อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 11 - นับถอยหลัง Updated 13/1

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย repeat, 15 ธันวาคม 2007.

  1. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 8 - สงสัย Updated 29/12

    พี่คะน้า นี่ตอนสลบมันน่าจะฮากว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมตอนนี้มันดูหลับแบบคุณหนูยังไงชอบกล

    จะได้เห็นฉากสามกัปตันจูดู๊ปส์รั่วพร้อมกันอีกไหมเนี่ย คิดถึง
  2. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 8 - สงสัย Updated 29/12

    All Final Wars #9

    เมืองร้าง


    [​IMG]

    ตามปกติแล้ว ปราสาทเซนต์ซาเวียร์ อันเป็นอาคารที่ทำการหลวงและที่พักอาศัยของขุนนางผู้ปกครองนครไม่ใช่สถานที่ที่พลุกพล่านนัก อาคารทรงปราสาทโบราณที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบใสสะอาด ปลอดภัยจากโลกภายนอกด้วยกำแพงศิลาหนาและหนัก หอคอยตรวจการณ์ และป้อมปืนโฟตอน วงจรรักษาความปลอดภัยที่ไม่น้อยหน้าใครในวงโคจรอาร์ติเคล ทั้งยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากค่ายทหารกองทัพพิทักษ์จักรวาล น้อยครั้งนักที่ปราสาทอันแข็งแกร่งและงดงามแห่งนี้จะถูกหมายตาจากผู้ก่อการร้ายหรือกองโจรต่างๆ และยิ่งน้อยครั้งที่เซนต์ซาเวียร์จะอยู่ในสภาพถูกบีบให้พร้อมรบ ทว่ายามนี้ กำแพงและหอคอยถูกเสริมทัพเต็มอัตราศึก มีการระดมพลทัพทหารบกและยานเกราะเข้ามาประจำการเพิ่ม ทั้งยังติดตั้งป้อมปืนเสริมอีกหลายจุด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั้วข้ามคืนเท่านั้น

    ทันทีที่ประชาชนชาวไอซาร์ดตื่นขึ้นมาทราบข่าวการแตกพ่ายของกองทัพพิทักษ์จักรวาลในสองเมืองใหญ่ของสองดวงดาว พวกเขาก็พบว่าปราสาทเซนต์ซาเวียร์อันสง่างามก็ได้ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นป้อมปราการรบไปแล้ว ราวกับจะเป็นการตอกย้ำความน่าพรั่นพรึงของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้จะยังไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงกองโจรสลัดอวกาศที่กำลังจะมาถึงได้เลยก็ตาม แต่นั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้การอพยพอันวุ่นวายได้เริ่มต้นขึ้น

    ห้องรับรองแขกภายในปราสาทเซนต์ซาเวียร์อันหรูหราเคยต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญมามากมาย แม้แต่จักรพรรดิเองก็เคยเสด็จ ทั่วทั้งห้องประดับประดาอย่างมีรสนิยมด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดกเข้มและทอง โคมไฟแชนเดอเลียงามวิจิตรห้อยลงมาจากเพดานที่ถูกสร้างให้เป็นเหมือนโดมสูง พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือกำแพงหินอ่อนรอบๆห้องที่สลักเป็นลวดลายการสร้างเมืองไอซาร์ดอย่างสวยงามสมจริง ดูราวกับไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เข้ามาในห้องนี้ ก็คงจะอดละสายตาไปจากความงดงามและความเพลิดเพลินทั้งหลายไปได้เลย ทว่าในยามนี้ชายเพียงสามคนที่นั่งอยู่ในห้องรับรองแขกแห่งเซนต์ซาเวียร์กลับไม่ได้สนใจความวิจิตรตระการตาของห้องนี้เลยสักนิด

    “ที่มอร์คประกาศปิดนครแล้ว ดูเหมือนผู้อพยพจากไอซาร์ดจะมากเกินไป เพยน์กับวิลเฮลม์ก็คงจะปิดเมืองเร็วๆนี้ ตอนนี้เทอร์มินัลเวย์คงแน่นไปหมดแล้ว” น้ำเสียงเหน็ดเหนื่อยกระวนกระวายใจกล่าวออกมาเบาๆ ชายร่างสูงชาวฟอนในชุดคลุมขุนนางลูบเคราที่ปลายคางของตัวเอง ดวงตากลมใหญ่ของขาดูอ่อนล้าราวกับอดหลับอดนอนมาเป็นสัปดาห์ “ไม่รู้ว่าตามเชลเตอร์นอกเมืองจะเป็นยังไงบ้าง เราน่าจะประกาศเตือนประชาชนตั้งแต่เนิ่นๆ บางทีเราอาจจะพลาดไป”

    “ไม่หรอกครับฝ่าบาท ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว” นายทหารชาวคาฮาเรียนขนรุงรังในเครื่องแบบทัพบกติดยศพันโทกล่าวพลางหยิบขนมสมุนไพรชิ้นเล็กๆในถาดทองเข้าปาก “หากทำเช่นนั้นป่านนี้ระบบเศรษฐกิจของไอซาร์ดคงไม่เหลือไปแล้วนะครับ”

    “ที่มิสซาร์ก็คิดแบบนี้ ตอนนี้ประชาชนยังติดอยู่ในวงล้อมของผู้ก่อการร้ายเต็มไปหมด ที่แฟนฟอร์มเองก็มีผู้เสียชีวิตมากมายเพราะทางการมัวแต่ห่วงเศรษฐกิจล่ม ไม่ยอมออกประกาศเตือนภัย จริงอยู่ เราจำเป็นต้องรักษาสภาพเศรษฐกิจไว้ แต่จะปล่อยให้ประชาชนต้องเสี่ยงกับการศึกก็ไม่ใช่เรื่อง” ผิดกับนายทหารบก นาวาอวกาศเอกครูนาร์ติงอย่างไม่พอใจนัก เขาเป็นคนแรกๆที่เสนอให้มีการประกาศเตือนภัยและอพยพผู้คนออกจากไอซาร์ดไปก่อน แต่ทางการก็เพิกเฉย เป็นเรื่องปกติของราชวงศ์ที่จะรักษาความมั่นคงของสถาบันไว้มากกว่าจะรักษาความปลอดภัยของประชาชน “หน่วยข่าวกรองของกองทัพรายงานมาว่าพวกจูดุ๊บส์กำลังระดมพลอยู่ที่พิกัด 132 9 58 ไม่ไกลจากแถบดาวเคราะห์น้อยเฟนเชียลเท่าไหร่ แต่ยังไม่สามารถยืนยันตำแหน่งที่ชัดเจนได้”

    “แต่จากตรงนั้น ถ้าจะยกกองทัพผ่านไฮเปอร์เสปซมา มันต้องข้ามด่านตรวจการณ์ของกองทัพมาตั้งเยอะนี่นา” ผู้พันทหารบกชาวคาฮาเรียนตั้งข้อสังเกต การเดินทางด้วยไฮเปอร์เสปซแบบใหม่นั้น จะเป็นการเดินทางด้วยความเร็วแสง เพื่อเจาะทะลุเข้าไปยังเวิร์มโฮล อุโมงค์บิดผันทางกาลเวลาซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งนั่นจะสามารถช่วยย่นระยะการเดินทางข้ามดวงดาวได้เป็นอย่างมาก โดยต้องคำนวณหาทิศทางและสถานที่ที่จะไป แล้วตรวจสอบว่ามีเวิร์มโฮลที่ไหนที่สามารถส่งไปถึงที่หมายได้ในเวลานั้นบ้าง ก่อนจะใช้ระบบเร่งความเร็วแสงพุ่งทะลวงผ่านเวิร์มโฮลเข้าไป ซึ่งระบบเร่งความเร็วแสงนั้นไม่สามารถใช้ได้ในสภาพอวกาศปกติเนื่องจากเสี่ยงต่อการพุ่งเข้าไปชนกับเทหวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ในอวกาศ อีกทั้งแม้จะเดินทางด้วยความเร็วแสงแล้ว ระยะทางระหว่างดวงดาวก็กินเวลาหลายปีแสงอยู่ดี นั่นเท่ากับต้องใช้เวลาในการเดินทางนับสิบปีเพื่อจะข้ามดวงดาวได้ ในขณะที่เวิร์มโฮลสามารถย่นระยะทางจากจุดเริ่มต้นให้มาโผล่ใกล้ๆจุดหมายได้ในพริบตา

    ในอดีตจอมปราชญ์อาเมเลียนาได้คิดค้นและทำแผนที่เวิร์มโฮลทั่วทั้งแกแล็คซี่ขึ้นมา จนทำให้การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วอายุคนอีกต่อไป

    “จริงด้วย เวิร์มโฮลที่อยู่ใกล้แร็คนาร็อคที่สุด ถ้ามาจากแถบเฟนเชียลก็ยังต้องเดินทางข้ามอวกาศมาอีกถึงสัปดาห์ แถมยังต้องผ่านด่านสกัดกั้นของกองทัพอีกไม่น้อย บางทีมันอาจจะบุกเข้ามาไม่ถึงไอซาร์ดก็ได้” ขุนนางชาวฟอนกล่าวอย่างมีความหวัง “ถ้าเป็นจากตรงนั้น ท่านครูนาร์สามารถยกกองยานออกไปสกัดกั้นการเทียบท่าได้ตั้งแต่ออกจากเวิร์มโฮลเลยนี่นา”

    “แต่กระหม่อมไม่คิดว่าพวกเขาจะมาทางนั้น” กัปตันครูนาร์เปิดแผนที่แกแล็คซี่สามมิติขึ้นมาในอากาศ ก่อนจะชี้ไปที่มุมหนึ่ง ไม่ไกลจากแร็คนาร็อคมากนัก “มีเวิร์มโฮลซึ่งถูกยกเลิกการใช้ไปแล้ว เนื่องจากมีขอบเขตการบิดผันของเวลาที่ไม่แน่นอนอยู่ตรงนี้ ถ้าผ่านที่นี่มา จะมาถึงไอซาร์ดได้ภายในไม่ถึงครึ่งวัน ตามเวลาแร็คนาร็อค”

    “นั่นมันอันตรายมากเลยนะท่านครูนาร์ เวิร์มโฮลที่มีขอบเขตการบิดผันผิดเพี้ยน อาจทำให้ใครก็ตามที่หลงเข้าไปหายสาบสูญไปเลยก็ได้” ท่านดยุคแห่งไอซาร์ดแย้ง แต่ยังคงมีวี่แววกังวลใจ “นอกจากจะผู้มีพลังจิตระดับสูงที่สามารถหยั่งทิศทางของเวลาได้มานำทางให้”

    “ซึ่งผู้มีพลังจิตระดับนั้นไม่ได้หากันได้ง่ายๆตามท้องตลาดซะด้วย” นายพันชาวคาฮาเรียนพูดติดตลก

    “แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกจูดุ๊บส์จะผ่านเข้ามาไม่ได้ ถ้าหากมีผู้มีพลังจิตระดับสูงหนุนหลังพวกเขาอยู่ล่ะ” กัปตันชาวมิโนทอร์ลดเสียงลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ “กระหม่อมไม่คิดว่าพวกนั้นจะบุกฝ่าด่านสกัดของกองทัพเกือบสิบด่านเพื่อมาเปิดศึกกับเราหรอกนะฝ่าบาท พวกเขาไม่มีกำลังพอจะทำอย่างนั้นแน่”

    “ที่ท่านว่าก็มีเหตุผล งั้นดูนี้ก่อน” ดยุคชาวฟอนวางชิพข้อมูลอันเล็กๆลงบนเครื่องอ่าน “สถานีอวกาศสังเกตการณ์เกลไฮม์ได้รับข้อความนี้มาเมื่อไม่นานนี้เอง”

    “จดหมายเตือน” อุ้งมือเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยคนสีน้ำตาลอ่อนลูบเคราที่ปลายคางเบาๆ กัปตันครูนาร์พินิจดูเนื้อความในสารที่สถานีสังเกตการณ์ได้มา “จะยกพลขึ้นบกเช้าวันพรุ่งนี้ พวกจูดุ๊บส์เอาจริงเหรอเนี่ย”

    “บางทีอาจเป็นการข่มขู่มากกว่า” ผู้พันทหารบกพ่นลมออกจากจมูกย่นๆอย่างไม่ชอบใจนัก “อย่าไปสนใจเลยครับฝ่าบาท เราก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้”

    “แต่ถ้าตามทฤษฎีที่เพิ่งคุยกันไปเมื่อกี้ เราก็รู้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้” สายตายังคงจับจ้องไปที่ข้อความบนหน้าจอ กัปตันครูนาร์เม้มริมฝีปากแน่นครู่ใหญ่ๆ “ผมคิดว่าเราควรต้องออกข่าวเตือนประชาชน กันไว้ก่อนดีกว่า เราไม่ควรพลาดเหมือนที่มิสค์กับแฟนฟอร์ม”

    “ข้อนั้นกระหม่อมเห็นด้วย” ดยุคแห่งไอซาร์ดพยักหน้า “แม้จะน้อยนิดแต่ก็มีโอกาสที่ข้อความนี้จะเป็นจริง”

    “ถ้าอย่างนั้น เราก็อาจได้เจอกับพวกมันเร็วๆนี้” ผู้พันชาวคาฮาเรียนคำรามในลำคอ “กระหม่อมมั่นใจว่าเราไม่หมูเหมือนที่สถานีอวกาศร็อดแมนแน่”

    “ทัพโจรสลัดของจูดุ๊บส์มีกำลังเทียบเท่ากับหนึ่งมหานคร ตามที่เราทราบ กองยานของพวกนั้นมียานรบระดับอาร์มคอมมานเดอร์นำขบวนอยู่ด้วยลำนึง” ซึ่งนั่นสูสีกับหนึ่งกองยานของกองทัพพิทักษ์อวกาศเลยทีเดียว กัปตันครูนาร์กล่าวพลางกะเกณฑ์กำลังรบฝ่ายตัวเองไปด้วย “ทั้งยังมีหน่วยบุกทะลวงที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมอีกด้วย”

    “ทางเราคงต้องฝากความหวังไว้กับทัพอวกาศเป็นหลัก ผมเสียใจด้วยกับการสูญเสียรองกัปตันของคุณไป กัปตันครูนาร์ ผมสัญญาว่าจะควานหาตัวคนร้ายมาให้ได้ แต่ตอนนี้ขอให้คุณทุ่มสมาธิให้กับโจรสลัดก่อน ทางผมเองก็จะพยายามสนับสนุนเรื่องการศึกเต็มที่” ขุนนางผู้เป็นเจ้านครแห่งไอซาร์ดถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปกดอินเตอร์คอมเรียกคนรับใช้ที่หน้าห้อง “ให้แขกของเราเข้ามาได้แล้ว”

    เพียงอึดใจหลังจากที่ท่านดยุคออกคำสั่งผ่านเครื่องมือสื่อสารที่โต๊ะ ประตูโถงบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก ชายทั้งสามในห้องหันไปทางผู้ที่กำลังเดินเข้ามาตามการนำของคนรับใช้ในปราสาทอย่างสนใจ ที่ขนาบมาทั้งสองข้างนั้นเป็นชายชาวมนุษย์ร่างหนาที่มีรอยสักพาดมาถึงแก้มคนหนึ่งและชาวออร์คที่ไว้ผมทรงเดร็ดล็อคอีกคน ทั้งคู่อยู่ในชุดสูทสีดำติดตราสัญลักษณ์รูปใบไม้และเถาวัลย์ สัญลักษณ์ของกลุ่มมาเฟียสตรอว์บาลัม

    และที่เดินอยู่ตรงกลางเยื้องมาทางด้านหน้าเพียงเล็กน้อยนั้น คือเด็กสาวอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าสวยสะอาดหมดจด ดวงตาสีแดงเข้มของเธอดูโดดเด่นในชุดขนหมีสีขาว ยิ่งโดดเด่นด้วยกริยาท่าทางองอาจที่ดูไม่สมวัยยิ่งนัก เพียงแค่ดูเผินๆ เธอมีลักษณะเหมือนมนุษย์ทุกประการ เพียงแต่มีก้านสีเขียวอ่อนกลางศีรษะและเถาวัลย์สี่เส้นที่กลางหลังของเธอเท่านั้นที่บ่งบอกว่ามีเลือดของเผ่าพันธุ์อื่นไหลเวียนอยู่ในตัวของเธอด้วย

    “ท่านเอซ วาทาร์ ดยุคแห่งไอซาร์ด หวังว่าวันนี้การเจรจาของเราจะสำเร็จเรียบร้อยด้วยดีนะคะ” เด็กสาวผู้มีก้านผลไม้บนศีรษะกล่าวยิ้มแย้ม “เชื่อว่าฝ่าบาทเองก็คงไม่อยากรอให้พวกโจรสลัดยกทัพมาจ่อถึงหน้าบ้านก่อนรับมอบสินค้าจริงมั้ยคะ”

    “ท่านผู้มีเกียรติทั้งสอง ผมขอแนะนำนายค้าอาวุธของเรา” เอซ วาทาร์หันมาแนะนำแขกคนใหม่ให้กับนายทหารทั้งสองเหล่าทัพในห้อง “คุณอาริมิแห่งสตรอว์บาลัมอาร์มแอนด์อินโฟเซอร์วิซคอเปอเรชัน”

    “นี่ถึงกับต้องเบิกซื้ออาวุธใหม่กันเลยงั้นหรือครับฝ่าบาท” กัปตันครูนาร์ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ นี่กองทัพต้องการกู้หน้าคืนมากขนาดนี้เชียว “ทั้งที่เราเพิ่งมีการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ประจำปีไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วไอซาร์ดก็เป็นที่ที่ปรับปรุงเรื่องอาวุธมากเป็นลำดับต้นๆของงบประมาณปีนี้ด้วย”

    “แต่เราจำเป็นต้องพร้อมที่สุดนะกัปตันครูนาร์ ทางราชวงศ์อนุมัติมาเองเลยนะ” ผู้ครองนครตอบเสียงอ่อย จากที่กัปตันเฒ่าสังเกต น่าจะเป็นพวกทหารบกมากกว่าที่ตัดสินใจขอเบิกงบซื้ออาวุธใหม่ โดยอาศัยจังหวะที่กองทัพเพลี่ยงพล้ำติดๆกันเป็นข้ออ้าง ซึ่งตัวดยุคแห่งไอซาร์ดเองก็ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับพวกทัพบกซะด้วย

    แต่กัปตันชาวมิโนทอร์ไม่เห็นว่าอาวุธใหม่ที่ยังไม่คุ้นมือจะสู้อาวุธเก่าที่ถูกฝึกฝนจนชำนาญมาแล้วได้ยังไง เขาเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า ความไฮเทคของอุปกรณ์นั้น มีส่วนช่วยน้อยมากในการชิงชัยการศึกสงคราม

    “ปืนใหญ่โฟตอนพิสัยไกล Z7 โอ้โห มีของหรูๆแบบนี้ด้วย” นายทหารบกอ่านรายการอาวุธที่พร้อมส่งมอบ เขาดูจะพึงพอใจไม่น้อย ครูนาร์เองก็คงพอใจอยู่บ้าง ถ้าไม่นับว่าไอ้ปืนใหญ่พิสัยไกลที่ว่านั้นไม่สามารถยิงทะลุชั้นบรรยากาศขึ้นไปช่วยสนับสนุนการต่อสู้ภาคอวกาศได้ ดูเหมือนอาวุธส่วนใหญ่จะเป็นของกองทัพบกไปซะหมด “แต่น่าแปลกใจจริงๆ ที่คราวนี้พวกสตรอว์บาลัมดันส่งเด็กผู้หญิงมาเป็นคนเจรจา”

    นิสัยพวกทหารบก นอกจากจะปากเหม็นแล้วยังอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดผู้อื่นตลอดเวลา

    “ผู้พัน เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกหรอกนะ” นายเหนือแห่งไอซาร์ดกล่าวยิ้มๆ “เธอคือเพรททิโอชา อาเมลินา อาริมิ บุตรสาวคนเล็กของดันไบน์ เจ้าตระกูลสตรอว์บาลัม”

    “นามสกุลของแม่งั้นหรือ” คิ้วย่นๆของกัปตันเฒ่าชาวมิโนทอร์ขมวดแน่น นามสกุลของเธอทำให้เขาสนใจไม่น้อย “เธอสืบเชื้อสายจากจอมปราชญ์อาเมลินามาด้วยสินะ”

    “ค่ะ” เด็กสาวรับคำเสียงเรียบ แววตาซุกซนนั้นยากจะอ่านออกอย่างแท้จริง

    “พวกอาเมลินาชอบดูถูกคนอื่น คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด เธอเป็นอย่างนั้นด้วยรึเปล่าฮึ” ดูเหมือนผู้พันชาวคาฮาเรียนจะไม่ค่อยชอบใจชื่อกลางของเธอเท่าไหร่นัก

    “อย่าดีกว่าผู้พัน คุณหนูคนนี้น่ะ เป็นถึงศิษย์เอกของอาจารย์ศิชนแห่งฟิคาเธียนเชียวนะ” ดยุคชาวฟอนหัวเราะเสียงแหบพร่าด้วยหวังจะเปลี่ยนบรรยากาศ เขาเองดูจะเป็นคนเดียวในห้องนี้ที่รู้ดีว่าไม่ควรไปแหย่แม่สาวลูกครึ่งคนนี้ “ที่ผมเรียกพวกคุณสองคนมาก็เพื่อให้มาดูว่ารายการอาวุธที่สั่งมานั้นเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เราจะได้จัดการเบิกจ่ายกันวันนี้เลย”

    “กระหม่อมโอเคอยู่แล้วครับฝ่าบาท” นายพันทหารบกตอบ สายตายังไม่ละไปจากอาริมิ ส่วนกัปตันครูนาร์ก็ได้แต่พยักหน้ารับคำเงียบๆอย่างเสียไม่ได้

    “ถ้าอย่างนั้น” ผู้ครองนครไอซาร์ดล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทก่อนจะหยิบปากปาขนนกหัวเลเซอร์ขึ้นมาด้ามหนึ่ง ปากกาแบบที่ใช้เซ็นสาระสำคัญโดยเฉพาะ ด้วยระบบกรองดีเอ็นเอผสมไว้ในเนื้อหมึกที่ถูกประทับด้วยความร้อนสูง “เป็นอันว่าการเจรจาซื้อขายลุล่วงไปด้วยดี”

    ลายเซ็นเลเซอร์ของผู้ครองนครถูกประทับลงบนเอกสารซื้อขายอย่างบรรจง แน่นอน นี่อาจไม่ใช่ความพึงพอใจของทุกฝ่าย อย่างน้อยก็กัปตันครูนาร์ที่ไม่เห็นด้วยกับการเบิกซื้ออาวุธใหม่ในยามนี้ แต่กับอาริมิ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธอดูเหมือนจะกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นลายเซ็นนั้น



    สายฝนกรรโชกหนัก ต้นไม้ในป่าไหวลู่ตามแรงลมที่กราดเกรี้ยว อากาศรอบตัวกำลังปั่นป่วน มีเพียงข้างในจิตใจของคะน้าเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง บลาสเตอร์เซเบอร์พาดอยู่บนไหล่ หลังเอนพิงต้นไม้ อย่างน้อยในป่าก็ยังพอมีร่มเงาให้กันฝนได้บ้าง เธอขยับกระดิ่งข้อเท้าที่อยู่ในมือไปมา นับเวลารอใครคนหนึ่ง

    “อากาศแย่นะครับ” ชายชาวโทรล์ใบหน้ากว้างเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาจากทางทิศที่ไปเทอร์มินัลเวย์ กระเป๋าใบใหญ่ถูกสะพายไว้บนหลัง “บนถนนหลักคนเต็มไปหมด ฝนก็ดันมาตกหนัก เลยไปไหนกันไม่ได้เลย ผมเลยกะจะเลี่ยงถนนสายหลัก ตัดผ่านป่าไปทางถนนสายเล็กแทน แต่ดันหลังทาง เชลเตอร์ที่ใกล้ที่สุดดันไม่อยู่ตรงที่ผมคิดไว้ซะนี่ พวกโจรสลัดจะบุกมาอยู่รอมร่อ ทำไมทางการเพิ่งจะออกเตือนภัยตอนนี้ก็ไม่รู้”

    “หลงทางเหรอ รองเท้าไม่เปิ้อนโคลนเท่าไหร่เลยนะ” โจรสลัดสาวกล่าว อย่างที่เธอพูด ตอนนี้ฝนกำลังสาดซัดลงมาอย่างหนัก ทำให้พื้นดินส่วนใหญ่ในป่ากลายเป็นโคลน หากเดินหลงทางในป่าจริง ช่วงล่างของเขาคงเลอะเทอะมากกว่าที่เห็นอยู่นี่แน่นอน

