว่าคุณมาที่นี่เพราะราชการลับ”

    “ค่ะ ทราบว่าอาจารย์มาที่นี่เพราะเรื่องของสลัดอวกาศ” ข่าวสารในกองทัพนั้นมักจะแพร่กระจายได้รวดเร็วหากมันไม่ได้เป็นความลับ แต่แม้ไม่เป็นความลับ ทรอปปิคอลก็ไม่อยากบอกอาจารย์ของเธออยู่ดีว่าเธอกำลังมาตามล่าศิษย์ผู้พี่ของตัวเอง “จูดุ๊บส์ใช่มั้ยคะ”

    “พวกนั้นร่อนสาสน์เตือนว่าจะมาเทียบท่าที่นี่ ทางกองทัพไม่อาจปล่อยให้เมืองใหญ่อย่างไอซาร์ดถูกโจมตีได้ เลยส่งกองยานมาคุ้มกัน” กัปตันชาวมิโนทอร์กล่าวอย่างใจเย็น ก่อนจะขยับหมากตัวถัดไป สร้างเส้นทางใหม่ให้กับเบี้ยทั้งหลายของเขา “ถือเป็นงานส่งท้ายก่อนเกษียณที่ดี”

    “ที่จริงอาจารย์น่าจะได้เกษียณที่ยศชั้นนายพล”อีกเพียงไม่กี่เดือน กัปตันเฒ่าก็จะเกษียณแล้ว ด้วยวัยที่ชรามากถ้าเทียบในช่วงอายุของมิโนทอร์ ซึ่งช่วงอายุเกษียณของแต่ละเผ่าพันธุ์จะไม่เท่ากัน “จะได้ไม่ต้องมารับหน้าที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก”

    “เป็นนายพลนั่งวางแผนอยู่ในฐานมันคงไม่เหมาะกับผมสักเท่าไหร่” เป็นเรื่องจริงที่ว่ามีคำสั่งเลื่อนขั้นมาถึงครูนาร์หลายครั้งแล้ว แต่มิโนทอร์ผู้เจนสงครามก็ปฏิเสธไปสิ้น “อย่างนี้ดีกว่า ก่อนเกษียณยังอุตส่าห์มีโอกาสได้สร้างผลงานใหญ่”

    “จูดุ๊บส์นั้นชื่อเสียงโด่งดังมาก ยังไงถ้าอาจารย์ไม่ว่าอะไร หนูจะขออยู่ช่วย...” นาวาอวกาศเอกอายุน้อยที่สุดของกองทัพออกปากจะช่วยเหลือนาวาอวกาศเอกซึ่งอายุมากที่สุด แม้จะดูราวกับหยามเกียรติกัน แต่ทรอปปิคอลเพียงแค่อยากช่วยจริงๆ อาจารย์ของเธอเข้าใจดี

    “ไม่เป็นไรหรอก ผมยังแข็งแรงเต็มที่อยู่เลยนะ” ครูนาร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ขืนให้เด็กๆต้องมาคอยช่วยเหลือ มีหวังผมคงคาใจไปจนเกษียณแน่ๆ”

    “ค่ะ หนูเข้าใจ อาจารย์ยังคงยอดเยี่ยมไม่เคยเปลี่ยน” แม้จะตอบเช่นนั้น แต่ทรอปปิคอลก็ยังอดกังวลอยู่ไม่ได้จริงๆ ครูนาร์นั้นผ่านช่วงที่โชติช่วงที่สุดในชีวิตมาแล้ว ถึงจะมีประสบการณ์มากมาย แต่ความเฉียบคมย่อมลดน้อยลงไปแน่นอน “ยังไงก็ระวังสุขภาพด้วยนะคะ”

    “ขออภัยที่ขัดจังหวะการเล่นหมากรุกครับท่าน ทางกองลาดตระเวนของทัพบกได้ส่งเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นบรรจุเข้าคลังทัพอวกาศให้แล้วครับ นี่เป็นรายการ” เงียบเชียบและเป็นระเบียบ นายทหารยศเรืออวกาศเอกสองคนของกัปตันครูนาร์เดินเข้ามารายงานถึงเรื่องเสบียงและทรัพย์สินที่ทางกองทัพบกได้ระดมมาจากในเมืองให้นาวาอวกาศเอกทั้งสองได้ทราบ “เสบียงสามารถเบิกจ่ายได้ตามตำแหน่งยศครับ สามารถระดมเพิ่มได้อีกหากต้องการครับผม”

    “นี่มันก็มากพออยู่แล้วนะ” แววตาของกัปตันชาวมิโนทอร์หม่นลงอย่างน่าประหลาด เบิกจ่ายได้ตามยศหมายถึงหากยศสูงกว่าก็จะมีโควต้าในการเบิกเสบียงได้มากกว่า และดีกว่า แต่แม้กระทั่งพลทหารธรรมดาก็เชื่อได้ว่ากินดีอยู่ดีกว่าประชาชนทั่วไปแน่นอน “ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เล่นขนข้าวของมามากมายขนาดนี้ ประชาชนไม่เดือดร้อนแย่รึ”

    “เป็นหน้าที่ของประชาชนที่ต้องให้ความร่วมมือกับกองทัพและราชวงศ์นี่คะ” เป็นทรอปปิคอลเองที่ตอบออกมา ในขณะที่เรืออวกาศเอกสองคนได้แต่มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก “พวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อปกป้องพวกเค้า แค่ข้าวของนอกกายเล็กน้อย แลกกับความปลอดภัยของแกแล็คซี่ มันเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว”

    “ในทางกลับกัน เราเดินทางมาเพื่อปกป้องพวกเค้า แต่ยังไม่ทันไร เราก็ทำร้ายพวกเค้าซะแล้ว พวกเราควรจะดูแลประชาชนให้เต็มที่โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนไม่ใช่เหรอ นั่นคือทหาร แต่ที่เราทำอยู่เนี่ย มันเหมือนกับเราแค่อ้างสิทธิ์ในการเป็นทหารเพื่อข่มขี่ประชาชนเท่านั้นเอง” แม้จะเป็นศิษย์เอกที่เรียนรู้แทบทุกสิ่งไปจากเขา แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทรอปปิคอลไม่เคยเหมือนครูนาร์เลย “ทรอปปิคอล มุมมองเรื่องหน้าที่ที่ทหารพึงมีต่อประชาชนของคนรุ่นคุณเพี้ยนไป หรือว่าเป็นผมเองที่ตกรุ่นแล้วกันแน่นะ”

    “มันไม่ใช่เรื่องของมุมมองหรอกนะคะ แต่มันเป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งระบุเอาไว้ และประชาชนต้องทำตาม หากจะเกิดศึกสงครามพวกเขาต้องระดมทรัพย์สินช่วยเหลือทหารเท่าที่กองทัพจะเรียกร้อง นั่นคือสิ่งที่จักรพรรดิตราไว้ชัดเจน ซึ่งตอนนี้ที่นี่กำลังจะมีสงครามกับโจรสลัดนะคะ” นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งทรอปปิคอลอดห่วงอาจารย์ของเธอไม่ได้ ครูนาร์ เลออน เป็นนายทหารยุคเก่าก่อนการปฏิวัติ เคยรับใช้จักพรรดิรัชกาลก่อนมาแล้ว ในตอนนั้นแกแล็คซี่ยังคงสงบสุขกว่านี้ และกองทัพก็ยังเป็นมิตรกับประชาชนมากกว่านี้ ที่สำคัญ เขาเคยเป็นกัปตันยานบัญชาการหุ้มเกราะภายใต้บังคับบัญชาของลอร์ดเก้าสองเจ็ดมาก่อน เขาจึงเป็นหนึ่งในกลุ่มนายทหารหัวเก่าซึ่งไม่ค่อยจะมีเหลือแล้วในปัจจุบัน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทางกองทัพและราชวงศ์จงใจส่งมิโนทอร์เฒ่าที่หมดคมคนนี้มาเจอกับจอมโจรสลัดที่โหดเหี้ยมที่สุดในแกแล็คซี่ก็เป็นได้

    “งั้นก็อาจเป็นตัวกฎหมายเองก็ได้ ที่ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว” แม้จะเป็นเพียงคำพูด เบาๆที่โต๊ะหมากรุก แต่ก็เป็นคำพูดที่แสนจะอันตรายยิ่ง

    “อาจารย์คะ” ทรอปปิคอลออกปากเรียกอาจารย์ของตัวเองอย่างแทบควบคุมน้ำเสียงไม่ได้ อย่างน้อยก็เพื่อเบรคไม่ให้อาจารย์ของเธอพูดอะไรมากไปกว่านี้ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาดูว่าทหารคนอื่นที่นั่งอยู่ในสวนหย่อมของสมาคมนายทหารได้ยินที่อาจารย์ของเธอพูดเมื่อครู่หรือเปล่า การวิพากษ์วิจารณ์ตัวกฎหมายหรือจักรพรรดินั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงมาก ซึ่งนั่นอาจทำให้อาจารย์ชาวมิโนทอร์ของเธออยู่ไม่ทันได้เห็นยานของโจรสลัดจูดุ๊บส์ก็เป็นได้ “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นำเอาทรัพย์สินและเสบียงอาหารมาช่วยเหลือกองทัพ แต่หากโจรสลัดมีชัย ของพวกนั้นก็จะถูกปล้นชิงไปหมดอยู่ดี สำหรับประชาชน ก็ถือซะว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความปลอดภัยแล้วกันค่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้น ประชาชนก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลย นอกจากก้มหน้ารอรับกรรม” นาวาอวกาศเอกเฒ่าครวญเบาๆ “ว่าจะถูกปล้นโดยโจรสลัด หรือกองทัพ”

    “อย่างน้อยกองทัพก็ไม่ได้ปล้นเอาชีวิตไปด้วยนี่คะ” แม้เธอจะเคารพอาจารย์มาก แต่แต่ก็ไม่เห็นสมควรอันใดที่จะวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ในทางเสียหาย ในยามที่แกแล็คซี่ยังคงวุ่นวายด้วยไฟแห่งการปฏิวัติทุกหัวระแหง บางครั้งทหารก็จำเป็นต้องเด็ดขาดกับประชาชนบ้าง ทรอปปิคอลถอนใจเบาๆก่อนจะขยับตัวหมากรุกโคนที่เล่นค้างเอาไว้อยู่ไปวางในตำแหน่งที่เธอรอมานาน “รุกฆาตค่ะอาจารย์”