    “สมกับเป็นเบอร์สองของจูดุ๊บส์จริงๆครับ” โทรล์ยิ้มกว้าง ก่อนจะดึงโน้ตบุ๊คออกมาจากกระเป๋า “ผมมาจากสตรอว์บาลัมอาร์มแอนด์อินโฟเซอร์วิสคอเปอเรชัน คุณหนูเก้าต้องการจะพบกับคุณครับ”

    หน้าจอโน้ตบุ๊คสว่างวาบขึ้นมาเป็นหน้าต่างสื่อสารออนไลน์ ลูกสาวคนที่เก้าของดันไบน์ปรากฏขึ้นมาบนจอ อาริมิกล่าวคำทักทายกับคะน้า กระดิ่งลมอย่างเป็นทางการ ก่อนจะเริ่มต้นเจรจาธุรกิจทันที

    “สินค้าที่ทางจูดุ๊บส์จะขอซื้อ เราได้มาแล้วค่ะ” เด็กสาวส่งสำเนาเอกสารฉบับหนึ่งออกมาทางเครื่องปรินท์ขนาดจิ๋วที่ติดอยู่กับโน้ตบุ๊ค “ฉบับจริงเราใช้กระดาษดักจับดีเอ็นเอ ลายเซ็นดยุคแห่งไอซาร์ด เอซ วาทาร์ของจริงรวมไปถึงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธของกองทัพทุกอย่างจะถูกส่งถึงมือคุณทันทีที่การเจรจาจบลง”

    “เปิดไวน์ฉลองได้เลย” โจรสลัดสาวพยักหน้า ก่อนจะส่งเครดิตของเธอให้กับโทรล์ของอาริมิ “การเจรจาจบลงแล้ว ด้วยดี”

    อีกครั้งที่รอยยิ้มของอาริมิกว้างขึ้น นี่คือสงคราม สถานที่ที่มีผู้แพ้ และผู้ชนะ ตราบใดที่มีการแข่งขัน ความได้เปรียบแม้เพียงน้อยนิดก็ย่อมมีราคาสูง เธอคือผู้ที่ขายความได้เปรียบพวกนั้น ทั้งที่น้อยนิดและยิ่งใหญ่

    ด้วยราคาที่สูง



    สองมือกวักน้ำในอ่างล้างหน้ากระจกใสขึ้นมาเบาๆ สายน้ำเย็นเฉียบปะทะผิวหน้า ปลุกประสาทสัมผัสทั้งหมดของนาวาอวกาศเอกทรอปปิคอลให้ตื่นขึ้นมาเต็มที่ เธอเพิ่งออกมาจากการประชุมระดับผู้พันขึ้นไป เรื่องความผิดพลาดที่มิสค์และแฟนฟอร์ม ดูเหมือนผู้ก่อการร้ายทั่วทั้งแกแล็คซี่จะต่อกรด้วยยากขึ้นทุกที เธอเองเพิ่งจะเสร็จศึกกับพวกคอร์แซร์บนมิสค์มาหมาดๆ ไม่คิดว่าพวกนั้นจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ พาลให้อดสงสัยไม่ได้ว่าตอนนั้นพวกคอร์แซร์แกล้งแพ้เพื่อให้ทางกองทัพตายใจหรือเปล่า

    กัปตันครูนาร์ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมเสนาธิการด้วย ดูเหมือนอาจารย์ของเธอจะถูกเรียกตัวเข้าวังเซนต์ซาเวียร์พร้อมกับนายพันทหารบกอีกคน เอซ วาทาร์ ดยุคแห่งไอซาร์ดเป็นผู้สืบสายเลือดสูงศักดิ์อันเก่าแก่ เขาคงไม่อยากให้สายเลือดตระกูลวาทาร์มาจบลงเพราะโจรสลัดแบบนี้แน่ ดูเหมือนตอนนี้ทางกองทัพกำลังตื่นตัวเรื่องจูดุ๊บส์กันมาก จนเรื่องของคิมที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าแทบจะถูกกลบหายไปเลย ช่างเป็นวันที่แย่จริงๆ ไหนจะพายุฝนอีก อะไรๆมันดูจะเลวร้ายไปซะหมด ยังดีที่อย่างน้อยภารกิจของเธอก็ยังไม่ติดขัด

    “กัปตันคะ พวกนาวิกโยธินเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วค่ะ” โอมุกดอินเตอร์คอมสายตรงเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของเธอ “จะเริ่มกันเลยมั้ยคะ”

    กัปตันหญิงมองผ่านกระจกหน้าต่างห้องพักลงไปยังลานกว้างด้านในสวนหย่อมเบื้องล่าง กลางสายฝน พวกทหารกำลังเตรียมเก็บข้าวของเพื่อกลับไปประจำการที่ค่าย เพื่อรับมือกับโจรสลัด กองทัพต้องระดมกำลังพลทั้งหมดที่มีอยู่ในไอซาร์ดมาใช้ เว้นก็แต่เพียงเฮลไฟร์69 จากการประชุมเมื่อครู่ ทรอปปิคอลได้แสดงเจตจำนงชัดเจนแล้วว่าเธอจะไม่นำยานของเธอเข้าร่วมศึกด้วย ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แม้จะขัดต่อสายตาของพวกทหารส่วนใหญ่ที่ต้องการกำลังรบอันแข็งแกร่งของเฮลไฟร์มาเสริมทัพก็ตามที

    “กัปตันคะ” เสียงของโอมุย้ำปลุกทรอปออกมาจากภวังค์ กัปตันสาวไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมาทั้งสิ้น แม้พวกทหารเหล่านี้จะต้องล้มตายในการต่อสู้กับโจรสลัด มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอสักนิด

    “ไปกันเลย โอมุ เราจะเริ่มงานของเราเดี๋ยวนี้” ทรอปปิคอลออกคำสั่งไปในที่สุด ก่อนจะสวมเสื้อคลุมกัปตันแล้วก้าวออกไปจากห้องนั้น งานของเธอไม่ใช่จูดุ๊บส์ แต่เป็นทริกเกอร์ ทิง เธอไม่มีธุระอะไรกับพวกจูดุ๊บส์สักนิด นั่นมันงานของกัปตันครูนาร์ต่างหาก

    “ขอโทษครับท่าน” ก่อนที่ทรอปปิคอลจะทันได้ก้าวออกจากทางเดินของส่วนห้องพักนายทหาร ชายชาวก็อบลินร่างเล็กในชุดทหารบกก็เดินเข้ามาทำความเคารพพร้อมกับส่งชิพจดหมายอันหนึ่งมาให้ทรอปปิคอล “มีจดหมายอิเล็คทรอนิกส์ส่งมาถึงนาวาอวกาศเอกครูนาร์ แต่คนของยานเมดิสันแสควร์ทั้งหมดเดินทางไปที่ท่าจอดยานแล้ว ผมขอฝากจดหมายนี้ไปกับท่านได้มั้ยครับ”

    “แปลกจัง ใช้ชิพจดหมายเหรอ ทำไมไม่ส่งทางอีเมลล์นะ” กัปตันทรอปปิคอลรับชิพจดหมายมาอย่างงุนงง มันเป็นชิพบันทึกข้อมูลแบบเรียบๆที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย ใครกันที่อยากส่งจดหมายให้กัปตันครูนาร์ในตอนนี้ จดหมายที่ไม่สามารถแกะร่องรอยย้อนกลับไปได้ว่าผู้ส่งคือใคร ทรอปปิคอลรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาแปลกๆ “เดี๋ยวก่อนนะ”

    ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังกระตุ้นเธออย่างรุนแรง แม้กัปตันหญิงจะไม่ชอบถือวิสาสะเปิดจดหมายของคนอื่นนัก แต่บางครั้งการลืมมารยาทบางอย่างไปซะบ้าง อาจทำให้ได้จัดการอะไรๆได้ง่ายขึ้น กัปตันทรอปปิคอลเปิดชิพอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเครื่องอ่านชิพแบบพกพาของเธอเอง ก่อนจะพบกับจดหมายที่ทำให้เธอถึงกับลืมภารกิจไปได้ชั่วครู่เลยทีเดียว

    จดหมายที่คะน้า กระดิ่งลม ส่งมาเรียกตัวกัปตันครูนาร์ออกไปรับศีรษะของนาวาอวกาศโทคิมคืน ตามลำพัง



    “แล้วเราจะเอายังไงต่อ” เป็นคำถามเพื่อกระตุ้นให้ใครสักคนลงมือทำอะไรบางอย่าง ทริกเกอร์มักจะพูดคำนี้เสมอเมื่อเพื่อนๆในกลุ่มกำลังปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า หรือที่พีทมักจะเรียกว่าคำถามโง่ๆ

    “อันเชิญคุณหนูอาริมิมาขึ้นยานก่อน แล้วเผ่นกันเลย” มิสเตอร์ซีเป็นผู้ตอบ ก่อนจะขยับปืนในเสื้อโค้ทดูเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อย “บอกไว้ก่อน บนดาวดวงนี้ ไม่สิ ที่เมืองนี้เลย มีทหารหนึ่งกองกำลังตามล่าทริกเกอร์อยู่”

    “ตายแน่แก” พีทหันไปยิ้มขู่ให้อดีตกัปตัน

    “นายก็ใช่ว่าจะปลอดภัยไร้กังวลนะ เดอะข่านเองก็อยู่ที่นี่” มือปืนพูดกับหัวขโมย สีหน้าของพีทสลดลงทันตา “ไม่รู้ว่ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแบบนี้แล้ว พวกนั้นจะรามือจากเราไปก่อนรึเปล่า แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”

    “งั้นรีบหาตัวคุณหนูของเราเถอะ” แฮนด์ลิงค์ของพีทส่งสัญญาณเตือนว่ามีเมลล์เข้ามา เขากดรับแผนที่โรงแรมที่อาริมิพักอยู่ พร้อมชื่อปลอมที่อาริมิใช้จองที่พักซึ่งดันไบน์ส่งมาให้ ก่อนจะส่งต่อให้ซีอีกคน “ไม่ไกลเท่าไหร่ หวังว่าเธอจะยังคงอยู่ที่โรงแรมนะ”

    “แน่ล่ะ ถ้าเธอคิดจะอพยพหนีไปไหน เธอก็คงจะกลับไปตั้งแต่ตอนที่คุณดันไบน์เรียกกลับแล้ว” ทอดสายตาไปตามถนนที่แออัดไปด้วยรถและผู้คน มิสเตอร์ซีลอบถอนใจเบาๆ เขาไม่ใช่เบียดเสียดกับฝูงชนเยอะๆอย่างนี้เลย หวังว่าพอลึกเข้าไปในตัวเมืองผู้คนคงบางตาไปบ้างแล้วนะ



    อาริมิไม่ได้อยู่ที่โรงแรม เธอเพิ่งจะเดินทางกลับออกมาจากปราสาทเซนต์ซาเวียร์ได้ไม่นาน กลางตัวเมืองผู้คนบางตาอย่างที่คิด ส่วนใหญ่คงอพยพออกไปหมดแล้ว ถนนหนทางว่างเปล่า ร้านค้าที่เรียงรายบนท้องถนนติดป้ายปิดร้านเอาไว้เต็มไปหมด สังเกตเห็นบางครอบครัวที่ไม่รู้จะหลบภัยไปไหนปิดประตูบ้านหนาแน่น แอบซ่อนตัวอยู่ภายใน เด็กสาวอมยิ้ม หากโจรสลัดเทียบท่าได้สำเร็จ ต่อให้มีที่หลบภัยแน่นหนาเพียงใดก็คงไม่พ้นถูกลากตัวออกมาจนได้

    สตรอว์บาลัมอาร์มแอนด์อินโฟเซอร์วิสคอเปอเรชัน เป็นบริษัทค้าอาวุธและข่าวสารที่ใหญ่โตอันดับต้นๆของแกแล็คซี่ แม้จะขึ้นตรงต่อสตรอว์บาลัมแฟมิลี่ แต่ผู้ที่บริหารงานทั้งหมดในองค์กรกลับเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวอย่างอาริมิ ในฐานะกรรมการบริหาร เธอมีสิทธิ์แทบจะทุกอย่างในการดำเนินงานของอาร์มแอนด์อินโฟ มากกว่าพ่อของเธอที่เป็นประธานด้วยซ้ำ

    ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาเพราะสายเลือดหรือโชคช่วย แม้จะเป็นลูกสาวของบอส แต่อาริมิก็คงไม่อาจก้าวมาถึงจุดนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้แน่นอน หากไม่ใช่เพราะมันสมองที่ลึกล้ำของเธอ อาริมิเป็นผู้มีมันสมองอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง และเธอไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่มีถึงสอง ด้วยคุณลักษณะพิเศษของลูกครึ่งมนุษย์และไอน์เบอร์รี่ เธอมีสมองทั้งในกะโหลกศีรษะแบบมนุษย์และในก้านกลางกระหม่อมแบบไอน์เบอร์รี่ ด้วยมันสมองอัจฉริยะทั้งสองซึ่งเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ อาริมิจึงเป็นอัจฉริยะในระดับที่ยากจะหาใครเทียบทันได้

    นั่นแหละ ที่ทำให้เธอกลายเป็นยัยคุณหนูตัวร้ายของสตรอว์บาลัมแฟมิลี่เสมอมา

    ฮูเวอร์ไมบิลล์สีแดงเข้มติดโลโก้ไฮแชเรียตอันเป็นบริษัทผู้ผลิตฮูเวอร์โมบิลล์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหรามีระดับและราคาสูงลิบลิ่วเคลื่อนฝ่าสายฝนไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ในยามไม่เร่งด่วนฮูเวอร์โมบิลล์สมารถเปิดล้อออกมาวิ่งบนถนนได้เหมือนรถยนต์ทั่วไปเพื่อประหยัดพลังงาน อาริมิทอดสายตามองดูบ้านเมืองที่ว่างเปล่าผ่านทางกระจกที่นั่งเบาะหลัง นอกจากบอดี้การ์ดสองคนที่นั่งประกบข้างเธอแล้ว บนถนนสายนี้ก็ดูจะมีเพียงคนขับรถของเธอพียงอีกชีวิตเท่านั้นที่ยังหายใจอยู่ เมื่อวานนี้เองที่ถนนสายนี้ยังคับคั่งไปด้วยผู้คนและร้านค้า คึกคักดุจทุกวันที่ผ่านมา ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวท้องถิ่นมากมายเดินชนไหล่กันวุ่นวาย นึกแล้วก็อดสมเพชไม่ได้ พอเกิดเรื่องประชาชนก็ดีแต่ร้องขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์และกองทัพ ดีแต่เอาตัวรอด วิ่งหนี แล้วก็หลบซ่อน

    “คุณหนูครับ ข้างหน้ามีคน” บอดี้การ์ดชาวออร์คเอ่ยขึ้นเรียบๆ ปลุกเธอตื่นจากภวังค์ความคิด เด็กสาวปรายสายตาไปเบื้องหน้า ถนนที่รกร้าง มีชายชาวมนุษย์คนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้ารถของเธอไม่ไกลนัก เขากำลังยืนขวางถนนอยู่พลางทำมือส่งสัญญาณว่าให้จอด

    “ไม่ต้องจอด ขับหลบไป” คุณหนูมาเฟียตอบ เธอไม่มีเวลาว่างมารับคนหลงทางไปด้วย

    รถต้านแรงโน้มถ่วงที่ยังยอมปฏิบัติตามกฎของแรงโน้มถ่วงเบี่ยงหลบชายแปลกหน้าบนถนนอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ ผมสีดำสนิทยาวเคลียบ่า ดวงตาสีดำว่างเปล่าซ่อนอยู่ด้านหลังแว่นกันแดดตวัดมองมายังอาริมิแวบหนึ่ง ที่โดดเด่นจับตาคือตะปูยาวราว 9 นิ้วตัวหนึ่งซึ่งเสียบฝังอยู่ที่กลางหน้าผากของชายหนุ่ม พริบตานั้นเอง ชั่ววินาทีที่อาริมิทันได้สังเกตหน้าของชายหนุ่มคนนั้นถนัดตา ปืนที่ซ่อนอยู่ในเสื้อโค้ทของชายแปลกหน้าก็สะบัดออกมายิงไปที่คนขับรถอย่างแม่นยำ

    ราวกับดาวแร็คนาร็อคทั้งดวงถูกจับพลิกคว่ำ ทันทีที่กระสุนพลังงานชำแรกผ่านกะโหลกของคนขับรถชาวคาฮาเรียน ร่างที่เต็มไปด้วยขนรุงรังของเขาก็เกร็งกระตุกวูบใหญ่ เท้าที่สิ้นคำสั่งจากสมองสะดุ้งกดเอาคันเร่งลงไปจนมิด ฮูเวอร์โมบิลล์คันหรูพุ่งโผทะยานขึ้นไปกระแทกขอบฟุตบาท ก่อนจะลอยหมุนคว้างแล้วฟาดเข้ากับเสาไฟ เหวี่ยงหมุนอยู่กลางอากาศอีกสองรอบ แล้วตกลงมากระแทกพื้นดังสนั่น

    อาริมิยังไม่ตาย ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงของรถไฮแชเรียต ซึ่งทำหน้าที่ได้สมราคา และด้วยความช่วยเหลือของบอดี้การ์ดทั้งสองของเธอ เด็กสาวมีแผลเพียงเล็กน้อยที่ปลายคิ้วและหัวเข่าเท่านั้น การ์ดชาวออร์คเอาร่างเข้ากำบังแรงกระแทกทั้งหมดจากเธอ ในขณะที่การ์ดชาวมนุษย์ช่วยจับตัวเธอหลบเศษวัตถุที่พุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง แน่นอนพวกเขาก็ยังไม่ตาย แต่ก็ได้แผลไปหนักกว่าเธอทั้งคู่

    ก่อนที่อาริมิจะทันได้ขยับตัว การ์ดชาวมนุษย์ดึงเธอออกมาจากซากรถอย่างรวดเร็วพลางกดหัวเธอให้หมอบต่ำไว้เพื่อระวังชายแปลกหน้ายิงซ้ำเข้ามาอีก การ์ดชาวออร์คคลานตามออกมาอย่างยากลำบาก ดูเหมือนเขาจะเจ็บหนักกว่าใคร หยาดฝนเหน็บหนาวกว่าที่คิดเมื่อกระทบผิวบอบบางของเธอ แม้จะอยู่ในยามคับขัน อาริมิก็ไม่ลืมที่จะกวาดสายตาหาผู้จู่โจม เขาหายไปจากถนนแล้ว ใครกันที่คิดจะทำร้ายเธอ ถ้านับศัตรูของพ่อเธอด้วยแล้วก็นับว่ามากมายอยู่

    “คุณหนู หลบไปที่ตึกใกล้ๆกันก่อนดีกว่าครับ เราอยู่ในที่โล่งเกินไป” บอดี้การ์ดของเธอกระซิบ ปืนกระชับแน่นในมือ แม้จะถูกจู่โจมกะทันหัน แต่ก็ตั้งตัวใหม่ได้อย่างรวดเร็วสมกับที่เป็นบอดี้การ์ดของเธอ เด็กสาวพยักหน้าเห็นด้วย

    “อย่าขยับ” โดยไม่มีใครทันรู้ตัว ปืนเลเซอร์ในมือของชายแปลกหน้าก็เล็งตรงมาทางพวกเขาแล้ว การ์ดทั้งสองของอาริมิไวไม่แพ้กัน พวกเขาชักปืนขึ้นมาเล็งทางต้นเสียงทันที ชายผู้มีนัยน์ตาสีดำสนิทและตะปูที่กลางหน้าผากก้าวเข้ามาช้าๆ ปืนซิกซ์แอนด์บราวเลอร์โฟตอนในมือจรดปากกระบอกสงบนิ่งอย่างมืออาชีพ เมื่อครู่เขายังไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย หากเขากำลังเดินเข้ามาหาพวกเธออย่างนี้แต่แรก ชายแปลกหน้าคงถูกการ์ดของเธอยิงจนพรุนไปแล้ว อาริมิบอกกับตัวเองว่าศัตรูมีเครื่องมือเสตลท์ช่วยพรางกายแน่นอน “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ลับ ทิ้งอาวุธซะ”

    เจ้าหน้าที่ลับ พวกตำรวจลับของราชวงศ์งั้นเหรอ หรือว่าเป็นไอ้ที่เลวร้ายกว่านั้น

    “เจ้าหน้าที่ของราชวงศ์ลงมือกับผู้ต้องสงสัยรุนแรงจังเลยนะคะ” อาริมิจ้องตอบศัตรูที่เล็งปืนใส่เธออย่างไม่ลดละ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้บอกว่าเธอกำลังตระหนกแม้แต่น้อย

    “ผมมีเรื่องที่ต้องสอบถามคุณสักหน่อย คุณอาริมิ” เจ้าหน้าที่ลับเบือนสายตาหลังแว้นกันแดดไปทางการ์ดทั้งคู่ของเธอ “บอกคนของคุณให้ทิ้งอาวุธซะ”

    “ทิ้งอาวุธ ทิ้งไพ่ในมือเรา เพื่อให้คุณได้เปรียบงั้นเหรอ” จริงอยู่ถึงแม้ฝ่ายอาริมิจะมีคนมากกว่าในสายตาเท่าที่เห็น แต่พวกเธอไม่รู้เลยว่าศัตรูมีคนเดียวจริงรึเปล่า ถ้าเขามีเสตลท์ ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีเพื่อนของเขาที่ติดเสตลท์อยู่แถวนี้ด้วย ซึ่งนั่นเสี่ยงเกินไป อาริมิจึงจำใจหันไปพยักหน้าให้คนของเธอทิ้งอาวุธลง

    “ขอบคุณที่ร่วมมือครับ” สิ้นคำนั้น กระสุนโฟตอนก็ระเบิดออกจากปากกระบอกปืนของเจ้าหน้าที่ลับตรงหน้า พุ่งเข้าป่นศีรษะที่เต็มไปด้วยรอยสักของบอดี้การ์ดชาวมนุษย์อย่างรวดเร็ว เขาล้มลงสิ้นใจโดยที่ยังไม่ทันได้ร้องสักแอะ การ์ดชาวออร์คสะบัดมืออีกข้างแทบจะทันทีที่กระสุนโฟตอนฝังเข้าไปในหัวเพื่อนเขา ปืนเลเซอร์กระบอกเล็กที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาเลื่อนมาอยู่ในมือทันที

    แต่ก็ช้าเกินไป กระสุนโฟตอนอำนาจทำลายสูงอีกนัดขยี้กลางศีรษะของเขาอย่างแม่นยำ ก่อนที่ออร์คร่างสูงจะทันได้กระดิกนิ้วเหนี่ยวไกด้วยซ้ำ ร่างของการ์ดคนสุดท้ายล้มลงข้างๆอาริมิ เลือดสีแดงเข้มกระเซ็นเปื้อนเสื้อโค้ทขนหมีสีขาวของเธอ เด็กสาวเขม้นมองชายแปลกหน้าที่สังหารบอดี้การ์ดของเธอจนสิ้นอย่างเต็มไปด้วยคำถาม

    “นี่หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่ยังคงควบคุมไว้ในระดับที่ไม่ถึงกับขาดสติ

    “ผมต้องการข้อมูลจากคุณแค่คนเดียว” ชายแปลกหน้าตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เธอแล้วเตะปืนออกจากมือของศพ

    “ตำรวจลับไม่มีสิทธิยิงผู้ต้องสงสัยก่อนสอบสวน” เด็กสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดที่กระเด็นมาเปื้อนใบหน้าของเธอออก เหลือบเห็นสายตาไม่ต่ำกว่าสามคู่ลอบมองออกมาจากช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ตามตึกใกล้ พวกที่หลบซ่อนตัวจากโจรสลัดอยู่คงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงยื่นหน้าออกมา

    “ผมไม่ใช่ตำรวจลับ” คำตอบนั้นทำเอาอาริมิกัดริมฝีปากแน่น เธอพลาดไปซะแล้ว เธอพลาดเองที่ไม่ได้คิดว่าจะเจอคนพวกนี้ พลาดเองที่สัมผัสไม่ได้ว่าแม้จะอยู่นอกเครื่องแบบ แต่ผู้ชายคนนี้ก็มีกลิ่นอายของมือสังหารระดับสูงสุดของกองทัพ “ผมเป็นคนของหน่วยพลังม้า ตำแหน่งแบล็คไนท์ เจ้าหน้าที่อีวาน ไอแซ็คขออนุญาตจับกุมคุณในข้อหาลอบติดต่อค้าขายข้อมูลสำคัญให้กับโจรสลัด กรุณาตามผมมาด้วยครับ”

    “จมูกไวจังนะหน่วยพลังม้า” รอยยิ้มที่มุมปากของอาริมิผุดขึ้นอีกครั้ง หน่วยพลังม้ามีใบอนุญาตจับตายผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องไต่สวน เธอกวาดสายตามองคนของเธอที่นอนตายอยู่บนพื้น เลือดที่ไหลนองถูกเจือจางด้วยน้ำฝน พวกเขาตายเพราะความผิดพลาดของเธอ เพราะเธอซึ่งเป็นอัจฉริยะผู้มีมันสมองถึงสองชั้นปล่อยให้พวกหน่วยพลังม้าสาวรอยได้ เธอจะไม่ลืมเลย จะไม่ลืมว่าคนอย่างเธอเคยผิดพลาด และมันจะไม่มีอีกแน่นอน เด็กสาวพยักหน้าก่อนจะยื่นมือให้เจ้าหน้าที่อีวานใส่กุญแจมือ เขาปลดเครื่องติดตามตัวและแฮนด์ลิงค์ของเธอออกทันที อาริมิเพียงมองดูอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆของเธอถูกใส่เข้าไปในซองกำจัดวงจร อุปกรณ์ทำลายเครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ด้วยความสงบ

    แน่นอนว่าเธอจะต้องเอาคืนอย่างสาสม เธอเอาคืนคนที่ล่วงเกินเธออย่างสาสมเสมอ นั่นแหละ ที่ทำให้เธอสามารถยืนอยู่ตรงจุดนี้มาได้ตลอด นั่นแหละ ที่ให้เธอกลายเป็นยัยคุณหนูตัวร้ายแห่งสตรอว์บาลัมแฟมิลี่เสมอมา



    จัตุรัสมอนทานาไม่เคยร้างผู้คนเช่นนี้มาก่อน ฝูงชนที่เหลืออยู่จำนวนน้อยนิดจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ตามร่มเงาต่างๆ เสียงพึมพำฟังไม่ได้สรรพลอยอื้ออึงอยู่ในอากาศ ไอซาร์ดเป็นนครใหญ่ที่มีประชากรแออัด จากการสำรวจครั้งล่าสุดพบว่ามีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองนี้มากกว่าสี่ล้านคน น่าแปลกใจจริงๆที่สี่ล้านคนหายไปในพริบตา มิสเตอร์ซีโยนห่อขนมปังมื้อแรกของวันลงไปในถังขยะอย่างแม่นยำ ก่อนจะหันไปโบกมือให้เจ้าของร้านเบเกอรี่แห่งเดียวที่ยังเปิดอยู่

    “โชคดีครับ” มือปืนหนุ่มยิ้มกว้าง เจ้าของร้านผงกหัวรับคำอวยพร บนป้ายร้านมีคำขวัญสีแดงสดเขียนเอาไว้ว่า ‘ขนมปังสดใหม่ทุกวัน’ ดูเหมือนเขาจะยึดมั่นในอุดมการณ์ของร้านมากกว่าชีวิต มิสเตอร์ซีเดินกลับมาหาเพื่อนของเขา “เอาล่ะ ยังไงต่อดี คุณหนูอาริมิไม่ได้อยู่ที่โรงแรม ดูเหมือนพวกเราจะมาช้าไป”

    “จูดุ๊บส์ส่งสารเตือนมาแล้วว่าจะลงมือโจมตีพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้ามืด” ทริกเกอร์อ่านข่าวในหน้าจออัพเดทนิวส์ที่เสาหินแดงกลางจตุรัสมอนทานา ซึ่งตอนนี้หน้าจอนับสิบของเสาหินแดงกลายเป็นช่องข่าวสารทางราชการไปหมดแล้ว “จะส่งสารเตือนมาทำไม ดูถูกกันชัดๆ เหมือนจะบอกว่าชั้นจะมาตอนนี้นะ พวกแกเตรียมรับมือให้ดีๆแล้วกันอย่างนั้นแหละ”

    “ก็เพราะกล้าดูถูกกองทัพแบบนี้ไง จูดุ๊บส์ถึงน่ากลัว” มิสเตอร์ซีอ่านใจความในเนื้อข่าวบนจอภาพอย่างละเอียด “อาจจะสารปลอมก็ได้ แต่เผื่อไว้ก่อน อย่างน้อยพวกเราก็มีเวลาหนีถึงพรุ่งนี้เช้า”

    “คงสารปลอมแหละ ไม่มีทางที่พวกนั้นจะโผล่มาที่นี่ในไม่กี่ชั่วโมงได้หรอก เวิร์มโฮลที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปเป็นสัปดาห์” แม้จะเป็นการพูดเปรยๆ แต่ทริกเกอร์ก็ทำซีอดทึ่งไม่ได้ ดูเหมือนอดีตกัปตันแห่งกองทัพจะจำแผนผังเวิร์มโฮลที่ซับซ้อนได้ดีทีเดียว “แต่ตามสุภาษิตของฟิคาเธียนล่ะนะ อย่าประมาทคำล้อเล่นของศัตรู”

    “คลื่นการสื่อสารของอาริมิระบุว่ายัยนั่นมาที่นี่ในฐานะนายหน้าค้าอาวุธของแฟมิลี่ บางทีเธออาจจะอยู่ที่เซนต์ซาเวียร์” ในที่สุด พีทซึ่งนั่งแกะรอยคลื่นสัญญาณการสื่อสารของอาริมิด้วยเครื่องจับคลื่นเครื่องเล็กๆมาตลอดก็ได้ข้อสรุป “ว่าไงซี ไปเที่ยวปราสาทหรูกันหน่อยมั้ย”

    “มีน้ำแร่ให้แช่ก็ดีสิ” มือปืนหนุ่มอมยิ้มก่อนจะตบหลังพีทเบาๆ แล้วหันไปทางทริกเกอร์ “ว่าไงกัปตัน จะไปต่อกับพวกเรา หรือจะกลับไปที่ยานเลย”

    “แถวนี้ไม่ไกลจากท่าอวกาศยานหลักเท่าไหร่” ทริกเกอร์จ้องป้ายบอกทางอย่างครุ่นคิด เขาเองก็มีคนที่อยากพบอยู่เหมือนกัน “พวกนายล่วงหน้าไปก่อนแล้วกัน แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ยาน”

    “นายจะไปทำอะไรที่ท่าอวกาศยาน ป่านนี้ที่นั่นพวกทหารคงเดินชนกันเต็มไปหมด” พีทปิดเครื่องจับคลื่นสัญญาณใส่ลงในซองข้างเอว “เครื่องพรางกายช่วยได้ไม่นานหรอกนะ”

    “ชั้นว่าจะไปหาอาจารย์เก่าหน่อยน่ะ” กัปตันครูนาร์คือปราการแรกสุดที่จูดุ๊บส์ต้องเผชิญ อย่างน้อยเขาก็อยากไปให้กำลังใจอดีตผู้ที่คอยผลักดันเขาสักครั้ง “คงไม่มีปัญหาอะไร”

    “ปัญหาน่ะมีอยู่แล้ว” มิสเตอร์ซีบีบไหล่ทริกเกอร์อย่างหนักใจ รู้ดีว่าห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ “แต่อย่าให้มันหนักมากก็แล้วกัน”

    สายฝนโปรยปรายซีและพีทมุ่งหน้าไปยังเซนต์ซาเวียร์เพื่อจบภารกิจของพวกเขา ขณะที่ทริกเกอร์แยกไปยังท่าอวกาศยานเพื่อพบกับอาจารย์อีกครั้ง ในขณะที่นักฆ่าและโจรสลัดกำลังใกล้เข้ามา ทรอปปิคอลก็กำลังแยกตัวออกจากทีมจู่โจมของเธอเช่นกัน

    กัปตันหญิงกำลังมุ่งหน้าไปพบกับคะน้า กระดิ่งลม เพื่อทวงศีรษะของอดีตเพื่อนร่วมยานคืน



    Character

    คุณหนูเพรททิโอชา อาเมเลียนา อาริมิ by คุณนายน์ Arimi เจ้าเก่า
    เอซ วาทาร์ ดยุคแห่งไอซาร์ด by น้องต้า Avatar หน้ามนคนเดิม
    พันตรีอีวาน ไอแซ็ค by น้องอีวานนั่นแหละ

    Free Talk
    ในตอนนี้มีตัวละครใหม่ๆ ที่ไม่มีอยู่ในฉบับเก่าผุดขึ้นมาสองตัวทีเดียว หน่วยพลังม้าซ่งแต่เดิมมีแค่ห้าคนก็ถูกเพิ่มบทบาทและจำนวนสมาชิกเข้าไปเล็กน้อยครับ ต้องขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าในเวอร์ชั่นนี้ ผมได้ตัดฉากบ้าบอทิ้งไปเกือบหมดเลย เพราะฉะนั้นใครที่รอดูความหลุดโลกของสามสาวจูดุ๊บส์หรือสภาพสุดมั่วบนดาวฟิคาเธียนในตอนหลังๆนี่ อาจจะผิดหวังกันเล็กน้อย แต่ยืนยันครับว่าสามสาวจูดุ๊บส์จะยังคงคุณลักษณะโรคเก่าๆเอาไว้ครบถ้วน และไม่แน่ว่า ดิโอ เดอะวัน เด็กนรกจากฉบับเก่าก็จะยังคงกลับมาในลักษณะเดิมในภาคนี้ด้วย สุขสันต์ปี 2009 ครับ ขอบคุณครับ :D
  3. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 9 - เมืองร้าง Updated 5/1

    แง้ๆๆ เอาออกหมดเลยเหรอ มันจะกลายเป็นฟิคเครียดไปเลยหรือเปล่าครับเนี่ย

    [action]นั่งรอตอนต่อไป[/action]

    [action]รอฉบับพ๊อกเก็ตบุ๊คด้วย คุคุคุคุ[/action]
  4. freecss

    freecss Member

    EXP:
    145
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 9 - เมืองร้าง Updated 5/1

    ไปคุ้ยหาของเก่ามาอ่านเทียบดีกว่า...
    หนังสือออกเมื่อไหร่เอาตัวจริงไปคอสเปิดตัวเลยพี่!
  5. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 9 - เมืองร้าง Updated 5/1

    All Final Wars #10

    Sassy Girl


    [​IMG]

    เสียงเข็มนาฬิกาซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆของห้องเช่าราคาถูกในตึกไม่ไกลจากบริเวณค่ายทหารที่ยังคงส่งสำเนียงต่อเนื่องเป็นจังหวะอยู่ได้ขยับวนเวียนหมุนกลับมาที่เลขเดิมราวกับไม่มีวันหยุด น้ำในแก้วตรงหน้าถูกวางไว้ในระยะที่หยิบฉวยได้ง่าย แต่อาริมิรู้ดีว่าในนั้นมียากล่อมประสาทอยู่ และเธอก็ยังต้องการให้ประสาทและสติของเธออยู่ครบถ้วนในตอนนี้ เด็กสาวจึงเลือกที่จะปล่อยให้น้ำอยู่ในแก้วต่อไป ไม่ไหลผ่านลำคอที่แห้งผากของเธอ

    อุ้งมือแข็งแกร่งถุงมือสีดำขยับในที่สุด ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าซึ่งนั่งนิ่งมานับชั่วโมงกดหยุดนาฬิกาที่กำลังเดินอยู่ เข็มนาฬิกาส่งตัวเลขพลาสติกบนหน้าจอขึ้นมาที่เลข 120 พอดี มันไม่ใช่นาฬิกาบอกเวลา แต่เป็นนาฬิกาจับเวลาต่างหาก

    “หมดเวลาแล้ว คุณควรจะพูดอะไรออกมาบ้างได้แล้วนะ” เจ้าหน้าที่หน่วยพลังม้าขยับเปลี่ยนท่าจากที่นั่งเอนหลังไขว่ห้างมาเป็นนั่งตรงๆเหมือนตอนแรกที่เข้ามาในห้องนี้ เสื้อคลุมที่มีตราสัญลักษณ์ของหน่วยพลังม้าสวมทับอยู่บนเสื้อเชิ้ตขาว แว่นกันแดดที่เพิ่งจะถูกถอดออกมาเช็ดเมื่อครู่ถูกสวมกลับเข้าไปอย่างเดิม “จูดุ๊บส์ซ่อนกองกำลังไว้ที่ไหน แล้วจะบุกเข้ามาตรงไหน และเมื่อไหร่”

    “ขอโทษค่ะ เราแค่มาค้าขาย ไม่ทราบเรื่องนั้นหรอก” แม้จะดูอิดโรยลงเล็กน้อย แต่แววตาก็ยังคงแจ่มใส และรอยยิ้มก็ยังคงไม่แสดงออกถึงความกังวลอันใด อาริมิตอบคำถามอย่างรัดกุม

    “ผมให้เวลาคุณมากพอแล้วนะ” มากพอสำหรับการไตร่ตรองว่าจะฆ่าเธอด้วยวิธีไหนงั้นเหรอ หน่วยพลังม้าถนัดเรื่องนั้นที่สุดนี่นา “บอกผมมาสักอย่าง ก่อนที่ผมจะเลิกเกรงใจบารมีคุณพ่อของคุณ”

    “ถ้าเกรงใจบารมีคุณพ่อ คุณก็คงไม่ใช่หน่วยพลังม้าแล้วล่ะ” อาริมิตอบ เจ้าหน้าที่อีวานเผยยิ้มเรียบๆที่ดูไม่ออกว่านึกขำตามอารมณ์ขันของเด็กสาวหรือแค่เห็นด้วย “แต่ต้องขออภัยอีกครั้งนะ ทางเราไม่ทราบอะไรเลยจริงๆ เราไม่ก้าวก่ายงานของลูกค้า”

    “คุณกำลังทำให้มันยากขึ้นนะ” อีวานพลิกข้อมือดูนาฬิกา “อีกหนึ่งชั่วโมง คุณลองใช่สมองทั้งสองส่วนของคุณไตร่ตรองออกมาสักคำตอบ ไม่อย่างนั้นผมเสียใจที่จะต้องตัดสมองส่วนใดส่วนหนึ่งของคุณทิ้งไป ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณไม่ใช่อัจฉริยะอีกต่อไป”

    “ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเซนต์ซาเวียร์และฐานทัพ คุณไม่คิดจะเตือนพวกเขาก่อนเหรอว่าชั้นขายอะไรไปบ้าง” เพื่อถ่วงเวลาและเบนความสนใจ อาริมิเลือกปล่อยคำถามออกไปบ้าง

    “ไม่ใช่ธุระของผม งานของหน่วยพลังม้าคือกำจัดอาชญากรในลิสท์เท่านั้น แน่นอน ผมจะปล่อยให้จูดุ๊บส์บุกเข้ามา นั่นคงง่ายขึ้นสำหรับการแทรกซึมเข้าไปในยานแม่แล้วจัดการกับตัวหัวหน้าของพวกนั้น แต่ผมต้องรู้ว่าพวกนั้นจะยกพลเข้าเทียบท่าที่ไหน ทุกอย่างจะได้ง่ายขึ้น” คำตอบของหน่วยพลังม้าบอกอาริมิว่าเขาไม่สนใจสักนิดว่ากองยานหนึ่งกองอาจจะถูกลบหายไปจากระบบ หรือประชาชนอีกเท่าไหร่จะต้องเดือดร้อนจากการที่จูดุ๊บส์เข้าเทียบท่า อีวานสนใจเพียงแค่การเด็ดหัวกัปตันของจูดุ๊บส์เท่านั้น “สำหรับทหารที่อาจจะต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ นี่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาเช่นกัน”

    “พวกคุณรู้อยู่แล้วว่าทางเราติดต่อค้าขายกับจูดุ๊บส์ แต่ก็ปล่อยให้เราส่งมอบสินค้าก่อน ถึงค่อยมาจับ คุณยอมปล่อยให้พวกนั้นบุกเข้ามา เพียงเพื่อจะสังหารตัวหัวหน้าแค่นั้น” น้ำเสียงของลูกครึ่งมนุษย์ไอน์เบอร์รี่ดูราวจะยิ้มเยาะให้กับการทำงานของหน่วยพลังม้า “คุณอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”

    “ไม่ใช่โจรสลัด แต่เราก็ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับกองทัพ เราทำงานให้จักรพรรดิ” อีวาน ไอแซ็คตอบ สีหน้าบ่งบอกว่าเขาหมายความตามที่พูด ยิ่งตอกย้ำความหมายของหน่วยพลังม้าให้เด่นชัด

    “สมกับที่เป็นหน่วยล่าสังหารพิเศษจริงๆ” รอยยิ้มของอาริมิค่อนขอดอีวานเบาๆ แต่เขาไม่ใส่ใจ เจ้าหน้าที่หน่วยพลังม้ากดนาฬิกาจับเวลาให้เดินต่อไป เธอมีเวลาอีก 60 นาที สำหรับคำตอบที่เธอไม่รู้ เธอไม่เคยก้าวก่ายงานของลูกค้าจริงๆ นั่นทำให้สตรอว์บาลัมอาร์มแอนด์อินโฟเซอร์วิสยิ่งใหญ่มาได้จนทุกวันนี้ แต่ครั้งนี้ดูอะไรๆจะไม่เข้าที่ไปสักหน่อย เด็กสาวอัจฉริยะต้องหาทางเอาตัวเองออกไปจากที่นี่ให้ได้ภายในหกสิบนาที ก่อนที่เธอจะถูกฆ่า

    “อย่ามองผมแบบนั้น เราต่างก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ จริงมั้ย” และหน้าที่ของอีวานก็ได้ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายเกิดขึ้นมากมาย

    “ไม่สงสัยเลยว่าทำไมคุณถึงมีตะปูเสียบอยู่กลางหัวแบบนี้” อาริมิยิ้มเยาะให้กับตะปูกลางหน้าผากของอีวาน ไม่ว่ามันจะเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง และเพราะอะไร แต่คนอย่างอีวาน สมควรจะถูกอะไรซักอย่างฝังเอาไว้ในศีรษะจริงๆ น่าเสียดายที่ตะปูตัวเล็กไปนิดนึง

    คะเนดูด้วยสายตาแล้ว ห้องที่เธอถูกกักตัวไว้ในตอนนี้เป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆ ของเอกชน ไม่ใช่สถานที่ของกองทัพแต่อย่างใด และดูเหมือนตัวอีวานเองก็ไม่มีเพื่อนร่วมงานอยู่แถวนี้ด้วย อาจไม่ยากนักหากต้องการจะหลบหนี แต่เธอต้องรู้ถึงศักยภาพของฝ่ายตรงข้ามซะก่อน ยังไงอีวานก็เป็นถึงชั้นเสนาธิการของหน่วยพลังม้า ติดตำแหน่งแบล็คไนท์ ย่อมไม่ปล่อยให้เธอรอดกลับออกไปง่ายๆได้แน่นอน อาริมิต้องการมากกว่าโชค เธอต้องการพริบตาที่อีวานเผลอ หรือถ้าจะให้ดีที่สุด เธอต้องการคนช่วยเหลือ แต่ใครล่ะจะมาช่วยเธอได้ บนดาวที่ห่างไกลจากถิ่นอิทธิพลของพ่อเธอขนาดนี้



    ประชาสัมพันธ์หน้าปราสาทเซนต์ซาเวียร์บอกว่าอาริมิเสร็จธุระและเดินทางออกไปจากที่นี่ได้ครู่ใหญ่มากๆแล้ว ดูเหมือนเธอจะหายตัวไประหว่างกลับโรงแรมที่พัก ซึ่งนั่นแปลกมาก ดูเหมือนสัญญาณคลื่นของอุปกรณ์ต่างๆที่เธอพกไว้ก็จะหายไปด้วย นั่นมีความเป็นไปได้สูงว่าเธอถูกควบคุมตัวเอาไว้ แน่นอน หากเป็นในยามปกติที่เมืองไอซาร์ดพลุกพล่านด้วยผู้คน ใครจะกล้าลงมือลักพาตัวลูกสาวเจ้าพ่ออย่างอาริมิ แต่ในยามที่ทั้งเมืองแทบจะร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ บางทีอาจมีคนกล้าก็ได้

    “เอาล่ะ เรามาทบทวนความจำกันหน่อยดีกว่า” มิสเตอร์ซีขยับมู่ลี่หน้าต่างออกเล็กน้อย น้ำฝนตามตัวหยดลงบนพรมเป็นหย่อมๆ แต่ช่างมันเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ค่อยจะสะอาดอยู่แล้ว ห้องทึบๆชั้นบนสุดของอพาร์ทเมนท์ที่อยู่ติดถนนสายหลักถูกใช้เป็นที่ซ่อนตัวของชายชาวลูนาเรียนคนหนึ่ง และพวกซีก็คิดว่าชายคนนี้น่าจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ฝนยังคงสาดซัดอย่างไม่ยอมหยุด แต่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ถนนเบื้องล่างว่างเปล่า แต่มีร่องรอยการต่อสู้ให้เห็นจางๆ หนึ่งในนั้นคือรอยไถลของยานรถ รถของอาริมิ “นายอยู่ที่ห้องนี้ตลอดเวลา และสัญญาณของคนที่เราตามหาก็ขาดหายไปจากตรงนี้”

    ผู้ชายชาวลูนาเรียนที่เขาพูดด้วยมีท่าทีตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ใบหูยาวๆทั้งสองของเขาลู่ลงอย่างตระหนก ทั้งยังตัวสั่นตลอดเวลา ทั้งๆที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องของเขาเอง ดูเหมือนการมีชายแปลกหน้าสองคนบุกเข้ามาเยือนในยามนี้จะทำให้เขาประสาทเสียไปไกลเลยทีเดียว

    “เกิดอะไรขึ้นที่นี่” คำถามของมิสเตอร์ซีเพียงแผ่วเบาไร้น้ำเสียงข่มขู่ แต่ก็ทำเอาอีกฝ่ายขวัญกระเจิง

    อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบวิธีแบบนี้เท่าไหร่นัก ไอ้วิธีรีดข้อมูลแบบมาเฟียที่เขาทำอยู่นี่เป็นความคิดของพีทซึ่งกำลังนั่งลับมีดอยู่ใกล้ๆ การที่จู่ๆจะพังประตูบุกเข้ามาในบ้านคนอื่นแล้วเค้นถามเรื่องที่เขาเพิ่งเห็นดูจะไม่ใช่วิถีของสุภาพบุรุษอย่างมิสเตอร์ซีเท่าไหร่ แต่พีทยืนยันว่าหากไม่ทำแบบนี้ ชาวบ้านทั่วไปที่กำลังตระหนกด้วยเรื่องของโจรสลัดไม่มีทางยอมเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับอะไรที่ดูไม่ชอบมาพากลง่ายๆแน่ และพวกเขาก็ไม่มีเวลาจะมานั่งกล่อมซะด้วย

    “ผม ม...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ลูนาเรียนวัยกลางคนในชุดนอนปากคอสั่น เขาเป็นหนึ่งในคนที่คิดว่าหลบอยู่ในบ้านแล้วจะปลอดภัย เป็นหนึ่งในจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่ากองทัพจะคุ้มครองเขาได้

    “ผมขอแนะนำให้รู้อะไรบ้างจะดีกว่านะ คุณอยู่ในห้องนี้ ตำแหน่งที่พอจะมองเห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมด พวกผมกำลังรีบมาก และเพื่อนผมก็ร้อนใจเรื่องโจรสลัดพอๆกับคุณนั่นแหละ” มือปืนหลิ่วตาไปทางหัวขโมยหนุ่ม พีทแกล้งทำเป็นลับมีดให้เสียงดังบาดหูยิ่งขึ้น ขั้นตอนการข่มขู่ที่ดีที่สุด คือต้องมีคนนึงปลอบ และคนนึงขู่ “ผมไม่รู้ว่าถ้าจวนตัวขึ้นมา หมอนั่นอาจจะทำอะไรบ้าๆอย่าง ตัดโน่นตัดนี่ หรือฝังเหล็กแหลมๆลงไปในตัวใครซักคนได้ ซึ่งนั่นคงไม่ดีเลย”

    “เฮ้ย มันไม่ยอมพูดว่ะซี ชั้นว่าตัดนิ้วเท้ามันซักข้างก่อนดีกว่ามั้ย เผื่อมันจะนึกอะไรออกบ้าง” พีทขู่อย่างสมบทบาทจนซีกลั้นขำแทบไม่อยู่ อย่างพีทเนี่ยนะจะตัดนิ้วเท้าคนอื่น ถ้าไม่จวนตัวสุดๆมีดของพีทก็แค่ของประดับเท่านั้น

    “อย่าๆ ผมพูดแล้ว” สำหรับลูนาเรียน ดูเหมือนไอ้ที่พีทขู่จะได้ผลไม่เลว “มีรถคันนึงถูกยิง ผู้ชายชาวมนุษย์ผมดำจับตัวผู้หญิงที่มีเถาวัลย์กลางหลังไป”

    “บิงโก” นั่นแหละคำตอบที่เขาต้องการ มิสเตอร์ซีหันกลับมาที่ลูนาเรียนเจ้าของห้อง “พวกนั้นไปทางไหน”

    “ทางค่ายทหารครับ” ลูนาเรียนไม่ได้โกหก เขาไม่มีเหตุผลจะต้องโกหก ซีพยักหน้าให้พีทช้าๆ พวกเขาต้องไปแล้ว