    หรือจะถึงเวลาที่อาจารย์ของเธอจะต้องปลดเกษียณแล้วจริงๆ



    รัตติกาลผ่านไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว ขณะที่พีทและอาเธอร์เพื่อนใหม่ของเขากอดคอกันเมาหัวทิ่มออกมาจากบาร์ชื่อดังที่เบียดเสียดไปด้วยผู้คนมากมาย หากไม่ใช่เพราะพีทไปทำกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ผู้หญิงของเจ้าถิ่นจนหวิดมีเรื่อง พวกเขาก็คงไม่ระเห็จกันออกมาเร็วขนาดนี้

    “แย่ว่ะ เมื่อกี้กำลังดีเลย” หัวขโมยหนุ่มแห่งธรณีนี่นี้ใครครองบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทาง เขาเกือบจะได้รหัสติดต่อกับแม่สาวชาวฟอนคนนั้นแล้วแท้ๆ แต่เผอิญแฟนหนุ่มเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเธอที่มีเขาแหลมคมบนศีรษะย่างกีบเข้ามาขวางไว้ซะก่อน “ซวยจริงๆ เมื่อกี้ก็เจอทหาร คราวนี้ก็ดันไปเจอคนมีเจ้าของ อีกนิดเดียวเอง”

    “อีกนิดเดียวก็จะโดนเหยียบแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอาเธอร์ดูราวกับเห็นพีทเป็นตัวตลกเสมอ “นายนี่ไม่ไหวเลย กับพวกครึ่งล่างมีแต่ขนอย่างนั้นก็ยังจะเอานะ”

    “ทำพูดดีไป นายเองก็แวบไปเต้นกับยัยหกตามาด้วยไม่ใช่เหรอ ว่าไง ได้รหัสแฮนด์ลิงค์มาแล้วสิ” พีทกระทุ้งศอกใส่เพื่อนใหม่ของเขาเบาๆ ซึ่งอาเธอร์เพียงยิ้มแบบกึ่งรับกึ่งสู้ “เอาไง นี่ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย ไปต่อที่ไหนกันดีมั้ย”

    “ไหนตอนแรกบอกไม่ชอบไปดื่มกับผู้ชาย” นักเขียนหนุ่มย้อน ร้านเมื่อกี้พีททำเขาหมดไปไม่น้อยเลยทีเดียว

    “เอ๊ะ นั่นมันเด็กที่จักรพรรดิราตรีนี่นา” ดูเหมือนพีทจะไม่ได้ฟังที่อาเธอร์พูดเลย สายตาของเขามองข้ามไหล่ของเพื่อนนักเขียนไปยังแนวกำแพงมืดๆซึ่งเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเป็นเขตของสมาคมนายทหาร ภายในช่องสี่เหลี่ยมที่เรียงรายประดับประดามากมายของกำแพงนั้น แม้จะมืดและไม่สะดุดตา แต่สายตาที่ฉับไวของพีทก็สังเกตเห็นดาร์คเอลฟ์สาวร่างบางที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ห่างจากกำแพงไปเล็กน้อย

    “อ้อ ชื่ออะไรนะ คานาเรียใช่มั้ย” อาเธอร์เขม้นมองตามไปยังสายตาของพีท “อุตส่าห์เห็นด้วยนะ น่าเสียดายเป็นบ้า เดี๋ยวนี้หาดาร์คเอลฟ์สาวๆยากเต็มที”

    “ใช่ น่าเสียดายเป็นบ้า” ปากก็พูดไปอย่างนั้น แต่สติของพีทกำลังจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่างที่เธอกำลังทำอยู่มากกว่า เขาเองก็มองเห็นไม่ค่อยชัดนัด เพราะมันมืด และก็เป็นการมองแผ่นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆบนกำแพงเท่านั้น หัวขโมยหนุ่มขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น ดูเหมือนเด็กเลาจน์คนใหม่กำลังวุ่นอยู่กับการก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่าง แต่เขามองไม่เห็นด้านล่างของเด็กสาวว่าเธอกำลังก้มลงไปทำอะไร

    น่าแปลกที่สัญชาติญาณบางอย่างบอกเขาว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

    “มีอะไรเหรอพีท” แม้แต่อาเธอร์เองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากท่าทางของพีท เขาขยับเข้าไปใกล้หัวขโมยหนุ่มมากขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น “เธอกำลังตัดอะไรบางอย่าง”

    “ใช่ ตัด” พีทเองก็เห็นว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน “แต่อะไรล่ะที่เธอกำลังตัด ในสวนหย่อมของสมาคมนายทหาร กลางดึกอย่างนี้”

    ราวกับว่าเธอจะได้ยินในข้อสงสัยของพีท พริบตาถัดมาแคนาเรียก็ก้มลงไปอีกครั้ง แล้วหยิบเอาอะไรบางอย่างขึ้นมา เพียงชั่วแวบเดียว ก่อนจะวางลงไปใหม่ แต่แค่นั้นก็แจ่มชัดแก่สายตาของพีทและอาเธอร์แล้ว มันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ที่แคนาเรียยกขึ้นมาเมื่อครู่นั้นเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เลือดในกายของทั้งคู่เกือบจะแข็งตัวเป็นก้อนเลยทีเดียว

    เป็นการปิดท้ายวันที่แสนจะเฮงซวยได้เด็ดขาดดีจริงๆ แม้จะชั่วแวบเดียว แต่ทั้งพีทและอาเธอร์ก็มั่นใจว่านั่นคือศีรษะล้วนๆที่ไม่ติดอยู่กับร่างกายของลิซาร์ดแมนคนหนึ่งแน่นอน



    Character

    นาวาอวกาศเอกแม็กนา มอเรีย ครูนาร์ -- Kunaนั่นเอง

    Free Talk

    และแล้วก็มาถึงตอนที่เจ็ดนะครับ ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนแปลงจากของเดิมไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว โรงน้ำชาอร่อยเรียกพ่อหายไปแล้ว ฉากการไล่ล่าในป่าใหญ่กับอสูรบาฟโมทก็โดนตัดออกไปเช่นกัน แทนที่เข้ามาด้วยตัวละครใหม่ บรรยากาศเมืองไอซาร์ดแบบใหม่ และกลิ่นกรุ่นๆของโจรสลัดแทน ตัวละครกัปตันครูนาร์ อาจารย์ของทรอปและทิงนั้น ถ้ายังจำกันได้ ยานของเขามีบทบาทในฉบับเก่าเล็กน้อยด้วย ในเวอร์ชั่นรีเมคจึงเพิ่มบทของเขาเข้ามาให้มากขึ้นครับ สำหรับตอนนี้มีของแถมมาให้ดูกันแล็กน้อยก่อนปีใหม่ด้วยครับ

    [​IMG]

    ของแถมอันแรกครับ งานออกแบบตราประจำกลุ่มต่างๆในเร่องนี้ครับ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ออกแบบไว้ใช้ในหนังสือครับ ตราประจำกลุ่มอัศวินราชองครักษ์ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเลย ว้า

    [​IMG]

    ถัดมาเป็นงานออกแบบยานครับ อันนี้วาดไว้คร่าวๆก่อน เพื่อให้นักวาดเอาไปตีความอีกที ดูคล้ายๆเป็นสัญลักษณ์ทางปรัชญาเนอะ มีตีคงตีความ นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นยานในตำนานหลายๆลำครับ แต่บางลำนั้นก็ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น Gun N Rose หรือ Hills Have Eyes ซึ่งจะเป็นยานของใคร ก็ต้องรอดูกันอีกทีแล้วครับ

    [​IMG]

    งานดีไซน์เครื่องแบบทหารและอัศวินครับ ทำไว้ให้นักวาดเช่นกัน โดยชุดของพวกพลทหารและนาวิกโยธินทั้งหลายก็คือชุดแรกนั่นเอง ส่วนชุดของพวกทริกเกอร์ ทรอปปิคอล กัปตันครูนาร์และเสนาธิการยานเกราะทั้งหลายจะจัดอยู่่ในชั้นนายทหาร คือชุดแบบที่สอง ชุดของระดับเสนาธิการนั้นจะเป็นของพวกนายพลขึ้นไปจนถึงจอมพลอโลฮ่า ส่วนแบบที่สี่กับห้าเป็นชุดกึ่งทางการ ด้านล่างเปิดด้วยชุดของพวกสายลับ ซึ่งหน่วยพลังม้าเองก็จะมีเครื่องแบบเช่นนี้ด้วย อาจมีรายละเอียดต่างกันไปเล็กน้อยเฉพาะคน ชุดที่สองเป็นของพวกอัศวิน ส่วนชุดที่สามเป็นเสื้อคลุมสำหรับอัศวินราชองครักษ์และพวกขุนนางครับ

    และสุดท้าย เปิดเผยครั้งแรกกับภาพแรกในฉบับ pocket book ครับ

    [​IMG]

    ภาพเปิดตอนของ Chaper 1 โดยนักวาดมือฉมัง Vic นั่นเองครับ ฮ่าๆๆ

    [​IMG]

    ซึ่งนำเค้าโครงมาจากรูปข้างบนนี้อีกที เห็นได้ชัดว่าลายเส้นสะอาดได้สัดส่วน สวยงามกว่าของเดิมจมเลย

    หมดแล้วครับของฝากนักกอล์ฟประจำวันนี้ ยังไงฝากติดตาม All Final Wars กันต่อไปด้วยนะครับ
    ขอบคุณมาก และสวัสดีปีใหม่ครับ :D
  21. herarn9999

    herarn9999 New Member

    EXP:
    237
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 7 - วันดวงซวย(อาจจะ) Updated 28/12

    เอ....ผมว่ารูปของท่าน vic ให้อารมณ์แบบท่าน vic
    แต่รูปของพี่พีทให้อารมณ์แบบพี่พีทนะครับ

    (งง?? ก๊ากกกกกกกกกก)

    ไม่รู้ รู้สึกไปเองรึเปล่า การจัดวางภาพ การใช้ลูกเล่นมันสื่ออารมณ์ไม่เหมือนกันเอามากๆเลยนะครับ
    ไม่ใช่ว่าไม่สวยหรือไรนะ (ท่าน vic วาดที ใครบอกไม่สวย ตีปากมันซะ =A=!!!)

    คือผมชอบอารมณ์ภาพของพี่พีทมากกว่าอ่ะ ส่วนนึงอาจเพราะติดตาหรือไงมั้ง?

    ปล. เข้ามาเซพฟิคเก็บไปอีกตอน~
  22. tropical

    tropical New Member

    EXP:
    31
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 7 - วันดวงซวย(อาจจะ) Updated 28/12

    โอ้ย พี่พีทททททททท คิดถึงเรื่องนี้มากมายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    โรงน้ำชาหายไปไหนอ้า ชอบสุดๆ เลยนะนั่นน่ะ >3<
    อ่านอีกรอบแล้วรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องเดิมเลย ซีเรียสขึ้นมากมาย

    อยากอ่านต่อแล้ว บู่วๆๆ
    ปล. อยากอ่านของเก่าก่อนรีไรท์ด้วยอ่ะ ^^"
  23. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 7 - วันดวงซวย(อาจจะ) Updated 28/12

    พี่พีท พออ่านฉบับนี้แล้วชักรู้สึกอยากอ่านของเก่าด้วยอ่ะคับ ยังพอมีเก็บไว้ไหมเนี่ย T T

    ของผมมันมีแค่ในกระทู้แรกเท่านั้นเองอ่ะ ตามเก็บไม่ทันบอร์ดเก่ากลายเป็นอากาศธาตุไปซะก่อน
  24. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 7 - วันดวงซวย(อาจจะ) Updated 28/12

    ตอบน้องๆก่อนนะครับ ฮ่าๆ

    น้องซาง ขอบคุณมากครับ ภาพของวิคกับพี่จะคนละอารมณ์กันจริงๆ แต่ท่อยากได้ภาพวิคเพราะความเนี้ยบของงานและความสร้างสรรค์ในการจัดองค์ประกอบภาพด้วยครับ ฮ่าๆ เรื่องงานออกแบบพี่เองก็จะเป็นคนร่างๆไปแล้วให้วิคตีความออกมาเป็นแบบของตัวเองอ่ะครับ

    น้องทรอป นางเอกของเรื่องนะครับเนี่ย ฮ่าๆๆๆ ไม่ได้เจอกันนานมาก เสียดายโรงน้ำชาเช่นกันครับ ฮ่าๆ แต่เพราะเนื้อเรื่องถูกปรับเปลี่ยนไปเยอะมาก เลยจำใจต้องตัดออกทั้งน้ำตาครับ

    น้องโยชิกิ ของเก่าพี่เองก็ไม่แน่ใจว่ายังอยู่มั้ยนะครับ ต้องกลับไปเช็คในคอมที่บ้านดู ถ้ามีโอกาสจะเอามาไล่โพสให้ได้อ่านกันครับ

    สำหรับตัวpocket bookกำลังพยายามเร่งทำให้เสร็จทันงานหนังสือที่จะถึงนี้อยู่ แต่ดูสปีดการทำงานแล้ว อาจไพล่ไปถึงงานเดือนตุลาได้ อย่างไรก็ตาม ได้ออกภายในปี2009แน่ครับ ฮ่าๆ

    สำหรับรีพลายต่อไป ตอนที่ 8 ได้ตามมาแล้วอย่างรวดเร็วครับ :D
  25. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 7 - วันดวงซวย(อาจจะ) Updated 28/12

    All Final Wars #8

    สงสัย


    [​IMG]

    “เราพบร่างของนาวาอวกาศโทเบอร์นาร์ด เอฟ คิมในบ่อน้ำพุหลากสีเมื่อเช้านี้ครับท่าน” นายตำรวจสืบสวนผิวขาวซีดในชุดโค้ทสีน้ำตาลอ่อนกล่าวกับนาวาอวกาศเอกทั้งสองที่มายืนยันศพของลิซาร์ดแมนยศนาวาอวกาศโทในที่เกิดเหตุ “ปัญหาก็คือศีรษะของศพหายไป”

    “ขอบคุณมากผู้หมวด” กัปตันครูนาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปร่งไปเล็กน้อย ก่อนจะรับตราประจำตัวของผู้ใต้บังคับบัญชามาจากตำรวจ อากาศยามเช้าดูหดหู่ยิ่งนัก แสงแดดที่ส่องลอดก้อนเมฆมรสุมทะลุเข้ามาในโดมแก้วของไอซาร์ดอย่างอ่อนแรง พาลให้ทั้งเมืองดูซึมเซาราวกับความคึกคักเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ฝัน

    นายทหารที่พักอยู่ที่สมาคมนายทหารหลายคนพากันมาดูศพของรองกัปตันยานเมดิสันสแควร์ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพเมื่อแรกพบ เดือยแหลมตามตัวของคิมนั้นหดเล็กลงไปในผิวหนังแล้ว สีสันที่เคยสดใสของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำด้วยแช่อยู่ในน้ำมาทั้งคืน ตั้งแต่คอขึ้นไปเหลือเพียงอากาศและความทรงจำว่ามันเคยอยู่ตรงนั้น นายทหารหลายคนที่เห็นสภาพนี้เข้าถึงกับสบถออกมาอย่างขุ่นข้องใจ ว่าใครกันหนอที่อาจหาญเข้ามาตัดคอนายทหารระดับสูงถึงในสมาคมของพวกเขาเองอย่างนี้

    “อาจารย์คะ” ทรอปปิคอลเอ่ยเรียกกัปตันครูนาร์อย่างห่วงใย “ชุดสอบสวนของสันติบาลกับหน่วยข่าวกรองของกองทัพต้องหาตัวคนร้ายที่ฆ่าคุณคิมได้แน่นอนค่ะ”

    “ผมอยากได้ศีรษะของคิมคืน” กัปตันเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนแรง สำหรับเขา ลูกเรือทุกคนก็เหมือนกับลูกหลาน ยิ่งกับคิมซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาของเขาด้วยแล้ว เขาจึงอยากได้ร่างกายทุกส่วนของคนสนิทคืนมา เพื่อจะประกอบพิธีศพได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด “ครอบครัวของเขาเองก็คงคิดเช่นกัน”

    “ผู้พันครับ เราได้รายชื่อผู้ต้องสงสัยในคดีนี้มาแล้ว” สันติบาลอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาหาครูนาร์และทรอปปิคอลพร้อมด้วยเอกสารในมือ “มีอยูสามคนครับ เป็นสามคนที่มีผู้พบอยู่กับนาวาอวกาศโทคิมเมื่อคืน”

    “ผู้หญิงคนนี้ใคร” ทรอปปิคอลพินิจดูภาพถ่ายครึ่งตัวซึ่งถูกปรินท์ออกมาจากทะเบียนประวัติของใครคนหนึ่งอย่างสนใจ “เธอไม่ใช่คนของที่นี่ อีกสองคนเป็นนายทหารกับช่างดูแลสวน”

    “เธอชื่อคานาเรียครับ เป็นผู้หญิงที่ถูกส่งมาจากไนต์คลับจักรพรรดิราตรี” นายสันติบาลตอบ “เมื่อคืน นาวาอวกาศโทคิมเรียกเธอไป...เอ่อ ใช้บริการ เธอน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้พบกับเขา”

    “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” แม้จะร้อนใจ แต่น้ำเสียงของครูนาร์ยังคงแฝงความเมตตา

    “ไม่ทราบครับ ผู้ดูแลหอในบอกว่าเธอหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน เรากำลังหาตัวอยู่ครับ” ตำรวจท้องถิ่นของเมืองใหญ่อย่างไอซาร์ดนั้นรู้หน้าที่ตัวเองดี กรมสันติบาลท้องถิ่นเป็นหน่วยงานย่อยที่ขึ้นตรงต่อขุนนางผู้ปกครองดวงดาว จึงถือว่ามีศักดิ์ต่ำกว่าพวกทหารซึ่งขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ

    “หาตัวเธอให้พบ เธอน่าจะเป็นคนร้ายในคดีนี้” น้ำเสียงเยียบเย็นเฉียบขาด ทรอปปิคอลกล่าวเพียงเบาๆ “แต่หากว่าไม่ใช่ เธอก็คงจะกลายเป็นอีกศพหนึ่งไปแล้ว”



    นานๆที พีทจะได้ตื่นเช้าอย่างนี้ พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีนัก แสงแดดขมุกขมัวลอดหน้าต่างห้องพักถูกๆที่เขาจองเอาไว้ในไอซาร์ดบังคับให้ดวงตาของเขาต้องเปิดขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ โซฟาเก่าๆที่ทั้งแข็งแล้วก็เหม็นอับอาจไม่ใช่ที่นอนที่น่าสบายนัก แต่ก็อบอุ่นใช้ได้สำหรับค่ำคืนที่ท้องฟ้าฉ่ำไปด้วยหยาดฝน แม้จะเป็นเพียงแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมรสุมก้อนเมฆซึ่งอ่อนแรง แต่วันนี้หัวขโมยหนุ่มกลับยอมลืมตาลุกขึ้นมาจากนิทรา ไม่ใช่แค่เพราะแสงอาทิตย์แน่ แต่น่าจะเป็นเพราะใครบางคนซึ่งเขาพากลับมาด้วยเมื่อคืนนี้มากกว่า

    เด็กสาวรูปร่างบอบบางที่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงที่เขาไม่ได้แตะต้องขยับกายเล็กน้อย ใบหูยาวแบบพวกเอลฟ์ทว่าผิวออกสีเขียวอมเทาอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าเอลฟ์ผู้ถูกสาป ครั้งหนึ่งเผ่าพันธุ์ของพวกเธอเคยเป็นหนึ่งในวงศ์วานชั้นสูงของเหล่าเอลฟ์ ทว่าหลังจากสงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และเอลฟ์เมื่อหลายพันปีก่อน เหล่าเอลฟ์ผู้พ่ายแพ้บางส่วนยอมรับไม่ได้กับการยอมก้มหัวให้มนุษย์ และยิ่งชิงชังเอลฟ์สายเลือดแท้ที่ยอมเสื่อมเกียรติอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์อื่นที่พวกเขาเห็นว่าต่ำต้อยกว่า

    นั่นเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานและแสนไกล นับแต่ครั้งที่แกแล็คซี่ออลไฟนอลยังคงดิบเถื่อนมากกว่านี้ และดวงดาวต่างๆล้วนแต่ดำเนินไปอย่างไร้ระเบียบ ไร้ผู้ดูแลอยู่ที่จุดบนสุด ยุคสมัยแห่งสงครามและอำนาจ ก่อนที่ราชวงศ์แรกสุดของมนุษย์แห่งออลไฟนอลจะช่วงชิงความเป็นใหญ่ได้เหนือเผ่าพันธุ์อื่น เป็นเรื่องราวที่นานแสนนานมาแล้ว จนถึงบัดนี้แม้จะยังคงเหลือเศษเสี้ยวของความบาดหมางระหว่างเผ่าพันธุ์ในอดีตอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงสะเก็ดอันเล็กน้อยเท่านั้น