    “ขอแนะนำไว้อย่าง” มือปืนหนุ่มหันมากล่าวกับเจ้าบ้าน ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป “หนีออกไปจากที่นี่ซะเถอะ มันไม่ปลอดภัยหรอก”



    เท้าของทรอปปิคอลย่ำผ่านโคลนเลนไปอย่างระมัดระวัง เธอไม่ชอบเลยเวลาฝนตก มันทำให้ทุกอย่างเลอะเทอะแล้วก็เฉอะแฉะ ยิ่งความรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาออกปฏิบัติการตามลำพังนี่อีก ดาบโฟตอนทรงคาตานะในสายสะพายที่ข้างเอวทำให้อุ่นใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเธออาจคิดผิดก็ได้ที่มาอยู่ตรงนี้

    “ถึงยังไง มันก็อันตรายอยู่ดีที่จะไปคนเดียวนะคะ ให้พวกนาวิกโยธินติดตามไปด้วยเถอะค่ะ” รองกัปตันโอมุของเธอยืนกรานหนักแน่นเอาไว้เมื่อไม่กั่วโมงก่อน ตอนที่เธอกำลังจะแยกจากกลุ่มมาตามลำพัง “กัปตันครูนาร์เองก็เป็นอาจารย์เก่าของโอมุเหมือนกัน เรื่องเป็นห่วงน่ะ โอมุเองก็ห่วงไม่แพ้กัปตันทรอปปิคอลหรอก แต่อีกฝ่ายเป็นถึงคะน้า กระดิ่งลมเชียวนะคะ”

    “โอมุ งานของเธอและพวกนาวิกฯคือจัดการกับทริกเกอร์ ไม่ใช่คะน้ากระดิ่งลม ที่ชั้นหนีไปคนเดียวนี่ก็ถือว่าผิดกฎมากมายแล้วนะ” น่าแปลกที่คนอย่างทรอปปิคอลจะยอมผิดกฎ แต่เธอทำใจปล่อยให้กัปตันครูนาร์มาเผชิญหน้ากับคะน้า กระดิ่งลมเองไม่ได้ เธอรู้ว่าเขาทั้งชราและอ่อนโยนเกินกว่าจะสู้กับมือสังหาร และเขาก็เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวที่เธอนับถือ แม้จะต้องผิดวินัยกองทัพซึ่งเธอไม่ชอบเลย แต่เธอก็จะพยายามทำให้เร็วและเรียบร้อยที่สุด เพื่อที่จะไม่กระทบงานราชการอื่นๆ “ในโรงเรียนนายเรืออวกาศ หนึ่งในวิชาที่ชั้นได้ท็อปของปีคือวิชาฟันดาบ อย่าลืมสิ”

    แต่นี่ไม่เหมือนในสนามซ้อมของโรงเรียนนะ แววตาของโอมุบอกอย่างนั้น ทรอปปิคอลเองก็รู้ดี ตั้งแต่เรียนจบมา เธอก็นั่งแท่นเป็นผู้ช่วยนักบิน ไต่เต้าอยู่บนยานมาตลอด แทบไม่เคยได้จับดาบอีกเลย

    “เธอคุมพวกนาวิกโยธินไปจัดการเรื่องของทริกเกอร์เถอะ ชั้นสัญญาว่าจะพยายามไม่ให้มีการปะทะกัน” ซึ่งทรอปปิคอลก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไงถึงจะหลีกเลี่ยงการปะทะมาได้ เธอตัดสินใจไปทวงศีรษะของคิมคืน ทั้งที่คะน้า กระดิ่งลมส่งจดหมายมาเรียกตัวครูนาร์ไปรับศีรษะไม่ใช่เธอ ทรอปปิคอลรู้ดีว่ามันเป็นกับดักเพื่อเรียกกัปตันยานบัญชาการไปสังหารก่อนออกรบ แต่ถ้าเป็นกัปตันครูนาร์ ถ้าเขาเห็นจดหมายฉบับนี้ที่บอกว่าจะสับศีรษะของคิมเป็นชิ้นๆ หากเขาไม่มาพบก่อนเที่ยงคืน กัปตันชาวมิโนทอร์ผู้อ่อนโยนต้องรีบแจ้นออกไปรับคมดาบแน่

    อย่างน้อยทรอปปิคอลก็มั่นใจว่าเธอจะไม่ใช่คนที่รอรับคมดาบของศัตรูฝ่ายเดียวแน่นอน

    “นึกว่ากัปตันครูนาร์เป็นผู้ชายซะอีก” แววหยามหยันระคนในน้ำเสียง ทรอปปิคอลหันหลังกลับไปดู ดาร์คเอลฟ์สาวในชุดกี่เพ้ายืนอยู่ตรงนั้น ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่เปียกปอนด้วยสายฝน ในมือคือบลาสเตอร์เซเบอร์ อาวุธสังหารของเหล่าซามูไรไซเบอร์ ที่มืออีกข้างเป็นกล่องใบใหญ่ ข้างในนั้นเป็นหัวของลิซาร์ดแมนที่หายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

    “ชั้นก็นึกว่าซามูไรไซเบอร์จะตายไปหมดแล้วซะอีก” ทรอปปิคอลเลื่อนมือขวามาแตะที่ซองดาบข้างเอวของตนเพื่อเรียกความอุ่นใจคืนมา สัมผัสได้ถึงจิตคุกคามของศัตรูที่เฉียบคมยิ่งกว่าใบมีดและเหน็บหนาวกว่าสายฝน “นาวาอวกาศเอกทรอปปิคอลแห่งยานเฮลไฟร์69 มาขอรับศีรษะของนาวาอวกาศโทคิมกลับไปประกอบพิธีศพ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”

    “เธอคือกัปตันอีกคนนี่เอง เด็กกว่าที่คิดนะ” มือสังหารสาวก้าวลงมาจากรากไม้ใหญ่ที่เธอยืนอยู่ รองเท้าบูทสัมผัสพื้นนุ่มๆฉ่ำฝน กระดิ่งข้อเท้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง “หลังจากเรื่องที่กองทัพทำกับพวกเราที่อัลทิมา คิดว่าเรายังจะให้ความร่วมมือกับคนของกองทัพอยู่อีกมั้ยล่ะ”

    “ให้เกียรติผู้ตายหน่อยโจรสลัด เธอเองก็คงหวังสิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นศีรษะของเธอที่อยู่ในมือของพวกเรา” น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง ทรอปปิคอลไม่หวังให้ศัตรูเมตตา แต่อย่างน้อยเธอก็เชื่อว่าซามูไรไซเบอร์คงยังคงเหลือจิตวิญญาณของนักรบอันทรงเกียรติเอาไว้บ้าง “คืนศีรษะคุณคิมมา แล้วเราค่อยไปเจอกันในสนามรบ”

    “แย่จัง” คะน้าเปิดกล่องออกเผยให้เห็นศีรษะของคิมที่อยู่ภายใน ทรอปปิคอลอ่านได้จากแววตาของมือสังหารว่าเธอไม่คิดจะคืนหัวให้แน่ๆ “ชั้นกะจะเอาไอ้นี่มาล่อให้กัปตันยานเมดิสันแสควร์ออกมาหา แล้วเชือดซะ กองยานของเราจะได้ผ่านเข้ามาง่ายๆ”

    “ดูท่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิดซะแล้ว” อย่างน้อยทรอปปิคอลก็คิดจะถ่วงเวลาชวนคุยให้นานที่สุด เผื่อว่าเธอจะมีโอกาส

    “นั่นสิ” น่าเสียดายที่คะน้าไม่ปล่อยให้โอกาสเกิดขึ้นก่อน เธอโยนกล่องที่ใส่ศีรษะของคิมขึ้นไปบนฟ้า แล้วเสยปากกระบอกปืนของบลาสเตอร์เซเบอร์ขึ้นตาม กระสุนเลเซอร์เพียงนัดเดียวพุ่งทะยานออกจากปากกระบอกปืน ก่อนที่ทรอปปิคอลจะทันร้องห้าม เสียงระเบิดก็ดังสะท้านไปทั่วทั้งบริเวณ ทั้งกล่องและหัวข้างในเหลือแต่ซากไหม้ๆที่ตกลงมากองระเกะระกะอยู่บนพื้น “ถ้าเธอเอาหัวชั้นไปได้ จะทำยังไงก็เชิญ”

    “ด้วยความยินดี” ทรอปปิคอลคำราม แม้จะเป็นอดีต แต่คิมและเธอก็เคยเป็นเพื่อนร่วมยานกันมาก่อน และเธอก็รู้ว่าอาจารย์ครูนาร์ของเธอจะต้องเสียใจกับเรื่องนี้มากแน่ๆ ดวงตาที่สงบนิ่งมาตลอดวาวโรจน์ด้วยความเกรี้ยวกราด เธอลืมแม้แต่จะประเมินความสามารถของศัตรูว่าเหนือกว่าขนาดไหน ดาบโฟตอนทรงคาตานะถูกชักออกมาชี้ตรงไปยังคะน้า กระดิ่งลม มือสังหารผิวปากอย่างพึงใจ

    “นึกว่าพวกกัปตันยานบัญชาการจะดีแต่สั่งซะอีก” บลาสเตอร์เซเบอร์เล่มยาวควงไปมาในมือก่อนจะเล็งตรงไปยังทรอปปิคอล เสียงกระดิ่งที่ผูกปลายดาบดังกังวานเป็นจังหวะ คะน้าเพียงกล่าวกับตัวเองเบาๆ “ผิดแผนไปหน่อย แต่ก็กัปตันเหมือนกันล่ะนะ”



    “คนที่พาอาริมิไปต้องเป็นคนของกองทัพแน่” ซีโพล่งขึ้นมาขณะก้าวออกจากรถรางในเมืองซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติยังคงให้บริการอยู่ตามปกติ “ถึงจะไม่ค่อยมีคน แต่ก็ต้องมีทหารลาดตระเวนเต็มไปหมด แถมมียิงกันแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพจะไม่รู้เรื่อง นอกจากจะตั้งใจปิด”

    “แต่แปลกนะ ร่องรอยของพวกที่พาอาริมิไปมาสุดอยู่แค่แถวนี้ ถ้าเป็นพวกกองทัพ ทำไมไม่พาเธอไปที่ค่ายทหาร นี่มันก็ไม่ไกลแล้ว” พีทตรวจดูพื้นที่ด้วยเครื่องวัดรังสีและความร้อน “เอาล่ะ ชั้นจนมุมแล้ว ตานายแล้วซี ลองฟังดูซิ”

    แทนคำตอบ มิสเตอร์ซีหันไปทางถนนที่ทอดยาวเบื้องหน้า สุดปลายทางนั้นคือค่ายทหาร ที่เรียงรายอยู่บริเวณนี้เป็นตึกเก่าๆ อพาร์ทเมนท์และร้านค้าที่ปิดไปแล้วเป็นส่วนมาก มือปืนหนุ่มจากธรณีนี่นี้ใครครองสูดลมหายใจอย่างสงบนิ่งและฟัง ทุกสรรพสำเนียงที่เกิดขึ้นในรัศมีการได้ยินอันกว้างไกลและทรงพลังของเขา

    ลมหายใจ เสียงหัวใจเต้น หยาดฝนกระทบพื้น ฝีเท้า บานประตูพับ เสียงหัวเราะ เสียงคืบคลานของแมลงและสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆ เครื่องจักกำลังทำงาน น้ำในท่อระบายน้ำไหลรุนแรงด้วยสายฝน เหล็กเสียดสีกันด้วยแรงลม สายฝนรบกวนการได้ยินของเขาเพียงเล็กน้อย หนึ่งในสิ่งที่ทำให้มิสเตอร์ซีเหนือกว่าคนอื่น ประสาทหูที่ทรงพลังของเขาสามารถระบุทุกเสียงรอบตัวได้อย่างชัดเจนเป็นรัศมีมากกว่า 100 เมตร แม้จะซ่อนอยู่ภายใต้เลนส์ครอบตาที่ครอบใบหูของเขาไปด้วยก็ตาม



    “เมื่อไหร่มันจะบุกมาซักทีวะ แม่งเอ๊ย” ซ่า “ไม่ต้องห่วงที่รักกองทัพคงช่วยเราได้น่า” ครืน

    ตึ่ก “ก็ดีนี่” “ผมว่าเราต้องหาเสบียงเพิ่ม” ตึ่ก

    “มื้อเย็นเสร็จแล้วจ้ะเด็กๆ” ตึ่ก “ออกไปข้างนอกตอนนี้คิดว่าจะปลอดภัยเหรอ”

    ซ่า “เซ็ตว่างเป็นซับเซ็ตของทุกเซ็ต” ซ่า “พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีกมั้ยเนี่ย”

    แคร้ง “คนแม่งเต็มถนนไปหมดเลย เราจะทำยังไงกันดี” ตึก

    “อูริ ทำอะไรอยู่ลูก” ตึ่ก “ถ้าเธอไม่พูด ชั้นคงต้องเล่นไม้แข็งแล้วนะแม่ลูกครึ่ง”



    “ถ้าเธอไม่พูด ชั้นคงต้องเล่นไม้แข็งแล้วนะแม่ลูกครึ่ง” เลนส์ครอบตาของมิสเตอร์ซีฉายแสงวาบ เขาเจอแล้ว “พีท บล็อกข้างหน้า อพาร์ทเมนท์เก่าๆสีแดงนั่น”

    เร็วเท่าความคิด พีทแทบจะทะยานออกไปทันที ซีตบซองปืนที่ข้างเอวก่อนจะวิ่งตามออกไป ประตูหน้าของอพาร์ทเมนท์ถูกลั่นดาลเอาไว้ พีทเพียงขยับลวดในมือสอดเข้าไปในแม่กุญแจครั้งเดียว ล็อคก็ถูกปลดออก

    “ชั้นห้า” ซีตะโกนบอกเป็นระยะ ในขณะที่พีทวิ่งนำไปก่อนทั้งที่ไม่รู้ทาง “เลี้ยวขวา ห้องที่สอง”

    ประตูไม้บานหนาหนักถูกถีบออกอย่างรุนแรงจะเนื้อประตูปริเป็นส่วนๆ บานประตูเปิดอ้าออกจากที่ปิดสนิทมาตลอด พีทกัดฟันบ่นอุบอิบ พลางก้มลงกุมข้อเท้าอย่างเจ็บปวด ไม่รู้นึกยังไงถึงได้ถีบประตูไปอย่างนั้น ทั้งที่เขาสามารถปลดล็อคด้วยลวดได้ อาจเพราะเขากำลังร้อนใจ อาจเพราะโจรสลัดจะบุกมาเมื่อไหร่ก็ได้ อาจเพราะที่ซีพูดเมื่อครู่ อาริมิกำลังมีอันตราย

    มิสเตอร์ซีพุ่งเข้ามาที่ช่องประตูแทบจะทันที ปืนในมือกวาดข้ามหัวพีทเล็งเข้าไปหาเป้าหมายในห้องทึบๆสีเขียวแก่ แต่ไม่มีทหารนับสิบนายอย่างที่เขากลัว อันที่จริงมันไม่มีทหารเลย ไม่มีอาริมิด้วยซ้ำ มีแต่เด็กหนุ่มชาวมนุษย์ฟันเหยินหน้าตาตื่นตระหนกคนหนึ่งที่กำลังยืนงุนงงอยู่ตรงข้างเตียง ในมือของเขาเป็นหุ่นจำลองตัวละครจากหนังซีรี่ย์ชื่อดังในเคเบิลเน็ทเวิร์คของแกแล็คซี่

    “ผู้หญิงอยู่ที่ไหน” มิสเตอร์ซีเอ่ยถาม เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดพลาด

    “ผู้หญิงอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มถามพาซื่อ ปืนในมือของซีทำเขาตัวสั่นไม่หยุด

    “อาริมิอยู่ที่ไหน ไอ้เด็กเวร” พีทลุกขึ้นถลันเข้าหาเด็กหนุ่ม แต่ดันเดินไปเตะกล่องเหล็กใส่ของเล่นที่วางอยู่บนพื้นร้องจ๊าก “กล่องอะไรเต็มไปหมดวะ”

    “ผมไม่รู้ว่าพวกพี่พูดเรื่องอะไร ที่นี่ไม่มีผู้หญิงหรอกครับ ผมอยู่คนเดียว” ดูจากหน้าตาและสภาพห้องแล้วก็ไม่น่าจะมีใครมาทนอยู่กับเขาได้จริงๆ ทรงผมแสกกลางเชยๆแห้งกรัง ใบหน้าตกกระแหลมเล็ก ผิวขาวซีด รูปร่างแคระแกร็น ผิดกับฟันสองซี่หน้าที่ใหญ่ผิดธรรมชาติ ดูเหมือนพวกเด็กกำพร้าที่ล้มเหลวในชีวิต มิสเตอร์ซีกวาดสายตาไปรอบๆห้อง คราบเกรอะกรังไม่เพียงแต่มีอยู่บนตัวเขาเท่านั้น แต่ยังลามไปทั่วทั้งห้อง เฟอร์นิเจอร์มีน้อยชิ้น แต่เต็มไปด้วยของเล่น และเศษอาหารสำเร็จรูปที่เหม็นเน่า

    “ว่าไงซี” พีทหันไปหยั่งความเห็นจากเพื่อน “หูเฝื่อนไปรึเปล่า นี่นายเลิกอัพยาจริงๆแล้วใช่มั้ย”

    “เลิกแล้วโว้ย ไอ้บ้า แล้วแกนี่มันตัวอะไรวะเนี่ย” มือปืนหนุ่มอดพูดออกมาไม่ได้ ก่อนจะเก็บปืนลงซองข้างเอว ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีอาริมิจริงๆ ซีเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจเต้นของเด็กหนุ่ม “มันไม่ได้โกหก ไอ้เด็กนี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ”

    “ผมชื่อ ดิโอครับ” ความจริงซีไม่ได้กะให้ตอบ เขาไม่ได้อยากรู้จักเด็กคนนี้สักนิด แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะช่างพูดขึ้นมาทันทีที่ซีไม่มีปืนอยู่ในมือ “เรียกผมว่าดิโอ เดอะวันก็ได้นะครับ ผมเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น”

    “เรียกตัวเองว่าอย่างนั้น โอ้โห แกบ้ารึเปล่า” พีทจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาหยามเหยียด เหมือนกับเด็กกำพร้าหลายๆคนที่ไม่รู้จักนามสกุลตัวเอง เขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีฉายาต่อท้ายชื่อ แต่เป็นฉายาที่คนอื่นเรียกขาน เขาไม่เคยเห็นใครหน้าด้านตั้งฉายาให้ตัวเองซะหรูหราอย่างนี้มาก่อน “ยังไงล่ะซี มันไม่รู้เรื่อง แล้วไหนล่ะคุณหนูอาริมิ”

    “แปลกจัง ชั้นว่ามีคนพูดถึงลูกครึ่งในห้องนี้แน่ๆ” มิสเตอร์ซีลูบปลาคางอย่างครุ่นคิด เขาไม่ได้เล่นยามานานมากแล้วจริง ประสาทสัมผัสของเขาจึงน่าจะสุขภาพดีสุดๆ หูของเขาไม่เคยพลาด เสียงที่เบากว่านี้เขายังระบุได้อย่างแม่นยำมาแล้ว พวกลูกครึ่งแบบอาริมิเองก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆซะด้วย

    “อ๋อ ผมเองครับ” ไอ้หนุ่มดิโอยิ้มกว้างโชว์ฟันเหยินก่อนจะชูหุ่นฟิกเกอร์สองตัวในมือขึ้นมา ตัวหนึ่งคือโจรสลัดบาร็อคผู้ชั่วร้ายที่แสดงโดยดาราชาวมิโนทอร์คนหนึ่ง อีกตัวคือเนเชอรัลเอ็คโค ศิลปินหญิงลูกครึ่งเอลฟ์และมนุษย์ชื่อดังแห่งวงการบันเทิง ซึ่งแสดงเป็นนางเอกในซีรี่ย์เรื่องดัง “กำลังถึงบทที่บาร็อครีดความลับแห่งดาวจำลองแฝดจากนางเอกอยู่เลย”

    “โตเป็นควายแล้วยังเล่นตุ๊กตาอยู่อีก” พีทส่ายหน้าพลางสบถอย่างเสียอารมณ์ “เสียเวลาโคตรๆ ถ้ามันไม่เกี่ยวก็ไปกันเถอะซี”

    มือปืนหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตาไปยังทั่วห้อง ไม่มีเสบียงแม้แต่นิดเดียว เด็กคนนี้ตั้งใจจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องจะสงบทั้งๆที่ไม่มีเสบียงเลยงั้นเหรอ

    “ไอ้หนู แกรีบออกไปจากที่นี่ซะจะดีกว่านะ มันไม่ปลอดภัย” มิสเตอร์ซีอดไม่ได้ที่จะออกปากเตือน “ยังทันถ้าจะไปหลุมหลบภัยที่ใกล้ที่สุด”

    “เดี๋ยวสิครับ บางทีพวกพี่อาจจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้วล่ะ” ดิโอค้านขึ้นมาทันที “ผมไม่ได้หลบอยู่นะครับ ผมแค่รอ”

    “รอแม่มารับรึไง” พีทแค่นเสียงดูถูกในทุกคำ

    “รอให้พวกโจรสลัดมาครับ แล้วผมจะออกไปสู้กับมัน ร่วมมือกับกองทัพ จัดการกับพวกโจรสลัดให้กระจายหายไปเลย” เด็กหนุ่มช่างฝันตาเป็นประกาย “ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ผมคือดิโอ เดอะวัน ผู้ที่ถูกเลือกไว้เพื่อเป็นที่หนึ่ง เป็นวีรบุรุษ”

    วีรบุรุษ คำนี้ทำให้ซีหวนนึกถึงทริกเกอร์ เด็กหลายคนโตมากับความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่เกือบทุกคนทำมันหายไประหว่างโต ทริกเกอร์ไม่ใช่เด็กพวกนั้น เขายังคงเก็บความฝันเอาไว้แล้วไขว่คว้า

    “เออ มันบ้าไปแล้ว ไปกันเถอะซี ป่านนี้อาริมิจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” พีทกระตุกแขนเพื่อน แต่ซียังคงนิ่งไม่ขยับ

    “ไอ้หนู การจะเป็นฮีโร่ มันต้องรู้จักกาลเทศะด้วยนะโว้ย” มือปืนหนุ่มถอนใจเบาๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย “วีรบุรุษน่ะ ต้องรู้จักที่จะถอยเมื่อถึงเวลาถอย จำเอาไว้ให้ดี แล้วไสหัวไปจากที่นี่ซะก่อนที่จูดุ๊บส์จะมา เข้าใจมั้ย”

    ไม่รู้ว่าที่พูดไป ดิโอจะเชื่อหรือเปล่า แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่ซีจะทำให้เด็กแปลกหน้าคนหนึ่ง เขายืนจ้องตาเด็กหนุ่มครู่ใหญ่ ก่อนที่พีทจะออกปากเรียกอีกครั้ง มือปืนหนุ่มจึงก้าวออกมาได้ โดยได้แต่ภาวนาในใจให้เด็กชายแปลกหน้าเชื่อฟังเขาบ้างสักนิดก็ยังดี



    “ออกไปข้างนอกตอนนี้ คิดว่าจะปลอดภัยเหรอ” ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ อีวาน ไอแซ็คเพียงบิดข้อมือเด็กสาวตรงหน้าเบาๆ ปืนเลเซอร์ขนาดจิ๋วในมือของอาริมิก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างง่ายดาย

    เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วนี่เอง ที่อาริมิใช้เถาวัลย์ที่กลางหลังปลดล็อคกุญแจมือได้สำเร็จ ก่อนจะลอบหยิบเอาปืนเลเซอร์ขนาดเท่านิ้วชี้ที่ซ่อนอยู่ในหัวเข็มขัดออกมาเล็งไปที่อีวาน เข้าหน้าที่หน่วยพลังม้าประมาทเกินไป เขาคงไม่คิดว่าเถาวัลย์เส้นเล็กๆของเธอจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้ อาริมิไม่ได้ต้องการจะฆ่าอีวานหรอก แต่แค่ทำให้เขาหันมาสนใจปืนในมือของเธอเท่านั้น

    “สงสัยคงต้องขอตัวก่อนแล้วหน่วยพลังม้า” อาริมิเผยรอยยิ้มอย่างเป็นต่อ สายตาของอีวานจับมาที่ปืนในมือของเธอนิ่ง

    อย่างที่คาดไว้ ระดับเสนาธิการหน่วยพลังม้าอย่างอีวานไม่มีทางเสร็จกับแค่ปืนเลเซอร์กระบอกเดียวแน่ เพียงพริบตา เขาก็พุ่งพรวดเข้าคว้าข้อมือของเธอไว้ และบิดเพียงเบาๆจนปืนหลุดจากมือไป หน่วยพลังม้าจ้องตาเธอเขม็ง น่าแปลกที่ในดวงตาของอาริมิไม่ฉายแววผิดหวังอย่างที่คาดไว้ แต่ยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยเย้ยหยันอย่างมีชัย