    เด็กสาวยังคงหลับสนิท ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ อะไรบางอย่างในตัวเธอบอกให้เขารู้ว่าเธอไม่ใช่สาวนั่งดริ๊งค์ธรรมดา แน่นอน อะไรบางอย่างที่ว่านั่นน่าจะรวมไปถึงศีรษะของลิซาร์ดแมนคนหนึ่งที่ถูกแช่อยู่ในตู้เย็นใบเล็กของห้องพักนี้ด้วย

    พีทลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างสับสน มันเริ่มขึ้นยังไงนะ ใช่แล้ว เขาหันไปเห็นเธอ คานาเรียกำลังตัด ไม่สิ ต้องเรียกว่าหั่นอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านหลังของสวนหย่อมในสมาคมนายทหาร เธอคงคิดว่ามันมืดแล้วก็เปลี่ยวพอที่จะทำอย่างนั้นได้โดยไม่มีใครเห็น ถ้าหากไม่บังเอิญว่าพีทดันทะเล่อทะล่าไปยืนอยู่ตรงนั้นพอดี เขามักจะไปอยู่ในที่ที่มีปัญหาเสมอ อย่างที่ซีเคยพูดไว้ว่าเขาเป็นแม่เหล็กดึงดูดเรื่องงี่เง่าชั้นเยี่ยม ตอนนี้พีทชักเชื่อแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

    ลำพังไอ้เจอคานาเรียมันก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่ไอ้ของที่เธอเอาติดมือมาด้วยนี่สิ มันชวนให้วิ่งหนีซะจริง ใครจะไปเชื่อว่าเด็กสาวอายุรูปร่างบอบบางอย่างเธอจะกำลังเชือดหัวของใครบางคนออกมาจากร่าง ก่อนจะโยนร่างที่ไร้ศีรษะแล้วลงไปในบ่อน้ำพุ เขาคงจะไม่เผลอร้องอุทานออกมา ถ้าหากว่าเธอจะไม่ดูเลือดเย็นขนาดนั้น และเธอคงไม่หันมาเห็นเข้า ถ้าเขาไม่ได้เผลอร้องออกมาเบาๆ

    พริบตาเดียวกับที่เธอหันมา แม่คุณก็พุ่งพรวดจากจุดที่ยืนอยู่ สปริงตัวกระโดดขึ้นอยู่บนแนวกำแพงของสมาคมนายทหารพลางจ้องมาทางพีทเขม็ง สัญชาติญาณระวังภัยเตือนให้เขาวิ่งหนี แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ แม่ดาร์คเอลฟ์มือเชือดก็ร่วงผล็อยลงมาจากแนวกำแพงเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกตัดใย หลับใหลไปซะอย่างนั้น แถมยังไม่ตื่นขึ้นมาจนบัดนี้เลย

    ว่าแต่ไม่รู้นึกยังไงเขาถึงอุ้มทั้งเธอทั้งหัวที่เธอถือติดมือกลับมาที่ห้องนี้ด้วย ตอนที่มาถึงพนักงานที่ล็อบบี้ถึงกับแขวะเรื่องระวังทำผ้าปูเตียงเปื้อนด้วย สงสัยหมอนั่นคงจะไม่ทันสังเกตเห็นหัวของลิซาร์ดแมนที่ซ่อนอยู่ล่ะมั้ง ตอนนั้นพีทแค่คิดว่าหากปล่อยเธอไว้ตรงกำแพงสมาคมนายทหาร เธออาจจะโดนพวกทหารฆ่าก็ได้ ไม่รู้ว่าเพราะนิสัยใจดีกับผู้หญิงของเขา หรือเพราะคู่กรณีของเธอเป็นพวกทหาร พีทจึงตัดสินใจช่วยและพาเธอกลับมาด้วย

    “หวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วคงจะไม่เนรคุณนะ” ชายหนุ่มเปรยเบาๆพลางปัดปอยผมที่เคลียใบหน้าของเด็กสาวออก

    “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” ไม่ตื่นคงไม่มานั่งอยู่อย่างนี้หรอก ถามอะไรโง่ๆ เกือบลืมไปซะสนิทเลยว่ายังมีหมอนี่อยู่อีกคน อาเธอร์ ออสโลว์ก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพใส่ผ้าขนหนูตัวเดียว ว่าแต่มันมาถือวิสาสะค้างที่นี่ด้วยได้ยังไง ใครเชิญไม่ทราบ “แล้วคานาเรียยังไม่ตื่นอีกเหรอ ตายไปแล้วก็ไม่รู้”

    ปากเสียตั้งแต่เช้าเลย อาเธอร์คว้าเสื้อผ้าที่พาดอยู่ตรงโต๊ะไม้ใกล้ๆมาสวมอย่างลวกๆ พีทพินิจดูแขนที่เต็มไปด้วยบาดแผลยับเยินทั้งสองข้างของอดีตทหารผ่านศึก ถ้าไม่ได้บอกมาก่อนว่าเป็นนักเขียน พีทเชื่อว่าอาเธอร์คงต้องเป็นพวกทหารรับจ้างแน่ๆ

    “ว่าแต่นายจะเอายังไงต่อ แม่สาวนี่กับหัวในตู้เย็นน่ะ” ถุงมือหนังถูกสวมกลับเข้าไปอย่างเดิม บาดแผลถูกบดบังไปจากสายา แต่พีทเชื่อว่าบาดแผลขนาดนั้นไม่อาจลบเลือนไปจากใจของอาเธอร์ได้แม้แต่วินาทีเดียว “พูดตรงๆนะ นายกล้ามากที่ทำแบบนี้ ถ้าพวกทหารมาเจอเข้า นายติดร่างแหแน่นอน”

    “เออ เดี๋ยวชั้นก็ชิ่งแล้ว” ห้องนี้พีทจองด้วยบัตรเครดิตของทริกเกอร์ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรของตัวเองไว้เลย ซึ่งแม้จะเป็นการสร้างปัญหาให้กัปตันหนุ่มเพื่อนร่วมทาง แต่เขาไม่สนใจหรอก “แล้วนายล่ะ”

    “ชั้นเองก็หมดเวลาสนุกแล้วว่ะ ต้องกลับไปทำงานต่อซะที จริงๆชั้นก็กะจะแวะที่เมืองนี้แค่เพื่อหาข่าว แต่ดันติดเที่ยวเลยเถิดไปหน่อย อยู่ที่นี่ต่อนานๆ คงไม่ดีเท่าไหร่” นักเขียนหนุ่มในชุดขาวกล่าวพลางยื่นไมโครชิพสองอันของหนังสือพิมพ์หลัก อลลไฟนอลเวย์ และของหนังสือพิมพ์ข่าวท้องถิ่นประจำวันที่แจกตามหัวมุมถนนให้พีท “นายเองก็มาจากที่อื่นใช่มั้ย รีบไปจากเมืองนี้ซะจะดีกว่านะ”

    หัวขโมยแห่งธรณีนี่นี้ใครครองรับไมโครชิพมาใส่เครื่องอ่านที่ขอบโต๊ะในห้อง เขาเลือกข่าวท้องถิ่นก่อน สำนักราชวังและท่านดยุคแห่งไอซาร์ดออกประกาศแจ้งเตือนแก่ประชาชนแล้วเรื่องเส้นทางเดินเรือของโจรสลัดอวกาศจูดุ๊บส์ ซึ่งในข่าวใช้คำว่า อาจจะ ยกพลเข้าเทียบท่าที่ไอซาร์ดได้ โดยเนื้อข่าวเตือนประชาชนว่าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก เนื่องจากทางกองทัพได้จัดกำลังรบไว้เตรียมรับมือแล้ว

    ไม่มีข่าวการเสียชีวิตของรองกัปตันยานบัญชาการเมดิสันแสควร์ กองทัพต้องการปิดข่าวความสูญเสียก่อนเปิดศึก

    “อ้อ นี่ตกลงที่ชาวบ้านลือกันท่าทางจะเป็นเรื่องจริง แต่ลองกองทัพรับรองแข็งขันขนาดนี้ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ได้ยินว่ามียานบัญชาการมาเทียบท่ารอแล้วตั้งสองลำ” พีทกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ต่อให้มีปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่ดี

    “อย่าดูถูกจูดุ๊บส์จะดีกว่า” อาเธอร์ ออสโลว์เอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะก้าวออกไปที่ประตู นักเขียนหนุ่มหันกลับมาโบกมือลาอีกครั้ง ดูเหมือนเขากำลังรีบไปจริงๆ “ลาก่อนนะพีท ถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันอีก”

    “อย่าเลย” พบกับผู้ชายที่มีรอยแผลสาดเต็มแขนน่ะเหรอ ไม่ใช่เรื่องแรกๆที่เขาหวังไว้สักนิด พีทเก็บออลไฟนอลเวย์ไว้อ่านทีหลัง “ว่าแต่อาเธอร์ นายเขียนหนังสืออะไรเหรอ”

    “หนังสือไร้สาระน่ะ” วูบหนึ่งที่เหมือนรอยยิ้มบนใบหน้าของอาเธอร์จะจางลง เพียงแวบเดียวก่อนที่มันจะกลับมาเป็นดังเดิม “อย่าบอกนะว่าจะขอลายเซ็น”

    หัวขโมยหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่ส่งสัญลักษณ์มือเป็นนิ้วกลางไปให้ อดีตทหารผ่านศึกหัวเราะในลำคอ ก่อนจะก้าวออกไป ทิ้งให้พีทอยู่กับคานาเรียซึ่งยังคงหลับใหลตามลำพัง เธอยังคงอยู่ในชุดเดิมกับที่เขาพบในจักรพรรดิราตรีเมื่อคืน ชุดแซ็กสั้นสีดำ ประดับด้วยปิ่นปักผมและกระดิ่งข้อเท้า กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจางไปแล้ว และถูกกลบด้วยกลิ่นคาวเลือดเอียนๆ ดูเผินๆไม่ต่างจากยามเดินก้าวพ้นประตูเคาน์เตอร์ที่จักรพรรดิราตรี ผิดกันที่มีบางอย่างเพิ่มขึ้นมา ซองใส่มีดคอมแบ็ทที่ถูกรัดซ่อนไว้ตรงโคนขาอ่อน แม้พีทจะปลดมีดออกไปแล้ว แต่ก็ยังอดหวาดๆเธอไม่ได้อยู่ดี