    ทันใดนั้นอีวานก็เพิ่งสังเกตเห็นเถาวัลย์ที่กลางหลังของอาริมิ เถาวัลย์ซึ่งสามารถขยับได้เช่นแขนขา แม้จะไม่มีเรี่ยวแรงเท่า แต่ก็พอจะทำงานง่ายๆอย่างทำลายวงจรไฟฟ้าของอาคารผ่านปลั๊กไฟที่อยู่ข้างหลังเด็กสาว ด้วยเครื่องแจมเมอร์อันเล็กๆเพียงอันเดียวเท่านั้น

    “ก็บอกแล้วไง” สิ่งสุดท้ายที่อีวานได้เห็น ก่อนที่ทั้งห้องจะมืดสนิทลง คือรอยยิ้มอันแสนจะร้ายกาจของอาริมิ “บ๊ายบาย หน่วยพลังม้า”

    มันเป็นค่ำคืนที่มืดมิดด้วยท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆฝน เมื่อไฟในอาคารดับลง ทั้งตึกจึงตกอยู่ในความมืดสนิทในทันที แม้อีวานจะถูกฝึกมาให้เคยชินกับความมืด แต่กว่าดวงตาของเขาจะปรับให้เข้ากับสภาพแสงเพียงเล็กน้อยได้ ก็กินเวลาหลายวินาทีอยู่ ตอนนั้นเองที่อาริมิสะบัดมือของเขาหลุดและหายตัวไปแล้ว

    “ยัยตัวแสบ” จารชนสบถออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะหรี่ตามองในความมืด แล้ววิ่งตามอาริมิออกจากห้องไป โดยฟาดขอบประตูอย่างแรงจนแทบเดินเซ

    ในสภาพมืดมิดเช่นนี้หากเป็นคนอื่นก็คงไม่สามารถช่วยตัวเองได้มากนัก แต่สำหรับอาริมิ เธอสามารถจดจำแผนผังทางเข้าออกของตัวอาคารนี้ได้ดีตั้งแต่ตอนเดินเข้ามา เป็นความผิดพลาดของอีวานที่ไม่ได้ปิดตาเธอตอนพามาที่นี่ แม้จะมืดสนิท แต่มันสมองอันล้ำเลิศของเธอก็ฉายภาพแผนที่ทางเดินเอาไว้อย่างชัดเจนในหัว แม้กระทั่งขอบกระจกที่แตกเธอก็ยังจำได้ เด็กสาวลูกครึ่งก้าวลงบันไดไปอย่างเงียบกริบ เงี่ยหูได้ยินเสียงวิ่งลงบันไดชนข้าวของตามลงมาเป็นระยะ อีวานไม่ลดละที่จะตามจับตัวเธอให้ได้อีกครั้ง ถ้าเธอเสี่ยงออกวิ่งไป มันจะทำให้เกิดเสียง และอีวานจะจับทางเธอถูก

    ใช่ ถ้าทำให้เกิดเสียง อีวานจะตามเธอมาแน่นอน

    อาริมิจึงคิดที่จะวางกับดัก

    เด็กสาวจำได้ว่ามีกระจกบานหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้ตรงหัวมุมของบันไดชั้นสอง กระจกที่แตกเป็นฟันปลาดูน่ากลัว หากมีใครเดินชนหรือล้มใส่มันเข้าคงเจ็บหนัก ซึ่งเมื่อพิจารณาในสิ่งที่อีวานทำกับบอดี้การ์ดของเธอแล้ว เขาก็สมควรเจ็บหนักอยู่ เธอกวาดมือไปตามทางที่จำได้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆดึงบานกระจกที่แตกออกมาอย่างเงียบกริบ แล้วตั้งมันขวางทางเดินแคบๆช่วงเลี้ยวลงบันไดเอาไว้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับอีวานที่กำลังรีบร้อน อาริมิกลั้นหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

    เสียงฝีเท้ากระตุ้นอีวานให้สนใจได้อย่างที่คิด เขาวิ่งเหยาะๆตามเสียงนั้นไป โดยไม่ลืมที่จะกระชับปืนในมือให้แน่นขึ้น พอได้จังหวะปุ๊บ เขาจะยิงที่ขาของเธอก่อน แม่สาวลูกครึ่งคนนี้จะได้หนีไปไหนไม่ได้อีก อีวานระมัดระวังฝีเท้าของเขาเป็นพิเศษ หลังจากโดนหักเหลี่ยมมาแล้วครั้งนึง เขาไม่อยากที่จะพลาดอีก

    แต่เขาก็พลาดจนได้ แม้จะระวังแล้ว ทันทีที่ร่างของเขาปะทะเข้ากับบานกระจกที่แตกอยู่ ทั้งที่ชะงักและพยายามดึงตัวกลับแล้ว ทว่าน้ำหนักของร่างกายก็โถมทับลงบนบานกระจกไปจนสิ้น ก่อนจะไถลลงบันไดมาทั้งตัวคนทั้งบานกระจกเสียงดังสนั่น อาริมิซึ่งวิ่งไปจนถึงบันไดลงชั้นหนึ่งแล้วแอบยิ้มภูมิใจเงียบๆ ได้เวลาเงียบเสียงลงอีกแล้ว เธอย่างเท้าแผ่วเบาอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องตรวจดูผลงาน ตกบันไดลงมาพร้อมกระจกแบบนั้น ไม่ตายก็คงสาหัส เธอรอดแล้ว

    แสงเลเซอร์ความถี่สูงพุ่งตรงเฉียดขาอ่อนด้านขวาของเธอไปเล็กน้อย แต่ก็ถากรุนแรงพอจะทำให้เธอเสียหลักล้มลง อีกครั้งที่อาริมิประมาทหน่วยพลังม้าเกินไป พวกเขาไม่เหมือนทหารทั่วไป แม้จะบาดเจ็บมากแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่มีวันล้มในภารกิจเด็ดขาด เสียงอีวานกำลังพยายามลุกขึ้นจากซากกระจกที่แตกดังบาดหู ความร้อนจากเลเซอร์ถากผิวขาวอ่อนนุ่มบริเวณต้นขาเป็นแผลพอง เด็กสาวกัดฟันสัมผัสบริเวณที่ไหม้เบาๆ แสบไม่เบา แต่ที่น่าเจ็บใจกว่าก็คือหากไม่ได้รับการดูแลรักษาดีๆให้ทันท่วงที เธออาจจะใส่มินิสเกิร์ตไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว

    “คุณฉลาดมากจริงๆ ผมขอชมเลย” เสียงของอีวานใกล้เข้ามาแล้ว อาริมิลากตัวเองหลบไปด้านหลังกำแพงอีกฝั่ง เธอนั่งพิงผนังกำแพงที่ตรงมุมของทางเดิน ห่างจากอีวานไม่เท่าไหร่ มันไม่น่าจะจบแค่นี้นี่นา เธอแค่พลาดเพียงนิดเดียวเท่านั้น “แต่หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว ผมเองก็โดนไปเยอะเหมือนกัน เรามาจบเรื่องนี้กันแบบแฟร์ๆดีกว่า บอกมาว่าพวกจูดุ๊บส์จะเทียบท่าที่ไหน แล้วผมจะปล่อยคุณไป”

    ไม่มีทาง ที่อาริมิยังมีชีวิตอยู่ได้มาถึงตอนนี้ก็เพราะยังไม่ได้บอกในสิ่งที่อีวานต้องการนี่แหละ ถึงแม้เธอจะไม่รู้ก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อีวานรู้สึกว่าเธอไม่มีประโยชน์แล้ว เขาคงจะฆ่าเธอทิ้งอย่างไม่ลังเลสักนิด เหมือนกับที่การ์ดทั้งคู่ของเธอโดนมาแล้ว

    “เฮ้ย เสียงอะไรวะ ไอ้พวกโจรสลัดก็จะมาอยู่แล้ว ไฟก็ดันมาดับซะอีก” เสียงชายชราที่พักและหลบซ่อนอยู่ในห้องใกล้ๆโผล่หน้าออกมาดูความเคลื่อนไหวด้านนอก อาริมิเห็นแสงเลเซอร์พุ่งออกมาจากตำแหน่งไม่ไกลจากเธอนัก เพียงแวบเดียว เสียงของชายชราคนนั้นก็เงียบหายไป มีเพียงเสียงวัตถุหนักๆกระทบพื้น

    “เร็วเข้าเถอะ คุณหนู ยิ่งนานเข้าคนอื่นก็ยิ่งเดือดร้อนนะ” นี่เขาฆ่าคนเพียงเพื่อกดดันอาริมิเท่านั้นเองเหรอ เด็กสาวกัดริมฝีปากแน่น คนพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เป็นแค่เศษสวะที่ดีแต่หลบซ่อนตัว ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องสนใจสักนิด “ว่ายังไงคุณอาริมิ”

    ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เสียงฝีเท้าของอีวานที่เหยียบย่างอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังในกับดักกำลังใกล้ตัวอาริมิเข้ามาเรื่อยๆ เด็กสาวสะกดกลั้นลมหายใจ ปืนเลเซอร์กระบอกจิ๋วอีกอันที่ซ่อนอยู่อีกด้านของเข็มขัดถูกดึงออกมาไว้ในมือ อำนาจการทำลายของมันอาจไม่สูงนัก แต่คงพอสร้างความเสียหายได้บ้างในระยะประชิด

    ทันใดนั้น ฝ่ามือที่อบอุ่นและคุ้นเคยก็เลื่อนเข้ามาปิดปากเธอเบาๆ อาริมิเกือบจะสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงกระซิบข้างๆหูจะบอกให้เธอเงียบ เสียงที่เธอไม่คิดวาจะได้ยินที่ตรงนี้ พีทชักมีดออกมาอย่างเงียบกริบคุกเข่าแอบอยู่ตรงขอบมุมทางเดิน มือที่ปิดปากอาริมิเมื่อครู่เลื่อนมาแตะที่มีดอีกเล่มที่เหน็บไว้ในซองข้างสะโพก มิสเตอร์ซียืนชิดขอบมุมปืนในมือจรดนิ่งลงพื้น ลมหายใจเงียบเชียบ ทั้งคู่พร้อมเล่นงานจุดตายของอีวานทันทีที่เขาก้าวพ้นมุมทางเดินมา

    เพียงเท่านี้ อาริมิก็รู้แล้วว่า เธอปลอดภัยแล้ว



    เครื่องส่งสัญญาณสื่อสารข้ามดวงดาวในห้องพักนายทหารของท่าอวกาศยานดูไม่ค่อยเสถียรเท่าใดนัก กัปตันครูนาร์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักทีเดียว กว่าที่จะติดต่อกับยานบัญชาการรบของกองทัพที่กำลังจะบุกโจมตีพวกกบฏคอร์แซร์ในนครมิสซาร์บนดาวมิสค์ได้

    “สถานการณ์ท่าทางไม่ดีเลยนะกัปตันเบนจามิน” กัปตันครูนาร์กล่าวกับชายหนุ่มชาวลูนาเรียนผิวคล้ำบนหน้าจออย่างเป็นกันเอง

    “ครับ พวกกบฏคอร์แซร์ตั้งรับได้ดีมาก ผมแปลกใจจริงๆ ที่ผ่านมาดูพวกเค้าจะอ่อนแอกว่านี้มาตลอด” ใบหูยาวลู่ไปดานหลัง ใบหน้าคมเข้ม นัยตาดุและผมดำเข้มหยักศกเป็นลอนที่ถูกปล่อยกระเซิงตามธรรมชาติรับกับรูปร่างบึกบึนของชายที่ถูกเรียกว่ากัปตันเบนจามินเป็นอย่างดี แม้จะอยู่ในชุดกัปตันยานบัญชาการ แต่ก็มีเหรียญตราขุนนางประดับไว้บนอก ด้วยตำแหน่งของเขาซึ่งเป็นถึงบารอนแห่งลินเดลล์ เจ้าครองนครหนึ่งในดาวมิสค์ นาวาอวกาศเอกเบนจามิน โคลสค์ เป็นหนึ่งในกัปตันยานบัญชาการที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกองทัพขณะนี้ “ดูท่าทางนั้นเองก็ไม่ได้สบายกว่ากันเท่าไหร่เลย”

    “แค่ได้ยินชื่อจูดุ๊บส์ พวกทหารก็กลัวกันหมดแล้ว” กัปตันชาวมิโนทอร์ถอนใจ แม้จะเป็นกัปตันเหมือนกันแต่ด้วยความหนุ่มและบรรดาศักดิ์ของตระกูลโคลสค์ กัปตันเบนจามินจึงดูจะน่าเกรงขามกว่ากัปตันครูนาร์อยู่เล็กน้อย

    “ผมขอแสดงความเสียใจด้วย เรื่องของนาวาอวกาศโทเบอร์นาร์ด เอฟ คิม” กัปตันผิวคล้ำลดสายตาลงเล็กน้อย “เขาเป็นคนเก่ง เชื่อว่าอีกไม่นานคงได้เป็นกัปตันที่ดี”

    “บางทีผมเองก็อาจอยู่ได้อีกไม่นาน” น้ำเสียงของกัปตันครูนาร์ดูจะไม่ได้พูดเล่น นั่นทำให้เบนจามินเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เบน ผมไว้ใจคุณนะ ผมถึงได้ติดต่อคุณมาในเวลานี้ เกี่ยวกับเรื่องนั้น”

    “กัปตันครูนาร์ ผมไม่รู้ว่าคุณจะพูดถึงเรื่องอะไรหรอกนะ แต่มันคงจะไม่ดีแน่ๆถ้าเราจะคุยกันผ่านเครือข่ายแบบนี้” แม้จะบอกว่าไม่รู้ แต่ความหมายของคำพูดนั้นเป็นการบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเบนจามินรู้เรื่องดี “เรื่องอะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรจะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างนั้น”

    “ศิษย์ของผมคนหนึ่งตกเป็นผู้เสียหายในเหตุการณ์นั้นมาตลอด ตอนนี้เขากำลังลำบากหนัก ผมอยากช่วยเขา” ดูเหมือนครูนาร์จะไม่ใส่ใจคำเตือนของกัปตันเบนจามินเลย “ผมรู้ดีว่าเพราะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ทางกองทัพเลยไม่ชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่”

    “แล้วคุณก็ยังจะโยนไฟมาให้ผมอีกนะ” กัปตันเบญจามินถอนใจ “ทำไมไม่ฝากให้กัปตันทรอปปิคอลล่ะครับ ได้ยินว่าเธออยู่ที่นั่น เธอเองเก่งกว่าผมมาก”

    “เพราะผมรู้ดีว่าคุณเองก็ต้องอยากรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้พอๆกับผมแน่” และเพราะทรอปปิคอลผู้ซื่อสัตย์ต่อกองทัพย่อมไม่มีทางสนใจเรื่องนี้แน่นอน กัปตันครูนาร์หรี่เสียงลงเล็กน้อย “สาเหตุการตายของพลอวกาศเอกจูโนเมื่อสองปีก่อน ท่านจูโน โคลสค์แม่ทัพกองยานภาคที่สอง พี่สาวแท้ๆของคุณเอง”

    “พอได้แล้วกัปตันครูนาร์ พี่ของผมตายด้วยการลอบสังหารของพวกกบฏ มันก็แค่นั้น” กัปตันเบนจามินตวาดเสียงดัง เขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม

    “กบฏที่ไม่มีใครเคยจับตัวหรือระบุชื่อได้” กัปตันครูนาร์ต่อคำให้

    “คุณกำลังพูดเรื่องที่อันตรายมากๆผ่านเครือข่ายของกองทัพ” เบนจามินจ้องตากัปตันครูนาร์เขม็ง “ผมไม่รู้ว่าคุณกล้าหรือแค่บ้ากันแน่”

    “ผมไม่มีเวลาเหลือแล้ว บางทีผมอาจต้องตายในศึกนี้” แม้ผู้ฟังจะทำท่าไม่สนใจ แต่ครูนาร์รู้ดีว่าเบนจามินสนใจ “ผมฝากทุกอย่างไว้ที่คุณแล้วนะ”

    ฝากทุกอย่างที่ครูนาร์พูด เบนจามินรู้สึกได้ว่ามันไม่ได้หมายถึงการฝากความหวัง แต่มันหมายถึงครูนาร์ฝากอะไรบางอย่างมาให้เขา บางอย่างที่กัปตันเฒ่าใช้เวลาขุดคุ้ยมาร่วมปี

    “ผมไม่รับปากอะไรทั้งนั้น” ดวงตาคมเข้มของกัปตันเบนจามินจ้องตอบกลับมาด้วยสายตาที่สงบนิ่ง ครูนาร์ยิ้มอย่างพอใจ

    “ลาก่อน กัปตันเบนจามิน” มิโนทอร์เฒ่ากล่าวคำอำลา

    “ลาก่อน อาจารย์ครูนาร์” กัปตันหนุ่มกล่าวลาอาจารย์คนแรกของเขาเบาๆ ภาวนาให้มันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้กล่าวคำนี้ ก่อนที่สัญญาณการสื่อสารจะขาดไป

    อย่างน้อยเรื่องที่เขาเริ่มไว้ก็มีคนสานต่อแล้ว กัปตันครูนาร์ปลดเครื่องประดับทองที่สวมไว้บนเขาทั้งสองข้างออกใส่กล่องเก็บไว้ ไม่ว่าศึกนี้จะเป็นอย่างไร กัปตันครูนาร์ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

    “กัปตันครูนาร์ครับ ผมมาส่งมอบหมายคำสั่งจากดยุคแห่งไอซาร์ดครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นผ่านอินเตอร์คอมขณะที่กัปตันครูนาร์กำลังสวมเครื่องประดับเงินอันเป็นปลอกเงินติดสายโซ่และพวกจี้เล็กๆที่ดูกะทัดรัดกว่าอันเก่าลงไปบนเขาทั้งสอง เครื่องประดับในยามออกศึกของชาวมิโนทอร์ “ขออนุญาตเข้าไปเลยนะครับ”

    แทนคำตอบ กัปตันเฒ่ากดปุ่มปลดล็อคประตูทันที หมายคำสั่งอะไรกันในเวลาแบบนี้

    “อาจารย์ครูนาร์” ผิดคาด ที่รออยู่ด้านนอกไม่ใช่คนถือหมายคำสั่ง แต่เป็นทริกเกอร์ที่ปลอมตัวมาในคราบทหารช่าง เขาตรงเข้าทำความเคารพกัปตันครูนาร์ที่กำลังงุนงงอยู่ แม้จะอยู่ในชุดทหารช่างซอมซ่อ แต่ครูนาร์ก็จำใบหน้าของทริกเกอร์ ศิษย์คนโปรดของเขาได้ไม่ผิดเพี้ยน

    “ทริกเกอร์ คุณไม่ควรมาอยู่ที่นี่” กัปตันชาวมิโนทอร์รีบกดปุ่มปิดประตูห้องพัก เพื่อกันไม่ให้ใครข้างนอกพบทริกเกอร์เข้า “ทางการกำลังต้องการตัวคุณมาก”

    “ผมรู้ว่าผมได้ทำเรื่องแย่ๆลงไป แต่ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลย” กัปตันตกอับแห่งกองทัพก้มหน้านิ่ง เขาไม่ได้ต้องการมาพบอาจารย์เพื่อคุยเรื่องนี้

    “ในจำนวนศิษย์ทั้งหมดของผม คุณเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุด ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้มีเจตนาชั่วร้าย แต่คนอื่นๆในกองทัพคงไม่คิดอย่างนั้น” กัปตันครูนาร์ยังจำได้ สมัยที่ทริกเกอร์มาเป็นลูกเรือบนยานของเขาใหม่ๆ ที่สมรภูมิบนดาวมิสค์ เขาไม่กล้าแม้แต่จะยิงศัตรูด้วยซ้ำ “มันอันตรายมากที่คุณจะเข้ามาเดินเพ่นพ่านอยู่ในเขตของกองทัพ”

    “ครับ ผมทราบ ผมแค่อยากจะมาพบอาจารย์สักหน่อย” ทริกเกอร์ก้าวเข้ามาบีบมืออาจารย์ของเขาเบาๆ “ผมเสียใจ ที่ไม่สามารถอยู่ช่วยอาจารย์ได้ ในยามอันตรายเช่นนี้ แต่ถ้ามีเรื่องอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ผมก็ยินดีทุกอย่าง ผมรู้ว่าถึงห้าม อาจารย์ก็คงไม่ฟัง ยังไงอาจารย์ก็ต้องนำยานไปรบกับพวกจูดุ๊บส์ เพราะมันเป็นคำสั่ง”

    “เพราะมันเป็นการปกป้องประชาชน” ครูนาร์แก้ความเข้าใจของทริกเกอร์ซะใหม่

    “ปกป้องตามคำสั่ง” ทริกเกอร์ยังคงยืนกรานความคิดเดิม “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะนำยานออกไปแทนอาจารย์จริงๆ”

    “ผมรู้ รู้ว่าคุณทำได้ดีกว่าผมแน่ แต่ตอนนี้ สิ่งที่คุณควรทำที่สุดคือออกไปจากที่นี่ แล้วหนีไปให้ไกล อย่าหันหลังกลับมา” กัปตันเฒ่าถอนใจ ในบรรดาศิษย์ของเขาทั้งหลาย แทบไม่มีใครเลยที่เหมือนกัน ทรอปปิคอลนั้นเย็นชา ส่วนทริกเกอร์ก็ช่างเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นมากจนเกินไป แต่เขาก็รักและภูมิใจในศิษย์ของเขาทุกคน “ผมเสียใจที่ปกป้องคุณไม่ได้ ตอนที่คุณถูกปลดจากตำแหน่งกัปตัน ถ้าผมสามารถนำคุณกลับมาที่ยานผมได้ อะไรๆคงไม่เลวร้ายอย่างนี้”

    “ผมรู้ว่าอาจารย์ได้พยายามแล้ว และผมก็ซาบซึ้งมากครับ อย่างน้อยอาจารย์ก็ได้ส่งกัปตันที่ดีที่สุดที่อาจารย์รู้จักไปดูแลยานของผมแทน ซึ่งนั่นก็ดีที่สุดที่ผมจะหวังได้แล้ว” กัปตันนอกราชการพยักหน้าเบาๆอย่างตื้นตัน เขารู้ว่าครูนาร์พยายามวิ่งเต้นย้ายเขากลับไปที่เมดิสันแสควร์นาดไหน แต่เบื้องบนไม่ต้องการให้เขาได้อยู่สบายนักจึงส่งไปให้ไคต์แทน “อาจารย์เป็นวีรบุรุษของผมเสมอ แต่ถึงยังไงความผิดที่ซ้อมรบพลาดและฆ่ากัปตันไคต์ก็เป็นเรื่องที่ผมได้ตัดสินใจและลงมือไปแล้วจริงๆ”

    “คนอย่างไคต์ บางทีตายไปซะอาจสร้างประโยชน์ได้มากกว่ามีชีวิตอยู่ก็ได้นะ” กัปตันครูนาร์กล่าวติดตลก ศิษย์อาจารย์หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน ก่อนที่มิโนทอร์จะตบบ่าทริกเกอร์เบาๆ “คุณอาจจะทราบแล้ว ผมคิดว่านายทหารที่ได้รับคำสั่งมาตามล่าคุณคือทรอปปิคอล ศิษย์อีกคนของผม เธออยู่ที่นี่ แม้เธอจะดูเย็นชา แต่ลึกๆแล้วเธอก็เป็นคนดี อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้คุณระวังตัวให้มากๆไว้ เชื่อว่าสักวัน คนดีๆอย่างคุณจะพ้นมลทินในที่สุด”

    “ขอบคุณครับ” ขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวผมมาตลอด นั่นคือทั้งหมดที่ทริกเกอร์อยากพูด แต่เขาเอ่ยได้เพียงเท่านั้น “ผมคงต้องไปก่อนแล้ว น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้ดวลหมากรุกกันอีก อาจารย์รักษาตัวด้วยนะครับ ผมภาวนาขอให้เมดิสันแสควร์มีชัยในศึกนี้”

    “และผมก็ขออวยพรให้คุณปลอดภัยเช่นกัน” ผู้เป็นอาจารย์ยิ้มให้กับศิษย์อย่างเมตตา น่ายินดีเหลือเกินที่ก่อนศึกครั้งสำคัญ เขาได้มีโอกาสพบหน้าศิษย์เอกของเขาครบทุกคน สำหรับครูนาร์ที่ไม่มีครอบครัว ศิษย์ทั้งหลายก็เปรียบเสมือนลูกของเขา “ผมเชื่อเหลือเกินว่าคุณได้เติบโตอย่างเข้มแข็งและสมบูรณ์แบบสมกับที่ผมได้ทุ่มเทสอนคุณมาแล้ว ผมคงไม่มีอะไรจะกล่าวอีกแล้ว นอกจากคำว่าลาก่อน”