    จะว่าไปแล้วทั้งคานาเรียและอาเธอร์ก็มีกลิ่นอายที่คล้ายกันอยู่นิดหน่อย เป็นกลิ่นแบบที่พีทเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับภาพลวงตา เหมือนกับอะไรที่จับต้องได้ยาก เป็นเช่นภาพลวงตาที่หยั่งไม่ถึงตัวตนที่แท้จริง

    “แล้วนี่เมื่อไหร่คุณเธอจะตื่นเนี่ย” ชายหนุ่มสบถกับตัวเองเบาๆ “ชั้นเองก็ต้องรีบไปเหมือนกันนะ”

    “นายจะไปก่อนก็ได้นี่” ทันใดนั้น เสียงอ่อนหวานก็ดังออกมาจากร่างที่พีทคิดมาตลอดว่าหลับอยู่ พีทแทบสะดุ้ง เขาหันกลับมาทางคานาเรียอย่างประหลาดใจ

    “เธอไม่ได้หลับ” หัวขโมยหนุ่มร้องออกมา รู้สึกเสียหน้าที่โดนหลอก นี่เธอตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

    “อันที่จริงชั้นก็หลับจนถึงตอนที่ผู้ชายคนเมื่อกี้ออกมาจากห้องน้ำแหละ” พร้อมคำพูด เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจบนเตียง “โทษทีที่ต้องหลอกว่าหลับอยู่ แต่ชั้นไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้น”

    “อาเธอร์เนี่ยนะ” น่าตลก เธอไม่ไว้ใจนักเขียนขี้โม้ แต่กลับไว้ใจจะพูดคุยกับหัวขโมยจอมปลิ้นปล้อนอย่างเขา อันที่จริงที่เธอพูดก็ถูก เขาสามารถเลือกจะออกไปก่อนเธอตื่นก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็อยากอยู่รอจนเธอตื่นก่อนอยู่ดี

    “นายเป็นคนพาชั้นมาที่นี่ใช่มั้ย” คานาเรียถาม พีทพยักหน้า ตอนนี้ดูยังไงก็ไม่เห็นว่าเธอจะไม่มีพิษภัยอะไรเลย “ขอบคุณนะ”

    “เธอนี่ดูไม่เหมือนตอนอยู่ในจักรพรรดิราตรีเลยนะ” ทั้งบรรยากาศและการวางตัว ดูคานาเรียจะเป็นคนละคนกับเด็กสาวที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ระหว่างเขากับอาเธอร์เมื่อคืนโดยสิ้นเชิง

    “นายเองเวลาอยู่กันตามลำพังก็ดูไม่เหมือนเมื่อคืนนะ” ดาร์คเอลฟ์สาวตอบ

    “เธอเป็นใครกันแน่ แล้วคนที่เธอฆ่าเป็นใคร” หัวขโมยหนุ่มออกปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “อันที่จริงก็อยากถามหรอกนะ แต่ว่าเรื่องบางเรื่อง ไม่รู้ซะดีกว่า”

    “ฉลาดมาก” เด็กสาวออกปากชม รอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากนั้นบอกว่าพีททำถูกแล้ว

    “แล้วเธอจะเอาไงต่อ” คำถามนี้พีทภาวนาไม่ให้คานาเรียตอบด้วยการหยิบมีดมาปาดคอเขา “จะต้องเก็บพยานมั้ย”

    “นั่นสินะ เมื่อคืนก่อนจะร่วงไป ชั้นก็กะว่าจะทำอย่างนั้นอยู่” เด็กสาวชาวดาร์คเอลฟ์เพียงอมยิ้มน่าขนลุก ก่อนจะหันไปที่ตู้เย็น “อุตส่าห์เก็บหัวนั่นมาด้วย ขอบคุณนะ ชั้นก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจู่ๆจะผล็อยหลับไปเฉยๆ ปกติแล้วโรคเก่าของชั้นจะไม่ค่อยกำเริบตอนทำงานนะ”

    โดยไม่รอให้พีทพูดอะไร คานาเรียก้าวลงจากเตียงตรงเข้าไปเปิดตู้เย็น ก่อนจะดึงเอาเข็มเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในกระดิ่งที่ข้อเท้าเธอออกมาเสียบเข้าไปในศีรษะของลิซาร์ดแมนที่เริ่มจะซีดแล้ว เป็นภาพที่น่าแปลกสำหรับหญิงสาวท่าทางอ่อนหวานที่ลงมือกับศพได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเป็นมืออาชีพทางนี้แหงๆ ที่เธอเสียบเข้าไปในศพคงเป็นเข็มนาโนเซลล์ เพื่อรักษาสภาพศพให้ไม่เน่าเปื่อยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    “เอาล่ะ ชั้นเองก็คงต้องรีบไป” หญิงสาวหันมายิ้มให้พีท ดูท่าเธอคงไม่คิดจะกำจัดเขาแน่แล้ว “นายเองก็เหมือนกัน รีบไปจากที่นี่ซะดีกว่า อีกไม่นานพวกทหารต้องมาที่นี่แน่ ถึงจะผิดแผนไปหน่อย แต่ก็ช่วยได้เยอะเลย ขอบคุณอีกทีนะ”

    “เดี๋ยวก่อน คานาเรีย” จะไปซะแล้วเหรอ หญิงสาวลึกลับผู้มาพร้อมกับหัวไร้ร่าง เขาไม่อยากรู้หรอกว่าเธอเป็นใคร และต้องการจะทำอะไร แต่อย่างน้อย เขาอยากรู้ แค่ชื่อของเธอก็ยังดี “เธอชื่ออะไร”

    สองเท้าของดาร์คเอลฟ์สาวชะงักลงครู่หนึ่ง เธอหยุดยืนอยู่ตรงประตูบานที่อาเธอร์ก้าวออกไป แม้เห็นเพียงด้านหลัง แต่พีทก็รู้ว่าเธอกำลังครุ่นคิด ว่าจะบอกหรือไม่

    “คานาเรียเป็นชื่อจริงของชั้น” เด็กสาวหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม “แต่คนอื่นๆเรียกชั้นว่า คะน้า กระดิ่งลม”

    อันดับสองของกองโจรสลัดจูดุ๊บส์ เท่านี้พีทก็รู้แล้วว่าเธอเป็นใครและกำลังจะทำอะไร หัวขโมยหนุ่มรู้สึกได้ถึงขนที่ท้ายทอยซึ่งกำลังลุกเกรียว แม้เธอจะสวยตรงเสป็คอย่างที่พีทชอบ ซึ่งเขาเองก็มีเสป็คเปะปะมั่วซั่วไปหมด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ถูกโรคกับผู้หญิงที่ดูอันตรายแบบนี้เลย มือสังหารสาวกำลังก้าวจากไป เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งที่ข้อเท้าดังรับจังหวะที่เธอก้าวเดิน พีทเชื่อแล้วว่าเขาไม่ควรรั้งรออยู่ที่เมืองนี้อีก แม้แต่วันเดียว



    ไม่บ่อยครั้งนักที่สมาคมนายทหารจะดูวุ่นวายขนาดนี้ ตามปกติบรรยากาศที่นี่จะเป็นไปอย่างเนิบนาบ แต่บัดนี้นายทหารหลายคนกำลังเดินสวนกันขวักไขว่ ดูเหมือนการตายของนาวาอวกาศโทในสมาคมจะทำให้พวกทหารหัวเสียไม่น้อย กัปตันทรอปปิคอลจัดการกับอาหารเช้าของเธออย่างเงียบๆในห้องพัก ก่อนจะออกมาพบกับลูกน้องของเธอที่ห้องโถงใหญ่ โอมุ รองกัปตันร่างเล็กของเธอและคาซึกิ ต้นหนสาวหุ่นเซ็กซี่กำลังนั่งรออยู่ที่นั่นแล้ว

    “นี่มันตบหน้ากันชัดๆ” โอมุออกความเห็นอย่างมีอารมณ์ “เค้าลือกันให้แซดว่าเป็นฝีมือของพวกจูดุ๊บส์ บุกเขามาฆ่านายทหารได้ถึงในรังของเราอย่างนี้ พวกมันดูถูกเราจริงๆ”

    “แต่เราก็ปล่อยให้มันดูถูกได้ง่ายๆเลยนะ” คาซึกิพูดถูก แม้จะน่าโมโห แต่ความจริงก็คือมือสังหารสามารถบุกเข้ามาฆ่านาวาอวกาศโทคิมได้ถึงในนี้ แถมยังหิ้วหัวของเขาลอยหน้าลอยตาออกไปได้อีกด้วย “ไม่รู้ว่าพวกทหารยามมัวทำอะไรอยู่ สมน้ำหน้า โดนสอบกันทั้งชุดเลย”

    “เรื่องนั้นยังไงพวกสันติบาลคงจัดการกันได้” นาวาอวกาศเอกทรอปปิคอลตัดบทการสนทนาของสองสาวคนสนิท “ว่าแต่เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวของนาวาอวกาศตรีทริกเกอร์บ้างมั้ย”

    “แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ยืนยันว่านายทหารหนีคดีอยู่ที่น่ะ แต่ดูเหมือนจะมีคนนอกคอยให้ความช่วยเหลือเค้าอยู่” คาซึกิรายงานในข้อมูลที่เธอซื้อมาจากตาคิออน “เป็นมือปืนของธรณีนี่นี้ใครครอง”

    “พวกนั้นจ้างมือปืนคุ้มกันงั้นเหรอ” ทรอปปิคอลใคร่ครวญการกระทำของทริกเกอร์อย่างรังเกียจ “เสื่อมเกียรติกองทัพที่สุด ถึงกับต้องไปพึ่งพาพวกนอกกฎหมาย”

    “ทีมค้นหาอีกกลุ่มสืบพบท่าเทียบยานนอกกฎหมายที่อดีตกัปตันทริกเกอร์ใช้เทียบยานของตัวเองแล้วด้วยค่ะ ดูเหมือนพวกลูกเรือจะอยู่ที่นั่นกันครบ” ต้นหนสาวรายงานความคืบหน้าทั้งหมด “ที่นั่นเป็นนิคมป่าไม้ที่ปิดตัวลงไปแล้ว เหลือเพียงชุมชนเล็กๆที่สันโดษเท่านั้น เราสามารถล้อมจับพวกเขาได้ไม่ยากค่ะ”

    “ดี งั้นจัดการเลย โอมุเตรียมพวกทหารที่เหลือให้พร้อม เราจะออกล่าเหยื่อกันบ่ายนี้ คาซึกิคุมหน่วยที่สองร่วมกับคอนช์มุ่งหน้าไปที่นิคมเหมืองป่าไม้เก่า” กัปตันสาวคนเก่งลอบมองดูนาฬิกา เธอรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “อีกไม่นานพวกจูดุ๊บส์จะมาถึง ถ้าเราจัดการธุระเสร็จเร็ว เราคงถอนตัวออกไปจากที่นี่ทันก่อนที่จะเปิดศึก”