    “ลาก่อนครับอาจารย์” คำนั้นทำเอาทริกเกอร์ใจหายวูบ ก่อนที่เขาจะกดปุ่มเครื่องพรางกาย ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะถูกอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆส่งรังสีบิดเบือนทางแสงจนกลายเป็นใบหน้าที่ดาษดื่นแต่ไม่มีใครรู้จัก ทำความเคารพอาจารย์ของเขาอีกครั้งก่อนจะก้าวออกจากห้องไป สังหรณ์ในใจบางอย่างบอกเขาว่า นี่อาจจะเป็นการลาจากกันจริงๆก็ได้



    Character
    นาวาอวกาศเอก เบญจามิน โคลสค์ บารอนแห่งลินเดลล์ by น้องเบน

    Free Talk
    ในตอนนี้ก็มีตัวละครใหม่โผล่ออกมาอีกแล้วครับ สำหรับนาวาอวกาศเอกเบญจามิน ซึ่งจะกลายเป็นตัวละครที่สำคัญต่อเนื้อเรื่องตัวหนึ่งในอนาคต หน้าตาตัวละครตัวนี้ ถอดแบบมาจากตัวจริงเป๊ะๆเลยทีเดียว ฮ่าๆ สำหรับเนื้อเรื่องแถวๆ นี้ คนที่คุ้นเคยกับฉบับเก่าอาจจะรู้สึกเหมือนกลับมาบ้านแล้วบ้านกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว แต่อยากให้เปิดใจรับรูปแบบใหม่ของ AF Wars ดูนะครับ ถึงจะอ่านเอาฮาไม่ได้ แต่ก็น่าจะอ่านเอาเรื่องได้บ้างแหละน่า อาจจะดูเครียดๆไปซักหน่อย แต่สัญญาครับว่าเดี๋ยวจะพยายามทำให้มันผ่อนคลายลง ไม่ทิ้งลายต้นฉบับแน่นอน ขอบคุณครับ :D
  6. repeat

    repeat Member

    EXP:
    112
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: อภิมหากาพย์สงครามอวกาศ All Final Wars : Chapter 10 - Sassy Girl Updated 8/1 (HBD) First

    All Final Wars #11

    นับถอยหลัง


    [​IMG]

    หลังจากทิ้งเด็กชายแปลกหน้าไว้เบื้องหลังแล้ว ซีและพีทก็กลับมาที่ถนนอีกครั้ง ค่ำคืนที่เหน็บหนาวด้วยสายฝนกลบเสียงอื่นๆไปจนเกือบมิด อีกครั้งที่ซีพยายามเงี่ยหูฟังเสียงรอบตัว แต่คราวนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าใดนัก นอกจากเสียงกระจกบานใหญ่หล่นลงแตก

    “พีท ตรงนั้นดูแปลกๆนะ” มิสเตอร์ซีชี้ไปที่อพาร์ทเมนท์ร้างอีกแห่งที่ตั้งอยู่บนถนนสายเปลี่ยว ที่ที่เขาได้ยินเสียงกระจกแตกดังออกมา “มืดไปหมด ดูเหมือนจะไฟดับ”

    “อาจจะไฟตกเพราะพายุฝนก็ได้” หลังจากที่ซีพลาดมาแล้วทีนึง พีทจึงไม่อยากกระโตกกระตากไปก่อนอีก “ที่ธรณีนี่นี้ใครครองมีตึกไฟดับทุกคืน ไม่เห็นจะแปลก”

    “แต่เราอยู่ที่แร็คนาร็อคนะ อย่าลืมสิ เมืองทุกเมืองของดาวดวงนี้ตั้งอยู่ในโดมนะ” โดมที่สามารถกรองเอาพลังงานไฟฟ้าที่แปรปรวนในอากาศออกได้ แม้จะมีพายุฝน ตัวโดมแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะรับแต่น้ำฝนเข้ามาในเมืองโดยปราศจากฟ้าผ่าหรือคลื่นรบกวนใดๆ “แล้วทุกตึกในไอซาร์ดก็วางแผงวงจรไฟฟ้าแบบมาตรฐานสองชั้นด้วยนะ”

    “แต่ก็อาจมีใครเผลอทำแผงวงจรเสีย หรือบังเอิญทำสายไฟเมนเฟรมขาดแบบโง่ๆก็ได้นะ” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่พีทก็รู้ว่าด้วยระบบการเดินสายไฟแบบใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายตามเมืองใหญ่ๆ โอกาสที่ไฟฟ้าจะดัโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นน้อยมากจริงๆ “เอายังไง ไปดูมั้ย”

    โดยไม่ต้องตอบ ซีออกนำหน้าไปก่อนแล้ว พีทชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งตามไป เขายังเกรงอยู่ว่าซีอาจจะพลาดอีก และอาริมิอาจไม่มีเวลาเหลือพอให้พวกเขาพลาดอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกโจรสลัดที่กำลังจะบุกมาอาจไม่เผื่อเวลาไว้สำหรับความผิดพลาดของพวกเขาแล้วก็ได้

    แต่คราวนี้มิสเตอร์ซีไม่พลาดอย่างครั้งก่อน

    ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในอพาร์เมนท์ที่ไฟดับ ทั้งซีและพีทก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นที่ชั้นบน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปืน พวกเขามั่นใจว่ามีคนเรียกชื่ออาริมิแน่ๆ ในความมืดสนิทที่เห็นภาพตรงหน้าระยะมือเอื้อมได้เพียงลางๆเท่านั้น พีทย่องเงียบกริบไปตามเสียง เขาเป็นหัวขโมย เชี่ยวชาญในที่มืดมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว ส่วนซีก็ค่อยๆคลำทางมาด้วยการฟังเสียงสะท้อนของอากาศในตัวอาคาร แม้จะไม่เร็วนัก แต่ทั้งคู่ก็เคลื่อนไหวได้ดีกว่าอีวานมากทีเดียว

    “เสียงหัวใจเต้นแรง คุณหนูกำลังลำบาก” มิสเตอร์ซีเงี่ยหูฟังเสียงอย่างระมัดระวัง

    “นึกภาพยัยนั่นตอนลำบากไม่ออกเลยว่ะ” ถึงอย่างนั้นพีทก็ยังดูเป็นกังวล “เอาไงซี จะลุยเหรอ”

    “ศัตรูมีคนเดียว บาดเจ็บเหมือนกัน” ปืนเลเซอร์ถูกชักออกมาจากซอง มือซ้ายของซีกระชับมันไว้แน่น “เก็บเลยดีกว่า”

    “มันอาจจะเป็นพวกทหารก็ได้นะ” พีทออกความเห็น

    “ไม่รู้สิ” มือปืนหนุ่มส่งเสียงชู่วเบาๆ เพื่อให้เพื่อนของเขาเงียบลง “อย่างน้อยมันก็ไม่ได้พาอาริมิไปที่ค่ายทหาร มันอาจจะไม่ใช่ทหารก็ได้ ศัตรูของสตรอว์บาลัมมีเยอะจะตาย”

    ใช่แล้ว เพราะศัตรูของสตรอว์บาลัมแฟมิลี่นั้นมีมากเกินกว่าจะหลบเลี่ยงได้ตลอด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนรักสงบอย่างซีและพวกไม่ชอบมีปัญหาอย่างพีทถึงได้เลี่ยงอยู่เพียงรอบนอกของแฟมิลี่นี้ ทั้งที่ก็เป็นคนสนิทที่บอสใหญ่อย่างคุณดันไบน์ค่อนข้างไว้ใจมาตลอด

    บทสนทนาจบลงแค่นั้น ก่อนที่ศัตรูหนึ่งเดียวคนนั้นจะได้ยิน ก้าวต่อไปอีกเพียงไม่นาน ในที่สุดทั้งคู่ก็มาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

    หลังจากบอกให้อาริมิซึ่งนั่งพิงกำแพงอยู่เงียบ พีทก็เลื่อนมือมาแตะที่ด้ามมีดอย่างเงียบเชียบ ใจหนึ่งเขาอยากถามซีว่าจะเอาแน่เหรอ เขาไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องกับคนมีอาวุธในมือซะด้วย แต่ดูเหมือนมือปืนจะไม่รอให้เขาถาม ปืนในมือของซีจรดนิ่งอยู่ตรงขอบมุมทางเดิน พร้อมจะลั่นไกดับชีพผู้ที่เดินผ่านเข้ามาทันที ซึ่งมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเลยด้วยฝีมือของสิงห์ปืนไวอันดับหนึ่งแห่งธรณีนี่นี้ใครครอง

    มันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าหากอาริมิจะทันได้มีโอกาสเตือนพวกเขาว่าที่กำลังย่างสามขุมเข้ามานั้น เป็นหนึ่งในระดับเสนาธิการหน่วยพลังม้า หากเป็นอย่างนั้น พวกเขาคงเลือกที่จะเผ่นอย่างไม่คิดชีวิตแน่นอน ทว่าทันทีที่อีวานเดินผ่านมุมทางเดินเข้ามา มิสเตอร์ซีก็สับไกส่งพลังงานเลเซอร์ความถี่สูงออกจากปากกระบอกปืนพุ่งตรงไปยังศัตรูที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครไปแล้ว

    หน่วยพลังม้านั้นต่างจากหน่วยงานอื่นๆในกองทัพตรงที่มีใบอนุญาตฆ่าได้โดยไม่มีความผิด ตราบใดที่ยังคงอยู่ในภารกิจ ซึ่งการจะได้ตราอนุญาตฆ่าที่มีชื่อว่าหน่วยพลังม้ามานั้น ต้องผ่านการคัดเลือกอย่างละเอียดจากทหารทั้งหมดในกองทัพพิทักษ์จักรวาลที่มีจำนวนนับล้าน เทียบเชิญมาทดสอบความพร้อมจะถูกส่งไปหาบรรดาทหารที่โดดเด่นจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอวกาศ รวมไปถึงเหล่าจารชนข้ามดวงดาว พวกเขาจะถูกส่งเข้าไปรับการทดสอบทั้งทางร่างกายและจิตใจบนดาวไฟนอลออน ดาวหน้าด่านของราชวงศ์ เป็นการทดสอบที่โหดเหี้ยมแสนสาหัส และเมื่อผ่านมาได้ ก็จะต้องเข้าสอบเลื่อนระดับเพื่อบรรจุเป็นหนึ่งในหน่วยพลังม้าอีกที พวกเขาจึงเป็นเหล่ามือพิฆาตที่เก่งที่สุดของกองทัพ ด้วยความสามารถที่โดดเด่นต่างๆกันไป และจะได้รับเพียงภารกิจในการกวาดล้างเหล่าตัวอันตรายระดับสูงสุดของแกแล็คซี่เท่านั้น และในจำนวนเจ้าหน้าที่หน่วยพลังม้าที่ว่ากันว่าเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิแล้ว จะมีผู้ที่โดดเด่นที่สุดเพียงแปดคนเท่านั้น ที่ได้รับตำแหน่งอันเป็นการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับเสนาธิการหน่วย

    และอีวาน ไอแซ็ค ก็คือหนึ่งในแปดเสนาธิการ ผู้มีตำแหน่งอยู่ที่แบล็คไนท์ อัศวินดำผู้พิฆาตศัตรูด้วยความอำมหิตเพียงพริบตา

    มิสเตอร์ซีรู้สึกได้ทันทีว่าศีรษะของศัตรูต้องเป็นรูแน่นอน เขาเล็งอย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยคะเนความสูงของอีวานด้วยแรงสะท้อนของเสียง รู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกข้นของเลือด เสียงเลเซอร์แผดเผาทะลุทลวงผิวหนัง กล้ามเนื้อและกะโหลกเองก็ยืนยันให้เขาได้มั่นใจ

    ทว่าศัตรูกลับไม่ล้ม

    “อะไร!!” มิสเตอร์ซียังไม่ทันจะอุทาน ขาขวาของอีวานก็เหวี่ยงฟาดเข้าเต็มช่วงตัว มือปืนหนุ่มโดนเตะอัดเข้าไปติดกำแพง พีทไม่รอให้เพื่อนของเขาสั่ง มีดสองเล่มในมือควงเข้าปักกลางอกของอีวานอย่างรวดเร็ว

    แต่ยังคงไร้ผล ในความมืดที่ไม่มีใครมองเห็นกัน พีทสาบานได้ว่าเขาแทงมีดลงไปลึกพอที่จะฆ่าชายแปลกหน้าคนนี้ได้แน่นอน แต่อีวานเพียงชะงัก ก่อนจะชักปืนออกมา ทั้งพีทและซีได้ยินเสียงปืนโฟตอนกำลังชาร์จพลังงานดังชัดเจน แสงไฟจากปืนโฟตอนที่กำลังชาร์จสว่างวาบ เผยให้สองหนุ่มจากธรณีนี่นี้ใครครองเห็นหน้าคนที่พวกเขากำลังต่อกรด้วยอยู่เป็นครั้งแรก

    “แว่นนี่แพงนะโว้ย” ชายหนุ่มผมดำตรงหน้าคำรามเบาๆ แว่นกันแดดของเขาไม่โดนกระสุน แต่ก็เปรอะไปด้วยเลือดเต็มไปหมด เลือดที่ทะลักออกมาจากรูบนศีรษะของเขา

    “แกมัน ตัวอะไรกันวะ” มิสเตอร์ซีสบถไม่เป็นภาษา เมื่อเห็นว่าศีรษะของอีวานถูกยิงเป็นรูโบ๋บริเวณขมับจริงๆ และมีดก็ยังคงปักอยู่ที่อกของเขามิดด้าม ทว่าบาดแผลกำลังสมานตัว นอกจากนี้ชายแปลกหน้ายังมีตะปูเล่มยาวปักอยู่กลางหัว ในตำแหน่งที่สามารถทำให้เขาหลับไปตลอดกาลได้เลยทีเดียว “รีเจเนอเรเตอร์ นี่พวกแกยังมีเหลืออยู่กันอีกเหรอเนี่ย”

    “หน่วยพลังม้า” พีทเอ่ยออกมาเบาๆ ในสิ่งที่ซียังไม่ทันสังเกต ตราที่ปลอกแขนของอีวานบอกเขาว่าอย่างนั้น “แย่แล้วว่ะซี แย่สุดๆ”

    “เออ แย่” มือปืนหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ดีไม่แพ้พีท ศัตรูมีคนเดียว แต่เป็นถึงหน่วยพลังม้า แถวยังเป็นพวกรีเจเนอเรเตอร์ ผู้ที่ได้รับการดัดแปลงทางพันธุกรรมอย่างผิดกฎหมาย สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้อย่างรวดเร็วจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ “อย่าช้าพีท พาคุณหนูถอยเดี๋ยวนี้เลย”

    “อีกเรื่องซี” ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ซีสังเกตได้จากน้ำเสียง “คุณหนูหายไปแล้วว่ะ”

    ราวกับมายากล พีทไม่ได้โกหก เพียงพริบตา ซีเห็นได้รางๆในความมืดว่าอาริมิหายไปจากที่ๆเธอนั่งอยู่แล้วจริงๆ โดยไม่มีใครทันสังเกตเลย เธอไม่ได้วิ่งหนี เพราะไม่มีใครเห็นเธอขยับ แม้จะมืด แต่เมื่อสายตาเริ่มชินแล้วก็เริ่มพอมองเห็นได้บ้าง ทั้งซี พีทและอีวานต่างก็สาบานได้ว่า พวกเขาไม่มีใครเห็นอาริมิลุกจากที่เลยแม้แต่น้อย

    “เอาแล้วไง หนีไปไหนแล้ว” มิสเตอร์ซีสบถเบาๆ ยัยคุณหนูตัวแสบ จะเผ่นก็ไม่มีเรียกสักคำ

    “ยัยตัวร้าย” มีเพียงอีวานเท่านั้นที่รู้ว่าอาริมิหายไปได้ยังไง หลังจากที่เขาตรวจดูเครื่องเสตลท์ซึ่งติดอยู่ตรงเข็มขัด และพบว่ามันถูกฉกไปแล้ว คงจะเป็นตอนที่อีวานมัวแต่สนใจซีกับพีทอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่หน่วยพลังม้าคำรามอย่างชื่นชมระคนโกรธแค้น

    บาดแผลสมานกันสนิท อีวานกระชากปืนในมือของเขาเล็งไปทางมิสเตอร์ซีทันที มือปืนหนุ่มใช้มือขวาปัดปากกระบอกปืนของอีวานให้เฉห่างออกจากศีรษะของเขาได้ทันก่อนที่ลำแสงโฟตอนจะพุ่งออกจากปืนของอีวานเพียงนิดเดียว เจ้าหน้าที่หน่วยพลังม้าสบถคำหยาบคายที่สุดเท่าที่เขาจะนึกได้ออกมาคำหนึ่ง ดูเหมือนวันนี้อะไรๆจะไม่ราบรื่นอย่างที่คิดเอาซะเลย

    “พีทคุณหนูของเราน่าจะปลอดภัยแล้ว ถอยเถอะ” ถึงสู้กับรีเจเนอเรเตอร์ไปก็เสียเวลาเปล่า ยังไงเขาก็ฆ่าอีวานไม่ได้อยู่ดี ทว่าทันทีที่มิสเตอร์ซีหันมาหาเพื่อนสนิท เขาก็พบว่าพีทกำลังเผ่นหนีลงบันไดไปไกลโขแล้ว “เฮ้ย แม่ง ไม่เรียกเลย”

    เพียงแวบเดียวที่ซีหันไปมองพีท หมัดซ้ายของอีวานก็พุ่งเข้าตรงหน้าซีอย่างรวดเร็ว แม้จะได้ยินเสียงนำมาก่อน แต่ซีเองก็หลบพ้นได้เพียงเฉียดๆ หมัดซ้ายทำเอาเขาถึงกับชาไปทั้งหน้า สมกับที่เป็นหน่วยพลังม้า เฉพาะกำลังกายอย่างเดียวก็เหนือกว่าเขามากแล้ว

    แต่ถ้านับรวมความแม่นยำด้วยแล้ว เขายังพอมีจุดที่ได้เปรียบอยู่บ้าง ปืนในมือของซีเล็งไปทางปืนโฟตอนในมือขวาของอีวานทันทีที่หมัดของหน่วยพลังม้ากระทบใบหน้าเขา แม้ใบหน้าจะสะบัดไปอีกทางด้วยแรงกระแทก แต่เขามั่นใจว่านัดนี้จะไม่พลาดเป้า กระสุนเลเซอร์ถูกส่งออกไปยังเป้าหมาย ปืนโฟตอนของอีวานถูกลำแสงความเข้มสูงพุ่งตัดเข้าไปที่ตัวเร่งปฏิกิริยาโฟตอนภายใน ปะทุระเบิดออกคามือของหน่วยพลังม้า แรงระเบิดเล็กๆฉีกกระชากมือขวาของอีวานขาดกระเด็น

    แม้จะฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับก็ยังคงอยู่ อีวานชะงักไปครู่ใหญ่ด้วยความเจ็บปวดที่ข้อมือ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับมิสเตอร์ซีที่จะเผ่นหนีออกมาจากตรงนั้น ยังไงมือปืนอย่างเขาก็ไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดอยู่แล้ว

    “ไอ้พวก.....” แววตาของอีวานวาวโรจน์อย่างน่ากลัว ราวกับโทสะของเขาจะบันดาลถึงขีดสุด ข้อมือข้างที่ถูกแรงระเบิกฉีกกระชากสั่นระริก เลือดสีแดงข้นไหลทะลักออกมามากมาย หากเขาไม่เอาส่วนที่ขาดไปกลับมาต่อคืนก่อนที่บาดแผลจะสมานตัวเอง เขาอาจจะไม่สามารถต่อมันเข้าด้วยกันได้อีก อีวานจึงได้แต่จำใจข่มความโกรธแล้วก้มลงหยิบข้อมือขวาของเขาขึ้นมาจากพื้นอย่างฉุนเฉียว

    ทว่าเขายังไม่คิดจะยอมแพ้แค่นี้ ไม่ว่าอาริมิจะมีข้อมูลที่เขาต้องการหรือไม่ และไม่ว่าไอ้สองหน่อที่เสนอหน้ามาช่วยเธอไว้จะเป็นใครก็ตาม เขาตัดสินใจแล้วว่าจะตามล่าและฆ่าพวกมันทั้งหมดให้ได้



    สัญญาณไฟสีแดงบนแผงหน้าปัดสว่างวาบขึ้นมาแล้ว เป็นเครื่องหมายบอกว่าทางหอบังคับการบินได้จัดเตรียมเส้นทางสำหรับออกสู่อวกาศให้กับยานเมดิสันแสควร์เรียบร้อย กัปตันครูนาร์หันไปพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่พลขับ เหลือเพียงรอเวลาจนกว่าจะเคลียร์เส้นทางการบินได้ตามกำหนดการเท่านั้น พนักเก้าอี้กัปตันไม่เคยทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายเท่านี้มาก่อน แทบจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยภูมิใจแค่ไหนเมื่อครั้งแรกที่ได้นั่งที่เก้าอี้ตัวนี้ มันนานแสนนานมาแล้วจริงๆ บางทีเขาอาจจะหมดไฟไปแล้วอย่างที่พวกนายทหารรุ่นใหม่ๆแอบนินทาลับหลังกันจริงๆก็ได้

    เมดิสันแสควร์ ยานบัญชาการหุ้มเกราะขนาดใหญ่ติดตั้งปืนเมกาโฟตอนแบบหมุนรอบฐานได้เอาไว้ 24 กระบอก พร้อมด้วยปืนเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อยในรางเลื่อนอีก 60 กระบอก บรรจุฝูงบินขับไล่สองฝูงและจู่โจมอีกสองฝูง แม้จะไม่มีระบบมิสไซล์และวาสพ์เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการซ่อมบำรุง แต่ก็เรียกได้ว่าพร้อมรบพอตัว จากนี้ไป เมดิสันแสควร์และลูกเรือจะขึ้นไปประจำการอยู่ที่วงโคจรของแร็คนาร็อค พร้อมกับกองยานในสังกัดอันประกอบด้วยยานพิฆาตชั้นเดสทรอยเยอร์ 4 ลำ ยานพิฆาตชั้นแบทเทิลครุยเซอร์ 4 ลำ และยานจู่โจมหนักชั้นฟริเกตกับชั้นคอร์เวตอีกอย่างละ 6 ลำ ซึ่งเป็นกำลังรบที่เทียบเท่ากับกองทัพของเมืองใหญ่เลยทีเดียว

    “กัปตันครับ มีการติดต่อเข้ามาจากสถานีอวกาศเกลไฮม์ที่รอบนอกวงโคจรของแร็คนาร็อคครับ” พลสื่อสารร้องขึ้นพลางกดส่งข้อมูลการติดต่อไปที่หน้าจอหลักของที่นั่งกัปตัน “รหัสฉุกเฉินครับ ผมคิดว่ากัปตันควรจะรับสาย”

    “กัปตันครูนาร์แห่งยานเมดิสันแสควร์พูดครับ เรากำลังจะออกยาน มีข่าวด่วนอะไรที่นั่นเหรอ” มิโนทอร์เฒ่ากดรับสายแทบจะทันที เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของนายทหารผู้ดูแลสถานีสังเกตการณ์ในจอภาพไม่ใคร่จะสู้ดีนัก

    “ผมส่งข้อความไปที่ปราสาทเซนต์ซาเวียร์แล้ว ท่านดยุคแห่งไอซารด์บอกว่าควรแจ้งให้ท่านทราบทันที” นายทหารชาวมนุษย์ใบหน้ายับยู่ยี่กล่าวน้ำเสียงขึ้นจมูก “เราได้รับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวนมาก มียานอวกาศไม่ทราบสังกัดขนาดเทียบเท่าหนึ่งกองยานกำลังเดินทางผ่านเวิร์มโฮลมาที่นี่ครับกัปตัน”

    “ระบุเวลาที่จะมาถึงที่นี่ได้มั้ย” ภาพในหน้าจอของที่นั่งกัปตันถูกส่งไปยังหน้าจอหลักกลางห้องบังคับการทันที กัปตันครูนาร์คิดว่าควรจะให้ลูกเรือของพวกเขาได้รู้ไว้พร้อมกันๆเลยดีกว่า “อีกสัปดาห์ หรือน้อยกว่านั้น”

    “น้อยกว่านั้นมากครับท่าน” นายทหารสถานีสังเกตการณ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใบหน้าซีดเซียวเหงื่อกาฬไหลท่วม ดูเหมือนเขากำลังถูกความเครียดมหาศาลเข้าจู่โจม “กองยานดังกล่าวไม่ได้มาทางเวิร์มโฮลในตารางการเดินทางหลัก แต่มาทางเวิร์มโฮลที่ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้ว”

    จู่ๆคิ้วของครูนาร์ก็ขมวดเข้าหากันโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