    แม้ว่าใจหนึ่งเธอก็อยากอยู่ช่วยสนับสนุนอาจารย์ของเธอที่เพิ่งจะเสียรองกัปตันไป แต่หากรอให้เปิดศึกแล้ว ไม่รู้ว่าจะกินเวลายืดเยื้อไปนานแค่ไหน ทัพสลัดอวกาศแม้จะจำนวนไม่มาก แต่ก็เชี่ยวชาญจรยุทธ์ ทางด้านกองทัพพิทักษ์จักรวาลก็ส่งกำลังพลมาเพียงกองยานเดียว เนื่องจากเหตุการณ์ไม่สงบในหลายๆภูมิภาค หลายๆดวงดาว ทำให้ต้องกระจายกำลังกันออกไปทั่วทั้งแกแล็คซี่ แม้จะรวมกองทัพท้องถิ่นของไอซาร์ดเข้าไปด้วยแล้ว แต่ก็ยังน่าหวั่นใจอยู่ดี ทหารหลายๆคนในไอซาร์ดเป็นเพียงทหารใหม่ที่แทบไม่เคยผ่านศึกจริงมาก่อน พวกเขาแค่มีอาวุธในมือและผ่านการฝึกฝนมาในระดับหนึ่ง คงเทียบไม่ได้เลยกับพวกโจรสลัดที่ผ่านการรบมาอย่างโชกโชน

    ถึงอย่างนั้น ทรอปปิคอลก็คงได้แต่เป็นห่วง เธอมีภารกิจใหญ่กว่าที่ต้องดูแล ยิ่งไปกว่านั้น กัปตันครูนาร์ก็คงไม่ยินดีหากเธอจะสอดมือเข้าไปช่วย กัปตันสาวจึงได้แต่ภาวนาให้เมดิสันแสควร์มีชัยเหนือจูดุ๊บส์เท่านั้น

    “อยู่นี่เองท่านนาวาอวกาศเอก” ทหารเดินสารคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำวันทยหัตถ์ให้กับพวกทรอปปิคอล “ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อคืนพวกท่านได้รับรายงานจากศูนย์ข่าวที่แกลลอไรน์รึยังครับ”

    โอมุและคาซึกิส่ายหน้าแทบจะพร้อมกัน ส่วนทรอปเองเพียงแต่นิ่งไป เธอเองก็มัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นจนไม่ทันได้เช็คข้อมูลข่าวสารทางการทหารเลยตลอดเช้านี้ และก็เชื่อว่าคงยังไม่มีใครในสมาคมนายทหารทันได้เช็คด้วย เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกคนก็กำลังวุ่นวายอยู่กับศพไร้หัวของคิมกันหมด ยิ่งไม่นับว่าตามปกติข่าวประจำวันจากแกลลอไรน์มักจะมีแต่ข่าวประชาสัมพันธ์ที่ไม่น่าสนใจเท่านั้นอีกด้วย

    “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ขอเชิญท่านและเสนาธิการยานบัญชาการทุกท่านที่ห้องบรรยายชั้นสี่ด้วยครับ” แต่ดูท่า คราวนี้คงไม่ใช่แค่ข่าวประชาสัมพันธ์ที่ไม่น่าสนใจซะแล้ว

    “เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่อะไร” โอมุอ้าปากค้างอย่างงุนงง ตอนนี้เธอเพิ่งเห็นว่านายทหารยศนายพันขึ้นไปแทบทุกคนก็กำลังถูกตามตัวไปด้วยเช่นกัน หลังจากมีนายทหารยศสูงถูกฆ่าในสมาคม ยังมีอะไรจะใหญ่ไปกว่านี้ได้อีก เธอลุกตามทรอปปิคอลออกไปอย่างช้าๆ และแอบสังเกตได้ว่า แม้ดวงตาของกัปตันหญิงจะยังคงสงบ แต่มันกลับไม่เยือกเย็นอย่างเคย

    หวังว่ามันคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงมากนักหรอกนะ



    “เมดิสันแสควร์จะไม่มีวันแตะต้องพวกเราได้” ไกลออกไปนอกเมืองไอซาร์ด จากเทอมินัลเวย์ที่ทอดยาวผ่านป่าทึบเชื่อมต่อระหว่างไอซาร์ดกับเมืองอื่นๆอย่างมอร์คหรือเพยน์ แม้เส้นทางสายบังคับจะมีแนวรั้วเหล็กขวางกั้น แต่ก็ไม่ได้มีกฎห้ามใดๆสำหรับผู้ที่ต้องการจะเดินทางเข้าไปในแนวป่า คะน้า กระดิ่งลม รองกัปตันแห่งกลุ่มโจรสลัดจูดุ๊บส์ก้าวย่างอย่างสงบนิ่งไปตามทางเดินเล็กๆท่ามกลางต้นแอชสูงใหญ่มากมาย แฮนด์ลิงค์ เครื่องมือสื่อสารพื้นฐานที่ข้อมือของเธอติดไฟสีแดงขึ้นมาหนึ่งดวง นั่นบอกว่าเธอไม่ได้กำลังพูดอยู่คนเดียว “กัปตันครูนาร์รักลูกน้องมาก เขาจะยอมทำทุกอ่างเพื่อเอาหัวของลิซาร์ดแมนคนนี้กลับไป”

    “แต่นี่มันผิดแผนนะคะน้า เราตั้งใจจะเก็บทั้งตัวกัปตันและรองกัปตันของเมดิสันแสควร์ในคราวเดียว แต่นี่พวกมันรู้ตัวกันหมดแล้ว เธอจะจัดการกับกัปตันครูนาร์ยังไง” เสียงแหลมเล็กดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสาร คะน้ายักไหล่กับตัวเองอย่างเบื่อหน่าย นี่แหละ น้องสาวคนเล็กของเธอ วิตกจริตเหมือนทุกครั้ง “ถึงจะบอกว่าไอ้วัวนั่นรักลูกน้องมาก แต่ยังไงทหารก็ไม่มีทางยอมเสียการใหญ่เพียงเพื่อหัวของคนตายหรอก เธอจะเอามันมาขู่ให้กัปตันครูนาร์ยอมหนีทัพรึไง”

    “ไม่หรอก แค่เรียกออกมาก็พอ” คะน้าตอบ มือสังหารสาวถ่ายรูปศีรษะของคิมไว้ด้วยกล้องตัวจิ๋ว “แค่เรียกให้ออกมาจากเขตคุ้มครองของพวกทหารนั่นได้ ชั้นมั่นใจว่ามันจะต้องหัวหลุดแน่”

    “คะน้า อย่าประมาทพวกทหาร” ผู้ที่คะน้าเรียกว่าน้องสาวคนเล็กออกปากเตือนอย่างเป็นห่วง “โรคผล็อยหลับของเธอกำเริบขึ้นมาอีกแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าอยู่ๆเธอเกิดร่วงลงไปอีกจะทำยังไง”

    “ผู้พิทักษ์ของชั้นก็ยังอยู่นี่ ไม่มีอะไรหรอกน่า” อันที่จริง ถึงแม้วันนั้นพีทจะไม่พาคะน้ากลับไปที่ห้องด้วย ผู้พิทักษ์ของเธอซึ่งซุ่มซ่อนอยู่ตรงนั้นก็คงออกมาช่วยได้ทันเวลาอยู่ดี เขาคือองครักษ์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยอยู่ห่างจากคะน้าเลย แม้แต่ตอนที่เธอหลับอยู่ในห้องของพีท ผู้พิทักษ์ก็เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว “อย่าห่วงเลยนามุ ไอซาร์ดจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราจะทวงศักดิ์ศรีคืนจากจักรพรรดิให้ได้”

    “เวลายกพลเข้าเทียบท่าคือพรุ่งนี้เช้า ระวังตัวด้วยแล้วกันคะน้า” นามุกำชับอย่างเป็นห่วง จริงอยู่ที่ฝีมือของพี่สาวเธอนั้นยากจะหาใครมาเทียบเคียง แถมยังมีองครักษ์สุดแกร่งที่คอยดูแลอยู่อีก ทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหา ติดอยู่ก็แต่โรคประจำตัวเล็กๆน้อยๆของคะน้าเท่านั้นเอง “เรามีเวลาเตรียมตัวไม่มาก พวกอื่นๆเริ่มลงมือกันแล้ว”

    “ดีแล้ว แค่นี้เราก็ล่าช้ากว่าคนอื่นไปไม่รู้เท่าไหร่ ก่อนวันพรุ่งนี้ หัวของกัปตันครูนาร์จะถูกเอามาวางไว้ข้างกันกับของรองกัปตัน” มือสังหารสาวนับก้าวเดินมาจนถึงหน้าต้นแอชต้นใหญ่ที่มีมอสขึ้นปกคลุมทั้งลำต้น ก่อนที่เธอจัดหยิบเอาเข็มเล่มเล็กอีกเล่มที่ถูกซ่อนเอาไว้ในกระดิ่งข้อเท้าออกมาฝังเข้าไปในลำต้นแอช พลันเปลือกไม้ขยับเปิดออก เผยให้เห็นห่อผ้าสีแดงเลือดนกภายใน “ฝากบอกพี่สาวด้วยว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี”

    “มันจะเรียบร้อยดีก็ต่อเมื่องานเสร็จแล้วเท่านั้นแหละ” ขี้กังวลสมกับที่เป็นน้องของเธอจริงๆ คะน้าถอนใจอีกครั้งพลางแกะห่อผ้าออกแล้วกระชับวัตถุที่อยู่ข้างในไว้ในมือ มันไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่ปืน แต่รวมคุณลักษณะของทั้งสองอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ลำกล้องปืนยาวกว่าช่วงแขน ประกบด้วยใบดาบคมกริบลายลอนคลื่น บลาสเตอร์เซเบอร์ อาวุธอันเป็นความภูมิใจของเหล่านักรบซามูไรไซเบอร์