    “พวกเขาจะเดินทางมาถึงในไม่เกินสามชั่วโมงนี้ และข่าวกรองของเราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาคือกองโจรสลัดจูดุ๊บส์ครับท่าน” สิ้นคำนั้น ดูราวกับลูกเรือในยานเมดิสันแสควร์ทั้งหมดจะลืมหายใจไปตามๆกัน คำขู่ของจูดุ๊บส์เป็นจริง นั่นเท่ากับว่าแทบจะทันทีที่พวกเขาขึ้นไปประจำการตามตำแหน่งที่วางไว้เรียบร้อย จูดุ๊บส์ก็จะมาถึงแล้ว

    “ส่งข่าวไปที่กองยานในสังกัดทุกลำ แจ้งห้องสรรพาวุธให้เตรียมพร้อมทันที” กัปตันครูนาร์หันไปสั่งการเร็วปร๋อ ไม่มีเวลาเหลือให้โอ้เอ้อีกแล้ว “ติดต่อไปที่หอบังคับการบิน ให้เคลียร์เส้นทางทั้งหมดทันที เราจะต้องนำยานขึ้นเดี๋ยวนี้”



    “นานมาแล้ว ที่พวกเราชาวซามูไรไซเบอร์ถูกขนานนามว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในออลไฟนอล” คมดาบสะท้อนแสงจันทร์ผ่านสายฝนเป็นเงาวาววับ คะน้า กระดิ่งลมลูบใบดาบของเธอเบาๆ ปล่อยให้น้ำฝนชะเอาคราบเลือดที่ติดอยู่บนใบดาบออกไป “เกียรติของพวกเราถูกลบหายไปในคืนเดียว เพียงเพราะเราไม่ยอมเป็นหมารับใช้ของราชวงศ์”

    “การได้รับใช้จักรพรรดินับเป็นเกียรติสูงสุด” ลมหายใจหอบถี่ ใบดาบในมือปักลงบนพื้นเพื่อค้ำให้ยันกายไว้อยู่ รอยบิ่นบนใบดาบและบาดแผลมากมายบนร่างกายของทรอปปิคอลบ่งบอกถึงระดับที่ต่างกันของเธอและศัตรูตรงหน้าได้เป็นอย่างดี บาดแผลทั้งหมดไม่ลึกมากนัก แต่ก็สร้างภาระให้กับเธออย่างยิ่งเมื่อต้องยืนตากฝนแบบนี้ แม้เธอจะเป็นนักดาบฝีมือดีของกองทัพคนหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ใช่คู่มือของคะน้า กระดิ่งลมคนนี้เลย

    “ชั้นเองก็ชื่นชมความจงรักภักดีแบบไม่ลืมหูลืมตาของเธออยู่หรอกนะ” มือสังหารสาวแค่นหัวเราะอย่างเอ็นดู “แล้วก็ชื่นชมฝีมือดาบของเธอด้วย ไม่บ่อยนักหรอกนะ ที่จะมีคนรับดาบชั้นได้นานขนาดนี้”

    “จะยอมแพ้แล้วรึไง” แม้จะเสียเปรียบ แต่ทรอปปิคอลก็ยังไม่ยอมลดละ

    “เธอนี่ตลกดีจริงๆ” สิ้นคำนั้นคะน้า กระดิ่งลมก็สะบัดปลายดาบตั้งตรงขนานกับพื้น เธอกำลังจะโจมตีครั้งสุดท้าย กับทรอปปิคอลซึ่งแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วนั้น เธอได้แต่ปักหลักยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และยังคงพยายามที่จะเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนว่าสุดท้ายแล้วเธอต้องได้รับชัยชนะ “ลาก่อน กัปตันทรอปปิคอล”

    สองเท้าของคะน้าย่ำผ่านเนินหญ้าแผ่วเบา ได้ยินเพียงเสียงกระดิ่งลมลอยกรุ๊งกริ๊งในอากาศ คมดาบเหวี่ยงเฉือนอากาศพุ่งตรงเข้าไปที่จุดตายของทรอปปิคอลอย่างเงียบเชียบ กัปตันสาวไม่แม้แต่จะหลบตา แม้ว่าเธอจะไม่สามารถรับดาบนี้ได้แล้วก็ตาม เธอเพียงจ้องมองคู่ต่อสู้ของเธอด้วยดวงตาที่เชื่อมั่น และปล่อยให้ดาบของคะน้าผ่านอากาศตรงหน้าเข้ามายังร่างของเธอเท่านั้น

    แล้วคะน้าก็หลับไป ทั้งที่ใบดาบยังไม่ทันถึงตัวทรอปปิคอล เธอหลับไปกลางอากาศทั้งอย่างนั้นเอง

    ปลายดาบลดลงพร้อมกับร่างของเจ้าของที่ต่อยๆถลาลงสู่พื้น แม้แต่ทรอปปิคอลเองยังอดเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่ได้ จู่ๆคู่ต่อสู้ที่พร้อมจะเอาชีวิตเธอก็ล้มลงหลับผล็อยไปกับพื้น ทั้งที่เมื่อครู่ปลายดาบของคะน้าอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่ถึงคืบ สีหน้าสุดท้ายของคะน้าก่อนที่จะหลับไปนั้นไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ล้มลงอย่างง่ายดายราวกับตุ๊กตาที่หมดลาน กัปตันสาวจ้องมองดูอดีตซามูไรไซเบอร์ที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนพื้นหญ้า บลาสเตอร์เซเบอร์ยังคงถูกกำแน่นอยู่ในมือ แต่ไร้แววคมกล้าเหมือนเมื่อครู่

    อาจเป็นหลุมพราง อาจเป็นกับดัก แต่นี่ก็คือโอกาสที่ดีที่สุดที่ทรอปปิคอลไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คะน้า กระดิ่งลม อันดับสองของกลุ่มโจรสลัดจูดุ๊บส์ผู้มีรายชื่ออยู่ในแบล็คลิสท์ของหน่วยพลังม้าก็ล้มลงนอนราบคาบไร้การป้องกันอยู่ตรงหน้าเธอนี้แล้ว เสี้ยนหนามชิ้นใหญ่ของกองทัพ และผู้หญิงที่หมิ่นเกียรติของอาจารย์ครูนาร์อยู่ในกำมือเธอแล้ว

    รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายยกดาบขึ้นมาอย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้นกัปตันทรอปปิคอลก็ยังมีแรงเหลือพอจะตัดศีรษะของคะน้าได้แน่นอน แม้จะไร้เกียรติที่ต้องตัดศีรษะศัตรูขณะกำลังหลับ แต่คะน้าก็เป็นตัวอันตรายเกินกว่าจะปล่อยให้ตื่นขึ้นมาอีกได้ กัปตันหญิงกลั้นใจ กดคมดาบโฟตอนลงไปสุดแรง

    ทว่าไม่ใช่คอของคะน้าที่รับดาบของเธอเข้าไป ที่รับเรี่ยวแรงสุดท้ายของทรอปปิคอลกลับเป็นบลาสเตอร์เซเบอร์ในมือของคะน้าเอง มันเป็นกับดัก สัญชาติญาณของทรอปปิคอลบอกอย่างนั้น แต่ไม่มีเหตุผลเลยที่คะน้าจะเสียเวลาทำแบบนี้ ทั้งที่เมื่อครู่เธอก็สามารถเอาชีวิตทรอปปิคอลได้แน่นอนอยู่แล้ว

    ที่สำคัญ ในตอนนี้คะน้าไม่ได้ลืมตาอยู่ด้วยซ้ำ

    ออกจะเป็นภาพที่แปลกตา แต่ทรอปปิคอลเพิ่งสังเกตว่ามีเมือกเหลวใสไม่คงรูปซึ่งไหลออกมาจากกระดิ่งข้อเท้าของคะน้าได้รวมตัวกันเป็นรูปร่าง เป็นมือลื่นๆที่จับมือและดาบของคะน้ามารับดาบเธอไว้ในตอนนี้ ศัตรูไม่ได้มีคนเดียวมาตั้งแต่ต้น

    “ชาวอควอเตอร์” ทรอปปิคอลออกนามเผ่าพันธุ์ของศัตรูมาเบาๆ เธอไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ลี้ลับประเภทนี้มาก่อน และน้อยคนนักที่จะได้เห็น ในบรรดาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาทั้งหมดในออลไฟนอล อควอเตอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่หายากยิ่ง ด้วยร่างกายที่มีสภาพเป็นของเหลวไม่คงรูป จึงต้องอาศัยสิ่งอื่นๆในการรักษาสภาพร่างกายราวกับกาฝาก แต่อควอเตอร์ที่ร่างกายอ่อนแอคงไม่ใช่คู่มือทรอปปิคอลเลย แม้ว่ากัปตันหญิงจะเหนื่อยล้าสักเพียงใดก็ตาม “อย่าขัดขืนให้เสียเวลาเลย โจรสลัด”

    แม้ทรอปปิคอลจะคำนวณเอาไว้แล้วว่าชาวอควอเตอร์ที่เธอเจอนี้คงจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง ด้วยเป็นถึงคนของจูดุ๊บส์ แต่เธอก็พลาดที่ประมาทฝีมือขององครักษ์เพียงหนึ่งเดียวที่คอยพิทักษ์คะน้า กระดิ่งลมเกินไป ทันทีที่ทรอปปิคอลกัดฟันฟาดดาบลงไปอีกครั้ง ร่างของคะน้าก็พลิกตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือของคะน้าซึ่งถูกควบคุมด้วยอควอเตอร์บรรจงทาบลงตรงหน้าอกของกัปตันหญิงพอดี ก่อนจะออกแรงเพียงเล็กน้อย ส่งแรงกระแทกมหาศาลออกจากฝ่ามือ แรงกระแทกทำเอากัปตันหญิงชาดิกไปทั้งตัวจนแม้แต่ดาบยังหลุดจากมือ ทั้งยังซัดเอาทรอปปิคอลลอยไปด้านหลังก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง

    ไม่เพียงแต่ผลักให้ทรอปปิคอลถอยออกไปเท่านั้น แต่ฝ่ามือเมื่อครู่ยังทำเอากัปตันหญิงทั้งเจ็บปวดและจุกจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว ทรอปปิคอลได้แต่กัดฟันแน่นพลางจ้องมองร่างของคะน้าที่ยืนตระหง่านในท่วงท่าที่แปลกออกไปจากตอนมีสติอย่างประหลาดใจ

    “ศึกนี้คุณแพ้แล้วกัปตันทรอปปิคอล จงถอยกลับไปซะ” น้ำเสียงเข้มแข็งทุ้มต่ำดังกังวานออกมาจากร่างของคะน้าที่สลบอยู่ เสียงของชาวอควอเตอร์คนนั้น “หากเป็นคะน้า เธอคงต้องฆ่าคุณอย่างไม่ลังเลแน่ แต่ผมเคยสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายผู้หญิงหากไม่จำเป็น ฝ่ามือเมื่อครู่นั้นเพื่อป้องกันตัว ผมจะปล่อยคุณกลับไป ยังไงซะกองยานของพวกคุณก็เอาชนะเราไม่ได้หรอก”

    โดยไม่รอคำตอบ ชาวอควอเตอร์ที่ครอบครองร่างของคะน้าอยู่ก็สะบัดดาบบลาสเตอร์เซเบอร์เก็บเข้าฝัก ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ทรอปปิคอลที่ได้แต่กัดฟันแน่นโดยไม่อาจปล่อยคำพูดออกมาได้นั้นจ้องมองดูพวกเขหายลับตาไปอย่างเคียดแค้น ไม่ต้องสงสัยว่าฝ่ามือสุดท้ายนั้นเป็นฝีมือล้วนๆของชายชาวอควอเตอร์คนนั้นแน่นอน แม้คะน้าจะเก่งกาจ แต่ความสามารถของมือสังหารสาวอยู่ที่บลาสเตอร์เซเบอร์ หาได้อยู่ที่วิชาหมัดมวยไม่ เพียงฝ่ามือเดียวอควอเตอร์ที่เธอไม่รู้จักชื่อได้ประกาศให้เธอรู้อย่างไม่มีข้อกังขาเลยว่าฝ่ามือของเขาไม่ด้อยไปกว่าบลาสเตอร์เซเบอร์ในมือคะน้าเลย เธอแพ้แล้ว แพ้ให้กับชาวอควอเตอร์ที่ตำราทุกเล่มบอกไว้ตรงกันว่าแม้จะมีภูมิปัญญาเทียบเคียงมนุษย์ แต่ก็อ่อนแออย่างที่สุด และไร้พิษสงโดยสิ้นเชิง

    และนี่เป็นครั้งแรกที่ทรอปปิคอลได้เรียนรู้ว่า บางครั้งทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอถูกปลูกฝังให้เชื่อเสมอไป



    สายฝนยังคงสาดซัดอย่างต่อเนื่องขณะที่อาริมินั่งอยู่ตรงล็อบบี้โรงแรมที่เธอจองไว้ แน่นอนว่ามันคงไม่ปลอดภัยนัก แต่เธอก็จองไว้ในชื่อปลอม กว่าหน่วยพลังม้าจะหาเธอเจอคงต้องใช้เวลานิดหน่อย และโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ใช่โรงแรมแห่งเดียวในไอซาร์ดที่ยังเปิดบริการอยู่ เนื่องจากโรมแรมใหญ่ๆแทบทั้งหมดในเมืองจะมีเชลเตอร์หลบภัยใต้ดินเป็นของตัวเอง จึงค่อนข้างปลอดภัยอยู่แล้ว ในมือของเด็กสาวคือเครื่องเสตลท์ขนาดพกพา อุปกรณ์หักเหแสงที่ช่วยพรางตัวได้ดีที่สุดในปัจจุบันนี้ เด็กสาวพินิจดูเครื่องมือชิ้นเล็กๆตรงหน้า หนึ่งในสินค้าที่เธอขายให้กับกองทัพเมื่อหลายเดือนก่อน ต่อให้เป็นหน่วยพลังม้า ถ้าอยากจะจับเธอให้อยู่ก็ต้องระวังให้มากกว่านี้

    “อยู่นี่เอง” น้ำเสียงเจือลมหอบหายใจของพีทดังขึ้นก่อนที่ร่างเปียกโชกของพีทจะเดินนำซีซึ่งเปียกไม่แพ้กันมานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามอาริมิ น้ำฝนที่เกาะอยู่บนร่างของทั้งคู่หยดแหมะๆลงบนพรมจนเปียกชุ่ม ทำเอาพนักงานประจำล็อบบี้โรงแรมมองตาขวาง “อุตส่าห์ไปช่วย จะหนีก็ไม่มีเรียกเลยนะ คุณหนู”

    “แต่ก็รอดกันมาได้ไม่ใช่เหรอ” อาริมิทำหน้าไร้เดียงสาเอียงคอยิ้มแย้ม “คุณพ่อให้มาตามชั้นกลับล่ะสิ”

    “ถูกต้อง และที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยแล้วอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นกลับไปกับพวกเราซะดีๆ” หัวขโมยหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้อาริมิที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมากขึ้น “แล้วก็อย่าคิดเล่นสนุกด้วยเครื่องเสตลท์ในมือนั่นล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าซีได้ยินเสียงเธอย่องแน่ๆ”

    “ใจร้ายจังพีท ใครจะไปทำอย่างนั้นกันล่ะ” เด็กสาวเอนหลังลงกับเบาะพลางทำหน้าผิดหวัง ซึ่งพีทดูก็รู้ว่าเสแสร้ง “ตอนนี้เศรษฐกิจของไอซาร์ดกำลังล้มระเนระนาดเนื่องจากสงคราม นี่มันโอกาสดีมากเลยนะที่จะทำกำไรนิดๆหน่อยๆ”

    “เธอก็ขายอาวุธให้กองทัพไปตั้งเยอะแล้วนี่” พีททิ้งตัวเอนหลังลงกับเบาะบ้าง ขณะที่ซีถอดเสื้อโค้ทที่เปียกปอนของเขาออกพาดไว้กับพนักวางแขน “ยังจะเอาอะไรอีก”

    “จากที่ชั้นคำนวณ ศึกนี้ไม่น่าจะยืดเยื้อ ไม่ว่าจะจบลงแบบไหน ประชาชนชาวไอซาร์ดก็ต้องเดือดร้อนทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ทั้งที่อยู่อาศัย ถ้าชั้นรออยู่ที่นี่ รับรองได้ว่าต้องเริ่มงานเร็วกว่านายหน้าเจ้าอื่นไปหลายช่วงตัวแน่” แม้จะฟังดูใจร้าย แต่ก็สมกับที่เป็นเด็กสาวอัจฉริยะผู้มีมันสมองถึงสองชั้นจริงๆ เธอวางแผนทำกำไรเอาไว้ได้ถึงขนาดนั้นเชียว “กว่าบริษัทอื่นๆจะมาถึงก็คงสายไปไกลแล้ว”

    “แต่มันไม่ปลอดภัยนะครับ” ซีเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง “โจรสลัดไม่ปราณีใครทั้งนั้น”

    “ยกเว้นคนที่มีผลประโยชน์มอบให้” รอยยิ้มของเด็กสาวบ่งบอกว่าเธอมีผลประโยชน์ที่ว่า และก็ได้ต่อรองกันไปแล้วด้วย

    “แล้วหน่วยพลังม้าล่ะ” พีทท้วง เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วินาทีเดียว ใครจะรู้ อยู่ๆไอ้รีเจเนอเรเตอร์คนเมื่อกี้อาจจะโผล่เข้ามาที่นี่ตอนไหนก็ได้

    “ชั้นเตรียมรับมือไว้แล้ว” ดูเหมือนอาริมิจะมั่นใจมากทีเดียว แต่ทั้งพีทและซีก็ยังข้องใจอยู่ว่าจะรับมือกับสุดยอดนักฆ่าของกองทัพได้ยังไง

    “หมายความว่าจะไม่กลับแน่ใช่มั้ย” พีทเค้นน้ำเสียงอย่างเหนื่อยหน่าย ซึ่งอาริมิก็ตอบด้วยการพยักหน้าเพียงเบาๆ “ก็ว่าแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ แล้วที่อุตส่าห์บุกไปช่วยเมื่อกี้ ไหนช่วยพูดขอบคุณให้รื่นหูซักคำซิ”

    “จะให้ขอบคุณ ก็ได้อยู่หรอกนะพีท” เด็กสาวส่งยิ้มร้ายๆแบบที่พีทกลัวนักหนามาให้ “ว่าแต่พ่อชั้นจ่ายไปเท่าไหร่ล่ะ ถึงมายอมมาช่วยกันอย่างนี้ อย่างนี้ถือเป็นบุญคุณด้วยมั้ย”

    “โอเค ไม่ต้องก็ได้ เข้าใจแล้ว” เป็นอีกครั้งที่หัวขโมยหนุ่มเถียงสู้แม่อัจฉริยะสาวลูกครึ่งคนนี้ไม่ได้ พีทถอนใจแรงๆก่อนจะหันไปหาเพื่อนสนิท “ไม่ไหวหรอกซี ยัยนี่ดื้อจะตาย”

    “ถ้าอย่างนั้นพวกผมมีข้อเสนออื่น” มิสเตอร์ซีลดเสียงลงเล็กน้อย จนแทบเป็นเสียงกระซิบ “ผมรู้นะว่าคุณหนูค้าขายกับพวกโจรสลัดด้วย ไม่งั้นหน่วยพลังม้าไม่ตามล่าคุณหนูหรอก”

    “เฮ้ย อะไรกัน ชั้นไม่เห็นรู้เลย” พีทร้องออกมาอย่างตกใจ จนซีเอามืออุดปากแทบไม่ทัน

    “ถึงโจรสลัดรับปากจะไม่ทำอันตรายคุณหนู แต่อยู่กลางสมรภูมิ ยังไงก็ไม่ปลอดภัย” มือปืนหนุ่มพูดต่อทั้งที่มือยังอุดปากเพื่อนไว้อยู่ “ยานของพวกเราจอดอยู่ที่นิคมเหมืองนอกเมือง ที่นั่นน่าจะปลอดภัยกว่า ยังไงคุณหนูไปพักอยู่ที่นั่นก่อน แล้วพอจบเรื่องก็ค่อยแยกย้ายกันไป”

    “เดี๋ยวๆ ซี นี่เรามีแผนจะบินออกจากที่นี่ภายในคืนนี้ไม่ใช่เหรอ ไอ้จบเรื่องนี่มันหมายความว่ายังไง” พีทดิ้นรนปัดมือซีออกจากปากจนได้

    “สายไปแล้วว่ะพีท กองทัพประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วแบบนี้ ด่านตรวจยานเข้าออกคงต้องเข้มงวดขึ้นหลายเท่าแน่ อย่าลืมสิว่ายานที่เรานั่งมา กัปตันเราก็ใช่ย่อย ขืนเอายานออกมีหวังโดนรวบคาด่าน” ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งพีทและซีที่มีคดีติดตัวอยู่ทั้งคู่ก็มีหวังซวยไปด้วย “ชั้นกับทริกเกอร์ก็กะอยู่ว่าจะไปหลบที่นิคมเหมืองจนเรื่องมันสงบๆนั่นแหละ ถึงจะเผ่นกันได้”

    “นี่ไปตกลงกันตอนไหนวะ ชั้นไม่เห็นรู้เรื่อง” จะว่าไป พีทเองก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับเค้าเลยสักครั้ง

    “เอาล่ะ ว่าไงครับคุณหนู” โดยไม่สนใจพีท ซีหันกลับไปหาอาริมิอีกครั้ง

    “ก็พอรับได้” คำตอบของอาริมิทำให้มิสเตอร์ซียิ้มออกมาได้ ก็พอรับได้ นั่นแปลว่าเธอตกลง “ถ้างั้นเราควรจะต้องออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย”

    “อันที่จริง ผมกะว่าพวกเราจะพักที่นี่กันก่อนคืนนึงแล้วค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า แต่ถ้าคุณหนูต้องการอย่างนั้นพวกผมก็ไม่ขัด” ซีหันไปส่งสายตาปรามพีทที่ทำท่าจะขัด ก่อนจะหันกลับมาที่อาริมิ “ว่าแต่ มีเหตุผลอะไรที่เราต้องรีบถึงขนาดนั้นเหรอครับ”

    “อันที่จริง แผนของชั้นคือหลบอยู่ในเชลเตอร์ของโรงแรมนี้ ซึ่งชั้นแจ้งกับพวกจูดุ๊บส์ไปแล้วว่าชั้นอยู่ที่นี่ แต่ถ้าจะหนีออกนอกเมือง พวกเราก็ต้องรีบไปก่อนที่พวกจูดุ๊บส์จะมาถึง” แม้สีหน้าของอาริมิจะยังคงยิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงของเธอฟังดูจริงจังมากขึ้นกว่าทุกที “เพราะทันทีที่พระอาทิตย์จับท้องฟ้าในวันพรุ่งนี้ โจรสลัดจูดุ๊บส์ก็จะมาถึงวงโคจรของแร็คนาร็อคกันแล้ว”

    พีทอุทานออกมาเบาๆคำหนึ่ง ในขณะที่ซีได้แต่นั่งนิ่งไปครู่ใหญ่ เขาก็รู้อยู่ว่าพวกจูดุ๊บส์ใกล้จะลงมือแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ สิ่งที่พวกโจรสลัดขู่ออกสื่อเป็นเรื่องจริง นั่นเท่ากับทุกวินาทีในตอนนี้ช่างมีค่าเหลือเกิน เมื่อคิดได้ ทั้งคู่จึงผุดลุกขึ้นทันที โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าฝนข้างนอกจะตกหนักขนาดไหน



    ทริกเกอร์รู้สึกแปลกๆตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นิคมเหมืองซึ่งยานลมกรดของเขาจอดอยู่แล้ว เหมือนกับว่าที่นี่จะเงียบผิดปกติ จริงอยู่ ที่นี่ไม่มีผู้อพยพจากไอซาร์ดมาพัก เพราะไม่มีเชลเตอร์ที่มั่นคง แต่ลูกเรือของเขาและชาวเหมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งทำงานเป็นพนักงานท่าจอดยานเถื่อนอยู่ที่นี่ก็น่าจะเพียงพอที่จะไม่ทำให้บรรยากาศดูวังเวงขนาดนี้แล้ว

    นี่มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ

    เป็นที่น่ายินดี สัญชาติญาณระวังภัยของทริกเกอร์เฉียบคมขึ้นทุกทีนับตั้งแต่ออกเดินทางมา เขาดูจะสัมผัสกับอันตรายได้เร็วขึ้น ซึ่งทำให้เขาสามารถระวังตัวได้มากขึ้น กัปตันหนุ่มเลือกที่จะเลี่ยงทางเดินหลักที่ทอดยาวเข้าสู่ท่าจอดอวกาศยานและเรือนพัก แล้วหันไปเดินตัดผ่านแนวป่ารอบๆเพื่อดูลาดเลาก่อน