    “บอกแล้วไงว่าอย่าห่วง” คะน้า กระดิ่งลมกวัดแกว่งอาวุธประจำกายอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะตวัดเก็บเข้าไปในสายคาดที่ข้างเอว สายตาพลันเหลือบมองไปทางเทอมินัลเวย์ที่ว่างเปล่า ตอนนี้ถนนสายหลักที่ทอดยาวระหว่างนครต่างๆยังคงโล่งอยู่ แต่อีกไม่นานหรอก มันจะเต็มไปด้วยผู้อพยพลี้ภัย เธอรู้ดี “พวกเราชาวซามูไรไซเบอร์จะประกาศให้ราชวงศ์รู้ว่า แม้อัลทิมาบ้านเกิดจะย่อยยับ แต่เราก็ยังไม่ตาย และจะไม่ตายจนกว่าจะพิฆาตศัตรูให้ด่าวดิ้น”



    “ไอ้พีท หายหัวไปไหนมาวะ” นั่นเป็นคำแรกที่ซีใช้ทักทาย ทันทีที่หัวขโมยหนุ่มโผล่หน้ากลับไปที่โรงแรมซึ่งซีและทริกเกอร์พักอยู่ อันที่จริงเขาก็ควรมาพักที่นี่ด้วย ถ้าไม่ติดว่าเขาแอบไปจองห้องไว้ต่างหาก เผื่อจะมีสาวไหนหลงมาต่อกับเขาตามลำพัง “แล้วแฮนด์ลิงค์น่ะ เค้ามีไว้ให้ใช้สื่อสารกันนะโว้ย ไม่ได้ให้พกเล่นเฉยๆ เรียกไปก็หัดรับบ้าง”

    “โทษว่ะซี เรื่องมันยาว” เรื่องมันยาวจริงๆ พีทแทบไม่มองหน้าซีและทริกเกอร์เลย ทันทีที่เข้ามาถึงในห้อง เขาก็เดินไปเปิดโทรทัศน์ผลึกเหลวในห้องอย่างรีบร้อน “รู้ข่าวรึยัง”

    “เรื่องจูดุ๊บส์น่ะเหรอ รู้แล้ว” มิสเตอร์ซีมองไปที่จอผลึกเหลวอย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วภาพในจอก็ทำเอาทั้งเขาและทริกเกอร์ถึงกับต้องร้องอุทานออกมาแทบไม่เป็นภาษา

    “กบฏคอร์แซร์จู่โจมและปิดล้อมมิสซาร์มหานครอันดับหนึ่งของมิสค์ไว้ได้แล้ว” พีทยืนยันข้อมูลที่เกิดขึ้นในจอผลึกเหลว ว่ามันเกิดขึ้นจริงในอีกมุมหนึ่งของแกแล็คซี่ “นครเวสท์พอยนท์กับนครมิดเดิลโพลของดาวแฟนฟอร์มก็ถูกวินาศกรรมครั้งใหญ่ เมื่อคืนนี้เอง”

    “แล้วที่นี่ก็ยังมีพวกจูดุ๊บส์อีก เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนจู่ๆผู้ก่อการร้ายทั่วทั้งแกแล็คซี่ก็พากันลงมือพร้อมๆกันอย่างนั้นแหละ” มิสเตอร์ซีเปลี่ยนช่องโทรทัศน์สลับไปมาวุ่นวาย เขาไม่ชอบเหตุการณ์แบบนี้เลย มันจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก “การเดินทางของแกนี่ไม่สวยเท่าไหร่เลยว่ะทริกเกอร์ ตั้งแต่ออกมาก็เจอแต่ไอ้พวกโหดๆ มาถึงนี่ก็เจอพายุแถมโจรสลัดเข้าไปอีก มันต้องมีใครเป็นดาวซวยอยู่ในกลุ่มพวกเราแน่ๆ”

    คำสุดท้ายหันไปทางพีทอย่างกัดๆ ซึ่งหัวขโมยหนุ่มทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะหันมาพูดต่อ

    “ตอนนี้พวกนายทหารกำลังประชุมกันอย่างเร่งด่วน ดูเหมือนพวกนั้นจะเริ่มจริงจังกับการโจมตีของจูดุ๊บส์มากขึ้นแล้ว” เนื่องจากหากต้องเสียไอซาร์ดไปอีก ก็เท่ากับว่าทางกองทัพได้พ่ายแพ้ติดๆกันหลายครั้งมากเกินไป ซึ่งนั่นไม่อาจยอมรับได้ พวกทหารจึงจำต้องกู้ศักดิ์ศรีคืนในศึกนี้ แม้มันอาจจะยากนักก็ตามที “กว่าจะเริ่มจริงจังกันได้ พวกทหารชอบประมาทคู่ต่อสู้อยู่เรื่อย นี่เค้าเรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ”

    “เหมือนกับมีใครบางคนวางแผนให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นติดๆกัน” กัปตันทริกเกอร์หรี่ตามองภาพตรงหน้าอย่างครุ่นคิด “ลอร์ด927 บางทีอาจจะเป็นลอร์ด927”

    “บางทีอาจจะเป็นพ่อค้าโรตีก็ได้นะ” พีทกล่าวอย่างไม่ศรัทธาความคิดของทริกเกอร์เท่าไหร่ “อยู่ๆคนคนเดียวจะมาสั่งเคลื่อนไหวกลุ่มก่อการร้ายทั่วแกแล็คซี่ได้ยังไง”

    “ก็ไม่แน่ถ้าคนคนเดียวที่ว่าเป็นผู้สนับสนุนในการจัดตั้งองค์กรก่อการร้าย” ทริกเกอร์ ทิงตั้งข้อสังเกตอย่างน่าสนใจ ซึ่งซีเองก็อดคิดไม่ได้เช่นกัน เขารู้ว่าทริกเกอร์สงสัยลอร์ด 927 อยู่

    “ยังไงก็เถอะ ชั้นว่ารีบหนีไปจากที่นี่ดีกว่า ดูจากสภาพที่เกิดขึ้นแล้ว สงสัยไอซาร์ดจะเป็นที่ต่อไปที่จะถูกเล่นเอา” โดยไม่รอให้เพื่อนๆตัดสินใจ หัวขโมยหนุ่มตรงดิ่งไปที่ประตูห้องของโรมแรมอย่างรวดเร็ว

    “ป่านนี้พวกผู้คนในเมืองพอรู้เรื่องดาวอื่นถูกวินาศกรรมกันเป็นแถวคงเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆแล้ว รีบไปก่อนที่คนอื่นจะเริ่มอพยพดีกว่า” มิสเตอร์ซีตบบ่าทริกเกอร์เบาๆ พลางเก็บปืนพกที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกลงซองข้างตัว “หรือไม่แน่ คนอื่นอาจจะเริ่มอพยพกันแล้วก็ได้”

    จริงอย่างที่ซีพูด แค่พอออกมายืนตรงหน้าโรงแรม ทั้งสามคนก็พบกับฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่บนถนนเพื่อจะออกไปที่เทอมินัลเวย์ เท่านี้เศรษฐกิจของไอซาร์ดในช่วงนี้ก็ล่มสลายแล้ว แม้พวกทหารตามถนนจะประกาศรับรองความปลอดภัยอยู่ปาวๆ แต่ก็ไม่มีใครฟัง ดูเหมือนจู่ๆโจรสลัดจูดุ๊บส์ก็จะได้ชัยชนะไปตั้งแต่ยังไม่ทันเอายานเข้ามาในชั้นบรรยากาศด้วยซ้ำ

    ประชาชนส่วนมากเลือกที่จะอพยพหนีไปยังเมืองข้างเคียง อีกจำนวนหนึ่งเลือกเชลเตอร์ใกล้ๆไอซาร์ดไว้เป็นที่หลบภัย และมีที่เหลืออีกบางกลุ่มที่เลือกจะหลบอยู่ตามอาคารในตัวเมือง ด้วยมั่นใจว่ากองทัพจะต้องได้ชัย สภาพที่ดูวุ่นวายบอกได้ชัดเจนว่าประชาชนที่เชื่อมั่นในกองทัพมีน้อยเหลือเกิน

    “เอาล่ะสิ ชั้นล่ะเบื่อคนเยอะๆแบบนี้จริงๆ” พีทถอนใจอย่างระอา พลางยกมือขึ้นป้องหน้าผากเพื่อมองย้อนแสงอาทิตย์ขึ้นไปบนฟ้า เมฆดำหนาแน่นจนแสงอาทิตย์ส่องทะลุลงมาได้เพียงไม่กี่ลำเส้น ดูท่านอกจากฝูงชนแล้ว เขายังต้องเผชิญกับฝนอีกห่าใหญ่ “เอ้า ยังมีอะไรอีก ส่งมาให้หมดเลยสิ”

    “เฮ้ย พีท แฮนด์ลิงค์ของนายกระพริบอยู่นะ” ทริกเกอร์ชี้พลางพูดกรอกหูหัวขโมยหนุ่ม

    แม้จะทรงพลังในการส่งสัญญาณข้ามดวงดาว แต่แฮนด์ลิงค์ก็ยังเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารชั้นล่างๆที่รับส่งได้แค่เสียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนทั่วทั้งออลไฟนอลนิยมสินค้าชนิดนี้มาก เนื่องจากน้ำหนักเบา ติดตัวง่าย และที่สำคัญ อัตราการดีเลย์ต่ำกว่าการส่งสัญญาณภาพโฮโลแกรมอยู่มากโข พีทกดปุ่มรับสายอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เขาไม่ค่อยชอบรับสายใครเลย ส่วนมากคนที่พยายามติดต่อเขามีแต่จะนำปัญหามาให้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่เคยเปิดเสียงสัญญาณเตือน หรือสัญญาณการสั่นแม้แครั้งเดียว

    “พีท กว่าจะรับสายได้นะ” เสียงที่คุ้นหูตลอดชีวิต ดันไบน์ มาเฟียใหญ่แห่งธรณีนี่นี้ใครครองนั่นเอง “แฮนด์ลิงค์ไม่ได้มีไว้พกเล่นเท่ๆหรอกนะ”

    “คร้าบๆ รู้แล้ว” นี่เป็นครั้งที่สองของวันแล้วที่เขาโดนติงเรื่องนี้ “มีอะไรเหรอครับบอส”

    “พวกแกอยู่ที่แร็คนาร็อคใช่มั้ย รู้ข่าวเรื่องจูดุ๊บส์รึยัง” เจ้าพ่อครึ่งพืชถามเร็วปร๋อ พีทแอบอมยิ้ม อย่างน้อยเขาก็รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น

    “รู้แล้วครับ เรากำลังจะหนี” เป็นเรื่องถนัดของพีทเลย ไอ้การหนีเนี่ย “ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นน้ำใจอสูร ไม่ต้องห่วงครับคุณดันไบน์ ซีกับผมไม่ตายง่ายๆหรอก”

    “ใครเค้าห่วงแกกันไอ้หนู” น้ำเสียงเหยียดเล็กน้อย ทำเอาพีทดีใจเก้อ ดูเหมือนดันไบน์จะไม่ได้สนใจพวกเขาสักนิด “ซีอยู่ด้วยก็ดีแล้ว พีท แกจำลูกสาวคนเล็กของชั้นได้รึเปล่า”

    “คุณหนูอาริมิ” ไม่น่าเชื่อว่าพีทจะออกเสียงเรียกชื่อผู้หญิงได้แข็งขนาดนั้น สีหน้าของเขาหม่นลงอย่างชัดเจน “ทำไมเหรอครับ”

    “ตอนนี้เธออยู่ที่ไอซาร์ด” นั่นไง ว่าแล้ว ถ้าดันไบน์จะเรียกมา มันก็แปลว่าต้องมีงานให้ทำแน่ๆ “ชั้นอยากให้แกช่วยพาเธอกลับมาให้หน่อย”

    “พาคุณหนูอาริมิกลับไป แล้วเธอมาทำบ้าอะไรที่นี่ล่ะครับ” พีทถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมืองนี้จวนจะเป็นสมรภูมิอยู่รอมร่อ เขายังต้องเที่ยวมาวิ่งไล่จับกับเด็กผู้หญิงอยู่อีก “โห คุณดันไบน์ ขอทีเถอะ พวกผมไม่ว่างจริงๆว่ะ”

    “ไม่เอาน่าพีท อะไรของนาย ผู้หญิงแค่คนเดียว ไปช่วยหน่อยไม่ได้เลยเหรอ” กัปตันทริกเกอร์ขัดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เห็นปกตินายก็ดี๊ด๊ากับผู้หญิงดีออกนี่นา”

    “นายไม่รู้อะไรก็พูดได้สิ” หัวขโมยตอบกลับอย่างไม่ยอมรับฟัง

    “อะไรวะ แปลกจัง คุณหนูอาริมิอะไรนี่ไม่สวยรึไงซี” ทริกเกอร์หันไปขอความกระจ่างจากมือปืนที่ยืนกระอักกระอ่วนอยู่ข้างๆ แต่ซีส่ายหน้า

    “ไม่หรอก สวยสิ สวยมากด้วย” มิสเตอร์ซีกล่าวอย่างลำบากใจ “แต่ก็อย่างที่พีทบอกว่ะ แม่คุณหนูนั่นน่ะตัวแสบเลย ใครไม่เคยเจอไม่รู้หรอก โดยเฉพาะพีท มันโดนมาหนัก”

    “ไม่เอาน่าซี ชั้นก็รู้ว่าลูกชั้นอาจจะร้ายไปหน่อย แต่ยังไงก็เป็นลูก ชั้นพยายามเรียกเธอกลับมาแล้ว แต่ดูท่าเธอจะไม่สนใจพวกจูดุ๊บส์เลย” เสียงของดันไบน์เองก็ฟังดูเหนื่อยหน่ายเช่นกัน พาลให้ทริกเกอร์อยากรู้ว่าคุณหนูมาเฟียคนนี้เป็นยังไงกันแน่ “ให้ตายเถอะ ลูกของชั้นแต่ละคนก็ดีๆกันทั้งนั้น มาติดคนสุดท้ายนี่แหละ ไม่รู้กลายเป็นยัยตัวแสบไปได้ยังไง สงสัยเชื้อแม่มันแรง”

    “เชื้อแม่” ทริกเกอร์ทำสายตาสงสัยไปทางซี

    “อาริมิเธอเป็นลูกครึ่งไอน์เบอร์รี่กับมนุษย์น่ะ” มือปืนอธิบาย “แม่ของเธอเป็นมนุษย์”

    “โอ้โห ทำไปได้ยังไงวะ” ทริกเกอร์อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาในสิ่งที่ทั้งพีทและซีเองก็ยังสงสัยอยู่

    “ว่าไงซี แกโอเคมั้ย” ดันไบน์หยั่งเสียงข้างมือปืนหนุ่มก่อน

    “ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ขอราคาบอดี้การ์ดแล้วกัน โอนให้ผมภายในวันนี้ด้วย” มิสเตอร์ซีตอบอย่างเป็นมืออาชีพ ก่อนจะหันไปทางพีท “แล้วนี่จะว่ายังไง”

    “จูดุ๊บส์จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะซี” พีทนั้นปอดแหกไปเรียบร้อยแล้ว

    “พีท.....” ดันไบน์กดน้ำเสียงลงพลางพูดช้าๆ “แกติดหนี้ชั้นอยู่อีกเจ็ดแสนเครดิต”

    “เจ็ดแสนห้าหมื่นสามพันเครดิตต่างหาก” หัวขโมยหนุ่มแก้ให้อย่างท้าทาย

    “นั่นแหละ ชั้นจะใช้เงินจำนวนนั้นจ้างแกเป็นบอดี้การ์ดให้อาริมิ ตกลงมั้ย” เจ้าพ่อพูดอย่างเยือกเย็น รู้ดีว่ายังไงก็ไม่ได้คืน เงินจำนวนนี้พีทไม่เคยจ่ายคืนได้เลย ก็นำมาใช้ต่อรองซะดีกว่า

    “ถ้าไม่ล่ะ” พีทหยั่งเชิง

    “สาบานได้ว่าแกจะไม่ได้รอดอยู่เกินเดือนหน้าแน่นอน” น้ำเสียงบอกว่าเขาเอาจริง แม้แต่ทริกเกอร์ที่ฟังอยู่ใกล้ๆยังอดขนลุกไม่ได้

    “หึ.....” หัวขโมยหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะตอบกลับไป “มัดมือชกเก่งจริงนะครับ”

    “แล้วผมล่ะ” ทริกเกอร์ออกปากขึ้นมาบ้าง

    “คุณคือกัปตันกำมะลอที่ซีพามาซื้อยานสินะ” น้ำเสียงของดันไบน์เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดกับทริกเกอร์ ดูเหมือนจะเป็นทางการขึ้นจนทริกเกอร์อึดอัด “ผมยอมรับว่าคุณก็พอใช้ได้ อุตส่าห์เอายานห่วยๆนั่นขึ้นบินได้อีก ไม่รู้ว่าคุณลากไอ้สองคนนั้นไปถึงแร็คนาร็อคได้ยังไงนะ แต่ผมไม่มีธุระอะไรกับคุณหรอก”

    “เสียใจด้วยว่ะทริกเกอร์ คุณดันไบน์แกไม่ค่อยชอบใช้คนแปลกหน้า” รอยยิ้มยียวนปรากฏขึ้นตรงมุมปากของพีท

    “ชั้นจะรออยู่ที่ธรณีนี่นี้ใครครอง หวังว่าพวกแกคงจะพาลูกสาวชั้นกลับมาได้อย่างปลอดภัยนะ” ฟังดูเหมือนมาเฟียใหญ่จะตัดบทแล้ว แต่มีอะไรบางอย่างที่มิสเตอร์ซียังสงสัย

    “เดี๋ยว คุณดันไบน์ คุณรู้ได้ไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่” มือปืนชื่อดังแห่งธรณีนี่นี้ใครครองถาม

    “ตาคิออน” นั่นคือผู้ที่แจ้งข่าวของพวกซีไปทั่วทั้งแกแล็คซี่ “เหยี่ยวข่าวตาคิออนที่ชื่อยาวๆเป็นคนส่งข่าวมาให้ชั้น ชั้นเหมาซื้อข่าวทั่วไปในแกแล็คซี่จากเครือข่ายแอนนามาพักใหญ่แล้ว หมอนั่นบอกว่าพวกแกอยู่กับกัปตันกำมะลอที่แร็คนาร็อค โชคดีเป็นบ้า ชั้นกำลังว่าจะส่งคนไปรับอาริมิอยู่พอดี แต่กว่าคนของชั้นจะไปถึง พวกจูดุ๊บส์คงเปิดฉากบุกไปแล้ว”

    “เวรล่ะสิ” ซีอุทานออกมาเบาๆพลางมองหน้าทริกเกอร์ที่ดูจะตกใจไม่แพ้กัน โดนเข้าให้แล้วโดยที่ซีไม่ทันฉุกคิดเลย ตาคิออนรู้ว่าทริกเกอร์อยู่ที่นี่ ทั้งๆที่นั่นน่าจะเป็นความลับ อย่างนี้มีโอกาสสูงมากจริงๆที่ทางกองทัพเองก็จะรู้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ยิ่งต้องรีบหนี ซีกับทริกเกอร์มองหน้ากันอย่างหนักใจ มีเพียงพีทเท่านั้นที่ยังไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาสักนิด

    หยาดฝนเม็ดแรกของวันร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแล้ว และกำลังจะตามมาอีกนับล้าน ท่ามกลางสายลมที่กรูเกรียวและฝูงชนมหาศาล พวกเขาไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ใด ไม่รู้เลยว่ามีศัตรูกี่คนที่ต้องฟันฝ่าไป ไม่รู้เลยว่าจะรอดปลอดภัยกันหมดหรือไม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่รู้เลย และอาจลืมไปแล้วว่า นอกจากกองทัพ พวกเขายังคงถูกตามล่าด้วยนักฆ่ามือฉกาจอีกคน มือปืนจอมลีลาผู้ซึ่งสะกดรอยตามพวกเขาอยู่อย่างใจเย็น เดอะข่าน ดิสโก้คิลเลอร์ อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไหร่เลย



    Character

    คะน้า กระดิ่งลม by น้องปลา คะน้า จ้า

    Free Talk

    ตอนนี้ยังไม่มีตัวละครใหม่ๆออกมาเป็นชิ้นเป็นอันมากมายนะครับ มีแต่เสียงมา ฮ่าๆ แต่ที่โปล่ออกมาแล้วคือหนึ่งในหนึ่งในสิบตัวละครยอดนิยมของสมัยก่อนนะครับ ซามูไรสาวจอบนิทรา คะน้า กระดิ่งลม ฉบับนี้ แม้จะซีเรียสขึ้น แต่ก็ยังคงนิทราอยู่ จะเห็นได้ว่าโจรสลัดจูดุ๊บส์ออกมาเร็วกว่าต้นฉบับมาก นั่นคือเรื่องราวของจูดุ๊บส์ที่ควรจะอยู่หลังจากเหตการณ์บนดาวแร็คนาร็อค ผมได้บีบมารวมกันเลยในช่วงเดียว หวังว่าคงไม่ขัดใจจนเกินไปนะครับ ฮ่าๆ ขอบคุณครับ :D

Share This Page