    อย่างที่เขาคิดไม่มีผิด นาวิกโยธินกลุ่มหนึ่งเดินเพ่นพ่านอยู่ในเรือนพัก พวกกองทัพเจอยานของเขาแล้ว พวกนี้มาตามล่าเขาและลูกเรือแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นป่านนี้ลูกเรือของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะหนีรอดไปได้ก่อน หรือว่าโดนจับกันไปหมดแล้ว ทริกเกอร์ย่องเงียบกริบไปรอบๆเพื่อดูให้ทั่ว ไม่มีวี่แววคนของเขาอยู่ในนั้น มีแต่พวกคนงานเหมืองที่กำลังถูกสอบสวนอยู่ ที่ท่าจอดอวกาศยานมีนาวิกโยธินอีกกลุ่มเฝ้าอยู่ โดยมีนายทหารยศนาวาอวกาศตรีชาวมนุษย์คนหนึ่งและชาวลูนาเรียนคนหนึ่งคุมอยู่ด้วย

    ลูกเรือของเขาไม่อยู่ที่นี่ บางทีพวกนั้นอาจจะหนีไปแล้ว

    “นาวาอวกาศตรีคาซึกิครับ ลูกเรือที่หนีไปพร้อมกับอดีตนาวาอวกาศโททริกเกอร์อยู่กันครบเลยครับ ขาดแต่ตัวอดีตกัปตันทริกเกอร์คนเดียว” นาวิกโยธินคนหนึ่งวิ่งมารายงานให้นายทหารหญิงที่คุมทีมตรวจค้นฟัง ผิดคาดดูเหมือนพรรคพวกของเขาจะถูกรวบตัวกันหมดแล้ว “ทางนาวาอวกาศตรีโอมุก็ยังไม่พบทริกเกอร์ในโรงแรมที่พักเช่นกันครับ”

    ไม่เพียงแต่ที่นี่ ที่โรงแรมเองก็โดนค้นไปด้วย คนของกัปตันทรอปปิคอลทำงานกันเร็วจริงๆ

    “อีกเรื่องครับ กัปตันทรอปปิคอลติดต่อมาแล้วว่าให้ไปพบกันที่ท่าอวกาศยานหลักในไอซาร์ดในอีกครึ่งชั่วโมง เราจะนำเฮลไฟร์69ไปเทียบท่าที่เทืองเพยน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับโจรสลัดโดยไม่จำเป็น” นาวิกโยธินชาวเอลฟ์รายงานต่อ ซึ่งนั่นทำให้ทริกเกอร์ประหลาดใจ เฮลไฟร์เป็นยานรบที่ทรงอานุภาพ ทั้งยังมีฝูงบินประจำการที่แข็งแกร่ง แต่กลับไม่คิดที่จะเข้าร่วมศึกครั้งนี้ หากจะเรียกว่ายึดติดกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา ก็คงจะพูดได้ว่ายึดติดมากเกินไปจริงๆ “กัปตันทรอปปิคอลระบุว่า เราจะต้องนำตัวลูกเรือของอดีตกัปตันทริกเกอร์ทุกคนไปด้วยครับ”

    หากพวกลูกเรือของเขาถูกพาไปคุมขังไว้ที่เฮลไฟร์69แล้วล่ะก็ โอกาสที่จะช่วยออกมาได้อีกครั้งนั้นแทบจะไม่มีเลย ทริกเกอร์ลอบกัดริมฝีปากเบาๆ นายทหารหญิงหุ่นอวบอัดสั่งการให้นาวิกโยธินหน่วยหนึ่งดูแลยานลมกรด2003เอาไว้ ขณะที่เรียกระดมพลคนอื่นๆกลับไปที่ไอซาร์ด พวกลูกเรือของเขาจะถูกจับใส่รถขนนักโทษกลับไป ดูเหมือนเขาจะมีโอกาสแค่ช่วงนี้เท่านั้น ทริกเกอร์ต้องช่วยคนของขาออกมาให้ได้ก่อนที่รถขนนักโทษจะกลับไปถึงไอซาร์ด แต่จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อรถขนนักโทษนั้นมีนาวิกโยธินเฝ้าอยู่เต็มไปหมด



    “ฝนคงจะหยุดตกก่อนรุ่งสาง” บนรถรางที่กำลังวิ่งออกจากเมืองไอซาร์ดอย่างไม่รีบร้อน อาริมิจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่แม้จะพร่างพราวด้วยหยาดฝน แต่ก็เริ่มที่เห็นเมฆและดวงดาวบ้างแล้ว “ถ้ายังมีฝนอยู่อาจทำให้การเทียบท่าของจูดุ๊บส์ลำบากขึ้นหน่อย แต่น่าเสียดาย”

    “งั้นพวกเราก็ยิ่งต้องรีบไปให้ไกลจากที่นี่กันแล้วล่ะ” มิสเตอร์ซีโยนผ้าขนหนูที่เขาเพิ่งจะใช้ซับน้ำฝนออกจากผมเสร็จไปให้พีท

    “แล้วนี่ไอ้ทริกเกอร์มันจะไปถึงที่ท่าจอดยานรึยังเนี่ย ยิ่งโง่ๆอยู่” แม้จะพูดจาจิกกัดไปอย่างนั้น แต่พีทเองก็รู้ว่าทริกเกอร์คงเอาตัวรอดได้ บนรถรางขณะนี้อัดแน่นไปด้วยประชาชนที่พยายามจะอพยพหนีไปให้ไกลจากไอซาร์ดมากที่สุด สายฝนทำให้การจราจรสายหลักยิ่งติดขัด รถรางจึงเป็นทางเลือกที่ไม่เลว

    “จะว่าไปชั้นก็อยากเห็นนะ ระบบAIมีชีวิตของยานลำนั้น” ตลอดทางที่ผ่านมา อาริมิได้ยินเรื่องของยานลมกรด2003มาไม่น้อย และเธอก็ดูจะสนใจมากทีเดียว “เมื่อก่อนชั้นก็เคยไปดูซากยานนั่นตอนทีพีทเอามานะ แต่ตอนนั้นไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรพิเศษเลย”

    “พิเศษสิ เละเป็นพิเศษไง” หัวขโมยหนุ่มกล่าวอย่างประชดประชันพลางซับน้ำฝนออกจากศีรษะด้วยผ้าขนหนู “ขอบคุณสำหรับผ้าขนหนูนะอาริมิ”

    “ไม่เป็นไร คิดไม่แพงหรอก” เด็กสาวอมยิ้ม เล่นเอาซีกับพีทยิ้มหุบทันที

    รถรางวิ่งผ่านสายฝนไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาตลอดตามเส้นทางที่ถูกกำหนดเอาไว้ สองข้างทางเป็นแนวป่ามืดมิดที่เงียบสงัด หรืออันที่จริงต้องเรียกว่าควรจะเงียบสงัด หากแต่ยามนี้มีเสียงเครื่องยนต์ฟิวชั่นที่กำลังส่งเสียงวิ้งๆของฮูเวอร์ไซเคิลคันหนึ่งรบกวนความเงียบสงัดนั้น มอเตอร์ไซค์ต้านแรงโน้มถ่วงพุ่งทะยานผ่านแนวป่าไปตามเส้นทางของรถรางอย่างใจเย็น เดอะข่าน ดิสโก้คิลเลอร์เลือกสถานที่ลงมือกับเหยื่อของเขาแล้ว

    แต่แม้เสียงเครื่องยนต์ฟิวชั่นจะเงียบสักแค่ไหน ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของมิสเตอร์ซีไปได้ ปืนในมือซ้ายของซีที่ถูกซ่อนไว้ในเสื้อโค้ทจึงเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มือปืนหนุ่มยังไม่รู้ว่า ที่ตามพวกเขามาอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นใครกันแน่



    ไม่ไกลจากวงคจรของแร็คนาร็อคเท่าไหร่นัก บริเวณเวิร์มโฮลที่ถูกยกเลิกการใช้งานไปแล้วปรากฎคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแปรปรวนอย่างหนักก่อน เจ้าหน้าที่ทุกคนในสถานีสังเกตการณ์กำลังจับตามองผู้มาเยือนที่กำลังจะออกมาจากเวิร์มโฮลแห่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ ในใจนึกภาวนาให้เป็นเพียงกองยานพานิชย์ที่หลงทางผ่านมา แต่ก็รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ ด้วยเวิร์มโฮลแห่งนี้มีความแปรผันทางกาลเวลาไม่คงที่ คงจะมีแต่พวกที่ระห่ำจริงๆเท่านั้นถึงจะกล้าใช้มัน

    เพียงอึกใจเดียว ก่อนที่พายุแม่เหล็กไฟฟ้าหน้าเวิร์มโฮลจะสงบลง ปรากฏกลุ่มยานติดอาวุธฝูงใหญ่ผ่านจากหมอกฝุ่นละอองออกมาจากเวิร์มโฮล ยานบัญชาการรบลำที่อยู่หน้าสุดมีสะพานเดินเรือทรงโค้งแยกเป็นสองฝั่งสีแดงเข้มและมีหอบังคับการทรงโค้งอีกอันอยู่ด้านล่าง เมื่อมองจากด้านหน้าดราวกับปากสีแดงสดที่พร้อมจะกลือนกินทุกอย่าง ปืนใหญ่โฟตอนมากมายเรียงรายอยู่บนฐานป้อมปืน น่าเกรงขามและน่าพรั่นพรึง แต่ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่กระบอกปืนใหญ่ กลับเป็นธงรูปปากมีกระดูกไขว้ถูกขึงตึงโดดเด่นอยู่ด้านหน้าของหอบังคับการหลักต่างหาก

    “ยานแม่มิดไนท์คิส” หัวหน้าสถานีอวกาศสังเกตการณ์เกลไฮม์ครางออกมาอย่างลืมตัว “พระเจ้าช่วย”

    ไม่เพียงแต่ยานบัญชาการเท่านั้น ยานรบตั้งแต่ระดับคอมมานเดอร์คลาสไปจนถึงระดับคอร์เวตที่ตามออกมาจากเวิร์มโฮลล้วนมีธงสัญลักษณ์เดียวกัน ราวกับจะย้อมห้วงอวกาศด้วยสีแดงเข้มดั่งโลหิต แม้แต่นายทหารมากประสบการณ์ที่สุดในสถานีอวกาศยังอดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้

    “กองยานเมดิสันแสควร์มาถึงแล้วครับ” ท่ามกลางความตกตะลึงในการมาถึงของจูดุ๊บส์ พลสื่อสารร้องออกมาอย่างมีความหวัง “กัปตันครูนาร์นำกองยานมาเทียบท่าแล้วครับท่าน”

    “ติดต่อไปที่เมดิสันแสควร์เดี๋ยวนี้” โดยไม่หันไปมองหน้าจอสื่อสารแม้แต่น้อย หัวหน้าสถานีเกลไฮม์ออกคำสั่งแทบจะทันที

    แม้จะเพิ่งมาถึง แต่เมื่อเห็นศัตรูอยู่ตรงหน้าแล้ว กัปตันครูนาร์ก็สามารถคุมสติได้อย่างดีเยี่ยม เขาออกคำสั่งให้จัดขบวนกองยานเป็นแนวรบแบบปีกกาเพื่อโอบล้อมศัตรูที่ยังกระจุกตัวกันอยู่หน้าเวิร์มโฮลทันที แม้จะเป็นความได้เปรียบเพียงเล็กน้อย แต่ในสมรภูมิ ทุกความได้เปรียบคือปัจจัยสำคัญ

    “กัปตันครูนาร์ครับ พวกโจรสลัดมาถึงแล้ว ป้อมปืนของสถานีรบพร้อมใช้งาน 70% ส่วนดาวเทียมจู่โจมที่พอจะสนับสนุนการสู้รบได้นั้นมีเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ควรจะมีเท่านั้น” นายสถานีสังเกตการณ์ระล่ำระลัก “กัปตันโปรดออกคำสั่งด้วยครับ”

    สิ่งที่นาวาอวกาศเอกเฒ่ากลัวเป็นความจริง พวกโจรสลัดเดินทางมาด้วยเวิร์มโฮลที่ถูกห้ามใช้ พวกเขามีผู้มีพลังจิตล้ำลึกช่วยนำทางให้ กัปตันครูนาร์ทอดสายตามองดูกองยานสีแดงเข้มตรงหน้าเนิ่นนาน ช่างอ่อนวัย ช่างเข้มแข็ง หากเป็นกองกำลังที่ใช้คมดาบนั้นเพื่อปกป้องประชาชนได้จะดีสักแค่ไหน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นโจรสลัดแต่ขนบการจัดกระบวนรบนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากองยานของเขาเองเลย

    “เพิ่มอัตราการระวังภัยเป็นสีแดง เตรียมสถานีรบทั้งหมดให้พร้อม เราจะไม่ยอมให้พวกนั้นผ่านแนวรับนี้ไปได้” นาวาอวกาศเอกชาวมิโนทอร์สั่งอย่างเจนสนาม เขาไม่ได้ลงสนามรบอย่างจริงจังมานานแค่ไหนแล้ว จะนานพอที่จะทำให้กัปตันมากประสบการณ์อย่างเขามือฝืดไปบ้างรึเปล่า “เปิดช่องสัญญาณการสื่อสาร ผมอยากคุยกับกัปตันของโจรสลัด”



    ห้องบังคับการหลักของมิดไนท์คิสนั้นเล็กกว่าของยานบัญชาการลำอื่นเล็กน้อย ด้วยรูปทรงที่เอื้อต่อการเคลื่อนที่แนวโค้งของยาน แท่นสี่เหลี่ยมลอยสูงตระหง่านที่กลางห้องบังคับการคือที่นั่งของกัปตันแห่งกองโจรสลัดจูดุ๊บส์ โดยมีที่นั่งที่ลดหลั่นลงมาใกล้ๆกันอีกสองที่ หนึ่งในนั้นตอนนี้ว่างอยู่ นั่นคือที่ของรองกัปตันแห่งจูดุ๊บส์ คะน้า กระดิ่งลม ส่วนอีกหนึ่งนั้น หญิงสาวชาวเอลฟ์รูปร่างบอบบางในชุดเดรสกระโปรงสั้นสีขาวผู้มีเรือนผมทรงหน้าม้ายาวสีดำสนิทนั่งอยู่ตรงนั้น แม้จะดูบอบบางไม่เข้ากับตำแหน่ง แต่เธอก็คือลำดับสามของจูดุ๊บส์ เสนาธิการ หัวหน้าหน่วยวินาศสันตะโรแห่งกองโจรสลัด

    “กองยานทะลวงฟันพร้อมจะออกบินแล้วครับ” ชายร่างใหญ่ชาวออร์คก้าวเข้ามาตรงหน้าที่นั่งกัปตันพลางรายงานความพร้อม ที่ด้านหลังเขาเป็นชายร่างใหญ่กว่า ชาวยักษ์ที่สักทั้งตัวด้วยลวดลายประหลาดกับลิซาร์ดแมนที่มีเดือยสีสันพิสดารแปลกตา

    “รอจนกว่าจะมีคำสั่ง” หญิงสาวผมดำกล่าว ก่อนจะหันไปที่พลสื่อสาร “ดูเหมือนพวกนั้นอยากจะคุยกับเรานะ”

    ราวกับรู้ล่วงหน้า ไม่ทันขาดคำ สัญญาณสื่อสารก็ถูกเชื่อมต่อเข้ามา พลสื่อสารหันมาหาเอลฟ์สาวเป็นเชิงว่าจะให้รับหรือไม่ ซึ่งเธอเพียงแต่พยักหน้าเบาๆ

    “กองโจรสลัดจูดุ๊บส์ ในนามของกองทัพพิทักษ์จักรวาลพวกคุณถูกจับแล้ว ขอให้ลดอาวุธและปลดธงลงซะ อย่าให้ต้องมีการนองเลือด” เสียงแทบจะมาก่อนภาพ นาวาอวกาศเอกแม็กนา มอเรีย ครูนาร์ กัปตันยานรบหุ้มเกราะเมดิสันแสควร์ ยานรบลำดับที่ห้าแห่งกองทัพอวกาศยานภาคหนึ่งประกาศกร้าวผ่านเครื่องมือสื่อสาร กองยานที่เห็นอยู่ตรงหน้าบินจัดขบวนกันว่อน หญิงสาวเพียงมองดูแล้วยิ้มอย่างเหยียดๆ “หากไม่ยินยอม พวกเราจำเป็นจะต้องใช้กำลังเข้าจัดการกับพวกคุณ ได้โปรดทบทวนดูให้ดีด้วย”

    “คะน้าทำไม่สำเร็จจนได้” ดวงตาคมกริบชำเลืองมองกัปตันแห่งกองโจรสลัดจูดุ๊บส์ที่นั่งอยู่เหนือเธอขึ้นไป เอลฟ์สาวผมดำเอ่ยขึ้นเบาๆ “เอาไงดีคะกัปตัน”

    “เอา....” ริมฝีปากขยับเพียงเล็กน้อย เรือนผมสีทองดัดเป็นคลื่นภายใต้หมวกโจรสลัดปีกกว้างและเสื้อคลุมสีแดงเข้ม หญิงสาวชาวเอลฟ์อีกคนที่ดูมีอายุมากกว่า ทั้งยังมีใบหน้างดงามคมคายด้วยความทระนงดั่งนางพญา เป็นหญิงสาวผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งกัปตันแห่งกองโจรสลัดจูดุ๊บส์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่มวลโจรสลัดอวกาศทั้งหลาย “เอาอะไรเหรอ”

    “พวกมันถามว่าเราจะลดอาวุธมั้ย” หัวหน้าหน่วยวินาศสันตะโรกัดริมฝีปากเบาๆอย่างไม่พอใจเล็กน้อย นี่กัปตันได้ดูสถานการณ์รอบตัวบ้างมั้ยเนี่ย

    “แล้วต้องลดเยอะมั้ยล่ะ” กัปตันหญิงแห่งกองโจรสลัดที่เกรียงไกรที่สุดเลิกคิ้วอย่างฉงน “ถ้าลดเยอะเดี๋ยวขาดทุนกันพอดี นี่รับมาก็สี่สิบแล้วนะ”

    “เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว กัปตัน!!” เด็กสาวชาวเอลฟ์เจ้าของเรือนผมสีดำสลวยแทบกรี๊ด เช่นกันกับที่คะน้าเป็นโรคผล็อยหลับ บ่อยครั้งที่หัวหน้ากองโจรสลัดจูดุ๊บส์อาจจะมีอาการพูดไม่รู้เรื่องขึ้นมาซะเฉยๆ “ว่าไงคะจะเอายังไง ออกคำสั่งมาได้เลยกัปตัน”

    “เอา....” ดวงตาคู่งามของกัปตันหญิงหรี่เขม้นมองไปที่หน้าจอสื่อสารเบื้องหน้า พลันปรากฎรอยยิ้มน่าสะพรึงขึ้นที่มุมปากของเธอ “เอาอะไรเหรอ”

    สิ้นคำนั้น แผงควบคุมวงจรการสื่อสารประจำที่นั่งของหน่วยวินาศสันตะโรสาวก็ถูกกระชากออกจากฐาน ก่อนจะโดนขว้างลงไปบนพื้นกลางห้องบังคับการเสียงดังสนั่นอย่างเหลืออด ทำเอาลูกเรือโจรสลัดทุกคนในห้องบังคับการสะดุ้งเฮือกกันโดยพร้อมเพรียง

    “ก็ที่พวกนั้นมันพูดไงคะกัปตัน เราจะเอายังไง ยอมมอบตัวหรือสู้ โธ่ว้อย นี่เป็นอะไรขึ้นมาอีกแล้ววะเนี่ย วันนี้จะรู้เรื่องมั้ยฮะ” หญิงสาวชาวเอลฟ์ผมดำเริ่มหงุดหงิดกับไอ้โรคที่เป็นๆหายๆตลอดเวลาของพี่ๆเธอมากขึ้นทุกที “วันก่อนคะน้าก็หลับกลางภารกิจไปทีนึงแล้ว”

    “อืม พวกมันบอกว่าไม่อยากให้นองเลือดแน่ะ” หัวหน้ากองโจรสลัดจูดุ๊บส์ยิ้มที่มุมปาก ดูเหมือนสติสตังจะกลับคืนมาบ้างแล้วนิดหน่อย “แหม แต่เราเป็นโจรสลัดนี่นะ ถ้าไม่ได้นองเลือดบ้าง คงไม่สนุก ใช่มั้ยคะน้า กระดิ่งลม”

    “โอ้ ต้องอย่างนี่สิคะ” หญิเอลฟ์สาวผมดำยิ้มกริ่ม “แต่หนูชื่อนามุนะ คะน้าอยู่ที่ไอซาร์ดต่างหาก”

    “เอ้อ ลืมไปโทษทีๆ” กัปตันหญิงโบกไม้โบกมือขอโทษ ถึงอย่างนั้นบารมีของเธอก็ยังดูสง่าจับตา “เอาล่ะ กัปตันแห่งยานเมดิสันแสควร์ โปรดฟัง นี่คือกัปตันซารุ เมย์เดน แห่งกองโจรสลัดจูดุ๊บส์ สำหรับข้อเสนอที่คุณให้มานั้น คำตอบของเรามีเพียงอย่างเดียวคือ ไปตายซะ”

    สีหน้าของครูนาร์ดูผิดหวังทีเดียว ทั้งที่รอฟังคำตอบมาตั้งนาน แม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าไม่มีทางที่พวกโจรสลัดจะถอยทัพไปแน่ๆ แต่เมื่อได้เห็นว่ากัปตันโจรสลัดนั้นเป็นเพียงหญิงสาว เขาก็หมายใจไว้ลึกๆว่าอาจยังพอพูดคุยกันได้ ทว่ากัปตันครูนาร์อาจจะมองผู้หญิงตรงหน้าผิดไปไกลโข เขาได้แต่เพียงพยักหน้ารับคำตอบอย่างจำใจ ก่อนจะตัดการสื่อสารไปทันที พร้อมกับที่กองยานของครูนาร์ทุกลำปรับกระบอกปืนใหญ่เล็งมาทางจูดุ๊บส์และปล่อยฝูงบินขับไล่ออกมามากมาย

    “เอาเลยพ่อวัวแก่ ขอดูฝีมือหน่อยซิ” กัปตันหญิงแห่งกองโจรสลัดจูดุ๊บส์คำรามในลำคอ ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายดั่งมหาสมุทร “กองโจรสลัดจูดุ๊บส์ ฟังทางนี้ กำจัดทุกคนที่ขวางทางให้สิ้น ฆ่ามันให้หมด อย่าให้เหลือ”

    “รอคำสั่งมานานแล้วกัปตัน” นามุหันไปทางพลสื่อสาร “สั่งกองยานทุกลำให้ล่าล้างพวกกองทัพอย่าให้เหลือ ยานทุกลำของพวกมันมีค่าหัว ใครจัดการเมดิสันแสควร์ได้มารับรางวัลไปได้เลย”

    สิ้นคำนั้น เหล่าลูกเรือโจรสลัดทุกคนพากันเฮลั่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สำหรับเดนคนอย่างพวกเขา ไม่มีอะไรมีค่าไปกว่าเงินอีกแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการในตอนนี้คือพากันออกไปล่าหัวกองทัพอย่างกระหายเลือด นี่เอง เป้าหมายของจูดุ๊บส์จึงไม่เคยมีใครเหลือรอด

    “เฮ้ย รางวัลอะไรนามุ ใครพูดอย่างนั้นไปเมื่อไหร่กัน” กัปตันซารุครางเสียงอ่อยเบาๆ แต่นามุไม่สนใจ หัวหน้าหน่วยวินาศสันตะโรแห่งจูดุ๊บส์เพ่งสมาธิไปที่สงครามเบื้องหน้าเต็มที่แล้ว

    และวันนั้น ยานบัญชาการหุ้มเกราะเมดิสันแสควร์และกองยานในสังกัดแห่งกองทัพพิทักษ์จักรวาลก็กลายเป็นอดีตไป ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง



    Character

    กัปตันซารุ เมย์เด็น by พี่เมย์ ซารุ

    Free Talk

    ตอนที่สิบเอ็ดมาถึงอย่างรวดเร็วนะครับ ตรงนี้ช่วงท้ายๆตอนตัดมาจากฉบับเก่าเยอะเหมือนกัน แต่เปลี่ยนอารมณ์เล็กน้อย และแล้วเหล่าโจรสลัดสุดแกร่งก็ได้เผยโฉมกันออกมาครบคนแล้ว บุคลิกก็ต่างจากเดิมไปนิดหน่อยครับ เหลือตัวละครอีกตัวเดียวที่จะต้องปรากฏตัวออกมาในช่วงแร็คนาร็อคจากฉบับเก่า นั่นก็คือเหมันต์จันทรา จอมกวีพเนจร ซึ่งก็จะเผยโฉมออกมาในตอนสองตอนนี้แล้ว ขอบคุณครับ :D

Share This Page